เอามาส่งตามสัญญา ว่าแต่ คงหลับกันไปหมดแล้วอ่ะดิฮะ
ตอนที่ 13 สายไป! ใจของผมเต้นเร็วเหลือเกิน แม้ว่าเป้จะเหยียบจนเกือบ 160 แต่ข้างในอกผมมันร้อนรน ผมได้แต่นั่งสั่นขาทั้งสองข้างของผมไปเรื่อยๆ แล้วอยู่ดีๆ มันก็เกิดขึ้นครับ
คุณเคยมีลางสังหรณ์ไหม... ชั่ววินาทีนั้นใจของผมมันรู้สึกโหวงขึ้นมาทันที ความกลัวล้นทะลักขึ้นมา ไม่ดีเลย.. ผมไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย นี่มันไม่ดีแน่ๆ โทรศัพท์ของผมดังขึ้น หน้าจอสว่างวาบปรากฎหมายเลขที่แปลกๆ ที่ผมไม่คุ้นเคย
ผมคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ “หวัดดีครับ”
“หวัดดีว่ะโฟน เป็นไงมั่งวะ สบายดีไหม” เสียงของปิงดูร่าเริง แจ่มใสผิดกับที่ผมคาดเอาไว้
“สบายก่ะผีมึงสิ ทำไมไม่ยอมไปสอบวะ”
“กูติดธุระต้องทำนิดหน่อยหว่ะ แล้วสอบทำได้ไหม”
“ได้ แล้วมึงล่ะเป็นไงบ้าง สบายดีหรือเปล่าวะ”
“คืองี้โฟน....” ช่วงเวลาที่เว้นไปเหมือนจะนานชั่วนิรันดร์
“ ....กูจะโทรมาบอกลา” ความรู้สึกเมื่อครู่ชัดเจนมากขึ้น มันก่อตัวใหญ่โต และเกาะกุมความคิดของผมจนแทบจะไม่สามารถหลุดคำพูดใดๆ ออกมาได้
“มึงแปลว่าอะไร บอกลา มึงจะไปไหน”
“กู.. อาจจะหายไปสักพัก...พักใหญ่ๆ” ความคิดของผมขาวโพลนไปหมด
“ปิง คุยให้รู้เรื่อง นี่กูซีเรียส มึงจะไปไหน”
“โฟน.. คือกูมานั่งคิดดูแล้ว แม่งกูไม่รู้ว่ากูจะพูดยังไงดีหว่ะ.. มึงเคยบอกให้กูลองคบกับคนอื่นไปก่อนใช่ไหม แล้วคนใครสักคนที่หยุดกูได้ก็คนคนนั้นแหละเป็นคนของกู มึงจำได้ใช่ไหม”
“อือ กูจำได้ มันตั้งนานมาแล้ว แล้วมึงมาถามอะไรตอนนี้วะ ตอนนี้มึงอยู่บ้านใช่ไหม เดี๋ยวกูไปหา มึงรอหน่อย”
“ฟังกูก่อนโฟน กูเหลือเวลาไม่มาก”
“....”
“กู... คือ กูมานั่งคิดๆ ดู จริงๆ แล้วไม่ใช่คนพวกนั้นหรอก มึงเองนั่นแหละโฟน มึงเป็นคนที่หยุดกูเอาไว้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำไมกูไม่รู้วะว่ามึงชอบกู แล้วพอมึงหายไปแบบนี้ ..โฟน กูเพิ่งเข้าใจหว่ะ กูว่า..
กูรักมึงนะ
ขอโทษนะที่เพิ่งมาบอกเอาป่านนี้... มันสายไปหน่อยกูรู้ .. กูต้องไปแล้วนะ อย่าร้องไห้เยอะล่ะไอ้ขี้แย”
“ปิง.. เฮ้ย ปิง!!! ปิง!!!!”
สายโทรศัพท์ถูกกดวางแล้ว ผมโทรกลับทันทีแต่ปิงปิดเครื่อง ผมมองหน้าเป้ด้วยความกลัว แต่เป้กลับนิ่ง ไม่มีร่องรอยของความสงสัยให้เห็นเลยสักนิด คิ้วที่ขมวดกันแบบเคร่งเครียดกับปากที่เม้มสนิทไม่มีคำถามใดหลุดออกมานั้นยืนยันถึงความผิดปกติ และมันก็อธิบายได้เพียงอย่างเดียว
“เป้!! นายรู้อะไรมาบ้าง บอกเรามาเดี๋ยวนี้นะ”
เป้หลับตาลงนิดนึงพร้อมกับถอนหายใจ “ก่อนอื่นที่อยากให้นายรู้ไว้ เราลำบากใจที่ต้องทำแบบนี้นะ”
“บอกมา เร็วเข้าเป้ เกิดอะไรขึ้น”
“ปิงไม่สบาย ไม่สบายหนักมาก”
ผมหน้าซีด ลางสังหรณ์ของผมเป็นจริงขึ้นมา ปิงไม่สบายเหรอ ตั้งแต่ผมรู้จักกับปิงมา มันเข้าโรงพยาบาลนับครั้งได้ ล่าสุดที่ผมเห็นว่ามันต้องนอนโรงพยาบาลคือตอน ม. 4 ตอนนั้นมันแข่งบาสแล้วโดนกระแทกล้มเอ็นข้อเท้าอักเสบ แค่นั้นจริงๆ ผมไม่เคยคิดว่าปิงจะมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพเลย
“ปิงเป็นอะไร”
“เป้เองก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าอาการหนัก ที่มาสอบไม่ได้ก็เพราะว่าเรื่องนี้นั่นแหละ เป้ขอโทษที่ต้องโกหกโฟน แต่ปิงขอร้องให้เป้ไม่บอกโฟน มันกลัวโฟนจะไม่มีสมาธิทำสอบ”
ผมสับสนมากโกรธก็โกรธ น้อยใจก็น้อยใจ คนที่สนิทที่สุดในชีวิตของผมต้องการปิดบังผมเนี่ยนะ แล้วไหนจะเป้อีก ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าเป้จะโกหกผมได้ มือของผมสั่นระริก ผมพยายามเอามืออีกข้างมากุมเอาไว้แต่ก็ไม่ได้ผล “นายกับปิง ได้คุยกันเหรอ... โดยที่เราไม่รู้”
“สามสี่วันก่อนปิงโทรมาหาเป้ ให้เป้ไปหาที่โรงพยาบาล มันบอกว่ามันฝากให้เราดูแลนายหน่อย สภาพของปิงดูไม่ค่อยดีเลยโฟน เป้จะไม่โกหกโฟนหรอกนะ ปิงมีสายวัดอะไรสองสามอย่างออกมาจากหน้าอก จอมอนิเตอร์คลื่นหัวใจ ความดัน แล้วก็มีทั้งเลือดทั้งน้ำเกลือแขวนอยู่
ปิงบอกว่าหลังสอบเสร็จอยากให้เป้ชวนโฟนมาเที่ยว ปิงบอกว่าโฟนเคยชวนมันมาหัวหิน แต่มันก็ไม่ได้พาโฟนมา แล้วปิงก็บังคับให้เป้สัญญาว่าจะพาโฟนมาให้ได้
โฟน เป้ขอโทษที่ทำแบบนี้นะ แต่สภาพของปิงตอนนั้นเป้ไม่กล้าที่จะปฎิเสธ”
“ปิงจะไปไหน นายรู้หรือเปล่า”
“ไม่...เรื่องนี้เราก็ไม่รู้มาก่อนเหมือนกัน”
“เป้... ขับเร็วกว่านี้อีกหน่อยได้ไหม ขอร้องนะ” เป็นสองชั่วโมงบนรถที่ยาวนานและทรมานที่สุดในชีวิต สมองผมคิดอะไรไม่ออก ผมรู้แต่ว่าผมต้องไปที่บ้านของปิง เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมเข้ากรุงเทพประมาณสี่ทุ่มกว่าและใช้เวลาฝ่าถนนอันคดเคี้ยวอีกนิดหน่อยก่อนจะถึงบ้านปิง ไฟสีส้มยังส่องแสงผ่านผ้าม่านออกมาให้เห็น ผมเอื้อมมือกดกริ่ง และรอคอย
คนที่ปรากฎตัวคุ้นหน้าอย่างประหลาด แทนที่จะเป็นคุณพ่อคุณแม่ แต่คนที่มาเปิดประตูกลับเป็นฟิว
“เจ้ฟิว มาได้ไง แล้วปิงล่ะ ปิงอยู่ไหน” ฟิวนิ่ง ตบหลังผมเบาๆ “เข้ามาคุยกันก่อน”
แม่อยู่ในชุดนอน ส่งโอวัลตินร้อนมาให้ผมกับเป้
“แม่ฮะ ปิง.. ปิงอยู่ไหนเหรอครับ”
“โฟน.. ปิงไม่สบาย” ฟิวบอกผมด้วยเสียงสั่น
แม่เดินมานั่งใกล้ๆ “เดือนก่อนปิงอยู่ดีๆ ก็เป็นลม พ่อกับแม่พาปิงไปเข้าโรงพยาบาล คิดว่าคงไม่เป็นไรมากแต่ผลเลือดของปิงผิดปกติ หมอบอกว่าปิงเลือดจางมาก ต้องตรวจเพิ่มเติม หมอเจาะเลือดไปตรวจหลายรอบก็ไม่เจอความผิดปกติ แต่พอไปเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์.. หมอบอกว่ามีก้อนใหญ่ประมาณสิบเซ็นต์ในท้อง ปิงต้องเข้ารับการผ่าตัด”
แม่หยุดเล็กน้อย พยามให้แน่ใจว่าผมเข้าใจว่าแม่กำลังพูดถึงอะไร
“พ่อเขามีเพื่อนที่สนิทกันสมัยทำวิทยานิพนธ์อยู่ที่อังกฤษ เขาเป็นหมอผ่าตัดฝีมือดีมาก... ตอนนี้ ปิงกำลังเดินทางไปโรงพยาบาลที่เพื่อนของพ่อทำงานอยู่เพื่อเข้าผ่าตัด”
“ปิงจะปลอดภัยใช่ไหมฮะ”
“แม่ไม่รู้ ... แม่ได้แต่ภาวนาให้เป็นแบบนั้น หมอที่นี่บอกว่าก้อนไปกดเข้ากับเส้นเลือดใหญ่ที่ท้อง การผ่าตัดเอาก้อนออกเสี่ยงมาก”
ผมจับมือแม่เอาไว้ มือของแม่เย็นเฉียบ ผมขวัญเสียก็จริง แต่คนที่ใจแทบจะสลายคงเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมตอนนี้ “ปิงจะไม่เป็นไรครับแม่ เรามีแต่ต้องเชื่อแบบนั้น”
แม่โอบกอดผมเอาไว้ น้ำตาของเธอเอ่อล้นออกมา “โฟน ปิงฝากนี่ไว้ให้โฟน เก็บไว้นะ” ผมรับสมุดเล่มหนาเล่มนึงมาเก็บไว้ แล้วก็บอกลาคุณแม่
to.be.continued