Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 29 : คืนไร้ดาว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 29 : คืนไร้ดาว  (อ่าน 16225 ครั้ง)

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
“จี ตักไข่ลูกเขยให้อามิลค์ ...”

“... น้ำราดด้วย”

ป๊าบ!!!

“โอ้ยม๊า!!! ก็ตักให้อยู่ไง”

“ตักดีๆ ลื้ออย่างแกล้งเพื่อนแบบนั้น”


----------

มิลค์ : รู้ซะบ้างว่าใครลูกรัก ใครถูกเก็บมาเลี้ยง จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือจานข้าวกลายเป็นชามน้ำแกง

#ไข่ลูกเขย #ลูกรักคนใหม่
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-07-2025 19:23:05 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนพิเศษที่ 1 : บายศรีคืนนั้น by Ice

ผมยืนพิงเสาแอบมองพวกมัน 2 คนจากมุมตึก มิลค์นั่งขัดสมาธิต่อแถวเป็นคนถัดไป ด้านหลังมีน้องทั้งผู้หญิงผู้ชายอีก 2-3 คน ในจินตนารการของผมคือมีหางจิ้งจอกขนาดใหญ่งอกออกมาจากไอ้จี ทันทีที่ไอ้มิลค์ขยับตัวเข้าไปนั่งอยู่ตรงหน้า ผมเห็นไอ้จีทำเป็นเนียนๆ เอาถุงสายสิญจน์ไปซ้อนไว้ด้านหลัง มันเบี่ยงตัวไปพูดอะไรซักอย่างกับน้องๆ ที่นั่งต่อแถวอยู่หลังไอ้มิลค์ น้องๆ ทำท่าทางเสียดาย แต่สุดท้ายก็ลุกออกไปแต่โดยดี ผมหลุดหัวเราะในลำคอเมื่อประติดประต่อเรื่องราวได้ทั้งหมด แม่งเอ้ยยยยยย!!! มันไม่แม้แต่จะพยายามซ้อนความรู้สึกของตัวเองด้วยซ้ำ

เออออออ ทำตัวราวกับทั้งโลกเหลือกันอยู่ 2 คน ไม่ต้องสนใจหรอกว่ารอบข้างมีแต่คนแอบชำเลืองมองพวกมึง 2 คนทั้งนั้น คนหนึ่งก็ยิ้มหวานหยาดเยิ้ม คนนึงก็ทำเป็นเท่ห์นั่งนิ่งๆ คิดว่าตัวเองเป็นพระนายในซีรี่ย์เกาหลีมั้ง

“ไอ้เหี้ย!!” ผมหลุดอุทาน เมื่อไอ้จีคว้ากรรไกรออกมาตัดสายสิญจน์จากข้อมือของไอ้มิลค์ทั้ง 2 ข้าง แล้วกวาดเอาเศษสายสิญจน์ทิ้งลงถุงแบบไม่ใยดี

ไอ้เหี้ยจี ไอ้คนเจ้าเล่ห์ ไอ้คนเจ้าวางแผน คนอย่างมันต้องคิดแผนนี้ไว้แล้วแน่ๆ ตั้งใจจะประกาศชัดต่อหน้าทุกคนเลยซินะว่าพวกมึงไม่ใช่แค่เพื่อนกัน เห่ออออ ถ้ามึงจะทำขนาดนี้ มึงเขียนป้าย ‘ของกู ... จี’ ห้อยคอไอ้มิลค์ไว้เลยก็ได้ ส่วนไอ้เหี้ยมิลค์นี่ก็แปลก นั่งนิ่งเป็นตุ๊กตา ไม่ห้าม ไม่ขัดขืน ... ไอ้ฉิบหาย!!! หรือว่าไอ้มิลค์จะมีใจให้มันเหมือนกันวะ

แล้วนั้นอะไร เป่าสายสายสิญจน์ ไอ้เหี้ยยยยยยยย คนก่อนหน้ากูไม่เห็นมึงจะละมุนขนาดนี้ พอมาเป็นไอ้มิลค์เป่าให้หายร้อนก่อน ... 2 มาตรฐานฉิบหาย

เออ!!! เอาเข้าไป ไอ้โมเมนต์ยิ้มหวานแล้วจ้องตากันภายใต้แสงเทียนนี่มันคืออะไร!!!
โอ้ยยยยยยยยยยยยย หมันใส้พวกมันโว้ยยยยยยยย


----------

มิลค์ : ว๊ายยยยย มีคนอิจฉา จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือเบ้ปากมองบน

#บายศรี #ใต้แสงเทียน #2มาตรฐาน
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ปล. สัปดาห์นี้มีตอนพิเศษ 2 ตอนนะครับ  :katai2-1:

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เรา 2 คนนั่งคุกเขาอยู่บนพื้น ในมือของเพื่อนสนิทมีถุงกระดาษขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่ม๊าเตรียมไว้ให้สำหรับใส่บาตรตั้งแต่เมื่อคืน ... เมื่อพระภิกษุเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า มือหนาของจีก็ล้วงของในถุงส่งให้ผม ผมรับมาก่อนจะค่อยๆ ใส่ของเหล่านั้นลงในบาตร ใส่ของไปได้ครึ่งหนึ่งผมก็สลับหน้าที่กับจีบ้าง เดียวเราจะได้บุญไปไม่เท่ากัน ... ใส่บาตรเสร็จเรา 2 คนพนมมือขึ้นพร้อมกันเพื่อรับพร



----------


มิลค์ : ทำบาปมาเยอะเลยขอเติมแต้มบุญสักหน่อย จากน้องมิ้ลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือมีคนมาทำบุญร่วมกัน

#ทำบุญ #ร่วมชาติ
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนพิเศษที่ 2 : บายศรีคืนนั้น (อีกนิด) by Ice

“มึงเล่นใหญ่ขนาดนั้น อายบ้างไหมวะ” ผมถามเมื่อตอนนี้เหลือแค่เรา 2 คนที่ช่วยกันยกอุปกรณ์มาเก็บในห้องเก็บของ

“เสือก” จีตอบกลับมาหน้านิ่งๆ

“หางโผล่แล้วนะมึง” อดไม่ได้จริงๆ วะ ขอแซะซักหน่อยละกัน

“เสือก” เอออออ เอากับมันซิ

“แล้วคืนนี้เอาไง กลับหรืออยู่” ผมถามเพราะตอนนี้ 5 ทุ่มกว่าแล้ว ถ้ามีแค่มัน ผมก็พอเดาได้ว่ามันคงกลับบ้านเพราะผมก็ตั้งใจจะกลับเหมือนกัน แต่พอเห็นโมเมนต์ของพวกมันแล้วเลยชักไม่แน่ใจ

“อยู่ กูบอกมิลค์ไว้แล้วว่าคืนนี้จะโต้รุ่ง”

“จะนั่งคุยกัน 2 คนยันเช้า? มึงกะจะไม่ปล่อยให้คนอื่นทำคะแนนบ้างเลยหรือไง”

“เสือก”

“งั้นกูอยู่ด้วยคนดิ กลับบ้านไปก็นอนเหงาๆ คนเดียว อยู่กับพวกมึง เม้าท์มอยนินทาคนอื่นยันเช้าดีกว่า”

“เสือก” พูดจบมันก็ก้าวยาวอยากไป ทิ้งให้ผมอยู่คนเดียวในห้องมืดๆ ที่มีแต่กลิ่นอับชื้น ... ไอ้ฉิบหาย คืนนี้คืนเดียวกูถูกไอ้จีด่าว่าเสือกรวดเดียว 4 ครั้งเลยเหรอวะ

“ตกลงคืนนี้มึงสองคนโต้รุ่งจริง ๆ เหรอวะ” ผมตะโกนขึ้น เมื่อยังได้ยินเสียงฝีเท้าของมันอยู่ไม่ไกล

“เสือก” อ้าวไอ้เหี้ยยยยยยยยยย!!! ตกลงว่ากูโดนด่าคืนเดียว 5 ดอกติดกันเลยเหรอวะ



ในห้องนอนที่เกือบจะมืดสนิท มีเพียงไฟจากภายนอกจางๆ ที่ส่องผ่านผ้าม่านเข้ามาเท่านั้น ผ้าห่มถูกเลิกออกจากตัวด้วยอารมณ์หงุดหงิด สุดท้ายผมก็ต้องลุกขึ้นมากินน้ำให้ใจรู้สึกเย็นลง

โอ้ยยยยยยยย!!! มือทั้ง 2 ข้างยกขึ้นมาทึ้งผมตัวเองด้วยความฉุนเฉียว ไอ้เหี้ยยยยยยย กูนอนไม่หลับเพราะภาพเป่าข้อมือมันติดตามาจนถึงตอนนี้ … หมันใส้พวกมันฉิบหาย ... คอยดู พรุ่งนี้กูจะไปคิดบัญชีกับพวกมัน 2 คน


----------


มิลค์ : น้องนอนไม่หลับ หัวใจมันกระสับการส่าย จากน้องมิ้ลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือสมน้ำหน้าคนขี้เผือก

#สมน้ำหน้า #เผือก
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 17
«ตอบ #64 เมื่อ26-07-2025 10:34:39 »

Teaser ตอนที่ 17


“เพื่อนมึงเหรอ” แก้วถามในขณะที่เราเดินเข้ามาในตึก

“อืม เพื่อนสนิท”

“หล่ออะ โคตรหล่อ ... จีบได้ปะ มีแฟนยัง” แก้วเอาไหล่มากระแซะต้นแขนอย่างมีเลศนัย อย่าได้คิดว่าคนที่จบโรงเรียนหญิงล้วนมาจะต้องนั่งพับเพียบเรียบร้อย ร้อยมาลัย เพราะแก้วพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช้ คนบ้าอะไร พูดคำหยาบ กินเหมือนพายุ แถมยังชอบหยอดผู้ชายไปทั่ว

“เพ้อเจ่อ” ผมรีบขยับตัวหนีให้ห่าง

“หวงเหรอ” แก้วยังคงตามตอแยไม่เลิก

“หวงบ้าอะไร เพื่อนสนิท” ผมเน้นย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“จ๊ะ เพื่อนสนิทก็เพื่อนสนิท เนอะพวกมึง” แก้วหันไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ... ผูกไทด์ให้กันด้วยจังหวะ romantic ขนาดนั้น อย่างว่าแต่พระเลยอมมาทั้งโบสถ์ก็ไม่มีใครเชื่อ

“กับแก้วนี่ยิ้มแย้ม กับพวกกูสีหน้าอย่างตึง ไม่หวงก็บ้าแล้ว” ไอ้ต้นรีบผสมโรง

“จะไปคาดคั้นทันทำไม เขาบอกว่าเพื่อนสนิทก็เพื่อนสนิทซิ...” ถูกต้องแล้วไอ้ต่อ พูดคำเดียวให้มันรู้เรื่องบ้าง

“... เพื่อนสนิทท้องติดกัน มึงเคยได้ยินไหม 555” ไอ้พวกเพื่อนเชี่ย!!!

“เออ!!! เรื่องของพวกมึง ... กูจะเข้าห้องเรียนแล้ว” ผมตัดบท รีบเดินหนีเข้าห้องเรียนดีกว่าอยู่ต่อให้โดนแซวไม่เลิก


----------


มิลค์ : เจอกันวันพรุ่งนี้ครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติ่มคือเปิดเทอมแล้ว

#แค่เพื่อนสนิทครับ #แซวแรง
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-07-2025 10:44:46 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime ตอนที่ 17 : ความฝัน 1/2
«ตอบ #65 เมื่อ27-07-2025 12:45:22 »

ตอนที่ 17 : ความฝัน 1/2

เปิดเทอม ผมกับเพื่อนๆ พวกเราต่างก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองเมื่อเปิดภาคเรียนใหม่ ผมและเพื่อนๆ ต่างก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง ... จีขึ้นปี 2 แล้ว เป็นปีที่ต้องแยกเรียนตามภาควิชาหลัก เจ้าตัวสมัครเข้าภาควิชาปริโตรเคมี ผมเคยได้ยินมาว่าสาขานี้ถือสาขาอันดับต้นๆ ของคณะวิศกรรมศาสตร์ ที่ไม่ว่าใครที่ได้เรียนจะมีบริษัทมาจองตัวตั้งแต่ยังไม่ทันได้เรียนจบ ดังนั้นเลยไม่แปลกที่พอเปิดเทอม จีก็เหมือนจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงผมที่ยังคงใช้ชีวิตสบายๆ ตามประสาเด็กปี 1 ของคณะสัตวแพทยศาสตร์ ซึ่งวิชาส่วนใหญ่จะวนเวียนอยู่แถวคณะคณะวิทยาศาสตร์ และแม้จะอยู่ไม่ไกลจากคณะวิศวะมากนัก แต่ผมก็ไม่เคยบังเอิญเจอจีเลยสักครั้ง

“มิลค์ บ่ายนี้เราเรียนตึกไหนนะ” แก้ว ... พื่อนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มเอ่ยถามขึ้น ขณะที่พวกเรากำลังต่อแถวซื้อน้ำอยู่ที่โรงอาหารคณะวิทยาศาสตร์

“ตึกฟิสิกส์” พอจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อย ผมก็เดินออกจากโรงอาหารพร้อมกับเพื่อนๆ ... คณะวิทยาศาสตร์เป็นอีกหนึ่งคณะเก่าแก่ที่สุดของมหาลัย และยังเป็นคณะที่มีพื้นที่กว้างขวาง มีอาคารเรียนมากมายตามจำนวนสาขาวิชาที่มีให้เลือกศึกษา

กลุ่มของพวกเรามีกันทั้งหมด 4 คน ผม แก้ว ต่อ และต้น ... แก้วกับต่อเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม ทั้งคู่เรียนคนละโรงเรียนแต่มารู้จักกันที่ค่าย open house ของคณะ แก้วเรียนโรงเรียนหญิงล้วนที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนของผมมากนัก ส่วนต่อจบจากโรงเรียนสหศึกษาย่านชานเมือง สำหรับต้นจริงๆ แล้วมันเป็นคนกรุงเทพแต่ย้ายตามพ่อกับแม่ที่ต้องไปทำงานต่างจังหวัด พวกเรา 4 คนมารวมกลุ่มกันได้เพราะบังเอิญได้นั่งใกล้กันในวันปฐมนิเทศ และเพียงแค่ได้พูดคุยกันก็รู้สึกถูกชะตากันอย่างน่าประหลาด

“มึงไม่ชอบกินน้ำอัดลมเหรอ กูเห็นมึงกินแต่น้ำเปล่า” ต้นถามขึ้นในขณะที่พวกเราเดินผ่านเงาไม้ร่มรื่นในมหาวิทยาลัยเพื่อไปยังตึกเรียนของสาขาฟิสิกส์ซึ่งตั้งอยู่ด้านข้างของคณะวิทยาศาสตร์

“ปกติเรากินแต่น้ำเปล่า แต่ถ้าอยากกินน้ำอัดลมก็กินได้นะ”

“ไม่ค่อยเห็นคนกินแต่น้ำเปล่า”

“เราติดจากเพื่อนมานะ” ผมตอบพลางภาพของจีก็ผุดขึ้นมาในความคิด ... ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่ผมเลิกดื่มน้ำอัดลมแล้วหันมากินแต่น้ำเปล่า

“มิลค์!!!” ขาทั้ง 2 ข้างหยุดชะงักเมื่อได้ยินน้ำเสียงคุ้นเคย ... แค่นึกถึงก็ได้เจอ

“จี!!!” พอหันกลับมาก็เจอเพื่อนสนิทส่งยิ้มรออยู่ก่อนแล้ว ... รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวย ทั้ง 2 คนต่างเดินแยกออกจากกลุ่มเพื่อนมาหากันและกัน ... เมื่อก่อนเคยคิดว่าจะบังเอิญเดินเจอกันบ้างในมหาวิทยาลัย แต่เอาเข้าจริงกลับไม่เคยเห็นแม้แต่เงา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอจีในรั้วมหาวิทยาลัย

“เชี่ยยยยย ว่าไงครับปี 1” จีเอ่ยปากแซวด้วยรอยยิ้ม มันเคยเห็นผมในชุดนิสิตมาแล้วตอนพาไปลองเสื้อ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นมันในชุดเสื้อช็อปสีน้ำเงินเข้มปักตราคณะวิศวะ ... โคตรเท่ เหมือนหลุดออกมาจากนิยายรักหวานแหวว

“มึงตัดผม” ผมเอ่ยถาม เพราะจำได้ว่าก่อนเปิดเทอม ผมของคนตรงหน้ายาวกว่านี้

“ม๊าบังคับ ...” มันตอบพลางยกมือขึ้นลูบผมบนศรีษะของตัวเอง

“... นั้นเพื่อนคณะมึงเหรอ?” จีถามพลางมองเลยไปยังกลุ่มเพื่อนที่ยืนอยู่ด้านหลัง

“อืม”

“พาไปรู้จักหน่อย”

"หืม... เอาจริงดิ?" ผมถามพลางชะโงกหน้ามองเลยไหล่ของจีไปด้านหลังบ้าง กลุ่มเพื่อนของจีมากันเกือบสิบคนได้ มีอยู่สองสามคนที่ผมคุ้นหน้าจากกิจกรรมรับน้องของมหาวิทยาลัย พอเห็นผม พวกเขาก็ส่งยิ้มให้หรือไม่ก็โบกมือทักทาย ผมตอบรับด้วยการยกมือไหว้ทักทายพวกเขา

“ไม่ต้องไหว้พวกมันหรอก รุ่นเดียวกัน พวกมันไม่ถือ” แต่ยังไม่ทันได้ไหว้ คนตรงหน้าก็รั้งมือผมไว้ ... culture สำคัญของคณะผมคือรุ่นพี่รุ่นน้อง เข้าก่อนถือเป็นพี่ เข้าที่หลังเป็นน้อง ที่คณะผมไหว้พี่ปี 2 ทุกคน แม้ว่าเราจะอายุเท่ากันก็ตาม ผมไม่ซีเรียสเรื่องนี้อยู่แล้ว จะอายุเท่ากันผมก็ไหว้ได้ในฐานะที่เป็นรุ่นน้อง และผมก็เรียกปี 2 ทุกคนว่าพี่

“เหรอ ... มาดิเดียวพาไปรู้จัก ...” แล้วผมก็เดินนำจีไปยังกลุ่มเพื่อนที่ยืนรออยู่

“... พวกมึง นี่จี เพื่อนสนิทกูที่โรงเรียน ... จี นี่แก้ว ต่อ แล้วก็ต้น” จีค้อมหัวเพื่อรับไหว้จากเพื่อนๆ ของผม

“เราจีนะ ... ฝากมิลค์ด้วย มันอาจจะเรื่องเยอะเป็นบางครั้ง ทนๆ มันหน่อยละกัน” จีส่งยิ้มให้กับคนอื่นๆ ก่อนที่มือหนาจะขยี้ลงบนศรีษะของผมอย่างหยอกล้อ

“ถ้ามึงจะมาเพื่อเผากู มึงกลับไปเลยไป” ผมมองค้อน

“555 แสดงว่าเราไม่ได้รู้สึกไปคนเดียว” แก้วหัวเราะเห็นด้วย

“ต้องกินน้ำเย็น ไม่ราดซอสลงในจาน ต้องมีถ้วยน้ำจิ้มแยกต่างหาก” จีเริ่มสาธยายสรรพคุณของผม

“ใช้ตะเกียบไม่เป็น กินอาหารญี่ปุ่นต้องใช้ช้อนส้อม ไม่กินเผ็ด” พอแก้วต่อประโยคจนจบ ทุกคนก็หัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน ... อะไรวะ อยู่ๆ ก็โดนรุม

“แล้วนี่มีเรียนที่ตึก ‘ฟิ’ เหรอ” จีถามหลังจากเผาผมจนสาแก่ใจแล้ว

“ใช้ๆ เรียบคาบบ่าย” แก้วตอบ

“โอเค งั้นเราไม่กวนแหละ ...”

“... มิลค์ มึงเอาแว่นมาหรือเปล่า” จีละความสนใจจากคนอื่นๆ แล้วหันมาพูดกับผม

“ไม่ได้เอามา ปกติเรียน lecture ไม่ได้ใช้อะ” ผมสายตาสั้นเล็กน้อย ปกติเลยไม่ได้ใส่แว่น

“วันหลังเอามาด้วย ห้อง lecture ตึก ‘ฟิ’ มันมืด เดียวสายตามึงจะแย่กว่าเดิม”

“เหรอ เออได้ เดียวครั้งหน้าติดใส่กระเป๋ามา”

“แล้วนี่ใครผูกไทด์ให้มึงเนี่ย” จีถามพลางจับปลายไทด์ของผมยกขึ้น

“คนขาย”

“มึงให้คนขายผูกไทด์ให้เนี่ยนะ” จีขมวดคิ้ว

“ก็กูผูกไม่เป็น” แล้วผมจะให้ใครผูกให้ ถ้าไม่ใช้คนขาย

“ถอดออกมาเลย ไทด์มันยาวไป ...” จีปล่อยชายไทด์ลง พร้อมกับยื่นมือออกมาข้างหน้า ผมถอดไทด์ให้ตามที่เพื่อนสนิทบอก มือหนารับไทด์จากผมไปก่อนจะคลี่ไทด์ให้คลายออกจากกัน

“... วันไหนว่างเดียวกูสอนมึงผูก ... ระหว่างนี้ ถ้าหลุดมึงโทรบอกกูละกัน เดียวกูมาผูกให้ ...” จียกไทด์ขึ้นมาวัดความยาวกับช่วงตัวของผม 2-3 ครั้ง จากนั้นก็ผูกไทด์ในมืออย่างคล่องแคล้ว

“... เรียบร้อย ...” ผูกเสร็จ จีก็ก้าวขามายืนอยู่ตรงหน้า ไทด์สีน้ำเงินเข้มถูกคล้องลงมาบนศรีษะ มือหนารูดไทด์ขึ้นให้พอดีกับลำคอ จากนั้นนิ้วมือของเพื่อนสนิทอ้อมมายังหลังต้นคอเพื่อจัดไทด์หลบเข้าใต้ปกคอเสื้อจนเรียบร้อย

มิลค์และจีหลุดเข้าไปในโลกส่วนตัวอย่างสมบูรณ์ ... ในขณะที่คนอื่นๆ ที่ยังคงอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงได้แต่ยืนมองภาพตรงหน้าตาปริบๆ นี่มันเหตุการณ์อะไรกัน? ทำไมอยู่ ท้องฟ้าถึงกลายเป็นสีชมพูได้ พลอดรักกันกลางมหาวิทยาลัย ไม่อายเพื่อน อย่างน้อยก็น่าจะอายสิ่งศักดิ์สิทธิ์สักนิดก็ยังดี

“... สวยแล้ว ...” จีมองผมตั้งตัวหัวจรดเท้า

“...ไปเรียนได้แล้วไป” พูดจบมือใหญ่ก็พลักหัวผมเป็นเชิงหยอกล้อ



“เพื่อนมึงเหรอ” แก้วถามในขณะที่เราเดินเข้ามาในตึก ‘ฟิ’

“อืม เพื่อนสนิท”

“หล่ออะ โคตรหล่อ ... จีบได้ปะ มีแฟนยัง” แก้วเอาไหล่มากระแซะต้นแขนอย่างมีเลศนัย อย่าได้คิดว่าคนที่จบโรงเรียนหญิงล้วนมาจะต้องนั่งพับเพียบเรียบร้อย ร้อยมาลัย เพราะแก้วพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช้ คนบ้าอะไร พูดคำหยาบ กินเหมือนพายุ แถมยังชอบหยอดผู้ชายไปทั่ว

“เพ้อเจ่อ” ผมรีบขยับตัวหนีให้ห่าง

“หวงเหรอ” แก้วยังคงตามตอแยไม่เลิก

“หวงบ้าอะไร เพื่อนสนิท” ผมเน้นย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“จ๊ะ เพื่อนสนิทก็เพื่อนสนิท เนอะพวกมึง” แก้วหันไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ... ผูกไทด์ให้กันด้วยจังหวะ romantic ขนาดนั้น อย่างว่าแต่พระเลยอมมาทั้งโบสถ์ก็ไม่มีใครเชื่อ

“กับแก้วนี่ยิ้มแย้ม กับพวกกูสีหน้าอย่างตึง ไม่หวงก็บ้าแล้ว” ไอ้ต้นรีบผสมโรง

“จะไปคาดคั้นทันทำไม เขาบอกว่าเพื่อนสนิทก็เพื่อนสนิทซิ...” ถูกต้องแล้วไอ้ต่อ พูดคำเดียวให้มันรู้เรื่องบ้าง

“... เพื่อนสนิทท้องติดกัน มึงเคยได้ยินไหม 555” ไอ้พวกเพื่อนเชี่ย!!!

“เออ!!! เรื่องของพวกมึง ... กูจะเข้าห้องเรียนแล้ว” ผมตัดบท รีบเดินหนีเข้าห้องเรียนดีกว่าอยู่ต่อให้โดนแซวไม่เลิก



...



สอบ Final ของเทอม 1 จบไปแล้วอย่างรวดเร็ว การสอบของมหาวิทยาลัยแตกต่างจากสมัยมัธยมราวฟ้ากับเหว สมัยมัธยมเราสามารถเตรียมสอบ final ได้ภายในระยะเวลาแค่ 1 วัน ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยในระดับมหาวิทยาลัย ... ดูไอ้ต้นเป็นตัวอย่าง

“ต้นมึงไหวไหม” ผมถามเมื่อเดินออกมากจากห้องสอบแล้วเจอมันนั่งคอพับคออ่อนอยู่กับพื้น

“สติกูจะหลุดออกจากร่าง” มันตอบทั้งที่ตาลืมแทบไม่ขึ้น

“เมื่อคืนมึงนอนกี่โมง ...” ผมถามพลางหย่อนตัวลงข้างๆ มันส่ายหัวเป็นคำตอบ

“... มึงไม่ได้นอน!!! …”

“... ไปแอบงีบที่ห้องสมุดไป ก่อนออกจากคณะ เดี๋ยวกูโทรตาม”

“ก็ดีเหมือนกัน” มันลุกขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะเดินสะโหลสะเหลหายขึ้นลิฟต์ไป

คืนนี้มี event ใหญ่ เพราะเป็นวันสอบวันสุดท้ายของเทอม เพื่อนๆ ในรุ่นนัดกันไปฉลองปิดเทอมกันที่ร้านเหล้า พวกผมวางแผนกันว่าหลังสอบเสร็จจะไปดูหนัง กินข้าว แล้วค่อยตามไปยังสถานที่นัดเลี้ยง

… ยังไม่ทันได้ก้าวขาออกจากคณะ โทรศัพท์ในมือแจ้งเดือนว่ามีข้อความเข้ามา

“G”

วันนี้มึงสอบวันสุดท้ายใช่เปล่า สอบเสร็จมี plan ไปไหนไหม

“Milk”

คืนนี้ไปฉลองกับเพื่อนในรุ่น ร้าน XXX แต่เดียวไปดูหนัง กินข้าวกับพวกไอ้แก้วก่อน

“G”

เย็นนี้กูเสร็จงานแล้วไปกินข้าวกัน เดียวกูไปส่งมึงที่ร้าน XXX”

“Milk”

เอาจริง?”

“G”

จริง ตกลงตามนั้น เสร็จแล้วเดียวกูโทรหา



ดูหนังจบ พวกเรามาหาของหวานรองท้องกันที่ร้านไอศกรีม ไอ้ต้นดูสดชื่นขึ้นหลังจากที่มันหลับเป็นตายตลอดระยะเวลาสองชั่วโมงของหนัง นับถือในความอึดของมันจริงๆ ที่ไม่ยอมกลับไปนอนพักผ่อน ทั้งๆ ที่เมื่อคืนก็ไม่ได้นอนมาทั้งคืนแล้ว

“เย็นนี้กินอะไร” แก้วถามขณะที่พวกเราแต่ละคนกำลังละเลียดไอศกรีมตรงหน้า ... เออวะ ลืมไปซะสนิท

“พวกมึง ... มื้อเย็นกูไม่ได้อยู่กินข้าวด้วยนะ” ผมพยายาทำตัวนิ่ง keep cool เข้าไว้ เพราะไม่อยากให้พวกมันผิดสังเกต ... แต่ทันทีที่พูดจบ ทุกการเคลื่อนไหวของเพื่อนทั้งสามก็พลันหยุดลง พร้อมกับดวงตาสามคู่ที่จ้องมองมาที่ผมอย่างคาดคั้น

“ไปไหน” แก้วถาม ดวงตากลมโตของมันหรี่ลงอย่างจ้องจับผิด

“ก็ไปกินข้าวไง” keep cool ไว้ๆ

“รู้ว่าไปกินข้าว แต่อยากรู้ว่ามึงไปกับใคร”

“มึงจะไปเค้นอะไรมันนักหนาวะแก้ว ... ทำสีหน้าแบบนี้ มันจะไปกับใคร ถ้าไม่ใช้เพื่อนสนิทท้องติดกันของมัน”

“ไอ้ต้น กูบอกกี่ครั้งแล้วว่ากูกับจีเพื่อนสนิทกัน”

“เชื่อครับว่าเพื่อน เพื่อนสนิททททททททท” แม้ปากจะบอกว่าเพื่อนแต่สีหน้าของมัน ... โคตรตอแหล ... ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพวกมันถึงชอบคิดว่าผมกับจีเป็นแฟนกันนักหนา

“แล้วไง คืนนี้คือมึงจะชิ่ง” ไอ้แก้วถาม

“ไม่ชิ่ง กินข้าวเสร็จแล้วเดียวกูตามพวกมึงไปที่ร้าน” ใครจะยอมพลาด event ยิ่งใหญ่แห่งปีขนาดนี้

“ไม่ใช้ทำไปทำมา ไอ้จีมานั่งเฝ้ามึงนะ” ไอ้ต่อแซว

“บ้า!!! ใครจะว่างขนาดนั้น” ผมรีบปฏิเสธ

“ก็เพื่อนสนิทมึงไง เห็นมาเจอมึงได้ทุกสัปดาห์” ต้นเสริม

“ก็พวกกูรักกันไง” เรื่องที่ผม จี ไอซ์ อาร์ม โจ นัดเจอกันเกือบทุกสัปดาห์เป็นอะไรที่ผมเองก็ไม่ได้คาดหวังมาก่อน เพราะปีที่แล้วตอนยังอยู่อีกมหาลัยหนึ่ง พวกมันก็ไม่ได้นัดเจอกันบ่อยขนาดนี้ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่านอกจากวันธรรมดาแล้ว วันเสาร์พวกเราก็มักจะนัดกินข้าวเย็นด้วยกันเสมอ

“เออๆ เรื่องของมึงแหละ แต่ถ้าคืนนี้ไอ้จีมาเฝ้า กูล้อมึงยันลูกบวชแน่ ...”

“... อ่ออออออ กูลืมไปว่ามึงท้องไม่ได้ เพราะมึงไม่มีมดลูก 555”

“ไอ้เหี้ยต้นนนนนนนนนน!!!” เรื่องของผมไม่ใช่ความลับอะไร พวกมันรู้กันตั้งแต่ช่วงแรกที่เริ่มสนิทกัน แก้วเป็นคนเปิดประเด็นถาม และผมก็ยินดีที่จะเล่าความจริงให้พวกมันฟัง ดีกว่าพวกมันไปได้ยินมาจากคนอื่น... ความกังวลทั้งหมดกลับกลายเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะถึงแม้จะรู้ว่าผมชอบผู้ชาย แต่พวกมันก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจอะไร

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime ตอนที่ 17 : ความฝัน 2/2
«ตอบ #66 เมื่อ27-07-2025 12:54:09 »

ตอนที่ 17 : ความฝัน 2/2

ไอ้ต้นยิ้มกริ่มเมื่อเห็นร่างสูงของจีเดินตามหลังผมเข้ามา สีหน้าของมันสื่อความในใจได้อย่างชัดเจน ‘กูว่าแล้ว’ ... ร้านนี้เป็นร้านที่อยู่ไม่ไกลจากมหาลัยมากนัก คนที่มาส่วนมากเลยหนีไม่พ้นเด็กมหาลัยผม

“มิลค์ เดียวกูไปนั่งตรงบาร์” คงเป็นเพราะเสียงเพลงที่ดังพอสมควร ทำให้จีโน้มตัวจากด้านหลังมากระซิบอยู่ข้างหู ลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดต้นคอ ทำให้ผมรู้สึกวูบไหว ไม่เป็นตัวของตัวเอง

“จะดีเหรอวะ” พอหันกลับไปถาม ... ผงะจนต้องก้าวเท้าถอยออกมาอีกก้าวสองก้าว เราอยู่ใกล้ชิดกันมากกว่าที่คิด

“ดีดิ มึงจะได้ไปสนุกกับเพื่อน ... เดียวกูกินขนมรอ” จีคลายยิ้ม

“เพิ่งกินข้าวมาจะกินไหวเหรอ”

“กินนิดหน่อย สบายมาก ... มึงเต็มที่ได้เลย” พูดจบมันก็พลักหลังให้ผมเดินไปหากลุ่มเพื่อน ในขณะที่มันเดินแยกไปนั่งคนเดียวที่บาร์

“แก้ว เมื่อเย็นใครพูดวะว่าจะมาคนเดียว” เสียงกระแนะกระแหนของไอ้ต้นดังขึ้นเมื่อผมเดินมาถึงโต๊ะ

“นั้นนะซิ มิลค์แกรู้ไหมว่าใคร” แก้วหันมาถามด้วยสีหน้าไร้เดียงสา... เออ มีความสุขกันเข้าไปเลยนะพวกมึง

“กูเองแหละที่พูด พวกมึงเลิกแซวได้ยัง” ผมเริ่มเสียงดังกลบเกลื่อนความเขิน

“แหมมมมมม เขินแล้วทำมาเป็นโมโหกลบเกลื่อน” ไอ้ต้นยังไม่วายแซวต่อ

“ไหนเล่ามาซิว่าทำอีท่าไหนมันถึงตามมาเฝ้ามึงได้” แก้วถามด้วยความอยากรู้

“ไม่ได้ทำอะไร จีมันว่างก็เลยมาด้วย” ผมตอบแบบขอไปที

“จะบอกว่าสวยมากกกกกก อยู่เฉยๆ ก็มีผู้ชายขอตามมาเฝ้างี้” ต้นเสริมด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

“จะล้ออะไรมากวะ มันมาก็ดีแล้วไง กูจะได้กินเหล้ากับพวกมึงได้”

“มึงว่ามันไม่แปลกเหรอวะ" แก้วกระซิบพลางขยับเข้ามาใกล้ ทำท่าเหมือนเราสองคนกำลังคุยเรื่องลับลมคมใน

"อะไรแปลก" ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่ามันต้องการจะสื่ออะไร

"มึงกับจี" มันเฉลย

"แปลกอะไร ไม่เห็นมีอะไรแปลก"

"ถามจริง ... เป็นแฟนกันปะ?"

"บ้า!!! ไม่ได้เป็น ... เป็นเพื่อน เพื่อนสนิท ..." ผมเน้นย้ำคำว่าเพื่อนสนิท แต่มันก็ยังคงจ้องมองมาด้วยสายตาที่เหมือนกำลังชั่งใจว่าผมกำลังพูดความจริงหรือไม่

"... ทำไมพวกมึงชอบแซวกูกับจีจังวะ" ผมถามด้วยความสงสัยระคนหงุดหงิด

"ก็พวกมึงเหมือนแฟนกัน ..." ไอ้ต้นพูดแทรก

"... ขนาดไอ้ต่อยังรู้สึก" สายตาของผมเลื่อนไปยังไอ้ต่อที่นั่งอยู่ข้างๆ ต่อมันเป็นคนซื่อๆ มองโลกในแง่ดี ไม่ค่อยสนใจเรื่องชาวบ้าน

"ก็เหมือนแฟนกัน" มันตอบก่อนจะยกแก้วเบียร์ในมือขึ้นมาจิ๊บ

"เห็นไหม ขนาดไอ้ต่อยังคิด มึงก็ควรจะรู้สึกอะไรบ้างเปล่าวะ" ไอ้ต้นเสริม

"ไม่มีอะไร สาบาญได้ว่าเพื่อนกัน" ผมยืนยันหนักแน่น

"งั้นมึงฟังนะว่ากูเข้าใจเหตุการณ์วันนี้ถูกไหม ..." ไอ้แก้วเข้ากอดคอผมแน่น มันถามพลางมองไปยังจีที่นั่งกินขนมอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่หน้าบาร์

"... มันมารับมึงไปกินข้าวถูกไหม ..." ผมพยักหน้า

"... มันรู้ได้ไงว่ามึงสอบวันสุดท้ายวันนี้"

"กูน่าจะบอกมันไปมั้ง คุยกันวันก่อน กูจำไม่ได้ว่าบอกมันหรือเปล่า"

"คือมันไม่แปลกนะที่มึงจะพูดเรื่องอะไรพวกนี้ แต่มันแปลกที่มันจำรายละเอียดได้ เรื่องมันเล็กน้อยมากแต่จีมันจำได้ ถ้าไม่ใช้เพราะความจำดีมาก ก็คือใส่ใจมาก"

"แปลกอะไร กูยังรู้เลยว่ามันสอบเสร็จวันไหน" ผมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่จะจำวันสอบของเพื่อนสนิทตัวเองได้สักหน่อย... แต่พวกมันทั้ง 3 คนกลับมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ราวกับผมพูดอะไรที่น่าตกใจออกไป

"แล้วของเพื่อนมึงคนอื่นมึงรู้ไหมว่ามันสอบเสร็จวันไหน"

"ไม่รู้ กูไม่ได้คุยกับพวกมัน" ผมส่ายหัว

"นี่ไง ที่พูดมาเมื่อกี้ มึงไม่รู้สึกว่ามันแปลกเหรอวะ"

"ก็ไม่เห็นมีอะไรแปลก" เมื่อได้ยินคำตอบ ไอ้ต้นที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกรอกตาเป็นเลข 8

"หนึ่งเลยนะ มึงสองคนจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของกันได้ สองคือมึงคุยกับไอ้จีบ่อยมาก มากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่ม" ผมคิดตามที่แก้วอธิบาย ... อืม ถูก ... แล้วมันแปลกตรงไหนวะ

"ก็เพื่อนสนิทกันไง" ผมยังคงยืนยันคำตอบเดิม

"โอ้ย!!! นี่มึงกวนตีนกูปะ" แก้วทึ้งผมตัวเองก่อนจะส่งสายตาอาฆาตมาทางผม

"ไม่ได้กวนตีน กูพูดความจริง"

"นี่มึงโง่จริง หรือแกล้งโง่เนี่ย ..."

"... เอาใหม่ๆ วันนี้มันมารับมึงไปกินข้าว แล้วแทนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน มันกลับตามมึงมาเฝ้ามึงที่ร้านเหล้า ถูกไหม..." ผมพยักหน้า

"... มันให้เหตุผลว่าอะไร"

"ขากลับมันจะขับรถให้ กูจะได้กินเหล้ากับพวกมึงได้เต็มที่"

"อืมมมมมมม ... แล้วไงต่อ ส่งมึงเสร็จแล้ว มันก็นั่ง Taxi กลับ ?"

"ยังไม่ได้ถามแต่มันน่าจะค้างกับกูนะ"

"ค้างคืนด้วย!!!" ดวงตาของแก้วเบิกกล้างราวกับไข่ห่าน ... ผมไม่เข้าใจว่าพวกมันจะตกใจอะไร เพื่อนสนิท ค้างคืนด้วยกันก็เป็นเรื่องปกติปะ ?

"แปลกไรวะ มันค้างออกจะบ่อย ที่ห้องกูมีของใช้ส่วนตัวมันครบ" ช่วงหลังๆ มานี้ วันเสาร์อาทิตย์จีมาค้างคอนโดผมบ่อย จนในห้องของผมมีของใช้ส่วนตัวของจีหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นแปรงสีฟัน ชุดนอน ชุดไปรเวท

"ไม่แปลกยังไงวะ แฟนกันชัดๆ" ไอ้ต้นพูดแทรก

"อิต้น อย่าเพิ่งแทรกกู ... แล้วพรุ่งนี้ไงต่อ" แก้วรีบขัด เหมือนมันอยากฟังผมเล่าทั้งหมดแล้วรวบยอดทีเดียว

"ก็ไม่ยังไง พรุ่งนี้ กว่าจีจะตื่นก็บ่ายๆ มั้ง กินข้าวกลางวันก่อนแล้วค่อยขับไปส่งมันที่บ้าน แต่ถ้าส่งตอนเย็นๆ ก็คงกินข้าวเย็นกับที่บ้านจี" ผมเล่ากิจวัตรประจำวันในวันหยุดของเราให้พวกมันฟัง เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ถ้าวันไหนจีมานอนข้างคืน วันถัดไปเราจะกินข้าวกลางวันด้วยกัน แล้วถ้าเวลาลงตัว เราอาจจะกินข้าวเย็นด้วยกันอีกมื้อ ก่อนที่ผมจะขับรถไปส่งจีที่บ้าน แล้วค่อยแยกย้ายกันไปเรียนในวันรุ่งขึ้น

"สรุปคือตั้งแต่ออกมาจากห้องสอบ มึงกับมันจะตัวติดกันไปอีกอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ถูกไหม ..." ผมครุ่นคิดตามคำถามของแก้ว บวกลบคูณหารเวลาในใจ ก่อนจะพยักหน้า จริงๆ ก็ไม่แน่ใจว่าพรุ่งนี้จีจะกลับไปนอนบ้านไหมหรือจะค้างกับผมอีกคืน แล้วค่อยกลับบ้านทีเดียววันอาทิตย์

"... อิมิลค์ ถ้าจะตัวติดกันขนาดนี้ เรียนจบแล้วมึงก็แต่งกับมันเลยเถอะ" แก้วพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายระอาใจ

"เพ้อเจ้อ พวกมึงอะคิดมาก กูบอกแล้วไงว่าเพื่อนสนิท ไม่มีอะไรมากกว่านั้น กูกับจีก็ตัวติดกันแบบนี้มาตลอด" ผมยกแก้วเหล้าในมือขึ้นมาดื่ม ไม่ได้เอาเรื่องที่พวกมันพยายามจับคู่ผมกับจีมาคิดให้เมื่อยสมอง

"มันปกติของแก แต่ไม่ปกติของคนอื่นไง ... กูเข้าใจว่าจีคือเพื่อนสนิท แต่มันไม่มีเพื่อนสนิทที่ไหนทำกันแบบนี้ ... นี้มันแฟนกันชัดๆ"

"กูไม่รู้จะอธิบายพวกมึงยังไง คือกูกับมันเป็นเพื่อนกันจริงๆ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น"

"เออ เพื่อนก็เพื่อน กูพูดขนาดนี้แล้วมึงจะคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติก็เรื่องของมึงแล้ว" บทสนทนาของพวกเราจบลงด้วยแววตาของแก้วที่มองผมอย่างสมเพศ แล้วผมก็ปล่อยให้คำพูดทั้งหมดของเพื่อนๆ ลอยหายไปกับเสียงเพลงและบรรยากาศครึกครื้นของการเลี้ยงฉลองปิดเทอม



...



"โคตรเหนื่อยยยยยยย" ผมอดที่จะบ่นออกมาไม่ได้เมื่อก้าวขากลับเข้ามาในห้อง

"แค่นี้เอง บ่นอะไรวะ" จีที่เดินตามหลังเข้ามาพูดขึ้น ในขณะที่เจ้าตัวกำลังถอดรองเท้าเก็บเข้าตู้อย่างคุ้นชิน

"มึงลากกูออกไปตั้งแต่ 10 โมง ตอนนี้กี่โมงแล้วช่วยดูเวลาด้วย" ผมหันกลับไปมองค้อน

"6 โมงไง นาฬิกามึงตายเหรอ"

"ก็ใช้ไง 6 โมง ... คนบ้าอะไรวะใช้เวลาเลือกรองเท้าคู่เดียวเกือบ 4 ชั่วโมง" ฟังไม่ผิดหรอกครับ จีมันใช้เวลาในการเลือกรองเท้าคู่เดียวนานขนาดนั้นจริงๆ ดูมันทุกร้าน ลองมันทุกรุ่น กว่ามันจะได้คู่ที่ถูกใจ ผมนี่เดินจนขาลาก

"เอาน่า อย่าบ่นให้มากนัก เดียวเย็นนี้เลี้ยงข้าวเย็น" มือหนาขยี้ลงบนศรีษะของผม ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้าห้องนอนของผมราวกับห้องนอนของตัวเอง

"คืนนี้มึงค้างกับกูเปล่า" ผมถามขณะที่เดินตามหลังจีเข้ามาในห้องนอน มันเอาถุง shopping วางไว้ปลายเตียง ถอดนาฬิกาวางไว้บนโต๊ะเรียนหนังสือพร้อมกับกระเป๋าตังค์และโทรศัพท์มือถือ ก่อนที่จะทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น

"ค้างไม่ได้วะ พรุ่งนี้มีธุระกับที่บ้าน"

"ได้ กินข้าวเย็นเสร็จแล้วเดี๋ยวกูไปส่ง" ผมหย่อนตัวลงข้างเพื่อนสนิท ขอเหยียดขาให้หายเมื่อยหน่อยเถอะ

"มึงไม่ต้องส่งก็ได้ เดียวกูกลับ taxi"

"บ้า แค่นี้เอง ไปส่งได้ ... ว่าแต่เย็นนี้แดก pizza นะ ไม่ได้แดกนานแล้ว" ผมรีบเสนอเมนูโปรด

"มึงแม่งแดกแต่ junk food ระวังจะมีพุง"

"ไอ้จี!!! กูเจ็บไหม หยิกมาได้" ผมโวยที่อยู่ๆ มันก็ยื่นมือมาหยิกพุง ... หยิกซะแรงเลยไอ้เหี้ย!!! ... โรคจิตอย่างหนึ่งของจีคือหากเราคุยกันเรื่องความอ้วนเมื่อไหร่ มันเป็นอันต้องหยิกพุงของผมทุกครั้ง

"เออ ตามใจมึง จะสั่งเลยไหม"

"สั่งเลยก็ได้นะ"

"Sea food cocktail เหมือนเดิม?" มันถามขณะที่ผมนอนเอกเขนกอยู่บน bean bag

"เหมือนเดิม" ผมตอบ

มันไม่ตอบอะไรกลับ อันเป็นเรื่องเข้าใจตรงกันว่าจีรับรู้ เจ้าตัวจัดการสั่ง pizza ให้เรียบร้อย ส่วนผมก็กลิ้งไปกลิ้งมารอกิน pizza ซอส thousand island ของโปรด

“จี กูถามมึงหน่อย ... มึงอยากได้เกียรตินิยมไหม”

“อยากดิ ใครบ้างไม่อยากได้วะ”

“คือ ... กูไม่รู้ว่ากูอยากได้ไหม ...”

“... บางครั้งกูรู้สึกเหมือนตัวเองหลงทางวะ ...”

“... กูเข้ามหาลัยในฝันได้แล้ว ฝันของกูตลอด 4 ปีเป็นจริงแล้ว และกูก็ควรจะตั้งใจเรียนใช่ไหม แต่พอคิดถึงเรื่องนั้น ... กูไม่รู้ว่าควรจะฝันอะไรต่อ”

“เกรดมึงถึงอันดับหนึ่งเลยไม่ใช้เหรอ”

“อืม” ผมตอบพลางพลิกตัวนอนหงาย สายตาจับจ้องอยู่ที่แสงไฟระยิบระยับจากโคมระย้าที่ห้อยอยู่กลางเพดานห้อง

“มึงคิดแบบนั้นไม่ได้เว้ย เกรด ป.ตรี สูงๆ จะทำให้มึงสามารถไปเรียนต่อที่ไหนก็ได้ ...”

“... แม้ว่าสุดท้ายแล้วมึงจะกลับไปรับช่วงต่อบริษัทของที่บ้าน แต่ในอนาคต มึงก็หนีไม่พ้นที่จะต้องเรียนต่อ อาจจะเป็นสัตวแพทย์หรือบริหาร ไม่สาขาใดก็สาขานึง เพราะฉะนั้นตอนนี้มึงมีโอกาส มึงต้องคว้าเอาไว้”

คำพูดของจีทำให้ความคิดของผมล่องลอยไปไกลแสนไกล ความฝันในวัยเด็กของผมคือการได้เป็นสัตวแพทย์ แต่พอโตขึ้นผมกลับต้องเผชิญกับความจริงว่า สุดท้ายแล้วผมไม่มีโอกาสแม้แต่จะใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาในการรักษาสัตว์เหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ ... พ่อกำลังวางแผนที่จะสร้างสำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพฯ และย้ายกลับมาอยู่ถาวร เส้นทางการสืบทอดธุรกิจของครอบครัวเริ่มถูกพูดถึงมากขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยที่ไม่เคยมีใครถามความคิดเห็นของผมเลยแม้แต่น้อย ถึงตอนนี้ทุกอย่างจะเป็นแค่เค้าลาง แต่ผมก็มองเห็นภาระหนักอึ้งอยู่ตรงหน้า ความกลัวและความกังวลที่ถาโถมเข้าใส่ตลอดช่วงระยะเวลาหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ผมรู้สึกเครียดและกดดันอยู่ไม่น้อย ... และแน่นอนว่าทุกความรู้สึกถูกบอกผ่านให้คนข้างๆ ได้รับรู้



กำลังเคลิ้มใกล้จะหลับ แต่โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างตัวกลับสั่นเตือนพร้อมเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้า นิ้วมือเรียวสวยคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดู ... คิ้วของผมขมวดเข้าหากัน เมื่อเห็นว่าชื่อผู้ส่งข้อความนั้นมาจากคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยความสงสัย ผมกดเปิดอ่านข้อความจากเพื่อนสนิททันที

“G”

Happy birthday to my dear very best friend. I don't know what to give you on this special day. The only thing I can think of is my promise to you that I will keep our friendship before everything, nothing will ever make us apart and I will always stay by your side until the end of time. The only thing I would ask you in return is ... Milk, will you stay with me forever?.


“Milk”

I will,
forever and ever.
I promise, no one shall ever take your place.


"มึงจำได้" พอพลิกตัวกลับมาถึงได้เห็นว่าสายตาของเพื่อนสนิทจับจ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว ... ผมเหมือนถูกสายตาของจีสะกดไว้ ไม่สามารถละสายสายตาออกจากดวงตาคู่สวยของจีได้ ... เรา 2 คนสบตากันท่ามกลางความเงียบ

"จำได้ดิ วันเกิดเพื่อนสนิทกูทั้งคน" ใบหน้าหล่อเหลาระบายรอยยิ้มอบอุ่นออกมา และเป็นอีกครั้งที่หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะ

"ขอบคุณนะ ... มึงเป็นคนแรกของวันที่อวยพรวันเกิดกูเลย ..." รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวย พร้อมกับหยาดน้ำตาใสๆ ที่เริ่มเอ่อคลออยู่ตรงหางตา... นิ้วมือของเพื่อนสนิทค่อยๆ เอื้อมมาเกลี่ยหยดน้ำตานั้นออกให้อย่างอ่อนโยน

"... อะไร" ผมถามเมื่อจียื่นนิ้วก้อยมาตรงหน้า

"เกี่ยวก้อยสัญญา..."

"... มึงสัญญาแล้วนะ" แม้จะขำกับพฤติกรรมเด็กๆ ของมัน แต่ผมก็ยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวกับนิ้วก้อยของจีเอาไว้

"เด็กสัส ... เออ กูสัญญา" ผมพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม เป็นอีกครั้งที่หัวใจของผมฟูฟ่องเพราะการกระทำของคนข้างๆ ... พูดได้เต็มปากเลยว่าวันเกิดปีนี้คือวันเกิดที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของผม ... ไม่ต้องมีเค้กวันเกิด ไม่ต้องมีของขวัญ ไม่ต้องมีงานเลี้ยงหรูหรา ขอแค่มีจีอยู่ข้างๆ แค่นี้ก็มากเกินพอแล้ว



“กูคิดออกแล้ว ...” จีพูดขึ้นในขณะที่ยังเคี้ยว pizza อยู่เต็มปาก นิ้วมือข้างหนึ่งยังเลอะซอสมะเขือเทศสีแดง เรา 2 คนนั่งกินมื้อเย็นด้วยกันบนโซฟาห้องนั่งเล่น ภาพตรงหน้าคือวิว panorama ของเมืองหลวง แสงไฟจากตึกสูงตัดกับฉากหลังสีดำของท้องฟ้ายามค่ำคืนได้อย่างลงตัว ผมขมวดคิ้ว เพราะไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร

“... เรื่องที่มึงต้องกลับไปรับช่วงต่อ กูคิดออกแล้วว่าต้องทำยังไง” ผมพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น รีบเคี้ยวๆๆ แล้วกลืน pizza ลงคอ

“ทำไงวะ”

“เรียนต่อ มึงจบ ป.ตรี แล้วบอกพ่อว่าเรียนต่อ ป.โท ระหว่างนี้มึงก็เป็นสัตวแพทย์รักษาสัตว์ได้”

“แต่มันก็ได้ไม่กี่ปีหรือเปล่าวะ” จีมองเห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหวังของมิลค์ค่อยๆ เจือนหายไปจากใบหน้าสวย ในใจของเพื่อนสนิทรู้สึกสั่นไหวกับภาพตรงหน้า ... สำหรับจีแล้ว มิลค์เป็นคนที่เพียบพร้อมไปหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา นิสัยใจคอ การเรียน หรือแม้แต่ฐานะ และเขาก็ดูออกตั้งแต่ตอนนี้เลยว่าในอนาคตมันจะต้องประสบความสำเร็จอย่างมากในเรื่องหน้าที่การงาน แต่ทั้งหมดนี้ต้องแลกมากับทุกอย่างที่เจ้าตัวต้องแบกรับ ... จีสงสารเพื่อนรักจับใจ ในวันที่เจ้าตัวโทรมาร้องไห้ฟูมฟาย บอกว่าถึงเรียนจบก็ไม่ได้เป็นสัตวแพทย์ ไม่ได้ทำอาชีพที่ใฝ่ฝัน เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าต้องกลับไปรับช่วงต่อกิจการของพ่อ

“มันก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลยหรือเปล่าวะ ... กูไม่อยากพูดให้มึงคิดมาก แต่มึงก็รู้ว่าช้าเร็วมึงต้องกลับไป ... อย่างน้อยมันก็เป็นช่วงเวลา 2-3 ปีที่มึงได้เป็นสัตวแพทย์ ได้รักษาสัตว์ตามที่มึงฝันไว้ ...” ผมคิดตามที่จีพูด พอคิดว่าตัวเองได้รักษาสัตว์ หัวใจมันก็เริ่มกลับมาพองฟูอีกครั้ง

“... แต่ที่สำคัญคือมึงต้องตั้งใจเรียน เก็บเกรดดีๆ ไว้ จะได้เรียนทุกอย่างที่มึงอยากเรียน” จีเสริมด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ได้ กูจะทำตามที่มึงบอก ...” แม้จะไม่ได้ทำในสิ่งที่ฝันไว้ 100% แต่การได้รักษาสัตว์แม้จะแค่ไม่กี่ปีก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

“... ไอ้เหี้ยจี !!! มือมึงเลอะอยู่ไหม อีเหี้ย!!!” ซึ้งยังไม่ทันข้ามนาที ผมก็ต้องแยกเขี่ยวใส่คนตรงหน้าที่อาศัยจังหวะเผลอ ขยี้มือลงบนหัวของผมอย่างคุ้นเคย ... ใช่ มันใช้มือข้างที่เลอะซอสมะเขือเทศนั้นแหละ ขยี้หัวผม ... ไอ้เพื่อนเลววววว!!!


----------


มิลค์ : อนาคตมีแต่ความไม่แน่นอน สิ่งที่เราทำได้มีเพียงทำวันนี้ให้ดีที่สุด จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือมีเพื่อนช่วยคิด

#คำสัญญา #เกี่ยวก้อย #Iwill
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-07-2025 13:08:27 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime ตอนที่ 17 : ความฝัน
«ตอบ #67 เมื่อ29-07-2025 22:34:32 »

จีปล่อยชายไทด์ลง พร้อมกับยื่นมือออกมาข้างหน้า ผมถอดไทด์ให้ตามที่เพื่อนสนิทบอก มือหนารับไทด์จากผมไปก่อนจะคลี่ไทด์ให้คลายออกจากกัน ... จียกไทด์ขึ้นมาวัดความยาวกับช่วงตัวของผม 2-3 ครั้ง จากนั้นก็ผูกไทด์ในมืออย่างคล่องแคล้ว ... ผูกเสร็จ จีก็ก้าวขามายืนอยู่ตรงหน้า ไทด์สีน้ำเงินเข้มถูกคล้องลงมาบนศรีษะ มือหนารูดไทด์ขึ้นให้พอดีกับลำคอ จากนั้นนิ้วมือของเพื่อนสนิทอ้อมมายังหลังต้นคอเพื่อจัดไทด์หลบเข้าใต้ปกคอเสื้อจนเรียบร้อย


----------


มิลค์ : ไม่ใช้คนทุกคนจะผูกเนคไทด์เป็น จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือ มีคนคอยผูกเนคไทด์ให้

#โลกส่วนตัว #ผูกไทด์
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime ตอนที่ 17 : ความฝัน
«ตอบ #68 เมื่อ31-07-2025 20:35:03 »


"สรุปคือตั้งแต่ออกมาจากห้องสอบ มึงกับมันจะตัวติดกันไปอีกอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ถูกไหม ..."

"... อิมิลค์ ถ้าจะตัวติดกันขนาดนี้ เรียนจบแล้วมึงก็แต่งกับมันเลยเถอะ"

"เพ้อเจ้อ พวกมึงอะคิดมาก กูบอกแล้วไงว่าเพื่อนสนิท ไม่มีอะไรมากกว่านั้น กูกับจีก็ตัวติดกันแบบนี้มาตลอด"

"มันปกติของแก แต่ไม่ปกติของคนอื่นไง ... กูเข้าใจว่าจีคือเพื่อนสนิท แต่มันไม่มีเพื่อนสนิทที่ไหนทำกันแบบนี้ ... นี้มันแฟนกันชัดๆ"


----------


มิลค์ : เพื่อนกันจริงๆนะครับ ... เพื่อนสนิท จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือมีคนมาเฝ้า

#เพื่อน #เฟื่อน #แ_น
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime ตอนที่ 17 : ความฝัน
«ตอบ #69 เมื่อ01-08-2025 18:14:03 »

'The only thing I can think of is my promise to you that I will keep our friendship before everything, nothing will ever make us apart and I will always stay by your side until the end of time. The only thing I would ask you in return is ... Milk, will you stay with me forever'

'I will,
forever and ever.
I promise, no one shall ever take your place'



----------


มิลค์ : ขอแค่มีจีอยู่ข้างๆ สำหรับผมเท่านี้ก็มากเกินพอแล้ว จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือสัญญาจะอยู่ข้างกันตลอดไป


#สัญญา #Iwill #forever
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Love, In Every Lifetime ตอนที่ 17 : ความฝัน
« ตอบ #69 เมื่อ: 01-08-2025 18:14:03 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 18
«ตอบ #70 เมื่อ02-08-2025 14:51:37 »

Teaser ตอนที่ 18

ผมนั่งอยู่ข้างหลังพวกมาลัย รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงสะอื้นเริ่มดังขึ้นจนต้องรีบจอดรถชิดขอบทาง ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกอย่างลวกๆ แต่ก็เหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไร เพราะตอนนี้ร้องไห้จนตัวสั่นเทิ้มไปหมด สุดท้ายก็ทำได้เพียงปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้ม ... ผมโกรธ โกรธที่ถูกคนอื่นๆ ร่วมมือกันลับหลัง ... เป็นครั้งแรกที่ไม่รู้ว่าจะรับมือกับอารมณ์ของตัวเองได้ยังไง ผมไม่เคยตกอยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้

“ว่าไงมึง” เสียงคุ้นเคยของเพื่อนสนิทดังขึ้นจากปลายสาย เสียงดังจอแจที่ที่แทรกเข้ามาเป็นฉากหลัง บ่งบอกว่าจีไม่น่าจะอยู่บ้าน

“มึงไม่ได้อยู่บ้านเหรอ” ผมถามออกไป พยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้

“เปล่า ตอนนี้อยู่กับกับเพื่อนที่คณะ ... แป๊บนะ กูไปหาที่เงียบๆ คุยกับมึงก่อน ...”

“... มึงเป็นไรเปล่า เสียงมึงฟังดูไม่ค่อยดีเลย” เสียงจอแจรอบข้างค่อยๆ เบาลง จนในที่สุดผมก็ได้ยินเสียงของจีชัดเจนขึ้น

“ไม่มีไร แค่อยากรู้ว่ามึงอยู่ไหน ตอนแรกว่าจะไปหา” ผมตอบเลี่ยงๆ

“มิลค์ มึงไม่เนียน แค่ได้ยินเสียง กูก็รู้แล้วว่ามึงมีปัญหา” ผมเงียบ รู้ทั้งรู้ว่าถ้าโทรหาจีตอนนี้ยังไงก็ต้องถูกจับได้ แต่ผมอยากได้ยินเสียงจีจริงๆ ... เชี่ย!!! อยู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมา ผมรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตา


----------


มิลค์ : เจอกันพรุ่งนี้นะครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือรู้สึกไม่โอเค

#เสียใจ #โกรธ #สับสน
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนที่ 18 : ดอกไม้ในหัวใจ ตอนที่ 1/2

BMW coupe สีขาว เลี้ยวเข้ามาในลานจอดรถคณะสัตวแพทยศาสตร์ ผมกะเวลาพลาดเพราะคิดว่ารถจะไม่ติดในเย็นวันอาทิตย์ แต่ที่ไหนได้การจราจรในกรุงเทพไม่สามารถคาดเดาได้จริงๆ

“เราขอโทษ รถติดมาก” ผมรีบขอโทษเพื่อนคนอื่นๆ ที่กำลังประชุมกันอยู่ที่ม้านั่งบริเวณโถงใต้ตึกเรียน แม้จะรู้สึกว่าบรรยากาศรอบข้างแปลกๆ ยังไงชอบกลแต่ก็รีบเกินกว่าจะใส่ใจ

“ต่อไปเป็นขบวนแห่ ...” เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นมา ผมรีบรวบรวมสมาธิแล้วสลัดความคิดเรื่อยเปื่อยเมื่อครู่ออกจากหัว ... เรื่องขบวนแห่วันลอยกระทงเป็นหัวข้อรับผิดชอบของผม

“... เราเสนอให้ทุกคนโหวตว่าจะเอาไอเดียของมิลค์ หรือเอาของไกร” คิ้วของผมขมวดเข้าหากันเมื่อได้ยินว่าเราจะโหวต

“ครั้งก่อนตกลงกันแล้วไม่ใช้เหรอว่าจะใช้ไอเดียของเรา” ผมถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะจากการคุยกันครั้งก่อนพวกเราตกลงเรื่องไอเดียจบแล้ว จริงๆ วันนี้เราควรจะมาคุยกันในรายละเอียดของการดำเนินงานมากกว่า

“คือไกรเสนอไอเดียมา แล้วเรากับคนอื่นคิดว่ามันน่าสนใจ เลยอยากให้ลองโหวตกันดูอีกรอบ” ผมหันไปมองหน้าไกรที่ส่งยิ้มบางๆ กลับมาให้ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เราว่ามันน่าสนใจ มิลค์ลองฟังก่อนดีไหม” เพื่อนอีกคนในกลุ่มพูดสมทบ ผมเลยได้แต่พยักหน้ายอมรับ ... ผมฟังที่ไกรเสนอ มันก็ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีมากขนาดนั้น ... ผมว่าสถานการณ์ตอนนี้ต้องมีอะไรแปลกๆ ซ้อนอยู่

“เดียวเรามาโหวตกันเลยนะ”

“ได้แต่เพื่อความแฟร์เราขอไม่โหวต” ผมพูดเพราะตามมารยาท เพราะในฐานะเจ้าของไอเดีย ผมไม่ควรที่จะออกเสียงโหวต

“งั้นเราก็ไม่โหวตเหมือนกัน” ไกรพูดเสริมขึ้นมา

“เราโหวตของไกร / ของไกร / ของไกร / ของไกร ...” เสียงสนับสนุนไอเดียของไกรดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ผมเข้าใจทุกอย่าง ... พวกเขาตกลงกันมาก่อนหน้านี้แล้ว เพราะทุกคนที่ยกมือให้ไกรในวันนี้ คือคนเดียวกับที่สนับสนุนผมเมื่อสัปดาห์ก่อน

“... งั้นเอาตามนี้นะ เราเปลี่ยนมาใช้ไอเดียของไกร ... มิลค์มีอะไรจะเสริมไหม” ผมส่ายหน้าเบาๆ

แม้ในใจอยากจะลุกออกไปตั้งแต่รู้ผลโหวต แต่ผมก็ยังประชุมกับพวกเขาจนเสร็จเพื่อรักษามารยาทและความเป็นน้ำใจเป็นนักกีฬา ... ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรรู้สึกยังไง หรือไม่เข้าใจว่าความรู้สึกที่มีอยู่ตอนนี้มันคืออะไร อยากจะหัวเราะ อยากร้องไห้ อยากกรีดร้องทำลายข้าวของ แต่สิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้คือนั่งเงียบๆ แล้วทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผมนั่งอยู่ข้างหลังพวกมาลัย รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงสะอื้นเริ่มดังขึ้นจนต้องรีบจอดรถชิดขอบทาง ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกอย่างลวกๆ แต่ก็เหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไร เพราะตอนนี้ร้องไห้จนตัวสั่นเทิ้มไปหมด สุดท้ายก็ทำได้เพียงปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้ม ... ผมโกรธ โกรธที่ถูกคนอื่นๆ ร่วมมือกันลับหลัง ... เป็นครั้งแรกที่ไม่รู้ว่าจะรับมือกับอารมณ์ของตัวเองได้ยังไง ผมไม่เคยตกอยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้



“ว่าไงมึง” เสียงคุ้นเคยของเพื่อนสนิทดังขึ้นจากปลายสาย เสียงดังจอแจที่แทรกเข้ามาเป็นฉากหลังบ่งบอกว่าจีไม่น่าจะอยู่บ้าน

“มึงไม่ได้อยู่บ้านเหรอ” ผมถามออกไป พยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้

“เปล่า ตอนนี้อยู่กับกับเพื่อนที่คณะ ... แป๊บนะ กูไปหาที่เงียบๆ คุยกับมึงก่อน ...”

“... มึงเป็นไรเปล่า เสียงมึงฟังดูไม่ค่อยดีเลย” เสียงจอแจรอบข้างค่อยๆ เบาลง จนในที่สุดผมก็ได้ยินเสียงของจีชัดเจนขึ้น

“ไม่มีไร แค่อยากรู้ว่ามึงอยู่ไหน ตอนแรกว่าจะไปหา” ผมตอบเลี่ยงๆ

“มิลค์ มึงไม่เนียน แค่ได้ยินเสียง กูก็รู้แล้วว่ามึงมีปัญหา” ผมเงียบ รู้ทั้งรู้ว่าถ้าโทรหาจีตอนนี้ยังไงก็ต้องถูกจับได้ แต่ผมอยากได้ยินเสียงจีจริงๆ ... เชี่ย!!! อยู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมา ผมรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตา

“เปล่า ไม่มีอะไร” เชี่ยเอ้ยยยย เสียงโคตรแหบ แต่ทำไงได้ตอนนี้น้ำลายแห้งจนเหนียวคอไปหมด

“มึงร้องไห้เหรอ นี่มึงอยู่ไหน”

“อยู่บ้าน”

“อย่าโกหกกู กูได้ยินเสียงแอร์ มึงอยู่ในรถ” คนปลายสายพูดเสียงหนักขึ้นจนน่ากลัว... ตั้งแต่ไหนแต่ไร ผมไม่เคยโกหกอะไรจีได้เลยซักครั้ง ... ถูกมันจับได้ทุกที

“อยู่แถวมหาลัย”

“มึงขับรถไหวไหม” น้ำเสียงของคนปลายสายอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด

“ไหว”

“แน่ใจนะ ถ้าไม่ไหวบอกกู กูจะไปหามึงเดียวนี้เลย” ซึ้งใจจนพูดไม่ออก

“ไหวๆ แน่ใจ”

“กลับไปรอกูที่คอนโด เสร็จตรงนี้แล้วกูตามไปหา ... มีอะไรโทรหากูนะ”

“ได้ เดียวเจอกัน”



“มิลค์ มึงอยู่ไหนวะ” ทันทีที่เสียงปลดล็อกประตู digital ดังขึ้น เสียงของเพื่อนสนิทก็ก้องเข้ามาในห้องครัว

“ห้องครัว” พอปิดฝาประตูตู้เย็น ก็เห็นจียืนอยู่ตรงหน้า มันมองกระป๋องน้ำอัดลมในมือของผมไม่ละสายตา

“ถึงขนาดต้องกินน้ำอัดลม?” จีถามเพราะรู้ว่าผมชอบดื่มน้ำอัดลมเวลาเครียด

“แค่อยากนะ” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงธรรมดา สภาพของผมไม่ได้แย่เหมือนเมื่อตอนเย็น เพราะพอกลับมาถึงผมก็อาบน้ำล้างตัว แม้ในใจจะรู้สึกขุ่นมั่วอยู่บ้าง แต่ก็รู้สึกดีขึ้นมากกว่าเดิม

“มึงกินข้าวยัง”

“ยังเลย”

“ยังไม่แดกข้าวแต่แดกน้ำอัดลมเนี่ยนะ ...” พอได้ยินว่าผมยังไม่แม้แต่จะกินข้าวเย็น จีก็สาวเท้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า มือหนาคว้ากระป๋องน้ำอัดลมออกจากมือผมเตรียมจะทิ้งลงถังขยะ

“... เฮ่ออออ กูจะทำยังไงกับคนดื้อๆ อย่างมึงดี” จีถอนหายใจเฮือกใหญ่ คงเพราะเห็นกระป๋องน้ำอัดลมที่ผมกินไปก่อนหน้านี้นอนอยู่ก้นถังขยะ

“แล้วมึงกินข้าวมายัง”

“กินแล้วแต่กินอีกได้ มึงจะกินอะไร Pizza, KFC, Mc”

“Mc ละกัน อยากกิน French Fries”

“เออ ... แดกแม่งแต่ junk food อ้วนจะตายห่าแล้วมึงเนี่ย”

“ไม่ต้องเข้ามาใกล้กูเลย...” มันยิ้มแหยงๆ เมื่อผมแยกเคี่ยวใส่อย่างรู้ทันว่ามันจะเข้ามาหยิกพุง

“... ไอ้จี!!!” มันอาศัยจังหวะที่ผมเผลอเข้ามาประชิดตัว ... ผมถูกตัวควายๆ ของมันดันจนเอวจสนิท

2 มือหนาประคองใบหน้าสวยไว้ นิ้วโป้งทั้ง 2 ข้างลูปไล้สัมผัสกับขอบตาของคนตรงหน้าอย่างทนุถนอม ราวกับว่า หากออกแรงมากกว่านี้เพียงนิดเดียว ปติมากรรมชิ้นงามตรงหน้าจะบุบสลายกลายเป็นเถ้าธุลี

“ขอบตามึงยังบวมอยู่เลย เมื่อเย็นร้องไห้หนักเลยเหรอ ...” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ผมไม่รู้จะรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้ายังไง พอจะหันหน้าหนี จีก็ออกแรงประคองใบหน้าผมให้หันกลับมาสบตากันอีกครั้ง ตอนนี้เลยทำได้แค่หลบสายตาคมของเพื่อนสนิท

“... กูขอโทษ กว่าจะมาหามึงได้ก็ค่ำแล้ว ... เล่าให้กูฟังได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น” ถ้าเป็นคนอื่นๆ ผมคงบอกว่าไม่มีอะไร แต่พอคนที่ถามคือจี คลื่นอารมณ์ก็เต็มตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

“จี กูขออะไรมึงอย่างได้ไหม” น้ำตาที่เพิ่งจะเหือดแห้งไปก่อนหน้า เริ่มกลับมาเต็มตื้นอีกครั้ง

“ได้ดิ มึงขออะไร กูให้มึงได้หมด” จีตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน

“กอดกูได้ไหม กูอยากให้มึงกอด ...” ยังไม่ทันพูดจบประโยคดี ผมก็จมอยู่ในอ้อมกอดของจี แขนหนาโอบรอบหัวไหล่ของผมไว้ก่อนจะออกแรงกระชับเข้าหาตัว ความอบอุ่นแพร่ซ่านจากร่างกายของมันตรงมาที่หัวใจของผม ความเหงา ความเดียวดาย ความอ่อนล้า ... ทั้งหมดถูกเติมเต็มด้วยกอดของคนตรงหน้า

มิลค์แทบจะจมหายไปในอ้อมกอดของเพื่อนสนิท แขนเรียวยกขึ้นโอบรอบเอวของจีไว้แน่น ก่อนจะกระชับแรงกอดเข้าหาตัวเองอย่างเผลอไผล ใบหน้าสวยซบลงบนไหลกว้าง จีไม่ได้รู้สึกรังเกียจเลยด้วยซ้ำที่เสื้อของตัวเองเลอะน้ำตาของคนในอ้อมแขน ... ทั้งสองคนกอดกันอยู่อย่างนั้น ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนจะอบอุ่นและเงียบสงบ ภายใต้แสงไฟสีส้มนวลในห้องครัว ... ณ สถานที่ที่ทั้งคู่แบ่งบันความทรงจำร่วมกันมานานนับปี



“ทำไมมึงถึงได้ดีกับกูขนาดนี้” ผมเอ่ยถามเสียงแผ่ว ท่ามกลางแสงสลัวจากโคมไฟหัวเตียง เราสองคนนอนเคียงข้างกันบนเตียงหลังเดิม ต่างฝ่ายต่างนอนหงายมองเพดานห้อง

ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้จีฟังระหว่างมื้อเย็น จีไม่ได้ออกความเห็นอะไรมาก นอกเสียจากจะบอกว่าสังคมในมหาวิทยาลัยนั้นก็เปรียบเสมือนโลกภายนอกในขนาดที่เล็กกว่า และเมื่อเราเรียนจบออกไปเผชิญโลกแห่งความเป็นจริง ข้อเท็จจริงตรงนี้จะยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น จีแนะนำให้ผมมีน้ำใจและใจดีกับคนรอบข้างให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และตั้งใจทำในส่วนความรับผิดชอบของตัวเองให้ดีที่สุด เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

“กูจะไม่ทำดีกับมึงได้ไง มึงเป็นทั้งเพื่อนสนิทและคนสำคัญคนเดียวของกู” คำตอบแสนตรงไปตรงมาของจี ทำให้หัวใจของผมสั่นระรัว กลัวเหลือเกินว่าจังหวะที่หนักหน่วงนั้นจะดังจนคนที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันจะได้ยิน ... ในเสี่ยววินาทีนั้นเอง ผมสัมผัสได้ว่าดอกไม้ในใจค่อยๆ กลับมาเบ่งบานอีกครั้ง



...



ความรู้สึกของผมที่มีต่อจีเริ่มเปลี่ยนไป ... ตอนนี้ เพียงแค่สบสายตากับดวงตาชั้นเดียวคู่นั้น ไม่เกิน 3 วินาที หัวใจของผมก็เริ่มเต้นแรงจนควบคุมไม่ได้ ทุกครั้งที่เราสัมผัสกัน ผมจะรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นไปทั่วร่างกาย และหลายต่อหลายครั้งที่ผมเขินอายให้กับความใกล้ชิดที่เรามีให้กัน แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่ลึกๆ แล้วก็รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้คืออะไร

“ปิด summer มึงจะไป work and travel กับพวกมันเปล่าวะ” เสียงของจีดังออกมาจาก speaker phone … คำถามของเพื่อนสนิททำให้ผมต้องละความสนใจจากจอ PC ตรงหน้า

“ไม่แน่ใจเลยวะ กูอยากไปนะ แต่พอถามพ่อเหมือนเขาอยากให้กูไปเรียนภาษามากกว่า” ตอนนี้โปรแกรม work and travel กำลังเป็นที่นิยมในหมู่เด็กมหาลัย ใครๆ ก็พูดถึงกันทั้งนั้น ได้ทั้งไปเที่ยวต่างประเทศพร้อมกับทำงานเก็บเงิน ใครบ้างจะไม่ชอบ ... เอ่ออออ พ่อผมไงที่ไม่ชอบ

“เฮ้ย!!! จริงดิ” เสียงของจีดังลั่นด้วยความตื่นเต้นจนผมสะดุ้ง

“ตื่นเต้นอะไรขนาดนั้นวะ”

“กูว่าจะบอกมึงอยู่พอดี ... เพื่อนกูที่วิศวะ มันชวนกูไปเรียนภาษาช่วงปิด summer เหมือนกัน กูคิดอยู่ว่าจะมาชวนมึง ... ไปด้วยกันไหมมึง Canada ถ้ามึงไปด้วยก็มี 4 คน มึง กู เพื่อนกู แล้วก็พี่สาวมัน”

“ก็ดีนะ ไปกับมึงพ่อกูคงไม่ติดอะไร ... แล้วมึงลองถามพวกมันบ้างยัง” ถ้าบอกว่าไปเรียนภาษากับจี พ่ออนุญาติให้ไปอยู่แล้ว ... มีลูกรักอย่างจีไปด้วย ขอไปดาวอังคารยังได้เลย

“ยังไม่ได้ถาม แต่คิดว่าไม่น่าจะทัน พวกมันจ่ายเงินมัดจำไป Work กันหมดแล้ว”

“ได้ๆ เดียวกูถามพ่อก่อน”

“พรุ่งนี้มึงมีเรียนแถวคณะกูหรือเปล่า”

“มีนะ พรุ่งนี้มีเรียนที่วิดยา” เด็กสายแพทย์ปี 1 จะมีเรียน lecture ที่คณะวิทยาศาสตร์หลายวิชาเพราะเป็นคณะที่รับผิดชอบวิชาปรับพื้นฐานวิชาเคมี ชีวะ ฟิสิกส์ของคณะสายการแพทย์ทั้งมหาลัย

“พรุ่งนี้คณะกูมีงาน คนน่าจะเยอะ ถ้าเลี่ยงได้ ไม่ผ่านมาแถวนี้ก็ดี”

“อ่อ อืมๆ” ผมตอบรับอยากขอไปที เพราะกำลังมีสมาธิอยู่กับการทำ slide นำเสนองาน คณะของจีอยู่ใกล้กับคณะวิทยาศาสตร์ เอาจริงๆ คือคณะวิศวกรรมศาสตร์ตั้งอยู่ใจกลางมหาวิทยาลัย แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเดินไปไหนมาไหนโดยไม่ผ่านคณะวิศวะ นอกจากจะเดินอ้อมไปอีกไกลโข
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-08-2025 09:25:58 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนที่ 18 : ดอกไม้ในหัวใจ ตอนที่ 2/2

คณะวิศวกรรมศาสตร์วุ่นวายตั้งแต่เช้าตรู่ เนื่องจากจัดงาน open house เด็กนักเรียนมัธยมจากโรงเรียนทั่วสารทิศเดินกันขวักไขว่ ชมนิทรรศการของแต่ละภาควิชาอย่างสนอกสนใจ ผลตอบรับดีแบบนี้ทุกปี ห้องประชุมเต็มทุกรอบการบรรยาย เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ไปทั่วคณะ ลามไปถึงลานเกียร์ จีและเพื่อนๆ ยุ่งจนหัวหมุน นิสิตปี 2 รับผิดชอบนิทรรศการของภาควิชา ภาควิชาของจีมีนิสิตทั้งหมดเพียงร้อยกว่าคน ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนนิสิตของคณะวิศวะ แต่เนื่องจากเป็นภาคที่มีคนเรียนน้อยและเป็นที่ต้องการของตลาดทำให้อัตราการจ้างงานของบัณฑิตสูงมาก ถึงขนาดที่ยังไม่ทันเรียนจบก็มีบริษัทยักษ์ใหญ่มาจองตัวล่วงหน้า รวมถึงเงินเดือนเริ่มต้นก็สูงกว่ามาตรฐานหลายเท่า จึงไม่น่าแปลกใจที่ภาควิชานี้จะติดอันดับต้นๆ ของคณะวิศวะมาโดยตลอด

เวลาล่วงเลยมาจนบ่ายคล้อย จำนวนเด็กนักเรียนเริ่มบางตา แต่ถึงอย่างนั้นเสียงกิจกรรมกรรมต่างๆ ก็ยังดังขึ้นต่อเนื่อง

“พวกมึงๆ ไปที่หน้าคณะเร็วๆ” เพื่อนในภาคคนหนึ่งวิ่งกลับมาที่ซุ้มกิจกรรมด้วยท่าทางความตื่นเต้น

“มีอะไรวะ”

“3 แยกปากหวานไงมึง”

ภาพจำของเด็กคณะวิศวะที่ติดมาจากละครทีวีคือชอบตั้งกลุ่มบริเวณ 3 แยกเพื่อแซวคนที่เดินผ่านไปผ่านมา ... ‘3 แยกปากหวาน’ ถูกผันมาจาก ‘3 แยกปากหมา’ เป็นชื่อกิจกรรมที่จัดขึ้นพร้อมงาน open house ทุกปีเพื่อเพิ่มสีสันและความครึกครื้น โดยมีนิสิตปี 1 ของคณะวิศวะเป็นผู้รับผิดชอบตั้งซุ้มอยู่หน้าคณะเพื่อแจกดอกไม้ให้กับนิสิตหรือบุคคลทั่วไปที่เดินผ่านไปมา ความสนุกของกิจกรรมนี้อยู่ที่การใช้บทกลอนหรือคำพูดหยอดคำหวานแบบขำๆ แซวผู้คนที่เดินผ่านไปมา เพื่อเรียกเสียงหัวเราะและสร้างบรรยากาศที่สนุกสนาน และพอมาจัดในช่วงของเดือนกุมภาพันธ์ ก็ถือว่าเข้ากับเทศกาล Valentine’ s ที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

“ไรสาระ” ใครซักคนตอบกลับอย่างไม่ยี่ระ มีเฉพาะเด็กปี 1 เท่านั้นที่ตื่นเต้นกับกิจกรรมนี้ ในขณะนิสิตชั้นปีอื่นๆ ออกจะเฉยๆ เพราะแม้ว่า theme ของกิจกรรมคือให้ดอกไม้และหยอดคำหวานเพื่อสร้างสีสันและเสียงหัวเราะ แต่จะมีซักกี่คนที่อินกับเรื่องแบบนี้ ไอ้ที่คาดฝันว่าคนรับคนให้จะเขินอายมันมีแต่ในละครเท่านั้นแหละ ความเป็นจริงๆ คือสวัสดี ยื่นดอกไม้ และกล่าวขอบคุณ

“อันนี้ของจริงมึง ... มิลค์ ติฒสิงห์ อยู่หน้าคณะ” พอจบประโยค ทุกคนที่อยู่ในซุ้มต่างพร้อมใจกันวางมือจากกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ และพากันวิ่งกรูไปยังหน้าคณะด้วยความตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็น

“พวกมันหายไปไหนกันหมด” จีในชุดนิสิตสวมเสื้อ shop ทับอีกชั้นเดินถือกล่องกระดาษเข้ามาในซุ้ม

“ไป 3 แยกปากหวาน ... ไอ้พวกผู้ชายหน้าหม้อ” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งในซุ้มตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเอือมระอา

“หม้ออะไร?”

“แกไปอยู่ไหนมาเนี่ย ... ไอ้เบิร์ดมันวิ่งมาบอกว่ามิลค์ ติฒสิงห์ อยู่หน้าคณะ ...”

“... แกเคยเจอไหม คนดังเลยนะ ลูกเจ้าของ The Nemean Group อะ ฉันเจอครั้งหนึ่งแถวโรงอาหาร ผู้ชายอะไรโคตรสวย ... อ้าวไอ้จี!!!” เธอพูดอย่างออกรสออกชาติ แต่พอหันกลับมาก็พบว่าคนที่เธอคิดว่ายืนฟังอยู่ข้างหลังนั้นหายไปอีกคนแล้ว

2 เท้าก้าวยาวๆ ไปหน้าคณะ พอจีมาถึงก็พบว่าเหตุการณ์ชุลมุนมากกว่าที่คิด คนยืนมุงกันเหมือนรอขอลายเซ็นดารา แต่ต่างกันตรงที่ทุกคนต่างมีดอกไม้ในมือและทั้งหมดล้วนเป็นผู้ชาย มิลค์ยืนเด่นอยู่ใจกลางของความวุ่นวายโกลาหล โดยมีแก้ว ต่อ และต้น ยืมล้อมเป็นวงกลม จากจุดที่ยืนอยู่เขาเห็นชัดเจนว่าคนขี้ร้อนแบบมิลค์เหงื่อออกจนชุ่ม เม็ดเหงื่อเกาะพราวอยู่ทั่วโครงหน้าสวย แต่ด้วยความเป็นคนขี้เกรงใจ มิลค์จึงไม่กล้าปฏิเสธ รอยยิ้มหวานยังคงแต้มบนใบหน้า พร้อมกับกล่าวขอบคุณทุกคนที่นำดอกไม้มามอบให้

จีค่อยๆ แทรกตัวผ่านกลุ่มเพื่อนๆ ในคณะที่ยืนมุงดูเหตุการณ์ จนกระทั้งมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเพื่อนสนิท มิลค์ชะงักไปเสี่ยววินาทีเพราะไม่คิดว่าอยู่ๆ จีจะมายืนอยู่ตรงหน้า แต่แล้วรอยยิ้มสดใสก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยหวานของมิลค์

“จี ช่วยบอกเพื่อนมึงดิว่าพอก่อน พวกกูมี lab ต่อ เดียวไปเรียนไม่ทัน” ต่อเอ่ยขึ้นด้วยความร้อนใจ

“พวกมึงๆ พอก่อน มิลค์มีเรียนต่อเดียวไปไม่ทัน” จีพูดพลางโอบไหล่มิลค์แล้วดึงให้มายืนใกล้ๆ กัน

“อะไรของมึงนี่ไอ้จี” ใครซักคนตะโกนถาม

“มิลค์มีเรียน lab ต่อ เดียวไปเรียนไม่ทัน” จีอธิบายเพื่อนในรุ่นอีกครั้ง

“อันนั้นกูเข้าใจ แต่ที่ไม่เข้าใจคือเป็นอะไรกับเขาอยู่ๆ ไปกอดไหล่เขาแบบนั้นได้ไง”

“เอ้า!!! ก็เพื่อนสนิทกู ทำไมแค่นี้กูจะทำไมได้ ...”

“... มากกว่านี้ยังทำได้เลย ... โอ้ย!!!” เสียงหัวเราะครืนดังขึ้น เมื่อมิลค์ถอกข้อศอกเข้าสีข้างของจีเต็มแรงเพราะเจ้าตัวทำท่าจะก้มลงมาหอมศรีษะทุยๆ ของมิลค์

“จริงดิ?” เพื่อนคนเดิมยังคงถามด้วยความประหลาดใจ

“จริงครับ เป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่มัธยม ...” มิลค์ช่วยยืนยันสถานะความสัมพันธ์ของเขากับจี

“... ยังไงวันนี้ขอตัวก่อนนะครับ ผมมีเรียนอีกวิชา ขอบคุณนะครับสำหรับดอกไม้” มิลค์พูดอย่างอ่อนน้อมพร้อมกับยกมือไหว้ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น การกระทำนั้นยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของเจ้าตัวดูน่ารักน่าและเข้าถึงง่ายขึ้นไปอีก ใครจะไปคิดว่ามิลค์ ติฒสิงห์ ทายามเศรษฐีแสนล้าน จะมารยาทงดงามขนาดนี้

“น้องมิลค์มีแฟนหรือยังครับ พี่จีบได้ไหม” แล้วใครซักคนก็ตะโกนถามขึ้นมากลางวง

“ไอ้เหี้ย!!! พอแล้วๆ เดียวเพื่อนกูไปเรียนไม่ทัน” ยังไม่ทันที่มิลค์จะได้ตอบอะไร จีก็รีบตะโกนตัดบท พร้อมกับดึงไหล่มิลค์ให้เดินออกจากวงล้อมนั้นทันที

“พระเอกขี้ม้าขาวเวอร์” แก้วเอ่ยปากแซวเมื่อพวกเขา 5 คนเดินห่างออกมาจากกลุ่มเด็กวิศวะ

“บอกแล้วไงว่าไม่ให้มาแถวนี้” จียิ้มรับแล้วหันกลับไปคุยกับมิลค์ ทั้ง 2 คนชะลอฝีเท้าจนเริ่มทิ้งระยะห่างจากเพื่อนคนอื่นๆ

“ความผิดกูเหรอ จะไปตึก lab แล้วไม่ให้ผ่านคณะมึงได้ไง” มิลค์ยู้ปาก พอเจอเหตุการณ์วุ่นวานเมื่อครู่ถึงได้นึกขึ้นได้ว่าจีเตือนแล้วตั้งแต่เมื่อคือว่าอย่าผ่านมาแถวนี้

“ไม่ได้บอกว่าความผิดมึงซักหน่อย ...” จีเสียงอ่อย เพราะลืมตัว เลยเผลอพูดเสียงเข้มๆ

“... ร้อนไหม”

“นิดนึง” มิลค์ตอบพลางปลดกระดุมเสื้อนิสิตเม็ดบนออกหนึ่งเม็ด ก่อนจะกระพือเสื้อนิสิตเพื่อระบายความร้อน จีที่เดินอยู่ข้างๆ ถึงกับเดินตัวเกร็ง เพราะจากมุมที่เขายืนอยู่ ทำให้เขาสังเกตเห็นผิวขาวเนียนละเอียดใต้เนื้อผ้าบางเบานั้นได้อย่างไม่ตั้งใจ

“มึงถามพ่อเรื่องไป summer หรือยัง”

“ยังเลย ว่าจะถามคืนนี้ แต่คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ... พ่อไม่ติดหรอก ถ้าอ้างชื่อมึง”

“555 ... เย็นนี้เลิกกี่โมง”

“ไม่น่าเกิน 16.30 นะ”

“เลิกแล้วไปกินข้าวกันไหม”

“ไปดิ”

“ถ้าเวลาเหลือไปดูหนังกันเปล่า”

“เอาดิ” มิลค์คลี่ยิ้มกว้างอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อคิดว่าวันนี้จะได้ไปกินข้าวดูหนังกับเพื่อนสนิท

“งั้นเลิกเรียนแล้วโทรหานะ เดียวกูมารับที่ตึก lab”

“ได้ แล้วไว้เจอกัน” มิลค์หันมาส่งยิ้มให้อีกครั้ง ก่อนที่จะเดินหายเข้าไปในตึก



แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิด ไม่ว่ากิจกรรมอะไรก็ตามที่มีชื่อของจีอยู่ในนั้น พ่อโอเคเสมอ พ่อ say yes ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เห็นรายละเอียดของ program เลยด้วยซ้ำ ... วันรุ่งขึ้นค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวมทั้งค่าขนมตลอดระยะเวลา 2 เดือนกว่าที่อยู่ที่โน่นก็ถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารของผมเรียบร้อย ... รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ไปใช้ชีวิตต่างประเทศกับจี ... เพื่อนรวม trip อีก 2 คน ชื่อวายุ เรียนวิศวะเหมือนจี แต่คนละภาควิชา พี่สาวของวายุชื่อพี่แวว ที่ surprise คือพี่แววเป็นรุ่นพี่ปี 4 คณะผม อะไรโลกจะกลมขนาดนั้น แต่แค่คิดก็น่าสนุกแล้ว เสียดายอยู่อย่างเดียวคือผมไม่สามารถไป road trip กับจีและวายุต่อหลังจากเรียนจบ course เพราะพ่อขอให้ผมบินตามไปสมทบที่ New York เพื่อร่วมงานเลี้ยงสำคัญ และถือเป็นการออกงานอย่างเป็นทางการครั้งแรกของผมในฐานะลูกชายเจ้าของ The Nemean Group

“กูขอชนแก้วกับพวกมึงหน่อย ... กว่าจะได้เจอกันก็เปิดเทอมเลย” อาร์มพูดขึ้นพร้อมกับยกแก้วเบียร์ในมือขึ้นมา ตกลงว่าปิดเทอมครั้งนี้พวกเรา 5 คนต่างแยกย้ายกันไปท่องโลก มีแค่ผมกับจีที่ไปด้วยกัน ในขณะที่พวกมัน 3 คนที่เหลือไป USA เหมือนกันแต่แยกย้ายกันไปอยู่คนละรัฐ

พวกเราจะออกเดินทางในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน และกลับในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ผมจะกลับมาเป็นคนสุดท้ายคือก่อนเปิดเทอมประมาณ 1 สัปดาห์ เพราะต้องมาทำค่ายรับน้องของคณะและของมหาวิทยาลัย ส่วนจีจะกลับมาก่อนผมเล็กน้อย ... ก็อย่างที่ไอ้อาร์มเพิ่งพูดไป กว่าจะได้รวมตัวกันอีกครั้งก็คงต้องรอหลังเปิดเทอม

วันนี้พวกเรามาฉลองกันที่ร้านเหล้า เพราะเป็นวันสอบ final วันสุดท้ายของผม ... ไม่เข้าใจ ไม่ว่าจะเป็น midterm หรือ final ผมก็สอบเสร็จหลังพวกมันตลอด

“มะรือมึง 2 คนก็เดินทางแล้วดิ” ไอซ์ถาม

“อืม” ผมพยักหน้ารับ เพราะเวลาที่มีไม่มากและตารางเรียนของโรงเรียนที่กระชั้น ทำให้พวกเรา 4 คนต้องออกเดินทางหลังจากที่ผมสอบ final เสร็จเพียง 2 วัน

“จัดของเสร็จยัง” ผมถามจี

“กูจัดเสร็จแล้ว” จีตอบ ผมไม่ได้แปลกใจเพราะจีสอบเสร็จก่อนผมหลายวัน มันมีเวลาเหลือเฟือสำหรับจัดกระเป๋า

“กูยังไม่เสร็จ เหลืออีกนิดหน่อย” ของสำคัญๆ ผม pack ไว้หมดแล้ว พรุ่งนี้เก็บของอีกนิดหน่อยก็เรียบร้อย พร้อมออกเดินทาง

“แสดงว่าคืนนี้ดึกมากไม่ได้อะดิ”

“ดึกได้ พรุ่งนี้เหลือแค่ออกไปซื้อของที่ห้างอีกนิดนึง แล้วกลับมาจัดกระเป๋าให้เสร็จ”

“ให้กูไปเป็นเพื่อนไหม” จีถาม

“ไม่เป็นไร มึงอยู่กับครอบครัวมึงเถอะ” ผมปฏิเสธเพราะรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เป็น family man มากแค่ไหน ... สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากเกี่ยวกับครอบครัวของจีคือแม้ทุกคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง แต่ทุกเย็นวันอาทิตย์ครอบครัวของจีจะออกไปกินข้าวนอกบ้านด้วยกันเสมอ

“ใจหายวะ จะไม่ได้เจอหน้าพวกมึงตั้ง 3 เดือน” โจพูด พลางตีหน้าเศร้า

“คงคิดถึงพวกมึงน่าดู” ผมพูดสมทบ

“มึงนะไม่เท่าไหร่ ยังมีไอ้จีเป็นเพื่อน พวกกูนี่แยกย้ายกันไป ต้องไปนอนกับใครก็ยังไม่รู้เลย” อาร์มบ่นอุบ

“เวลาแม่งก็คนละ zone ... พวกมึงมีอะไรก็ทิ้งขอความไว้ใน MSN หรือไม่ก็ email มานะเว้ย” ไอซ์บอกพร้อมกับมองหน้าพวกเราทุกคน

“เอาโทรศัพท์มือถือไปกันไหมวะ” พวกเราทั้ง 5 คนพยักหน้าพร้อมกัน

“เอาไปแต่กูปิดไว้นะ เปิดใช้เฉพาะตอนฉุกเฉิน” ผมบอก เพื่อนๆ ที่เหลือก็พยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกันอีกครั้ง แค่โทรจากไทยไป Canada ค่าโทรก็แพงหูฉี่ ไม่อยากคิดว่าถ้าโทรจาก Canada ไป USA จะแพงขนาดไหน

“ขอโทษนะครับ” เสียงทุ้มต่ำของคนแปลกหน้าดังขึ้น ทำให้บทสนทนาที่กำลังสนุกสนานของพวกเราทั้งห้าคนต้องหยุดชะงัก

“มีอะไรหรือเปล่าครับ” ไอ้โจถามออกไปด้วยใบหน้ายิ้มๆ แต่แฝงไปด้วยความกวน

“เราขอชนแก้วเพื่อนพวกนายได้ไหม” ชายแปลกหน้าเอ่ยถามด้วยท่าทีสุภาพ

“มีกันตั้ง 5 คน นายอยากชนกับคนไหน” เพราะรู้จักกันมานานถึงได้ดูออกว่าไอ้โจมันแกล้งคนตรงหน้าไปอย่างนั้น มีหรือที่มันจะไม่รู้ว่าเขามาขอชนแก้วกับใคร ... มีอยู่คนเดียวในกลุ่มเท่านั้นที่มีแรงดึงดูดแต่กับเพศเดียวกัน

“คนนี้ ...” ชายแปลกหน้าตอบ พร้อมกับแก้วที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอร์บรรจุอยู่ครึ่งแก้วถูกยื่นออกมาตรงหน้าผม

“...ชนแก้วกันได้ไหมครับ” เขาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

แม้จะเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งแต่ผมไม่เคยจะรับมือกับมันได้ซักที ถ้าไม่ชนจะถูกหาว่าหยิ่งหรือไม่มีมารยาทไหม แต่ถ้าชนอีกฝ่ายจะเขาใจว่าผมเล่นด้วยหรือเปล่า ... ความลังเลฉายชัดอยู่ในแววตาของผม

“ไม่ได้ครับ ... เพื่อนผมไม่สะดวกชนแก้วกับใครทั้งนั้น” อยู่ๆ มันก็โพล่งขึ้นมากลางวง น้ำเสียงเข้มๆ กับสีหน้าตึงๆ บ่งบอกได้ชัดเจนว่าเพื่อนสนิทของผมกำลังอารมณ์ไม่ดี ... ผมรู้สึกถึงวงแขนแข็งแรงโอบรอบไหล่ พร้อมกับแรงดึงให้ขยับเข้าไปใกล้ จนตอนนี้แผ่นหลังครึ่งหนึ่งของผมแนบชิดอยู่กับอกของจี ถ้าทำได้ ผมคิดว่ามันคงอุ้มผมไปนั่งบนตักแล้วด้วยซ้ำ

“จีใจเย็น” ผมเอี่ยวตัวกลับไปมองคนข้างหลัง ในขณะที่นิ้วมือเรียวสวยสัมผัสลงบนหน้าขาของเพื่อนสนิทเพื่อดึงอารมณ์ขุ่นๆ ให้เบาลง

“อย่าดื้อได้ไหมวะ หรือมึงจะชนแก้ว? ...” แต่นอกจากจะไม่สามารถทำให้คนข้างๆ ใจเย็นลงได้แล้ว ผมยังโดนลูกหลงเข้าเต็มๆ น้ำเสียงเข้มๆ นั่นยังพอทน แต่สายตาเรียบนิ่งที่ตวัดมามองผมนั้นทำเอาสันหลังผมเย็นวาบ ... winter is coming ... แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากส่ายหัวปฏิเสธ ... ดวงตาคู่สวยหลบสายตาของคนตาชั้นเดียวอย่างจำยอม

“... เพื่อนผมไม่ชน ถ้าจะชนก็ชนกับผม” พูดจบมันก็ยื่นแก้วออกไปชนกับคนตรงหน้าหน้าตาเฉย

เสียงชนแก้วดัง ‘แคร้ง’ พร้อมกับคนแปลกหน้าที่เดินคอตกกลับไป

“มึงสร้างเรื่องอีกแล้วนะไอ้มิลค์” จีหันมาว่าผมเสียงเข้ม

“เกี่ยวไรกับกูวะ” ผมถามกลับด้วยความงุนงง ผมผิดตรงไหน นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้สนใจใครเลยด้วยซ้ำ

“มึงจะแต่งตัวอะไรมากมาย กูบอกมึงแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้ใส่เสื้อคอวี แหกจนจะเห็นสะดือ” เจ้าตัวยังคงบ่นต่อไม่หยุด

“มึงก็เวอร์ไป เสื้อคอวีปกติไหมวะ” ผมเถียง

“เรื่องของมึง ... กลับไปนั่งที่ได้แล้ว” พูดจบ จีก็แทบจะยกตัวผมกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม

“อะไรของมึงเนี่ย” งงในงง มึงเป็นฝ่ายดึงกูเข้าไปหาเองไม่ใช้เหรอวะ



หลังจากนั่งหน้าตึงอยู่ซักพัก ด้วยทักษะการปล่อยมุกของไอ้อาร์ม ในที่สุดบรรยากาศก็กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง ทั้งเสียงเพลง บรรยากาศรอบข้าง และแอลกอฮอร์ในแก้ว ทำให้บทสนทนาของพวกเราไหลลื่นไม่มีสะดุด ผมหวังว่าเสียงหัวเราะและรอยยิ้มในค่ำคืนนี้จะช่วยเติมเต็มพลังใจของพวกเราในคืนสุดท้ายก่อนจะแยกย้ายกันออกไปเผชิญโลกกว้าง

“จี กูชวนไอ้มิลค์ไปห้องน้ำนะ” ไอซ์พูดขึ้น ในขณะที่จีกำลังสนทนากับไอ้อาร์มและไอ้โจอย่างออกรส ... คิ้วเข้มของจีเลิกขึ้นเล็กน้อย เหมือนกำลังชั่งใจว่าจะตามพวกเราออกไปด้วยดีไหม แต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับรู้ แล้วหันกลับไปคุยกับเพื่อนอีก 2 คนต่อ เลนมีแค่ผมที่เดินตามแผ่นหลังไอซ์ออกมาด้านนอก

“กูสูบบุหรี่แป๊บ...” มันเดินเลี่ยงออกมาด้านข้างที่เป็นโซนสำหรับสูบบุหรี่โดยเฉพาะ ... ไอซ์เริ่มสูบบุหรี่ช่วงเข้ามหาลัย เคยบอกให้มันเลิก แต่มีเหรอคนอย่างมันจะยอม ... มันสูบไม่บ่อย นานๆ จะเห็นมันสูบซักครั้ง อย่างว่าแหละ บรรยากาศคืนนี้มันดีจริงๆ

“... เมื่อกี้คืออะไรวะ...” ไอซ์ถามขึ้นหลังจากจุดบุหรี่มวนแรก

“... มึงกับไอ้จีอะ” มันขยายความเมื่อเห็นเครื่องหมาย ‘?’ บนใบหน้าของผม

“ก็ไม่มีอะไรนิ” ผมพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่เนียนเอาเสียเลย

“ตอแหลสัส ... อธิบายมาว่าเมื่อกี้คืออะไร ...”

“... มันหึงมึง? หรือว่า ... มึง 2 คนได้กันแล้ว” พูดจบมันก็สูบนิโครตินเฮือกใหญ่เข้าปอด พลางหรี่ตามองผมด้วยสายตาจ้องจับผิด

“เพ้อเจ้อ ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”

“ไอ้มิลค์ ถ้ามึงไม่เล่าดีๆ กูจะเค้นคอมึงออกมานะ” ไอ้เหี้ย จะโหดไปไหน กูเพื่อนมึงนะเว้ย

ผมมองหน้ามัน ไอซ์จ้องตาผมพรางยกมือขึ้นจรดปลายบุหรี่ลงบนริบฝีปากเป็นพักๆ ท่าคีบบุหรี่ของไอ้ไอซ์คือกร้าวใจมาก เท่ห์สัส เหมือนหลุดออกมาจากนิตยาสาร ตามสไตล์ Casanova ตัวพ่อ แต่ไม่อยากบอกมันเพราะกลัวจะได้ใจ

...

...

...

“กูไม่รู้”

“ไม่รู้? หมายความว่าอะไรวะ”

“กูไม่รู้ว่าระหว่างกูกับมันคืออะไร กูไม่รู้ว่ากูควรจะทำตัวยังไง ควรจะรู้สึกยังไง ...” ผมยอมรับออกมาในที่สุด

ผมรู้มาซักพักแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับจีไม่ใช้ความสัมพันธ์ปกติของคนเป็นเพื่อนกัน ช่วงหลังๆ มานี้ ความพิเศษระหว่างเรามีมากขึ้นจนคนรอบข้างเริ่มจับสังเกตได้

“... ควรจะตัดใจ หรือควรจะไปต่อ กูไม่รู้เหี้ยอะไรเลย” ช่วงเวลาที่ผ่านมามีคำถามมากมายเกิดขึ้น แต่ผมไม่สามารถหาคำตอบให้กับคำถามเหล่านั้นได้เลยซักอย่าง

“มึงชอบมัน?”

“กูไม่รู้” ความสับสนมันกัดกินไปถึงข้างในหัวใจ แม้แต่คำถามง่ายๆ ผมยังตอบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

“อย่ากวนตีน”

“กูไม่รู้จริงๆ”

“เอาสั้นๆ ไม่ต้องคิดอะไรซับซ้อน มึงชอบมันไหม?”

“กูชอบมันได้เหรอ”

“แล้วอะไรทำให้มึงคิดว่าไม่ได้วะ” มันหรี่ตามองก่อนจะสูบนิโครตินเข้าปอดอีกครั้ง

“มันเป็นเพื่อนสนิทกูไง ถ้าสุดท้ายแล้วมันจบแบบไอ้บอน ... กูไม่อยากจะเสียมันไป ...”

“... แต่อีกใจ กูโคตรมีความสุขเลยเวลาอยู่ใกล้มัน”

“มึงคุยกับมันหรือยัง” ผมส่ายหน้าให้กับคำถามของไอซ์

“ใครจะกล้าคุย ... มันชอบ ...” ผมพูดไม่ออก คำว่า 'ผู้ชาย' มันติดอยู่ที่ริมฝีปาก

“... ชอบแบบกูหรือเปล่า กูยังไม่รู้เลย” ผมไม่รู้จริงๆ และไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงความเป็นไปได้นั้นด้วยซ้ำ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา จีไม่เคยแสดงท่าทีใดๆ ที่บ่งบอกว่าเขาอาจจะชอบคนเพศเดียวกัน

“มึงกำลังสับสน...” ผมพยักหน้ายอมรับความจริง

“... แล้วไป summer กับมันตั้ง 2 เดือน มึงจะไหวเหรอวะ” ดวงตาคู่สวยช้อนตาขึ้นมองเพื่อนสนิทอีกครั้ง ผมมีคำพูดค้างคาอยู่ในใจมากมาย แต่กลับไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร

“บางครั้งกูก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองตัดสินใจถูกไหม” เพราะมัวแต่ตื่นเต้นดีใจถึงช่วงเวลาที่จะได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เลยทำให้ผมไม่ได้คิดให้รอบคอบ กว่าจะคิดได้ ก็ไม่สามารถจะหันหลังกลับแล้ว

“เฮ่อออออออ ไม่ต้องกังวลกับสิ่งที่มึงตัดสินใจไปแล้ว ... มองอีกมุมหนึ่ง มึงก็มีเวลาตั้ง 2 เดือนเพื่อหาคำตอบ ... มึงชอบมันไหม มันชอบมึงหรือเปล่า ใช้ช่วงเวลานี้ในการหาคำตอบให้กับทุกคำถามที่มึงสงสัย ...”

“... ไม่มีโอกาสไหนอีกแล้วที่มึงจะเป็นตัวของตัวเองได้มากเท่ากับช่วงที่อยู่ที่โน่นอีกแล้ว รู้สึกในสิ่งที่มึงอยากจะรู้สึก ทำในสิ่งที่มึงอย่างทำ เป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด ...”

“... ไม่ต้องคิดเหี้ยอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรืออนาคต แค่มีสมาธิอยู่กับปัจจุบัน ... แต่ที่สำคัญ มึงต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง”

“แล้วถ้ากูหาคำตอบไม่ได้”

“หาคำตอบไม่ได้ ก็กลับมาหาต่อที่เมืองไทย ... ไปใช้ชีวิตกับมัน กูว่าอย่างน้อยๆ มันก็ต้องเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำของชีวิตมึง ...”

เสียงแจ้งเตือนข้อความจากมือถือของไอซ์ดังขึ้น มันเหลือบตามองเพียงเสียววินาที

“... เดียวกูกลับเข้าไปก่อน ไอ้ 2 คนนั้นถ่วงเวลาไอ้จีไม่ไหวแล้ว มึงไปล้างหน้าล้างตาแล้วปรับอารมณ์ตัวเองให้เรียบร้อย ถ้าไอ้จีเห็นสีหน้ามึงตอนนี้ มันเอากูตายแน่”

“ขอบใจนะ”

“อืม ไม่ต้องคิดอะไรมาก มีไรก็ MSN หากู” พูดจบมันก็ทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพื้น รองเท้าผ้าใบสีขาวขยี้ลงบนก้นนิโคตินที่เหลืออยู่เพื่อให้แน่ใจว่าเปลวไฟดับมอดลงแล้วจริงๆ

“ที่ถามกูเมื่อกี้ มึงไม่อยากได้คำตอบแล้วเหรอ” ผมถาม เพราะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ตอบคำถามของมัน

“กูได้คำตอบของกูแล้ว” พูดจบมันก็เดินจากไป


----------


มิลค์ : รักแต่ก็กลัว จากน้องมิลค์คนเดิมเพิ่มเติมคือไม่แน่ใจว่าจะชนะความกลัวได้ไหม

#รัก #กลัว #กล้า
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
“... แกเคยเจอไหม คนดังเลยนะ ลูกเจ้าของ The Nemean Group อะ ฉันเจอครั้งหนึ่งแถวโรงอาหาร ผู้ชายอะไรโคตรสวย ... อ้าวไอ้จี!!!”

2 เท้าก้าวยาวๆไปหน้าคณะ พอจีมาถึงก็พบว่าเหตุการณ์ชุลมุนมากกว่าที่คิด คนยืนมุงกันเหมือนรอขอลายเซ็นดารา แต่ต่างกันตรงที่ทุกคนต่างมีดอกไม้ในมือและทั้งหมดล้วนเป็นผู้ชาย มิลค์ยืนเด่นอยู่ใจกลางของความวุ่นวายโกลาหล โดยมีแก้ว ต่อ และต้น ยืมล้อมเป็นวงกลม จากจุดที่ยืนอยู่เขาเห็นชัดเจนว่าคนขี้ร้อนแบบมิลค์เหงื่อออกจนชุ่ม เม็ดเหงื่อเกาะพราวอยู่ทั่วโครงหน้าสวย แต่ด้วยความเป็นคนขี้เกรงใจ มิลค์จึงไม่กล้าปฏิเสธ รอยยิ้มหวานยังคงแต้มบนใบหน้า พร้อมกับกล่าวขอบคุณทุกคนที่นำดอกไม้มามอบให้


----------


มิลค์ : อากาศร้อนจนแทบจะละลาย จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือยิ้มแย้มให้กับทุกคน


#3แยกปากหวาน #ดอกไม้ #ชุลมุน
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
“บอกแล้วไงว่าไม่ให้มาแถวนี้” จียิ้มรับแล้วหันกลับไปคุยกับมิลค์ ทั้ง 2 คนชะลอฝีเท้าจนเริ่มทิ้งระยะห่างจากเพื่อนคนอื่นๆ

“ความผิดกูเหรอ จะไปตึก lab แล้วไม่ให้ผ่านคณะมึงได้ไง” มิลค์ยู้ปาก พอเจอเหตุการณ์วุ่นวานเมื่อครู่ถึงได้นึกขึ้นได้ว่าจีเตือนแล้วตั้งแต่เมื่อคือว่าอย่าผ่านมาแถวนี้

“ไม่ได้บอกว่าความผิดมึงซักหน่อย ...” จีเสียงอ่อย เพราะลืมตัว เลยเผลอพูดเสียงเข้มๆ

“... ร้อนไหม”

“นิดนึง” มิลค์ตอบพลางปลดกระดุมเสื้อนิสิตเม็ดบนออกหนึ่งเม็ด ก่อนจะกระพือเสื้อนิสิตเพื่อระบายความร้อน จีที่เดินอยู่ข้างๆ ถึงกับเดินตัวเกร็ง เพราะจากมุมที่เขายืนอยู่ ทำให้เขาสังเกตเห็นผิวขาวเนียนละเอียดใต้เนื้อผ้าบางเบานั้นได้อย่างไม่ตั้งใจ


----------


มิลค์ : อากาศมันร้อนเลยต้องปลดกระดุม จากน้องมิลค์ตยเดิม เพิ่มเติมคือมีคนเดินตัวเกร็งอยู่ข้างๆ

#ไม่ได้ตั้งใจ #แค่ร้อน #จริงๆนะ
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
2 มือหนาประคองใบหน้าสวยไว้ นิ้วโป้งทั้ง 2 ข้างลูปไล้สัมผัสกับขอบตาของคนตรงหน้าอย่างทนุถนอม ราวกับว่า หากออกแรงมากกว่านี้เพียงนิดเดียว ปติมากรรมชิ้นงามตรงหน้าจะบุบสลายกลายเป็นเถ้าธุลี

“จี กูขออะไรมึงอย่างได้ไหม”

ได้ดิ มึงขออะไร กูให้มึงได้หมด”

“กอดกูได้ไหม กูอยากให้มึงกอด ...” ยังไม่ทันพูดจบประโยคดี ผมก็จมอยู่ในอ้อมกอดของจี แขนหนาโอบรอบหัวไหล่ของผมไว้ก่อนจะออกแรงกระชับเข้าหาตัว ความอบอุ่นแพร่ซ่านจากร่างกายของมันตรงมาที่หัวใจของผม ความเหงา ความเดียวดาย ความอ่อนล้า ... ทั้งหมดถูกเติมเต็มด้วยกอดของคนตรงหน้า

มิลค์แทบจะจมหายไปในอ้อมกอดของเพื่อนสนิท แขนเรียวยกขึ้นโอบรอบเอวของจีไว้แน่น ก่อนจะกระชับแรงกอดเข้าหาตัวเองอย่างเผลอไผล ใบหน้าสวยซบลงบนไหลกว้าง จีไม่ได้รู้สึกรังเกียจเลยด้วยซ้ำที่เสื้อของตัวเองเลอะน้ำตาของคนในอ้อมแขน ... ทั้งสองคนกอดกันอยู่อย่างนั้น ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนจะอบอุ่นและเงียบสงบ ภายใต้แสงไฟสีส้มนวลในห้องครัว ... ณ สถานที่ที่ทั้งคู่แบ่งบันความทรงจำร่วมกันมานานนับปี


----------


“กูจะไม่ทำดีกับมึงได้ไง มึงเป็นทั้งเพื่อนสนิทและคนสำคัญคนเดียวของกู” คำตอบแสนตรงไปตรงมาของจี ทำให้หัวใจของผมสั่นระรัว กลัวเหลือเกินว่าจังหวะที่หนักหน่วงนั้นจะดังจนคนที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันจะได้ยิน ... ในเสี่ยววินาทีนั้นเอง ผมสัมผัสได้ว่าดอกไม้ในใจค่อยๆ กลับมาเบ่งบานอีกครั้ง



----------


มิลค์ : There is light even in the darkest of times จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือกำลังจะมีความรัก

#กอด #ดอกไม้ในหัวใจ #เบ่งบาน
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 19
«ตอบ #76 เมื่อ09-08-2025 15:42:05 »

Teaser ตอนที่ 19

"มึงไหวนะ กูเป็นห่วง"

"ไหว ที่คุยกันวันนั้น กูคิดอะไรได้เยอะเลย ... " ไอซ์เป็นคนเดียวที่รู้เรื่องระหว่างจีกับผม ส่วนคนอื่นผมไม่แน่ใจว่าพวกมันไม่รู้ หรือรู้แล้วไม่พูดกันแน่

"...จริงๆ แล้วตอนนี้กูตื่นเต้นมากกว่า นี่เป็นครั้งแรกที่กูต้องไปอยู่ต่างประเทศคนเดียว"

"มึงไม่ต้องกังวล ไอ้จีไม่ปล่อยให้มึงคลาดสายตาหรอก"

"แต่กูกับมัน นอนคนละบ้าน ไม่รู้จะได้เจอกันบ่อยแค่ไหน" เดิมทีผมวางแผนจะนอนบ้านเดียวกันกับจีแต่กฏของโรงเรียนอนุญาติให้ host family รับนักเรียนได้ชาติละ 1 คนเท่านั้น เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนทุกคนใช้ภาษาอังกฤษให้มากที่สุด

"อย่าคิดมาก อยู่เมืองไทย มึง 2 คนยังเจอกันโคตรบ่อย ไปอยู่เมืองนอกกัน 2 คน ดีไม่ดีมันเก็บของมานอนกับมึงตั้งแต่สัปดาห์แรก"

"ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดี"

"มึงไม่ต้องคิดอะไรมาก ไปเที่ยวให้สนุก ..." ไอซ์ตบบ่าผมเบาๆ

"... แต่ที่สำคัญ มึงต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง" มันย้ำประโยคเดิมอีกครั้ง

“อืม ขอบใจมึงมากๆ"

"ปะ ไอ้จีมันเหล่มองมาหลายครั้งแล้ว" ไอซ์พูดพลางพยักเพยิดไปทางจี

"พวกมึงโชคดีนะเว้ย" จีพูดขณะที่พวกเรา 5 คนยืนจับกลุ่มกันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะแยกย้าย

"เหมือนกัน เจอกันอีก 3 เดือนข้างหน้า ... พวกเรามากอดกันหน่อยดิ" ไอ้อาร์มพูดจบ พวกเราทั้ง 5 คนต่างก็กรูเข้าไปกอดคอกันกลมกลางสนามบิน ภาพของกลุ่มเด็กผู้ชายห้าคนกอดกันแน่น สร้างความสนใจให้กับผู้คนที่เดินผ่านไปมาไม่น้อย


----------


มิลค์ : เจอกันวันอาทิตย์ครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือออกเดินทางไกล

#Summer # Canada #Friendship
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 19 : ไกลบ้าน
«ตอบ #77 เมื่อ10-08-2025 09:55:27 »

ตอนที่ 19 : ไกลบ้าน part 1/2

ผมยืนกอดอกมองพวกมัน 4 คนยืนคุยกันสนุกปากอยู่หน้าจุด check in ของสายการบิน พวกเรายิ้ม หัวเราะ และตบมุกกันไปมา ... กว่าจะได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งก็ 3 เดือนนับจากนี้ ... ทั้งๆ ที่ผมกับจีบอกแล้วว่าไม่ต้องมาแต่พวกมันก็ยืนยันว่าจะมาส่ง

“จี กูว่าได้เวลาแล้วแหละ” ไอซ์พูดหลังจากพวกเรายืนคุยกันมาพักใหญ่

“อืม งั้นเดียวกูไปลาป๊าม๊าก่อน”

“ไอ้มิลค์ ... มึงมาคุยกับกูแป๊บดิ ...” ยังไม่ทันที่ผมจะเดินตามหลังจีไปสวัสดีป๊าม๊า เสียงของไอซ์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะ

“... แป็บเดียว ยังไงมึงก็ได้ไปกราบลาพ่อตาแม่ยายมึงอยู่แล้ว” ผมถลึงตาใส่มัน ไม่อยากให้คนอื่นๆ ได้ยิน โชคดีที่คนอื่นมัวแต่คุยกันจนไม่ได้สนใจบทสนทนาของเราสองคน ... ไอซ์พยักหน้าให้อาร์มและโจ ก่อนจะเดินเลี่ยงออกมาพร้อมกับผม

"ว่าไงมึง" ผมถาม

"มึงไหวนะ กูเป็นห่วง"

"ไหว ที่คุยกันวันนั้น กูคิดอะไรได้เยอะเลย ... " ไอซ์เป็นคนเดียวที่รู้เรื่องระหว่างจีกับผม ส่วนคนอื่นผมไม่แน่ใจว่าพวกมันไม่รู้ หรือรู้แล้วไม่พูดกันแน่

"...จริงๆ แล้วตอนนี้กูตื่นเต้นมากกว่า นี่เป็นครั้งแรกที่กูต้องไปอยู่ต่างประเทศคนเดียว"

"มึงไม่ต้องกังวล ไอ้จีไม่ปล่อยให้มึงคลาดสายตาหรอก"

"แต่กูกับมัน นอนคนละบ้าน ไม่รู้จะได้เจอกันบ่อยแค่ไหน" เดิมทีผมวางแผนจะนอนบ้านเดียวกันกับจีแต่กฏของโรงเรียนอนุญาติให้ host family รับนักเรียนได้ชาติละ 1 คนเท่านั้น เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนทุกคนใช้ภาษาอังกฤษให้มากที่สุด

"อย่าคิดมาก อยู่เมืองไทย มึง 2 คนยังเจอกันโคตรบ่อย ไปอยู่เมืองนอกกัน 2 คน ดีไม่ดีมันเก็บของมานอนกับมึงตั้งแต่สัปดาห์แรก"

"ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดี"

"มึงไม่ต้องคิดอะไรมาก ไปเที่ยวให้สนุก ..." ไอซ์ตบบ่าผมเบาๆ

"... แต่ที่สำคัญ มึงต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง" มันย้ำประโยคเดิมอีกครั้ง

“อืม ขอบใจมึงมากๆ"

"ปะ ไอ้จีมันเหล่มองมาหลายครั้งแล้ว" ไอซ์พูดพลางพยักเพยิดไปทางจี

"พวกมึงโชคดีนะเว้ย" จีพูดขณะที่พวกเรา 5 คนยืนจับกลุ่มกันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะแยกย้าย

"เหมือนกัน เจอกันอีก 3 เดือนข้างหน้า ... พวกเรามากอดกันหน่อยดิ" ไอ้อาร์มพูดจบ พวกเราทั้ง 5 คนต่างก็กรูเข้าไปกอดคอกันกลมกลางสนามบิน ภาพของกลุ่มเด็กผู้ชายห้าคนกอดกันแน่น สร้างความสนใจให้กับผู้คนที่เดินผ่านไปมาไม่น้อย



"มึงคุยอะไรกับไอซ์" จีถามขึ้นมาในขณะที่เรา 2 กำลังต่อแถว Immigration

"ไม่มีอะไร มันฝากซื้อของ..." ผมตอบออกไปอย่างไม่เต็มเสียงนัก พยายามเลี่ยงที่จะสบตา คำตอบของผมทำให้คนตรงหน้าขมวดคิ้วกลับมา ผมน่าจะรู้ดีว่าตัวเองไม่เคยโกหกจีได้เลยซักครั้ง

"... จี กูกังวลวะ ..." คิดได้แบบนั้น เลยต้องพยายามเปลี่ยนเรื่อง ไม่อย่างนั้นผมต้องถูกมันซักจนสารภาพทุกอย่างออกมาแน่ๆ

"... กูไม่เคยไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศคนเดียวมาก่อน" คิ้วหนาค่อยๆ คลายออก ในขณะที่สายตาของจีจ้องตาของผมไม่กระพริบ

"ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวกูดูแลมึงเอง" จบคำพูดนั้น มือหนาก็อบกุมมือของผมไว้แน่น ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว ... เชี่ย!!! หัวใจของผม รู้สึกวูบวาบราวกับเล่นรถไฟเหาะ

"อ่อออ เออออออ ... ชอบใจ ..." อยู่ๆ ผมก็ไม่สามารถสบสายตาของจีได้ ... ผมเขิน เขินจนต้องหลบสายตาคู่นั้น

“... จี ... คือกู”

“คนต่อไปครับ” แล้ว moment ของผมกับจีถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเรียกจากพี่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง

หลังจากผ่านด่านตรวจเข้ามาด้านใน เรา 2 คนมุ่งหน้าไปยัง gate เพื่อสมทบกับวายุและพี่แวว

“อ้าว!!! คิดว่าใคร ... น้องมิลค์คนดังนี่เอง” พี่แววทักขึ้นทันทีที่เห็นว่ารุ่นน้องที่จะมาร่วม trip ครั้งนี้คือผม... พี่แววอยู่ปี 4 ซึ่งก็ถือว่าห่างจากผมพอสมควร ไม่ค่อยมีกิจกรรมที่ปี 1 กับปี 4 จะได้ทำร่วมกันเท่าไหร่นัก สารภาพเลยว่าครั้งที่ได้ยินชื่อผมคิดหน้าพี่เขาไม่ออก แต่พอเจอหน้าเท่านั้นแหละ ใครบ้างจะจำพี่แววไม่ได้ ... เพราะความสวยโดดเด่นของพี่เขาเลยทำให้พี่แววตกเป็น topic ในกลุ่มของพวกผมหลายครั้ง ครั้งหนึ่งไอ้แก้วเคยประกาศกร้าวว่าพออยู่ปี 4 มันจะต้องสวยสู้พี่แววให้ได้

“พี่แววสวัสดีครับ” ผมไหว้พี่แววตามความเคยชิน นั้นทำให้จีที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกมือไหว้ตาม พี่แววส่งยิ้มให้เรา 2 คน เป็นยิ้มที่โคตรสวย

“คนดังเลยเหรอครับ” ก่อนที่ผมจะเอ่ยปากพูดคุยกับรุ่นพี่ร่วมคณะ น้ำเสียงนิ่งเรียบของเพื่อนสนิทก็ดังขึ้น มันมองหน้าผมกับพี่แววสลับกันไปมา

“จีไม่รู้อะไร ที่คณะ มิลค์นี่ popular มาก ...” พี่แววตอบจีอย่างสนิทสนม ... เท่าที่จีเคยเล่าให้ฟัง มันเคยเจอพี่แววมาก่อนนี้ครั้งหรือสองครั้ง ในขณะที่ผมถ้าไม่นับว่าเคยเดินผ่านกันที่คณะ ก็ไม่เคยได้พูดคุยกับพี่แววเป็นการส่วนตัวมาก่อน

“... นี่ถ้าไอ้กวินมันรู้ว่าน้องคณะที่มา summer กับพี่คือน้องมิลค์ มันจะต้องเสียใจที่ตอนพี่ชวนแล้วมันไม่มาด้วยกัน” คิ้วของจีขมวดเข้าหากัน ก่อนที่เจ้าตัวจะคลายออกและปรับสีหน้าให้เป็นปกติในทันที โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

“แฮะๆ ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” ผมหัวเราะแห้งๆ พยายามเสแสร้งกลบเกลื่อนไม่สนใจสายตาคาดคั้นกดดันที่ส่งมาจากคนที่อยู่ข้างตัว ... ลืมไปซะสนิทเลยว่าพี่แววเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันกับพี่กวิน

“วายุ ถ่ายรูปพี่กับน้องมิลค์หน่อย พี่จะส่งไปยั่วไอ้กวิน” พูดจบกล่องถ่ายรูปดิจิตอลก็ถูกยัดใส่มือวายุ ก่อนที่พี่แววจะเดินมาคล้องแขนผมเพื่อโพสต์ท่าถ่ายรูป

“กวินคือใครวะ” นั้นไง นึกแล้วไม่มีผิดว่ามันต้องถาม เพราะหลังจากถ่ายรูปเสร็จ พี่แววก็กลับไปอยู่กับน้องชาย ... เหมือนทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ แล้วปล่อยให้ผมเอาตัวรอดเอง

“พี่ที่คณะ” ผมพยายาม keep cool เพื่อหวังจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้

“อันนั้นกูรู้อยู่แล้วไหม ...” มันตอบกลับเสียงเข้ม พร้อมกับคิ้วหนาที่เริ่มขมวดเป็นปมอีกครั้ง ผมรู้สึกเหมือนลมหนาวกำลังจะพัดมา

“... จะบอกกูดีๆ หรือจะให้กูเค้น” ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ ที่คนข้างๆ ดูจะสนอกสนใจกับการที่มีคนเข้ามาขายขนมจีบผมซะเหลือเกิน

“เออ เขาจีบกู ...” สุดท้ายผมก็ทนกับสายตาคาดคั้นของจีไม่ไหว

“... เจ้าของดอกกุหลาบวันวาเลนไทด์ที่มึงลืมไว้ที่ร้านอาหารไง”

“555 กูจำได้แล้ว” จีหัวเราะออกมาเบาๆ มันก็สมควรจะจำได้อยู่หรอก

วันวาเลนไทด์ที่ผ่านมาพี่กวินเอาดอกไม้มาให้ผม ท่ามกลางสายตาประชาชีนับสิบๆ คู่ แล้วพอดีกับที่เย็นวันนั้นผมนัดจีไว้เพื่อคุยกันเรื่อง summer trip ก็เลยต้องหิ้วดอกไม่ไปด้วย หลังจากที่ทั้งแซวทั้งซักผมยกใหญ่มันก็อาสาถือดอกไม้ช่อนั้นให้ แต่แล้วเจ้าตัวกลับลืมช่อดอกไม้ไว้ที่ร้านอาหาร กว่าผมจะคิดออกก็ตอนถึงบ้าน ... แต่ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีเพราะผมไม่คิดจะเก็บดอกไม้ไว้อยู่แล้ว จริงๆ ที่รับมาเพราะไม่อยากหักหน้าพี่กวิน เพราะฉะนั้นการที่จีทำดอกไม้หายไปทำให้ต่อมรู้สึกผิดของผมทำงานน้อยลงไปเยอะ



บนเครื่องบินผมนั่งคู่กับจี ในขณะที่ 2 พี่น้องนั่งห่างจากพวกผมไปพอสมควร flight บินยาวนาน และน่าเบื่อ ดูหนังก็แล้ว เล่นเกมก็แล้ว กินก็แล้ว ไม่มีวี่แววว่าเวลาจะผ่านไปเร็วขึ้น

“ยุกยิ๊กอะไรของมึงวะ” จีถามขึ้น คงเพราะเห็นผมขยับตัวซ้ายๆ ขวาๆ อยู่นานสองนาน

“เบื่ออะ เมื่อย ไม่มีอะไรทำ” ผมบ่นหน้างอ

“กูบอกให้มึงบิน business จะได้นั่งสบายๆ มึงก็ไม่บิน”

“ก็กูอยากนั่งกับมึง” ยิ่งพูดผมก็ยิ่งหน้างอ เมื่อยโว้ยยยยยยยย

“นอนไหม”

“พยายามแล้ว นอนไม่หลับ” ทำน่าจะเคลิ้มแต่เอาเข้าจริงก็ข่มตาหลับไม่ได้

“เยอะนะมึงเนี่ย”

“แล้วมึงจะมาว่ากูทำไม” ผมถามกลับอย่างงงๆ ผมอยู่เฉยๆ ของผม มันถาม ผมก็ตอบ แล้วมาว่าผมทำไม

“เออๆ ไม่ได้ว่า ฟังเพลงไหม ...”

“... ฟังๆ ไปเถอะ อย่าเรื่องมาก” พูดจบมันก็ยัดหูฟังใส่หูโดยไม่ถามความเห็นผมซักคำ ... เออ ฟังก็ได้ ... สไตล์การฟังเพลงของจีไม่ต่างกับผมเท่าไหร่นัก ... เพลง pop สบายๆ เพลงแล้วเพลงเล่าถูกเล่นสลับกันไปมา ... และในจังหวะที่ผมกำลังเคลิ้มๆ

“อะไร...” ผมถามเมื่อนิ้วมือของเพื่อนสนิทสะกิดที่แขนยิกๆ มันบุ้ยปากไปยัง air hostage ที่เดินไปมาเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย

“... เขาน่ารักดีวะ” หัวใจของผมกระตุกราวกับถูกกระแสไฟเบาๆ ช๊อต มันไม่ได้มากแต่ก็พอจะทำให้รู้สึกคันยิบๆ ในจังหวะที่พี่เขาเดินกลับมา ผมที่ทำเหมือนไม่สนใจแต่จับสังเกตได้ว่ามีจังหวะเพียงเสี่ยววินาทีที่เขามองจี ... แค่นั้นในใจของผมก็เหมือนมีพายุหมุ่นอยู่ข้างใน ... ในหัวประมวลผลอย่างรวดเร็ว และในจังหวะที่พี่เขาเดินย้อนกลับไปผมก็คิดอะไรบางอย่างออก

“จี นอนนะ” รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นในใจ

“อืม เอาดิ”

“นอนไม่สบายอะ ... ขอหนุนนะ” พูดจบผมก็วางหมอนใบเล็กตรงหัวไหล่ของเพื่อนสนิท จัดตัวเองพลิกองศาให้เหมาะสม แล้วทิ้งน้ำหนักลงบนตำแหน่งที่คุ้นเคย ในจังหวะที่ air hostage เดินวนกลับมา ด้วยองศาที่ถูกจัดวางไว้พอเหมาะ โดยที่ผมไม่ต้องเงยหน้ามองด้วยซ้ำ ... เรา 2 คนสบตากัน และแน่นอนว่าผมไม่สามารถห้ามตัวเองให้หุบยิ้มบางๆ ที่มุมปากได้

เมื่อเหตการณ์ผ่านพ้นไป ในขณะที่มิลค์กำลังยกยิ้มเพราะภูมิใจกับชัยชนะเล็กๆน้อยๆของตัวเอง แต่เจ้าตัวหารู้ไหมว่าเจ้าของไหล่ที่กำลังอิงแอบอยู่นั้นก็เก็บยิ้มเจ้าเล่ห์ของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่แล้วเหมือนกัน



จากที่คิดว่าจะนอนเล่นๆ ทำไปทำมาผมกลับหลับจริงซะงั้น ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนที่เครื่องใกล้จะ landing แล้ว ... ความวุ่นวายเกิดขึ้นทันทีที่เราถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง เพราะพวกเราทั้ง 4 คนต่างหลับ เลยไม่มีใครได้กรอกเอกสารเข้าเมืองเลยแม้แต่คนเดียว ทุกอย่างดูสับสนวุ่นวาย กว่าจะกรอกเอกสารครบและผ่านด่าน ตม. มาได้ก็ช้ากว่าเวลานัดหมายไปร่วมชั่วโมง

“Hey!!!, Are you Milk?” ทันทีที่เดินออกมาจากข้างนอกผมก็ถูกเรียกโดยผู้หญิงมีอายุคนนึง

“Yes” เธอผอม ใส่แว่น ผมยาวหยิกสีน้ำตาลแดง สูงประมาณผม

“Hi, I’ m Linda. Your host mother. Let go, we are so late” ผมจำได้ตั้งแต่ก่อนเธอจะแนะนำตัวซะอีกว่าเธอคือเจ้าของบ้านที่ผมจะไปอาศัยอยู่ เรา email คุยกันหลายครั้งเรื่องการเตรียมตัวและความเป็นอยู่ของผมตลอดช่วงเวลา 2 เดือนกว่าที่ผมต้องอยู่กับเธอ ... พูดจบเธอก็คว้า carry on ของผมแล้วเดินนำออกประตูไป ... ทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนในใจของผมวูปไหว เพราะคิดมาตลอดว่าจะมีเวลาได้ลำลาเพื่อนสนิท หันกลับไปหาจี ก็พบว่าเจ้าตัวตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับผม มันกำลังเดินตามหลังผู้ชายร่างท้วมไปอีกทาง ... เรามีเวลาเพียงแค่เสี่ยววินาทีเท่านั้นที่จะได้บอกลากันผ่านทางสายตา

ตลอดทางกลับบ้าน Linda อธิบายเรื่องต่างๆ มากมาย ผมฟังบ้าง ใจลอยไปบ้าง เพราะมัวแต่คิดถึงจี เพิ่งเริ่มต้นผมชีวิตในต่างได้ได้ไม่ถึง 30 นาที ผมก็รู้สึกเหงาจับใจเสียแล้ว แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่เธอพูดมา ผมจับใจความได้ว่าวันนี้ช่วงเย็นจะมี party เล็กๆ ที่บ้านเพื่อเลี้ยงอำลานักเรียนอีกคนที่กำลังจะบินกลับ แต่ถ้าผมเหนื่อยล้าจากการเดินทางก็สามารถแยกไปพักผ่อนได้โดยไม่ต้องเกรงใจ

เธอเล่าให้ฟังว่าตอนนี้ที่บ้านมีนักเรียนอยู่ 3 คน ไม่นับคนที่กำลังจะบินกลับในอีกวันสองวัน เป็นผู้ชาย 2 คน คนเกาหลีและบราซิล อีกคนเป็นผู้หญิงชาวญี่ปุ่น เธอยังบอกผมอีกว่าเธอไม่มีโอกาสได้รับนักเรียนคนไทยบ่อยนัก ครั้งสุดท้ายที่มีนักเรียนคนไทยมานอนบ้านเธอคือประมาณ 3 ปีที่แล้ว ... รถยนต์เริ่มเข้าเขตชุมชน จากนั้นเธอก็บอกผมว่าต้องนั่ง bus สายไหนไปเรียน และขากลับถ้าผมเห็น supermarket สีเหลืองๆ ด้านขวามือแสดงว่าอีก 2 ป้ายจะถึงแล้ว

บ้านของ Linda ปลูกอยู่บนเนิน เป็นบ้าน 2 ชั้นบวกกับชั้นใต้ดิน 1 ชั้น รวมเป็น 3 ชั้น แต่ละชั้นมีห้องนอน 2 ห้อง ห้องนั่งเล่นรวมกับห้องกินข้าว ห้องน้ำ และห้องครัวอย่างละ 1 ห้อง แม้ทุกชั้นมีห้องกินข้าวและห้องครัว แต่เพื่อความเป็นระเบียบเลยมีกฎว่าจะต้องกินข้าวและทำอาหารที่ชั้น 1 เท่านั้น ครอบครัวของ Linda อยู่ชั้น 2 ส่วนเด็กๆ จะอยู่ชั้น 1 กับชั้นใต้ดิน ห้องนั่งเล่นชั้น 1 มีคอมพิวเตอร์อยู่สามารถใช้ได้ตามสบาย … ห้องของผมอยู่ชั้นใต้ดิน โดยมีเพื่อนชาวบราซิลอยู่ห้องถัดไป

พอเข้ามาในบ้าน คงเพราะกำลังจะมี party บรรยากาศเลยดูคึกคัก ทุกคนต่างมารวมตัวกันอยู่ที่ชั้น 1 ตอนแรกคิดว่าจะขอตัวไปพักผ่อน ผมเลยเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องส่งยิ้มทักทาย และแนะนำตัวให้กับทุกคนตามมารยาท ก่อนที่ Linda จะให้ Bruno เพื่อนชาวบราซิลช่วยผมยกกระเป๋าลงมา

“ห้องของเราอยู่ข้างๆ นายนะ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้ ... นี่ห้องน้ำ บ้านนี้ไม่มีกฎเรื่องจำนวนครั้งของการอาบน้ำ แต่เราขอว่าตอนเช้าๆ อย่าอาบน้ำนาน เพราะถ้าน้ำร้อนหมดหม้อ กว่าจะใช้ได้อีกทีต้องใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ถ้านายจัดของเสร็จแล้วก็ตามขึ้นไป party ข้างบนนะ” ผมพยักหน้าเข้าใจ เพราะถูกบรีฟมาก่อนแล้วว่าบ้านแต่ละหลังจะมีกฎเรื่องการอาบน้ำที่แตกต่างกัน

ห้องผมมีขนาดประมาณ 3 x 3 เมตร เล็กกว่าหอที่ผมเคยอยู่เสียอีก และเนื่องจากอยู่ชั้นใต้ดินเลยไม่มีหน้าต่าง ในห้องไม่ได้มีอะไรมากมายนักนอกจากเตียงขนาด 1 คนนอน ตู้เสื้อผ้า โต๊ะทำงาน และมุมว่างๆ อีกมุมหนึ่งที่ผมสามารถเอาไว้เก็บกระเป๋าเดินทางได้ ... เฮ่ออออ ให้ความรู้สึกเหมือนกลับมานอนหออีกครั้ง ... วางกระเป๋าเสร็จผมก็เดินออกมาสำรวจด้านนอก แม้ห้องนอนจะมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ห้องนั่งเล่นกลับกว้างขวาง มีโซฟาขนาดใหญ่ตั้งอยู่มุมห้องตรงข้ามกับทีวีขนาด 50 นิ้ว อีกมุมหนึ่งมีเตียงลมวางอยู่ ดูจากขนาดแล้วน่าจะนอนได้ 2- 3 คนสบายๆ ห้องน้ำดีกว่าที่คิดเพราะมีห้องอาบน้ำแยกออกมาเป็นสัดส่วนชัดเจน ห้องครัวขนาดเล็กมากแต่ก็ไม่ได้สำคัญเพราะไม่ได้ใช้อยู่แล้ว

3 ทุ่มกว่า ผมก็รู้สึกหนักหนังตาจนแทบจะลืมไม่ขึ้น เลยขอตัวลงมานอน คงเป็นเพราะ jet lack ตอนนี้ที่เมืองไทยน่าจะประมาณ 6 โมงเช้าเท่านั้น ... แต่พอเปิดประตูห้องน้ำเท่านั้น หัวใจของผมก็หล่นวูบไปจนอยู่ที่ตาตุ่ม แมงมุมตัวใหญ่สีดำสนิทยืนนิ่งอยู่กลางห้องน้ำ ผมไม่เคยเจอแมงมุมตัวใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ในหัวประมวณผลอย่างรวดเร็วว่าจะรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้ายังไง ... โอเค ผมยอมแพ้

“Bruno เรารบกวนนายหน่อยได้หรือเปล่า ...” หนุ่มบราซิลผิวเข้ม รูปร่างสูงใหญ่พยักหน้ารับ เขาเดินตามผมลงมาชั้นล่าง และพอเปิดประตูห้องน้ำเจ้าแมงมุมสีดำก็ยังอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมคือพอเห็นผมมีเพื่อนเพิ่มมาอีกคนมันก็ยกขาหน้าทั้ง 4 ข้างขึ้นตั้งการ์ดพร้อมต่อสู้

“...Shit!!!” ผมสถบออกมาอย่างลืมตัวพร้อมกันก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ

“เดียวฉันจัดการให้ ...” พูดจบ Bruno ก็เดินกลับเข้าห้องของตัวเอง ไม่นานเขาออกมาพร้อมกับขวดโหลแก้ว และกระดาษ A4 พับครึ่ง

“... นายถอยไปรอข้างนอก แล้วถ้ามันวิ่งหนี นายรีบเข้าไปหลบในห้องก่อน” ผมพยักหน้าหงึกๆ แล้วถอยหลังออกจากห้อง

Bruno เดินเข้าไปหาแมงมุมตัวนั้นอย่างระมัดระวัง … โหลแก้วครอบถูกครอบลงบนแมงมุมตัวใหญ่อย่างรวดเร็วก่อนที่กระดาษ A4 จะถูดสอดเข้าไปด้านใต้เพื่อใช้เป็นฐาน ... เขาใช้ 2 มือประคองยกโหลแก้วและกระดาษขึ้นพร้อมกันจากพื้นอย่างระวัง พอตำแหน่งถูกต้องเจ้าตัวก็ดึงกระดาษออก เจ้าแมงมุมสีดำตกลงใปในชักโครกเสียงดัง ต๋อม ก่อนจะถูก flush หายไป

“นายไม่ชอบแมงมุม?”

“ไม่ชอบ” ผมส่ายหัว สัตว์ 2 ชนิดที่ผมไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกับมันได้คือแมงมุม กับแมลงสาบ

“ถ้ามีอีกก็เรียกละกัน เจ้าพวกนี้มันดุ บางตัวก็มีพิษ”

“โอเค ขอบคุณนายมากๆ”

แค่หัวถึงหมอน สติของผมก็ลอยหายไปอย่างรวดเร็ว เสียงเพลงและเสียงหัวเราะที่ดังมาจากชั้นบนไม่ได้ส่งผลต่อการนอนของผมเลยแม้แต่น้อย ... เช้าวันถัดไป ผมถูกปลุกด้วยเสียงเคาะประตู

“ครับ?” แปลกใจนิดหน่อยที่เปิดประตูออกมาแล้วเจอ Mark สามีของ Linda

“มีโทรศัพท์ถึงนาย ...” ผมขมวดคิ้ว มองโทรศัพท์ไร้สายที่ถูกยื่นมาตรงหน้า

“... เขาบอกว่าเป็นเพื่อนของนาย”

“ขอบคุณครับ ...”

“... Hello”

“มิลค์!!!”

“จี!!!” จากที่สลึมสลือสติไม่เต็มร้อย พอได้ยินเสียงของจีเท่านั้น ความง่วงก็หายไปทันตา

“เออกูเอง ... family เป็นไงบ้าง”

“ก็ดี คนเยอะ ครึกครื้น family มึงละ”

“อึมๆ วะ host กูเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ เด็กบราซิลอีกคนก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน”

“เหรอ ... แย่วะ”

“เออมึง บ่ายนี้นัดกันไหม”

“เอาดิๆ แต่จะเจอกันยังไงอะ”

“เดียวกูโทรไปนัดไอ้วายุก่อน แล้วโทรหามึงอีกทีนะ”

“ได้ๆ เดียวกูรอ”

หลังวางสายจากจี ผมเดินขึ้นมาชั้น 1 ข้างบนเงียบสนิท อาจเป็นเพราะทุกคนกำลังพักผ่อนหลังจากเต็มที่กับงาน party เมื่อคืน ในตู้เย็นมีอาหารที่เหลือจากงานเลี้ยงแช่อยู่หลายอย่าง เมื่อวาน Linda บอกผมว่าอาหารที่อยู่ในตู้เย็นถ้าไม่ได้แปะชื่อไว้คือสามารถหยิบออกมากินได้

“Good morning” ผมเงยหน้าขึ้นจากจานอาหารก็เจอ Linda ในชุดเสื้อยืนกางเกงวอร์มเดินลงมาจากชั้นบน

“Good morning” เธอชะงักไปเล็กน้อยเมื่อผมส่งยิ้มให้

“เธอน่ารักมาก”

“555 ผมเหรอ ... ไม่หรอกครับ”

“ฉันพูดจริง เวลาเธอยิ้ม น่ารักมาก ... ฉันว่า Bruno ต้องชอบเธอมากแน่ๆ”

“คุณก็พูดไป ผมอยู่เงียบๆ ของผมเขาไม่มาสนใจผมหรอกครับ” ผมไม่ได้ประหลาดใจที่ Linda บอกว่า Bruno จะต้องชอบผม ผมสัมผัสได้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่า Bruno มีรสนิยมเหมือนผม และผมก็ว่า Bruno ก็รับรู้ว่าผมมีรสนิยมเหมือนเขา

“วันนี้เธอมีแผนจะทำอะไรบ้าง อยากให้ฉันบอก Bruno ให้พาเธอไปเที่ยวในเมืองไหม” เธอยิ้มกรุ่มกริม ยังไม่ทันไร host mother ก็ทำหน้าที่เป็นแม่สื่อซะแล้ว

“555 ไม่เป็นไรครับ ...” ผมหัวเราะกลบเกลื่อน

“... ผมมีนัดกับเพื่อนๆ”

“เพื่อน?”

“เพื่อนคนไทยที่มาด้วยกันนะครับ”

แล้วบทสนทนาของผมกับ Linda ก็ดำเนินต่อไปอีกหลายเรื่อง เธอเล่าเรื่องต่างๆ ในชีวิตของเธอให้ผมฟังมากมาย จนผมยังแอบทึ่งว่าเห็น look เป็นแม่บ้านลูก 2 แบบนี้ชีวิตวัยรุ่นของเธอก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน ... จากช่วงสายของวันจนตอนนี้เข็มสั้นของนาฬิกาชี้จนเกือบจะถึงเลข 1 แม้จะแอบงีบหลับไปบนโซฟาแล้วตื่นมากินมื้อเที่ยง ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจีจะโทรกลับมา

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 19 : ไกลบ้าน
«ตอบ #78 เมื่อ10-08-2025 09:56:25 »

ตอนที่ 19 : ไกลบ้าน part 2/2

“เฮ่ออออออ” อดไม่ได้ที่จะถอดหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ... ผมกำลังล้างจานอยู่ในครัว เสียงน้ำไหลกับเสียงกระทบกันของเครื่องครัวดังขึ้นเป็นเสียงพื้นหลัง หันไปมองนาฬิกา บ่าย 2 ครึ่งแล้ว ... สงสัยนัดของเราวันนี้ต้องยกเลิก คงต้องรอถึงวันจันทร์ถึงจะได้เจอจี

ก๊อกๆๆ เสียงเคาะกระจกตรงอ่างล้างจานทำเอาผมสะดุ้งออกจากภวังค์

“เฮ้ย!!!” วินาทีนั้นผมคิดว่าตัวเองกำลังฝัน ... จียืนอยู่อีกฝังหนึ่งของหน้าต่าง ... มันฉีกยิ้มกว้างจนตาชั้นเดียวของมันกลายเป็นสระอิ ... พอตั้งสติได้ผมก็ชี้นิ้วไปทางประตูบ้าน

“มึงมาได้ไง” ผมถามเมื่อเปิดประตูให้เพื่อนสนิทเข้ามาในบ้าน

“กูขอให้ host ขับรถมาส่ง” ผมกระพริบตาปริบๆ ให้กับคำตอบของจี ... ความปลาบปลื้มเอ่อล้นอยู่ในใจ

“กูนึกว่านัดวันนี้จะล่มซะแล้ว”

“ไม่ล่มๆ กูนัดวายุกับพี่แววไว้ในเมือง มึงจะเปลี่ยนชุดไหมหรือไปชุดนี้” มันมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

“เปลี่ยนๆ ... แต่เดียวกูแนะนำมึงกับ Linda ก่อน ...”

“... Linda คุณว่างอยู่หรือเปล่า” ผมเดินขึ้นมาตรงชานพักบันไดชั้น 2

“ว่างๆ มีอะไรหรือเปล่า”

“ผมมีคนที่อยากจะแนะนำให้คุณรู้จัก”

“โอเค เดี๋ยวฉันลงไป” ไม่นาน Linda ก็เดินลงมาจากชั้น 2

“Hello” จีเป็นฝ่ายทักเธอก่อนพร้อมยื่นมือออกมา check hand ตามธรรมเนียม

“Hello”

“Linda นี่เพื่อนสนิทของผม ชื่อจี”

“Oh ยินดีที่ได้รู้จัก ฉัน Linda มิลค์บอกฉันว่าพวกเธอมากัน 4 คน”

“ใช่ครับ ยังมีวายุ และพี่สาวชื่อแวว”

“ดีเลย ฉันว่าเราต้องชวนพวกเธอมาจัด party อาหารไทยด้วยกันซักมื้อ”

“555 จะดีเหรอครับ” ผมหัวเราะแห้ง สำหรับวายุกับพี่แววผมไม่รู้ แต่การจะให้ผมกับจีทำอาหารมื้อใหญ่ไม่น่าจะเป็นความคิดที่ดีเท่าไหร่นัก

“ดีซิ เครื่องแกงที่ฉันขอให้เธอเอามานะ เธอจะลองทำให้พวกเรากินวันไหนดี” What!!! ทำให้กิน อะไร ยังไง ใครทำ ... ผมเหรอ จะบ้าหรือเปล่า ... พอได้ยินว่าจะให้ผมทำอาหาร คนข้างๆ ก็หลุดหัวเราะออกมาจนผมต้องใช้ข้อศอกกกระทุ้งสีข้างมัน ... จีรู้ว่านอกจากต้มมาม่า ทอดไส้กรอก และปิ้งขนมปังแล้ว ผมก็ทำอย่างอื่นไม่เป็นเลย

“เออออออ เดียวรอให้ผมปรับตัวซักพักก่อนนะครับ”

“ได้เลย เธอพร้อมเมื่อไหร่บอกฉันได้เสมอ ...” ถ้ารอให้พร้อมก็คงไม่มีวันนั้นหรอกครับ

“... แล้วนี้พวกเธอจะไปไหนกันต่อ”

“เรานัดเพื่อนคนอื่นๆ ไว้ที่ down town นะครับ”

“ดีเลย อย่าลืมนะ ถ้าเธอเห็น supermarket สีเหลืองๆ อีก 2 ป้ายเธอต้องลงแล้ว ... แล้วฉันขอเตือนไว้ก่อนว่าอย่าเดินจากบ้านไป down town เด็ดขาดเพราะจะต้องผ่าน zone ที่ homeless อยู่ มันอันตราย”

“ครับ/ครับ”

ผมพาเพื่อนสนิทเดินลงมาชั้นใต้ดิน จีชมไม่หยุดปากเลยว่าบ้านของ Linda สวยและสะอาดมากเมื่อเปรียบเทียบกับบ้านของตัวเอง

“ห้องมึงสบายตาดีนะ ...” มันยืนอยู่ตรงหน้าประตูแล้วมองไปรอบๆ ห้องนอนของผมปูด้วยพรหมสีน้ำตาลอ่อน บุ wall paper สีครีม มีโคมไฟสูงวางอยู่ที่มุมห้อง 2 ฝั่ง

“... เตียงมึงก็โคตรนุ่ม ... เปลี่ยนชุดดิวะ เดียวไม่ทัน” พูดจบจีก็กระโดดขึ้นมานั่งบนเตียงของผม

“เออ มึงรอนี่เดียวกูเปลี่ยนชุดแป๊บ”

“มึงจะไปไหนวะ” มือที่กำลังเอื้อมไปจับลูกบิดประตูหยุดชะงัก

“เปลี่ยนชุดไง”

“เปลี่ยนในนี้ดิวะ จะออกไปเปลี่ยนข้างนอกทำไม ... หรือว่าอาย ...” ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ เรา 2 คนเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องเดียวกันมานับครั้งไม่ถ้วน แต่พอเริ่มคิดไม่ซื่อกับเพื่อนสนิท การแก้ผ้าต่อหน้าจีกลับเป็นเรื่องที่กระดากใจอยู่ไม่น้อย

“... มึงเขินกูเหรอ หรือมีอะไรซ้อนไว้ ไปแอบสักมาหรือไง” มันทำสีหน้าจ้องจับผิด พร้อมกับทำท่าจะเข้ามาคลุกวงในเพื่อสำรวจ

“บ้า ไม่ได้สัก ... เปลี่ยนก็เปลี่ยน แต่มึงห้ามแกล้งกูนะเว้ย” ผมก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติพร้อมกับแยกเขี้ยวขู่คนตรงหน้า

“เออๆ ไม่แกล้ง รีบเปลี่ยนเร็ว” เหมือนชี้โพรงให้กระรอกยังไงไม่รู้ ปากบอกไม่แกล้งแต่จีกลับฉีกยิ้มกว้างจนไม่น่าไว้ใจ

ผมก้มลงเปลี่ยนกางเกงอย่างรวดเร็ว แต่ปัญหาอยู่ที่ตอนเปลี่ยนเสื้อ เพราะความเขินผมเลยดึงเสื้อไหมพรหมและเสื้อยืดตัวในออกพร้อมกัน ทำให้เสื้อทั้ง 2 ตัวติดกันจนไม่สามารถดึงให้หลุดออกทางหัวได้ ... เชี่ย!!! มีอะไรจะน่าอายกว่านี้อีกไหม ผมติดอยู่ในท่าที่ทั้งโคตรน่าอายและโคตรล่อแหลมต่อหน้าคนที่ตัวเองแอบชอบ

ลูกกระเดือกของจีขยับขึ้นลงตามจังหวะกลืนน้ำลาย จะขำก็ขำไม่ออก เมื่อเห็นเสื้อติดอยู่ตรงหัวของเพื่อนสนิท จะดึงออกหรือใส่กลับที่เดิมเจ้าตัวก็ทำไมได้ซักอย่าง มันดิ้นไปมาพยายามจะดึงเสื้อให้หลุดออก ... แม้จะดูตลกแต่ภาพที่เห็นทำเอาสติของจีไม่อยู่กับร่องกับรอย มันไม่ใช้คนออกกำลัง ทำให้ร่างตรงหน้าไม่ได้มีกล้ามเนื้อมากนัก แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขามาที่สุด คงหนีไม่พ้นผิวที่โคตรเนียนราวกับว่าเจ้าของร่างนั้นอาบน้ำผึ้งแช่น้ำนมทุกวัน ไหนจะตุมไตสีอ่อนบนหน้าอกที่แค่เผลอไผลคิดจินตนาการ อารมณ์ของเขาก็เหมือนจะเตลิดไปไกล ... จีลุกยืนขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะก้าวไปหยุดอยู่ตรงหน้าเพื่อนสนิท มือหนาจับเสื้อทั้ง 2 ตัวไว้แน่น

“อยู่นิ่งๆ เดียวกูช่วย” พอได้ยินเสียงของเขา มิลค์ก็หยุดดิ้นไปมา แผ่นอกเนียนตรงหน้ากระเพื่อมขึ้นลงตามการหายใจของเจ้าตัว ... พอได้อยู่ใกล้ หัวใจก็เหมือนจะเต้นเร็วกว่าเดิม ... นิ้วโป้งสอดเข้าไปใต้ชายเสื้อที่ม้วนขมวดเข้าหากัน มือหนาค่อยดึงเสื้อให้ยกสูงขึ้นตามทิศทางของแขนเพื่อนสนิท ... พอเสื้อถูกดึงออกถึงได้เห็นว่านอกจากผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงแล้ว ใบหน้าของมิลค์ก็เหมือนจะมีสีแดงแต้มอยู่ตรงแก้มบางๆ



ผมกับจียืนขดตัวอยู่หน้าป้ายรถเมย์ เลยเวลานัดหมายไปเกือบ 40 นาทีแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของวายุและพี่แวว อากาศหนาวจนผมรู้สึกได้ว่าจมูกของตัวเองน่าจะแดงไม่ต่างอะไรจากอันปังแมน

“ไปกันเถอะมิลค์” จีเอ่ยชวน

“ถ้าวายุกับพี่แววมาแล้วไม่เจอ มันจะไม่เป็นไรเหรอ” ผมถามด้วยความลังเล

“ไม่เป็นหรอก มาแล้วไม่เจอเดียวพวกเขาก็ไปเดินเล่นกัน 2 คน ... ไปเถอะ หนาววะ หิวด้วย” จีตอบพลางถูมือเข้าหากันเบาๆ

ผมยืนแหงนหน้ามองเมนูอาหารที่ติดอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ เรา 2 คนเดินเข้า Sandwich ชื่อดังที่อยู่ไม่ไกลจากป้ายรถเมย์มากนัก

“กูอ่านไม่รู้เรื่อง” ผมยอมแพ้ อ่านเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการให้เราสั่งยังไง แม้จะเป็นร้านที่มีให้เห็นทั่วไปในกรุงเทพ แต่ผมกลับไปเคยกินมันเลยซักครั้ง

“มึงไปนั่งไป เดียวกูสั่งให้ แบ่งกันคนละครึ่งนะ”

“เออ” ผมเดินไปนั่งที่เก้าอี้ทรงสูงข้างหน้าต่าง ไม่นานจีก็เดินตามมา

“มึงสั่งอะไรมาเนี่ย!!!” ผมอุทาน เมื่ออยู่ๆ ก็มี sandwich ขนาด 12 นิ้วมาวางอยู่ตรงหน้า

“บ่นไรวะ สั่งมากินคนละครึ่ง ...” sandwich ขนาด 6 นิ้วถูกยื่นมาตรงหน้า ... ผมกลืนน้ำลายลงคอ เพิ่งกินข้าวกลางวันไปได้ไม่กี่ชั่วโมง แล้วผมจะกินหมดไหม

“... กินๆ ไปเถอะ กินไม่หมดเดียวที่เหลือกูจัดการเอง” ผมลงมือจัดการอาหารตรงหน้า และก็เป็นไปตามที่คิดไว้ ... จีเป็นคนจัดการ sandwich อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือของผม

กินเสร็จ เรา 2 คนเดินเล่นกันต่อ ทุกอย่างดูตืนตาตื่นใจไปหมด เข้าร้านโน้นออกร้านนี้ เดินเก็บบรรยากาศ ไปเรื่อยๆ สภาพแวดล้อมโคตรดี เหมือนที่เคยเห็นในหนัง Hollywood ตึกสูง ท้องฟ้าปลอดโปร่ง อากาศเย็นสบาย รู้ตัวอีกทีเวลาก็ล่วงเลยไปถึง 5 โมงกว่า ถึงเวลาที่จะต้องกลับบ้านเพราะวันนี้เป็นมื้อแรกที่ผมจะได้ร่วมโต๊ะอาหารกับทุกคน

“แวะกินอะไรร้อนๆ ก่อนไหม” จีถามในขณะที่พวกเราเดินผ่านร้านกาแฟชื่อดัง

“ก็ดีนะ อากาศโคตรหนาว” สำหรับคนเมืองหนาวอากาศแบบนี้ถือว่าสบายๆ แต่สำครับคนเมืองร้อนแค่นี้ก็ถือว่าหนาวมากแล้ว

ผมเดินเข้ามาในร้านกาแฟที่การตกแต่งร้านไม่ต่างจากที่เมืองไทยมากนัก

“Chocolate ร้อนเนอะ แบ่งกันกิน” จีถามในขณะที่เรายืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์

“ได้ เดียวกูเลี้ยง เมื่อกี้มึงจ่ายไปแล้ว” ผมเสนอตัวเลี้ยงเพราะมื้อก่อนหน้าจียืนยันว่าจะเป็นคนจ่าย

“เอาดิ เดียวกูไปหาที่นั่ง” ผมมองตามแผ่นหลังของเพื่อนสนิทที่เดินห่างออกไป ... เพิ่งนึกได้ว่าความรู้สึกโหวงๆ เคว้งๆ ตั้งแต่เมื่อวานหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

“อะ” ผมยื่นแก้ว chocolate ให้คนตรงหน้า จีถอดเสื้อกันหนาวตัวนอกพาดไว้บนพนักพิง ผมเลยทำตามบ้างเพราะรู้สึกร้อนตั้งแต่เดินเข้ามาในร้าน

“มึงกินก่อนเลย” แก้ว chocolate ร้อนในมือที่ยื่นไปให้เพื่อนสนิทถูกดันกลับมา

“ขอบใจ ...” ผมยิ้มพลางจิบเครื่องดื่มร้อนๆ เพื่อคลายหนาว ... ความรู้สึกที่รสหวานของ chocolate ร้อนค่อยๆ ไหลลงคอ มันช่างดีต่อใจเสียเหลือเกิน ไม่แปลกว่าทำไมใครหลายคนจะชอบดื่มเครื่องร้อนๆ เพื่อใช้คลายหนาว

“... บ้านมึงอยู่แถวไหนอะ” ผมรู้แค่บ้านของเรา 4 คนอยู่ zone เดียวกันแต่ไม่รู้ว่าอยู่ใกล้ไกลกันมาขนาดไหน

“ไอ้ supermarket สีเหลืองที่ Linda พูดถึงนะ กูต้องลงก่อน 2 ป้าย”

“ดีอะ พอรู้ว่ามึงอยู่ใกล้ๆ ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมา” พึ่งจะรู้สึกตัวหลังจากที่คำพูดนั้นหลุดออกจากปากไปแล้ว ... เชี่ย!!! นี่ผมพูดอะไรออกไป เผลอแสดงความรู้สึกมากเกินไปหรือเปล่า

“อยู่ใกล้กันก็ดี เหงาๆ กูจะได้มาเล่นบ้านมึง” จีพูดพร้อมกับยิ้มบางๆ

“เอาดิ กูว่า Linda เขาดู happy นะเวลามีแขกมาบ้านนะ”

พอ chocolate หมดแก้ว เรา 2 คนก็นั่งรถเมย์กลับ ตอนแรกผมคิดว่าจีจะลงเมื่อถึงป้ายแต่มันบอกกับผมว่าอยากไปนั่งเล่นบ้านผมก่อนเพราะกลับไปก็อยู่คนเดียว ไม่รู้จะทำอะไร



ที่บ้าน Linda กำลังเตรียมทำ sushi สำหรับมื้อเย็น เธอบอกผมว่าเธอตั้งใจทำมื้อนี้เพื่อเป็นการเลี้ยงต้อนรับผมอย่างเป็นทางการ ผมกับจีเลยอาสาเป็นลูกมือช่วยเธออีกแรง ตอนแรกผมจินตนาการว่าเธอจะอวดฝีมือปั้น sushi ได้คล่องแคล้วราวกับเชฟร้านอาหารญี่ปุ่น แต่ก็ต้องฝันค้างเมื่อเห็นว่าที่จริงแล้วเธอใช้แม่พิมพ์ช่วย จนแล้วจนรอด สุดท้ายผมกับจีลงสนามลอง DIY ปั้น sushi เป็นของพวกเราเองเหมือนกัน

ผมที่กำลังจัดวาง sushi ใส่ในแม่พิมพ์ อดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะเพื่อนสนิทที่มีท่าทางเก้งๆ กังๆ ไม่ต่างกัน จีกำลังออกแรงกดแม่พิมพ์อย่างทุลักทุเล เพื่อให้ซูชิขึ้นรูปสวยงาม เพิ่งนึกได้ว่าเรา 2 คนไม่เคยทำอาหารเป็นจริงเป็นจังแบบนี้ด้วยกันซักครั้ง อย่างมากเวลานอนค้างคืนด้วยกันก็แค่ต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินเท่านั้นเอง

“มองไร” เชี่ย!!! อีกแล้วเหรอวะ วันนี้ผมเผลอตัวกับเพื่อนสนิทบ่อยครั้งเกินไปแล้ว ... กว่าจะรู้ตัว จีก็เป็นฝ่ายจ้องผมอยู่ก่อนแล้ว

“มึงดูสนุก” ผมรีบหาเรื่องเปลี่ยนประเด็น

“ทำอาหารก็สนุกดีเหมือนกันนะ ทำไมเวลาอยู่เมืองไทยเราไม่ทำอาหารด้วยกันบ่อยๆ วะ” มันถาม เหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ในใจ

“บรรยากาศมั้ง อยู่เมื่อไทยอะไรก็ง่าย หิวก็แค่โทรสั่ง เดินออกไปหน้าบ้านก็มีของกินแหละ” สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้คือการกินข้าวในร้านอาหารที่นี้ถือว่าแพง และแน่นอนว่าไม่มีรถเข็นหรือร้านข้างทางเหมือนเมืองไทย

“อืม ก็คงงั้น แต่ได้มาทำอะไรแบบนี้กับมึงก็ดีเหมือนกัน” ผมอมยิ้มให้กับคำตอบของจี ... บางครั้งผมก็อดสงสัยไม่ได้ ... หรือจะไม่ใช้แค่ผมคนเดียวที่รู้สึก

จากตอนแรกที่คิดว่าจะขอตัวกลับบ้านก่อน แต่ด้วยความน่ารักและช่างชวนคุยของลินดา สุดท้ายจีก็มานั่งร่วมโต๊ะทานมื้อเย็นกับพวกเรา ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า ครอบครัว host family 4 คน รวมกับเด็กนักเรียกอีก 5 คน โต๊ะกินข้าวขนาดใหญ่ก็ดูเล็กไปทันตา จนต้องไปช่วยกันขนเก้าอี้จากชั้นล่างขึ้นมาเสริม บรรยากาศเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

เมื่อถึงเวลาแยกย้าย ผมอาสาจะเดินไปส่งจีที่ป้ายรถเมย์ แต่เจ้าตัวปฏิเสธ มันไม่อยากให้ผมเดินกลับมามืดๆ คนเดียว ผมเลยทำได้แค่ส่งจีที่หน้าประตู

“แน่ใจนะว่าจะไม่นอนค้าง” ผมถามเพราะพรุ่งนี้วันอาทิตย์ ยังเหลือเวลาพักผ่อนอีก 1 วัน ก่อนที่จะพวกเราจะเปิดเทอมในวันจันทร์

“เกรงใจ Linda”

“เขาดูอยากให้มึงค้างด้วยจะตาย” ผมยื้อ เพราะพอคิดว่าจะต้องห่างกัน ในใจก็รู้สึกเค้วงๆ ยังไงชอบกล

“เกรงใจเขา รอให้คุ้นเคยกว่านี้ก่อน” ผมฉีกยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำตอบ แสดงว่าอนาคตยังมีโอกาส

“มึงสัญญาแล้วนะ”

“อืม สัญญา ... มิลค์ พรุ่งนี้กูมาหามึงอีกนะ ถ้าว่างก็ไปเดินเล่น supermarket กัน”

“เอาดิ ... มีมึงอยู่ด้วยกูจะได้ไม่เหงา”

“เข้าบ้านได้แล้ว หนาวขนาดนี้เดี๋ยวไม่สบาย”

“อืม มึงถึงแล้วก็ MSN มานะ”

“ได้ แล้วเจอกันพรุ่ง บายมึง” หัวใจของผมเต้นรัวเมื่อมือหนาของเพื่อนสนิทวางลงบนศรีษะก่อนจะออกแรงขยี้เบาๆ ... ผมยืนอยู่ในห้องนั่งเล่น มองแผ่นหลังของจีเดินหายลับไปตรงหัวโค้ง แม้บรรยากาศภายนอกจะมืดและหนาวมากแค่ไหน แต่ในใจของผมกลับอบอุ่นเหมือนมีกองไฟน้อยๆ จุดติดอยู่ข้างใน



ผมลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก ต้องเป็นเพราะเมื่อหัวค่ำดื่มน้ำพันช์ของ Linda ไปหลายแก้วแน่ๆ แต่ระหว่างเดินผ่านห้องนั่งเล่นก็ได้ยินเสียงพูดคุยกัน เลยอดไม่ได้ที่จะยื่นหน้าเข้าไปสำรวจ

“อ้าว!!! พวกเราคุยกันเสียงดังหรือเปล่า” Bruno ถามเมื่อเห็นผมเดินเข้ามา

“เปล่า เราแค่ลุกมาเข้าห้องน้ำ”

“ถ้ายังไม่รีบนอนมาคุยกับพวกเราก่อนก็ได้นะ” เพื่อนชาวบราซิลเอ่ยปากชวน

“เอาดิ”

หลังจากกลับมาจากห้องน้ำก็พบว่าตำแหน่งที่นั่งถูกเปลี่ยนไปเล็กน้อย Minho หนุ่มตี้แว่นชาวเกาหลีที่เคยนั่งอยู่ข้าง Bruno ย้ายมานั่งข้าง Nami สาว rock ชาวญี่ปุ่น ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ Bruno แล้วส่งยิ้มให้คนอื่นๆ ยอมรับเลยว่าประหม่าเพราะผมเพิ่งมาถึงเมื่อวานและนอกจาก Bruno ที่พูดคุยกันไปไม่กี่ประโยคแล้ว ผมก็ยังไม่มีโอกาสคุยเรื่องสัพเพเหระกับคนอื่นที่เหลือเลย

“พวกนายอยู่ที่นี่กันมานานหรือยัง” ผมถาม

“ฉันอยู่ที่นี่มา 8 เดือนแล้ว Bruno มาหลังฉันประมาณ 2 เดือน แล้ว Nami เพิ่งมาเมื่อเดือนก่อน ...” Minho เป็นคนอธิบายก่อนที่จะถามผมกลับ

“... แล้วนายจะอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่”

“ประมาณ 2 เดือน”

“2 เดือน น้อยมากเลยนะ เพื่อนๆ ของเราส่วนใหญ่อยู่ที่นี่กันอย่างน้อยๆ ก็ 4-5 เดือน”

“ฉันมีเวลาแค่นี้ ปิดเทอม summer แค่ 3 เดือน เสร็จจากตรงนี้ฉันต้องบินไปหาพ่อที่ NY ก่อนที่จะกลับไปเรียน”

“นายเรียนอะไร”

“ฉันเรียนสัตวแพทย์” ทุกคนดูตื่นเต้นที่รู้ว่าผมเรียนสัตว์แพทย์ Minho ทำท่าเหมือนจะไม่เชื่อ ในขณะที่อีก 2 คนที่เหลือยกนิ้วโป้งให้ผม

“นายรู้ไหมว่าสัตวแพทย์ที่เกาหลีเนี่ยเรียนยากมากเลยนะ คนที่เรียนได้ต้องเก่งมากๆ”

“555 ไม่หรอก ฉันไม่ได้เก่งขนาดนั้น” คุยกันได้ซักพัก ผมถึงได้รู้ว่าพวกเขามาเรียนภาษาที่ Canada เพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่นี่ Minho อยากเรียนบริหาร Bruno อยากเรียนเกี่ยวกับกีฬา ส่วน Nami ตั้งใจจะมาเรียน art ที่นี้

บทสนทนาของเราลื่นไหลไปเรื่อยๆ คุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง บางครั้งถึงกับต้องใช้ภาษามือ หรือหยิบ talking dic มาช่วยแปลภาษา เรื่องที่คุยก็แคบลงเรื่อยๆ จากเรื่องทั่วๆ ไปจนตอนนี้ผมกำลังนั่งจ้อง Minho เล่าเรื่องการเสีย virgin ครั้งแรก หลังจากฟังเรื่องของ Bruno และ Nami ไปก่อนหน้านี้แล้ว ... นี่พวกเรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง

“ถึงคิวนายแล้ว เล่ามาให้พวกเราฟังเลย” ผมหันซ้ายหัวขวา เมื่อถึงคิวของตัวเอง อยู่ๆ ก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา

“คือ ... เราเล่าไม่เก่งนะ ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ... พวกนายเป็นฝ่ายถามได้ไหม” จะให้ผมเล่าเรื่องส่วนตัวแบบนั้นออกมา มันก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะเริ่มต้นตรงไหน

“ได้!!! งั้นฉันถามก่อน ...” Nami ยกขาขึ้นมานั่งขัดสมาธิ เธอถูกมือไปมา ทำสีหน้าท่าทางเหมือนตั้งใจจะถามคำถามชิงรางวัล

“... นายชอบเพศเดียวกันหรือเปล่า”

“ชอบ” ผมตอบอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เพราะคิดมาก่อนหน้าอยู่แล้วว่าจะต้องโดนถาม ... ผมกำลังทำตามที่ไอซ์บอก … ซื่อสัตย์กับตัวเอง

“ฉันว่าแล้ว” Bruno กำมือยกขึ้นเหนือหัว ... มันจะดีใจอะไรขนาดนั้น

“Bruno แอบปลื้มนายอยู่ ...” Minho เสริม ผมหันไปมองฝรั้งผิวเข้มที่นั่งอยู่ข้างๆ ... Bruno ส่งยิ้มให้ผม ... ราวกับโดนไฟช๊อต หล่อแบบวัวตายควายล้ม ถ้าอยู่เมืองไทยรับรองได้ว่าอย่างน้อยๆ เขาต้องได้เป็นนายแบบหรืออาจจะเป็นดาราได้เลยด้วยซ้ำ

“... งั้นฉันจะช่วยนายเอง Bruno ... นายยัง virgin อยู่ไหม”

“ไม่แล้ว” ผมส่ายหัว

“โย้ววว!!! ...” Minho ตะโกนเมื่อได้ยินคำตอบของผม

“... นายนี่ไม่ได้เรียบร้อยเหมือนอย่างที่เห็นซินะ” ผมยิ้มรับให้กับคำถามของเพื่อนชาวเกาหลี คิดในใจว่าประสบการณ์ด้านนั้นของผมก็ไม่น้อยหน้าใครเหมือนกัน

“แล้วตอนนี้นายมีแฟนหรือเปล่า” Nami เป็นฝ่ายถามบ้าง พอผมส่ายหัว Minho ก็ทำท่าลิงโลนอีกครั้ง ชักไม่แน่ใจแล้วว่าคนที่แอบปลื้มผมคือ Bruno หรือมันกันแน่ เพราะ Bruno ไม่พูดอะไรเลยนอกจากส่งยิ้มกระชากหัวใจอยากเดียว

“งั้นคำถามนี้จะเป็นคำถามชี้ชะตาของนายแล้ว Bruno” Minho ถูมือไปมา ก่อนที่จะยิงคำถามตีแสกหน้าผมเข้าอย่างจัง

“เพื่อนคนไทยของนายที่ชื่อจี แค่เพื่อนจริงเหรอ” ดวงตาทั้ง 3 คู่จ้องมาที่ผมสายตาเดียวกัน ผมเม้มปากพรางคิดว่าจะตอบคำถามนี้ยังไง ตอนแรกผมตั้งใจจะปฏิเสธเพราะพวกเราไม่ได้สนิทกันขนาดที่ผมจะยอมรับเรื่องนี้ต่อหน้า แต่ก่อนที่จะพูดออะไรออกไป คำพูดของไอซ์จะดังก้องในหัวอีกครั้ง ‘ไม่มีโอกาสไหนที่มึงจะเป็นตัวของตัวเองได้มากเท่ากับตอนอยู่ที่โน่นอีกแล้ว รู้สึกในสิ่งที่มึงอยากจะรู้สึก ไม่ต้องคิดเหี้ยอะไรทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นอดีตหรืออนาคต มีสมาธิอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น ... แต่ที่สำคัญมึงต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง’

“ฉันไม่รู้”

“ไม่รู้? หมายถึงอะไรวะ”

“ไม่รู้ว่าเป็นแค่เพื่อน หรือมากกว่านั้น ... ความสัมพันธ์ของเรา 2 คนเพิ่งจะ complicate ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา”

“แล้วนายชอบเขาไหม” เป็นอีกครั้งที่ผมต้องเม้มปาก ความคิดแรกคือโกหก แต่พอคิดได้ว่าต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง

“ฉันคิดว่าชอบ แต่ยังไม่แน่ใจ ... จริงๆ แล้วเราตั้งใจจะใช้เวลาช่วงที่อยู่ที่นี้หาคำตอบ”

“นาย 2 คนรู้จักกันมานานแค่ไหนแล้ว”

“6 ปีได้แล้วมั้ง จีเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของฉัน”

“Bruno ท่าทางนายจะเจอคู่แข่งคนสำคัญแล้ว” Bruno แค่ส่งยิ้มให้กับคำแซวของ Minho พวกเรายังคงพูดคุยกันต่ออีกหลายเรื่องจนถึงกลางดึก ก่อนที่คืนนี้จะจบลงด้วยการบอก goodnight ระหว่างพวกเราทั้ง 4 คน


----------


มิลค์ : กลัวการอยู่คนเดียวจนใจฝ่อ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือมีความอุ่นใจเดินอยู่ข้างๆ

#Journey #Voyage
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 19 : ไกลบ้าน
«ตอบ #79 เมื่อ11-08-2025 14:05:49 »

พอเปิดประตูห้องน้ำเท่านั้น หัวใจของผมก็หล่นวูบไปจนอยู่ที่ตาตุ่ม แมงมุมตัวใหญ่สีดำสนิทยืนนิ่งอยู่กลางห้องน้ำ ผมไม่เคยเจอแมงมุมตัวใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ในหัวประมวณผลอย่างรวดเร็วว่าจะรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้ายังไง ... โอเค ผมยอมแพ้


----------


มิลค์ : 2 อย่างที่เกลียดที่สุดในชีวิตคือ แมงมุม กับแมลงสาบ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือ ใครก็ได้ช่วยมิลค์ด้วยยยยยยยยยย

#กล้วแล้ววววววว #แมงมุมสีดำ
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 19 : ไกลบ้าน
« ตอบ #79 เมื่อ: 11-08-2025 14:05:49 »





ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 19 : ไกลบ้าน
«ตอบ #80 เมื่อ12-08-2025 15:09:14 »

จากช่วงสายของวันจนตอนนี้เข็มสั้นของนาฬิกาชี้จนเกือบจะถึงเลข 1 แม้จะแอบงีบหลับไปบนโซฟาแล้วตื่นมากินมื้อเที่ยง ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจีจะโทรกลับมา

“เฮ่ออออออ” อดไม่ได้ที่จะถอดหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ... ผมกำลังล้างจานอยู่ในครัว เสียงน้ำไหลกับเสียงกระทบกันของเครื่องครัวดังขึ้นเป็นเสียงพื้นหลัง หันไปมองนาฬิกา บ่าย 2 ครึ่งแล้ว ... สงสัยนัดของเราวันนี้ต้องยกเลิก คงต้องรอถึงวันจันทร์ถึงจะได้เจอจี

ก๊อกๆๆ เสียงเคาะกระจกตรงอ่างล้างจานทำเอาผมสะดุ้งออกจากภวังค์
   
“เฮ้ย!!!” วินาทีนั้นผมคิดว่าตัวเองกำลังฝัน ... จียืนอยู่อีกฝังหนึ่งของหน้าต่าง ... มันฉีกยิ้มกว้างจนตาชั้นเดียวของมันกลายเป็นสระอิ ... พอตั้งสติได้ผมก็ชี้นิ้วไปทางประตูบ้าน


----------

#แอบงีบ #เคาะกระจก
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 19 : ไกลบ้าน
«ตอบ #81 เมื่อ12-08-2025 22:24:12 »

#สุขสันต์วันแม่

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 19 : ไกลบ้าน
«ตอบ #82 เมื่อ14-08-2025 21:59:03 »

“อะ” ผมยื่นแก้ว chocolate ให้คนตรงหน้า

“มึงกินก่อนเลย” แก้ว chocolate ร้อนในมือที่ยื่นไปให้เพื่อนสนิทถูกดันกลับมา

“ขอบใจ ...” ผมยิ้มพลางจิบเครื่องดื่มร้อนๆ เพื่อคลายหนาว

“... บ้านมึงอยู่แถวไหนอะ”

“ไอ้ supermarket สีเหลืองที่ Linda พูดถึงนะ กูต้องลงก่อน 2 ป้าย”

“ดีอะ พอรู้ว่ามึงอยู่ใกล้ๆ ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมา


----------


#แชร์ #HotChocolate #Live
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 19 : ไกลบ้าน
«ตอบ #83 เมื่อ15-08-2025 11:53:18 »

Tigger warning : ตอนนี้มีเนื้อหาเชิง 18+ ที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์เชิงลึกของตัวละครวัยรุ่น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เนื้อหาสะท้อนสภาวะอารมณ์ที่ซับซ้อนและการค้นหาตัวตนในช่วงวัยเปลี่ยนผ่าน

เพราะความเขินผมเลยดึงเสื้อไหมพรหมและเสื้อยืดตัวในออกพร้อมกัน ทำให้เสื้อทั้ง 2 ตัวติดกันจนไม่สามารถดึงให้หลุดออกทางหัวได้ ผมติดอยู่ในท่าที่ทั้งโคตรน่าอายและโคตรล่อแหลมต่อหน้าคนที่ตัวเองแอบชอบ

แม้จะดูตลกแต่ภาพที่เห็นทำเอาสติของจีไม่อยู่กับร่องกับรอย ผิวที่โคตรเนียนราวกับว่าเจ้าของร่างนั้นอาบน้ำผึ้งแช่น้ำนมทุกวัน แค่เผลอไผลคิดจินตนาการ อารมณ์ของเขาก็เหมือนจะเตลิดไปไกล

“อยู่นิ่งๆ เดียวกูช่วย” นิ้วโป้งสอดเข้าไปใต้ชายเสื้อที่ม้วนขมวดเข้าหากัน มือหนาค่อยดึงเสื้อให้ยกสูงขึ้นตามทิศทางของแขนเพื่อนสนิท ... พอเสื้อถูกดึงออกถึงได้เห็นว่านอกจากผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงแล้ว ใบหน้าของมิลค์ก็เหมือนจะมีสีแดงแต้มอยู่ตรงแก้มบางๆ


----------


#กรรมบันดาล #ไม่ได้ตั้งใจ
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 20
«ตอบ #84 เมื่อ16-08-2025 14:56:15 »

Teaser ตอนที่ 20

“มิลค์ ไอ้กวินโวยวายใส่พี่ใหญ่เลย หาว่าพี่ไม่ยอมบอกมันก่อนว่ารุ่นน้องที่มาด้วยคือมิลค์” ผมหันกลับไปหาพี่แววทันทีที่ได้ยินชื่อตัวเอง

“พี่กวินก็เวอร์ตลอด” ผมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะ เป็นที่รู้กันทั้งคณะว่าพี่กวินชอบเล่นใหญ่

“มันบ้าๆ บอ แต่เพื่อนพี่รักจริงนะ ไม่ให้โอกาสมันบ้างเหรอ มันจีบมิลค์มาตั้งแต่เทอม 1 แล้วนิ”

“555 พี่แวววววว ผมยังอยากอยู่คนเดียวอีกซักหน่อยนะครับ” การหัวเราะกลบเกลื่อนพร้อมกับให้เหตุผลว่าชอบที่จะอยู่คนเดียวเป็น technique ที่ผมชอบใช้ประจำเวลาโดนถามเรื่องแฟน

“อะๆ ยังไม่ชอบก็ยังไม่ชอบเนอะ ... แล้วนี้คืนนี้จะเต็มที่เลยเปล่า” พี่แววยิ้ม ก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่องพูด

“ไม่หรอกครับ ผมคออ่อน คงกินได้นิดๆ หน่อย ...”

“... อ่อ พี่แวว Linda เขาจะชวนพวกเราไปทำอาหารไทยที่บ้านเขานะครับ”

“ได้ซิ เขาบอกหรือยังว่าเมื่อไหร่”

“ยังเลยครับ คิดว่าน่าจะหลังผมลองทำอาหารไทยให้เขากินซักมื้อนะครับ”

“จริงดิ!!! น้องมิลค์ทำอาหารเป็นด้วยเหรอ” สีหน้าของพี่แววดูตื่นเต้นขึ้นมาทันที

“ไม่เป็นครับ ผมเลยมาเกริ่นกับพี่ก่อน เพราะถ้าวันไหน Linda จะให้ผมทำ ผมจะได้มาขอคำแนะนำจากพี่ 555” รอยยิ้มแข็งข้างอยู่บนใบหน้าของพี่แวว แต่ผมกลับไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย 555 เพราะถึงจุดนี้ยังไงก็ต้องเอาตัวรอดให้ได้ ... ผมพยายามเลี่ยงมาตลอด แต่ดูจากสถานการณ์แล้วคงต้องเป็นเร็วๆ นี้แหละ

“555 ถามได้ๆ แต่พี่ก็ไม่ได้ทำอาหารเก่งเท่าไหร่นะ” ผมยิ้มให้กับคำตอบที่แสนจะถ่อนตัวของพี่แวว เพราะผมมั่นใจเลยว่ายังไงพี่แววก็ทำอาหารเก่งกว่าผมแน่นอน


----------


มิลค์ : เจอกันวันพรุ่งนี้นะครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือใกล้จะต้องทำอาหารเลี้ยงคนทั้งบ้าน

#ตัวช่วย #อยู่เป็น
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน


ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 20 : The point of no return
«ตอบ #85 เมื่อ17-08-2025 09:48:25 »

ตอนที่ 20 : The point of no return 1/2

ผมกำลังยืนจับกลุ่มเม้าท์มอยอย่างออกรสกับเพื่อนร่วมชั้นชาวเกาหลี และบราซิลอยู่หน้าอาคารเรียน ตอนนี้เกือบทุ่มนึงแล้วแต่บริเวณโรงเรียนยังคงคึกคัก เพราะวันนี้เป็นวันสำคัญทางศาสนาของ Canada แต่อย่าถามว่าคือวันอะไร เพราะผมก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเหมือนกัน รู้แค่ว่าเป็นวันที่เกี่ยวกับนักบวชคนนึง และแน่นอนว่าด้วยความที่ประเทศฝั่งตกวันตก วัฒนธรรมของเขาต่างจากเรามาก ถ้าเป็นฝั่งเอเชีย วันนี้คงเป็นวันที่พวกเราเตรียมตัวเข้าวัดทำบุญ แต่ที่นี้พวกเรากำลังเตรียมตัวไป party กัน ... trip แรกกับโรงเรียนของพวกเราคือการตระเวรไปผับทั้งหมด 4 ผับใน 1 คืน ตอนแรกที่เห็น event นี้ผมรู้สึกเฉยๆ แต่วายุกลับตาลุกวาวพร้อมกับมัดมือชกทุกคนให้ลงชื่อร่วม trip ไปกับมัน

อากาศหนาวผสมกับลมพัดแรงช่วงหัวค่ำทำให้ผมกระชับเสื้อกันหนาวเข้าหาตัว การอยู่ที่นี่มาเกือบ 2 สัปดาห์ไม่ได้ทำให้ผมปรับตัวกับอุณหภูมิเลขตัวเดียวของที่นี้ได้เลยแม้แต่น้อย

“หนาวเหรอ” ผมหันไปตามเสียงคุ้นเคย จียืนซ้อนอยู่ด้านหลัง

“ลมมันแรงวะ” พูดไปปากยังสั่น รู้สึกได้เลยว่าจมูกและใบหูของตัวเองต้องแดงมากแน่ๆ

“เอาของกูไปใช้ก่อน...” พูดจบผ้าพันคอไหมพรหมก็พาดลงมาบนต้นคอระหงษ์

“... ไม่เป็นไรมึง นิดเดียวกูทนได้” ทำท่าจะส่งคืนแต่จีกลับจับมือผมไว้ แล้วพันผ้าพันคอผืนนุ่มล้อมรอบคอของผมอีกชั้น เมื่อเช้าผมตั้งใจว่าจะหยิบเอาผ้าพันคอมาด้วยแต่สุดท้ายก็ลืมจนได้

เปิดเทอมได้ 2 สัปดาห์ เรามาโรงเรียนพร้อมกันทุกเช้า เพราะรถ bus ผ่านบ้านผมก่อน เราเลยนัดเจอกันที่ป้ายรถเมย์ใกล้บ้านจี แต่เพราะไม่มีโทรศัพท์มือถือ การนัดเจอกันเลยทำได้ยาก ช่วงแรกผมตื่นตามเวลาปกติแต่พอถึงป้ายรถเมย์ที่นัดกันไว้แล้วไม่เจอจี ผมไม่รู้ว่าตัวเองมาก่อนเวลาหรือว่ามาสายจนจีขึ้นรถไปก่อนนี้แล้ว ผมเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งรถไปต่อ หลังจากนั้นเลยแก้ปัญหาด้วยการออกจากบ้านเช้ากว่า housemate คนอื่นๆ เพื่อมายืนรอจีที่ป้ายรถเมย์แทน เราตกลงกันว่าผมจะรอไม่เกิน 15 นาทีนับจากเวลาที่เรานัดกันไว้เท่านั้น ถ้าเกินจากนั้นแล้วจียังไม่มาคือมีโอกาสสูงมากที่เขาจะตื่นสาย ในกรณีนี้ผมจะนั่งรถมาโรงเรียนเลย เพราะสำหรับคน Canada แล้วการมาเข้าเรียนสายถือว่ามีความผิดมากกว่าการไม่ทำการบ้านซะอีก

“คืนนี้มึงอย่ากินเหล้าเยอะนะ” จีเตือนขึ้นมาหลังจากที่พวกเราคุยกับเพื่อนร่วมชั้นเสร็จ และกลับมายืนอยู่ข้างกันอีกครั้ง ผมกับจีเรียน class เดียวกัน เพราะผลสอบวัดระดับภาษาอังกฤษของเราออกมาใกล้เคียงกัน

“กูเคยกินได้เยอะที่ไหน” ผมเป็นคนคออ่อน ไม่เกิน 3 แก้ว ก็มึนหัวจนลุกแทบไม่ขึ้นแล้ว ที่เมืองไทยส่วนมากผมจะกินเหล้ากับพวกไอ้ไอซ์ที่บ้านของใครคนใดคนหนึ่งมากกว่า เวลาเมาเลยไม่มีปัญหาเท่าไหร่ แค่ลากกันขึ้นไปชั้น 2 ก็ได้ที่นอนแล้ว หรือไม่ก็นอนที่โซฟา ส่วนกับเพื่อนมหาลัยผมไปด้วยไม่กี่ครั้ง

“เออ พูดไว้ก่อน”

“ได้ ถ้ากิน จะมาขออนุญาติมึงก่อน” คนตรงหน้าพยักหน้ารับคำ

รอไม่นานรถ bus คันสีเหลืองสดเหมือนที่เห็นในหนังก็วิ่งเข้ามาหน้าตึกเรียน สภาพบนรถไม่ต่างอะไรจากรถ bus ที่คณะเท่าไหร่นัก เก่า และนั่งไม่สบาย ผมนั่งข้างจี ในขณะที่วายุและพี่แววนั่งอยู่ข้างหลัง

“มิลค์ ไอ้กวินโวยวายใส่พี่ใหญ่เลย หาว่าพี่ไม่ยอมบอกมันก่อนว่ารุ่นน้องที่มาด้วยคือมิลค์” ผมหันกลับไปหาพี่แววทันทีที่ได้ยินชื่อตัวเอง

“พี่กวินก็เวอร์ตลอด” ผมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะ เป็นที่รู้กันทั้งคณะว่าพี่กวินชอบเล่นใหญ่

“มันบ้าๆ บอ แต่เพื่อนพี่รักจริงนะ ไม่ให้โอกาสมันบ้างเหรอ มันจีบมิลค์มาตั้งแต่เทอม 1 แล้วนิ”

“555 พี่แวววววว ผมยังอยากอยู่คนเดียวอีกซักหน่อยนะครับ” การหัวเราะกลบเกลื่อนพร้อมกับให้เหตุผลว่าชอบที่จะอยู่คนเดียวเป็น technique ที่ผมชอบใช้ประจำเวลาโดนถามเรื่องแฟน

“อะๆ ยังไม่ชอบก็ยังไม่ชอบเนอะ ... แล้วนี้คืนนี้จะเต็มที่เลยเปล่า” พี่แววยิ้ม ก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่องพูด

“ไม่หรอกครับ ผมคออ่อน คงกินได้นิดๆ หน่อย ...”

“... อ่อ พี่แวว Linda เขาจะชวนพวกเราไปทำอาหารไทยที่บ้านเขานะครับ”

“ได้ซิ เขาบอกหรือยังว่าเมื่อไหร่”

“ยังเลยครับ คิดว่าน่าจะหลังผมลองทำอาหารไทยให้เขากินซักมื้อนะครับ”

“จริงดิ!!! น้องมิลค์ทำอาหารเป็นด้วยเหรอ” สีหน้าของพี่แววดูตื่นเต้นขึ้นมาทันที

“ไม่เป็นครับ ผมเลยมาเกริ่นกับพี่ก่อน เพราะถ้าวันไหน Linda จะให้ผมทำ ผมจะได้มาขอคำแนะนำจากพี่ 555” รอยยิ้มแข็งข้างอยู่บนใบหน้าของพี่แวว แต่ผมกลับไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย 555 เพราะถึงจุดนี้ยังไงก็ต้องเอาตัวรอดให้ได้ ... ผมพยายามเลี่ยงมาตลอด แต่ดูจากสถานการณ์แล้วคงต้องเป็นเร็วๆ นี้แหละ

“555 ถามได้ๆ แต่พี่ก็ไม่ได้ทำอาหารเก่งเท่าไหร่นะ” ผมยิ้มให้กับคำตอบที่แสนจะถ่อนตัวของพี่แวว เพราะผมมั่นใจเลยว่ายังไงพี่แววก็ทำอาหารเก่งกว่าผมแน่นอน

ร้านแรกเป็นแนว pub and restaurant ด้านในเปิดไฟสลัวๆ เข้ากับร้านที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้ม ผมถามมาจากเพื่อนชาวเกาหลีถึงได้รู้ว่าความเป็น pub ของร้านจะเพิ่มมากขึ้นจากลำดับของร้านที่พวกเราไปแวะ ดูจากเวลาตอนนี้ประมาณ 19.30 กว่าจะวนถึงร้านสุดท้ายก็น่าจะประมาณเที่ยงคืน

“พวกมึงกินอะไรกันวะ” วายุวางเมนูเครื่องดื่มลงบนโต๊ะ พวกเรามีคูปองเครื่องดื่มฟรีคนละ 1 แก้วต่อร้าน ผมหยิบเมนูขึ้นมาอ่านแล้วส่งต่อให้จีที่นั่งอยู่ข้างๆ ... ไม่รู้จักเลยซักเมนู

“กูเอาอันนี้ละกัน” จีชี้นิ้วลงบนเมนู วายุพยักหน้ารับก่อนจะจดเมนูลงบนกระดาษ

“มึงละเอาไร” วายุเงยหน้าขึ้นมาถามผม แล้วผมก็หันไปถามคนข้างๆ

“กูกินนะ” ผมถามคนข้างๆ

“อืม เอาดิ” สายตาของผมเป็นประกายเมื่อเพื่อนสนิทให้อนุญาต

“เอาไรดีวะวายุ กูกินไม่ค่อยเป็นอะ” ผมถามพลางชะโงกหน้าเข้าไปใกล้วายุที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“อันนี้ไหมมึง ดูน่าอร่อย” มันชี้เมนูอะไรซักอย่าง ผมอ่านดูแล้วรู้จักแค่ rum กับ honey ... แค่นี้ก็น่าจะอร่อยแล้วมั้ง ... พอพยักหน้าวายุก็จดเมนูลงในกระดาษก่อนจะลุกหายไป

“ร้านบรรยากาศโคตรดีเลย” รู้สึกตื่นเต้น เพราะไม่ค่อยได้มาร้านแนวนี้เท่าไหร่นัก อย่างที่บอกว่าถ้ากินกับพวกไอ้ไอซ์ก็มักจะกินกันที่บ้าน กับเพื่อนมหาลัยก็มักจะเป็นแนว pub แบบวัยรุ่น

“ร้านดีอยู่”

“มาแล้วๆ” นั่งมองโน่นมองนี้ได้ไม่นาน วายุก็เดินกลับมาพร้อมแก้วเครื่องดื่มในมือ 3 แก้ว

“เชี่ย!!! อร่อยยยยยยยยยย ...” แก้วของผมหวานแล้วก็ได้กลิ่นน้ำผึ้งจางๆ ที่ปลายลิ้น

“... จี กูขอลองของมึงบ้างดิ...” ผมฉีกยิ้มให้กว้างที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้ อ้อนเข้าไว้ จีใจอ่อนให้กับผมใน version ขี้อ่อนเสมอ คนข้างๆ มองผมอย่างปลงๆ ก่อนที่จะยื่นแก้วในมือมาให้ ผมส่งแก้วของตัวเองให้มันแลกกับแก้วที่อยู่ในมือของเพื่อนสนิท

“... เข้มสัส” ผมนิ่วหน้าทันทีที่ลิ้นสัมพัสกับรสชาติของเครื่องดื่ม แก้วของจีเข้มบาดคอ กลิ่นแอลกอฮอร์เข้มข้น เหมือนกิน on the rock ... ดื่มได้จิบเดียวผมก็ส่งแก้วคืน

“มิลค์มึงลองของกูไหม” ผมพยักหน้าเมื่อวายุเอ่ยปากถาม ใจนึงผมก็อยากลองชิมแก้วในมือของวายุแต่อีกใจก็เกรงใจเพราะผมกับมันไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่ … แต่ก่อนที่มือของผมจะเอื้อมถึงแก้ว มือหนาๆ ของจีก็คว้าหมับลงบนข้อมือ

“พอแล้ว กินผสมกันมั่วๆ เดียวก็เมาพอดี” เสียงเข้มๆ ของเพื่อนสนิท ทำให้ผมงัดลูกไม้ร้อยเล่มเกวียนออกมาสู้

“นะจี กูอยากลอง ขอนิดเดียว นิดเดียวจริงๆ” ผมพูดกับมันด้วยน้ำเสียงอ้อล้อ พร้อมกับฉีกยิ้มกว้างอีกครั้ง

“มุกนี้ของมึงใช้ไม่ได้ผลกับกูหรอกมิลค์ จัดการในแก้วของตัวเองไป” มันตอบกลับเสียงเข้ม พร้อมกับยกแก้วในมือตัวเองขึ้นมาดื่ม ... เออ!!! ก็ได้วะ

ผ่านไปประมาณเกือบชั่วโมง พวกเราก็ย้ายมาร้านที่ 2 ร้านนี้ออกแนว pub มากขึ้นมาหน่อย เคาน์เตอร์เครื่องดื่มตั้งเด่นอยู่ด้านในสุดของร้าน หลังเคาน์เตอร์ตกแต่งด้วยขวดเหล้ารูปทรงแปลกตาเป็นชั้นๆ สูงจนถึงเพดาน แน่นอนว่าพอเข้ามาในร้าน วายุก็อาสาไปหยิบเมนูพร้อมกับแนะนำเครื่องดื่มให้ผมเสร็จสรรพ

“วายุมันดื่มเก่งเหมือนกันนะ” ผมพูดขึ้นระหว่างที่รอวายุเดินกลับมา

“ไม่เก่งได้ไง ภาคมันกินกันโคตรดุ มีนัดกินเหล้ากันทุกสัปดาห์เลยมั้ง”

“แล้วภาคมึงละ”

“ถ้าเทียบกับภาคไอ้วายุแล้ว ของกูเด็กน้อยไปเลย” ถ้าระดับจียังถูกเรียกว่าเด็กน้อย ผมคงอยู่ในระดับ เด็กแรกเกิด เพราะไม่เกิน 3 แก้วผมก็เมาเป๋แล้ว

ไม่นานวายุก็เดินกลับมา แล้วมันก็เอาเครื่องดื่มอะไรไม่รู้มาให้ผมลอง หวานๆ เปรี้ยวๆ จิบแรกคือรู้สึกสดชื่นมาก ยิ่งจิบยิ่งอร่อย ผมขอชิมของแก้วของจี ซึ่งก็เข้มไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่นัก สงสัยว่าจีจะไม่ชอบกินอะไรที่ fancy เหมือนผม

“มึง กูปวดท้อง ไปเข้าห้องน้ำก่อน มึงอยู่กับไอ้วายุได้นะ” จีบอกพลางทำหน้าเหยเกเล็กน้อย

“ไอ้จี มึงเห็นกูเป็นคนยังไงวะ ทำไมมิลค์จะอยู่กับกูไม่ได้” วายุโวยวายแบบทีเล่นทีจริง

“กูเห็นมึงเป็นคนเหี้ยไง เพื่อนกูไม่ได้เจนโลกแบบมึงนะ”

“เพื่อนมึง??? ไอ้มิลค์ก็เพื่อนกูหรือเปล่าวะ ใช่ไหมมิลค์” พูดจบวายุก็ล็อคคอดึงผมเข้ามาใกล้

“เออๆ กูเพื่อนมึง” ไอ้เหี้ย แรงโคตรเยอะ ... จะว่าไปอยู่ด้วยกันมา 2 สัปดาห์ ผมคุ้นเคยกับวายุมากขึ้นกว่าตอนแรก มันอาจจะดูห้าวๆ แต่พอได้รู้จักแล้วมันเป็นคนที่นิสัยคบได้คนนึง

จีหรี่ตามองวายุอย่างไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่ ใบหน้าหล่อเหลาแยกเขี้ยวใส่เพื่อนร่วมคณะก่อนจะเดินแยกออกไปเข้าห้องน้ำ

“มิลค์ ...” ลับหลังจี วายุก็คลายอ้อมแขนที่ล็อคคอผมออก

“... ไอ้จีไม่อยู่แล้ว แดกอีกไหม เดียวกูแบบเด็ดๆ จัดให้เลย” มันถามพลางเลิกคิ้วทะเล้น

“จะดีเหรอมึง” ผมมีความลังเลอยู่เล็กน้อย

“ดีซิวะ มึงจะกลัวอะไร มีอะไรเดียวกูรับผิดชอบเอง” มือหนาตบบ่าผมเบาๆ

“จัดมาเลยมึงงงงงงงง” มีเหรอที่ผมจะไม่ฉวยโอกาสนี้ เหล้าก็อร่อย บรรยากาศก็โคตรดี ถ้าเมาก็ยังมีเพื่อนอีก 2 คนคอยหิ้วกลับ ... จัดซิครับรออะไร

“ต้องแบบนี้ซิวะ อย่าไปกลัวไอ้จีมัน” วายุหัวเราะร่วน

แล้วแก้วที่ 2, 3 และ 4 ก็ตามมาติดๆ ด้วยความที่มีเวลาน้อย วายุเลยจัดให้ผมเป็นแก้ว shot ซึ่งแต่ละ shot ก็ลึกซึ้งเหมือนบทกวี รู้สึกราวกับถูกเปิดโลก ไม่น่าเชื่อว่าเครื่องดื่มแก้วเล็กขนาดนี้จะผสมผสานรสชาดได้สลับซับซ้อน กลิ่นหอมที่นำมาก่อนตั้งแต่ยกแก้วขึ้นดื่ม รสหวานเมื่อลิ้นสัมผัส และจบด้วยความขมของ whisky แต่ความหวานหอมแปลกตากลับมีปริมาณของแอลกอฮอร์ซ้อนอยู่ไม่น้อย

“ไอ้เหี้ยวายุ!!! ...” จีพูดกับวายุเสียงเข้ม เพราะทันทีที่เดินกลับมาแล้วเห็นสภาพของเพื่อนสนิทที่หน้าแดงเหมือนลูกตำลึง ตาหวานเยิ้ม นั่งแจกยิ้มกว้างให้ทุกคนที่เดินผ่าน

“... กูบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ามอมเหล้ามิลค์” วายุที่นั่งอยู่ข้างๆยิ้มรับ ในเมื่อหลักฐานมันคาตาขนาดนี้ ก็ไม่รู้จะเสียเวลาปฏิเสธไปทำไม

“555 เพื่อนมึงแม่งคอโคตรอ่อน”

“กูไม่ขำกับมึงนะเว้ย” ท่าทางจริงจังของจีทำเอาวายุถึงกับชะงักไป กับแค่มอมเหล้าขำๆ ทำไมคนใจเย็นอย่างจีถึงได้หัวเสียขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขากับมันก็เคยแกล้งมอมเหล้าคนอื่นมาแล้วตั้งหลายครั้ง

“นี่มึงจริงจัง?”

“จริงจังซิวะ ก็กูบอกแล้วไงว่ามันคออ่อน ร้านก่อนก็กินไปแก้วนึงแล้ว นี่มึงให้มันกินไปอีกเท่าไหร่ ...”

“... ตอนเช้าพอมันแฮงค์ก็ลำบากกูอีกไหม”

“จี กูร้อน” เสียงอ้อแอ้ของเพื่อนสนิทดังอยู่ข้างหู พร้อมกับศีรษะทุยที่ซบลงบนกลางหลังของผมอย่างออดอ้อน พอหันกลับมา เจ้าตัวถึงกับต้องรีบคว้ามือของมิลค์เอาไว้ก่อนที่มันจะถอดเสื้อโชว์ผิวเนียนกลางผับ

“มิลค์ มึงอยู่เฉยๆ ดิวะ ...” ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ เจ้าตัวยิ่งดิ้นขลุกขลักไปมา น้ำเสียงเข้มๆ ที่เคยใช้ได้ผลมาตลอด ตอนนี้ดูจะไม่ได้รับการตอบรับจากคนเมาเท่าไหร่นัก

“... ไอ้วายุ กูบอกมึงแล้วใช่ไหม” จีพูดกับวายุด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย

“เออๆ กูขอโทษ”

“กูพามันออกไปนั่งรอในรถละกัน” พูดจบจีก็ประคองมิลค์ออกจากโต๊ะ ก่อนจะประคองร่างที่เริ่มจะไม่เป็นทรงของมิลค์ออกจากโต๊ะ แต่ใครจะคิดว่าไอ้ตัวดีมีฤทธิ์มากกว่าที่เห็น ไม่รู้มันเอาเรี่ยวเอาแรงจากไหน อยู่ๆ ก็สะบัดตัวออกจากอ้อมแขนของเขา แล้วพุ่งตัวไปยังโซนที่นักเที่ยวราตรีกำลังเต้นกันอย่างเมามัน กว่าจีจะตั้งสติได้ ก็เห็นหลังไวไวของเพื่อนสนิทหายลับไปในฝูงชน

2 เท้าก้าวยาวๆ ฝ่ากลุ่มคนที่กำลังเต้นปลดปล่อยอารมณ์เต็มที่ ... ความมืด ความแออัด และเสียงที่ดังสนั่นทำให้กว่าจะหาตัวมิลค์เจอก็เสียเวลาไปหลายนาที ... คิ้วหนาขมวดเป็นปม มุมปากกระตุกรัว หัวใจเต้นแรงสูบฉีดเลือดจนเจ้าตัวรู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งร่าง ... ภาพที่เห็นตรงหน้าคือเพื่อนสนิทกำลังเต้นสีอยู่กับหนุ่มฝรั้งผมสีทอง ตาสีฟ้าอย่างอิงแอบแนบชิด มือหนาของคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังวางลงบนเอวของมิลค์อย่างถือวิสาสะ ... ไอ้ตัวดี!!!

“Hey man, back off. He’ s drunk...” จบประโยคมือหนาก็คว้าข้อมือบางแล้วลากตัวเพื่อนสนิทตัวแสบออกมา ถ้าไม่ติดว่าคนเยอะจะอุ้มมันขึ้นพาดบ่าซะให้สิ้นเรื่อง จะได้ไม่ต้องเสียเวลายื้อยุดฉุดกระฉาก

“... มึงนี่มันโคตรดื้อ” ร่างบางของมิลค์ถูกพลักเข้าไปด้านในของเบาะนั่งภายในรถ bus เจ้าตัวคอพับคออ่อนอยู่บนเก้าอี้ หัวทุยพิงหน้าต่างอย่างหมดเรียวแรง

“เฮ่อออออออ” จีถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สภาพแบบนี้คงเป็นเขาเองนั้นแหละที่ต้องพามันกลับบ้าน

“มึงหายไปไหนมาวะ กูเดินตามมาที่รถแล้วไม่เห็นมึง 2 คน” ไม่นานวายุเดินขึ้นรถมาสมทบ

“ก็ไอ้มิลค์อะดิ เมาแล้วก็วิ่งไปเต้นกับฝรั้ง ...”

“... พรุ่งนี้รอให้ตื่นก่อนเถอะ มันโดนดีแน่” จีพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงละท่าทีเหนื่อยใจ

“แล้วมึงจะเอาไงกับมันต่อ” วายุถาม

“ทำไงละมึง ก็พามันกลับบ้านดิ”

“จะหลับแหล่ไม่หลับแหล่แบบนี้ มึงให้มันนอนซักตื่นดีกว่าไหม ...”

“... ให้มันหลับไปจนถึงร้านถัดไปก็ได้นะ เมื่อเย็นก็ดู map มา ร้านที่ 3 มันจะย้อนไปทางบ้านพวกเรา นั่ง bus กลับจากตรงนั้นน่าจะง่ายกว่า”

“ก็ดี รอให้มันมีสติกว่านี้แล้วค่อยพามากลับ” คำนวณเวลาในใจคร่าวๆ กว่าจะถึงร้านที่ 3 ไอ้ตัวดีน่าจะมีเวลานอนได้เกือบชั่วโมง ถึงตอนนั้นคงส่างเมาขึ้นมากแล้ว ถ้ากลับตอนนี้มีหวังเขาได้อุ้มมันกลับไปตลอดทางเป็นแน่

พูดจบจีก็หย่อยตัวลงนั่งข้างๆ เพื่อนสนิท หัวทุยที่โครงไปโครงมากระแทกกับกระจกเป็นพักๆ จนจีอดเป็นห่วงไม่ได้ มือหนายื่นมาประคองหัวของมิลค์เอาไว้ก่อนจะดึงมาพักไว้ที่หัวไหล ด้วยความสูงที่ต่างกันหัวของมิลค์เลยพิงอยู่ตรงต้นแขนของจีพอดิบพอดี

“มันเมาแล้วก็รั่วเหมือนกันนะ” วายุพูดติดขำ เพราะเจ้าตัวก็ไม่คิดมาก่อนว่าคนที่บุคลิคเรียบร้อยๆ มาดคุณหนูแบบไอ้มิลค์ บทจะเมาก็แสบเอาเรื่องไม่น้อย

“มันดื้อเงียบ ไหนจะเอาแต่ใจอีก” พูดไปก็รู้สึกหมั่นใส่จนอยากจะจับหัวมันโขกเข้ากับหน้าต่างรถซักทีให้หายดื้อ

“พวกมึง 2 คนรู้จักกันมานานยัง” วายุที่นั่งอยู่ข้างหลังเอ่ยถามด้วยความอยากรู้

“ก็ตั้งแต่ ม.2 มันเป็นเพื่อนมัธยมที่สนิทที่สุดของกู”

“กูแม่งเห็นพวกมึง 2 คนแล้วโคตรอิจฉา ...”

“... มันต้องดีมากแน่ๆ เลยใช่ไหม การที่เรามีเพื่อนสนิทมากๆ ประเภทมองตาแล้วรู้ใจกันซักคนนึง”

“ฮึๆ” เขาไม่ตอบอะไรวายุนอกจากหัวเราะขำในลำคอ ... จีเหลือบตามองเพื่อนสนิทที่หลับคอพับคออ่อนพิงต้นแขนของเขาอยู่ สายตาของเขาจ้องมองใบหน้าที่แดงระเรื่อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์อย่างเผลอไผล ไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่านิ้วโป้งของเขาก็ค่อยๆ ยื่นไปสัมผัสเส้นผมนุ่ม ปลายนิ้วลากผ่านกลุ่มผมนุ่มสลวยช้าๆ อย่างแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าเจ้าของศีรษะจะตื่น... นิ้วมือที่ลูบไล้เส้นผมหยุดลงตรงขมับบาง ก่อนจะขยับเกลี่ยผมที่ปรกหน้าผากออกอย่างอ่อนโยน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-08-2025 09:53:16 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 20 : The point of no return
«ตอบ #86 เมื่อ17-08-2025 09:57:18 »

ตอนที่ 20 : The point of no return 2/2

ผ่านไปไม่นาน คนอื่นๆ ก็ทยอยกลับขึ้นมาบนรถ พี่แววดูตกใจเล็กน้อยที่เห็นรุ่นน้องร่วมคณะนอนคอพับคออ่อนซบไหล่เพื่อนสนิท เป็นเป็นภาพที่น่ารักจนเจ้าตัวอดไม่ได้ที่จะยกกล้องขึ้นมาถ่าย moment น่ารักๆ แบบนี้เก็บไว้

“อืมมมมมมมม” หลังจากรถ bus เคลื่อนตัวมาได้ครึ่งทาง ไอ้ตัวดีก็ส่งเสียงงอแง ก่อนที่หัวทุยๆ ของมันจะยกออกจากต้นแขนของเขา

“รู้สึกตัวแล้วเหรอมึง”

“อืม” มันพูดแค่นั้นแล้วก็หันมองซ้ายมองขวา

“มึงรู้สึกยังไงบ้าง”

“มึนๆ ร้อนๆ วูบวาปๆ”

“มึงนอนต่ออีกหน่อย พอถึงร้านที่ 3 แล้วเดียวกูพามึงกลับบ้านนะ”

“ก็ดี กลับไปนอนก็ดี”

ในขณะที่กำลังคุยกันอยู่นั้น เจ้าหน้าที่ก็กำลังเดินแจกของบางอย่าง เมื่อเธอเดินมาถึง หลอดพลาสติกใสขนาดใหญ่กว่าลูกอมเล็กน้อยก็ถูกวางลงบนผ่ามือของจีและมิลค์คนละ 1 หลอด เธอส่งยิ้มให้ทั้ง 2 คนแต่ก่อนที่เธอจะเดินผ่านไป

“Can I have more of this” คำพูดของมิลค์ทำเอาเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆ ตาค้าง ไอ้ตัวดีมันรู้ไหมเนี่ยว่าที่เขาแจกอยู่คืออะไร

“No No No, he is very drunk. Just forget it” จีคว้ามือที่ยื่นออกไปของมิลค์เอาไว้

“That ok, he is so cute...” เธอยิ้มหวาน

“.... You just take it easy on him, okay” ตาชั้นเดียวคู่นั้นเบิกกว้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยังไม่ทันที่จีจะได้อธิบายเธอก็ส่งหลอดพลาสติกใส 1 กำมือให้มิลค์แล้วก็เดินจากไปพร้อมรอยยิ้ม ... ไอ้ตัวดียิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่พอ เจ้าตัวยังเอาของพวกนั้นมาโชว์ให้เขาดูอย่างอารมณ์ดี

“นี่จี กูได้มาเยอะเลย” พูดจบมิลค์ก็ฉีกยิ้มกว้าง มันกำของเหล่านั้นไว้ในมือราวกับสมบัติล้ำค่า ดวงตาของมันหวานเยิ้มด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอร์

“มิลค์ มึงรู้หรือเปล่าว่าที่มึงถืออยู่คืออะไร” วายุนึกสนุกเลยอดไม่ได้ที่จะแกล้งคนเมา

“รู้ซิวะ ทำไมกูจะไม่รู้” มิลค์ตอบเสียงอ้อแอ้

“เหรอออออ งั้นบอกกูซิมันคืออะไร”

“lubricant ไง ที่เขาเอาไว้ใช้ตอน fuck กันอะ แค่นี้มึงไม่รู้จักเหรอวะ”

“555 ไอ้เหี้ยโคตรรั่ว แล้วมึงเอามาเยอะขนาดนั้นจะเอาใช้ทำกับใครวะ” คำถามของวายุทำเอามิลค์ถึงกับสะดุ้ง มันมองซ้ายมองขวาเหมือนหาตัวช่วย แล้วสายตาของมันก็มาหยุดอยู่กับเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆ

“กับมึงไงจี คืนนี้มึงใช้กับกูนะ นะๆๆๆๆๆ” วายุหัวเราะดังลั่น ในขณะที่ไอ้ตัวดีฉีกยิ้มกว้าง ก่อนที่หน้าผากของมันจะซบลงบนต้นแขนของเขาอีกครั้ง ส่วนนิ้วมือเรียวสวยก็กุมมือหนาของเขาไว้พร้อมกับเขย่าไปมาเป็นเชิงออดอ้อน ไม่รู้ว่าถ้าปราศจากฤทธิ์ของแอลกอฮอร์แล้วไอ้ตัวดีจะกล้าอ้อนเขาขนาดนี้ไหม ... แน่นอนว่าจีไม่ใช้พระอิฐพระปูน ไหนจะ skinship ไหนจะฤทธิ์ของ whisky ที่เขาดื่มไป 2 แก้วก่อนหน้านี้ ถ้าไม่ให้มีความรู้สึกอะไรเลยกับสถานการณ์ตอนนี้เขาก็คงต้องไปบวช

“อย่าเล่นให้มันมากนักไอ้มิลค์ ถ้ากูใช้กับมึงจริงๆ ...”

“... รับรองว่ามึงขำไม่ออกแน่” จีพูดเสียงเข้ม เขาใช้ทุกความพยายามที่หลงเหลืออยู่กดความรู้สึกที่กำลังลุกโชนอยู่ภายในให้ดับมอดลง

“จีนี่กูเอง มิลค์ไง เพื่อนมึงอะ มึงทำกูได้ลงคอเหรอ” ใบหน้าของมันขึ้นสีแดง ดวงตาหวานเยิ้ม ฉีกยิ้มกว้าง ... สวยราวกับดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้ายามค่ำคืน ... สติของเขาจะพังครืนลงเพราะมันไม่ยอมให้ความร่วมมือนี่แหละ

“มึงอยากลองไหมละ” แล้วก็เกิด dead air ขึ้นระหว่างเขากับเพื่อนสนิท ... 2 คนจ้องตากันไม่กระพริบ ...จังหวะนั้นถ้ามิลค์ตอบตกลง สาบาญได้เลยว่าคืนนี้ไอ้ตัวดีไม่รอดมือเขาแน่ๆ ต่อให้เช้าวันรุ่งขึ้นจะต้องง้อมันหนักแค่ไหน หรือจะต้องโดนมันโกรธ แต่เขาก็อยากจะขอลองเสี่ยงดูซักครั้ง

“จีพูดจาทะลึ่ง!!! เลิกแกล้งมิลค์ได้แล้ว ... อะนี่ เอาไปเช็ดหน้ามิลค์แล้วปล่อยให้เพื่อนนอน” โชคดีที่พี่แววพูดขัดจังหวะขึ้นมาซะก่อน บทสนทนาก่อนหน้านี้เลยลอยหายไปตามสายลม ... จีรับทิชชูเปียกมาจากพี่แวว แล้วบรรจงเช็ดหน้าเช็ดตาให้เพื่อนสนิทที่เหมือนจะสงบนิ่งไปจากเมื่อครู่พอสมควร ... แผ่นทิชชูสีขาวสะอาดไล่เช็ดไปตามโครงหน้าสวย ผ่านหน้าผาก แก้ม จมูกและรอบดวงตาอย่างเบามือ



หลังจากที่ผมได้สติกลับมาพอสมควร ก็ถูกจีลากขึ้นรถ bus กลับบ้าน พอเรา 2 คนกลับ วายุกับพี่แววก็ตัดสินใจกลับพร้อมกัน พวกเรา 4 คนอยู่บ้าน zone เดียวกัน ถ้านั่งรถย้อนมาจาก downtown จะถึงบ้านจีก่อน ตามด้วยบ้านของผม พี่แวว และวายุ ... จียืนยันว่าจะไปส่งผมถึงบ้าน แม้ผมจะบอกมันไม่รู้กี่รอบแล้วว่าผมหายมึนหัวและสามารถเดินกลับบ้านเองได้แล้วก็ตาม

“ที่นี่อากาศดีเนอะ” จีพูดขึ้นขณะที่เรา 2 คนเดินอยู่ริมถนน เพราะความที่มันกลัวว่าผมจะวิ่งเตลิดไปกลางถนนจากฤทธิของแอลกอฮอร์ เจ้าตัวเลยบังคับจูงมือผมมาตลอดทาง ... ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอด ต้องยอมรับว่าอากาศเมืองหนาวนั้นชุ่มปอดมากกว่าเมืองร้อนแบบบ้านเราเป็นไหนๆ

“ใช่ แต่ถ้าอากาศอุ่นขึ้นกว่านี้หน่อยก็น่าจะดี”

“กูดีใจนะที่ได้มาที่นี้กับมึง” ผมหันไปมองหน้าเพื่อนสนิทที่เดินอยู่ข้างๆ แสงจากโคมไฟริมถนนสาดส่องลงบนในหน้าหล่อเหล่าของจี

“กูก็ดีใจเหมือนกัน ... แค่มีมึงอยู่ใกล้ๆ ต่อให้กลัวแค่ไหนกูก็ไม่หวั่น” นึกย้อนไปถึงวันที่สนามบิน จีบอกกับผมว่าไม่ต้องกลัว มันจะดูแผมเอง มาถึงวันนี้มันทำอย่างที่พูดจริงๆ แต่ไม่ใช้แค่จีเท่านั้นที่ดูแลผม ผมก็ดูแลจีเหมือนกัน

“วายุมันถาม ว่ากูต้องรู้สึกดีมากๆ เลยใช่ไหมที่มีเพื่อนสนิทอย่างมึง ...” มือทั้ง 2 ข้างออกแรงบีบกันและกันแน่นขึ้นโดยที่ทั้งมิลค์และจีต่างก็ไม่ทันรู้ตัว

“... ไม่มีใครเข้าใจพวกเราหรอก ว่าการมีคนๆ หนึ่งที่เติบโตมาด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันมากมาย ทั้งหัวเราะ ทั้งร้องไห้ รู้จักกันในทุกซอกมุมของชีวิต สนิทกันมากจนแค่มองตาก็รู้ใจ ความรู้สึกนั้นมันพิเศษมากขนาดไหน” พูดจบมันก็หันมาส่งยิ้มให้ผม เป็นยิ้มที่ทำให้ผมแทบจะลืมหายใจ เหมือนพระอาทิตย์ที่ฉายแสงท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ หัวใจของผมพองฟูไปราวกับมีคนจุดพลุอยู่ข้างในเป็นร้อยเป็นพันดอก

“อืม” เอาจริงๆ คือ ณ ตอนนั้นผมคิดอะไรไม่ออกนอกจากตอบรับคำพูดของจีในลำคอ และปล่อยให้ตัวเองถูกจูงมือเดินไปเรื่อย ๆ ... เรา 2 คนเดินอยู่ข้างกัน ใต้ท้องฟ้ามืดสนิทที่พราวระยิบไปด้วยแสงดาว



พอกลับถึงบ้าน ผมถึงกับพูดไม่ออก ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เพราะทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็พบว่า Linda จัด party เหมือนกัน เรา 2 คนเลยถูกดึงตัวเข้าไปในงานเลี้ยงโดยที่ไม่สามารถปฏิเสธได้

หลังจากยืนพูดคุยทุกคนได้ซักพัก Minho ก็ชวนคนอื่นตั้งวงดวล vodka ผมกับจีถูกลากเข้ามาคลุกวงใน ตอนนี้พวกเรายืนล้อมวงอยู่รอบเคาน์เตอร์ในครัว เสียงเพลง pop คุ้นหูดังคลอเบาๆ บนเคาน์เตอร์มี vodka ขวดใหญ่ แก้ว shot นับ 10 แก้ว จานใส่เกลือและมะนาวที่ถูกผ่าเป็นซีกๆ ... ผมยิ้มแห้งให้กับภาพตรงหน้า แม้ผมจะได้สติกลับมาพอสมควรแล้วแต่ก็ยอมรับเลยว่าตอนนี้ขยาด alcohol ไปอีกซักพัก

“เราจะหมุนขวดนี้ ถ้าปากขวดชี้ไปที่ใครคนนั้นต้องดื่ม 1 shot ... มิลค์ นายดื่มเป็นไหม” ไม่แปลกใจที่ Minho จะถามผม อยู่บ้านเดียวกันมาเกือบ 2 สัปดาห์ มันชวนผมกินเหล้ากินเบียร์ทุกคืน แต่ส่วนมากแล้วผมจะปฏิเสธ

“ไม่เป็น เราไม่เล่นได้ไหมอะ”

“ไม่ได้ๆ host children ทุกคนต้องเล่นเกมนี้ เป็นธรรมเนียม ... จี นายก็ต้องเล่นด้วย” ถ้าจะบังคับเล่น แล้วมันจะถามทำไมว่ากินเหล้าได้ไหม ... สุดท้าย ผมกับจีเลยพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ เอาวะมาถึงขนาดนี้แล้ว อย่างน้อยพรุ่งนี้ก็วันเสาร์ นอนตื่นได้ยันเที่ยง

Minho เป็นคนเริ่มหมุนขวดคนก่อน และผู้โชคดีรายคือ Bruno ซึ่งก็ดื่ม vodka ทั้ง shot ได้แบบไม่สะทกสะท้าน ขวดชี้ชะตาหมุดไปเรื่อยๆ ในขณะที่คนอื่นๆ โดนกันไปครั้ง 2 ครั้ง ผมยังเป็นคนเดียวที่เหลือรอด แต่ก็ดูเหมือนโชคจะเข้าข้างผมได้มานาน เมื่อ Nami วางแก้ว shot ลงบนโต๊ะเสียงดังก่อนที่เธอจะหมดขวดเจ้าปัญหาและสุดท้ายปลายขวดก็ชี้มาทางผม

ในมือของผมถือแก้ว shot ที่บรรจุน้ำใสอยู่เกือบเต็ม ทันทีที่ได้กลิ่น ผมก็ต้องย่นจมูกเพราะความฉุนของกลิ่นแอลกอฮอร์

“มิลค์ นายดมไม่ได้ ถ้านายไม่ชอบกินเพียวๆ เอามะนาวจิ้มเกลือบีบเข้าปากแล้วกระดกทีเดียวหมด shot ไปเลย” Bruno แนะนำพลางหัวเราะขำกับสีหน้าเหยเกของผม ... ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะคว้ามะนาวซีกจิ้มเกลือที่เพื่อนชาวบราซิลยื่นมาให้ บีบเข้าปาก จากนั้นก็ตามด้วย vodka 1 shot รสชาดเปรียวเค็มตลบอบอวนอยู่ในช่องปาก ก่อนที่เครื่องดื่มมึนเมาร้อนวูบวาปจะไหล่ผ่านลำคอลงไปยังกระเพาะอาหาร มันรู้สึกเหมือนกลืนลูกไฟเข้าไปทั้งลูก

“อ่า!!!!!” อากาศที่ว่าหนาว ถูกความร้อนแรงของวอดก้ากลบหายไปจนหมดสิ้น

“ดื่มน้ำ ...” ยังไม่ทันได้ร้องขอ จีก็ยัดแก้วน้ำเปล่าใส่มือ ผมยกขึ้นดื่มอย่างไม่รอช้า

“... ไหวนะมึง” มือหนาบีบลงบนหัวไหล ผมพยักหน้าพลางใช้หลังมือปาดคราบน้ำออกจากริมฝีปาก เรา 2 คนสบตากันเพียงเสี่ยววินาที ก่อนที่ผมจะเห็นรอยยิ้มบางๆ ปรากฎขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา

เกมยังคงดำเดินต่อไปพร้อมทั้งเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของพวกเรา แม้ผมจะรอดตัวไปอีกหลายรอบแต่ฤทธิ์จาก vodka shot นั้นก็ทำให้ผมกลับมามีการร้อนวูบวาปอีกครั้ง

“มึงไม่ไหวแล้วเหรอ” จีถามขึ้นเมื่อมันสัมผัสได้ว่าผมเริ่มยืนพิงมันมากขึ้นเรื่อยๆ

“มึนแล้ววะ” ผมพึมพำออกมาเบาๆ รู้สึกได้ถึงกลิ่น vodka ที่ปะปนมากับลมหายใจของตัวเอง

“ไปนอนไหม” ผมพยักหน้ารับ

“มิลค์!!!” แต่ก่อนที่จะได้เอ่ยปากลา ไอ้ขวดเจ้าปัญหาก็ชี้มาที่ผมจนได้ ... โอ้ยยยยยยยย เกิดแต่กับกู!!!

“ไม่ไหวแล้วๆ” ผมเริ่มอิดออด เพราะรู้ว่าอาการที่เป็นอยู่ใกล้ limit ของตัวเองมาแค่ไหน

“กินหน่อยๆ แก้วเดียวแล้วนายไปนอนได้เลย” Minho ยังคงคะยั้นคะยอให้ผมดื่ม และในขณะที่ผมทำหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออก มือหนาของจีก็คว้าแก้ว shot จากมือของ Minho

“I’ ll drink for him” พูดจบ vodka ทั้ง shot ก็หายไปในลำคอของของจี ... ผมที่ยืนอยู่ข้างๆ มองเพื่อนสนิทแหงนหน้าก่อนจะกระดก vodka เข้าปาก ผิวของมันขาวซะจนมองเห็นเส้นเลือด ลูกกระเดือกเคลื่อนที่ขึ้นลงตามจังหวะการกลืน ... ผมรู้สึกเหมือนเลือดลมกำลังไหลเวียนทั่วร่าง ข้างในร่างกายรู้สึกร้อนวูปวาปทั้งที่อูณหภูมิตอนนี้เป็นเลขตัวเดียวด้วยซ้ำ ... มันเป็นความรู้สึกที่ผมไม่สมควรจะมีให้กับเพื่อนสนิท ... เชี่ย!!! นี่กูมีอารมณ์กับท่ากระดกเหล้าของมันได้ยังไงวะ

“G, You are the man!!! Salute!!!” Minho ทำมือประสานกันเหมือนในหนังจีน ก่อนกระดก vodka เพื่อคารวะความแมนเกินร้อยของจี



“มิลค์ มึงจะนอนไหน” จีถามขึ้นเมื่อเรา 2 คนเดินมาในห้องนอน

“ก็นอนในห้องไง ...” ผมยังไม่ทันพูดจบประโยคดี คนตรงหน้าก็ขมวดคิ้วเป็นปม

“... เออวะ กูลืมไปเลยว่าไม่ใช้ที่คอนโด” เพราะเคยชินกับเตียง king size ที่คอนโดเลยลืมไปว่าผู้ชาย 2 คนไม่สามารถจะนอนเบียดกันบนเตียงขนาด single bed ได้

“มึงมานอนกับกูในห้องนั่งเล่นเลย”

“เอาดิ เดียวเปลี่ยนชุดก่อน มึงใส่ชุดนอนกูไปก่อนนะ” ผมตอบรับ แล้วหยิบชุดนอนจากในตู้เสื้อผ้าส่งให้จีพร้อมกับแปรงสีฟันอันใหม่

“อืม”

“มึง กูไม่อาบน้ำได้ไหมอะ ง่วงนอนแล้ว แปรงฟันแล้วนอนเลยนะ”

“เอาดิ กูก็ง่วงแล้วเหมือนกัน” นานๆ ทีจะเห็นจีซักแห้ง อย่างว่าแหละคืนนี้เหนื่อยมากจริงๆ

“งั้นมึงไปแปรงฟัน เปลี่ยนชุดก่อนเลย” ผมเสนอ เพราะต้องการเวลาส่วนตัวเล็กน้อยเพื่อตั้งสติ จีพยักหน้าก่อนจะเดินออกไป ... ผมถอนหายใจยาวเหยียด ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างอ่อนแรง อะไรวะเนี่ยไอ้มิลค์ คิดอะไรฟุ้งซ่านอยู่ในหัว มึงกับมันเป็นเพื่อนกันนะเว้ย ... คืนนี้มันก็เหมือนกับทุกๆ คืนที่เราด้วยด้วยกันนั้นแหละ หยุดคิดๆๆๆๆๆๆ ... ผมทุบหัวตัวเองเบาๆ 2-3 ครั้งก่อนจะสูดหายใจเข้าเต็มปอด แล้วเปลี่ยนชุด

พอจีออกมาจากห้องน้ำผมก็เข้าไปแปรงฟันต่อ ในจังหวะที่จะปิดไฟแล้วเดินออกจากห้องน้ำ ผมก็พลันสะดุดตากับภาพแปรงสีฟัน 2 อันที่ถูกใส่ไว้ในแก้วน้ำใบเดียวกัน ทั้งที่ปกติแล้วเรา 2 คนก็วางแปรงสีฟันไว้แบบนี้ตลอดแต่ทำไมวันนี้ผมถึงอดที่จะอมยิ้มไม่ได้ ... มันรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก

เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นถึงได้เห็นว่าจีขนหมอนและผ้าห่มมากองไว้บนเตียงอัดลมหมดแล้ว มันตบมือลงบนเตียงเป็นสัญญานให้ผมนอนได้แล้ว

“นอนเลยนะ” จีถาม เมื่อผมสอดตัวเข้ามาใต้ผ้าห่ม

“อืม นอนเลย” แม้ปากจะบอกว่านอน แต่ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ในช่วงหัวค่ำยังคงฉายวนเวียนอยู่ในความคิด แม้จะเมาแต่ผมก็รับรู้ว่าบนรถ bus เราคุยอะไรกัน ... ‘มึงอยากลองไหมละ’ ... ไอ้เหี้ย!!! มันพูดแบบนี้กับผมได้ยังไง ถ้ากูหน้ามืดตอบตกลง มึงต้องรับผิดชอบเอาขันหมากมาขอกูนะ

มัวแต่คิดอะไรเรื่อบเปื่อย รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แสงจากโคมไฟในห้องดับสนิท แรงยุบตัวของเตียงทำให้ผมรับรู้ได้ว่ามันเอนตัวลงนอน และผมก็ควรจะเข้านอนได้แล้วเหมือนกัน

“ฝันดีนะมึง” เสียงของจีดังขึ้นข้างหู

“อืมฝันดี”

จากที่คิดฟุ้งซ่านมาตลอดครึ่งชั่วโมง พอหัวถึงหมอนผมก็เหมือนโดนหมัดน็อค สมองมัน shut down ไปดื้อๆ ... ตื่นขึ้นมาอีกทีคือตอนกลางดึก พอขยับตัวถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ และพอสมองตื่นตัวมากพอจะประมวณผลได้ ผมก็เข้าใจทันทีว่าความอึดอัดที่เกิดขึ้นมาสาเหตุมาจากอะไร ... หัวใจเต้นแรงจนสั่นสะท้าน ในลำคอแห้งผากไม่ต่างจากทะเลทราย ... เป็นเพราะ ‘สัมผัส’ ของคนที่นอนซ้อนอยู่ด้านหลัง ผมรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดอยู่หลังต้นคอ แขนหนักๆ พาดลำตัวของผม และลอดลงใต้วงแขน มือข้างนั้นของจีกุมมืออีกข้างหนึ่งของผมเอาไว้หลวมๆ เรา 2 คนต่างอิงแอบแนบชิด แผ่นหลังบางสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากแผ่นอกกว้างของเพื่อนสนิทที่ซ้อนอยู่ด้านหลัง ... เมื่อสติสัมปชัญญะกลับมาครบ ในสมองตีกันให้ยุ่งไปหมด เสี่ยวหนึ่งของความคิด ปมดำมืดในจิตใต้สำนึกร้องเตือนถึงเสียงสะท้อนจากอดีตที่ยังฝังลึก ... ผมเคยข้ามเส้นกับ ‘เพื่อนสนิท’ มาก่อน แล้วสุดท้ายผมก็เสียทั้งแฟนและเพื่อนสนิทไป

สมองสั่งให้ผมพาตัวเองออกจากสถานการณ์ตรงหน้า แต่เมื่อคิดย้อนไปถึงความรู้สึกทุกอย่างที่ผ่านมา ... สุดท้าย นิ้วมือเรียวสวยก็ค่อยๆ เกี่ยวกระหวัดกับนิ้วมือหนา ก่อนจะสอดประสานทั้ง 2 มือให้แนบแน่น พร้อมกับกระชับอ้อมกอดของเพื่อนสนิทเข้าหาตัว แล้วจมหายไปกับไออุ่นของคนที่นอนกอดผมอยู่ด้านหลัง

ปล่อยให้ทุกการกระทำที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้ล่องลอยไปเหมือนฝัน ไม่ว่าจะเกิดจากความเผลอไผลหรือตั้งใจ ... คืนนี้ผมตัดสินใจได้แล้วว่าจะไม่ฝืนความรู้สึกของตัวเองอีกต่อไป ... ผมยอมรับความพ่ายแพ้กับความรู้สึกของตัวเอง ... ผมตกหลุมรักจีเข้าแล้วจริงๆ


" I'm at the point of no return, so afraid of getting burned
But I want to take a chance
Oh, please give me a reason to believe
Say you're the one that you'll always be
Someone to have and hold with all my heart and soul
I need to know before I fall in love."

                                                                                         
Before I fall in love, Coco Lee, 1999


----------


มิลค์ : ความกลัวมีมากเท่าภูเขา จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือแต่ตอนนี้ความรักมันมีมากกว่า

#กลัว #กอด #ข้ามเส้น
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-08-2025 09:56:02 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 20 : The point of no return
«ตอบ #87 เมื่อ19-08-2025 09:54:06 »

“หนาวเหรอ” ผมหันไปตามเสียงคุ้นเคย จียืนซ้อนอยู่ด้านหลัง

“ลมมันแรงวะ” พูดไปปากยังสั่น รู้สึกได้เลยว่าจมูกและใบหูของตัวเองต้องแดงมากแน่ๆ

“เอาของกูไปใช้ก่อน...” พูดจบผ้าพันคอไหมพรหมก็พาดลงมาบนต้นคอระหงษ์

“... ไม่เป็นไรมึง นิดเดียวกูทนได้” ทำท่าจะส่งคืนแต่จีกลับจับมือผมไว้ แล้วพันผ้าพันคอผืนนุ่มล้อมรอบคอของผมอีกชั้น เมื่อเช้าผมตั้งใจว่าจะหยิบเอาผ้าพันคอมาด้วยแต่สุดท้ายก็ลืมจนได้


----------


#ลมหนาว #ใจอุ่น
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-08-2025 09:58:05 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 20 : The point of no return
«ตอบ #88 เมื่อ20-08-2025 21:38:49 »

“... ไม่มีใครเข้าใจพวกเราหรอก ว่าการมีคนๆ หนึ่งที่เติบโตมาด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันมากมาย ทั้งหัวเราะ ทั้งร้องไห้ รู้จักกันในทุกซอกมุมของชีวิต สนิทกันมากจนแค่มองตาก็รู้ใจ ความรู้สึกนั้นมันพิเศษมากขนาดไหน” พูดจบมันก็หันมาส่งยิ้มให้ผม เป็นยิ้มที่ทำให้ผมแทบจะลืมหายใจ เหมือนพระอาทิตย์ที่ฉายแสงท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ หัวใจของผมพองฟูไปราวกับมีคนจุดพลุอยู่ข้างในเป็นร้อยเป็นพันดอก

“อืม” เอาจริงๆ คือ ณ ตอนนั้นผมคิดอะไรไม่ออกนอกจากตอบรับคำพูดของจีในลำคอ และปล่อยให้ตัวเองถูกจูงมือเดินไปเรื่อย ๆ ... เรา 2 คนเดินอยู่ข้างกัน ใต้ท้องฟ้ามืดสนิทที่พราวระยิบไปด้วยแสงดาว


----------

#ใต้แสงดาว #เรา
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 20 : The point of no return
«ตอบ #89 เมื่อ22-08-2025 10:26:15 »

“I’ ll drink for him” พูดจบ vodka ทั้ง shot ก็หายไปในลำคอของของจี ... ผมที่ยืนอยู่ข้างๆ มองเพื่อนสนิทแหงนหน้าก่อนจะกระดก vodka เข้าปาก ผิวของมันขาวซะจนมองเห็นเส้นเลือด ลูกกระเดือกเคลื่อนที่ขึ้นลงตามจังหวะการกลืน ... ผมรู้สึกเหมือนเลือดลมกำลังไหลเวียนทั่วร่าง ข้างในร่างกายรู้สึกร้อนวูปวาปทั้งที่อูณหภูมิตอนนี้เป็นเลขตัวเดียวด้วยซ้ำ ... มันเป็นความรู้สึกที่ผมไม่สมควรจะมีให้กับเพื่อนสนิท ... เชี่ย!!! นี่กูมีอารมณ์กับท่ากระดกเหล้าของมันได้ยังไงวะ

“G, You are the man!!! Salute!!!”


----------

#หมดแก้ว #เพื่อนาย
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด