31 (ง้อพี่จริง ๆ นะ)
‘คนเดียวที่คิดถึง ที่รัก ใจเธอคิดอะไร คิดถึงฉันบ้างหรือเปล่า ว่านอนหนาวหัวใจ อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียว’
พยายามดิ้นรน ช่วยให้ตัวเองหลุดพ้นจาพันธนาการ แต่ก็ไร้ผล เพราะบ่วงที่หอบหิ้วร่างเล็กนั้นทำด้วยเชือกขนาดใหญ่ ดิ้นรนไปก็รั้งจะทำให้เหนื่อยอ่อนลงเรื่อย ออมแรงให้พรานเขามาเก็บบ่วงตอนนั้นค่อยได้ออกจากป่า แต่ถ้าพรานไม่เข้ามา 4-5 วันละ จะทำยังไง
คนเราเมื่อถึงเวลาจนตรอก ความคิดต่าง ๆ ก็พร่างพรูออกมา วันเวลาดี ๆ สั้นนัก ชีวิตคนเราไม่ถึงร้อยปี ทำไมเมื่อมาพบมาเจอกันจึงไม่ทำสิ่งดี ๆ ให้มีความรักความผูกพันกัน
“พี่โปรดผมขอโทษ” ร้องออกมาก็ไม่มีความหมายอะไร มีแต่สิงสาลาสัตว์ที่ร้องแข่ง แล้วก็เงียบลง เมื่อความเงียบเข้ามาใหม่มันก็ต่างแข่งกันร้องออกมา
“พี่โปรดครับ น้องไม่ดื้อแล้วครับ” เสียงอ๋อย ๆ เพราะหมดแรงที่จะดิ้นรน หลับตาลง หยดน้ำตาไหลเอ่อออกมาอีกแล้ว คราวนี้ความคิดมันบาดลึกเข้าสู่จิตใจ ร่างเล็กสั่นด้วยแรงสะอื้นเสียใจ
“พี่โปรด เกรียง ทัก ช่วยด้วย” เสียงร้องแผ่วเบาลง จนหมดสติไป
“ผู้กองครับ เรายังไม่เห็นไอ้คอน” พิทักษ์วิ่งไปหาผู้กองอัศวิน เจ้าตัวเมื่อได้ยินว่าเด็กดื้อหายไป ก็แค่ชะงัก แล้วก็ทำงานต่อไป
“ผู้กองเราหาจนทั่วแล้วครับ” พิทักษ์ร้อนใจ
“เขามาได้ก็ต้องกลับเองได้” เสียงผู้กองหนุ่มกล่าวดัง ๆ
“แต่...” พิทักษ์กำลังจะเอยค้าน
“ไปทำงานได้แล้ว เราต้องต้อนคนพวกนี้ส่งสถานีตำรวจ” ได้ยินอย่างนั้น พิทักษ์คอตก กลับออกมาหาบัดดี้
“เป็นไงเกรียงเจอไหม”
“ไม่เจอ ไม่รู้หายไปไหน นี้ถ้ามีเครื่องติดตามตัวนะ ก็หาเจอแล้ว” หัวเสียออกตามหาเพื่อน
“เราหาอีกสักรอบเถอะ” พิทักษ์กล่าว แล้ววิ่งกลับเข้าป่า ตรงที่แยกออกจากกัน
“ทัก ไปไหน รอผมด้วย” เกรียงสิทธิ์วิ่งตาม
“เร็ว ๆ ซิ เดี๋ยวกลับมาไม่ทัน” เกรียงสิทธิ์เร่งฝีเท้า
‘ตอนสมัยฝึกมันไม่ขยันอย่างนี้เลยนะพิทักษ์ แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนแปลงไปเยอะ’ คิดแล้วก็ยิ้ม
“ยิ้มอะไร” เมื่อหันมาเจอรอยยิ้มวิ่งตามมา จึงหยุดยืนรอ
“เปล่า แค่คิดว่า ตอนที่เจอกันใหม่ ๆ ไม่เห็นทักเป็นแบบนี้เลย” เดินเคียงข้างคนที่บึกกว่า
“อาว ตอนนี้มีคนอยู่ข้าง ๆ ก็ต้องมีภาวะผู้นำละหว่า” พิทักษ์กล่าวพร้อมมองหน้าคนที่เดินข้าง ๆ
“แล้วคิดยังไง” เกรียงสิทธิ์ อยากรู้ความในใจ
“รู้ว่า เอาใจยากเหมือนกับไอ้เพื่อนอีกคนเลย” แหงนหน้ามองท้องฟ้า
“ตุ๊บ” ยังไมถึงไหนเลย
“อูย วันนี้จะให้กินขนมตุ๊บตั๊บอีกกี่ครั้งหึ” จับมือที่กำลังจะเหวี่ยงตามมาอีก
“ไม่กลัวผมช้ำบ้างหรอครับที่รัก” จุ๊บลงที่หน้าผาก
“เอ้ย ๆ ในป่า ผีสาง เทวดา รีบ ๆ ไปหาเพื่อนได้แล้ว” เกรียงประท้วง
“ถ้าเจอไอ้คอนนะ กูจะจับมันทำ......” พูดแบบมันเขี้ยว
“ตุ๊บ” หมัดตรงเข้ากลางหลัง
“โอ้ย จะเอาอีกกี่ที” ร้องขึ้นมา แต่เกรียงสิทธิ์ก็ชูมือที่โดนตัวเองจับไว้
“อาวแล้วใครวะ หึ” หันควับไปด้านหลัง
“ผู้กอง.... เออ.... ขอโทษครับ” รีบก้มศีรษะขอโทษ
“แล้วเด็กดื้อหายตอนไหน” มาโปรดกล่าว รีบเร่งฝีเท้าก้าวออกก่อนเพื่อน
“หายตอนที่ไปหาผู้กองครับ คือ...เออ ..พวกผมก็กำลัง...” กำลังทะเลาะกันอยู่อีกฝั่งก็เลยไม่ได้สังเกต ว่านครหายไปไหน มาโปรดไม่รอฟังคำตอบ รีบเดินเข้าไปในป่า จนอีกสองคนต้องวิ่งตาม
‘อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะครับ ที่รักของพี่ พี่จะหาน้องให้เจอ ถ้าไม่เจอเล่า พี่จะอยู่ยังไง ไม่ได้ยินเสียงแจ้ว ๆ ของน้องอีก พี่จะอยู่ได้อย่างไร รู้ไหมว่าพี่รัก พี่รักน้อง พี่ยังไม่ได้บอกน้องเต็มปากเต็มคำเลย คราวก่อนก็บาดเจ็บปางตาย ก็ยังอ้ำอึ้งไม่บอกน้องสักที พอน้องหายไปพี่จึงรู้สึกอ้างว้าง’
“ผู้กองครับ ผมรู้สึกว่าเห็นคอนครั้งสุดท้ายตรงนี้ครับ” เกรียงสิทธิ์รีบกล่าวเมื่อจำสถานที่ได้
“แล้วเป็นไปได้ไหมว่า พวกที่หนีได้จะทำร้ายคอน” พิทักษ์เอ๋ย
“ก็อาจเป็นไปได้ ลองหารอยต่อสู้” มาโปรดกล่าวแล้วรีบหาร่องรอย อีกสองคนก็กระจายตัวออกหาร่องรอยการต่อสู้ หรือร่องรอยที่อาจทำไว้ไม่ให้หลง หรือเผื่อมีการติดตาม การหาร่องรอยได้สักพักใหญ่
“ผู้กองครับ ทางนี้ครับ” พิทักษ์ตะโกนเรียก สองคนหยุดหาวิ่งมาทางต้นเสียง
“มีอะไรหรอทัก” พิทักษ์ชี้ให้ทุกคนดูร่องรอยเหมือนกับการต่อสู้ หรือลากอะไรสักอย่าง ลึกเข้าไปในป่า มาโปรดรีบแกะรอยนั้นไปอย่างรีบร้อน
“ผู้กองรอเราด้วย” เกรียงสิทธิ์วิ่งตามไปติด ๆ
“อาวทิ้งกันเลยหรอวะ” พิทักษ์วิ่งตาม มาโปรดนั้นทั้งเดินทั้งวิ่ง เมื่อเจอร่องรอย
“เร็วหน่อยนะครับ มันกำลังจะมืดจะค่ำแล้ว” เกรียงสิทธิ์กระตุ้น ยิ่งทำให้มาโปรดกดดัน เกิดเป็นอะไรขึ้นมา จะทำยังไง คิดแล้วใจหาย
“ผู้กองดูนั้นครับ” เกรียงสิทธิ์ชี้ให้ดูตรงปลายกิ่งไม้สูง มีตาข่ายห้อยอยู่ด้านล่างสูงจากพื้นประมาณ 500 เมตร
“ห้างส่องสัตว์ แล้วนั้นอะไร ระวังหน่อยนะ เกิดเป็นเสือ” มาโปรดอุทาน
“ไม่ไหวติงครับ ผู้กอง” พิทักษ์กล่าวแล้วเข้าไปดูใกล้ ก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น
“ผู้กองเร็วครับ ไอ้คอน มันติดกับดัก เร็ว” พิทักษ์รีบปีนขึ้นห้าง
“ผู้กองรอข้างล่างครับ เดียวผมปลดลงมา ผู้กองคอยรับ” มาโปรดแหงนมองดูสิ่งที่อยู่ภายในตาข่ายแล้วใจไม่ได้ ทำไมไม่มีอาการไหวติง หรือว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า สักพักใหญ่ ตาข่ายก็ลอยริ้วลงมาจากกลางอากาศ มาโปรดเข้าไปรับพอดี ร่างที่ไร้สติลงสู่อ้อมกอดคนที่รัก
“แจ๊กเป็นไงบ้างแจ๊ก” มาโปรดดึงเอาตาข่ายออก
“ผู้กอง น้ำครับ ผมเอาลงมาจากห้างนั้น” พิทักษ์เอาน้ำให้มาโปรดลูกลงบนใบหน้าอ่อนเยาว์นั้น เมื่อหยดน้ำถูกลูบลงใบหน้าก็เรียกความสดชื่นให้คนที่หลับใหลนั้นกลับคืนมาได้
“คอน ๆ ตื่นไหมผู้กอง” เกรียงสิทธิ์ใจร้อน
“เกรียง ขยับออกมาตรงนี้ก่อน ให้คอนเขาได้อากาศที่บริสุทธิ์” พิทักษ์ดึงเอาเกรียงสิทธิ์ออกมา นครค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เห็นใบหน้าที่จ้องมองด้วยความเป็นห่วง นครค่อย ๆ ยื่นมือขึ้นลูบที่ใบหน้าคนจ้องมอง มาโปรดจับมือที่ลูบใบหน้าตนแนบเข้าไปอีกเอาฝ่ามือนั้นมาจูบหอมเบา ๆ
“ผมขอโทษครับ” เอยเบา ๆ
“ไม่เป็นไรแล้วนะ เรากลับบ้านกัน ไปทำแผลที่บ้านนะ” ตัดสินใจอุ้มคนที่รักเดินออกจากห้างป่า
“อะไรไอ้เกรียง” เกรียงสิทธิ์กระโดดขึ้นขี่หลัง
“ผลัดกัน คราวก่อนผมแบกทักหนักแทบแย่ คราวนี้แบกผมบ้าง” ปากก็ว่าจ๋อย ๆ ตัวก็ขย่มให้คนที่แบกหนักขึ้นอีก
“ไม่ต้องขย่ม มันหนัก เอาไว้คืนนี้ ไม่กลับกองร้อยเว้ย เตรียมตัวเลย” คนแบกบ่น
“ตุ๊บ ๆๆๆๆๆ” อีกหลายหมัดตามมา
“เฮ้ย จะให้ตายกันไปเลยหรอไง” ประท้วงแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แต่มีความรู้ว่ามีอะไรมาจรดลงที่ต้นคอ พิทักษ์ยิ้มกว้าง คนที่อยู่บนหลังหันหน้าซบลงบนไหล่กว้าง
สายลมพัดโบกเบา ๆ ต้นหญ้าสูงยาวลู่ไปตามแรงลม คนที่นั่งอยู่สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด มองออกไปด้านหน้าที่เป็นผากว้าง
“หอมหรอ” คนที่สูดลมหายใจชะงักก้มมองคนที่นอนหนุนตัก ที่ศีรษะโพกด้วยผ้าขาว
“สดชื่นจังครับ” ตอบเบา ๆ
“แต่พี่หอมจัง เอใช้สบู่ไรหน่า” ชายหนุ่มจรดริมฝีปากลงบนหัวเข่าที่เปลือยเปล่า
“อุย จักจี้” พลางขยับขา
“เหน็บกินหรือเปล่า พี่นอนนานแล้ว” ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่ง จ้องหน้าคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว มือจับปลายคางริบฝีปากหนาค่อย ๆ เข้าไประทับรอยจูบ
“อือ” เสียงประท้วงจากลำคอคนที่อ่อนเยาว์กว่า คนที่โตกว่าจึงต้องปล่อย นครอายหน้าแดง
“จนปานนี้ยังจะอายอีกหรอ” มาโปรดกล่าวเบาๆ หอมแก้มอีกฟอดใหญ่ แล้วดึงคนข้างหน้ามานั่งบนตัก
“ระวังหน่อยซิครับ เดี๋ยวคนอื่นเห็น ผมอายเขานะ”
“พี่ไม่อาย พี่ยอมรับว่าพี่รักน้องคนนี้ พี่รักสุดหัวใจ หัวใจดวงนี้อยู่กับคนนี้แล้ว แล้วคนนี้รักพี่บ้างไหม” คนที่นั่งภายในอ้อมกอดหอมเบา ๆ ที่ใต้คางคนพูด
“อือ พี่ถือว่านี้คือคำตอบนะ” คนที่อยู่ในอ้อมโผเข้ากอดร่างหนานั้น แล้วล้มตัวกลิ้งตัวลงบนพื้น
“พอแล้วครับ เราเดินทางต่อเถอะ คิดถึงพ่อกับแม่” นครลุกขึ้นนั่ง
“หึ ยังไม่อยากไปไหนเลย อยากอยู่ตรงนี้นาน ๆ จัง” คนตัวใหญ่ยังคงนอนกลิ้งไปมา
“ไม่เอา ผมอยากกลับไปหาพ่อแม่ เจ้าชัย เจ้าเช้ง พี่ภูมิ ปานนี้มิรู้เป็นยังไงบ้าง ลุกได้แล้ว”
“หึ อยากนอนอยู่นี้ก่อน” เมื่อโดนปฏิเสธ ใบหน้าที่ยิ้มก็หุบลงทันที มองหน้าคนนอน คนที่นอนอยู่ก็มองตอบ
“ก็ได้” ล้มตัวลงนอนข้าง ๆ เอาแขนคนนอนอยู่ก่อนแล้วมาหนุนต่างหมอน มาโปรดโอบเอวคนที่นอนข้างเจ้ามาหาตัวเอง แล้วหอมแก้มคนที่นอนข้าง ๆ
“อือ ไม่เอา นอนเฉย ๆ” นครปัดป้อง
“กลับไปถึงบ้าน ขอนอนกอดเต็มที่หน่อยนะ ห้ามหายไปอีก พี่ไม่ยอมแน่”
“ได้หรอครับ คริตมีคำสั่งออกมาแล้ว ให้ลงใต้ไปช่วยพี่บังเลาะห์” นครสาธยายเจี้ยแจ้ว
“ไม่ให้ไป จะให้สองคนนั้นไป” มาโปรดลุกขึ้นนั่งมองหน้า นครลุกตาม
“อาว มันเป็นงานนี้ครับ ผมกินเงินเดือนเขานะ แล้วสองคนนั้นเขาก็ยังไม่ได้ปลดประจำการ จะให้ขาดราชการไปหรอ” นครเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
“ยังไงพี่ก็ไม่ให้ไป” ว่าแล้วก็เดินกลับไปที่รถ นครมองตาม ใครกันแน่ที่ดื้อ
“ครับ ๆ จะบอกคริต” นครถอนหายใจ แล้วตามขึ้นรถ มุ่งหน้ากลับเหนือไป เหลือบมองหน้าคนขับที่อารมณ์ดีขึ้นมา
“กลับถึงบ้านอยากทานน้ำพริกหนุ่มนคร”
“เฮ้อ ให้ไอ้เช้งทำให้ทานดีกว่าผมไม่อยากตาย แม้จะกินกันได้ไง” นครค้อน
“อะไร แค่นี้ค้อน แม้ทีคนอื่นนี้ ทำกับเขาดีอย่างนั้นอย่างนี้ พอทีพี่นี้ไม่เลย น่าน้อยใจจัง” นครยิ้มหันกลับมามอง
“น้อยใจด้วย อือ เดี๋ยวให้กลับถึงบ้านก่อน” นครเอนเบาะลงนอน