ตอนที่ 17 : ความฝัน 2/2 ไอ้ต้นยิ้มกริ่มเมื่อเห็นร่างสูงของจีเดินตามหลังผมเข้ามา สีหน้าของมันสื่อความในใจได้อย่างชัดเจน ‘กูว่าแล้ว’ ... ร้านนี้เป็นร้านที่อยู่ไม่ไกลจากมหาลัยมากนัก คนที่มาส่วนมากเลยหนีไม่พ้นเด็กมหาลัยผม
“มิลค์ เดียวกูไปนั่งตรงบาร์” คงเป็นเพราะเสียงเพลงที่ดังพอสมควร ทำให้จีโน้มตัวจากด้านหลังมากระซิบอยู่ข้างหู ลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดต้นคอ ทำให้ผมรู้สึกวูบไหว ไม่เป็นตัวของตัวเอง
“จะดีเหรอวะ” พอหันกลับไปถาม ... ผงะจนต้องก้าวเท้าถอยออกมาอีกก้าวสองก้าว เราอยู่ใกล้ชิดกันมากกว่าที่คิด
“ดีดิ มึงจะได้ไปสนุกกับเพื่อน ... เดียวกูกินขนมรอ” จีคลายยิ้ม
“เพิ่งกินข้าวมาจะกินไหวเหรอ”
“กินนิดหน่อย สบายมาก ... มึงเต็มที่ได้เลย” พูดจบมันก็พลักหลังให้ผมเดินไปหากลุ่มเพื่อน ในขณะที่มันเดินแยกไปนั่งคนเดียวที่บาร์
“แก้ว เมื่อเย็นใครพูดวะว่าจะมาคนเดียว” เสียงกระแนะกระแหนของไอ้ต้นดังขึ้นเมื่อผมเดินมาถึงโต๊ะ
“นั้นนะซิ มิลค์แกรู้ไหมว่าใคร” แก้วหันมาถามด้วยสีหน้าไร้เดียงสา... เออ มีความสุขกันเข้าไปเลยนะพวกมึง
“กูเองแหละที่พูด พวกมึงเลิกแซวได้ยัง” ผมเริ่มเสียงดังกลบเกลื่อนความเขิน
“แหมมมมมม เขินแล้วทำมาเป็นโมโหกลบเกลื่อน” ไอ้ต้นยังไม่วายแซวต่อ
“ไหนเล่ามาซิว่าทำอีท่าไหนมันถึงตามมาเฝ้ามึงได้” แก้วถามด้วยความอยากรู้
“ไม่ได้ทำอะไร จีมันว่างก็เลยมาด้วย” ผมตอบแบบขอไปที
“จะบอกว่าสวยมากกกกกก อยู่เฉยๆ ก็มีผู้ชายขอตามมาเฝ้างี้” ต้นเสริมด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“จะล้ออะไรมากวะ มันมาก็ดีแล้วไง กูจะได้กินเหล้ากับพวกมึงได้”
“มึงว่ามันไม่แปลกเหรอวะ" แก้วกระซิบพลางขยับเข้ามาใกล้ ทำท่าเหมือนเราสองคนกำลังคุยเรื่องลับลมคมใน
"อะไรแปลก" ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่ามันต้องการจะสื่ออะไร
"มึงกับจี" มันเฉลย
"แปลกอะไร ไม่เห็นมีอะไรแปลก"
"ถามจริง ... เป็นแฟนกันปะ?"
"บ้า!!! ไม่ได้เป็น ... เป็นเพื่อน เพื่อนสนิท ..." ผมเน้นย้ำคำว่าเพื่อนสนิท แต่มันก็ยังคงจ้องมองมาด้วยสายตาที่เหมือนกำลังชั่งใจว่าผมกำลังพูดความจริงหรือไม่
"... ทำไมพวกมึงชอบแซวกูกับจีจังวะ" ผมถามด้วยความสงสัยระคนหงุดหงิด
"ก็พวกมึงเหมือนแฟนกัน ..." ไอ้ต้นพูดแทรก
"... ขนาดไอ้ต่อยังรู้สึก" สายตาของผมเลื่อนไปยังไอ้ต่อที่นั่งอยู่ข้างๆ ต่อมันเป็นคนซื่อๆ มองโลกในแง่ดี ไม่ค่อยสนใจเรื่องชาวบ้าน
"ก็เหมือนแฟนกัน" มันตอบก่อนจะยกแก้วเบียร์ในมือขึ้นมาจิ๊บ
"เห็นไหม ขนาดไอ้ต่อยังคิด มึงก็ควรจะรู้สึกอะไรบ้างเปล่าวะ" ไอ้ต้นเสริม
"ไม่มีอะไร สาบาญได้ว่าเพื่อนกัน" ผมยืนยันหนักแน่น
"งั้นมึงฟังนะว่ากูเข้าใจเหตุการณ์วันนี้ถูกไหม ..." ไอ้แก้วเข้ากอดคอผมแน่น มันถามพลางมองไปยังจีที่นั่งกินขนมอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่หน้าบาร์
"... มันมารับมึงไปกินข้าวถูกไหม ..." ผมพยักหน้า
"... มันรู้ได้ไงว่ามึงสอบวันสุดท้ายวันนี้"
"กูน่าจะบอกมันไปมั้ง คุยกันวันก่อน กูจำไม่ได้ว่าบอกมันหรือเปล่า"
"คือมันไม่แปลกนะที่มึงจะพูดเรื่องอะไรพวกนี้ แต่มันแปลกที่มันจำรายละเอียดได้ เรื่องมันเล็กน้อยมากแต่จีมันจำได้ ถ้าไม่ใช้เพราะความจำดีมาก ก็คือใส่ใจมาก"
"แปลกอะไร กูยังรู้เลยว่ามันสอบเสร็จวันไหน" ผมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่จะจำวันสอบของเพื่อนสนิทตัวเองได้สักหน่อย... แต่พวกมันทั้ง 3 คนกลับมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ราวกับผมพูดอะไรที่น่าตกใจออกไป
"แล้วของเพื่อนมึงคนอื่นมึงรู้ไหมว่ามันสอบเสร็จวันไหน"
"ไม่รู้ กูไม่ได้คุยกับพวกมัน" ผมส่ายหัว
"นี่ไง ที่พูดมาเมื่อกี้ มึงไม่รู้สึกว่ามันแปลกเหรอวะ"
"ก็ไม่เห็นมีอะไรแปลก" เมื่อได้ยินคำตอบ ไอ้ต้นที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกรอกตาเป็นเลข 8
"หนึ่งเลยนะ มึงสองคนจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของกันได้ สองคือมึงคุยกับไอ้จีบ่อยมาก มากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่ม" ผมคิดตามที่แก้วอธิบาย ... อืม ถูก ... แล้วมันแปลกตรงไหนวะ
"ก็เพื่อนสนิทกันไง" ผมยังคงยืนยันคำตอบเดิม
"โอ้ย!!! นี่มึงกวนตีนกูปะ" แก้วทึ้งผมตัวเองก่อนจะส่งสายตาอาฆาตมาทางผม
"ไม่ได้กวนตีน กูพูดความจริง"
"นี่มึงโง่จริง หรือแกล้งโง่เนี่ย ..."
"... เอาใหม่ๆ วันนี้มันมารับมึงไปกินข้าว แล้วแทนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน มันกลับตามมึงมาเฝ้ามึงที่ร้านเหล้า ถูกไหม..." ผมพยักหน้า
"... มันให้เหตุผลว่าอะไร"
"ขากลับมันจะขับรถให้ กูจะได้กินเหล้ากับพวกมึงได้เต็มที่"
"อืมมมมมมม ... แล้วไงต่อ ส่งมึงเสร็จแล้ว มันก็นั่ง Taxi กลับ ?"
"ยังไม่ได้ถามแต่มันน่าจะค้างกับกูนะ"
"ค้างคืนด้วย!!!" ดวงตาของแก้วเบิกกล้างราวกับไข่ห่าน ... ผมไม่เข้าใจว่าพวกมันจะตกใจอะไร เพื่อนสนิท ค้างคืนด้วยกันก็เป็นเรื่องปกติปะ ?
"แปลกไรวะ มันค้างออกจะบ่อย ที่ห้องกูมีของใช้ส่วนตัวมันครบ" ช่วงหลังๆ มานี้ วันเสาร์อาทิตย์จีมาค้างคอนโดผมบ่อย จนในห้องของผมมีของใช้ส่วนตัวของจีหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นแปรงสีฟัน ชุดนอน ชุดไปรเวท
"ไม่แปลกยังไงวะ แฟนกันชัดๆ" ไอ้ต้นพูดแทรก
"อิต้น อย่าเพิ่งแทรกกู ... แล้วพรุ่งนี้ไงต่อ" แก้วรีบขัด เหมือนมันอยากฟังผมเล่าทั้งหมดแล้วรวบยอดทีเดียว
"ก็ไม่ยังไง พรุ่งนี้ กว่าจีจะตื่นก็บ่ายๆ มั้ง กินข้าวกลางวันก่อนแล้วค่อยขับไปส่งมันที่บ้าน แต่ถ้าส่งตอนเย็นๆ ก็คงกินข้าวเย็นกับที่บ้านจี" ผมเล่ากิจวัตรประจำวันในวันหยุดของเราให้พวกมันฟัง เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ถ้าวันไหนจีมานอนข้างคืน วันถัดไปเราจะกินข้าวกลางวันด้วยกัน แล้วถ้าเวลาลงตัว เราอาจจะกินข้าวเย็นด้วยกันอีกมื้อ ก่อนที่ผมจะขับรถไปส่งจีที่บ้าน แล้วค่อยแยกย้ายกันไปเรียนในวันรุ่งขึ้น
"สรุปคือตั้งแต่ออกมาจากห้องสอบ มึงกับมันจะตัวติดกันไปอีกอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ถูกไหม ..." ผมครุ่นคิดตามคำถามของแก้ว บวกลบคูณหารเวลาในใจ ก่อนจะพยักหน้า จริงๆ ก็ไม่แน่ใจว่าพรุ่งนี้จีจะกลับไปนอนบ้านไหมหรือจะค้างกับผมอีกคืน แล้วค่อยกลับบ้านทีเดียววันอาทิตย์
"... อิมิลค์ ถ้าจะตัวติดกันขนาดนี้ เรียนจบแล้วมึงก็แต่งกับมันเลยเถอะ" แก้วพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายระอาใจ
"เพ้อเจ้อ พวกมึงอะคิดมาก กูบอกแล้วไงว่าเพื่อนสนิท ไม่มีอะไรมากกว่านั้น กูกับจีก็ตัวติดกันแบบนี้มาตลอด" ผมยกแก้วเหล้าในมือขึ้นมาดื่ม ไม่ได้เอาเรื่องที่พวกมันพยายามจับคู่ผมกับจีมาคิดให้เมื่อยสมอง
"มันปกติของแก แต่ไม่ปกติของคนอื่นไง ... กูเข้าใจว่าจีคือเพื่อนสนิท แต่มันไม่มีเพื่อนสนิทที่ไหนทำกันแบบนี้ ... นี้มันแฟนกันชัดๆ"
"กูไม่รู้จะอธิบายพวกมึงยังไง คือกูกับมันเป็นเพื่อนกันจริงๆ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น"
"เออ เพื่อนก็เพื่อน กูพูดขนาดนี้แล้วมึงจะคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติก็เรื่องของมึงแล้ว" บทสนทนาของพวกเราจบลงด้วยแววตาของแก้วที่มองผมอย่างสมเพศ แล้วผมก็ปล่อยให้คำพูดทั้งหมดของเพื่อนๆ ลอยหายไปกับเสียงเพลงและบรรยากาศครึกครื้นของการเลี้ยงฉลองปิดเทอม
...
"โคตรเหนื่อยยยยยยย" ผมอดที่จะบ่นออกมาไม่ได้เมื่อก้าวขากลับเข้ามาในห้อง
"แค่นี้เอง บ่นอะไรวะ" จีที่เดินตามหลังเข้ามาพูดขึ้น ในขณะที่เจ้าตัวกำลังถอดรองเท้าเก็บเข้าตู้อย่างคุ้นชิน
"มึงลากกูออกไปตั้งแต่ 10 โมง ตอนนี้กี่โมงแล้วช่วยดูเวลาด้วย" ผมหันกลับไปมองค้อน
"6 โมงไง นาฬิกามึงตายเหรอ"
"ก็ใช้ไง 6 โมง ... คนบ้าอะไรวะใช้เวลาเลือกรองเท้าคู่เดียวเกือบ 4 ชั่วโมง" ฟังไม่ผิดหรอกครับ จีมันใช้เวลาในการเลือกรองเท้าคู่เดียวนานขนาดนั้นจริงๆ ดูมันทุกร้าน ลองมันทุกรุ่น กว่ามันจะได้คู่ที่ถูกใจ ผมนี่เดินจนขาลาก
"เอาน่า อย่าบ่นให้มากนัก เดียวเย็นนี้เลี้ยงข้าวเย็น" มือหนาขยี้ลงบนศรีษะของผม ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้าห้องนอนของผมราวกับห้องนอนของตัวเอง
"คืนนี้มึงค้างกับกูเปล่า" ผมถามขณะที่เดินตามหลังจีเข้ามาในห้องนอน มันเอาถุง shopping วางไว้ปลายเตียง ถอดนาฬิกาวางไว้บนโต๊ะเรียนหนังสือพร้อมกับกระเป๋าตังค์และโทรศัพท์มือถือ ก่อนที่จะทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น
"ค้างไม่ได้วะ พรุ่งนี้มีธุระกับที่บ้าน"
"ได้ กินข้าวเย็นเสร็จแล้วเดี๋ยวกูไปส่ง" ผมหย่อนตัวลงข้างเพื่อนสนิท ขอเหยียดขาให้หายเมื่อยหน่อยเถอะ
"มึงไม่ต้องส่งก็ได้ เดียวกูกลับ taxi"
"บ้า แค่นี้เอง ไปส่งได้ ... ว่าแต่เย็นนี้แดก pizza นะ ไม่ได้แดกนานแล้ว" ผมรีบเสนอเมนูโปรด
"มึงแม่งแดกแต่ junk food ระวังจะมีพุง"
"ไอ้จี!!! กูเจ็บไหม หยิกมาได้" ผมโวยที่อยู่ๆ มันก็ยื่นมือมาหยิกพุง ... หยิกซะแรงเลยไอ้เหี้ย!!! ... โรคจิตอย่างหนึ่งของจีคือหากเราคุยกันเรื่องความอ้วนเมื่อไหร่ มันเป็นอันต้องหยิกพุงของผมทุกครั้ง
"เออ ตามใจมึง จะสั่งเลยไหม"
"สั่งเลยก็ได้นะ"
"Sea food cocktail เหมือนเดิม?" มันถามขณะที่ผมนอนเอกเขนกอยู่บน bean bag
"เหมือนเดิม" ผมตอบ
มันไม่ตอบอะไรกลับ อันเป็นเรื่องเข้าใจตรงกันว่าจีรับรู้ เจ้าตัวจัดการสั่ง pizza ให้เรียบร้อย ส่วนผมก็กลิ้งไปกลิ้งมารอกิน pizza ซอส thousand island ของโปรด
“จี กูถามมึงหน่อย ... มึงอยากได้เกียรตินิยมไหม”
“อยากดิ ใครบ้างไม่อยากได้วะ”
“คือ ... กูไม่รู้ว่ากูอยากได้ไหม ...”
“... บางครั้งกูรู้สึกเหมือนตัวเองหลงทางวะ ...”
“... กูเข้ามหาลัยในฝันได้แล้ว ฝันของกูตลอด 4 ปีเป็นจริงแล้ว และกูก็ควรจะตั้งใจเรียนใช่ไหม แต่พอคิดถึงเรื่องนั้น ... กูไม่รู้ว่าควรจะฝันอะไรต่อ”
“เกรดมึงถึงอันดับหนึ่งเลยไม่ใช้เหรอ”
“อืม” ผมตอบพลางพลิกตัวนอนหงาย สายตาจับจ้องอยู่ที่แสงไฟระยิบระยับจากโคมระย้าที่ห้อยอยู่กลางเพดานห้อง
“มึงคิดแบบนั้นไม่ได้เว้ย เกรด ป.ตรี สูงๆ จะทำให้มึงสามารถไปเรียนต่อที่ไหนก็ได้ ...”
“... แม้ว่าสุดท้ายแล้วมึงจะกลับไปรับช่วงต่อบริษัทของที่บ้าน แต่ในอนาคต มึงก็หนีไม่พ้นที่จะต้องเรียนต่อ อาจจะเป็นสัตวแพทย์หรือบริหาร ไม่สาขาใดก็สาขานึง เพราะฉะนั้นตอนนี้มึงมีโอกาส มึงต้องคว้าเอาไว้”
คำพูดของจีทำให้ความคิดของผมล่องลอยไปไกลแสนไกล ความฝันในวัยเด็กของผมคือการได้เป็นสัตวแพทย์ แต่พอโตขึ้นผมกลับต้องเผชิญกับความจริงว่า สุดท้ายแล้วผมไม่มีโอกาสแม้แต่จะใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาในการรักษาสัตว์เหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ ... พ่อกำลังวางแผนที่จะสร้างสำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพฯ และย้ายกลับมาอยู่ถาวร เส้นทางการสืบทอดธุรกิจของครอบครัวเริ่มถูกพูดถึงมากขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยที่ไม่เคยมีใครถามความคิดเห็นของผมเลยแม้แต่น้อย ถึงตอนนี้ทุกอย่างจะเป็นแค่เค้าลาง แต่ผมก็มองเห็นภาระหนักอึ้งอยู่ตรงหน้า ความกลัวและความกังวลที่ถาโถมเข้าใส่ตลอดช่วงระยะเวลาหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ผมรู้สึกเครียดและกดดันอยู่ไม่น้อย ... และแน่นอนว่าทุกความรู้สึกถูกบอกผ่านให้คนข้างๆ ได้รับรู้
กำลังเคลิ้มใกล้จะหลับ แต่โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างตัวกลับสั่นเตือนพร้อมเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้า นิ้วมือเรียวสวยคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดู ... คิ้วของผมขมวดเข้าหากัน เมื่อเห็นว่าชื่อผู้ส่งข้อความนั้นมาจากคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยความสงสัย ผมกดเปิดอ่านข้อความจากเพื่อนสนิททันที
“G”
Happy birthday to my dear very best friend. I don't know what to give you on this special day. The only thing I can think of is my promise to you that I will keep our friendship before everything, nothing will ever make us apart and I will always stay by your side until the end of time. The only thing I would ask you in return is ... Milk, will you stay with me forever?.
“Milk”
I will,
forever and ever.
I promise, no one shall ever take your place.
"มึงจำได้" พอพลิกตัวกลับมาถึงได้เห็นว่าสายตาของเพื่อนสนิทจับจ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว ... ผมเหมือนถูกสายตาของจีสะกดไว้ ไม่สามารถละสายสายตาออกจากดวงตาคู่สวยของจีได้ ... เรา 2 คนสบตากันท่ามกลางความเงียบ
"จำได้ดิ วันเกิดเพื่อนสนิทกูทั้งคน" ใบหน้าหล่อเหลาระบายรอยยิ้มอบอุ่นออกมา และเป็นอีกครั้งที่หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะ
"ขอบคุณนะ ... มึงเป็นคนแรกของวันที่อวยพรวันเกิดกูเลย ..." รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวย พร้อมกับหยาดน้ำตาใสๆ ที่เริ่มเอ่อคลออยู่ตรงหางตา... นิ้วมือของเพื่อนสนิทค่อยๆ เอื้อมมาเกลี่ยหยดน้ำตานั้นออกให้อย่างอ่อนโยน
"... อะไร" ผมถามเมื่อจียื่นนิ้วก้อยมาตรงหน้า
"เกี่ยวก้อยสัญญา..."
"... มึงสัญญาแล้วนะ" แม้จะขำกับพฤติกรรมเด็กๆ ของมัน แต่ผมก็ยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวกับนิ้วก้อยของจีเอาไว้
"เด็กสัส ... เออ กูสัญญา" ผมพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม เป็นอีกครั้งที่หัวใจของผมฟูฟ่องเพราะการกระทำของคนข้างๆ ... พูดได้เต็มปากเลยว่าวันเกิดปีนี้คือวันเกิดที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของผม ... ไม่ต้องมีเค้กวันเกิด ไม่ต้องมีของขวัญ ไม่ต้องมีงานเลี้ยงหรูหรา ขอแค่มีจีอยู่ข้างๆ แค่นี้ก็มากเกินพอแล้ว
“กูคิดออกแล้ว ...” จีพูดขึ้นในขณะที่ยังเคี้ยว pizza อยู่เต็มปาก นิ้วมือข้างหนึ่งยังเลอะซอสมะเขือเทศสีแดง เรา 2 คนนั่งกินมื้อเย็นด้วยกันบนโซฟาห้องนั่งเล่น ภาพตรงหน้าคือวิว panorama ของเมืองหลวง แสงไฟจากตึกสูงตัดกับฉากหลังสีดำของท้องฟ้ายามค่ำคืนได้อย่างลงตัว ผมขมวดคิ้ว เพราะไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร
“... เรื่องที่มึงต้องกลับไปรับช่วงต่อ กูคิดออกแล้วว่าต้องทำยังไง” ผมพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น รีบเคี้ยวๆๆ แล้วกลืน pizza ลงคอ
“ทำไงวะ”
“เรียนต่อ มึงจบ ป.ตรี แล้วบอกพ่อว่าเรียนต่อ ป.โท ระหว่างนี้มึงก็เป็นสัตวแพทย์รักษาสัตว์ได้”
“แต่มันก็ได้ไม่กี่ปีหรือเปล่าวะ” จีมองเห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหวังของมิลค์ค่อยๆ เจือนหายไปจากใบหน้าสวย ในใจของเพื่อนสนิทรู้สึกสั่นไหวกับภาพตรงหน้า ... สำหรับจีแล้ว มิลค์เป็นคนที่เพียบพร้อมไปหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา นิสัยใจคอ การเรียน หรือแม้แต่ฐานะ และเขาก็ดูออกตั้งแต่ตอนนี้เลยว่าในอนาคตมันจะต้องประสบความสำเร็จอย่างมากในเรื่องหน้าที่การงาน แต่ทั้งหมดนี้ต้องแลกมากับทุกอย่างที่เจ้าตัวต้องแบกรับ ... จีสงสารเพื่อนรักจับใจ ในวันที่เจ้าตัวโทรมาร้องไห้ฟูมฟาย บอกว่าถึงเรียนจบก็ไม่ได้เป็นสัตวแพทย์ ไม่ได้ทำอาชีพที่ใฝ่ฝัน เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าต้องกลับไปรับช่วงต่อกิจการของพ่อ
“มันก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลยหรือเปล่าวะ ... กูไม่อยากพูดให้มึงคิดมาก แต่มึงก็รู้ว่าช้าเร็วมึงต้องกลับไป ... อย่างน้อยมันก็เป็นช่วงเวลา 2-3 ปีที่มึงได้เป็นสัตวแพทย์ ได้รักษาสัตว์ตามที่มึงฝันไว้ ...” ผมคิดตามที่จีพูด พอคิดว่าตัวเองได้รักษาสัตว์ หัวใจมันก็เริ่มกลับมาพองฟูอีกครั้ง
“... แต่ที่สำคัญคือมึงต้องตั้งใจเรียน เก็บเกรดดีๆ ไว้ จะได้เรียนทุกอย่างที่มึงอยากเรียน” จีเสริมด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ได้ กูจะทำตามที่มึงบอก ...” แม้จะไม่ได้ทำในสิ่งที่ฝันไว้ 100% แต่การได้รักษาสัตว์แม้จะแค่ไม่กี่ปีก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
“... ไอ้เหี้ยจี !!! มือมึงเลอะอยู่ไหม อีเหี้ย!!!” ซึ้งยังไม่ทันข้ามนาที ผมก็ต้องแยกเขี่ยวใส่คนตรงหน้าที่อาศัยจังหวะเผลอ ขยี้มือลงบนหัวของผมอย่างคุ้นเคย ... ใช่ มันใช้มือข้างที่เลอะซอสมะเขือเทศนั้นแหละ ขยี้หัวผม ... ไอ้เพื่อนเลววววว!!!
----------
มิลค์ : อนาคตมีแต่ความไม่แน่นอน สิ่งที่เราทำได้มีเพียงทำวันนี้ให้ดีที่สุด จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือมีเพื่อนช่วยคิด
#คำสัญญา #เกี่ยวก้อย #Iwill
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน