ตอนที่ 13
ผมไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ผมถึงได้พูดมากนัก แต่ผมก็รู้ตัวว่าผมไม่ได้เมา ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นอะไร อาจจะเป็นเพราะผมเหนื่อยหน่ายกับงานสังคมไร้สาระพวกนี้เต็มทีล่ะมั้ง
มันน่าเบื่อจนทำให้ผมเกิดความคิดโง่ๆ ว่าอยากจูบครามตอนนี้ชะมัด
เจ้าหมาของผมจะเชื่องเป็นพิเศษถ้าถูกผมสัมผัส ฉะนั้นก่อนที่ครามจะก่อเรื่องผมก็ต้องหาทางทำให้ครามเลิกหวงผมสักที ที่นี่เป็นที่สาธารณะและมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะไม่ได้คุยกับคนอื่น
แต่ก็นะ วันนี้ก็มีคนสนใจผมเยอะเป็นพิเศษจริงๆ นั่นแหละ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
“ขอโทษครับ”
ท่าทีของครามอ่อนลงพอผมพูดความจริงที่ว่าผมไม่มีปัญญาปกป้องคราม ซึ่งมันก็เป็นความจริงที่ผมยอมรับและเปลี่ยนอะไรไม่ได้ด้วย
ผมเป็นอัลฟ่าก็จริงแต่ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรมากกว่านั้น ออกจะอ่อนแอซะด้วยซ้ำ ทุกวันนี้ที่ผมยังมีชีวิตอยู่ได้ก็เป็นเพราะผมดวงดีเท่านั้นแหละ
สำหรับผม ผมก็มองว่าตัวเองเป็นนักเสี่ยงโชคที่ใช้ชีวิตในโลกห่วยแตกนี้มาตลอด โชคดีบ้าง โชคร้ายบ้าง แต่ช่วงหลายปีนี้มานี้ผมกลับค่อนข้างโชคดีเป็นพิเศษ
ไม่รู้เหมือนกันว่าลูกเต๋าโชคชะตาของผมรอบนี้จะเป็นยังไง
ครามอาจจะเป็นโชคดีสุดท้ายของผมในชีวิตก็ได้
“..บอสอย่าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้สิ”
“ผมทำหน้าแบบนั้นเหรอ”
ผมหัวเราะเบาๆ แล้วจิบไวน์ที่เหลือครึ่งแก้วให้หมดในทีเดียวแบบชินบ้าง มันไม่อร่อยและไม่ถูกปากผมเลยสักนิด ซึ่งผลที่ได้คือผมรู้สึกร้อนไปทั้งหน้า มันทั้งบาดคอและทิ้งความรู้สึกหนักๆ เอาไว้จนผมต้องขมวดคิ้ว
“บอสดื่มอย่างอื่นไหมครับ หน้าบอสแดงแล้ว”
“ผมไม่เมาหรอก”
ผมตอบครามและปล่อยให้พนักงานเก็บแก้วผมไป ปฏิเสธความหวังดีของครามเพราะการดื่มไวน์ฟรีในงานนี้เป็นไม่กี่อย่างที่ช่วยให้ผมอารมณ์ดีขึ้น
[ ของประมูลชิ้นต่อไปเป็น ‘กะโหลกอัลฟ่าหมาป่าในร่างหมาป่า’ ครับ! ]
แน่นอนว่าแค่ได้ยินคำว่าอัลฟ่าหมาป่าผมก็รีบคว้ามือครามที่วางอยู่บนตักและกำแน่นทันที อาศัยความมืดแอบจับมือเจ้าหมาของผม พยายามควบคุมอารมณ์ของครามให้ได้มากที่สุดจนผมยอมปล่อยกลิ่นฟีโรโมนของตัวเองจริงๆ ออกมาด้วย
“ผมรู้คุณโกรธ คราม ถ้าผมเป็นเจ้าของงานเหมือนเพื่อนผม ผมก็พอจะปล่อยให้คุณอาละวาดได้อยู่หรอก”
ผมนั่งพิงกับพนักเก้าอี้ทอดสายตามองเจ้าหมาของผมที่นั่งจ้องเทียนที่อยู่กลางโต๊ะนิ่ง ไม่ยอมหันไปมองบนเวทีเพราะคงจะรู้ว่าตัวเองน่าจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้
เปลวเพลิงเล็กๆ ก็ยังคงแผดเผาเชือกและเนื้อเทียนหอม กลิ่นดอกไม้ที่ผมไม่รู้ว่าเป็นดอกอะไรส่งกลิ่นหอมจางๆ ท่ามกลางกลิ่นความวิปริตของพวกอัลฟ่า
“ผมรู้มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง แต่ผมมีปัญญาทำแค่นี้จริงๆ คราม”
ผมใช้นิ้วโป้งไล้นิ้วบนหลังมือครามเบาๆ ซึ่งผมก็รู้สึกได้เลยว่ามือของผมเล็กไปเลยถ้าเทียบกับเจ้าหมาป่าตัวโตของผม
“แต่ผมก็อยากจะบอกคุณว่าผมก็พยายามในแบบของผมอยู่”
วันนี้ผมพูดมากชะมัดเลย
ผมรู้สึกงุ่นง่านนิดๆ แต่ก็ยังไม่วายหยิบไวน์ที่เพิ่งมาวางบนโต๊ะมาจิบต่อ เพราะรสชาติที่ผมคุ้นเคยน่าจะช่วยให้อารมณ์ของผมมั่นคงขึ้น
“อันนี้กลิ่นของบอสเหรอครับ”
ครามหันมามองผมและเปลี่ยนเป็นกุมมือผมกลับ อุณหภูมิอุ่นร้อนจากฝ่ามือครามทำให้ผมรู้สึกร้อนขึ้นมากกว่าเดิม มันร้อนกว่าไวน์ที่ผมดื่มไปเมื่อกี้นี้อีก
“อืม”
ผมส่งเสียงในลำคอตอบ แอลกอฮอล์ที่พยายามกร่อนสติของผมมาตลอดหลายแก้วในที่สุดมันก็ทำสำเร็จ ผมรู้สึกร้อนไปทั้งหน้ารู้สึกงุ่มง่าม ทำอะไรไม่ค่อยถูกเพราะถูกเจ้าหมาของผมจ้องไม่วางตา
“อย่ามอง”
ผมพูดเสียงเบาและหันไปมองทางอื่น สติที่เริ่มละลายทำให้ผมไม่มีสมาธิมากพอที่จะสบตากับคนที่นั่งโต๊ะอื่นและพยายามผูกมิตร ผมจึงได้แต่เลือกที่จะมองไปยังเวทีที่กำลังดุเดือดกับการประมูลที่ราคานั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ
“ผมชอบกลิ่นบอส”
“...อืม”
และเพราะไม่รู้จะเอามือไปไว้ไหน ผมก็เลยเลือกที่จะหยิบไวน์ขึ้นมาจิบอีก ให้องุ่นบ่มรสโปรดของผมช่วยพาผมออกจากสถานการณ์แปลกๆ ตอนนี้
“คราม”
“ครับ”
ผมขมวดคิ้วเพราะครามทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เจ้าหมาของผมเมื่อกี้ใช้นิ้วโป้งไล้ฝ่ามือผมกลับและตอนนี้ก็ยังไม่หยุดทำ
“ถ้าอารมณ์ดีแล้วก็ปล่อยมือผมได้แล้ว”
ทำไมเสียงผมถึงแหบพร่าแบบนั้นล่ะ
ผมวางแก้วไวน์ที่ดื่มอยู่อย่างจำยอม พักสักพักเพราะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเริ่มมีอาการแปลกๆ มือของผมตอนนี้ก็รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งมือ แม้แต่สติของผมก็จวนเจียนจะทำตามใจผมอยู่รอมร่อ
ใช่ ผมยังไม่ทิ้งความคิดที่อยากจะจูบครามเลย
“…”
“..มือคุณร้อนจัง”
ผมคิดในใจแต่กลับพึมพำพูดมันออกไป ซึ่งผลที่ได้คือครามดึงมือตัวเองออกทันทีแล้วยังหันไปมองทางอื่นด้วย จนผมไม่แน่ใจว่าผมพูดอะไรผิดไปรึเปล่า
“ดื่มอย่างอื่นเถอะครับ บอสเมาแล้ว”
“ผมไม่ได้เมา”
ตอนแรกผมก็มั่นใจในความคอแข็งของตัวเองนะ แต่ตอนนี้ผมเริ่มไม่มั่นใจเท่าไหร่แล้ว ไม่รู้ว่าเพราะผมดื่มไวเกินไปหรือด้วยปัจจัยอื่น วันนี้มันถึงทำให้ผมรู้สึกเนือยและคิดช้าเป็นพิเศษ
ปกติผมไม่เคยเมาที่งาน แม้แต่ตอนนี้ผมก็ไม่ได้เมาหรอก กรึ่มนิดๆ และอยากเล่นกับหมาของตัวเองที่พกมาด้วยฆ่าเวลา ซึ่งปกติผมก็จะอยู่ถึงแค่ช่วงประมาณกลางงานก็จะขอตัวกลับก่อนเพราะช่วงหลังห้องจะเละเทะมาก พวกอัลฟ่าชอบสรรหาอะไรใหม่ๆ มาเล่นแผลงๆ กัน
ไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตอัลฟ่ามันสงบสุขเกินไปหรือยังไง ถึงต้องมาทำอะไรแบบนี้
“..มันอร่อยมากเลยเหรอครับ”
“คุณไม่ชอบเหรอ”
ผมเหลือบมองแก้วของครามก็พบว่าเปลี่ยนเป็นน้ำเปล่าแล้ว
“เปล่าครับ ผมแค่ไม่อยากดื่มที่นี่”
“ผมก็ไม่อยากหรอก แต่ที่นี่มันก็ไม่มีอะไรให้ผมทำนี่ ..แล้วผมก็ไม่ได้อยากประมูลอะไรด้วย”
ผมพูดน้ำเสียงเนิบนาบมองริมฝีปากของครามไม่วางตา รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้อยู่บ้าน ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ลังเลที่จะจูบครามอีกเพราะมันให้ความรู้สึกดีมากจนผมเริ่มจะเสพติดมันแล้ว
ผมไม่เคยถูกปฏิบัติด้วยความหลงใหลและเทิดทูนขนาดนี้มาก่อน
ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีค่ามากขนาดนั้น ถึงผมจะเคยได้รับคำชมหรือรางวัลอะไรก็ตาม แต่ของพวกนั้นมันก็เป็นแค่ผลพลอยได้จากความพยายามอย่างหนักของผม
เพราะถ้าผมทำไม่ได้ ผมก็จะไม่มีวันเอาชีวิตรอดจากชีวิตห่วยแตกนี้ได้เลย การที่อยู่ๆ ตำแหน่งเสาหลักของบ้านหักมาทับตัวผมแล้วผมต้องเป็นคนประคองมันด้วยตัวคนเดียวนั้นก็ทำผมแทบจะเป็นบ้ามาหลายปี
น่าประหลาดใจชะมัดที่ผมยังมีชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้โดยที่ไม่แตกสลายไปซะก่อน
ผมหวุดหวิดหลายครั้งจริงๆ ที่จะยอมแพ้ให้กับชีวิตห่วยแตกนี้ แต่ผมอะไรสักอย่างในใจผมก็เหนี่ยวรั้งผมไว้เสมอ อาจจะเป็นบราสีแดงตัวโปรดของผมล่ะมั้ง ไม่รู้สิ แต่ทุกครั้งที่ผมใส่มันผมก็จะรู้สึกดีเสมอเพราะมันเป็นไม่กี่อย่างที่พ่อผมไม่รู้และไม่สามารถควบคุมผมได้
การได้แอบใส่บราที่พ่อผมเกลียดนักหนานั้นทำให้ผมมีความสุขมาก ราวกับว่าผมได้รับชัยชนะเล็กๆ ท่ามกลางความพ่ายแพ้มากมายของผม
ใช่ ผมมันห่วยแตกที่ไม่กล้าพอที่จะออกจากการควบคุมของพ่อสักที แต่กลับมากล้าอะไรกับเรื่องงี่เง่าพรรค์นี้และเรื่องงี่เง่าอีกหลายอย่างที่ผมทำเพียงเพราะแค่อยากจะพยายามขัดขืนความต้องการของพ่อ
ถ้าเกิดว่าพ่อรู้ว่าผมรับครามที่เป็นอัลฟ่าหมาป่ามาดูแลก็คงจะโกรธเอามากๆ แน่
“..บอส”
เจ้าหมาของผมเรียกผมเสียงเบา เหมือนกังวลและไม่เข้าใจว่าผมจ้องทำไม
“แค่กอดของคุณมันยังทำให้ผมพอใจไม่ได้หรอก คราม”
ผมยิ้มบาง
“คุณต้องจูบผมด้วย”
“…”
พอเห็นครามกำหมัดแน่นเหมือนพยายามควบคุมอารมณ์ ผมก็อดไม่ได้ที่จะแหย่เพิ่มอีกด้วยการเอาเท้าไปเขี่ยขาครามเพื่อปั่นประสาทมากกว่าเดิม
ใส่หน้ากากแบบนี้ไม่สนุกเลย
ผมอยากเห็นชะมัดว่าครามทำสีหน้าแบบไหนอยู่
“คุณไม่อยากจูบผมเหรอ?”
ผมหยิบไวน์ขึ้นจิบอีกและรู้สึกว่ามันอร่อยเป็นพิเศษ รสหวานที่ติดปลายลิ้นหวานจนผมอยากจะให้ครามได้ชิมจากปากผมบ้าง
“เมื่อกี้คุณยังอยากเอาผมอยู่เลย”
ไม่รู้ว่าแอลกอฮอล์มันละลายยางอายผมไปด้วยรึเปล่า ถึงได้พูดประโยคนี้ตอนนี้ แต่ปฏิกิริยาของครามมันก็น่าสนใจจริงๆ นี่นา แม้แต่ตอนนี้ก็ยังนั่งตัวแข็งปล่อยให้ผมเขี่ยขาเล่น
“เลิกแกล้งผมได้แล้ว ไลม์”
ครามพูดเสียงดุใส่ผมแถมยังจงใจเรียกชื่อเล่นผมอีก
ผมหัวเราะในลำคอเพราะเจ้าหมาชอบเรียกชื่อผมในช่วงจังหวะแบบนั้นตลอด ตอนนี้ก็คงใกล้จะทนไม่ไหวแล้วมั้ง ถึงได้พยายามปรามผมขนาดนี้
ทำไมผมถึงไม่ตัดสินใจอยู่บ้านนะ
“สัญญาก่อนว่าคุณจะจูบผมด้วย”
“..ครับ สัญญาครับ จะทำอะไรก็ได้ครับ แล้วแต่บอสเลยแต่ตอนนี้บอสช่วยหยุดเถอะครับ”
ครามขอร้องผมด้วยน้ำเสียงน่าสงสารมากจนเหมือนจะร้องหงิงออกมา
“คุณห้ามผมไม่ได้หรอก”
ผมหัวเราะแล้วจัดผมที่ยุ่งนิดๆ ของตัวเองให้เรียบร้อยขึ้นและหันไปมองทางเวทีที่อยู่ๆ ก็เกิดเสียงฮือฮาขึ้นมา ซึ่งผมก็ค้นพบว่าวันนี้ช่วงเทศกาลของอัลฟ่าถูกจัดไวเป็นพิเศษ จากที่จะช่วงหลังของงานตอนนี้กลับถูกนำมาคั่นในช่วงประมูลและเทศกาลที่ถูกเลือกมาเล่นในวันนี้ก็คือการละเล่นรอบกองไฟ
“…อันนั้นไฟจริงเหรอครับ”
ครามถามผมเสียงหวั่นๆ เพราะไฟที่ลุกโหมกลางเวทีนั้นน่ากลัวมาก มันโชติช่วงจนเหมือนจะแผดเผาทุกอย่างให้มอดไหม้ ซึ่งถ้าเป็นคนทั่วไปก็คงจะไม่เล่นอะไรแผลงๆ แบบนี้หรอก
“เดี๋ยวคุณก็รู้”
ผมถอดเข็มกลัดอีกาของตัวเองออกและวางตรงหน้าครามเชิงฝาก ก่อนจะลุกขึ้นและเดินก้าวเข้าไปร่วมวงกับเทศกาลที่มีอัลฟ่าอีกหลายคนลุกขึ้นมาเข้าร่วมเช่นกัน
ผมเลียริมฝีปาก รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้จิบไวน์มากกว่านี้เพราะกว่าจะถึงเวทีผมก็เริ่มสร่างแล้ว ลมหายใจของผมสงบขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมที่จะเป็นอีกาแห่งอิสรภาพด้วยตัวเอง
[ วันนี้ผู้เข้าร่วมของเราเยอะเป็นพิเศษเลยนะครับ แต่จะมีสักกี่ท่านนะที่จะสามารถสวมชุดคลุมหนังอัลฟ่าหมาป่าได้ครบสามรอบกัน ขอเชิญท่านแรกเริ่มได้เลยครับ! ]
อัลฟ่ารายหนึ่งที่ผมไม่คุ้นหน้าเป็นคนแรกที่เข้าร่วมกับการละเล่นรอบกองไฟ ซึ่งกติกาการเล่นก็ง่ายมากแค่สวมชุดคลุมแล้ววิ่งรอบกองไฟให้ครบสามรอบคนแรกก็จะได้รางวัลพิเศษประจำวันนี้ไป
แต่แน่ล่ะ มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก
ผมพยายามไม่แสดงสีหน้าอะไรตอนที่เห็นอัลฟ่าที่อาสานั้นไม่กล้าที่จะสวมเสื้อคลุมนั่นด้วยซ้ำ เพราะฟีโรโมนที่อยู่บนหนังหมาป่านั้นเป็นของจริงและรุนแรงเอามากๆ
มันเป็นกลิ่นแบบเดียวกับที่ครามใช้กับผม แต่ของครามมันรุนแรงกว่านี้อีก มันทำให้ผมกลัวจนปากสั่น ร่างกายทุกส่วนสั่นระริกแต่ในขณะเดียวกันผมก็ตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองแทบไม่ได้
ถ้าเกิดวันนั้นครามกัดผมจนตาย ผมก็คงไม่โกรธเพราะความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนั้นเป็นความรู้สึกที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อนและมันก็ทำให้ผมรู้สึกดีมาก
[ สองรอบครึ่ง! เสียดายจังนะครับ! อีกนิดเดียวเอง ]
ผมมองอัลฟ่าคนที่ว่าที่ลงไปนอนสั่นระริกบนพื้นขยับต่อไม่ได้ ก่อนที่จะมีอัลฟ่าอีกคนหยิบเสื้อคลุมหนังหมาป่าขึ้นมาคลุมต่อแล้ววิ่งรอบกองไฟ
เสียงเฮดังขึ้นเกรียวกราวพร้อมๆ กับเสียงกลองจังหวะสนุกสนาน คราวนี้เป็นอัลฟ่าที่มีอิทธิพลคนหนึ่งเลยที่ขึ้นมาร่วม ใบหน้าของเจ้าตัวนั้นแดงก่ำจากเหล้า ที่โผล่ขึ้นมาบนเวทีได้ก็คงเพราะโดนยุให้ขึ้นมาร่วมด้วย
ผมมองตามอัลฟ่าคนนั้นที่วิ่งไปได้รอบเดียวก็โยนเสื้อคลุมทิ้งแล้วพยายามอย่างมากที่จะไม่หลุดหัวเราะออกมา ใครจะไปรู้ คนๆ นี้อาจจะเป็นลูกค้าของผมในอนาคตก็ได้ ฉะนั้นไม่ว่าใครจะเสียหน้ากับเทศกาลอันนี้ ผมก็ต้องทำหน้าสุขุมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมปิดปากหาวและยืนมองเสื้อคลุมหมาป่าเปลี่ยนมือไปมาสักพัก เฝ้ารอจังหวะและช่วงเวลาที่ดีที่สุดของตัวเองในการเข้าร่วมกับการละเล่นงี่เง่านี่ ผมไม่ได้ขึ้นมาร่วมสนุกเพื่อเอารางวัลเหมือนคนอื่น รางวัลที่ได้มันก็แค่ผลพลอยได้เท่านั้น
ที่ผมยอมมาร่วมก็เพราะว่าอยากจะ ‘แสดง’ ให้ทุกคนเห็นเท่านั้น
แสดงให้ทุกคนเห็นว่าผมนั้นคือแบรนด์มาเวอร์ริก อีกาแห่งอิสรภาพที่มีเพียงคนที่ถูกเลือกเท่านั้นที่จะได้ครอบครองสูทอันเลื่องชื่อนี้ และทำให้ทุกคนเกิดภาพจำต่อแบรนด์ของผม
ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าผมเป็นเจ้าของ ฉะนั้นสิ่งที่ผมต้องทำคือการแสดงในสิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึง ให้เหล่าลูกค้าในอนาคตของผมได้รับรู้ว่าอีกาแห่งอิสรภาพมันใช้ชีวิตยังไงกัน
เอาเข้าจริงผมก็ไม่ได้วางแผนหรอกว่าจะร่วมเทศกาลด้วย แต่พอเห็นจังหวะและโอกาสมันได้ ก็อดไม่ได้ที่จะคว้ามันไว้และยอมมาเล่นลูกเต๋าแห่งโชคชะตาอีกครั้ง
แน่นอนว่าผมก็มั่นใจในตัวเองพอตัวกับการรับมือกับกลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่า สายเลือดอัลฟ่าจิ้งจอกที่พ่อผมอยากได้นักหนานั้นช่วยผมได้มากทีเดียว เพราะมันทำให้ผมนั้นมีภูมิต้านทานต่อกลิ่นฟีโรโมนรุนแรงมากกว่าอัลฟ่าทั่วไปแต่ถ้ารุนแรงมากเกินไปเหมือนครามผมก็รับมันไม่ไหวอยู่ดี
[ ผ่านไปเจ็ดคนแล้วนะครับ! ยังไม่ได้ผู้ชนะของเราเลย หรือว่ารางวัลของเรารอบนี้จะต้องขนกลับกันนะ! ]
ผมหันไปสบตากับครามที่จ้องผมอยู่แล้วเหยียดยิ้ม
ดูให้ดี คราม
นี่แหละอีกตัวตนที่บอสของคุณสร้างขึ้นมาเพื่อมาเวอร์ริก
[ คนต่อไปที่มาร่วมสนุกเป็น— ]
ฟู่!!
ผมถอดสูทตัวนอกซึ่งชุ่มด้วยวอดก้าทั้งขวดที่ผมได้มาจากพนักงานและโยนเข้าไปในกองไฟ ซึ่งผลที่ได้คือไฟลุกขึ้นมากกว่าเดิมจนเกิดแสงสว่างวาบวูบใหญ่คล้ายกับแฟลช
ผมผุดยิ้มออกมาบางๆ ตอนที่ไฟนั้นแทบจะเผาผมไปด้วย แต่ถึงแบบนั้นความเงียบงันในห้องและความสนใจที่พุ่งเป้ามาที่ผมก็คุ้มค่าเกินกว่าที่ผมจะใส่ใจมัน
สิ่งที่งานเทศกาลนี้กำลังมองหาคือความน่าสนใจและความแปลกใหม่
และผมก็เสนอตัวที่จะเป็นสิ่งนั้น
[ คุณไลม์ครับ! ]
ผมผงกหัวรับชื่อตัวเองและโยนเนคไทของตัวเองเข้ากองไฟ ปล่อยให้ไฟนั้นโลมเลียสูทตัวโปรดและเนคไทที่ผมใส่ประจำอย่างสนิทสนมและกลืนกินมันให้เป็นเถ้าถ่านร่วมกับมันอย่างรักใคร่
ผมก้มลงไปหยิบชุดคลุมหนังอัลฟ่าหมาป่าที่มีกลิ่นฟีโรโมนก้าวร้าวรุนแรงสลัดและสวมทับตัวเองในทีเดียว ไม่ยี่หระต่อกลิ่นฟีโรโมนเฉพาะตัวของอัลฟ่าหมาป่าที่กดทับผมจนผมหายใจไม่ออก
ความร้อนของกองไฟข้างตัวนั้นทำผมร้อนจนเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว แต่การแสดงของผมยังไม่จบลง ผมเลยได้แต่กดทั้งความกลัวและความอึดอัดไม่สบายตัว เอาเข้าจริงผมร้อนจนรู้สึกเหมือนแทบจะไหม้อยู่แล้ว
ร่างกายผมไม่ค่อยถูกกับอากาศร้อน แขนของผมตอนนี้แดงไปหมดแต่สีหน้าผมที่แสดงออกขณะวิ่งก็ยังคงเป็นความสุขุมเยือกเย็น เหมือนกับแค่ที่กำลังทำอยู่นั้นเป็นแค่การวิ่งเหยาะๆ ออกกำลังกายทั่วไปเท่านั้น
มันอาจจะดูหักหน้าอัลฟ่าคนอื่นๆ ที่ไม่สภาพไม่สู้ดีนักกับงานเทศกาลนี้ แต่ที่ผมต้องการคือการเอาหน้าและแสดงให้พวกเขาเห็นว่าผมนั้นถ้าต้องการที่จะทำอะไรก็สามารถทำตามที่ต้องการได้
ใช้เวลาไม่กี่อึดใจผมก็วิ่งครบสามรอบได้อย่างสบายๆ และเดินเข้าไปหาพิธีกรที่ยืนอึ้งอยู่ด้วยรอยยิ้มบาง ซึ่งพิธีกรก็ถอยกรูดหนีจากผมจนผมต้องเลิกคิ้วงุนงง ก่อนผมจะนึกออกว่ายังไม่ได้ถอดเสื้อคลุมออกเลยถอดมันออกไปคลุมให้กับหุ่นไม้เหมือนเดิม
ผมใช้หลังมือเช็ดเหงื่อตัวเองและปลดกระดุมลงสองเม็ดระหว่างที่รอพิธีกรพูดอะไรต่อ เพราะทนความร้อนจากกองไฟข้างๆ นี้ไม่ไหวแล้ว ดีหน่อยที่วันนี้ผมตัดสินใจถูกที่ไม่ใส่บรามาด้วย ไม่งั้นอีกความลับของผมก็ถูกเปิดเผยมันซะวันนี้ด้วยตัวผมเอง
จริงๆ ผมก็ไม่ได้อายหรือรู้สึกอะไรกับการใส่บราหรอก มองว่ามันเป็นเครื่องแต่งกายอีกชิ้นด้วยซ้ำแต่สายตาของอัลฟ่าและคนทั่วไปนั้นไม่ได้มองมันเหมือนผม ยังคงมองว่ามันเป็นเครื่องแบบของเพศหญิงกับโอเมก้าอยู่เลย
มีแต่คนน่าเบื่อมากมายเต็มไปหมดจริงๆ จนบางทีผมก็อยากลืมๆ ทุกค่านิยมของสังคม ลืมความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพ่อ ลืมบาดแผล ลืมความกลัว ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วใช้ชีวิตอย่างที่ผมต้องการจริงๆ สักที
[ สำหรับการละเล่นรอบกองไฟในวันนี้ เราก็ได้ผู้ชนะของเราแล้วนะครับ! ]
ผมสางผมตัวเองที่ชุ่มเหงื่อจนปรกตาขึ้นด้วยความรำคาญ แต่รำคาญมากกว่ากับสายตาคนเกือบทั้งงานที่จับจ้องมาที่ผมจนผมเริ่มรู้สึกว่ามันชักจะมากเกินไปแล้ว
เกลียดผม? ชื่นชมผม? ชอบผม? หรืออยากทำลายผม?
แต่ไม่ว่าจะคิดยังไงกับผม ผมก็ไม่สนใจหรอก ตราบใดที่ผมยังไม่ตายก็จะได้เห็นหน้าผมต่อไปเรื่อยๆ แน่นอน
[ ซึ่งนั้นก็คือคุณไลม์นั่นเองครับ! ส่วนของรางวัลจะถูกส่งตามไปที่หลังนะครับ ]
เสียงปรบมือดังเกรียวกราวตามมารยาท ซึ่งผมก็แสดงท่าทีขอบคุณพอเป็นพิธีแล้วถึงลงจากเวทีเพื่อที่จะกลับยังโต๊ะของผมที่เจ้าหมาของผมตอนนี้น่าจะนั่งหน้าบูดเพราะผมมีกลิ่นอัลฟ่าตัวอื่นติดอีกแล้ว
บรรยากาศในงานที่ครึกครื้นเมื่อกี้ค่อยๆ กลับมาสงบอีกครั้งระหว่างที่รอให้เวทีนั้นถูกปรับสภาพให้กลับไปประมูลของต่อได้ ก็มีการแสดงสดเป็นการเต้นรำตามจุดต่างๆ ช่วยให้ผู้ร่วมเข้างานมีอะไรดูฆ่าเวลาและรู้สึกผ่อนคลาย
ผมปลดกระดุมลงอีกเม็ดตอนที่ทิ้งตัวนั่งบนโต๊ะและยังไม่รู้สึกหายร้อน
“ไลม์”
ผมปรือตามองครามแล้วจิบไวน์ที่เพิ่งถูกนำมาวางบนโต๊ะเมื่อกี้ ไวน์รสโปรดในอุณหภูมิที่ค่อนข้างเย็นก็ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวัง มันทำให้ผมรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นและพร้อมที่จะเล่นกับอัลฟ่าหมาป่าของผม
“คุณไม่ประทับใจการแสดงของผมหน่อยเหรอ”
ใบหน้าครึ่งล่างที่เรียบเฉยบ่งบอกอารมณ์ของเจ้าหมาของผมได้ดีว่าไม่พอใจเอามากๆ และหงุดหงิดผมอะไรสักอย่างซึ่งผมก็คาดเดาไม่ถูกอีกว่าครามอยากจะตำหนิอะไรผม
“..ผมงี่เง่าเอง ช่างมันเถอะ”
ครามเบือนหน้าหนีผมไม่ยอมพูดต่อจนผมหลุดยิ้มออกมา
“ไม่ชอบที่ผมมีกลิ่นอัลฟ่าตัวอื่นเหรอ”
ผมเอาเท้าออกจากรองเท้าและเอาไปเขี่ยขาครามอีก
“งั้นคืนนี้คุณก็ทำให้ผมมีแค่กลิ่นคุณสิ คราม”
ผมเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเอง
“คุณอยากเอาผมไม่ใช่เหรอ?”
“ไลม์ ผมจะไม่ไหวแล้วนะ”
ผมหัวเราะแล้วนั่งหลับตาพิงกับพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย
“ทนหน่อย คราม อีกครึ่งชั่วโมงผมก็จะพาคุณกลับ—”
ผมพูดไม่ทันจบประโยคก็หลุดเสียงแปลกๆ ออกมาเพราะเจ้าหมาของผมดันจับข้อเท้าของผมเอาไว้แน่น มือที่ร้อนพอๆ กับไฟเมื่อกี้ค่อยๆ ล้วงเข้าไปลึกขึ้นจนผมสะท้านเฮือกและเริ่มรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่นั่งใกล้ครามเกินไป
“สิบห้านาที”
ครามมองผมนิ่งและพูดเสียงเรียบ สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงทั้งๆ ที่มือร้อนผ่าวนั้นแทบจะลวกผิวผม
“..ก็ได้ ก็ได้ ปล่อยก่อน”
ผมลนลานพูดเสียงเบา
“ถ้านานกว่านั้น ผมจะพาบอสกลับเอง”
ครามยังคงจับข้อเท้าผมแน่นไม่ยอมปล่อยจนผมต้องยอมรับปาก
“โอเค สิบห้านาทีก็ได้ ปล่อยผมสักที”
ผมเขินจนรู้สึกร้อนไปทั้งหน้า รู้สึกเสียหน้านิดๆ ตอนที่ถูกเจ้าหมาของผมรุกกลับจนผมไปต่อไม่ถูก ใครจะไปรู้ล่ะว่าครามจะกล้ากับผมขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ปกติผมแหย่ยังไงก็ไม่เคยทำอะไรผมสักที
“ครับ”
ในที่สุดครามก็ยอมปล่อยมือจากข้อเท้าผม แต่ผิวของผมก็ยังจดจำสัมผัสร้อนผ่าวของครามจนผมรู้สึกไม่ค่อยเป็นตัวเองเท่าไหร่ ผมเหลือบมองอัลฟ่าหมาป่าของผมอีกฝ่ายก็ยิ้มบางให้ผมจนผมหน้าแดงกว่าเดิม
..เมา ผมต้องเมาไปแล้วแน่ๆ
หัวใจผมถึงได้เต้นแรงขนาดนี้
----------