ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 12/2/2021]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 12/2/2021]  (อ่าน 6617 ครั้ง)

ออฟไลน์ ButlerofLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
CHAPTER
32




ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไร สายลมยามราตรีที่พัดกรูเข้ามาทำให้ลานกว้างที่เคยเป็นที่ตั้งของสำนักตีดาบหลวงเต็มไปด้วยใบไม้แห้งสีน้ำตาลที่พรูร่วงลงเต็มไปหมด ร่างในอาภรณ์สีดำสนิทพร้อมสร้อยสังวาลสีทองยืนนิ่งอยู่กลางลาน มีเพียงแววตาที่ระริกไหวราวเพลิงโชติช่วงที่จ้องตรงมาข้างหน้า ปลายดาบอาคมและไอเพลิงร้อนแรงแห่งยมโลกชี้ลงพื้นดิน เสียงเปรี๊ยะเปรี๊ยะของกองฟืนที่กำลังปะทุตรงหน้าราวกับเป็นระฆังสัญญาณให้บุรุษสองคนที่กำลังยืนประจันหน้ากัน คนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่แผ่นอกกว้างขณะที่อีกผู้หนึ่งร่างเล็กสันทัดกว่ามีผิวสองสี และคล้องสร้อยที่สร้างจากกะโหลกศีรษะมนุษย์ ไอวิญญาณที่เกิดจากไสยเวทมนตร์ดำล้อมกายของจอมขมังเวทไว้ มือของขุนศรีจับไม้เท้าอาคมไว้แน่นพร้อมกับมีป้ายทองคำอยู่ในอกเสื้อตรงหน้า

“พักผ่อน...สบายดีฤาไม่อ้ายสีห์” เสียงหัวเราะในคอเบา ๆ จากจอมขมังเวทตรงหน้า ประโยคนั้นทำให้มือที่กระชับดาบไว้กำแน่นขึ้นกว่าเดิม ดวงตาคมจ้องเขม็งตรงหน้า ก่อนจะสืบเท้าก้าวเข้ามาอย่างระมัดระวัง เปลวเพลิงที่เจ้าตัวจุดขึ้นสร้างกำแพงโดมมิติวิญญาณขนาดใหญ่กว่าเดิมถึงสามเท่า กางกั้นพวกเขาออกจากมิติโลกปัจจุบัน

...ไม่ว่าสิ่งใดที่เกิดขึ้นในโดมนี้ จักไม่มีผลใด ๆ กับโลกภายนอกเด็ดขาด

“รอบคอบ ๆ เจ้านี่รอบคอบ น่าชมเชยยิ่งนัก...อ้ายสีหราช” น้ำเสียงคนตรงหน้าไม่คล้ายชื่นชมแต่ติดประชดเสียมากกว่า ขณะที่ไอสีดำสนิทเริ่มกระจายตัวไปรอบ ๆ โดมมิติวิญญาณอย่างช้า ๆ

“นี่เจ้าจักไม่ขอบคุณข้าเลยหรือ ที่ให้พวกเจ้าได้มีเวลาอยู่ด้วยกันขนาดนั้น” น้ำเสียงคล้ายกลั้วหัวเราะเบา ๆ

“อ้ายอินทร์อยู่ที่ไหน !” สีหราชตะโกนกร้าว แววตาวาวโรจน์

“หึ...เจ้ายังคิดถึงคู่รักเจ้าอีกหรือ อย่าบอกนะว่าพวกเจ้ายังไม่ได้ร่ำลากัน เพราะถ้าเป็นเยี่ยงนั้นเจ้าคงต้องผิดหวังเสียแล้ว”

สิ้นเสียงก่อกวนนั้น เป็นสีหราชที่โผนเข้าหาขุนศรี เงาสีดำสนิทพร้อมละอองทองคำถลาวูบเข้ามา ประกายดาบเพลิงวิญญาณในมือพุ่งปราด จังหวะดาบของคนตรงหน้ามั่นคงรวดเร็วขณะที่จอมขมังเวทยกไม้เท้าตรงหน้าขึ้นมารับแรงปะทะก่อนจะแสยะยิ้ม กระแสของไสยเวทสีดำกลายเป็นม่านกั้นดาบเพลิงวิญญาณแต่แรงปะทะรุนแรง ทำให้ร่างจอมขมังเวทถลาถอยร่นไปด้านหลัง ดินทรายและฝุ่นตรงหน้าฟุ้งกระจายทันที อาภรณ์ส่วนหนึ่งขาดด้วยพลังของดาบเพลิงวิญญาณ จิตสังหารพลุ่งพล่านที่ออกจากร่างตรงหน้าแทบจะข่มจอมขมังเวทตรงหน้า แต่เป็นขุนศรีที่กระโดดถอยหลังเพียงนิดก่อนจะหัวเราะอย่างสะใจ

“ข้ารู้ดีว่าข้าไม่ใช่คู่มือของเจ้าในเชิงดาบแน่ สีหราช !” 

“แต่ข้าก็ไม่เป็นรองใครในทางมนตราเช่นกัน !”

ว่าแล้วมือสองข้างสะบัดวูบพร้อมกับบริกรรมคาถา ลมกระโชกเข้ามาวูบหนึ่งพร้อมกับไอสีดำสนิทที่ม้วนตัวขึ้นมาจากความมืด ความมืดสนิทจากไอดำนั้นค่อย ๆ คลุมไปทั่วพื้นดินตรงหน้า สีหราชเบิกตาโพลงก่อนจะกลับตัวทันควันและลอยอยู่เหนือพื้นก่อนจะกวาดตามองโดยรอบ พื้นดินที่เคยนิ่งสนิทกลับค่อย ๆ ขยับตัวเบา ๆ พร้อมกับโครงกระดูกจำนวนมากที่ค่อย ๆ ขุดตัวเองขึ้นมาจากกองดิน ร่างแต่ละร่างนั้นเป็นเหล่าอสุภะทั้งสิ้น แต่ละตัวล้วนใหญ่โตและมาพร้อมกับดวงตาแดงฉาน

...กองทัพอสุภะมหาศาลขนาดนี้ มันเอามาจากที่ไหน !...

“โอม...เลือดเนื้อ ความแค้น แลเพลิงอาฆาตทั้งปวง ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเถ้าหรือธุลี ขอเหล่าอสุภะจงปรากฏ !”

เสียงตะโกนของจอมขมังเวทดังลั่น ป้ายทองคำผ่านทางโลกวิญญาณกำลังทำหน้าที่ของมัน ! ใต้แผ่นป้ายทองคำดังกล่าวปรากฎเป็นหลุมดำมืดกลางอากาศที่มีแต่ผงสีขาวปนเทาลอยออกมาไม่ขาดสาย และยิ่งนานไปผงดังกล่าวค่อย ๆ จับตัวกลายเป็นอสุภะจำนวนมาก

...ใช้อำนาจของป้ายทองคำล่อลวงเอาวิญญาณที่ต้องไปเกิดและซากธุลีของเถ้ากระดูกมาสร้างกองทัพตนเอง !

ขุนศรีมันบ้าไปแล้ว !

เพลิงสีทองปนไอเวทดำมืด เรียกเอาฝุ่นเถ้าธุลีของเหล่าผู้เสียชีวิตรอบ ๆ หมู่บ้านแห่งนี้และทั้งหมดในอาณาบริเวณใกล้เคียงมาทั้งหมด สีหราชกัดกรามแน่นด้วยนึกรู้คาถาดังกล่าว

...ตลอดสองสามร้อยปี...ทุกแห่งล้วนมีกองฟอนสำหรับผู้วายชนม์ เมื่อสิ้นบนกองฟอนแล้ว...เหลือทิ้งไว้เพียงเถ้าธุลีของผู้วายชนม์บางส่วนบนผืนดิน หากแต่ความเคียดแค้นเพลิงอาฆาตของวิญญาณบางตนอาจยังวนเวียนอยู่บนโลก

ขุนศรี...ดึงพลังความแค้น ความอาฆาตของวิญญาณเหล่านั้นมา !

“พลังของป้ายทองคำสะดวกยิ่งนัก...สั่งการได้ทุกสิ่ง” ป้ายทองคำที่ลอยคว้างในอากาศตรงหน้ากำลังหมุนเร็วราวจักรผันพร้อมไอสังหารสีดำสนิทที่สั่งการมัน

“ทุกสิ่งย่อมต้องแลกเปลี่ยน เจ้าสั่งการความเคียดแค้นเจ้าจักต้องหล่อเลี้ยงพลัง แล้วเจ้าจักใช้สิ่งใดสังเวยเพื่อความปรารถนาของเจ้า !” สีหราชโผนตรงเข้าไปพร้อมกับดาบเพลิงวิญญาณ แต่ก็ต้องปะทะกับกองทัพอสุภะก่อนจะทันเข้าถึงตัวขุนศรี

“วิญญาณเร่ร่อนละแวกนี้มีมากมาย...เป็นอาหารอย่างดีให้กับเพลิงแค้นของข้า !” สิ้นเสียงนั้นขุนศรีก็ระเบิดหัวเราะลั่นตรงหน้า

เถ้าธุลีและโครงกระดูกที่ถูกเวทอาคมของคนตรงหน้าค่อย ๆ รวมตัวกันขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ สีหราชร่อนลงบนพื้นดินก่อนจะขยับดาบในมือมั่น แล้วตวัดชี้ไปหาจอมขมังเวทตรงหน้า ดวงตาคมกราดเกรี้ยวชัดเจน

“วิญญาณเร่ร่อนเหล่านี้ไม่เคยทำร้ายอะไรเจ้า เจ้าทำแบบนี้กับพวกเขาไม่ได้ !” เจ้าตัวโผนปราดเข้าไปปะทะอีกคราทันควัน แต่จอมขมังเวทตรงหน้าสะบัดเขวี้ยงหุ่นพยนต์สองสามตัวในร่างอสูรขึ้นมาปะทะตรงหน้า ท่อนแขนของหุ่นพยนต์แต่ละตัวล้วนใหญ่ราวกับซุงขนาดยักษ์ สีหราชรีบกระโดนหลบก่อนจะฟันดาบเพลิงวิญญาณลงไปบนท่อนแขนของหุ่นพยนต์ดังกล่าว บางตนแขนขาดแต่เมื่อเป็นเพียงหุ่นไร้ความเจ็บปวดมันก็ยังคงดาหน้าเข้ามาหายมทูตหนุ่มเช่นเคย

...อสูรที่ไร้ความเจ็บปวดย่อมไม่เกรงต่อดาบเพลิงวิญญาณ...

“ทุกแห่งล้วนมีซากอสุภะอยู่ทั้งนั้น วิญญาณเหล่านี้ก็เป็นเพียงทาสของข้าเท่านั้น สีหราช !”

ขณะที่อีกด้านหนึ่งไอสีดำสนิทค่อย ๆ ไหลแทรกเข้าไปในร่างโครงกระดูกเหล่านั้นและขยับมันราวกับมีชีวิต ดวงตาสีแดงก่ำในเบ้าตาที่กลวงตรงหน้าจ้องสีหราชแน่วแน่ ก่อนที่ร่างเหล่านั้นจะเดินตรงทื่อเข้ามาหายมทูตหนุ่ม คลื่นอสุภะจำนวนมากเดินตรงลิ่วถาโถมเข้ามาหาเขา ทำให้ทั้งบริเวณลานกว้างกลายเป็นทะเลโครงกระดูกที่เต็มไปด้วยกลิ่นคลื่นเหียนของซากของเน่า แม้ว่าสีหราชจะตวัดดาบเพลิงวิญญาณใส่ร่างเหล่านั้นจนแตกกระจายแล้ว แต่ร่างเหล่านั้นกลับพลิกฟื้นขึ้นมาอีกคราเมื่อต้องแสงจันทรา

...ขืนเป็นอย่างนี้คงไม่อาจเข้าใกล้ขุนศรีได้แน่ ! สีหราชกัดกรามแน่น

เมื่อโครงกระดูกเหล่านี้ล้วนเกิดจากธาตุทั้ง 4 มาประชุมกัน ข้าก็จักสลายมันให้สิ้น !

เชือกบาศประจำกายของสีหราชถูกเจ้าตัวคว้าขึ้นมาสร้างเป็นวงกลมสายสิญจน์สีขาวสะอาดที่กั้นเขาและเหล่าอสุภะจากกัน ในวงล้อเพลิงยมโลก สีหราชตัดสินใจสะบัดเลือดของตนเองในอากาศก่อนจะร่ายมนตราแห่งธาตุทั้ง 4

“ปฐพี อนิจฺจา วาโย อนิจฺจํ เตโช อนิจฺจา อาโป อนิจฺจํ ! อสุภ วินาโส !”   

แสงสว่างสีทองวาบขึ้นจากอาวุธคู่กายสีหราช เมื่อสีหราชหลับตาบริกรรมอาคมแล้วทิ่มปลายดาบเพลิงวิญญาณลงสู่พื้นดิน แสงสว่างที่ไหลลงสู่พระแม่ธรณีแล่นปราดกระจายไปทั่วทุกทิศ ทำให้โครงกระดูกอสุภะทุกตนที่ยืนอยู่บนพื้นดินเป็นอันต้องชะงักไปในทันที ไม่กี่วินาทีจากนั้นร่างที่สร้างขึ้นจากโครงกระดูกพลันร้าวทีละนิดและระเบิดแตกจากภายในด้วยแสงสว่างเจิดจ้าจากภายในและร่วงลงบนพื้นดินตามเดิม และแล้วกลิ่นเหม็นจากเศษซากอสุภะที่คลื่นเหียนอยู่เมื่อครู่พลันหายไปและแทนที่ด้วยกลิ่นหอมกำจายคล้ายกลิ่นมะลิสดลอยน้ำที่กรุ่นอยู่ที่ปลายจมูกของสีหราช

...ทุกสิ่งล้างได้ด้วยอำนาจพุทธคุณ...

สีหราชขนลุกซู่ก่อนจะกระโจนเข้าไปตรงหน้าร่างจอมขมังเวทแล้วฟันดาบลงไปทันควัน แต่แล้วร่างนั้นกลับหายวับไปต่อหน้าต่อตา สีหราชเบิกตากว้างก่อนจะกระชับดาบในมือแน่นเข้า

...คาถากำบังกาย...

“ไม่เลว ๆ ดูท่าข้าจะเล่นสนุกกับเจ้าได้อีกพักใหญ่เลยทีเดียว สีหราช...” เสียงหัวเราะที่ก้องโดมมิติวิญญาณตรงหน้า ดวงตาวาววับของขุนศรีฉายฉานก่อนจะประสานมือสองข้างแล้วเป่าพรูทันควัน ทันใดนั้นเมล็ดข้าวเล็ก ๆ กลับกลายเป็นค้างคาวจำนวนมากกรูเข้าหาร่างยมทูตหนุ่ม เสียงร้องเซ็งแซ่ของฝูงค้างคาวจำนวนมากดังก้องแนวป่า

สีหราชเบิกตากว้างก่อนจะกระโดดหลบแล้วประนมมือเข้าด้วยกันก่อนจะเกิดลูกไฟขนาดใหญ่อยู่กลางอก จากนั้นจึงแตกออกเป็นลูกไฟขนาดเล็กจำนวนมากในการดีดนิ้วมือครั้งเดียว เพลิงจากยมโลกสว่างเจิดจ้าและบินวนเองราวกับมีชีวิตรอบกายสีหราชราวกับเป็นโล่ห์กำบังเขาจากฝูงค้างคาวอาคม ทำให้ฝูงค้างคาวเลือดผงะบินหลบหลีกเป็นพัลวัน มีบ้างที่บางตัวใจกล้าโฉบเข้าใกล้ร่าง ปีกที่คมกริบราวกับใบมีดโฉบเข้ามาฟันต้นขาของยมทูตหนุ่ม เลือดหยดลงบนดินทำให้ยมทูตหนุ่มเคลื่อนไหวช้าลง

สัตว์คาถาอย่างค้างคาว...ก็ย่อมกลัวแสงสว่าง...

เจ้าตัวกัดกรามแน่นก่อนจะตวัดดาบในคราเดียวฟันกิ่งโมกที่อยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะริดดอกโมกสีขาวบริสุทธิ์ตรงหน้ามาถือไว้ในมือก่อนจะกลั้นใจบริกรรมคาถา

“นารา ปาตุภว ! (แสงสว่าง จงปรากฏ)”

ทันใดนั้นกลีบดอกโมกก็พลันเปลี่ยนระเบิดเป็นแสงสว่างจำนวนมากในคราเดียว ทำให้ป่าในยามราตรีสว่างเจิดจ้าไม่ต่างจากเวลากลางวัน ค้างคาวผีทั้งหมดเมื่อถูกแสงสว่างเข้าฉับพลันก็กรีดร้องลั่นในคราเดียวก่อนจะสลายวับกลายเป็นเมล็ดข้าวสีดำสนิทร่วงลงบนพื้นดิน

...มันโจมตีด้วยหุ่นพยนต์ได้...แต่อ้ายขุนศรียังไม่ทำ ราวกับว่ามันกำลังถ่วงเวลาบางอย่าง...

 เมื่อครู่ค้างคาวอาคมสีดำสนิทจำนวนมากทำให้เขาไม่ทันสังเกตเห็นความผิดแปลกบางอย่าง หุ่นพยนต์ที่ขุนศรีเสกออกมาเมื่อครู่มีไม่ต่ำกว่า 4-5 ตัว แต่เขาเพิ่งจัดการไปได้เพียง 2 แล้วที่เหลือเล่า ? แต่ก่อนที่สีหราชจะทันขยับตัวก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงคึ่ก ๆ ดังขึ้นจากป่าด้านข้าง

แย่แล้ว !

เสียงจอมขมังเวทหัวเราะลั่นก่อนจะเหยียบยืนบนกิ่งไม้ใหญ่เหนือหัวขึ้นไป ขณะที่หุ่นพยนต์สามตัวอยู่คนละมุมกันและมีเขาอยู่ตรงกลาง สีหราชโผนกายออกจากจุดอับนั้นแต่เหมือนจะช้าเกินไป เพราะทันใดนั้นเส้นผมสีดำสนิทที่ชวนให้สะอิดสะเอียนยาวไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งออกมาจากปากของหุ่นพยนต์สองสามตัวตรงหน้าก่อนจะม้วนพันแขนและขาของเขาทั้งสองข้างราวกับว่ามันมีชีวิต ขณะที่หุ่นพยนต์ตัวสุดท้ายลอยอยู่เหนือร่างเขา รั้งลำคอของเขาไว้ด้วยเชือกอาคมสีดำสนิท ยามนี้ร่างของสีหราชถูกลากขึ้นไปตรึงกลางอากาศ ความเหม็นคลุ้งจากชิ้นส่วนของคนตายอวลตลบไปทั่วบริเวณ

ร่างของขุนศรีค่อย ๆ ลอยลงมาหยุดตรงหน้าเขา เว้นระยะราวหนึ่งช่วงแขน สีหน้าของขุนศรีดูคล้ายสมเพชและสะใจระคนกัน
“เวลาผันผ่านไป 200 ปี ข้าเฝ้านับวันเวลาที่จะทำเช่นนี้...ทุกคืน”

สายตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นของขุนศรีชะโงกเข้ามาใกล้ มีเพียงแววตาของสีหราชที่บอกชัดว่าหากเขาสามารถจุดไฟด้วยสายตานี้ได้ ขุนศรีจักต้องมอดไหม้เป็นเถ้าอยู่ตรงนี้

นิ้วมือหยาบกระด้างไล้ไปตามท่อนแขนของสีหราช ท่อนแขนล่ำสันของยมทูตหนุ่มถูกตรึงแน่นด้วยเส้นผมสีดำสนิทกลางอากาศ ไม้เท้ามนตราอยู่ในมือซ้ายคนตรงหน้า สายตาหยามหยันของร่างสันทัดตรงหน้าจ้องสีหราชอย่างคั่งแค้น ทันใดนั้นไม่มีสัญญาณใด ๆ เลย เจ้าตัวยิ้มเย็นก่อนจะฟาดไม้เท้าเข้าที่หน้าของสีหราชเต็มเหนี่ยว ! ใบหน้าคมสะบัดเริ่ดตามแรงฟาดก่อนจะถ่มน้ำลายและเลือดที่กบปากออกมา แววตาของราชสีห์ร้ายจ้องคนตรงหน้าไม่วางตา แต่ริมฝีปากหยักยิ้มเหยียดหยันชัดเจน หยดเลือดไหลย้อยลงมาจากหน้าผากซ้าย

สายตานั่นทำให้ขุนศรีต้องกัดกรามแน่นเพราะมันไม่ได้เป็นแววตาของผู้แพ้เลยสักนิด

“จะสังหารข้าก็ไม่ต้องพิรี้พิไร ทีเจ้าแล้ว ก็จัดการไป แต่อย่าหวังว่าเจ้าจักรอดไปได้ !”

ขุนศรีหัวเราะลั่นกลางอากาศก่อนจะเอาไม้เท้าอาคมเขี่ยปลายคางของยมทูตหนุ่มที่หัวคิ้วแตกเลือดเลอะเปรอะใบหน้าคม ร่างสูงของสีหราชถูกมัดแน่นทั้งแขนและขาลอยอยู่กลางอากาศ ขุนศรีพยักหน้านิดหนึ่งหุ่นพยนต์ทั้งหมดจึงลากเอาร่างสีหราชลงมาแตะพื้น แต่ก็เป็นจอมขมังเวทที่เตะเข้าที่ข้อพับทำให้สีหราชทรุดลงคุกเข่ากับพื้น ดาบเพลิงวิญญาณหายวับ เลือดที่ไหลโซมจากต้นขาซ้ายค่อย ๆ รินลงมาบนพื้นดิน

...สติที่เริ่มพร่าเลือนเพราะกลิ่นชวนสะอิดสะเอียนของเส้นผมยาวสีดำที่พันมัดทั้งแขนขาไว้ จนทำให้ไม่เหลือสมาธิใด ๆ

“ทำไมอยากรีบร้อนตายเสียนักเล่าอ้ายสีห์..เรื่องสนุกเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น”

“ความตายมันแค่ครู่เดียวเท่านั้น...ข้าไม่ให้เจ้าสบายง่าย ๆ เช่นนั้นหรอก ความทรมานที่ข้าต้องทนรับมาตลอด...เจ้าก็ต้องรับมันไม่ต่างกัน !”

ทันใดนั้นจอมขมังเวทก็ดีดนิ้วคราหนึ่งพลันปรากฏโถสีดำสนิทลอยอยู่กลางอากาศหนึ่งใบ ลักษณะดังกล่าวจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก โถบรรจุวิญญาณ ! ตราอักขระอาคมที่อยู่บนโถสีดำสนิทค่อย ๆ ส่องแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นทีละน้อย สีหราชจ้องโถดังกล่าวเขม็งก่อนจะตาโตแล้วพยายามกระชากตนเองออกจากพันธนาการตรงหน้า แต่ก็ยังไร้ผลเพราะถูกหุ่นพยนต์กว่า 4 ตัวตรึงร่างเขาไว้แน่น

“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ อ้ายศรี !” ดวงตาคนตรงหน้าแดงก่ำ หายใจหอบแรง

กลิ่นหอม...ที่คุ้นเคยคล้ายจะอยู่ตรงนั้น ! เมืองอินทร์ถูกกักอยู่ในนั้น !

“ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด...ยังไปคิดถึงอ้ายอินทร์อีก...พวกเจ้านี่สมกันดีจริง ๆ” ขุนศรีหัวเราะลั่นตรงหน้า ไอเวทสีดำวนรอบโถวิญญาณตรงนั้น

“ไม่ต้องห่วงหรอก ข้ามันคนใจดี...ที่อยากเห็นคู่รักเข่นฆ่ากันเอง...”

“...ยังไงเสีย ข้าก็ต้องการเลือดและตบะยมทูตของเจ้านิดหน่อย เพื่อคืนชีพให้กับจิตและร่างกายที่ข้าสร้างขึ้นใหม่” เจ้าตัวเหยียดยิ้มหยัน

เพราะสีหราชเป็นผู้ปลดผนึกความทรงจำ ดังนั้นการปลุกพลังมืดในครานี้จึงต้องอาศัยเลือดของสีหราชอีกครั้งหนึ่ง แม้เจ้าตัวจะดิ้นแต่เส้นผมสีดำสนิทกลับมัดเขาไว้แน่นขึ้นเรื่อย ๆ

“...ในตำราไสยเวทของข้า ข้าสะสมสิ่งต่าง ๆ น่าสนใจไว้เยอะ อย่างเช่น กระดูกเจ็ดป่าช้าและบรรดาของอาคมต่าง ๆ ข้าทุ่มสุดตัวให้ดวงจิตของอ้ายอินทร์เชียวนะ เดี๋ยวเจ้าก็จะรู้ว่าข้าชอบพวกเจ้ามากแค่ไหน ฮ่าฮ่าฮ่า....”

กริชชวาเล่มหนึ่งถูกเดาะขึ้นในมือของขุนศรี สีหราชสูดลมหายใจพลัน...เขาเขมันมองมันก่อนจะจิกมือตัวเองแน่นขึ้น เพราะจดจำได้ว่าคือกริชเล่มที่เคยปักเข้ากลางหลังของเมืองอินทร์ในวันนั้น

จอมขมังเวทขุนศรียืนนิ่งก่อนจะให้หุ่นพยนต์กระชากร่างของสีหราชขึ้นมา แท่นบูชาสำหรับวางโถวิญญาณปรากฎขึ้นตรงหน้า สีหราชพยายามขืนตัวไว้แต่ก็สิ้นหวังเพราะหุ่นพยนต์ตรงหน้าถึง 4 ตัวด้วยกัน อีกทั้งในยามราตรีมณิสูงสุดคืนนี้เหมือนกำลังแรงเขาหายไปเกือบหมด เทวะทั้งหลายกำลังอยู่บนสวรรค์ย่อมไม่เห็นว่าพิภพตรงหน้ากำลังเกิดกลียุคสิ่งใดบ้าง

“ขอเลือดยมทูต...ของขวัญจากพิภพสวรรค์และนรกภูมิ !”

พลันนั้นกริชชวาตวัดฉับเข้าที่ข้อมือของสีหราช หยดเลือดชุ่มโชกบนกริชชวาตรงหน้าก่อนจะลอยไปหยดลงบนฝาโถบรรจุวิญญาณ ทันทีที่โลหิตของสีหราชหยดลงบนโถสีดำ อาคมอักขระบนโถพลันระริกไหวก่อนจะมีเสียงหวีดร้องโหยหวนออกมาจากโถตรงหน้า สีหราชเบิกตาโพลงกับภาพตรงหน้า เพลิงสีเขียวเข้มอมน้ำเงินคล้ายโหมไหม้โถบรรจุวิญญาณนั่น ขุนศรีหัวเราะอย่างสมใจ

“กว่าพันปีที่ผู้คนตามหาเด็กแห่งชะตากรรม ข้ากลับได้มาโดยง่าย พลังศาสตร์มืดที่จะทำลายยมโลกให้ย่อยยับ !”
ใบหน้านั้นหันมองสีหราชด้วยความสะใจ

“ในโถนั่นนอกจากมีดวงจิตของคนรักเจ้า ข้ายังใส่กระดูกเจ็ดป่าช้าลงไปด้วยเพื่อสร้างร่างใหม่ให้มัน อาคมของข้าจากป้ายทองคำผ่านทาง และเมื่อได้เลือดของเจ้า มันจักกลายเป็นทาสที่ทรงพลานุภาพที่สุดของไสยเวทมนตร์ดำ !”
เพียงชั่วพริบตาที่ขุนศรีละสายตาจากสีหราช เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

สีหราชกำมือแน่นก่อนจะกลั้นใจร่ายคาถาสะกดด้วยมนตราหัวใจพาหุง

“พา มา นา อุ กา สะ นะ ทุ!”

ทันใดนั้นอาคมที่พันธนาการร่างยมทูตหนุ่มพลันมอดไหม้กลายเป็นจุณในพริบตา เส้นผมสีดำที่เหม็นคลุ้งพลันไหม้ไม่เหลือชิ้นดีทำให้หุ่นพยนต์ที่ตรึงร่างของสีหราชไว้กระเด็นไปคนละทิศละทาง ดาบเพลิงวิญญาณถูกเจ้าของร่ายขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะสะบัดดาบไปยังโถบรรจุวิญญาณที่อยู่ไม่ห่างจากตัว ขุนศรีตาลุกโพลงก่อนจะกระโดดหลบให้พ้นรัศมีวงดาบตรงหน้า

แต่ก่อนที่ดาบเพลิงวิญญาณจะถึงแท่นบูชา โถสีดำสนิทบรรจุวิญญาณตรงหน้าพลันแตกกระจาย ไอวิญญาณสีดำมืดพวยพุ่งขึ้นกลางอากาศ เงาดำจัดที่ผสานรวมเข้ากับกระดูกวิญญาณร้ายอย่างสมบูรณ์ ร่างสูงพลันลอยขึ้นแหงนหน้ารับแสงจันทราสีเลือดที่อยู่ตรงหน้า

ร่างเมืองอินทร์อยู่ในอาภรณ์สีดำสนิทสูงสง่าเหมือนเฉกเช่นเมื่อ 200 ปีที่แล้ว ผิดก็เพียงร่างนั้นไร้แววมีเพียงกลิ่นอายกระหายเลือดที่ชัดเจนออกจากร่างนั้น คิ้วเข้มดวงตาที่เคยหวานสดใสกลายเป็นดวงตาคมกริบ ผมที่เคยสั้นยามนี้ยาวสยายเป็นสีดำสนิทเรียบลื่นราวกับแพรชั้นดี เรือนผมตรงกลางศีรษะกลายเป็นสีเงินยวงยาวสยายร่วงลงมาสองปอย ตรงข้อมือยามนี้มีรอยสักอาคมไสยมืดสีดำสนิทปรากฎขึ้นบนข้อมือทั้งสองข้าง

รอยสักดังกล่าวราวกับมีชีวิตและมันกำลังวนเคลื่อนขึ้นไปจากข้อมือจนปรากฎคล้ายเป็นรอยรัดเกล้าสีดำสนิทที่กึ่งกลางหน้าผาก มณีแดง...ที่เคยอยู่บนแผ่นป้ายทองคำผ่านทางโลกวิญญาณยามนี้กลับไปปรากฎที่หน้าผากคนตรงหน้า ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำไร้แววใด ๆ ว่าจะจดจำเขาได้

สายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมากลางโดมมิติวิญญาณตรงหน้า ! ดวงตาสีแดงเพลิงวาวโรจน์ก่อนจะหันไปหาจอมขมังเวท

“...เมืองอินทร์...” เป็นสีหราชที่เผยอปากได้เพียงเล็กน้อย เหมือนเสียงเขาจะหายไป...



ButlerofLOVE : เมื่อวานเผลอหลับไปก่อนเลยไม่ได้เอานิยายมาลง ขอโทษค่าาา ^^
 :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ Wansusu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ทั้งคู่ต้องผ่านกรรมให้ได้นะ

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
โหดร้ายยย

ออฟไลน์ ButlerofLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
CHAPTER
33




หัวใจ...แทบหยุดเต้น เลือดในกายเย็นเฉียบ

ร่างนี้คือ ร่างเดิมของเมืองอินทร์ก่อนจะสิ้นใจในอ้อมแขนเขาเมื่อเกือบ 200 ปีที่แล้ว

“...เมืองอินทร์...”

สายลมที่เคยพัดเอื่อยเมื่อครู่คล้ายหยุดนิ่งสนิท ไม่มีแม้แต่เสียงใบไม้ร่วงสักใบ ร่างนั้นก้าวช้า ๆ ตรงมาไอสีดำสนิทระอุออกจากร่างนั้นราวกับหมอกสีดำ

“มาสิอ้ายสีห์...ข้าจักแนะนำทาสคนใหม่ของข้าให้รู้จัก”

เสียงขุนศรีหัวเราะก้องโดมมิติวิญญาณตรงหน้า แต่เป็นสีหราชที่ไม่อาจละสายตาจากร่างที่กำลังก้าวตรงเข้ามา หูเขาดับไปชั่วคราวไม่อาจได้ยินสิ่งใด...เพราะมีเพียงภาพตรงหน้าเท่านั้นที่เขาตะลึง

ดวงตาของเมืองอินทร์ยามนี้ไร้ซึ่งแววใด ๆ คล้ายไม่รู้จักใครเลย ทั้งร่างมีแต่ความกราดเกรี้ยวและเต็มไปด้วยพลังไสยเวทขั้นสูง เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงและฟ้าลั่นครืนครั่นก้องโดมมิติวิญญาณ คล้ายมีพลังงานบางอย่างที่ปั่นป่วน...พลังที่มาจากร่างตรงหน้า เพลิงสีเขียวอมน้ำเงินจุดขึ้นบนปลายนิ้วของร่างตรงหน้าแม้จะเป็นดวงไฟเล็ก ๆ แต่หากรู้ว่าเพียงสัมผัสอาจมอดไหม้ในพริบตา

สีหราชกะพริบตาก่อนจะกระโดดถอยหลังทันควันเมื่อร่างนั้นพลันหายวับไปต่อหน้าต่อตา และเป็นดังคาด ดาบสีดำสนิทถูกเจ้าตัวชักออกมาฟันตำแหน่งที่เขายืนเมื่อครู่ แรงปะทะดังกล่าวทำให้พื้นดินตรงหน้าเขย่ากรูและกลายเป็นร่องกรีดบนพื้นดิน แต่เป็นสีหราชที่เบิกตาโพลงอีกรอบเมื่อเงาสีดำสนิทตรงปราดเข้ามาที่เขาอีกครั้ง

วะ...ไวอะไรอย่างนี้ !

สีหราชได้แต่เบี่ยงกายหลบก่อนจะยกดาบขึ้นมาปะทะกับร่างตรงหน้า แต่ก็ทำได้เพียงเท่านั้นเมื่อปลายนิ้วของเมืองอินทร์คีบดาบเพลิงวิญญาณของเขาไว้ เพลิงสีเขียวน้ำเงินปะทะกับเพลิงสีแดงก่ำของยมโลกตรงหน้า ก่อนที่ร่างในชุดสีดำจะสืบเท้าเข้ามาอย่างช้า ๆ แรงดันมหาศาลจากร่างตรงหน้าทำให้สีหราชต้องกัดฟันแน่นและเป็นเขาที่โดนดันจนถอยร่น วูบนั้นเมื่อเงยหน้าสบตาของร่างในอาภรณ์สีดำ เขาก็ตัดสินใจร่ายคาถาเวทปะทะตรง ๆ เพื่อสะบัดให้หลุดจากการเกาะกุม แต่ก็ได้เพียงครู่เดียว เมื่อเมืองอินทร์ปราดเข้ามาปะทะต่อเนื่องไม่ลดละ

ฝุ่นดินคละคลุ้งไปทั่วบริเวณขณะที่หุ่นพยนต์สี่ห้าตัวยืนคุมเชิงอยู่ตรงหน้า จอมขมังเวทขุนศรีกำไม้เท้าอาคมในมือไว้แน่นก่อนจะเหยียดยิ้มใส่ เจ้าตัวหันไปสะบัดไม้เท้าครั้งหนึ่งตรงหน้าก่อนจะปรากฎเป็นหลุมสีดำสนิทขึ้นกลางอากาศ เสียงหวีดร้องโหยหวนของเหล่าวิญญาณที่ตายและยังไม่ได้ไปเกิดอื้ออึงจากหลุมสีดำนั้น ป้ายทองคำผ่านทางกำลังสั่นระริกกลางอากาศอย่างน่ากลัว ไอสีดำสนิทกำลังทำให้ป้ายทองคำกลายเป็นสีดำตามไปด้วย สีหราชเหลือบตามองจอมขมังเวทแล้วตะโกน

“ปิดมิติวิญญาณนั่นเดี๋ยวนี้ อ้ายขุนศรี ! เจ้ากำลังทำลายสมดุลยมโลก !”

“สนใจคู่ต่อสู้ของเจ้าตรงหน้าดีกว่าไหม อ้ายสีห์ !” สิ้นคำนั้น ปลายดาบคมกริบของเมืองอินทร์ก็ตวัดเข้ามา ทำให้สีหราชสูดลมหายใจเฮือกก่อนจะเอนกายหลบทันควันแต่ปลายดาบเฉียดลำคอเขาไปจนเลือดซิบ ร่างยมทูตหนุ่มโผนไปยืนกลางลานกว้างที่เขาและเมืองอินทร์เคยฝึกดาบด้วยกัน

เพียงพริบตาเดียวที่เมืองอินทร์หันขวับมาเขม้นมอง จิตสังหารดำมืดพุ่งตรงมายังร่างของสีหราช บรรยากาศรอบกายคล้ายเปลี่ยนเป็นกดดันในฉับพลัน สายลมที่เคยพัดเอื่อย ๆ กลับกลายเป็นใบมีดลมที่คมกริบตัดผ่าทุกสิ่งที่ปรากฎตรงหน้าในพริบตา หินก้อนใหญ่ที่ร่วงกรูอยู่เบื้องหน้าพลันป่นกลายเป็นผง เคราะห์ดีที่สีหราชยกดาบเพลิงวิญญาณขึ้นกั้นพร้อมร่ายอาคมทำให้ลดแรงปะทะได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขายังถูกสายลมมรณะซัดจนกระเด็นไปข้างหลังสองสามก้าว ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมองร่างนั้นปราดเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา

เหมือน...ดวงตานั้นคล้าย..ไหวระริก...วูบหนึ่ง..

กริยาของคนตรงหน้าทำให้สีหราชเผลอลดดาบในมือลง แล้วก้าวเข้าไปหาร่างนั้นช้า ๆ

...ข้ายังมีหวังหรือไม่...เจ้าไม่ได้ลืมข้าจริง ๆ ใช่ไหม...อ้ายอินทร์

ขณะที่ขุนศรีหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง !

“เอาเลย ! หากมันจดจำเจ้าได้แม้สักนิด...ก็นับว่าเจ้ามีวาสนาแล้ว !”

แววตาของเมืองอินทร์ตรงหน้าคล้ายจะเตรียมแย้มยิ้ม แต่ทันใดนั้นมือที่เสือกพรวดเข้ามาทันควันทำให้สีหราชผงะเอนหลบทันควันอย่างฉิวเฉียด

...แม้จะมองไม่ทันว่ามือนั้นถือสิ่งใด แต่ที่รู้คือชายโครงตนเองก็แสบแปลบขึ้นเสียแล้ว !...

เมื่อถลาออกมาได้ 2-3 ก้าวถึงรู้ว่าที่แท้สิ่งที่เสือกพรวดมานั้นคือกริชอาคมที่เสกขึ้นมาจากเส้นผมหนึ่งเส้นของเจ้าตัว กริชอาคมที่มีแต่ไอสังหารบรรจุไว้เต็ม ไม่มีเวลาที่จะดูแผลดังกล่าว ได้แต่ดีดตัวถอยหลังออกมา แต่เหมือนคนตรงหน้ายังคงเร็วกว่าเขามาก เพียงพริบตาเดียวร่างนั้นจู่ ๆ หายวูบไปอยู่ด้านหลังเขาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ก่อนดวงตาเป็นประกายวาววับจะฟันดาบตรงหน้าลงมาอีกครั้งหมายปักเข้ากลางหลัง แต่เคราะห์ดีที่สีหราชตวัดดาบเพลิงวิญญาณขึ้นรับก่อน แต่กระนั้นแรงปะทะของดาบสองเล่มยังทำให้ท่อนแขนเขาสั่นระริก แผลที่ชายโครงเริ่มแสบร้อนและกลายเป็นสีดำ จนต้องเอามือข้างหนึ่งบริกรรมคาถาแล้วกดลงเพื่อเยียวยา

แต่แล้วเมื่อมีจังหวะได้หยุดครู่หนึ่ง ทำให้ดวงตาคมเริ่มขมวดคิ้วมุ่นแล้วเหลือบมองชายโครงตนเอง

แผล..ค่อย ๆ สมานตัวช้า ๆ นี่เป็นเพราะอะไรกัน ?

“ตอบโต้ได้ไวสมเป็นยมทูตในตำนานที่หลายคนพูดถึง...” เสียงของขุนศรีหัวเราะร่า ทำให้สีหราชได้แต่กัดฟันกรอด

“ข้าจะบอกให้เอาบุญ...เมืองอินทร์ของเจ้ายามนี้เป็นเพียงภาชนะไสยเวทชั้นสูง ร่างนั้นสร้างด้วยไสยเวททั้งหมด จากกระดูก เถ้าและวิญญาณ ไม่มีทางที่เขาจะยั้งมือให้กับเจ้า !”

“คนที่เจ้ารักนั้น มันได้ตายไปแล้ว ไม่เหลือแม้วิญญาณ์ !” ขุนศรีหัวเราะบ้าคลั่งก่อนจะตวัดไม้เท้าอาคมในมือตรงหน้าไปยังร่างที่มีไอสีดำสนิทที่ยืนนิ่งรอรับคำสั่งตรงนั้น

“สังหารคนที่เจ้ารักสิ เมืองอินทร์ ตายตกไปตามกัน ให้สาแก่ใจของข้า !”

“ข้าต้องการเห็นเลือดมันไหลจนหมดตัวด้วยดาบของเจ้า เมืองอินทร์ !”

ดวงตาของขุนศรีบิดเบี้ยว ร่างที่สร้างด้วยอาคมค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสภาพอสุภะเรืองอาคมตรงหน้า  ผิวสองสีตรงหน้ากลายเป็นช้ำเลือดช้ำหนองแ ต่มือยังคงถือกำไม้เท้าไว้แน่นพร้อมกับป้ายทองคำผ่านทางโลกวิญญาณที่หมุนคว้างเปิดประตูมิติยมโลกอยู่ตรงหน้า เสียงวิญญาณจำนวนมากร้องโหยหวนออกจากโพรงอาคมตรงหน้าทำให้สีหราชกัดกรามแน่น

ปากโพรงกำลังกว้างขึ้นเรื่อย ๆ จะต้องรีบปิดมันเสีย ก่อนที่อสูรของยมโลกจะหลุดออกมาได้

จะปล่อยให้พญามาร...วิญญาณบาปที่ถูกตรวนล่ามอยู่ชั้นล่างสุดของนรกอเวจี ออกมาสู่แสงอาทิตย์ไม่ได้...

พญามารที่ครองฤทธาสูงสุดและถูกจองจำไว้เป็นเวลากว่าพันล้านกัลป์

ดาบในมือสีหราชตวัดขึ้นจ่อร่างสูงที่มีไอมารตรงหน้าอย่างแน่วแน่ เพียงพริบตาทั้งคู่ก็ประมือกันอย่างรวดเร็ว แสงประกายสีเขียวปะทะสีแดงเพลิงเกิดขึ้นทั่วโดมมิติวิญญาณ แววตาคนตรงหน้านิ่งสนิทไม่มีวี่แววใด ๆ ว่าจะจดจำเขาได้เลยสักนิด ความเร็วของดาบที่เคยปะทะยามซักซ้อมในโดมมิติวิญญาณเมื่อสองสามราตรีก่อนดูจะด้อยไปเลยเมื่อพบกับเมืองอินทร์ในยามนี้

ร่างตรงหน้าไร้สติและมีประกายคล้ายสนุกสนานกับการสังหารมากกว่า การตัดสินใจเฉียบคมรวดเร็วยิ่งนัก ประกายดาบที่ปะทะกันสว่างวาบไปทั่วบริเวณ เมื่อเขาขยับย่างไปทางซ้ายเมืองอินทร์ก็ขยับตามมาติด ๆ ราวกับรู้ใจของเขาไปทุกสิ่ง

เมืองอินทร์ไม่เพียงปราดเปรียว แต่กำลังดาบที่ปะทะนั้นยังผสานกับไอมารเข้าไปด้วยทำให้ทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม ชายป่าที่เขาโผนโจนไปเมื่อครู่บัดนี้กระจุยไม่เหลือชิ้นดีเพราะแรงสะบัดของดาบอาคมตรงหน้า รอยผ่าที่กรีดลงบนพื้นดินตรงหน้าลึกกว่าหนึ่งนิ้ว บอกให้รู้ว่าคนตรงหน้านี้ลงมือ...หนักหน่วงและไม่รีรอแม้แต่น้อย

เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกสมเพชตนเอง สีหราชแค่นยิ้มเบา ๆ

เมื่อเขาไม่กล้าลงมือรุนแรงกับร่างตรงหน้า ก็เท่ากับว่าเขาแพ้ไปเรียบร้อยแล้ว

ไม่คาดว่า....การประมือกับเมืองอินทร์ยามนี้....เป็นเรื่องหนักหนาเกินไป

นี่เจ้าเพลิดเพลินกับการสังหาร....มากขนาดนี้เลยหรือ เมืองอินทร์...

แรงสั่นสะเทือนที่กรูเกรียวไปทั่วบริเวณตรงหน้าทำให้สีหราชเริ่มหนักใจ โดมมิติวิญญาณมีอำนาจกั้นระหว่างโลกปัจจุบันและโลกอาคมก็จริง แต่ความรุนแรงระดับนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อนสักครั้ง เกราะสีฟ้าเทาตรงหน้าเริ่มอ่อนจางลงส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะจิตของเขาเองที่เริ่มอ่อนแรงลงด้วยส่วนหนึ่ง

...ไม่ได้การ...หากปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไป...ไม่เพียงชนะเมืองอินทร์ไม่ได้แต่ยังจัดการจอมขมังเวทตรงหน้าไม่ได้เช่นกัน

“นี่มันไม่ใช่เจ้าเลย เมืองอินทร์ หยุดนะ ! เจ้าจักทำลายม่านอาคมแห่งนี้แล้วนะ !”

แต่สิ่งที่เขาพูดไร้ประโยชน์ใด ๆ ร่างตรงหน้ายังคงร่ายอาคมคำสาปใส่ทุกสิ่งตรงหน้า หุ่นพยนต์ที่ถูกปลุกด้วยพระเพลิงตรงหน้าสองตัวก้าวตรงมาที่เขา บรรยากาศรอบตัวอึดอัดเต็มไปด้วยรังสีการสังหาร

...เขารักเมืองอินทร์ แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้ !

…ดวงตาแดงฉานของร่างในชุดไสยเวทสีดำสนิทตรงหน้า ทำให้เขาปวดหัวใจและไม่อาจทนมองได้

“ข้าไม่ต้องการสังหารเจ้า ข้าสัญญาแล้วว่าต่อให้ตาย ก็ไม่มีวันทำร้ายเจ้า !”

สีหราชตะโกนลั่นก่อนจะพยายามหยุดร่างที่โผนโจนตรงหน้า เสียงของขุนศรีหัวเราะลั่นตามมาอย่างเย้ยหยัน สีหราชหันขวับหาร่างตรงหน้า

...อาคมต้องมีคนบังคับ...หากจัดการร่างตรงหน้าได้ เมืองอินทร์อาจมีสติฟื้นคืน...

ทันใดนั้นสีหราชตัดสินใจกรีดเลือดตนเองออกมาจำนวนหนึ่ง ด้วยอาคมเพลิงโลหิตที่จุดด้วยเลือดของเขา พระเพลิงเลือดที่ใส่ปราณของยมทูตลงไปถ้าเลือกได้เขาก็ไม่อยากใช้เพราะผลลัพธ์ยากที่จะควบคุมอีกทั้งยังเสียปราณในตัวไปด้วย แต่เพราะไม่มีทางเลือกอีกแล้ว มือขวากำดาบเพลิงวิญญาณแน่นก่อนจะโผนขึ้นไปกลางอากาศแล้วซัดอาคมใส่ร่างของขุนศรีที่อยู่ไม่ไกลนัก ตรงหน้า เจ้าตัวเบิกตากว้างด้วยไม่นึกว่าเขาจะแว้งกลับมาเล่นงาน

ตูม !

เสียงระเบิดดังก้องโดมมิติวิญญาณ หินและบรรดาฝุ่นควันคลุ้งไปทั่วพร้อมกับแสงสีแดงเหลืองที่เป็นประกายกระจายทั่วโดม ดินกลายเป็นหลุมลึกราวสามเมตรและกว้างกว่า 10 เมตร สีหราชหอบเบา ๆ แขนข้างหนึ่งเลอะเลือดเต็มไปหมด แต่แล้วก็ต้องชะงักตัวชาดิกเมื่อเห็นร่างในชุดสีดำสนิทหันหลังยืนบังอาคมของเขาให้กับจอมขมังเวทที่ชั่วช้านั่น !

ร่างในชุดสีดำ...คล้ายจะโชกไปด้วยเลือดและแผลจากอาคมของเขา แรงฉีกกระชากของระเบิดวิญญาณเมื่อครู่ทำให้เสื้อผ้าของคนตรงหน้าขาดวิ่น แผ่นหลังกว้างมีรอยแผลจากระเบิดเมื่อครู่ เลือดสีดำสนิทคล้ายจะไหลรินออกมาเหมือนยางไม้จากร่างนั้น แววตาที่เคียดแค้นชิงชังเห็นชัด เจ้าตัวเขม้นมองเขาด้วยสายตาที่มีประกายกร้าวก่อนจะเบี่ยงกายยืนบังร่างของจอมขมังเวทไว้เต็ม ๆ ดาบในมือของเมืองอินทร์มีไอสังหารรุนแรงยิ่งกว่าเดิม !

“เปล่าประโยชน์อ้ายสีห์ เมืองอินทร์มันเป็นสุนัขของข้า...ข้าสั่งการให้มันปกป้องข้าด้วยชีวิตแลห้ามทำอันตรายข้า”

“ต่อให้เจ้าส่งอาวุธใดของยมโลกมาก็ย่อมเป็นเมืองอินทร์ที่จะต้องรับอาวุธนั้นแทนข้าอยู่แล้ว...” เสียงของขุนศรีหัวเราะลั่นโดมมิติวิญญาณ

“งานนี้มีแต่เจ้า...และเมืองอินทร์ ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้โดนสังหารกันแน่...แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดที่ต้องดับในคืนนี้ ชัยชนะก็ย่อมเป็นของข้าเช่นนั้น !” เสียงของขุนศรีดังก้องโดมมิติวิญญาณ

สีหราชได้กัดกรามกรอด เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าพร้อมยอมเป็นโล่มนุษย์ให้กับจอมขมังเวทตรงหน้า ร่างนั้นโซมด้วยเลือดอาคมแต่กลับไม่มีแววตาสั่นไหวสักนิด

“ขุนศรี  ! คลายอาคมปล่อยเมืองอินทร์เดี๋ยวนี้ ข้าจักเป็นคู่มือให้กับเจ้า ! อย่ายุ่งกับเขา !” สีหราชตะโกนกร้าว

เพลิงสีแดงเหลืองลุกโชนขึ้นยามนี้ไม่เพียงแต่ดาบเพลิงวิญญาณที่ร้อนดังไฟนรก แต่เป็นร่างของเขาเองที่เริ่มร้อนราวไฟนรกเช่นกัน สร้อยสังวาลย์สีดำสนิทที่คล้องคอเขาอยู่คล้ายสั่นไหวเบา ๆ มณีสีดำสนิท..คล้ายจะเป็นประกายวาววับมากขึ้นกว่าเดิม บรรยากาศตรงหน้ามืดครึ้มลง

“ไม่เสียแรงที่ข้ายอมขายวิญญาณให้กับพญามาร...เพื่อให้มีวันนี้ วันที่ข้าจักยืนอยู่เหนือทุกชีวิตบนโลกใบนี้ ข้าเสียทุกสิ่งขอเพียงได้ล้างแค้นและทำลายทุกสิ่งตรงหน้าให้พังพินาศ !” ขุนศรีตะโกนกร้าว สายลมพัดกรูเกรียว ไม่เพียงแต่หุ่นพยนต์ที่อยู่ในบังคับของเมืองอินทร์ ยังมีบรรดาอาวุธไสยเวทอีกมากที่ล้อมกายของเขาอยู่ในยามนี้

...บางที...เขาอาจจะคิดผิดก็ได้ที่ไม่อาจรอเหล่ายมทูตสังหารที่ยมโลกกำลังส่งมา...

“ข้ายอมรับว่าข้าไม่เก่ง...ข้าไม่โง่ไปสู้ในสิ่งที่ข้าไม่ถนัดดอกอ้ายสีห์ ! เจ้ามาลองแข่งมนตรากับข้าบ้างเป็นไรไป !”

เสียงหวีดร้องโหยหวนของบรรดาอสุภะที่จะเพิ่มเป็นทวีคูณ โดยมีร่างสูงของเมืองอินทร์ยืนอยู่ตรงหน้า อาคมสีดำสนิทกดดันทุกสิ่งโดยรอบ ไอดำสนิทคลุมไปทั่วมิติขณะที่มีเพียงแสงสว่างริบหรี่ของดาบเพลิงวิญญาณเท่านั้น เลือดที่เสียไปและแผลที่ช้ำไปทั้งตัวและแผลที่ต้นขาเริ่มออกฤทธิ์ทำให้ร่างสูงซวนเซนิด ๆ ทันใดนั้น เถาวัลย์จำนวนมากเลื้อยปราดเข้ามาพันรั้งขาของสีหราชโดยไม่ทันรู้ตัว ร่างสูงถูกกระชากล้มลงกองกับพื้น ร่างของสีหราชถูกตรึงไว้บนพื้นดิน แขนของสีหราชที่เริ่มล้าจากการจับดาบทำให้มือหนาสั่นเบา ๆ ทั้งเหงื่อและเลือดปะปนกันบนอาภรณ์ของยมทูตหนุ่ม ก่อนที่เจ้าตัวจะกำดาบปักพื้นดินไว้อย่างเหนื่อยหอบ สายตาคมยังคงจ้องนิ่งไปที่ร่างของขุนศรีอย่างไม่ยอมแพ้

“เหนื่อยมากแล้วรึอ้ายสีห์...ข้ามีข้อเสนอให้เจ้า”

ว่าแล้วจอมขมังเวทก็หัวเราะอีกคราแล้วกระแทกไม้เท้าลงบนพื้นดินอีกรอบ ครานี้นอกจากไอวิญญาณสีดำสนิทแล้วยังมีเลือดสีดำสนิทค่อย ๆ ไหลพุ่งขึ้นจากพื้นดินทีละน้อย ๆ ราวกับน้ำพุโลหิต โลหิตเหม็นคละคลุ้งราวกับเป็นเลือดเก่าที่เน่ามานับร้อยปี สีหราชกัดฟันแน่นก่อนจะพยายามยันกายลุกขึ้นเพราะรู้ดีว่าสิ่งนั้นคือ ‘บ่อโลหิตมาร’ สีหน้าของขุนศรีหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะคว้าจอกดินเผาที่คล้ายกับจอกสุราทองแดงยมโลกขึ้นมา

“ข้าให้โอกาสสุดท้ายกับเจ้า....ถ้าเจ้ายอมดื่มโลหิตจอกนี้ ข้าจะสงเคราะห์ให้เจ้าได้เคียงคู่กับเมืองอินทร์ในฐานะทาสของข้า” สีหน้าของขุนศรีนิ่ง ๆ ขณะมองหน้าสีหราช

“ฝันไปเถอะ ! เจ้าต้องการบุกยมโลกและสร้างโลกใหม่ที่ผู้คนต้องอยู่อย่างหวาดผวากับไสยเวทมนตร์ดำ ข้าจักไม่ยอมเป็นคน
ช่วยเปิดประตูยมโลกให้เจ้าเด็ดขาด !” สีหราชตวาดลั่นก่อนจะชี้ปลายดาบตรงไปที่ร่างจอมขมังเวทตรงหน้า

“น่าเสียดาย ข้าอุตส่าห์ยื่นโอกาสให้ แต่เจ้ากลับปฏิเสธข้า ไม่ฉลาดเลยนะอ้ายสีห์...” เจ้าตัวแค่นยิ้มก่อนจะตวัดมือคราเดียวจอกโลหิตก็หายวับไปทันที

“ข้อเสนอมีเพียงครั้งเดียว และข้าก็ไม่ต้องการเสี่ยงกับเจ้าอีกเป็นครั้งที่สอง”

“เตรียมลาคนรักของเจ้าได้แล้ว...สีหราช” ทันใดนั้นควันสีแดงพวยพุ่งขึ้นจากบ่อโลหิตมาร เกิดหมอกแดงก่ำขึ้นตรงหน้าบังทุกอย่างไว้ชั่วขณะ สีหราชยกดาบขึ้นกั้นแต่แล้วหุ่นพยนต์สี่ห้าตัวพุ่งปราดเข้าคว้าจับร่างของสีหราชไว้ด้วยเชือกอาคมมัดตรึงแขนทั้งสองข้างไว้แน่น เชือกอาคมสีดำสนิทรั้งคอร่างตรงหน้าไว้แน่น สีหราชนิ่วหน้าเมื่อหุ่นพยนต์กระชากร่างเขากระเด็นลงกับพื้น

“คุกเข่าลงต่อหน้าข้าอ้ายสีห์ !” คนตรงหน้าหัวร่อ สีหราชที่บาดเจ็บเลือดโซมกายถูกเตะสกัดให้ล้มครืนลงคุกเข่าตรงหน้า ขุนศรีสืบเท้าเข้ามาอย่างย่ามใจแล้วเหลียวไปมองร่างในชุดสีดำสนิทที่ยืนนิ่งเคียงข้าง

“เมืองอินทร์...เจ้ามาสิ...สังหารมันเสีย...”


ออฟไลน์ ButlerofLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
พลันนั้นสีหราชที่จดจ้องรอจังหวะอย่างตั้งใจ ก็พลันร่ายอาคมโลหิตเพลิงโดยใช้หยดเลือดของตนเองเป็นอาวุธสุดท้าย

ปราณคุ้มกายของสีหราชเปลี่ยนสภาพผสานเข้ากับเลือด กลายเป็นเพลิงโลหิตขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนที่ลอยคว้างในอากาศอย่างมีชีวิต ทันใดนั้นเพลิงโลหิตบางส่วนก็ระเบิดชนปะทะกับร่างของขุนศรีจนร่างนั้นผงะเสียหลัก ก่อนที่บางส่วนจะวิ่งชนเชือกอาคมที่พันธนาการร่างสีหราช ทันทีที่เพลิงโลหิตปะทะพันธนาการดังกล่าวก็มอดไหม้ทันควัน จังหวะนั้นเองสีหราชร่ายดาบเพลิงวิญญาณปราดเข้าฟันร่างที่อยู่ตรงหน้าทันควัน

“ขุนศรี ! คลายอาคมให้เมืองอินทร์เดี๋ยวนี้ !”

“ไม่มีวัน ! เลือดแค้นข้าต้องล้างด้วยเลือดของพวกเจ้า !” ขุนศรีตวาดลั่นก่อนทั้งคู่จะปะทะต่อสู้กันเป็นพัลวัน ร่างขุนศรีหมุนคว้างกลางอากาศก่อนจะตวัดไม้เท้าอาคมขึ้นรับแรงปะทะของดาบเพลิงวิญญาณตรงหน้า แรงปะทะทำให้ทั้งคู่กระเด็นออกจากัน ขณะที่ร่างหนึ่งหมุนกลิ้งร่วงสู่พื้น สีหราชกระโดดแตะพื้นแล้วโจนขึ้นปราดตามมาทันที แต่เสี้ยววินาทีก่อนที่จะถึงร่างขุนศรีก็ปรากฎเงามืดดำสนิทที่ถลาเข้ามารับดาบแทนร่างตรงหน้า

 เมืองอินทร์ !

ร่างคุ้นตาที่ปราดมากะทันหันทำให้สีหราชเบิกตาโพลงก่อนจะรั้งดาบเพลิงวิญญาณคืนทันควัน แรงเหวี่ยงรั้งดาบทำให้ยมทูตหนุ่มเสียจังหวะ ยามนั้นเองที่เมืองอินทร์สะบัดฝ่ามือใส่แผ่นอกตรงหน้าเต็มเหนี่ยว

อั๊ก ! พรวด !

สีหราชสะอึกพรวด โลหิตร้อนผ่าวทะลักออกจากริมฝีปากทันควัน รู้สึกราวกับทั้งร่างชาดิกคล้ายจะหายใจไม่ออก ไร้แรงป้องกันใด ๆ ร่างสูงร่วงลงสู่พื้นดินทันที ปลายดาบเพลิงวิญญาณและพลังชีวิตรวยรินซวนกายลุกขึ้นได้ก็ก้มมองถึงรู้ว่ากลางอกปรากฎรอยอาคมสีดำสนิทเข้าแล้ว ลายอักขระเขมรที่ปรากฏตรงหน้า...ทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบ

...อาคมหุ่นเชิด...

เลือดสีคล้ำทะลักออกจากปากของร่างตรงหน้าทันควัน อาการบาดเจ็บภายในบอกชัดว่าร่างจำแลงกึ่งมนุษย์กึ่งยมทูตของเขาดูจะหนักหนาเกินไปแล้ว เพราะกึ่งหนึ่งเป็นกายมนุษย์จึงมีอวัยวะไม่ต่างจากคนทั่วไป ดังนั้นอาคมหุ่นเชิดจึงสามารถกำกับทุกสิ่งในร่างของเขาได้ ทั้งการเต้นหัวใจ การบีบเกร็งของอวัยวะภายใน และในยามนี้...ร่างเขากำลังถูกไสยเวทกำกับ

สายตาที่ว่างเปล่าของเมืองอินทร์บอกชัดว่า เป็นผู้สั่งการอาคมหุ่นเชิด ขณะที่เลือดค่อย ๆ ทะลักจากอวัยวะภายในทำให้ร่างของสีหราชซวนเซและทรุดลงกองกับพื้น ดาบเพลิงวิญญาณร่วงลงพื้นและหายวับไปในทันที โลหิตกองใหญ่ที่สีหราชอาเจียนออกมาหลั่งรดพื้นดินตรงหน้า มีเพียงมือข้างเดียวที่เจ้าตัวยันกายไว้ สายตาของสีหราชเหลือบมองพื้นก่อนจะสะดุดตากับวัตถุสีทองเส้นเล็ก ๆ ตรงหน้า

...สร้อยที่เขาสวมให้เมืองอินทร์...ขาดร่วงอยู่ตรงนี้ ชะรอยคงเป็นปลายดาบเพลิงวิญญาณเมื่อครู่เป็นแน่...

ความรู้สึกต่าง ๆ ประดังขึ้นจนยากจะพูดอะไร เจ้าตัวเงยหน้ามองร่างเมืองอินทร์

“อ้าย...อ้ายอินทร์...นี่ข้าเอง...อ้ายสีห์ของเจ้าอย่างไร...”

เสียงแหบโหยที่เขาพูดไปคงไปไม่ถึงร่างตรงหน้า เพราะแม้แต่ยามนี้ร่างในชุดดำยังไม่มีแววตาใด ๆ ที่บอกว่าจำเขาได้

...ข้าไม่อาจทนเห็นเจ้าเป็นแบบนี้...เมืองอินทร์

...หากเจ้าฟื้นและจำเรื่องราวคืนนี้ได้...หัวใจเจ้าคงแตกสลาย...

ก่อนที่ใครจะทันคิดอะไร สีหราชฝืนรวบรวมกำลังที่เหลือทรงกายขึ้น ทั้งร่างนั้นโชกไปด้วยเลือดที่ออกจากภายในและบาดแผลภายนอก มีเพียงขุนศรีเหยียดยิ้มอย่างสะใจ

...ไอวิญญาณยมทูตที่เหลือเพียงรวยริน...ทำให้มันสะใจนัก

“เจ็บดีไหม...อ้ายสีห์...ตายด้วยน้ำมือคนที่เจ้ารัก...เจ้าจักได้รู้ว่าการเสียคนรักทั้งที่ยังมีชีวิตน่ะมันเจ็บร้าวแค่ไหน !”

แต่สีหราชไม่ใส่ใจคำพูดใด ๆ ของขุนศรีอีก เขาค่อย ๆ ก้าวเท้าสืบเข้าไปหาร่างตรงหน้าจนประชิด ลมหายใจหอบสั่น แค่ทรงกายไว้ได้เขาก็แปลกใจตัวเองแล้ว ดวงตาที่ไร้แววใด ๆ ของเมืองอินทร์ราวกับตุ๊กตาหุ่นเชิด มือหนาค่อย ๆ ยกขึ้นก่อนจะสัมผัสใบหน้าเมืองอินทร์แผ่วเบา

“เพ้อฝันเหลือเกินอ้ายสีห์...เจ้าพยายามเหลือเกินนะ”

“เอาสิ...ถ้าเจ้าไม่ฆ่ามัน...มันก็จะฆ่าเจ้า...เลือกเอา อ้ายสีหราช !”

ขุนศรีหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง และจ้องภาพตรงหน้าไม่กะพริบด้วยรอยยิ้มสาสมใจ ขณะที่มีหุ่นพยนต์สามสี่ตัวยืนคุมเชิงอยู่ข้าง ๆ

...ไม่เหลือปาฏิหาริย์ใด ๆ ...มีเพียงความตายที่แน่นอนที่สุด แต่จะเป็นความตายของใคร !

ด้วยการต่อสู้เมื่อครู่ทำให้ข้อสงสัยในใจของสีหราชกระจ่างชัด......

แผลภายนอกกำลังหายอย่างช้า ๆ เหมือนครั้งที่อัคนิการ์เทวีรักษาให้เขา

“เป็นเจ้าใช่ไหม...ที่คืนมณีแห่งชีวิตให้กับข้า เมืองอินทร์” สีหราชยิ้มขื่น ๆ

“เจ้าหวังให้ข้ารอด...แต่จะมีประโยชน์อะไร หากข้ารอด เพื่อจะสูญเสียเจ้าไปอีกครั้ง...” สีหราชกระซิบแผ่วเบา

ทันใดนั้นเขาคว้ามือร่างที่ยืนนิ่งตรงหน้า ดาบสีดำสนิทของเมืองอินทร์พร้อมไอมารอวลจรดชี้มาตรงหน้า

“สังหารข้า...ตรงนี้เถิดเมืองอินทร์ เพราะข้าสังหารเจ้าไม่ได้” เป็นเขาที่หลั่งน้ำตาให้คนตรงหน้า

“หากข้าไม่อาจปลุกเจ้าให้ได้สติ...เช่นนั้นมิสู้เรามายุติเรื่องนี้ด้วยกัน...”

วูบนั้นสีหราชก็ดึงร่างสูงที่ยืนนิ่งตรงหน้ามาประทับจูบบนริมฝีปากเนิ่นนานราวจะบอกลาร่างตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้าย

...หากจำเสียงข้าไม่ได้...เจ้าจักจำจูบนี้ของข้าได้บ้างไหม...เมืองอินทร์...

“ข้ารักเจ้า...เมืองอินทร์ รักด้วยหัวใจและชีวิตของข้า”

เสียงเขากระซิบข้างหูร่างสูงตรงหน้า หยดน้ำตารินรดผิวแก้มร่างตรงหน้า

ทันใดนั้นเพลิงโลหิตลูกสุดท้ายที่เขาซ่อนอยู่มือพลันหมุนคว้าง แต่ในเสี้ยววินาทีก่อนที่มันจะระเบิด

อึ๊ก ! สีหราชชะงักค้าง กัดฟันกรอด...

กริชประจำตัวของจอมขมังเวทพลันเสือกแทงเข้าด้านหลังของสีหราช โลหิตจำนวนมากพรูออกมารดอาภรณ์สีดำสนิทในยามนี้ให้คล้ำฉ่ำไปหมด

“เจ้านี่เผลอไม่ได้ทีเดียวนะ สีหราช...” เสียงสบถเบา ๆ ในคอของขุนศรีดังขึ้นก่อนจะกดขยี้ปลายกริชแทงเข้าไปลึกกว่าเดิม

“ข้าไม่ให้เจ้าทำลายเจ้าทาสคนโปรดของข้าหรอก...”

ว่าแล้วเจ้าตัวก็บิดกระชากกริชดังกล่าวออกจากชายโครงของสีหราช เลือดและกายพรูทะลักจนเจ้าตัวทรุดฮวบลงกองกับพื้น เพลิงโลหิตพลันสลายวับไปพร้อมกับสติที่เหลือเพียงน้อยนิดของสีหราช

โดมมิติวิญญาณพลันสลายวูบ สภาพบ้านเรือนและพระวิหารพลันปรากฏตรงหน้า ร่างของสีหราชหายใจรวยรินแผ่วเบานิ่งอยู่กับพื้น หุ่นพยนต์ทั้งหลายและอาคมเวทถูกขุนศรีโบกให้หายวับไปในบัดดล ร่างนั้นเดินมาเหยียบแขนของสีหราชก่อนจะก้มมองหน้าเปื้อนเลือดแล้วถ่มน้ำลายรดลงบนร่างนั้น

“การต่อสู้ไม่ต้องยุติธรรมก็ได้นี่นา...มิใช่ฤา อ้ายสีห์ ขอแค่ชนะเท่านั้น !”

“จงตายซะ ! ตายด้วยน้ำมือคนที่เจ้ารักที่สุด ข้าเมตตาเจ้าแค่ไหนจงสำนึกไว้สีหราช ฮ่าฮ่าฮ่า...”

เสียงหัวเราะกึกก้องของจอมขมังเวทตรงหน้า ในอนุสติสุดท้ายของสีหราช แผ่นป้ายทองคำที่หมุนคว้างอยู่ในอากาศคล้ายจะมีบางสิ่งประหลาดไป ไอสีดำสนิทพุ่งเข้าไปในป้ายทองคำไม่สิ้นสุด เหล่าวิญญาณที่ค่อย ๆ ตะกายออกมาจากโพรงสีดำมืดตรงหน้าเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

...ข้าแพ้...และยังไม่อาจปกป้องใครได้อีกด้วย

ในลมหายใจที่รวยริน คล้ายมีเงาหนึ่งที่ทรุดลงใกล้เขา เขาอาจตาพร่า...เมื่อเห็นเป็นเมืองอินทร์

ไม่รู้ว่าเป็นตาเขาที่พร่ามัว หรือเป็นความจริง

เพราะยามนี้ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ตรงหน้า กลับปรากฎน้ำตาสีเลือดไหลออกมาเป็นสาย ภาพนั้นทำให้สีหราชยิ้มออกมานิด ๆ
ยามนี้ไม่เหลือเรี่ยวแรงใด ๆ มีเพียงปลายนิ้วที่เปื้อนเลือดแตะใบหน้าของเมืองอินทร์ได้ครู่เดียว ความอุ่นจากปลายนิ้ววาบถึงหัวใจ...

“เจ้า...ตัวเล็ก..อย่าร้อง...ข้าไม่โกรธเจ้า...ไม่เคยเลย...”

“หึ ! สังหารสิ...จัดการให้มันจบสิ้นไป ทาสของข้า !” เสียงหยามหยันของร่างสันทัดพร้อมไม้เท้าอาคมก้าวตรงเข้ามา

สิ้นคำนั้น ก็ปรากฎดาบสีดำสนิทที่เต็มไปด้วยไอมารลอยอยู่ตรงหน้า มือเมืองอินทร์คล้ายจะระริกสั่นไหว ท่าทางลังเลและผงะถอยไม่หยิบวัตถุตรงหน้า ราวกับว่าดาบไอมารนั้นเป็นไฟร้อน สีหน้าสับสนและแววตาที่สั่นไหวทำให้จอมขมังเวทขมวดคิ้วกระตุกยึกก่อนจะตวาดลั่นและสะบัดไม้เท้าร่ายอาคมไสยเวทเพิ่ม

ไอมารเข้มข้นพลันพุ่งม้วนพันร่างนั้นแน่นเข้าก่อนจะไหลวูบเข้าไปทางจมูกของเมืองอินทร์ในชุดดำตรงหน้า ร่างนั้นคล้ายจะทรงตัวไว้ไม่ไหว ดวงตาที่แดงก่ำมีหยาดโลหิตไหลรินออกมาเปื้อนแก้ม ร่างเมืองอินทร์สั่นระริกเบา ๆ

“ข้าสั่งให้เจ้าสังหารสีหราชทิ้ง !”

ดวงตานั้นบิดเบี้ยวกราดเกรี้ยวเมื่อร่างนั้นคล้ายนิ่งงันไป ขณะที่สีหราชได้แต่หายใจรวยรินนอนกึ่งนั่งกึ่งเอนพิงกายกับต้นไม้ใกล้ ๆ

...แทงมาเถอะเมืองอินทร์...ข้าสัญญาว่าข้าไม่โกรธเคืองเจ้า...

ในที่สุด...ดาบอาคมตรงหน้าถูกเมืองอินทร์จับสองมือและเงื้อขึ้นสุดแขน ดวงตาทั้งคู่ของผู้ที่เงื้อดาบนั้นเอ่อคลอไปด้วยเลือดสด หยดเลือดจากดวงตาพลันร่วงเผาะลงบนพื้นดิน ร่างของขุนศรียืนซ้อนอยู่เบื้องหลังเมืองอินทร์ก่อนจะเอื้อมมือแตะด้ามดาบในมือ

“แทงลงไป ! ปลิดชีพมันซะ !”

เสียงตะโกนลั่นข้างหูและใบหน้าที่บิดเบี้ยวเหยเกราวกับกำลังวิปลาสของขุนศรียามนี้น่าทั้งน่ากลัวและน่าสังเวชไปพร้อม ๆ กัน

...ให้มันจบไป...เสียที พันธนาการเกือบ 200 ปีควรสิ้นสุดลงได้แล้ว...

จากนี้...โลกจะเป็นเช่นไร...ข้าคงไม่รับรู้อีกต่อไปแล้ว...

สีหราชหลับตาลงช้า ๆ

พลันนั้นไอวิญญาณทั้งหมดม้วนตัวพันกับร่างของเมืองอินทร์ หมอกสีดำและขาวพลันปรากฏขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่ขุนศรีจะทันขยับตัว ไอหมอกนั้นพลันม้วนร่างจอมขมังเวทและเมืองอินทร์ไว้ด้วยกัน ขณะที่เมืองอินทร์ตะโกนกรีดร้องออกมาสุดเสียงก่อนจะเสียบดาบมารลงจนสุด ! วูบหนึ่งก่อนจะเสียบดาบลง มุมปากคล้ายยกยิ้มสมใจบางอย่าง...

พรวด ! อั๊ก !

ท่ามกลางสายตาที่เบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตาตนเองของสีหราชที่นอนตรงหน้า ร่างสูงในอาภรณ์สีดำสนิททรุดลงกองกับพื้นเมื่อเมืองอินทร์พลิกองศาดาบหันเสียบเข้ากลางลำตัว  เลือดสีดำหยดพลั่กไหลรินมาตามคมดาบจากกลางอกแล้วจึงค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง ริมฝีปากของร่างตรงหน้าคล้ายแย้มยิ้มสมใจก่อนที่โลหิตจะรินออกมาจากริมฝีปากนุ่ม

“เมืองอินทร์ !”

สีหราชตะโกนสุดเสียงก่อนจะตะกายพรวดเข้าไปหาร่างนั้นที่ค่อย ๆ เอนลงกองกับพื้น ความแรงของดาบที่เสียบร่างนั้นยังเสือกแทงทะลุไปถึงอีกผู้หนึ่งที่ถูกอาคมเวทพันร่างแนบชิด กลางอกของขุนศรีถูกปลายดาบมารเสียบจนเลือดโชกเช่นกัน สร้อยรูปหัวกะโหลกขนาดเล็ก ๆ ที่เรียงร้อยกลางอกขาดสะบั้น กะโหลกต่าง ๆ ขนาดเล็ก ๆ กระจัดกระจายตกลงสู่พื้น ปล่อยวิญญาณอาฆาตจำนวนมากที่มันเคยสังหารให้วนเวียนลอยทะลุผ่านร่างบาปนั้นไปหลายต่อหลายครั้ง ตำแหน่งป้ายทองคำถูกปลายดาบมารกระแทกจนปริร้าว ทำให้วัตถุอาคมสีทองร่วงหักเป็นสองท่อนหล่นลงบนพื้นดินกลายสภาพเหลือเพียงวัตถุสีทองขนาดเท่าฝ่ามือ

“เจ้า ! เป็นไปได้อย่างไร !”

ขุนศรีคล้ายยังไม่เชื่อสายตาตนเอง โลหิตดำคล้ำเหม็นเน่าทะลักออกจากริมฝีปากของมัน ขณะที่เมื่อไม่มีป้ายทองคำนำวิญญาณมาสังเวยให้พลังมืด คลื่นวิญญาณอาฆาตเหล่านั้นก็หันมากลุ้มรุมทิ้งร่างมันแทน เสียงร้องโหยหวนของจอมขมังเวทตรงหน้าที่ได้แต่โบกไม้เท้าไล่วิญญาณร้ายออกจากกาย สำหรับโพรงมิติวิญญาณที่ถูกเปิดเมื่อไม่มีพลังงานหล่อเลี้ยง ก็พลันหายวับไปในทันทีเหมือนกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

แต่ยามนี้สีหราชไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว สายตาเขามองเพียงร่างในอ้อมแขน น้ำตานองหน้ามองไม่เห็นอะไรอีกต่อไป

อีกแล้วรึ...นี่ข้าต้องเสียเจ้าไปอีกแล้วใช่ไหม...อ้ายอินทร์...

...ทำไมไม่เป็นข้าที่ตาย...ทำไมต้องเป็นข้าที่เห็นเจ้าตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า...

“ข้า...ชนะจิตมารแล้วนะ...อ้ายสีห์...” เสียงร่างในอ้อมแขนดังกระท่อนกระแท่นขณะที่พยายามยิ้มให้สีหราช มือบาง ๆ พยายามแตะมือผู้ที่ร่ำไห้

เลือดสะบัดกระจาย...ท่วมกลางพื้นดิน เส้นผมสีดำขลับที่แผ่สยายบนพื้นดินกลายเป็นภาพที่สวยงาม หากตรงอกเสื้อเปียกชุ่มราวกับประดับด้วยกุหลาบสีเลือด รอบกายนั้นมีประกายสว่างเป็นละอองเล็ก ๆ สีเงินระยิบระยับ อาภรณ์สีดำสนิทจากไสยเวทสีดำ พลันเปลี่ยนคืนเป็นสีฟ้าอมเทาอ่อน ดาบไอมารพลันเปลี่ยนเป็นดาบประจำกายของเจ้าตัว แต่ยามนี้สีหราชไม่สนใจอีกแล้ว มือหนาคว้าร่างนั้นมากอดไว้แนบอก

“เจ้ามันบ้า ! บ้าที่สุด ! รู้หรือไม่ อ้ายอินทร์ !” น้ำตาของเขาพรูร่วงอย่างไม่อายใคร

“ไหนสัญญากับข้าแล้วอย่างไร ว่าจะไม่ทำร้ายตนเอง จะไม่ทำอะไรโง่ ๆ แบบนี้” เสียงนั้นพร่ำพูดซ้ำไปซ้ำมา ข้อมือเกร็งเขม็งจนขึ้นเป็นเส้นเลือด แล้วโอบกอดร่างนั้นไว้แน่น

“อยากให้ข้าตายตามเจ้าหรือ...ข้าไม่ไหวอีกแล้ว...ข้าทนเสียเจ้าอีกไม่ได้แล้ว” น้ำตายมทูตหนุ่มร่วงเผาะบนร่างในอาภรณ์สีฟ้าอ่อน

“ครานี้...ข้าทำท่านเจ็บอีก...ข้าขอโทษ” เมืองอินทร์หายใจกระท่อนกระแท่น แต่ดวงตากลับสุกสกาวและมีรอยยิ้มราวกับพึงพอใจที่สุด

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น !” เป็นสีหราชที่ร่ายอาคมรักษาทันควัน แต่เป็นเมืองอินทร์ที่ยุดมือนั้นไว้...

“ปล่อยเถอะ...หน้าที่ข้าสิ้นสุดแล้วอ้ายสีห์...หน้าที่ที่ควรสิ้นสุดตั้งแต่ 200 ปีก่อน ก่อนที่เราจะพบกัน...” ร่างนั้นกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น

“บางที...หากเราไม่พบกัน...ท่านอาจไม่ต้องเป็นยมทูตเช่นนี้...”

“ไม่ ! ข้าจะอยู่กับเจ้า...อยู่ด้วยกันทุกชาติ !”

“ปล่อยข้าเถอะ...อ้ายสีห์...บางทีเราเจอกัน...อาจเพื่อบอกลากันเท่านั้น”  สีหน้าของเจ้าตัวเริ่มซีดเผือดลงทุกที

“พันธนาการ...ของข้าและท่าน...ขอให้สิ้นสุดตรงนี้...ข้าไม่อยากทำให้ท่านต้องเจ็บอีกแล้ว...”

พลันนั้นแสงสว่างสีทองละมุนตาพลันปรากฏขึ้นที่หางตาของสีหราช....มีร่างหนึ่งกำลังเดินเข้ามาตรงหน้า ชายผ้าสีเหลืองสะบัดไหวเบา ๆ

ได้โปรด ใครก็ได้...ต่อให้ต้องตาย...ต้องดับสูญฤาคุมขังตลอดกาล ข้าก็ยอม ขอเพียงช่วยเมืองอินทร์...
........................................................

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ขอให้รอดดด

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
มารอ

ออฟไลน์ Wansusu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
มารอเอาใจช่วยทั้งคู่ :ling1:

ออฟไลน์ ButlerofLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
CHAPTER
34




ชายผ้าสีเหลืองหยุดลงตรงหน้าสีหราช รัศมีสีทองมลังเมลืองตรงหน้าทำให้ต้องหยีตามอง ก่อนที่ริมฝีปากของยมทูตหนุ่มจะแย้มยิ้มอย่างตื้นตัน

“นมัสการ...หลวงพ่อ...หลวงพ่อเชิด....”

พลันนั้นแสงสว่างสีทองค่อย ๆ จางลงจนเห็นเป็นร่างของภิกษุชรายืนสงบสำรวมนิ่งอยู่ตรงหน้า ใบหน้าพระภิกษุยิ้มละไมก่อนจะเปลี่ยนทีละน้อย ใบหน้าที่แก่ชราค่อย ๆ เปลี่ยนคืนสู่วันวาน จนกลายเป็นพระภิกษุเชิดในชุดจีวรสีกรักอุ้มบาตรอยู่ตรงหน้า สายตาอ่อนโยนมองทุกร่างตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ พระภิกษุหนุ่มเหลียวมองร่างที่นอนนิ่งตรงหน้าแล้วบริกรรมบทสวดพุทธมนตร์เบา ๆ ทันใดนั้นละอองสีทองประกายวิบวับพลันฟุ้งกระจายลอยไปทั่วบริเวณ

กระแสเจริญเมตตาแผ่ขยายไปไม่มีที่สิ้นสุด ใบหน้าอิ่มเอิบและเปี่ยมด้วยความอบอุ่นปลอบประโลมของพระภิกษุฉายชัดขึ้นตรงหน้า ความเจ็บร้อนที่สัมผัสเมื่อครู่พลันสลายหายในทันทีที่สัมผัสละอองสีทองดังกล่าว ทั้งสีหราช เมืองอินทร์และเหล่าอสุภะทั้งหมดล้วนได้รับกระแสความเย็นฉ่ำสบายโดยทั่วกัน คลื่นความร้อนและไอหมอกดำทะมึนที่ปรากฏอยู่เมื่อครู่พลันสลายไป แววตาแดงก่ำเกรี้ยวกราดของเหล่าอสุภะและวิญญาณเร่ร่อนที่ถูกดึงมาในปริมณฑลแห่งอาคมค่อย ๆ ลดลงทีละน้อย กระแสเย็นฉ่ำของบทแผ่เมตตา ทำให้อสุภะหน้าตาน่าเกลียดบางตนกลับกลายคืนสู่สภาพวิญญาณมนุษย์ที่สมบูรณ์ แต่ละร่างต่างยกมือขึ้นประนมน้อมกราบพระภิกษุหนุ่มแล้วแย้มยิ้มละไม

“โอ...พระคุณเจ้ามาโปรดแล้ว....สาธุ....สาธุ....สบายเหลือเกิน...เย็นเหลือเกินแล้ว....”

แต่ละดวงวิญญาณค่อย ๆ เรืองรองแล้วหายวับไปทีละดวงจนหมดสิ้น แสงสีทองอร่ามที่เจิดจ้าพลันค่อย ๆ หรี่หรุบลง ขณะที่ยมทูตหนุ่มและเมืองอินทร์คล้ายจะทุเลาขึ้นบ้าง สีหราชรีบหันไปมองเมืองอินทร์ แผลกลางอกคล้ายจะสมานกันแล้วแต่เจ้าตัวยังหลับใหลไม่ได้สติ พลันนั้นทุกคนก็หันขวับเมื่อเสียงร้องโหยหวนของจอมขมังเวทที่เมื่อครู่ถูกเหล่าอสุภะกระชากลากวิญญาณจนเสื้อผ้าอาภรณ์ขาดวิ่น เจ้าตัวยังคงกำไม้เท้าอาคมสีดำสนิทไว้ในมือ ร่างนั้นชุ่มไปด้วยเลือดสีดำสนิท สภาพการเป็นอสุภะไม่ได้ดีขึ้นเหมือนดวงวิญญาณอื่นเลยสักนิด

มีเพียงอ้ายขุนศรีที่วิญญาณยังคงถูกความมืดกลืนกิน ไม่ได้รับอานิสงส์ที่พระภิกษุมอบให้

กฎแห่งกรรม...ยังคงทำงานอย่างสมบูรณ์

“เจ้า ! ไอ้พระ มึงช่วยคนอื่น แต่มึงไม่ช่วยกู ! มึงเลือก มึงแกล้งกู !” ร่างในอาภรณ์สีดำกระเสือกกระสนร่างอยู่บนพื้นก่อนจะชี้หน้าพระภิกษุเชิดอย่างคั่งแค้น

“สาธุ...อาตมามีจิตกุศลช่วยเหลือทุกสรรพสัตว์ หากแต่สำหรับโยมขุนศรี...กรรมหนักมีมากเหลือเกิน เจ้ากรรมนายเวรของโยมมากมายเกินคณานับ อาตมาไม่อาจฝืนชะตากรรมของใครได้”

“กฎแห่งกรรมอันใด เหลวไหลทั้งเพ ข้าไม่เชื่อ! โลกนี้ไม่ยุติธรรมกับข้า!”

“ผิดแล้ว...โยมขุนศรี...โยมอยากรู้เรื่องราวทั้งหมดฤาไม่...”

“เจ้าจักโกหกพกลมอันใดข้า ไอ้พระ ! เอ็งมันพวกเดียวกับอ้ายสีห์ เอ็งย่อมโกหกข้า !”

ว่าแล้วก็เป็นจอมขมังเวทที่กัดฟันร่ายอาคมมืดอีกครั้ง ครานี้แม้ไม่มีวิญญาณให้สละ มันกลับยอมสละมือทั้งสองข้างเป็นเครื่องสังเวย มือสองข้างค่อย ๆ สะสมไอสีดำสนิทมากขึ้นเรื่อย ๆ หลุมสีดำสนิทพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ ฝูงต่อแตนอาคมสีดำสนิทจำนวนมากบินว่อนในอากาศก่อนจะพุ่งตรงไปที่พระภิกษุหนุ่ม

สีหราชเบิกตากว้างอย่างตกใจ

...เจ้านี่มันไม่เกรงกลัวบาปบุญเอาเลย ไอ้ขุนศรี !....

ทันใดนั้นแสงสว่างสีฟ้าอมน้ำเงินพลันปรากฎวาบขึ้นต่อหน้า ร่างที่ปรากฏขึ้นสวมอาภรณ์สีท้องทะเล บนเศียรประดับด้วยรัดเกล้ารูปนาคราช บุรุษที่ก้าวเข้ามาขวางนั้นสะบัดมือคราเดียวก็พลันปรากฏไฟพิษนาคราชพวยพุ่งขึ้นและเผาเหล่าฝูงต่อแตนอาคมเหล่านั้นจนมอดไหม้ในพริบตา เพลิงนั้นยังคงลุกไหม้ต่อไปยังมือสองข้างของผู้ก่อกรรมจนดิ้นเร่าทุรนทุรายกับพื้น

“ข้าน้อย กราบนมัสการพระคุณเจ้า...” วสุธาบดีนาคราชปรากฏขึ้นกั้นกลางระหว่างจอมขมังเวทและพระภิกษุตรงหน้า เจ้าตัวหันไปค้อมกายประนมมือไหว้พุทธบุตรตรงหน้าแล้วหันมามองจอมขมังเวทที่ยามนี้มือสองข้างถูกเผาจนเกรียมด้วยพิษนาคราช เสียงร้องโหยหวนของวิญญาณจอมขมังเวทตรงหน้าทำให้หลายคนต้องเบือนหน้า

“ข้าว่าจักไม่ยุ่งเกี่ยวแล้ว แต่เจ้าทำบาปกรรมนัก คิดทำร้ายพระสงฆ์สาวก ไอ้เดรัจฉาน !” แววตาวสุธาบดีนาคราชวาววับ

“อย่าก่อกรรมอีกเลย โยมขุนศรี...เจ้าจักต้องรู้ความจริง” พระภิกษุเอ่ยเบา ๆ สายตาสงบนิ่ง

“ข้าไม่เชื่อคำเอ็ง ข้าไม่เชื่อผู้ใด ข้าไม่เชื่อกรรม ข้าไม่เชื่อบาปบุญอันใดทั้งนั้น !”  ร่างนั้นตะโกนเร่าก่อนจะใช้ไม้เท้าอาคมยันกายขึ้นมาเผชิญหน้ากับองค์ยุวนาคราชและพระภิกษุตรงหน้า

“สาธุ...อาตมาเป็นพระย่อมไม่กล่าวคำมุสา หากโยมขุนศรีไม่เชื่อ อาตมาจะให้โยมได้พบกับคนผู้หนึ่ง...”

ว่าแล้ว พระภิกษุตรงหน้าก็หลับตาอีกคราแล้วเปิดย่ามที่สะพายอยู่แล้วเอ่ยเบา ๆ

“มาเถิด...มาคุยกับเขา แล้วเจ้าทั้งสองจักได้ไปเกิดใหม่โดยไร้พันธะ”

ทันใดนั้นแสงสว่างสีอ่อนพลันลอยวูบออกมาจากย่ามสีเหลือง ร่างงดงามของสตรีพลันปรากฎขึ้นต่อหน้าสร้างความตื่นตะลึงให้กับจอมขมังเวทและสีหราช มือที่ถือไม้เท้าอาคมพลันสั่นระริกแล้วปล่อยให้ไม้เท้าร่วงลงทันที ดวงตาของขุนศรีจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าที่คุ้นเคยนั้น ก่อนจะครางแผ่วเบา

“แม่นาก...แม่นากของพี่” มือนั้นคล้ายจะเอื้อมคว้าร่างตรงหน้า แต่วิญญาณสตรีตรงหน้ากลับร้องไห้น้ำตานองและเบี่ยงกายหลบ

“พอเถอะ..อ้ายศรี...ข้าขอร้องพี่ หยุดสร้างเวรกรรมกับผู้อื่นเถิด...อย่าทำร้ายอ้ายสีห์และคนอื่นอีกเลย” ร่างนั้นน้ำตาไหลพรูก่อนจะจูงร่างเด็กชายเล็ก ๆ ในวัยมัดจุกหน้าตาน่ารักน่าชังคนหนึ่งมากอดทั้งน้ำตา

“จนถึงวันนี้ เจ้าก็ยังคงรักอ้ายสีหราชสินะ...ข้าไม่เคยมีตัวตนในสายตาของเจ้าเลย แม่นาก...”

ขุนศรีกัดฟันกรอดพร้อมน้ำตาที่ไหลรินด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ไม้เท้าอาคมที่ร่วงลงกับพื้นพลันสั่นระริกก่อนจะพุ่งขึ้นไปบนฟ้า สายตาของวสุธาบดีนาคราชแลสีหราชแหงนหน้ามองพร้อมกัน ไอสีดำสนิทกระจายออกจากไม้เท้าอาคม...เงาร่างคล้ายพญามารกำลังเงื้อมมือออกมาจากไม้เท้าอาคมนั้น

“ไม้เท้า...กำลังดื่มกินวิญญาณ !”

ไอไสยเวทดำกระจายออกจากไม้เท้าอาคม แหล่งพลังงานสุดท้ายที่มันมองหาย่อมเป็นวิญญาณที่อ่อนแอ ร่างเงาที่เลือนรางของแม่หญิงนากและเด็กน้อยกำลังตกเป็นเป้าหมายตรงหน้า สตรีร่างบางเบิกตากว้างก่อนจะกอดลูกน้อยไว้แนบอก แต่ก่อนที่ใครจะทันขยับ ร่างของขุนศรีปราดเข้ามากั้นกลาง ขณะที่ไอมรณะซัดเข้าเต็มที่ร่างของมัน

อั๊ก ! ใบหน้าของจอมขมังเวทบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวด ริมฝีปากมีเลือดสีดำสนิทไหลริน แววตาเจ้าตัวปวดร้าวก่อนจะทรุดฮวบลงกับพื้น ขณะที่ไอวิญญาณสีดำมืดกำลังกลืนกินร่างของขุนศรีทีละนิด คาถาอาคมสุดท้ายที่พร้อมแลกด้วยวิญญาณที่เหลืออยู่ของมัน

พลันนั้นสีหราชปราดเข้าไปคว้าแผ่นป้ายทองคำผ่านทางโลกวิญญาณที่ร่วงอยู่บนพื้น ทันทีที่สัมผัส สีหราชรีบหยดโลหิตยมทูตลงไป ก่อนบริกรรมคาถารวดเร็วแล้วขว้างวัตถุสีทองนั้นขึ้นไปในอากาศปะทะกับไม้เท้าอาคมเต็มแรง แสงสว่างเจิดจ้าจากป้ายทองคำที่หักครึ่งท่อนยังสามารถดูดซับพลังและดึงวิญญาณที่ถูกกักขังในไม้เท้าอาคมออกมาจนหมด เสียงโหยหวนนับร้อยของเหล่าวิญญาณที่ถูกกักขังในไม้เท้าอาคมดังก้องยาว จนกระทั่งวิญญาณดวงสุดท้ายถูกปลดปล่อย วัตถุทั้งสองก็พลันร่วงลงสู่พื้นดินอีกคราและสงบนิ่งอยู่อย่างนั้น

“อ้ายศรี !”

วิญญาณของแม่หญิงนากนั้นพลันปราดเข้าไปกอดร่างที่กองนิ่งอยู่กับพื้นไว้แน่นพร้อมกับเด็กผู้ชายตัวน้อยที่มองภาพตรงหน้าอย่างงุนงง

“อย่า...อย่าแตะข้า...พิษนี้จักทำให้เจ้าสิ้นไปด้วย ! ปล่อยบัดเดี๋ยวนี้ !” ขุนศรีปัดมือที่พยายามแตะเขาออกไป

“ไม่อีกแล้ว...ไม่ว่าอย่างไร ข้าขอตายกับท่าน ไม่พรากจากกันอีก !” แม่หญิงนากน้ำตาพรูแล้วกอดร่างนั้นแน่นกว่าเดิม

ประโยคนั้นทำให้ขุนศรีชะงักก่อนจะมองร่างที่กอดเขาอย่างตกตะลึง

“เจ้า...เจ้าว่าอันใดนะ...”

“ข้ารักท่านผู้เดียวตลอดมา แต่เป็นท่านกลับเย็นชากับข้านัก ข้าทำอย่างไรท่านก็ไม่เคยสนใจข้าสักนิด พอข้าเริ่มตัดใจจะเริ่มต้นกับใครก็เป็นท่านที่กลับเข้ามาในชีวิตข้า ทำให้ข้ารู้ว่า หัวใจข้าไม่เคยลืมท่านสักครั้ง” แม่หญิงนากสะอื้นไห้กับอกของขุนศรี มีเพียงหลวงพ่อเชิดที่มองภาพตรงหน้าอย่างสงสาร ขณะที่ผู้อื่นกำลังตื่นตะลึง

“ข้ารู้นานแล้ว...ว่าท่านหาใช่พี่ชายข้า...เพราะคืนหนึ่งท่านไข้สูงแล้วข้าได้ดูแลท่าน ท่านเพ้อออกมาทั้งหมด...ความรัก ความแค้น แลคำสัญญาที่ท่านให้ไว้กับแม่ท่าน...ข้าบอกตัวเองตั้งแต่วันนั้นว่าว่าข้าจักชดเชยให้ท่านด้วยหัวใจ แต่สตรีเช่นข้ามันขี้ขลาดไม่กล้าบอกว่ารักท่าน ได้แต่เฝ้าวนเวียนอยู่รอบกายท่าน หวังว่าท่านจะมองข้ามากกว่าน้องสาวสักครั้ง”

“หากข้ารู้สักนิดว่าท่านก็พึงใจต่อข้า และข้าเป็นของท่านในคืนนั้น...เรื่องราวทั้งหมดคงไม่เป็นเยี่ยงนี้..”

.......................................................

เรื่องราวในคืนลอยโคมประทีปกลับเข้ามาในหัวของจอมขมังเวทอีกครั้ง เมื่อเขาอ่านข้อความในกลักไม้ ความเจ็บแค้นหึงหวงอิจฉาริษยาศิษย์เอกของพระอาจารย์ก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนคือสตรีต้องห้ามที่เขาไม่มีวันได้เคียงครอง จารีตธรรมเนียมที่สังคมเห็นเขาและแม่หญิงนากเป็นดังพี่น้องร่วมบิดา ทำให้ไม่อาจสมหวังในรัก...

ฤทธิ์เหล้าที่ดื่มไปมากมายคืนนั้น ทำให้ความรู้สึกที่ซ่อนไว้ล้นเอ่อ เมื่อเจ้าตัวก้าวขาขึ้นเรือน ก็รู้จากบ่าวไพร่ว่าผู้มีศักดิ์เป็นน้องสาวขึ้นเรือนไปแล้ว

“แม่หญิงนากนั่งอยู่ท่าน้ำนานพักใหญ่เจ้าค่ะ เห็นว่าจักรอคน...แต่เพิ่งขึ้นเรือนไปเมื่อครู่นี้เอง” อีบัวบ่าวคนสนิทรีบบอกเขาในคืนนั้น ก่อนจะจ้องมองกลักไม้ในมือเขาอย่างสงสัย

“เจ้ามองอันใด ?”

“เอ่อ...บ่าวเปล่าเจ้าค่ะ เหมือนเห็นแม่หญิงสั่งความทาสของสำนักดาบว่าให้นำกลักไม้มอบให้อ้ายสีหราช...”

“ก็มันคืนกูมา...จักให้ข้าทำอันใด ? เอ็งเป็นบ่าวอย่าสู่รู้นัก !”

ความมึนเมาและความหึงหวงที่ล้นเอ่อทำให้เขาใช้อาคมนิทรากับเหล่าบ่าวไพร่บนเรือนทั้งหมดคืนนั้น ก่อนจะก้าวเท้าขึ้นเรือนของแม่หญิงนาก

ร่างที่นอนหลับอยู่ในมุ้ง ขาวนวลราวกับนางสวรรค์ เอวองค์อ่อนนุ่มที่เขาเคยกอดประคองในยามเยาว์วัย เสียงหัวเราะสดใสที่เคยฉะอ้อนฉอเลาะอย่างนั้นอย่างนี้ย้อนกลับมาในความทรงจำ

“อ้ายศรีใจดี...ช่วยน้องเอาดอกจำปาจำปีได้ฤาไม่” วงหน้าใสยิ้มกระจ่างให้กับขุนศรีในวัยหนุ่ม

“ซุกซนนัก บุตรีสมุหพระกลาโหมอันใด...ไฉนเหมือนลูกลิงน้อย...” เสียงเขายามเริ่มเป็นหนุ่มกลั้วหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอาไม้สอยดอกไม้หอมนั้นลงมาให้ร่างแน่งน้อยที่อยู่ในผ้าถุงสีดอกตะแบก ผมที่เกล้ามวยน้อย ๆแลปักปิ่นนพเก้า ทำให้เขาเห็นน้องสาวตรงหน้างดงามราวเจ้าหญิง

“เจ้าจักเอาดอกไม้ไปทำอันใด เจ้าลูกลิงน้อย” เขาหัวเราะพร้อมกับยีหัวนุ่ม ๆ ตรงหน้า แต่เจ้าตัวเบี่ยงหนี

“อย่าเล่นหัวข้าสิ อ้ายศรี...ข้าเติบใหญ่แล้วนะ” ใบหน้าน่ารักงอง้ำทำปากยื่นใส่ ทำให้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

“เติบใหญ่อันใด ยังตัวน้อยเท่าสะเอวของข้าอยู่เลย” ว่าแล้วก็เอานิ้วจิ้มเอวน้องน้อยตรงหน้า ทำให้ร่างนั้นหัวเราะตาหยีก่อนจะวิ่งหนีไปรอบ ๆ

ความทรงจำที่งดงามของขุนศรีและแม่หญิงนากแจ่มจรัสในหัวใจ จนกระทั่งสองสามวันล่วงไป ร่างเล็ก ๆ ก็วิ่งมาพร้อมกับถือบางสิ่งในมือไว้

“รอข้าด้วย อ้ายศรี !” ผ้าถุงที่สวมตวัดไปมาอย่างน่ากลัวจะพันแข้งพันขา กำไลทองคำน้อย ๆ ที่อยู่ข้อเท้าส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งเบา ๆ ตามจังหวะการวิ่งของเด็กสาว

“อย่าวิ่ง! แม่นาก!” ไม่ทันที่จะสิ้นคำ ร่างนั้นก็พลันคะมำลง และเคราะห์ดีที่เขาเองวิ่งปราดเข้าไปช้อนร่างเล็ก ๆ นั้นไว้ทัน กลิ่นหอมกระแจะจันทร์และดอกมะลิจากร่างเล็ก ๆ ทำให้เขานิ่งงันไปครู่หนึ่ง ริมฝีปากแดงย้อยฉ่ำราวกับผลมะเขือเทศและดวงตาแจ่มแจ๋วของแม่หญิงนากอยู่ใกล้แค่คืบ เสียงบ่าวไพร่วิ่งตามมาดังเป็นโกลาหล ก่อนเขาจะรีบปล่อยร่างนั้นคืนแก่บ่าวไพร่และแม่นม

“ดูแลกันเยี่ยงไร แม่หญิงเกือบล้ม” เป็นเขาที่เอ็ดเหล่าบ่าวไพร่ตรงหน้า

“อย่าเอ็ดพวกบ่าวเลยอ้ายศรี เป็นข้าที่ผิดเอง” แม่หญิงนากก้มหน้างุด ๆ สลดนิด ๆ 

“เจ้าก็ด้วย เป็นหญิงวิ่งอะไรแบบนี้ไม่งาม หกล้มเป็นแผลไปจะทำอย่างไร” สีหน้าเขาขุ่นเคืองจนร่างเล็ก ๆ หน้าเจื่อนลง มือนั้นกำบางสิ่งในมือไว้แน่น จนเขาเองต้องขมวดคิ้วถาม

“นั่น...เจ้าถืออะไรในมือน่ะ...”

“ไม่ให้แล้ว ! ข้าไม่ให้อ้ายศรีแล้ว!” ร่างเล็ก ๆ เบะปากร้องไห้ทำให้เขาตาตื่นรีบทรุดกายลงตรงหน้าน้องน้อย

“ข้า...ข้าผิดเองที่ดุเจ้า...ยกโทษให้พี่ได้ฤาไม่ เจ้าหญิงของพี่...”

“เจ้าหญิง...งั้นรึ” เสียงสะอื้นฮัก ๆ ยังไม่หยุดแต่ดวงตาใสแจ๋วมองนิ่งอย่างสนใจ

“ใช่...ข้าจักเรียกเจ้าอย่างนี้”

“ใช้เรียกข้าคนเดียวใช่ฤาไม่...” กริยาเง้างอดของน้องน้อยตรงหน้าทำให้เขาหัวเราะเบา ๆ 

“ใช่...ถ้าเจ้าชอบ ข้าจักเรียกเจ้าคนเดียว พอใจฤาไม่...”

เด็กน้อยพยักหน้านิด  ๆ ก่อนจะปาดน้ำหูน้ำตาแล้วยื่นมือที่กำบางสิ่งมาตรงหน้าเขา พอเจ้าตัวรับมาดูถึงกับนิ่งงัน ถุงผ้าโปร่งที่ปักเป็นลายดอกบัวสีเหลืองใบน้อยที่เจ้าตัวบรรจงใส่ดอกไม้หอมนานาชนิดและยังมีดอกจำปาจำปีแห้งที่เขาเป็นคนสอยลงมาด้วย การเย็บยังไม่สู้เรียบร้อยนัก ฝีเข็มห่างบ้างถี่บ้างและบางจุดของผ้าปักยังมีรอยแดง ๆ เลอะอยู่ ขุนศรีขมวดคิ้วก่อนจะคว้ามือเล็ก ๆ ของน้องน้อยมาดู เจ้าตัวพยายามบิดมือหนีแต่ก็ไม่พ้น ปลายนิ้วขาวผ่องของดรุณีน้อยมีรอยเลอะเลือดเป็นจุด ๆ บอกชัดว่าโดนเข็มตำมาไม่น้อย ความรู้สึกหลากหลายประดังขึ้นกลางใจของเขาจนเผลอกำมือเล็ก ๆ นั้นแน่นขึ้นไม่รู้ตัว

“เจ้า...ปักเองทั้งหมดเลยรึ” เขากำถุงผ้าดังกล่าวไว้แน่นก่อนจะมองร่างเล็ก ๆ ด้วยสายตาบอกไม่ถูก

“ใช่...ข้าปักเอง อาจไม่งามนัก แต่ข้าให้อ้ายศรี” ร่างนั้นสูดจมูกกลั้นสะอื้น

“ทำไมเอามาให้ข้าเล่า” เสียงเขาแหบพร่าคล้ายจะเป็นหวัด

ถุงหอม...มีแต่สตรีคู่รักให้กับบุรุษที่พึงใจ...เจ้าตัวรู้ความหมายฤาไม่?

“พ่อว่าส่งพี่ไปเรียนดาบหลายปี เห็นถุงใบนี้...พี่จักไม่ลืมน้องอย่างไร” แววตาใสซื่อบริสุทธิ์จนเขาต้องหลบตาเสียเอง

ถุงผ้าปักใบนั้นเขายังเก็บไว้แนบอกไม่เคยลืมแม้ว่าดอกไม้จักคลายกลิ่นหอมไปแล้วก็ตาม ความรู้สึกประหลาดค่อย ๆ ก่อตัวในหัวใจ แต่เขาจำต้องเก็บไว้เพราะสมุหพระกลาโหมบอกกับผู้อื่นเสมอว่า เตรียมประคบประหงมแม่หญิงนากผู้งดงามไว้เชื่อมสัมพันธ์กับราชวงศ์ หลายประโยคของสมุหพระกลาโหมทำให้เขาสงสัยอยู่ครามครันว่า แท้จริงแล้วชายสามานย์ผู้นี้เห็นเจ้าหญิงน้อยของเขาเป็นสิ่งใดกันแน่

“ข้ามีลูกสาวงาม ก็ต้องใช้ให้คุ้มสิวะ หญิงเป็นสมบัติของชาย ข้าเป็นพ่อมัน จักยกมันให้ใครก็ได้ !” เสียงสมุหพระกลาโหมหัวเราะร่วนกับเจ้าพระยาคนสนิทดังลอดออกมาจากเรือนใหญ่

.......................................................

เจ้าหญิงน้อยที่แสนดื้อดึง...นับวันยิ่งงามเฉิดฉาย ความงดงามสะพรั่งของเจ้าตัวน้อยที่ก้าวสู่วัยแรกรุ่นดรุณี ผิวพรรณนวลลออดังทองทา เอวองค์ที่ไม่เคยมีก็เริ่มคอดงาม อีกทั้งสะโพกยังผายได้รูป ริมฝีปากจิ้มลิ้มชะอ้อนฉอเลาะเก่งกว่าใคร แม้จะเจ้าอารมณ์เอาแต่ใจเป็นที่หนึ่งแต่สำหรับขุนศรี แม่หญิงนากยังคงเป็นดรุณีน้องน้อยที่เขายินดีตามใจทุกครา ก่อนนั้นมีเขาที่ใดมักมีแม่หญิงนากอยู่ใกล้ ๆ ดรุณีน้อยมีเขาเป็นพี่ชายที่คอยเอาใจไม่ห่าง ต่างจากหลวงแนบที่อายุห่างกันหลายปี และรายนั้นมิสู้จะใส่ใจน้องสาว ทำให้แม่หญิงนากติดเขาแจ

กลิ่นหอมกรุ่นของผ้าอบน้ำปรุงของร่างกลมกลึงมักทำให้หัวใจขุนศรีเต้นแรงบ่อย ๆ เจ้าตัวได้แต่เก็บงำทุกสิ่งไว้ใต้บุคลิกเงียบขรึมพูดน้อย เขาพยายามหลายครั้งที่จะพาตัวเองออกจากเจ้าของดวงตากลมโตสุกใส เพราะรู้ว่าหากใกล้ชิดคงไม่แคล้วต้องปวดหัวใจ เป็นเขาเองที่เริ่มผละห่างและตั้งกำแพงกับน้องสาวคนงาม

“อ้ายศรี...กลับจากพระนครครานี้ เหตุใดท่านเย็นชากับข้านัก”

คำถามที่เจ้าตัวถามเขาต่อหน้าครั้งหนึ่ง และเป็นเขาที่เมินหน้าและคว้าจอกสุรามาดื่มให้ดูตรงหน้า

“ข้าก็เป็นของข้าเยี่ยงนี้ นานแล้ว เจ้าไม่สังเกตเองแม่นาก” ร่างเล็ก ๆ มองเขานิ่ง ๆ คล้ายน้อยใจ เป็นเขาที่ฝืนมองสุราแทนจะมองวงหน้างามนั้น

“อ้ายศรี...รู้ฤาไม่...พ่อจักให้ข้าเตรียมตัวเป็นพระสนมของเสด็จพระองค์ชายชาญนพ...” เสียงนั้นสั่นเครือนิด ๆ

“รู้” เขาพูดโดยไม่มองหน้า

“ท่าน...เห็นอย่างไร...” ประโยคนั้นคล้ายแผ่วเบาราวกระซิบ

 “ก็...ดี เป็นพระสนมก็จักได้มีทรัพย์มากมาย มีคนห้อมล้อมคอยเอาใจเจ้า ไม่ดีดอกรึ” เขาพยายามยกเอาเรื่องดี ๆ ที่จักเกิดขึ้น
ถ้าแม่นากได้เป็นพระสนม คงมีแต่คนคอยเอาใจ และนางคงจะสนุกสนานกว่าอยู่ในเรือนนี้เป็นแน่

แต่ไม่รู้เพราะอะไร พอพูดออกไป ร่างเล็ก ๆ ตรงหน้ากลับนิ่งงันและก้มหน้านิ่ง ๆ ครู่ใหญ่ก่อนจะเงยหน้ามองเขา ทันทีที่สบตาก็เป็นเขาที่ต้องชะงักเพราะดวงตากลมคู่สวยรื้นไปด้วยน้ำตา เจ้าตัวพยายามฝืนยิ้มให้เขา

“งั้นรึ...ท่านว่า...ดี...ดีแล้วอย่างนั้นรึ...”

“แม่นาก...” เหมือนเขาจะหาเสียงตัวเองไม่เจอ

“ข้า...เชื่อท่าน อ้ายศรี...ท่านเป็นพี่ชายข้า ย่อมหวังดีกับข้าใช่ฤาไม่...”

คำว่า “พี่ชาย” คำเดียวทำให้หัวใจเขาคล้ายถูกตอกตรึงกับที่

ใช่แล้ว...ต่อให้จะมีความรู้สึกประหลาดใดที่กำลังเติบโตอยู่ในหัวใจของเขา เขาจำต้องตัดรากถอนโคนเสียก่อนที่มันจักกลายเป็นพิษร้ายที่ทำให้เขาแดดิ้นในภายภาคหน้า

พิษรักร้ายแรงเสมอ และยังมีพิษความแค้นที่ต้องจัดการชำระอีกด้วย

เขาจักรัก...บุตรสาวของคนที่ทำให้พ่อเขาตายไม่ได้ คำสั่งเสียสุดท้ายของนางทาสผู้เลอโฉม แม่ของเขา

“เจ้าจักต้องทำลายตระกูลนี้ให้สิ้น มันฆ่าพ่อเจ้า คร่าเอาแม่มาเป็นเมียมัน จงทำให้มันตายใจและเล่นงานมันเมื่อเจ้าเติบใหญ่”
หากมิใช่ความแค้นที่หล่อเลี้ยงเขามาสิบกว่าปี เขาก็คงไม่มีวันนี้

แต่เหตุใด....หัวใจถึงไขว้เขวนัก....

นับจากนั้น เขาพยายามหลบหน้าดรุณีน้อยมากขึ้นอีก สุรากลายเป็นเพื่อนสนิทที่ขุนศรีอยู่ด้วยทุกคืน จากนั้นเขาพยายามเอาตัวออกจากเรือนใหญ่ หาเรื่องให้ออกไปราชการหัวเมืองบ้าง และที่สำคัญบุญคุณความแค้นที่ต้องจัดการให้สิ้น
เขาลอบพบปะกับกรมหลวงไกรสีห์สรคุณและกลายเป็นถูกชะตาเมื่ออีกฝ่ายเป็นบุคคลที่ถูกลืมเลือนเช่นกัน

...ม้านอกสายตาอย่างเขาที่สมุหพระกลาโหมไม่เคยสนใจ...

ยิ่งเขาไม่เก่งเชิงดาบอย่างอ้ายสีหราชที่ผู้เป็นพ่อเอ่ยชมอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งทำให้ไม่ถูกจับตามอง

“อ้ายศรี ! เสียแรงที่ข้าส่งเอ็งไปเล่าเรียนกับพระอาจารย์ เลี้ยงเจ้ามาอย่างดี กะอีแค่ลูกไพร่คนหนึ่งเจ้าก็สู้เขาไม่ได้ เสียชื่อบุตรชายสมุหพระกลาโหม!” ว่าแล้วเจ้าตัวก็กราดเกรี้ยวใส่เขาที่คุกเข่าหมอบอยู่ตรงหน้า เช่นเดียวกับหลวงแนบที่เป็นขุนพลอยพยักที่หัวเราะหยามหยันเบา ๆ

“ก็...นี่มันลูกทาส จะให้ไปเทียบกับลูกไพร่...มันก็ยากอยู่นาพ่อ...แม่มันเป็นเพียงทาส...”

สิ้นคำดูถูกนั้น เขาลอบกำหมัดด้วยความแค้น หากแต่สายตายังคงยิ้มอ่อนและทำตัวสั่นเทาราวหวาดกลัว

“ข้า..ข้าขอโทษที่ข้าทำให้พ่อผิดหวัง”

พ่อ...แต่ในหน้า แต่เป็นศัตรูที่ต้องสังหาร...ใจเขาหวนคิดแว่บหนึ่ง

หากวันใดเขาทำสำเร็จ เจ้าหญิงน้อยจะแค้นเขาไหม...จะเกลียดเขาหรือไม่....จะร้องไห้หรือไม่...

แต่พ่อแม่ต้องมาก่อน...ความแค้นที่สังหารพ่อและฉุดคร่าแม่ มีเพียงเขาที่จะใช้เลือดล้าง

เพียงชั่วเดือนที่เขาหลบหน้า กลับมาถึงรู้ว่าแม่หญิงน้อยของเขามิได้พึงใจเสด็จพระองค์ชายชาญนพอีกแล้ว หากแต่กลายเป็นศัตรูคู่แข่งของเขาที่สำนักดาบ คนที่เขาไม่เคยสู้ได้สักครา ภาพน้องน้อยคนนั้นออดอ้อนฉอเลาะกับสีหราชในกาด และบรรดาของกินที่เจ้าตัวบรรจงทำมาแล้วยื่นให้แก่สีหราช ทำให้ใจที่คิดว่าไม่สั่นไหวกลับโยกคลอน...

สิ่งเหล่านั้น...เขาเคยยืนตรงนั้น...เคยชิมทุกคำในวัยเยาว์

“อ้ายศรี...ขนมกลีบลำดวนนี้อร่อยฤาไม่...” เจ้าตัวเล็กตาแป๋วก่อนจะป้อนขนมที่ทำเองเข้าปากเขา

“อืม...อร่อย” ยามนั้นเขาตอบเอาใจมัน ทำให้เจ้าตัวตาโตยิ้มกว้างก่อนจะหยิบอีกคำเข้าปากตัวเองบ้าง

“แหวะ...มันต้องอบควันเทียนอีก...จืดขนาดนี้ อ้ายยังว่าอร่อยอีกฤา” เจ้าตัวหน้าเหยเก

“ฝีมือเจ้า..อร่อยแล้วในสายตาข้า” เขาตอบสั้น ๆ แล้วเบือนหน้าหลบดวงตากลมโตที่มองมา

เจ้าลืมหมดแล้วสินะ...ว่าเคยป้อนพี่อย่างไร...แม่นาก

ไหนจะกริยาล้อมหน้าล้อมหลังอ้ายสีหราชกลางกาด...เหมือนที่ทำกับเขาไม่มีผิด ยิ่งเห็นยิ่งร้าวจนยากจะยืนมองต่อไป

“ไอ้สัก ไอ้สิน ไอ้เกิด ไปได้แล้ว !” เขาสะบัดหน้าหลบภาพบาดตานั่นแล้วเดินอ้าวออกมาไม่รอใคร

“นายน้อย...จักไม่ไปซื้อของขวัญให้แม่หญิงนากแล้วฤา...ร้านนั้นอยู่ไม่ไกลนี่เอง” ประโยคของไอ้เกิดทำให้เขากำมือแน่น

“ไม่! ข้าเปลี่ยนใจแล้ว!”

ยิ่งระยะหลัง ๆ แม่หญิงนากนัดแนะพาอ้ายสีหราชมาถึงเรือน มาไม่มาเปล่ามานั่งริมท่าน้ำที่เขาจักต้องผ่านทุกวัน ทำให้หลัง ๆ ยามกลับจากวังเขามักจะดื่มเหล้ามาด้วยเสมอ หวังว่าถ้าเมาแล้วจักไม่ใส่ใจภาพยอกแสลงใจ แต่เจ้ากรรมก็ไม่เคยพ้นภาพบาดตาสักครั้ง...

เสียงหวาน ๆ ฉะอ้อนกลอนบอกรักต่อหน้าอ้ายสีหราชเย็นวันนั้น ทำให้เขากำมือแน่นกัดฟันกรอด

“อ้ายสีหราชเคยพึงใจผู้ใดฤาไม่...” ประโยคนั้นทำให้ขุนศรีที่กำลังเดินผ่านชะงักก่อนจะยืนนิ่งยอมเสียมารยาทหยุดฟัง บุรุษในชุดนักดาบหลวงและน้องน้อย...แม่หญิงนาก...กำลังนั่งหันหลังให้เขาอยู่ที่ริมท่าน้ำ...

“หากเพียงรักหวังรักไม่ชังตอบ    
หากเพียงชอบเอ่ยเฉลยซึ่งความหมาย
หากข้ารัก...จักเพียงหนึ่งไม่เคลื่อนคลาย
ผิว์ยามวายกายพรากจึ่งจากเอย...”

“กลอนบทนี้...ท่านมีความเห็นอย่างใด...อ้ายสีหราช...” ประโยคหวาน ๆ ของแม่หญิงนากดังขึ้น ในวูบนั้นคล้ายกับว่าเจ้าของประโยคจะผินกายมามอง แต่ก็ชั่วพริบตาร่างนั้นก็เบือนหน้ากลับไปอย่างรวดเร็ว

กลอนบอกรัก...หึ ! ตัวเท่าเมี่ยง รู้จักรักแล้วอย่างนั้นฤา!

คำพูดกระทบกระเทียบเปรียบเปรยร่างน้อยในวันนั้น แม้จะหมายเชือดเฉือนหัวใจร่างตรงหน้า พอเอ่ยไปแล้วก็อยากตบปากตัวเองนักเพราะคล้ายจะเห็นหยดน้ำตาคลอรื้นขึ้นบนใบหน้าหวาน แต่ก็เพียงครู่เดียว...ความเมาทำให้ไม่อยากรับรู้สิ่งใด ทำให้เขาได้แต่เบือนหน้าหนีแล้วเดินหัวซุนขึ้นเรือน

หากน้องน้อยหมายจะเป็นพระสนมของเสด็จพระองค์ชายชาญนพ...มันจักไม่ยุ่งเลย เพราะเสด็จพระองค์ชายพระองค์นั้นทรงเมตตาอารีกับมันมาตลอด แต่ต้องมิใช่อ้ายสีหราชที่เป็นคู่ปรับของมัน !

เจ้าหญิงของมัน โง่งมนัก !

ละทิ้งโอกาสการเป็นพระสนมของเสด็จพระองค์ชายชาญนพ มาเลือกเป็นเมียไพร่คนหนึ่งอย่างอ้ายสีหราช !?! 

ไอ้คนพรรค์นั้นมีอันใดดีงามบ้าง !
.......................................................


Butler หายไปเพราะไปจัดการดีลกับโรงพิมพ์ค่ะ ตอนนี้เปิดพรีอยู่ ขอโทษน้าที่หายไปหลายวัน :)
 :mew3:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เห้ออออ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ButlerofLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
CHAPTER
35




ไม่กี่ชั่วยามก่อนจะเริ่มเทศกาลลอยโคม แม่หญิงนากในชุดสีดอกตะแบกก้าวขึ้นมาบนเรือนของขุนศรี สีหน้าเจ้าตัวคล้ายตัดสินใจบางประการ ฝีเท้าร่างเล็ก ๆ นั้นแผ่วเบา เจ้าตัวก้าวขึ้นเรือนมาโดยไร้บ่าวไพร่ติดตาม ขุนศรีที่กำลังกรึ่มดื่มเหล้าอยู่ผู้เดียวเหลือบมองร่างนั้นอย่างเมิน ๆ  ดวงตากลมโตสุกใสมองบุรุษตรงหน้านิ่ง ๆ ด้วยแววตาประหลาดที่เจ้าตัวก็อ่านไม่ออก
ฤทธิ์สุรา...ทำให้บางอย่างที่เขาควรจะเห็นในยามสติครบถ้วน วันนี้กลับมองไม่เห็น...

“มาเรือนนี้ทำไม เจ้าต้องไปเที่ยวเทศกาลลอยโคมไม่ใช่ฤา...เดี๋ยวอ้ายสีหราชจะรอ” ขุนศรียกเหล้าขึ้นดื่มต่อและไม่สนใจร่างที่ขยับเข้ามาใกล้

กลิ่นหอมเฉพาะตัวของแม่หญิงนากที่เขาจำได้ ลอยกรุ่นอวลมาพร้อมกับผ้าซิ่นยกดอกผืนงาม

“ข้า...ข้าชอบอ้ายสีหราช...ข้าจักแต่งกับมัน” ประโยคนั้นแม้จะเรียบ ๆ แต่ปลายเสียงคนพูดคล้ายสั่นเครือเบา ๆ

“แล้วมาบอกข้าทำไม ไปบอกพ่อสิ” มือเขากำแก้วเหล้าแน่นขึ้นไม่รู้ตัว

“ท่านอยากให้ข้าแต่งกับอ้ายสีหราชหรือไม่...” ดวงตากลมโตคล้ายกลั้นใจถามเขา

“ไม่เกี่ยวกับข้าสักนิด” ขุนศรีพูดห้วน ๆ

“อย่างนั้นรึ...ไม่เกี่ยวเลยงั้นรึ” เสียงแม่หญิงนากคล้ายแผ่วเบากว่าเดิม เจ้าตัวก้มหน้ามองพื้นเรือนแล้วกำมือแน่น

“เรื่องหัวใจของเจ้า มาถามข้าได้เยี่ยงไร” ขุนศรีแค่นยิ้มก่อนจะยกเหล้าขึ้นดื่มต่อ

“อ้อ...และเพราะเจ้าเป็นหญิง...บอกรักบุรุษก่อนมันไม่งามดอกนะ ผู้คนจะนินทากันได้ถึงบุพการี”

น้ำเสียงเยาะหยันอย่างที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่ากำลังเหยียดหยันในสิ่งใด

...อาจจะเหยียดหยันในโชคชะตาของตนเองละมัง...

สิ้นประโยคนั้น แววตาหวานของร่างเล็ก ๆ ตรงหน้ากลายเป็นวาววามด้วยความโกรธ และเหมือนจะมีบางอย่างผสมอยู่ในสายตาตัดพ้อนั้น แต่เป็นขุนศรีที่มองเมินและยกยิ้มเหยียดที่มุมปาก

“แล้วทำไมรึ ? หญิงเอ่ยก่อน หรือชายเอ่ยก่อน มันต่างกันเยี่ยงไร! ข้าไม่สนใจทั้งนั้น เพราะหากข้ารักใครข้าก็จะบอกเขาให้รู้ !”

ร่างเล็ก ๆ นั้นปราดเข้ามาใกล้อีกนิด มือนุ่มเล็ก ๆ นั้นแทบจะเขย่าแขนแกร่งที่ยกสุราขึ้นดื่ม

“เหอะ ! จงรอไปเถอะ อ้ายสีห์ไม่ใช่เชื้อสายราชวงศ์ พ่อคงยอมให้เจ้าแต่งกับมันหรอก...”

“ข้าไม่สนใจ ! ขอเพียงข้ารู้ว่าคนผู้นั้นรักตอบข้า จะอุปสรรคอันใดขวางหน้า ข้าก็ไม่เกรงทั้งนั้น!”

แววตาจริงจังของร่างน้อยตรงหน้าจ้องมาที่เขาเขม็ง

....เจ็บนัก...เจ็บตรงกลางหัวใจข้านี่....

ประโยคที่ตะโกนลั่นตรงหน้าทำให้เขาสะอึกไปครู่หนึ่ง

นี่เจ้ารักมันถึงเพียงนั้นเลยรึ รักอ้ายสีหราชปานนั้น ร้ายกาจเกินไปแล้ว!

“ข้าอยากรู้ว่าท่านคิดอย่างไร ตอบข้าสิ อ้ายศรี! ท่านอยากให้ข้าแต่งงานกับสีหราชหรือไม่!” ใบหน้างดงามคล้ายจะร้องไห้ มือเล็ก ๆ เอื้อมมาแตะท่อนแขนแกร่งอย่างขลาด ๆ ริมฝีปากที่เคยฉะอ้อนเขายามนี้แดงเรื่อด้วยอารมณ์มากมาย

“อยากแต่งก็แต่งไป! เจ้ามันมากรักหลายใจ จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างไรก็ตามแต่ใจเจ้าเถอะ !”

ขุนศรีตวาดลั่นแล้วสะบัดแขนหลุดจากการเกาะกุม

“หยุดนะ! ท่านกล้าดีมาว่าข้าได้อย่างไร ข้าไม่เคยมากรัก!”

“ข้ารักอยู่เพียงบุรุษเดียว! ท่านไม่รู้รึ!”

ร่างแน่งน้อยน้ำตาพรูก่อนจะก้าวพรวดเข้ามาทุบอกเขาเป็นพัลวัน บรรดาสุรายาดองต่าง ๆ ที่กองกับพื้นกระจายว่อน มีเพียงมือแข็งแรงของเขาที่ตรึงข้อมือน้อย ๆ นั้นไว้กับผนังเรือน ร่างเล็ก ๆ ที่ระบายอารมณ์จนหอบเหนื่อยตกอยู่ในวงแขนของขุนศรี กลิ่นกายหอมกรุ่นและผิวนวลเนียนพ้นผ้าแถบที่กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหายใจเหมือนจะยั่วยวนอารมณ์บุรุษเพศตรงหน้าโดยที่เจ้าตัวไม่ตั้งใจ ฤทธิ์เหล้าทำให้เขาก้มหน้าวูบหนึ่งก่อนจะเกลี่ยคลอเคลียจมูกกับพวงแก้มนุ่มนิ่ม

“ทำไม...รักอ้ายสีหราชนักหรือ อยากให้มันทำเยี่ยงนี้กับเจ้ารึ....”

ริมฝีปากเขาเคลื่อนไปใกล้ความนุ่มนิ่มตรงหน้า ริมฝีปากรูปกระจับแดงเรื่อเย้ายวนใจจนเจ้าตัวอดไม่ได้ที่จะจูบประทับลงไปเต็ม ๆ
ความมึนเมาทำให้จูบของเขาไม่ปรานีร่างตรงหน้า ความบ้าคลั่งกระหายในทุกสิ่งตรงหน้าทำให้มือและปากทำตามทุกสิ่งที่ใจปรารถนา สติที่เคยมีขาดสะบั้นลงไปทันควัน แม่หญิงนากมีกลิ่นคล้ายเด็กน้อย กลิ่นกายที่หอมบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ร่างแน่งน้อยที่ไร้มลทินชายกระพืออารมณ์หนุ่มรุ่นอย่างเขาให้พร้อมจะเผาทุกอย่างตรงหน้าให้เป็นจุณ 

ขณะที่ร่างที่ตกในวงแขนเขาเบิกตาโพลงตัวแข็งราวกับหินเมื่อโดนเขาสัมผัส จูบที่ร้อนแรงค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นหวานละมุน ผิวหน้าของแม่หญิงนากยามนี้งามราวกับผลมะปรางสุก ดวงตาใสแจ๋วหรี่ปรือลดแรงขัดขืนก่อนจะค่อย ๆ แตะ ๆ ริมฝีปากเขาคืนอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ สัมผัสที่ไม่ประสาทำให้เขาแทบคลั่ง กลิ่นหอมของแป้งร่ำและดอกราตรีที่บานอยู่ริมหน้าต่างทำให้สติเขาเตลิดเพริดไปไกล จมูกเริ่มไซ้ต่ำลงไปเรื่อย ๆ มือแกร่งสอดเข้าแตะขอบผ้าซิ่นและลูบตามแต่ใจปรารถนา ผ้าแถบเนื้อนุ่มที่พันรอบอกขาวเนียนตรงหน้ากำลังถูกจมูกและปากเขารุกราน กลิ่นกายสาวและเนื้อนวลตรงหน้าทำให้เขากระหายจัด

ถ้าเป็นลูกศัตรู...เขาทำได้ใช่ไหม...ทำให้พินาศย่อยยับไปตรงนี้ !

“อึก...อะ...อ้ายศรี...อย่า” หยดน้ำตาอุ่น ๆ ของเจ้าเนื้อนวลที่ร่วงเผาะลงมาบนหลังมือเขาทำให้ขุนศรีได้สติ

นี่ ! นี่เขาทำบ้าอะไรลงไป !

ทันทีที่ได้สติ ขุนศรีชะงักผงะถอยห่างทันที ราวกับแม่เนื้อนวลตรงหน้าเป็นของที่เขาไม่อาจแตะต้อง ใบหน้าหวานงดงามยามนี้เปื้อนหยดน้ำตา เป็นเขาที่เริ่มอดสูละอายแก่ใจตัวเองเมื่อมองร่างอ้อนแอ้นอรชร ผ้าแถบที่เริ่มหลุดลุ่ยเพราะมือซุกซนของเขา

ใบหน้าเล็ก ๆ ที่แดงจัดและผิวกายบางส่วนที่มีรอยจูบขบเม้มของเขา แม่หญิงนากตัวสั่นเทาราวกับลูกนก สายตาบอกชัดว่าผวาในสัมผัสของเขา ปากเล็ก ๆ คล้ายจะบวมเจ่อนิด ๆ เพราะเพลิงอารมณ์ของเขาและฤทธิ์เหล้า

เขาควรรั้งร่างนี้เข้ามากอดและเอ่ยขอโทษ แต่ครั้นเอื้อมมือไป แม่หญิงนากกลับสะดุ้งเฮือก ก่อนจะกระถดตัวหนีจนชิดฝาเรือน กิริยาที่เป็นไปโดยไม่รู้ตัวนั้นทำให้ขุนศรีกัดฟันแน่น

แม่หญิงนากรังเกียจเขา ?!?

เพราะทิฐิและศักดิ์ศรีของเขามันค้ำคอ

ได้ ! เมื่อเจ้าตัวอยากแต่งงานกับอ้ายสีหราช เขาก็ไม่แตะไม่ต้องให้หมองอีกเลย !

พลันนั้นเป็นเขาที่กลั้นใจผลักร่างเล็ก ๆ ออกจากห้อง แล้วลั่นดาลประตูใส่ต่อหน้า

“ไปซะ! เจ้าจะแต่งกับใครก็ไป! อย่ามายุ่งกับข้าอีก! ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า!”

สิ้นประโยคนั้นเหมือนเขาจะได้ยินเสียงสะอื้นไห้อยู่นอกประตู แต่เขาก็จำต้องทำเป็นใจแข็งไม่เปิดประตูออกไป ร่างสูงยืนพิงบานประตูอย่างหมดเรี่ยวแรง ใบหน้าเขาร้อนผ่าวแดงก่ำ กลิ่นหอมของร่างนุ่ม ๆ เมื่อครู่ทำให้ร่างกายเขาทรมานยิ่งนัก จำกลั้นใจรอจนกระทั่งฝีเท้าเบา ๆ นั่นก้าวลงจากเรือนไป เขาถึงค่อยทรุดกายลงกับพื้นห้องแล้วตบกะโหลกตัวเอง
ริมฝีปากนุ่มบอกชัดว่า เจ้าตัวน้อยไม่ประสาอะไรเลย แม้กระทั่งจูบ

เขา...ได้ครองริมฝีปากนุ่มนั่นเป็นคนแรก และยังกลิ่นหอมที่เขาคุ้นเคยมาตลอด ขุนศรีเหลียวมองทุกอย่างรอบกายอย่าง
กลัดกลุ้ม

...คืนนี้เขาจะนอนหลับได้ฤา เมื่อห้องหับเขายามนี้มีแต่กลิ่นหอมหวานจากร่างเล็ก ๆ นั้นไปเสียแล้ว

เสียงของบ่าวไพร่ด้านล่างหัวเราะกันครื้นเครง เสียงที่ลอยมาตามลมบอกว่าคืนนี้เป็นคืนลอยโคม ประโยคที่สมุหพระกลาโหมสั่งให้อ้ายสีหราชพาแม่นากไปเที่ยวด้วยย้อนกลับเข้ามาในหัว

ร่างแน่งน้อยงดงามนั่น...ถ้าปล่อยให้เที่ยวโดยที่ไม่มีอันใดก็ดีไป

แต่หากอ้ายสีหราชคุ้มกันไม่ได้เล่า ฤามีอ้ายอีคนใดมาล่วงเกิน เขายอมได้ฤา....

“ไอ้สิน ไอ้สัก ไอ้เกิด ไปโว้ย ! ข้าจักไปงานเทศกาล !”

ราตรีนี้ข้าจะไปงานเทศกาลลอยโคม !

.......................................................

บนเรือนหลังน้อยในคืนเทศกาลลอยโคม ดึกดื่นถึงยามสองที่ผู้คนบนเรือนล้วนแต่หลับใหล ด้วยมนตราที่เขาแอบไปเล่าเรียนกับจอมขมังเวทเมื่อครั้งไปราชการหัวเมือง อาคมนิทราทำให้ทุกคนหลับใหลชนิดปลุกเท่าใดก็ไม่ตื่น เหล้าที่เขาดื่มหนักจนซวนกายแทบไม่อยู่ทำให้ขุนศรีรั้งมือไว้กับบานประตูห้องของแม่นาก มนตราทำให้บ่าวไพร่ที่หลับอยู่หน้าประตูไม่มีสติใด ๆ เขาก้าวข้ามผ่านธรณีประตูเข้ามา

มุ้งสีขาวสะอาดครอบอยู่และเตียงที่ปูผ้าขาวสะอาด ร่างที่นอนห่มผ้าแพรเพลาะอยู่ในมุ้งขาวนั้น วงหน้าน้องน้อยหวานล้ำ ริม
ฝีปากรูปกระจับที่แดงเรื่อทำให้หน้าร้อนวูบเมื่อหวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อหัวค่ำ

ริมฝีปากนั่นนุ่ม...ยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกที่เคยสัมผัส

แต่แล้วดวงตาเขาพลันวาววับเมื่อนึกถึงข้อความในกลักไม้

เพราะข้อความในกลักไม้ไผ่หาใช่ข้อความจากสมุหพระกลาโหม แต่เป็นลายมือของเจ้าตัวเล็กนี่ที่เขียนไว้ว่าจะรออ้ายสีหราชที่ท่าน้ำ

ท่าทีหม่นหมองและดวงตาอาดูรสีหราชที่หนีเร้นงานเทศกาลลอยโคมนั่นทำให้เขากัดกรามแน่นกว่าเดิม

เหอะ ! คงรักมากมาย จนไม่อยากอยู่เดินงานอีกต่อไปเมื่อสีหราชไม่ได้อยู่เคียง

ทำไมโชคชะตาให้ข้าต้องมาเจอเจ้า...แม่นาก...ทำไมกัน...

ทำไมต้องให้ข้าเผลอรักเจ้า...

ทำไมต้องให้เจ้ามาทำดีกับข้า จนข้า...คุ้นชินกับการที่มีเจ้าอยู่ข้าง ๆ

ต่อให้เป็นดาว...ต่อให้เป็นเดือน...ข้าก็ดั้นด้นคว้ามาให้เจ้า...เจ้าหญิงน้อยของข้า

แต่เป็นเจ้า...ที่ย้ำกับข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจักแต่งงานกับผู้อื่น

กรีดใจข้า...ไม่พอใช่ฤาไม่...จะขยี้ซ้ำให้ตายใช่ฤาไม่...

กลักไม้ในมือถูกเขากำไว้แน่น เจตนาแรกที่ขุนศรีหวังจะปลุกร่างเล็ก ๆ ขึ้นมาคุยให้รู้เรื่อง เขาจะเปิดอกคุยกับเจ้าหญิงของเขา เขาจักสารภาพทุกอย่างว่าเขาหาใช่พี่ชาย หาได้เกี่ยวพันทางสายเลือด และหากแม่นากไม่รักเขาเลยสักนิด เขาจะจากไปจะหนีไปราชการหัวเมืองเสียให้พ้นภาพบาดตาบาดใจ เรื่องกรมหลวงไกรสีห์สรคุณนั่นเขาก็จะถอยออกมา จะหยุดทุกอย่าง
หากแม่นากร้องขอให้เว้นความอาฆาตมาดร้าย เขาก็พร้อมจะทำให้

พระอาจารย์สอนมัน...เวรระงับด้วยการไม่จองเวร ไฟอาฆาตไม่เคยเผาศัตรูแต่เผาเจ้าของให้มอดไหม้ไปด้วยกันเสมอ
บางทีเขาควรจะหยุดทุกอย่าง...

ทันใดนั้น เขาก็สะดุ้งเมื่อร่างเล็ก ๆ ในชุดผ้าแถบค่อย ๆ พลิกกายหันกลับมาทางเขา ผิวกายขาวผ่องเป็นยองใย ชายผ้านุ่งที่ชะเวิกขึ้นเลื่อนไปอยู่ที่ขาอ่อนนวลเนียน ทำเอาลำคอเขาแห้งผาก ความอัดอั้นในหัวใจทำให้เขาเลิกมุ้งขึ้นหมายจะเขย่าร่างเล็ก ๆ ให้ตื่นขึ้นพูดคุยกับเขา แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งอีกคำรบหนึ่งเมื่อร่างนั้นคล้ายจะละเมอชื่อของสีหราชออกมาเบา ๆ

“อ้ายสีห์...ข้ารักท่าน...กอดข้า จูบข้า”

มือเรียวของดรุณีน้อยละเมอเปะป่ายไปตามร่างกายตนเอง หยดน้ำตาไหลซึมลงข้างแก้มนวล โนมเนื้อที่พ้นชายผ้าแถบทำให้ผู้บุกรุกเข้าห้องรู้สึกจะหายใจลำบากขึ้น แล้วทันใดนั้นผ้าแถบที่พันอกไว้ก็ค่อย ๆ คลายหลุดร่วงตามแรงดิ้นของเจ้าตัว เผยผิวกายนวลเนียนกลางแสงจันทร์ที่ลอดเข้ามา

เป็นขุนศรีที่ตะลึงค้างหายใจไม่ออกขึ้นกะทันหัน เลือดลมในกายวัยหนุ่มพุ่งปราด ทรวงอกงามที่ขาวสล้างและเอวคอด แอ่งสะดือเล็ก ๆ น่ารัก ภาพเปลือยครึ่งกายตรงหน้างามราวกับสวรรค์ปั้นฤาเสกสรรค์

นางสวรรค์....กำลังอยู่ตรงหน้าเขา...เพียงเอื้อมมือ

ขุนศรีรีบหันหลังกลับในทันที แล้วข่มกายข่มใจจะก้าวพ้นธรณีประตูแล้ว แต่ทันใดนั้นก็ชะงักค้างแล้วความโกรธพุ่งปราดขึ้นกลางใจเมื่อได้ยินเสียงหวานฉะอ้อนละเมอเรียกชื่อศัตรูหัวใจเป็นคำรบสอง

....นั่นนางเรียกชื่อ อ้ายสีห์  ใช่หรือไม่....

“อ้าย...อย่าไป ข้ารักท่าน จักเป็นของท่าน...ผู้เดียว..”

แม้แต่ในฝัน...เจ้าก็ยังไม่เคยมีข้าอยู่เลยสินะ....

อยากจะสมรักกับอ้ายสีหราชมากขนาดนี้เลยฤา...

เพ้อครวญหาถึงเพียงนี้ หากข้าสารภาพว่าพึงใจในตัวเจ้า...ก็คงไม่มีวันได้สมหวัง

แต่หากคืนนี้....เจ้าเป็นของข้าแล้ว ใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์เอาเจ้าไป !

เป็นความผิดของสิ่งใดระหว่างเหล้าเข้าปาก กับอารมณ์หึงหวงหน้ามืดที่พลุ่งปะทุขึ้น ร่างสูงหนาหันหลังกลับตรงมาที่ตั่งก่อนจะเลิกมุ้งขาวสะอาดขึ้น ร่างสูงที่เคล้ากลิ่นเหล้าจาง ๆ ทาบทับลงมาบนเนื้อนวลตรงหน้า เสียงครางฮือของร่างเล็ก ๆ ที่งัวเงียก่อนเจ้าตัวจะกรีดร้องขึ้น แต่เป็นเขาที่กดจูบปิดกลั้นเสียงนั้นไว้ อาคมที่มีทำให้เขาตวัดมือครั้งเดียวดับตะเกียงเจ้าพายุในห้องให้ดับลง หน้าต่างเรือนที่เปิดรับแสงจันทร์ถูกเขาร่ายคาถามือเดียวให้หับเข้ามาอย่างรวดเร็ว

มีเพียงความมืด...ที่ไม่อาจรู้ได้ว่าเขาเป็นใคร

ร่างเล็ก ๆ ดิ้นขัดขืนทุบประท้วง แต่ด้วยเนื้อตัวนุ่มนิ่มที่เกือบเปลือยไปครึ่งกายและแรงบุรุษที่แข็งแกร่งกว่า ความหวานของโพรงปากนุ่มทำให้ขุนศรีเมามายกับกลิ่นหอมกรุ่นตรงหน้าไม่รู้จบ คาถามายาบังตาที่ร่ายไว้ทำให้ร่างน้อยไม่อาจเห็นว่าเป็นผู้ใดที่บุกรุกเข้ามาในเรือน ผ้านุ่งเนื้อนิ่มถูกเขากระชากทีเดียวลงไปกรอมที่ข้อเท้าก่อนที่จะขยับร่างหนาเข้ามาประชิด ยิ่งร่างตรงหน้าดิ้นยิ่งทำให้เขาปรารถนาจะเอาชนะให้จงได้

เขารักนาง...รักตั้งแต่ยังเยาว์วัย...ทั้งรักและผูกพัน

ยามนี้ ร่างน้อยกลับเตรียมไปฉะอ้อนออเซาะชายอื่น !

ร่างนุ่มที่ไม่ประสากับบุรุษ แม้จะระดมทุบแผ่นหลังเขาสักเพียงใด แต่มือที่ฟอนเฟ้นและริมฝีปากที่ครอบครองยอดอกงามทำให้
ร่างเล็ก ๆ อ่อนระทวยและในที่สุดก็ได้แต่ไหวเอนครางฮือไปตามสัมผัสที่เขาปรนเปรอ มือร้อนแตะไปส่วนใด เนื้อนวลก็ห่อตัวหนีราวกับสัมผัสเขาคือไฟที่ลามเลียให้วิญญาณ์มอดไหม้ แต่เป็นเขาที่มึนเมาเสพติดกลิ่นผิวกายจนตามไปรุกรานไม่รู้จบ แต่เมื่อถึงที่สุดร่างน้อยคล้ายเจ็บปวด เขากลับลดความปรารถนาทะยานอยากให้เพลิงร้อนลดลงเหลือเพียงสัมผัสที่อ่อนโยนพะเน้าพะนอเนื้อนวลตรงหน้าให้ร่วมภิรมย์ไปด้วยกัน เขาเบียดกายลงแนบชิด พระเพลิงที่พัดโหมกระพือทุกสิ่งตรงหน้าค่อยบรรเทากลายเป็นสายฝนชุ่มฉ่ำที่พัดกระโชกให้ต้นข้าวอ่อนเอนเอียงลู่ลม ต้นข้าวอ่อนนุ่มไหนเลยจะทานแรงพายุตรงหน้าได้ได้แต่เอนอ่อนไปตามลมพายุจะพัดพาไป

วิวาห์คนธรรพ์...ที่ไม่มีมาลัยมงคล มีแต่ความปรารถนาจะครอบครอง และความรักล้นหัวใจ

จนกระทั่งก่อนรุ่งสาง ขุนศรีที่ลืมตาตื่นอยู่ก่อนแล้วตะแคงมองร่างน้อยในอ้อมแขนเต็มตา ผิวกายที่เนียนละเอียดนี้เป็นของเขาแล้ว ร่างที่แดงไปทั้งตัวด้วยฤทธิ์รักของเขา

เมียเขา...แม่นากเป็นเมียเขาแล้ว...

เมื่อคืนแม้ทุกสิ่งจะเริ่มด้วยความหึงหวงและความปรารถนา

แต่ยามนี้เขารู้ดีว่าคือรักที่ล้นหัวใจ และเขาเต็มใจดูแลนางไปชั่วชีวิต

ข้าสัญญาว่าข้าจักมีเพียงเจ้า เจ้าจักเป็นเมียเดียวของข้า เจ้าหญิงน้อย

เป็นเขาที่จูบซับขมับของร่างนุ่มในอ้อมแขน ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเขาฝากรักไปกี่ครั้ง แต่หากไม่เข้าข้างตัวเอง แม่นากก็ดูจะรักในสัมผัสที่เขามอบให้อยู่บ้าง ยามนี้เป็นเขาที่หวงไปทุกสิ่ง หวงทุกตารางนิ้วของร่างนุ่มนิ่มในอ้อมแขน ไม่ปรารถนาจะปล่อยให้ชายใดในโลกได้เห็นเมียรักอีกเลย...

...เราจักมีลูกกันหลาย ๆ คน ให้วิ่งเล่นรอบ ๆ เรือน...

หยาดน้ำตารินของ “เมียรัก” ที่หลับด้วยมนตราหยดเผาะลงบนเตียง ทำให้ขุนศรีชะงักกึก

อา...เขาลืมไปแล้วว่า คนที่แม่นากรักและอยากแต่งงานด้วย หาใช่เขา...แต่เป็นอ้ายสีหราชที่นางเพ้อหา

แววตาคมกร้าวตัดสินใจเด็ดขาด

เขาเปลี่ยนใจแล้ว เขาพร้อมเทเดิมพันทั้งหมดที่ตนมีกับกรมหลวงไกรสีห์สรคุณ !

เส้นทางของการเป็นกบฏ....ปลายทางมีรางวัลเป็นแม่หญิงนาก

ขอเพียงผลัดแผ่นดินใหม่ เขาก็จักขึ้นเป็นสมุหพระกลาโหมคนต่อไป และจะใช้อำนาจรับเอาแม่หญิงนากเป็นเมียแต่งอย่างสมเกียรติ ถึงครานั้นใครจักกล้าดูหมิ่นเขาที่เป็นลูกทาสอีก

....ข้าจักบังคับและครอบครองเจ้า...แม้ว่าวิธีการนี้ จะทำให้เจ้าจะเกลียดชังข้าไปตลอดกาลก็ตาม....

....มีเพียงเส้นทางนี้...ที่ข้าจักได้อยู่กับเจ้า....

ร่างสูงผุดลุกขึ้นจากเตียง แต่งกายอย่างรวดเร็วก่อนจะเหลียวมองร่างที่หลับเพราะมนตราอย่างแสนรัก

เจ้าไม่รักข้าก็ไม่เป็นไร ขอแค่ให้ข้าได้รักเจ้า ข้าจักให้เจ้าในทุกสิ่งที่เจ้าปรารถนา

...เจ้าหญิงของข้า...

ยามเร่งรีบออกจากเรือน กลักไม้ไผ่พลันร่วงหล่นอยู่บนเตียงนอน...กลักไม่ไผ่เล็ก ๆ ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงมากมาย

.......................................................

ออฟไลน์ ButlerofLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ไอวิญญาณสีดำสนิทค่อย ๆ ลดลงจนแทบไม่เหลือสิ่งใดตรงหน้า จอมขมังเวทนอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้น สีหราชที่เพิ่งยันกายขึ้นได้ประคองร่างเมืองอินทร์ไว้แนบอก ขณะที่พระภิกษุเชิดยืนสงบนิ่งอยู่อย่างนั้นแล้วถอนหายใจเบา ๆ ขุนศรีซบหน้ากับเรือนผมของวิญญาณสตรีที่ตนรักแนบแน่น

“ท่านรู้ฤาไม่...ข้าชอกช้ำเพียงใด เมื่อตื่นขึ้นแล้วไม่พบผู้ใด มีเพียงกลักไม้ไผ่ที่ข้ามอบให้อ้ายสีหราช ข้า...แทบเจียนตายเมื่อคิดว่าข้าได้พลาดไปเสียแล้วกับชายที่ข้าไม่ได้รัก” วิญญาณแม่นากร้องไห้น้ำตาพรั่งพรู

“แลเขาคนนั้นก็ปฏิเสธว่าไม่ได้ล่วงเกินข้า สตรีอย่างข้าจักทำอันใดได้นอกจากกล้ำกลืนความอดสูและเกียรติศักดิ์ศรีที่ถูกเหยียบย่ำไม่มีชิ้นดี”

“เมื่อข้ารู้ว่าข้าตั้งครรภ์ ข้าแทบไม่อยากให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ ข้าเอาแต่นึกว่าข้าควรตายอย่างไร สายตาที่ดูถูกเหยียดหยามสตรีที่มีราชศักดิ์แต่กลับท้องไม่มีพ่อ รู้ถึงไหนก็อายถึงนั่น ข้าพยายามฆ่าตัวตายแต่พ่อก็ช่วยข้าไว้  พ่อไปอาละวาดกับสำนักดาบจนทุกอย่างวุ่นวายไปหมด เสด็จพระองค์ชายก็ช่วยทัดทานไว้และส่งหมอมาดูแลข้ากับลูก ท่านควรจะรู้สิว่าข้าท้อง...ท่านควรจะกลับมาหาข้า เหตุใดจึงหายหน้าไป!” วิญญาณตรงหน้าร่ำไห้ปานจะขาดใจ

“เจ้า....รู้ได้อย่างไรว่าเป็นข้า...” คำถามนั้นคล้ายกับคนโง่งม

“จากวันที่ข้าพยายามฆ่าตัวตาย อีบัวมันถึงยอมบอกข้าว่าเป็นท่านที่ถือกลักไม้ไผ่กลับเข้ามาที่เรือนในคืนนั้น หาใช่อ้ายสีหราช ข้าจึงมาสารภาพกับพ่อว่าข้าเป็นเมียท่านแล้ว และจักแต่งกับท่านคนเดียว แต่พ่อบอกว่าท่านได้เมียที่หัวเมืองแล้วจักไม่กลับพระนครอีก และให้ข้าต้องแต่งกับอ้ายสีหราชเพื่อรักษาหน้า”

“บัดซบ ! ข้าไม่เคยมีใครอื่น ! เป็นพ่อเจ้าที่สั่งให้ข้าไปราชการหัวเมืองและห้ามมิให้กลับพระนคร !”

“แล้วเหตุใดจึงมีจดหมาย...จดหมายที่ท่านเขียนกลับมาบอกว่าไม่เคยรักข้า เห็นข้าเป็นเพียงดอกไม้ริมทางที่เชยชมแล้วทิ้งขว้าง...”

วิญญาณแม่หญิงนากน้ำตาพรูกอดร่างตรงหน้าสะอื้นไห้

“จดหมายนั่นทำให้ข้าตัดสินใจโดดน้ำฆ่าตัวตาย”

“ข้าไม่เคยส่งจดหมายใด ๆ มีฉบับเดียวที่อีบัวลอบส่งให้ข้า บอกว่าเจ้าตั้งครรภ์ ข้าจึงลอบกลับเข้าพระนครและส่งจดหมายให้อีบัว บอกว่าให้เจ้ารอข้า”

“ไม่จริง...อีบัวหนีออกไปแต่งงานนานแล้ว มันไปโดยไม่ทันร่ำลาข้าด้วยซ้ำ”

ทันใดนั้นจอมขมังเวทก็ขมวดคิ้วและนิ่งงันไปก่อนจะกระอักเลือดมากกองโต สีหน้าขุนศรีคล้ายหยามหยันในชะตาตนเอง

“สมุหพระกลาโหม ! เสือเฒ่าเจ้าเล่ห์ ! แม้ตายไปแล้วก็ยังไม่สาสม !”

...ทุกอย่างคลี่คลายกระจ่างชัดในวันนี้...หากเพียงรู้สักนิด...ทุกอย่างอาจไม่ลงเอยเยี่ยงนี้...

“พ่อเจ้ามันหวังราชศักดิ์ เตรียมยกเจ้าให้อ้ายสีหราชหวังบรรดาศักดิ์และชื่อเสียง” ขุนศรีเอ่ยอย่างขมขื่น

“หากแต่ที่เขาประเมินพลาดคือ หัวใจของเจ้า”

“เจ้ายอมตายหากมิยอมเป็นหญิงสองผัว...” มือสีดำที่เต็มไปด้วยพิษแตะไล้ใบหน้าแม่นากแผ่วเบา

ภาพของอีบัวที่ถูกฟันคอขาดลอยน้ำมาในลำคลองหลังจากรับจดหมายจากเขาไปได้ไม่กี่คืน วันนั้นทำให้เขาสงสัยอยู่ครามครันแต่ก็ไม่อาจหาคำตอบได้ แต่มาบัดนี้ทุกอย่างกระจ่างแล้ว

คนส่งสารที่รู้ความจริงทุกสิ่ง...ไม่ควรอยู่ในโลกนี้ให้บอกเล่าเรื่องราวใด ๆ อีกต่อไป

ในวันที่รู้ข่าวว่าแม่นากตายพร้อมลูกในท้อง จอมขมังเวทหนุ่มนำความแค้นบุกมาถึงเรือนของสมุหพระกลาโหมในสภาพเหมือนคนบ้า เจ้าตัวทำลายเบี้ยแก้และใช้อาคมชั้นสูงที่เล่าเรียนจากเหล่าหมอไสยเวทด้านมืดทรมานสมุหพระกลาโหม ความผิดหวังว่าที่แม่หญิงนากฆ่าตัวตายโดยไม่รอมัน เชื้อไฟอาฆาตที่สีหราชทำลายแผนการกบฏของมันจนมิอาจเคียงครองกับแม่นากดังปรารถนา

...หากแผนการกบฏไม่ล้มเหลว ยามนี้ต้องเป็นมันที่ได้เคียงครองกับแม่นากและลูก...

 แรงอาฆาตทำให้มันยอมขายวิญญาณให้พญามารเพียงเพื่ออยู่เป็นร้อยปีเพื่อทำลายสีหราชและเมืองอินทร์ให้ตายตกไปตามกัน ทุกครั้งที่บริกรรมคาถาในคืนเดือนมืดคือหนึ่งชีวิตที่มันสูญพลังวิญญาณมาเป็นของตน สำหรับสมุหพระกลาโหมถูกมันสังหารจนสิ้นใจด้วยด้วยอาคมไสยเวท

คำสั่งเสียของผู้เป็นแม่ดังก้องในหัว

“ล้างแค้นให้กูและพ่อเอ็ง...อ้ายศรี...”

เมื่อไม่มีแม่นากและลูก...เขาก็ไม่จำเป็นต้องไว้ชีวิตสมุหพระกลาโหม

“มึงทำให้กูต้องเสียทุกสิ่ง จงทรมานกับบาปที่ทำกับพ่อแม่กูเถอะ! ”

สมุหพระกลาโหมตะกุยตะกายกระถดตัวหนีจนชิดผนัง สีหน้าซีดเผือดเหลือกลานแล้วตะโกนลั่น

“กูเป็นพ่อมึงนะ ไอ้ขุนศรี ! ไอ้อีที่ไหนอยู่ตรงนี้บ้างวะ ! มาช่วยกูที !”

“ไม่ ! กูไม่ใช่ลูกมึง กูมาเพื่อล้างแค้นให้แม่ที่โดนมึงขืนใจฉุดคร่ามาเป็นเมีย แลพ่อกูที่โดนมึงสังหารทิ้งเพื่อลักแม่ข้ามาเป็นสมบัติ !”

ฝีเท้าที่สืบเข้ามาใกล้ ๆ เป็นเขาที่แสยะยิ้มและโบกมือคราเดียว อาคมไสยดำปิดกั้นการมองเห็นทุกสายตา

“ต่อให้โหยหวนจนกล่องเสียงแตกก็จักไม่มีผู้ใดบนเรือนได้ยินเสียงเจ้า ร้องสิ ครวญครางกราบไหว้ข้า! เผื่อข้าจะเมตตาให้เจ้าตายเร็วขึ้น !”

สมุหพระกลาโหมสะดุ้งเฮือกก่อนจะแตะนิ้วที่ใต้จมูก เลือดสด ๆ ค่อย ๆ ไหลออกมาทีละน้อยทางจมูกปาก และทวารทั้งหมด เลือดดำคล้ำจากร่างสมุหพระกลาโหมส่งกลิ่นเหม็นเน่า อาคมไสยเวทชั้นสูงกำลังบิดทึ้งอวัยวะภายในจนบิดเบี้ยว ลำไส้ที่ค่อย ๆ ถูกใบมีดที่มองไม่เห็นเถือจากภายในจนขาดทีละส่วน ๆ อย่างช้า ๆ แม้ว่าจักเจ็บปวดเจียนตายแต่ก็ไม่อาจได้ตายสมใจ หนังควายที่เขาเสกเข้าท้องค่อย ๆ ขยายขึ้นทีละนิด ๆ จนเบียดหัวใจและตับไตทั้งหมดในร่าง

ร่างตรงหน้านั้นแหกปากร้องโหยหวนกระเสือกกระสนดิ้นเร่าอยู่บนพื้น แต่ก็ไม่มีผู้ใดได้ยิน ประตูเรือนใหญ่เปิดกว้าง แต่บ่าวไพร่ทุกคนล้วนเดินผ่านไปราวกับไม่เห็นภาพที่ปรากฎในห้องนอนนั้น เมื่อใกล้ตาย...เขาก็คลายคาถา พอเริ่มบรรเทา...เขาก็เริ่มทรมานต่อ...ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ขุนศรีมองภาพสมุหพระกลาโหมที่ดิ้นเร่าตรงหน้าด้วยสายตาเฉยเมย

ข้าจักทำให้รู้สึกราว...อยู่...มิสู้...ตาย...

ขุนศรีหรี่มองร่างที่ตะกุยตะกายอยู่กับพื้นอย่างขยะแขยง ความเจ็บปวดนี้ยังไม่สาสมกับการที่สมุหพระกลาโหมที่ทำให้มันต้องเสียแม่นากและลูกไป ความเจ็บปวดนี้ยังไม่เท่ากับชีวิตพ่อแม่ที่ต้องสิ้นเพราะความมักมากในกามของร่างตรงหน้า

เมื่อผสานกับมนตราลืมเลือนทำให้กว่าจะมีคนบนเรือนนึกได้ว่าไม่เห็นสมุหพระกลาโหม ก็ผ่านไปแล้วกว่า 7-8 วัน ทันทีที่ร่างนั้นสิ้นใจ บ่าวไพร่จำนวนมากถึงเห็นร่างที่ไร้วิญญาณในสภาพเอนจอนาถ ความสยดสยองของผู้ตายเป็นที่โจษจันของชาวบ้านในละแวกนั้นนับสิบปี

บัดนี้ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว...โศกนาฏกรรมความรักของเขาและแม่นาก

ทันทีที่ตัดวางความอาฆาตลง...ใจก็เบา และเห็นความจริงทั้งหมด...

ความอาฆาตทำให้ใช้อาคมสังหารผู้คนในคืนเดือนดับและนำวิญญาณเหล่านั้นมาต่อชีวิตอสุภะให้ตน หล่อเลี้ยงจิตมารให้อยู่ข้ามกาลเวลา เพื่อการล้างแค้น

นับร้อยชีวิตบริสุทธิ์ที่ถูกมันสังหาร สมแล้ว...ที่ต้องตกนรกหมกไหม้...

“สาธุ...อาตมาเองก็มีส่วนผิด หากอาตมาไม่รับกลักไม่ไผ่นั้นมาแต่แรก...ก็คงไม่เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น...” พระภิกษุเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะยกตาลปัตรออกมาตั้งไว้ตรงหน้า วสุธาบดีนาคราชและสีหราชมองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าหม่นหมอง

“หลังจากแม่นากโดดน้ำตายพร้อมลูกในท้อง อาตมาพาดวงวิญญาณของแม่หญิงนากมาอยู่ในพระวิหารและบำเพ็ญกุศลมาตลอดเพื่อให้ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีงาม...” พระภิกษุเชิดเอ่ยขึ้นเบา ๆ แล้วยิ้มให้ร่างตรงหน้าทั้งสอง

“ขอจงละวางเรื่องราวในชาตินี้ เตรียมเดินทางสู่ภพใหม่เถิด...”

เสียงสาธยายมนต์ด้วยทำนองสรภัญญะดังขึ้นเบา ๆ จากพระภิกษุตรงหน้า น้ำเสียงไพเราะอ่อนโยนราวกับปลอบประโลมดวง
วิญญาณบาปที่ได้ดวงตาเห็นธรรม

ความอาฆาต...สิ้นสุดลงด้วยความเข้าใจ...

กระแสกรรมพัดพาพวกเขามาพบกัน...เพียงเพื่อจากกัน เป็นเช่นนี้เอง

อาจจะมีสักชาติภพ...ที่พวกเขาได้สมหวังและครองคู่กันอีกครา...

สิ้นเสียงสวดมนต์ แสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณค่อย ๆ ฉายขึ้นบนผืนฟ้า ใบหน้าขุนศรีซีดลงจนเป็นสีเทา ผิวหนังซูบตอบทีละน้อย จนเห็นเส้นเลือดสีแดงน้ำเงินปรากฏชัดบนร่างของจอมขมังเวท แต่ดวงตานั้นคล้ายสงบสุขกว่าเดิม ร่างของจอมขมังเวทตรงหน้าค่อย ๆ สลายกลายเป็นขี้เถ้าสีเทาทีละน้อย เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ค่อย ๆ ซีดลงและกลายเป็นเถ้าเขม่าปลิวฟุ้งไปกับสายลม เพียงชั่วอึดใจ ร่างนั้นราวกับกระดาษที่แห้งกรอบ ชิ้นส่วนร่างกายค่อย ๆ สลายทีละน้อย ๆ แล้วปลิวไปกับสายลม

“ข้าต้องไปใช้กรรมแล้ว แม่นาก...” ใบหน้านั้นยิ้มเหมือนสิ้นห่วงใย

“ข้าขอโทษที่ไม่เคยบอกว่าข้ารักเจ้าสุดหัวใจ...”

สิ้นคำนั้นร่างตรงหน้าพลันสลายกลายเป็นเถ้าธุลีท่ามกลางเสียงร่ำไห้ปานจะขาดใจ แม่หญิงนากกอบเอาฝุ่นธุลีตรงหน้าแนบอกแม้ว่าบางส่วนจะปลิวไปกับสายลมแล้วก็ตาม

“ข้ารักท่าน...อ้ายศรี...ข้าก็รักท่าน...ข้าจักตามรักท่านไปทุกชาติ...”

เสียงร้องไห้ของวิญญาณดวงหนึ่งทำให้ทุกคนตรงนั้นสลดกันหมด พลันนั้นแสงอาทิตย์ต้องดวงวิญญาณของแม่นากและลูก ทั้งสองก็ค่อย ๆ เลือนหายไปกับแสงอาทิตย์แรก เหลือไว้เพียงฝุ่นเถ้าธุลีบางส่วนที่บอกว่าเมื่อครู่มีคู่รักหนึ่งที่พรากจากกันตลอดกาล

“ข้าขออโหสิกรรมกับเจ้า...ขุนศรี...แม่นาก ขอให้ไปสู่ภพที่ดีงามเถอะ” สีหราชถอนหายใจเบา ๆ กับวิญญาณที่จากไป ทุกอย่างสลายไปราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นในบริเวณนี้

จากนั้นร่างของพระภิกษุหนุ่มก็หันมายิ้มให้ทุกคนตรงหน้า รัศมีกายผ่องแผ้วทำให้ใบหน้านั้นสงบเย็นและอบอุ่น ไม่เหมือนอ้ายเชิดคนเดิมที่ทะเล้นทะลึ่งตึงตังที่สีหราชเคยรู้จักเลยสักนิด

“การพบ...การประสบ...การจากลา...ล้วนเป็นธรรมดาของโลก” หลวงพ่อเชิดเอ่ยเบา ๆ สายตามองนิ่งเพียงพื้นดินตรงหน้า

“วันนี้อาตมา...มาปลดพันธะสุดท้ายของอาตมากับพวกโยมเช่นกัน...เมื่อสิ้นสุดวาสนากันแล้ว ก็ต้องลาจากเสียที”

“สาธุ...ข้าขอน้อมส่งสู่เส้นทางพุทธภูมิ”

สีหราชยกมือขึ้นประนมร่างในชุดจีวรสีกรักตรงหน้า รัศมีกายของพระภิกษุตรงหน้ามลังเมลืองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนลาไปมีเสียงแผ่วเบาจากพระภิกษุ

“ละ..ลด..ปลด...วาง แล้วพวกเจ้าจักได้พบเส้นทางใหม่...สีหราช เมืองอินทร์ จำคำข้าไว้...”

“จำไว้...ธรรมะ...ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม...”

สิ้นแสงแรกของวัน ก็ลาจากไปแล้วถึงสอง สีหราชถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะกอดร่างที่นอนนิ่ง ๆ ของเมืองอินทร์ไว้แนบอก เมืองอินทร์ยังคงหลับใหลพิงกายกับแผ่นอกของสีหราช ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท...รอเพียงการตื่นขึ้นใหม่เท่านั้น มือหนาของสีหราชค่อย ๆ ปัดผมที่ยาวปรกดวงตานั้นออกอย่างถนอม แต่พลันนั้นสีหราชก็ต้องชะงักเมื่อมือหนึ่งเอื้อมมาดึงร่างของเมืองอินทร์ไปง่ายดายราวกับร่างนั้นเป็นปุยนุ่น

วสุธาบดีนาคราช !

“คราวนี้ก็เหลือเรื่องของเจ้า และเมืองอินทร์....”

น้ำเสียงร่างตรงหน้าไม่ได้ล้อเล่นสักนิด แววตากร้าวของยุวนาคราชบอกชัด ขณะที่สีหราชยังทรงกายไว้ไม่อยู่

“เจ้ากับข้า...เรามาตกลงกันได้หรือยัง” วสุธาบดีนาคราชมองยมทูตหนุ่มด้วยหางตาก่อนจะปรายตามองร่างในชุดสีฟ้าอมเทาที่ยังไม่ได้สติในอ้อมแขน

“พันธะกว่า 200 ปีของพวกเจ้า ควรสิ้นสุดลงเสียวันนี้ !”

สายตาของนาคราชหนุ่มจ้องนิ่งมาที่สีหราช น้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์

“เมืองอินทร์ยามนี้ไม่เหลือพลังวิญญาณใด ๆ อีกแล้ว...อยู่ได้ก็เพียงไม่กี่ราตรีทิพย์เท่านั้น จากนั้นก็จักสิ้นสลาย”

สิ้นประโยคนั้นสีหราชรู้สึกราวกับถูกราดด้วยน้ำแข็งตั้งแต่หัวจรดเท้า

“อะ...อะไรนะ...” เหมือนเสียงเขาจะหายไปในคอ ขณะที่วสุธาบดีนาคราชนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยห้วน ๆ

“จงเลือกมา สีหราช เจ้าจักเลือกเส้นทางไหนให้เมืองอินทร์!”

“หากข้าใช้มณีนาคาคืนพลังวิญญาณให้เขา แล้วเจ้าจักยอมแลกด้วยสิ่งใด !”

.......................................................

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ลุ้นและตื่นเต้นกันทุกตอน เอาไงดีท่านสีหราช

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ต้องแลกด้วยหราาา

ออฟไลน์ ButlerofLOVE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
CHAPTER
36




สามราตรีต่อมา...บนพิภพสวรรค์

....ได้โปรด...อย่าเพิ่งจากไป...ข้ายังไม่รู้จักท่านเลย...

‘อินทร์เทพ’ สะดุ้งตื่นขึ้นในยามกลางคืน มือเรียวผวาเกาะกุมอากาศที่ว่างเปล่า...ใจหายรอน ๆ เหมือนเสียสิ่งที่รักที่สุดไป ดอกไม้ในพิภพสวรรค์ที่บานและหุบเป็นเวลา ทำให้เขารู้ว่า นี่เป็นยามราตรี....

เทพบุตรอินทร์เทพ...เทพบุตรหนุ่มอายุน้อยที่สุดที่มีดวงตากลมโตสุกใส ใบหน้ารูปไข่รับกับริมฝีปากนุ่มเป็นกระจับ ผิวกายขาวผ่องนวลตา ผมเรียบลื่นสีดำสนิทถูกเจ้าตัวปล่อยลงมาสยายคลุมสะโพก เจ้าตัวอยู่ในชุดผ้าเฉวียงบ่าสีฟ้าอ่อนอมเทาระยิบระยับเนื้อบางเบา แววตาหวานหม่นระคนเศร้าก่อนจะถอนหายใจพรูเมื่อนึกถึงความฝัน

เป็นความฝัน...ที่ต่อเนื่องเป็นคืนที่สาม นับตั้งแต่อุบัติขึ้นบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาแห่งนี้...

เจ้าตัวตัดสินใจลุกขึ้นจากแท่นบรรทม แล้วก้าวช้า ๆ ออกไปที่ระเบียง วิมานทิพย์สีฟ้าอมเทาวิจิตรงดงามแห่งนี้เกิดขึ้นจากแรงกุศลเคยทำไว้ในอดีตชาติ แท่นที่นอนยังอ่อนนุ่มและอุ่นสบาย บรรยากาศรอบตัวก็ยังเย็นฉ่ำ แต่เป็นหัวใจเขาเองที่ร้อนรุ่ม...
แรงกุศลในอดีตชาติส่งให้เขาอุบัติขึ้นที่นี่ แม้กำเนิดเป็นเทพชั้นสูง แต่กลับผิดแผกไปจากผู้อื่น เมื่อไม่มีเทพบริวารหรือบาทจาริกาที่อุบัติมาเพื่อเขา

...เขากำเนิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยวบนสวรรค์แห่งนี้...

บนสวรรค์แห่งนี้แทบจะนับนิ้วมือได้เลยว่ามีเทพกี่องค์ที่ไม่มีบาทจาริกาหรือคู่ครอง เพราะส่วนใหญ่เหล่าเทวะมักอธิษฐานให้ได้มาร่วมเรียงเคียงกันบนสวรรค์

ความฝันประหลาดที่ฉายแต่ภาพเดิมซ้ำไปซ้ำมา แต่สิ่งที่เหมือนเดิมทุกครั้งคือ เขาไม่เห็นใบหน้าของผู้ที่อยู่ในความฝันนั้นเลยสักนิด เห็นเพียงเงาของร่างสูงสง่าที่ก้มมาใกล้เขา...เสียงทุ้มและสัมผัสอุ่นจัดในความฝัน บทสนทนาบางส่วนที่เขาจับใจความไม่ชัด...ทำให้เทพบุตรหนุ่มสงสัยมาตลอด

ในความฝัน...ไออุ่นร้อนผะผ่าวที่สัมผัสเบา ๆ บนกลีบปากยังตราตรึงในหัวใจ เงาร่างของบุรุษผู้นั้นจูบเขาแผ่วเบาราวกับเขาเป็นแก้วที่เปราะบาง เสียงกระซิบที่คล้ายจะสั่นเครือนิด ๆ ดังอยู่ข้างหู พร้อมกับเสียงโต้เถียงที่ลอยลมมาจากที่ไกลแสนไกล

“หากข้าใช้มณีนาคาคืนพลังวิญญาณให้เขา แล้วเจ้าจักยอมแลกด้วยสิ่งใด”

“สิ่งใดก็ได้ ข้ายอมทั้งนั้น...ขอเพียงวิญญาณนี้ไม่แตกดับ”

“แม้ต้องแลกกับความรัก และต้องลืมเลือนกันและกัน...เจ้าก็ยอมงั้นหรือ”

“เพราะรัก...ข้าถึงยอมทุกสิ่ง”

เป็นบทสนทนาที่แปลกประหลาด...มีบางคนยอมสละหัวใจรักเพื่อให้อีกหนึ่งชีวิตได้รอด...

เหมือนเงาร่างนั้นก้มมาใกล้เขาจนแนบชิด แล้วเอ่ยเบา ๆ ด้วยเสียงสั่นเครือ

“เมื่อเจ้าขอร้องข้า...ให้พันธนาการระหว่างเราสิ้นสุดลง...”

“ข้าก็จักให้อิสระตามที่ใจเจ้าปรารถนา เมื่อสิ้นสุดพันธนาการระหว่างเรา เจ้าจะไม่ต้องเจ็บปวด...”

ทันใดนั้นมณีสีดำสนิทที่อยู่กลางสร้อยสังวาลสีดำที่คล้องคอร่างเงาสูงสง่านั้นพลันปริแตก ไอสีทองส่องประกายระยิบระยับห้อมล้อมร่างของเขาและเงาร่างสูงนั้นไว้

“พรข้อสุดท้ายจากยมโลก หากรักนั้นทำให้เจ้าต้องเจ็บปวด ก็ขอให้พันธะของเราสองสิ้นสุดลง ทั้งข้าและเจ้า...เราจักลืมเรื่องราวของกันและกัน”

สัมผัสอุ่นร้อนที่คลอเคลียอยู่ข้างแก้ม เสียงกระซิบที่คล้ายเจ้าตัวกลั้นสะอื้นอย่างยากเย็น

“...ข้าชินกับการมีเจ้าในความทรงจำไปแล้ว...เจ้าตัวเล็ก...”

“โปรดอย่าโกรธข้า ถ้าครานี้ข้าเป็นฝ่ายขอลืมเจ้า...เพราะหากข้ายังจำเจ้าได้...รักนี้คงทรมานข้าไปชั่วกาล”

สิ้นประโยคนั้นคล้ายสัมผัสแผ่วเบาประทับบนริมฝีปาก หยดน้ำตาอุ่นร่วงลงบนใบหน้าเขา...

“ลาก่อน...เมืองอินทร์...จากนี้จนชั่วนิรันดร์”

จากนั้นเขาก็อุบัติขึ้นบนแท่นบรรทมและวิมานทิพย์ของตนเอง เสียงบรรเลงเพลงที่ดังก้องไปบนสวรรค์บอกชัดถึงความยินดีกับการอุบัติใหม่ของเทพบุตรหนึ่งองค์ แต่เขากลับไม่รู้สึกยินดีใด ๆ เลย...

เหมือนสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป...หัวใจข้างในคล้ายมีเฟืองหรือชิ้นส่วนที่หล่นหายไป จนร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน

น้ำตาที่ไหลริน...ไม่ใช่เพราะความยินดีจากการอุบัติเป็นชาวฟ้า แต่เป็นน้ำตาที่เสียให้ใครบางคนที่จำชื่อไม่ได้ด้วยซ้ำ

เช้าแล้ว...กลิ่นหอมของกระแจะจันทร์ที่ลอยกรุ่นทั่ววิมานและดอกไม้สีชมพูอมขาวที่ค่อย ๆ ผลิบานอยู่ในแจกันตรงหน้า ดอกไม้
ทิพย์ที่ไม่โรยรา เขาเผลอเอามือแตะกลางอกราวกับคุ้นเคย...

ใจหาย...เพราะกลางอกนั้นโล่ง...อย่างประหลาด

คล้ายกับว่าตำแหน่งนี้เคยมีบางสิ่งอยู่...อาจจะเป็นสร้อย หรือเครื่องประดับ...สักเส้น แต่ยามนี้มันหายไป...

แค่...ของที่หาย...ยังทำให้โหยหาถึงเพียงนี้...

แล้ว “เงา” ของใครบางคนที่หายไปเล่า...

ความโหยหา...คนผู้นั้น...ยามนี้กลับทรมานเขาทั้งเป็นยิ่งกว่า...

น้ำตาหนึ่งหยด...ที่ร่วงลงบนแดนสวรรค์...มันไหลไปถึงที่ใดกัน...
.......................................................

ไม่รู้ว่าท่าทางของเขาดูหงอยเหงาหรืออย่างไร เหล่าเทวะในวิมานใกล้เคียงจึงลากเขามาที่นี่ด้วย

“มาเถิด อินทร์เทพ...ท่านเพิ่งมาใหม่ จะไม่มาชมความรื่นรมย์ของสระน้ำทิพย์โบกขรณีดอกหรือ..”

เสียงชี้ชวนของเหล่าเทวะด้วยกันยิ้มแย้มก่อนจะกึ่งลากกึ่งจูงแขนเทพหนุ่มองค์ใหม่ไปงานรื่นเริง เพียงชั่วกำหนดจิต พวกเขาก็มาถึงสระน้ำอมฤตตรงหน้าที่งดงามและกว้างสุดลูกหูลูกตา กลิ่นเครื่องหอมของหอมลอยมาจากสระน้ำทิพย์ เสียงดนตรีที่บรรเลงคลอเบา ๆ รอบกายโดยไม่มีที่มา ทำให้ อินทร์เทพ เทพบุตรหนุ่มรูปงามในอาภรณ์สีขาวอมฟ้าสะอาดตายิ้มนิด ๆ แล้วก้าวตรงไปยังสระน้ำตรงหน้า

“ถ้าเจ้าชอบ ก็ลงมาเล่นน้ำได้นะ อินทร์เทพ...” เทพธิดาองค์หนึ่งยิ้มแย้มและกวักมือเรียกเขา

แต่อินทร์เทพยิ้มนิด ๆ ก่อนจะเดินไปริมต้นไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ ทันทีที่กำหนดจิตว่าจะนั่งก็มีแท่นรองสีฟ้าอ่อนอมเทาปรากฎในอากาศรองรับร่างของเขาไว้ เจ้าตัวเอนกายมองสระโบกขรณีตรงหน้า ผืนน้ำสีเขียวมรกตใสกระจ่างราวกับแก้วมุกดาที่ส่องประกายระยิบระยับของสระโบกขรณีดูน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก ดอกบัวนานาพรรณบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปไกล ไอหมอกสีขาวบริสุทธิ์และความหอมกรุ่นที่ฟุ้งกำจายไปทั่วบริเวณทำให้ที่นี่รื่นรมย์นัก เมื่อเงยหน้าขึ้นสู่เบื้องบนไม่เห็นสิ่งใดนอกจากหมู่เมฆหลากสีสันและเรือนวิมานสีต่าง ๆ เรียงรายกันอยู่เบื้องบน

งดงามวิจิตรเช่นนี้อย่างไรเล่า...เหล่าเทพทั้งหลายถึงชอบมาพักผ่อน

เจ้าตัวเหลียวมองบรรดาเทวบุตรทั้งหลาย แล้วก็ยิ้มหม่น ๆ ออกมา เพราะไม่ว่ามองไปทางไหนก็เห็นเทพบุตรและคู่บุญมานั่งพูดคุยหยอกล้อกันกระหนุงกระหนิงเป็นที่น่าอิจฉา เสียงกรุ๊งกริ๊งของใบไม้สีเขียวสดที่กระทบกันเบา ๆ อยู่เหนือศีรษะของเขา คล้ายเสียงดนตรี ไม้ผลทิพย์ที่ออกลูกตลอดเวลาและไม่มีวันโรยรา และมวลดอกไม้ที่บานสะพรั่งรอบสระน้ำสีเขียวมรกต เลยไปอีกโค้งหนึ่งของสระโบกขรณี ก็มีเหล่ากินรีรูปร่างงดงามสมส่วนสี่ห้าตนและคนธรรพ์ต่างหัวเราะพูดคุยร่วมกันอย่างสนุกสนาน ถัดไปไม่ไกลนัก เสียงดนตรีเบา ๆ จากเครื่องดีดของวิทยาธรสองสามตนที่นั่งบรรเลงอยู่บนก้อนหินสีเทาเรียบลื่น เลยจากนั้นไปก็เป็นเสียงน้ำตกสีเขียวมรกตดังซ่า ๆ ซ่อนตัวอยู่และมีถ้ำของเหล่านาคราชบางตนที่อยู่ด้านหลัง บนท้องฟ้าบางคราก็ปรากฎร่างแกร่งและปีกที่สยายกว้างสีแดงเพลิงของเหล่าครุฑา

กลิ่นหอมของสุคนธ์หลากสีที่อยู่ริมสระทำให้บรรยากาศน่าเอนกายลงพักผ่อน

สวรรค์แห่งนี้น่ารื่นรมย์ยิ่งนัก...แต่เป็นอินทร์เทพที่เหงาเสียยิ่งกว่าเดิม

...เงาที่หายไปของข้า...ข้าคิดถึงท่านแทบขาดใจ...

เทพหนุ่มถอนหายใจก่อนจะผุดลุกขึ้นจากแท่นทิพย์ แล้วก้าวเดินตรงไปเรื่อย ๆ สายตาเหลือบเห็นต้นไม้ใหญ่ที่ผลิบานเป็นดอกสีชมพูอ่อนปนขาว กลีบดอกยังคงบานสะพรั่งตลอดเวลาไม่ร่วงหล่นเลยสักดอก ความคุ้นเคยบางอย่างทำให้เขาก้าวไปหยุดใต้ต้นไม้และแบมือตรงหน้าลำต้นนั้น

“ข้าปรารถนา”

สิ้นเสียงเอ่ยเบา ๆ นั้นก็ปรากฏดอกสีชมพูปนขาวกลีบฟูละเอียดและอ่อนนุ่มร่วงลงบนมือเขาพอดี กลิ่นหอมกรุ่นละมุนละไม ขั้วดอกไม่มีรอยช้ำจากการเด็ดราวกับถูกคนสวนผู้ชำนาญบรรจงตัดลงมาให้เขาอย่างเรียบร้อย

ดอกไม้...ละม้ายคล้ายจะเคยเห็นสักแห่ง...มือเรียวยาวของอินทร์เทพแตะไล้ลำต้นดังกล่าวเบา ๆ

ไม่รู้เหตุใดเขาถึงคิดว่า หากลำต้นนี้มีรอยขรุขระสักนิด และดอกไม้นี้ไม่มีกลิ่นหอม...เขาจะคุ้นเคยกว่านี้

เทพหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ

คงจะดีไม่น้อย หากเป็นเขา...และเงาอีกผู้หนึ่งยืนอยู่เคียงกันใต้ต้นไม้ที่ละม้ายคล้าย ๆ กันนี้

ดูเถิด...แม้เห็นดอกไม้...ยังนึกถึงเงาที่อบอุ่นนั้น...

“เจ้าทำหน้าเศร้าสร้อยเยี่ยงนี้ ดอกไม้ก็พลอยเศร้าไปด้วยนะสิ...”

น้ำเสียงนุ่มของผู้หนึ่งดังขึ้นตรงหน้าทำให้เทพหนุ่มรีบหันขวับไปมอง

“ทำไมสีหน้าเศร้าสร้อยเช่นนี้...อินทร์เทพ” เสียงนั้นทำให้เหล่าเทวะที่อยู่ใกล้ ๆ ขยับกายค้อมเศียรลงคำนับร่างตรงหน้าก่อนจะค่อย ๆ เลี่ยงออกไป

ผู้ที่ก้าวเข้ามาใหม่มีใบหน้าคมคายผิวกายคล้ายมีประกายสีน้ำเงินอมเขียว ดวงตาเรียวเฉียงมีประกายวาววับ เหนือศีรษะประดับด้วยรัดเกล้ารูปนาคา เจ้าตัวห่มผ้าเฉวียงบ่าสีน้ำเงินอมม่วงเข้มยืนยิ้มให้เขาอยู่ตรงนี้

“องค์วสุธาบดีนาคราช...มาได้อย่างไรพระเจ้าข้า” อินทร์เทพรีบค้อมกายลงคารวะร่างตรงหน้า ก่อนเจ้าตัวจะยิ้มแล้วตบบ่าเขาอย่างเป็นกันเอง

สายพระเนตรองค์นาคราชทำให้อินทร์เทพกริ่งเกรงอยู่ในใจ ด้วยกระแสบุญที่ทำร่วมกันมาทำให้รู้ว่า เขาและองค์บดีแห่งแคว้นปาตาลเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาหลายชาติ บางชาติเป็นถึงพี่น้องร่วมอุทรมารดาเดียวกัน ทำให้ในยามนี้ องค์บดีแห่งแคว้นปาตาลมองเขาเหมือนน้องชาย...และทำให้เทพบุตรและเทพธิดาต่างก็เกรงใจเขาตามองค์วสุธาบดีนาคราชไปด้วย

“ข้ามาเที่ยวเล่นหาน้องชายข้าบ้างไม่ได้ฤา ที่นี่...แดนจาตุมหาราชิกาและป่าหิมพานต์ต่างเป็นภพกลางที่เทพทั้งหลายล้วนมาใช้ได้ทั้งสิ้น นาคราชอย่างข้าก็มาเปิดหูเปิดตาบ้างอย่างไรเล่า” รอยยิ้มแย้มนั้นคล้ายจะคลายลงเมื่อเห็นหน้าของอินทร์เทพชัด ๆ

“ทำไม? เจ้าไม่ชอบที่นี่รึ...” ยุวนาคราชหันมองรอบกายก่อนจะถามเขาอีกครั้ง

“หามิได้...สวรรค์มีแต่ความสุขและความพึงพอใจ...ไม่ร้อนไม่หนาว ดีงามยิ่งนัก”

คำตอบเหมือนดี...แต่สีหน้ากลับไม่แย้มยิ้มสักนิดกับทั้งหมดที่เอ่ยขึ้น

“ดูท่า...คำว่า ดีงามของเจ้าจะไม่ได้หมายถึงความสุขสินะ อินทร์เทพ” สายตาของผู้เป็นใหญ่แห่งพิภพปาตาลมองเทพหนุ่มที่
เกิดใหม่อย่างพินิจพิเคราะห์ แต่ร่างตรงหน้าเพียงหรุบตามองต่ำไม่เอ่ยสิ่งใด

“ข้าเป็นผู้ชุบวิญญาณให้เจ้านะ อินทร์เทพ มีสิ่งใดต้องปกปิดข้าหรือ”

“ข้า...ข้าไม่ได้ปกปิด ข้าแค่กำลังสับสนและนอนไม่หลับเท่านั้น”

เงาของใครบางคนที่อยู่ในความฝัน สัมผัสที่อุ่นจัดและอ่อนโยนของร่างนั้น สวรรค์แห่งนี้อาจดีสำหรับเทพบางองค์ แต่อาจไม่ใช่สำหรับเขา

“ข้าเอาแต่ฝันถึงเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า...บุรุษที่ข้าไม่เห็นหน้า...แต่อบอุ่นกับข้ายิ่งนัก”

วสุธาบดีนาคราชถอนพระอัสสาสะเบา ๆ ก่อนจะเหลือบไปมองคนติดตามของตนเองแล้วพยักหน้าเป็นเชิงให้ออกไปก่อน สินธูและสรภูคนสนิททั้งสองจึงค่อย ๆ เร้นกายหลบไป ยุวนาคราชหันกลับมามองเทพหนุ่มตรงหน้าสองมือไพล่หลัง ดวงตาเรียวยาวคล้ายครุ่นคิดบางอย่างแล้วถามเบา ๆ

“อินทร์เทพ...เจ้าจดจำเรื่องราวในอดีตชาติอะไรได้บ้าง”

ประโยคที่เอ่ยขึ้นมาลอย ๆ ทำให้เทพหนุ่มหันขวับมามองทันที

“ข้าจำสิ่งใดไม่ได้เลย” แต่แล้วเจ้าตัวก็ชะงักกึกก่อนจะหยุดเดินแล้วหันมาถามด้วยท่าทีจริงจังและคาดคั้น

“เมื่อครู่ท่านพูดว่า ชุบวิญญาณให้ข้า ? ท่านเป็นนาคราช ? มณีนาคา ? แสดงว่าท่านรู้จักบุรุษอีกผู้หนึ่งใช่ฤาไม่! ” อินทร์เทพรีบปราดเข้ามาใกล้แล้วย้ำคำถามด้วยท่าทางตื่นเต้น

คำถามที่โพล่งขึ้นมากะทันหัน ทำให้วสุธาบดีนาคราชสะดุ้งและหันขวับ อาการสะดุ้งดังกล่าวทำให้อินทร์เทพรู้ทันที

แน่แล้ว ! องค์บดีแห่งแดนปาตาลรู้จักบุรุษผู้นั้น!

“บุรุษที่ลบความทรงจำของข้าเป็นใคร ! บอกข้าเถิด องค์นาคราช !” 

“ใครบอกเรื่องนี้กับเจ้า อินทร์เทพ!”

“ไม่มีใครบอก ข้ารู้ได้เอง ได้โปรดบอกข้าเถิด คน ๆ นั้นเป็นใครกัน ทำไมข้าฝันถึงเขาติดกันตลอด 3 ราตรีแล้ว !”

ประโยคนั้นทำให้องค์นาคราชหยุดเดินแล้วหันมาจับบ่าเทพบุตรหนุ่มและเอ่ยเบา ๆ

“อินทร์เทพ น้องรัก...จงเชื่อข้า...อย่าตามหาความทรงจำอีกเลย...”

ประโยคสุดท้ายของวสุธาบดีนาคราชก่อนจะเจ้าตัวจะเร้นกายหายลับไปต่อหน้า เสียงที่ลอยลมสุดท้ายดังขึ้นแผ่วเบา

“ความทรงจำบางอย่าง หากจำได้ก็รังแต่จะทำให้ทุกข์ใจ...สู้เริ่มต้นใหม่จะดีกว่า”

.......................................................

วสุธาบดีนาคราชถึงกับส่ายหน้า เมื่อรู้ในครานี้เองว่า อินทร์เทพเป็นเทพหัวดื้อและไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เพราะนับแต่วันนั้นเทพบุตรหนุ่มก็เพียรซักไซ้เหล่าเทพบนสวรรค์และยังร้องขอลงไปพิภพล่าง คำร้องฎีกาขอให้ฟื้นคืนความทรงจำถูกยื่นไปยังองค์บดีแห่งสวรรค์จาตุมหาราชิกานับครั้งไม่ถ้วน และไม่นับรวมความพยายามติดต่อแดนยมโลกอย่างไม่ลดละ แววตาเทพหนุ่มตรงหน้าเอาจริง และไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ

ถ้าไม่มีใครยอมบอกเขา...เขาก็จักตามหาคนนั้นเอง...แม้จะเปรียบได้ราวกับการงมเข็มในมหานทีสีทันดรก็ตาม!

“ท่านพญายม...ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิด...ชาติที่แล้วข้าเกิดเป็นใครกัน ได้โปรด...บอกข้าที...”

เป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ ที่อินทร์เทพเพียรยื่นฎีกาไปยังฝ่ายโลกบาลแต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมา เช่นเดียวกับการยื่นคำขอไปทางยมโลกเพื่อหาประวัติการเกิดของเขาในชาติที่แล้วก็ยังคงไร้ผล เหล่าผู้คุมกฎของยมโลกได้แต่ส่ายหน้า

“มีคนใช้มนตราลบเลือนบันทึกประวัติของท่านไปจนหมด...ขออภัยที่ข้าไม่อาจช่วยเหลือสิ่งใดได้...”

...ต้องมีสักทางสิ...ที่เขาจะได้พบคนผู้นั้น และคนนั้นย่อมเป็นเทพเช่นเดียวกัน ถึงมีมนตราแห่งยมโลก

“คนผู้นั้นจะต้องเป็นคนของยมโลกเป็นแน่...ได้โปรด ข้าขอพบกับเหล่ายมทูตและนายนิรยบาลทุกคนได้ฤาไม่...”

“คำขอนี้ของเจ้าออกจะเกินอำนาจไปนะ อินทร์เทพ...ความสัมพันธ์ของยมโลกและชาวฟ้าเป็นไปด้วยดีก็จริงอยู่ แต่หากข้าอนุญาตคำขอของเจ้า ก็คงทำให้ระบบการทำงานของที่นี่ปั่นป่วนเป็นแน่ เพราะยมทูตทุกตนมีอำนาจและหน้าที่ดูแลเขตต่าง ๆ ไม่ได้ว่างให้เจ้ามานั่งคุยด้วยดอกนะ...หวังว่าชาวฟ้าอย่างเจ้าจะเข้าใจ...” พญายมกล่าวเบา ๆ ก่อนจะจ้องหน้าเขานิ่ง ๆ

“แต่ข้าต้องตามหาเขาให้พบ...เขาเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตของข้า ได้โปรดเถอะ”

“หากสำคัญที่สุด แล้วไยจึงปล่อยมือให้จากไป...ข้าช่วยเจ้าไม่ได้ เสียใจด้วยนะเทพบุตรน้อย...” 

เสียงตะโกนของเทพหนุ่มไม่มีผลในยมโลก ทันทีที่สิ้นสุดประโยคของพญายม ประตูยมโลกก็พลันเปิดออกและเขาก็ถูกอาคมซัดกระเด็นออกมานอกปากทางเข้านรกภูมิ

...เขาคนนั้นต้องเคยอยู่ที่นี่แน่...ข้ามั่นใจ...ท่าทีของพญายมนั่นคล้ายไม่อยากให้ความช่วยเหลือ

“เจ้ารักคน ๆ นั้นอย่างนั้นรึ” เสียงใส ๆ ถามขึ้นเบา ๆ จากด้านหลัง ทำให้เทพหนุ่มเหลียวไปมอง

ร่างสตรีสูงศักดิ์ตรงหน้าอยู่ในอาภรณ์สีแดงดำยืนนิ่ง ท่าทางกอดอกคล้ายไม่อยากเอ่ยวาจา แต่บางอย่างในแววตาคล้ายจะ
สมเพชอยู่ในที

“แปลกนะ...เพราะเหมือนเจ้าจะเป็นคนที่บอกตัดพันธะกับเขาเอง แล้วไยจึงมาตามหาเขาถึงที่นี่”

สิ้นประโยคนั้นทำให้อินทร์เทพลุกพรวด ก่อนจะก้าวตรงเข้ามาหา

“ได้โปรดเถอะเทวี...ท่านรู้จักเขารึ โปรดช่วยข้าด้วย ข้าอยากพบเขา...ข้าต้องคุยกับเขาให้ได้”

“เท่าที่ข้าจำได้...คนผู้นั้นยอมสละความรักและความทรงจำเพื่อให้เจ้าได้ไปเกิดใหม่เป็นชาวฟ้า...ดูจากท่าทางของเจ้าแล้วก็น่าจะอยู่เป็นสุขสบายดี ไยต้องมาตามหาและสร้างเวรกันต่อไปอีกเล่า” สายตานั้นคล้ายเคืองขุ่นแทนคนที่กล่าวถึง

“กลับไปซะ! เขาอยู่กับเจ้าก็มีแต่จะทุกข์ทน !”

“ท่านบริภาษข้ามาเถอะ ข้าจดจำสิ่งใดในอดีตชาติไม่ได้เลย ข้ารู้เพียงว่า ข้านอนหลับไม่ได้เลยสักคืน มีแต่เงาของเขาอยู่ในความฝันข้า ข้าต้องตามหาเขาให้จงได้...ได้โปรดเถอะ”

“อย่าเลย เขาเลือกแล้วที่จะลืมเจ้า แล้วจักก้าวไปสู่ชะตาชีวิตใหม่”

ทันใดนั้นร่างน้อยในอาภรณ์สีดำแดงก็สะบัดมือทันควัน กระแสลมแห่งยมโลกหมุนคว้างรุนแรงก่อนที่อินทร์เทพจะทันรู้ตัว เทพหนุ่มก็หลุดขึ้นมาสู่โลกบนเสียแล้ว เสียงตะโกนที่ดังก้องอยู่ปลายหู

“เทพที่โง่งมเอ๋ย! กลับไปซะ! ถ้ายังมีวาสนาต่อกัน ก็จะได้พบเอง!”

.......................................................

ท่าทีหงอยเหงาและดวงตาหม่นเศร้าของเทพหนุ่มที่กำลังนั่งแกว่งขาระผิวน้ำในสระโบกขรณีที่ปรากฏในลูกแก้วนาคา ทำให้วสุธาบดีนาคราชที่กำลังกึ่งนั่งกึ่งเอนอยู่บนแท่นบรรทมถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นโบกคราเดียวแล้วภาพตรงหน้าก็หายวับไป คนสนิทใกล้ชิดสองคนมองหน้ากันก่อนจะกระถดตัวเข้ามาใกล้จอมนาคราช

“ปล่อยไว้เช่นนี้จักดีฤา พระเจ้าข้า...” สินธูถามขึ้นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ คนสนิทใกล้ชิดอย่างเขาย่อมรู้ดีว่าพระพักตร์ของจอมนาคราชยามนี้กลัดกลุ้มยิ่งนัก ดีไม่ดีอาจจะโดนหางเลขเข้าได้

“ดี” พระสุรเสียงสั้น ๆ ห้วน ๆ แต่คล้ายจะหงุดหงิดใจอยู่ในที

“ข่าวจากยมโลกแจ้งมาว่า อินทร์เทพดั้นด้นไปถึงที่นั่นและขอรื้อข้อมูลอดีตชาติของคนเอง และซ้ำยังขอฎีกาไปยังองค์บดีแห่ง
จาตุมหาราชิกาอีกด้วย” สรภูเอ่ยขึ้น

“เรื่องฎีกานั่น ข้าจะจัดการเอง จะไม่ให้ใครหน้าใครบอกกับอินทร์เทพเด็ดขาด ต่อให้เป็นองค์บดีแห่งจาตุมหาราชิกาก็ตาม !”

ดวงตานาคราชหนุ่มวาววับและเริ่มแดงฉานขึ้นทีละน้อย

“ทูลกระหม่อมจักไม่บอกอินทร์เทพ ฤาพระเจ้าข้าว่า คนผู้นั้นได้มาเกิดบน...” ยังพูดไม่ทันจบก็ต้องหยุดชะงักเพราะสายพระเนตรวาววับแดงโรจน์อย่างน่ากลัว

“ไม่ต้องบอก !” มือสองข้างตบลงบนพระแท่นบรรทมอย่างหงุดหงิดใจ

“ถ้ามันเก่ง...มันต้องมาเอง และรักกันเองได้ ข้าจักคอยดูว่า หากไร้ซึ่งความทรงจำร่วมกันแล้ว พวกมันจักรักกันได้อย่างไร คราก่อนมันก็ทำให้น้องข้าต้องเสียใจไปครั้งหนึ่งแล้ว อยากรู้นักว่าพระพรหมจะลิขิตให้มันคู่กันจริงหรือไม่”

วสุธาบดีนาคราชคำรามในลำคออย่างหงุดหงิด เพราะในอดีตชาติหนึ่งในหลายภพ อินทร์เทพเคยเกิดเป็นน้องชายร่วมสายโลหิต เป็นพี่น้องที่รักใคร่ปรองดองกันมาก และเป็นชาวบ้านหาของป่ามาขายเลี้ยงดูพ่อแม่ที่เป็นพราหมณ์ชรา แต่ในชาตินั้น เมืองอินทร์กลับต้องจบชีวิตลงในวัยเด็กเพราะถลาเข้ามาปกป้องเขาจากอสรพิษที่เลื้อยเข้ามาทำร้าย และอีกชาติหนึ่งได้มาเกิดเป็นพรานป่าเคยให้กระบอกน้ำผึ้งแก่นาคราชหนุ่มเพื่อฟื้นกำลัง

ด้วยต่างฝ่ายต่างเกื้อกูลกันมาหลายชาติ ไม่ว่าต่อมาจะเกิดในชาติใด ผู้เป็นบดีแห่งนาคราชจึงรักใคร่เอ็นดูเมืองอินทร์ หรืออินทร์เทพเป็นพิเศษมาตลอด เมื่อครั้งเกิดเป็นเมืองอินทร์แต่ตายลงเพราะออกรับแทนสีหราชและสำนักดาบก็ครั้งหนึ่งแล้ว และในครานี้ถึงกับยอมเอาดาบแทงตนเองให้ตายเพื่อรักษาชีวิตสีหราชก็นับเป็นครั้งที่สอง องค์บดีแห่งแดนปาตาลขุ่นเคืองใจนัก

น้องกู มึงบอกว่ารัก แต่กลับปกป้องไม่ได้สักครา ลองลิ้มรสชาติความเจ็บปวดเป็นไร...

แต่กลับกลายเป็นว่า อินทร์เทพเองที่เจ็บปวดและไม่อาจผลักตนเองออกจากชะตากรรมแห่งรักได้

พรจากยมโลกไม่ศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นฤา...เหตุใดอินทร์เทพยังคงจดจำบางส่วนของความทรงจำได้...

เป็นคำถามที่องค์บดีแห่งแดนปาตาลยังคิดไม่ตก....
.......................................................

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เอ็นดูเทพน้อยยย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด