[10] 50%
ลบท่านได้จนหมดใจ
หลี่เจี้ยนเฉิงส่งคนไปติดตามดูการเคลื่อนไหวและความสัมพันธ์ของติงหยุนมู่และเมิ่งอวิ๋นด้วยความสนใจ เขาเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงทนไม่ได้ที่ถูกหมางเมิน ทั้งที่ความจริงแล้วเขาเองก็ไม่เคยสนใจความรู้สึกของเมิ่งอวิ๋นมาก่อนแท้ๆ แต่ช่วงหลังมานี้หลังจากที่เมิ่งอวิ๋นถูกรถม้าของเขาชนเข้า เขาก็รู้สึกแปลกๆ กับอีกฝ่าย หัวใจเต้นรัว ไม่อาจละสายตาไปจากอีกฝ่ายได้
หรือมันจะเป็นความรู้สึกผิด?
หากเป็นเช่นนั้นการที่เขานำสมุนไพรและของมากมายไปเยี่ยมเยือนอีกฝ่าย แม้จะถูกอีกฝ่ายไร้มารยาทใส่ก็ควรจะจบลงเท่านั้นสิ แต่ทำไมเขากลับยิ่งร้อนรน ทนไม่ได้ที่เมิ่งอวิ๋นจะใกล้ชิดกับใครด้วยเล่า
หรือเขาจะรู้สึกอะไรขึ้นมาจริง ๆ
หลี่เจี้ยนเฉิงสะบัดหน้าไล่ความคิดไร้สาระออกไป มุ่งฝึกฝนร่างกายต่อไปเพื่อไม่ให้ตนเองเกิดความคิดพวกนี้ขึ้นมาอีก ถึงอย่างไรก็ทำสิ่งใดไม่ได้ จนกว่าจะได้ฟังจากปากลุกน้องของตนที่ถูกส่งออกไป
ร่างสูงตวัดดาบเป็นกระบวนท่าต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา ใช้ประโยชน์จากการที่จิตใจของตนไม่สงบใส่จิตสังหารลงไป จนทุกครั้งที่ตัวดาบถูกส่งออกไปนั้นทั้งหนักแน่นและดุดัน เกิดเป็นคลื่นกระแทกหินก้อนใหญ่ตรงหน้าแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หากไม่รู้มาก่อนคงจะคิดว่าเศษหินพวกนี้คงถูกใครมือบอนขนเข้ามาเป็นแน่
บ่าวรับใช้ที่ทำงานอยู่ในจวนไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาใกล้สักคน ทุกคนต่างก็ขยับถอยออกไปให้ห่างมากที่สุดด้วยความหวาดกลัวที่มีต่อหลี่เจี้ยนเฉิง ขนาดก้อนหินขนนาดใหญ่ที่ใช่ว่าใครจะสามารถทำลายลงได้ ยังถูกแม่ทัพผู้เป็นเจ้าของจวนทำลายลงอย่างง่ายดาย เช่นนี้แล้วชีวิตน้อย ๆ ของพวกเขาเล่า จะมิถูกทำลายลงง่ายกว่าหรือ
หลบเลี่ยงเสียดีกว่าหากมิปรารถนาความตาย
ไม่นานลมสายหนึ่งก็พัดวูบมาพร้อมกับเงาดำที่หากไม่สังเกตก็คงมองไม่เห็นความผิดปกติ แต่สำหรับหลี่เจี้ยนเฉิงที่เฝ้ารอข่าวอยู่นั้น ย่อมสังเกตเห็นมันได้อย่างแน่นอน หลี่เจี้ยนเฉิงมิได้ปรายตามองแม้แต่น้อย เพียงแค่สูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อระงับพลังของตนเองที่ปั่นป่วนจากอารมณ์ เอ่ยถามผู้มาใหม่ด้วยเสียงที่ดุดัน
“ว่าอย่างไร” อู่เหิงหนาวสันหลังวาบ ทว่าก็ยังข่มความหวั่นเกรงเอาไว้ในอก ก่อนจะเอ่ยรายงานในสิ่งที่ได้รับมอบหมาย
“เรียนคุณชาย เมื่อวานนี้คุณชายเมิ่งและคุณชายรองติง เอ่อ พวกเขา”
ท่าทางอึกอักของอู่เหิงยิ่งทำให้หลี่เจี้ยนเฉิงอยากรู้มากยิ่งกว่าเก่า หากไม่มีสิ่งใดเหตุใดจะต้องมีทีท่าอึกอักราวกับพูดออกมาไม่ได้เช่นนี้
“พูดมา!”
“คุณชายรองติงและคุณชายเมิ่งไปที่หอฮุ่ยเหรินขอรับ!”
เปรี้ยง!เพียงได้ยินคำตอบจากคนของตน หลี่เจี้ยนเฉิงก็ตวัดดาบส่งพลังไปจนพื้นที่เบื้องหน้านั้น เกิดความเสียหายขนาดใหญ่เป็นวงกว้าง แม้ว่าอู่เหิงจะชินกับพลังของหลี่เจี้ยนเฉิงแล้ว แต่เมื่อได้เห็นด้วยตาในยามนี้ ที่สีหน้าของผู้เป็นนายนั้นเต็มไปด้วยโทสะแล้ว เขาก็อยากจะหายตัวไปเสียเหลือเกิน
“หึ! นี่ขนาดลอบไปด้วยกับในสถานที่เช่นนั้นเชียวหรือ กล้านัก!” แม้จะรู้ตัวเองดีว่าไม่มีสิทธิ์ต่อว่าหรือกล่าวโทษใด ๆ ในสิ่งที่อีกฝ่ายกระทำ
หากว่ากันตามความจริงแล้ว ไม่ว่าเมิ่งอวิ๋นจะไปที่ใดก็ตามแต่ เขาก็ไม่อาจว่ากล่าว หรือโกรธเคืองอีกฝ่ายได้ เขาเป็นใครในชีวิตของเมิ่งอวิ๋นกัน? ก็แค่คนที่เคยทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงอุบัติเหตุที่เขาเองไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้น ทว่าในเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว ให้พูดเช่นไรก็เท่ากับว่าแก้ตัวทั้งนั้น
เมิ่งอวิ๋นเองก็คงไม่เชื่อ แม้แต่สกุลเมิ่งเองก็คงไม่เชื่อเช่นกัน
แต่แล้วอย่างไรเล่า เขาจะถือสิทธิ์ทั้งหมดเอาไว้ใครจะสามารถต่อว่าเขาได้
“คุณชายจะให้ข้าติดตามพวกเขาต่ออีกหรือไม่?”
“ไม่จำเป็น”
มาถึงขนาดนี้แล้วยังจะไปติดตามดูอะไรอีก ต่อให้ติดตามไปก็เพียงเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง อีกทั้งหัวใจของเขาก็ไม่อาจระงับให้มันสงบได้ หากไม่ได้ถามให้รู้ความ เห็นทีเขาคงจะต้องจมอยู่กับความโกรธทั้งคืนเป็นแน่ หลี่เจี้ยนเฉิงจึงได้แต่กำดาบในมือแน่น สูดลมหายใจเข้าปอดอย่างแรงก่อนจะเอ่ยถามออกไป
“สืบได้หรือไม่ว่าเป็นผู้ใดที่ถูกเรียก”
“เรียนคุณชาย เป็นนางอี้จีนามว่าไป๋จูขอรับ”
“แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ใด” คนถูกถามทราบในทันทีว่าคุณชายของตนหมายถึงผู้ใด
“คุณชายเมิ่งตอนนี้อยู่ที่ถนนเอ้อหลานหยินขอรับ” คิ้วเข้มของหลี่เจี้ยนเฉิงขมวดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว
“ถนนเอ้อหลานหยิน ตลาดเอ้อหลางงั้นหรือ?”
“ขอรับคุณชาย” ตลาดที่เต็มไปด้วยอาหารละลานตานั่นนะหรือ
ยามที่ได้รู้ว่าเมิ่งอวิ๋นอยู่ที่ตลาดเอ้อหลาง ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขยามได้กัดกินอาหารตรงหน้าแล้วก็พลันรู้สึกเอ็นดูขึ้นมาไม่ได้ ใบหน้าคมสันระบายยิ้ม บรรยายกาศรอบกายก็คล้ายจะเบาบางลงจนหลายคนที่อยู่รอบข้างยังสงสัย ว่าสิ่งใดที่สามารถลบล้างโทสะของแม่ทัพหลี่ลงได้
“เฝ้าดูไว้จนกว่าข้าจะไปถึง”
“ขอรับคุณชาย”
อู่เหิงหายไปทันทีที่ได้รับคำสั่ง หลี่เจี้ยนเฉิงเองก็เก็บดาบในมือก่อนจะเข้าไปในห้อง เขาจะต้องชำระร่างกายให้สะอาด จะไปพบเมิ่งอวิ๋นทั้งที่เนื้อกายเปรอะเปื้อนเช่นนี้คงดูไม่ดีนัก แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าต่อให้ไปด้วยสภาพในตอนนี้ เมิ่งอวิ๋นก็คงไม่มีสายตาจะมองเช่นเดิม แต่เขาก็ยังคงต้องรักษารูปลักษณ์ของตนเอาไว้อยู่ดี
“ใครอยู่ข้างนอก ยกน้ำเข้ามา ข้าจะล้างตัว”
เพียงไม่นานนักคำสั่งของหลี่เจี้ยนเฉิงก็ได้รับการปฏิบัติเรียบร้อย หลี่เจี้ยนเฉิงมองถังน้ำตรงหน้าก่อนจะปลดเปลื้องอาภรณ์ของตนแล้วก้าวลงไป เพียงแค่นึกถึงภาพของเมิ่งอวิ๋นในครั้งที่เขาได้พบ เขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเพราะเหตุใดจึงได้ติดตานัก ทั้งที่ก่อนนี้เขาไม่เคยคิดจะสนใจหรือแยแสเมิ่งอวิ๋นแม้แต่ครู่เดียว
ทว่าหลังจากที่อีกฝ่ายถูกรถม้าของเขาชนเข้า เขาก็รู้สึกได้ว่าสายตาที่เมิ่งอวิ๋นมองเขามันแตกต่างไปจากเก่าก่อน ในยามนี้ไร้ซึ่งความเทิดทูนและร่องรอยความหวาน มันมีเพียงความเฉยชาและโทสะเล็ก ๆ ในดวงตาคู่นั้น ทว่าเมื่อใดก็ตามที่ไม่มีตัวตนของเขาอยู่ในแววตา อีกฝ่ายกลับเป็นเหมือนเด็กชายตัวน้อยที่น่ามองยิ่งนักยามได้แย้มยิ้ม
เขาจึงได้รู้สึกสับสนในใจไม่น้อย เมิ่งอวิ๋นที่ไม่คล้ายจะเป็นเมิ่งอวิ๋น
หรือเมิ่งอวิ๋นที่พยายามทำตนให้ไม่เหมือนเดิมเพื่อเรียกสายตาจากเขากันแน่?
เขาเองก็ยังไม่อาจจะตอบคำถามที่อยู่ในใจของตนเองได้ สิ่งที่ไร้การยืนยันคงได้แต่ต้องรอเวลาพิสูจน์ แต่สิ่งที่แน่ชัดสำหรับเขาคือ เขาไม่อาจปล่อยปละเมิ่งอวิ๋นได้เช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว
หากนี่คือแผนการที่จะดึงดูดใจเขาก็นับว่าสำเร็จแล้ว
ในเมื่อทำได้สำเร็จ ก็ไม่ควรจะเล่นอีกต่อไป
หลี่เจี้ยนเฉิงไม่ชอบใจนัก หากคนที่ตนเองกำลังสนใจไปให้ความสนใจกับใครอื่น ยิ่งไม่ชอบใจหากได้รู้ว่ากระทำสิ่งใดที่ไม่ควรเช่นที่เมิ่งอวิ๋นกำลังทำอยู่! เพียงแค่ติงหยุนมู่ผู้นั้นไม่พออีกหรือไร? จึงต้องเข้าไปถึงหอฮุ่ยเหริน สถานที่เช่นนั้นที่เขาเองยังไม่เคยแม้แต่ย่างก้าวเข้าไป
คิดมาถึงตรงนี้หลี่เจี้ยนเฉิงก็ได้แต่ใช้หมัดของตนกระแทกเข้ากับถังไม้ที่ตนใช้แช่ตัวอยู่อย่างแรง ระบายความโกรธที่ไม่อาจระงับเอาไว้ได้ออกมา
เขาไม่คิดจะเสียเวลาอีกต่อไป ในตอนนี้เขาจึงรีบจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยและแต่งตัวเพื่อจะไปพบกับเมิ่งอวิ๋นให้เร็วที่สุด
อีกด้านทางเมิ่งอวิ๋นเองก็กำลังเพลิดเพลินกับอาหารมากมายที่รายล้อมอยู่รอบตัว โดยที่มีเสี่ยวหลงและเมิ่งลู่เหยาคอยเดินตามไม่ห่าง ด้วยกลัวว่าคนที่ตื่นตาตื่นใจกับสิ่งของตรงหน้าจะหายไปอีก เสี่ยวหลงวิ่งตามร่างของนายน้อยของตนจนแก้มแดงปลั่ง หายใจหอบ ทว่าก็ไม่อาจหยุดยั้งความกระหายใคร่รู้ของผู้เป็นนายได้
ส่วนเมิ่งลู่เหยานั้นต้องเดินจ่ายเงินค่าอาหารมากมายที่ถูกน้อยชายของตนฉกชิงไปมากมายจนแทบไม่มีเวลาว่างให้ได้หายใจ
ด้วยเหตุนี้เองเมิ่งลู่เหยาและเสี่ยวหลงต่างก็ได้แต่ปาดเหงื่อออกจากใบหน้าพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย หนึ่งคนสนใจเพียงความเอร็ดอร่อย อีกสองคนกลับต้องมาลำบาก ช่างดูแล้วไม่ยุติธรรมสักนิด แต่ใครจะรู้ว่าแม้กายของทั้งสองจะเหนื่อยอ่อนจนแทบหมดเรี่ยวแรงก็ตามที แต่ในหัวใจนั้นกลับปลื้มปีติและเบิกบานจนอยากจะหัวเราะ
กลิ่นหอมจากแป้งสีขาวห่อหุ้มไส้ในเอาไว้ยั่วยวนจนน้ำลายสอ เมิ่งอวิ๋นที่เห็นทั้งสองต่างเหนื่อยอ่อนคล้ายจะหมดแรงเดินเข้ามาหาตรงหน้า ส่งรอยยิ้มกว้างให้กับผู้เป็นพี่ชายและบ่าวรับใช้ ก่อนจะยื่นเจ้าก้อนแป้งสีขาวนุ่มมาตรงหน้าของทั้งสอง
“พี่ใหญ่ เสี่ยวหลง ลองชิมเจ้านี่สิ ทั้งหอม ทั้งนุ่ม อร่อยเหลือเกิน” แม้จะอยากปฏิเสธ ทว่ากลิ่นมันหอมหวนจนเสี่ยวหลงเองได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ หากไม่รับนั่นจึงถือว่าสมควร ทว่าเจ้าร่างกายไม่รักดีกลับสั่งการให้ยื่นมืออกไปรับมาโดยไม่ท้วงติงใดๆ ได้แต่ลอบมองผู้เป็นนายอีกคน เพราะเกรงว่าจะถูกลงโทษ
แต่เมิ่งลู่เหยาไม่ได้สนใจเสี่ยวหลงแม้แต่น้อย นัยน์ตาของเขาตอนนี้มันพร่างพรายไปด้วยดวงดาวนับหมื่นนับพัน เพียงได้เห็นรอยยิ้มแสนสุขของน้องชาย คนเป็นพี่มีหรือจะต้องการสิ่งใดอีก มือจึงได้เอื้อมออกไปรับก้อนแป้งสีขาวนุ่นที่ถูกเรียกว่าซาลาเปามาถือเอาไว้
“ฟู่ ฟู่ อ้าม~”
มองภาพของคนงามตรงหน้าสวาปามซาลาเปาน้อยในมือหมดด้วยการกัดเพียงสองครั้งแล้วยังไม่อาจตกตะลึงได้เท่ากับว่า แม้จะกัดคำใหญ่มากเพียงใดก็มิได้ลดทอนความน่ามองของเมิ่งอวิ๋นลงไปเลยแม้แต่น้อย
คนทั้งสามต่างนั่งลงที่ชานร้านซาลาเปา เลือกมุมที่ไม่เกะกะสายตาของใครนักเพื่อพักผ่อน ในท้องของเมิ่งอวิ๋นแม้จะเต็มไปด้วยของกินมากมาย ทว่าคล้ายกับหลุมดำที่เติมเท่าไรก็ไม่อาจเต็มได้ นั่นจึงทำให้เมิ่งอวิ๋นมีความสุขมาก ความสามารถเช่นนี้นับได้ว่าวิเศษจริง ๆ แบบนี้แล้วเขาจะกินเท่าไรก็ได้ ไม่อิ่มง่าย ๆ เช่นก่อนนี้
“เจ้าไม่เห็นต้องรีบกินเพียงนั้น เดี๋ยวก็ลวกปากเจ้ากันพอดี หากไม่อิ่มก็ไปซื้ออีกได้ พี่ไม่แย่งเจ้าหรอก”
“ข้ามิได้กลัวว่าจะถูกแย่งเสียหน่อย” เมิ่งลู่เหยากัดซาลาเปาไส้เนื้อเข้าไปคำหนึ่งก่อนจะถามต่อ
“เช่นนั้นเหตุใดต้องรีบกินเล่า”
“แหม...พี่ใหญ่ ความจริงแล้วมันก็มิได้มีอะไรมากมายเลย ข้าเพียงแค่รู้สึกว่ามันอร่อยนัก จึงอดไม่ได้ที่จะกินหมดในสองคำเท่านั้นเอง” เมิ่งลู่เหยาที่ตัวแข็งค้างไปแทบจะทำซาลาเปาตกพื้น ยังดีที่ประคับประคองสติเอาไว้ได้ทันท่วงที จึงไม่เสียของอร่อยไปให้เชื้อโรค
“เจ้าจะกินสักกี่ลูก มิใช่ว่าก่อนนี้เพิ่งกินของมากมายมาตลอดทางหรือ?” เมิ่งอวิ๋นหัวเราะทันทีที่ได้ยินคำถาม
“ก็ข้ายังไม่อิ่มนี่ พี่ใหญ่จะห้ามข้าหรือ?” พี่ชายเช่นเขาหรือจะห้ามความสุขของน้อง? ไม่มีเสียหรอก
“ห้ามอันใด? มิใช่ข้าหรือที่เดินตามจ่ายเงินค่าของพวกนั้นให้เจ้า เสี่ยวอวิ๋นเอ๋ยเสี่ยวอวิ๋น พี่เพียงกังวลว่าเจ้าจะปวดท้องเพราะกินมากไป”
“พี่ใหญ่อย่าห่วง ข้าย่อมรู้ลิมิตของข้าดี”
“ลิ ลิอะไรนะ?” ตายละสิ เขาลืมตัวใช้คำติดปากไปเสียได้ เมิ่งอวิ๋นแกล้งทำเป็นสำลักเพื่อกลบเกลื่อน ทำให้เมิ่งลู่เหยาที่รอคำอธิบายกับเสี่ยวหลงที่คิดจะค่อย ๆ ละเลียดชิมทีละคำเล็ก ๆ ไม่ให้หมดเร็วนัก ถึงกับตกใจยกใหญ่ พร้อมกับตบแผ่นหลังของน้องชายเบาๆ
“แค่ก ๆ”
50%โอ๊ยยย น้องเมิ่งลูกกกก ลิมิตไม่มีใครใช้ในยุคนั้นกันนะคะลูกกกก เดี๋ยวความก็แตกหรอก ว่าแต่น้องจะเป็นยังไงน้าา ท่านแม่ทัพรู้เรื่องเข้าแล้วด้วยสิว่าน้องแอบไปเที่ยวที่ไหนมา // ขอโทษที่มาช้านะคะ พอดีแมวเจ็บตาเลยเปิดคอมไม่ได้ แต่ก็มาต่อให้แล้วน้าาา ชื่อตอนหมายความว่ายังไง เรื่องนี้...มีเฉลยที่ครึ่งหลังจ้าเมิ่งอวิ๋น