ตอนจบ อากาศหนาวเข้ามาเต็มที่ แม้ว่าจะไม่ถึงกับหนาวสั่นจนเข้ากระดูกแต่ก็คงเพียงพอให้หนุ่มสาวกรุงเทพรื้อค้นเอาอุปกรณ์กันหนาวหลากหลายรูปแบบมาห่มห่อร่างกายเก็บกักความอุ่นเอาไว้กับตัวเองได้อย่างไม่เคอะเขิน ช่วงเวลาสิ้นปีช่างเต็มไปด้วยเทศกาลแห่งความสุข ยั่วยวนให้ผู้คนไขว้เขวจากงานประจำหันมาจับคู่เดินควงแขนตามถนนหนทางที่ประดับประดาไปด้วยแสงไฟระยิบระยับลานตา ใครที่มีคู่ก็แอบอิงกันมา ส่วนใครที่ยังไม่มีก็หยิบยืมวงแขนของเพื่อนออกมาเดินเล่นกันเต็มไปหมด
ต้นคริสมาสต์สูงใหญ่แทงยอดขึ้นมาหลายจุดให้ผู้คนได้เก็บภาพกันอย่างสนุกสนาน เด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งห่อตัวอยู่ภายใต้เสื้อกันหนาวสีน้ำตาลท่ามกลางลมเย็นที่เริ่มพัดพาเข้ามา สวนทางกับเข็มนาฬิกาที่เดินผ่านไป เหมือนกับทุกคนกำลังเคลื่อนที่และมีแต่เขาคนเดียวที่หยุดนิ่งอยู่เช่นนั้น เด็กหญิงสองคนจูงมือกันมากับแม่ มือนึงจับกันไว้ อีกมือถือลูกโป่งสีสวยหลายใบที่ลอยอยู่ในอากาศ ทั้งคู่หยุดเล็กน้อยเพื่อมองสิ่งที่หยุดนิ่ง ริมฝีปากของเด็กหนุ่มเริ่มหักเหเป็นมุมสวยงามอย่างที่รอยยิ้มควรจะเป็น
พอดึกมากขึ้นผู้คนก็เริ่มจางตา เขายังนั่งอยู่ที่ตรงม้านั่งที่เดิม รอคอยใครสักคน และคงจะเป็นคนสำคัญมากสำหรับเด็กหนุ่มร่างบางคนนี้ มือซีดๆ ของเขาเกาะกุมเอาสมุดหน้าปกที่แดงที่ดูเก่าคร่ำคราเอาไว้ ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองออกมาอย่างมีความหวังและแน่วแน่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามเขาเชื่อเหลือเกินว่าสิ่งที่เขารอคอยนั้นจะต้องมาอย่างแน่นอน
เวลาเหมือนจะผ่านไปอย่างเชื่องช้ากว่าปกติ การรอคอยมักจะส่งผลกับเวลาในรูปแบบนั้นเสมอ ลานกว้างในตอนนี้ร้างลาผู้คนไปหมดแล้ว ดวงไฟนับร้อยนับพันที่เคยส่องสว่างดับวูบลง ส่วนที่เป็นเหล็กบนที่นั่งปะทะกับอากาศด้านนอกจนเย็นและนั่งไม่อุ่นสบายเหมือนเคย
หากนี่เป็นเหมือนละครในโทรทัศน์ เพลงส่งท้ายควรจะต้องถูกเร่งเสียงส่งอารมณ์ของผู้ดูให้เคลื้อมฝัน เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงมันง่ายดายกว่าที่คุณจินตนาการไว้มากนัก
ไหล่ของเด็กหนุ่มรับรู้ถึงสัมผัสของฝ่ามือที่บีบเบาๆ “ปิง” เขาเอ่ยชื่อเรียกคนอีกคนที่เดินท่าแปลกประหลาดผ่านมานั่งด้านข้าง เสื้อแจ๊คเก็ตไหมพรมถูกใส่ทับเชิ๊ตและผ้าพันคอสีเทาดำวางพาดปกป้องลำคอเรียวยาวไว้จากความหนาว “โฟน...”
และก็อีกนั่นแหละครับ ถ้อยคำรังสรรค์ปรุงแต่งมากมายที่ควรจะหลุดออกมา ตอนนี้ ในเวลานี้ก็เป็นช่วงเวลารุ่งโรจน์ที่สุดของคำเหล่านั้น
“เจ็บฉิบหาย ท้องกูมีแผลตั้ง 10 เซนต์”
มีคนตั้งคำถามว่า ถ้าเรารู้ว่ารักแล้วเจ็บ เรายังควรจะบ่มเพาะเมล็ดพันธ์แห่งความรักลงไปในจิตใจหรือไม่ หรือเราควรจะใช้ชีวิตอยู่โดยหลีกเลี่ยงเจ้าสิ่งที่เรียกกันว่าความรัก
โฟนเป็นตัวอย่างของการซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง ผมเรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเองว่าการเริ่มต้นเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับความรักนั้นเราต้องโยนเอาเหตุผลทิ้งไปเสียก่อน เรากำลังก้าวเท้าเข้าไปสู่โลกใบที่หนึ่งบวกหนึ่งอาจจะไม่ใช่เท่ากับสองอีกต่อไป โลกที่คุณจะเห็นผู้คนทรมานกับความรักแต่ก็ยังออกเดินทางตามหามัน จะมีสักกี่คนที่ได้ความรักมานอนกอดอุ่นๆ เอาไว้แนบกาย แล้วเหล่าผู้ผิดหวังล่ะเขาเดินทางแสนไกลไปเพื่ออะไร เพื่อพบเจอกับน้ำตาและความผิดหวัง ส่วนผู้สมหวังคุณคิดว่าพวกเขาจะรักษาดูแลกันและกันไปได้อีกนานเท่าไหร่ ทุกย่างก้าวที่ออกเดินไปด้วยกันเต็มไปด้วยกับดักที่จ้องจะแยกให้เขาออกจากกัน และในช่วงเวลาท้ายสุดของชีวิตแล้วทุกคู่ก็ต้องแยกกันอยู่ดีไม่ใช่เหรอ ดูเหมือนทางออกของความรักมันจะมีแต่ความเศร้าและเจ็บปวด
นั่น.. ผมบอกแล้วว่าให้เอาเหตุผลทิ้งไป หากสิ่งที่มันอยู่ข้างในใจคือรัก ก็ทำมันไปเถอะครับ เจ็บตัว ร้องไห้ หกล้มหกคะเมนตีลังกา ก็รักไปเถอะครับ ไม่ต้องกั๊ก ไม่ต้องกลัวจะเจ็บปวด เพราะในเมื่อเราไม่สามารถคาดเดาผลลัพท์จากสมการคณิตศาสตร์ได้ ใครจะรู้ว่าสักวันสองมืออันหนาวเหน็บของเราจะมีใครส่งดวงใจมาเอาไว้ให้ดูแล
สุดท้ายคำอวยพร ที่เหมาะสมกับความรักซึ่งคาดเดาไม่ได้ที่สุดคือ
ขอให้ทุกคนโชคดีกับความรักครับ...
(นั่นแหนะ นึกว่าจะจบแล้วอ่ะสิ)
“คุณหมอ มีคนไข้ด่วนที่ห้องฉุกเฉินขอเชิญด้วยค่ะ” พยาบาลวิ่งกระหืดกระหอบมาตามผมที่ห้องพัก ถุงมือสีขาวของเธอเปรอะไปด้วยสีแดงฉาน
ผมรีบทิ้งชาร์ตคนไข้ที่วางอยู่ตรงหน้าและวิ่งตรงออกไปทันที เด็กหนุ่มคนหนึ่งร้องตะโกนอยู่ด้านนอก “นัท!! นัทททท อย่าเป็นอะไรนะ นัท!! นัทททททท” ประตูห้องฉุกเฉินถูกเปิดออก บนเตียงผมพบกับคนไข้อายุประมาณยี่สิบปีไม่มีบาดแผลภายนอกที่ชัดเจนยกเว้นตรงขาด้านขวาที่ดูผิดรูปกว่าปกติ เสียงของเด็กคนนั้นยังได้ยินลอดเข้ามา “นายห้ามเป็นอะไรนะ” ผมเรียกสมาธิคืนมา และกลับมาดูคนไข้อีกครั้ง
“คนไข้รถชนเมื่อ 10 นาทีที่แล้วค่ะหมอ” พยาบาลคนหนึ่งยื่นรอฟังคำสั่ง
“โอเค คนไข้ยังหายใจอยู่ ผมฝากวัดความดัน พี่อีกคนผมฝากหาเส้นเปิดน้ำเกลือไว้ก่อนเลยครับ” เอาหล่ะ อย่าตกใจ... แต่ต้องยอมรับในฐานะหมอจบใหม่และเพิ่งปฎิบัติงานมาไม่ถึง 2 เดือนว่านี่เป็นเคสหนักที่สุดที่เขาเจอมาในช่วงการทำงานอันแสนสั้น
“หมอคะ คนไข้วัดความดันไม่ได้เลยคะ” ผมหันควับในมือยังถือหูฟังเพื่อเตรียมฟังปอดอยู่
“ปั๊มหัวใจ เปิดเส้นได้หรือยังผมขออะดรีนาลีนด้วย ลากเครื่องปั๊มหัวใจมานี่เร็วเข้า”
การปั๊มและช๊อคหัวใจเริ่มขึ้น ผมใส่ท่อช่วยหายใจให้คนไข้ได้สำเร็จ แต่อาการแย่มาก ให้ตายเถอะนี่ผมกำลังจะเสียคนไข้รายนี้ไป เด็กคนนั้นยังคงเฝ้ารอ ร้องตะโกน และวิงวอนให้เขารอด ถ้าเขาเป็นผมแล้วนี่เป็นปิงล่ะ ผมรู้ตัวดีว่านาทีนี้ไม่ใช่พระเจ้าหรอกที่จะช่วยคนไข้ได้ มีแต่ผมเนี่ยแหละ ผมคนเดียว แล้วในที่สุดผมก็เห็น ...รอยแผลที่อยู่ด้านหลัง ผมรีบหยิบหูฟังและหลังจากตรวจเสร็จ เข็มเบอร์ใหญ่ที่สุดที่ผมมีก็ถูกปักลงไปบนหน้าอกคนไข้ เสียงฟู่ดังขึ้น “ปั๊มต่อครับ อย่าหยุด ผมขอเซ็ทเจาะปอดด้วย”
อีกหนึ่งชั่วโมงถัดมา...
ผมหย่อนร่างที่เหนื่อยล้าลงบนเก้าอี้ที่ด้านนอกตัวตึก พี่พยาบาลคนที่เดินเข้ามาเรียกผมเดินมานั่งด้วยส่งเครื่องดื่มมาให้ “โอวัลตินร้อนๆ ค่ะหมอ ช่วงปีใหม่ก็แบบนี้แหละค่ะ เคสอุบัติเหตุเยอะ”
“แล้ว คนไข้เรียบร้อยดีไหมครับ” ผมถาม
“รถฉุกเฉินเอาไปส่งถึงโรงพยาบาลจังหวัดแล้ว ตอนนี้คงเข้าห้องผ่าตัดไปแล้วล่ะคะ” พี่พยาบาลยิ้มใจดี ถ้าเทียบแล้วเขาคงอายุรุ่นคราวแม่ของผมได้
“หมอเก่งนะคะ ปกติแล้วหมอจบใหม่ออกมาโรงพยาบาลชุมชน เจอเคสแบบนี้ยังปั๊มขึ้นอีก”
ผมหัวเราะ “ผมควรจะรู้ว่าคนไข้มีลมในปอดตั้งแต่แรกแล้ว แต่กว่าจะรู้ก็เกือบจะสาย”
“เกือบจะสาย แต่ก็ยังรอดหนิคะ”
“ดีจังเลยนะที่รอด”
“หมอไปพักเถอะค่ะ ลงเวรแล้วนี่นา พี่ไปนะคะ ควบบ่ายดึกค่ะ”
“ขอให้เคสไม่เยอะนะครับ”
หลังจากจบบทสนทนา ผมก็เดินกลับหอพัก แอบโกรธไอ้ปิงที่มันไม่โทรมาอวยพรวันปีใหม่สักก่ะนิด ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปเมาแอ๋ฉลองปีใหม่กับเพื่อนอยู่ถึงไหน ผมหยิบมือถือมาเปิดดูมีคำอวยพรของทั้ง อาร์ท ป๋อง แล้วก็โอปอลทั้งสามยังเป็นเพื่อนสนิทกันจนเรียนจบ แต่ว่าต้องแยกย้ายกันไปทำงานตามจังหวัดที่จับสลากได้ ส่วนเป้ไม่มีข้อความแต่โทรมาอวยพรกันตั้งแต่หัววัน
และท้ายที่สุด ไอ้ปิง ไม่มีทั้งข้อความและโทรศัพท์จากคนที่อยู่ไกลจากผมหลายร้อยกิโลเมตร ผมขึ้นบ้านไขประตูเปิดออกแล้วก็
“โฟนนนนน แฮ๊ปปี้นิวเยียร์” “แว๊กกกกก อ...ไอ้ปิง มึงมายังไงเนี่ย” ผมตกใจจนเกือบจะถีบมันติดข้างฝา รุ่นพี่ยิ่งขู่แล้วขู่อีกว่าผีดุ
“เอ๊าาา คนเป็นแฟนกันก็ต้องมาเค้าท์ดาวน์ด้วยกันสิ มานี่มาขอกอดที คิดถึงฉิบหาย” ปิงดึงตัวผมไปกอดรัดเอาไว้ แม้จะอายหน้าแดงแป๊ดแต่ผมก็ปล่อยให้มันกอดอยู่อย่างนั้น
“เหนื่อยไหมวะ” ปิงถามผมเพราะเห็นท่าอิดโรยของผม
“เมื่อกี้มีเคสหนักมาหว่ะ ยังเด็กอยู่เลย”
“รอดป่ะ”
“ระดับนี้แล้ว ต้องรอดดิวะ”
“เออๆๆ เก่ง”
“อ๊ะ นี่มึงชมกูเหรอ ผีเข้าหรือเปล่าวะ เอายาสักเม็ดป่ะ”
“นี่โฟน มึงรักกูป่ะ”
“เออ”
“อะไรวะ โรแมนติคหน่อยสิวะ จะจบแล้วนะเว้ย คนอ่านเขาอยากจะโรแม๊นซ์กัน”
“มึงพูดสิ คนอ่านเขาอ่านเรื่องกูมาเยอะแล้ว”
“ไม่เอาอ่ะ กูเขิน”
“นะ ปิงน้าาา พูดหน่อยเร็ว เขารอฟังกันอยู่”
“ม.. ไม่พูดไม่ได้เหรอวะ”
“เอ๊า เป็นเหี้ยอะไร ทุกทีเห็นแต่หน้าด้าน”
“เชี่ยะนี่ ก็กูไม่ชิน”
“เร็วเด่ะ กูหิวแล้ว บอกแล้วจะได้ไปหาอะไรกินกัน”
“เออออๆๆๆๆ ก็ได้ๆๆๆ”
“ปิงรักโฟนนะ” ....................
ขอให้ทุกคนโชคดีในปี 2009 นะคร้าบบบบบบบบ
หวังว่าเรื่องต่อไปจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเหมือนกับเรื่องโฟนกับปิงนะฮะ ขอบคุณทุกคอมเม้นต์เลย ผมแต่งได้เรื่อยๆ เพราะกำลังใจนะครับ ขอบคุนค้าบบบ ขอบคุนค้าบบบบบบบบบบ
ขอรักแค่สักครั้ง เรื่องใหม่นะฮะตามอ่านภาคต่อที่นี่ฮะ