บทที่ ๑๓
“หน้าบานเป็นจานดาวเทียมเลยนะเอ็ง เรียบร้อยกันไปแล้วสิ” รังสรรค์ถามแล้วเบะริมฝีปาก
“อะไรวะ ... เรียบร้อยอะไร” ภูริทัตยิ้มแล้วตักข้าวเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ
“เรียบร้อยก็ ...” ปรีชายักคิ้วหลิ่วตา “อย่างว่าไงวะ สำเร็จตั้งแต่คืนแรกเลยรึเปล่าวะ”
“อ้อ” ภูริทัตยิ่งยิ้มกว้างขึ้น “พวกเอ็งนี่คิดกันเป็นแต่เรื่องนี้เหรอวะ”
“อ้าว ไม่งั้นเอ็งจะตามไปทำไมวะตั้งไกล” รังสรรค์ทำหน้ากวนๆ
“ข้าไม่ไวไฟเหมือนพวกเอ็งสองคนหรอกวะ”
“อ้าว ... ตกลงไปตั้งสองวัน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยเหรอ” ประชาเลิกคิ้ว
“ข้าไม่กล้าหว่ะ เกิดเค้าไม่ยอมแล้วเกลียดข้าไปเลย” ใบหน้าของภูริทัตเปลี่ยนเป็นแววกังวลทันที “ข้ารับไม่ได้หว่ะ”
“รับไม่ได้ ก็ต้องรุกสิวะ ฮ่าๆๆ” ปรีชาหัวเราะร่วน
“อะนะ ... ใครจะเหมือนเอ็งล่ะ รุกรับพลิกผัน ได้หมดทุกสภาวะและโอกาส” พูดแล้วภูริทัตก็อดหัวเราะไม่ได้
“อยากศึกษามั๊ยล่ะ จะสอนให้” ปรีชาส่งสายตากับรอยยิ้มให้เพื่อน
“หนอย หาเหยื่อไม่ได้เหรอไง ถึงได้จะกินกันเอง” ภูริทัตพูดทั้งที่ยังหัวเราะร่วน
“ก็นึกว่าอยากศึกษา ก็เลยจะอาสาสอนให้ไง หรือนายจะเรียนรู้กับไอ้สรรค์”
“อึ๊ย...” ภูริทัตทำท่าขยะแขยง “ไอ้สรรค์นะให้สอนไอ้ปูก็พอแล้ว ไม่ต้องมาสอนข้า”
“อย่าไปแขวะใส่คนอื่นสิวะ” รังสรรค์ติง
“อ้าว ไม่จริงเหรอไง ทำมาสนใจข้า แล้วไปนอนกับเอ็ง แค่คิดก็เซ็งแล้ว” ภูริทัตส่ายหน้าเบาๆ “ว่าแต่หายไปไหนวะ ตั้งแต่ปีใหม่ไม่ค่อยเห็นหน้าเลย”
“ไหนเอ็งว่าไม่สนใจไง ถามถึงทำไมวะ” รังสรรค์ถามด้วยความสงสัย
“อ้าว ... เพื่อนกันเจอกันบ่อยๆ อยู่ๆหายไปก็ต้องถามสิวะ”
“คงทำใจอยู่มั๊ง” ปรีชาตอบ
“เรื่องอะไรวะ หรือว่ามึงเบื่อแล้วทิ้ง” ภูริทัตชี้หน้ารังสรรค์
“เปล่าเว๊ย ข้าแค่ยื่นคำขาดให้เลือกซะที ว่าจะเอาใครแน่” รังสรรค์เค่นเสียง
“อืม...” ภูริทัตลูบคางเบาๆ “งั้นก็น่าเห็นใจหว่ะ พวกเรามันเสน่ห์แรงพอๆกัน เป็นใครก็เลือกยากวะ” พูดแล้วก็ยิ้มที่มุมปาก ยักคิ้วให้เพื่อน
“จ๊า....พ่อคนเสน่ห์แรง” ปรีชาแค่นเสียง “แรงจนโสดสนิท ฮ่าๆๆ”
“ยังไงตอนนี้ข้าก็มีสานฝันวะ” ภูริทัตยิ้มร่า
“ทำเป็นใจเย็นไปเหอะเอ็ง ระวังมอคอปอดอแล้วกัน” รังสรรค์พูดติดตลก
“ไม่กลัวหรอกเว๊ย ตอนนี้น่ะ ข้ามาวิน ไม่งั้นเค้าจะยอมให้ข้าตามไปถึงโน่นเหรอ”
“แต่ไอ้ทัตของพวกเรามันงี่เง่าหว่ะ เป็นข้านะ เหอะๆ” ปรีชาอมยิ้ม
“เอ็งจะทำไม” ภูริทัตพูดเสียงแข็ง
“อ้าว ไม่น่าถาม” ปรีชายิ้มเจ้าเล่ห์ “ไม่ปล่อยไว้ให้ข้ามคืนร๊อก รู้เรื่องตั้งแต่คืนแรกแล้วว่าใครรุกใครรับ จริงมั๊ยวะไอ้สรรค์”
รังสรรค์ไม่ตอบคำ ได้แต่อมยิ้ม พลางคิดไปว่า ไม่ต้องรอให้ถึงเวลาแล้วค่อยรู้หรอก อย่างเขาน่ะเป็นได้เพียงอย่างเดียว และคนที่จะมาเป็นคู่ก็ต้องเป็นได้เพียงแบบที่ตรงกันข้ามเท่านั้น
..............................................................................
.........................................
“คุยกันแค่นี้นะครับ ดึกแล้ว” เสียงที่พูดมาจากอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ ทำให้ภูริทัตขมวดคิ้ว
“อะไรกัน รังเกียจจะคุยกับผมเหรอ” ชายหนุ่มตัดพ้อ มีเสียงหัวเราะเบาๆดังมาจากปลายสาย
“ถ้าผมรังเกียจ แล้วผมจะโทรมาหาตามสัญญาหรือครับ”
“ก็แค่รักษาสัญญา ไม่ให้เสียคำพูดรึเปล่า”
“แค่การรักษาสัญญาคงไม่คุยกันได้เป็นชั่วโมงแบบนี้หรอกครับ” เสียงเงียบไปพักหนึ่ง “ผมเห็นว่ามันดึกแล้ว พรุ่งนี้คุณเองก็ต้องตื่นเช้าไปทำงานอีก ผมกลัวว่าคุณจะตื่นไปทำงานไม่ไหว หรือไปง่วงนอนระหว่างทำงาน จนโดนเจ้านายตำหนิได้หรอกนะครับ เอาไว้พรุ่งนี้เราค่อยคุยกันต่อก็ได้” คำพูดที่ห่วงใยทำให้ภูริทัตยิ้มออกมาได้
“งั้นพรุ่งนี้คุณต้องโทรมาอีกนะครับ”
“ได้ครับ ผมสัญญา ราตรีสวัสดิ์นะครับ”
“ครับ ราตรีสวัสดิ์” อยากจะบอกไปด้วยซ้ำว่า ...คืนนี้ผมจะฝันถึงคุณ ... แต่ก็ไม่กล้าชายหนุ่มค่อยๆวางหูโทรศัพท์ลงอย่างช้าๆ
ภูริทัตเดินไปรินน้ำจากเหยือกแก้ว แล้วดื่มจนหมด เข้าห้องน้ำทำกิจธุระจนเรียบร้อย แล้วจึงปิดไฟ ล้มตัวลงนอน คิดถึงสองคืนที่ใช้เวลาอยู่กับสเตฟาน แล้วค่อยๆหลับไป
........................................................................
.................................
“แย่จัง พอหนังท้องตึง หนังตาเริ่มหย่อน” ภูริทัตพูดขึ้นเมื่ออาหารทุกอย่างหมดลง
“ง่วงก็ไปนอนสิครับ อย่าฝืนเลย”
“แต่ผมอยากอยู่กับคุณนานๆ” ภูริทัตส่งสายตามีความหมาย
“คืนพรุ่งนี้ก็ยังมีนี่ครับ ถ้ายังไม่พอ ก็ยังมีคืนต่อๆไปอีก ที่เราจะได้เจอกัน” สเตฟานพูดยิ้มๆ “ไปเถอะครับ ถ้าง่วงมากก็ไปนอน เดี๋ยวผมเก็บของแล้วจะเข้าไปอยู่เป็นเพื่อน”
“งั้นผมช่วยคุณเก็บของก่อน”
พูดจบก็หยิบจานอาหารวางซ้อนกัน แล้วยกขึ้นถือเดินเข้าไปในตัวบ้าน สเตฟานเองก็เก็บแก้วกาแฟวางลงบนถาด แล้วถือเดินตามเข้าไป
“คุณไปนอนเถอะ เดี๋ยวผมจัดการเอง” สเตฟานหันไปบอกขณะที่กำลังล้างถ้วยชามอยู่ แต่ภูริทัตยังยืนนิ่งอยู่ข้างๆ สีหน้าบอกว่าไม่ยินยอม จนสเตฟานอดขำไม่ได้ “นะครับคนดี ไปนอนก่อน เดี๋ยวผมจัดการเรียบร้อยแล้วจะเข้าไป”
“คุณต้องเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนผมจริงๆนะ” ชายหนุ่มส่งสายตาอ้อนวอน
“ครับ ผมจะโกหกทำไม เดี๋ยวผมตามเข้าไป”
เมื่อได้รับคำรับรองอีกครั้ง ภูริทัตจึงเดินออกจากครัว ไปยังห้องนอน ล้มตัวลงนอนคว่ำบนที่นอนหนานุ่ม สักพักก็พลิกตัวนอนหงาย ชั่วครู่ก็รู้สึกเหมือนกำลังจำหลับ แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อรู้สึกเหมือนมีคนมาห่มผ้าให้
“คุณมานอนข้างๆเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ”
สเตฟานยิ้มให้ชายหนุ่ม เดินอ้อมไปอีกด้านหนึ่งของเตียง แล้วกึ่งนั่งลงพิงหลังกับผนังด้านหัวเตียง เหยียดขาไปตามความยาวของเตียง ภูริทัตลองขยับตัวเข้าไปแนบใบหน้ากับบริเวณตะโพกของอีกผ่าย ไม่มีการขยับหนี แต่กลับรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของมือที่ลูบเบาๆบนเรือนผม
“ง่วงนักก็หลับนะครับคนดี ผมจะอยู่เป็นเพื่อนข้างๆคุณจนกว่าคุณจะตื่น”
ชายหนุ่มหลับตาพริ้ม ยกแขนขึ้นโอบกอดขาของอีกฝ่ายราวกอดหมอนข้าง แล้วค่อยๆเข้าสู่นิทรารมณ์ไปในที่สุด
ภูริทัตงัวเงียตื่นขึ้นมา เมื่อมองดูรอบๆก็พบว่าตัวเองนอนอยู่คนเดียวบนเตียงกว้าง จากแสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้คิดว่าน่าจะเป็นเวลาสายมากแล้ว ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเตียง เดินไปเปิดประตูห้อง แล้วเดินออกจากห้องนอนเข้าสู่บริเวณที่เป็นเหมือนห้องอเนกประสงค์ ที่มีชุดโต๊ะเก้าอี้นั่งเล่น พร้อมกับชั้นวางโทรทัศน์ตั้งอยู่
“สานฝัน” ชายหนุ่มเรียกชื่อคนที่ตนต้องการพบ “สานฝัน...คุณอยู่ไหนน่ะ”
“คุณสเตฟานไปพักผ่อนแล้วครับ” เสียงดังมาจากทางห้องครัว เมื่อภูริทัตหันหน้ามองไปตามเสียง ก็พบกับทรงศักดิ์ เดินยิ้มออกมาจากห้องครัว
“ไปพักผ่อนที่ไหนล่ะครับ ไหนว่าตอนเช้าจะให้ผมไปแล้วเค้าจะนอนพักที่นี่ไม่ใช่เหรอครับ” ภูริทัตถามด้วยความสงสัย
“ท่านบอกว่าคุณกำลังหลับสบาย ไม่อยากปลุก” ชายสูงอายุตอบด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเบาๆ “ท่านสั่งไว้ว่าให้พาคุณไปเที่ยวน่ะครับ เดี๋ยวคุณอาบน้ำแต่งตัวก่อนสิครับ จะได้มาทานอาหารเช้า”
“นี่มันกี่โมงแล้วครับ”
“เก้าโมงกว่าแล้วครับ เดี๋ยวผมเตรียมอุ่นอาหารเช้าให้ กาแฟกับไข่ดาว ไส้กรอก เบคอน แล้วก็ขนมปังนะครับ”
“งั้นขอเป็นพวกไส้กรอกนิดหน่อยกับขนมปัง ๒ ชิ้นแล้วกันนะครับ”
“เบคอนด้วยนะครับ เดี๋ยวผมจะทอดกรอบๆ แล้วเดี๋ยวเราค่อยคุยกันระหว่างอาหารเช้า ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนกันดี”
“ครับ” ภูริทัตรับคำ พลางนึกประหลาดใจว่าทำไมทรงศักดิ์รู้ว่าเขาชอบกินเบคอนทอดกรอบๆ
ช่วงกลางวันของวันนั้น ภูริทัตใช้เวลาเดินเล่นในบริเวณป่าใกล้ๆบ้านพัก นั่งอ่านหนังสือบ้าง ดูโทรทัศน์ที่รับคลื่นผ่านทางจานดาวเทียมบ้าง จนถึงช่วงกลางคืนจึงได้พบกับสเตฟานอีกครั้งหนึ่ง คืนที่สองนอกจากพูดคุยกันแล้ว สเตฟานยังนำเครื่องดนตรีที่พกพาออกมาอีกหลายชิ้น บางชิ้นเขาก็ไม่เคยเห็นมาก่อน นำมาเล่นให้เขาฟัง แต่ที่ภูริทัตชอบที่สุด คงเป็นการเปิดหนังสือเพลงให้สเตฟานเล่นกีตาร์คลอไป ขณะที่ทั้งสองคนช่วยกันร้องเพลงที่พอจะรู้จักไปจนจบ แล้วเมื่อเวลาล่วงเลยไปถึงประมาณตีสาม ภูริทัตก็เข้านอน โดยมีสเตฟานนอนเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ เหมือนเมื่อคืนแรก เพียงแต่คืนนี้ ภูริทัตได้นอนซบศรีษะลงบนแผ่นอกของสเตฟาน แขนของเขาโอบกอดไว้ที่เอวของอีกฝ่ายหนึ่ง และมือของสเตฟานก็วางอยู่บนหลังมือของเขา พร้อมกับลูบไล้เบาๆบนหลังมือ ราวกับจะกล่อมให้ชายหนุ่มรู้สึกอบอุ่น ตลอดนิทราของคืนนั้น