พิมพ์หน้านี้ - Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 22 25 ก.ย 64 p.4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: Foggy Time ที่ 01-06-2020 23:21:23

หัวข้อ: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 22 25 ก.ย 64 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 01-06-2020 23:21:23
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 01-06-2020 23:25:35
บทนำ

   
บอสในสายตาของผมนั้นเป็นคนที่เพอร์เฟ็คมาตลอด
เป็นอัลฟ่าที่ดูดีจนน่าอิจฉา ทำงานเก่งจนกอบกู้บริษัทให้กลับมาเป็นผู้นำในวงการได้
บอสเป็นคนที่สมบูรณ์แบบที่สุด และวันนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ผมความคิดของผมถูกสั่นคลอน
มึงตาฝาดรึเปล่า!!!!!!!
    
ผมยืนตัวสั่นงึกๆ ระหว่างที่มองแผ่นหลังของบอสที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อจากอากาศที่ร้อนจัดในช่วงนี้
ผมไม่เคยเห็นบอสถอดสูทมาก่อน แต่วันนี้ก็คงจะเป็นวันที่ร้อนมากจริงๆ
 
บอสพาดเสื้อไว้บนไหล่ แต่สิ่งที่ผมสนใจมากกว่าคือรอยตะขอเสื้อสีแดงของบราที่เป็นรอยนูนขึ้นมาจางๆ
ไม่จริงหรอก ตาฝาด ตาฝาดแน่ๆ!!!

ผมขยี้ๆๆๆ ตาตัวเอง แต่ลืมตาขึ้นมาอีกก็เจออีก ก็เลยขยี้ใหม่อีกรอบ

"เป็นอะไร" บอสผู้สมบูรณ์แบบปรายตามองผม แววตาเย็นชาภายใต้แว่นบางเฉียบสะท้อนภาพผมที่ประหม่าจนหูกับหางโผล่ออกมาและลู่ลงจนแววตาที่บอสมองผมดูสมเพชมากกว่าเดิม

"เปล่า..ครั-" ผมกำลังจะตอบบอสแต่พอสายตาผมก็ไปหยุดตรงที่กระดุมตรงอกบอสที่บอสเหมือนจะลืมติด มันเลิกออกน้อยๆ จนทำให้เห็นข้างใน

...สีแดง บราสีแดง.. บอสใส่บราสีแดง!!!!!!!!!
    
ผมอ้าปากค้างตกใจหูตั้งหางฟู ไร้ซึ่งความน่าเกรงขามของอัลฟ่าหมาป่าสายพันธุ์โบราณที่เหลืออยู่น้อยนิดบนโลกโดยสิ้นเชิง
   

และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ผมรู้ความลับของบอส...

;w;

   
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 1 1 มิ.ย 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 01-06-2020 23:30:12
ตอนที่ 1

   
วันแรกที่ผมได้รู้จักบอส ‘ไลม์’
   
เป็นวันเดียวกับวันที่ฝนตกหนักและผมเพิ่งโดนไล่ออกจากบริษัทเก่าเพราะถูกบอสที่เป็นเบต้าไม่ชอบหน้า หาว่าผมมีกลิ่นตัวเหม็นสาบสัตว์แถมหน้ายังไม่ตรงกับโหงวเฮ้งที่บริษัทต้องการอีก ผมเลยต้องออกจากบริษัทแบบงงๆ
   
หงิง
   
ผมเผลอร้องในลำคอตอนที่อยู่ๆ ฝนก็ตกลงมาอย่างหนักจนตัวผมเปียกชุ่ม ก่อนที่ผมจะพยายามตะกายหลบเข้าไปในพุ่มไม้ของสวนสาธารณะเพื่อไม่ให้ใครเห็นตัวเองที่เศร้าจนเผลอคืนร่างสัตว์ไปแล้ว
   
แย่จัง
   
ผมซุกหน้าลงกับอุ้งเท้าตัวเองเศร้าๆ เพราะไม่รู้จะหางานใหม่ทันไหม จะฟ้องหรือเรียกร้องบริษัทเดิมก็ทำไม่ได้เนื่องจากสถานะของผมตอนนี้ก็ไม่ใช่สถานะที่จะเรียกร้องอะไรได้ เพราะทันทีที่ผมแสดงตัวผมก็จะถูกจับได้ว่าเป็นอัลฟ่าหมาป่าสายพันธุ์โบราณทันที แล้วหลังจากนั้นผมก็คงโดนรัฐบาลจับแน่ๆ

ซึ่งหลังจากโดนจับไปแล้ว พวกทางการจะทำอะไร ผมไม่รู้หรอก แต่ผมก็ไม่เคยเห็นใครที่โดนจับไปแล้วกลับมาได้สักคน แถมคนส่วนใหญ่ก็กลัวอัลฟ่าหมาป่าอย่างพวกผมด้วย ฉะนั้นต่อให้ผมโดนยิงตายก็คงไม่มีใครสนใจ
สถานการณ์ของผมตอนนี้เลยแย่สุดๆ ไปเลย

หงิง

ผมร้องออกมาอีกรอบตอนที่ฝนตกหนักกว่าเดิม น้ำตาจะไหลอยู่รอมร่อกับความใจร้ายของโลกใบนี้ เพราะผมก็เป็นแค่อัลฟ่าที่มีร่างหมาป่าด้วยเท่านั้นเอง ถึงผมจะมีพฤติกรรมแปลกๆ ไปบ้าง แต่ผมก็เชื่อว่าผมจะสามารถควบคุมตัวเองได้ดีพอ เดี๋ยวนี้ผมก็เลิกแย่งลูกบอลหมาแถวบ้านแล้วด้วย

“โดนทิ้งเหรอ”

ผมสะดุ้งสุดตัวตอนที่อยู่ๆ ก็มีใครที่ไหนไม่รู้มาเจอผมซะงั้น ผมตัวสั่นงึกๆ กลัวโดนจับได้ว่าเป็นหมาปลอม แต่ก็อดใจไม่ไหวที่จะเงยหน้าขึ้นมอง

“...”

ผมมองผู้ชายตรงหน้าตัวเองตาค้าง

สาบานได้เลยว่าเกิดมาผมไม่เคยเห็นใครดูดีเท่าคนๆ นี้มาก่อนเลย

ใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่สวมแว่นกรอบบางซึ่งเสริมให้บุคลิกดูเยือกเย็นมากขึ้น นัยน์ตาสีดำที่อยู่หลังเลนส์นั้นจ้องมองผมอยู่นั้นไม่แสดงอารมณ์อะไร ส่วนผมสีดำนั้นถูกเซ็ตอย่างเรียบร้อยเข้ากันดีกับสูทแบรนด์ดังที่กำลังใส่อยู่

“ไปอยู่ด้วยกันไหม?”

“...”

ผมเผลอกระดิกหาง ทั้งๆ ที่ยังเขายังพูดไม่จบด้วยซ้ำ

หงิง

ผมร้องในลำคอเศร้าๆ เพราะผมเป็นหมาปลอม คือถ้าเป็นหมาจริงผมไปอยู่ด้วยตั้งแต่คำแรกแล้ว

“กลัวเหรอ”

เหมือนเขาจะคิดว่าผมกลัวก็เลยขยับเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น ยอมเอาร่มคันสีดำของตัวเองบังฝนให้ผมจนตัวเองเปียกและพยายามลูบหัวผมให้ผมไว้ใจเขา

หูผมลู่ลงตอนที่ถูกมือนั้นลูบหัวผมอย่างเบามือ กลิ่นหอมจางๆ ที่มาจากน้ำหอมที่เขาฉีดผสมกับกลิ่นฟีโรโมนอัลฟ่าประจำตัวของเขาซึ่งมันก็หอมจนผมกระดิกหางมากกว่าเดิม และหลับตาพริ้มตอนที่ถูกเกาคาง

ให้ตายเถอะ ผมไม่โดนเกาคางมานานแค่ไหนแล้วนะ
   
ซึ่งระหว่างที่ผมกำลังเคลิ้ม อยู่ๆ ทุกอย่างก็หยุดลง
   
“..หมาป่า”
   
เขาพูดเสียงเบาเมื่อรู้ตัวแล้วถอยห่างจากผมทันที เพราะในโลกนี้แทบทุกคนถูกสอนเอาว่าให้ระแวงหมาป่าทุกตัวที่เจอ เหมือนกับที่แม่สอนหนูน้อยหมวกแดงให้ระวังหมาป่านั่นแหละ แต่ในประเทศนี้คนที่รับบทเป็นคุณแม่ก็คือรัฐบาลที่สอนกับลูกๆ ที่เป็นคนทั่วไปว่าพวกอัลฟ่าหมาป่านั้นไม่ใช่มนุษย์ทั่วไป แต่เป็นอสูรกายสุดอันตรายที่พร้อมจะฆ่ามนุษย์ด้วยความบ้าคลั่ง พวกมันจะกินและฉีกกระชากเนื้อมนุษย์ทั้งเป็นเพื่อความบันเทิง
   
บอกเลยว่าตอนผมฟังครั้งแรกผมอ้าปากหวอเลย เพราะสิ่งที่รุนแรงที่สุดที่ผมทำก็แค่กัดตุ๊กตาตัวโปรดขาดเท่านั้นเอง แล้วผมก็ไม่กินเนื้อคนด้วย
   
ผมช้อนตามองเขาหงอยๆ แล้วซบหน้ากับอุ้งเท้าต่อ
   
ยังไงซะ ชีวิตผมก็คงไม่มีทางดีกว่านี้แล้วล่ะ จะเรียกตำรวจหรือเทศกิจก็เชิญ ผมยอมแพ้แล้ว
   
“คุณเป็นพวกอัลฟ่าหมาป่าใช่ไหม”
   
หงิง
   
ผมร้องหงิงๆ แทนคำตอบเพราะคงไม่มีหมาป่าหลุดมาอยู่ใจกลางเมืองขนาดนี้หรอก
   
“…”
   
สุดท้ายก็เป็นผมที่ทนความเงียบต่อไปไม่ได้ ผมตะกายเข้าไปในพุ่มไม้มากกว่าเดิมจนไม่ให้เขาเห็นผมอีก อย่างน้อยๆ ถ้าเขาใจดีหน่อยก็คงทำเป็นไม่เห็นผมแล้วปล่อยให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ถ้าใจร้ายผมก็คงจะร้องไห้ตรงนี้แหละ ตายก็ตาย ผมเหนื่อยที่จะดิ้นรนแล้วเหมือนกัน
   
ที่ผ่านมาผมก็พยายามที่สุดแล้วที่จะใช้ชีวิตกลมกลืนกับคนธรรมดา แต่มันยากมากจริงๆ สำหรับผมที่ยังหลงเหลือสัญชาตญาณอยู่และต้องพยายามซ่อนมันตลอดเวลา ทั้งๆ ที่บางครั้งผมก็แค่อยากกระดิกหางตอนมีความสุขบ้างเท่านั้นเอง
   
“คุณ”
   
ผมลืมตามองเขาข้างหนึ่งและพบว่าเขายังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหนแถมยังไม่เรียกตำรวจด้วย
   
หรือเขาจะเป็นคนใจดีที่หาได้ยาก!
   
ผมกระดิกหางทันทีเพราะครั้งล่าสุดที่เจอคนใจดีคือตอนเด็กๆ ที่เป็นคุณยายในหมู่บ้านที่รู้ความลับของครอบครัวผม แต่ก็ไม่แพร่งพรายยอมให้ผมกับแม่ใช้ชีวิตต่ออย่างสงบสุข
   
“คืนร่างมนุษย์ได้ไหม”
   
หงิง
   
ผมมุดหน้าออกจากพุ่มไม้ หูลู่ลงหงอๆ เพราะอีกใจก็กลัวโดนหลอก ถ้าผมคืนร่างมนุษย์ตอนนี้ก็เท่ากับยอมรับทันทีว่าเป็นอ่ะ แต่ถ้าผมยังอยู่ในร่างนี้ก็ยังคงหาทางมั่วนิ่มเป็นหมาป่าจริงๆ ได้อยู่แหละ
   
“ไม่สิ ผมคงเสียมารยาท”
   
เขาก็ยังคงพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และมองผมอย่างเยือกเย็น
   
“คุณยังอยากกลับกับผมไหม”
   
อยากสิ ผมอยากอยู่บ้านที่ผมไม่ต้องหวาดระแวงตลอดเวลาว่าจะมีคนเข้ามาเจอว่าผมไม่ใช่คนปกติ ถ้าเลือกได้ผมอยากเกิดมาเป็นหมาจริงๆ ด้วยซ้ำ เพราะผมจะรู้สึกผ่อนคลายมากเวลาได้คืนร่างหมาป่าแล้วกลิ้งไปกลิ้งมาในห้อง
   
ผมสบตากับเขาอย่างชั่งใจ แต่ก็กลัวว่าจุดจบของผมจะเหมือนกับแม่ที่เผลอไปไว้ใจคนอื่นจนในที่สุดก็โดนทางการจับไป ส่วนผมที่ไปวิ่งเล่นข้างนอกยังไม่ทันกลับบ้านก็โดนคุณยายไล่ให้หนีไปจากที่นี่พร้อมกับเงินจำนวนหนึ่ง
   
ผมใช้ชีวิตอย่างหมาจรจัดมาตลอด ตอนนี้ผมก็อยู่ห้องเช่าห่วยๆ ที่ไม่มีใครเช่าเพราะมีข่าวลือว่ามีผีในห้อง แต่ความจนมันน่ากลัวกว่าผมก็เลยเลือกที่จะเมินเฉยกับสิ่งแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในห้อง ทั้งๆ ที่ผมกลัวแทบตายแล้วก็อยากหอนมากด้วย
   
“ผมไม่ขายใคร”
   
เขาพูดสั้นๆ ราวกับรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่
   
ซึ่งมันก็ทำให้ผมตัดสินใจได้สักที
   
ผมตะกายกลับเข้าไปในพุ่มไม้แล้วคืนร่างมนุษย์ หยิบเอาเสื้อผ้ามาใส่อย่างเงอะงะ ก่อนที่จะมุดออกมาจากหลังพุ่มไม้และกลับไปหาเขาอีกครั้ง
   
ผมก้มหน้างุดเมื่อพบว่าผมตัวใหญ่กว่าเขามาก ให้ตายเถอะ ร่างมนุษย์ของผมก็ไม่น่ารักด้วย เขาอาจจะไม่เอ็นดูผมเหมือนตอนเป็นหมาป่าก็ได้ แถมผมยังเป็นคนที่กินข้าวเยอะมากๆ อีก
   
“..ถ้าเปลี่ยนใจก็ไม่เป็นไรนะครับ ผมเข้าใจ”
   
ผมพูดหงอยๆ ซึ่งถ้าผมคืนร่างกึ่งหมาป่าได้ ตอนนี้คงจะหูลู่หางตกไม่ต่างกับตอนเป็นหมาป่าเต็มตัวสักนิด
   
“ผมไม่เปลี่ยนใจ”
   
ผมเงยหน้าสบตากับเขาทันที แต่น่าเสียดายที่เขาก็ยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์แบบเดิม นัยน์ตาสีดำราวกับน้ำหมึกนั้นสะท้อนภาพผมที่มองเขาด้วยสายตาเทิดทูน ทั้งๆ ที่รู้จักกันไม่ถึงสิบห้านาทีด้วยซ้ำ
   
“คุณต้องเก็บของไหม”
   
เขาถามผมพร้อมกับขยับเข้ามาใกล้และถือร่มให้สูงขึ้นเพื่อที่จะบังฝนให้ทั้งผมด้วย
   
“ไม่ครับ ผมไม่มีข้าวของอะไรอยู่แล้ว”
   
ผมยิ้มให้เขาและขอร่มมาถือเอง แน่นอนว่าผมไม่กางให้ตัวเองเพราะผมเล่นน้ำเป็นปกติอยู่แล้ว การตากฝนเลยเป็นอะไรที่สบายมาก
   
“ผมชื่อไลม์ หรือคุณจะเรียกผมว่าบอสเหมือนคนอื่นๆ ก็ได้”
   
เขาไม่ได้ว่าอะไรและจ้องหน้าผมนิ่งๆ
   
“ผมชื่อครามครับ แต่ปกติแม่จะเรียกผมว่าโบ้ บอสเรียกผมว่าโบ้ก็ได้นะครับ”
   
ผมยิ้มกว้างรู้สึกดีใจมากที่มีคนรับเลี้ยงตัวเองสักที ไม่สิ ผมไม่ใช่หมาซะหน่อย แต่ผมก็ดีใจมากๆๆ อยู่ดีที่บอสเอาผมไปอยู่ด้วย ผมจะตั้งใจเฝ้าบ้านอย่างสุดความสามารถเลย!
   
“โบ้?”
   
“ครับ บอส!”
   
ผมรับคำขึงขัง อาชีพล่าสุดของผมก็คือยามหรือผู้รักษาความปลอดภัยให้กับบริษัทเนี่ยแหละ ซึ่งการรับกลิ่นของผมก็เป็นเลิศมาก ผมจำกลิ่นของทุกคนได้ในบริษัทได้ แต่จะไอโขลกและสูญเสียประสาทการรับกลิ่นทุกครั้งที่บอสคนเก่าเข้ามาใกล้ เพราะบอสฉีดน้ำหอมกลิ่นอัลฟ่าแรงมากจนจมูกผมแทบพัง
   
“...”
   
ผมกระพริบตาปริบเมื่อเห็นแววตาของบอสคนใหม่ดูมีความรู้สึกขึ้นมานิดๆ ก่อนที่มันจะกลับมาไร้อารมณ์แบบเดิม
   
“..โทษที พอดีชื่อคุณเหมือนหมาที่ผมเคยเลี้ยง”
   
“ไม่เป็นไรครับ แม่ผมก็เรียกเพราะผมนิสัยเหมือนหมามากกว่าคน”
   
ผมหัวเราะ เพราะสาเหตุที่ผมได้ชื่อเล่นนี้เพิ่มก็เพราะผมทำตัวเหมือนหมาเกินไป อัลฟ่าหมาป่าตัวอื่นที่ผมเคยเจอก็เป็นหมาป่าสุดเท่ มีแต่ผมที่เป็นแกะดำที่เป็นหมาป่าที่เหมือนหมาบ้านพันธุ์โกลเด้น ที่ร้อยตัวชื่อจัมโบ้ไปแล้วเก้าสิบเก้าตัว แม่ผมเลยให้ผมเป็นโบ้ตัวที่หนึ่งร้อยไป
   
“กลับบ้านกัน”
   
“ครับ!”
   
ผมรับคำอย่างกระตือรือร้นแล้วเดินตามหลังบอสไปโดยพยายามถือร่มให้บังฝนให้บอสให้ได้มากที่สุด ถึงบอสจะเปียกไปทั้งตัวเหมือนผมแล้วก็เถอะ แต่การไม่เปียกเพิ่มก็ถือว่าเป็นเรื่องดีนี่นา
   
ผมตาโตตอนที่เห็นรถของบอสเพราะมันเป็นรถคันหรูระดับบนที่พวกอัลฟ่ารวยๆ ใช้กัน

“ของพี่ชายผม”
   
บอสบอกกับผม ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นต้องบอกผมด้วยซ้ำ ซึ่งมันก็ยิ่งทำให้ผมเทิดทูนบอสขึ้นไปอีก
   
“ให้ผมขับได้นะครับ ผมขับเป็น”
   
“คุณไม่รู้ทาง” บอสเปิดประตูข้างคนขับแล้วแตะหลังผมเบาๆ เชิงให้เข้าไป
   
แน่นอนว่าอัลฟ่าหมาป่าที่เชื่องที่สุดในโลกอย่างผมเข้าไปนั่งข้างคนขับอย่างว่าง่าย แล้วกอดร่มที่เป็นสมบัติของบอสเอาไว้แน่นเพื่อไม่ให้มันหายและใครมาแย่งไปได้
   
“หลับได้นะ ถ้าคุณง่วง”
   
“ครับ”
   
ผมรับคำแต่ก็ไม่ได้หลับเพราะกำลังให้ความสนใจกับทุกสิ่งทุกอย่างในรถที่มีลูกเล่นแพรวพราวมาก แต่บอสกลับไม่ใช้มันสักอย่าง แม้แต่เปิดเพลงบอสยังไม่ทำด้วยซ้ำ
   
“..!”
   
ผมหลับตาพริ้มเมื่อได้กลิ่นอัลฟ่าของบอสที่ฟุ้งในรถอย่างชัดเจน
   
ทั้งๆ ที่ผมก็เจออัลฟ่ามามากมาย แต่ผมกลับไม่เคยได้กลิ่นฟีโรโมนที่หอมขนาดนี้มาก่อน
   
สำหรับผมมันหอมกว่ากลิ่นของโอเมก้าตอนฮีทด้วยซ้ำ..
   
มันไม่ใช่กลิ่นที่ทำให้ผมรู้สึกบ้าคลั่ง แต่มันเป็นกลิ่นที่ทำให้ผมรู้สึกสงบและรู้สึกปลอดภัย หากแต่ขณะเดียวกับมันก็เหมือนซุกซ่อนอะไรบางอย่างให้ที่ทำให้ผมรู้สึกประหม่าแปลกๆ
   
ผมแอบมองบอสเจ้าของกลิ่นฟีโรโมนที่กำลังขับรถด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และจดจ่อกับการขับรถมาก จนคล้ายกับว่าลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเก็บลูกหมาหลงทางอย่างผมขึ้นรถมาด้วย
   
หงิง
   
“!”
   
ผมสะดุ้งเมื่อเผลอร้องหงิงๆ ออกไปตามความเคยชินเวลาที่รู้สึกผิดหวัง ซึ่งปกติผมชอบทำตอนอยู่คนเดียวไง
   
“...”
   
บอสเหลือบมองผมคล้ายกับถามว่าผมเป็นอะไร แน่นอนว่าผมค่อนข้างอายเลยก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตาบอสแล้วพยายามหาเรื่องอื่นคุย
   
“ทำไมบอสถึงยอมช่วยผม”
   
แน่นอนว่าถ้าบอสโดนจับได้ว่าให้ความช่วยเหลือพวกอัลฟ่าหมาป่าก็คงโดนโทษหนักอยู่เหมือนกัน ถึงบอสจะเป็นอัลฟ่าก็เถอะ แต่สำหรับรัฐบาลแล้วพวกอัลฟ่าหมาป่าคือตัวร้ายระดับโลก ฉะนั้นต่อให้บอสเส้นใหญ่แค่ไหนก็คงเดือดร้อนอยู่ดี
   
“..คุณดูไม่เหมือนพวกอัลฟ่าหมาป่าที่รัฐบาลบอก”
   
ผมขมวดคิ้วเพราะไม่แน่ใจว่ามันคือคำชมไหม แต่ถ้าเป็นบอสพูดก็น่าจะเป็นคำชม
   
“พวกรัฐบาลมั่วจะตาย อัลฟ่าหมาป่าอย่างพวกผมก็เหมือนมนุษย์ทั่วไปที่มีร่างหมาป่าด้วยเฉยๆ ”
   
พอพูดถึงเรื่องนี้ผมก็หน้าบูดและรู้สึกงุ่นง่านจนลืมตัวปล่อยหูกับหางตัวเองออกมา
   
“แล้วอีกอย่างนะ บอส ผมน่ะ นอกจากกัดตุ๊กตาแล้ว ผมยังไม่เคยกัดคนเลย! แม่ผมก็ด้วย ผมกับแม่ก็ใช้ชีวิตกันแบบสงบๆ กันมาตลอด ไม่เคยมีปัญหากับใคร ทำไมพวกมันถึงต้องมาจับแม่ผมไปด้วย”
   
ผมนั่งฟึดฟัดอย่างลืมตัวก่อนจะรู้สึกตัวว่าบอสไม่ใช่รัฐบาลเลยนั่งหงออีกรอบด้วยความเกรงใจ
   
“..ขอโทษที่ผมช่วยได้แค่นี้”
   
สารภาพตามตรงว่าผมไม่เคยเจออัลฟ่าแบบบอสมาก่อนเลย
   
หูผมลู่ลงหงอยๆ
   
“บอสไม่ต้องขอโทษหรอกครับ มันไม่ใช่ความผิดบอสเลย แค่บอสไม่แจ้งคนมาจับผม ผมก็ขอบคุณมากๆ แล้ว”
   
“...”
   
บอสเหลือบมองผมอีกครั้งตอนที่จอดติดไฟแดง ก่อนที่จะปลดเข็มขัดนิรภัยเอื้อมไปหยิบผ้าห่มสีดำจากเบาะหลังมาวางบนตักผม ซึ่งผ้าห่มของบอสก็ถูกพับเอาไว้อย่างเรียบร้อยมากจนผมไม่กล้าแตะจนกว่าจะได้รับอนุญาต
   
“นอนสิ”
   
“ขอบคุณครับ บอส”   
   
พอได้รับคำอนุญาตผมก็หยิบผ้าห่มมาห่มและค้นพบว่ามันนุ่มกว่าที่คิดมาก ถึงผมจะไม่ค่อยหนาวเท่าไหร่ก็เถอะแต่กลิ่นของบอสที่ติดอยู่กับผ้าห่มนั้นทำผมรู้สึกดีจนผมม้วนตัวเองใส่มันอย่างไม่ลังเล
   
ให้ตายเถอะ ผมมั่นใจมากเลยว่าถ้ามีสักวันที่ผมสนิทกับบอสมากๆ ผมคงจะไปซุกกับตัวบอสทั้งวัน
   
ผมหาวหวอดง่วงๆ แล้วยอมทำตามคำสั่งแรกของบอสแต่โดยดี
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 2 1 มิ.ย 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 01-06-2020 23:35:27
ตอนที่ 2

   
“คุณจะอาบน้ำก่อนไหม”
   
บอสถามผมหลังจากที่พาผมเข้ามาในบ้านแล้วผมตื่นเต้นกับความใหญ่โตของบ้านบอสมาก เพราะภายนอกก็ดูเหมือนเป็นบ้านสไตล์โมเดิร์นสองชั้นธรรมดา แต่พอเข้ามาแล้วข้างในบ้านกลับสวยกว่าที่ผมคิดอีก ทุกอย่างดูเรียบง่ายและเป็นระเบียบไปหมด
   
หากแต่สิ่งที่ทำให้ผมตื่นเต้นมากที่สุดคือ ‘สนามหญ้าข้างบ้าน’ ที่ใหญ่และน่าวิ่งเล่นเอามากๆ
   
ผมอยากจะคืนร่างหมาป่าแล้วไปลุยหญ้านั่นจะแย่แล้ว!
   
“คราม”
   
“ครับ!”
   
ผมเผลอขานรับอย่างกระตือรือร้นตอนที่ได้ยินชื่อตัวเอง ก่อนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าผมยังไม่ได้ตอบบอสเลย
   
“บอสอาบก่อนเถอะครับ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
   
ถึงตอนนี้ผมกับบอสจะตัวแห้งจากแอร์แล้วก็เถอะ แต่คนที่ดูป่วยง่ายกว่าผมก็ดูจะเป็นบอสอยู่ดี แถมตอนนี้จมูกของบอสก็เริ่มแดงๆ แล้วด้วย
   
บอสขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจกับคำตอบของผมสักเท่าไหร่ และหันไปมองห้องข้างๆ ที่ปิดประตูอยู่เหมือนชั่งใจว่าจะให้ผมยืมใช้ดีไหม
   
“ผมรอได้ครับ บอสไม่ต้องห่วงผมหรอก ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยป่วยจนต้องไปโรงพยาบาลเลย”
   
ถึงผมจะไม่รู้ก็เถอะว่าในห้องมีอะไร แต่ผมก็อยากทำตัวให้มีปัญหาน้อยที่สุดเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเป็นภาระของบอส และผมก็อยากจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะตอบแทนความใจดีของบอส
   
ผมน่ะ ตัดสินใจแล้วด้วยซ้ำว่าจะยอมตายเพื่อบอส!
   
“..คุณอาบห้องน้ำห้องนอนผมเถอะ เดี๋ยวผมขึ้นไปอาบข้างบน”
   
แต่สุดท้ายบอสก็เหมือนจะทนสภาพหมาตกน้ำของผมไม่ไหวเลยยอมเปิดประตูห้องเพื่อให้ผมเข้าไปใช้
   
“แต่มันเป็นห้องนอนบอสนะครับ”
   
ผมพูดด้วยความเกรงใจ ไม่กล้าเดินตามบอสเข้าไป
   
“...”
   
บอสขมวดคิ้วมองผมจนผมหงอกว่าเดิม ผมพยายามห่อไหล่ทำตัวให้เล็กลงเพราะผมเดาอารมณ์บอสไม่ออกเลย แต่บอสดูดุมาก ไม่แน่บอสอาจจะไม่ชอบที่ผมทำตัวเยอะแยะแบบนี้ก็ได้
   
หงิง
   
ผมหลับตาหยีและเผลอร้องออกมาอีกแล้ว ทั้งๆ ที่ปกติผมจะควบคุมตัวเองได้ดีกว่านี้ เอาเข้าจริงผมแทบไม่เคยเผลอทำตัวน่าสมเพชแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นด้วยซ้ำ
   
บอสเป็นคนแรกเลยที่ทำให้ผมรู้สึกเป็นแค่ลูกหมาตัวเล็กๆ ที่กลัวโดนทิ้งตลอดเวลา
   
“เป็นอะไร”
   
ผมหลับตาหยีมากกว่าเดิมตอนที่ได้กลิ่นฟีโรโมนของบอสเข้ามาใกล้
   
“..บอสโกรธผมใช่ไหมครับ”
   
“ผมไม่ได้โกรธ”
   
ผมลืมตาข้างหนึ่งขึ้นมาดูบอส ซึ่งสีหน้าบอสก็ยังดูดุเหมือนเดิมจนผมหลับตาอีกรอบ
   
“ถ้าวันไหนบอสเบื่อผมแล้วหรือรำคาญผมมากๆ บอสบอกผมได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมไปเอง หรือถ้าบอสไม่อยากให้ผมไปเอง ก็เอาผมไปปล่อยข้างทางก็ได้แต่ขอเวลาให้ผมทำใจสักวันสองวันนะครับ”
   
“คราม”
   
“..ครับ”
   
ผมรับคำหงอยๆ
   
“ลืมตาขึ้นมามองผม”
   
ให้ตายเถอะ ผมหยุดสั่นไม่ได้เลย
   
ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาสบตากับบอสตามคำสั่ง และแน่นอนสิ่งที่ผมเจอก็ยังคงเป็นสีหน้าเย็นชาของบอส จนผมอยากจะหลับตาหนีอีกครั้งให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ทำไม่ได้เพราะบอสสั่งไว้แล้ว
   
กล้าๆ หน่อย คราม! ตัวบอสนิดเดียวเอง ถ้ามึงสู้กับบอสยังไงมึงก็ชนะแน่ๆ
   
ผมพยายามปลุกกำลังใจตัวเองให้ฮึกเหิมเพื่อที่จะไม่หลับตาหนีบอสอีก
   
“...อึก”
   
ผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อกเพราะมันไม่ช่วยอะไรเลย ผมยังกลัวบอสเหมือนเดิม ยิ่งเห็นใบหน้าเยือกเย็นใกล้ๆ ผมยิ่งประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก
   
“เลิกกลัวผมสักที”
   
คำสั่งก็ง่ายนะ แต่ทำไมทำยากจัง
   
ผมสบตากับบอสแล้วพยักหน้าเบาๆ แต่ก็ยังหงอยอยู่ดี
   
“แล้วคุณก็เลิกคิดได้แล้วว่าผมจะเอาคุณไปปล่อย” บอสถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะมองผมแววตาอ่อนลง “ผมไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น”
   
“หมายความว่าบอสจะรับเลี้ยงผมจริงๆ ใช่ไหมครับ!”
   
ผมที่รู้สึกดีใจเกินไปเผลอปล่อยให้หูกับหางของตัวเองออกมาอย่างลืมตัวและกระดิกไม่หยุด
   
บอสใจดีจัง! บอสดีที่สุดเลย!
   
“…”
   
บอสเบิกตากว้างนิดๆ เหมือนจะตกใจที่อยู่ๆ ผมก็คืนร่างกึ่งหมาป่า
   
“ตอนอยู่บ้านผมขออยู่ร่างหมาป่าได้ไหมครับ บอส ผมสัญญาเลยครับว่าผมจะตั้งใจเฝ้าบ้าน ถ้ามีโจรเข้ามาปล้นบ้านบอส ผมจะกัดให้มันตายไปเลย!”
   
ผมพูดด้วยความมุ่งมั่น นี่เป็นโอกาสอันดีที่ผมจะได้แสดงศักยภาพของชาวอัลฟ่าโบราณสักที เพราะตอนทำงานเป็นยาม ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากนั่งจามกลิ่นบอสเก่าทั้งวัน แถมมันยังเป็นบริษัทธรรมดาเลยไม่ค่อยมีอะไรน่าตื่นเต้นเกิดขึ้น
   
ฉะนั้นการได้เฝ้าบ้านของบอสสำหรับผมแล้วมันคือเกียรติสูงสุดที่ผมเคยได้รับมาเลย!
   
“..แค่จับก็พอแล้ว ไม่ต้องถึงขั้นตายหรอก” บอสปรามผมเสียงเรียบก่อนจะจับหางผมที่กระดิกแรงจนโดนตัวบอส ผมหูลู่ลงหงอยๆ เพราะแม้แต่ตอนโดนบอสจับหางผมก็ยังไม่หยุดกระดิกหางอยู่ดี
   
ทำไงได้ก็ผมดีใจมากๆ นี่นา
   
“ส่วนเรื่องร่างหมาป่าของคุณ” บอสเงยหน้าสบตากับผม “ตราบใดที่อยู่ในบ้าน คุณจะอยู่ในร่างไหนก็ได้ ผมไม่สนใจ แต่ถ้าออกนอกบ้าน คุณต้องได้รับการอนุญาตจากผมก่อนเท่านั้น”
   
“แล้วสนามหญ้าข้างนอก ผมไปเล่นได้ไหมครับ”
   
ผมถามอย่างมีความหวังแต่ก็ฝันสลายทันทีตอนที่บอสทำหน้าดุกว่าเดิม
   
“ไม่ได้”
   
“ครับ บอส”
   
ถึงจะผิดหวังนิดหน่อยแต่มันก็เป็นอะไรที่เข้าใจได้ เพราะนอกบ้านนั้นมีหูตาเต็มไปหมด เกิดมีคนมาเจอตอนกลิ้งบนสนามหญ้า บอสคงจะไม่สนุกกับผมแน่
   
“เข้ามาสักที คราม”
   
บอสเอ็ดผมที่จนถึงตอนนี้ก็ยืนจ๋องอยู่หน้าห้อง
   
“..ครับ”
   
ก็กลิ่นของบอสในห้องนอนมันแรงมากนี่นา

ผมหน้าแดงด้วยความประหม่าเพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมชอบกลิ่นของบอส จนผมไม่รู้ว่าถ้าผมเข้าไปในห้องบอสแล้วจะทำใจเดินออกมาได้รึเปล่า แต่บอสสั่งให้ตามเข้าไป ผมก็ต้องเข้าไปแหละ
   
“...”
   
ห้องบอสสวยชะมัดเลย
   
ผมกระดิกหางเพราะทุกอย่างในห้องเหมือนจะบ่งบอกตัวตนทั้งหมดของบอสจนผมเหมือนได้รู้จักบอสมากขึ้น ก่อนที่ผมจะตาโตกับการตกแต่งภายในที่เป็นห้องทำงานกึ่งห้องนอน ทุกอย่างในอาณาเขตห้องนอนบอสเหมือนถูกทำขึ้นใหม่ทั้งหมด ทั้งผนัง เพดาน ฝ้า หรือแม้แต่พรมบนพื้น มันถูกทำใหม่ให้เป็นไปตามรสนิยมของบอส
   
มันทั้งหมดถูกปรับให้เป็นสไตล์อังกฤษที่เน้นสีทึบเป็นหลัก แต่ที่สำคัญที่สุดคือในห้องมีมุมหนึ่งเหมือนจะเป็นมุมทำงานของบอสที่มีทั้งหนังสือ แคตตาล็อกผ้า แถมยังมีบอร์ดด้านหลังที่มีภาพร่างชุดอะไรสักอย่างเอาไว้กับโพสอิทติดไว้ข้างๆ อย่างเป็นระเบียบ
   
“บอสจะให้ผมอาบก่อนจริงๆ เหรอครับ”
   
ผมตามบอสเข้าไปในห้องน้ำก็ตื่นเต้นอีก
   
ห้องน้ำบอสมีอ่างอาบน้ำด้วย!!!
   
อย่างน้อยๆ ถึงผมจะเล่นหญ้าหน้าบ้านไม่ได้แต่การได้แช่น้ำในอ่างดีๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากเหมือนกัน เพราะล่าสุดที่ผมได้แช่น้ำอาบอย่างมีความสุขก็สมัยเด็กๆ ที่ผมเป็นแค่ลูกหมาตัวนิดเดียว แล้วแม่ยอมให้เล่นน้ำในกะละมังซักผ้าได้
   
“ผมเปลี่ยนใจแล้ว” บอสที่นั่งอยู่ขอบอ่างและกำลังเปิดน้ำอุ่นใส่อ่างสบตากับผมด้วยสีหน้าเฉยชาเหมือนเดิม “ผมจะอาบพร้อมกับคุณ”

“!”
   
ผมตกใจจนหูตั้งหางฟูตอนที่บอสเดินมาหาผม
   
ให้ตายเถอะ ถ้าแม่มาเห็นผมสภาพนี้คงด่าผมยับแน่ๆ เพราะผมแทบไม่เหลือสภาพอัลฟ่าหมาป่าด้วยซ้ำ เหมือนเป็นแค่ลูกหมาที่บอสบังเอิญเก็บได้แล้วยังเป็นหมาที่ใจเสาะมากๆ อีก
   
“บอส บอสอาบก่อนก็ได้นะครับ”
   
ผมหน้าแดงและถอยหลังกรูดตามสัญชาตญาณ
   
จะให้ผมอาบพร้อมบอสเหรอ! มันจะน่าอายเกินไปแล้ว ผมยังไม่เคยเปลือยต่อหน้าใครมาก่อนเลย แถมยังต้องอาบพร้อมกับบอสอีก ผมไม่กล้าขนาดนั้นหรอก
   
บอสน่ะเป็นทั้งเจ้านายและผู้มีพระคุณของผม ฉะนั้นไม่ว่าจะเรื่องอะไรบอสของผมก็ต้องได้มันก่อนเสมอ
   
“คุณอาบฝักบัว คราม ผมไม่ได้จะให้คุณอาบในอ่างกับผม”
   
บอสขมวดคิ้วเหมือนไม่เข้าใจว่าผมเป็นอะไรแล้วพยักพเยิดไปตู้กระจกข้างๆ ที่เป็นห้องอาบน้ำเหมือนกัน
   
“..ครับ บอส”
   
ผมพยักหน้าหงึกหงักด้วยความโล่งใจ ถ้าผมต้องอาบน้ำในอ่างเดียวกับบอส ผมคงจะเขินตายแน่ๆ
   
“ผมจะถอดเสื้อ คุณช่วยหันหลังไปหน่อยแล้วก็ปิดตาของคุณด้วย”
   
บอสเดินมาหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ที่พาดเอาไว้บนราวและจ้องผมนิ่งๆ ซึ่งผมที่เป็นหมาที่ดีของบอสก็ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ผมรีบหันหลังให้บอสและหลับตา แต่หูหมาป่าเจ้ากรรมของผมก็ทำให้ผมได้ยินเสียงชัดกว่าปกติก็ทำให้ผมประหม่าอีกครั้ง
   
เสียงขยับสาบเสื้อดังอย่างชัดเจนในห้องที่เงียบกริบ

ผมหน้าแดงตอนที่เผลอจินตนาการตามว่าบอสกำลังทำถึงขั้นตอนไหนแล้ว ซึ่งจากเสียงนี้ก็น่าจะเป็นเสียงที่บอสกำลังปลดกระดุมและถอดสูทสีดำตัวนอกออก ก่อนจะตามด้วยเสียงรูดเนคไทยาวๆ ที่บอสน่าจะถอดออกในคราวเดียว

ผมขยับหูให้ได้ยินให้ชัดขึ้น ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ควรทำแต่ผมก็ควบคุมตัวเองไม่ให้อยากรู้ไม่ได้เลย
มันเป็นเสียงปลดกระดุมเบาๆ ที่เบาจนผมแทบจะไม่ได้ยิน มือเล็กๆ ของบอสตอนนี้น่าจะง่วนอยู่กับปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่น่าจะถูกติดจนเกือบครบทุกอัน

ผมได้ยินเสียงเสื้อถูกถอดออกอีกครั้ง และเดาว่าต่อไปคงจะไปคิวของกางเกงบอส

“..?”

ทำไมถึงเป็นเสียงแก๊กล่ะ

ผมขมวดคิ้วเพราะคิดไม่ออกว่ามันคือเสียงอะไร ปลดเข็มขัดก็ไม่ใช่ ถอดกางเกงยิ่งไม่ใช่แล้วใหญ่ แล้วมันคืออะไร หรือว่ามือบอสไปโดนอะไรสักอย่างเฉยๆ มันถึงกลายเป็นเสียงแบบนั้น

ผมยืนงงอยู่สักพักจนแทบจะลืมไปแล้วว่ากำลังทำอะไรอยู่

“ชุดคุณใส่ไว้ในตะกร้าที่ว่าง เดี๋ยวอาบเสร็จผมเอาไปซักให้”

ผมสะดุ้งตอนที่ได้ยินน้ำเสียงไร้อารมณ์ของบอส

“ผมลืมตาได้รึยังครับ”

“อืม”

พอได้รับคำอนุญาตผมก็ลืมตาและหันไปทางบอสทันที ก่อนจะหน้าแดงเขินๆ เพราะบอสตอนนี้แช่อยู่ในอ่างน้ำและหลับตาพิงกับขอบอ่างอย่างผ่อนคลาย ซึ่งปริมาณน้ำที่ไม่มากพอที่จะปกปิดร่างกายบอสทั้งหมดนั้นทำให้ผมเห็นครึ่งบนของบอสอย่างชัดเจน

“...”

ผมเบือนหน้าหนีทันทีเพราะรู้ว่าถ้ามองนานกว่านี้ผมคงจะทนไม่ไหว

บอสโคตรเซ็กซี่เลย..

ผมไม่รู้ว่าบอสรู้ตัวไหม แต่เชื่อผมเถอะว่าถ้าเป็นอัลฟ่าคนอื่นก็คงจะพุ่งขย้ำบอสไปแล้ว ถึงบอสจะไม่ใช่โอเมก้าก็ตาม
ผมรีบถอดเสื้อผ้าออกมาใส่ตะกร้าที่ว่างข้างๆ ตระกร้าของบอส ซึ่งพอผมจะโยนใส่แบบลวกๆ ผมก็รู้สึกว่าทำไม่ได้เพราะในตระกร้าบอสนั้นทั้งกางเกงและเสื้อเชิ้ตถูกพับเอาไว้อย่างเรียบร้อยราวกับว่ามันไม่เคยถูกใส่มาก่อน

ให้ตายเถอะ

ผมถอนหายใจแล้วพับเสื้อกางเกงแบบที่บอสทำและเหลือไว้แต่กางเกงบ๊อกเซอร์เพื่อที่จะอาบน้ำ เพราะผมหน้าบางเกินกว่าจะถอดทั้งหมดต่อหน้าบอส

ซ่า..

ผมปล่อยให้น้ำเย็นเฉียบราดหัวตัวเองเพื่อที่จะละลายภาพบอสออกไปจากหัว

ผมเป็นหมาของบอส ห้ามคิดอะไรกับบอส บอสเก็บผมมาเลี้ยงเพื่อที่จะให้ผมเฝ้าบ้านและเป็นเพื่อนแก้เหงา ผมจะคิดกับบอสมากกว่านั้นตั้งแต่วันแรกไม่ได้!!

ผมพยายามสะกดจิตตัวเองเหมือนที่ชอบทำตอนเด็กๆ แต่ก็ไม่ได้ผลสักนิด ในหัวผมยังเห็นผิวขาวจัดของบอสที่แดงระเรื่อจากความร้อนอย่างชัดเจน ลักษณะกล้ามเนื้อที่เหมือนถูกพระเจ้าปั้นสรรอย่างตั้งใจ และสิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือตุ่มไตเล็กๆ สีชมพูนั่น

หงิง

ผมลูบหน้าตัวเองและเลียเขี้ยวตัวเองอย่างอดสู

ผมอยากลองชิมมันเป็นบ้าเลย

“หาสบู่ไม่เจอเหรอ”

บอสถามผมทั้งๆ ที่ไม่ลืมตาด้วยซ้ำ เอาเข้าจริงถ้าบอสไม่พูดขึ้นมาผมก็คงคิดว่าบอสหลับไปแล้ว

“ครับ มันมีสองอัน ผมไม่รู้ว่าบอสอนุญาตให้ผมใช้อันไหนบ้าง”

แย่แล้ว ผมเผลอโกหกบอสไปแล้ว

ผมหูลู่ลงหงอๆ เพราะไม่อยากโกหกบอส แต่จะให้พูดความจริงว่าผมร้องเพราะอะไร ผมคงได้กลายเป็นหมาจรจัดตั้งแต่วันแรกที่ถูกเก็บมาเลี้ยงแน่ๆ

“จะใช้อะไรก็ใช้เถอะ ผมไม่ว่าหรอก”

“ครับ”

ผมปิดน้ำแล้วกดสบู่มาสระผมและถูตัวโดยตั้งหน้าตั้งตาอาบเพื่อที่จะไม่หันไปมองบอสอีก ใช้เวลาไม่นานตัวผมก็อาบน้ำเสร็จและออกมาจากตู้กระจก

“คราม”

“...ครับ”

ผมที่ยังไม่ทันหยิบผ้าเช็ดตัวหันไปมองบอสและผมก็ต้องหน้าแดงอีกรอบ เพราะบอสขยับมานั่งเท้าคางเพื่อที่จะมองผมตรงๆ

“มาหาผมหน่อย”

“..ครับ”

ผมเดินเข้าไปบอสแล้วก้มหน้างุดด้วยความอับอาย เพราะผมรู้ตัวว่าร่างกายผมไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่ นอกจากจะตัวใหญ่เทอะทะแล้วยังมีรอยแผลเป็นน่ากลัวตรงอกที่ผมได้มาตอนตกรั้วหน้าบ้าน ซึ่งแผลมันก็ค่อนข้างน่ากลัวจนผมไม่อยากให้บอสเห็น

“ยืนหลังตรงๆ แล้วมองหน้าผม”

หงิง

ผมร้องออกมาแต่บอสก็ไม่สนใจ สำรวจร่างกายผมด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่นัยน์ตาสีดำนั่นสนใจร่างกายผมอย่างเห็นได้ชัด จนผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นสินค้าอะไรสักอย่างที่กำลังถูกตรวจคุณภาพสินค้า

“คุณสูงเท่าไหร่”

“ที่วัดล่าสุดก็ 190 ครับ”

ชั่วขณะหนึ่งผมเหมือนจะเห็นบอสยิ้มแต่พอผมกระพริบตารอยยิ้มนั้นก็หายไป

“หันหลัง”

ถึงจะงงๆ นิดหน่อยแต่ผมก็ยอมหันหลังตามคำสั่ง

“..ไหล่คุณกว้างมาก”
   
บอสพูดเสียงพึมพำเหมือนจะพูดกับตัวเองมากกว่าคุยกับผม
   
“หันหน้า”
   
“...”
   
ผมหน้าแดงก่ำตอนที่บอสมองช่วงล่างของผมนิ่งแล้วเหมือนจะคิดคำนวณอะไรสักอย่างในหัว จนผมอยากเอามือปิดให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็กลัวโดนบอสดุเลยได้ปล่อยเลยตามเลย
   
แน่นอนเพื่อความยุติธรรมผมเลยมองบอสบ้าง
   
“..อึก”
   
ผมหลับตาหยี ไม่กล้าดูต่อเพราะกลัวว่าไอ้ที่บอสจ้องอยู่มันจะตื่นขึ้นมา
   
ไม่ยุติธรรมเลย! ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด ทำไมบอสถึงได้ดูดีขนาดนี้ล่ะ ยิ่งดูใกล้ๆ ผมยิ่งอดใจแทบไม่ไหว ไหปลาร้านั่นกับคอขาวๆ นั่นน่าฝังเขี้ยวเป็นบ้าเลย แถมกลิ่นฟีโรโมนของบอสตอนนี้ก็แรงมากๆ ด้วย
   
“..หงิง”
   
ผมร้องออกมาตอนที่รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเมาและเสียการควบคุมตัวเอง
   
กลิ่นของบอสที่เหมือนซุกซ่อนอะไรเอาไว้ตอนนี้มันหายไปแล้ว เหลือแต่กลิ่นหอมที่ทำให้ผมรู้สึกสงบและอยากเข้าไปใกล้มากกว่านี้อีก
   
ผมขยับตัวเข้าหาบอสโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
   
“คราม”
   
ผมสะดุ้งเฮือกเพิ่งได้สติตอนที่บอสยกมือขึ้นมาปิดปากผมไว้ และผมถึงรู้ตัวว่าตัวเองได้โน้มหน้าลงไปหาบอสเพื่อที่จะจูบ
   
“เด็กดี” บอสปล่อยมือจากปากผมแล้วลูบหัวผมด้วยรอยยิ้มบาง “ผมจะตัดสูทให้คุณ”
   
“...”
   
ผมหน้าแดงแต่ก็ไม่ขยับหนีเพราะอยากให้บอสลูบหัวผมต่อไปเรื่อยๆ
   
ให้ตายเถอะ
   
ผมว่าผมเจออัลฟ่าประเภทที่หายากพอๆ กับผมแล้วล่ะ
   

หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 2 1 มิ.ย 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 01-06-2020 23:42:35
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 2 1 มิ.ย 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 02-06-2020 12:43:37
งุ้ยยย น่าติดตามมากๆเลยค่ะ อัลฟ่าหมาป่าตัวโตที่คราง หงิงๆ น่าเอ็นดูววว
ความลับของบอสคืออะไร อัลฟ่ากลายพันธ์ไหม?
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 2 1 มิ.ย 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 02-06-2020 12:47:15
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 2 1 มิ.ย 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 02-06-2020 14:13:53
อัลฟ่าตัวโตน่ารัก
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 2 1 มิ.ย 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 02-06-2020 14:15:16
น่าสนุก
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 2 1 มิ.ย 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 02-06-2020 14:45:54
 :pig2: :pig2:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 2 1 มิ.ย 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 03-06-2020 01:18:47
น่าเอ็นดูๆ
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 3 20 มิ.ย 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 20-06-2020 23:29:17
ตอนที่ 3
   
   
หลังจากที่ผมรู้จักบอสไลม์มาได้เกือบยี่สิบชั่วโมง
   
ผมก็ได้ค้นพบความจริงเกี่ยวกับบอสอีกอย่าง
   
Rrrrrrr
   
ผมสะดุ้งอีกรอบจนเกือบจะร้องเอ๋งออกมา เพราะผมเพิ่งปิดนาฬิกาปลุกบอสไปสองอัน นี่ยังจะมีอันที่สามอีก ซึ่งผมก็รีบวิ่งไปปิดเนื่องจากเสียงมันทำลายแก้วหูและโสทประสาทผมมาก
   
แต่ให้ตายเถอะ ขนาดเสียงนาฬิกาปลุกดังลั่นขนาดนี้ บอสก็ยังหลับและหายใจอย่างสม่ำเสมอราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผิดกับผมที่ตกใจจนกลิ้งตกจากโซฟา
   
ผมในร่างกึ่งหมาป่าหูลู่ลงมองบอสหงอยๆ เพราะไม่รู้ว่าวันอาทิตย์บอสทำงานไหม แต่ผมก็ปิดเสียงนาฬิกาปลุกไปแล้วอ่ะ ถ้าบอสจะตื่นไปทำงานไม่ทันก็คงจะเป็นความผิดผมแน่ๆ
   
ไม่ได้! ผมจะทำให้เจ้านายเสียหน้าที่การงานไม่ได้ แค่บอสให้ผมนอนในห้องด้วยก็ถือว่าเป็นความเมตตาของบอสมากพอแล้ว
   
ฉะนั้นหน้าที่แรกของผมในวันนี้ก็คือการปลุกบอส!
   
ผมคิดอย่างฮึกเหิมแล้วไปหยุดยืนข้างๆ บอสที่กำลังหลับสนิท
   
“..บอสครับ”
   
ทำไมเสียงมึงเบาขนาดนี้ล่ะ คราม!
   
ผมตำหนิตัวเองแต่ก็ไม่กล้าเรียกบอสเสียงดังอยู่ดีเพราะบอสดูหลับสบายมาก
   
“บอส”
   
ผมพูดเสียงดังขึ้นอีกแต่ก็ไม่ได้ผล จนผมต้องเอื้อมมือไปเขย่าตัวบอส
   
“ตื่นเถอะครับ บอส”
   
ผมพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ เพราะขนาดจะโดนตัวบอสผมยังไม่กล้าเลยอ่ะ บอสดูสูงส่งมากจนผมไม่กล้าแตะต้องด้วยซ้ำ
   
หงิง
   
ผมร้องออกมาหงอยๆ ก่อนจะตัดสินใจคืนร่างหมาป่าเต็มตัวเพื่อจะปลุกบอส แน่นอนว่าผมคืนร่างนี้เพราะผมรู้สึกว่ามันทำให้ผมรู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น และโชคดีที่ร่างหมาป่าผมตัวค่อนข้างใหญ่ ผมเลยสามารถยืนสองขาข้างๆ เตียงได้ ผมคาบเอาผ้าห่มที่บอสห่มจนถึงคอออกแล้วค่อยๆ เอาหัวไถมือบอสที่วางอยู่บนเตียง
   
ตัวบอสหอมชะมัดเลย
   
ผมพยายามทำให้บอสเอามือมาไว้บนหัวเพราะผมอยากให้บอสลูบหัวผมอีก แต่ไถไปไถมาอยู่สักพัก บอสก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรอยู่ดี
   
บอสขี้เซาจัง
   
ผมมองบอสหงอยๆ แล้วตัดสินใจเลียมือบอส
   
แผล่บ..
   
“...”
   
ทำไมบอสยังไม่ตื่นอีกล่ะ!
   
จะให้ผมไปนั่งทับตัวบอสแบบพวกแมวก็ไม่ได้ เห่าก็คงไม่ได้ผลอีกเพราะขนาดเสียงนาฬิกาปลุกดังขนาดนั้นยังปลุกบอสไม่ได้เลย
   
ทำยังไงดี นี่ก็ผ่านมาเกือบห้านาทีแล้วอ่ะ ขืนช้ากว่านี้บอสคงจะไปทำงานสายแน่ๆ
   
ขอโทษนะครับบอส
   
ผมผงกหัวใส่บอสปลกๆ แล้ววิ่งไปเปิดผ้าม่านในคราวเดียวจนทำให้ห้องมืดๆ สว่างในพริบตา ถ้าบอสเป็นแวมไพร์คงจะระเหยกลายเป็นไอไปแล้ว
   
“..อือ”
   
ผมกระดิกหางทันทีตอนที่เห็นบอสขมวดคิ้วรำคาญแสงที่แยงตา
   
บอสจะตื่นแล้วสินะ!
   
ผมคิดด้วยความดีอกดีใจจนเผลอกระโดดไปมา แต่สุดท้ายความดีใจของผมก็ต้องจบสิ้นเพราะบอสเอื้อมมือไปหยิบหมอนอีกใบมาปิดหน้าตัวเองแล้วหลับต่อ
   
ผมเหลือบมองนาฬิกาที่แขวนผนังอีกรอบและพบว่ามันจะสิบนาทีแล้ว ผมเลยกลับมาใช้วิธีการปกติที่น่าจะเห็นผลไวที่สุด
   
ผมเดินไปเกาะข้างเตียงอีกรอบแล้วเอาอุ้งเท้าเขย่าตัวบอส
   
หงิงๆๆ
   
ผมร้องไปเขย่าไปเพราะลึกๆ แล้วผมก็แอบรู้สึกเหมือนทำบาปอันใหญ่หลวง ผมกำลังขัดขวางการนอนของของบอส เอาเข้าจริงถ้ามีคนบอกว่าบอสเป็นเทวดาผมก็เชื่อด้วยซ้ำ
   
เพราะขนาดตอนนอนบอสยังดูดีมากๆ เลย!
   
“..อืม”
   
ผมไม่รู้ว่าบอสหลับแบบสบายๆ ได้ไงทั้งๆ ที่หมอนวางอยู่บนหน้าแถมยังโดนผมเขย่าจนตัวโยนขนาดนี้
   
ให้ตายเถอะ บอสชักจะหลับลึกเกินไปแล้ว
   
ผมเริ่มจนปัญญา นี่ถ้าไม่ติดว่าอกบอสยังขยับขึ้นลงอยู่ ผมคงคิดว่าบอสตายไปแล้ว
   
“ตื่นเถอะครับ”
   
สุดท้ายผมก็คืนร่างมนุษย์ใส่เสื้อผ้าของตัวเองรีบๆ แล้วถึงดึงหมอนบอสออก ผมมองเจ้าของบ้านที่ยังหลับอยู่อย่างหนักใจ เพราะคิดวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ออก จะให้ผมสาดน้ำเย็นใส่บอสเหรอ นั่นจะลามปามเกินไปแล้ว ผมเป็นแค่ลูกหมาที่บอสเก็บมาเลี้ยง ผมไม่กล้าขนาดนั้นหรอก
   
“บอสครับ”
   
ผมพยายามเรียกบอสซ้ำๆ แต่บอสก็ไม่ตื่นอยู่ดี และในช่วงเวลาที่ผมรู้สึกจนตรอกที่สุด หางตาของผมก็บังเอิญไปเห็นรีโมทแอร์ของบอสเข้า
   
“ขอโทษนะครับ”
   
พอขอโทษเสร็จผมก็ปิดแอร์ในห้องทันที ทำให้ห้องเย็นเฉียบของบอสค่อยๆ ร้อนขึ้น ซึ่งผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าบอสจะต้องตื่นแน่ๆ เพราะบอสน่าจะเป็นคนขี้ร้อน อุณหภูมิห้องเมื่อกี้ที่บอสตั้งไว้ก็เกือบยี่สิบต้นๆ จนผมแทบจะแข็งตายในห้อง
   
“...!”
   
ไม่ถึงหนึ่งนาทีบอสก็ดูทรมานขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด บอสขมวดคิ้วมากกว่าเดิมและถีบผ้าห่มส่วนที่ยังคลุมตัวเองออก แต่ถึงอย่างนั้นบอสก็ยังไม่ตื่นอยู่ดี
   
“..บอส”
   
ผมเรียกบอสเสียงเบาหน้าแดง
   
กลิ่นฟีโรโมนของบอสรุนแรงขึ้นมาอีกแล้ว..
   
แน่นอนว่าถ้าเป็นอัลฟ่าปกติจะปล่อยกลิ่นฟีโรโมนที่ดึงดูดอัลฟ่าด้วยกันแบบนี้ไม่ได้ มีแต่จะปล่อยกลิ่นออกมาข่มกันเพื่อซัดกันเท่านั้นแหละ บางครั้งผมยังต้องปล่อยฟีโรโมนเพื่อข่มพวกอัลฟ่าที่มาหาเรื่องผมเลย
   
แต่เพราะบอสเป็นพวกอัลฟ่าพิเศษ บอสเลยสามารถควบคุมกลิ่นฟีโรโมนของตัวเองได้ ซึ่งกลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่าพิเศษก็จะเป็นไปตามที่เจ้าตัวต้องการ เป็นอัลฟ่าที่ทางการให้อยู่ในสภาวะเฝ้าระวังด้วยซ้ำเพราะสามารถใช้ฟีโรโมนควบคุมคนอื่นได้ จนบางครั้งพวกรัฐบาลก็เรียกอัลฟ่าแบบบอสว่าอัลฟ่าจิ้งจอก
   
เพราะอัลฟ่าพิเศษส่วนใหญ่นั้นเป็นพวกเจ้าเล่ห์และมักจะใช้ประโยชน์จากความสามารถตัวเองในการปั่นหัวคนใหญ่คนโตในรัฐบาลบ่อยๆ แม้แต่กลิ่นฟีโรโมนของพวกโอเมก้าตอนฮีทยังไม่สามารถทำอะไรอัลฟ่าพวกนี้ได้ด้วยซ้ำ
   
แต่บอสของผมก็ไม่ใช่อัลฟ่าพิเศษประเภทนั้นหรอก
   
“..คุณปิดแอร์เหรอ”
   
บอสขยับตัวขึ้นมานั่งแล้วถามผมเสียงเรียบ ใบหน้าน่ามองนั้นจ้องผมนิ่งดุๆ จนผมหงอลงกว่าเดิม
   
“ครับ”
   
“ปิดทำไม”
   
บอสดูหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัดแล้วเอื้อมมือไปหยิบรีโมทแอร์เพื่อเปิดมันใหม่อีกครั้ง
   
“ผมจะปลุกบอสครับ ผมปลุกปกติแล้วบอสไม่ยอมตื่น”
   
บอสเหลือบมองนาฬิกาปลุกข้างเตียงแล้วถอนหายใจเบาๆ “โทษที ผมเป็นคนตื่นยาก”
   
“ครับ”
   
นาฬิกาปลุกสามอันยังเอาบอสไม่อยู่เลย
   
บอสพูดจบก็หาวอีกรอบแล้วขยับตัวไปหยิบแว่น ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าแค่การหยิบแว่นทำไมถึงทำให้บอสดูหงุดหงิดนัก คิ้วของบอสขมวดกว่าเดิมจนผมแทบจะไม่กล้าหายใจแรงๆ
   
“คราม”
   
“ครับ”
   
ผมรับคำกลัวๆ
   
“หยิบแว่นให้ผมหน่อย ผมหาไม่เจอ”
   
“...”
   
ผมกระพริบตาปริบเพราะแว่นกรอบบางของบอสก็วางอยู่ใกล้ๆ มือบอส แต่สีของกรอบแว่นที่กลมกลืนไปกับโต๊ะก็ทำให้บอสหามันไม่เจอสักที
   
“บอสสายตาสั้นเหรอครับ”
   
สุดท้ายผมก็อดถามบอสไม่ได้ เพราะพอบอสใส่แว่นปุ๊ปก็เลิกขมวดคิ้ว
   
“เจ็ดร้อยห้าสิบ”
   
“...มันสั้นขนาดไหนเหรอครับ”
   
ในชีวิตที่ผ่านมาผมรู้จักคนที่สายตาสั้นที่สุดก็สามร้อยเอง แล้วผมก็ไม่รู้ด้วยว่าโลกของคนสายตาสั้นเป็นแบบไหน แต่ผมว่าบอสใส่แว่นแล้วน่ารักจัง
   
“ขนาดที่ผมถอดแว่นแล้วไม่เห็นหน้าคุณ”
   
“...”
   
นั่นมันสั้นมากเลยนะ แต่ถ้าผมสายตาสั้นแบบบอสก็คงไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ การรับกลิ่นของผมยังดีอยู่ ต่อให้ผมหลับตาแล้วบอสยืนอยู่ปากซอย ผมก็ยังรู้ว่าบอสคือบอสของผม
   
“ปกติวันอาทิตย์ผมไม่ทำงาน วันหลังถ้าผมลืมปิดนาฬิกาปลุกอีกก็ฝากคุณปิดด้วย”
   
บอสหาวอีกรอบง่วงๆ เพราะเมื่อคืนบอสนอนดึกมาก ง่วนอยู่กับการออกแบบชุดอะไรสักอย่างที่ผมฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจ
   
“คราม”
   
“ครับ”
   
ผมรับคำเกร็งๆ ตอนที่ถูกบอสจ้องนิ่งๆ เหมือนคาดหวังอะไรสักอย่างจากผม
   
“ผมอยากเจอโบ้”
   
“…บอสหมายถึงร่างหมาป่าของผมใช่ไหมครับ”
   
ผมพูดอย่างประหม่าเพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยที่มีคนอยากให้ผมอยู่ในร่างที่ผมภาคภูมิใจที่สุด แต่จะว่าไป บอสเห็นผมเป็นหมาจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย
   
บอสพยักหน้าเบาๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่แววตาของบอสกลับไม่เป็นแบบนั้นสักนิด
   
“ครับ บอส”
   
ผมคืนร่างหมาป่าด้วยความเต็มใจและนั่งมองบอสตาแป๋ว
   
“ผมขอกอดคุณได้ไหม”
   
“…”
   
ผมไม่รอให้บอสสั่งด้วยซ้ำ ผมขยับตัวเข้าไปหาบอสและปล่อยให้บอสกอดผมจนตัวบอสจมตัวบอสจมไปกับตัวของผม
   
รู้สึกดีจัง..
   
ผมกระดิกหางไม่หยุด ลึกๆ ผมก็แอบอยากให้บอสกอดผมตลอดไปเลย
   
“ต่อไปนี้หน้าที่ของคุณคือปลุกผมทุกเช้าด้วยร่างนี้”
   
บอสพูดทั้งๆ ที่ยังกอดผมอยู่ เสียงเลยออกมาอู้อี้นิดๆ
   
แน่นอนว่าผมอยู่ในร่างหมาป่าเลยตอบอะไรไม่ได้ ทำได้แค่รับรู้คำสั่งของบอส
   
“…?”
   
ผมหูลู่ลงตอนที่สัมผัสได้ถึงตัวบอสที่สั่นนิดๆ แถมขนตรงที่บอสเอาหน้าซุกก็ยังรู้สึกเปียกๆ อีก
   
บอสร้องไห้เหรอ..
   
หางผมหยุดกระดิกทันที ผมนั่งตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก จะเลียบอสก็ไม่กล้า จะพูดปลอบใจก็ไม่ได้ใหญ่ ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากนั่งให้บอสกอด
   
ให้ตายสิ ผมว่าบอสต้องรักโบ้ตัวเก่ามากแน่ๆ เลยอ่ะ แล้วโบ้ตัวใหม่อย่างผมจะแทนที่โบ้ตัวเก่าของบอสได้เหรอ แต่ผมก็มั่นใจนะว่าผมเป็นเด็กดีมาก
   
ผมน่ะ ถึงจะเป็นแค่อัลฟ่าหมาป่ากากๆ แต่ผมว่าผมก็สามารถทำให้บอสมีความสุขได้เหมือนกัน!
   
ผมคิดอย่างฮึกเหิมแล้วเอาหัวไถตัวบอสเบาๆ
   
“..ผมแค่คิดอะไรนิดหน่อย ไม่ต้องห่วงผมหรอก คราม”
   
กอดอยู่สักพักใหญ่กว่าบอสจะยอมปล่อยผม นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนที่ซ่อนอยู่หลังเลนส์กลับมาเฉยชาไร้อารมณ์อีกครั้ง ซึ่งก็เป็นอีกครั้งที่บอสซ่อนความรู้สึกตัวเองจากผม
   
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ก็ผมกับบอสยังรู้จักกันได้ไม่ถึงวันเลย ฉะนั้นต่อไปนี้ผมก็ต้องตั้งใจพิสูจน์ตัวเองกับบอสมากๆ เพื่อที่บอสจะได้ไว้ใจผม
   
ผมน่ะ ยินดีให้บอสกอดทั้งคืนเลยถ้าบอสต้องการ
   
“ตอนนี้คุณจะทำอะไรก็ทำเถอะ ผมกะจะนอนต่ออีกสักหน่อย”
   
บอสขยี้ตาตัวเองง่วงๆ แล้วหาวอีก
   
“ถ้าคุณจะอาบน้ำก็อาบได้เลย ผมเตรียมชุดให้คุณในห้องน้ำแล้ว”
   
บอสน่ารักจัง
   
ผมกระดิกหางเพราะแม้แต่ท่าทางตอนบอสหาวดูดีมาก แล้วผมก็เพิ่งสังเกตว่าบอสตัวเล็กกว่าที่ผมคิดเยอะเลย ถ้าผมกระโดดทับบอสเมื่อกี้บอสก็คงแบน
   
“คราม?”
   
โฮ่ง!
   
ผมเห่ารับแต่ก็ไม่ได้ขยับไปไหนเพราะผมยังอยากได้อะไรจากบอสอยู่
   
“?”
   
บอสมองผมงงๆ
   
หงิง
   
ผมช้อนตามองบอส พยายามทำหน้าให้น่าสงสารที่สุด
   
ชมผมหน่อยสิ ลูบหัวก็ได้
   
“หิวข้าวแล้วเหรอ”
   
ผมส่ายหัวแต่ก็ยังไม่เลิกทำหน้าเหมือนลูกหมาถูกทิ้งที่กำลังอ้อนให้คนเอาไปเลี้ยงด้วย ถึงผมตอนนี้จะเป็นหมาป่าโตเต็มวัยแล้วก็เถอะ แต่ผมก็ยังอยากได้รับความรักมากๆ นี่นา
   
เอาเข้าจริง แม่เคยบอกผมด้วยว่าพวกอัลฟ่าหมาป่าอย่างผม ถ้าเอาจริงก็สามารถฆ่าพวกอัลฟ่าทั่วไปได้ง่ายๆ เลย เพราะพื้นฐานร่างกายที่ค่อนข้างแข็งแรงกว่าอัลฟ่าทั่วไป ซึ่งอัลฟ่าหมาป่าที่โตแต่ตัวอย่างผมนั้นไม่คิดจะทำอะไรแบบนั้นหรอก ที่ผมใฝ่ฝันมากที่สุดในฐานะอัลฟ่าหมาป่าก็คือหาเจ้านายใจดีๆ ให้ได้สักคนเท่านั้นเอง
   
“..แล้วอยากได้อะไร”
   
ผมขยับตัวปีนขึ้นไปบนเตียงแล้วพยายามเอาหัวมุดใต้มือบอสจนในที่สุดมือของบอสก็วางอยู่บนหัวผม ผมมองบอสตาแป๋วเพราะแค่นี้บอสก็น่าจะรู้แล้วว่าผมต้องการอะไร
   
“..หึ”
   
บอสหลุดหัวเราะและยอมลูบหัวผมแต่โดยดี
   
-------
 :z13:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 3 20 มิ.ย 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 21-06-2020 17:41:28
น่ารักดี ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 3 20 มิ.ย 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 21-06-2020 21:10:05
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 3 20 มิ.ย 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 22-06-2020 03:53:46
 :hao3:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 3 20 มิ.ย 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 22-06-2020 13:31:37
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 3 20 มิ.ย 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 24-06-2020 22:48:23
งูยย  อ้ิอนเก่ง เอ็นดูเจ้าอัลฟ่าอ๋อง น่ารักกก
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 3 20 มิ.ย 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 26-06-2020 18:36:25
อัลฟ่าหมาป่าน่ารัก
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 3 20 มิ.ย 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 02-07-2020 22:43:47
ครามบรรยายซะคิดว่าไลม์เป็นโอเมก้าเลยค่ะ

ครามคือเจ้าลูกหมาโตแต่ตัว เอ็นดูแท้
ไลม์ดูมีความลับยังไงไม่รู้ค่ะ และดูน่าสงสารด้วย
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 4 25 ก.ค 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 25-07-2020 17:43:57
ตอนที่ 4
   

ผมไม่รู้ว่าพวกหมากระเป๋ามีความรู้สึกแบบไหนเวลาถูกเจ้าของจับแต่งตัวน่ารักๆ แล้วใส่รถเข็นไปเดินเล่นไหนต่อไหน แต่ถ้าให้ผมเดาก็คงจะเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับผมตอนนี้
   
“...”
   
ผมนั่งเกร็งระหว่างที่บอสกำลัง ‘แต่งตัว’ ให้ผมก่อนที่จะพาออกไปข้างนอกเพื่อซื้อเสื้อผ้าและข้าวของจำเป็นให้ผม เพราะผมใส่ชุดขนาดของบอสไม่ได้เลยสักชุด หนำซ้ำยังเกือบทำขาดด้วย
   
จริงๆ ผมไม่ค่อยอยากให้บอสซื้ออะไรให้ผมหรอก ผมเป็นแค่หมาของบอสเอง แค่บอสซื้อเสื้อถูกๆ ไซส์ผมมาให้ผมใส่ ผมก็พอใจแล้ว
   
“อยู่นิ่งๆ ”
   
หงิง
   
ผมร้องในลำคอหงอยๆ เพราะนี่ก็เกือบครึ่งชั่วโมงแล้วที่บอสง่วนอยู่กับการเซ็ตผมให้ผม ซึ่งบอสก็ดูสนุกอย่างเห็นได้ชัดที่ได้แต่งตัวให้ผมที่ทำอะไรไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่ ปกติเวลาออกไปทำงานผมก็จะแค่มัดผมลวกๆ แล้วออกไปเลยเพราะยังไงผมก็ต้องสวมหมวกทับอยู่ดี
   
ผมพยายามอย่างยิ่งไม่ให้ตัวเองหน้าแดงตอนที่บอสเข้ามาใกล้เกินไป และบอกตัวเองครั้งที่ร้อยว่าผมเป็นหมาที่บอสเก็บมาเลี้ยงเท่านั้น ห้ามคิดมากกว่านั้น!
   
“เสร็จแล้ว”
   
บอสบอกกับผมเบาๆ แล้วส่งสายตาเชิงให้ผมยืน ซึ่งผมก็ทำตามอย่างว่าง่ายด้วยความรู้สึกประหม่า และเดินไปหยุดยืนหน้ากระจกเท่าตัวคนของบอสเพื่อสำรวจตัวเอง
   
..นี่มันกูจริงๆ เหรอวะ
   
ผมมองตัวเองด้วยสีหน้างุนงงเหมือนกับพวกหมาจริงๆ ที่เห็นตัวเองในกระจกครั้งแรก คือถ้าไม่ใช่เพราะผมเป็นมนุษย์ ผมคงจะเห่าไอ้คนที่อยู่ในกระจกตอนนี้ไปแล้ว
   
ไอ้คนที่อยู่ในกระจกนี่มันใครกัน
   
ผมลูบใบหน้าเกลี้ยงเกลาของตัวเองอย่างประหม่า หนวดที่ผมไม่ค่อยได้ยุ่งก็ถูกบอสจับโกนออกหมดแล้ว ซึ่งมันก็เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยมั้งที่ผมรู้สึกว่าหน้าตาตัวเองพอดูได้บ้าง
   
ไม่สิ ที่ผมดูดีได้ขนาดนี้ก็เพราะสูทแบรนด์ดังที่ผมกำลังใส่อยู่ต่างหาก ถึงมันจะคับไปหน่อยแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสูทแบรนด์ Maverick (มาเวอร์ริก) ของบอสทำให้คนใส่อย่างผมดูเป็นผู้คนขึ้นมาจริงๆ แบบที่แม่เห็นคงร้องไห้อ่ะ ที่ผมทำตัวเหมือนคนมากกว่าหมาสำเร็จแล้ว
   
“คุณเหมาะกับสีน้ำตาลมากกว่า”
   
สีหน้าของบอสกลับมาเยือกเย็นอีกครั้งและสบตากับผมในกระจก
   
“ครับ”
   
แน่นอนว่าบอสพูดอะไรผมก็เห็นด้วยทั้งนั้น
   
เพราะบอสน่ะเป็นถึงเจ้าของบริษัทขายสูทเชียวชื่อดังเชียวนะ! ผมอ้าปากค้างเลยตอนที่บอสเปิดตู้ข้างโต๊ะทำงานแล้วมีสูทแขวนเต็มราวซึ่งสูททุกตัวก็ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้ชื่อแบรนด์มาเวอร์ริก
   
สูทแห่งอิสรภาพที่จะทำให้ผู้สวมใส่กลายเป็นผู้ที่มีเกียรติเหนือใคร
   
ขนาดผมที่เป็นคนไม่ค่อยสนใจแฟชั่นมากๆ ยังรู้จักแบรนด์สูทของบอสเลย เพราะพวกลูกค้าอัลฟ่าส่วนใหญ่ที่มาบริษัทก็ใส่สูทแบรนด์ของบอสทั้งนั้น แถมพวกนักหนังสือพิมพ์ก็ชอบเขียนคอลัมน์ถึงแบรนด์สูทของบอสว่าเป็นแบรนด์ที่ฟื้นขึ้นมาจากความตายหลังจากที่สูญเสียความนิยมมานาน
   
“คุณไปนั่งรอข้างนอกเลย ผมจะแต่งตัว”
   
“ครับ”
   
ผมพยักหน้าหงึกหงักแล้วออกจากห้องตามคำสั่ง เอาเข้าจริงผมว่าบอสใส่แค่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสีดำกับก็ดูดีมากๆ แล้วนะถ้าเทียบกับผม
   
แต่ก็อย่างที่ว่าแหละ ถึงบอสของผมจะเป็นคนที่ไม่ถือตัวแต่ยังไงคำว่าอัลฟ่ากับเจ้าของบริษัทก็ยังติดตัวบอสอยู่ดี การออกไปในที่สาธารณะก็เลยต้องรักษาภาพลักษณ์กันบ้าง
   
ผมไปนั่งโซฟาใกล้กับประตูหน้าบ้านและหาวหวอดง่วงๆ เพราะรู้สึกอิ่มมากกับข้าวเที่ยงที่บอสทำให้กิน เอาเข้าจริง ถ้าวันนี้ผมยังไม่โดนบริษัทเดิมไล่ออก ผมก็คงจะนอนอืดทั้งวันเพราะวันอาทิตย์เป็นวันหยุดผม
   
“คราม”
   
“ครับ!”
   
ผมที่นั่งตาปรือกำลังจะหลับสะดุ้งเฮือกทันทีตอนที่ได้ยินเสียงบอสใกล้ๆ แล้วพอผมลืมตา ผมก็รู้สึกประหม่ามากยิ่งขึ้นไปอีกเพราะวันนี้บอสใส่สูทลายทางสีน้ำเงินเข้มแล้วมันก็เข้ากับบอสมากๆๆ
   
ผมมองบอสด้วยสายตาเทิดทูน นี่สินะ รัศมีของพวกอัลฟ่าที่บอสคนเก่าของผมพูดถึง ถ้าผมไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองก็คงไม่เชื่อว่ามีอยู่จริงอ่ะ

“?”
   
บอสขมวดคิ้วใส่ผมเหมือนจะถามผมว่ามองอะไร
   
“เปล่าครับ”
   
ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย
   
“บอสให้ผมขับรถให้ไหมครับ วันนี้”
   
แน่นอนว่าเพื่อสร้างความประทับใจให้กับบอส ผมในฐานะหมาที่บอสเก็บมาเลี้ยงก็จะพยายามใช้ทุกความสามารถของตัวเองในการรับใช้บอส ถึงผมจะขับรถไม่แข็งเท่าไหร่ก็เถอะ แต่เพื่อบอสแล้วผมจะพยายาม!
   
ผมยืดอกพูดด้วยความฮึกเหิม
   
“มีใบขับขี่?”
   
“..ไม่มีครับ”
   
เพียงประโยคเดียวของบอสก็สามารถทำให้ผมหงอยลงในพริบตา
   
อย่าว่าแต่ใบขับขี่เลย บัตรประชาชนจริงๆ ผมยังไม่มีด้วยซ้ำ มีแต่ของปลอมที่ไปทำกับพวกรับทำของเถื่อนที่รับประกันนักหนาว่าเหมือนของจริงร้อยเปอร์เซ็น ซึ่งจริงๆ ผมก็ไม่อยากทำหรอก แต่ถ้าสมัครงานแล้วไม่มีเอกสารอะไรเลยก็ไม่มีใครรับไง
   
ชีวิตของพวกอัลฟ่าหมาป่าอย่างผมน่าสงสารจะตาย โดยเฉพาะหมาตัวน้อยตัวนิดอย่างผมที่ถ้าไม่ได้บอสเก็บมา ป่านนี้ก็คงจะนอนร้องหงิงๆ อยู่ที่ห้องแล้ว
   
“นั่งเฉยๆ เถอะ”
   
หงิง
   
ผมเดินคอตกตามหลังบอสขึ้นรถ
   
ให้ตายสิ ผมเริ่มรู้สึกจริงๆ แล้วนะว่าตัวเองเป็นหมาที่บอสพาไปเที่ยวด้วยเนี่ย
   
พอขึ้นแล้วรัดเข็มขัดเสร็จผมก็นั่งมองข้างนอกเรื่อยเปื่อย เพราะไม่บ่อยนักหรอกที่ผมจะได้นั่งรถสบายๆ ทอดอารมณ์แบบนี้
   
ชีวิตของคนธรรมดานี้ดีจัง
   
นั่งมองไปสักพักผมก็เริ่มซึม คนส่วนใหญ่ที่เดินอยู่ข้างถนนดูมีความสุขอย่างเห็นได้ชัดกับวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ ซึ่งมันก็เป็นชีวิตที่ผมอยากจะมีบ้าง
   
ทุกวันนี้นอกจากไปทำงานผมก็ไม่กล้าไปไหนไกลเพราะกลัวว่าจะโดนจับได้ กลัวว่าผมจะทำตัวไม่เหมือนคนทั่วไปจนต้องกลายเป็นตัวประหลาดอีก
   
ผมเกลียดสายตาพวกนั้น
   
เกลียดจนบางครั้งผมก็รู้สึกว่าถ้าผมเป็นแค่เบต้าธรรมดาๆ ผมอาจจะมีความสุขกว่านี้
   
“คราม”
   
“ครับ”
   
ผมเหลือบมองเสี้ยวหน้าของบอสที่จนถึงตอนนี้ก็ยังดูไร้อารมณ์เหมือนเดิม
   
ชั่วขณะหนึ่งที่ผมเผลอคิดว่าจริงๆ แล้วบอสอาจจะพาผมไปส่งให้พวกตำรวจก็ได้
   
“เป็นอะไร”
   
“เปล่าครับ”
   
แม่ชอบบอกว่าผมเป็นคนที่ดูออกง่ายมากว่าคิดแบบไหนอยู่ ซึ่งผมว่าก็คงจะจริงเพราะผมเพิ่งซึมได้ไม่นาน บอสก็สังเกตเห็นความผิดปกติของผมแล้ว
   
“...”
   
บอสขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจคำตอบของผมเท่าไหร่แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ
   
ส่วนผมก็ก้มมองมือของตัวเองที่กลายเป็นกรงเล็บไม่รู้ตัวเพราะรู้สึกเครียดเกินไปเมื่อกี้ เอาเข้าจริง ถ้าบอสคิดจะพาผมไปส่งให้พวกตำรวจจริงๆ วันนี้ผมก็คงไม่ไว้หน้าบอสเหมือนกัน
   
ผมต้องมีชีวิตอยู่ต่อ
   
แม่ผมยอมเสียสละตัวเองเพื่อปกป้องผม หน้าที่ของผมก็คือมีชีวิตต่อในส่วนของท่าน ถึงมันจะเป็นชีวิตที่ห่วยแตกแต่ถ้าผมไม่ทำ ชีวิตของผมก็คงไม่มีความหมาย
   
“?”
   
ผมหลุบมองมือของบอสที่เอื้อมมาลูบกรงเล็บผมเบาๆ ตอนที่จอดติดไฟแดง
   
“...”
   
ผมเงยหน้ามองบอสแต่สีหน้าของบอสก็ยังไม่แสดงอารมณ์อะไรอยู่ดี
   
“หงุดหงิดอะไร”
   
แม้แต่น้ำเสียงก็ราบเรียบจนผมเดาอะไรไม่ได้สักอย่าง
   
“...”
   
ผมไม่ได้ตอบเพราะรู้ดีว่าผมก็แค่อิจฉาคนอื่นเท่านั้น
   
ชีวิตธรรมดาพวกนั้นสำหรับอัลฟ่าหมาป่าอย่างผม มันก็เป็นได้แค่ฝันเท่านั้นแหละ สิ่งที่ผมต้องจำใส่หัวไว้คือหน้าอย่างผมก็เป็นได้แค่ตัวปัญหาที่ไม่มีวันมีชีวิตที่ดีได้ตลอดชีวิต
   
“คราม”
   
“ผมรับได้นะ ถ้าบอสจะเอาผมไปปล่อย”
   
ถ้าเป็นไปได้ผมก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้บอสหรอก
   
“ตอนนี้บอสยังเปลี่ยนใจทันนะครับ แน่ใจแล้วเหรอที่จะเลี้ยงผมไว้จริงๆ ”
   
ผมหลับตาพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา
   
เมื่อวานผมอาจจะอ่อนแอไปหน่อย แต่วันนี้อารมณ์ผมกลับมาเป็นปกติและยอมรับความจริงได้แล้ว
   
ผมควรจะรู้ตัวสักทีว่าที่ๆ ผมต้องอยู่คือข้างถนนข้างนอกนั่น ไม่ใช่ที่ปลอดภัยแบบนี้
   
“ขอโทษด้วยที่ผมเป็นหมาตัวใหม่ให้คุณไม่ได้”
   
ผมลืมตาและสบตากับบอส
   
“ผมเป็นมนุษย์ครับ คุณไลม์”
   
ถึงผมจะนิสัยเหมือนหมาแค่ไหนแต่ท้ายที่สุดแล้วผมก็เป็นคนอยู่ดี
   
ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่ในบ้านของบอสไปตลอดชีวิต ผมไม่อยากเฝ้าบ้านแล้วรอบอสกลับทุกวัน ผมอยากมีชีวิตที่อิสระมากกว่านั้น ถึงมันจะเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้แต่ผมก็จะพยายามทำให้มันเป็นจริงได้สักวัน
   
“ผมไม่ได้เก็บคุณมาเลี้ยงเพราะคุณเป็นหมาได้สักหน่อย”
   
“...”
   
ปลายนิ้วเย็นเฉียบของบอสคลึงอุ้งเท้าของผมราวกับกำลังปลอบประโลมผม
   
“ผมไม่รู้ว่าคุณหงุดหงิดอะไร แต่ถ้ามันเป็นเพราะผม ผมก็ขอโทษด้วย”
   
บอสเหมือนจะอยากลูบมือผมต่อแต่ก็ไม่ได้ทำเพราะไฟเขียวแล้ว
   
“ผมไม่ได้หงุดหงิดเพราะบอสครับ”
   
ให้ตายสิ พอบอสพูดแบบนี้ผมก็เริ่มรู้สึกผิด ไม่มีเหตุผลอะไรที่บอสต้องขอโทษผมสักนิด แต่บอสก็ยังขอโทษผม
   
“ผมงี่เง่าเอง ผมกลัวว่าผมจะสร้างปัญหาให้บอส”
   
ผมถอนหายใจเหนื่อยๆ
   
“ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับบอสเพราะผม ผมต้องรู้สึกผิดมากแน่ๆ ”
   
“คุณไม่จำเป็นต้องห่วงผม ผมดูแลตัวเองได้”
   
แน่นอนว่าผมก็รู้เรื่องนี้อยู่แล้วล่ะ บอสเป็นอัลฟ่าปกติที่อยู่บนยอดพีระมิดเหมือนกับอัลฟ่าคนอื่นๆ นั่นแหละ ไม่มีอะไรต้องเครียดหรือกังวลสักนิดสำหรับการใช้ชีวิตในสังคมที่ยกย่องอัลฟ่าแบบนี้
   
เอาเข้าจริงผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกอัลฟ่าหมาป่าไปทำอะไรผิดพลาดตอนไหน ทั้งๆ เราก็เป็นอัลฟ่าเหมือนกันแต่ทำไมถึงได้ตกต่ำยิ่งกว่าพวกโอเมก้าอีก
   
“ถ้าคุณไม่อยากอยู่บ้านเฉยๆ คุณก็เป็นผู้ติดตามผม”
   
“แล้วบอสไม่กลัวถูกจับได้เหรอครับ”
   
ถึงตอนอยู่ข้างนอกผมจะควบคุมตัวเองได้ดีก็เถอะ แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้นี่นาว่าจะไม่มีใครสงสัยผม บอสเป็นถึงอัลฟ่าเชียวนะ อัลฟ่าที่มีเพียงหยิบมือเดียวในประเทศและเป็นชนชั้นที่ควบคุมทุกอย่างเอาไว้
   
“ผมไม่มีอะไรจะเสีย”
   
“...”
   
เพื่อคนที่ไร้หัวนอนปลายเท้าอย่างผม บอสยอมทำถึงขนาดนี้เชียว
   
ผมพยายามที่จะไม่ร้องไห้ออกมา ผมกับบอสไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ ทำไมบอสถึงเชื่อใจผมขนาดนั้น วันดีคืนดีผมอาจจะเผลอฆ่าบอสก็ได้
   
“..บอสไม่กลัวผมเหรอ”
   
ผมถามบอสเสียงเบา
   
กรงเล็บที่บอสลูบเมื่อกี้มันคมและแข็งจนสามารถฆ่าบอสด้วยการตะปปเพียงครั้งเดียวด้วยซ้ำ
   
“ถ้าผมกลัว ผมไม่เก็บคุณมาตั้งแต่แรกหรอก คราม”
   
บอสเหลือบมองผมด้วยหางตา
   
“แล้วผมก็ไม่กลัวตายด้วย”
   
นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนที่ดูไร้อารณ์อยู่แล้วตอนนี้มันกลับดูว่างเปล่ามากกว่าเดิม
   
ว่างเปล่าจนผมเริ่มไม่แน่ใจว่าคนที่หมดใจไปกับโลกเฮงซวยนี่คือบอสหรือผมกันแน่
   
“จำไว้ คราม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมจะปกป้องคุณ”
   
“...”
   
อุ้งมือของผมค่อยๆ เปลี่ยนเป็นมือปกติแบบเดิมและใช้หลังมือเช็ดน้ำตาออก
   
ให้ตายเหอะ ผมเผลอน้ำตาซึมจนได้!
   
ไม่เท่เลย ไม่เท่เลยสักนิด ผมเป็นหมาป่าเชียวนะ จะเท่กว่านี้หน่อยไม่ได้เหรอ ตอนนี้สภาพผมในสายตาบอสของคงไม่เท่แล้วอ่ะ หรือจริงๆ ผมไม่เท่ตั้งแต่แรกอยู่แล้วก็ไม่รู้
   
แต่ผมน่ะ ก็ยังอยากเท่ในสายตาบอสอยู่นะ
   
“ที่คุณต้องทำก็แค่มีความสุขก็พอ”
   
“...”
   
รอบนี้ผมน้ำตาแตกทันที
   
ผมพยายามอย่างยิ่งไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมาเพราะน้ำเสียงของบอสเมื่อกี้มันใจดีมากจนผมรู้สึกอุ่นซ่านไปทั้งตัว ผมแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองหงุดหงิดอะไรเมื่อกี้
   
“..แล้วก็มีความสุขเผื่อผมด้วย”
   
“อะไรนะครับ”
   
ผมที่กำลังตื้นตันถามบอสอีกครั้งเพราะเมื่อกี้บอสพูดเบามากจนผมแทบไม่ได้ยิน
   
“เปล่า”
   
บอสส่ายหัวแล้วเอื้อมมือไปหยิบอะไรสักอย่างจากช่องเก็บของข้างคนขับก่อนจะยื่นมันให้ผม
   
แว่นตาดำ?
   
ผมขี้เกียจจะคิดอะไรมากผมก็เลยใส่เลย
   
“!!!”
   
ผมส่องตัวเองในกระจกที่บอสยื่นให้และสะดุ้งเฮือก
   
ผมตอนนี้โคตรเหมือนพวกบอดี้การ์ดในหนังเลย!!
   
พอเห็นตัวเองเท่มากผมก็แทบจะร้องไห้อีกรอบ ให้ตายเหอะ ผมว่าถ้าผมถือปืนด้วยคงจะรับทวงหนี้โหดได้สบายเลย เพราะตอนนี้ผมดูโหดมาก แบบเด็กเห็นแล้วร้องไห้อ่ะ
   
“บอสครับ”
   
“?”
   
ผมยิ้มจนตาหยีตอนที่บอสเหลือบมามองผม
   
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมก็จะปกป้องบอสเหมือนกันครับ”
   
ก็ผมตัดสินใจไปแล้วนี่นา
   
ว่าผมน่ะจะยอมตายเพื่อบอส

-----------   

 :z13:

มาช้าหน่อยเพราะยังไม่ค่อยชินสำนวนค่ะ แง  :katai1:

   
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 4 25 ก.ค 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 25-07-2020 22:36:20
เอ็นดูเจ้ายู้กหมาขี้แง แต่อยากเท่  :hao7:

บอสปมอะไรซ่อนอยู่..ราวกับไม่เคยมีความสุขในชีวิต
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 4 25 ก.ค 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 26-07-2020 23:18:30
มาต่อแล้วๆ
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 4 25 ก.ค 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 27-07-2020 04:22:33
 :hao3:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 4 25 ก.ค 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 27-07-2020 13:29:04
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 4 25 ก.ค 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 04-08-2020 13:33:12
บอสมีปมนะดูเศร้า
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 4 25 ก.ค 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 08-08-2020 18:14:06
บอสกะโบ้ น่ารักกกก
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 4 25 ก.ค 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 09-08-2020 18:44:30
ไม่รู้ว่าไลม์เจออะไรมา แต่เชื่อว่าครามจะช่วยได้
ครามยิ่งกว่าหมาน้อยไปอีกอะ เป็นหมาป่าที่ปุกปิกมาก
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 5 28 ส.ค 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 28-08-2020 12:11:57
ตอนที่ 5

   
“บอสครับ ..มันจะเยอะเกินไปไหมครับ”
   
ผมถามบอสเสียงเบาหลังจากที่เดินเข้าออกจากร้านเสื้อผ้าร้านที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้แล้วของมันก็เยอะมากจนผมถือแทบไม่ไหว ถึงของทั้งหมดจะเป็นของผมก็เถอะ
   
แต่ผมก็เกรงใจบอสนี่นา!
   
“ไม่เยอะหรอก ยังไงคุณก็ต้องอยู่กับผมไปอีกนาน”
   
บอสที่ปกติจะดูนิ่งๆ ตอนนี้ดูอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด
   
“แต่ผมว่ามันเยอะไปจริงๆ นะครับ”
   
“ผมเป็นเจ้านายคุณ คุณไม่มีสิทธิ์สั่งผม”
   
นัยน์ตาสีฟ้าน่าหลงใหลนั่นสะท้อนสีหน้าเกรงอกเกรงใจของผม
   
“แล้วผมก็ยังไม่ได้แวะอีกหลายร้านเลย”
   
บอสรวยมาจากไหนเนี่ย
   
“..ครับ”
   
ผมเดินคอตกตามหลังบอสไป แต่คราวนี้เป็นอะไรที่ผิดคาดมากเพราะบอสพาผมแวะร้านขายของสำหรับสัตว์เลี้ยง!!!
   
“คราม”
   
บอสเรียกผมเสียงเข้มตอนที่ผมรู้สึกตื่นเต้นจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่
   
“ขอโทษครับ”
   
ให้ตายเหอะ เจ้าเลือดอัลฟ่าโบราณในตัวผมก็ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ จะตื่นเต้นอะไรนักหนา
   
แค่ลูกบอลเอง!
   
ลูกบอล..
   
ลูกบอล!!!!
   
ผมสัมผัสได้ถึงหัวใจในอกที่เต้นรัวจนหูอื้ออึงตอนที่เห็นลูกบอลเป็นร้อยลูกในกระบะ
   
ตั้งสติหน่อยสิ คราม!
   
ผมส่ายหัวเรียกสติแต่พอสติกลับมาก็บพบว่ามี ‘ศัตรู’ เข้ามาตีสนิทกับบอสตอนที่ผมกำลังหน้ามืด
   
หงิงๆ
   
เจ้าหมาพันธุ์ไซบีเรียนที่ไม่รู้เจ้าของไปมุดหัวอยู่ไหนเดินเข้ามาอ้อนบอสอย่างออดอ้อน ทั้งๆ ที่บนตัวของบอสก็มีกลิ่นของผมอยู่แต่มันก็ยังเข้ามาแย่งบอสกับผม!
   
“...”
   
ผมยิ้มเยาะมันเพราะบอสไม่สนใจหรือรับรู้ถึงมันสักนิดเพราะมัวแต่สนใจปลอกคออยู่
   
กรรซ
   
มันขู่เบาๆ และแยกเขี้ยวใส่ผม
   
ให้ตายเหอะ ผมมันเขี้ยวเป็นบ้าเลย สาบานเลยว่าถ้ากฎหมายในประเทศนี้อนุญาตให้อัลฟ่าโบราณใช้ชีวิตแบบอิสระได้ ตอนนี้ผมคงคืนร่างหมาป่าเพื่อสู้กับมันแล้ว
   
บอสไลม์น่ะ
   
เป็นของผม!
   
ผมขมวดคิ้วแล้วจ้องหน้ามันนิ่งๆ
   
เอาเข้าจริงผมก็ใช้ฟีโรโมนข่มมันได้แหละ แต่ถ้าใช้สุ่มสี่สุ่มห้าคงจะโดนจับได้ว่าไม่ใช่อัลฟ่าทั่วไปแน่ๆ เพราะถึงตอนนั้นดีไม่ดีแม้แต่บอสก็คงจะกลัวผมไปด้วย
   
หงิง
   
ยังไม่ทันได้ทำอะไร เจ้าหมาที่มีเลือดบรรพบุรุษเป็นหมาป่าก็วิ่งหนีผมหางจุกตูดไปที่อื่นแล้ว หึ ผมน่ะ รับมือกับพวกมนุษย์ไม่เก่งเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นหมาด้วยกันเองนี่สบายมาก
   
“หึ”
   
ผมที่กำลังชื่นชมตัวเองในใจหน้าแดงทันทีตอนได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของบอส
   
“..ผมนึกว่าบอสไม่สนใจซะอีก”
   
ผมพูดเขินๆ เพราะจากเท่าที่สังเกตมาสักพัก ผมก็พบว่าบอสมีนิสัยเฉพาะตัวอย่างหนึ่งคือตอนที่สมาธิกับอะไรมากๆ ก็เหมือนจะตัดขาดออกจากโลกไปเลย
   
“ก้มลงมาหน่อย”
   
“?”
   
ถึงจะไม่เข้าใจว่าให้ก้มทำไมแต่ผมก็ทำตามอย่างว่าง่าย
   
“..เหล็กน่าจะเข้ากว่า”
   
บอสพูดพึมพำกับตัวเองหลังจากลองเอาปลอกคอหนังมาทาบกับคอผม
   
“ต้องใส่ปลอกคอด้วยเหรอครับ”
   
“ซื้อเผื่อ”
   
“...”
   
วันนี้ผมได้ยินคำว่าซื้อเผื่อจากบอสเกือบสิบครั้งแล้ว แต่ผมก็ขี้เกียจจะปรามบอสแล้วเพราะยังไงบอสก็คงจะซื้อให้ผมอยู่ดี ให้ตายสิ ผมอยากทำอะไรตอบแทนบอสบ้างจัง
   
“หยิบมาสิ”
   
“?”
   
ผมเผลอเอียงคองงๆ ตามเคยชิน
   
“อยากได้ไม่ใช่เหรอ”
   
บอสเหลือบมองลูกบอลที่ผมเล็งเอาไว้ตั้งแต่เข้าร้าน
   
“ครับ!”
   
ผมพยายามอย่างยิ่งในการห้ามตัวเองไม่ให้ตัวเองวางถุงแล้วโกยลูกบอลทั้งหมดขึ้นมา แต่ผมก็อยากได้ทั้งหมดเลยอ่ะ แต่ถ้าซื้อทั้งหมดนี้ผมคงเกรงใจบอสตายเลย แค่นี้ผมก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้ว
   
ผมกัดฟันหยิบขึ้นมาลูกเดียวแล้วเอากลับไปใส่ตะกร้าของบอสที่ตอนนี้นอกจากจะมีปลอกคอแล้วยังมีสายจูงเหล็กกับตะกร้อเหล็กครอบปากด้วย
   
“...”
   
ผมเผลออึ้งไปสักพักเพราะของพวกนี้เป็นสิ่งที่ใช้พันธนาการพวกหมาตัวใหญ่ๆ ทั้งนั้น พวกอัลฟ่าหมาป่าที่ผมเคยเจอเคยบอกผมว่าถ้าโดนพวกทางการจับได้ก็จะโดนของพวกนี้ล่ามแล้วเอาไปฆ่า แย่หน่อยก็ถูกจับไปใช้ทดลองอะไรสักอย่างของพวกมัน
   
“ผมจะใช้มันก็ต่อเมื่อคุณไม่มีสติเท่านั้น”
   
“ผมเข้าใจครับ”
   
ผมยิ้มบางให้บอส เพราะถึงผมจะดูเป็นหมาที่ไม่มีพิษมีภัยก็เถอะ แต่สัญชาตญาณในตัวกับสายเลือดของผมก็เป็นของจริง แล้วพวกรัฐบาลก็ยังพยายามปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับพวกอัลฟ่าโบราณด้วย บอสไม่มีทางรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าผมเกิดคลุ้มคลั่งหรือไม่มีสติขึ้นมา
   
ถึงตอนนั้นถ้าเกิดเผลอทำอะไรบอสไปจริงๆ
   
ผมคงจะให้อภัยตัวเองไม่ได้แน่ๆ
   
“อยากได้อะไรอีกไหม”
   
“ไม่มีครับ”
   
แค่ได้ลูกบอลกลับไปเล่นผมก็ดีใจจะแย่แล้ว
   
ลูกบอลเชียวนะ!
   
“แล้วอยากกินอะไรไหม ผมจะพาคุณกลับแล้ว”
   
“แล้วแต่บอสเลยครับ ผมกินอะไรก็ได้”
   
แค่มีอะไรให้กินก็ถือว่าดีสำหรับผมมากแล้ว
   
บอสพยักหน้านิ่งๆ ก่อนจะไล่ผมให้ยืนรอข้างนอกร้าน ผมที่ว่างและไม่มีอะไรทำก็เลยมองร้านในห้างเรื่อยเปื่อย ดีที่วันนี้คนไม่เยอะเท่าไหร่
   
“...”
   
ผมเผลอหน้าแดงขึ้นมานิดๆ ตอนที่เห็นร้านขายชุดชั้นในแล้วมีหุ่นใส่ชุดชั้นในลูกไม้สีดำ มันดูเซ็กซี่เอามากๆ แต่ราคาที่แปะอยู่ก็น่ากลัวมากๆ เหมือนกัน
   
“อยากได้เหรอ”
   
“เปล่าครับ”
   
ผมหน้าแดงกว่าเดิมตอนที่โดนบอสจับได้ว่ามองอะไรอยู่
   
“งั้นกลับกันเถอะ”
   
บอสยื่นถุงที่ได้มาเพิ่มให้ผมก่อนจะเดินนำไปยังลานจอดรถ แต่อยู่ๆ บอสก็หยุดเดินแล้วไล่ให้ผมไปรอที่รถก่อน
   
“ผมจะเข้าห้องน้ำ”
   
ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าบอสไม่ได้จะไปเข้าห้องน้ำจริงๆ
   
ผมมองตามหลังบอสที่เดินกลับเข้าไปงงๆ แต่ก็ขี้เกียจสงสัยเลยไปรอที่รถตามคำสั่งของบอสพร้อมกับติดเครื่องไว้ด้วย ตอนบอสขึ้นรถมาจะได้เย็นๆ
   
ผมรอจนหาวไปสองสามรอบบอสก็ยังไม่มาสักทีเลยขยับตัวไปหยิบลูกบอลในถุงหลังรถมาบีบเล่น
   
“!”
   
ผมกระพริบตาปริบเพราะพอล้วงเข้าไปแล้วเจอลูกบอลมากกว่าหนึ่งลูกแต่เป็นสิบๆ ลูกกองอยู่ในนั้น ให้ตายเถอะ ผมรักบอสไลม์!! รักที่สุดเลย!!
   
หงิงๆๆ
   
ผมดีใจจนจะร้องไห้แล้ว
   
นี่มันสวรรค์ชัดๆ เลย
   
ผมหยิบลูกบอลลูกนึงมาบีบเล่น จริงๆ อยากจะคืนร่างสักครึ่งนึงเพื่อกัดเจ้าลูกบอลนี้ด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่กล้าเสี่ยงเพราะถึงฟิลม์รถนี่จะมองไม่เห็นข้างในก็เถอะ แต่ใครจะไปรู้ว่าอาจจะมีคนเผลอมาเปิดประตูตอนผมกำลังดื่มด่ำกับเจ้าลูกบอลพวกนี้ก็ได้
   
ก็อกๆ
   
“ครับ!”
   
ผมสะดุ้งจนเกือบทำลูกบอลหลุดมือตอนที่ได้ยินเสียงเคาะกระจกแล้วรีบกระวีกระวายปลดล็อคประตูให้บอส
   
“ขอโทษที่ให้รอนาน พอดีผมซื้อของนิดหน่อย”
   
บอสพูดนิ่งๆ แล้วเอากล่องสีดำที่ถือติดมือมาด้วยไปไว้ข้างหลัง
   
“ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้อยู่แล้ว”
   
จริงๆ บอสไม่จำเป็นต้องขอโทษผมด้วยซ้ำ สถานะผมตอนนี้คือลูกกระจ็อกบอสอ่ะ ใช้อะไรก็ทำแต่ที่ถนัดที่สุดคือเฝ้าบ้าน ซึ่งถ้าเป็นไปได้ผมก็ไม่อยากเฝ้าบ้านเท่าไหร่เพราะมันน่าเบื่อ
   
“รู้แล้วเหรอ”
   
บอสมองลูกบอลในมือผมที่มีคราบน้ำลายนิดๆ เพราะผมเผลอกัดไปรอบนึงด้วยความหน้ามืดตามัว
   
“ครับ ขอบคุณบอสมากๆ นะครับ”
   
ผมอยากจะบอกบอสชะมัดเลยว่าเอาชีวิตผมไปได้เลย ชาตินี้ผมเกิดมาพอใจแล้ว เจอบอสวันเดียวผมก็รู้สึกเหมือนได้ใช้โชคทั้งชีวิตแล้วไปกับเจ้านายคนใหม่คนนี้
   
บอสเป็นคนดีมากจริงๆ
   
“เลิกขอบคุณผมได้แล้ว มันไม่ได้มากอะไรเลย”
   
บอสหัวเราะเบาๆ
   
“...”
   
บอสน่ารักชะมัดเลย ไม่สิ บอสดูดีมากๆ เลย!
   
Rrrrr
   
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ชื่นชมบอสต่ออยู่ๆ ก็มีคนโทรเข้ามาซะก่อน แน่นอนว่าไม่ใช่โทรศัพท์ผม ของผมถ้าจะมีคนโทรมาก็คงมีแต่บอสเก่าโทรมาด่านั่นแหละนะ แล้วโทรศัพท์ที่ผมใช้อยู่ตอนนี้ก็เก่าเกินกว่าจะเล่นแอพพลิเคชั่นอะไรได้ด้วย ทำได้แค่โทรกับส่งข้อความแค่นั้นเอง
   
ทันทีที่บอสเห็นชื่อคนที่โทรมาสีหน้าของบอสก็เปลี่ยนไปทันที บรรยากาศผ่อนคลายรอบตัวบอสหายไปกลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง นัยน์ตาของบอสกลับมาว่างเปล่าอย่างเห็นได้ชัด
   
“ครับ”
   
ผมก้มหน้างุดและให้ความสนใจกับลูกบอลเพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับบอส
   
“พ่ออยากเจอผมเหรอครับ”
   
น่าแปลกที่เสียงของบอสนั้นดูไม่ดีใจสักนิด
   
“ว่างครับ ไปได้ครับ”
   
ผมช้อนตามองบอสด้วยความเป็นห่วง เพราะคุยผ่านโทรศัพท์อาจจับความรู้สึกในน้ำเสียงได้ยาก แต่สำหรับผมที่นั่งข้างๆ คือดูออกเลยว่าบอสไม่อยากไป
   
สำหรับบอสแล้ว ‘พ่อ’ คงจะไม่ใช่บุคคลที่บอสชื่นชอบสักเท่าไหร่ ซึ่งก็ผิดกับผมที่ไม่มีความรู้สึกอะไรกับ ‘พ่อ’ เลยสักนิดเพราะท่านเสียไปตั้งแต่ก่อนผมจะจำความได้อีก
   
ความทรงจำเดียวที่ผมมีเกี่ยวกับพ่อคือพ่อเป็นคนใจดีและแม่ผมก็มักจะเลี่ยงที่จะพูดถึงพ่อ แน่นอนว่าถ้าแม่ไม่อยากเล่า ผมก็ไม่คิดจะถามอะไรอยู่แล้วเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าพ่อหายไปเพราะอะไร
   
“อีกครึ่งชั่วโมงผมจะไปถึงครับ”
   
ผมไม่รู้ว่าบอสรู้ตัวไหม แต่มือที่จับพวงมาลัยอยู่นั้นสั่นน้อยๆ เหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้
   
“..ครับ สิบห้านาทีก็ได้ครับ”
   
สุดท้ายผมก็อดใจไม่ไหวเลือกที่จะเอื้อมมือไปแตะมือบอส
   
ผมหยิบมือที่เย็นเฉียบของบอสมาวางบนตักผมและนวดคลึงให้มันอุ่นขึ้นด้วยอุณหภูมิจากฝ่ามือ
   
“…”
   
ผมยิ้มให้บอสตอนที่บอสหันมาสบตากับผม
   
แน่นอนว่าถ้าอยู่บ้าน ผมจะไม่ลังเลที่จะคืนร่างหมาป่าที่บอสชอบแล้วเอาทำตัวออดอ้อนบอสให้บอสอารมณ์ดีเพราะผมรู้ว่าบอสชอบร่างโบ้ของผมที่สุด แต่ตอนนี้อยู่ข้างนอกผมก็ได้แต่หวังว่าบอสจะเอ็นดู ‘คราม’ บ้าง
   
ซึ่งการตัดสินใจของผมก็ดูจะไม่แย่นัก มือของบอสเลิกสั่นแล้ว
   
“ครับ ขอบคุณครับ”
   
บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่บอสวางสายไป บอสมองหน้าผมสักพักและหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนนั่นมองผมด้วยสายตาอ่อนโยน
   
ให้ตายเหอะ
   
ผมเขินชะมัดเลย
   
ผมหน้าแดงแต่ก็พยายามทำตัวปกติ
   
“เดี๋ยวขากลับผมคงต้องแวะเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาลก่อน”
   
บอสแกะมือผมออกและจับพวงมาลัยอีกครั้ง
   
“ครับ”
   
ผมพยักหน้าหงึกหงักเชิงรับรู้ ไม่กล้าชวนคุยอะไรเพราะรู้ว่าบอสคงต้องใช้สมาธิกับการขับรถ และแน่นอนสิ่งที่ผมทำฆ่าเวลาคือกลิ้งลูกบอลที่บอสให้มาในมือแก้เบื่อ
   
“พ่อผมเป็นคนเข้มงวด”
   
ในชั่วขณะที่ทุกอย่างเงียบและผมกำลังจะหลับ บอสก็เปรยขึ้นมา
   
“ถ้าท่านไม่อนุญาต ผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้”
   
“…”
   
ผมเหลือบมองบอส สีหน้าของบอสยังปกติเหมือนเดิมแต่แววตาตอนที่พูดกลับไม่เป็นเหมือนสีหน้าสักนิด
   
“พ่อไม่อนุญาตให้ผมทำพลาดไม่ว่าจะเรื่องอะไร”
   
บอสแค่นเสียงหัวเราะ
   
“มหาลัยพ่อผมก็เป็นคนเลือก เพื่อนผมพ่อก็เป็นคนเลือก ทุกอย่างในชีวิตผมต้องผ่านพ่อทั้งหมดเพราะพี่ชายผมไม่ยอมให้พ่อควบคุม”
   
แววตาของบอสคราวนี้ดูเจ็บปวดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
   
“แล้วผมก็โคตรรู้สึกผิดเลยที่บางครั้งผมก็อยากให้พ่อตายสักที”
   
“…”
   
ผมไม่ได้พูดอะไรเพราะคิดว่าบอสคงไม่ได้ต้องการความเห็นอะไรจากผม และผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถไปตัดสินใครได้ด้วย
   
“หรือไม่ก็เป็นผมที่ตายวันนั้นก็ได้ ไม่ใช่พี่”
   
หงิง
   
ผมร้องออกมาหงอยๆ
   
“ผมก็บ่นไปงั้นแหละ คราม ไม่ต้องจริงจังหรอก”
   
บอสหัวเราะเบาๆ
   
“ระหว่างที่รอผม คุณก็คิดไปพลางๆ แล้วกันว่าจะกินอะไร ถ้าไม่ยากมากเดี๋ยวผมทำให้กินเอง”
   
พูดถึงอาหารฝีมือบอส ผมก็แทบจะน้ำลายไหลทันที
   
อาหารเมื่อเช้าอร่อยมาก อร่อยที่สุดในชีวิตที่ผมเคยกินเลย!
   
ผมมั่นใจมากว่าถ้าตอนนี้ผมอยู่ในร่างหมาป่าคงจะนั่งกระดิกหางได้เป็นชั่วโมงอ่ะ
   
ผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีในที่สุดบอสก็มาถึงโรงพยาบาลจนได้ ผมตาโตตอนที่เห็นตึกกับป้ายของโรงพยาบาลเพราะจำได้ว่าเป็นโรงพยาบาลที่แพงมากและปรากฎในโฆษณาบ่อยๆ
 
ซึ่งด้วยราคาของมันแล้วทำให้พื้นที่ข้างนอกค่อนข้างเงียบสงบ บอสเลือกที่จะจอดตรงใต้ร่มไม้ก่อนที่จะกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงจากรถเพราะใกล้จะเกินเวลาที่รับปากไว้แล้ว
   
ผมมองตามหลังบอสด้วยความรู้สึกเศร้านิดๆ เพราะผมช่วยอะไรบอสไม่ได้เลย
   
ให้ตายสิ
   
ผมอยากให้บอสมีความสุขกว่านี้จัง

--------------

กลับมาแล้วค่ะ  :hao5:
   
   
   
   
   

   
   
   
      


หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 5 28 ส.ค 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 28-08-2020 13:36:22
โม้ย โคตรนา่าร้ากกเลย
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 5 28 ส.ค 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 29-08-2020 22:55:55
กลับมาแล้ว~
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 5 28 ส.ค 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 30-08-2020 09:31:44
 :hao5:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 5 28 ส.ค 63 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Austin ที่ 30-08-2020 14:08:20
เรื่องราวน่าติดตาม จะรอนะ
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 6 11 ก.ย 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 11-09-2020 13:15:07
ตอนที่ 6

   
“..บอสครับ ถึงแล้วนะครับ”
   
ผมพูดกับบอสที่หลับอยู่เบาะหลังด้วยความเกรงใจ เพราะหลังจากที่บอสไปหาพ่อแล้วกลับมาคือเหมือนถูกกระชากวิญญาณออกไป ถึงแม้ท่าทางของบอสจะดูปกติแต่ผมก็ที่เป็นหมาที่ดีของบอสย่อมรู้อยู่แล้วว่าอารมณ์บอสไม่เหมือนเดิม!
   
บอสน่ะ ถึงจะดูเย็นชาไปบ้างแต่ก็ไม่ได้ดูไร้อารมณ์ขนาดนี้หรอกนะ
   
ผมมองบอสที่ยังคงหลับอยู่ด้วยความหม่นหมอง
   
ผมไม่รู้ว่าบอสรู้ตัวไหม แต่ตอนบอสกลับมานั่งบนรถ แววตาของบอสแทบไม่เหลือประกายด้วยซ้ำ ราวกับว่าอารมณ์ความรู้สึกของบอสได้ถูกพ่อบอสบดขยี้จนมันสูญสลายไปหมดภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง
   
ผมที่เห็นบอสเป็นแบบนั้นเลยตัดสินใจอาสาขับกลับให้ทันทีซึ่งบอสก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร ยอมให้ผมขับอย่างว่าง่ายและนอนเอาผ้าห่มคลุมตัวอยู่เบาะหลังราวกับพยายามจะหนีจากทุกปัญหาที่กำลังไล่ล่าตัวเองอยู่
   
“บอสครับ”
   
ผมเอื้อมมือไปแตะตัวมือบอสที่โผล่ออกมาจากผ้าห่มเบาๆ
   
มือของบอสเล็กมากเลย..
   
ผมหลุบตามองมือตัวเองที่เหมือนมือยักษ์เมื่อเทียบกับมือของบอส
   
“บอส”
   
ผมเรียกเสียงกระซิบ ความรู้สึกผิดมหันต์ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งเพราะบอสตอนที่หลับนั้นดูสูงส่งมาก และผมก็ยังไม่ลืมด้วยว่าบอสเป็นคนที่หลับลึกมาก
   
หงิง
   
อีกแล้วสินะ เจ้าหมาอย่างผมต้องตัดสินใจในเรื่องที่ยิ่งใหญ่อีกแล้วเหรอ
   
ผมมองบอสพร้อมกับชั่งใจไปด้วยว่าจะเอายังไงดี ชั่วพริบตานั้นเหมือนในหัวผมก็มีหมาป่าสีขาวกับสีดำยืนประจันหน้ากันและถกเถียงกันเพื่อหาข้อสรุปให้กับคราม
   
‘ปลุกไปเลย ยังไงบอสก็ไม่ว่าหรอก!’
   
เจ้าโบ้สีขาวพูดด้วยท่าทีน่าเชื่อถือ
   
‘จะปลุกเลยเนี่ยนะ ไม่เห็นรึไงว่าบอสต้องการพักผ่อน!’
   
โบ้สีดำเถียงเสียงดังพร้อมกับทำเสียงขู่ไปด้วย
   
‘..แต่’
   
เจ้าโบ้สีขาวเริ่มคล้อยตามเพราะเถียงไม่ออก สภาพของบอสตอนนี้ดูไม่จืดจริงๆ
   
‘ไม่มีแต่ บอสของเราต้องได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ เชื่อฉันสิ ถ้าบอสได้นอนเยอะๆ แล้วตื่นเอง บอสต้องอารมณ์ดีขึ้นแน่!’
   
โบ้สีดำพูดไปกระดิกหางไปพร้อมกับทำหน้าดีอกดีใจไปด้วย
   
‘โอเค รอบนี้แกชนะ! ตามนั้นแหละ คราม!’
   
“ขออนุญาตนะครับ บอส”
   
หลังจากที่ตัดสินใจได้ผมก็ลงจากรถและเปิดประตูด้านหลังเพื่อหาทางพาบอสไปนอนที่เตียงให้ได้ ผมหยิบผ้าห่มที่ห่มตัวบอสอยู่มาพับลวกๆ มาพาดไว้บนไหล่เพื่อที่จะเอาไปซักให้บอส
   
“...บอส”
   
ผมทำหน้าไม่ถูกตอนที่บอสคว้าผ้าห่มของตัวเองเอาไว้ สีหน้าที่ดูเศร้าอยู่ตอนนี้ยิ่งดูเศร้ากว่าเดิมตอนที่ต้องสูญเสียผ้าห่มไป ซึ่งสีหน้าบอสก็น่าสงสารมากจนผมทนแทบไม่ไหวแต่ถ้าผมคืนผ้าห่มให้บอส ผมก็อุ้มบอสยากอ่ะ ไหนจะต้องไขกุญแจเข้าบ้านอีก กว่าจะถึงตอนนั้นผมว่าผมคงทำบอสหลุดมือแน่ๆ
   
“ขอโทษนะครับ”
   
ขอโทษนะครับ บอส  ผมขอโทษจริงๆ
   
;w;
   
สุดท้ายผมก็ต้องมานั่งแกะมือบอสออกจากผ้าห่มอย่างเบามือและต้องประหลาดใจอีกรอบตอนที่มือเย็นเฉียบของบอสจับมือผมแทน
   
“...”
   
ผมมองเสี้ยวหน้าของบอสด้วยความรู้สึกเจ็บปวดนิดๆ
   
ภายใต้ความสุขุมละเยือกเย็นของบอสซ่อนความรู้สึกหรือความลับอะไรไว้บ้างนะ แล้วความลับพวกนั้นบอสบอกกับผมได้รึเปล่า ถ้าบอกได้ผมก็อยากจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยแบ่งเบาความรู้สึกหนักหนาจากความลับพวกนั้นเหมือนกัน
   
ผมแกะมือบอสออกรอบที่สองแล้วค่อยๆ ช้อนตัวบอสขึ้นอุ้ม ซึ่งการอุ้มครั้งนี้ก็ทำให้ผมได้รู้ความจริงว่าบอสตัวเบากว่าที่ผมคิดมาก (หรือผมแรงเยอะเกินไปเพราะเป็นอัลฟ่าโบราณ?)
   
ผมจัดท่าทางบอสให้แขนบอสโอบคอผมแล้วแน่ใจแน่ๆ ว่าบอสจะไม่หล่นระหว่างทาง ผมถึงพาบอสเข้าบ้านไปถึงห้องนอนได้ไม่ยากเย็นนัก
   
ผมวางบอสบนเตียงอย่างเบามือโดยไม่ลืมที่จะถอดรองเท้ากับเก็บแว่นให้บอสด้วย
   
“มีอะไรเรียกผมได้เลยนะครับ”
   
ผมบอกทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าบอสได้ยินไหม แต่ผมก็อยากพูดอะไรสักอย่างหลังจากห่มผ้าห่มให้บอสเสร็จอ่ะ ผมนิ่วหน้าตอนที่แอร์เย็นเฉียบเป่าใส่หลังแล้วออกจากห้องไปจัดของที่บอสซื้อให้ผม
   
แน่นอนว่าตอนซื้อก็ว่าเยอะแล้วพอมานั่งจัดก็เยอะกว่าที่ผมคิดอีก
   
ผมจัดการเอาพวกเสื้อผ้าทั้งหมดไปซักแล้วถึงค่อยออกมานั่งในห้องนั่งเล่นกับถุงจากร้านสำหรับสัตว์เลี้ยง ผมร้องหงิงๆ พราะอยากเล่นพวกลูกบอลที่บอสซื้อมาให้จะแย่แล้ว แต่เจ้าโบ้สองตัวในหัวผมก็สั่งให้ผมกลับไปเฝ้าบอสตามหน้าที่หมาที่ดีเดี๋ยวนี้!
   
แง่งง
   
ผมที่เศร้าจนเผลอทำหูโผล่แล้วลู่ลงหงอยๆ
   
อยากเล่นอ่ะ บอลเชียวนะ! บอลของผมเองเกือบสิบลูกแน่ะ!!! เยอะกว่าที่ไอ้พะโล้ในซอยมีอีก! ถ้ามันรู้ว่าผมมีเป็นของตัวเองแล้วเยอะกว่ามันด้วย มันต้องอิจฉาผมมากแน่ๆ!!!
   
‘เออ รู้แล้วว่าอยากเล่น จะเล่นก็ไปเล่นตรงข้างเตียงบอสนู่น!’
   
เจ้าโบ้ดำบ่นแต่มันก็ตัวสั่นริกๆ อยากเล่นลูกบอลเหมือนกัน
   
‘ใช่ เจ้านายไม่มีความสุข เราจะกล้ามีความสุขได้ไง!’
   
โห มาขนาดนี้ผมหงอยลงกว่าเดิมอีก
   
ผมมองเจ้าลูกบอลในถุงด้วยสายอาลัยอาวรณ์แล้วตัดสินใจหยิบติดมาลูกนึง ถึงค่อยกลับเข้าไปหาบอสในห้องเพื่อรอบอสตื่น ถึงผมจะไม่รู้ก็เถอะว่าผมจะช่วยอะไรบอสได้ไหม แต่ถ้าบอสตื่นมาเจอใครสักคนก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีนั่นแหละ
   
พอเข้ามาในห้องได้ผมก็ถอดชุดออกเพื่อคืนร่างเป็นหมาป่าเพราะแอร์ในห้องหนาวมาก ผมเหลือบมองบอสเป็นพักๆ กลัวว่าบอสจะตื่นมาเห็นตอนที่ผมถอดชุดพอดี
   
ถึงบอสจะเคยเห็นตอนผมเปลือยแล้วก็เถอะ แต่ผมก็ยังอายอยู่ดีนี่นา
   
“..ฮึก”
   
ตัวผมชาวาบตอนที่ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ของบอส
   
“..บอส”
   
ผมพึมพำหงอยๆ แล้วรีบคืนร่างเป็นเจ้าหมาป่าขนฟูไปให้กำลังใจบอสอีกรอบ ผมทิ้งลูกบอลแล้วไปเกาะขอบเตียงเพื่อเอาหัวมุดไปอยู่ใต้มือของบอส พยายามไถหัวกับมือบอสให้มือเล็กๆ นั่นอุ่นขึ้นสักนิดนึงก็ยังดี
   
ผมกระดิกหางตอนที่บอสขยับตัวมากอดหัวผมจนหน้าผมจมไปกับอกของบอส
   
“...”
   
เมื่อยอ่ะ
   
ผมอยากจะร้องหงิงออกมาก็กลัวจะรบกวนบอส แต่ผมก็ไม่กล้าพอที่จะขึ้นไปนอนบนเตียงกับบอสอ่ะ ผมยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอที่จะนอนร่วมเตียงกับบอสแต่กล้ามเนื้อร่างกายผมก็เริ่มประท้วงแล้ว
   
‘ขึ้นไปเลย บอสไม่โกรธหรอกน่า’
   
เจ้าโบ้ดำแนะนำผม
   
‘แต่บอสอาจจะถือก็ได้นะ ใครจะไปรู้ บอสอาจจะไม่ชอบให้หมานอนบนเตียงด้วยก็ได้’
   
โบ้ขาวมองผมด้วยความสงสารเพราะมันก็เข้าใจดีว่าผมกังวลอะไร
   
‘แต่ครึ่งล่างนายจะไม่ไหวแล้วนะ คราม นายจะตายท่านี้ไม่ได้ มันไม่สมศักดิ์ศรีชาวอัลฟ่าโบราณอย่างเรา!’
   
‘ไม่มีใครตายเพราะเมื่อยหรอก!! ดำอย่าไร้สาระดิ้!’
   
‘พูดงี้ก็สวยเด้! มาสิ มา!!’
   
ผมสลัดหัวไล่โบ้สองตัวที่เริ่มกัดกันเองออกจากหัวเพราะเริ่มไร้สาระแล้ว ให้ตายเถอะ พอต้องตัดสินใจเองแบบนี้ผมก็กลัวอ่ะ ถึงบอสจะใจดีมากๆ แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองมีอภิสิทธิ์มากพอที่จะทำตามใจตัวเองได้ทุกอย่างหรอกนะ
   
หมาที่ถูกเก็บมาเลี้ยงอย่างผมน่ะ ต้องรู้สถานะของตัวเองให้มากๆ
   
ผมก็รู้แหละว่าตัวเองไม่เหมือนคนทั่วไป แล้วเจ้าสัญชาตญาณในตัวผมมันก็ไม่ค่อยคงที่ด้วย บางทีถ้าผมใกล้ชิดบอสมากไปแล้วเกิดคุมสติตัวเองไม่ได้ขึ้นมามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมไม่มีทางรู้เลยจริงๆ
   
ที่พวกรัฐบาลพยายามจับพวกผมไปก็อาจจะมีเหตุผลก็ได้ แต่มันก็ฟังไม่ขึ้นอยู่ดีที่คนที่โดนจับไปไม่เคยมีใครได้กลับมาเลย แบบนั้นก็เหมือนตายไปแล้วอ่ะ
   
ผมก็ไม่รู้หรอกว่าแม่ผมยังมีชีวิตอยู่ไหม ผมไม่กล้าแม้แต่จะเผื่อใจด้วยซ้ำ การยอมรับว่าท่านตายไปแล้วน่าจะเป็นอะไรที่ทำใจได้ง่ายกว่าเพราะผมคงทนใจสลายหลายๆ รอบไม่ได้
   
หงิง
   
สุดท้ายผมก็ร้องออกมาเพราะผมเมื่อยมาก

ผมแทบไม่รู้สึกถึงขาผมแล้วอ่ะ

“..ขึ้นมาสิ”

“!”

ผมสะดุ้งตอนที่อยู่ๆ ได้ยินเสียงกระซิบข้างหูผม

“เมื่อยไม่ใช่เหรอ”

แน่นอนว่าผมตะกายขึ้นทันทีแบบไม่รออะไรอีก

เจ้านายอนุญาตแล้ว!

ผมขยับตัวไปให้บอสซุกตัวได้ง่ายกว่าเดิม

ผมน่ะ ภูมิใจในขนตัวเองมากเลยนะเพราะมันนุ่มมากแถมตัวผมใหญ่มาก บอสกอดผมทั้งตัวได้สบายๆ เลย ซึ่งผมก็เผลอหูลู่ลงนิดๆ เพราะพอผมขึ้นมาเตียงก็ยวบเลยแถมเตียงก็ดูเล็กลงมากด้วย

“..ขอผมนอนต่ออีกหน่อยนะ”

บอสพึมพำเสียงเบาแล้วซุกบนตัวผม

“...”

ห้ามกระดิกหางเด็ดขาด! คราม! ห้ามกระดิกหางเด็ดขาด!!!

ผมรู้สึกใจฟูมากที่บอสยอมกอดผม คือบางทีผมก็กลัวว่าบอสกลัวร่างหมาป่าผมไง ถึงผมจะทำตัวเหมือนลูกหมาแค่ไหนก็เถอะแต่ขนาดตัวผมก็หมาป่าโตเต็มวัยดีๆ นี่เอง แค่แยกเขี้ยวพวกหมาแถวบ้านก็วิ่งหนีแล้ว
กลิ่นบอสหอมจัง

ผมเอาหน้าซุกข้างหัวบอสแล้วรู้สึกมีความสุขมากๆ เพราะมันเป็นกลิ่นฟีโรโมนของบอสที่ทำให้รู้สึกสงบและปลอดภัย แถมตอนนี้ก็ยังมีกลิ่นที่ชวนให้ประหม่าแปลกๆ ด้วย!

ผมหลับตาพริ้มแล้วหลับบ้าง

ถ้าเพื่อบอสไลม์แล้วจะให้ผมนอนอีกกี่ชั่วโมงผมก็ยอมอยู่แล้ว



“คราม”

ฮื่ออ

ผมขู่ในลำคอตอนที่ถูกเขย่าตัวเบาๆ

“ตื่นได้แล้ว”

กรรซ!

ชั่วพริบตาก่อนที่ผมจะคิดอะไรออก ร่างกายของผมก็ตะครุบ ‘อะไรสักอย่าง’ ที่มารบกวนเวลานอน ผมกางกรงเล็บตะปบบนไหล่ทั้งสองของมันบนพื้นและส่งเสียงขู่ออกมาดังกว่าเดิม

“คราม”

กรรซ

สัญชาตญาณในสายเลือดผมร้อนฉ่า ความหวาดระแวงที่ซุกซ่อนอยู่ใต้จิตสำนึกกระตุ้นให้ผมออกแรงกดมากกว่าเดิมและพร้อมจะ ‘ฆ่า’ สิ่งที่อาจจะทำร้ายผม

“...”

ผมหอบหายใจเสียงดังก้มมองศัตรูที่อยู่ใต้อุ้งเท้าของผมพร้อมกับปล่อยฟีโรโมนอัลฟ่าโบราณออกมา

กลิ่นอันทรงพลังที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตหน้าไหนสามารถต่อกรได้ทั้งนั้น และทำได้เพียงหมอบราบด้วยความหวาดกลัวเพื่ออ้อนวอนขอชีวิตกับพวกเรา

“..โบ้”

ผมหรี่ตามองมันและอดแปลกใจไม่ได้ที่มันไม่ได้กลัวผมอย่างที่ผมต้องการ หนำซ้ำนัยน์ตาสีฟ้าหลังแว่นตานั่นยังดูว่างเปล่าระคนยินดีที่อาจจะถูกผมฆ่าได้ทุกเมื่อ

โบ้?

ผมกระดิกหูงุนงง รู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนี้อย่างน่าประหลาด แต่ก็ไม่กล้าไว้วางใจมันและกดเล็บกับไหล่มันจนเลือดซึมออกมาเชิงข่มขู่

กรรซ

ผมคำรามในลำคอ

ที่นี่ที่ไหน ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

ผมต้องฆ่ามันไหม?

“...เด็กดี”

ทำไมมันถึงยังพยายามคุยกับผมล่ะ

ผมก้มลงและแยกเขี้ยวใส่มันเพราะมันพยายามปล่อยกลิ่นอัลฟ่าออกมาเหมือนกัน แต่กลิ่นอัลฟ่าของมันกลับไม่ได้ต่อต้านผมสักนิดหนำซ้ำกลิ่นนั้นมันยังทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้นด้วย

“จำผมไม่ได้เหรอ”

“...”

จำ?

ผมเลียเขี้ยวด้วยความงุ่นง่านใจเพราะเหมือนผมจะรู้จักกับมันแต่ผมกลับจำอะไรไม่ได้สักนิด
   
“โบ้”
   
อีกแล้ว ชื่อนี้อีกแล้ว ทำไมชื่อนี้ถึงทำให้ผมรู้สึกดีนะ
   
ผมมองมันด้วยสายตาไม่เป็นมิตรแต่มันก็ยังคงแสดงท่าทีจำยอมต่อผมจนผมเผลอผ่อนแรงกดมันโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่มันจะพยายามยกมือขึ้นมาลูบหัวผม
   
กรรซ
   
ผมขู่มือเล็กๆ นั่นที่พยายามจะแตะตัวผม
   
ทำไมมันถึงไม่กลัวผมเหมือนคนอื่นๆ ล่ะ
   
“...”
   
ผมนิ่งค้างตอนที่ปลายนิ้วเย็นเฉียบแตะแก้มผม
   
มันไม่กลัวผมเลยสักนิด?
   
ผมหรี่ตามองมันและพยายามคิดทบทวนในหัวว่าตัวเองรู้จักมันไหม แต่ถ้าถามว่าคุ้นไหมก็รู้สึกคุ้นๆ กลิ่นบ้างแถมร่างกายผมก็เหมือนจะชินกับสัมผัสของมันด้วย
   
“..ใคร”
   
ผมถามมันเสียงพร่า
   
แน่นอนว่ามันฟังยากเพราะผมยังอยู่ในร่างหมาป่า แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาของผม ถ้าเกิดมันไม่สามารถทำให้ผมจำได้หรือไว้ใจได้ ผมก็อาจจะต้องฆ่ามันเพื่อความปลอดภัยของตัวผมเอง
   
เพราะพวกอัลฟ่าโบราณอย่างพวกเราไม่ถูกนับว่าเป็นมนุษย์
   
เป็นเพียงเดรัจฉานสมควรตาย
   
และพี่น้องของเราก็ถูกพวกมันฆ่ามามากเกินพอแล้ว
   
“ไลม์”
   
มันยิ้มละมุนให้ผม
   
“เจ้านายของคุณ”
   
“…”
   
นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่มีมนุษย์ทั่วไปยิ้มให้กับผม
   
เป็นไปได้จริงๆ เหรอที่จะมีมนุษย์ที่ไม่กลัวพวกเรา ไม่อยากฆ่า ไม่อยากทำร้ายพวกเรา
   
มันเป็นไปได้จริงๆ เหรอ
   
ผมสบตากับนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนนั้นอีกครั้ง
   
นัยน์ตาที่สวยจนราวกับว่าช่วงชิงสีของท้องฟ้าในช่วงเวลาที่สวยที่สุดมาเป็นของตัวเอง
   
“..ไลม์”
   
ผมพึมพำชื่อของเขาเสียงแผ่ว
   
เจ้านายของผมงั้นเหรอ
   
“หิวรึยัง”
   
มือเล็กๆ นั่นลูบแก้มผมอย่างไม่นึกหวาดกลัว
   
“…”
   
ผมพ่นลมหายใจหนักๆ พยายามเค้นสมองอย่างหนักว่าตัวเองเป็นใครกันแน่
   
“คราม”
   
“..คราม”
   
ผมพึมพำตามอยู่สักพักก่อนจะสะดุ้งสุดตัวจนเกือบจะร้องเอ๋งออกมา
   
“ขอโทษครับ บอส ขอโทษ หงิงงง ขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ”
   
ผมรีบกระโดดจากตัวบอสแล้ววิ่งไปซุกมุมห้องด้วยความรู้สึกผิด
   
ผมเกือบจะกัดบอสแล้ว!!!
   
;w;
   
มีหมาที่ไหนที่เขากัดเจ้าของกัน!!
   
ยิ่งคิดผมก็ยิ่งรู้สึกผิด ผมเอาหน้าซุกเท้าแล้วร้องหงิงๆๆ ออกมาไม่หยุดเพราะไม่รู้จะเอาหน้าที่ไหนไปสู้หน้าบอส ให้ตายเหอะ ผมรู้แล้วว่าทำไมแม่ถึงได้กำชับผมนักหนาว่าก่อนนอนให้ล็อคห้องด้วยกุญแจหลายๆ ชั้น
   
เพราะผมควบคุมเจ้าสัญชาตญาณในตัวได้ไม่ดีพอไง!
   
แล้วผมก็เพิ่งรู้ตัวเป็นครั้งแรกด้วยว่าเจ้าสัญชาตญาณในตัวผมมันดุร้ายขนาดนี้ นี่อาจจะเป็นเหตุผลด้วยมั้งที่ทำให้อยู่รอดมาได้นานขนาดนี้ด้วยตัวคนเดียวอ่ะ
   
แถมผมยังทำบอสเลือดออกอีก
   
“ขอโทษจริงๆ ครับ ขอโทษจริงๆ”
   
ผมพึมพำขอโทษไม่หยุดเพราะรู้สึกว่าขอโทษยังไงมันก็ไม่พอสักที
   
“เพิ่งรู้ว่าพูดในร่างนี้ได้ด้วย”
   
เจ้านายที่แสนดีของผมก็ไม่โกรธผมเลยสักนิดตามมาลูบหัวปลอบผมที่รู้สึกผิดจะแย่อยู่แล้ว
   
“..พูดได้ครับ แต่มันฟังยาก ผมเลยไม่ค่อยอยากพูดเท่าไหร่”
   
และผมก็ทำให้มันฟังยากกว่าเดิมด้วยการมุดหน้าเข้ากับอุ้งเท้ามากกว่าเดิม
   
“คุณจะรู้สึกผิดทำไม ผมไม่ได้โกรธซะหน่อย”
   
หงิง
   
ผมหู่ลู่ลงหงอยๆ หมดมาดหมาป่าดุร้ายเมื่อกี้โดยสิ้นเชิง
   
“..แต่ผมทำบอสเจ็บ”
   
เสื้อสีขาวของบอสยังมีเลือดซึมอยู่เลย
   
“แผลแค่นี้เอง”
   
“..แต่มันก็เป็นแผลนะครับ”
   
สุดท้ายบอสก็เหมือนจะทนฟังผมร้องหงิงๆ ต่อไปไม่ไหว ก็ดึงหน้าผมที่ซุกอยู่ให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับบอส ผมหูลู่ลงและสั่นไปด้วยตอนที่เห็นสีหน้าจริงจังของบอส
   
“งั้นคุณรับผิดชอบแผลของคุณสิ”
   
“?”
   
ผมทำหน้างงใส่บอสและตกใจจนหางฟูกับประโยคต่อไป
   
“ปกติหมาอย่างคุณก็เลียแผลกันไม่ใช่เหรอ”
   
---------------   

 :z13:   

หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 6 11 ก.ย 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 11-09-2020 18:42:13
บอสสสสสส ทำไมรักษาแบบนี้ อู้ววว
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 6 11 ก.ย 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 12-09-2020 08:28:20
รอๆ
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 6 11 ก.ย 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 12-09-2020 08:58:22
โอ้...บอสคะ มันจะดีนะ  :pigha2:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 6 11 ก.ย 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 14-09-2020 00:12:39
 :hao5:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 6 11 ก.ย 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 14-09-2020 20:47:30
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 7 6 ต.ค 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 06-10-2020 23:20:02
ตอนที่ 7


“ปกติหมาอย่างคุณก็เลียแผลกันไม่ใช่เหรอ”

!!!!

“บอส บอสจะ จะให้ผมเลียแผลให้บอสจริงๆ เหรอครับ”

ผมถามบอสเสียงสั่น จะถอยหนีบอสอีกก็ไม่ได้เพราะบอสจับตัวผมไว้อยู่ ผมเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากประหม่าจนหางฟูไม่กล้าขยับตัว

“ผมจะโกหกคุณทำไม”

บอสพูดด้วยสีหน้านิ่งๆ ยอมปล่อยมือจากผมแต่ก็ไปปลดกระดุมตัวเองแทน

“บอส!!”

ผมร้องลั่นจนเกือบจะร้องเอ๋งออกมา

“ตกใจอะไร ทำเหมือนกับคุณไม่เคยเห็นผมเปลือย”

บอสหัวเราะเบาๆ แล้วเลิกเสื้อตัวเองลง ซึ่งพอผมเห็นแผลบอส มันก็ทำให้ผมโล่งใจไปเปราะนึงเพราะมันไม่ค่อยลึก บอสไม่น่าเจ็บมาก แต่ก็ยังเป็นรอยเล็บที่น่ากลัวอยู่ดี

“มองเฉยๆ ทำไม เลียสิ”

“!!”

ผมหูลู่ลงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบเดียวกับที่แม่ชอบด่าผมว่าโตแล้วอย่าทำหน้าแบบนี้

;w;

“คุณทำผมเจ็บนะ คราม”

“แต่มันสกปรกนะครับ”

ผมหมอบกับพื้น หมอบจนไม่รู้จะหมอบยังไงให้บอสรับรู้สักทีว่าผมยอมแพ้แล้ว อย่าแกล้งผมอีกเลย ผมก็เป็นแค่หมาที่บอสบังเอิญเก็บมาเลี้ยงเท่านั้นเอง  อย่าคาดหวังอะไรจากผมเลยนอกจากขนฟูไปวันๆ

“คราม”

บอสเรียกผมเสียงดุ

หงิงง

ให้ตายเถอะ ทำไมช่วงนี้มีแต่สถานการณ์ยากๆ ให้ผมต้องตัดสินใจกันนะ แล้วผมก็ไม่อยากพึ่งเจ้าโบ้สองตัวในหัวด้วยเพราะมันไม่น่าทัน นี่น่ะเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน ฉุกเฉินแบบสุดๆ

“คราม”

เอาก็เอาวะ! ทำแล้วก็ต้องกล้ารับ แค่เลียแผลเอง ไม่ยากสักเท่าไหร่หรอก

ผมยืนขึ้นและขยับตัวไปหาบอสอีกรอบโดยที่พยายามไม่ให้ตัวเองขาสั่น ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้เลยว่าทำไมพวกคนธรรมดาถึงได้กลัวอัลฟ่าหมาป่ากันนัก

ผมตัวใหญ่มากจริงๆ แต่ขนาดตัวของผมก็ดูจะไม่ได้ทำให้บอสกลัวเท่าไหร่ หนำซ้ำยังทำให้บอสดูจะพอใจมากขึ้นด้วยซ้ำที่ผมตัวใหญ่ขนาดนี้

“จะกลัวอะไรผมนัก”

บอสยกมือลูบคอผม นัยน์ตาสีฟ้าหลังเลนส์นั้นมองผมนิ่ง

“ผมสิต้องกลัวคุณ”

“…”

ผมสะบัดหูด้วยความงุ่นง่านใจเพราะยิ่งพอมองบอสใกล้ๆ มันก็ยิ่งทำให้ผมเขินจนทำอะไรไม่ถูก แล้วผมก็อยู่ในร่างหมาป่าด้วย ทำให้ประสาทการรับกลิ่นของผมมันได้กลิ่นฟีโรโมนของบอสอย่างชัดเจน

และแน่ล่ะ บอสเป็นพวกอัลฟ่าพิเศษ กลิ่นที่ปล่อยออกมานอกจากจะไม่ต่อต้านผมสักนิดแล้วมันยังชวนให้ผมรู้สึกอยากเข้าใกล้บอสมากยิ่งขึ้นด้วย

บอสตั้งใจปั่นหัวผมรึเปล่านะ?

แต่จะว่าไป กลิ่นแปลกๆ ที่ชวนให้ตื่นเต้นนั่นหายไปอีกแล้ว

มันคือกลิ่นอะไรกัน แล้วบอสสามารถควบคุมกลิ่นฟีโรโมนของตัวเองได้ขนาดไหน เชี่ยวชาญมากพอที่จะทำให้ผมตายเพื่อบอสได้รึเปล่า

“บอสแน่ใจแล้วใช่ไหมครับ”

ผมมองแผลบอสอีกรอบเพราะนี่มันผิดหลักสุขอนามัยสุดๆ ไปเลย แบบถ้าเป็นแผลผมเอง บางทีผมก็เลียแบบไม่คิดมากแหละ ไม่ก็ปล่อยให้มันหายเอง

“คุณกล้าไหมล่ะ”

มาถึงขั้นนี้แล้วผมก็ต้องทำแล้วอ่ะ

“..ก่อนจะผมจะเลีย ผมขอถามอะไรบอสได้ไหมครับ”

ผมมองรอยบวมจางๆ ใต้ตาของบอสที่ถ้าไม่อยู่ใกล้ขนาดนี้ก็คงไม่สังเกตเห็น

“อืม”

บอสพยักหน้าแต่มือก็ยังขยำขนของผมอยู่ซึ่งมันก็ขัดกับสีหน้าจริงจังเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นของบอสมาก

“บอกผมได้ไหมว่าบอสร้องไห้ทำไม”

“...”

และมันก็เป็นครั้งแรกที่บอสหลบตาผม

“เพราะเรื่องนี้รึเปล่าที่ทำให้บอสไม่อยากตื่นขึ้นมา”

สำหรับคนที่เหมือนจะเป็นเพอร์เฟคชั่นนิสต์อย่างบอส ผมว่าการเป็นคนตื่นยากไม่น่าจะใช่เรื่องบังเอิญเท่าไหร่ ไม่น่าจะเป็นนิสัยด้วยซ้ำเพราะคงไม่มีใครตื่นมาร้องไห้แบบบอสหรอก

นอกเสียจากว่าจะมีเรื่องบางอย่างในใจที่กวนใจ คอยกระซิบกระซาบตำหนิตอกย้ำถึงความผิดพลาดล้มเหลวหรือบางสิ่งที่บอสไม่สามารถทำให้มันสำเร็จตามที่ต้องการได้

“บอสบอกผมได้นะ”

อย่างน้อยถ้าจะให้ผมเลียแผลก็ขอให้ผมได้เลียแผลอีกแผลของบอสด้วยเถอะ
หมาอย่างผมเห็นเจ้านายเศร้านานๆ ไม่ไหวหรอกนะ

“..ผมยังไม่พร้อม”

บอสพูดกับผมเสียงเบา

“ถ้ามันเป็นความลับของบอส บอสก็ไม่ต้องบอกผมก็ได้ครับ ผมเข้าใจ”

ซึ่งดูเหมือนความลับนี้จะกวนใจบอสมากจนเผลอปล่อยมือจากตัวผมไปเลย สีหน้าของบอสจากปกติที่ดูเย็นชาอยู่แล้วตอนนี้ดูไร้อารมณ์มากกว่าเดิมอีก

“สำหรับคนอื่นมันเป็นความลับก็จริง แต่สำหรับหมาอย่างคุณ มันไม่ใช่ความลับหรอก”

“!”

ผมเผลอตัวแข็งไปเลยตอนที่อยู่ๆ ก็บอสยิ้มให้ผม

ให้ตายเหอะ บอสน่ารักชะมัด ถึงบอสจะหล่อมากแต่ก็น่ารักมากเลย

“ดีใจขนาดนั้นเชียว”

บอสหลุดหัวเราะเบาๆ เพราะหางเจ้ากรรมของผมกระดิกไปมาแรงมาก ซึ่งมันก็เป็นอีกครั้งที่เกลียดความตรงไปตรงมาของร่างหมาของตัวเอง คือมันแทบปกปิดอารมณ์อะไรไม่ได้เลย

อยู่ในร่างนี้ถ้ายืนเฉยๆ มันก็เท่แหละ แต่พอผมคิดอะไรสักอย่างก็หมดความเท่เลย

“แต่มีความลับนึงที่ผมจะไม่บอกคุณ”
   
“?”
   
ผมเอียงคอด้วยความอยากรู้
   
จะเกี่ยวกับกลิ่นแปลกๆ ของบอสรึเปล่านะ
   
“เดี๋ยวสักวันคุณจะรู้เอง”
   
หงิง
   
แล้วถ้าเกิดว่ามันไม่มีวันนั้นผมก็ไม่มีวันได้รู้สิ
   
ผมหงอยอยู่สักพักแล้วก็ถูกบอสรั้งคอลงมาให้ผมสนใจกับสิ่งที่ผมทำเอาไว้
   
“จัดการสิ ผลงานคุณไม่ใช่เหรอ”
   
บอสกระซิบข้างหูผมซึ่งมันก็ทำให้ผมโคตรจะประหม่าเลย ขนาดมือบอสผมยังไม่กล้าเลีย นับประสาอะไรกับแผลบอสล่ะ ผมจ้องแผลตรงไหล่บอสที่เลือดหยุดไหลไปแล้วแต่ก็รวบรวมความกล้าที่จะเลียไม่ได้สักที
   
ถ้าผมเลียแล้วแผลติดเชื้อล่ะ
   
สุดท้ายผมก็ตัดสินใจทำตามคำสั่งบอสไม่ได้เลยพยายามถอยห่างออกจากบอสแล้วทำหน้าน่าสงสารแทน ซึ่งท่าทางของผมมันก็คงดูน่าสมเพชมากจนบอสหลุดหัวเราะออกมาอีก
   
“ตอนนี้คุณอยู่ในร่างหมาป่าคุณก็ต้องเป็นหมาของผมสิ”
   
ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้บอสดูพูดเยอะกว่าปกติ แต่บอสก็ดูอารมณ์ดีที่ได้แกล้งผม
   
“ไม่อยากเป็นเด็กดีเหรอ”
   
“…”
   
งั้นหมายความว่าถ้าผมคืนร่างมนุษย์ผมก็ไม่ต้องทำตามคำสั่งบอสสินะ!
   
พอผมคิดผมก็รีบคืนร่างกลับเป็นมนุษย์ปกติทันทีโดยที่ลืมไปว่าผมกับบอสอยู่ใกล้กันมาก ทำให้พอคืนร่างเสร็จผมก็ยังถูกบอสรั้งตัวไว้อยู่ แถมตรงนี้ก็ไม่มีผ้าหรือชุดอะไรให้ผมมาปิดตัวด้วย!!!
   
;w;
   
หงิง
   
อีกแล้วเหรอ ผมตัดสินใจพลาดอีกแล้วสินะ
   
ผมหลับตาหยีถือคติที่ว่าถ้าผมไม่เห็นบอส บอสก็ไม่เห็นผมเหมือนกัน
   
“โอเคๆ ผมไม่แกล้งแล้ว”
   
บอสที่ดูเหมือนจะจนใจกับผมแล้วหยิบผ้าอะไรไม่รู้มาคลุมให้ผม ผมถึงยอมลืมตาและเห็นว่าบอสก็ยังนั่งข้างๆ ผมและมองผมอยู่
   
“เรื่องที่ผมร้องไห้ เดี๋ยวถ้าผมพร้อมเมื่อไหร่ผมจะเล่าให้คุณฟังเอง”
   
ผมนั่งจ๋องมองบอส เริ่มรู้สึกว่าอยากจะทำตัวให้เป็นประโยชน์มากกว่านี้
   
“ถ้าบอสมีเรื่องไม่สบายใจอะไรระบายให้ผมฟังได้เลยนะครับ หรืออยากให้ผมทำอะไรก็บอกผมได้เลย”
   
ผมไม่อยากเห็นบอสร้องไห้อีกแล้ว
   
“..ผมขอกอดคุณอีกได้ไหม”
   
“ได้ครับ”
   
แน่นอนว่าผมไม่มีทางปฏิเสธบอสอยู่แล้ว ถึงจะแอบเขินๆ ก็เถอะ แต่ผมก็เป็นคนเสนอตัวให้บอสเองนี่นา แล้วผมก็อยากให้บอสกอดด้วย ถ้าการกอดของผมมันจะทำให้บอสรู้สึกดีขึ้น
   
“..ขอโทษที่รบกวนนะ”
   
บอสพึมพำบอกผมแล้วขยับตัวมากอดผมซึ่งผมก็กอดบอสกลับและลูบหลังบอสไปด้วย
   
ให้ตายเถอะ ตัวบอสก็แค่นี้เองทำไมโลกถึงได้ใจร้ายกับบอสนักนะ
   
บอสฝังหน้ากับไหล่ผม ไม่ได้ร้องไห้แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากหลับตาปล่อยให้ผมกอด
   
“...”
   
ผมหน้าแดงเพราะรู้สึกว่ากลิ่นของบอสหอมขึ้น
   
“บอสชอบโดนกอดเหรอครับ”
   
ผมถามบอสเสียงเบา
   
“ไม่มีคนกอดผมนานแล้ว”
   
บอสตอบผมเสียงอู้อี้ไม่ยอมผละออกจากตัวผม ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้ว่าบอสน่าจะโหยหาการสัมผัสจากกอดมาก ผมพยายามลูบแผ่นหลังของบอสให้คลายความกังวลลง พยายามทำให้บอสรู้สึกดีขึ้นจากเรื่องราวแย่ๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
   
ผ่านไปสักพักใหญ่กว่าบอสจะปล่อยมือจากตัวผมและกลับไปนั่งข้างๆ ผมอีกครั้ง สีหน้าบอสดูผ่อนคลายขึ้นและเริ่มต้นพูดต่อด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ
   
“ผมเคยมีพี่ชายไม่เอาไหนอยู่คนนึง”
   
“...”
   
ผมไม่รู้ว่าเพราะกอดของผมรึเปล่าที่ทำให้บอสพร้อมที่จะเล่าความลับของตัวเองไวขนาดนี้ แต่ให้ตายเถอะ ถึงบอสจะพยายามทำตัวเหมือนปกติแต่ผมก็มองออกอยู่ดีว่าอารมณ์ข้างในบอสปั่นป่วนเป็นอย่างมาก
   
มันแสดงออกชัดทางแววตาและกลิ่นที่เปลี่ยนไป
   
“พี่ผมทำอะไรไม่เก่งสักอย่าง บริหารอะไรก็ไม่เป็นจนเกือบทำบริษัทล้มละลาย ที่ดีก็คงมีแต่เรื่องคุยฟุ้งกับใช้เงิน”
   
บอสยกข้อมือขึ้นและชี้ให้ผมดูรอยแผลเป็นทางยาวจางๆ ที่ผมไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน
   
“แผลนี้ผมได้จากตอนที่พี่ผมเมามาก”
   
บอสเหยียดยิ้ม
   
“แต่มันไม่ใช่ฝีมือพี่ผมหรอก คราม มันฝีมือพ่อผม พ่อเกลียดผม”
   
น้ำเสียงของบอสแข็งกร้าวขึ้นจนผมอยากร้องไห้
   
“ผมไม่รู้ว่าพ่อรักอะไรพี่ผมนัก ทั้งๆ พี่ผมแม่งทำห่าอะไรไม่เป็นเลย มีแต่เรื่องผิดพลาดที่ผมต้องตามไปเช็ดไปล้าง แต่ผมก็บ้ายิ่งกว่าที่ทำตามคำสั่งพ่อทุกอย่าง ขนาดตอนนี้พ่อผมนอนเป็นอัมพาตบนเตียง ผมยังไม่กล้าขัดคำสั่งเขาเลยคราม”
   
บอสหัวเราะ
   
“ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงอ่อนแอนัก ในสายตาทุกคนผมก็คงเป็นอัลฟ่าที่ประสบความสำเร็จ แต่ความเป็นจริงคือคนที่ประสบความสำเร็จคือพ่อผมต่างหาก เขาเก่งนะที่เลี้ยงผมขึ้นมาให้ผมกลายเป็นแบบนี้ได้”
   
“บอส”
   
ผมเรียกบอสเสียงเบาเพราะแววตาของบอสตอนนี้ดูเจ็บปวดมาก
   
“..จริงๆ ผมก็ทั้งเกลียดทั้งอิจฉาพี่ชายผมนะ ที่เขาได้รับความรักจากพ่อไปมากมายขนาดนั้น พ่อไม่เคยด่าพี่ผม ไม่เคยโทษพี่ผมอะไรสักอย่าง มีแต่ผมที่ทำผิดตลอด ผมผิดทุกอย่างนั่นแหละ แต่ผมก็เกลียดไม่ลงเพราะพี่ใจดีกับผม”
   
สุดท้ายบอสก็กลั้นน้ำตาไม่ไหวจนมันไหลออกมาช้าๆ บนสีหน้าว่างเปล่า
   
“ผมเคยคิดเล่นๆ ว่าถ้าไม่มีพี่ ชีวิตผมอาจจะมีความสุขมากกว่านี้ พ่ออาจจะรักผมมากกว่านี้ แต่มันไม่ใช่เลย คราม พอพี่ตายทุกอย่างมันแย่ลงกว่าเดิมอีก พอไม่มีพี่พ่อก็บ้ายิ่งกว่าเดิม หาว่าพี่ตายเพราะผมขับไม่ดี ทั้งๆ พ่อนั่นแหละที่เป็นคนขับ พ่อทำพี่ตายไม่พอยังทำหมาผมตายอีก มันเกินไปรึเปล่า ผม ผมจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว”
   
บอสสะอื้นจนตัวโยน
   
“พ่อผมอยากได้ทุกอย่างไปหมดเลย อยากได้ทั้งๆ ที่ผมไม่มีปัญญาจะหาเงินขนาดนั้นให้พ่อด้วยซ้ำ ผมเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว คราม ผมเหนื่อยมากจริงๆ ”
   
ผมขยับตัวเข้าไปกอดบอสอีกครั้ง พยายามประคับประคองตัวตนที่จวนเจียนที่ใกล้แตกสลายเต็มทีของบอสไม่ให้มันสูญสลายไปซะก่อน ผมไม่อยากจะคิดเลยจริงๆ ว่าบอสไม่เจอผม บอสจะต้องทนกับเรื่องเจ็บปวดนี้คนเดียวไปอีกนานเท่าไหร่กัน
   
“ถ้าเป็นไปได้ผมไม่อยากเกิดมาด้วยซ้ำ ผมไม่รู้ว่าตัวเองทนใช้ชีวิตในครอบครัวบ้าๆ นี้มาถึงตอนนี้ได้ยังไง ยอมให้พ่อมาบงการชีวิตผมตั้งแต่เกิดได้ยังไง! ผมอยากจะอ้วกทุกครั้งที่เห็นพ่อพูดสโลแกนของสูท สูทแห่งอิสรภาพบ้าบออะไร”
   
บอสหัวเราะเสียงขืน
   
“ตัวตนผมตอนนี้ ผมก็ไม่รู้ว่ามันใช่ผมจริงๆ ไหมหรือมันเป็นแค่สิ่งที่พ่อสร้างขึ้นมา ผมชอบทำเสื้อสูทพวกนี้จริงๆ ใช่ไหม ผมชอบมันจริงๆ ใช่ไหม แต่ถ้าผมไม่ทำ ผมก็ไม่รู้จะไปทำอะไรแล้ว ผมทำอย่างอื่นไม่เป็นเลย ผมจะทำยังไงดี คราม ผมไม่ไหวแล้ว ทำไมคนที่ตายวันนั้นถึงไม่ใช่--”
   
ผมยกมือขึ้นปิดปากบอสไม่ให้พูดต่อเพราะรู้ดีว่าบอสจะพูดคำว่าอะไร
   
ผมหลุบตามองบอส
   
“สำหรับผมแค่บอสมีชีวิตอยู่ ผมก็มีความสุขแล้ว ผมดีใจนะครับที่ได้เจอคนใจดีอย่างบอส”
   
ผมพยายามพูดช้าๆ ระมัดระวังคำพูดเพื่อไม่ให้เป็นผมเองที่ไปทำลายฟางเส้นสุดท้ายของบอสเข้า
   
ผมไม่อยากเสียบอสไป
   
แค่แม่คนเดียวมันก็มากเกินพอแล้วสำหรับผม
   
“ถึงผมจะรู้จักบอสได้แค่ไม่กี่วัน แต่ผมก็อยากให้บอสรู้นะครับว่ายังมีคนที่เชื่อมั่นในตัวบอสอยู่”
   
ผมสบตากับนัยน์ตาของบอสที่ยังคงสั่นระริก ก่อนจะดึงมือบอสที่จิกตัวเองแน่นมากุมเพื่อให้มือที่เย็นเฉียบของบอสอุ่นขึ้น เอาเข้าจริงผมอยากจะจูบมือบอสด้วยซ้ำแต่ผมก็ไม่กล้าพอ
   
“..คุณชอบผมขนาดนั้นเลย?”
   
“ชอบครับ”
   
สีหน้าของบอสดูว่างเปล่าจนผมปวดใจ
   
“ผมมีดีขนาดนั้นเลยเหรอ”
   
“ครับ”
   
“คุณก็แค่คิดไปเอง คราม คุณชอบผมเพราะผมบังเอิญเก็บคุณมาได้ ถ้าคนอื่นเก็บคุณไป คุณก็จะชอบเขาเหมือนกัน”
   
ผมพยายามมากที่จะไม่หน้าบึ้ง
   
ให้ตายเถอะ เห็นแบบนี้ผมก็เลือกเจ้าของนะ
   
“ไม่จริงสักหน่อย ไม่มีใครเขาเก็บหมาป่ามาเลี้ยงสุ่มสี่สุ่มห้าเหมือนบอสหรอกนะครับ”
   
“แค่หมาตัวเดียว ให้อาหารให้น้ำแค่นั้นมันก็ไม่ตายแล้ว”
   
ปากร้ายชะมัดเลย แต่ผมก็เข้าใจเพราะบอสตอนนี้เหมือนจะหลุดการควบคุมไปแล้ว ตัวสั่นจนถ้าผมต้องกระชับกอดให้แน่นกว่าเดิม
   
“ไม่ตายแต่ก็ยังต้องการความรักจากเจ้าของนะครับ”
   
“คุณไปหาจากคนอื่นเถอะ อย่ามาหาจากผมเลย”
   
บอสก้มหน้าไม่ยอมสบตาผม ไม่เหลือเค้าบอสที่สุขุมเยือกเย็นในเวลาปกติเลยแม้แต่น้อย
   
“ไม่ครับ ผมจะอยู่กับบอส”
   
ผมพูดช้าลง พยายามทำให้บอสใจเย็น
   
“ต่อให้บอสไม่เก่ง ไม่เข้มแข็ง ไม่รักผมแล้ว ผมก็จะอยู่กับบอส”
   
“…”
   
ผมดึงมือบอสขึ้นมาแนบแก้มพยายามซุกๆ ให้เจ้านายกลับมาอารมณ์ดีเหมือนเดิม
   
“..คุณจะไม่ทิ้งผมจริงๆ ใช่ไหม”
   
“ครับ”
   
ผมสิต้องกลัวบอสเอาไปทิ้งมากกว่า คือถ้าไม่มีบอสผมก็ไม่มีที่ไปแล้ว
   
“!”
   
กลิ่นของบอสเปลี่ยนไปอีกแล้ว
   
ผมหน้าแดงด้วยความประหม่าเพราะนอกจากกลิ่นบอสจะเปลี่ยนไปบอสก็เงยหน้าขึ้นมามองผม ใบหน้าน่ามองนั้นไม่ได้ร้องไห้แล้วแต่กลับมองผมแปลกๆ
   
ผมไม่รู้ทำไมอยู่ๆ ผมถึงรู้สึกเขินมากกว่าเดิม
   
บรรยากาศตอนนี้มันประหลาด ประหลาดเอามากๆ แต่ผมก็เลิกมองบอสไม่ได้
 
ให้ตายเถอะ
   
บอสตอนนี้น่าจูบชะมัด และแน่นอนผมไม่มีความกล้ามากพอที่จะพูดเหมือนเดิม
   
“อยากจูบผมเหรอ”
   
“!!!!!”
   
จากที่ผมคิดว่าตัวเองน่าจะหน้าแดงได้แค่นี้ตอนนี้ผมหน้าร้อนไปทั้งหน้า แถมยังตกใจจนหูกับหางโผล่อีก
   
“เอาสิ”
   
บอสหัวเราะเบาๆ แล้วยิ้ม
   
“ถือว่าเป็นรางวัลสำหรับเด็กดีอย่างคุณ”

------
 :call:
   
   



 



   
   




หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 7 6 ต.ค 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 07-10-2020 00:13:29
 :hao6:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 7 6 ต.ค 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 10-10-2020 10:24:19
ยังไงต่อ?
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 7 6 ต.ค 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 14-10-2020 19:02:27
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 7 6 ต.ค 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 14-10-2020 21:46:03
รอจ้า
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 7 6 ต.ค 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 15-10-2020 07:43:50
บอสจะปล่อยตัวตอนอ่อนแอไม่ได้นะ
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 8 14 ธ.ค 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 14-12-2020 10:28:53
ตอนที่ 8

   
“ไม่ ไม่ครับ ไม่ ผมไม่ได้คิดแบบนั้นเลยจริงๆ นะครับ”
   
ผมตกใจจนแทบจะร้องไห้ตอนที่บอสอ่านใจผมได้อีกแล้ว
   
สีหน้าผมชัดขนาดเลยเหรอ แต่ไม่เอาหรอก ถึงผมจะอยากจูบบอสก็จริง แต่ผมก็ไม่คิดจะฉวยโอกาสบอสตอนที่บอสอ่อนแอหรอกนะ
   
“จริงเหรอ?”
   
“..จริงครับ”
   
ผมหูลู่ตอบบอสเสียงเบาจนแทบจะไม่ได้ยินเสียงตัวเอง
   
“แล้วถ้าผมอยากจูบคุณล่ะ”
   
“…”
   
ให้ตายเถอะ ใครก็ได้บอกผมทีว่านี่คือบอสคนเดียวกับที่ร้องไห้เหมือนกี้ แต่ก็ดีแล้วแหละที่บอสกลับมาควบคุมสติตัวเองได้ แต่ทำไมพอควบคุมได้ทีไร บอสถึงชอบแกล้งผมทุกทีเลย!
   
;w;
   
ผมสบตากับบอสหงอยๆ
   
“..บอสไม่ได้แกล้งผมใช่ไหมครับ”
   
นัยน์ตาสีฟ้านั่นกลับมาเหมือนเดิมแล้ว ดูสุขุมเยือกเย็นควบคุมได้ทุกอย่างบนโลก และที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้แววตาของบอสดูสนุกอย่างเห็นได้ชัด
   
แต่ทำไมบอสถึงต้องสนุกที่ได้แกล้งผมล่ะ!
   
“ผมอยากจูบคุณไม่ได้เหรอ คราม”
   
“…”
   
จากที่ผมเป็นฝ่ายดึงมือบอสมาซุก ตอนนี้บอสดึงมือผมไปแนบแก้มตัวเองบ้าง บอสซุกกับมือผมแล้วช้อนตามองผมนิ่งๆ เหมือนตำหนิผมที่ไปขัดใจบอส
   

   
บอสโคตรน่ารักเลย
   
ผมหน้าแดงเพราะหางผมมันกระดิกเองอีกแล้ว แต่บอสก็น่ารักมากเลย สารภาพเลยว่าผมจำบอสสุดเท่วันแรกที่เจอกันแทบไม่ได้แล้ว
   
“..ผม ผมจูบไม่เป็นนะครับ”
   
ผมก้มหน้างุด เกิดมาผมยังไม่เคยมีแฟนเลย ที่ผ่านมาผมก็ไม่เคยสนิทกับใครเป็นพิเศษ บอสเป็นคนแรกเลยที่ผมได้ใกล้ชิดด้วยขนาดนี้
   
“ผมก็เหมือนกัน”
   
ผมเผลอกลั้นหายใจไปสักพักตอนที่บอสขยับเข้ามาหาผม กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพวกอัลฟ่าพิเศษที่ผมเคยได้ยินมาว่าหอมมากพอได้เผชิญด้วยตัวเองแล้วผมว่ามันมากกว่านั้นอีก
   
กลิ่นของพวกโอเมก้าเวลาฮีทอาจจะทำให้พวกอัลฟ่าบ้าคลั่ง
   
แต่กลิ่นของอัลฟ่าจิ้งจอกพวกนี้มันกลับทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายและยังควบคุมสติตัวเองได้ ผมนั่งนิ่งๆ สบตากับเจ้าของกลิ่นอันเย้ายวนที่ยังทำหน้านิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
   
ให้ตายเถอะ ทำไมบอสถึงไม่เขินบ้างเลยนะ
   
ผมกระวีกระวายนิดๆ ตอนที่บอสใช้แขนข้างนึงรั้งคอผมลงมา ใบหน้าที่ผมหลงใหลมองผมในระยะประชิดผ่านแว่นกราบบางที่ผมเริ่มจะรู้สึกว่ามันเกะกะจนอดไม่ได้ที่จะถอดมันออกให้บอส
   
“..ผมจูบคุณได้ใช่ไหม”
   
บอสกระซิบถามผม
   
“ครับ”
   
ผมสบตากับบอสที่ดูเด็กลงอย่างเห็นได้ชัด
   
“...”
   
ผมตื่นเต้นชะมัดเลย ช่วยด้วย ดีที่บอสเป็นคนเริ่มเพราะถ้าเป็นผม ผมคงนั่งตัวแข็งไม่กล้าทำอะไรบอสแน่ๆ ขนาดตอนนี้ผมยังไม่กล้าขยับตัวเลย
   
“!”
   
ผมหลับตาหยีตอนที่ถูกบอสจูบ ผมรู้สึกเหมือนหัวใจผมแทบจะหยุดเต้นด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแต่พอตั้งสติได้มันก็เต้นแรงกว่าเดิมเพราะบอสรั้งคอให้ผมให้จูบมันดูดดื่มยิ่งขึ้น
   
ผมหน้าร้อนไปทั้งหน้าแต่ก็พยายามจูบบอสตอบ ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าริมฝีปากบางเฉียบของบอสจะนุ่มขนาดนี้ ไม่สิ สิ่งที่ผมไม่คิดมาก่อนคือผมจะได้มีโอกาสจูบบอสต่างหาก!
   
“หึ”
   
บอสหัวเราะเบาๆ ในลำคอตอนที่ผมเป็นฝ่ายที่รุกบอสบ้าง ผมลืมตาขึ้นมามองบอสเพราะอยากเห็นสีหน้าบอสว่าเป็นแบบไหนตอนที่ถูกผมจูบ
   
บอสจะชอบรึเปล่านะ?
   
แน่นอนว่ามันเป็นจูบครั้งแรกของผม ผมเลยยังจูบไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ พยายามละเลียดริมฝีปากของบอสอย่างทะนุถนอมและประคองแผ่นหลังของบอสเอาไว้
   
ผมชอบบอส ชอบที่สุดเลย
   
ผมปรือตามองบอสที่หน้าแดงขึ้นมานิดๆ ด้วยความเทิดทูน อารมณ์ที่พุ่งสูงทำให้ผมควบคุมฟีโรโมนของตัวเองไว้ไม่อยู่ กลิ่นฟีโรโมนของพวกอัลฟ่าหมาป่านั้นรุนแรงจนทำบอสตัวสั่นตามสัญชาตญาณ
   
“ขอโทษครับ ขอโทษ”
   
ผมหูลู่ลงแต่ก็ยังไม่เลิกจูบบอส มัวเมากับรสหวานจางๆ ที่ติดปลายลิ้นและกลิ่นเฉพาะตัวของบอส ทั้งๆ ที่สามารถควบคุมให้ต่อต้านผมได้แต่บอสกลับไม่ทำและปล่อยให้ผมรุกล้ำเอาชนะอย่างง่ายดาย
   
ผมเคยได้ยินว่าถ้าอัลฟ่ากับอัลฟ่าจับคู่กันก็คงเหมือนน้ำกับไฟ
   
ถ้าไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยินยอมก็คงจะแผดเผากันไปข้าง
   
“บอสชอบไหมครับ”
   
ผมถามบอสเสียงเบาหลังจากจูบไปนานมากแต่สีหน้าบอสก็ยังไม่เปลี่ยนไปสักนิด นัยน์ตาที่มองผมยังดูสุขุมและหวานกว่าปกตินิดหน่อยเท่านั้นเอง
   
“อืม”
   
บอสพยักหน้าเบาๆ แล้วขยับมือไปจับหูของผมที่เลิกลู่ลงแล้ว
   
“ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกรัฐบาลถึงกลัวพวกคุณนัก”
   
หงิง
   
ผมร้องในลำคอประท้วงเพราะอยู่ๆ ก็ถูกบอสขยำหู
   
“ถ้าไม่ใช่เพราะว่าผมชินกับพวกแรงกดดันน่ากลัวพวกนี้ ผมคงจะร้องไห้ไม่ให้คุณจูบไปแล้ว คราม”
   
“..แล้วบอสชอบที่ผมจูบไหมครับ”
   
ผมยังไม่ได้คำตอบชัดๆ เลยว่าบอสชอบไหม แต่ผมน่ะชอบที่บอสจูบผมที่สุดเลย ไม่สิ จะกอดหรืออะไรถ้าเป็นเกี่ยวกับบอสผมก็ชอบทั้งนั้น
   
“บอสครับ”
   
ผมเรียกบอสซ้ำเพื่อเร่งรัดเอาคำตอบ เพราะบอสไม่ยอมพูดอะไรแถมยังเบือนหน้าหนีผมอีก
   
“ผมจูบเก่งไหม”
   
ผมกระซิบถามและเป็นฝ่ายที่ขยับเข้าไปหาบอสบ้าง หางผมกระดิกแรงขึ้นตอนที่ผมได้กลิ่นฟีโรโมนของบอสจากบริเวณซอกคอซึ่งมันก็หอมมากจนผมอดไม่ได้ที่จะจูบลงบนคอบอส
   
“…”
   
ผมเผลอหลุดยิ้มออกมาเพราะทุกครั้งที่ผมประทับจูบ บอสจะสูดหายใจเบาๆ เหมือนพยายามไม่ให้ผมรู้
   
“จะไม่บอกผมจริงๆ เหรอครับ”
   
ผมทิ้งหัวซบบนคอบอสออดอ้อนราวกับเป็นลูกหมา ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงเป็นหมาป่าตัวเขื่องที่สามารถทับเจ้านายให้แบนได้
   
“บอสครับ”
   
ผมพ่นลมหายใจใส่คอบอสเฝ้ารอคำชมจากเจ้านายอย่างใจจดใจจ่อ ช้อนตามองเสี้ยวหน้าบอสที่ยังนิ่งสุขุมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่
   
ผมยิ้มออกมาเพราะถึงแม้บอสจะไม่ได้พูดอะไร แต่กลิ่นฟีโรโมนของบอสตอนนี้มันกลับบอกทุกอย่างของบอสอย่างชัดเจน แถมหมาป่าอย่างพวกผมก็แทบจะสามารถจับอารมณ์จากกลิ่นได้ด้วยซ้ำ
   
“..บอส”
   
กลิ่นของบอสตอนนี้หอมมาก เหมือนกับกลิ่นดอกไม้อะไรสักอย่างที่ให้ความรู้สึกดีมาก ผมรู้ว่าบอสพอใจกับจูบของผม แต่สิ่งที่ผมต้องการคืออยากได้คำชมจากบอส
   
นิสัยหมาๆ อย่างผมยังไงสิ่งที่ชอบที่สุดก็คือคำชมของเจ้านายอยู่แล้ว
   
และเพราะบอสไม่ยอมพูดอะไรสักที ผมจึงอดไม่ได้ที่จะกระตุ้นบอสอีกเล็กๆ น้อยๆ ตามประสาลูกหมาที่ชิมทุกอย่างไปทั่ว
   
“!!!”
   
บอสสะดุ้งสุดตัวตอนที่ผมเลียคอจุดที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นจุดอ่อนไหวที่สุดของบอส
   
“อย่าเลีย”
   
บอสเอ็ดผมเสียงเบา
   
“ก็บอสไม่ยอมบอกผมสักที”
   
“ก็ดี” บอสพูดส่งๆ หน้าแดงขึ้นมาทันที “พอใจคุณรึยัง”
   
“พอใจแล้วครับ”
   
ผมกระดิกหางดีใจที่เห็นบอสแสดงอารมณ์มากขึ้น
   
“งั้นผมขอจูบอีกได้ไหมครับ”
   
“...”
   
ผมทำหน้าเศร้าขอความเห็นใจเพราะผมยังอยากจูบบอสอยู่เลย
   
“พอแล้ว”
   
บอสขมวดคิ้วแล้วทำหน้าดุใส่ผม
   
หงิง
   
“แล้วก็เลิกหงิงใส่ผมสักที ผมไม่ใจอ่อนหรอกนะ”
   
“ครับ”
   
ผมยอมผละออกอย่างว่าง่ายแต่ก็หงอยมาก ผมกระชับผ้าที่บอสให้มาคลุมตัวแล้วลุกขึ้นยืน พยายามไม่สนใจกลิ่นฟีโรโมนของบอสที่ยังอวลอยู่ในอากาศ ซึ่งมันก็แปลกตรงที่ผมรู้สึกว่ากลิ่นมันแรงขึ้นจนผมแทบจะไม่กล้าหายใจแรงๆ
   
ผมเลียริมฝีปากตัวเองที่ยังคิดถึงริมฝีปากนุ่มๆ เมื่อกี้อยู่
   
ผมอยากจูบบอสอีกจัง
   
;w;
   
ผมสะบัดหัวพยายามสลัดความคิดออก เพราะบอสบอกแล้วว่าพอแล้ว หมาที่ดีอย่างผมก็ต้องพอ
   
“ผมให้แค่รอบเดียวนะ”
   
“!”
   
ผมสะดุ้งเพราะอยู่ๆ คนที่บอกว่าจะไม่ให้ผมจูบแล้วกลับเป็นคนที่รั้งคอผมลงไปจูบซะเอง ผมโอบเอวบอสเอาไว้หลวมๆ และเพลิดเพลินกับจูบของบอสอีกครั้ง
   
ซึ่งครั้งนี้ก็ต่างออกไปตรงที่บอสเป็นคนที่เป็นฝ่ายต้องการผมอย่างเห็นได้ชัด
   
กลิ่นฟีโรโมนของบอสเปลี่ยนไปอีกครั้ง ครั้งนี้มันไม่ใช่กลิ่นหอมที่คล้ายดอกไม้แล้วแต่กลับเป็นที่คล้ายกับเหล้ารสแรง ที่จิบเพียงจิบเดียวก็สามารถทำให้คนที่จิบลืมไปว่าเป็นใคร
   
และใช่
   
ผมแทบจะลืมไปแล้วว่าผมต้องทำตัวเป็นหมาเชื่องๆ
   
เสียงจูบที่ฟังดูลามกอยู่แล้วยิ่งดูลามกกว่าเดิมเพราะทั้งผมทั้งบอสก็ต่างโถมใส่กัน ผมปรือตามองก็เห็นบอสที่ขมวดคิ้วมุ่นเหมือนไม่พอใจเท่าไหร่ที่ไม่ได้เป็นคนควบคุมการจูบครั้งนี้
   
“...”
   
และเพราะกำลังจูบอยู่ผมถึงยิ้มออกมาไม่ได้
   
เมื่อกี้บอสยอมให้จูบอาจจะเพราะรู้ว่าถ้าตัวเองเป็นฝ่ายเริ่มก่อนคงจะเผลอทำนิสัยเผด็จการออกมา เพราะปกติชีวิตปกติของบอสคงจะเป็นคนที่ควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างเอาไว้
   
เป็นเพอร์เฟคชั่นนิสต์ที่ต้องทำทุกอย่างให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้ล้มเหลวได้ เป็นเสาหลักเดียวของบ้านที่ต้องพยายามประคับประคองทุกอย่างไว้ด้วยตัวคนเดียว
   
เอาเข้าจริง ถ้าผมไม่มีโอกาสรู้จักกับบอสส่วนตัวแบบนี้ก็ไม่มีทางรู้เลยว่าเบื้องหลังความสำเร็จของบริษัทนั้นต้องแลกกับความเจ็บปวดของบอสไปมากขนาดไหน
   
“!”
   
ผมสะดุ้งเพราะอยู่ๆ บอสก็กัดปากล่างผม แต่พอผมเห็นสีหน้าบอสก็ถึงรู้ได้รู้ว่าบอสไม่ค่อยพอใจที่สุดท้ายแล้วบอสก็ไม่สามารถเอาชนะผมได้
   
นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนที่ปกติจะดูสุขุมเยือกเย็นอยู่เสมอตอนนี้ดูไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด
   
น่ารัก
   
น่ารักชะมัดเลย
   
แน่นอนว่าผมไม่โกรธที่ถูกกัดปากแถมยังแกล้งยอมแพ้บอส ปล่อยให้เป็นคนที่จูบผมต่อไปเพราะยังไงแค่ได้จูบบอส ผมก็ดีใจมากๆๆ แล้ว

ไม่สำคัญหรอกว่าผมจะเป็นคนจูบบอสหรือบอสเป็นคนจูบผม ในเมื่อผลลัพธ์ก็เหมือนกัน
   
ผมปล่อยให้บอสจูบผมต่ออีกสักพัก พยายามห้ามใจตัวเองไม่ให้ทำมากกว่าโอบเอวบอสเอาไว้หลวมๆ เพราะกลิ่นฟีโรโมนของบอสรอบนี้มันแรงมากจนผมแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้
   
ร่างกายของผมร้อนผ่าวไปทั้งตัว มึนเมาไปกับเหล้ารสหวานจากริมฝีปากบอส เพราะยิ่งจูบบอสนานเท่าไหร่ผมก็รู้สึกร้อนมากขึ้นเท่านั้น
   
ผมต้องการมากกว่านี้
   
“!!”
   
บอสสะดุ้งเฮือกตอนที่ผมกดสติตัวเองเอาไว้ไม่อยู่และใช้มือทั้งสองข้างขยำสะโพกของบอสเต็มแรง
   
ถึงแม้จะเป็นกางเกงแสลคกั้นอยู่แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงความนุ่มเต่งตึงของมัน เจ้าโบ้สองตัวในหัวพยายามเรียกสติผมคืนมาแต่ผมก็ผมยังห้ามตัวเองไม่ให้ขยำมันต่อไปไม่ได้
   
“..คราม”
   
เป็นบอสที่ยอมผละออกจากผมก่อนและจับมือผมเอาไว้
   
“...”
   
ผมรู้ว่าสภาพของตัวเองตอนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พลังมหาศาลของพวกอัลฟ่าหมาป่าในตัวผมช่วงนี้ก็ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย ทำให้ร่างกายของผมต้องการที่จะปลดปล่อยมากเป็นพิเศษ แถมสัญชาตญาณของอัลฟ่าหมาป่าก็ยังเป็นการวิ่งออกไปฟัดกับอัลฟ่าตัวอื่นอีก
   
ผมเลียเขี้ยวในปากพยายามกดความงุ่นง่านของตัวเองลง มองหน้าบอสที่ตอนนี้ยังไม่เลิกแดง
   
“..ไลม์”
   
ผมพึมพำออกมาเสียงต่ำซึ่งมันก็ทำหน้าบอสแดงยิ่งกว่าเดิมอีก
   
“..ออกจากห้องไปได้ไหม”
   
ผมเจ็บนิดๆ ตอนที่เห็นภาพตัวเองที่สะท้อนในแววตาของบอสคล้ายกับปีศาจ
   
ตาสีน้ำตาลของผมเปลี่ยนเป็นสีแดงเรืองรอง ใบหน้าผมกลายเป็นหมาป่าทั้งหมด มือของผมเปลี่ยนเป็นกรงเล็บไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ผมเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพราะกลัวว่าจะเห็นสีหน้าหวาดกลัวของบอส
   
น่าเกลียดชะมัดเลย
   
ผมก้มหน้างุดพยายามซ่อนกรงเล็บของตัวเองไว้ข้างหลังไม่ให้บอสเห็น เอาเข้าจริงผมอยากจะหายไปจากตรงนี้ด้วยซ้ำ ดีที่ผมไม่คืนร่างเป็นมนุษย์หมาป่าเต็มตัวไม่งั้นคงจะน่าเกลียดกว่านี้
   
ให้ตายเถอะ ใครจะไปรู้ว่าร่างมนุษย์หมาป่าที่ผมกดเอาไว้ได้หลายปีแล้วมันถึงมาโผล่เอาตอนนี้ล่ะ มันเป็นร่างที่ผมทนมองตัวเองในกระจกไม่ได้ด้วยซ้ำ
   
ขืนบอสอยู่ในห้องผมนานกว่านี้คงต้องโดนผมฟัดแน่ๆ แล้วคงจะไม่ใช่ฟัดแบบปกติที่ผมเคยไปไล่กัดพวกที่มาหาเรื่องผมด้วย
   
“..ไลม์ ออกจากห้อง”
   
ผมพยายามพูดอย่างยากลำบากระงับความต้องการของตัวเองอย่างสุดความสามารถ ใจจริงผมอยากตะครุบบอสมาก สัญชาตญาณในตัวผมกู่ร้องอย่างจะเอาชนะบอส อยากจะกำราบอัลฟ่าตัวอื่นที่กล้าเข้ามาในอาณาเขตของตัวเอง
   
“นี่ห้องผม ไม่ใช่ห้องคุณ”
   
ทั้งๆ ที่ฟีโรโมนของบอสตอนนี้แทบจะโดนกลิ่นของผมกลบหมดแล้ว แต่บอสก็ยังทำเหมือนไม่มีเกิดขึ้นจนผมรู้สึกกระสับกระส่ายอยากจะเอาชนะมากกว่าเดิม

กลิ่นของผมตอนนี้ทำเอาพวกอัลฟ่าที่เป็นถึงบอดี้การ์ดของพวกคนใหญ่คนโตกลัวจนขาสั่นเลยนะ แปลว่าพวกอัลฟ่าจิ้งจอกอย่างบอสก็น่าจะมีอะไรที่พิเศษพอที่พวกรัฐบาลถึงต้องการตัวเหมือนกัน

“..ไลม์ ผมจะไม่ไหวแล้ว”

ร่างกายผมยังคงร้อนผ่าวจากฟีโรโมนของบอส ผมตัวสั่นจนแทบจะควบคุมสติไม่อยู่แต่ก็พยายามกัดฟันกดสัญชาตญาณตัวเองไม่ให้เผลอทำร้ายบอส

“ผมจะช่วยคุณเอง”

บอสหัวเราะเบาๆ ก่อนที่ผมจะสะดุ้งกับเสียงโซ่จนต้องหันไปมองว่าบอสหยิบอะไรติดมือมาด้วย

“!!”

ผมกลืนน้ำลายเอือกเพราะไม่คิดว่าของที่เพิ่งไปซื้อมาจะได้ใช้ไวขนาดนี้ ไม่สิ ไม่คิดว่าจะได้ใช้ล่ามผมในร่างนี้ด้วย!

“...”

ทำไมโซ่ที่ผมรู้สึกว่าวันนั้นมันเล็กแต่วันนี้มันถึงใหญ่นักล่ะ ไม่สิ นั่นไม่ใช่ประเด็นแต่ประเด็นคือบอสจะช่วยผมยังไงต่างหาก บอสจะยอมให้ผมฟัดจริงๆ เหรอ

ผมเลียเขี้ยวด้วยความประหม่า ถ้าผมยังเป็นร่างมนุษย์ทั่วไปตอนนี้คงหน้าแดงไปถึงคอ ผมมองบอสที่เข้ามาใกล้ผมด้วยอารมณ์ที่เหมือนจะพาผมไปเดินเล่นมากกว่า

ผมก้มหน้างุดอายๆ เพราะผ้าคลุมตัวผมมันหลุดไปตั้งนานแล้ว ส่วนที่ร้อนผ่าวที่สุดในร่างกายผมมันก็แข็งขืนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดจนผมไม่รู้จะปกปิดมันยังไง

“ผมจะใช้ปากให้คุณ”

บอสพูดเสียงเรียบพร้อมๆ กับเอาโซ่มาพันธนาการมือของผมทั้งสองข้างให้ติดกัน แน่นอนว่าผมยอมแต่โดยดีเพราะผมก็กลัวว่าตัวเองจะเผลอทำร้ายบอสโดยไม่รู้ตัว

แต่เดี๋ยวก่อนนะ บอสจะ จะใช้ปากให้ผมเหรอ!!!

ผมตกใจจนหูหางฟู ลืมความต้องการของตัวเองไปชั่วคราว

“..บอสแน่ใจแล้วใช่ไหมครับ”

ผมถามเสียงสั่นตอนที่ถูกบอสดันให้ผมไปนั่งลงบนเตียง หูผมตั้งขึ้นตอนที่เห็นบอสล่ามโซ่ไว้กับหัวเตียง จับจ้องเสื้อเชิ้ตขาวที่แนบไปบนแผ่นหลังของบอสไม่วางตา

...ให้ตาย

ผมหลับตาเลียเขี้ยวอีกด้วยความงุ่นง่าน หอบหายใจแรงขึ้นเมื่อได้กลิ่นบอสเข้ามาใกล้อีกครั้ง

“เปลี่ยนใจยังทันนะครับ”

ผมพูดเสียงเบาตอนที่ลืมตาขึ้นมามองแล้วเห็นบอสนั่งคุกเข่าตรงหน้าผมแล้ว

“เลิกพูดสักที”

“!!”

ผมตัวแข็งทื่อเมื่อถูกมือเย็นเฉียบของบอสแตะส่วนนั้น หูผมขยับไปมาเพราะรู้สึกกระสับกระส่ายผสมกับอาย ความรู้สึกเสียวซ่านจากส่วนที่อ่อนไหวที่สุดทำเอาผมครางแผ่วในลำคออย่างห้ามไม่ได้

“คุณเป็นแบบนี้ก็เพราะผมส่วนหนึ่ง คราม”

“...”

ตอนนี้หัวของผมแทบจะว่างเปล่า ผมคิดอะไรไม่ออกสักนิดนอกจากมองคนตรงหน้าที่ยังดูสุขุมและทำเหมือนกับว่าสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้เป็นอีกกิจวัตรหนึ่งที่ปกติเอามากๆ

“..ผมสิต้องถามคุณ”

สีหน้าที่ดูสุขุมมาตลอดถึงได้แดงขึ้นมาบ้าง

“คุณจะยอมให้ผมช่วยไหม”

แน่นอนว่าผมพยักหน้าแบบไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ผมหอบหายใจดังกว่าเดิมตอนที่บอสใช้มือกำของผมด้วยสีหน้ากังวล

“..ทำไมมันใหญ่ขึ้นล่ะ”

บอสพูดพึมพำกับตัวเองเสียงเบาแต่ผมกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน ผมเลียเขี้ยวอีกครั้ง ร่างกายสั่นเทาอยากจะพังโซ่ทิ้งแล้วตะครุบตัวบอสเพื่อทำรักมาก แต่ผมก็รู้ว่าถ้าผมทำมันจริงบอสต้องเจ็บมากแน่

ผมเกลียดร่างนี้มากเพราะถ้าเผลอหลุดแล้ว ผมจะขาดสติไปเลย ครั้งก่อนผมเผลอปล่อยร่างนี้ออกมาตอนที่กำลังจะถูกรุมทำร้ายและมันก็ช่วยพาผมรอดออกมาถึงห้องได้โดยที่ผมจำอะไรไม่ได้สักนิด รู้แต่ว่าพอตื่นมาอาบน้ำถึงรู้ว่าทั้งตัวของผมเต็มไปด้วยเลือดของพวกมัน

ดีหน่อยที่หลังจากนั้นไม่มีข่าวพวกบอดี้การ์ดหรือใครตาย ผมเลยสบายใจขึ้นที่ไม่ได้เผลอพลั้งมือฆ่าใครเข้า ถึงแม้ว่าผมจะเกลียดพวกอัลฟ่าพวกนั้นมากก็ตาม

“..ไลม์”

ผมพึมพำเรียกบอสที่เอามันไปแนบกับแก้มตัวเองแล้วช้อนตามองผม ดูไม่กลัวผมในร่างมนุษย์หมาป่าสักนิด

“ผมไม่เคยทำให้ใครมาก่อน อาจจะไม่เก่งเท่าไหร่นะ”

พูดจบบอสก็อ้าปากและลองใช้ลิ้นแตะมัน

ผมหอบหายใจแรงกว่าเดิม ตาของผมร้อนผ่าว ผมเกร็งและกระตุกเป็นพักๆ ตอนที่บอสเลีย ช่วงไหนที่ผมหลุดครางออกมาบอสจะจงใจดูดและเลียส่วนนั้นเป็นพิเศษ

แกร๊ง!!

“อย่าใจร้อนสิ”

บอสขมวดคิ้วเอ็ดผมที่เผลอกระทุ้งตัวใส่ปากบอส

“ขอโทษครับ”

ผมพูดทั้งๆ ที่ทนแทบไม่ไหวแล้ว ขาของผมสั่นไม่หยุด

“ของคุณมันใหญ่ ถ้าไม่ระวังมันจะโดนฟันผม”

ในระหว่างที่พูดบอสก็เปลี่ยนจากเป็นมือมารูดให้ผมแทน

“แล้วผมก็ไม่อยากสำลักด้วย”

“..ครับ”

สุดท้ายแล้วผมก็ยังแพ้ทางให้กับบอสอยู่ดีและปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่บอสทำให้ มันทำให้ผมรู้สึกดีกว่าทำด้วยตัวเองอีก ผมจ้องบอสนิ่ง หายใจช้าๆ พยายามไม่ให้ตัวเองเผลอทำตามใจอีก

ท่าทางของผมอาจจะดูน่าสงสารมาก บอสถึงได้ยอมเอามันเข้าไปในปากมากขึ้น

“...”

ผมกลืนน้ำลายเอือกเพราะบอสหน้าแดงขึ้นมาทันทีที่มันดันกระพุ้งแก้มจนเป็นทรง ซึ่งพอผมกระพริบตาสีหน้าบอสก็กลับมาปกติแล้ว บอสกลืนเข้าไปลึกขึ้นจนผมรู้สึกเสียววูบในท้อง

“ไลม์”

ผมครางชื่อบอสออกมาตอนที่บอสขยับเร็วขึ้นแถมยังแกล้งดูดแรงๆ จนเกิดเป็นเสียงที่ฟังดูลามกจนผมอยากจะเอามือปิดหน้าตัวเอง แต่ติดที่ว่ามือผมโดนล่ามแล้วเลยได้แต่มองบอสที่ยังใช้ปากทำให้ผมอย่างกระตือรือร้น

ผ่านไปสักพักใหญ่จนเปียกชุ่มไปทั้งลำแต่ผมก็ยังไม่แตกอยู่ดีจนบอสยอมผละออก

“..ผมเมื่อยแล้วนะ”

บอสขมวดคิ้วแล้วใช้หลังมือเช็ดน้ำลายที่ยืดออกมาจากปาก

“ขอโทษครับ”

ผมก้มหน้างุด

“คุณชอบอะไรเป็นพิเศษไหม ผมจะได้ทำ”

“...กลืนลึกๆ ครับ”

ผมตอบเสียงเบาอายๆ แต่ก็แอบเหลือบมองบอสเพราะอยากรู้ว่าท่าทีตอบรับของบอส

“...”

บอสหน้าแดงอีกแล้ว!

น่ารักชะมัดเลย

บอสขมวดคิ้วเหมือนจะไม่พอใจที่หน้าตัวเองไม่เลิกแดงสักที ก่อนจะรับมันเข้าไปในปากอีกครั้งทั้งๆ ที่หน้ายังแดงอยู่

“—แค่ก”
   
ครั้งนี้บอสเหมือนจะกะจังหวะผิดแล้วมันเข้าไปลึกเกินจนสำลักออกมา บอสขมวดคิ้วมากกว่าเดิมและพยายามกลืนต่อให้หมดเพราะเมื่อกี้รับเข้าไปแค่ครึ่งเดียว
   
ผมอยากจะบอกบอสว่าถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องก็ได้นะครับแต่ก็พูดไม่ออก
   
“..ฮื่อ”
   
ผมคำรามในลำคอขบกรามแน่น เกร็งไปทั้งตัวเพราะใกล้จะปลดปล่อยเต็มทน
   
ไม่ไหว ผมจะไม่ไหวแล้ว
   
“ไลม์ ผม—จะ—แตกแล้ว”
   
ถ้ามือของผมไม่ถูกล่ามอยู่ ผมคงจะดึงบอสออกแล้ว ผมไม่อยากให้บอสกลืนมันลงไป เลยได้แต่พยายามพูดทีละคำอย่างยากลำบาก
   
“ไลม์!!”
   
ทำไมบอสถึงไม่ยอมปล่อยสักที!
   
สุดท้ายผมก็ทนไม่ไหวพยายามพังโซ่แต่ก็ทำไม่ได้เพราะบอสมัดไว้หลายทบมาก ผมเขย่าขาทนจนแทบจะทนไม่ไหวแล้วแต่เจ้าของชื่อก็ดูจะไม่สนใจผมสักนิด อมเข้าไปจนมิดลำด้วยสีหน้าหน้าปกติ
   
ผมทนต่อได้ไม่นานเท่าไหร่ก็แตกจริงๆ
   
“...”
   
ผมมองบอสที่กลืนมันลงไปทั้งหมดโดยไม่สำลักอึ้งๆ หนำซ้ำพอมั่นใจว่ากลืนหมดแล้วบอสก็ยอมปล่อยมันออกแล้วใช้หลังมือเช็ดปากตัวเองที่เลอะคราบสีขาวด้วย
   
“ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เอาออกเหรอ”
   
บอสถามผมเสียงเรียบแล้วเลียคราบที่เหลือบนหลังมือ
   
“..ครับ”
   
ผมพึมพำตอบเสียงเบา รู้สึกเขินบอสจนอยากจะสลบหนีความจริงให้รู้แล้วรู้รอด ดีหน่อยที่บอสไม่ได้ถามอะไรผมอีกและช่วยเอาโซ่ที่ล่ามมือผมไว้ออก
   
“พรุ่งนี้ผมจะเข้าออฟฟิศ คุณอยากไปด้วยไหม”
   
“อยากไปครับ”
   
ผมยกมือลูบหน้าตัวเองที่กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วหลังจากที่ปลดปล่อยไป รู้สึกดีมากที่ผมไม่ดูเป็นปีศาจแล้วเพราะผมไม่อยากให้บอสรู้จักผมในร่างนั้นเท่าไหร่
   
“อืม”
   
บอสพยักหน้าเชิงรับรู้แล้วกอดอกยืนจ้องหน้าผมที่ยังนั่งจ๋องอยู่บนเตียงเหมือนเดิม
   
“?”
   
ผมกระพริบตาปริบงุนงงเริ่มรู้สึกประหม่า
   
“ร่างเมื่อกี้ก็เท่ดี”
   
บอสยิ้มบางให้ผม
   
“แต่ไม่ว่าจะร่างไหน ผมก็จะชอบทั้งนั้นแหละ คราม”

หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 8 14 ธ.ค 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 14-12-2020 19:49:14
บอสอยากก้อบอก คือแซบมาก
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 8 14 ธ.ค 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 15-12-2020 00:15:24
หายไปนาน ติดตามอยู่นะครับ
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 8 14 ธ.ค 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 15-12-2020 22:28:14
บอสแซ่บเว่อร์ นี่แค่ชิมนะ 5555  :impress2: โอ้ยยเอ็นดูเจ้าหมาครามไม่ไหวแล้ว ตอนที่เจอกันครั้งแรกสภาพซะน่าสงสารเชียว พอเอามาอยู่บ้านก็กลัวเขาจะรำคาญ บอกให้ปล่อยข้างถนน โถน่าเอ็นดูไปไหน ร้องหงิงๆ 555 บอสเป็นพวกกดดันและเก็บกดสินะถึงได้เย็นชาแบบนี้ นอกจากนี้ยังต้องซ่อนความเป็นตัวเองไว้อีก สิ่งที่บอสแสดงออกมากับครามนี่ละคือตัวตนบอส แอบยั่วเยเบาๆ 5555 ต่อไปเจ้าหมาต้องได้ปกป้องบอสของเราแล้ว  :-[ เจ้าหมาครามดูซื่อๆแต่แอบซ่อนความร้ายในตัวสูงนะเนี้ย หลอกล่อเก่ง 5555 เฮ้ยย!!สนุกดีค่ะ ลองเข้าอ่านเล่นๆแต่ดันเพลินมาก อ่านง่าย ไม่ค่อยมีคำผิดดีด้วย รอตอนต่อไปเลย จะเป็นไงตอนไปทำงาน ขอบคุณนะคะที่แต่งมาให้อ่าน  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 8 14 ธ.ค 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 18-12-2020 18:05:53
ฮอตมากเวอร์ค่ะ เป็นเอ็นดูคราม ข่มตัวเองสุดๆ
ไลม์น่าสงสารนะคะ เข้าใจที่ไลม์บอกเลย ถึงโตแล้วก็ยังกลัว
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 8 14 ธ.ค 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 20-12-2020 22:29:49
บอสแค่อยากช่วยหรืออยากลองคะ. ครั้งแรกก็ทำเหมือนเชี่ยวเลยนะ
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 8 14 ธ.ค 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 21-12-2020 14:33:14
หรือว่าบอสจะเป็นโอเมก้ากันนะ?
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 9 23 ธ.ค 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 23-12-2020 18:20:38
  ตอนที่ 9

“อีกสิบห้านาทีลูกค้าผมจะมา คุณรออยู่ในห้องนี้นะ”
   
“ครับ”
   
ผมตอบบอสแล้วนั่งลงบนโซฟาซึ่งบนโซฟามีทั้งหมอนและผ้าห่ม ถ้าให้ผมเดาโซฟานี้น่าจะเป็นที่นอนประจำของบอสเวลาที่ค้างออฟฟิศ
   
“ไม่น่าเกินสองชั่วโมง ผมจะกลับมา ถ้าเบื่อก็หาอะไรในห้องเล่นก็ได้”    
   
บอสพูดไปเช็คความเรียบร้อยของตัวในกระจกไป ทั้งๆ ที่ผมก็รู้สึกว่าบอสตอนนี้ก็ดูดีมากๆ แล้ว ไม่สิ ใช้คำว่าสมบูรณ์แบบมากน่าจะถูกกว่า เพราะวันนี้ทั้งชุดสูทกระดุมสองแถวสีดำของบอสและทรงผมที่บอสเซ็ตมันไม่เหมือนที่ผมเคยเห็นมาสองสามวันนี้
   
ตอนบอสออกจากห้องน้ำเล่นเอาผมหน้าแดงเลย
   
จากที่ผมคิดว่าบอสดูสมบูรณ์แบบอยู่แล้วตอนนี้บอสดูสมบูรณ์แบบยิ่งกว่าเดิมอีก ดูเป็นอัลฟ่าที่ยิ่งใหญ่จนสามารถครองโลกได้ ผมไม่แปลกใจเลยทำไมบริษัทสูทของบอสถึงกลับมาเป็นผู้นำในวงการ
   
แต่ให้ตายเถอะ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบอสตอนนี้หล่อมาก แถมกลิ่นอัลฟ่าของบอสวันนี้ก็เป็นกลิ่นแบบที่ผมเจอบอสครั้งแรกอีก ถึงจะมีกลิ่นน้ำหอมกลบก็เถอะแต่ผมก็ยังสามารถได้กลิ่นฟีโรโมนของบอสอย่างชัดเจน
   
ผมไม่รู้ว่าเพราะบอสเครียดรึเปล่า กลิ่นหอมที่ชวนให้รู้สึกปลอดภัยนั่นถึงได้ดูจางลงมากแต่สิ่งที่ยังเหมือนเดิมคือมันเหมือนซุกซ่อนอะไรไว้อีกแล้ว
   
ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมกลิ่นที่ดูลึกลับนี่ถึงมีเป็นช่วงๆ เมื่อวานผมอยู่กับบอสทั้งวันก็ไม่เห็นจะได้กลิ่นแบบนี้เลย มีแต่กลิ่นฟีโรโมนของบอสที่ทำให้ผมเกือบจะขาดสติแบบเพียวๆ
   
“...”
   
ผมหน้าแดงเมื่อเผลอนึกถึงเรื่องเมื่อวานขึ้นมาอีกแล้ว
   
“หน้าแดงทำไม”
   
บอสที่ดูเหมือนจะสำเร็จตัวเองจนพอใจแล้วเดินมายืนมองผมงงๆ
   
“ไม่มีอะไรครับ”
   
ผมไม่กล้าพูดเรื่องเมื่อวานหรอกนะ มันน่าอายจะตาย ถึงบอสจะมองว่ามันเป็นเรื่องปกติก็เถอะ แต่ผมก็อายนี่นาที่ปล่อยในปากบอสมากขนาดนั้นแถมยังทำตามใจตัวเองอีก
   
ผมมองริมฝีปากบางของบอสที่ดูปกติ ดีที่มันไม่บวมหรือเป็นอะไร ไม่งั้นผมคงจะรู้สึกผิดมาก
   
“อยากจูบผมเหรอ”
   
“..เปล่าครับ”
   
ผมหน้าแดงกว่าเดิมเพราะพอบอสถาม ผมก็ดันอยากจูบขึ้นมาจริงๆ
   
“แต่ต่อให้คุณอยากจูบ ผมก็ให้คุณจูบไม่ได้หรอก คราม”
   
บอสหัวเราะเบาๆ ดูผ่อนคลายลงนิดหน่อยหลังจากที่ดูเครียดตั้งแต่เช้า
   
“ผมปล่อยให้ตัวเองมีกลิ่นอัลฟ่าคนอื่นติดตัวไม่ได้”
   
ผมพยักหน้าหงึกหงักเชิงเข้าใจเพราะบอสกับผมก็ไม่ได้เป็นอะไรกันถึงขั้นนั้น จะปล่อยให้มีกลิ่นผมบนตัวบอสก็คงไม่เหมาะเท่าไหร่ แถมบอสยังต้องไปเจอลูกค้าอีก
   
“ถึงบ้านเมื่อไหร่ ถ้าผมอารมณ์ดีผมจะยอมให้จูบนะ”
   
“ครับ”
   
ให้ตายเถอะ ผมอยากกระดิกหางชะมัดเลย แต่ผมก็ต้องอดทนเอาไว้เพราะอยู่ข้างนอก
   
“ตั้งใจเฝ้าห้องล่ะ”   
   
“ครับ!”
   
ผมรับคำขึงขัง ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะมาเป็นบอดี้การ์ดให้บอส แต่ไปๆ มาๆ ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองเหมือนสัตว์เลี้ยงที่เจ้านายเอามาทำงานด้วยมากกว่า แต่เอาเถอะ แค่ได้ทำประโยชน์ให้กับบอสบ้างผมก็รู้สึกดีแล้วล่ะนะ
   
ผมมองตามหลังบอสจนกระทั่งประตูปิดลงแล้วก็นิ่งไปสักพักเพราะไม่รู้จะทำอะไรต่อ เอาจริง นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีเลยมั้งที่ผมมีเวลาว่างจนนั่งไร้สาระได้แบบนี้
   
ปกติผมตอนนี้ถ้าไม่หางานใหม่อยู่ก็คงทำงานอะไรสักอย่างอยู่ แบบถ้าหางานยามไม่ได้ก็ต้องไปรับงานรับจ้างทั่วไปที่พอได้เงินมาประทังชีวิตอ่ะ ยอมรับเลยว่าพอได้มาอยู่กับบอสแล้วชีวิตผมก็ดีขึ้นมากจริงๆ
   
ผมไม่ต้องกลัวว่าจะต้องหิวหรือไม่มีที่อยู่อีกต่อไปแล้ว
   
ผมน้ำตารื้นขึ้นมานิดหน่อยด้วยความซาบซึ้ง สาบานได้เลยว่าที่ผมเคยคิดว่าจะยอมตายเพื่อบอส ผมว่าผมทำมันได้จริงๆ จะตายหรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น ถ้าเพื่อบอสแล้วผมจะยอมทำทุกอย่างเลย!
   
แต่ผมก็รู้อีกแหละว่าบอสก็ใจดีเกินกว่าจะให้ผมไปทำอะไรเสี่ยงๆ เพื่อตัวเอง แต่ถ้าต้องเลือกระหว่างชีวิตตัวเองกับชีวิตบอสผมก็ต้องเลือกชีวิตบอสอยู่แล้ว ถึงจะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วันก็เถอะ
   
ช่วยไม่ได้ ก็ผมไม่เจอคนที่ดีกับผมขนาดนี้มานานแล้วนี่นา
   
ผมเดินสำรวจห้องทำงานบอสอีกครั้งด้วยความชื่นชมเพราะมันสวยและดูเป็นระเบียบมาก แบบมันเป็นห้องทำงานที่น่าจะมีครบทุกอย่างที่บอสจะใช้ในการทำงาน บนชั้นหนังสือเต็มไปด้วยนิตยสารแฟชั่นและหนังสือ ส่วนบนผนังมีภาพที่บอสได้รับรางวัลสุดยอดแบรนด์แห่งปีเมื่อสองปีที่แล้ว
   
“...”
   
ผมมองรูปบอสที่ยิ้มรับรางวัลนั้นสักพัก
   
บอสในรูปก็ยังดูสมบูรณ์แบบเหมือนเดิม แววตาสีฟ้าของบอสไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรมากมายนักแต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงความเหนื่อยล้าที่ซ่อนไว้หลังแววตานั้น
   
ภายใต้ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่สิ่งที่บอสต้องแลกก็คือชีวิตของตัวเอง ทุ่มเททุกอย่างให้มันด้วยตัวคนเดียวโดยไม่มีโอกาสที่จะผิดพลาด เพราะถ้าบอสผิดพลาดก็คงจะไม่มีใครสามารถกอบกู้สถานที่เลวร้ายของแบรนด์ขึ้นมาได้อีกแล้ว
   
ทุกความเจ็บปวดและน้ำตาของบอสจึงถูกเก็บเป็นความลับ ซ่อนเอาไว้เบื้องหลังรอยยิ้มและความสำเร็จที่ทำให้ผู้คนต่างอิจฉาตาร้อน ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงมันคือการขายวิญญาณของบอส
   
ผมไม่รู้ว่าบอสต้องลงทุนลงแรงไปมากขนาดไหนกับการรีแบรนด์ เพราะผมจำได้ว่าเมื่อก่อนมันเป็นแบรนด์สูทราคาปานกลางที่มีร้านอยู่แทบจะอยู่ทุกจุดที่มีคนพลุกพล่าน อีกทั้งยังมีทรงของสูทที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์แต่ก็ค่อนข้างเรียบ เป็นสูทที่คนนึกถึงเป็นชื่อแรกๆ ถ้าจะหาสูทไม่แพงมากสักชุดไว้ใส่ไปทำงาน
   
แน่นอนว่ามันผิดกับตอนนี้ลิบลับ การรีแบรนด์ครั้งนี้ทำให้ชื่อมาเวอร์ริกกลายเป็นแบรนด์สูทระดับบนที่มีเพียงคนหยิบมือเดียวสามารถเอื้อมถึงเท่านั้น
   
จากสูทแห่งอิสรภาพที่ไม่ว่าใครก็ตามก็สามารถสวมได้กลับกลายเป็นสูทที่มีเพียงอัลฟ่าเท่านั้นที่เป็นเจ้าของได้ ซึ่งเอาเข้าจริงมันก็เข้ากับสโลแกนของแบรนด์ดี
   
‘มาเวอร์ริก สูทแห่งอิสรภาพที่จะทำให้ผู้สวมใส่กลายเป็นผู้ที่มีเกียรติเหนือใคร’
   
ตลกร้ายที่แบรนด์ก็ยังใช้สโลแกนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือกลุ่มลูกค้าของแบรนด์ที่จะทำให้สโลแกนของสูทนั้นเป็นความจริงได้มากกว่าแต่ก่อน
   
เพราะความจริงของโลกใบนี้คือมีเพียงอัลฟ่าเท่านั้นที่ครอบครองอิสรภาพมากกว่าใคร และบอสก็เก่งพอที่จะเอาคนกลุ่มนี้มาเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของตัวเอง
   
ผมไม่รู้ว่าบอสทำงานหนักมานานขนาดไหนแล้ว อาจจะหนึ่งปี สองปี หรือมากกว่านั้น ถ้าเป็นผม ผมก็คงจะเป็นแบบบอสที่กลายเป็นคนตื่นยากเพราะไม่อยากตื่นมาทำงานหนักที่ไม่ใช่เพื่อตัวเองทุกวัน
   
น่าเสียดายที่ท้ายที่สุดแล้วแม้แต่ตัวเจ้าของแบรนด์อย่างบอสเองก็ยังไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระได้ ต้องขาดอิสรภาพเพราะแบรนด์ของตัวเองซะเอง
   
ผมเดินดูนั่นนี่อยู่สักพักแล้วก็กลับไปนอนบนโซฟาเบื่อๆ
   
ให้ตายเถอะ หรือนี่จะเป็นความรู้สึกของพวกหมาเวลาที่ต้องรอเจ้าของกลับบ้านกัน บอสเพิ่งออกจากห้องไปแค่เกือบครึ่งชั่วโมงเองแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันนานมาก
   
ไม่มีไรทำเลยอ่ะ แล้วผมก็ไม่ใช่คนชอบเล่นโทรศัพท์ด้วย
   
ผมหาวง่วงๆ เตรียมจะนอนรอแต่ก็ดันไปเจออะไรแข็งๆ ที่บอสวางไว้ใต้หมอนที่ผมกำลังจะหนุนซะก่อน ผมเลยหยิบขึ้นมาดูและพบว่าเป็นนิตยสารแฟชั่นฉบับเดือนที่แล้วซึ่งคนที่ขึ้นเป็นหน้าปกก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
   
บอส!
   
ผมตาโตเพราะภาพบนปกนั้นบอสดูเท่และเซ็กซี่มาก บอสไม่ได้ใส่แว่นและเซ็ตผมแถมยังใส่แค่เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ปลดกระดุมบนลงสองสามเม็ดเผยให้เห็นแผ่นอกวับๆ แวบๆ บนไหล่ซ้ายพาดด้วยสูทตัวนอกสีขาวเข้ากันดีกับกางกางสีเดียวกัน แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคืออีกาที่เกาะอยู่บนแขนขวาของบอสและกำลังตีปีก ขนสีดำของมันฟุ้งกระจายราวกับป่าวประกาศถึงอิสรภาพอันยิ่งใหญ่ของมัน

ผมอดตะลึงนิดๆ ไม่ได้เพราะอีกาเป็นตราสัญลักษณ์ของแบรนด์มาเวอร์ริก การเอาอีกาจริงๆ มาร่วมเฟรมถ่ายรูปนั้นทำให้ภาพออกมาทรงพลังมาก ถึงแม้เจ้าอีกาจะดึงสายตาไปบ้างแต่นัยน์ตาสีฟ้าของบอสก็ดูมุ่งมั่นและสื่ออารมณ์ปรารถนาถึงอะไรบางอย่างอย่างเห็นได้ชัด
   
“...”
   
ผมลูบหน้าตัวเองที่ร้อนขึ้นมาอีกแล้ว
   
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนๆ นี้จะเป็นคนเดียวกับบอสที่ผมรู้จัก ให้ตายเถอะ เจ้าหมาอย่างผมชักจะโชคดีเกินไปแล้ว ผมคิดไร้สาระอยู่สักพักแล้วเปิดเนื้อหาดูต่อ ซึ่งแน่นอนว่าผมเปิดอ่านเฉพาะช่วงที่เป็นสัมภาษณ์ของบอส เนื้อหาอื่นๆ ที่เป็นภาพนายแบบนางแบบอัลฟ่าผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่
   
รูปนี้บอสน่ารักชะมัดเลย
   
รูปเต็มหน้านิตยสารฝั่งซ้ายเป็นรูปบอสในชุดสูททักซิโด้สีเหลืองอ่อนที่หอบตะกร้าที่เต็มไปด้วยเลม่อนสีเหลืองแต่มีไลม์สีเขียวลูกหนึ่งปะปนอยู่ในตะกร้า บอสยิ้มมุมปากนิดๆ ดูผ่อนคลายกว่ารูปที่รับรางวัล
   
ผมตามอ่านข้อความที่บอสถูกสัมภาษณ์อย่างกระตือรือร้น อาจจะด้วยความที่เป็นนิตยสารแฟชั่นด้วยเนื้อหาสัมภาษณ์เลยไม่ค่อยเป็นทางการหรือจริงจังเท่าไหร่ ซึ่งคำถามมีตั้งแต่เรื่องทั่วไป ธุรกิจเป็นยังไง ชอบอะไรเป็นพิเศษ มีงานอดิเรกอะไรบ้าง แต่สิ่งที่ผมสนใจมากกว่าคือภาพประกอบที่เป็นบอสในชุดสูทแบบต่างๆ ซึ่งสูทที่บอสใส่ทั้งหมดนั้นก็ถูกออกแบบโดยตัวบอสเอง
เพราะจุดขายของแบรนด์มาเวอร์ริกตอนนี้คือการตัดสูทตามออเดอร์ จะมีการเปิดให้จองคิวเป็นช่วงและมีเพียงลูกค้าบางคนเท่านั้นที่จะได้รับบริการจากทางแบรนด์ ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลักของแบรนด์ก็จะมีเป็นสามกลุ่มคือ นักธุรกิจ นักการเมือง และดารา
แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้มาเวอร์ริกพิเศษกว่าแบรนด์อื่นๆ นั้นคือการตัดสูทเสริมบุคลิกของผู้ที่สวมใส่และมีการออกแบบที่ค่อนข้างสะดุดตา ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ได้สูทแบรนด์มาเวอร์ริกไปใส่จึงค่อนข้างเป็นที่สนใจเป็นพิเศษ

ซึ่งในฐานะของเจ้าของแบรนด์ ผมว่าการที่บอสมาให้สัมภาษณ์กับนิตยสารแฟชั่นรอบนี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมากเพราะรูปบอสแต่ละรูปโคตรดึงดูดสายตาเลย แบบต่อให้ผมไม่รู้จักบอส ผมก็คงเลือกที่จะซื้อนิตยสารเล่มนี้แบบไม่ลังเลแน่นอน

“!”

ผมตาโตกับรูปประกอบสุดท้ายที่เป็นรูปที่บอสนั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้เบาะหนังสีแดงใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับสายรั้งกางเกงสีดำ บอสนั่งเท้าคางด้วยรอยยิ้มมุมปากท่ามกลางขนนกอีกาที่ปลิวว่อน นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนแว่นกรอบบางนั้นเปล่งประกายระยับราวกับกำลังเชิญชวนให้มาเสพอิสรภาพร่วมกัน

ให้ตาย

ผมลูบหน้าตัวเองที่เห่อร้อนขึ้นมาอีกแล้ว

รูปนี้ดีกว่ารูปหน้าปกอีก

ผมมองรูปต่ออีกสักพักแล้วก็ตัดสินใจปิดเล่มแล้วยัดในตู้ใกล้ๆ เพราะผมรู้สึกเขินมาก คือพอเห็นหน้าบอสผมก็ชอบนึกถึงเรื่องเมื่อวานไง ถึงหลังจากที่บอสทำผมเสร็จบอสจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เถอะ แต่ผมก็อายบอสมากอยู่ดี

มันเป็นครั้งแรกของผมเลยนะ

;w;

แต่เอาจริงสิ่งที่ผมสงสัยมากกว่า ว่ามันคือครั้งแรกของบอสจริงเหรอเพราะบอสดูชำนาญมาก แล้วถ้ามันเป็นครั้งแรกของบอสจริง แปลว่ามันก็เป็นพรสวรรค์ของบอสเหรอ

ไม่สิ ผมจะมาสงสัยเรื่องนี้ตอนนี้ทำไมเนี่ย

ผมสะบัดหัวพยายามสลัดความคิดไร้สาระออกไปแล้วทิ้งตัวนอนบนโซฟาที่เต็มไปด้วยกลิ่นของบอส ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อยเพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้ผมรู้สึกสงบลงมาบ้าง

ผมคิดถึงบอสชะมัดเลย

ผมมุดหัวใส่หมอนบอสหงอยๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสัญชาตญาณหมาป่าหรืออะไรที่ทำให้ผมรู้สึกเหงาเป็นพิเศษ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนตอนผมอยู่ว่างๆ ในวันหยุดก็ไม่ได้รู้สึกเหงาหรืออะไรขนาดนี้

‘ชอบบอสขนาดนั้นเลยเหรอ’

เจ้าโบ้ดำเพื่อนคู่คิดคนสนิทถามผมที่นอนไม่ขยับตัวไปไหนมาสักพักใหญ่แล้ว

ชอบสิ ชอบมากด้วย

ผมมุดใส่หมอนมากกว่าเดิม ถ้าอยู่ในร่างหมาป่าคงไม่วายหูลู่หางตกซุกใส่อุ้งเท้าตัวเอง

‘แกจะยึดติดกับบอสขนาดนั้นไม่ได้นะ คราม!’

โบ้ขาวที่รับบทเป็นหมาที่มีสติมาตลอดสั่งสอนผมด้วยท่าทางน่าเชื่อถือ

หงิง

ผมร้องออกมาเพราะรู้ว่าตัวเองทำไม่ได้ ผมอาจจะตกหลุมรักบอสตั้งแต่เจอกันครั้งแรกไปแล้วด้วยซ้ำ ผมไปไหนไม่ได้แล้ว ผมกลับไปเป็นหมาป่าเดียวดายไม่ได้อีกต่อไปแล้ว มันเหงาและน่าหดหู่เกินไป

ผมไม่อยากอยู่คนเดียวแล้ว
   
‘แกจะยอมเสี่ยงจริงๆ เหรอ’
   
โบ้ขาวถามผมต่อเสียงเครียดเพราะที่ผ่านมาผมเลี่ยงที่จะรู้จักคนมาตลอด ผมแทบไม่ปฏิสัมพันธ์กับใครเลยตั้งแต่ที่แม่ตายไป แบบใครทักก็ไม่คุย พยายามตัดบทตลอด ทั้งๆ ที่ผมน่ะอยากเป็นเพื่อนกับทุกคนเลย
   
ถ้าไม่ติดว่าวันนั้นผมสิ้นหวังมากๆ ผมก็คงไม่ยอมไปกับบอสหรอก ผมคงทนใช้ชีวิตหมาป่าเดียวดายต่อไปเพราะการรู้จักคนเยอะๆ มันไม่ส่งผลดีต่อตัวผมเลยสักนิด
   
แต่บอสน่ะเป็นข้อยกเว้น!
   
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ผมก็รับได้ทั้งนั้นแหละ
   
‘เอาน่า อย่างน้อยบอสก็ให้อาหารครบสามมื้อนะ!’
   
เจ้าโบ้ดำที่ปกติเป็นสายเสี้ยมให้ผมทำนู่นทำนี่ตลอด คราวนี้เป็นคนช่วยเกลี้ยกล่อมให้โบ้ขาวยอมรับการตัดสินใจของผม
   
‘อาหารสามมื้อ มีที่นอนให้ แถมซื้อของเล่นให้อีก บอสไม่ดีตรงไหน’
   
‘ก็ไม่ได้บอกว่าไม่ดี แค่อยากให้เผื่อใจไว้บ้างไง’
   
โบ้ขาวถอนหายใจ
   
‘ไม่เคยเห็นข่าวรึไง พวกเจ้านายที่พอหมาไม่น่ารักแล้วก็เอาไปทิ้งอ่ะ บอสอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นพวกเจ้านายอารมณ์ร้าย เวลามีเรื่องหงุดหงิดก็อาจจะมาลงที่แกก็ได้!’
   
‘ไม่จริงหรอก! บอสเป็นคนดีจะตาย!’
   
เจ้าโบ้ดำที่เห็นว่าผมชอบบอสมากก็พยายามเถียงให้สุดฤทธิ์
   
‘ดีอะไร แกเพิ่งรู้จักเขาไม่ถึงอาทิตย์ด้วยซ้ำ!’
   
โบ้ขาวขู่แง่ง
   
‘ดีก็คือดีไหมวะ! แง่ง!’
   
และก่อนที่โบ้ทั้งสองตัวในหัวผมจะตีกันรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ คนที่ตกเป็นหัวข้อของบทสนทนาก็กลับเข้ามาในห้องซะก่อน ผมเด้งตัวกลับมานั่งทันทีตอนที่ได้ยินเสียงเปิดประตูพร้อมกับได้กลิ่นของบอส
   
“...”
   
ผมเผลอขมวดคิ้วเพราะพอดมดีๆ กลับไม่ได้แค่กลิ่นฟีโรโมนของบอส

มันมีของอัลฟ่าตัวอื่นด้วย
   
ฟึ่บ!
   
ผมสะดุ้งสุดตัวตอนที่บอสถอดชุดสูทสุดตัวนอกของตัวเองออกแล้วขว้างใส่พื้นเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ สีหน้าที่มักจะสุขุมของบอสเต็มไปด้วยความเดือดดาล นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยของบอสแทบจะเป็นสีแดงก่ำจากความโกรธ
   
แน่นอนว่าผมนึกถึงสิ่งที่โบ้ขาวบอกเมื่อกี้ทันที ตอนนี้ผมเลยไม่กล้าพูดอะไรนั่งหดคอเจี๋ยมเจี๊ยมเงียบๆ มองตามหลังบอสที่น่าจะโกรธจนลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามีผมอยู่ในห้อง
   
“แม่ง!”
   
บอสสบถดังลั่นแล้วปลดกระดุมตัวเองสองเม็ดเหมือนเพื่อระบายความร้อน ก่อนจะยีหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิดจนดูราวกับเป็นคนละคนที่ผมรู้จักหลายวันมานี้
   
;w;
   
ผมรู้สึกเหมือนจะร้องไห้เพราะเสียงสบถของบอสเมื่อกี้เล่นเอาผมตกใจจนเผลอปล่อยหูกับหางออกมา ผมมองตามบอสที่ยังสบถคำหยาบไม่หยุดกลัวๆ
   
บอสในสายตาของผมนั้นเป็นคนที่เพอร์เฟ็คมาตลอด

เป็นอัลฟ่าที่ดูดีจนน่าอิจฉา เป็นคนที่ทำงานเก่งจนกอบกู้บริษัทให้กลับมาเป็นผู้นำในวงการได้ 

บอสเป็นคนที่สมบูรณ์แบบที่สุดและวันนี้ก็คงเป็นครั้งแรกที่ความคิดของผมถูกสั่นคลอน 

ผมตัวสั่นงึกๆ ระหว่างที่มองแผ่นหลังของบอสที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ บอสยังคงสบถออกไม่หยุด ก่อนที่จะมีสิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจคือรอยตะขอเสื้อสีแดงของบราที่เป็นรอยนูนขึ้นมาจางๆ 

“?”

ไม่จริงหรอก ตาฝาด ตาฝาดแน่ๆ

ผมขยี้ๆๆ ตาตัวเอง แต่ลืมตาขึ้นมาอีกก็เจออีก ก็เลยขยี้ใหม่อีกรอบ

"เป็นอะไร"

ในที่สุดบอสก็สัมผัสได้ถึงตัวตนของผม บอสพูดกับผมเสียงเย็น แววตาเดือดดาลภายใต้แว่นบางเฉียบสะท้อนภาพผมที่ประหม่าจนหูกับหางโผล่ออกมาและลู่ลงจนแววตาที่บอสมองผมดูสมเพชมากกว่าเดิม 

"เปล่า..ครั-"

ผมกำลังจะตอบบอสแต่พอสายตาผมก็ไปหยุดตรงที่กระดุมตรงอกบอสที่เลิกออกจนทำให้เห็นข้างใน 

สีแดง บราสีแดง บอสใส่บราสีแดง!!!

ผมอ้าปากค้างตกใจหูตั้งหางฟู ไร้ซึ่งความน่าเกรงขามของอัลฟ่าหมาป่าสายพันธุ์โบราณที่เหลืออยู่น้อยนิดบนโลกโดยสิ้นเชิง

และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ผมรู้ความลับของบอส...
   
----------

 :katai4:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 9 23 ธ.ค 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 23-12-2020 20:32:52
 :ruready
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 9 23 ธ.ค 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 23-12-2020 21:38:03
555555555555 เจ้าหมาช็อค อึ้งตะลึงไปเลย ไงละบราแดง 555555 น่าเอ็นดูเจ้าหมาครามจริงๆ ฮ่าๆ  :-[ ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอตอนต่อไปเลย สนุก ชอบๆ  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 9 23 ธ.ค 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 26-12-2020 09:46:05
บอสเซ็กซี่มาก~
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 9 23 ธ.ค 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 26-12-2020 15:57:25
ลงโทษบอสหน่อยสิจ๊ะ 55
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 10 3 ม.ค 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 03-01-2021 00:28:42
ตอนที่ 10

   
“ตกใจอะไร”
   
บอสถามผมเสียงดุจนผมหูผมลู่ลงกลัวๆ แต่ผมก็ยังรู้สึกร้อนไปทั้งหน้าเพราะบอสไม่ถามเฉยๆ แถมยังเดินเข้ามาหาผมด้วย
   
“เปล่าครับ”
   
ผมพูดได้จริงเหรอ ถ้าผมพูดแล้วบอสจะไม่โกรธมากขึ้นใช่ไหม
   
;w;
   
“อย่าโกหกผม” บอสขมวดคิ้ว “แค่นี้ผมก็หงุดหงิดมากเกินพอแล้ว”
   
“ถ้าผมพูดแล้วบอสอย่าโกรธผมนะครับ”
   
ผมชิงดักก่อนเลยเพราะแค่นี้ผมก็หงอยจะแย่แล้ว ขืนโดนบอสตะคอกใส่ ผมคงต้องเผลอคืนร่างหมาป่าแล้วไปซุกตรงมุมห้องประท้วงแน่นอน
   
“พูดมาเถอะ”
   
“..บอสใส่บราเหรอครับ”
   
ผมถามบอสเสียงเบา ทั้งๆ ที่มันก็เห็นกันชัดๆ อยู่แล้วว่าบอสใส่
   
“…”
   
พอผมถามบอสก็ก้มบอสเสื้อตัวเอง พอรู้ตัวว่ากระดุมมันเปิดจนเห็นบราชัดเจนบอสก็หน้าแดงแล้วถามผมเสียงเรียบ
   
“แล้วมันแปลกรึไง”
   
“ก็ไม่แปลกหรอกหรอกครับ”
   
ถามว่ามันแปลกไหมก็ไม่แปลกหรอก แต่ผมก็ไม่ค่อยเห็นผู้ชายใส่อ่ะ พอรู้ว่าบอสใส่มันก็ทำให้ผมรู้สึกตกใจนิดหน่อย แต่ผมก็ยอมรับแหละว่าตกใจที่เห็นบอสใส่เป็นสีแดงเลย
   
ผมกลืนน้ำลายเอือก

เพราะนอกจากบอสจะปลดกระดุมตัวเองเพิ่มแล้ว ยังถอดเสื้อเชิ้ตสีขาวออกโยนไปรวมกองชุดสูทที่อยู่บนพื้นอีก
   
“...”
   
ผมหน้าแดงแจ๋ไม่กล้าพูดอะไรทั้งนั้น กลัวว่าพูดอะไรออกไปแล้วบอสจะหงุดหงิดกว่าเดิม
   
“วันนี้งานใหญ่ไง ผมเลยต้องใส่สีแดง”
   
บอสก็ยังหน้าแดงอยู่แต่ก็ไม่ได้ถอดบราออก
   
“ปกติผมก็ใส่ลายน่ารักๆ แต่ถ้ามันเป็นงานจริงจังหรืองานที่ทำให้ผมเครียด ผมก็จะใส่สีเจ็บๆ แบบนี้แหละ มันช่วยให้ผมรู้สึกสงบขึ้น”
   
ผมพยักหน้าหงึกหงักเชิงรับรู้ ก่อนจะตาโตเพราะบอสมาหยุดยืนตรงหน้าผมแล้วยกนิ้วชี้จรดริมฝีปากบางเฉียบนั่น
   
“อย่าบอกใครล่ะ”
   
นัยน์ตาสีฟ้าหลังแว่นกรอบดูเป็นประกายขึ้นหลังจากที่เห็นท่าที่ประหม่าของผม
   
“มันเป็นความลับของผม”
   
“...”
   
สารภาพตามตรงว่าผมอยากจูบบอสมาก บอสตอนนี้โคตรน่ารักเลย
   
แน่นอนว่าพอผมเริ่มรู้สึกดี หูกับหางผมก็แสดงออกชัดมาก หูผมตั้งขึ้นส่วนหางผมก็กระดิกไม่หยุด
   
“หมาอย่างคุณไม่หงุดหงิดหน่อยเหรอ”
   
“?”
   
ผมเอียงคองงๆ
   
“ผมมีกลิ่นคนอื่นติดตัวนะ” บอสยิ้มพราย “กลิ่นอัลฟ่าตัวอื่นที่ไม่ใช่คุณ”
   
หูผมลู่ลงทันทีเพราะพอบอสพูดผมก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ แต่เมื่อกี้ผมก็ไม่กล้าหงุดหงิดไง บอสเข้าห้องมาน่ากลัวขนาดนั้น แค่ผมไม่เผลอร้องหงิงๆๆ ออกมาก็ดีแค่ไหนแล้ว
   
ผมเลียเขี้ยวตัวเองด้วยความงุ่นง่าน เริ่มอยากจะตะครุบตัวบอสแล้วทำให้ทั้งตัวบอสเต็มไปด้วยกลิ่นของผม มันอาจจะเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีด้วยที่ทำให้ผมรู้สึกยอมไม่ได้ขนาดนี้
   
แต่ก็นะ ผมคิดในใจอะไรมากมายแต่สุดท้ายก็นั่งตัวแข็งมองบอสอยู่ดี เพราะถ้าบอสไม่อนุญาต ผมก็ไม่กล้าทำอะไรหรอก
   
“เด็กดี”
   
ผมหน้าแดงเพราะอยู่ๆ บอสก็ลูบหัวผมแล้วชมเสียงนุ่ม
   
“อยากทำอะไรก็ทำเถอะ”
   
ไม่ว่าเปล่าบอสก็ยังเป็นคนเริ่มก่อน บอสดันตัวผมให้ไปชิดกับพนักโซฟาแล้วนั่งบนตักผม ก่อนที่บอสจะรูดเนกไทสีดำที่เหลือออกแล้วโยนไปรวมกับกองเสื้อผ้าที่ถอดเอาไว้บนพื้น
   
“...”
   
ผมหน้าร้อนไปถึงคอ ไม่สิ ทั้งตัวเลยน่าจะถูกกว่า
   
“เร็วเข้าสิ ผมหงุดหงิดกลิ่นอัลฟ่าเวรนั่นจะแย่แล้ว”
   
บอสเอ็ดผมไม่จริงจังนัก แล้วดึงมือขวาของผมไปสัมผัสร่างกายตัวเอง
   
“!!”
   
หางผมตั้งขึ้นทันทีเพราะบอสเอามือผมสอดเข้าไปใต้บราสีแดงนั่น บังคับให้ผมนวดคลึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้บรา สิ่งที่ผมอยากสัมผัสและลองชิมดูตั้งแต่วันที่อาบน้ำด้วยกัน
   
แน่นอนว่าพอบอสอนุญาต ผมก็เริ่มใจกล้ามากขึ้น ผมมองบอสพร้อมๆ กับนวดคลึงตุ่มไตเล็กๆ น่ารักนั่นจนบอสเปลี่ยนสีหน้าและหลุดครางออกมาเบาๆ
   
ผมจูบไหล่เปลือยของของบอสและกระซิบถามข้างหูที่แดงจนน่าสงสาร
   
“ผมขอทำมากกว่านี้ได้ไหมครับ”
   
บอสไม่ตอบผมแต่ก็ยอมพยักหน้าเชิงอนุญาต ซึ่งมือของบอสบีบไหล่ของผมแน่นตอนที่ผมเปลี่ยนไปบีบสะโพกบอสแรงๆ ด้วยความมันเขี้ยว
   
ให้ตายเถอะ ผมแข็งอีกแล้ว
   
ผมเลียเขี้ยวพยายามห้ามไม่ให้ตัวเองใจร้อนเกินไป ผมพรมจูบบนคอบอสซ้ำๆ เพราะรู้ว่ามันคือจุดอ่อนของบอส ซึ่งทุกครั้งที่ผมแกล้งจะกัด บอสก็จะขยำไหล่ผมแน่นและครางออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
   
“มันจับตรงไหน”
   
ผมถามบอสด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิด รู้ตัวดีว่าเสียงตัวแข็งกร้าวไม่น่าฟังเลยสักนิด แต่ผมก็หงุดหงิดมาก ถึงจะเหลือเป็นแค่กลิ่นจางๆ บนตัว แต่ผมก็ยังไม่พอใจมากๆ อยู่ดี แบบพอผมจูบแล้วสูดกลิ่นของบอสก็จะได้กลิ่นแปลกปลอมที่กระตุ้นให้ผมรู้สึกโมโห
   
ไลม์น่ะเป็นของผม!
   
“หาไม่เจอเหรอ” บอสหัวเราะแล้วยื่นมือให้ผม “ไม่ต้องฝืนตัวเองหรอก ปล่อยกลิ่นของคุณออกมาให้เต็มที่เถอะ มันไม่ทำให้ผมกลัวหรอก”
   
“...”
   
ผมหูลู่ลงนิดๆ ลังเลเพราะอีกใจนึงก็ไม่อยากให้กลิ่นฟีโรโมนของตัวเองกลบกลิ่นหอมๆ ของบอส ซึ่งตอนนี้มันก็หอมมากกว่าวันก่อนอีก ไม่รู้ว่าเพราะบอสชอบที่ผมทำด้วยรึเปล่า กลิ่นมันถึงได้หวานกว่าปกติ
   
“ถ้ากลัวบอกผมนะ”
   
ผมจูบมือบอสแล้วปล่อยกลิ่นตัวเองออกมา ผมลอบสังเกตสีหน้าของบอสซึ่งก็พบว่าสีหน้าของบอสไม่เปลี่ยนสักนิด ดูปกติแถมยังดึงมือตัวเองกลับเพื่อที่ลูบหัวผมอีกรอบด้วย
   
“หมาอย่างคุณน่ารักกว่าอัลฟ่าน่ารำคาญพวกนั้นเยอะเลย”
   
บอสพูดไปขยำหูผมไปจนผมร้องหงิงออกมา
   
“ถ้าไม่ติดว่าพวกนั้นเป็นบ่อเงินบ่อทองของผม ผมก็ไม่ปล่อยให้มันมายุ่มย่ามกับตัวเองหรอก”
   
ผมจ๋อยลงนิดหน่อยเพราะถ้าเป็นไปได้ ผมก็ไม่อยากให้บอสไปยุ่งกับพวกอัลฟ่าพวกนั้นเลย พวกอัลฟ่าที่รวยมากๆ หรือมีอำนาจใหญ่โตมีแต่นิสัยแปลกๆ และน่ารำคาญกันทั้งนั้น
   
“ทนเหม็นหน่อยแล้วกัน ผมยังต้องเจอพวกนี้อีกหลายคนเลย”
   
บอสหัวเราะเบาๆ ตอนที่เห็นสีหน้าจ๋อยกว่าเดิมของผม
   
“ผมต้องหาเงินเยอะๆ นะ คราม พ่อผมก็นอนโรงพยาบาล หมาอย่างคุณผมก็ต้องเลี้ยงด้วยอาหารดีๆ ไหนจะบราแพงๆ ของผมอีก อะไรก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น ถ้าผมไม่ไปหาเงินจากอัลฟ่ารวยๆ พวกนี้ จะหาเงินจากไหนได้อีกล่ะ”
   
“แต่พวกมันไม่ได้ทำอะไรบอสใช่ไหมครับ”
   
บอสยิ้มพรายซึ่งมันก็ทำให้บอสดูเจ้าเล่ห์กว่าเดิม

“คุณอาจจะไม่รู้ว่าอัลฟ่าพิเศษอย่าผมทำอะไรได้บ้าง แต่ไม่ต้องห่วงผมหรอก ถ้าไม่ใช่อัลฟ่าหมาป่าแบบคุณ ไม่ว่าอัลฟ่าหรือโอเมก้าผมก็รับมือได้ทั้งนั้น”
   
ได้ยินแบบนี้ผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นนิดหน่อย
   
“แต่ผมก็หงุดหงิดมากอยู่ดีเวลาที่พวกนั้นอยากจะข่มหรือบังคับผม พยายามใช้กลิ่นฟีโรโมนโง่ๆ นั่นควบคุมผมเพราะผมไม่ยอมเลือกพวกมัน”
   
ผมกระพริบตาปริบเพราะอยู่ๆ บอสก็ดึงมือผมไปแนบกับแก้มตัวเอง
   
“ดีใจด้วยที่คุณเป็นคนแรกที่ผมชอบกลิ่น”
   
“!”
   
พอบอสพูดจบหางผมก็กระดิกแรงมาก ไม่เท่เลยสักนิด แต่ให้ตายเถอะ บอสชอบผมล่ะ! ถึงจะแค่กลิ่นหรืออะไรก็เถอะ แต่แค่บอสชอบอะไรสักอย่างของผม ผมก็ดีใจมากๆ แล้ว
   
“จะทำอะไรก็ทำสักที ถ้าผมยังไม่พร้อมเดี๋ยวผมบอกคุณเอง”
   
นัยน์ตาสีฟ้าที่ดูกระจ่างใสและอารมณ์ดีมาตลอดกลับมาขุ่นมัวอีกครั้ง
   
“ไม่งั้นผมจะเป็นคนทำเอง”
   
หงิง
   
ผมหูลู่ลงนิดๆ เสียใจที่โดนดุแต่ผมก็กลัวบอสเจ็บนี่นา เกิดผมขยำเต็มแรงจนเป็นรอยไปทั้งตัว บอสจะไม่โกรธผมเอาเหรอ
   
แน่นอนว่าผมก็เริ่มจากสิ่งที่ผมที่อยากทำที่สุดทันที
   
ผมรั้งคอบอสลงมาจูบ ชิมริมฝีปากหวานที่ผมหลงใหลไปพร้อมๆ กับการขยำก้นของบอสแบบไม่ออมแรง
   
ฮื่อ
   
ผมคำรามในลำคอเพราะบอสเหมือนจะจงใจขยับมานั่งเสียดสีตรงเป้าของผมเป็นการเอาคืน
   
“อยากอีกแล้วเหรอ”
   
พอผมจูบจนพอใจและยอมผละออกก่อน บอสก็ถามผมยิ้มๆ
   
“...”
   
ผมไม่ตอบเพราะมันก็เห็นกันชัดๆ อยู่แล้วว่าผมต้องการบอส อยากทำให้บอสเป็นของผมคนเดียวและให้อัลฟ่าตัวอื่นรู้ว่าอัลฟ่าคนนี้เป็นของผม
   
สัญชาตญาณอยากเอาชนะลึกๆ กระตุ้นให้ผมเป็นฝ่ายรังแกบอสบ้าง ผมกลับไปวนเวียนกับบราสีแดงของบอสอีกครั้ง ซึ่งพอได้มองใกล้ๆ ผมถึงได้รู้ว่ามันมีลูกไม้เล็กๆ ที่ดูทั้งน่ารักและยั่วยวนประดับอยู่
   
ทั้งๆ ที่อยากเป็นฝ่ายรังแกจนบอสร้องไห้ แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกทรมานกว่าเดิมอีก
   
“ชอบเหรอ”

บอสถามผมกลั้วหัวเราะ

“มันแข็งกว่าเดิมอีก”

ผมขมวดคิ้วแล้วเอื้อมมือไปปลดบราของบอสออกแล้วเลิกขึ้นมันขึ้นเพื่อชิมในสิ่งที่ผมอยากจะชิมมานาน ซึ่งผมชิมได้ไม่เท่าไหร่ก็ถูกบอสขยำผมแน่น ตัวของบอสสั่นระริก

มันก็เป็นจุดอ่อนของบอสเหรอ?

พอรู้ผมก็แกล้งดูดแรงๆ จนบอสร้องประท้วงออกมา

“เสียวเหรอครับ”

ผมมองผิวขาวจัดคือบอสที่ตอนนี้แทบจะแดงไปทั้งตัว โดยเฉพาะบริเวณที่โดนผมไปสัมผัสไปแล้ว บอสน้ำตารื้นปรือตามองผม ดูไม่สุขุมเหมือนอย่างเคยเท่าไหร่

“พูดมาก”

บอสเอ็ดผมเสียงเบา ดูกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด

แน่นอนว่าหมาที่ภักดีอย่างผมอดใจที่จะช่วยบอสไม่ได้อยู่แล้ว ผมยิ้มบางให้บอสแล้วเอื้อมมือไปปลดเข็มขัดของบอสออก ผมลอบสังเกตสีหน้าของบอสเป็นพักๆ เพื่อดูสีหน้าบอสว่าบอสอยากให้ผมหยุดไหม

ผมถอดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงปราการด่านสุดท้ายของบอส กางเกงชั้นในสีดำแนบเนื้อยี่ห้อดังที่ตอนนี้นูนขึ้นมา แค่ผมแกล้งลูบมันเบาๆ บอสก็สะดุ้งเฮือก

“อยากให้ผมช่วยบอสบ้างไหมครับ”

ผมถามบอสเสียงพร่า

“..ไม่”

บอสส่ายหน้ายิกแล้วดึงมือผมออก หน้าบอสแดงมาก แดงจนผมเริ่มรู้สึกผิดที่รังแกบอส

แต่บอสตอนเขินก็น่ารักชะมัดเลย

“ให้ผมทำให้คุณดีกว่า”

บอสดูไม่ชอบใจเท่าไหร่ที่ถูกหมาอย่างผมต้อนให้จนมุม เลยให้ผมเปลี่ยนท่าไปนอนราบบนโซฟาแทน ผมยอมถอดเสื้อเชิ้ตสีดำตัวเองออกตามคำสั่งของบอสที่ยังคงนั่งคร่อมอยู่ตรงส่วนสำคัญของผม

“...”

ผมมองบอสที่รอบนี้โยนบราของตัวเองไปกองรวมเสื้อแล้วเหลือแค่ท่อนบนเปลือยเปล่า สรีระครึ่งบนที่ผมเห็นวับๆ แวมๆ เมื่อกี้ในนิตยสารตอนนี้ปรากฏตรงหน้าผม แถมนายแบบที่ว่าสภาพตอนนี้ก็ยังดูน่ารังแกเป็นพิเศษด้วย ผมสีดำที่เซ็ตเมื่อเช้ายุ่งเหยิง นัยน์ตาสีฟ้ากระจ่ายที่เคยดูทรงอำนาจจนเหมือนจะครองโลกได้ตอนนี้ไม่แม้แต่จะมองผมตรงๆ ด้วยซ้ำ

ให้ตายเหอะ บอสโคตรน่าเอาเลย

ผมยกมือปิดหน้าเพราะรู้สึกผิดที่ตัวเองคิดไม่ดีกับบอส แต่ผมก็แอบมองบอสผ่านช่องระหว่างนิ้วอยู่ดี

“..เป็นอะไรอีก”

บอสบ่นผมไม่จริงจังนักแล้วเสยผมที่ปรกหน้าตัวเองขึ้น ก่อนที่จะล้วงอะไรบางอย่างออกจากกางเกงตัวเอง

“!”

ผมไม่รู้ว่าตัวเองตกใจไปกี่รอบแล้ว แต่ผมก็จะตกใจอีกเพราะที่บอสหยิบออกมาฉีกคือถุงยางและตอนนี้บอสก็ช่วยปลดกางเกงผมออกเพื่อที่จะสวมมันให้ผม

;w;

“..บอสรู้ขนาดผมด้วยเหรอครับ”

แต่ที่ผมตกใจกว่าคือบอสพกมันติดตัวไว้ด้วย หรือบอสเดาได้อยู่แล้วว่าผมเป็นหมาลามก ที่กระตุ้นนิดๆ หน่อยก็มีปฏิกิริยาแล้ว
“อย่าถามมากได้ไหม” บอสขมวดคิ้ว “ผมก็กะๆ เอาจากวันก่อนนั่นแหละ”

พูดแบบนี้ผมก็ยิ่งเขินกว่าเดิมอีก

ผมมองบอสที่ชะงักหลังจากที่รั้งกางเกงในผมลงแล้วไอ้ส่วนสำคัญของผมมันก็ชี้หน้าบอส จนผมอยากจะมุดดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด

“..วันนี้แค่ข้างนอกนะ”

บอสพึมพำบอกผมเสียงเบา

“ครับ”

ผมพยักหน้าหงึกๆ แค่บอสทำให้ ผมก็ดีใจแล้ว ซึ่งพอบอสใส่ให้ผมเสร็จก็ใส่ให้ตัวเองบ้าง

แน่นอนว่าผมจ้องท่าทางประหม่าของบอสไม่วางตา ผมไม่รู้ว่าบอสเคยนอนกับใครมาก่อนรึเปล่า แต่บอสก็ดูเขินมากตอนที่เอามันออกมาใส่ให้ผมเห็น

แม่ง ผมอยากเอาบอสว่ะ

ผมเลียเขี้ยวตัวเองอย่างอดสู เพราะความต้องการลึกๆ ของผมคืออยากจะเป็นฝ่ายที่จับบอสนอนคว่ำและเอามันซะตอนนี้ อยากจะทำให้บอสเป็นของผมคนเดียว ให้ทั้งตัวเต็มไปด้วยน้ำรักและกลิ่นของผม

แต่ผมไม่ทำหรอก ถ้าวันนี้บอสยังไม่พร้อมผมก็จะไม่ทำ

ผมคำรามในลำคอตอนที่บอสเริ่มชักให้ผม

“..แล้วบอสล่ะ”

หูผมลู่ลงเพราะไม่อยากรู้สึกดีคนเดียวเหมือนครั้งก่อน ครั้งที่แล้วบอสก็ช่วยผมจนเสร็จแต่บอสที่มีอารมณ์ขึ้นมาเหมือนกันกลับไปจัดการตัวเองในห้องน้ำคนเดียวโดยไม่ยอมให้ผมช่วยสักนิด

“ไม่ต้อง”

บอสปฏิเสธแทบจะทันที

“ขอโทษนะครับ บอส”

แน่นอนว่าคราวนี้ผมก็ปฏิเสธคำสั่งบอส ผมไม่ยอมเป็นฝ่ายที่รู้สึกดีคนเดียวอีกแน่

ผมลุกขึ้นมานั่งอีกครั้งแล้วกอดบอสแน่นจนทุกส่วนแทบจะแนบสนิทกัน ผมจูบคอบอสอีกครั้งและเอื้อมมือไปขยำก้นของบอสเต็มแรงจนบอสครางออกมา

“ผมช่วยแค่ตรงที่บอสอนุญาตให้จับก็ได้ครับ”

“...”

บอสซุกหน้ากับไหล่ผม ไม่ยอมพูดอะไรแต่ตัวกลับแดงไปทั้งตัวและยังร้อนเอามากๆ ด้วย ซึ่งมันก็ทำให้ผมอดใจที่จะไม่จูบใบหูเล็กๆ ของบอสไม่ได้

“ให้ผมช่วยนะ”

ผมกระซิบแล้วเลียใบหูของบอส

“อืม”

บอสตอบผมด้วยเสียงในลำคอ

แน่นอนว่าผมกระดิกหางทันทีที่ได้รับการอนุญาต ผมก้มลงไปชิมจุดอ่อนไหวของบอสอีกครั้ง ยอมรับตามตรงเลยว่าแค่ชิมเมื่อกี้มันยังทำให้ผมไม่หนำใจเท่าไหร่ ผมจัดการชิมอีกข้างอย่างตะกละตะกลามจนบอสจิกหลังผมแน่นและแอ่นให้ผมชิมได้ถนัดกว่าเดิม

“..ขอผมกัดได้ไหม”

ผมถามบอสเสียงกระเส่า สายเลือดหมาป่าในตัวทำให้ผมรู้สึกต้องการแสดงความเป็นเจ้าของมากกว่าปกติ จริงๆ ผมอยากจะทำรอยบนตัวบอสทั้งตัวด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องกดความต้องการป่าเถื่อนนั้นเอาไว้เพราะมันคงจะไม่ส่งผลดีต่อบอสเท่าไหร่
ผมไม่อยากให้บอสเจ็บ

“อือ”
บอสตอบผมเสียงเบา แต่มือที่จับส่วนสำคัญของผมกลับไม่ปราณีปราศรัยสักนิด เหมือนกับว่าเป็นการเอาคืนผมทางอ้อมที่ผมตะกละเกินไป

“!!”

ซึ่งทันทีที่ผมกัดบอสก็ส่งเสียงครางสะอื้นออกมาแล้วซุกหัวกับตัวผมเหมือนหมดแรง

“เสร็จแล้วเหรอครับ”

ผมดึงตัวบอสออกมาแล้วใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาที่คลอเบ้าของบอส แน่นอนว่ามันก็ลำบากนิดหน่อยเพราะติดแว่น แต่ถ้าผมถอดแว่นบอสออก บอสก็จะไม่เห็นหน้าผม ผมเลยไม่ถอด

“อือ”

บอสพยักหน้าน้อยๆ ไม่ยอมสบตาผม แล้วก้มมองหน้าอกตัวเองซึ่งบอสก็ขมวดคิ้วแทบจะทันทีเพราะมันเป็นรอยกัดอย่างชัดเจนและมันก็แดงก่ำทั้งสองข้างด้วย

“ผมยังไม่เสร็จเลย”

ผมพูดด้วยน้ำเสียงหงอยๆ แล้วดึงมือทั้งสองข้างของบอสมาจับท่อนลำแข็งร้อนของผม

“อยากให้ผมใช้ปากให้ไหม”

บอสถามผมเสียงเบาแต่ยังไม่ทันตอบก็มีเสียงโทรศัพท์ของบอสดังขัดจังหวะขึ้นมา แน่นอนว่าด้วยนิสัยเอาการเอางานของบอส บอสเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้และรับทันทีด้วยสีหน้าสุขุม

“ว่า”

บอสถามสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงปกติแต่มืออีกข้างที่ว่างของบอสกลับมาง่วนกับส่วนสำคัญของผมอีกครั้ง

“...”

ผมกัดฟันกรอดมองบอสที่ซนและจงใจแกล้งผมระหว่างที่รับโทรศัพท์อยู่ ซึ่งบอสก็เปิดลำโพงให้ผมฟังไปด้วยว่าคุยอะไรกัน

[ งานประมูลเพื่อการกุศลประจำปีที่จะจัดมะรืนนี้ บอสไปไหมครับ ]

นัยน์ตาสีฟ้ามองผมด้วยสายตาหยอกเย้า จนผมรู้สึกตื่นเต้นและเสียวมากกว่าเดิม

“ไปสิ”

[ ต้องการผู้ติดตามไหมครับ ถ้าบอสต้องการผมจะได้เตรียมตัว ]

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมให้ครามไปกับผม”

ผมหอบหายใจพยายามไม่ให้เสียงเล็ดรอดเข้าไปในโทรศัพท์ แทบจะประคองสติไม่อยู่ด้วยซ้ำตอนที่บอสชักเร็วๆ จนผมต้องคู้ตัว

[ รับทราบครับ ผมขออนุญาตวางสายนะครับ ]

“อืม”

พอวางสายไป ผมก็ไม่กลั้นเสียงอีกต่อไปครางเสียงต่ำออกมาตอนที่เสร็จคามือบอส

“วันนี้ก็เยอะนะ”

บอสแซวผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“...ครับ”

ผมรับคำเสียงเบาหน้าแดงแจ๋

ก็บอสน่ารักนี่นา

;w;


---

ตอนหน้าน่าจะได้เขียนมุมมองบอสค่ะ   :z13:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 10 3 ม.ค 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 03-01-2021 09:07:00
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 10 3 ม.ค 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 03-01-2021 09:14:48
โอ้โห แซ่บมากค่า บอสขาาา
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 10 3 ม.ค 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 03-01-2021 11:18:47
ต้องยกให้บอสเป็นราชินีเคะ แซ่บ :impress2: เจ้าหมาครามทำเป็นเอียงๆอายๆแต่ที่จริงคือดุมาก 555555 HNY2021 ka :L2: :3123:  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 10 3 ม.ค 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 03-01-2021 11:48:41
พ่อหมาป่าเราก็ไม่ธรรมดานะ
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 10 3 ม.ค 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 09-01-2021 23:30:47
งู้ยยยย คุณบอสเซ็กซี่มาก.  :hao5:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 10 3 ม.ค 63 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 11-01-2021 21:52:57
สงสารหมาน้อยที่คอยห้ามใจตัวเอง :laugh:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 11 16 ม.ค 63 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 16-01-2021 01:05:53
ตอนที่ 11

   
TW : Child abuse (การทารุณเด็ก)

   
‘มาเวอร์ริก’
   
เป็นคำที่ผมจำได้ก่อนที่จะเป็นชื่อของตัวเอง
   
ในช่วงที่แม่ทำงาน แม่ก็จะทิ้งผมไว้ในห้องแคบๆ กับสูทตัวหนึ่งที่มีเข็มกลัดอีกาสีทองวางอยู่บนนั้น และบอกผมว่าให้หัดพูดคำว่า ‘มาเวอร์ริก’ ไว้เพราะสักวันมันจะเป็นของผม
   
ผมตอนนั้นที่เด็กเกินกว่าจะเข้าใจว่าแม่หมายถึงอะไร แต่แม่บอกให้ผมจำผมก็จำเพราะผมอยากเป็นเด็กดีที่แม่รัก ผมไม่สนใจด้วยซ้ำว่าสภาพความเป็นอยู่ตัวเองมันย่ำแย่ขนาดไหน
   
ผมรู้เพียงว่าโลกทั้งใบของผมคือแม่กับมาเวอร์ริกอะไรนั่น และผมก็ใช้เวลาวันทั้งวันในการพูดมันซ้ำๆ ฆ่าเวลารอแม่กลับมาจากการทำงาน ซึ่งระหว่างนั้นก็จะมีคุณน้าโอเมก้าใจดีแวะมาดูผมบ้าง แน่นอนว่าผมจำหน้าพวกคุณน้าไม่ค่อยได้เพราะแสงไฟในห้องมืดสลัวไปหมด แล้วคุณน้าที่แม่ฝากมาดูผมก็ไม่ได้สนใจผมขนาดนั้นด้วย
   
ส่วนใหญ่ก็แค่เอาอาหารมาให้ผมแล้วก็ไป น้อยคนมากที่จะคุยกับผม
   
‘เขาทำงานกันก็เหนื่อยมากพอแล้ว ไม่มีเวลาสนใจมาสนใจเด็กอย่างแกหรอก’
   
แม่ผมบอกแบบนั้นตอนที่ผมถามแม่เพราะรู้สึกเหงาจนทนไม่ไหว แต่พอรู้ว่าคุณน้าทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง ผมก็ยอมที่จะอยู่เงียบๆ เหมือนเดิม
   
แต่มันก็เหงา เหงามากๆ เลย แม่ก็ไม่ชอบคุยกับผม ไม่ชอบให้ผมพูดหรือร้องไห้ ถ้าผมขัดคำสั่งแม่ แม่ก็ขู่ว่าจะเอาผมไปทิ้งเหมือนที่เคยทำตอนผมเด็กๆ ที่เอาแต่ร้องไห้ไม่อยากให้แม่ไปทำงาน
   
ไม่เอา ไม่เอาแล้ว ผมไม่อยากโดนทิ้งแล้ว แต่ผมก็ไม่อยากอยู่ในห้องมืดๆ นี่คนเดียวเหมือนกัน มันเหงามากเลย เอาเข้าจริงแค่เดินไปตรงหน้าต่างผมยังเดินไปไม่ได้เลยเพราะโซ่ที่ล่ามข้อเท้าผมไว้มันยาวไม่ถึง
   
ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแม่ต้องกลัวผมหนีด้วย ถึงแม่จะไม่ค่อยชอบผมแต่ผมก็ชอบแม่ ผมอยากให้แม่ลูบหัวผมแล้วพูดเรื่องพ่อกับความฝันของแม่อีก
   
ความฝันที่แม่บอกว่าอยากจะเป็นอิสระจากที่นี่ อยากจะเป็นคุณนายโอเมก้าที่มีเกียรติให้คนอิจฉา อยากจะร่ำรวยจนสามารถซื้อทุกอย่างที่ต้องการได้ มีครั้งนึงที่ผมเคยถามแม่ด้วยความสงสัยว่าแล้วเมื่อไหร่ความฝันของจะเป็นจริง
   
รอยยิ้มของแม่ก็หายไปทันทีก่อนจะกลับไปเซื่องซึมอีกครั้ง
   
‘จนกว่าพ่อจะมารับเรา’
   
ผมอยากจะถามแม่ต่อว่าแล้วเมื่อไหร่พ่อจะมารับแต่ผมก็ไม่กล้าถามเพราะแม่อารมณ์ไม่ดีแล้ว ถ้าผมฝืนถามไปอีกผมอาจจะโดนแม่ทำโทษอีก
   
วันทุกวันผมเลยได้แต่นั่งเหม่ออยู่ในห้อง เฝ้ารอเหมือนกับแม่ว่าเมื่อไหร่พ่อจะมารับและพยายามพูดคำว่า ‘มาเวอร์ริก’ ให้ชัดที่สุดเพราะแม่บอกว่าถ้าผมพูดได้ พ่อจะดีใจมาก
   
“กินอะไรรึยัง ไลม์”
   
ผมเงยหน้ามองคุณน้าที่เปิดประตูเข้ามาและเอียงคองงๆ
   
ไลม์?
   
ผมกระพริบตาปริบไม่เข้าใจเท่าไหร่ว่ามันหมายถึงอะไร
   
“..ไลม์”
   
ผมพึมพำพูดเสียงเบา
   
มันเป็นครั้งแรกเลยที่ผมเคยได้ยินคำนี้
   
“ชื่อของหนูไง” คุณน้าที่ผมเพิ่งเคยเจอครั้งแรกทำสีหน้าประหลาดใจ “อย่าบอกนะว่าที่แม่นั่นพูดเป็นเรื่องจริง โอ๊ย ให้ตายเถอะ อายุขนาดนี้แล้วยังไม่รู้ชื่อตัวเองอีก”
   
“...”
   
ผมไม่ได้ชื่อมาเวอร์ริกหรอกเหรอ
   
ชั่วพริบตานั้นเหมือนโลกผมถล่มลงมา ผมไม่รู้ว่าตัวเองเสียใจอะไรนักแต่ก็นั่งน้ำตาไหลจนคุณน้าใจดีทำอะไรไม่ถูก พยายามหาอะไรมาปลอบผม
   
“..ไม่ร้องนะ ไลม์ ไม่ร้อง นี่น้าซื้อนมมาฝากหนูด้วย กินสิ”
   
“...”
   
ผมโยนชุดสูทในมือทิ้งแล้วนั่งตัวสั่นเทา ยกมือปิดปากไม่ให้สะอื้นออกมา เพราะแม่ไม่ชอบให้ผมร้องไห้ ถ้าผมร้องไห้แล้วแม่มาเห็นแม่ก็จะโกรธผม
   
ผมเป็นตัวปัญหามากพอแล้ว
   
“หยุดร้องได้แล้ว ไลม์ อัลฟ่าอย่างหนูต้องเข้มแข็งสิ หนูเป็นความหวังของแม่เขานะ ห้ามร้อง”
   
คุณน้าใจดีหยิบผ้าเช็ดหน้าตัวเองมาเช็ดน้ำตาให้ผมและพูดปลอบผมด้วยน้ำเสียงที่แม่ผมไม่เคยทำ
   
“แม่หนูเป็นโอเมก้า ถ้าหนูไม่ช่วยแม่ก็ไม่มีใครช่วยแม่ได้แล้วนะ”
   
แล้วผมล่ะ ใครจะช่วยผม
   
“เดี๋ยวคุณพ่อของหนูก็มารับแล้ว ถึงตอนนั้นก็อย่าลืมน้าๆ ที่เคยเลี้ยงหนูนะ”
   
“...”
   
ที่คุณน้าใจดีกับผมก็เพราะว่าอยากเจอพ่อผมเหมือนกันเหรอ
   
ทำไมทุกคนถึงได้ชอบพ่อผมนัก ทำไมถึงได้ให้ความสำคัญกับคนที่ไม่เคยมาดูดำดูดีผมกับแม่ซะเหลือเกิน ทำไมถึงได้ยอมรับคนแบบนั้นแต่ไม่ยอมรับผม
   
ทำไมถึงไม่รักผม?


   
“บอส บอสครับ! บอส—”
   
แรงเขย่ารุนแรงกระชากผมออกจากห้วงฝัน
   
ชั่ววินาทีก่อนที่ผมจะตื่น ผมเห็นตัวเองในตอนนั้นกรีดร้องออกมาอย่างขวัญเสีย ถึงมันจะเพียงภาพขาดๆ เหมือนกระจกภาพความทรงจำที่แตก แต่ผมก็ยังเห็นความอ่อนแอของตัวเองอย่างชัดเจน
   
เด็กชายโง่งมคนนั้นมันก็ยังเป็นผม
   
ผมที่อายุสามสิบกว่าแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถรับมือกับบาดแผลวัยเด็กของตัวเองได้ ยังคงใช้ชีวิตห่วยแตกในทุกๆ วันและคาดหวังว่าตัวเองจะตายสักที
   
แค่เรื่องที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ทำผมเจ็บปวดและปวดหัวมาเกินพอแล้ว
   
ลืมๆ อดีตงี่เง่านี่สักทีเถอะ ไลม์
   
“ผมตื่นแล้ว”
   
ผมคว้ามือเจ้าหมาที่ไม่รู้ว่าแตกตื่นอะไรนักให้หยุดเขย่าตัวผม เพราะถ้าเขย่ามากกว่านี้เกรงว่าที่ผมตื่นมาเตรียมตัวเกือบชั่วโมงจะพังหมด แถมแรงของครามก็เยอะกว่าอัลฟ่าทั่วไปด้วย
   
ผมขมวดคิ้วแล้วหยิบแว่นของตัวเองมาสวมเหมือนเดิม หลังจากที่ตัดสินใจงีบสักพักเนื่องจากสถานที่จัดงานประมูลก็ค่อนข้างไกลและรถติดพอตัว
   
“ตกใจอะไร”
   
ผมถามเสียงดุตามความเคยชิน หงุดหงิดนิดหน่อยที่ถูกขัดขวางการนอน แต่เอาเข้าจริงผมไม่ควรหงุดหงิดเพราะครามช่วยให้ผมหลุดจากความทรงจำพวกนั้น
   
ความทรงจำที่เป็นทั้งความลับและเป็นสิ่งที่ผมทำยังไงก็ไม่สามารถลืมมันจริงๆ ได้สักที
   
“..ผม ผมเห็นสีหน้าบอสไม่ดี เลยคิดว่าบอสน่าจะฝันร้าย ผมเลยปลุกครับ”
   
เจ้าหมาที่ผมเก็บมาเลี้ยงทำหน้าหงอยจนผมแทบจะเห็นหูที่ตกลงมาซึมๆ เหมือนเวลาที่อยู่บ้าน
   
“...”
   
โบ้...

นี่มันโบ้ชัดๆ หมาโกลเด้นตัวเก่าของผมก็ชอบทำหน้าจ๋อยแบบนี้เวลาโดนผมดุ แต่ให้ตายเถอะ นี่ผมเก็บอัลฟ่าหมาป่ามาเลี้ยงนะ สิ่งที่ผมควรได้คือหมาป่าสิ

“ขอบคุณ”
   
ผมพึมพำตอบแล้วเหลือบมองนอกรถก็พบว่าใกล้จะถึงแล้ว แต่ก็ยังพอมีเวลาทำอะไรอีกนิดหน่อย
   
“..บอสโอเคแล้วใช่ไหมครับ”
   
“อืม”
   
ผมส่งเสียงในลำคอแล้วกอดอกจ้อง ‘ตัวอันตราย’ นิ่ง
   
ผมยอมรับเลยว่าพอครามแต่งตัวดีๆ แบบนี้ก็ค่อนข้างดูดีทีเดียว เพราะปกติตื่นมาเจ้าตัวจะแค่รวบผมสีทองยุ่งๆ นั่นลวกๆ ไม่ใส่ใจตัวเองเท่าไหร่ จนบางครั้งตอนผมลูบหัวครามก็แอบรู้สึกว่ากำลังลูบขนหมาอยู่
   
“มีอะไรรึเปล่าครับ”
   
ครามที่ไม่รู้กลัวอะไรผมนัก ตอนนี้ดูจ๋องกว่าเดิม ทั้งๆ ที่ผมยังไม่ได้ดุหรือพูดอะไรเลย
   
ผมขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้ตอบ ยื่นมือไปดึงรอยยับย่นของเสื้อและช่วยดึงเน็กไทที่ร่นขึ้นให้เพราะเมื่อกี้ผมนอนซบกับตัวคราม ซึ่งจริงๆ มันก็ไม่ได้นุ่มหรือน่านอนอะไรหรอก
   
ผมก็แค่ชอบกลิ่นของครามเท่านั้น
   
กลิ่นฟีโรโมนน่าเกรงขามอ่อนๆ ที่ติดตัวครามทำให้ผมรู้สึกสงบ แน่นอนว่าหลายวันมานี้ที่ผมนอนได้ง่ายขึ้น ส่วนหนึ่งก็เพราะกลิ่นของคราม
   
สำหรับคนอื่นมันอาจจะเป็นกลิ่นฟีโรโมนรุนแรงน่ากลัวที่ชวนให้ตัวสั่น แต่สำหรับอัลฟ่าจิ้งจอกอย่างผมที่ฟีโรโมนทั่วไปไม่มีผลก็เหมือนกับถูกรางวัลเลยทีเดียว ยิ่งวันก่อนที่ครามเกือบจะสติหลุด กลิ่นของครามมันแทบจะทำให้ผมรู้สึกคลั่ง
   
ใช่ นอกจากผมจะไม่กลัวกลิ่นฟีโรโมนอัลฟ่าโบราณเหมือนคนทั่วไปแล้ว ผมยังชอบมันมากๆ อีก
   
กลิ่นของครามมันทำให้ผมสั่นสะท้านไปทั้งตัว ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าหวาดกลัว เพราะผมไม่กลัวตายและโหยหาอัลฟ่าที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองมาตลอด
   
ผมรู้ตัวว่าตัวเองอยากถูกปกป้องเพราะที่ผ่านมาผมต้องปกป้องตัวเองจากทุกเรื่องด้วยตัวคนเดียว
   
ถึงครามอาจจะช่วยอะไรผมมากไม่ได้ก็เถอะ แต่อย่างน้อยๆ การได้ที่เจออัลฟ่าที่แข็งแกร่งกว่าและชอบผมเอามากๆ ก็ทำให้ผมพอใจมากเลยทีเดียว
   
“ผมขอจูบคุณได้ไหม”
   
ผมถามนิ่งๆ สบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่เปลี่ยนจากซึมๆ กลายเป็นเบิกตากว้างในพริบตา
   
แน่นอนว่ามันเป็นปฏิกิริยาที่ผมพอจะเดาได้อยู่แล้ว เพราะเจ้าหมาป่าตัวโตของผมมีอะไรก็แสดงออกทางสีหน้ากับหางหมด คาดเดาง่ายกว่าลูกค้าอัลฟ่าอารมณ์ปั่นป่วนของผมบางคนอีก
   
“กลิ่นผมจะไม่ติดตัวบอสเหรอครับ”
   
ผมหลุดยิ้มออกมาเพราะเจ้าหมาไม่คิดจะปฏิเสธเลยสักนิด
   
“ติดก็ติดไปสิ”
   
ผมตอบปัดๆ ไม่จริงจังจะให้คำตอบนักแล้วดึงเนคไทครามลงมาจูบ แต่เจ้าหมาก็ขัดใจผมด้วยการยั้งตัวเอาไว้แล้วพยักพเยิดไปทางคนขับรถด้วยใบหน้าแดงๆ
   
“คุณก็เห็นอยู่ว่ามีกระจกดำกั้นอยู่”
   
ผมขมวดคิ้ว
   
“และผมไม่ทำอะไรที่เสี่ยงทำให้ตัวเองถูกเปิดโปงหรอกนะ”
   
พอเห็นครามทำหน้าเข้าใจผมก็ดึงเจ้าหมาตัวโตของผมลงมาจูบอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ครามยอมให้ความร่วมมือกับผมแต่โดยดี
   
ผมจูบเบาๆ และอ้อยอิ่ง ไม่กล้าลึกซึ้งมากเพราะกลัวว่ามันจะลามไปถึงขั้นอื่นที่ผมยังไม่พร้อมทำ ให้ตายเถอะ ใครใช้ให้เจ้าหมานี่ตัวใหญ่กว่าที่ผมคิดล่ะ ใหญ่ไปหมดทุกส่วนแม้แต่ส่วนนั้นก็ยังใหญ่จนผมยังไม่กล้ารับมันเข้าไป ทั้งๆ ที่ผมก็พอจะเคยใช้ของเล่นไซส์ใหญ่ๆ มาก่อนแต่ไม่เคยคิดจะลองไซส์ขนาดของคราม
   
มันเป็นไซส์ที่ผมยังไม่กล้าลอง แล้วตอนนั้นเจลหล่อลื่นก็หมดพอดีด้วย ผมไม่กล้าเสี่ยงด้วยหรอก ถึงเจ้าหมาจะทำหน้าตาน่าสงสารใส่ผมก็เถอะนะ
   
ผมครางในลำคอเมื่อรู้สึกผ่อนคลาย อาการตึงเครียดที่เกิดจากความเจ็บปวดในอดีตค่อยๆ เบาบางลง ราวกับว่าผมกำลังถูกประคับประคองด้วยความทะนุถนอมจากเจ้าหมาป่าตัวโตที่ถูกทางการตราหน้าว่าเป็นตัวอันตราย
   
ตัวอันตรายที่ว่ากันว่านิสัยโหดร้ายและฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตาแถมยังมีงานอดิเรกคือฆ่าคนทั่วไปอีก
   
ให้ตายเถอะ เรื่องพวกนั้นโกหกทั้งเพ
   
รัฐบาลงี่เง่าพวกนี้ไม่รู้อะไรทั้งนั้นนั่นแหละ ขนาดอัลฟ่าจิ้งจอกพวกนั้นยังรู้ข้อมูลกันแค่นิดหน่อย คิดเองเออเองสามารถควบคุมกลิ่นได้อย่างเดียว ทั้งๆ ที่ผมทำได้มากกว่านั้น
   
“พอ”
   
ผมยกมือดันหน้าครามออกที่เริ่มจะจูบแรงขึ้นจนเริ่มรู้สึกเจ็บปาก คือเมื่อวานผมก็พอจะมีบทเรียนแล้วไงว่าถ้าใจอ่อนมากๆ ก็จะโดนเจ้าหมากัดจมเขี้ยว
   
รอยกัดบนหัวนมผมวันนี้มันยังไม่จางเลย
   
“...”
   
ผมหน้าแดงเพราะครามทำหน้าลามกแบบนั้นอีกแล้ว
   
เจ้าหมานี่อยากเอาผม
   
“พอแล้ว”
   
ผมพูดเสียงดุแล้วจัดชุดให้ครามอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมไปหยิบหน้ากากหมาป่าครึ่งใบหน้าสำหรับผู้ติดตามมาใส่ให้ แน่นอนว่ามันก็ทำให้ผมเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องสบตากับคราม
   
...
   
เจ้าหมานี่หล่อชะมัดเลย
   
ถ้าตอนปกติไม่เอาแต่ทำหน้าจ๋องแล้วร้องหงิงๆ ใส่ผมก็คงจะดี แต่ถ้าเลิกหงิงก็คงไม่ใช่หมาตัวเดียวกับที่ผมเก็บมาเลี้ยงอีก
   
“หน้ากากหมาป่าเหรอครับ”
   
ครามถามผมหลังจากที่ผมใส่ให้ครามเสร็จและเช็คความเรียบร้อยของตัวเองในกระจกอีกครั้ง
   
“พวกอัลฟ่าก็ย้อนแย้งแบบนี้แหละ”
   
ผมแค่นเสียงหัวเราะ สำรวจตัวเองในกระจกอีกครั้งเพราะภาพลักษณ์ของผมสำคัญมาก การปรากฏตัวในงานประมูลเพื่อการกุศลครั้งนี้ของผมก็ถือว่าเป็นการประชาสัมพันธ์แบรนด์แบบหนึ่ง ซึ่งเมื่อก่อนคนที่มักจะเข้าร่วมเป็นประจำจะเป็นพ่อผมกับพี่ แต่หลังจากอุบัติเหตุและการรีแบรนด์ก็มีเพียงผมเท่านั้นที่เข้าร่วมงาน
   
‘มาเวอร์ริก’
   
ถือกำเนิดใหม่ในนามของผม อีกาที่รักอิสระตัวนั้นไม่ใช่ของที่ทุกคนจะเอื้อมถึงอีกต่อไป มันกลายเป็นอีกาที่มีเพียงอัลฟ่าที่ถูกเลือกเท่านั้นที่สามารถครอบครองได้
   
เป็นความพิเศษที่ทำลายจุดประสงค์แรกเริ่มของผู้ก่อตั้งแบรนด์ที่ต้องการให้คนทุกคนสามารถมีสูทดีๆ เป็นของตัวเอง ถ้าเกิดต้นตระกูลผมยังมีชีวิตอยู่ก็คงไม่วายตะกายขึ้นมาจากหลุมมาบีบคอผมที่อาจหาญทำลายอุดมการณ์ของแบรนด์เก่าแก่อายุนับร้อยปีนี้
   
แต่แล้วยังไงล่ะ?
   
ภายใต้การบริหารอันล้มเหลวของพี่ชายผมกับความฟุ้งเฟ้อเพ้อฝันของพ่อมันก็ไม่ได้ทำให้แบรนด์ไปได้ไกลเท่าที่ควร คนที่ถูกมองข้ามที่สุดมาตลอดอย่างผมก็ต้องเข้ามาทำแบรนด์ดิ้งใหม่ทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวเพื่อที่จะประคับประคองธุรกิจที่ใกล้จบสิ้นนี้ให้อยู่รอดได้
   
มาเวอร์ริกกลายเป็นของผมอย่างที่แม่ฝันจริงๆ นั่นแหละ
   
แต่ก็น่าเสียดายที่แม่ไม่ทันเห็นฝันของตัวเองเป็นจริงเพราะเสียไปด้วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไปซะก่อน ผมไม่รู้ว่าแม่คาดหวังอะไรจากพ่อนัก คนที่เทิดทูนอัลฟ่าและเงินเหนือสิ่งอื่นใด คนพรรค์นั้นไม่ควรค่าให้แม่พึ่งพาสักนิด แต่ผมก็ว่าอะไรแม่ไม่ได้หรอก ในเมื่อสภาวะที่แม่ต้องทนอยู่มันเปราะบางและสิ้นหวังขนาดนั้น
   
ฉะนั้นเรื่องที่แม่ดูแลผมไม่ดีหรือไม่ชอบผม มันไม่ใช่เรื่องผิด คำสัญญาของพ่อเฮงซวยคนนั้นต่างหากที่ทำให้ผมหงุดหงิดที่สุด เพราะมันเป็นตรวนพันธนาการทำให้ผมกับแม่ตกอยู่ในสภาวะนั้นหลายปีกว่าแม่จะหาทางไปทวงคำสัญญาได้
   
เอาเข้าจริงผมก็ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงลืมเรื่องนี้ไปไม่ได้สักที ทั้งๆ ที่ผมก็คิดว่าผมเข้าใจแม่แล้วแต่เวลาฝันถึงเรื่องนี้ทีไร มันก็จะทำให้ผมรู้สึกหนักใจทุกครั้ง
   
ผมไม่โกรธแม่น่ะ ไม่โกรธจริงๆ แค่รู้สึกเสียใจที่ตัวเองไม่ได้ถูกเลือกบ้างก็เท่านั้น
   
“บอสครับ?”
   
“โทษที ผมเหม่ออีกแล้ว”
   
ผมถอนหายใจ เหนื่อยหน่ายใจกับตัวเองนิดหน่อย ผมตอนนี้ก็รับมือกับอดีตพวกนั้นได้แหละ แต่มันก็ยังเป็นเรื่องที่กวนใจผมอยู่ดี
   
“..ขออนุญาตนะครับ”
   
ผมเลิกคิ้วยังไม่เข้าใจว่าขออนุญาตอะไร เจ้าหมาก็ดึงมือของผมไปจูบบนหลังมือ
   
“เสร็จงานแล้ว เดี๋ยวผมให้กอดนะครับ”
   
“หึ”
   
ผมหลุดหัวเราะเบาๆ ออกมา
   
รู้ดีชะมัดเลย เจ้าหมาป่าของผมเนี่ย
   
ผมอารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อยเพราะอย่างน้อยๆ ช่วงนี้ผมก็พอมีอะไรมาช่วยคลายเครียดบ้าง อย่างเจ้าโบ้ตัวใหม่ของผมก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ครบถ้วนดี
   
ถามว่าผมมองครามเป็นหมาตัวใหม่ของผมไหม ส่วนหนึ่งก็ใช่แต่อีกส่วนหนึ่งก็ไม่ใช่
   
จัมโบ้ตัวเก่าของผมช่วยให้ผมประคับประคองตัวเองจากเรื่องทั้งหมดมาได้หลายปี
 
ส่วนครามก็คือคราม อัลฟ่าหมาป่าที่ดูน่าสงสารมากจนผมที่ไม่รู้ว่าตอนนั้นบ้าดีเดือดอะไรตัดสินใจเก็บกลับมาแบบไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ถ้าตอนนั้นมีคนเห็นผมกับครามพอดีแล้วจับได้ก็คือชีวิตผมก็น่าจะจบตั้งแต่ตอนนั้น

“เด็กดี”

ผมชมแล้วล้วงเอาเข็มกลัดสีทองแบบเดียวที่กลัดบนสูทผมออกมาติดให้กับปกเสื้อของคราม

‘มาเวอร์ริก’

อีกาสีทองสยายปีกอันโดดเด่นที่ทำมาจากทองคำและมีเพียงผู้ที่สวมแบรนด์นี้เท่านั้นที่จะได้รับสิทธิสุดพิเศษนี้ แน่นอนว่าผมติดมันให้กับปกเสื้อของครามอย่างไม่ลังเล

“เงยหน้าขึ้นหน่อย ผมจะปรับเนคไทให้”

ผมสำรวจความเรียบร้อยของครามอีกครั้ง เพราะคนในแวดวงก็จะเป็นที่รู้กันว่าผู้ติดตามของผมส่วนใหญ่จะสวมชุดคอลเลคชั่นใหม่หรือชุดที่ผมต้องการจะโปรโมท

ซึ่งปกติผมก็จะเอาเลขาผมที่เป็นอัลฟ่าเหมือนกันไป แต่ตอนนี้ผมมีครามแล้วก็อยากเอาครามไปด้วยมากกว่า เพราะน่าจะช่วยให้ผมพอจะมีอะไรให้รู้สึกดีบ้าง

“เข้าไปแล้วก็ไม่ต้องตกใจล่ะ ถ้ามีอะไรแปลกๆ ”

ผมบอกครามแล้วมองครามในชุดสูทสีน้ำตาลเข้มหกกระดุมซึ่งเป็นชุดที่ผมพอจะหาได้สำหรับไซส์ตัวขนาดคราม โชคดีที่มันเข้ากันกับครามพอดีทั้งสีผมและบุคลิก ทำให้ครามตอนนี้ดูดีมาก

ผมมั่นใจเลยว่าเจ้าหมาของผมน่าจะเป็นคนที่โดดเด่นอีกคนในงานแน่นอน ถึงจะในฐานะผู้ติดตามของผมก็เถอะ แต่สาเหตุที่ผมยอมมาร่วมงานงี่เง่าพรรค์นี้ก็แค่เพราะอยากหาลูกค้าเพิ่มก็เท่านั้น

“แล้วก็จำไว้ด้วย”

ผมตบอกเจ้าหมาเบาๆ เมื่อรู้สึกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว

“ว่าอย่าคุยกับใครนอกจากผม”

“ครับ”

ครามพึมพำตอบผมเสียงเบา ดูประหม่าไม่น้อยเพราะตอนนี้ก็เข้าสู่เขตโรงแรมที่จัดงานแล้ว และรอบงานมีสื่อมวลชนที่คอยเก็บภาพไปทำข่าวเต็มไปหมด

“ไม่ต้องกลัว คุณมากับบอสของคุณ”

ผมยิ้มบาง

“และผมจะไม่มีวันทิ้งคุณ”

----

 :katai4:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 11 16 ม.ค 63 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 16-01-2021 23:07:23
สงสารบอส เมื่อไหร่จะหลุดออกจากเงามืดในใจได้น้อ
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 11 16 ม.ค 63 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 16-01-2021 23:23:04
กว่าจะยืนหยัดเป็นบอสได้ทุกวันนี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ ดีนะ ดีจริงๆที่ได้เจ้าอัลฟาหมาป่าครามมาอยู่ด้วย  :katai2-1: รอตอนต่อไปค่ะ :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 11 16 ม.ค 63 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 17-01-2021 06:28:56
ดีมากๆๆ
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 11 16 ม.ค 63 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 19-01-2021 05:15:53
ปมในใจต้องใช้เวลากว่าจะอยู่กับมันได้อย่างไม่ทุกข์ใจกอดบอสแน่นๆ :กอด1:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 11 16 ม.ค 63 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 21-01-2021 09:41:44
บอสสู้ๆ
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 12 9 มี.ค 63 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 09-03-2021 22:25:18
ตอนที่ 12
   
   
สำหรับผมหนึ่งในสิ่งที่น่ารำคาญที่สุดก็ยังคงเป็นการเข้าสังคมกับพวกอัลฟ่า
   
อาจจะด้วยความที่ว่าผมไม่ได้โตมากับสังคมแบบนี้ก็เลยไม่ชินกับมันเท่าไหร่ แต่ถึงยังไงผมก็ไม่ชอบอยู่ดีเพราะผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของมันเลย
   
“บอสครับ มีคนมองเราอีกแล้ว”
   
ครามก้มลงมากระซิบกับผม ถึงแม้ท่าทางภายนอกจะดูเยือกเย็นแต่ผมก็พอจะสัมผัสถึงความกระวีกระวายของเจ้าหมาตัวโตของผมได้
   
“ไม่ต้องสนใจ”
   
ผมตอบง่ายๆ แต่ก็รู้ว่าเป็นคำตอบที่ใจร้ายไปหน่อยสำหรับครามที่น่าจะเพิ่งเคยออกงานสังคมครั้งแรก แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะเจ้าหมาของผมก็ทำได้ดีทีเดียว ยิ่งตอนโดนเก็บรูปก็ไม่มีท่าทีแตกตื่นสักนิดแถมยังดูน่าเกรงขามอย่างที่ผมต้องการอีก
   
เพราะผมรู้อยู่แล้วว่าครามจะเอาตัวรอดได้ สถานที่แห่งนี้มีกลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่าคละคลุ้งเต็มไปหมด สัญชาตญาณในตัวครามต้องถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างแน่นอน
   
หมาป่าที่ซุกซ่อนในตัวครามคงไม่ปล่อยให้เจ้าของร่างเสียหน้าหรอก
   
“..บอส”
   
“ไม่ต้องกลัว คุณมากับผม”
   
ผมกระซิบกลับไม่สนใจสายตาของเหล่าอัลฟ่าที่จับจ้องมาที่ผม แน่นอนว่าแต่ละคนที่จ้องผมก็คงมีจุดประสงค์ของตัวเอง บางรายก็เป็นอัลฟ่าที่ผมเพิ่งปฏิเสธไปว่าจะไม่ทำสูทให้ บางรายก็แค่ไม่ชอบขี้หน้าผมเฉยๆ เพียงเพราะผมสามารถเอาตัวเองเข้ามาในสังคมที่อัลฟ่าชั้นสูงแบบนี้ได้ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี
   
พวกเขาก็คงเสียดายนั่นแหละที่ไม่ได้บดขยี้ตระกูลของผม ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าผมจะฟื้นคืนชีวิตให้กับแบรนด์มาเวอร์ริกได้สำเร็จ จากที่จะกลายเป็นตัวตลกของพวกอัลฟ่าผมกลับสามารถมายืนตรงจุดนี้ได้
   
เอาเข้าจริงผมก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันที่ผมจะสามารถทำได้ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่ผมต้องทำก็มีแต่จะต้องทำให้มันดียิ่งขึ้นเท่านั้น เพราะถ้าผมทำมันพังอีกคงจะไม่มีโอกาสครั้งหน้าอีกแน่
   
“..ที่นี่มีกลิ่นอัลฟ่าหมาป่าเต็มไปหมดเลย”
   
ครามบ่นพึมพำกับผมเสียงเบา ดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่
   
“ผมถึงบอกคุณไงว่าอย่าตกใจ”
   
ผมยิ้มบางแล้วยกเค้กช็อกโกแลตครึ่งที่เหลือที่ผมยังไม่กินให้คราม
   
“กินสิ คุณต้องอยู่ดูเรื่องโง่ๆ กับผมอีกหลายชั่วโมงเลย”
   
สังคมของพวกอัลฟ่าชั้นสูงพวกนี้เต็มไปด้วยความย้อนแย้ง ปากก็บอกรังเกียจอัลฟ่าหมาป่ากันนักหนาแต่ก็หยิบยืมอัตลักษณ์ของอัลฟ่าพวกนี้มาเป็นของตัวเอง ทำน้ำหอมกลิ่นฟีโรโมนของพวกอัลฟ่าหมาป่าไม่พอยังเอาความเป็นหมาป่ามาเป็นแฟชั่นในแวดวงอัลฟ่าชั้นสูง ที่มีเพียงคนหยิบมือเดียวเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงอะไรพวกนี้ได้
   
ผมถึงได้รังเกียจอัลฟ่าพวกนี้นัก ขยันแต่ทำเรื่องโง่ๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรสักนิด แต่เพื่อการเข้าสังคมบางครั้งผมก็ต้องยอมลงไปเล่นกับพวกมันบ้างเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกปฏิเสธจากกลุ่มอัลฟ่ารวยแต่ไร้สาระพวกนี้
   
ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องเงิน ผมคงไม่มีวันลงไปร่วมกับอะไรแบบนี้เพราะมันน่ารำคาญสิ้นดี
   
“บอสกินเถอะครับ ตอนเที่ยงบอสกินไปนิดเดียวเอง”
   
ผมขมวดคิ้ว ที่ผมกินไปตอนเที่ยงคือการกินปกติของผม ผมไม่เคยกินมากกว่านั้น และผมก็กินน้อยแบบนี้ทุกมื้อด้วย ไม่รู้ว่าเจ้าหมาของผมเพิ่งสังเกตหรือยังไง
   
“ผมอิ่มแล้ว”
   
ผมยัดใส่มือครามแล้วหันไปความสนใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นบนเวที ไม่สนใจว่าเจ้าหมาของผมจะบ่นอะไรอีก ผมเหลือบมองพิธีกรที่กำลังพูดถึงวัตถุประสงค์ของงานครั้งนี้ด้วยความเบื่อหน่ายและอดนับถือไม่ได้ที่เขาสามารถพูดวัตถุประสงค์กลวงๆ พวกนี้ออกให้มาสละสลวยได้
   
งานประมูลการกุศลพวกนี้มันก็แค่งานอวดรวยของพวกเศรษฐีอัลฟ่าเท่านั้น ส่วนผมที่บังเอิญได้รับคำเชิญก็แค่มาพอเป็นพิธี ไม่ได้ตั้งใจจะมาประมูลอะไรจริงจังอยู่แล้ว และผมก็ไม่ได้มีเงินมากมายขนาดนั้นให้ถลุงด้วย
   
ที่ผมมาก็แค่มาหาลูกค้าเพิ่มเท่านั้น
   
ผมยิ้มมุมปากเมื่อหันไปสบตากับอัลฟ่ารายหนึ่งพอดี และพอจะจำได้ว่าครั้งที่แล้วเจอกันในงานเปิดตัวแบรนด์สักแบรนด์ อีกฝ่ายเป็นนักธุรกิจที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศค่อนข้างมีเงินพอตัว เป็นเป้าหมายที่ฝ่ายขายของผมไปเสนอขายถึงสองครั้งแต่ก็ยังไม่ได้รับการตอบตกลงสักที
   
คงต้องเป็นผมที่ต้องปิดการขายเองอีกล่ะมั้ง
   
ผมแกล้งหัวเราะเบาๆ เมื่ออีกฝ่ายขยิบตาให้ผม
   
“หมดแล้ว”
   
“…”
   
จานเปล่าถูกยัดกลับมาใส่มือผมพร้อมกับกลิ่นฟีโรโมนที่แข็งกร้าวขึ้นมานิดๆ
   
ผมหรี่ตามองครามที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ดูก็รู้ว่าไม่ค่อยพอใจที่ผมยิ้มให้กับอัลฟ่าเมื่อกี้ แต่ให้ตายเถอะ เจ้าหมาของผมแยกแยะออกไหมว่ามันคือยิ้มเพื่อการค้า มันไม่ใช่รอยยิ้มจริงๆ ของผม
   
“คราม”
   
ผมเอ็ดเสียงดุไม่พอใจเหมือนกัน
   
คือจะดื้อหรืออ้อนผม มันก็ทำได้ แต่ต้องทำตอนอยู่ที่บ้านไง ผมพกครามมาทำงานด้วยเพราะอยากหาอะไรมาช่วยฆ่าเวลาในงานห่วยแตกนี้ ซึ่งปกติผมเอาเลขาผมมา แต่ผมก็ไม่คุยกับเลขาของผมอยู่ดีถ้าไม่จำเป็น
   
“ถ้ามีอีก คราวหน้าผมจะไม่เอาคุณมาแล้ว”
   
หงิง
   
“…”
   
ผมเกือบจะหลุดขำออกมาเพราะเหมือนครามจะลืมตัวแล้วร้องหงิงเสียงเบา ผมที่รู้สึกสงสารนิดหน่อยเลยยอมอาศัยความมืดสลัวของงานแอบแตะหลังมือเจ้าหมาของผมเชิงปลอบ ก่อนจะกลับเข้าสู่โหมดเป็นการเป็นงานอีกครั้ง
   
เสียงดนตรีแจ็สสดในงานดังคลอเบาๆ คอยขับกล่อมอารมณ์ผู้คนในงานระหว่างช่วงที่รอให้สื่อมวลชนเก็บภาพบรรยากาศในงานอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงงานประมูลซึ่งเป็นที่รู้กันเองว่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะต้องจบลงตรงนี้เท่านั้น
   
ไม่มีการเผยแพร่ ไม่มีการบอกต่อ ไม่มีการถ่ายภาพ
   
สถานที่แห่งนี้เป็นทั้งความลับและสายสัมพันธ์แห่งความไว้ใจ เพราะมันซุกซ่อนความบ้าคลั่งของอัลฟ่าพวกนี้ ถ้าเกิดมีสื่อสักสื่อเอาไปพาดหัวข่าวก็คงเป็นข่าวใหญ่ครึกโครมไปทั้งสัปดาห์
   
ครั้งที่แล้วที่ผมมา ที่แย่ที่สุดก็คือการขายอวัยวะของเบต้าที่เป็นผู้ติดตามคนสนิทของเศรษฐีสักคน เบต้าคนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำผิดอะไร ก็ถูกโยนเข้ามากลางวงประมูลและกลายเป็นสินค้าประเภทมีชีวิตให้เหล่าเศรษฐีประมูลกันอย่างสนุกสนาน จนท้ายที่สุดก็ถูกประมูลกลับหาเจ้าของเดิมเพราะเบต้าคนนั้นทั้งกราบและร้องไห้จนเป็นลม
   
ผมที่เคยร่วมวงประมูลบ้างก็เคยชนะมา ได้เป็นแผ่นเสียงเพลงอะไรสักอย่างของพวกอัลฟ่าหมาป่า สาเหตุที่ผมประมูลมาก็เพราะมันเป็นของที่เลวร้ายน้อยที่สุดแล้วสำหรับการประมูลของในตลาดมืดของอัลฟ่าพวกนี้
   
ไอ้ประมูลการกุศลของทั่วไปพรรค์นั้น ต่อให้ประมูลไปก็ไม่มีใครสนใจจริงจัง แถมตัวเลขที่นำไปออกข่าวว่าบริจาคก็เป็นแค่ตัวเลขที่ถูกนำไปประชาสัมพันธ์ การประมูลการกุศลนั้นไม่มีเคยการบริจาคเกิดขึ้นจริงเพราะสถานที่รับเงินบริจาคก็เป็นของเศรษฐีอัลฟ่ารายหนึ่งที่เอาไว้ฟอกเงินเท่านั้น
   
พวกเบต้า โอเมก้ายากจนที่อยู่ภายใต้การอุปถัมภ์พวกนั้นก็ได้รับแค่เศษเสี้ยวเงินแล้วน้ำหูน้ำตาไหลคิดว่าเพราะคิดว่าเป็นบุญคุณนักหนาจากเหล่าอัลฟ่าที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องโยนเงินลงไปบ้างเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับตัวเอง
   
ตลกดีที่แม่กับผมก็เคยเป็นหนึ่งในคนพวกนั้นที่ต้องไปรอรับเศษเงินจากเศรษฐีพวกนี้ มันเป็นจำนวนเงินที่ไม่เยอะและไม่พอให้ตั้งตัวด้วยซ้ำ แต่อัลฟ่าพวกนี้ก็ชื่นชอบเหลือเกินที่จะทวงบุญคุณและเห็นท่าทางซาบซึ้งจนตรอกของคนที่อยู่ข้างล่าง
   
ผมที่เคยอยู่จุดนั้นมาก่อนพอมาเห็นท่าทีพออกพอใจในความเป็นนักบุญของอัลฟ่า ก็เล่นเอาผมขยะแขยงจนแทบทนไม่ไหวเพราะสาเหตุจริงๆ ที่ทำให้ผมต้องใช้ชีวิตแบบนั้นมันก็เป็นเพราะพวกอัลฟ่านั่นแหละ
   
ผมคิดเรื่อยเปื่อยก่อนที่อารมณ์จะขุ่นมัวน้อยลงตอนที่พนักงานเริ่มเสิร์ฟเครื่องดื่ม ซึ่งในส่วนนี้ก็เป็นส่วนที่ผมชอบที่สุดของงานกุศลไร้สาระน่าเบื่อนี่แล้ว
   
ผมหยิบไวน์แดงที่สั่งไว้สองแก้ว กำลังจะยื่นให้คราม ผมก็ชะงักไปสักพักเพราะเจ้าหมาของผมไม่สนใจผมสักนิด ไม่รู้ว่ายังงอนผมอยู่หรือรู้สึกผิดเรื่องเมื่อกี้
   
“...”
   
ผมมองเสี้ยวหน้าไร้อารมณ์ของครามก่อนจะรู้สึกอีกแล้วว่าวันนี้ครามดูดีมาก จริงๆ ผมก็เผื่อใจไว้นิดหน่อยว่าสูทที่ผมเลือกเอาไว้อาจจะไม่เข้ากับครามเท่าไหร่ แต่มันกลับเข้ากับครามกว่าที่ผมคิดและด้วยบุคลิกของครามตอนนี้ทำให้ครามโดดเด่นมากโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวสักนิด
   
แน่นอนว่าผมสังเกตเห็นอยู่แล้วว่ามีคนให้ความสนใจกับครามพอสมควร เพราะเจ้าหมาของผมก็ตัวใหญ่เตะตามาก แถมแบรนด์ของผมช่วงนี้ก็อยู่ในช่วงขาขึ้น ออกคอลเลคชั่นอะไรใหม่ๆ ก็ได้รับความสนใจแทบทั้งหมด
   
หล่อชะมัด
   
ผมเอาลิ้นดุนแก้มรู้สึกงุ่นง่านนิดๆ
   
สิ่งที่ครามไม่รู้คือครามเป็นสเป็คของผม ผมชอบคนที่ตัวใหญ่กว่าและจะชอบมากขึ้นถ้าใส่สูทที่ผมออกแบบ อีกาสยายปีกสีทองที่ผมกลัดไว้บนปกเสื้อครามสะท้อนแสงไฟวาววับ
   
ภายใต้บรรยากาศที่เต็มไปด้วยอัลฟ่าที่แต่งตัวเต็มสูตร ผมยอมรับจริงๆ ว่าถ้าผมไม่รู้จักคราม ครามคงจะเป็นคนแรกที่ผมมองเห็นในงานนี้ บรรยากาศรอบตัวดูลึกลับเข้ากับหน้ากากหมาป่าครึ่งหน้าที่ทำให้ครามเหมือนอัลฟ่าสักคนที่มาเล่นสนุกที่นี่เพื่อฆ่าเวลาและไม่อยากเปิดเผยตัวตน
   
“คุณดื่มรึเปล่า?”
   
เอาเข้าจริงผมเองก็ยังไม่ค่อยรู้จักครามเท่าที่ควรเลย รู้แค่ข้อมูลส่วนตัวไม่มาก ในขณะที่ครามรู้ความลับของผมไปกี่อย่างแล้วก็ไม่รู้ แถมยังรู้แต่ความลับที่ผมไม่มีวันเปิดเผยให้ใครรู้ด้วย
   
ถ้าไม่ใช่คราม ผมก็ไม่คิดจะเปิดใจให้ใครหรอก
   
“ดื่มครับ แต่ดื่มไม่เก่งเท่าไหร่”
   
พอผมคุยด้วยครามก็กลับมาดูมีชีวิตชีวาขึ้นนิดๆ แล้วรับไวน์จากผมไปถือ
   
“หมดแล้วคุณบอกผมแล้วกันว่าอยากดื่มอะไร เดี๋ยวผมสั่งให้ ที่นี่มีทุกอย่าง”
   
ผมบอกครามก่อนจะพาเดินตามพนักงานไปยังโต๊ะตัวเองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเวทีประมูลมาก มันเป็นโต๊ะกลมปูด้วยผ้าปูโต๊ะสีแดงซึ่งบนโต๊ะก็มีเทียนหอมเล็กๆ ถูกจุดเอาไว้สร้างบรรยากาศและให้แสงสว่างท่ามกลางความมืดสลัว เพราะโคไฟระย้าซึ่งเป็นไฟหลักของห้องโถงถูกปิดลงแล้ว เหลือแค่ตรงเวทีที่กำลังจะเปิดฉากเริ่มต้นความหฤหรรษ์อันบ้าคลั่งของอัลฟ่า
   
งานประมูลที่กำลังจะเกิดขึ้นมันน่ากลัวและน่าสะอิดสะเอียน จนผมไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองอยู่ในสภาวะปกติได้ ต้องยอมดื่มอะไรให้สติตัวเองละลายลงนิดๆ เพื่อให้ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้
   
“ทำไมบอสถึงมีกลิ่นผม”
   
ครามที่นั่งเก้าอี้ชิดกับผมกระซิบถาม
   
“ก็คุณจูบผมตอนอยู่บนรถไง”
   
ผมจิบไวน์และตอบด้วยรอยยิ้มบาง
   
“...แต่ผมโดนตัวบอสนิดเดียวเอง”
   
แสงไฟที่มืดสลัวทำให้ผมมองเห็นหน้าครามไม่ชัดเท่าไหร่ ถึงจะแค่เสี้ยวหน้าก็เถอะแต่ผมก็อยากรู้ว่าเจ้าหมาตัวโตของผมจะมีสีหน้าแบบไหน เวลาที่ถูกผมแหย่เล่น
   
“อยากรู้จริงเหรอ”
   
ผมแกว่งแก้วไวน์และจิบอีกอึก ปล่อยให้องุ่นที่ถูกบ่มจนกลายเป็นแอลกอฮอล์หลายปีสัมผัสลิ้นและลำคอ ให้ความหวานอมเปรี้ยวกัดกร่อนสติของผมให้หายไปสักเสี้ยวหนึ่งเพราะยังไงผมก็ไม่มีทางเมา
   
“ครับ”
   
“ความลับ”
   
ความเฝื่อนที่ยังคงติดอยู่ที่ปลายลิ้นทำให้ผมตัดสินใจแกล้งเจ้าหมาตัวโตของผมอีก
   
“บอสชอบกลิ่นของผมเหรอ”
   
“ไม่รู้สิ”
   
ความสามารถอีกอย่างของพวกอัลฟ่าจิ้งจอกอย่างผมก็คือการเลียนแบบกลิ่น ปกติกลิ่นฟีโรโมนอัลฟ่าหมาป่าผมก็จะใช้จากน้ำหอมที่พอจะหาได้จากพวกอัลฟ่าด้วยกันเอง แต่เพราะผมมีเจ้าของกลิ่นอย่างครามแล้ว ของพรรค์นั้นก็ไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่และผมก็ไม่คิดว่าจะมีใครจมูกดีพอที่จะรู้ว่าผมมีกลิ่นแบบเดียวกับครามด้วย
   
แน่นอนว่าคำตอบก็คือใช่นั่นแหละ กลิ่นของครามมันทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยเป็นพิเศษ ทั้งๆ ที่ผมก็เคยได้กลิ่นฟีโรโมนอัลฟ่าหมาป่ามาหลายแบบมาก แต่กลับไม่เคยมีกลิ่นไหนที่ทำให้ผมรู้สึกแบบเดียวกับคราม
   
เจ้าหมาป่านี่ชักจะมีอิทธิพลกับผมมากเกินไปแล้ว
   
“ทำไมถึงไม่รู้ล่ะครับ”
   
ผมมั่นใจมากว่าถ้าครามมีหูหมาป่าตอนนี้คงลู่ลงจนผมต้องอดใจไม่ขยำไม่ไหวแน่ๆ
   
“คุณรู้ความลับผมมากเกินไปแล้ว”
   
“แต่บอสเล่าให้ผมฟังเองนะครับ”
   
“ก็ตอนนี้ผมไม่อยากเล่าแล้ว”
   
ผมแกล้งไม่สนใจครามและหันไปให้ความสนใจกับของประมูลชิ้นแรกที่กำลังถูกเข็นออกมา เสียงเพลงแจ็สสบายๆ ถูกเปลี่ยนเป็นเพลงที่มีจังหวะเนิบช้าขึ้น พิธีกรซึ่งสวมชุดคลุมขนหมาป่าเดินเข้าไปใกล้กับสินค้าประมูลที่ถูกคลุมด้วยผืนผ้าสีแดงกำมะหยี่และดึงมันออกด้วยท่วงท่าราวกับนักมายากล
   
ผมแสดงท่าทีสนใจทันทีเมื่อรู้ว่าของประมูลชิ้นแรกคืออะไร
   
กา!
   
เจ้าอีกาสีดำขนาดยักษ์แผดเสียงดังลั่นอย่างเกรี้ยวกราด มันพยายามพังกรงที่กักขังมันออกอย่างดุร้ายจนกรงเกือบจะล้มลงมา นัยน์ตาสีทองเรืองรองกับสีฟ้าเป็นประกายวาวโรจน์ ซึ่งนัยน์ตาคู่นี้เองที่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้มันถูกจับมาประมูล
   
“...”
   
ผมจิบไวน์อีกอึกและพยายามอย่างมากที่จะไม่ทำสีหน้าหงุดหงิดออกมา เพราะของประมูลชิ้นแรกคือจงใจให้ผมกระโดดร่วมวงประมูลชัดๆ และถ้าผมประมูลไม่ได้ก็คงจะเสียหน้าอีก
   
แล้วผมจะเอาอีกาแพงๆ มาทำอะไร? ผมอยากเลี้ยงแค่หมา ไม่อยากเลี้ยงนกเพิ่ม ถึงแบรนด์ของผมจะมีสัญลักษณ์เป็นอีกาก็เถอะ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะอยากเสียเงินกับของพวกนี้ ถ้าต้องเอาเงินมาประมูลของพวกนี้ สู้ผมเอาเงินไปซื้อบราแพงๆ ที่ผมชอบยังดีกว่าอีก
   
“อยากได้รึเปล่า?”
   
ผมไม่แสดงสีหน้าอะไรตอนที่หนึ่งในลูกค้าคนสำคัญของผมมานั่งเก้าอี้ที่เหลืออยู่ตรงข้ามผมด้วยความธรรมชาติมาก ราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติ ทั้งๆ ที่มันไม่ปกติเลยสักนิด เพราะทุกครั้งที่มาร่วมงานประมูลพวกนี้ ผมพยายามอย่างมากที่จะเลี่ยงการสนทนาหรือตกลงอะไรกันจริงจัง
   
สถานที่แห่งนี้มันเชื่อถืออะไรไม่ได้ ราวกับว่ามันเป็นห้องแห่งความฝันที่ทุกคนมาใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงเพื่อที่จะค้นพบในอีกวันว่าเป็นแค่ฝันไป แต่เรื่องตลกร้ายหน่อยคือฝันที่ว่ามันสามารถพรากอิสรภาพและชีวิตของสิ่งที่ถูกนำมาประมูลในวันนี้ได้จริงๆ
   
“...”
   
ผมเหลือบมองตัวต้นเหตุความวุ่นวายตอนนี้ด้วยหางตา อีกฝ่ายเท้าศอกบนโต๊ะ เอามือประสานกันและวางคางบนมือเพื่อจ้องผมด้วยความตั้งใจ
   
ให้ตายเถอะ
   
ผมจิบไวน์ที่เหลืออยู่ไม่มากอย่างหงุดหงิด ความสงบสุขของผมได้ถูกทำลายลงแล้ว และเจ้าหมาของผมก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้เพราะนี่เป็นปัญหาของผมและผมก็หนีปัญหานี้ไม่ได้ด้วย
ตัวสร้างปัญหาตัวนี้มันดันเป็นบ่อเงินบ่อทองของผม
   
“ถ้าไม่ชอบ ครั้งหน้าเดี๋ยวจะหาตัวอื่นมาให้”
   
อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบแต่สายตากลับจ้องผมตลอดเวลา กลิ่นฟีโรโมนอัลฟ่าประจำตัวถูกปล่อยออกมาเพื่อแสดงอำนาจต่อผมและแหย่ผมเล่น ซึ่งก็คงเป็นไม่กี่คนในงานที่สามารถที่จะไม่สนใจประเพณีการใช้น้ำหอมฟีโรโมนไร้สาระพวกนั้นได้
   
ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของผมที่ได้เพื่อนสมัยเรียน ม.ปลาย ตัวเองเป็นลูกค้า ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ ‘ชิน’ ถึงให้ความสนใจผม ทั้งๆ ที่ช่วงที่ยังเรียนอยู่ก็ไม่เคยเห็นสนใจผมสักนิด ไม่สิ ตอนนั้นไม่มีใครสนใจผมเลยมากกว่าเพราะผมก็เป็นแค่คนน่าเบื่อที่ไม่มีงานอดิเรกจริงจังอะไรที่โรงเรียน วันทั้งวันเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการเรียนเพราะพื้นฐานผมไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถึงต้องได้พยายามมากกว่าคนอื่นเป็นพิเศษเพื่อที่จะได้ตามคนอื่นทัน
   
อะไรในตัวผมที่ทำให้ลูกนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลอย่างชินสนใจนัก ผมไม่รู้จริงๆ และไม่อยากรู้ด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะผมต้องการเงินจำนวนมากเพื่อรักษาพ่อแล้วก็ประคองธุรกิจไปด้วย ผมคงไม่ตกลงยอมรับเป็นลูกค้าหรอก
   
ชินอาจจะมาชอบผมทีหลังหรือเพราะอะไรก็แล้วแต่ ผมไม่สนใจ และผมก็ไม่อยากยุ่งกับอีกฝ่ายมากเกินไปด้วย เบื้องหลังภาพลักษณ์ขี้เล่นที่ชินแสดงออกมานั้นมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งซ่อนอยู่เต็มไปหมด ข่าวคราวการไล่เก็บนักการเมืองอัลฟ่าฝ่ายตรงข้ามมักจะเล็ดลอดมาถึงผมเสมอว่าเป็นฝีมือของชิน
   
“เสื้อที่นายตั้งใจตัดให้ขาดแล้ว ตัดให้ใหม่หน่อยสิ ไลม์”
   
ผมยอมสบตากับชินเมื่อถูกเรียกชื่อและพบว่าอีกฝ่ายก็ยังดูดีเหมือนเดิม แต่งตัวดีแถมยังใส่สูทของผม ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำหน้าเสียใจเล็กๆ ตอนที่ดึงแขนเสื้อที่มีร่องรอยเหมือนถูกมีดกรีดให้ผมดู
   
“เดี๋ยวจัดการให้”
   
ผมตอบสั้นๆ สุภาพแต่ก็ตัดบท นัยน์ตาสีทองดูพอใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อผมยอมคุยด้วย
   
“สรุปอยากได้ไหม ถ้าอยากได้จะได้ให้คนเอามาตอนนี้เลย”
   
“ไม่ครับ เอามาผมก็คงไม่มีเวลาดูแล”
   
ผมตอบชินแต่เท้าที่อยู่ใต้โต๊ะคือแอบเตะขาครามเพราะผมรู้สึกว่ากลิ่นฟีโรโมนของเจ้าหมาของผมมันเข้มขึ้นและแข็งกร้าวขึ้นเหมือนไม่พอใจที่ชินพยายามที่จะรุกล้ำผม
   
เจ้าหมามันหวงผมอีกแล้ว ให้ตายเหอะ เป็นเจ้านายได้ไม่ถึงอาทิตย์ ตอนนี้ครามเหมือนจะถวายชีวิตให้ผมได้แล้วอ่ะ แน่นอนว่าผมไม่ต้องการแบบนั้น ไม่ต้องการเลยสักนิด ฉะนั้นหยุดหาเรื่องให้เจ้านายอย่างผมสักที
   
“เสียดาย ฉันอุตส่าห์หามาให้ นึกว่านายจะชอบ” ชินหัวเราะเบาๆ แล้วยกมือและส่ายหัวให้กับพิธีกรเชิงว่าไม่เอาแล้ว ให้เอาไปประมูลได้เลย งานประมูลที่หยุดชะงักไปสักพักจึงดำเนินต่อ
   
ซึ่งแน่นอนว่าผมก็ไม่จำเป็นต้องประมูลมันแล้วเพราะคนที่เป็นหนึ่งในเจ้าของงานประมูลมานั่งกับผมด้วยตัวเองขนาดนี้ ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ผมต้องรักษาหน้าตัวเอง
   
“ทำไมถึงมาร่วมงาน”
   
ผมรับแก้วไวน์ที่ถูกเติมแล้วมาจิบต่อ รสที่เปลี่ยนไปทำให้ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ไวน์ที่ผมเลือกแล้ว แต่เป็นไวน์รสโปรดของชินที่ค่อนข้างแรงและบาดคอ
   
“ได้ข่าวว่านายจะมาก็เลยมา”
   
ชินยิ้มบางให้ผมและจัดผมสีดำที่ถูกย้อมเป็นทองที่ยุ่งนิดๆ ของตัวเองให้ยุ่งกว่าเดิม ทำให้ภาพลักษณ์ที่ดูไม่สนใจโลกอยู่แล้วตอนนี้ยิ่งดูไม่สนมากกว่าเดิม แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าชินค่อนข้างดูดีในภาพลักษณ์แบบนี้
   
“ช่วงนี้ว่างรึยัง”
   
“ยังครับ”
   
ผมไม่รู้ว่าชินต้องการอะไรจากผมกันแน่จริงๆ ผมไม่รู้ว่ามันคือการจีบหรืออะไร หรือถ้าจะจีบก็ช่วยไปจีบคนอื่นเถอะ ผมไม่ต้องการมีความสัมพันธ์งี่เง่ากับอัลฟ่าอันตรายพวกนี้หรอก แค่ทำงานด้วยผมก็ปวดประสาทพอแล้ว
   
ปัญหาผมเยอะพอแล้ว ผมไม่ต้องการปัญหาเพิ่ม หรือถ้าอยากเป็นปัญหาให้ผมก็ช่วยให้เงินผมเพิ่มด้วย
   
“เพื่อนเหรอ”
   
ชินเหลือบมองครามที่มองเวที ไม่สนใจบทสนทนาบนโต๊ะเลยสักนิด
   
“ครับ”
   
“อ้อ”
   
อีกฝ่ายยิ้มและกินไวน์ที่เหลือจนหมดแก้วในทีเดียว
   
“ถ้ามีอะไรก็ให้คนมาเรียกแล้วกัน ฉันไปทำงานก่อน”
   
ผมผงกหัวเชิงรับรู้และรู้สึกขอบคุณในใจที่เลิกยุ่งกับผมสักที
   
“รอบนี้ก็ตามใจนายเหมือนเดิมนะ ส่วนเรื่องเงินจะเอาเท่าไหร่ก็ส่งเมล์มาแล้วกัน”
   
“…”
   
ชินยิ้มให้ผมทิ้งท้ายก่อนจะเดินไปร่วมสนุกกับอัลฟ่าอีกกลุ่มที่กำลังเมาได้ที่และตะโกนราคาประมูลออกมาอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งพอตัวปัญหาจากไป ผมก็กลับมารู้สึกผ่อนคลายอีกครั้ง
   
ผมแกว่งแก้วไวน์ในมือเล่นและจิบต่อ
   
“เพื่อนบอสเหรอครับ”
   
ผมขมวดคิ้วที่เจอคำถามเดียวกันในเวลาที่ห่างกันไม่ถึงห้านาที
   
“อือ ชินเป็นเพื่อนสมัยเรียนม.ปลาย”
   
“…”
   
ผมเหลือบมองครามที่ไม่ยอมพูดอะไรต่อและพอหันไปมองถึงรู้ว่าเจ้าหมากำลังจ้องผมอยู่
   
“เป็นอะไร?”
   
ผมเลียริมฝีปากตัวเองที่ร้อนผ่าว เริ่มรู้สึกร้อนจากไวน์รสแรงและหนักแน่นที่ชินเลือกมา แน่นอนว่ามันไม่ได้ทำให้ผมเมาแต่มันก็ทำให้สติของผมละลายลงนิดๆ
   
“บอสเตะผม”
   
ผมหลุดยิ้มมุมปาก
   
“ก็คุณจะกัดเพื่อนผม”
   
“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
   
ผมหัวเราะเบาๆ กับความดื้อของคราม
   
ยังไม่ได้ทำอะไรแต่ถ้ากลิ่นฟีโรโมนอัลฟ่าหมาป่าพวกนั้นชัดและรุนแรงกว่านี้ มีหวังทั้งผมทั้งครามคงซวยกันหมด ไม่สิ คนที่ซวยอาจจะมีแค่คราม เพราะชินคงไม่ปล่อยให้ผมต้องกลายเป็นของประมูลในวันนี้หรอก
   
แต่ใครจะไปรู้ ผมอาจจะไม่ใช่ช่างตัดเสื้อคนโปรดของชินตลอดไปก็ได้
   
สักวันผมอาจจะกลายเป็นอัลฟ่าคนแรกที่โดนโยนขึ้นไปบนเวทีนั้น แล้วโดนอัลฟ่าด้วยกันเองประมูลอย่างบ้าคลั่งเหมือนสินค้าสักอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์
   
ผมทำใจเอาไว้นานแล้วว่าสักวันผมอาจจะร่วงหล่น สักวันอีกาอย่างผมจะถูกเด็ดปีกจนเหลือเพียงร่างกายไร้วิญญาณและไม่มีใครสนใจอีกต่อไป
   
“อย่าดื้อ”
   
ผมมองเจ้าหมาตัวโตของผมที่ดูเผินๆ เหมือนไม่ใช่อัลฟ่าหมาป่าที่ผมเก็บมาเลี้ยงเลยสักนิด
   
“เจ้านายของคุณไม่มีปัญญาปกป้องคุณจากอัลฟ่าตัวอื่นหรอกนะ”

-----------

หายไปนาน งานเยอะค่ะ  :hao5: แต่ก็กลับมาแล้วค่ะ 555555555
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 12 9 มี.ค 63 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 09-03-2021 23:11:48
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 12 9 มี.ค 63 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 11-03-2021 00:02:02
น้องหมามาฮึ่มๆ ใส่คนที่เข้าใกล้บอสตลอดเลยนะ  :hao3:

สู้ สู้ นะคะไรท์  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 12 9 มี.ค 63 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 11-03-2021 02:10:07
คิดถึง~
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 12 9 มี.ค 63 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 12-03-2021 21:47:15
 :katai1:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 12 9 มี.ค 63 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 14-03-2021 12:40:52
เอ็นดูมากนะ แต่ก็อย่าดื้อจ้าคราม
ไลม์คือเริ่ดมากค่ะ แต่ถ้าเปิดโลกกว่านี้ ไลม์อาจจะทรงอิทธิพลมากกว่านี้
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 12 9 มี.ค 63 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 17-03-2021 21:54:29
 :hao5:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 13 19 มี.ค 64 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 19-03-2021 15:12:29
ตอนที่ 13

   
ผมไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ผมถึงได้พูดมากนัก แต่ผมก็รู้ตัวว่าผมไม่ได้เมา ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นอะไร อาจจะเป็นเพราะผมเหนื่อยหน่ายกับงานสังคมไร้สาระพวกนี้เต็มทีล่ะมั้ง
   
มันน่าเบื่อจนทำให้ผมเกิดความคิดโง่ๆ ว่าอยากจูบครามตอนนี้ชะมัด
   
เจ้าหมาของผมจะเชื่องเป็นพิเศษถ้าถูกผมสัมผัส ฉะนั้นก่อนที่ครามจะก่อเรื่องผมก็ต้องหาทางทำให้ครามเลิกหวงผมสักที ที่นี่เป็นที่สาธารณะและมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะไม่ได้คุยกับคนอื่น
   
แต่ก็นะ วันนี้ก็มีคนสนใจผมเยอะเป็นพิเศษจริงๆ นั่นแหละ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
   
“ขอโทษครับ”
   
ท่าทีของครามอ่อนลงพอผมพูดความจริงที่ว่าผมไม่มีปัญญาปกป้องคราม ซึ่งมันก็เป็นความจริงที่ผมยอมรับและเปลี่ยนอะไรไม่ได้ด้วย
   
ผมเป็นอัลฟ่าก็จริงแต่ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรมากกว่านั้น ออกจะอ่อนแอซะด้วยซ้ำ ทุกวันนี้ที่ผมยังมีชีวิตอยู่ได้ก็เป็นเพราะผมดวงดีเท่านั้นแหละ
   
สำหรับผม ผมก็มองว่าตัวเองเป็นนักเสี่ยงโชคที่ใช้ชีวิตในโลกห่วยแตกนี้มาตลอด โชคดีบ้าง โชคร้ายบ้าง แต่ช่วงหลายปีนี้มานี้ผมกลับค่อนข้างโชคดีเป็นพิเศษ
   
ไม่รู้เหมือนกันว่าลูกเต๋าโชคชะตาของผมรอบนี้จะเป็นยังไง
   
ครามอาจจะเป็นโชคดีสุดท้ายของผมในชีวิตก็ได้
   
“..บอสอย่าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้สิ”
   
“ผมทำหน้าแบบนั้นเหรอ”
   
ผมหัวเราะเบาๆ แล้วจิบไวน์ที่เหลือครึ่งแก้วให้หมดในทีเดียวแบบชินบ้าง มันไม่อร่อยและไม่ถูกปากผมเลยสักนิด ซึ่งผลที่ได้คือผมรู้สึกร้อนไปทั้งหน้า มันทั้งบาดคอและทิ้งความรู้สึกหนักๆ เอาไว้จนผมต้องขมวดคิ้ว
   
“บอสดื่มอย่างอื่นไหมครับ หน้าบอสแดงแล้ว”
   
“ผมไม่เมาหรอก”
   
ผมตอบครามและปล่อยให้พนักงานเก็บแก้วผมไป ปฏิเสธความหวังดีของครามเพราะการดื่มไวน์ฟรีในงานนี้เป็นไม่กี่อย่างที่ช่วยให้ผมอารมณ์ดีขึ้น
   
[ ของประมูลชิ้นต่อไปเป็น ‘กะโหลกอัลฟ่าหมาป่าในร่างหมาป่า’ ครับ! ]
   
แน่นอนว่าแค่ได้ยินคำว่าอัลฟ่าหมาป่าผมก็รีบคว้ามือครามที่วางอยู่บนตักและกำแน่นทันที อาศัยความมืดแอบจับมือเจ้าหมาของผม พยายามควบคุมอารมณ์ของครามให้ได้มากที่สุดจนผมยอมปล่อยกลิ่นฟีโรโมนของตัวเองจริงๆ ออกมาด้วย
   
“ผมรู้คุณโกรธ คราม ถ้าผมเป็นเจ้าของงานเหมือนเพื่อนผม ผมก็พอจะปล่อยให้คุณอาละวาดได้อยู่หรอก”
   
ผมนั่งพิงกับพนักเก้าอี้ทอดสายตามองเจ้าหมาของผมที่นั่งจ้องเทียนที่อยู่กลางโต๊ะนิ่ง ไม่ยอมหันไปมองบนเวทีเพราะคงจะรู้ว่าตัวเองน่าจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้
   
เปลวเพลิงเล็กๆ ก็ยังคงแผดเผาเชือกและเนื้อเทียนหอม กลิ่นดอกไม้ที่ผมไม่รู้ว่าเป็นดอกอะไรส่งกลิ่นหอมจางๆ ท่ามกลางกลิ่นความวิปริตของพวกอัลฟ่า
   
“ผมรู้มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง แต่ผมมีปัญญาทำแค่นี้จริงๆ คราม”
   
ผมใช้นิ้วโป้งไล้นิ้วบนหลังมือครามเบาๆ ซึ่งผมก็รู้สึกได้เลยว่ามือของผมเล็กไปเลยถ้าเทียบกับเจ้าหมาป่าตัวโตของผม
   
“แต่ผมก็อยากจะบอกคุณว่าผมก็พยายามในแบบของผมอยู่”
   
วันนี้ผมพูดมากชะมัดเลย
   
ผมรู้สึกงุ่นง่านนิดๆ แต่ก็ยังไม่วายหยิบไวน์ที่เพิ่งมาวางบนโต๊ะมาจิบต่อ เพราะรสชาติที่ผมคุ้นเคยน่าจะช่วยให้อารมณ์ของผมมั่นคงขึ้น
   
“อันนี้กลิ่นของบอสเหรอครับ”
   
ครามหันมามองผมและเปลี่ยนเป็นกุมมือผมกลับ อุณหภูมิอุ่นร้อนจากฝ่ามือครามทำให้ผมรู้สึกร้อนขึ้นมากกว่าเดิม มันร้อนกว่าไวน์ที่ผมดื่มไปเมื่อกี้นี้อีก   
   
“อืม”
   
ผมส่งเสียงในลำคอตอบ แอลกอฮอล์ที่พยายามกร่อนสติของผมมาตลอดหลายแก้วในที่สุดมันก็ทำสำเร็จ ผมรู้สึกร้อนไปทั้งหน้ารู้สึกงุ่มง่าม ทำอะไรไม่ค่อยถูกเพราะถูกเจ้าหมาของผมจ้องไม่วางตา
   
“อย่ามอง”
   
ผมพูดเสียงเบาและหันไปมองทางอื่น สติที่เริ่มละลายทำให้ผมไม่มีสมาธิมากพอที่จะสบตากับคนที่นั่งโต๊ะอื่นและพยายามผูกมิตร ผมจึงได้แต่เลือกที่จะมองไปยังเวทีที่กำลังดุเดือดกับการประมูลที่ราคานั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ
   
“ผมชอบกลิ่นบอส”
   
“...อืม”
   
และเพราะไม่รู้จะเอามือไปไว้ไหน ผมก็เลยเลือกที่จะหยิบไวน์ขึ้นมาจิบอีก ให้องุ่นบ่มรสโปรดของผมช่วยพาผมออกจากสถานการณ์แปลกๆ ตอนนี้
   
“คราม”
   
“ครับ”
   
ผมขมวดคิ้วเพราะครามทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เจ้าหมาของผมเมื่อกี้ใช้นิ้วโป้งไล้ฝ่ามือผมกลับและตอนนี้ก็ยังไม่หยุดทำ
   
“ถ้าอารมณ์ดีแล้วก็ปล่อยมือผมได้แล้ว”
   
ทำไมเสียงผมถึงแหบพร่าแบบนั้นล่ะ
   
ผมวางแก้วไวน์ที่ดื่มอยู่อย่างจำยอม พักสักพักเพราะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเริ่มมีอาการแปลกๆ มือของผมตอนนี้ก็รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งมือ แม้แต่สติของผมก็จวนเจียนจะทำตามใจผมอยู่รอมร่อ
   
ใช่ ผมยังไม่ทิ้งความคิดที่อยากจะจูบครามเลย
   
“…”
   
“..มือคุณร้อนจัง”
   
ผมคิดในใจแต่กลับพึมพำพูดมันออกไป ซึ่งผลที่ได้คือครามดึงมือตัวเองออกทันทีแล้วยังหันไปมองทางอื่นด้วย จนผมไม่แน่ใจว่าผมพูดอะไรผิดไปรึเปล่า
   
“ดื่มอย่างอื่นเถอะครับ บอสเมาแล้ว”
   
“ผมไม่ได้เมา”
   
ตอนแรกผมก็มั่นใจในความคอแข็งของตัวเองนะ แต่ตอนนี้ผมเริ่มไม่มั่นใจเท่าไหร่แล้ว ไม่รู้ว่าเพราะผมดื่มไวเกินไปหรือด้วยปัจจัยอื่น วันนี้มันถึงทำให้ผมรู้สึกเนือยและคิดช้าเป็นพิเศษ
   
ปกติผมไม่เคยเมาที่งาน แม้แต่ตอนนี้ผมก็ไม่ได้เมาหรอก กรึ่มนิดๆ และอยากเล่นกับหมาของตัวเองที่พกมาด้วยฆ่าเวลา ซึ่งปกติผมก็จะอยู่ถึงแค่ช่วงประมาณกลางงานก็จะขอตัวกลับก่อนเพราะช่วงหลังห้องจะเละเทะมาก พวกอัลฟ่าชอบสรรหาอะไรใหม่ๆ มาเล่นแผลงๆ กัน
   
ไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตอัลฟ่ามันสงบสุขเกินไปหรือยังไง ถึงต้องมาทำอะไรแบบนี้
   
“..มันอร่อยมากเลยเหรอครับ”
   
“คุณไม่ชอบเหรอ”
   
ผมเหลือบมองแก้วของครามก็พบว่าเปลี่ยนเป็นน้ำเปล่าแล้ว
   
“เปล่าครับ ผมแค่ไม่อยากดื่มที่นี่”
   
“ผมก็ไม่อยากหรอก แต่ที่นี่มันก็ไม่มีอะไรให้ผมทำนี่ ..แล้วผมก็ไม่ได้อยากประมูลอะไรด้วย”
   
ผมพูดน้ำเสียงเนิบนาบมองริมฝีปากของครามไม่วางตา รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้อยู่บ้าน ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ลังเลที่จะจูบครามอีกเพราะมันให้ความรู้สึกดีมากจนผมเริ่มจะเสพติดมันแล้ว
   
ผมไม่เคยถูกปฏิบัติด้วยความหลงใหลและเทิดทูนขนาดนี้มาก่อน
   
ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีค่ามากขนาดนั้น ถึงผมจะเคยได้รับคำชมหรือรางวัลอะไรก็ตาม แต่ของพวกนั้นมันก็เป็นแค่ผลพลอยได้จากความพยายามอย่างหนักของผม
   
เพราะถ้าผมทำไม่ได้ ผมก็จะไม่มีวันเอาชีวิตรอดจากชีวิตห่วยแตกนี้ได้เลย การที่อยู่ๆ ตำแหน่งเสาหลักของบ้านหักมาทับตัวผมแล้วผมต้องเป็นคนประคองมันด้วยตัวคนเดียวนั้นก็ทำผมแทบจะเป็นบ้ามาหลายปี
   
น่าประหลาดใจชะมัดที่ผมยังมีชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้โดยที่ไม่แตกสลายไปซะก่อน
   
ผมหวุดหวิดหลายครั้งจริงๆ ที่จะยอมแพ้ให้กับชีวิตห่วยแตกนี้ แต่ผมอะไรสักอย่างในใจผมก็เหนี่ยวรั้งผมไว้เสมอ อาจจะเป็นบราสีแดงตัวโปรดของผมล่ะมั้ง ไม่รู้สิ แต่ทุกครั้งที่ผมใส่มันผมก็จะรู้สึกดีเสมอเพราะมันเป็นไม่กี่อย่างที่พ่อผมไม่รู้และไม่สามารถควบคุมผมได้
   
การได้แอบใส่บราที่พ่อผมเกลียดนักหนานั้นทำให้ผมมีความสุขมาก ราวกับว่าผมได้รับชัยชนะเล็กๆ ท่ามกลางความพ่ายแพ้มากมายของผม
   
ใช่ ผมมันห่วยแตกที่ไม่กล้าพอที่จะออกจากการควบคุมของพ่อสักที แต่กลับมากล้าอะไรกับเรื่องงี่เง่าพรรค์นี้และเรื่องงี่เง่าอีกหลายอย่างที่ผมทำเพียงเพราะแค่อยากจะพยายามขัดขืนความต้องการของพ่อ
   
ถ้าเกิดว่าพ่อรู้ว่าผมรับครามที่เป็นอัลฟ่าหมาป่ามาดูแลก็คงจะโกรธเอามากๆ แน่
   
“..บอส”
   
เจ้าหมาของผมเรียกผมเสียงเบา เหมือนกังวลและไม่เข้าใจว่าผมจ้องทำไม
   
“แค่กอดของคุณมันยังทำให้ผมพอใจไม่ได้หรอก คราม”
   
ผมยิ้มบาง
   
“คุณต้องจูบผมด้วย”
   
“…”
   
พอเห็นครามกำหมัดแน่นเหมือนพยายามควบคุมอารมณ์ ผมก็อดไม่ได้ที่จะแหย่เพิ่มอีกด้วยการเอาเท้าไปเขี่ยขาครามเพื่อปั่นประสาทมากกว่าเดิม
   
ใส่หน้ากากแบบนี้ไม่สนุกเลย
   
ผมอยากเห็นชะมัดว่าครามทำสีหน้าแบบไหนอยู่
   
“คุณไม่อยากจูบผมเหรอ?”
   
ผมหยิบไวน์ขึ้นจิบอีกและรู้สึกว่ามันอร่อยเป็นพิเศษ รสหวานที่ติดปลายลิ้นหวานจนผมอยากจะให้ครามได้ชิมจากปากผมบ้าง
   
“เมื่อกี้คุณยังอยากเอาผมอยู่เลย”
   
ไม่รู้ว่าแอลกอฮอล์มันละลายยางอายผมไปด้วยรึเปล่า ถึงได้พูดประโยคนี้ตอนนี้ แต่ปฏิกิริยาของครามมันก็น่าสนใจจริงๆ นี่นา แม้แต่ตอนนี้ก็ยังนั่งตัวแข็งปล่อยให้ผมเขี่ยขาเล่น
   
“เลิกแกล้งผมได้แล้ว ไลม์”
   
ครามพูดเสียงดุใส่ผมแถมยังจงใจเรียกชื่อเล่นผมอีก
   
ผมหัวเราะในลำคอเพราะเจ้าหมาชอบเรียกชื่อผมในช่วงจังหวะแบบนั้นตลอด ตอนนี้ก็คงใกล้จะทนไม่ไหวแล้วมั้ง ถึงได้พยายามปรามผมขนาดนี้
   
ทำไมผมถึงไม่ตัดสินใจอยู่บ้านนะ
   
“สัญญาก่อนว่าคุณจะจูบผมด้วย”
   
“..ครับ สัญญาครับ จะทำอะไรก็ได้ครับ แล้วแต่บอสเลยแต่ตอนนี้บอสช่วยหยุดเถอะครับ”
   
ครามขอร้องผมด้วยน้ำเสียงน่าสงสารมากจนเหมือนจะร้องหงิงออกมา
   
“คุณห้ามผมไม่ได้หรอก”
   
ผมหัวเราะแล้วจัดผมที่ยุ่งนิดๆ ของตัวเองให้เรียบร้อยขึ้นและหันไปมองทางเวทีที่อยู่ๆ ก็เกิดเสียงฮือฮาขึ้นมา ซึ่งผมก็ค้นพบว่าวันนี้ช่วงเทศกาลของอัลฟ่าถูกจัดไวเป็นพิเศษ จากที่จะช่วงหลังของงานตอนนี้กลับถูกนำมาคั่นในช่วงประมูลและเทศกาลที่ถูกเลือกมาเล่นในวันนี้ก็คือการละเล่นรอบกองไฟ
   
“…อันนั้นไฟจริงเหรอครับ”
   
ครามถามผมเสียงหวั่นๆ เพราะไฟที่ลุกโหมกลางเวทีนั้นน่ากลัวมาก มันโชติช่วงจนเหมือนจะแผดเผาทุกอย่างให้มอดไหม้ ซึ่งถ้าเป็นคนทั่วไปก็คงจะไม่เล่นอะไรแผลงๆ แบบนี้หรอก
   
“เดี๋ยวคุณก็รู้”
   
ผมถอดเข็มกลัดอีกาของตัวเองออกและวางตรงหน้าครามเชิงฝาก ก่อนจะลุกขึ้นและเดินก้าวเข้าไปร่วมวงกับเทศกาลที่มีอัลฟ่าอีกหลายคนลุกขึ้นมาเข้าร่วมเช่นกัน
   
ผมเลียริมฝีปาก รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้จิบไวน์มากกว่านี้เพราะกว่าจะถึงเวทีผมก็เริ่มสร่างแล้ว ลมหายใจของผมสงบขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมที่จะเป็นอีกาแห่งอิสรภาพด้วยตัวเอง
   
[ วันนี้ผู้เข้าร่วมของเราเยอะเป็นพิเศษเลยนะครับ แต่จะมีสักกี่ท่านนะที่จะสามารถสวมชุดคลุมหนังอัลฟ่าหมาป่าได้ครบสามรอบกัน ขอเชิญท่านแรกเริ่มได้เลยครับ! ]
   
อัลฟ่ารายหนึ่งที่ผมไม่คุ้นหน้าเป็นคนแรกที่เข้าร่วมกับการละเล่นรอบกองไฟ ซึ่งกติกาการเล่นก็ง่ายมากแค่สวมชุดคลุมแล้ววิ่งรอบกองไฟให้ครบสามรอบคนแรกก็จะได้รางวัลพิเศษประจำวันนี้ไป
   
แต่แน่ล่ะ มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก
   
ผมพยายามไม่แสดงสีหน้าอะไรตอนที่เห็นอัลฟ่าที่อาสานั้นไม่กล้าที่จะสวมเสื้อคลุมนั่นด้วยซ้ำ เพราะฟีโรโมนที่อยู่บนหนังหมาป่านั้นเป็นของจริงและรุนแรงเอามากๆ
   
มันเป็นกลิ่นแบบเดียวกับที่ครามใช้กับผม แต่ของครามมันรุนแรงกว่านี้อีก มันทำให้ผมกลัวจนปากสั่น ร่างกายทุกส่วนสั่นระริกแต่ในขณะเดียวกันผมก็ตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองแทบไม่ได้
   
ถ้าเกิดวันนั้นครามกัดผมจนตาย ผมก็คงไม่โกรธเพราะความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนั้นเป็นความรู้สึกที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อนและมันก็ทำให้ผมรู้สึกดีมาก
   
[ สองรอบครึ่ง! เสียดายจังนะครับ! อีกนิดเดียวเอง ]
   
ผมมองอัลฟ่าคนที่ว่าที่ลงไปนอนสั่นระริกบนพื้นขยับต่อไม่ได้ ก่อนที่จะมีอัลฟ่าอีกคนหยิบเสื้อคลุมหนังหมาป่าขึ้นมาคลุมต่อแล้ววิ่งรอบกองไฟ
   
เสียงเฮดังขึ้นเกรียวกราวพร้อมๆ กับเสียงกลองจังหวะสนุกสนาน คราวนี้เป็นอัลฟ่าที่มีอิทธิพลคนหนึ่งเลยที่ขึ้นมาร่วม ใบหน้าของเจ้าตัวนั้นแดงก่ำจากเหล้า ที่โผล่ขึ้นมาบนเวทีได้ก็คงเพราะโดนยุให้ขึ้นมาร่วมด้วย
   
ผมมองตามอัลฟ่าคนนั้นที่วิ่งไปได้รอบเดียวก็โยนเสื้อคลุมทิ้งแล้วพยายามอย่างมากที่จะไม่หลุดหัวเราะออกมา ใครจะไปรู้ คนๆ นี้อาจจะเป็นลูกค้าของผมในอนาคตก็ได้ ฉะนั้นไม่ว่าใครจะเสียหน้ากับเทศกาลอันนี้ ผมก็ต้องทำหน้าสุขุมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
   
ผมปิดปากหาวและยืนมองเสื้อคลุมหมาป่าเปลี่ยนมือไปมาสักพัก เฝ้ารอจังหวะและช่วงเวลาที่ดีที่สุดของตัวเองในการเข้าร่วมกับการละเล่นงี่เง่านี่ ผมไม่ได้ขึ้นมาร่วมสนุกเพื่อเอารางวัลเหมือนคนอื่น รางวัลที่ได้มันก็แค่ผลพลอยได้เท่านั้น
   
ที่ผมยอมมาร่วมก็เพราะว่าอยากจะ ‘แสดง’ ให้ทุกคนเห็นเท่านั้น
   
แสดงให้ทุกคนเห็นว่าผมนั้นคือแบรนด์มาเวอร์ริก อีกาแห่งอิสรภาพที่มีเพียงคนที่ถูกเลือกเท่านั้นที่จะได้ครอบครองสูทอันเลื่องชื่อนี้ และทำให้ทุกคนเกิดภาพจำต่อแบรนด์ของผม
   
ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าผมเป็นเจ้าของ ฉะนั้นสิ่งที่ผมต้องทำคือการแสดงในสิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึง ให้เหล่าลูกค้าในอนาคตของผมได้รับรู้ว่าอีกาแห่งอิสรภาพมันใช้ชีวิตยังไงกัน
   
เอาเข้าจริงผมก็ไม่ได้วางแผนหรอกว่าจะร่วมเทศกาลด้วย แต่พอเห็นจังหวะและโอกาสมันได้ ก็อดไม่ได้ที่จะคว้ามันไว้และยอมมาเล่นลูกเต๋าแห่งโชคชะตาอีกครั้ง
   
แน่นอนว่าผมก็มั่นใจในตัวเองพอตัวกับการรับมือกับกลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่า สายเลือดอัลฟ่าจิ้งจอกที่พ่อผมอยากได้นักหนานั้นช่วยผมได้มากทีเดียว เพราะมันทำให้ผมนั้นมีภูมิต้านทานต่อกลิ่นฟีโรโมนรุนแรงมากกว่าอัลฟ่าทั่วไปแต่ถ้ารุนแรงมากเกินไปเหมือนครามผมก็รับมันไม่ไหวอยู่ดี
   
[ ผ่านไปเจ็ดคนแล้วนะครับ! ยังไม่ได้ผู้ชนะของเราเลย หรือว่ารางวัลของเรารอบนี้จะต้องขนกลับกันนะ! ]
   
ผมหันไปสบตากับครามที่จ้องผมอยู่แล้วเหยียดยิ้ม
   
ดูให้ดี คราม
   
นี่แหละอีกตัวตนที่บอสของคุณสร้างขึ้นมาเพื่อมาเวอร์ริก
   
[ คนต่อไปที่มาร่วมสนุกเป็น— ]
   
ฟู่!!
   
ผมถอดสูทตัวนอกซึ่งชุ่มด้วยวอดก้าทั้งขวดที่ผมได้มาจากพนักงานและโยนเข้าไปในกองไฟ ซึ่งผลที่ได้คือไฟลุกขึ้นมากกว่าเดิมจนเกิดแสงสว่างวาบวูบใหญ่คล้ายกับแฟลช
   
ผมผุดยิ้มออกมาบางๆ ตอนที่ไฟนั้นแทบจะเผาผมไปด้วย แต่ถึงแบบนั้นความเงียบงันในห้องและความสนใจที่พุ่งเป้ามาที่ผมก็คุ้มค่าเกินกว่าที่ผมจะใส่ใจมัน
   
สิ่งที่งานเทศกาลนี้กำลังมองหาคือความน่าสนใจและความแปลกใหม่
   
และผมก็เสนอตัวที่จะเป็นสิ่งนั้น
   
[ คุณไลม์ครับ! ]
   
ผมผงกหัวรับชื่อตัวเองและโยนเนคไทของตัวเองเข้ากองไฟ ปล่อยให้ไฟนั้นโลมเลียสูทตัวโปรดและเนคไทที่ผมใส่ประจำอย่างสนิทสนมและกลืนกินมันให้เป็นเถ้าถ่านร่วมกับมันอย่างรักใคร่
   
ผมก้มลงไปหยิบชุดคลุมหนังอัลฟ่าหมาป่าที่มีกลิ่นฟีโรโมนก้าวร้าวรุนแรงสลัดและสวมทับตัวเองในทีเดียว ไม่ยี่หระต่อกลิ่นฟีโรโมนเฉพาะตัวของอัลฟ่าหมาป่าที่กดทับผมจนผมหายใจไม่ออก
   
ความร้อนของกองไฟข้างตัวนั้นทำผมร้อนจนเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว แต่การแสดงของผมยังไม่จบลง ผมเลยได้แต่กดทั้งความกลัวและความอึดอัดไม่สบายตัว เอาเข้าจริงผมร้อนจนรู้สึกเหมือนแทบจะไหม้อยู่แล้ว
   
ร่างกายผมไม่ค่อยถูกกับอากาศร้อน แขนของผมตอนนี้แดงไปหมดแต่สีหน้าผมที่แสดงออกขณะวิ่งก็ยังคงเป็นความสุขุมเยือกเย็น เหมือนกับแค่ที่กำลังทำอยู่นั้นเป็นแค่การวิ่งเหยาะๆ ออกกำลังกายทั่วไปเท่านั้น
   
มันอาจจะดูหักหน้าอัลฟ่าคนอื่นๆ ที่ไม่สภาพไม่สู้ดีนักกับงานเทศกาลนี้ แต่ที่ผมต้องการคือการเอาหน้าและแสดงให้พวกเขาเห็นว่าผมนั้นถ้าต้องการที่จะทำอะไรก็สามารถทำตามที่ต้องการได้
   
ใช้เวลาไม่กี่อึดใจผมก็วิ่งครบสามรอบได้อย่างสบายๆ และเดินเข้าไปหาพิธีกรที่ยืนอึ้งอยู่ด้วยรอยยิ้มบาง ซึ่งพิธีกรก็ถอยกรูดหนีจากผมจนผมต้องเลิกคิ้วงุนงง ก่อนผมจะนึกออกว่ายังไม่ได้ถอดเสื้อคลุมออกเลยถอดมันออกไปคลุมให้กับหุ่นไม้เหมือนเดิม
   
ผมใช้หลังมือเช็ดเหงื่อตัวเองและปลดกระดุมลงสองเม็ดระหว่างที่รอพิธีกรพูดอะไรต่อ เพราะทนความร้อนจากกองไฟข้างๆ นี้ไม่ไหวแล้ว ดีหน่อยที่วันนี้ผมตัดสินใจถูกที่ไม่ใส่บรามาด้วย ไม่งั้นอีกความลับของผมก็ถูกเปิดเผยมันซะวันนี้ด้วยตัวผมเอง
   
จริงๆ ผมก็ไม่ได้อายหรือรู้สึกอะไรกับการใส่บราหรอก มองว่ามันเป็นเครื่องแต่งกายอีกชิ้นด้วยซ้ำแต่สายตาของอัลฟ่าและคนทั่วไปนั้นไม่ได้มองมันเหมือนผม ยังคงมองว่ามันเป็นเครื่องแบบของเพศหญิงกับโอเมก้าอยู่เลย
   
มีแต่คนน่าเบื่อมากมายเต็มไปหมดจริงๆ จนบางทีผมก็อยากลืมๆ ทุกค่านิยมของสังคม ลืมความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพ่อ ลืมบาดแผล ลืมความกลัว ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วใช้ชีวิตอย่างที่ผมต้องการจริงๆ สักที
   
[ สำหรับการละเล่นรอบกองไฟในวันนี้ เราก็ได้ผู้ชนะของเราแล้วนะครับ! ]
   
ผมสางผมตัวเองที่ชุ่มเหงื่อจนปรกตาขึ้นด้วยความรำคาญ แต่รำคาญมากกว่ากับสายตาคนเกือบทั้งงานที่จับจ้องมาที่ผมจนผมเริ่มรู้สึกว่ามันชักจะมากเกินไปแล้ว
   
เกลียดผม? ชื่นชมผม? ชอบผม? หรืออยากทำลายผม?
   
แต่ไม่ว่าจะคิดยังไงกับผม ผมก็ไม่สนใจหรอก ตราบใดที่ผมยังไม่ตายก็จะได้เห็นหน้าผมต่อไปเรื่อยๆ แน่นอน 
   
[ ซึ่งนั้นก็คือคุณไลม์นั่นเองครับ! ส่วนของรางวัลจะถูกส่งตามไปที่หลังนะครับ ]
   
เสียงปรบมือดังเกรียวกราวตามมารยาท ซึ่งผมก็แสดงท่าทีขอบคุณพอเป็นพิธีแล้วถึงลงจากเวทีเพื่อที่จะกลับยังโต๊ะของผมที่เจ้าหมาของผมตอนนี้น่าจะนั่งหน้าบูดเพราะผมมีกลิ่นอัลฟ่าตัวอื่นติดอีกแล้ว
   
บรรยากาศในงานที่ครึกครื้นเมื่อกี้ค่อยๆ กลับมาสงบอีกครั้งระหว่างที่รอให้เวทีนั้นถูกปรับสภาพให้กลับไปประมูลของต่อได้ ก็มีการแสดงสดเป็นการเต้นรำตามจุดต่างๆ ช่วยให้ผู้ร่วมเข้างานมีอะไรดูฆ่าเวลาและรู้สึกผ่อนคลาย
   
ผมปลดกระดุมลงอีกเม็ดตอนที่ทิ้งตัวนั่งบนโต๊ะและยังไม่รู้สึกหายร้อน
   
“ไลม์”
   
ผมปรือตามองครามแล้วจิบไวน์ที่เพิ่งถูกนำมาวางบนโต๊ะเมื่อกี้ ไวน์รสโปรดในอุณหภูมิที่ค่อนข้างเย็นก็ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวัง มันทำให้ผมรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นและพร้อมที่จะเล่นกับอัลฟ่าหมาป่าของผม
   
“คุณไม่ประทับใจการแสดงของผมหน่อยเหรอ”
   
ใบหน้าครึ่งล่างที่เรียบเฉยบ่งบอกอารมณ์ของเจ้าหมาของผมได้ดีว่าไม่พอใจเอามากๆ และหงุดหงิดผมอะไรสักอย่างซึ่งผมก็คาดเดาไม่ถูกอีกว่าครามอยากจะตำหนิอะไรผม
   
“..ผมงี่เง่าเอง ช่างมันเถอะ”
   
ครามเบือนหน้าหนีผมไม่ยอมพูดต่อจนผมหลุดยิ้มออกมา
   
“ไม่ชอบที่ผมมีกลิ่นอัลฟ่าตัวอื่นเหรอ”
   
ผมเอาเท้าออกจากรองเท้าและเอาไปเขี่ยขาครามอีก
   
“งั้นคืนนี้คุณก็ทำให้ผมมีแค่กลิ่นคุณสิ คราม”
   
ผมเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเอง
   
“คุณอยากเอาผมไม่ใช่เหรอ?”
   
“ไลม์ ผมจะไม่ไหวแล้วนะ”
   
ผมหัวเราะแล้วนั่งหลับตาพิงกับพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย
   
“ทนหน่อย คราม อีกครึ่งชั่วโมงผมก็จะพาคุณกลับ—”
   
ผมพูดไม่ทันจบประโยคก็หลุดเสียงแปลกๆ ออกมาเพราะเจ้าหมาของผมดันจับข้อเท้าของผมเอาไว้แน่น มือที่ร้อนพอๆ กับไฟเมื่อกี้ค่อยๆ ล้วงเข้าไปลึกขึ้นจนผมสะท้านเฮือกและเริ่มรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่นั่งใกล้ครามเกินไป
   
“สิบห้านาที”
   
ครามมองผมนิ่งและพูดเสียงเรียบ สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงทั้งๆ ที่มือร้อนผ่าวนั้นแทบจะลวกผิวผม
   
“..ก็ได้ ก็ได้ ปล่อยก่อน”
   
ผมลนลานพูดเสียงเบา
   
“ถ้านานกว่านั้น ผมจะพาบอสกลับเอง”
   
ครามยังคงจับข้อเท้าผมแน่นไม่ยอมปล่อยจนผมต้องยอมรับปาก
   
“โอเค สิบห้านาทีก็ได้ ปล่อยผมสักที”
   
ผมเขินจนรู้สึกร้อนไปทั้งหน้า รู้สึกเสียหน้านิดๆ ตอนที่ถูกเจ้าหมาของผมรุกกลับจนผมไปต่อไม่ถูก ใครจะไปรู้ล่ะว่าครามจะกล้ากับผมขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ปกติผมแหย่ยังไงก็ไม่เคยทำอะไรผมสักที
   
“ครับ”
   
ในที่สุดครามก็ยอมปล่อยมือจากข้อเท้าผม แต่ผิวของผมก็ยังจดจำสัมผัสร้อนผ่าวของครามจนผมรู้สึกไม่ค่อยเป็นตัวเองเท่าไหร่ ผมเหลือบมองอัลฟ่าหมาป่าของผมอีกฝ่ายก็ยิ้มบางให้ผมจนผมหน้าแดงกว่าเดิม
   
..เมา ผมต้องเมาไปแล้วแน่ๆ
   
หัวใจผมถึงได้เต้นแรงขนาดนี้


----------

 :z13:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 13 19 มี.ค 64 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 19-03-2021 23:41:35
 :hao3:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 13 19 มี.ค 64 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 20-03-2021 20:57:33
เอิ่ม...บอสยั่วหมาป่าอยู่นะคะ    :hao3:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 13 19 มี.ค 64 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 22-03-2021 01:32:48
รอๆ
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 13 19 มี.ค 64 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-03-2021 22:04:20
บอสคะะะะะะะะะะ
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 13 19 มี.ค 64 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-03-2021 13:50:18
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 14 9 เม.ย 64 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 09-04-2021 00:53:05
ตอนที่ 14

   
“คราม ครามใจเย็นๆ ก่อน”
   
ผมเอามือดันหน้าเจ้าหมาตัวโตของผมออกเพราะพอถึงห้องก็ตะโบมจูบใส่ผมทันที หลังจากที่นั่งตัวแข็งบนรถไม่สนใจผมมาตั้งนานจนผมนึกว่าครามง่วงจนหลับไปแล้ว
   
แต่ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าเจ้าหมาของผมจะมาคิดบัญชีเรื่องทั้งหมดกับผมตอนนี้!
   
“ก็บอสยั่วผม”
   
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจ้องผมนิ่งจนผมรู้สึกประหม่าขึ้นมา
   
“ไลม์อยากโดนผมเอาไม่ใช่เหรอ”
   
“…”
   
จากที่ยังกรึ่มๆ อยู่ผมสร่างทันที
   
ตอนที่อยู่ในงานผมไม่รู้สึกอายเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกอายมากที่พูดประโยคพวกนั้นออกไป เอาเข้าจริงผมก็ติดเล่นเกินไปด้วยนั่นแหละถึงได้พูดกระเซ้าครามขนาดนั้น
   
ใครจะไปคิดว่าละเจ้าหมาโกลเด้นที่เคยออดอ้อนผมจะกลายเป็นหมาป่าขึ้นมาจริงๆ
   
ผมลูบหน้าตัวเองที่ร้อนผ่าวและพยายามเรียกความสุขุมของตัวเองคืนมา
   
“ถ้าบอสอยากให้ผมหงุดหงิดน้อยลงก็อาบน้ำครับ”
   
“คุณก็อาบพร้อมกับผมสิ”   
   
ผมไม่ยอมให้ครามเป็นคนควบคุมสถานการณ์คนเดียวหรอก
   
“…”
   
ผมยิ้มบางแล้วดึงมือครามให้มาช่วยถอดชุดผมออก ซึ่งชุดของผมก็ยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นฟีโรโมนอัลฟ่าหมาป่าตัวอื่นจนทำให้สีหน้าของครามแย่กว่าเดิม
   
ฮื่อ
   
ครามขมวดคิ้วแน่นตอนที่ถอดสูทตัวนอกออกให้ผม หูหมาป่าสองข้างตั้งชันขึ้นอย่างไม่พอใจแถมยังปล่อยกลิ่นฟีโรโมนของตัวเองออกมากลบอีก
   
ผมตัวสั่นตามสัญชาตญาณแต่ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว เอาเข้าจริงกลิ่นที่ติดอยู่บนเสื้อผมเทียบกับกลิ่นของครามตอนนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะยิ่งกลิ่นครามชัดขึ้นเท่าไหร่ร่างกายผมก็กลัวจนแทบจะยืนไม่ไหว
   
ร่างกายผมร้อนจนผมหลุดครางออกมาเสียงเบาตอนที่ครามแกะกระดุมให้ผมแล้วปลายนิ้วแตะโดนตัวผม เจ้าหมาที่เหมือนจะรู้ตัวดีว่าทำผมหมดสภาพไปแล้วใช้แขนโอบเอวผมแล้วช่วยประคองผมไม่ให้ลงไปกองที่พื้น
   
“..หวงผมมากเลยเหรอ”
   
ผมกระซิบถามเสียงเบาแล้วหลังจากที่ครามถอดเสื้อผ้าส่วนบนของผมทั้งหมดได้สำเร็จจนผมไม่เหลืออะไรปิดบังร่างกายแล้ว
   
“คุณลามกชะมัดเลย”
   
ผมเอ็ดเสียงเบาเมื่อครามก้มลงมาเลียคอที่เป็นอีกจุดหนึ่งที่ไวต่อสัมผัสของผมจนผมสะอื้นออกมา ถ้าผมเป็นโอเมก้า ตอนนี้ผมคงจะเปียกเอามากๆ
   
“บอสยั่วผมก่อน”
   
ครามพรมจูบบนไหล่ผม
   
“รู้ไหมว่าไลม์ทำผมแข็งตั้งแต่ในงานแล้ว”
   
“...”
   
ผมหน้าแดงเพราะพอจะก้มหน้าหนีไม่มองหน้าครามก็ดันจะไปเจอสิ่งที่แข็งขืนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดบนกางเกงครามแทน ซึ่งมันก็ทำผมเขินกว่าเมื่อกี้อีก
   
ผมติดเล่นมากเกินไปจริงๆ
   
“..อาบน้ำก่อน คราม ผมขออาบน้ำก่อน”
   
ผมพยายามต่อรองซื้อเวลาให้ตัวเองนิดหน่อย ส่วนหนึ่งก็อยากจะเตรียมตัวด้วยเพราะถ้าไม่ทำ ผมก็คงจะรับของครามเข้าไปหมดไม่ไหวหรอก
   
ใครใช้ให้เจ้าหมาที่ผมเก็บมาเลี้ยงตัวใหญ่เกินไปล่ะ
   
“ก็จะอาบพร้อมกับผมไม่ใช่เหรอ”
   
“!”
   
ครามที่ผมไม่รู้ว่าเมาอะไรรึเปล่าอยู่ๆ ก็อุ้มผมท่าเจ้าสาวแล้วพาเข้าห้องน้ำจนผมร้องเสียงหลงออกมา
   
“..คุณ คุณจะทำอะไร”
   
ผมถามครามเสียงสั่นเพราะพอครามเอาผมมาวางบนขอบอ่างได้ก็แกะกระดุมกางเกงผมทันที
   
“ช่วยเตรียมตัวให้บอสไงครับ”
   
“…”
   
ผมไม่รู้เหมือนกับว่าตัวเองเขินอะไรนัก แต่ผมไม่เคยเขินขนาดนี้มาก่อนเลย ถึงครามจะเห็นแทบจะทุกส่วนของผมแล้วก็เถอะ แต่ผมก็ยังเขินมากอยู่ดีที่ถูกมองด้วยสายตาลามกแบบนั้น
   
เจ้าหมาบ้านี้ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่
   
ผมอายจะตายอยู่แล้วแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมอยากถูกครามกอด
   
“คุณรู้วิธีเหรอ”
   
“พอรู้ครับแต่ไม่เคยทำกับใคร”
   
ผมเลิกคิ้วแต่ก็ไม่ได้ประหลาดใจเท่าไหร่ เพราะการเป็นอัลฟ่าหมาป่าก็คือคำตอบของทุกอย่างอยู่แล้ว
   
“ผมก็เหมือนกัน”
   
ครามเป็นคนแรกจริงๆ ที่ผมยอมถลำถลึกไปความสัมพันธ์ขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเพราะหูกับหางนุ่มๆ นี้ด้วยรึเปล่า ที่ทำให้ผมใจอ่อนตลอดเลย
   
พอมองหูหมาป่าครามไปได้สักพักผมก็อดใจไม่ไหวอีกยื่นมือไปขยำหูของครามเล่น
   
“..อืม”
   
ผมครางเบาๆ ตอนที่สัมผัสได้ถึงนิ้วของครามสอดเข้ามาในตัวช้าๆ ถึงจะแค่นิ้วเดียว แต่มันกลับทำให้ผมเปลี่ยนสีหน้าได้
   
ร้อน..
   
ผมสะอื้นเมื่อครามงอนิ้วแล้วพยายามควานหาจุดอ่อนในตัวผม
   
“..ฮึก”
   
ผมผวาตอนที่ครามหาจุดนั้นเจอและเพิ่มนิ้วเพื่อพยายามให้ร่างกายผมคุ้นชิน
   
หงิง
   
“...โทษที”
   
ผมหลุดหัวเราะออกมาเพราะผมน่าจะขยำหูครามแรงเกินไป จนผมต้องย้ายมือไปไว้บนไหล่ครามแทน ผมยิ้มเล็กๆ เชิงเป็นกำลังใจให้เจ้าหมาตัวโตของผมทำหน้าที่ต่อไป
   
อยากจะเอาใจเจ้านายอย่างผมไม่ใช่เหรอ?
   
“บอสมีเจลใช่ไหมครับ”
   
“อยากเอาเข้าแล้วเหรอ”
   
ผมตอบคำถามด้วยคำถามเพราะครามดูเหมือนจะทนไม่ไหวแล้ว แต่ขอโทษเถอะ ของครามใหญ่ขนาดนั้นต่อให้มีเจลช่วยก็คงเอาเข้าไม่ได้อยู่ดี
   
“ครับ”
   
ครามตอบเสียงเบาหน้าแดง
   
“อย่าใจร้อนสิ”
   
ผมดึงหูครามเบาๆ เชิงประท้วงแล้วเอื้อมไปหยิบเจลที่วางกลมกลืนอยู่บนชั้นด้วยตัวเอง
   
“...อย่ามอง”
   
หงิง
   
หูหมาป่าครามลู่ลงทันทีเหมือนเสียใจมากจนผมลังเล แต่ผมก็ยังอายอยู่ดีที่ต้องมาเตรียมตัวต่อหน้าครามแบบนี้ 
   
“..ผมอาย”
   
ผมพึมพำพูดเสียงเบา
   
“ขอมองไม่ได้เหรอครับ”
   
ครามหูลู่ลงกว่าเดิมและยังทำหน้าน่าสงสารเหมือนวันที่ถูกผมเก็บมาเลี้ยงวันแรก
   
“บอสน่ารักมากเลย”
   
กับผมนี่ยังใช้คำว่าน่ารักได้อยู่เหรอ?
   
ผมหรี่ตามองครามรู้สึกไม่ค่อยชินเท่าไหร่เพราะล่าสุดที่ผมได้ยินคนชมว่าน่ารักคือเด็กมาก
   
“แล้วแต่คุณแล้วกัน”
   
ผมถอนหายใจแล้วแก้ปัญหาที่ตัวเองด้วยการไม่สนใจคราม ถือซะว่าผมไม่เห็นคราม ครามก็ไม่เห็นผม อะไรทำนองนั้น
   
ผมบีบเจลใส่นิ้วตัวเองเตรียมตัวให้ตัวเองอีกครั้ง ซึงก็ไม่ได้ยากอะไรมากเพราะมันไม่ใช่ครั้งแรกของผม ผมเคยใช้ของเล่นมาก่อนและการเตรียมตัวก่อนก็เป็นเรื่องปกติสำหรับผม
   
“...”
   
ผมขมวดคิ้วเพราะอยู่ๆ ก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่กดดันมากขึ้นพร้อมกลิ่นฟีโรโมนของครามที่ทำให้ผมรู้สึกวูบวาบในท้อง พอผมเงยหน้ามองก็ถึงเห็นว่าครามถอดเสื้อออกหมดแล้ว
   
“จะอาบน้ำ?”
   
“อาบทีหลังได้ไหมครับ”
   
เนื้อตัวของผมสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวแต่ผมกลับเห็นสีหน้าพออกพอใจของตัวเองในแววตาของคราม
   
ให้ตายเถอะ ไลม์
   
ผมดูไม่จืดจริงๆ ในสภาพแบบนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างดูย้อนแย้งไปหมด แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมรู้สึกดีที่เจออัลฟ่าที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองมากอย่างคราม
   
อัลฟ่าหมาป่าสุดอันตรายนี้เป็นของผม
   
และมันกำลังจะเอาผม
   
“อย่าใจร้อน”
   
ผมบอกครามอีกครั้งเมื่อครามก้มลงมาจูบผมพร้อมกับเอาส่วนแข็งขืนมาเสียดสีกับขาผม
   
“เร็วกว่านี้ได้ไหม ไลม์”
   
ครามดึงมือผมขึ้นมาจูบ
   
“พาผมไปอ่างอาบน้ำ”
   
ผมสั่ง
   
“ครับ”
   
ครามไม่ได้ถามว่าทำไมแต่ก็ช้อนตัวผมตามคำสั่งอย่างว่าง่ายและพาผมไปยังอ่างอาบน้ำของผม ที่เวลาปกติผมจะใช้เวลาในการนอนแช่น้ำอุ่นก่อนนอนเกือบชั่วโมงแทบทุกวัน ซึ่งช่วงนี้ผมไม่ค่อยมีเวลาแช่เท่าไหร่เพราะยุ่งๆ กับการดูแลหมาป่าตัวใหม่ให้คุ้นชินกับบ้านของผม

ซึ่งตอนนี้ก็คงไม่จำเป็นแล้ว

“คุณลงไปนั่งก่อน”

“...ครับ”

ครามสะบัดหูไปมาเหมือนงงๆ นิดหน่อย ไม่เข้าใจเท่าไหร่ว่าผมจะทำอะไรแต่ก็ยังยอมทำตามคำสั่งผม และอ่างของผมก็ดูเล็กลงถนัดตาพอครามลงไปนั้นตรงนั้น

ให้ตายเถอะ มึงกำลังทำอะไรอยู่วะ ไลม์

ผมลูบหน้าตัวเองเขินๆ ไม่คิดมาก่อนว่าวันหนึ่งว่าที่นอนประจำของผมจะกลายเป็นที่ทำรักครั้งแรกของผมซะได้ แต่ช่างมันเถอะ ไม่ว่าจะตรงไหนก็คงเหมือนกันนั่นแหละ

ผมถอนหายใจแล้วเปิดน้ำอุ่นใส่อ่าง ปล่อยให้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ แล้วก้าวเข้าไปในอ่างบ้าง

อุณหภูมิน้ำที่คุ้นเคยทำให้ผมรู้สึกสงบขึ้นมาบ้าง แต่ผมก็ยังรู้สึกประหม่ามากอยู่ดี

“คุณห้ามขยับเองนะ”

ผมกำชับกับครามอีกแล้วบีบเจลหล่อลื่นที่หยิบติดมือมาใส่ท่อนลำของครามที่ผมแค่แตะมันก็รู้สึกว่ามันร้อนจนแทบจะลวกมือผมอยู่แล้ว

ผมขยับตัวไปคร่อมครามและพยายามเอามันเข้าไปในตัวผม

“ฮึก”

ผมสะอื้นออกมาอย่างควบคุมไม่ได้

ใหญ่ชะมัดเลย

“..บอส”

“อะไร”

เสียงของผมแหบพร่าจนผมแทบจะจำไม่ได้ว่ามันเป็นเสียงของผม

“ข้างในตัวบอสนุ่มมากเลย”

“..ผมไม่อยากรู้”

ผมเบือนหน้าหนีและกดตัวลงไปมากกว่าเดิม รู้สึกถึงท่อนลำกับอุณหภูมิร้อนผ่าวที่สอดแทรกเข้ามาในตัวผม ขนาดของมันทำให้ผมรู้สึกเต็มตื้นจนรู้สึกจุก แต่มันก็ยังเข้ามาได้ไม่ถึงครึ่งเลย และผมก็เชื่อว่าเจ้าหมาของผมคงไม่พอใจกับแค่นี้หรอก

“ไลม์”

“อือ ผมพยายามอยู่”

ผมน้ำตารื้นมองครามและตัดสินใจถอดแว่นออกวางไว้บนขอบอ่างใกล้ๆ เพราะหลังจากนี้ผมก็จะทำสีหน้าน่าอายจนแม้แต่ตัวผมเองยังยอมรับไม่ได้แน่ๆ

“..ฮึก”

บรรยากาศวาบหวามกับกลิ่นฟีโรโมนแข็งกร้าวของครามทำให้ความผมรู้สึกผมไวขึ้นและควบคุมตัวเองไม่ได้ ผมหลับตาครางออกมาเมื่อรับท่อนลำเข้าไปอีก

และครั้งนี้ผมก็รัดครามแน่นจนครามคำรามต่ำๆ ในคอ

“ใหญ่เกินไปแล้ว”

ผมบ่นออกมาไม่จริงจังนักเพราะตอนนี้ผมแทบจะรู้สึกถึงชีพจรของมัน

“..ผมขยับได้รึยัง”

“ยัง”

ผมหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าทรมานของครามลางๆ แต่ผมที่มีประสบการณ์มากกว่าก็ควรจะเตรียมตัวด้วยตัวเองไง ขืนทำเสร็จแล้วผมเจ็บหรือเลือดออกครามก็จะรู้สึกผิดอีก

แน่นอนว่าผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ผมอยากให้เซ็กส์แรกระหว่างผมกับครามมันเป็นการทำรัก
   
ถึงมันจะเกิดจากความต้องการแต่ผมก็อยากให้มันเป็นความทรงจำที่ดี
   
“ไลม์”
   
ครามใช้มือที่ช่วยประคองเอวผมอยู่เอื้อมไปขยำก้นผม
   
“..กลิ่นของคุณทำผมทนแทบไม่ไหวแล้ว”
   
“ผมก็เหมือนกัน”
   
ฟีโรโมนของครามก็ทำผมแทบคลั่งเหมือนกัน
   
ผมไม่รอให้ครามทรมานไปมากกว่านี้ก็พยายามรับส่วนที่เหลือเข้าไปในทีเดียวจนสุดความยาว ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกเสียวจนเสร็จออกครั้งหนึ่งอย่างควบคุมไม่ได้
   
สติของผมหลุดหายไปช่วงหนึ่งก่อนที่มันจะกลับมาอีกครั้งตอนที่ครามครางกระเส่าข้างหูผม
   
“ผม ผมขยับได้รึยัง”
   
ครามกอดผมแน่นและหอบหายใจแรง
   
“..อืม”
   
ผมครางตอบในลำคอเชิงอนุญาตแล้วหลับตาปล่อยให้ครามเป็นคนนำบ้าง เพราะร่างกายผมเริ่มคุ้นชินกับของครามแล้วดังนั้นถ้าจะทำต่อจากนี้และแรงกว่านี้ก็คงไม่ใช่ปัญหาอะไร
   
“ไลม์”
   
ครามที่พอได้รับคำอนุญาตก็จับผมคว่ำให้เกาะกับขอบอ่างและคร่อมตัวผมอีกที
   
“...”
   
ผมไม่ได้ตอบอะไรคราม รู้สึกกระสับกระส่ายจากอุณหภูมิร้อนจัดที่เกิดจากผิวสัมผัสที่แนบกันแทบจะทั้งตัว ซึ่งมันก็เป็นครั้งแรกของผมที่รู้สึกว่าตัวเองจนมุมมากขนาดนี้
   
ให้ตายเถอะ นี่เป็นความรู้สึกของพวกกระต่ายที่กำลังจะถูกหมาป่าจับกินรึเปล่า
   
หัวของผมขาวโพลนคิดอะไรแทบไม่ออก แต่ก็ยังพอจะเห็นมือตัวเองทั้งสองข้างที่ถูกเจ้าหมาป่าตัวร้ายกุมเอาไว้แน่นซึ่งแค่นี้ก็เหมือนจะไม่สาแก่ใจ เจ้าหมาป่าถึงพูดจาลามกข้างหูผมอีก
   
“ข้างในตัวคุณอุ่นมากเลย”
   
“..อ๊า”
   
ผมครางเสียงน่าอายออกมาอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อครามสอดมันลึกเข้าไปอีก ทั้งๆ ที่ผมคิดว่ามันลึกมากแล้วแต่ครามก็ยังมันเข้าไปได้มากกว่านั้น
   
“ผมไม่อยากเอาออกเลย”
   
“พูดมาก”   
   
ผมเอ็ดไม่จริงจักนักก่อนจะเอ็ดไม่ออก เมื่อครามเริ่มขยับเร็วและแรงขึ้นจนผมหลุดเสียงร้องน่าอายออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งถ้าเกิดมีคนนอกหรือลูกค้ามาเห็นผมในสภาพแบบนี้ ผมคงทนไม่ได้แน่ๆ
   
ให้ตายเถอะ นี่มันเทียบกับของเล่นที่ผมเคยใช้ไม่ได้เลยจริงๆ

ของครามมันใหญ่มากกว่านั้นและมันก็เป็นสัมผัสจากมนุษย์ด้วยกันเอง

กลิ่น สัมผัส อุณหภูมิ ทุกสิ่งทุกอย่างมันอบอุ่น ผมกำลังถูกโอบกอดจากใครสักคน ไม่ถูกปฏิเสธหรือตัดสิน ไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งหรือเก่งกาจอะไร

ผมสามารถเป็นแค่ผมที่อ่อนแอและปล่อยให้หมาป่าที่แข็งแกร่งตัวนี้กลืนกินผมเข้าไป

การกินที่ตะกละตะกลามทำให้หัวของผมสั่นคลอน ผมคิดอะไรแทบไม่ออกนอกจากตัวตนใหญ่โตที่รุกล้ำเข้ามาในตัวผม ครามแทบจะทำให้ผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองชื่ออะไร

รู้แค่ว่าตัวเองกำลังถูกอัลฟ่าหมาป่าหมายปองและทำรักอย่างรุนแรง

“..คราม”

ผมพึมพำเสียงเบาเมื่อสัมผัสได้ถึงของเหลวร้อนจัดที่ฉีดพุ่งเข้ามาในร่าง

“ครับ”

เจ้าของชื่อก้มลงมาจูบไหล่ผมแต่ก็ยังแช่ตัวอยู่ไม่ยอมเอาออก

“เอาออกไปได้แล้ว”

หงิง

ผมอยากจะเอ็ดอะไรครามต่อแต่ก็เหนื่อยเกินกว่าจะว่าอะไรเพราะกว่าที่ครามจะเสร็จ ผมก็เสร็จไปสองสามครั้งแล้ว ไม่รู้ว่าอึดอะไรนัก พอๆ กับตอนที่ผมใช้ปากให้นั้นแหละตั้งนานกว่าจะยอมแตก

“ผมชอบบอสมากเลย”

ครามกอดผมแน่นไม่ยอมเอาออก

“อืม”

ผมครางในลำคอตอบส่งๆ ไม่ได้สนใจเท่าไหร่เพราะเริ่มง่วง ผมหาวหวอดและเตรียมจะดุครามจริงจังเพื่อที่จะอาบน้ำแล้วย้ายตัวเองไปนอนแต่ก็ต้องเผลอหลุดครางออกมาเมื่อไอ้ที่แช่อยู่ในตัวอยู่ๆ มันก็ขยายใหญ่ขึ้น

“!!”

ผมเบิกตากว้าง

น็อต..

ผมโดนครามน็อต!!

จากที่ง่วงจะหลับ ผมหายง่วงในพริบตาเพราะผมลืมคิดไปเลยเรื่องการถูกน็อต ที่ผ่านมาผมก็เคยใช้แต่ของเล่นปกติไง ไม่ได้ซื้ออะไรแปลกๆ มาลอง

“ขอโทษครับ”
   
“..ไม่เป็นไร”
   
ผมท้อเลยไม่รู้ว่าครามจะน็อตผมนานแค่ไหน แต่ยังไงก็คงไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงแน่นอน
   
ผมพยายามมองข้ามความรู้สึกวาบหวามแล้วเปลี่ยนท่าใหม่ ผมดันให้ครามลงไปพิงกับขอบอ่างแล้วผมก็พิงกับตัวครามอีกทีเพราะยังไงก็จะขยับไม่ได้พักใหญ่อยู่แล้ว
   
ผมหลับตาลงปล่อยให้ครามกอดผมหลวมๆ
   
“เติมน้ำอุ่นให้ผมหน่อย ไม่ต้องเยอะมากนะ ผมจะงีบ”
   
ในเมื่อทำอะไรไม่ได้แล้ว ผมก็คงได้แต่ต้องรอให้ครามเลิกน็อตและระหว่างนั้นผมก็หลับไปพลางๆ ซึ่งน้ำอุ่นที่ผมเติมไว้เกือบเต็มอ่างตอนนี้เหลือไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำแล้วมันก็เลิกอุ่นแล้วด้วย
   
ผมครางในลำคออย่างพอใจเมื่อได้น้ำอุ่นกลับมาอีกครั้ง
   
“บอสไม่โกรธใช่ไหมครับ”
   
ครามที่ซุกหัวบนไหล่ผมถามผมเสียงอ่อย
   
“อือ”
   
ผมพยักหน้าเบาๆ แล้วหาวอีก
   
“ถ้าปลุกผมไม่ตื่นก็ฝากพาผมขึ้นเตียงด้วย”
   
จริงๆ การมีตัวตนของครามอยู่ในตัวผม มันก็ทำให้ผมรู้สึกวูบวาบในท้องมากโดยเฉพาะของเหลวอุ่นๆ ที่เติมเต็มข้างในตัวผมไม่หยุด มันก็ชวนให้สติของผมละลาย
   
ครามปล่อยในตัวผมเยอะมาก เยอะกว่ารอบที่ผมใช้ปากให้อีก
   
“คุณชอบผมขนาดนั้นเลยเหรอ”
   
ผมถามครางเสียงเบาใกล้จะหลับเต็มทน
   
วันนี้ผมใช้พลังงานมากเกินไปแล้ว
   
“ครับ”
   
ครามกอดผมแน่นกว่าเดิม
   
“ชอบที่สุดเลย”
   
ผมหัวเราะออกมาเบาๆ รู้สึกว่าจริงๆ ไม่จำเป็นต้องถามด้วยซ้ำเพราะมันเป็นสิ่งที่ครามแสดงออกมาแทบจะตลอดเวลาอยู่แล้ว
   
“..ผมก็ชอบคุณเหมือนกัน”
   
เซ็กส์ครั้งแรกของผมกับคราม
   
มันดีเป็นบ้าเลย
   
-------

 :mc1:
   
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 15 18 เม.ย 64 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 18-04-2021 20:46:34
ตอนที่ 15

   
หงิง หงิง
   
หงิงๆ อะไรแต่เช้าวะ เจ้าหมาของผมเป็นอะไรอีก ผมนอนทับหางเหรอ
   
ผมคิดด้วยความหงุดหงิดที่ถูกปลุกด้วยเสียงหงิงๆ น่าสงสารของคราม แต่ก็ยอมลืมตาขึ้นมาดูและพบว่าผมปวดไปทั้งตัวเลย ผมตะกายออกมาจากผ้าห่มแล้วถึงเห็นว่าครามเดินไปวนมาทั่วห้องเหมือนพยายามหาผมอยู่
   
ใบหน้าคมคายนั้นเหมือนจะร้องไห้ ไม่สิ ใช่คำว่าน้ำตากำลังจะแตกน่าจะถูกกว่า
   
หูของครามลู่ลงจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกับผมสีทองยุ่งๆ นั่น ส่วนหางก็ตั้งขึ้นเหมือนตกใจมากที่หาผมไม่เจอ ซึ่งมันก็ทำให้ผมไม่เข้าใจสถานการณ์มากว่าทำไมครามหาผมไม่เจอ ทั้งๆ ที่ผมก็นอนอยู่บนเตียงนั่นแหละ
   
แต่เดี๋ยวก่อน
   
ทำไมครามถึงได้ตัวใหญ่ขนาดนั้นล่ะ
   
“...บอส?”
   
เจ้าหมาของผมที่ไม่รู้มีจิตสัมผัสหรืออะไรไหม อยู่ๆ ก็หันมาสบตากับผมพอดีแล้วตาโตมากกว่าเดิม
   
“บอส บอสใช่ไหมครับ!”
   
ไม่ว่าเปล่าพุ่งเข้ามาหาผมแล้วอุ้มผมขึ้นด้วยมือสองข้าง
   
แง่ง
   
เดี๋ยวนะ ทำไมเสียงผมเป็นอย่างนี้
   
“บอส ฮึก ผมนึกว่าบอสโกรธผมจนทิ้งผมไปซะแล้ว”
   
สุดท้ายครามก็น้ำตาไหลแล้วกอดผมแน่น
   
แง่งๆๆ
   
ผมพยายามพูดแต่ก็พบว่าตัวเองพูดออกมาเป็นภาษาไม่ได้และพอมองมือตัวเองก็พบว่ากลายเป็นอุ้งเท้าสีดำไปแล้ว
   
“...”
   
นี่ผมคืนร่างเป็นจิ้งจอกเหรอ?
   
ผมมองขนสีน้ำตาลแดงของตัวเองด้วยสายตาเหลือเชื่อเพราะล่าสุดที่ผมคืนร่างจิ้งจอกได้คือเกือบสิบปีที่แล้ว ซึ่งนั่นก็คือครั้งแรกของผมที่รู้ว่าตัวเองเป็นอัลฟ่าจิ้งจอกที่ยังหลงเหลือความสามารถในการเป็นจิ้งจอกได้ แต่เงื่อนไขในการคืนร่างของผมมันเฉพาะมากคือต้องรู้สึกปลอดภัยมากเท่านั้น
   
การโดนครามเอานี่มันชวนให้รู้สึกปลอดภัยตรงไหน
   
ผมซบหน้ากับอุ้งเท้าตัวเอง รู้สึกไม่ค่อยชินเท่าไหร่แต่ขณะเดียวกันรู้สึกโล่งสบายกับร่างนี้ เหมือนกับว่าผมไม่ใช่บอสไลม์ที่มีภาระมากมาย
   
เป็นแค่จิ้งจอกโง่ๆ ตัวหนึ่งที่หลงป่ามาอยู่ในเมืองก็เท่านั้น
   
“บอสนุ่มมากเลย”
   
แง่ง
   
ผมงับแขนครามที่เริ่มกอดผมแน่นเกินไป ให้ตายเหอะ นี่กำลังเอาคืนที่ผมชอบขยำหูนุ่มๆ นั่นเหรอ หยุดเดี๋ยวนี้เลย ก่อนที่ผมจะแบน!
   
“บอสพูดไม่ได้เหรอครับ”
   
“...”
   
ผมพยักหน้าเซ็งๆ เพราะถ้าพูดได้ผมก็คงพูดไปแล้ว พวกอัลฟ่าจิ้งจอกไม่เหมือนพวกอัลฟ่าหมาป่าสักหน่อย คืนร่างยังไงก็ได้ ส่วนผมแค่คืนร่างจิ้งจอกได้ก็เก่งแล้ว
   
“แต่บอสร่างนี้ก็น่ารักมากเลย”
   
เจ้าหมาของผมที่หายซึมแล้วดูมีความสุขขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
   
แง่ง
   
ผมร้องในลำคอประท้วงเมื่อครามเอาหน้าลงมาถูกับหน้าผม
   
“บอสไม่เจ็บใช่ไหมครับ เมื่อคืนผมทำแรงไปไหม”
   
แง่ง
   
มาถามผมร่างนี้ผมจะไปตอบยังไง
   
ผมมองครามแล้วถอนหายใจ ส่ายหัวเบาๆ เชิงว่าไม่เป็นไร ผมไม่ได้ออกกำลังมากขนาดนี้มานานแล้ว จะปวดตัวก็ไม่แปลก
   
“..ผมเอาออกให้บอสด้วย”
   
ครามหน้าแดงแล้วพูดเขินๆ
   
ก็ควรจะเอาออกอยู่หรอก ฉีดเข้าตัวผมไปซะขนาดนั้น ถ้าผมเป็นโอเมก้าก็คงท้องไปแล้ว เมื่อวานถ้าผมไม่ผลอยหลับไปก่อน ตอนครามเลิกนอทผมมั่นใจมากเลยว่ามันคงจะไหลออกมาอาบขาผมแน่นอน
   
ผมถอนหายใจอีกแล้วซุกกับอกคราม
   
“ผมอาบน้ำให้บอสอีกได้นะ ถ้าบอสเหนื่อย”
   
ผมส่ายหัวปฏิเสธเพราะกว่าผมจะคืนร่างมนุษย์ได้ก็คงอีกสักพัก อาจจะเป็นตอนที่ผมเหนื่อยน้อยลงกว่านี้ ตอนนี้ผมยังล้ามากและต้องการนอนต่อ ซึ่งผมก็ขอบคุณตัวเองเมื่อวานที่รอบคอบมากพอที่จะฝากงานไว้กับเลขาผม
   
คือผมก็พอจะเดาได้อยู่แล้วว่าเมื่อคืนเจ้าหมาป่าของผมจะต้องอดใจไม่ไหวและผมก็จะต้องอยู่ในสภาพนี้
   
แต่แล้วยังไงล่ะ? ผมเองก็อยากโดนครามเอาเหมือนกัน
   
จริงๆ ถ้าร่างกายผมไม่อ่อนแอขนาดนี้ ผมก็อยากจะทำอีกสักรอบหลังจากตื่นอยู่หรอก แต่มันก็ได้แค่นี้จริงๆ เพราะปกติออกกำลังกายมากสุดของผมคือเดินขึ้นบันไดแล้วก็วิ่งอีกนิดหน่อย
   
ผมไม่ได้ว่างพอที่จะดูแลร่างกายตัวเองขนาดนั้นหรอก พอมีเวลาว่างผมก็ชอบเจียดไปให้งานอดิเรกของผมอีก ในตู้ผมมีบราสวยๆ อยู่เต็มไปหมด และผมก็ค่อนข้างมีความสุขกับการได้นั่งชื่นชมมันในวันหยุด
   
มันเป็นความสุขง่ายๆ ที่ผมพอจะหาได้โดยที่ไม่ต้องออกไปไหนหรือคุยกับใคร
   
“บอส”
   
“...”
   
“หลับแล้วเหรอครับ”
   
ผมอยากจะตอบครามแต่ก็ง่วงเกินกว่าจะทำ ปล่อยให้เนื้อตัวอ่อนยวบให้เจ้าหมาป่าพาผมกลับไปนอนบนเตียงและห่มผ้าห่มอุ่นๆ ให้ผม
   
“ฝันดีนะครับ”
   
สติของผมที่ใกล้จะหายไปสัมผัสได้ถึงจูบเบาๆ บนอุ้งเท้าผม
   
“ไลม์ของผม”

   

ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าเย็นแล้วและผมก็พอจะมีแรงคืนร่างเป็นมนุษย์ แต่ผมก็ยังรู้สึกไม่อยากคืนร่างมนุษย์เท่าไหร่เลยยังไม่คืนเพราะนานๆ ทีจะได้อยู่ในร่างนี้
   
ผมบิดตัวคลายขี้เกียจและกระโดดลงจากเตียง พยายามมองหาเจ้าหมาป่าของผมที่ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว ซึ่งมันก็เป็นความรู้สึกที่ผมไม่ค่อยชินเท่าไหร่เพราะหลายวันมานี้ผมมักจะตื่นขึ้นมาเจอครามทุกครั้ง
   
หูผมลู่ลงนิดๆ เมื่อรู้สึกโหวงในใจ
   
ช่วงนี้ผมชักจะเสพติดการมีอยู่ของครามเกินไปแล้ว
   
แง่ง! แง่ง!
   
ผมพยายามเรียกครามก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในร่างมนุษย์ ทำให้เสียงของผมที่ออกมาก็แหลมบาดหูมาก
   
ผมถอนหายใจหน่ายๆ แล้วเดินออกจากห้องที่ประตูถูกแง้มเอาไว้
   
“…”
   
ทุกอย่างดูใหญ่ชะมัดเลย
   
ผมคิดด้วยความรู้สึกตื่นเต้น มันเป็นความรู้สึกที่ผมไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว หลังจากที่อายุเลยเลขสามสิบทุกอย่างก็ดูราบเรียบและตึงเครียดไปหมด ที่ตื่นเต้นครั้งล่าสุดก็คงเป็นตอนที่รู้ว่าหมาที่ผมจะเก็บกลับบ้านเป็นอัลฟ่าหมาป่าเนี่ยแหละ
   
ผมพยายามมองหาครามในห้องรับแขกที่ถูกเปิดทีวีทิ้งไว้ ซึ่งรายการที่ถูกเปิดตอนนี้เป็นละครอะไรสักอย่างที่ดูไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่
   
ปี๊ป ปี๊ป
   
ผมกระดิกหูเมื่อได้ยินเสียงเหมือนลูกบอลยางถูกกัดอยู่ในห้องครัวเลยวิ่งตามเสียงไป แต่ก็เผลอสะดุดขาตัวเองล้มไปครั้งหนึ่งเพราะไม่ชินร่างจิ้งจอก
   
แง่ง
   
ผมนอนแหง่กอยู่ที่เดิมสักพักเพราะยังรู้สึกเจ็บขานิดๆ และโอดครวญออกมา
   
พวกอัลฟ่าหมาป่าขี้โกงที่สุดเลย
   
ผมซุกหน้ากับอุ้งเท้าตัวเองเซ็งๆ
   
ครามไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรตอนคืนร่างหมาป่าเลย ทำไมผมถึงมีล่ะ ร่างจิ้งจอกผมก็เล็กนิดเดียวเอง มันยากตรงไหนกัน หรือเพราะว่าสัญชาตญาณของพวกอัลฟ่าจิ้งจอกของผมมันหายไปหมดแล้ว
   
ผมงอแงแต่ก็ไม่ยอมคืนร่างมนุษย์
   
ปี๊ป!
   
แง่ง!
   
ผมร้องประท้วงออกมา ไม่รู้ว่าครามสนุกกับลูกบอลที่ผมซื้อให้อะไรขนาดนั้น ทำไมไม่ยอมออกมาดูผมบ้าง ไหนบอกว่าชอบผมมากไง
   
ผมตะกายขึ้นยืนอีกครั้งซึ่งรอบนี้ผมก็มีความมุ่งมั่นที่จะงับคราม
   
ไม่รู้ล่ะ วันนี้ผมต้องได้งับครามสักรอบเพื่อระบายอารมณ์
   
พอตัดสินใจได้ผมก็วิ่งต่อแต่ก็ช้าลงมากเพราะกลัวสะดุดขาตัวเองอีก แต่พอจะถึงครัวอยู่ๆ ผมก็นึกอยากเล่นสนุกขึ้นมาเลยหยุดยืนหน้าประตูก่อนแล้วชะเง้อมองหาเจ้าหมาของผม
   
ปี๊ป!
   
ผมตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินเสียงลูกบอลถูกกัดอีกครั้งและเห็นว่า ‘โบ้’ ตัวใหญ่ขนาดไหน
   
แง่ง
   
ผมร้องในลำคอเสียงเบา
   
ความคิดที่อยากจะงับครามสักรอบหายไปในพริบตา แล้วยิ่งลูกบอลที่ครามกำลังงับเล่นอยู่ก็ดันเป็นลูกบอลรูปจิ้งจอกสีส้มแบบผมพอดีอีก
   
ผมอยากจะวิ่งหนีแต่ก็ตัวแข็งทื่อเพราะครามตัวใหญ่มาก จริงๆ ตอนผมอยู่ร่างมนุษย์ก็รู้สึกว่าครามตัวใหญ่แล้ว ยิ่งมาอยู่ในร่างนี้คือถ้าครามนอนทับผม ผมแบนแน่นอน
   
ผมนั่งจ้องครามอยู่สักพักจนเจ้าตัวก็รู้ตัวแล้วคายลูกบอลสีส้มทิ้งแล้ววิ่งหน้าตั้งมาหาผม
   
“บอส!”
   
พอถึงตัวผมได้ครามก็เอาทิ้งตัวบนพื้นแล้วเอาหัวไถผมทันที
   
“บอสน่ารักมากเลย จริงสิ บอสเพิ่งตื่นเหรอครับ ทำไมดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเลย”
   
เจ้าหมาพูดเสียงงึมงำข้างหูผม เสียงอาจจะฟังดูแปร่งๆ ไปบ้างแต่ก็ยังพอฟังรู้เรื่องมากกว่าแง่งๆ ของผม
   
“...”
   
แน่นอนว่าเพราะตอบไม่ได้ ผมเลยตอบด้วยการงับหูครามที่พยายามเบียดตัวผมไม่หยุด ให้ตายเถอะ ทำไมถึงได้อ้อนผมยิ่งกว่าตอนร่างปกติอีก
   
หงิง
   
“บอสโกรธเหรอครับ”
   
ครามเลิกเอาหัวไถอ้อนผมทันทีแล้วทำหน้าจ๋องน่าสงสารใส่ผม ซึ่งมันก็ไม่เข้ากับขนาดตัวเท่าบ้านของครามเลยสักนิด คือครามในร่างหมาป่าตอนนี้น่าจะใหญ่กว่าผมเป็นสิบยี่สิบเท่าอ่ะ แบบแค่งับผมในร่างนี้คำเดียว ผมก็ตายแล้วมั้ง
   
แง่ง
   
ผมร้องในลำคอเซ็งๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ว่าอะไรเจ้าหมาของผมก็ต้องตีความไปว่าผมโกรธไปซะทุกอย่าง เพราะผมแค่เห็นหน้าจ๋องน่าสงสารของครามก็โกรธไม่ลงแล้วอ่ะ
   
ผมส่ายหัวแล้วขยับเข้าไปหาครามและเอาจมูกไถหัวครามเบาๆ
   
ยังไงซะเจ้าหมาป่าตัวนี้ก็ไม่มีวันกัดผมหรอก
   
“บอสน่ารักมากเลย”
   
“…”
   
แล้วทำไมไอ้หมามันยังถึงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อีก
   
“อย่าโกรธเลยนะครับ แต่บอสร่างนี้น่ารักมากจริงๆ ครับ”
   
ผมที่กำลังจะสงสัยว่าทำไมครามถึงได้พูดดักทางไว้ก่อนและได้รับคำตอบทันที เพราะครามลุกขึ้นนั่งแล้วรวบตัวผมเข้าไปกอดแบบแน่นมาก จนหน้าผมจมกับขนฟูๆ ของคราม
   
มันนุ่มนะแต่ผมหายใจไม่ออก!
   
แง่งๆๆๆ

ผมโวยวายแล้วพยายามงับขาครามแต่งับไม่เข้าเพราะขนหนามาก
   
“ฮึก บอสน่ารักมากเลยครับ ผมไม่ไหวแล้ว”
   
ผมก็จะตายแล้วเหมือนกัน!
   
ผมใช้พลังที่เหลืออยู่น้อยนิดตะกายออกมาสุดชีวิต ซึ่งพอออกมาได้ผมก็ขู่ครามในลำคอทันที
   
คิดจะฆ่าผมรึไง!
   
หงิง
   
“ขอโทษครับ”

ครามคอตกแต่ก็ยังจ้องผมตาแป๋วเหมือนยังอยากจะฟัดผมอีกสักรอบ
   
แง่ง
   
“ก็ได้ครับ ไม่กอดแล้วก็ได้ครับ บอสอย่าโกรธเลยนะครับ”
   
ถ้าไม่บอกว่ามันคือกอด ผมนึกว่าครามพยายามฆ่าผมแล้ว ให้ตายเหอะ
   
ผมหอบหายใจแล้วจ้องครามตาเขียว ไม่รู้เหมือนกันว่าร่างจิ้งจอกมันดูดุได้ขนาดไหนแต่ผมก็พยายามทำเท่าที่ทำได้ ซึ่งมันก็ดูไม่ได้ผลเท่าไหร่ เพราะเจ้าหมาก็ยังดูร่าเริงอยู่เหมือนเดิม ดูมีความสุขมากที่ได้กอดผม
   
ผมมองครามสักพักแล้วก็ต้องชะงักไปสักพักเพราะเจ้าหมาป่าคืนร่างมนุษย์แล้ว
   
เสียงกระดูกดังลั่นเปลี่ยนรูปทรงพร้อมๆ กับขนฟูๆ ที่หายไปกลายเป็นมนุษย์ตัวโตในร่างเปลือยไม่ใส่อะไรเลย ครามเหมือนจะไม่ใส่ใจเรื่องนี้เท่าไหร่ก้มลงอุ้มผมแล้วพาเดินกลับห้องนอน
   
“จริงๆ ผมตั้งใจจะทำอาหารให้บอสด้วย”
   
ครามพูดไปยิ้มไป
   
“ผมอยากให้บอสตื่นมาแล้วก็มีอะไรอร่อยๆ กิน แต่ผมก็ลืมไปว่าผมทำอาหารไม่เป็น”
   
และจ๋อยลงทันทีหลังพูดจบ
   
“...”
   
ผมอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่เพราะร่างจิ้งจอกมันสะดวกมาก เลยทำได้แค่ไถหัวกับอกเจ้าหมาเชิงปลอบ มันไม่เป็นอะไรเลยจริงๆ ที่ครามจะทำอาหารไม่เป็น
   
แค่มีคนกินข้าวมันก็เพียงพอสำหรับผมแล้ว
   
“ผมก็เลยเล่นลูกบอลที่บอสซื้อให้รอบอสตื่น บอสอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมครับ เดี๋ยวผมพาไปกิน”
   
แง่ง แง่ง
   
แล้วผมจะพยายามตอบครามทำไมอีก
   
สุดท้ายผมก็ทนรำคาญร่างจิ้งจอกไม่ไหว ตัดสินใจคืนร่างมนุษย์ตอนที่ครามเอาผมมาหย่อนในอ่างอาบน้ำแล้ว
   
“บอส!”
   
แล้วครามทำหน้าเสียใจขนาดนั้นทำไม
   
“คุณจะบอกว่าผมร่างนี้ไม่น่ารัก?”
   
ผมถามเสียงเรียบแล้วเอื้อมมือไปเปิดน้ำ ซึ่งสายตาในร่างมนุษย์ของผมก็ย่ำแย่เหมือนเดิม ให้ตายเถอะ ตอนอยู่ในร่างจิ้งจอกโลกดูชัดเจนและสดใสมาก
   
“น่ารักครับ น่ารัก แต่น่ารักคนละแบบ บอสตอนเป็นจิ้งจอกนุ่มมากเลย”
   
ครามกระวีกระวายตอบผม
   
“คุณเกือบจะฆ่าผมแล้ว รู้ตัวไหม”
   
ผมมองครามดุๆ ซึ่งคราวนี้ได้ผลดีมากหงอลงทันที
   
“ขอโทษครับ”
   
หงิง
   
“คุณกอดผมได้แต่อย่าแรงเกินไป ผมหายใจไม่ออก”
   
ผมดึงมือของครามมาจับเล่นระหว่างรอให้น้ำอุ่นเต็มอ่าง ซึ่งพอผมดมมือครามก็พบว่ามีกลิ่นสบู่ที่ผมใช้อยู่ติดอยู่จางๆ
   
“เข้าใจไหม”
   
ผมเงยหน้ามองครามและพบว่าครามหน้าแดง
   
“ครับ”
   
ซึ่งพอเห็นครามหงอมากๆ ผมก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งอีกด้วยการงับมือคราม หลังจากที่พยายามมานานในร่างจิ้งจอกแต่ก็ไม่สำเร็จสักที
   
“ถ้าเกิดผมตาย ผมมาหลอกคุณแน่”
   
ผมแกล้งขู่
   
“หลอกเลยครับ ถ้าเป็นบอส ผมยอมให้หลอกเลย”
   
“ชอบผมขนาดนั้นเลย”
   
ผมใช้มืออีกข้างเท้าคางมองครามแต่ก็ยังจับมืออุ่นๆ ของครามเล่นอยู่
   
เอาเข้าจริงผมก็ควรจะเลิกถามเรื่องนี้ได้แล้ว แต่ผมรู้สึกดีอยู่ดีเวลาที่ได้ยินครามบอกชอบผม
   
“ครับ”
   
ครามพูดเขินๆ แล้วเอื้อมมือไปปิดน้ำให้ผมเมื่อระดับน้ำสูงพอที่จะให้ผมแช่แล้ว
   
“แล้วทำไมคุณถึงไม่รอผมตื่น”
   
ผมซุกหน้ากับมือครามแล้วชี้ยื่นข้อมือผมอีกข้างที่แดงนิดๆ ให้ครามดู
   
“รู้ไหมเมื่อกี้ผมล้มด้วย”
   
“ขอโทษครับ”
   
ครามพูดเสียงอ่อยยอมรับผิด ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ความผิดครามเลยสักนิด แต่เจ้าหมาก็ยอมรับความผิดอยู่ดี
   
“เจ็บไหมครับ”
   
“เจ็บสิ”
   
อุณหภูมิอุ่นร้อนจากฝ่ามือครามทำให้สติของผมละลายลงกว่าเดิม ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะมางอแงอะไรนักกับแค่ล้มนิดเดียว แต่ผมก็อยากจะงอแงอยู่ดี
   
“ผมเจ็บตัวเพราะผมวิ่งมาหาคุณ”
   
ยอมรับตามตรงว่าตอนนี้ผมมองเห็นหน้าครามไม่ชัดสักนิด แต่ผมก็ยังมองเจ้าหมาของผม
   
“ผมเจ็บมาก”
   
ครามที่พอจะรู้ตัวแล้วว่าคำขอโทษไม่ได้ช่วยให้ผมหายเจ็บ ดึงข้อมือผมที่แดงไปจูบเบาๆ
   
“หายรึยังครับ”
   
“ยัง”
   
หงิง
   
เจ้าหมาของผมร้องออกมาอย่างน่าสงสารแล้วก็พรมจูบบนข้อมือผม ทำเหมือนกับว่าจูบแล้วจะช่วยให้รอยแดงบนข้อมือหายไป ทั้งๆ ที่การกระทำของครามนั้นทำให้ผมเขินจนหน้าร้อน
   
หมาป่าตัวนี้อ่อนโยนชะมัด
   
“หายรึยังครับ”
   
ผมกำลังจะตอบว่าไม่ก็สะดุ้งเฮือกเพราะอยู่ๆ ครามก็เปลี่ยนจากจูบเป็นเลียข้อมือผม แถมกลิ่นฟีโรโมนก็แข็งกร้าวขึ้นมาจนผมหายใจลำบาก
   
“หยุดเลย ผมไม่มีแรงทำอีกรอบหรอกนะ ต่อให้คุณอยากก็เหอะ”
   
ผมปล่อยมือจากครามทันที ก่อนที่อีกฝ่ายจะคึกไปกว่านี้ ซึ่งพอมองหน้าครามถึงเห็นว่าเจ้าหมาป่าของผมยิ้มจางๆ ดูเจ้าเล่ห์ไม่น้อย
   
“ผมก็นึกว่าบอสรู้อยู่แล้วซะอีกว่าหมาอย่างผมเขาเลียแผลกัน”
   
“นี่คุณย้อนผมเหรอ”
   
ผมหลุดหัวเราะเพราะพอจะจำได้ว่าวันก่อนผมก็เพิ่งแกล้งครามเรื่องนี้ไป
   
ผมเก็บหมาป่ามาเลี้ยงจริงๆ นั่นแหละ

----------
 :z10:   
   
   


   
   

   
   

   
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 16 30 เม.ย 64 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 30-04-2021 20:30:35
ตอนที่ 16

ชีวิตสงบสุข

สำหรับผมคงจะเป็นฝันที่สูงเกินไป
   
“บอสครับ ผมออกไปไม่เจอใครเลยแต่มีดอกกุหลาบทิ้งไว้ครับ”
   
ครามเดินหน้ายุ่งกลับมาในบ้านพร้อมกับดอกกุหลาบสีแดงธรรมดา ซึ่งสีหน้าครามก็ดูสงสัยมากจนผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
   
“สบายใจได้ ไม่ได้มีใครมาจีบผมหรอก”
   
ผมรับกุหลาบจากครามมาถือแล้วมองมันด้วยความหนักใจ เพราะมันทำให้แผนที่ผมวางเอาไว้สำหรับเย็นนี้พังหมดเลย ทั้งๆ ที่ผมตั้งใจจะพาครามไปกินข้าวร้านประจำของผมแล้วกลับบ้าน ซึ่งหลังจากนั้นถ้ามีแรงพอก็อาจจะมีเซ็กส์ดีๆ กับครามอีกสักรอบแล้วรีบนอนเพื่อกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมที่ควรจะเป็น
   
ช่วยไม่ได้ เพราะตำแหน่งผู้บริหารบริษัทตอนนี้มีแค่ผมแล้ว
   
“แล้วมันหมายถึงอะไรเหรอครับ”
   
ครามดึงมือผมข้างที่ว่างไปจับเล่นแล้วไล่จูบตามข้อนิ้ว ดูยังติดใจไม่หายกับร่างกายของผม
   
“บัตรเชิญ”
   
ผมถอนหายใจเหนื่อยๆ
   
“คุณจะไม่ไปก็ได้นะ แต่ผมต้องไปงานสังคมอีกแล้ว”
   
ผมพูดและปลดกระดุมเสื้อตัวเองไปด้วย เพราะการไปสถานที่แห่งนั้นผมต้องปกปิดตัวเองมากกว่านี้
   
สถานที่ที่เหล่ารัฐบาลอัลฟ่าผู้วิเศษวิโสพยายามสืบหากันสุดชีวิต หวาดกลัวเหลือเกินว่าถ้าหากปล่อยไว้นานเกินอาจจะทำให้ปณิธานของพวกเขาจะสำเร็จ จึงพยายามทุกวิถีทางที่จะหยุดพวกเขาเหล่านี้ ทั้งการซื้อตัว การจับกุม การอุ้มฆ่า หรืออะไรก็ตาม
   
แต่น่าเสียดายที่จนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่สำเร็จ และผมก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มปฏิวัติพวกนั้น
   
ฝันเฟื่องที่พวกเขาเคยเอามาขายให้ผมมันหอมหวาน
   
พวกเขาเล่าถึงสังคมที่ยุติธรรม สังคมที่ไร้ซึ่งการกดขี่ สังคมที่จะไม่มีใครต้องอดอยาก สังคมที่จะไม่มีเด็กคนไหนถูกทอดทิ้งและปฏิเสธจากสังคมอีกต่อไป
   
ผมไม่อยากให้มีเด็กที่ต้องเจ็บปวดแบบผมอีกแล้ว ถึงได้ยอมตอบรับคำชวนครั้งนั้น

   

‘ไลม์ นายเป็นคนเดียวที่ช่วยเราตอนนั้น’
   
เบสโอเมก้าคนเดียวในรุ่นหรือเพื่อนสมัย ม.ปลาย บอกกับผมด้วยท่าทีเคร่งเครียด เพราะสิ่งที่กำลังจะพูดออกมานั้นเป็นเรื่องที่อันตรายมาก ถ้าเกิดว่าผมเลือกที่จะรายงานเรื่องนี้กับชินหรือนักการเมืองสักคนที่ผมรู้จัก ก็คงจะไม่พ้นต้องตายหรือติดคุกแน่นอน
   
‘มาเข้าร่วมกับเราไหม’
   
ผมในตอนนั้นตกตะลึงจนลืมหายใจไปช่วงขณะหนึ่ง ช่วงนั้นเป็นช่วงขาขึ้นของผม หลังจากการรีแบรนด์ผมก็ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำจนปลดภาระหนี้ไปได้หลายอย่าง และเป็นจังหวะที่ผมมีเงินทุนมากพอที่จะต่อยอดทำอะไรสักอย่าง
   
‘ตอนนี้พวกเราขาดเงินทุน’
   
เพื่อนสมัยเรียนของผมมีสีหน้าแย่ลงเมื่อผมไม่ยอมรับเข็มกลัดรูปดอกกุหลาบสีดำ อันเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มกบฏที่พวกอัลฟ่าระดับสูงกำลังพูดถึงอยู่ในช่วงนี้
   
ผมหน้าซีดเผือดเพราะต่อให้ผมไม่ต้องการจะเกี่ยวข้อง แต่ผมก็ได้ถูกดึงเข้าไปสู่เรื่องราวยุ่งยากนี้แล้ว และผมก็ไม่ได้ใจร้ายพอที่จะขายเพื่อนของตัวเองด้วย
   
ต่อให้มันเป็นความสัมพันธ์จางๆ มากก็เถอะ ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเข้าไปห้ามพวกอัลฟ่าแกล้งเพื่อนผมตอนไหน เอาจริงผมก็แปลกใจมากกว่าว่าผมตอนนั้นมีความกล้าขนาดนั้นเลยเหรอ แต่ผมก็คงทำมันไปจริงๆ ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างนั่นแหละ
   
‘..นายพูดเองไม่ใช่เหรอว่าเบื่อเรื่องบ้าพวกนี้เต็มทนแล้ว’
   
ผมจิกแขนตัวเองแน่นโดยไม่รู้ตัว แต่ความเจ็บปวดก็ทำให้สติของผมแจ่มชัดขึ้น ผมมองเห็นสีหน้าและได้ยินเสียงของเพื่อนผมชัดเจนกว่าเดิม
   
‘ถ้าเราชนะ จะไม่มีใครถูกลืมอีก’
   
สุดท้ายเพื่อนผมก็ทนบรรยากาศอึดอัดในห้องไม่ไหวร้องไห้ออกมา
   
‘นายเคยพูดกับผมไม่ใช่เหรอว่าอยากจะจบเรื่องนี้สักที ตอนนี้ไง ไลม์ มีคนจะทำมันแล้ว’
   
มันก็จริงอย่างที่ว่านั่นแหละ
   
เรื่องเลวร้ายพวกนี้ควรจะมีคนจบมันลงสักที แต่ผมก็กลัวเหลือเกินว่าสิ่งที่ผมยอมทำทุกอย่างสร้างมันขึ้นมาจะพังไปด้วย กว่าผมจะพามาเวอร์ริกมาได้ถึงขนาดนี้ ผมก็สูญเสียไปเยอะมากจนผมไม่กล้าจะลงไปเสี่ยงด้วย
   
ผมกลัวว่าสิ่งที่ผมขายวิญญาณไปเพื่อสร้างมันมาหลายปีจะพังลงในพริบตา
   
มาเวอร์ริกเป็นไม่กี่อย่างที่คนอย่างผมจะทำได้และเป็นเรื่องเดียวที่ผมทำแล้วพ่อยอมชมผม ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันทำไมถึงได้อยากได้การยอมรับจากคนพรรค์นั้นนัก
   
ทั้งๆ ที่พ่อผมโคตรจะห่วยแตกเลยแต่ผมก็สลัดตัวเองออกจากพ่อไม่ได้สักที
   
สำหรับผมแบรนด์มาเวอร์ริกก็สำคัญมาก มันเป็นทั้งตัวตนผมและทุกสิ่งทุกอย่างของผม ผมรู้ดีว่าผมไม่ควรเอาตัวเองผูกกับมัน แต่ตัวตนผมจริงๆ มันก็อ่อนแอและห่วยเกินกว่าที่จะยึดถือมันได้
   
ผมอ่อนแอ
   
แต่มาเวอร์ริกไม่อ่อนแอ
   
‘ถ้ามันสำเร็จจะไม่มีใครถูกลืมอีกนะ จะไม่มีใครถูกมองข้าม คนที่เจ็บปวดก็จะเจ็บปวดน้อยลง นายก็เคยฝันถึงเรื่องพวกนี้กับผมไม่ใช่เหรอ ไลม์ นายลืมมันไปหมดแล้วเหรอ’
   
อีกฝ่ายพูดเสียงสั่นเครือ ดูใกล้สติแตกเต็มทนเพราะการมาเอ่ยปากชวนผมแบบนี้ก็ถือว่าเป็นการสร้างความเสี่ยงให้กับตัวเองมาก และก็ไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าผมจะตกลง
   
เอาเข้าจริงแค่ผมกดโทรออกไม่ถึงห้านาที ผมก็สามารถจบเรื่องราวในห้องนี้ได้แล้ว
   
แต่ผมทำไม่ได้
   
‘…’
   
ในที่สุดผมก็น้ำตาไหลออกมา คำพูดพวกนั้นเป็นสิ่งที่ผมคิดมาตลอด ถึงผมจะจำไม่ได้ว่าเคยพูดออกไปตอนไหน แต่มันก็ติดอยู่ในใจผมมานานมาก เพราะผมก็เป็นคนที่ถูกมองข้ามมาตลอดเหมือนกัน
   
ผมเข้าใจความเจ็บปวดพวกนั้นดีและไม่อยากให้มันเกิดขึ้นกับใครอีก
   
มีเด็กมากมายในโลกภายนอกนั้นที่ต้องเจ็บปวด พวกอัลฟ่าที่เป็นรัฐบาลทอดทิ้งคนจนไปไม่รู้เท่าไหร่ มีเด็กกี่คนกันที่ต้องตกอยู่ในสภาวะเลวร้ายแบบผมและตะเกียกตะกายเติบโตทั้งน้ำตา
   
ตัวตนของผมถูกประกอบสร้างขึ้นมาแบบผิดๆ และมันก็ทำให้ผมรู้สึกกระจัดกระจาย เหมือนเป็นของเล่นที่ส่วนประกอบไม่ครบแล้วยังถูกดันทุรังเล่นต่อจนกลายมาเป็นผม
   
การเติบโตแบบนั้นมันเจ็บปวดมาก
   
เจ็บจนทำให้ความรู้สึกหวาดกลัวของผมมันเบาบางลง และเลือกที่จะทำในสิ่งที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะกล้าทำ
   
‘..ไลม์’
   
อีกฝ่ายมองผมอย่างไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นผมยอมรับเข็ดกลัดมาถือ
   
‘อืม’
   
ผมยิ้ม
   
‘ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน เดี๋ยวผมดูแลให้เอง’
   
   

“บอสจะใส่ชุดนี้จริงๆ เหรอครับ”
   
ครามพูดขึ้นหลังจากที่ปล่อยให้ผมนึกถึงอะไรเก่าๆ ซึ่งถ้าให้เดาก็คงเพราะว่าผมเผลอทำสีหน้าเคร่งเครียดออกมานั้นแหละ เจ้าหมาขี้กลัวของผมถึงไม่ยอมพูดอะไรเลยแต่เดินตามหลังผมต้อยๆ มาถึงห้องนอน
   
“คุณไม่ชอบเหรอ”
   
ผมถามด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า แกล้งเปิดเสื้อคลุมให้กว้างขึ้นเห็นข้างใน
   
“..ก็ ก็ชอบครับ”
   
ครามหน้าแดงก่ำ
   
“ผมว่ามันแอบโป๊ แต่ถ้าบอสอยากก็ใส่ก็ใส่เถอะครับ”
   
ผมหัวเราะแล้วถอดแว่นตัวเองออกเพื่อใส่คอนแทคเลนส์
   
“ก็ใส่ให้ดูแปลกตาเฉยๆ ผมชอบใส่สูทมากกว่า”
   
ผมยืนหน้ากระจกและแต่งตัวต่อหน้าคราม ซึ่งดีหน่อยที่ผมได้รับคำเชิญก่อนที่จะเซ็ตผมเลยไม่ต้องจัดการอะไรมาก ผมจัดผมให้ดูสบายๆ มากขึ้น
   
“แล้วถ้าผมไปด้วย ผมต้องเปลี่ยนชุดไหมครับ”
   
“ใส่อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่สูท ที่ผมซื้อให้ก็ได้”
   
ผมมองตัวเองในกระจกด้วยความรู้สึกไม่คุ้นเคยเท่าไหร่ เหมือนจะรู้จักแต่ก็ไม่รู้จัก เพราะผมตอนปกติไม่ใส่เสื้อแขนกุดสีดำที่ขาดแบบนี้ และต่อให้ผมสวมเสื้อคลุมทับก็เถอะ มันก็ยังดูยังไงก็ไม่รู้อยู่ดี
   
มองไปสักพักผมก็หน้าแดง ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าตรงไหล่กับท้องแขนผมมีรอยกัดด้วย แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร ยังไงผมก็เข้าไปในที่แห่งนั้นในฐานะของโอเมก้าที่หลอกเอาเงินจากพวกอัลฟ่ารวยๆ อยู่แล้ว
   
เบสทำประวัติใหม่ให้ผม เพราะผมไม่ค่อยสะดวกใจเท่าไหร่ที่จะเปิดเผยตัวตนตัวเองในนั้น มันเสี่ยงมากเกินไป แต่ก็มีสมาชิกหลายคนที่เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาอย่างไว้ใจซึ่งไม่ใช่กับผมแน่นอน
   
ผมไม่ไว้ใจใคร ถึงการเข้าไปในนั้นจะเสี่ยงอยู่แล้วก็เถอะ แต่การลดความเสี่ยงก็ไม่ใช่เรื่องแย่ ใครจะไปรู้ว่าสักวันอาจจะมีขายความลับพวกนี้ออกไปแล้วสาวมาถึงตัวตนผมในนั้นและสุดท้ายก็อาจจะคว้าน้ำเหลว เพราะโอเมก้าคนนั้นไม่มีอยู่จริง
   
ถึงผมจะไม่กลัวตายแต่ก็ใช่ว่าจะอยากให้ทุกอย่างมันจบลงง่ายๆ
   
อย่างน้อยๆ ผมก็ยังอยากเห็นมันประสบความสำเร็จหรือต่อให้ต้องพ่ายแพ้ ผมก็อยากเห็นการพังพินาศของมันด้วยตาตัวเอง เหมือนที่ผมรอเห็นจุดจบของตัวเองเหมือนกัน
   
ผมไม่ใช่คนที่มองโลกในแง่ดีนักหรอก
   
โชคชะตามันเล่นตลกตลอดเวลานั่นแหละ เหมือนอย่างวันนี้ที่ผมควรจะได้ใช้ชีวิตสบายๆ กับคราม แต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการต้องพาครามเข้ามายุ่งกับเรื่องยุ่งๆ แทน
   
ผมจัดกางเกงขายาวรัดรูปของตัวเอง ซึ่งพอมองไปมองมาผมก็ดูโป๊อย่างที่ครามว่าจริงๆ นั่นแหละ ทั้งๆ ที่ปกติผมก็ไม่ได้ดูโป๊หรืออะไรขนาดนี้
   
“...”
   
ผมไม่อยากจะยอมรับเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยที่ผมรู้สึกว่าตัวเองเหมือนโอเมก้าขึ้นมานิดหน่อย เอาเข้าจริงถ้าผมเป็นโอเมก้าตอนนี้คือเหมือนโดนผูกพันธะกับอัลฟ่าสักคนไปแล้ว (เหมือนในละครน้ำเน่าที่ครามเปิดทิ้งไว้)
   
“ชุดนี้ได้ไหมครับ บอส”
   
ผมหันไปมองอัลฟ้าเจ้าของพันธะของผมที่มีสีหน้ากังวล ดูจริงจังกับการแต่งตัวมาก ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมจะพาไปที่ไหน
   
ผมหน้าแดงแต่ก็เผลอหลุดผิวปากออกมา
   
เซนส์ในการเลือกชุดของผมนี่ไม่เลวเลยจริงๆ
   
“ดี”
   
ผมชมแล้วเข้าไปช่วยจัดคอเสื้อที่พับขึ้นให้คราม ให้ตายเถอะ พอใส่เสื้อเชิ้ตสีดำแบบนี้แล้วครามดูดีมาก ไม่สิ ถ้าเจ้าหมาของผมตั้งใจแต่งตัวหน่อย จะใส่อะไรก็ดูดีทั้งนั้น
   
“บอสน่ารักมากเลย”
   
“ชมผมทำไม”
   
ผมขมวดคิ้วระหว่างที่ติดกระดุมให้ครามเพราะเจ้าตัวรีบจนติดผิดเลยต้องแกะออกทั้งหมดเพื่อที่จะติดใหม่
   
“แค่อยากบอกเฉยๆ ครับ”
   
ครามจ้องผมตาแป๋วจนผมเริ่มไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าเป็นหมาป่าตัวเดียวกับที่จับผมกินเมื่อวาน เพราะนัยน์ตาสีน้ำตาลที่สะท้อนภาพของผมดูสดใสและมีความสุขมาก
   
“อืม”
   
ผมกระแอมในลำคอพยายามจะเปลี่ยนเรื่องคุย
   
“ผมจะพาคุณไปในฐานะอัลฟ่าของผม”
   
“แล้วผมไม่ใช่อัลฟ่าของไลม์อยู่แล้วเหรอครับ”
   
ผมขมวดคิ้ว ไม่ยอมปล่อยให้เจ้าหมาแหย่ผมง่ายๆ
   
“ผมจะพาคุณไปงานเลี้ยงน้ำชา”
   
พอติดเสร็จผมก็สำรวจความเรียบร้อยให้ครามบ้าง
   
“ที่นั้นจะเรียกกันด้วยรหัส ผมรหัส 3288 เป็นโอเมก้าที่ทำหน้าที่หาเงิน ฉะนั้นถ้ามีใครถามคุณว่ามากับใครก็ตอบว่า 3288 แต่ไม่ต้องห่วง ผมไม่ปล่อยให้คุณอยู่คนเดียวหรอก”
   
ผมขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมเมื่อเผลอจับแว่นตามความเคยชินแต่มันไม่มีเพราะผมใส่คอนแทคเลนส์
   
“ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าคุยกับใครนอกจากผม ผมไม่ไว้ใจที่นั่น”
   
“ครับ 3288”
   
ครามพูดยิ้มๆ แล้วดึงมือผมไปจูบอีก
   
“บอสใส่ชุดนี้แล้วน่ารักมากเลย”
   
“เลิกชมผมได้แล้ว”
   
ผมแยกเขี้ยวใส่คราม
   
ไม่รู้จะชมผมอะไรนักหนา แล้วการชมของครามมันก็ทำให้ผมเขินจริงเพราะรู้ว่าเจ้าหมานี้พูดออกมาจากใจจริงๆ ให้ตายเหอะ ตอนประกาศรางวัลแล้วผมต้องเพิ่งขึ้นไปรับรางวัลครั้งแรกยังไม่ประหม่าขนาดนี้เลย
   
หงิง
   
แล้วเจ้าหมาก็ใช้ท่าไม้ตายใส่ผมด้วยการทำหน้าเสียใจมาก
   
“ผมรู้ว่าผมน่ารัก คุณหยุดพูดสักที”
   
ผมถอนหายใจแล้วหยิบแมสผ้าสีดำมาใส่ซึ่งผมก็ไม่ลืมที่จะโยนมันให้ครามด้วย และแน่นอนว่าสำหรับผมแค่นี้ยังไม่พอ ผมรื้อเอาหมวกแก๊ปสีดำกับแว่นดำมาใส่ให้ครามอีก
   
อย่างน้อยๆ ถ้าผมถูกจับได้ ยังไงครามก็ต้องรอด
   
“ที่นั่นมีของกินไหมครับ”
   
“มี แต่กินแค่รองท้องพอ หลังจบงานถ้าไม่มีอะไร ผมจะพาคุณไปกินอะไรอร่อยๆ ต่อ”
   
งานเลี้ยงน้ำชาที่จัดขึ้นปุปปัปแบบนี้คงไม่ใช่สัญญาณที่ดีเท่าไหร่ เพราะครั้งล่าสุดที่ผมไปก็สองอาทิตย์ก่อน หัวข้อที่พูดคุยกันเรื่องจริงจังและยกระดับมากขึ้น การเคลื่อนไหวที่เคยทำอย่างเงียบเฉียบใต้จมูกอัลฟ่าเริ่มแรงจนพวกมันได้กลิ่น มีพรรคพวกบางคนถูกจับไปแล้วแต่การเคลื่อนไหวก็ยังคงดำเนินต่อไป
   
ความจริงผมควรจะเลี่ยงงานน้ำชาวันนี้ด้วยซ้ำ ถ้าหากผมต้องการที่จะเอาตัวรอดจากการตามล่าของพวกมัน แต่แล้วยังไงล่ะ ยังไงผมก็คงหนีมันไปไม่ได้ตลอดหรอก และกลุ่มก็ยังคงต้องการเงินสนับสนุนด้วย
   
ผมลงเรือลำนี้หลายปีแล้ว ถึงจะนั่งอยู่แค่ขอบเรือมองจากที่ไกลๆ แต่เวลาได้เห็นมีกลุ่มคนที่พยายามจริงจังกับการเปลี่ยนแปลงและคุยฟุ้งเรื่องอนาคตพวกนั้น ผมก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมานิดหน่อย
   
พวกเขาคิดและวาดฝันในสิ่งที่คนอย่างผมไม่เคยฝันถึง
   
เด็กช่างฝันคนนั้นที่ผมเคยมี ผมทำหายไปตั้งนานแล้วหรือมันไม่เคยมีอยู่จริงแต่แรกก็ไม่รู้ แต่ที่ผมรู้คือผมไม่สามารถจินตนาการอนาคตที่สวยงามแบบคนพวกนี้ได้เลย
   
ของเล่นที่พังแล้วอย่างผมไม่กล้ามีความฝันหรอก ลำพังแค่จะขยับร่างกายตามคำสั่งพ่อได้ยังทำผมทรมานแทบตายเลย เพื่อความรุ่งโรจน์ของมาเวอร์ริก ผมต้องหักชิ้นส่วนตัวเองแล้วใช้มันเป็นขั้นบันไดในการเหยียบขึ้นไปเพราะผมไม่มีใคร ผมอยู่คนเดียวมาตลอด
   
แค่ผมมีชีวิตมาถึงตอนนี้ได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากพอแล้ว   
   
“ไลม์”

ผมกระพริบตาปริบเมื่อถูกเจ้าหมาเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมาให้
   
“...โทษที”
   
ผมหลุบตาลงต่ำ ลืมตัวว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว ซึ่งมันก็คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายหรอก เพราะหลังจากที่จัมโบ้ตายแล้วเหลือแค่ผมคนเดียวในบ้าน ผมก็ชอบนั่งเหม่อและจมในความคิดตัวเองบ่อยๆ ซึ่งส่วนใหญ่ผมก็ชอบเผลอร้องไห้เพราะเหนื่อยและเบื่อตัวเอง
   
ผมมันโคตรอ่อนแอเลย แล้วแบบนี้ผมจะปกป้องครามได้จริงๆ เหรอ
   
หรือผมควรจะไปคนเดียวดี อย่างน้อยๆ ถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมจะได้ไม่รู้สึกผิดมาก
   
“คุณไม่ต้องไปหรอก คราม ผมเปลี่ยนใจแล้ว”
   
ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับครามก็พบว่าเจ้าหมาก็เอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาผมอีกแล้ว
   
“ไม่ครับผมจะไปด้วย”
   
“คุณยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมจะพาไปไหน”
   
ผมมองครามด้วยสีหน้าหม่นหมอง ถ้าเป็นไปได้ผมไม่อยากให้อะไรเกิดขึ้นกับครามเลย ถ้าการทำเรื่องพวกนี้ถือเป็นบาป ก็ให้ผมรับบาปชั่วร้ายพวกนี้ด้วยตัวคนเดียวเถอะ
   
“ผมจะไปด้วย”
   
“ผมเป็นห่วงคุณ คุณเข้าใจไหม”
   
ผมสบตากับคราม
   
“มันเป็นความลับของผม ความลับที่คุณไม่รู้แล้วจะปลอดภัยกับตัวคุณมากกว่า”
   
“ผมจะไปด้วย”
   
ครามก็ยังยืนยันคำเดิมทันที ไม่มีความลังเล ไม่สิ ไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ
   
“คุณดื้ออีกแล้ว”
   
ผมขมวดคิ้ว
   
“ครับ”
   
ครามรับคำและไม่กลัวผมเลยสักนิด
   
“บอสไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ ผมเป็นอัลฟ่าหมาป่ายังไงผมก็เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว”
   
“ผมไม่ได้อยากให้คุณมาสละชีวิตเพื่อผมนะ มันไม่คุ้มค่าหรอก”
   
เห็นหน้าครามผมก็รู้แล้วอ่ะว่าคิดอะไรอยู่
   
“ถ้าบอสไปผมก็จะไปด้วย”
   
“ผมกลัวผมปกป้องคุณไม่ได้ คุณเข้าใจไหม ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ ผมทำใจไม่ได้”
   
ทำไมถึงได้ดื้อนักนะ จัมโบ้ตัวเก่าของผมแค่ผมพูดคำเดียวก็ฟังแล้ว
   
“ผมก็เหมือนกัน”
   
ผมนวดขมับตัวเองรู้สึกจนใจเพราะเถียงกันอีกชั่วโมง อัลฟ่าเจ้าของพันธะของผมก็คงให้คำตอบแบบเดิม

“ตามใจคุณแล้วกัน”

ผมถอนหายใจหน่ายๆ แล้วเดินไปเอากระเป๋าที่เก็บเอาไว้ในตู้เซฟออกมา ซึ่งในนั้นก็มีเงินสดที่ผมเตรียมเอาไว้ให้จำนวนหนึ่งและน่าจะพอช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายในกลุ่มไปได้สักพัก

“บอสไม่โกรธใช่ไหมครับ”

“อืม”

ผมรับคำในลำคอ

“ต่อให้ผมโกรธคุณก็คงไปอยู่ดี”

โบ้ตัวนี้ไม่เชื่อฟังผมเลยสักนิด

ผมถอนหายใจซ้ำอีกและภาวนาให้ดวงของผมวันนี้ไม่ย่ำแย่จนเกินไปหรือถ้าแย่ก็ขอให้มันแย่น้อยที่สุด เพราะตอนนี้ผมไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวแล้ว

“งั้นคุณก็เล่นบทอัลฟ่าให้ดีแล้วกัน”

ผมยิ้ม

“ที่รัก”


   

หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 16 30 เม.ย 64 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 30-04-2021 22:17:10
คุณบอสเป็นจิ้งจกอกแดงตัวเล็กๆ น่ารักๆ เหรอ เจ้าหมาป่าคงอยากจับกินน่าดู
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 16 30 เม.ย 64 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 01-05-2021 18:45:25
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 17 16 พ.ค 64 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 16-05-2021 23:33:13
ตอนที่ 17

   
“คุณจะไม่ถามผมหน่อยเหรอว่าผมกำลังทำอะไร”
   
ผมชวนครามคุยระหว่างที่เดินไปยังจุดนัดหมายที่ใช้เวลาเดินเข้าไปประมาณห้านาที โดยระหว่างทางนั้นก็พลุกพล่านไปด้วยผู้คนเพราะเป็นย่านกลางคืนที่ค่อนข้างมีชื่อ มันเป็นสถานที่ที่รวบรวมทั้งของกินและบริการทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่สามารถจะมีได้ อีกทั้งยังเป็นไม่กี่ที่ที่ทางการเลือกจะปิดตาข้างหนึ่งไม่รับรู้การมีอยู่ของย่านนี้เพื่อให้กิจการบางอย่างดำเนินต่อไปได้
   
ในย่านนี้จึงไม่มีกล้องวงจรปิดแม้แต่ตัวเดียวและมีเพียงไฟสลัวตามข้างทาง
มันเป็นย่านที่ไม่ว่าอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้และไม่ค่อยมีใครอยากยุ่งเรื่องของคนอื่นถ้าไม่จำเป็น
   
“อะไรนะครับ ผมไม่ได้ยิน”
   
ครามก้มลงกระซิบถามข้างหูผมจากที่ตัวผมกับครามแนบชิดกันอยู่แล้ว มันชิดกว่าเดิมจนผมเริ่มรู้สึกร้อน ให้ตายเถอะ นี่มันใช่หมาป่าตัวเดียวกับเมื่อกี้ที่เขินผมแทบตายเพราะผมสั่งให้โอบไหล่เดินไปด้วยแน่เหรอ
   
“คุณไม่อยากรู้เหรอว่าผมมาที่นี่ทำไม”
   
“ไม่ครับ ถ้าที่รักอยากเล่าก็คงเล่าเอง”
   
ผมหลุดหัวเราะออกมาเพราะเจ้าหมาของผมดูจะเริ่มชินกับบทบาทใหม่แล้ว
   
“เด็กดี”
   
ผมชมด้วยความพอใจ หมาป่าที่ผมเก็บมาเลี้ยงค่อนข้างอยู่เป็นทีเดียว
   
ผมขยับตัวเข้าไปชิดครามมากขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงหลายสายตาที่จับจ้องมาที่ผมอย่างสนใจ ทั้งๆ ที่ผมยังไม่ทันได้ปล่อยกลิ่นโอเมก้าออกมาด้วยซ้ำ
   
“ผมหงุดหงิดมากเลย”
   
ครามบ่น
   
“แค่นี้ยังน้อย ปกติผมมาคนเดียวมีคนมองเยอะกว่านี้อีก”
   
ผมจับมือเจ้าหมาของผมเล่น ปกติตอนเวลาผมมาที่นี่ผมก็ไม่ได้สนใจคนอื่นขนาดนั้น คนส่วนใหญ่ก็แค่มองแต่ก็ไม่ได้เข้ามายุ่งอะไรเพราะทุกครั้งที่มาคนเดียวผมจะสวมปลอกคอของอัลฟ่ามาด้วย
   
ปลอกคอที่มีแค่อัลฟ่าชั้นสูงที่สามารถครอบครองได้และเป็นการป่าวประกาศถึงความเป็นเจ้าของไปในตัว เพราะไม่ใช่อัลฟ่าทุกคนที่ยินดีที่จะให้คนอื่นเห็นรอยกัดบนหลังคอของโอเมก้าตัวเอง
   
เอาเข้าจริงนี่น่าจะเป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ผมไม่ได้สวมปลอกคอมา
   
“ผมหวง”
   
“หวงแต่คุณก็ต้องทนอยู่ดี”
   
ผมพูดยิ้มๆ ให้ตายเหอะ ครามทำให้ผมนึกถึงจัมโบ้ตัวเก่าของผมที่เป็นโกลเด้นประหลาดๆ มันไม่เล่นกับใครนอกจากผม แม้แต่พี่ชายผมที่เป็นคนซื้อมันมา มันก็ไม่ยอมเล่นด้วย จะเล่นแต่กับผม มีครั้งหนึ่งที่ผมเล่นกับหมาแถวออฟฟิศนิดหน่อยแล้วจัมโบ้ของผมรู้คืองอนผมไปทั้งอาทิตย์ ไม่รู้ว่าโกรธอะไรผมนัก
   
เจ้าโบ้ตัวนี้ของผมก็เหมือนกัน หวงผมเหลือเกิน
   
หงิง
   
หงิงอีกแล้ว นี่ผมเก็บลูกหมามาเลี้ยงเหรอ
   
“เดี๋ยวคุณก็ชิน”
   
ผมปลอบใจครามไม่จริงจังนักเพราะยังไงครามก็ต้องทนเห็นผมเป็นที่ต้องการอีกหลายงาน มีคนอยากได้ผมเป็นอะไรสักอย่างเยอะมาก ทั้งอัลฟ่า เบต้า โอเมก้า พวกนั้นขอแค่ดึงผมไปเป็นคู่ได้ก็ถือว่าเป็นกำไรแล้ว
   
ทำไงได้ล่ะ ผมอายุสามสิบกว่าแล้ว ฐานะการเงินมั่นคง ชื่อเสียงช่วงนี้ก็ถือว่าไม่เลว และยังไม่เคยเปิดตัวว่ามีคู่ด้วย ฉะนั้นสถานะผมตอนนี้ในแวดวงคือเหมือนถังข้าวสารที่พวกหนูพยายามแย่งกันไม่หยุด
   
“ไม่ชินไม่ได้เหรอครับ”
   
เจ้าหมาของผมงอแงจนผมหลุดหัวเราะออกมาอีก

งอแงมาก หมาเด็กตัวนี้อายุเท่าไหร่กันเนี่ย
   
“คุณอายุเท่าไหร่”
   
“น่าจะยี่สิบสี่ครับ ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่”

เด็กกว่าที่ผมคิดไว้นิดหน่อยแฮะ

“แล้วที่รักล่ะครับ”

“เท่าคุณ”

ผมแกล้งตอบเพราะอยากรู้ว่าเจ้าหมาของผมจะมีปฏิกิริยายังไง

หงิง

“ถ้าคุณรู้ว่าผมโกหก คุณก็เถียงสิ คุณจะหงิงทำไม”

ผมหัวเราะออกมา แบบผมมันเขี้ยวครามมากเลยอ่ะ ถ้าอยู่ที่บ้านป่านนี้ผมขยำหูนุ่มๆ ของครามไปแล้ว

“ก็ผมไม่อยากเถียงที่รักนี่นา”

ครามพูดเสียงอ่อย

“สามสิบสาม”

ผมซุกหัวกับแขนคราม

“มากกว่าคุณเก้าปี”

หงิง

“คุณหงิงอะไรอีก”

อันนี้ผมงงจริง ไม่รู้ว่าครามพอรู้ว่าผมอายุเยอะกว่าแล้วจะหงิงทำไม

“..บอสชอบคนเด็กกว่าไหมครับ”

ครามกระซิบถามผมเสียงเบา ดูกังวลจริงๆ แต่ให้ตายเถอะ เจ้าหมาของผมเคยเห็นผมสนใจคนอื่นไหม คนแรกที่ผมยอมมีความสัมพันธ์ด้วยก็คือครามนั้นแหละ ทำไมถึงไม่รู้ถึงความสำคัญของตัวเองสักที

“เลิกกังวลเรื่องนี้สักที”

ผมขมวดคิ้วและพูดเสียงดุ

“คุณเป็นคนเดียวที่ผมชอบ เข้าใจไหม แล้วคุณก็เป็นคนแรกที่ได้เอาผมด้วย พอใจรึยัง”

“พอใจแล้วครับ”

ครามดูมีความสุขขึ้นมาทันที ถ้าอยู่ในร่างหมาป่าคงจะกระดิกหางจนหางหลุด

ผมส่ายหัวด้วยความระอาใจและหันไปให้ความสนใจกับร้านน้ำชาสองชั้นที่สร้างจากไม้แบบหยาบๆ ซึ่งร้านรอบข้างก็มีลักษณะคล้ายกันคือเป็นสองชั้นและสร้างจากไม้ทั้งหมด แต่ที่พิเศษหน่อยคือรอบร้านชานั้นมีร่มใหญ่กางใต้บริเวณหน้าต่างพอดี

ผมมองสำรวจทัศนียภาพโดยรอบอีกครั้ง ถึงแม้จะเคยมาหลายครั้งแล้ว แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ประมาทอยู่ดี ถ้าเกิดมีอะไรเกิดขึ้น ผมจะได้พาครามหนีออกไปได้ง่ายๆ

ผมวางแผนในใจคร่าวๆ ระหว่างที่เดินเข้าไปในร้านและพาครามไปหลังร้านเพื่อขึ้นชั้นสองซึ่งเป็นพื้นที่จัดงานเลี้ยงน้ำชา เพราะชั้นแรกนั้นเป็นเพียงร้านขายใบชาทั่วไปที่เอาไว้หลอกตาคนอื่นเท่านั้น

“รหัส?”

ทันทีที่เข้าไปในเขตหลังร้านผมก็เจอเบต้าหน้าใหม่ที่มาเฝ้าประตูพอดี
   
“3288”
   
ผมตอบเสียงเรียบซึ่งผลที่ได้คือสีหน้าของคนถามคือดูดีใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ถ้าให้ผมเดาก็คงเพราะว่าผมเป็นไม่กี่คนที่ยังหาเงินมาสนับสนุนกลุ่มได้และเครดิตของผมในกลุ่มก็ค่อนข้างดีพอสมควร
   
เบสเคยบอกผมอยู่ว่าผมได้ตำแหน่งสำคัญอะไรสักอย่างแต่ผมไม่ได้สนใจเท่าไหร่ และเลือกที่จะดูแลเลือกเงินเท่านั้น ส่วนการตัดสินใจที่เหลือผมก็ปล่อยให้เป็นมติของกลุ่มไป
   
“เขามากับผม”
   
ผมบอกเมื่ออีกฝ่ายดูมีสีหน้าสงสัยครามแต่ด้วยเครดิตที่ดีพอของผมก็เลยไม่ได้ถูกซักไซ้อะไรต่อ และก่อนที่ผมจะขึ้นไปผมก็ยื่นกุหลาบที่ได้รับมาให้กับเขาเพื่อให้เอาไปเผาอีกทีตามธรรมเนียมของกลุ่ม
   
ผมปล่อยให้ครามโอบผมแน่นกว่าเดิมและเข้าไปในงานที่น่าจะเริ่มไปตั้งนานแล้ว แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่คอขาดบาดแตกอะไรเพราะผมก็แค่เอาเงินมาให้เท่านั้น แถมธรรมเนียมพูดคุยกันอย่างน้อยสิบห้านาทีตอนนี้ก็ถูกรื้อทิ้งไปสักพักแล้วเพราะทางกลุ่มไม่อยากสมาชิกอยู่ที่นี่กันนาน
   
พวกเขายอมให้ถูกจับพร้อมกันหมดไม่ได้และได้แต่กระจายความเสี่ยงเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ภายใต้การต่อสู้กับรัฐที่เต็มไปด้วยอำนาจและอาวุธ เหล่ากลุ่มปฏิวัติแทบจะไม่มีอะไรเลยนอกจากแรงใจกับความหวัง
   
เอาเข้าจริงจนถึงตอนนี้ผมก็ไม่ค่อยได้รู้อะไรมากมายเท่าไหร่
   
แต่ในฐานะสมาชิกผมก็ไม่ใช่สมาชิกที่ดีหรือกระตือรือร้นอะไร ผมไม่เคยพยายามโน้มน้าวใจใคร ไม่เคยพยายามทำอะไรจริงจัง ที่ผมทำอย่างสม่ำเสมอก็แค่มาตามนัดและเอาเงินมาให้ก็เท่านั้น
   
ครั้งนี้ก็เหมือนกันผมเอาเงินมาให้แล้วก็กลับ ผมจะได้พาเจ้าหมาของผมไปกินอะไรดีๆ สักที
   
ผมคิดและดันประตูเข้าไป ซึ่งอย่างแรกที่ต้อนรับผมก็ยังคงเป็นกลิ่นชากุหลาบเหมือนเดิม เครื่องเล่นแผ่นเสียงโบราณที่วางอยู่ข้างห้องก็ยังคงเล่นแผ่นเสียงป๊อปแจ๊สแผ่นเดิม และบรรยากาศผ่อนคลายแบบเดิม
   
ผมผงกเชิงรับรู้เมื่อสมาชิกบางคนที่ผมเคยเจอพยายามจะทักทายผม พวกเขาดูเหมือนจะยังไม่อยากกลับเท่าไหร่จึงเลือกที่จะจิบชาสักสองสามแก้วทอดอารมณ์ต่อ
   
“นี่คือตัวจริงของนายเหรอ 3288”
   
ผมเหลือบมองคนถามที่โผล่ออกมาจากเคาน์เตอร์พร้อมกับชากุหลาบอุ่นๆ หนึ่งแก้วที่น่าจะชงให้ผม
   
“…”
   
ผมพยักหน้าตอบเพราะอีกฝ่ายก็น่าจะเดาได้อยู่แล้วจากการที่ผมไม่สวมปลอกคอมา เอาเข้าจริง ไม่ทักก็คงแปลก ก็ผมเล่นเปลี่ยนปลอกคอทุกครั้งที่มาเพื่อที่จะทำให้บทโอเมก้าที่หลอกเอาเงินอัลฟ่าไปทั่วของผมสมจริงขึ้น
   
คนถามผมยิ้มเจื่อนลงนิดๆ กับท่าทีเย็นชาของผม
   
“อ่า ช่วงนี้ก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน คอยฟังข่าวให้ดี อ้อ นายก็คงไม่ออกความเห็นอะไรเหมือนเดิม แต่ตอนนี้มติกลุ่มคือจะยังทำต่อไป อาจจะรุนแรงขึ้น ถ้าเป็นไปได้นายก็อย่าโดนจับได้ล่ะเพราะเรายังต้องการเงินสนับสนุนจากนายอยู่”
   
“อืม”
   
ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำถูกไหมแต่การได้ลงมือทำ มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีกับตัวเองขึ้นมานิดหน่อย เพราะตัวตนผมจริงๆ มันห่วยเกินกว่าที่ผมจะคาดหวังอะไรจากมัน
   
อย่างน้อยถ้ามันสำเร็จ ผมอาจจะได้พอจะภูมิใจในตัวเองขึ้นมาได้บ้าง สักนิดก็ยังดี
   
“กระเป๋า”
   
ผมกระซิบบอกครามที่วางคางบนไหล่ผม แสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของสุดๆ ไม่รู้ว่าจะหวงอะไรผมนัก
   
“!!”
   
ผมสะดุ้งเฮือกเพราะเจ้าหมาจูบคอผม ทั้งๆ ที่ใส่แมสนั้นแหละ และแน่นอนว่าผมหน้าแดง ใครจะไปคิดว่าเจ้าหมาของผมจะใจกล้าขนาดนี้
   
“ครับ ที่รัก”
   
ครามตอบผมแล้วยื่นกระเป๋าเงินให้กับสมาชิกในกลุ่มที่ตอนนี้ก็หน้าแดงแล้วมองผมอึ้งๆ แต่ก็ยอมรับกระเป๋าเงินไปเก็บข้างหลังพร้อมกับชาที่ผมไม่ยอมกิน
   
“คุณจะกินอะไรรองท้องก่อนไหม?”
   
ผมถามเจ้าหมาที่กอดผมแน่นกว่าเดิมเมื่อไม่มีอะไรในมือแล้ว
   
“ไม่ครับ” ครามงึมงำตอบข้างหูผม “..ผมได้กลิ่นพวกนั้น”
   
“พวกไหน”
   
ผมขมวดคิ้วและเริ่มสัมผัสได้ถึงอะไรที่ไม่ชอบมาพากล
   
“!”
   
ผมตาโตเมื่ออยู่ๆ ครามก็อุ้มผมแล้วเอาผมไปหลบไว้ใต้โต๊ะตัวในที่สุดของห้องที่มีผ้าปูโต๊ะปิด ผมมองครามอย่างตื่นตระหนก ยังไม่ทันถามอะไรเจ้าหมาของผมก็เดินจากไปแล้ว
   
ผมอยากจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นแต่สัญชาตญาณของผมก็บอกให้ผมเชื่อใจครามและอยู่เงียบๆ แต่ผมก็ยังพยายามหาทางแอบดูผ่านรูเล็กๆ ของผ้าปูโต๊ะอยู่ดี
   
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
   
ผมคิดได้ไม่ถึงอึดใจประตูที่เปิดออกก็เป็นคำตอบของทุกอย่างทันที
   
พวกนั้นหาที่นี่เจอแล้ว!!!
   
ผมหน้าซีดเผือด ถึงจะรู้อยู่แล้วว่ามันอาจจะเกิดขึ้นแต่พอมันเกิดขึ้นจริง ผมกลับรู้สึกเครียดจนหายใจไม่ออก
ผมจับมือตัวเองไม่ให้ให้สั่นตอนที่เห็นชินในชุดสูทที่ผมตัดและข้างหลังนั้นมีลูกน้องคนสนิทสองคนที่ถือปืนมาด้วย ซึ่งแน่นอนว่าด้วยนิสัยการทำงานของชินนั้นทำให้ผมไม่กล้าที่จะหวังนักว่าจะมาจับเป็น

ผมไม่น่าเอาครามมาด้วย ไม่น่าเอาครามมาด้วยจริงๆ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคราม มันก็เป็นความผิดผม ถ้าครามตายมันก็เป็นเพราะผม ผมตัดสินใจพลาดอีกแล้วเหรอ

มันเป็นความผิดของผมอีกแล้ว

ผมน้ำตาไหลเมื่อได้ยินเสียงพ่อตะโกนในหัว ตอกย้ำถึงความห่วยแตกของผม ทุกสิ่งทุกอย่างที่เลวร้ายมันเกิดขึ้นเพราะผม และมันก็เป็นแบบนั้นเพราะผมไม่ยอมเชื่อฟังพ่อ

กรรซ
   
“…”
   
..คราม?
   
ผมกลืนน้ำลายเอือกเมื่อเห็นเจ้าลูกหมาของผมดูตัวใหญ่ขึ้นกว่าเดิม แว่นที่ใส่มาตลอดตอนนี้ตกและแตกอยู่บนพื้น นัยน์ตาสีน้ำตาลที่ปกติจะมองผมด้วยความเทิดทูนตอนนี้กลายเป็นสีแดงเรืองรองราวกับสัตว์ป่า กลิ่นฟีโรโมนอัลฟ่าโบราณรุนแรงถูกปล่อยออกมาอย่างก้าวร้าวจนชินที่ปกติมักจะมีสีหน้าเหยียดหยันคนอื่นอยู่เสมอถึงกับเปลี่ยนสีหน้า
   
เสื้อที่ผมติดกระดุมให้ปริออกก่อนที่มันจะขาดเพราะครามคืนร่างมนุษย์หมาป่า ร่างกายครามหลายส่วนกลายเป็นหมาป่าไปแล้ว แม้แต่มือที่กอดผมเมื่อกี้ก็กลายเป็นกรงเล็บยาว มีเพียงใบหน้าเท่านั้นที่ยังเหมือนเดิม
   
“หนีไป”
   
ครามพูดเสียงต่ำกับสมาชิกกลุ่มที่ยังคงเหลือในห้อง ซึ่งผมก็เห็นหลายคนที่กระโดดหนีทางหน้าต่างไปแล้ว แต่ก็ยังมีหลายคนที่ยังลังเลเหมือนอยากจะอยู่ช่วยคราม
   
ปัง!
   
ผมเบิกตากว้างเมื่อเห็นครามหลบกระสุนและพุ่งเข้าใส่ลูกน้องชินอีกคนในพริบตา ซึ่งมันเป็นความเร็วที่ไม่ใช่มนุษย์ทั่วไปจะทำได้
   
โครม!!
   
ลูกน้องของชินกระอักเลือดออกมาทันทีเพราะเมื่อครามจับตัวได้ก็ถูกจับและทุ่มลงกับพื้นอย่างง่ายดาย ทั้งๆ ที่เป็นขนาดตัวใหญ่ยักษ์ไม่แพ้กัน ซึ่งเมื่อครามเห็นว่าอีกฝ่ายยังตะเกียกตะกายขึ้นมาได้ก็หยิบโต๊ะใกล้ๆ มาทุ่มใส่ซ้ำอีกครั้งจนแน่นิ่งไป
   
ปัง! ปัง! ปัง!
   
ครามหลบกระสุนได้ทุกนัดอย่างไม่ยากเย็น
   
“ไอ้หมาเวร!”
   
นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นชินตัวสั่นเทาเพราะกลิ่นอัลฟ่าตัวอื่น ซึ่งเอาเข้าจริงถ้าไม่ใช่เพราะผมเริ่มชินกลิ่นของครามแล้ว ผมก็คงจะสั่นจนทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน
   
ฟีโรโมนของครามมันรุนแรงกว่าทุกครั้ง

ก้าวร้าว โมโหร้าย และโกรธจัด ซึ่งกลิ่นฟีโรโมนของครามก็สร้างแรงกดดันจนผมหายใจยาก ดีหน่อยที่สมาชิกที่เหลือในห้องหนีออกไปหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงจะกลัวกันจนก้าวขาไม่ออก

นี่คงจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ว่าทำไมรัฐบาลถึงได้กลัวอัลฟ่าหมาป่ากันนัก

อัลฟ่าโบราณพวกนี้ดุร้ายและทรงพลังในระดับที่อัลฟ่าทั่วไปไม่สามารถต่อกรได้
   
กรรซ!!!
   
ผมขมวดคิ้วเมื่ออยู่ๆ เจ้าหมาของผมคำรามในลำคอเสียงดังลั่นแต่ก็ยังยุ่งอยู่กับการจัดการชิน
   
“!!!”
   
ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกกระชากตัวออกจากที่ซ่อน
   
ชินยังเหลือลูกน้องอีกคน!
   
ผมพยายามตะเกียกตะกายสู้กับแรงที่กระชากคอเสื้อผมขึ้นจนตัวลอย มือของมันสั่นเทาจากฟีโรโมนของครามแต่ก็ยังพยายามที่จะทำร้ายผม
   
ใจเย็นๆ ไลม์ ใจเย็นๆ
   
ผมท่องในใจและสบตากับมัน
   
ลูกน้องคนสนิทมือขวาของชินที่ผมมักจะเห็นชินใช้งานไปทำอะไรสกปรกอยู่บ่อยๆ และวันนี้เลือดที่มันตั้งใจจะใช้ล้างมือก็คงจะเป็นเลือดของผม
   
แต่น่าเสียดายที่มันคิดผิด
   
ผมเหยียดยิ้มเมื่อมันสบตากับผม
   
“!”
   
มันเบิกตากว้างก่อนที่จะค่อยๆ ปล่อยมือจากคอเสื้อของผมและกรีดร้องออกมา
   
“หึ”
   
ผมแค่นเสียงหัวเราะ
   
อัลฟ่าจิ้งจอกอย่างผมก็อันตรายพอๆ กันนั่นแหละ
   
แค่สบตากับใช้กลิ่นพิเศษนิดหน่อยก็สามารถทำให้คนที่โดนเกิดภาพหลอนขึ้นมาได้ ถึงจะเป็นแค่ชั่วระยะเวลาสั่นๆ ไม่ถึงห้านาทีแต่มันก็มากเพียงพอที่จะทำให้ผมหนีไปไหนต่อไหนแล้ว
   
ผมจับคอตัวเองที่ยังรู้สึกเจ็บและหันไปให้ความสนใจกับฝั่งครามที่ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง เอาเข้าจริงถ้าผมมาที่นี่คนเดียวแบบไม่มีคราม วิธีนี้ก็น่าจะเพียงพอให้ผมเอาตัวรอดได้
   
แต่เพราะผมเอาครามมาด้วย ผมถึงได้สูญเสียความเยือกเย็นของตัวเองไป
   
ครามสำคัญสำหรับผมมาก
   
กรรซ
   
“…”
   
ผมเงยหน้ามอง ‘อัลฟ่าหมาป่าของผม’ ที่ตัวโชกไปด้วยเลือด ก่อนจะเหลือบมองข้างหลังก็ถึงเห็นว่าชินสลบไปแล้ว ชุดสูทที่ผมตัดให้ขาดวิ่นและชุ่มเลือด
   
ครามก้มมองคอผมสักพักไม่ได้พูดอะไรและเดินไปกระชากคอเสื้อของเจ้ามือขวานั่นเพื่อทุ่มใส่พื้นเต็มแรง ซึ่งเหตุการณ์มันก็เกิดขึ้นเร็วจนผมห้ามไม่ทัน
   
“พอแล้ว”
   
ผมวิ่งไปกอดครามเอาไว้แน่นเมื่อครามทำท่าจะต่อยมันต่อ ทั้งๆ ที่มันก็สลบแล้วแต่เจ้าหมาของผมก็ยังไม่พอใจ ดูหงุดหงิดจนน่ากลัว
   
“พวกมันมาแค่สามคน” ครามพูดเสียงต่ำ “ผมขอต่อยมันนิดเดียว มันกล้าทำร้ายไลม์ ผมยอมไม่ได้!”
   
“เด็กดี”
   
ผมแนบแก้มกับขนฟูๆ ของคราม
   
“กลับบ้านนะ”
   
กรรซ
   
ครามขู่ตอบ
   
“โบ้”
   
ครามตอบกลับผมเสียงแข็ง ตัวสั่นเทาเหมือนยังควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้
   
“มันทำร้ายไลม์!”
   
“ผมไม่เป็นไร”
   
ให้ตายเถอะ นี่เจ้าลูกหมาของผมเข้าสู่วัยต่อต้านแล้วเหรอ
   
กรรซ
   
ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะสัญชาตญาณรึเปล่า ครามถึงได้ดูเสียการควบคุมขนาดนี้ มันคล้ายกับตอนที่ครามในร่างหมาป่าเผลอข่วนผม เพียงแต่ตอนนี้เจ้าหมาของผมยังมีสติอยู่
   
ผมพยายามคิดเร็วๆ ก่อนจะตัดสินใจปล่อยกลิ่นฟีโรโมนของตัวเองออกมา
   
“กลับบ้านกัน”
   
ผมเอื้อมมือไปจับมือครามที่ตอนนี้ยังคงอุ้งเท้าของหมาป่าและจับมันอย่างไม่นึกหวาดกลัว
   
“ไม่อยากกินข้าวเย็นฝีมือผมเหรอ คราม”
   
ผมพูดเสียงนุ่มและลูบมือคราม พยายามหลอกเจ้าหมาป่ากลับบ้าน ซึ่งเหตุการณ์ตอนนี้ก็ไม่ต่างจากตอนที่ผมหลอกเจ้าโบ้ตัวเก่ากลับบ้านด้วยขนมหมาเลยสักนิด
   
ที่ต่างก็คงจะเป็นที่โบ้ตัวนี้ตัวใหญ่กว่ามากแถมขนยังนุ่มฟูกว่า แต่แรงเยอะและควบคุมยากไปหน่อย ไม่ค่อยเชื่อฟังเจ้านายอย่างผมเท่าไหร่
   
“ไม่อยากเป็นเด็กดีแล้วเหรอ”
   
หงิง
   
เจ้าหมาของผมร้องในลำคอประท้วง อารมณ์ดูสงบลงเมื่อได้กลิ่นของผม
   
“ถ้าอยากเป็นเด็กดีก็เชื่อฟังผม”
   
“...แต่”
   
ผมขมวดคิ้วและพูดเสียงดุ
   
“เด็กไม่ดี”
   
หงิง
   
มือของครามที่ผมจับอยู่กลับมาเป็นมือมนุษย์ทันที ก่อนที่ขนฟูๆ ของครามจะค่อยๆ หายไปกลายเป็นแผ่นหลังใหญ่ซึ่งมีแผลตื้นๆ จากมีดหลายรอย
   
ผมผละออกจากครามและกอดอกดูเจ้าหมาของผมที่ยอมคืนร่างปกติ
   
“กลับก็กลับครับ”
   
ครามก้มหน้างุดพร้อมทำหน้าจ๋องใส่ผม
   
“ดื้อ”
   
ผมบ่น
   
“ขอโทษครับ ไม่ดื้อแล้ว”
   
ผมพยายามไม่หลุดยิ้ม
   
เจ้าหมาของผมดูจะกลัวการเป็นเด็กไม่ดีมาก
   
“เด็กไม่ดี”
   
ผมพูดซ้ำอีก
   
หงิง
   
ผมหลุดหัวเราะออกมา ครามกลับมาเป็นหมาเด็กเชื่องๆ ให้ผมเหมือนเดิมแล้ว
   
“กลับบ้านกัน”
   
ผมยิ้มและอดไม่ได้ที่จะนึกถึงวันที่ผมตัดสินใจเก็บหมาป่าตัวนี้กลับบ้าน
   
มันดูอันตรายนะแต่ก็น่ารัก
   
“ครับ บอส!”
   
ครามรับคำด้วยท่าทีกระตือรือร้นจนผมหัวเราะออกมาอีก
   
ให้ตายเหอะ
   
โบ้ตัวนี้น่ารักชะมัดเลย
   
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 18 16 พ.ค 64 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 16-05-2021 23:37:17
ตอนที่ 18

   
หงิง
   
“ทนหน่อยจะเสร็จแล้ว”
   
ผมพูดปลอบใจครามระหว่างที่ง่วนกับการทำแผลให้ ซึ่งนอกจากบนหลังแล้วก็ยังมีแผลเล็กแผลน้อยเต็มไปหมด ไม่รู้ว่าเจ้าหมาของผมไปกัดคนอื่นท่าไหนถึงได้แผลเยอะขนาดนี้
   
ผมขมวดคิ้วตอนเห็นแผลเป็นบนอกคราม ถึงจะเคยเห็นแล้วแต่พอมองอีกครั้งมันก็ทำให้ผมรู้สึกเจ็บแทนอยู่ดี
   
“คุณไปทำอะไรมา”
   
ผมถามและแปะพลาสเตอร์ปิดแผลแบบกันน้ำให้ครามไปด้วย
   
“หมายถึงแผลเป็นผมเหรอครับ”
   
“อืม”
   
และผมก็ต้องขมวดคิ้วเพราะอยู่ๆ ครามก็หน้าแดงแล้วก้มหน้างุด
   
“ตกรั้วหน้าบ้านตอนเด็กครับ”
   
“ดื้อ”   
   
ตอนเด็กๆ ครามคงซนน่าดู คิดไปคิดมาผมก็อยากเห็นครามตอนเด็กชะมัดว่าน่ารักขนาดไหน จะเป็นโบ้ขนฟูตัวจิ๋วกลิ้งไปกลิ้งมาแล้วร้องหงิงๆ หาแม่ทั้งวันรึเปล่านะ
   
“..บอสไม่กลัวผมใช่ไหมครับ”
   
ครามช้อนตามองผม ดูกังวลมากว่าผมจะกลัวครามในร่างอัลฟ่าหมาป่าเมื่อกี้
   
แต่ให้ตายเถอะ ถ้าผมจะกลัว ผมก็กลัวไปนานแล้วรึเปล่า
   
“แล้วคุณคิดว่าผมกลัวไหม?”
   
ผมยิ้ม
   
“…”
   
ครามไม่ได้ตอบผมแต่ดูกระวีกระวายตอนที่ผมนั่งบนขาและลูบกล้ามหน้าท้องของครามเล่น
   
“อยู่กับอัลฟ่าพวกนั้น ผมเคยเจออะไรที่น่ากลัวกว่านี้อีก”
   
ผมสบตากับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่สั่นระริก ดูไม่น่ากลัวสักนิดจนเหมือนเป็นหมาป่าคนละตัวกับที่เพิ่งไล่ขย้ำคนเพื่อปกป้องผม
   
“แล้วคุณก็อย่าลืมสิว่าวันนั้นใครใช้ปากให้คุณ”
   
ผมสอดนิ้วเข้าไปในกางเกงคราม ใช้ปลายนิ้วเขี่ยท่อนลำของครามที่ใหญ่และยาว ซึ่งมันก็พาดขึ้นทางขวาตามที่ผมคิด แน่นอนว่าตอนนี้มันยังอ่อนตัวอยู่เพราะเจ้าหมายังกังวลเรื่องผมแบบสุดๆ จนผมไม่เริ่มไม่แน่ใจว่าภาพของผมในความคิดครามเป็นคนยังไงกันแน่
   
“..บอส”
   
ครามหน้าแดง
   
“ผมดีใจที่คุณปกป้องผมนะ”
   
ผมสบตากับครามแต่มือก็ยังเขี่ยเล่นอยู่
   
“แต่คุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผมมากขนาดนั้นหรอก ผมดูแลตัวเองได้”
   
ถึงการถูกปกป้องมันจะทำให้ผมรู้สึกดี แต่การทำให้หมาตัวโปรดของผมกังวลมากกว่าเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ ผมอยากให้ครามกลับไปร่าเริงเหมือนเดิม
   
“และในฐานะที่คุณเป็นเด็กดี”
   
ผมยิ้มอย่างพอใจเมื่อมันเริ่มแข็งสู้มือผม
   
“ผมจะให้รางวัลคุณ”
   
“..แต่บอสหิวข้าวไม่ใช่เหรอครับ”
   
ครามพูดเสียงเบา
   
“คุณก็ให้ผมกินของคุณรองท้องสิ”
   
หงิง
   
ผมหลุดหัวเราะเพราะครามเขินคำพูดของผมจนหูกับหางหมาป่าโผล่ออกมา ซึ่งหูของครามก็เป็นเหมือนทุกครั้งคือลู่ลงจนน่าสงสาร
   
“ผมไม่กลัวคุณหรอก คราม”
   
ผมค่อยๆ แกะกระดุมกางเกงครามออกและรั้งกางเกงในลงมา
   
“คุณเป็นเด็กดีกับผมซะขนาดนี้”
   
ผมเผลอเลียริมฝีปากตอนที่มองท่อนลำของครามที่ตอนนี้มีน้ำใสๆ ออกมาให้เห็น ผมยิ้มบางให้ครามก่อนที่จะย้ายตัวเองลงไปอยู่ข้างล่างอีกครั้งเพื่อไม่ให้ครามทรมานไปมากกว่านี้
   
“...”
   
ผมชะงักไปสักพักมันกระดกขึ้นมาเกือบจะโดนปากผมโดยที่ผมยังไม่ทันได้สัมผัสด้วยซ้ำ
   
หงิง
   
ผมเงยหน้ามองครามถึงเห็นว่าเจ้าหมาของผมเอามือปิดหน้าตัวเอง ดูอายมาก และมันก็ทำให้ผมนึกถึงตอนที่ครามอยู่ในร่างหมาป่าแล้วเอาหน้าซุกเท้าตัวเองไม่หยุด
   
“หึ”
   
ผมหลุดยิ้มจูบส่วนหัวของมันเบาๆ เชิงทักทาย
   
“ฮื่อ”
   
ครามครางในลำคอและขาสั่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดตอนที่ผมก้มลงไปเลียตั้งแต่โคน ปลายลิ้นของผมสัมผัสท่อนลำร้อนผ่าวที่มีเส้นเลือดปูดขึ้นมา ผมช้อนตามองครามและเห็นว่าเจ้าหมาเอามือปิดหน้าก็จริงแต่ก็ยังแอบมองลอดระหว่างนิ้วอยู่ดี ซึ่งมันก็ตลกมากจนผมเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา
   
“คุณไม่อยากเห็นหน้าผมขนาดนั้นเลยเหรอ”
   
ผมแกล้งถามตัดพ้อแต่ก็ยังไม่เลิกเลียของคราม พยายามจะกระตุ้นให้ครามแสดงสัญชาตญาณดิบออกมาเพราะมันทำให้ผมมีอารมณ์มาก
   
หงิง
   
หงิงอีกแล้ว หมาป่าตัวนั้นของผมอยู่ไหนกัน
   
ผมคิดในใจและตัดสินใจรับมันเข้าไปในปาก ตามใจเจ้าหมาของผม เพราะผมก็ยังไม่ลืมว่าครามชอบให้ผมกลืนลึกๆ แต่ให้ตายเถอะ ใหญ่และยาวขนาดนี้มันก็ค่อนข้างลำบากแต่ผมก็อยากตามใจครามอยู่ดี
   
“..บอส”
   
ยังไม่ออกมาอีก
   
ผมขมวดคิ้วแล้วกลืนลึกขึ้นกว่าเดิม พยายามใช้ลิ้นและดูดแรงขึ้น
   
“ฮื่อ”
   
ครามคำรามในลำคอ
   
“—ไลม์”
   
มาแล้ว
   
ผมเหลือบมองคราม รู้สึกพอใจที่เห็นอีกฝ่ายขบกรามกรอดจ้องผมไม่วางตา
   
“มันไม่อร่อย”
   
ครามพูดเสียงต่ำ พยายามกดดันให้ผมล้มเลิกความคิดที่จะกลืน ซึ่งมันก็จริงอย่างที่ครามว่า รสชาติมันก็ไม่ได้ดีแต่ผมก็ยังอยากเห็นสีหน้าอายๆ ของครามหลังจากที่ผมกลืนมันจนหมดอยู่ดี
   
แน่นอนว่าสิ่งที่ผมทำคือไม่สนใจและตั้งหน้าตั้งหน้าดูดแรงกว่าเดิม ใช้ลิ้นเลียส่วนหยักย้ำๆ จนในที่สุดครามก็แตกตามที่ผมต้องการ
   
“!!”
   
ผมกระพริบปริบเพราะกลืนไปได้แค่อึกสองอึกก็ถูกครามดึงตัวออก แล้วเจ้าหมาของผมก็ทิชชู่ที่ผมเตรียมไว้เช็ดแผลมารองน้ำที่เหลือทั้งหมดแทน
   
“ผมยังไม่อิ่มเลย”
   
ผมใช้มือหลังเช็ดปากตัวเองและมองครามด้วยสายตาตัดพ้อ
   
“กินแค่รองท้องก็พอครับ เดี๋ยวบอสกินข้าวไม่ได้”
   
ครามหน้าแดงแล้วขยำทิชชู่ทิ้งไว้บนเตียง เจ้าหมาจ้องผมนิ่งขยับหูและหางไปมา ดูกระวีกระวายเหมือนกำลังพยายามตัดสินใจอะไรบางอย่าง ผมยังไม่ทันได้ถามว่าเป็นอะไร ครามก็ลงมาอุ้มผมจากพื้นขึ้นมานั่งบนตักตัวเองอีกครั้ง ซึ่งทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วมาก
   
“..คราม”
   
ผมหน้าแดงก่ำเมื่อเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำบ้าง ทั้งกางเกงและกางเกงชั้นในผมถูกดึงรั้งลงไปอยู่ที่เข่า
   
“ผมไม่เอาเข้านะ เดี๋ยวมันจะนาน”
   
ครามก้มลงเลียคอผมพร้อมๆ กับสอดนิ้วเข้ามาในตัวผม
   
“ฮึก”
   
ผมซุกหน้ากับอกครามและสะอื้นด้วยความเสียวซ่าน เมื่อถูกกระตุ้นจุดอ่อนในเวลาแทบจะเดียวกัน ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมกับแค่การมีอะไรกับผมไม่กี่ครั้ง ทำไมครามถึงได้รู้จุดอ่อนของผมเกือบทั้งหมดหรือแม้กระทั่งจุดที่ผมไม่รู้ด้วย
   
“ช้าๆ หน่อย”
   
ผมบอกครามเมื่อนิ้วร้อนๆ ของครามกดย้ำไม่หยุด ซึ่งนอกจากมันจะทำให้ผมน้ำตาซึมแล้วมันยังทำให้ผมหลุดเสียงน่าอายออกมาอีก ผมแทบจะกลั้นไว้ไม่ได้เลย

นี่มันใช่เสียงผมจริงๆ เหรอ
   
“คราม ผมขอร้อง อย่า อย่าเลีย”
   
ผมสะอื้นเพราะตอนนี้เจ้าหมาลามมาถึงกกหูผมแล้ว
   
“ไลม์”
   
ผมหน้าแดงกว่าเดิม รู้สึกฉุนนิดหน่อยที่ตัวเองตอนนี้ไม่สามารถขัดขืนหรือทำอะไรได้เลย แต่พอโดนนิ้วของครามกระตุ้นมากเข้า ผมก็ยอมทิ้งยางอายตัวเอง
   
“..ไลม์”
   
ผมอายจนพูดแทบไม่ออก ไม่แปลกใจเลยทำไมครามถึงได้เอามือปิดหน้าหนีผมขนาดนั้น
   
แล้วให้ตายเหอะ ไม่เคยแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นเพื่อคุยกับใครมาก่อน
   
“อ๊า!”
   
ทั้งๆ ที่ไม่อยากสร้างแผลให้ครามเพิ่ม แต่สุดท้ายผมก็เผลอจิกหลังครามแน่นและลนลานพูดออกมา
   
“ไลม์ ไลม์ขอร้อง”
   
หน้าผมร้อนจนไม่รู้จะร้อนยังไง นี่มันน่าอายมากเลยอ่ะ ผมไม่เคยหมดสภาพขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
   
สัญชาตญาณอัลฟ่าของผมเมื่ออยู่ต่อหน้าอัลฟ่าหมาป่าอย่างครามก็ไม่มีประโยชน์สักนิด ผมพ่ายแพ้อย่างหมดรูปจริงๆ
   
“ผมไม่ได้ยิน”
   
ชักจะได้ใจเกินไปแล้ว
   
ผมประท้วงในใจแต่ก็เถียงอะไรไม่ออก

นิ้วของครามเข้าไปลึกชะมัดเลย
   
“ไลม์—ขอร้อง อ๊ะ”
   
ผมพยายามพูดให้จบประโยคแม้ว่ามันจะได้เป็นประโยคกระท่อนกระแท่น และมันก็จบลงที่ความล้มเหลวเพราะผมเสร็จก่อน ผมตัวสั่นและตาลอยไปพักหนึ่งอย่างควบคุมไม่ได้ ซึ่งครามก็ยอมถอนนิ้วออกและปล่อยให้ผมนั่งนิ่งๆ พักหายใจสักพักพร้อมกับหยิบทิชชู่มาเช็ดคราบที่เลอะให้ผม
   
“ให้ผมอาบน้ำให้ไหม”
   
หลังจากเช็ดเสร็จครามก็กอดผมหลวมๆ
   
“ไม่ต้อง” ผมพูดเสียงเบา
   
“ครับ”
   
ครามตอบผมอย่างกระตือรือร้นและกระดิกหาง ดูมีความสุขมากจนผมเอ็ดอะไรไม่ลง
   
“ไปอาบน้ำไป เดี๋ยวผมทำอะไรให้กิน”
   
ผมขยับตัวขึ้นไปจูบแก้มครามแล้วผละออก ซึ่งเจ้าหมาของผมก็หน้าแดง ไม่รู้จะเขินอะไรนัก แต่ผมก็เหนื่อยเกินกว่าจะแกล้งต่อเลยไม่ได้จูบอีก
   
ผมมองตามหลังครามที่กระวีกระวายเข้าไปในห้องน้ำตามคำสั่งของผมด้วยรอยยิ้ม และถอดชุดที่ใส่วันนี้ออกเพื่อที่จะไปใส่เสื้อยืดง่ายๆ กับกางเกงขาสั้นแทน ซึ่งผมก็ไม่ลืมที่จะถอดคอนแทคเลนส์แล้วกลับไปใส่แว่นเหมือนเดิม
   
ผมเอาชุดเก่าใส่ตะกร้าและเดินกลับไปห้องครัว รู้สึกไม่ค่อยชินเท่าไหร่ที่มีคนกินข้าวด้วย เอาเข้าจริง ครามก็เป็นคนแรกเหมือนกันที่ได้กินฝีมือผมเพราะที่ผ่านมาผมไม่เคยทำอาหารให้ใครกินมาก่อน
   
ขนาดพี่ชายผมเองยังไม่เคยกิน อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมทำอาหารได้
   
ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจพี่ชายผมเท่าไหร่ ผมพอจะสัมผัสได้ว่าพี่พยายามจะดีกับผมแต่พี่ก็ไม่ได้ใส่ใจกับผมขนาดนั้น หลายครั้งที่ชอบซื้อขนมมาฝากผมซ้ำๆ ทั้งๆ ที่ผมเคยบอกไปแล้วว่าไม่ชอบกิน ซึ่งพี่ผมก็อาจจะตีความไปเองว่าผมเกรงใจล่ะมั้ง
   
ครอบครัวของผมมันประหลาดเกินไป
   
ผมคิดเรื่อยเปื่อยและทำอาหารด้วยไป อาศัยสูตรอาหารจากความทรงจำอันเลือนรางสมัยเด็กของผม ตอนที่ผมแอบดูแม่ทำอาหาร
   
แม่ผมเป็นคนที่ทำอาหารอร่อยมาก และมันก็เป็นไม่กี่อย่างที่น่าจะถือเป็นความทรงจำที่ดีที่ผมพอจะนึกออกเกี่ยวกับแม่ ถึงแม่จะไม่ชอบให้ผมมายืนดูก็เถอะแต่ผมก็พยายามแอบดูอยู่ดี เพราะมันเป็นไม่กี่อย่างที่แม่ทำแล้วดูมีความสุข
   
ถึงแม้ว่าเงินที่แม่จะได้มาจากทำงานมันจะไม่ได้เยอะอะไร แต่ผมก็เห็นว่าแม่ก็ยังยอมเจียดไปกับวัตถุดิบในการทำอาหารให้ออกมาดีที่สุด ซึ่งมันก็น่าจะเป็นไม่กี่อย่างที่แม่ผมทำแล้วภูมิใจในตัวเอง
   
ผมตอนเด็กคิดบ่อยๆ ว่าจะดีกว่านี้ไหม ถ้าแม่เลิกรอพ่อแล้วไปลองลงทุนเปิดร้านอาหารดู ไม่ต้องเป็นร้านใหญ่ก็ได้ เป็นแค่ร้านเล็กๆ ที่สามารถเติมเต็มฝันแม่ได้ก็พอ
   
ผมจะยอมกินข้าวให้น้อยลงและต้องการให้น้อยลงเพื่อให้แม่มีเงินมากขึ้น เผื่อว่าจะมีสักวันที่แม่จะเป็นโอเมก้าที่สามารถรวยได้ตัวเองโดยที่ไม่ต้องพึ่งอัลฟ่า
   
แต่ผมก็ทำได้แค่คิดเพราะผมไม่มีความกล้ามากพอที่จะบอกแม่หรอก วันทุกวันแม่เอาแต่รอดอัลฟ่าคนนั้น คาดหวังลมๆ แล้งๆ ทุกวันว่าอาจจะเป็นวันพรุ่งนี้ก็ได้ที่เขาจะมา จนคนที่รอพึ่งพาแม่ทนรอด้วยไม่ไหว รวบรวมเงินค่าเดินทางและไล่ให้ผมกับแม่ไปหาพ่อด้วยตัวเอง
   
ทั้งๆ ที่มันผ่านมานานมากแล้ว น่าจะเกินยี่สิบปีแต่ความทรงจำวันที่ผมเจอพ่อผมครั้งแรกมันก็ชัดเจนจนเหมือนเกิดขึ้นเมื่อวาน และมันก็เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาตอนที่ผมนอน
   
ผมเหยียดยิ้มตอนนึกถึงสีหน้าพ่อที่เห็นหน้าแม่กับผมครั้งแรก
   
คนๆ นั้นจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยมีอะไรกับแม่ผม จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ารับปากอะไรไว้และผรุสวาทสาปส่งแม่จนแม่ผมร้องไห้ มือที่ยอมจับมือผมไม่กี่ครั้งสั่นเทาจนน่ากลัว
   
เอาเข้าจริงแค่การเหยียบเข้ามาในเขตของพวกอัลฟ่ามีเงินก็ทำแม่ผมกลัวพอแล้ว การเป็นโอเมก้าในสังคมนี้คือการอยู่จุดต่ำสุดของห่วงโซ่อาหารโดยเฉพาะแม่ผมที่ทำอาชีพขายบริการ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าจะเหยียดกันไปทำไมในเมื่อลูกค้าของแม่ผมส่วนใหญ่ก็เป็นพวกอัลฟ่าที่มาหาเศษหาเลยตอนที่ภรรยาที่บ้านเผลอกันทั้งนั้น
   
สังคมห่วยแตกนี่มันเต็มไปด้วยความย้อนแย้ง
   
แม่ผมยืนห่อตัวและตัวสั่น ดูอับอายแต่ก็ยังพยายามยืนยันในสิ่งที่ตัวเองเชื่อมาตลอด แม่ผลักผมไปข้างหน้าและจับหน้าผมให้พ่อเห็น ซึ่งจนถึงตอนนี้ผมก็ยังจำสีหน้าพ่อได้ดี
   
‘ไลม์ไง คุณอยากได้ลูกคนที่สองชื่อไลม์ไม่ใช่เหรอ’
   
แม่ผมพูดเสียงสั่น ดูกลัวมากแต่ก็พยายามมากที่จะให้พ่อผมยอมรับให้ได้เพื่อที่จะหลุดพ้นจากชีวิตแบบเดิมสักที และวิธีนี้ก็เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดเท่าที่แม่จะทำได้
   
แต่น่าเสียดายที่แม่ผมก็อาจจะดูละครมากเกินไป อาจจะฟุ้งฝันเกินไปว่าตัวเองจะเป็นเหมือนโอเมก้าแสนโชคดีในเรื่องที่บังเอิญท้องกับอัลฟ่าไฮโซสุดหล่อและเขาก็รับไปอยู่ด้วยเพื่อดูแลทั้งแม่และลูก
   
ได้มีโอกาสสร้างรังรัก ได้รับชีวิตใหม่ที่ดีเหมือนฝัน ได้กลายเป็นคุณนายโอเมก้าแสนสวยผู้โอบอ้อมอารีย์ที่กลับมาช่วยเหลือเพื่อนโอเมก้าที่ยังใช้ชีวิตอย่างยากลำบากอยู่
   
แต่มันก็ไม่ใช่ทุกคนที่โชคดีแบบนั้น
   
‘แต่กูไม่ได้อยากมีกับมึงไง!!’
   
พ่อผมตะคอกพร้อมกับถลึงตามองแม่ผมก่อน ก่อนที่จะเบิกตากว้างตอนที่เห็นว่าผมมี ‘ตาสีฟ้า’ แบบที่พวกอัลฟ่าชั้นสูงมี ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่แม้แต่พ่อกับพี่ชายผมไม่มี
   
‘มันไม่ได้เป็นโอเมก้าเหมือนมึงใช่ไหม’
   
พ่อผมเริ่มสนใจผมขึ้นมาบ้าง บีบคางผมและบังคับให้ผมหันไปมาเพื่อสำรวจใบหน้าของผมที่คล้ายคลึงกับพ่อหลายส่วน
   
‘ค่ะ เป็นอัลฟ่า’
   
พ่อผมยิ้มด้วยความพอใจแต่ผมกลับรู้สึกเจ็บปวดกว่าเดิมที่ถูกทั้งพ่อทั้งแม่ปฏิบัติราวกับว่าเป็นมนุษย์ที่ไม่มีชีวิตจิตใจ ถ้าเกิดผมเป็นโอเมก้าคงไม่วายถูกทิ้งอย่างไม่ลังเล
   
ทำไมกับแค่เพศกำเนิดถึงได้เป็นตัวตัดสินชีวิตของมนุษย์ถึงขนาดนั้น
   
ผมไม่เข้าใจ
   
ผมคิดและชิมข้าวผัดที่ผมทำ ความเป็นอัลฟ่าจิ้งจอกทำให้ผมทำอาหารได้ง่ายขึ้นเพราะผมค่อนข้างไวต่อกลิ่น การเลือกวัตถุดิบเพื่อใช้ในการทำอาหารอะไรพวกนี้ให้อร่อยขึ้นเลยไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผมเท่าไหร่
   
เอาเข้าจริงผมก็แอบคิดว่าถ้าแม่เป็นอัลฟ่าก็คงเป็นอัลฟ่าจิ้งจอกเหมือนผม เพราะฝั่งพ่อไม่มีใครที่เป็นอัลฟ่าจิ้งจอกเลย แต่เพราะแม่ผมเป็นโอเมก้านั่นแหละ ทุกอย่างมันเลยแย่ไปหมด และมันก็ไม่ใช่ความผิดของแม่เลย
   
“ไลม์”
   
ผมหลับตาหยีเมื่อถูกหมาป่าหอมกลิ่นสบู่จู่โจมจากด้านหลัง มันตะครุบตัวผมและจูบคอผม
   
“รอก่อน อีกสักพักก็เสร็จแล้ว”
   
ผมปล่อยให้ครามกอดแน่น ไม่ได้ว่าอะไร
   
“ผมทำไลม์ร้องไห้เหรอ”
   
“..เปล่า”
   
ผมเอาหลังมือเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมา ให้ตายเถอะ นึกถึงเรื่องนี้ทีไรมันก็ทำให้มันผมเผลอร้องไห้ทุกที
   
ผมไม่รู้ว่าตัวเองผ่านมันมาได้ยังไง ทั้งๆ ที่มันเจ็บปวดขนาดนั้น
   
จิตใจผมมันแหลกสลายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมถูกเพิกเฉยจากแม่และเหยียบย่ำต่อจากพ่อ ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดด้วยซ้ำ หรืออาจจะผิดที่ผมเองเกิดมาตั้งแต่แรกนั่นแหละ
   
ถ้าการเป็นอัลฟ่ามันดีนักหนา ทำไมผมถึงต้องเจ็บปวดขนาดนี้ล่ะ
   
“ไม่ร้องนะครับ”
   
“อือ”
   
ผมตอบครามในลำคอแต่ก็ยังไม่วายสะอื้นออกมา ผมกลั้นน้ำตาจนผัดเสร็จและเอาใส่จาน พยายามทำอาหารให้เสร็จก่อนเพราะข้าวผัดหมูเป็นเมนูสุดท้ายที่ผมทำ ส่วนเมนูที่เหลือเสร็จจนผมวางบนโต๊ะรอครามมากินแล้ว
   
พอวางมือจากกระทะได้ผมก็ถอดแว่นแล้วเช็ดน้ำตาตัวเอง รู้สึกสมเพชตัวเองที่อ่อนแอซะเหลือเกิน ไม่ว่าผมจะพยายามยังไง ผมก็ไม่สามารถรับมือกับอดีตของตัวเองได้สักที ผมลืมมันไม่ไหวพอจะก้าวข้ามได้ก็จะถูกพ่อกระชากกลับมายอมรับความจริง
   
ผมมันห่วยแตกอย่างที่พ่อว่าจริงๆ นั่นแหละ
   
ไลม์ อัลฟ่าสุดเพอร์เฟคและน่าอิจฉา ทายาทเจ้าของธุรกิจสูทดัง การศึกษาเพียบพร้อมและมีเงินถุงเงินถังให้ใช้เล่น  ของพรรค์นั้นไม่มีอะไรจริงสักอย่าง ไม่มีใครรู้จักผมจริงๆ  แถมพ่อยังทำกับเหมือนกับว่าอยากจะซ่อนผมที่ห่วยแตกเอาไว้เป็นความลับและบังคับให้ผมทุกอย่างที่เป็น ‘ไลม์’ ที่พ่ออยากได้
   
มันอาจจะดีกว่านี้ถ้าเมียเก่าพ่อไม่ตายไปก่อนที่จะมาเจอแม่ผม มันอาจจะดีกว่านี้ถ้าพ่อได้ไลม์ของพ่อไป ไม่ใช่ผมที่ต้องมารับบทเป็นไลม์ให้พ่อ
   
ทำไมต้องเป็นผมล่ะ ทำไมผมต้องมาเจอเรื่องพวกนี้ด้วย
   
“บอส บอสครับ”
   
ให้ตายสิ ผมร้องไห้อีกแล้ว
   
“ผมรักบอสนะ”
   
“อือ”
   
ผมใส่แว่นคืนแล้วหันไปซุกกับตัวคราม เจ้าหมาตัวโตที่ผมบังเอิญเก็บมาเลี้ยงและบังเอิญยิ่งกว่าที่สามารถกลายเป็นคนได้ ผมไม่คิดเลยสักนิดว่าตัวเองจะได้มีวันที่เก็บอัลฟ่าหมาป่ามาเลี้ยง
   
แต่ทั้งชีวิตผม ผมก็ดวงสมพงษ์กับหมาตลอด ไม่รู้ทำไมเหมือนกันว่าทำไมผมถึงได้ดึงดูดหมานัก
   
“ไม่ร้องนะครับ”
   
ผมซุกกับอกครามหลับตาและปล่อยให้ร่างกายใหญ่โตของอัลฟ่าหมาป่าโอบกอดผม กลิ่นฟีโรโมนอัลฟ่าหมาป่าบนตัวครามทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายลง มือเย็นเฉียบของผมถูกครามกุมแน่น
   
ผมชอบหมาเพราะพวกมันไม่ตัดสินผมหรือต่อให้ตัดสินผม ผมก็คงฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี
   
แต่หมาตัวนี้ไม่เหมือนตัวอื่นของผม
   
“กินข้าวกันนะครับ”
   
ครามโอบตัวผมและพาผมไปนั่งที่เก้าอี้ ทำราวกับว่าผมเป็นเด็ก ซึ่งผมก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าตอนนี้ผมกำลังทำตัวผมเป็นเด็ก ผมอาจจะเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ ที่ติดอยู่ในร่างผู้ใหญ่ก็ได้
   
เด็กชายไลม์ที่ถูกแม่เดินจูงเข้ามาในโลกของผู้ใหญ่และผลักทิ้งเอาไว้ในนั้น
   
ผมหลงทาง หกล้ม ร้องไห้ แต่ก็ไม่เคยมีใครได้ยิน ไม่เคยมีมนุษย์จริงๆ คนไหนที่รับรู้ความเจ็บปวดของผม ในโลกที่ว่างเปล่ามีแต่เสียงร้องไห้ของผมดังกังวาน ผมโดดเดี่ยวจนรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกห่วยแตกนี่
   
ผมทำดีกับคนอื่นก็แค่เพราะไม่อยากให้คนอื่นมาเจอเรื่องแย่ๆ เหมือนผม
   
มีแค่ผมที่เจ็บปวดมันก็มากเกินพอแล้ว
   
ผมรู้ว่าตลอดหลายปีมานี้มีคนสนใจผมและอยากเข้าหาผม แต่ผมก็กลัวเกินกว่าจะบอกความลับของตัวเองกับใคร การเติบโตมาในครอบครัวห่วยๆ ทำให้ผมกลัวการเปิดใจกับมนุษย์ด้วยกัน
   
ตัวตนผมจริงๆ ไม่ได้น่าสนใจเท่าไหร่หรอก ไม่ได้สมบูรณ์แบบ ไม่ได้มีความทะเยอทะยานอะไร แทบจะไม่รู้ตัวแล้วด้วยซ้ำว่าทุกวันนี้กำลังทำอะไรอยู่ ได้แต่ทำตามคำสั่งพ่อไปวันๆ และพยายามอย่างหนักเพื่อความรุ่งโรจน์ของมาเวอร์ริก
   
หงิง
   
“กินข้าวกันนะครับ”
   
ครามที่ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ ผมซุกหน้ากับมือผมแล้วช้อนตามองผม
   
“นะครับ ไลม์”
   
ผมหลุดยิ้มตอนที่ครามทำหน้าเหมือนตอนที่เจอกันครั้งแรกใส่ผม
   
“คุณไม่ใช่ลูกหมาซะหน่อย เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้ว”
   
ทำไมครามถึงสามารถทำสีหน้าลูกหมาถูกทิ้งในร่างคนได้ ผมไม่เข้าใจแต่มันก็ออกมาน่ารักและน่าสงสารมาก จนผมเริ่มไม่แน่ใจอีกรอบว่าเป็นคนเดียวที่แกล้งผมเมื่อกี้
   
ผมไม่รู้ว่าทำไมอัลฟ่าหมาป่าถึงสามารถน่ารักได้ขนาดนี้ ถึงผมจะรู้อยู่แล้วก็เถอะว่าหมาป่าตัวนี้สามารถฆ่าผมได้ แต่แล้วยังไงล่ะในเมื่อผมชอบมันขนาดนี้
   
“ก็บอสเศร้านี่นา”
   
“ผมก็หยุดร้องแล้วไง”
   
ผมพยายามยิ้มให้ครามสบายใจแต่เจ้าหมาก็ไม่ยอมปล่อยมือผม ดึงดันที่จับมือผมไปด้วยกินข้าวไปด้วย จนผมส่ายหัวด้วยความระอาใจแล้วยอมกินทั้งอย่างนั้น
   
อย่างน้อยๆ ผมก็ไม่ได้อยู่ในโลกห่วยแตกนี่คนเดียวแล้วล่ะนะ

---

 :katai4:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 18 16 พ.ค 64 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 18-05-2021 20:43:53
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 18 16 พ.ค 64 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 16-06-2021 23:41:18
เจ้าหมาป่าน่ารักอ่า  โดยเฉพาะตอน หงิงๆ
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 18 16 พ.ค 64 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 09-07-2021 07:19:23
สนุกมากๆค่ะ  :กอด1:  :pig4:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 19 18 ส.ค 64 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 18-08-2021 17:45:40
ตอนที่ 19

วันนี้นี่น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่ผมสามารถตื่นได้ปกติในวันทำงานและผมก็ยังตื่นก่อนนาฬิกาปลุกด้วย เป็นเรื่องธรรมดาที่พิเศษมากสำหรับผมเพราะผมไม่ได้สัมผัสการนอนเต็มอิ่มแบบไม่ฝันร้ายมานานมาก ซึ่งมันก็ทำให้วันนี้ผมอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

ผมยืนหน้ากระจกและแต่งตัวรอเจ้าหมาป่าขนฟูของผมอาบน้ำเสร็จ วันนี้ผมตื่นก่อนครามด้วยซ้ำ กว่าครามจะงัวเงียตื่นขึ้นมาร้องหงิงๆ หาผม ผมก็อาบน้ำเสร็จแล้ว

แน่นอนว่าเข้าออฟฟิศผมก็ต้องใส่สูท ตอนนี้ผมเซ็ตผมและทุกอย่างเกือบจะเสร็จหมดแล้ว เหลือแต่ท่อนบนที่ผมยังไม่ได้ใส่อะไรเพราะรอให้ครามมาช่วย ‘เลือก’ ให้ผม

ผมเหลือบมองของสะสมของผมที่อยู่ในลิ้นชักเกินสี่สิบชิ้นหรืออาจจะมากกว่านั้น ผมไม่แน่ใจเพราะไม่เคยนับจริงจังแต่ถ้าช่วงที่ผมเริ่มใส่บราก็เป็นช่วง ม.ปลาย ช่วงที่ผมเริ่มทนการควบคุมของพ่อไม่ไหว

พ่อควบคุมผมมากเกินไปและผมต้องการที่จะทำสิ่งที่พ่อเกลียด

‘อุบาทว์ ใส่ไปได้ยังไง’

ผมเหลือบมองพ่อที่วิจารณ์อัลฟ่าชายคนหนึ่งที่ใส่บราอย่างหยาบคาย

‘มึงอย่าใส่แบบนั้นกูเห็นเด็ดขาดนะ ไลม์’

วินาทีนั้นแทบจะเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกตื่นเต้นในชีวิตที่น่าเบื่อ ผมตอนนั้นรับปากพ่อแต่พอช่วงจังหวะที่พ่อเผลอผมก็แอบไปซื้อบรามาใส่

ผมไม่รู้ว่าตัวเองบ้าดีเดือดอะไรนักแต่บราตัวแรกที่ผมซื้อคือสีแดงและผมก็ใส่มันทุกครั้งที่มีโอกาส

ตอนแรกผมก็แค่รู้สึกสนุกดีที่ได้พยายามต่อต้านพ่อด้วยวิธีของผม ถึงมันจะเป็นวิธีการที่ห่วยแตกและมีผมคนเดียวที่รู้แต่ผมก็ยังทำมันอยู่ดี

มันเริ่มจากการเล่นสนุกของผมครั้งนั้นจนสุดท้ายกลายมาเป็นความชอบของผม ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นความลับของผมที่ไม่สามารถบอกใครได้และผมก็ไม่คิดจะบอกใคร

ผมมองชั่งใจอยู่สักพักและตัดสินใจหยิบบราลูกไม้สีดำที่เพิ่งมาซื้อมาใหม่ล่าสุด เพราะคิดว่าเจ้าหมาของผมน่าจะชอบ

“บอสครับ ผมต้องใส่อะ---“

ผมเหลือบมองครามและหลุดหัวเราะออกมาเพราะเจ้าหมาผมตกใจจนหูกับหางโผล่ แถมหางที่โผล่ออกมานั้นคือฟูมากจนผมอยากจะลองดึงเล่น

“คุณชอบไหม”

ผมยิ้ม

“วันนั้นผมเห็นคุณมอง”

ครามหน้าแดงมองผมอึ้งๆ

“หรือคุณชอบแบบอื่นมากกว่า วันนี้ผมตามใจคุณ”

ผมเดินเข้าไปหาครามเพื่อแกล้งให้เจ้าหมาหางฟูกว่าเดิม

“สรุปคุณชอบไหม ถ้าไม่ชอบผมจะได้เปลี่ยน”

หงิง

“หงิงอะไร ชอบไม่ชอบคุณก็ตอบผมสิ”

ผมหัวเราะเพราะพอก้มมองผ้าเช็ดตัวที่ครามพาดเอวออกมาก็ถึงเห็นว่าเจ้าหมาของผมคึกอีกแล้ว ให้ตายเถอะ ทำไมถึงได้แตกตื่นตอนเห็นผมใส่บราทุกรอบเลย

“หมาลามก”

ผมเอ็ด

หงิง

“นี่คุณอยากเอาผมทุกวันเลยเหรอ”

ผมแซวไม่จริงจังนักแต่ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ ลูกหมาผมเพิ่งอายุเท่าไหร่เองแถมกินอิ่มนอนหลับดีทุกวัน ผิดกับผมที่มีปัญหาเรื่องการนอนมานาน ทั้งนอนไม่หลับและฝันร้ายตลอด สุขภาพเลยไม่ค่อยเอื้ออำนวยต่อการตื่นตัวตอนเช้าเท่าไหร่

“..ไลม์ใส่แล้วสวยมากเลย”

“…”

ผมหน้าร้อนตอนที่อยู่ๆ ก็ได้รับคำชมแบบไม่ทันตั้งตัว และที่ผ่านมาผมก็ไม่เคยถูกใครชมว่าสวยมาก่อนด้วย ครามมองผมนิ่งหน้าแดงและกระดิกหางไม่หยุด

“ผมชอบมากเลย”

ให้ตายเหอะ ทำไมคนที่เขินมากถึงเป็นผมแทนล่ะ
   
อยู่ๆ ผมก็รู้สึกอายจนมองหน้าครามไม่ไหว ไม่เคยมีเคยใครรู้ความลับของผมมาก่อนและต่อให้รู้ผมก็ไม่คิดว่าจะมีใครมองผมด้วยสายตาแบบเดียวกับคราม
   
มันเป็นสายตาเทิดทูน? หรืออะไรสักอย่าง ผมไม่แน่ใจแต่ที่ผมรู้คือครามดูชอบมากจริงๆ อาจจะชอบกว่าผมที่ชอบอีกมั้ง แต่ผมก็ซื้อมาเพราะเห็นครามมองนั่นแหละ
   
ผมก็แค่อยากรู้ว่าเจ้าหมาจะทำหน้ายังไง ถ้าเห็นผมใส่ชุดชั้นในลูกไม้พวกนั้น
   
“ไลม์”
   
ครามเลิกกระดิกหางแล้วจ้องผมนิ่ง
   
“ผมขอได้ไหม”
   
“…”
   
ผมลูบหน้าตัวเองเขินๆ นี่มันมากเกินไปแล้ว แล้วถามผมด้วยสภาพลูกหมาตกน้ำแบบนั้นเหรอ แต่ให้ตายเหอะ ที่แย่กว่าคือผมก็ดันมีอารมณ์เหมือนกัน
   
ผมเอาลิ้นดุนแก้มรู้สึกลังเลนิดหน่อยแต่สีหน้าของครามก็ทำผมปฏิเสธไม่ลง
   
“สิบห้านาที”
   
ผมเหลือบมองนาฬิกาที่แขวนในห้องแล้วยิ้ม
   
“คุณคิดว่าทันไหม”
   
ผมไม่ชอบเข้าออฟฟิศสาย ถึงผมจะเป็นเจ้าของก็เถอะแต่ผมก็ไม่อยากทำตัวเหลวไหลอยู่ดี
   
“ทันครับ”
   
พูดจบเจ้าหมาป่าก็จู่โจมผมทันที ครามก้มลงมาจูบผมและถอดกางเกงผม ผมหลุดครางออกมาตอนที่ครามขยำก้นผมแรงมากเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้
   
กรรซ
   
ครามมุดหัวใส่อกผมไม่ถอดบราออกแต่รั้งลงเพื่อชิมนมผม
   
“คราม ใจเย็นๆ หน่อย”
   
ผมปรามน้ำตาคลอเพราะครามดูดแรงมากและนิ้วที่ช่วยเตรียมตัวผมก็ดูจะรุนแรงเป็นพิเศษ
   
“ไลม์ ผมไม่ไหวแล้ว”
   
“อ๊า!”
   
ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อครามแทรกเข้ามาในตัวผมและดันผมไปติดกับกำแพง
   
“ฮื่อ”
   
ผมรู้สึกวูบโหวงในใจนิดๆ เมื่อครามเอาออกมันออกเพื่อที่จะพลิกตัวผมให้หันหน้าเข้าหากำแพงและสอดมันเข้ามาใหม่ลึกกว่าเดิม
   
“..คราม”
   
ผมสะอื้นชื่อครามเพราะเจ้าหมาป่าวันนี้เอาผมแรงมาก เสียงเนื้อกระทบกันดังลั่นจนผมหน้าร้อนไปหมด แม้แต่กลิ่นฟีโรโมนของครามวันนี้ก็ดูจะดุดันเป็นพิเศษ
   
ไม่สิ มันเป็นแบบเดียวกับที่ใช้ขู่พวกชินด้วยซ้ำ
   
ผมตัวสั่นและกลัวจนแทบยืนไม่อยู่แต่ก็ถูกแขนของครามช่วยพยุงตัวไม่ให้ล้ม สติของผมจวนเจียนจะหายไปหลายรอบเพราะความใหญ่โตที่สอดลึกเข้ามาในตัวผม
   
ผมหอบหายใจพยายามประคองสติแต่ประสาทสัมผัสทั้งหมดของผมก็รับรู้แต่ความแข็งแกร่งของอัลฟ่าหมาป่าที่กระแทกกระทั้นเข้ามา ขนาดแว่นของผมตกไปบนพื้นยังต้องใช้เวลาหลายวินาทีกว่าผมจะรู้ตัว
   
“คราม เบาหน่อย”
   
ผมจิกแขนครามและพูดเสียงเบา
   
วันนี้เจ้าหมาป่าของผมคึกชะมัดเลย
   
กรรซ
   
ครามไม่ตอบผมแต่กอดผมแน่น ไม่ผ่อนแรงแต่กลับเอาผมแรงกว่าเดิม มือข้างที่ว่างก็สอดเข้าไปใต้บราและบีบคลึงทำเอาผมเสียวจนพูดไม่ออก
   
หมาป่าตัวนี้มันชักจะได้ใจเกินไปแล้วจริงๆ
   
ผมสะอื้นเมื่อเผลอเสร็จออกมาครั้งหนึ่งแต่ครามก็ยังไม่เสร็จสักที ขาของผมสั่นแต่อัลฟ่าของผมก็ยังไม่ผ่อนแรง เอาผมแรงจนผมแทบจะลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นอัลฟ่า
   
แน่นอนว่าสัญชาตญาณอัลฟ่าในตัวผมมันพยายามแล้วแต่สุดท้ายก็ถูกกลิ่นฟีโรโมนอัลฟ่าโบราณกดจนยอมจำนน และปล่อยให้หมาป่าตัวเขื่องสวาปามจิ้งจอกอย่างผมจนไม่เหลือกระดูก
   
สติของผมหายเป็นพักๆ แต่ก็มีช่วงจังหวะหนึ่งที่ผมพอจะนึกออกว่าผมต้องจัดการเวลา ผมเหลือบมองนาฬิกาแต่ก็มองไม่เห็นอะไรเพราะสายตาสั้นเกินไป
   
ไม่รู้เหมือนกันว่าหมาป่าเจ้าเล่ห์ตัวนี้พยายามจะโกงเวลาผมด้วยวิธีนี้รึเปล่า
   
“ฮึก”
   
ผมสะท้านและเสร็จอีกรอบตอนที่ครามคำรามในลำคอพร้อมกระแทกหนักๆ สองสามครั้งก่อนจะเอาออก ท่อนลำร้อนจัดวางบนหลังผมและแตกออกมา
   
ผมปิดหน้าตัวเองที่ร้อนผ่าวเพราะสัมผัสได้ว่ามันเลอะเต็มหลังผม เผลอๆ ผมอาจจะต้องเปลี่ยนชุดใหม่ทั้งหมดด้วยซ้ำเพราะเจ้าหมาผมก็ปล่อยเยอะทุกรอบ
   
“ทันเวลาพอดีเลยครับ”
   
ครามหยิบแว่นมาใส่ให้ผมและยิ้ม ซึ่งพอผมมองตามก็พบว่าเจ้าหมาของผมทำเวลาได้อย่างฉิวเฉียดจริง ไม่เกินสิบห้านาทีตามสัญญา
   
“...”
   
ผมพูดอะไรไม่ออก ไม่แน่ใจว่าที่คุยอยู่ต่อตอนนี้คือเจ้าลูกหมาของผมหรือหมาป่าตัวร้ายที่เอาผมเมื่อกี้กันแน่ ผมหรี่ตามองครามที่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าดูเจ้าเล่ห์เป็นพิเศษ
   
“จริงๆ ผมยังได้อีกหลายรอบนะครับ ถ้าไลม์เปลี่ยนใจ”
   
ผมขมวดคิ้ว
   
เจ้าหมาป่ายังไม่ไปจริงด้วย
   
“ผมไม่เปลี่ยนใจแล้วคุณก็ไปแต่งตัวได้แล้ว”
   
ผมแกะมือครามที่ยังจับเอวผมออกก่อนที่จะค้นพบว่าต้นขาของผมมีรอยมือด้วย ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรเพราะเจ้าหมาเอาผมรอบนี้แบบไม่ออมแรงสักนิด
   
“ครับ”
   
ครามตอบและก้มลงจูบผมแบบที่ผมไม่ทันตั้งตัว
   
“ขอบคุณสำหรับอาหารเช้านะครับ”
   
ผมหน้าแดงจนถึงคอเพราะนอกจากครามจะขอบคุณผมแล้วยังเอื้อมมือมาจัดบราที่เบี้ยวให้ผม และผมก็ไม่รู้ว่าบังเอิญรึเปล่ามือของครามที่ได้โดนหัวนมผมพอดีจนผมสะดุ้งเฮือก
   
“ไปได้แล้ว”
   
ผมเอ็ดเสียงดุ ไล่หมาป่าอันตรายออกจากตัวก่อนที่จะโดนมันจับกินอีกรอบ

   

ผมหลับตาจิบโกโกร้อนอย่างผ่อนคลายและปล่อยให้ครามเป็นคนขับรถ จริงๆ ผมอยากขับเองแต่เจ้าหมาป่าเผาผลาญพลังงานผมมากเกินไป
   
“บอสไม่กลัวถูกจับได้เหรอครับ”
   
ผมเหลือบมองครามที่วันนี้สวมโมเดิร์นสูทสีดำ เซ็ตผมเรียบร้อย ดูเป็นทางการและไม่ชินตาผมเท่าไหร่ แต่รวมๆ แล้วก็ดูดี
   
“คุณหมายถึงเรื่องไหนล่ะ”
   
ผมหัวเราะ
   
ความลับของผมมันเยอะจนผมขี้เกียจจะสนใจ
   
“เรื่องใส่บราไปทำงานครับ”
   
ครามหน้าแดง
   
“ก็เหมือนเดิม คราม ผมไม่มีอะไรจะเสีย”
   
ผมกัดแซนด์วิชแฮมที่ซื้อคำนึงแล้วยื่นให้ครามกัดบ้าง
   
“ถ้ากับแค่งานอดิเรกเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตต่อ ผมยังทำไม่ได้ก็ปล่อยให้ผมตายเถอะ”
   
เอาเข้าจริงผมก็รู้ถึงความเสี่ยงดีแต่ความต้องการของผมมันก็มากกว่าความกลัว อย่างไรก็ตามกับแค่การใส่บราที่ไม่ได้รับการยอมรับในวงกว้างก็คงไม่ได้ทำให้ชีวิตผมเสียหายอะไรขนาดนั้นหรอก
   
อาจจะสูญเสียชื่อเสียงบ้างก็ช่างมันปะไร ยังไงผมก็เหนื่อยเกินพอกับการเอาชีวิตรอดท่ามกลางอัลฟ่าพวกนี้แล้ว
   
หงิง
   
“หงิงอะไรของคุณ ผมยังไม่เคยถูกจับได้สักครั้งในชีวิตเลยนะ”
   
ผมหัวเราะในลำคอ
   
“คุณเป็นคนแรกที่รู้ความลับผม แล้วก็รู้เยอะมากด้วย”
   
ถ้าเกิดครามเป็นคนที่ถูกส่งมาจากนักการเมืองหรือคู่แข่งผม ความลับของผมทั้งหมดที่ครามรู้ก็สามารถเอาผมไปเปิดโปงแล้วพังชีวิตผมได้สบายๆ เผลอๆ อาจจะสามารถเรียกเงินจากผมได้ด้วย
   
แต่เพราะครามก็คือคราม
   
เจ้าอัลฟ่าหมาป่าตัวโตของผม
   
ผมเท้าคางกับพนักแล้วมองหน้าครามด้วยความอารมณ์ดี ยิ่งได้โกโก้เจ้าประจำที่มีรสชาติที่ผมคุ้นเคยก็ยิ่งทำให้ผมอารมณ์ดีเข้าไปใหญ่
   
“อย่าบอกใครล่ะ”
   
หงิง
   
“จะบอกใครล่ะครับ ผมรู้จักแค่บอสคนเดียว”
   
ครามทำหน้าจ๋อยจนน่าสงสาร
   
ผมหัวเราะไม่จริงจังนักแล้วจิบโกโก้ต่อสลับกับป้อนแซนด์วิชให้คราม ซึ่งมันก็หมดตอนถึงออฟฟิศพอดี ผมให้ครามขับไปจอดข้างหลังตรงที่จอดเฉพาะของผมและผมก็เห็นอะไรสีน้ำตาลก้อนๆ วิ่งผ่านตาไป
   
ผมยิ้มออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่
   
“แย่แล้ว คราม”
   
ผมหยิบขนมที่ซื้อติดรถไว้ออกมาจากช่องเก็บของ
   
“คู่แข่งคุณมาแล้ว”
   
“?”
   
ครามกระพริบตาปริบทำหน้างง แน่นอนว่าผมไม่เฉลยแต่ลงจากรถไปหาเลย
   
“หนีออกจากบ้านมาหาผมอีกแล้วเหรอ”
   
ผมทักเจ้าหมาสายพันธุ์ชิบะตัวผู้สีน้ำตาล มันค่อนข้างท้วมแต่ก็นุ่มฟูมาก ผมลูบหัวมันและยิ้มให้มันด้วยความสนิทสนมเพราะผมก็เล่นกับมันมาหลายปีแล้วแถมเจ้าของมันก็ยังเป็นลูกค้าผมด้วย
   
บ๊อก!
   
แต่ครั้งนี้เหมือนกลิ่นของครามจะติดผมมากไปหน่อย มันเลยทำหน้าเศร้าใส่ผมก่อนจะหันไปเห่าคราม ซึ่งพอผมเห็นสีหน้าครามผมก็เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา
   
ครามเบิกตากว้างอย่างเสียขวัญและทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ จนผมแทบจะนึกภาพครามในสภาพหมาป่าออกเลยว่าจะทำหน้าแบบไหน
   
แต่ให้ตายเหอะ ครามไม่ใช่หมาไหมอ่ะ
   
“ผมเจอพุดดิ้งก่อนคุณอีกนะ คราม”
   
ผมยิ้มและลูบหัวเจ้าหมาที่สีเหมือนพุดดิ้ง
   
หงิง
   
“บอสชอบมันมากกว่าผมเหรอ”
   
ครามตัดพ้อผมเสียงเศร้ามาก แต่ผมก็ยังเห็นว่าครามแอบไปถลึงตาใส่พุดดิ้งของผม
   
“ไม่รู้สิ”
   
หงิง
   
“แค่เห็นผมก็รู้แล้วอ่ะว่ามันดื้อ ผมไม่ดื้อนะ บอส แล้วผมก็ขับรถได้ด้วย”
   
ครามประท้วงไม่หยุดและมองพุดดิ้งเหมือนศัตรูหัวใจตัวร้ายที่จะมาแย่งผมไป ซึ่งผมก็ต้องใช้ความพยายามมากที่จะไม่หลุดขำออกมาตอนที่เห็นหมาหนึ่งตัวกับหมาในร่างคนเขม่นใส่กันเพื่อแย่งผม
   
“พุดดิ้งไม่ดื้อซะหน่อย คุณอย่าว่าพุดดิ้ง”
   
ผมเรียกร้องความเป็นธรรมให้เจ้าก้อนสีน้ำตาลแล้วให้กินขนมชิ้นหนึ่งตามโควตาที่ตกลงไว้กับเจ้าของ แน่นอนว่ามันก็กินขนมที่ผมให้อย่างมีความสุขและผมก็คงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มันตัวใหญ่กว่าเดิม
   
หงิง
   
ครามร้องหงิงๆ พยายามเรียกร้องความสนใจจากผมแต่ครามก็เหมือนจะลืมว่าตอนนี้อยู่ในสภาพแบบไหน
   
เจ้าหมาเด็กของผมตอนนี้หล่อมากเลยนะ มาร้องหงิงใส่ผมแบบนี้มันทำให้ผมหลุดขำมากกว่าสงสาร
   
“คุณเลิกหงิงได้แล้ว คุณไม่ใช่โบ้นะ ตอนนี้คุณคือคราม”
   
ผมลูบหัวพุดดิ้งอีกสองสามครั้งเชิงลาแล้วเดินไปเอาใจเจ้าหมาของผมบ้าง ซึ่งพุดดิ้งก็ทำหน้าเศร้าใส่ผมนิดหน่อยตอนผมไล่กลับบ้านแต่มันก็ยอมไป
   
“หวงเหรอ”
   
ผมถามครามที่ดูนิ่งและซึมอย่างเห็นได้ชัด
   
“ครับ”
   
ครามยอมรับง่ายๆ จนผมหลุดยิ้ม
   
น่ารักชะมัดเลย
   
“คุณเป็นคนโปรดของผม คราม”
   
ถ้าอยู่บ้านผมก็คงจะไม่ลังเลที่จะดึงเจ้าหมาลงมาจูบแต่เพราะอยู่ข้างนอกเลยได้แต่ยิ้มบางๆ ให้
   
“ผมชอบคุณมากกว่าใคร”
   
ผมสบตากับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่ดูบริสุทธิ์มาก ทั้งๆ ที่ครามก็น่าจะเจอเรื่องเลวร้ายในชีวิตมากมายไม่ต่างจากผม แต่ครามก็ยังรักษาแววตาแบบนี้เอาไว้ได้
   
น่าอิจฉาชะมัดเพราะผมทำไม่ได้
   
“และจะไม่ชอบใครอีกแล้ว”
   
แต่มันก็ไม่ได้จำเป็นอะไรขนาดนั้นหรอก

หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 20 18 ส.ค 64 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 18-08-2021 17:50:45
ตอนที่ 20

   
‘อิสรภาพของคุณคือความรับผิดชอบของเรา’
   
เป็นปรัชญาองค์กรที่ผมคิดขึ้นหลังจากที่มาเวอร์ริกถูกเปลี่ยนมือมาให้ผมบริหารเต็มตัวและผมก็เปลี่ยนระบบการทำงาน แนวคิด บุคลิกภาพของแบรนด์ กลุ่มเป้าหมาย จุดยืน จนถึงสวัสดิการของพนักงาน
   
ภายใต้ชื่อแห่งอิสรภาพและการดูแลของผม
   
ผมจะสร้างอิสรภาพให้ทั้งกับลูกค้าและคนของผม
   
“สวัสดีครับ บอส”
   
ผมพยักหน้าเล็กๆ เชิงรับรู้ตอนที่ก้าวเข้ามาในตึก กลิ่นเครื่องเทศที่เจือกลิ่นกุหลาบนิดๆ และไม้ยางหอมเป็นสิ่งแรกที่จะทักทายลูกค้าของผมที่เข้ามาในเขตของมาเวอร์ริก ก่อนที่จะพบกลับคอลเลคชั่นสูทและการจัดร้านที่ค่อนข้างเรียบหรูเน้นไปที่โทนสีดำเป็นหลัก บริเวณกลางร้านมีหุ่นใส่ชุดสูทคลาสสิกสีดำตัวแรกสุดของแบรนด์ บนไหล่ของมันก็มีอีกาสยายปีกซึ่งทำจากเงิน
   
ผมสบตากับนัยน์ตาของมันซึ่งเป็นลูกแก้วสีฟ้าอ่อนสีเดียวกับตาของผมเชิงทักทาย มีแค่สิ่งนี้เท่านั้นที่ผมไม่ได้เปลี่ยนเพราะมันเป็นของที่ตกทอดมาหลายรุ่นและผมก็คิดว่ามันก็ดูเข้ากับแบรนด์ดี
   
ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญรึเปล่าแต่คนที่ก่อตั้งแบรนด์ก็เหมือนจะเป็นอัลฟ่าที่มีตาสีฟ้าเหมือนกับผม แถมยังเป็นอัลฟ่าที่มีอุดมการณ์ที่น่าประทับใจที่หาได้ยากซะด้วย
   
‘ความฝันที่อยากให้คนทุกคนสามารถครอบครองสูทได้ในราคาย่อมเยา’
 
เป็นประโยคที่ถูกเขียนไว้บนกระดาษและถูกส่งไปให้กับผู้สืบทอดรุ่นต่อไป
   
เอาเข้าจริงผมก็ไม่เข้าใจอีกนั่นแหละว่าทำไมพอมันส่งต่อมาถึงมือพ่อผม พ่อผมถึงกลายเป็นแบบนี้และดูจะไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าต้นตระกูลผมมีแนวคิดแบบไหน แต่อย่างไรก็ตามคนที่น่าจะโดนโกรธมากกว่าก็คงเป็นผมที่เปลี่ยนให้กลายเป็นแบรนด์ที่มีแต่คนที่มีเงินเท่าที่สามารถซื้อได้
   
แต่ผมไม่สนใจหรอกในเมื่อแบบนี้มันทำเงินให้กับผมมากกว่า และผมก็มีภาระมากเกินกว่าที่จะมาสนใจเรื่องอุดมการณ์ดั้งเดิมของแบรนด์
   
“ดูพอรึยัง”
   
ผมถามครามที่ยังดูตื่นตาตื่นใจกับร้านผมเหมือนมาครั้งแรก ถึงครามจะดูนิ่งๆ แต่ผมเห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นเป็นประกายและเหมือนอยากจะวิ่งสำรวจร้านของผมทุกซอกทุกมุม
   
“ครับ”
   
ครามตอบผมเสียงเบาแล้วเดินตามผม ซึ่งวันนี้ผมก็ทำตามธรรมเนียมทุกต้นเดือนของตัวเองก็คือการเดินสำรวจและทักทายพนักงานของตัวเองทุกชั้นเพราะอยากจะสำรวจความเรียบร้อยและอะไรหลายๆ อย่าง
   
ด้วยความที่ผมเป็นบริษัทที่ไม่ใหญ่มากทำให้ผมพอจะจำพนักงานตัวเองได้ และผมก็พยายามมากที่จะดูแลเรื่องสวัสดิการทุกอย่างเกี่ยวกับพนักงานทุกตำแหน่งและทุกคนอย่างเท่าเทียม
   
ผมอยากมั่นใจว่าภายใต้การดูแลของผมจะไม่มีใครทำงานหนักเกินไปหรือเหนื่อยเกินไป ผมอยากให้ทุกคนได้รับค่าแรงที่คุ้มค่ากับความสามารถ อยากให้มาเวอร์ริกของผมทำให้พนักงานของผมมีอิสระและมีความสุขในการทำงาน
   
ผมไม่สนว่าสังคมและกฎหมายข้างนอกจะปฏิบัติกับโอเมก้ากับเบต้ายังไง ที่ผมสนคือพนักงานของผมทุกคนต้องมีที่อยู่ที่ปลอดภัย มีอาหารที่ดีกิน มีเวลาว่างพอที่จะทำงานอดิเรก และได้รับเงินมากพอที่จะไปใช้ชีวิตของตัวเองนอกเวลางาน
   
ผมเดินช้าลงและปล่อยให้เจ้าหมาที่ผมพามาด้วยสำรวจชั้นสองซึ่งเป็นชั้นสำหรับการตัดชุดและกระบวนการทั้งหมดในการผลิตสูท มีช่างหลายคนที่เห็นผมและทักทายผมอย่างกระตือรือร้นก่อนจะมองเจ้าหมาของผมด้วยสายตาใคร่รู้ แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าพอที่จะถามผมว่าครามเป็นใคร ทำไมถึงมาพร้อมกับผมและสามารถเข้าไปในออฟฟิศของผมได้
   
ผมคิดว่าหลายคนก็อาจจะพอเดาได้แต่ก็ไม่กล้าคาดเดา เพราะคงไม่มีใครคิดหรอกคนว่าบอสที่ไม่ชอบสุงสิงกับคนอื่นอย่างผมจะยอมเปิดใจให้ใคร
   
ผมดีกับคนในองค์กรก็จริงแต่ผมก็ไม่สนิทกับใคร
   
แม้แต่เลขาของผมก็รู้จักผมเท่าที่ผมอนุญาตให้รู้เท่านั้น
   
“บอสจะตัดสูทให้ผมจริงเหรอครับ”
   
ครามก้มลงกระซิบถามผมตอนที่เห็นช่างคนหนึ่งง่วนอยู่กับการตัดชุด
   
“อืม”
   
ผมตอบในลำคอเกือบจะหลุดยิ้มออกมาตอนเห็นท่าทีดีอกดีใจของเจ้าหมาของผม แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรแล้วพาครามขึ้นชั้นสามซึ่งเป็นส่วนของออฟฟิศของพนักงานฝ่ายทั่วไป บัญชี การตลาด ฝ่ายขาย อะไรทำนองนั้น
   
“บอส บอสครับ”
   
ผมหยุดเดินตอนที่ได้ยินเสียงเนือยๆ ง่วงๆ คุ้นหูซึ่งเป็นเสียงของคุณเรนหัวหน้าฝ่ายบัญชีของผม ผมเหลือบมองโอเมก้าร่างเล็กในชุดสูทสีฟ้าอ่อนที่พกไม้ทุบหลังหัวหมีติดมือมาอีกแล้ว
   
นัยน์ตาสีดำกลมโตคล้ายกระต่ายที่อยู่หลังแว่นกลมก็ยังคงดูง่วงตลอดเวลาเหมือนเดิม และคุณเรนก็เป็นกระต่ายขี้เซาตัวเดียวในบริษัทที่ผมยอมรับว่าบ้างานกว่าผม
   
“?”
   
ผมเลิกคิ้วเชิงถาม
   
“ผมขอโทษที่รบกวนนะครับ แต่บอสมียาระงับฮีทฉุกเฉินไหมครับ”
   
“...”
   
ผมขมวดคิ้วเพราะพอพูดถึงเรื่องฮีท ผมก็ได้กลิ่นฟีโรโมนของคุณเรนทันทีและแน่นอนว่ามันไม่ใช่การฮีทปกติ เพราะถ้าเป็นการฮีทของโอเมก้าทั่วไป เจ้าหมาป่าของผมคงจะไปตะครุบคุณเรนกินตามสัญชาตญาณแล้ว
   
“นี่คุณยังไม่ไปหาหมออีกเหรอ”
   
ผมนวดขมับตอนที่เห็นคุณเรนหัวเราะแห้งๆ แทนคำตอบ ซึ่งมันก็แปลว่ายังไม่ได้ไป ทั้งๆ ที่ผมก็ไล่ไปหาตั้งนานแล้วแต่เจ้าของตำแหน่งพนักงานดีเด่นสองปีก็ยังคนดื้อไม่ไปสักที!
   
“ถ้ารอบนี้คุณยังไม่ไปอีก ผมจะสั่งให้คุณไป”
   
ผมถอนหายใจเมื่อได้กลิ่น ‘ยาคลายกล้ามเนื้อ’ จากตัวคุณเรนชัดขึ้น ใช่ มันคือกลิ่นฟีโรโมนของคุณเรนตอนฮีท ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง แต่คุณเรนบอกว่าน่าจะเป็นเพราะทายาคลายกล้ามเนื้อเยอะเกินช่วงที่ออฟฟิศซินโดรมกำเริบหนักแล้วปวดหลังมาก
   
ให้ตายเหอะ หรือผมควรจะจ้างหมอนวดประจำบริษัทไว้ให้พนักงานนวดด้วย?
   
“เดี๋ยวผมฝากซันมาให้คุณแล้วกัน ผมยังพอเหลืออยู่”
   
แน่นอนว่าผมมีติดไว้กับตัวตลอดเพราะบางครั้งผมก็เจอลูกค้าโอเมก้าที่จงใจมาฮีทใส่ผม ซึ่งยาระงับฮีทฉุกเฉินที่มีผลกระทบต่อร่างกายน้อยก็ราคาค่อนข้างสูง แต่ผมก็เคยบอกกับพนักงานตัวเองไปแล้วว่าให้มาเบิกกับบริษัทได้ฟรีหรือเลือกจะหยุดงานช่วงฮีทแต่รับเงินเดือนปกติก็ได้ ผมไม่ว่าอะไร
   
“ขอบคุณครับ บอส”
   
คุณเรนยิ้มง่วงๆ ให้ผมแล้วก็เดินกลับไปยังที่นั่งของตัวเองพร้อมกับใช้หัวหมีทุบไหล่ตัวเองไปด้วย
   
“บอสครับ เมื่อกี้ผมได้กลิ่นยาด้วย”
   
ครามที่ยังคงยืนข้างๆ ผมฟ้องผม
   
“อืม”
   
ผมพยักหน้าเชิงรับรู้ก่อนที่จะพาครามขึ้นชั้นสี่ซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายของตึกก่อนจะเป็นดาดฟ้า ผมหลุดยิ้มตอนที่ขึ้นมาชั้นของผมแล้วมันถูกแบ่งเป็นสองฟากและเจ้าหมาของผมก็ดูสนใจฟากตรงข้ามกับห้องออฟฟิศของผมมาก
   
“วันนี้ไม่ใช่คิวของคุณ คราม”
   
หงิง
   
ครามหงิงในลำคอเสียงเบามาก เบาจนผมแทบไม่ได้ยินแต่ผมก็ได้ยินอยู่ดี
   
ผมหลุดหัวเราะแล้วดึงครามเข้าห้อง
   
“อีกสักพักลูกค้าผมจะมา”
   
ผมดึงเนกไทของครามเพื่อรั้งให้ก้มลงมาและจูบเบาๆ บนริมฝีปากคราม
   
“เป็นเด็กดีรอผมนะ”
   
หงิง
   
“หงิงอะไร ผมเห็นนะว่าคุณแอบเอาลูกบอลมาเล่นด้วย”
   
ผมหัวเราะแล้วล้วงเอาลูกบอลออกจากกระเป๋ากางเกงคราม ซึ่งมันก็เป็นลูกเดียวที่ครามกัดเล่นวันก่อน ลูกบอลลายจิ้งจอกสีส้ม และผมก็เริ่มคิดแล้วว่าควรจะระแวงครามไหมว่าอาจจะมีแผนฆาตกรรมผม
   
“ผมไม่อยากอยู่คนเดียวเลย”
   
ครามพูดหงอยๆ
   
“เดี๋ยวผมก็กลับมา”
   
ผมคืนลูกบอลให้ครามซึ่งครามก็มองผมแบบเศร้ามาก ทำหน้าเหมือนกับว่าผมกับครามจะไม่ได้เจอกันอีกเป็นเดือน แต่ให้เถอะ ผมคุยกับลูกค้าอย่างมากก็สองชั่วโมงไม่นานกว่านั้นหรือบางครั้งก็อาจจะไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำเพราะผมเลือกที่จะไม่รับงานเหมือนครั้งก่อน
   
ผมไม่ทำงานให้กับลูกค้าที่ไม่ให้เกียรติผม
   
“ครับ”
   
ครามรับคำเสียงอ่อยแต่ผมก็ไม่ได้ปลอบอะไรอีก ผมเดินเข้าไปหยิบยาระงับฮีทฉุกเฉินที่เก็บไว้ในลิ้นชักและเดินออกจากห้องโดยที่ไม่ได้สนใจเจ้าหมาตัวโปรดของผม
   
ทำไงได้ล่ะ ผมทนสบตากับลูกหมาถูกทิ้งของครามไม่ไหวหรอกนะ
   
พอออกจากห้องผมก็กลับไปเป็น ‘ไลม์’ อีกครั้ง
   
ผมมองตัวเองในกระจกบานเล็กที่ตั้งอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ และเห็นสีหน้าของตัวเองกลับไปไร้อารมณ์เหมือนเดิม ผมจัดคอเสื้อและตรวจความเรียบร้อยของตัวเองนิดหน่อย ก่อนที่เลขาของผมจะเดินกระวีกระวาดออกจากห้องมาพอดี
   
“บอสครับ ผมมาเอายาให้เรนครับ”
   
เลขาอัลฟ่าของผมดูแตกตื่นมาก ตรงข้อมือเลอะคราบกาแฟที่ผมคาดว่าน่าจะแอบอู้ไปชงกาแฟ
   
“ลูกค้าถึงรึยัง”
   
ผมยื่นยาให้และถามเสียงเรียบ
   
“ถึงแล้วครับ รออยู่ห้องรับรองชั้นหนึ่งครับ”
   
“อืม”
   
ผมตอบในลำคอและเดินไปลงลิฟต์โดยที่ไม่รอเลขาผม เพราะลูกค้ารายนี้ของผมต้องการที่จะให้ผมไปรับรองด้วยตัวเอง ไม่ยอมรับบริการจากพนักงานของผม
   
แน่นอนว่าลูกค้าประเภทนี้ก็มีค่อนข้างบ่อยและผมก็ต้องรับมือด้วยเดือนละหลายครั้ง เหล่าลูกค้าที่มีเงินและพกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยมว่าผมจะเป็นพวกหิวเงินยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินพวกนั้น
   
คนพวกนี้ค่อนข้างน่ารำคาญ น้อยคนที่จะเป็นคนปกติที่สามารถพูดคุยได้ง่ายๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็เจ้าของเจ้าพุดดิ้ง เบต้าเจ้าของธุรกิจโรงพยาบาลสัตว์ พอมีเงินบ้างและอยากได้สูทใส่ไปร่วมงานแต่ง แน่นอนว่าผมเห็นแก่พุดดิ้งก็เลยให้ราคาพิเศษไป
   
ส่วนลูกค้าของผมวันนี้ที่จะเจอก็เป็นอัลฟ่าที่ผมเจอในงานประมูลการกุศลเมื่อวันก่อน เป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังเป็นที่จับตามองในช่วงนี้และเพิ่งเปิดตัวแบรนด์น้ำดื่มอะไรสักอย่างไปที่ผมไม่สนใจ อีกฝ่ายมีประวัติที่ค่อนข้างดีเพิ่งเรียนจบและกลับจากต่างประเทศได้ไม่นาน
   
มีเงินและคุ้มค่าพอที่ผมจะเสี่ยงปิดการขายด้วยตัวเอง
   
“สวัสดีครับ คุณไลม์”
   
ผมถูกทักทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องรับรอง
   
“เช่นกันครับ คุณแบร์”
   
ผมยิ้มจางเดินเข้าไปจับมือกับอัลฟ่าร่างใหญ่และประเมินอีกฝ่ายด้วยสายตาคร่าวๆ อีกครั้ง ถึงแม้ว่าผมจะอ่านประวัติที่ซันสรุปมาให้แล้วก็ตาม
   
คุณแบร์ตัวใหญ่กว่าผมเกือบเท่าตัว เป็นอัลฟ่าที่ตัวใหญ่กว่าผมแต่ก็เล็กกว่าคราม สูงประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบกว่า รูปลักษณ์ก็ค่อนข้างพิมพ์นิยมแบบอัลฟ่าทั่วไป หน้าตาไม่เลว และที่สำคัญที่สุดคือไม่ใช่สเปคผม
   
“ดีใจที่คุณไลม์สนใจผมนะครับ ผมดีใจแทบแย่เลยตอนที่ได้รับข้อเสนอจากทางมาเวอร์ริก”
   
อีกฝ่ายยิ้มกว้าง ดูดีใจมากจริงๆ ตามที่ว่า
   
“ครับ”
   
ผมยิ้มแต่แค่นหัวเราะในใจ ถ้าเป็นจริงอย่างที่ว่าก็คงไม่รอให้ผมว่างแล้วมาบริการด้วยตัวเองหรอก และผมก็เคยโดนพูดแบบนี้ใส่เกินยี่สิบครั้งแล้วมั้ง ไม่แน่ใจเท่าไหร่เพราะผมไม่เคยนับ
   
“คุณไลม์ดูดีจังนะครับ”
   
“ขอบคุณครับ”
   
ผมยังคงยิ้มอยู่แต่เริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยเท่าไหร่ สัญชาตญาณจิ้งจอกในตัวผมกระซิบกระซาบบอกถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่างภายใต้รอยยิ้มพวกนั้น
   
ให้ตายเถอะ ผมจะไม่มีดวงกับลูกค้าปกติบ้างเลยเหรอ
   
“เดี๋ยวคุณแบร์ตามผมมานะครับ ห้องทำงานของผมอยู่ชั้นบน”
   
ผมผละออกและเดินนำไปก่อน ไม่สนใจว่าเนียนรึเปล่าแต่ผมก็ไม่ค่อยสะดวกใจเท่าไหร่จะจับมือนานมากกว่านั้น เพราะผมไม่ชอบสัมผัสตัวกับคนอื่น
   
“คุณไลม์นี่ก็สามสิบสามแล้วนะครับ”
   
และระหว่างที่อยู่ในลิฟต์ก็เหมือนจะเงียบเกินไป คุณแบร์ก็เลือกที่จะชวนผมคุยเรื่อยเปื่อย
   
“ไม่มีใครในใจเลยเหรอครับ”
   
“ไม่ครับ พอดียังยุ่งๆ อยู่กับงานอยู่ครับ ผมยังอยากให้แบรนด์โตกว่านี้”
   
ผมตอบด้วยคำตอบทั่วไปสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงอารมณ์
   
“คุณไลม์นี่คิดเหมือนพ่อผมเลย พ่อผมก็อยากให้ผมตั้งใจทำงานเหมือนกัน จริงสิ พ่อผมชื่นชมคุณไลม์มากเลยครับ อยากให้ผมเก่งแบบคุณไลม์”
   
ผมเหลือบมองอีกฝ่ายที่ยังยิ้มไปพูดไปไม่หยุด ไม่รู้ว่าต้องการจะพูดอะไรกันแน่
   
“ถ้าเป็นไปได้คุณไลม์พอจะให้คำแนะนำกับผมแบบส่วนตัวได้ไหมครับ”
   
“มาเวอร์ริกมีแค่บริการตัดสูทครับ”
   
ผมตอบกลับเสียงเรียบ และเริ่มคิดว่าเงินเดือนนี้จะไปรีดเอาจากชินที่เพิ่งโดนหมาของผมกัดไปแทน
   
“แน่ใจเหรอครับว่าจะไม่สนใจจริงๆ ”
   
ผมพยายามอย่างมากที่จะไม่ยกมือขึ้นนวดขมับตัวเอง และอาศัยจังหวะที่ลิฟต์เปิดเดินเร็วๆ นำไปยังห้องทำงานของผมที่เจ้าหมาของผมอยากเข้าไปนักหนา
   
เพราะอย่างน้อยๆ ต่อให้เกิดอะไรขึ้นก็เกิดในมุมที่ลับตาดีกว่า ถึงคนทั้งบริษัทจะรู้อยู่แล้วก็เถอะว่าผมต้องรับมือกับลูกค้าแบบไหนบ้างตลอดหลายปีมานี้
   
อาจจะเป็นเพราะด้วยเรื่องนี้ด้วยที่ทำให้คนในบริษัทของผมพอจะเข้าใจว่าทำไมผมถึงได้เฉยชากับมนุษย์ด้วยกันนัก
   
“รอผมด้วยสิ คุณไลม์”
   
“...”
   
พอเข้ามาในห้องได้แบร์ก็ยิ้มกริ่มอย่างพอใจ ดูลำพองและมั่นอกมั่นใจว่าจะสามารถบังคับผมได้ และเพราะอีกฝ่ายน่าจะไม่ได้ตั้งใจจะมาตัดสูทตั้งแต่แรกด้วยจึงไม่สนใจ ‘ห้องแห่งอิสรภาพ’ ของผมสักนิด
   
ผมขมวดคิ้วเพราะถ้าไม่ให้คุณค่ากับสิ่งที่ผมตั้งใจทำเพื่อลูกค้า อีกฝ่ายก็ไม่มีค่าพอให้ผมตัดสูทให้แล้ว
   
“คุณต้องการอะไร”
   
ผมถามเสียงเรียบ ไม่ยี่หระต่อฟีโรโมนอัลฟ่าที่อีกฝ่ายปล่อยออกมาเพื่อข่มผม
   
“ไม่ต้องคำแนะนำก็ได้”
   
แบร์ยิ้ม
   
“ผมมีที่ว่างในห้างที่กำลังจะสร้าง ผมสามารถแบ่งให้มาเวอร์ริกของคุณได้นะ”
   
“...”
   
ผมไม่ตอบและรู้สึกหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ
   
“ถ้าไลม์อมให้ผมตอนนี้”
   
ทำไมผมถึงต้องมาเจออัลฟ่าประเภทนี้ตลอดเลยวะ
   
“อย่าทำให้ผมหมดความอดทน”
   
ผมพูดเสียงเย็นและปัดมือที่จะจับตัวผมออกเพื่อไม่ให้มีกลิ่นของมันติดตัว
   
ครั้งที่แล้วผมพลาดจนทำให้เจ้าหมาของผมได้กลิ่นแต่ครั้งนี้ผมจะไม่พลาดอีก และพยายามจะจบเรื่องให้เร็วที่สุดเพราะผมคงไม่เอาไอ้อัลฟ่าเวรนี่เป็นลูกค้าแล้ว
   
“คุณคิดว่าไอ้ชินมันจะคุ้มครองคุณไปได้ตลอดเหรอ ไลม์”
   
แบร์แค่นหัวเราะแล้วมองผมด้วยสายตาสมเพช
   
“สภาพมันกับลูกน้องตอนนี้ยังกับหมา กระดูกหักจนเดินไม่ได้ ถ้าไลม์อยากได้คนคุ้มครองคนใหม่ ผมก็ยินดีเสนอตัวนะ”
   
“ผมไม่ต้องการ”
   
ผมยิ้มเย็น
   
“แล้วคุณคิดว่าผมรู้จักแค่ชินเหรอ”
   
พวกอัลฟ่าหลงใหลระบบสังคมแบบอุปถัมภ์และการคุ้มครอง อัลฟ่าจิ้งจอกผมก็ปรับตัวให้กับเข้าระบบห่วยแตกนี่ได้ดีเหมือนกัน
   
ผมไม่ใช่ช่างตัดเสื้อคนโปรดแค่ของชิน
   
“ก็ได้ ก็ได้ อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่นักเลย คุณไลม์”
   
แบร์ยกมือเชิงยอมแพ้เพราะพอนึกตามก็คงจะนึกออกว่าคนคุ้มครองของผมนอกจากชินแล้วมีใครบ้าง
   
“งั้นกลับมาเรื่องเดิมดีกว่า คุณสนใจที่ในห้างของผมไหม”
   
มันยิ้มและปล่อยฟีโรโมนออกมาคุกคามผมแรงกว่าเดิม ซึ่งถ้าผมเป็นอัลฟ่าทั่วไปก็คงสั่นไปแล้ว
   
“แค่อมให้ผมตอนนี้”
   
มันขยับเข้ามาหาผมอีกครั้งแต่ผมไม่ได้ถอยหนี
   
“มีแค่ผมกับคุณที่รู้ ผมจะไม่บอกใคร ผมแถมเงินให้ด้วยก็ได้ถ้าคุณต้องการ”
   
มันยิ้มจางและก้มมองผม
   
“ใช้แค่ปากสวยๆ ของคุ—”
   
มันพูดไม่ทันจบประโยคก็ตัวสั่นจนยืนไม่ได้เมื่อผมปล่อยฟีโรโมนของอัลฟ่าออกมาบ้าง ผมแค่นเสียงหัวเราะเหยียดหยันเมื่อมันลงไปกองแทบเท้าผม
   
“แค่นี้ก็กลัวแล้วเหรอ?”
   
ผมนั่งยองๆ เท้าคางบนเข่าและถามยิ้มๆ

กลิ่นที่ผมใช้ไม่ใช่กลิ่นของครามด้วยซ้ำแต่เป็นกลิ่นของชินซึ่งเจ้าอัลฟ่าตัวโตตัวนี้ก็ยังทนไม่ได้อยู่ดี

“ถ้าไม่อยากให้พ่อเห็นสภาพอุบาทว์ของคุณก็กลับบ้านแล้วบอกว่าผมไม่รับงาน”

ผมพยักพเยิดไปทางกล้องวงจรปิดในห้องเพื่อยืนยันว่าผมสามารถตามที่พูดได้จริง

“..แม่ง!!”

มันสบถและหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย พยายามจะตะเกียกตะกายขึ้นมาจัดการผมแต่ก็เปล่าประโยชน์เพราะผมปล่อยฟีโรโมนให้หนักขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้มันขยับตัวไม่ได้และหายใจลำบาก

“ว่ายังไง คุณแบร์”

ผมยิ้ม

“จะกลับบ้านดีๆ ไหม”

ต่อหน้าอัลฟ่าหมาป่าอย่างครามผมอาจจะด้อยกว่า

แต่ถ้ากับอัลฟ่าทั่วไปก็ไม่มีใครเทียบชั้นผมได้เหมือนกัน

“..เออ!”

“ผมไม่ส่งนะ”

ผมลุกขึ้นยืนและยิ้มเยาะใส่ รู้สึกดีที่เห็นสายตาชิงชังที่อยู่ระดับเดียวกับเท้าผม มองขึ้นมาหาผมแต่ไม่สามารถทำอะไรผมได้
เอาเข้าจริงผมก็รู้ว่าตัวเองกำลังทำเกินเรื่องแต่บางครั้งผมก็รู้สึกสนุกที่ได้เห็นอัลฟ่าพวกนี้ตกต่ำ การได้เหยียบย่ำความมั่นใจเกินตัวของพวกมันก็ทำให้ผมหงุดหงิดน้อยลง

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังหงุดหงิดอยู่ดี

ผมเลิกคิ้วตอนที่แบร์ลุกขึ้นมาได้และถลึงตามองผมโกรธๆ ยังไม่ยอมออกจากห้อง

“ผมเรียกรถให้คุณได้นะ ถ้าคุณกลัวจนกลับเองไม่ได้”

ผมเหยียดยิ้ม สมเพชอัลฟ่าตัวโตนี่เหลือเกินที่เชื่อหลักสูตรที่รัฐบาลสอนไปซะหมด อัลฟ่าตัวโตกว่าแข็งแรงกว่าจะมีฟีโรโมนที่แข็งแกร่งกว่าอัลฟ่าที่ตัวเล็กกว่า แต่น่าเสียดายที่มันไม่เป็นตามนั้นไปซะหมดเพราะผมดันเป็นอัลฟ่าจิ้งจอก

ร่างกายผมอาจจะอ่อนแอกว่าก็จริงแต่กลิ่นฟีโรโมนโง่ๆ พวกนี้ก็ไม่สามารถทำอะไรผมได้

ผมกับมันจ้องกันอยู่สักพักก่อนที่มันแค่นเสียงเหอะใส่ผมก่อนจะกระแทกเท้าออกจากห้องไป ไม่กล้าทำอะไรผมเพราะน่าจะรู้ผลที่ตามมาดี

“เฮ้อ”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวที่โซฟาและถอดแว่นเพื่อนวดขมับตัวเอง

เสียเวลาชะมัดเลย

ผมพยายามทำตัวให้หายหงุดหงิดก่อนที่จะกลับไปเจอเจ้าหมาป่าตัวโตของผม รอบที่แล้วผมลืมตัวไปหน่อยแต่รอบนี้ผมจะไม่ลืมอีก ผมไม่อยากหงุดหงิดใส่คราม แต่มันก็น่าหงุดหงิดอยู่ดีที่ผมต้องมาเจออะไรแบบนี้แต่เช้าเพราะมันพังวันดีๆ ของผมไปทั้งวันเลย

ดีหน่อยที่วันนี้ผมนอนพอเลยตั้งตัวรับได้ทัน ไม่อย่างนั้นก็คงจะมีกลิ่นติดให้เจ้าหมาของผมหวงอีก

ผมนั่งพักอยู่สักพักแต่ก็ยังไม่หายหงุดหงิดอยู่ดีเลยตัดสินใจงีบ

ยังไงวันนี้ผมก็นอนมาพออยู่แล้ว

คงจะไม่นานเท่าไหร่หรอก




หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 20 18 ส.ค 64 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 19-08-2021 22:43:00
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 20 18 ส.ค 64 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 08-09-2021 06:36:16
 :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 20 18 ส.ค 64 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: P.PIM ที่ 23-09-2021 00:03:06
ืโอ้ยยยย พี่ไลม์เค้าเข้มแข็งขนาดไหนกันนะที่อดทนอยู่ในสังคมแบบนั้นมาได้จนโต อัลฟ่าแต่ละคนประสาทๆทั้งนั้น แต่คำว่างีบของพี่ไลม์น่าจะนานชัวร์รอบนี้ดูท่า
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 20 18 ส.ค 64 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 23-09-2021 20:29:02
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 21 25 ก.ย 64 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 25-09-2021 02:02:06
ตอนที่ 21

   
หงิง
   
ผมนั่งกอดลูกบอลและร้องออกมาหงอยๆ เพราะผ่านไปตั้งสามชั่วโมงแล้ว บอสก็ยังไม่กลับมาเลย ซึ่งผมก็เล่นกับลูกบอลจนไม่อยากเล่นแล้วแต่บอสก็ยังไม่กลับมาอยู่ดี
   
และพอทุกอย่างเงียบเกินไป เจ้าหมาป่าสองตัวในหัวผมก็เริ่มวิเคราะห์สถานการณ์ให้ผมที่เริ่มเหี่ยวลงขึ้นทุกวินาที และใกล้เฉาตายเต็มทน
   
ผมน่ะถึงจะเป็นหมาป่าโตเต็มวัยแต่ก็ยังต้องการความรักตลอดเวลานะ!
   
‘บอสทิ้งแกแล้ว!’
   
ผมร้องหงิงๆๆ เมื่อไอ้โบ้ดำมันพูดสิ่งที่ผมกลัวที่สุดออกมา อะไรกัน ผมไม่ดื้อซะหน่อย
   
โบ้ดำใจร้ายที่สุดเลย!
   
‘ไอ้ดำ! หยุดพูดเดี๋ยวนี้เลย เดี๋ยวครามมันก็ร้องไห้หรอก! ถึงฉันจะเห็นด้วยก็เหอะ’
   
หงิง
   
ผมก้มหน้างุด
   
ไม่จริงสักหน่อย ผมดื้อตรงไหน บอสออกไปทำงานต่างหาก ทำงานหาเลี้ยงหมาตัวโปรดอย่างผม ไม่ใช่ไอ้พุดดิ้ง ไอ้หมาไม่น่ารักแถมมาตีสนิทกับบอสของผม หึ ถ้าผมเจอบอสก่อนมัน มันไม่ได้มาสนิทกับบอสแบบนี้หรอก
   
ผมน่ะเป็นคนโปรดของบอสเชียวนะ!
   
พอนึกถึงเรื่องคนโปรดผมก็นึกถึงตอนที่บอสบอกชอบผมแล้วผมก็เขินอีก
   
ปี๊ป! ปี๊ป!
   
และผมก็เหมือนจะเขินแรงไปจนลูกบอลในมือดังไม่หยุดเหมือนเสียงเตือนภัย
   
‘คราม! นี่แกเขินมาเกินสิบรอบแล้วนะ! หยุดเขินได้แล้ว! มันไม่เท่!’
   
โบ้ขาวเห่าไม่หยุดเหมือนรำคาญผมมาก
   
‘เออ สามชั่วโมงนี่คิดแต่เรื่องบอสเนี่ย คิดอย่างอื่นบ้าง! แกไม่ใช่หมานะโว้ย’
   
ไอ้โบ้ดำเห่าผสมโรงด่าผม
   
อะไรกันเล่า ก็ผมไม่มีอะไรทำอ่ะ ไม่ให้คิดเรื่องบอสจะให้ผมทำอะไรอ่ะ
   
‘ก็เล่นบอลไง!’
   
แล้วมันไม่ใช่กิจกรรมของหมาตรงไหนเนี่ย
   
‘หยุดพูดเลย ขาว แค่นี้บอลก็เปียกเกินพอแล้วโว้ย ครามมันคุมตัวเองไม่ได้!’
   
ผมนั่งจ๋อยซึมๆ เพราะจริง ทั้งๆ ที่ผมคิดว่าคุมตัวเองได้ดีแต่ผมเผลอกัดไปตั้งหลายรอบ คือแบบผมก็แค่จะโยนเล่นในห้องเฉยๆ ก็เผลอเอาเข้าปากทุกที
   
หงิง
   
ผมมองเจ้าลูกบอลจิ้งจอกสีส้มในมือแล้วก็คิดถึงบอสอีก ถึงหน้าตามันจะไม่เหมือนบอสก็เถอะเพราะบอสของผมในร่างจิ้งจอกน่ารักกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่า
   
บอสของผมน่ะ น่ารักที่สุดเลย!
   
ผมคิดหงอยๆ เพราะผมก็วนกลับมาคิดเรื่องบอสอีกแล้ว อะไรกันเนี่ย ผมไม่ใช่หมาบ้านรอเจ้าของกลับมาซะหน่อย ผมน่ะเป็นอัลฟ่าหมาป่าโบราณสุดเท่ที่ไม่มีใครกล้าหยามต่างหาก
   
‘ไอ้คราม! อย่าเอาบอลเข้าปาก!!’
   
โบ้สองตัวในหัวผมตะโกนประสานเสียงกันและผมก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าเผลอกัดอีกแล้ว
   
;w;
   
หงิง
   
ผมไม่ได้อยากกินบอสนะ!! อย่าเข้าใจผิด!! ถึงบอสน่ารักมากๆๆ แต่ผมก็ไม่คิดจะกินบอสหรอกนะ!
   
‘นอนไหมคราม จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน’
   
ไอ้โบ้ขาวเอาหน้าซุกกับอุ้งเท้าดูจนปัญญาและหมดหวังในตัวผม
   
‘จริง นอนเหอะ’
   
แม้แต่โบ้ดำที่เป็นทีมเดียวกับผมเสมอก็ยังหมดหวังในตัวผมเหมือนกัน
   
อะไรกัน ลูกบอลลูกนี้บอสเป็นคนซื้อให้กับมือเชียวนะ! เป็นลายที่ผมไม่ได้เลือกด้วย ฉะนั้นบอสต้องตั้งใจเลือกบอลลูกนี้เอาไว้ให้ผมแทะเล่นตอนบอสไม่อยู่แก้เหงาแน่ๆ
   
ผมกำลังจะประท้วงเจ้าโบ้ดำโบ้ขาวก็ชะงักไปตอนที่ประตูที่ผมจ้องมาตลอดสามชั่วโมง ในที่สุดมันก็ขยับและค่อยๆ เปิดออก ซึ่งผมก็ดีใจจนลุกพรวดออกจากโซฟา แทบจะห้ามตัวเองไม่ให้กระโจนใส่บอสไม่ได้
   
บอสกลับมาแล้ว!
   
ในที่สุด!
   
ผมกำลังจะดีใจมากก็ยืนตัวแข็งตอนที่บอสกลับเข้ามาด้วยบรรยากาศมาคุแบบตอนนั้นอีกแล้ว ใบหน้าที่มักจะสุขุมดูหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัดแถมยังมีกลิ่นอัลฟ่าตัวอื่นติดมาด้วย
   
นัยน์ตาสีฟ้าสวยที่ดูไร้อารมณ์นั้นเย็นเยียบจนแทบจะแช่แข็งคนได้

และใช่ครับ

บอสได้หมาติดในก้อนน้ำแข็งแล้วหนึ่งตัว

แม้แต่ฟีโรโมนของบอสตอนนี้ก็ยังแข็งกร้าวและน่ากลัว ผมตัวสั่นงึกๆ เพราะไม่เคยได้กลิ่นแบบนี้จากบอสมาก่อน มันเหมือนเป็นกลิ่นควันไฟไหม้ๆ ที่พร้อมจะแผดเผาทุกอย่างที่กล้าเข้ามาในอาณาเขตตัวเอง ซึ่งตอนนี้ก็มีลูกหมาที่ตอนนี้ติดอยู่ในน้ำแข็งไม่พอก็ยังต้องสำลักควันต่ออีก

หงิง

ผมก้มหน้างุดกลัวๆ

“โทษที ผมลืมคุณอีกแล้ว”
   
บอสตวัดสายตามามองผมและจ้องผมสักพักก่อนที่คิ้วที่ขมวดจะคลายลง เหมือนเพิ่งนึกออกว่าเก็บหมามาเลี้ยง กลิ่นฟีโรโมนของบอสค่อยๆ กลับไปเป็นกลิ่นเย็นๆ สุขุมเหมือนปกติอีกครั้ง
   
;w;
   
ผมไม่ใช่หมาตัวโปรดของบอสหรอกเหรอ
   
“เป็นอะไร”
   
บอสมาหยุดยืนตรงหน้าผมที่ยังจ๋อยอยู่ ดีใจไม่ออกเพราะเสียใจที่บอสลืมผมอีกแล้ว ผมไม่โกรธบอสหรอก ผมต้องโทษตัวเองที่เป็นเด็กดีไม่พอต่างหาก
   
“อย่าโกรธเลยนะ”
   
บอสดึงมือผมไปจับและจูบมือผมเบาๆ ซึ่งมันก็ละลายน้ำแข็งที่แช่ผมทันที
   
“ผมไม่กล้าโกรธบอสหรอกครับ”
   
ผมก้มหน้างุดเขินๆ แต่จริงๆ ก็แอบไม่พอใจนิดหน่อยที่บอสมีกลิ่นอัลฟ่าตัวอื่นติดตัวมาอีกแล้ว ถึงจะแค่นิดเดียวก็เถอะ แต่ผมเป็นถึงอัลฟ่าหมาป่าเชียวนะ ของพรรค์นี้ต้องได้กลิ่นอยู่แล้ว
   
น่าหงุดหงิดเป็นบ้าเลย
   
มีทั้งกลิ่นใหม่และกลิ่นไอ้บัดซบที่ผมเพิ่งกระทืบไปด้วย
   
“ผมเพิ่งตื่นน่ะ เลยเบลอๆ นิดหน่อย”
   
บอสจับมือผมแน่นแล้วซุกหน้ากับฝ่ามือผม เหมือนพยายามขโมยอุณหภูมิอุ่นๆ จากร่างกายผมเพราะบอสเป็นคนที่ค่อนข้างตัวเย็นซึ่งก็ขัดกับนิสัยขี้ร้อนของบอสมาก
   
ผมหน้าแดงเพราะไม่รู้ว่าบอสกำลังอ้อนผมรึเปล่า
   
“รอผมนานรึเปล่า”
   
หงิง

ผมไม่อยากตอบว่านานมาก นานจนผมจะเฉาตายอยู่แล้ว
   
“คิดถึงผมมากเลยเหรอ”
   
“ครับ” ผมพยักหน้าหงอยๆ “ผมรอบอสตั้งสามชั่วโมง”
   
บอสเลิกคิ้วประหลาดใจก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
   
“ทำใจ คราม เจ้านายคุณสุขภาพไม่ค่อยดี”
   
บอสยิ้มจาง
   
“แค่ถูกคุณเอาตอนเช้าผมก็เหนื่อยจะแย่แล้ว”
   
“ขอโทษครับ”
   
เมื่อเช้าบอสทำหัวใจผมแทบวาย บอสใส่บราที่ผมเห็นวันก่อนอ่ะ แล้วบอสใส่ออกมาแล้วสวยมาก ผมเกือบจะร้องไห้ด้วยซ้ำเพราะบอสใส่แล้วเซ็กซี่มากจนผมกดสัญชาตญาณหมาป่าในตัวแทบไม่อยู่
   
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมจะได้บอสไลม์มาเป็นของผม
   
ผมมองหน้าบอสด้วยความเทิดทูนและพยายามอย่างมากที่จะไม่หงุดหงิด แต่ผมก็หงุดหงิดมากจริงๆ ที่บอสมีกลิ่นอัลฟ่าตัวอื่นติดตัวอ่ะ มันกวนใจผมมาก
   
คนๆ นี้เป็นของผมคนเดียว
   
“หงุดหงิดอะไร”
   
“บอสมีกลิ่นอัลฟ่าตัวอื่นอีกแล้ว”
   
ถึงผมจะรู้อยู่แล้วก็เถอะว่าบอสต้องไปเจอลูกค้าที่อาจจะเป็นอัลฟ่าหรือโอเมก้า แต่ผมก็ยังทนไม่ได้อยู่ดีที่บอสต้องมีกลิ่นอัลฟ่าตัวอื่นติดตัว ทั้งๆ บอสเป็นของผม คนอื่นไม่มีสิทธิ์ที่จะแตะตัวบอสด้วยซ้ำ
   
“คุณก็ยังได้กลิ่นอยู่ดีสินะ”
   
บอสหัวเราะเบาๆ
   
“จมูกดีจังนะ”
   
“ทำไมบอสมีกลิ่นเพื่อนบอสล่ะ”
   
ผมหน้าบึ้งเพราะค่อนข้างแน่ใจว่าเพื่อนบอสยังไงก็ต้องเข้าโรงพยาบาล
   
“เพราะผมใช้กลิ่นคุณไม่ได้ไง”
   
บอสก็ยังคงแนบหน้ากับมือผม นัยน์ตาสีฟ้าที่มองผมดูอ่อนลงมาก ไม่ดุเลยสักนิด แถมยังเหมือนอ้อนผมนิดๆ ด้วย ซึ่งผมก็ไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเองว่าช่วงนี้บอสเหมือนจะเริ่มติดผม
   
ตอนนี้เหมือนบอสไม่เหลือกำแพงอะไรอีกแล้ว ยอมให้ผมเข้าไปและบอกทุกอย่างกับผม ขอแค่ผมถาม บอสก็คงจะบอกความลับของตัวเองออกมาง่ายๆ เลย
   
“อย่าโกรธไลม์เลยนะ”
   
“!”
   
ผมตาโตลืมไปแทบจะทันทีว่าเมื่อกี้หงุดหงิดอะไร เพราะตอนบอสแทนตัวเองชื่อมันน่ารักมาก จากที่ผมรู้สึกว่าบอสน่ารักอยู่แล้วก็เพิ่มขึ้นสิบเท่า
   
ให้ตายเหอะ ผมอยากกระดิกหางมากเลยอ่ะ
   
“หายโกรธไลม์แล้วไปกินข้าวเที่ยงกัน”
   
“ผมไม่ได้โกรธสักหน่อย”
   
ผมเป็นเด็กดี ผมไม่โกรธบอสหรอก
   
บอสที่พอเห็นผมหายโกรธแล้วก็ปล่อยมือผมแล้วเดินไปนั่งบนโซฟาที่ผมนั่งรอบอสจนเมื่อย
   
“คุณอยากกินอะไร”
   
“แล้วแต่บอสเลยครับ”
   
ผมรู้ว่ามันเป็นคำตอบสิ้นคิด แต่ให้บอสเลือกก็น่าจะดีกว่านี่นาเพราะบอสเป็นคนที่กินข้าวน้อยอ่ะ ซึ่งคำตอบของผมก็ทำให้บอสขมวดคิ้ว
   
“งั้นเดี๋ยวผมสั่งอะไรง่ายๆ มากินแล้วกัน เดี๋ยวกินเสร็จผมจะพาเข้าห้องที่คุณอยากเข้า”
   
“ครับ”
   
หึ พุดดิ้งก็พุดดิ้งก็เถอะ โบ้อย่างผมต่างหากที่เป็นหมาตัวโปรดของบอส!
   
ผมคิดด้วยความลำพองใจ

   

“!”
   
ผมเผลอกลั้นหายใจเพราะแค่ก้าวเข้าไปใน ‘ห้องแห่งอิสรภาพ’ มันก็เหมือนกับว่าผมหลุดเข้าไปในช่องว่างของเวลาหรืออะไรสักอย่าง มันเป็นห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ถูกทาเป็นสีดำทั้งหมดและมีไฟซ่อนฝ้าสีขาว ตรงกลางห้องมีโซฟาสีดำสองตัวและโต๊ะคั่นกลางหนึ่งตัว ซึ่งบนโต๊ะก็มีอีกาที่ทำจากเงินสยายปีกเกาะอยู่บนโคมไฟที่ให้แสงสว่างสีส้มนวล
   
‘มาเวอร์ริก’
   
เป็นคำที่ปรากฎในหัวผมทันที
   
เพราะห้องๆ นี้น่าจะเป็นสิ่งที่อธิบายความเป็นมาเวอร์ริกทั้งหมด
   
มีสเน่ห์ น่าหลงใหล และการถูกยอมรับ
   
บรรยากาศภายในห้องนั้นราวกับว่าโลกภายนอกนั้นไม่มีอยู่จริง มีเพียงสถานที่แห่งนี้ที่มีอยู่จริงและอนุญาตให้คนที่เข้ามานั้นสามารถละทิ้งทุกอย่างเอาไว้ข้างนอกและได้กลายเป็นตัวเองจริงๆ ในสถานที่แห่งนี้
   
ผมหลับตาพริ้มรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเมื่อได้กลิ่นป่าสนจากเทียนหอมที่ถูกจุดในห้อง
   
ที่แห่งนี้อนุญาตให้ผมมี ‘อิสรภาพ’ ได้
   
“ถ้ามืดไปก็บอกได้นะ ผมปรับให้สว่างขึ้นได้”
   
พอผมลืมตาขึ้นก็เห็นบอสไปนั่งไขว่ห้างรอบนโซฟาแล้ว
   
“ไม่ครับ ประมาณนี้ได้ครับ”
   
ผมไปนั่งบนโซฟาบ้างและพบว่ามันนุ่มมาก นุ่มจนผมอยากจะคืนร่างหมาป่าแล้วนั่งบนนี้ แต่ผมก็ทำได้แค่คิดเพราะถ้าทำจริงโซฟาก็คงหัก
   
“หลังจากนี้ผมจะถามคำถามคุณ คำถามไหนคุณไม่อยากตอบก็ไม่จำเป็นต้องตอบ”
   
บอสมองหน้าผมและพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ
   
“คำตอบทั้งหมดของคุณ ผมจะเก็บไปวิเคราะห์และออกแบบสูทที่เหมาะกับคุณที่สุด”
   
แสงไฟที่มืดสลัวในห้องทำให้ผมมองเห็นบอสไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แต่ผมกลับเห็นนัยน์ตาสีฟ้าของบอสดูเรืองรองและสว่างท่ามกลางความมืด
   
“..ครับ”
   
ผมตอบเสียงเบา ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก
   
ตอนนี้สีตาของบอสไม่เหมือนท้องฟ้าแล้วแต่มันเหมือนจักรวาลสีฟ้า
   
และมันก็สวยมาก
   
ผมมองมันด้วยความหลงใหล รู้สึกเหมือนกับกำลังจะตกหลุมรักบอสอีกรอบ ไม่รู้ว่าเพราะบรรยากาศในห้องด้วยรึเปล่าที่ทำให้ผมเหมือนต้องมนตร์อะไรสักอย่างจากบอสและพร้อมจะสารภาพทุกอย่างที่บอสอยากรู้
   
“ขอต้อนรับเข้าสู่มาเวอร์ริก คุณคราม”
   
บอสยิ้มจาง
   
“ผมจะตัดสูทที่ทำให้คุณรู้สึกว่าคุณสามารถครองโลกได้เลย”
   
ผ่านไปหลายวินาทีกว่าผมจะดึงตัวเองกลับมาได้ ผมหลุดยิ้มเพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าสูทของแบรนด์มาเวอร์ริกมันก็เสริมบุคลิกคนใส่มากจริงๆ อย่างบอสเองก็ใส่สูทแทบไม่ซ้ำเลยแต่ละวัน แต่ก็ไม่มีวันไหนเลยที่บอสไลม์ของผมจะไม่ได้ดูดีและเป็นที่สนใจ
   
“คุณเล่าความฝันของคุณให้ผมฟังได้ไหม”
   
“ได้ครับ”
   
ผมตอบและหลุบตาลงต่ำ พยายามรื้อเอาความทรงจำลางๆ ในหัวออกมาเล่าให้บอสฟังโดยพยายามมองข้ามเจ้าโบ้สองตัวที่อยากมีส่วนร่วมด้วย
   
เอาเข้าจริงมันก็ถือว่าเป็นแผลของผมแหละ แต่อีกใจหนึ่งผมก็อยากให้บอสได้รู้จักผมมากขึ้น เพราะผมก็ไม่อยากให้ตัวเองเป็นฝ่ายเดียวที่รู้ความลับของบอส
   
บางครั้งผมก็อยากจะเล่าเรื่องของตัวเองให้ใครฟังเหมือนกัน ถึงมันจะไม่ค่อยน่าฟังเท่าไหร่ก็เถอะนะ
   
“ตอนเด็กๆ ผมเคยบอกแม่ว่าผมอยากเป็นตำรวจ” ผมยิ้มจางเมื่อเห็นลูกหมาป่าสีเทาตัวกระเปี๊ยกกัดชายกระโปรงแม่ที่กำลังทำอาหารแล้วโวยวาย “ผมเห็นแม่กลัวตำรวจก็เลยอยากเป็นหัวหน้าตำรวจจะได้สั่งพวกมันได้ แม่ผมจะได้ไม่ต้องกลัวพวกตำรวจอีก”
   
ผมกุมมือตัวเองแน่น พยายามเตือนตัวเองไม่ให้รู้สึกเจ็บกับแผลนี้มากเกินไป
   
“แต่พอแม่รู้ แม่ผมก็ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่แล้วก็ดุให้ผมฝันอย่างอื่นแทนเพราะมันเป็นไปไม่ได้”
   
ผมรู้สึกถึงกระบอกตาที่ร้อนผ่าวเมื่อจมไปในความทรงจำของตัวเองลึกขึ้น หัวใจในอกหนักอึ้งเมื่อสัมผัสได้ถึงความเศร้าและเจ็บปวดที่ผมพยายากซุกซ่อนจากตัวเอง
   
ลูกหมาป่าตัวนั้นตอนเล่นน้ำอยู่ในกะลังมังซักผ้าก็ยังแอบคิดว่าเป็นหมาตำรวจก็ได้ ถ้าเป็นตำรวจไม่ได้จริงๆ
   
“สุดท้ายผมก็เลยบอกแม่ไปว่าอยากหาเจ้านายใจดีๆ ให้ได้สักคน แต่แม่ก็เอ็ดผมอีกว่าผมไม่ใช่หมาแล้วไล่ไปทำอย่างอื่น”
   
ผมหัวเราะเบาๆ ตอนนึกถึงสีหน้าจนใจแม่ของผมตอนนั้นเพราะผมมุ่งมั่นที่จะเป็นหมาซะเหลือเกิน
   
“แต่เรื่องที่ตลกที่สุดของความฝันผมคือสุดท้ายแม่ผมก็โดนพวกตำรวจจับไป ผมก็เลยไม่อยากเป็นตำรวจแล้ว หมาตำรวจก็ด้วย ผมไม่อยากเป็นอะไรแล้ว ที่ผมก็ฝันก็เลยเหลือแค่มีชีวิตรอดไปวันๆ ก็พอ”
   
ผมเงยหน้ามองบอสและยิ้มให้กับเจ้านายใจดีของผม
   
“คุณชอบอะไรเป็นพิเศษ”
   
บอสของผมก็ยังมีสีหน้าสุขุมเหมือนเดิม และตั้งใจจดข้อมูลของผมลงบนสมุดโน้ตสีดำเล่มเล็กที่เหมือนบอสจะพกติดตัวเอาไว้
   
“ลูกบอลครับ”
   
ผมตอบแบบไม่ต้องคิดเพราะแม้แต่ตอนนี้ผมก็เอาลูกบอลมาด้วย
   
“มีเหตุผลอะไรไหม”
   
“แม่ชอบซื้อให้ผมเป็นของขวัญครับ”
   
ผมรู้ว่าคำตอบของผมทำให้ผมดูเหมือนเด็กติดแม่มาก ซึ่งก็จริงเพราะทั้งชีวิตผมนอกจากบอส ผมก็สนิทกับแม่ผมที่สุด ส่วนพวกอัลฟ่าหมาป่าคนอื่นๆ ผมก็ไม่ค่อยกล้าคุยด้วยเท่าไหร่ ทุกคนโตกันหมดแล้ว มีแต่ผมที่ยังเป็นลูกหมาที่ร้องหงิงๆ หาแม่ทุกสามชั่วโมง
   
บอสหยุดเขียนไปสักพักแต่ก็ถามผมต่อเพราะเห็นว่าผมยังไหว
   
“คุณกลัวอะไรที่สุด”
   
“การอยู่คนเดียวครับ”
   
ผมมองบอสนิ่ง
   
“ผมกลัวการโดนทิ้งให้อยู่คนเดียวที่สุด”
   
สีหน้าของบอสก็ยังราบเรียบไม่แสดงอารมณ์อะไร ปล่อยให้ผมพูดต่อไปเรื่อยๆ
   
“แต่ผมก็ต้องอยู่คนเดียวมานานมาก แล้วผมก็กลัวผีด้วย”
   
นึกถึงเรื่องแปลกๆ ตอนผมอยู่ห้องเช่าผมก็ขนลุก ผมในร่างหมาป่าคือนอนขนฟูทุกคืนเพราะกลัวมาก เดี๋ยวประตูห้องน้ำเปิดเอง เดี๋ยวเสียงเคาะกระจก วันดีคืนดีก็มีเหรียญกลิ้งเข้ามาในห้อง อะไรไม่รู้ จะช่วยผมจ่ายค่าเช่าห้องเหรอ แต่แค่สิบบาทมันไม่พอหรอกนะ
   
“แต่ตอนนี้ผมมีบ้านใหม่อยู่แล้ว ผมไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว”
   
ผมยิ้มจนตาหยีให้บอส
   
ถึงจะตอบคำถามอยู่แต่ผมก็เป็นเด็กดีได้นะ!
   
บอสหลุดยิ้มออกมาและส่ายหัวนิดๆ เหมือนจนใจกับผมที่พยายามอ้อนเหลือเกิน
   
“ตอนไหนที่คุณรู้สึกมั่นใจที่สุด”
   
“ตอนที่อยู่ในร่างหมาป่าครับ”
   
“มีเหตุผลไหม”
   
“...น่าจะเพราะมันทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ใช่มนุษย์มั้งครับ”
   
ผมเลียเขี้ยวในปาก รู้สึกงุ่นง่านเพราะคำถามยากมาก จริงๆ คือผมก็อาจจะแค่ชอบกลิ้งไปกลิ้งมาในร่างหมาป่าเฉยๆ แต่ถ้าจริงจังหน่อยก็เพราะการเป็นหมาป่าน่าจะทำให้ผมใช้ชีวิตปกติได้ง่ายกว่า
   
อย่างน้อยๆ ถ้าผมได้อยู่ในฝูงหมาป่า ผมก็คงจะไม่ดูแปลกแยกหรือเป็นตัวประหลาดเหมือนตอนเป็นคน
   
“การเป็นคนธรรมดามันยากเกินไปสำหรับผม ผมคุมตัวเองไม่ค่อยได้”
   
สัญชาตญาณอัลฟ่าหมาป่าของผมมันค่อนข้างคุมยากด้วย ในขณะที่แม่ผมแล้วก็อัลฟ่าหมาป่าคนอื่นก็ดูไม่มีปัญหาอะไรมากมายเท่าผม มีแต่ผมเนี่ยแหละที่คุมไม่ได้มาตั้งแต่เด็ก
   
“ก็เจ้าตัวที่บอสเคยเจอนั่นแหละครับ ที่ผมคุมไม่ได้”
   
ผมพูดหงอยๆ แต่ก็ไม่ได้โกรธอะไรมัน เพราะมันก็เป็นสัญชาตญาณที่ปกป้องผมมาตลอดเหมือนกัน เวลาที่ผมรู้สึกว่ารับมือกับอะไรไม่ไหวก็จะปล่อยให้มันช่วยจัดการให้
   
ถึงจะเลือดสาดไปบ้างก็เถอะนะ
   
“แต่มันไม่กัดผมนะ”
   
หงิง
   
“แต่มันก็ทำบอสเจ็บอยู่ดีนี่นา”
   
บอสยิ้มมุมปากให้ผมแต่ผมกลับรู้สึกว่าแววตาของบอสดูเจ้าเล่ห์ขึ้น
   
“มันไม่ฆ่าผมหรอก”
   
“...”
   
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงรู้สึกเห็นด้วยกับที่บอสพูด ขนาดผมยังไปไหนไม่ได้เลย แล้วเจ้าสัญชาตญาณของผมจะเหลือเหรอ
   
“เอาล่ะคำถามสุดท้ายก่อนที่ผมจะวัดตัวให้คุณ”
   
บอสเก็บสมุดที่จดเข้ากระเป๋าและสบตากับผม
   
“ตอนนี้คุณสนใจอะไรที่สุด”
   
“ไลม์ครับ”
   
บอสขมวดคิ้วหน้าแดงขึ้นนิดๆ แววตาวูบไหว
   
“ที่ไม่ใช่ผมสิ คุณไม่สนใจอย่างอื่นเลยเหรอ”
   
“ครับ”
   
ผมตอบหงอยๆ เพราะไม่รู้จะตอบอะไรแล้ว ตอนนี้บอสสำคัญกับผมที่สุดและผมก็พร้อมถวายชีวิตให้บอส เป็นหมาที่จงรักภักดีที่สุด ไอ้พุดดิ้งคือเทียบชั้นผมไม่ได้แม้แต่เสี้ยวเล็บ
   
“...”
   
บอสหน้าแดงกว่าเดิมแล้วหลบตาผม
   
“จริงๆ นะครับ ช่วงนี้ผมคิดแต่เรื่องบอสทุกวันเลย จริงสิ ผมน่ะยอมตายเพื่อบอสเลยนะ ถ้ามีใครมาทำอะไรบอส ผมจะปกป้องด้วยร่างอัลฟ่าหมาป่าสุดเท่ของผมเอง ส่วนไอ้พุดดิ้งน่ะเหรอ เหอะ อย่างมันก็คงทำได้กลิ้งทับเท้าคนอื่นเท่านั้นแหละ”
   
แน่นอนว่าผมไม่ลืมที่จะเกทับศัตรูอันดับหนึ่งของผม
   
ผมน่ะไม่ใจดีพอที่จะแบ่งรอยยิ้มของบอสให้กับหมาตัวอื่นหรอกนะ!
   
“คุณโกรธอะไรพุดดิ้งนักหนา”
   
บอสหลุดหัวเราะออกมา เลิกเขินผมทันที
   
ผมหน้ามุ่ย
   
ไม่อยากพูดชื่อศัตรูหัวใจเลย
   
“ก็พุดดิ้งมันเยาะเย้ยผมอ่ะ บอสดูไม่ออกหรอก แต่ผมดูออกว่ามันเย้ยผมอ่ะ”
   
“ผมก็บอกแล้วไงว่าคุณเป็นคนโปรด คุณจะไปหึงผมกับหมาทำไมอีก”
   
หงิง
   
ก็ผมหวงบอสอ่ะ บอสของผมน่ารักขนาดนี้ ใครๆ ก็อยากมาแย่ง ทั้งคนทั้งหมาเลย
   
บอสมองผมยิ้มๆ ก่อนจะเอื้อมมือหยิบรีโมทบนโต๊ะมาปรับไฟให้ห้องสว่างขึ้นและล้วงเอาสายวัดตัวออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
   
“เลิกหงิงแล้วถอดเสื้อออก คราม ผมจะวัดตัวคุณ”
   
“ถอดออกหมดเลยเหรอครับ”
   
ผมหน้าแดงแล้วเหลือบมองกล้องวงจรปิดที่อยู่มุมห้อง ถึงมันจะดูเนียนไปกับผนังก็เถอะแต่ก็ยังสังเกตเห็นได้ง่ายๆ อยู่ดี ซึ่งผมก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่เพราะการอยู่ในห้องสองต่อสองกับลูกค้าก็ค่อนข้างเป็นอะไรที่เสี่ยงพอตัวโดยเฉพาะกับบอสของผมที่น่ารักขนาดนี้
   
ขนาดผมยังรู้สึกว่าเลยว่าพออยู่ในห้องนี้แล้วก็เหมือนจะสามารถทำอะไรก็ได้ ไม่มีอะไรต้องกลัว สามารถเป็นตัวเองได้เต็มที่เพราะที่แห่งนี้ไม่มีใคร
   
มีแค่ผมกับบอสเท่านั้น
   
“ผมปิดกล้องแล้ว”
   
บอสยิ้มจางเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไร
   
“แล้วที่ผมหมายถึงคือแค่เสื้อตัวนอกคุณก็พอ”
   
“ครับ”
   
ผมพยักหน้าหงึกหงักแล้วทำตามคำสั่งของบอสอย่างว่าง่าย ผมถอดแล้ววางเอาไว้บนโซฟาก่อนจะรู้สึกเขินนิดหน่อยที่บอสก็ถอดออกเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเพราะร้อนรึเปล่า
   
“ยืนดีๆ ”
   
หงิง
   
ผมร้องออกมาหงอยๆ เพราะผมก็เป็นคนที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเท่าไหร่ ชอบเผลอยืนหลังค่อมตลอด ซึ่งพอผมยืนดีๆ เต็มความสูงตามคำสั่ง บอสก็ผิวปากออกมา
   
“คุณสูงชะมัดเลย”
   
บอสชมผมก่อนจะเอาสายวัดมาวัดตัวผมโดยเริ่มตั้งแต่ไหล่และไล่วัดไปเรื่อยๆ สลับกับจดลงสมุดของบอส ผมแอบชะเง้อมองนิดหน่อยก็เห็นว่าบอสจดด้วยลายมือที่เป็นระเบียบมากแถมยังถนัดมือซ้ายด้วย
   
“คุณเป็นคนที่ตัวใหญ่ที่สุดที่ผมเคยตัดสูทให้เลย คราม”
   
บอสพูดออกมาหลังจากที่วัดรอบอกผม
   
“จริงเหรอครับ”
   
จริงๆ ถ้าพวกอัลฟ่าหมาป่าไม่ต้องอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ ส่วนใหญ่ตอนโตเต็มวัยก็ตัวขนาดผมกันทั้งนั้น
   
“อืม”
   
บอสตอบในลำคอและจ้องผมนิ่ง
   
“?”
   
ผมกระพริบตาปริบเพราะไม่รู้ว่าบอสคิดอะไรอยู่ ก่อนที่หน้าบอสจะหน้าแดงขึ้นมาและพูดเสียงเบา
   
“..ผมชอบหุ่นคุณมากเลย”
   
“…”
   
นี่บอสกำลังยั่วผมรึเปล่าเนี่ย
   
ผมกลืนน้ำลายเอือกเพราะแม้แต่กลิ่นของบอสมันก็เปลี่ยนไปอีกแล้ว
   
ปกติกลิ่นฟีโรโมนของบอสมันจะเป็นกลิ่นสุขุมที่ดูเยือกเย็นตามนิสัยปกติของบอส แต่ผมก็แอบค้นพบความจริงอย่างหนึ่งเกี่ยวกับบอสแล้วว่าเวลาที่บอสใส่บราบอสจะรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ
   
กลิ่นปกติของบอสเลยชอบมีกลิ่นที่ซุกซ่อนความลับอะไรเอาไว้ด้วย
   
ตอนนี้กลิ่นนั้นก็ชัดเจนเคล้ากับกลิ่นดอกไม้ที่บอสจะปล่อยออกมาเวลาที่รู้สึกดี ซึ่งผมก็รู้แล้วว่ามันคือกลิ่นกุหลาบ ส่วนตอนที่บอสมีอารมณ์มากๆ ก็จะกลายเป็นกลิ่นไวน์แดง
   
เซ็กซี่เป็นบ้าเลย
   
ผมสบตากับนัยน์ตาสีฟ้าที่อยู่หลังแว่นที่ยังไม่เลิกจ้องผม
   
“..วันนี้หมดโควตาแล้วใช่ไหมครับ”
   
ผมพูดหงอยๆ เมื่อนึกถึงตอนเช้าก่อนออกจากบ้าน เพราะบอสบอกผมว่าถ้าเป็นวันธรรมดาให้ทำได้แค่วันละครั้งเท่านั้น ห้ามมากกว่านั้น ซึ่งมันก็ค่อนข้างทรมานใจผมมาก
   
“แต่ผมไม่ได้ห้ามคุณจูบสักหน่อย”
   
บอสยิ้มจางและมันก็ทำให้ผมจู่โจมใส่บอสทันที ผมก้มลงจูบบอสอย่างไม่ลังเลและปลดกระดุมบอสไปด้วยเพราะผมอยากจะเห็นความลับของบอสวันนี้
   
จะเป็นแบบเดียวกับเมื่อเช้ารึเปล่านะ?
   
แต่ก็ไม่น่าใช่อีกเพราะวันนี้ไม่ใช่วันที่เครียดอะไร ดูเป็นวันสบายๆ บอสน่าจะใส่ลายน่ารักแบบที่เคยบอกกับผมไว้
   
ผมจูบกับบอสพักใหญ่จนถูกบอสดันหน้าถึงยอมผละออก ผมเลียริมฝีปากด้วยความเสียดายและก้มมองว่าสิ่งที่ผมคาดเดาไว้ในใจเล่นๆ ว่าถูกไหม
   
“!”
   
ผมยิ้มกว้าง
   
ผมทายถูกล่ะ! บอสใส่บราสีชมพูพาสเทลน่ารัก!!!
   
“อะไรของคุณ”
   
บอสขมวดคิ้วดูงงๆ ที่อยู่ๆ ผมก็ดีใจ
   
“บอสใส่แล้วน่ารักมากเลย”
   
“…”
   
พอบอสหายงงก็หน้าแดงแล้วผลักผมออก
   
“จะจูบค่อยจูบที่บ้าน ผมยังวัดตัวคุณไม่เสร็จเลย”
   
บอสไม่สบตากับผมแล้วง่วนกับการติดกระดุมคืน แต่ผมก็ดูออกว่าบอสเขินมาก
   
“ครับ”
   
ผมรับคำยิ้มๆ
   
เด็กดีอย่างผมก็ต้องทำตามคำสั่งเจ้านายอยู่แล้ว

หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 21 25 ก.ย 64 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: P.PIM ที่ 25-09-2021 05:28:13
โอ่ยยยย เป็นน่ารักกกกก ไลม์เขินแล้วน่ารักมากกกกกกกกกก ต่างคนต่างติดอีกฝ่ายอะเนาะ แถมตอนอ้อนก็น่ารักจนใจเจ่บ  :ling1:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 22 25 ก.ย 64 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 25-09-2021 16:26:45
ตอนที่ 22

   
ผมไม่รู้ว่าบอสรู้ตัวรึเปล่า แต่เวลาที่บอสอยู่บ้านและจมอยู่ในความคิดตัวเอง แววตาของบอสจะเศร้ามาก
   
ผมในร่างหมาป่าแกล้งหลับและแอบมองบอสที่นั่งพิงตัวผมแล้วนั่งทำงานกับโน๊ตบุ๊คเงียบๆ ซึ่งวันนี้ก็เป็นวันทำงานแต่ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศ บอสเลยปล่อยให้ผมนอนทั้งวันแต่ก็ใช้ประโยชน์จากผมนิดหน่อยด้วยการยืมตัวผมเป็นที่พิงนุ่มๆ
   
ผมมองเสี้ยวหน้าของบอสแล้วนึกถึงครั้งแรกที่ผมเจอบอส
   
นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนที่มองผมตอนนั้นดูเย็นชามาก ไม่แสดงอารมณ์อะไรสักนิด ซึ่งมันก็เป็นแววตาปกติของบอสเวลาที่อยู่ข้างนอก บอสจะมองทุกอย่างด้วยความสุขุมและควบคุมทุกอย่างด้วยความเยือกเย็น
   
เอาเข้าจริงนับจากวันนั้นก็เพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่วันแต่ก็มีเรื่องเกิดขึ้นเยอะมาก แต่บอสของผมก็ยังสามารถรับมือกับปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่ยากเย็น
   
บอสของผมเก่งแต่ผมก็รู้อีกว่าบอสของผมเปราะบางแค่ไหน
   
“…”
   
ผมมองนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนของบอสวูบไหวก่อนที่บอสจะใช้หลังมือเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมา
   
หงิง
   
สุดท้ายผมก็ทนเงียบต่อไปไม่ไหวเพราะบอสลืมอีกแล้วว่าเก็บผมมาเลี้ยง
   
ถ้าบอสเศร้าก็กอดผมสิ!
   
“..ผมทำคุณตื่นอีกแล้วเหรอ โทษที”
   
บอสเหลือบมองผมแล้วพึมพำเสียงเบา
   
“บอสร้องไห้อีกแล้ว”
   
ผมพูดหงอยๆ เพราะตั้งแต่ที่พ่อโทรมาด่าบอสเรื่องลูกค้าเมื่อเช้า บอสก็เหมือนจะหลุดการควบคุมไปเลย และเหมือนจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามีผม ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้เลยว่าเวลามันสำคัญขนาดไหน
   
บอสยังจำผมไม่ได้และลืมว่ามีผมตลอดเลย
   
“..อืม”
   
บอสไม่ปฏิเสธและเช็ดน้ำตาลวกๆ เพื่อทำงานต่อ
   
“ให้ผมกอดบอสไหม”
   
“ไม่เป็นไร”
   
บอสยิ้มจางให้ผมแล้วหันไปง่วนกับงาน ซึ่งผมก็ได้แต่กลับไปวางคางบนขาแล้วมองบอสหงอยๆ เพราะผมก็ไม่อยากกวนบอสตอนทำงานเท่าไหร่
   
ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพ่อบอสต้องด่าบอสด้วย ทั้งๆ ที่มาเวอร์ริกก็ดังขนาดนั้น มันยังดีไม่พออีกเหรอ แล้วทำแค่ไหนถึงจะดีพอกัน แต่เรื่องที่แย่ที่สุดก็คือเรื่องที่บอกให้บอสยอมๆ ไปเวลาที่เจอพวกอัลฟ่าพยายามจะทำอะไร จะหวงตัวอะไรนักหนา ขนาดแม่ยังทำอาชีพแบบนั้นได้เลย
   
สีหน้าของบอสแย่มาก ขนาดผมกอดอยู่ ผมยังรู้สึกว่าผมยังไม่สามารถปกป้องบอสได้ บอสตัวสั่นในแขนผม นัยน์ตาสีฟ้าดูวิตกตั้งแต่ได้ยินเสียงทุ้มแหบออกมาจากลำโพงโทรศัพท์ด้วยซ้ำ
   
‘..ถ้าจะด่าก็ด่าผม อย่าว่าแม่’
   
เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงบอสสั่นขนาดนั้น และมันก็ทำให้ผมนึกถึงตอนที่บอสดูหมดสภาพหลังจากที่เจอพ่อที่โรงพยาบาล
   
ถ้าหากท้องฟ้าสามารถถล่มลงมาได้ แววตาของบอสก็คงจะเป็นแบบนั้น
   
‘..ผม ผม’
   
บอสตัวสั่นหนักว่าเดิมในอ้อมแขนผม พึมพำขอโทษพ่อไม่หยุด ดูเปราะบางจนเหมือนไม่ใช่บอสคนเดียวกับเจ้าของมาเวอร์ริกแต่เป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ กลัวพ่อจนทำอะไรไม่ถูก
   
‘มึงขอโทษกี่รอบแล้ว ไลม์ กี่รอบแล้วที่มึงปฏิเสธลูกค้า รู้ไหมว่ากูเสียหน้าขนาดไหนตอนที่พ่อไอ้แบร์มันโทรมาด่ากู บอกว่ามึงไม่ยอมรับงาน’
   
สุดท้ายบอสก็น้ำตาไหลออกมา
   
‘..ผมจะหาเงินให้ได้มากกว่านี้’
   
ใช้เวลาสักพักกว่าบอสจะมีคำพูดหลุดออกจากปากบอส
   
‘ดี แล้วก็อย่าให้มีครั้งหน้าอีก!!’
   
เสียงทุ้มแหบตะคอกใส่โทรศัพท์ก่อนจะตัดสายไป ทิ้งให้บอสของผมตัวสั่นเทาจนผมต้องใช้เวลาปลอบบอสอยู่พักใหญ่กว่าบอสจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
   
แต่จะเรียกว่าปกติก็คงไม่ถูกเพราะบอสก็แค่หยุดตัวสั่นเทานั้นก็ยังร้องไห้เป็นพักๆ อยู่ จนผมไม่รู้ว่าที่ผ่านมาบอสใช้ชีวิตคนเดียวมานานขนาดนี้ได้ยังไง
   
ผมไม่แปลกใจเลยสักนิดว่าทำไมบอสถึงได้ยอมมีความสัมพันธ์กับผมไวขนาดนั้น
   
บอสของผมโหยการยอมรับและการถูกรัก
   
“…ผมไหวน่า คุณไม่ต้องห่วงหรอก”
   
บอสที่น่าจะสัมผัสได้ว่าผมจ้อง ขยับตัวมากอดหัวผมและจูบเบาๆ
   
หงิง
   
ผมน่ะรู้นะว่าบอสก็แค่ปลอบใจผมเท่านั้นแหละ อีกสักพักบอสก็จะร้องไห้อีกและผมก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง บอสถึงจะเลิกร้องไห้สักที
   
“ไปอาบน้ำไป คุณตัวเหม็นแล้ว”
   
หงิง
   
ถ้าผมไปแล้วบอสร้องไห้ บอสก็ไม่มีคนอยู่ด้วยสิ
   
“คุณรู้ไหมว่าพุดดิ้งอาบน้ำทุกวันเลยนะ”
   
“!”
   
หูกับหางของผมตั้งขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินชื่อศัตรูหัวใจจากปากบอสอีกแล้ว
   
“ผมก็อาบน้ำทุกวันเหมือนกันนะครับ”
   
ปกติผมก็ใช้ชีวิตแบบมนุษย์ทั่วไปนั่นแหละ แต่วันนี้ผมจะยอมเป็นหมาเน่าเพื่อบอสหนึ่งวัน แบบวันนี้ผมก็ตื่นสายกว่าบอสอีกแล้ว พอตื่นมาก็เจอบอสร้องไห้อีก ผมก็เลยยังไม่ได้อาบน้ำสักที
   
“อย่าดื้อ”
   
หงิง
   
“หรือคุณจะให้ผมร้องไห้เพราะคุณไม่ยอมไปอาบน้ำ”
   
“บอสขี้โกง”
   
ผมบ่นอุบแต่ก็ยอมลุกตามคำสั่ง
   
“ผมเปิดน้ำเอาไว้ให้คุณแช่ด้วย แต่มันน่าจะเย็นแล้ว”
   
บอสลูบตัวผมและสางขนที่นุ่มฟูของผมเล่น
   
“ไปอาบไป เจ้านายคุณไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นหรอก”
   
“บอสห้ามร้องไห้ตอนผมไม่อยู่นะ”
   
ผมหูลู่ลงหงอยๆ แต่ก็ยอมไปอาบน้ำ ซึ่งก่อนที่จะเข้าห้องนอนผมก็แอบชะเง้อมองบอสและสะดุ้งหางฟูเพราะบอสเท้าคางมองผมยิ้มๆ เหมือนรู้อยู่แล้วว่าผมจะแอบดู
   
“ไป-อาบ-น้ำ”
   
บอสพูดช้าๆ ชัดๆ ทีละคำ
   
หงิง
   
หมาเน่าอย่างผมก็เลยต้องไปอาบน้ำตามคำสั่ง แต่ก็ดีแหละ ผมอาบเสร็จจะได้นุ่มฟูกว่าเดิม บอสจะได้พิงผมได้สบายขึ้น ผมคิดด้วยความมุ่งมั่นแล้วก็เกาะอ่างอาบน้ำ เอาอุ้งเท้าจุ่มลงไปในน้ำนิดหน่อยก็พบว่ามันเย็นแล้วแต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร ตอนผมอยู่ห้องเช่าช่วงหน้าหนาวน้ำเย็นกว่านี้อีก
   
ผมเลียเขี้ยวในปากรู้สึกงุ่นง่านเพราะแอบอยากแช่ในร่างหมาป่า
   
เอาไงดีนะ
   
‘ไอ้คราม หยุดความคิดเดี๋ยวนี้เลย แช่ร่างหมาป่าอ่างบอสก็แตกกันพอดีสิโว้ย’
   
โบ้ขาวผู้มีสติอยู่เสมอเห่าโวยวายทันที
   
แต่ผมก็อยากแช่อ่ะ
   
‘อ่างนะไม่ใช่เก้ว มันจะแตกได้ไง ขาว อย่าเพ้อเจ้อดิ แช่ๆ ไปเหอะ คราม แต่ห้ามเล่นน้ำ’
   
ถ้าแช่แล้วไม่เล่นก็ไม่สนุกสิ ผมไม่ได้เล่นน้ำมานานมากแล้ว ได้โอกาสแช่แล้วก็ควรจะเล่นน้ำสักนิดก็ยังดี
   
ผมเลิกสนใจโบ้สองตัวในหัวแล้วค่อยๆ ปีนเข้าไปในอ่างที่ตอนแรกก็ใหญ่พอที่จะให้ทั้งผมทั้งบอสแช่พร้อมกันสบายๆ แต่พอเป็นหมาเน่าอย่างผมทุกอย่างกลับดูแน่นมาก
   
หงิง
   
ผมร้องออกมาเพราะน้ำกระฉอกออกไปเยอะมาก ให้ตายเถอะ ผมไม่ได้ตัวใหญ่ขนาดนั้นซะหน่อย!
   
ผมคิดประท้วงในใจแล้วพยายามใช้อุ้งเท้าดันก๊อกเพื่อเติมน้ำอุ่นใส่แล้วก็ไปปั๊มเอาสบู่เหลวมาเล่นฟอง ซึ่งผมก็ทำสำเร็จ ผมใช้อุ้งเท้าตีสบู่นิดหน่อยก็เกิดเป็นฟองฟอดและผมก็ดีใจมากเผลอกระดิกจนน้ำกระฉอกออกไปอีก
   
แต่ใครสนล่ะ ผมได้เล่นน้ำในรอบกี่ปีไม่รู้เชียวนะ!
   
ถึงผมจะตัวใหญ่คับอ่างจนขยับตัวแทบไม่ได้แต่ผมก็พยายามเล่นเท่าที่เล่นได้ด้วยการเอาขาหน้าตีน้ำกับฟองเล่น จนตอนนี้ผมเหมือนแกะมากกว่าหมา ให้ตายเถอะ ผมจะให้บอสเห็นสภาพนี้ของผมไม่ได้เด็ดขาด
   
มันไม่เท่!
   
‘ไม่เท่ตั้งแต่แกอยากเล่นน้ำแล้ว คราม’
   
ไอ้โบขาวนอนเอาเท้าก่ายหัว ดูจนปัญญากับผม
   
‘บอสไม่รู้หรอกน่า’
   
โบ้ดำให้กำลังใจผม
   
ใช่ บอสไม่รู้หรอก!
   
ผมคิดด้วยความเบิกบานใจแล้วก็นอนแช่น้ำอย่างมีความสุข ตอนนี้ระดับน้ำได้แล้วอุณหภูมิก็กำลังดี ผมวางคางบนขอบอ่างแล้วหลับตาพริ้มกะจะแช่อีกสักห้านาทีแล้วค่อยๆ อาบน้ำลวกๆ แล้วกลับไปเฝ้าบอสต่อ
   
ผมหาวง่วงๆ แต่ก็พยายามไม่หลับ
   
ห้ามหลับเด็ดขาด คราม
   
ห้ามหลั—
   
   

“หึ”
   
เสียงหัวเราะ? ทำไมถึงมีเสียงหัวเราะล่ะ
   
ผมคิดง่วงๆ แล้วปรือตาตื่นขึ้นมาก่อนที่จะเกือบจะร้องเอ๋งออกมาตอนที่เห็นบอสนั่งอยู่ขอบอ่าง แล้วเอาเป็ดยางจิ๋วสีเหลืองจากไหนไม่รู้มาวางบนจมูกผมเป็นสิบและกำลังจะวางเพิ่มแต่ผมก็ดันตื่นขึ้นมาพอดี
   
;w;
   
ผมไม่เท่แล้วอ่ะ แล้วตอนนี้ก็มีเป็ดทั้งตระกูลอยู่บนจมูกผมด้วย
   
หงิง
   
ผมร้องออกมาหงอยๆ แต่ก็ไม่กล้าขยับตัวเพราะบอสก็ยังเอาเป็ดมาวางบนจมูกผมเพิ่ม
   
“หงิง ทำไม”
   
บอสถามผมยิ้มๆ ดูอารมณ์ดีมากและเอื้อมมือมาจับหูผมที่ยังมีฟองฟอดอยู่
   
“ผมเหมือนแกะ”
   
ผมพูดด้วยเสียงเหมือนจะร้องไห้ หมดแล้ว หมดแล้วจริงๆ ศักดิ์ศรีของชาวอัลฟ่าหมาป่า
   
“แล้วผมก็ไม่เท่ด้วย”
   
พูดจบผมก็ร้องหงิงๆๆ ออกมา เสียใจมากที่บอสมาเห็นผมสภาพนี้ ผมน่าจะเชื่อโบ้ขาวอ่ะ ไม่น่าเลยอ่ะ
   
บอสมองผมนิ่งสักพักเหมือนพยายามกลั้นหัวเราะแต่สุดท้ายก็หัวเราะออกมา
   
“..ผม ผมเห็นคุณอาบน้ำไม่เสร็จสักที ก็เลยตามเข้ามาดู”
   
บอสพูดไปหัวเราะไปแล้วโกยเอาครอบครัวเป็ดกลับไปใส่ถุงตาข่าย
   
“แล้วผมก็เจอลูกหมาแอบมาเล่นน้ำ”
   
หงิง
   
“เลิกหงิงได้แล้ว ผมว่าอะไรคุณรึยัง”
   
บอสพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่มือกลับตีสบู่ให้เกิดฟองและโกยเอามาไว้บนหัวผมจนผมเหมือนมีเขายูนิคอร์น ไม่สิ เหมือนมีไอติมโปะหัวมากกว่า
   
;w;
   
ผมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้มากกว่าเดิม
   
“ผมทำข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว รอคุณไปกินด้วย”
   
“..ครับ”
   
ผมตอบบอสเสียงอ่อยและหมดอาลัยตายอยาก เพราะผมคงไม่มีทางกู้คืนภาพลักษณ์อัลฟ่าหมาป่าสุดเท่ได้แล้ว ถึงร่างหมาป่าของผมจะตัวใหญ่และทรงพลัง แต่บอสก็คงจะจำผมเป็นหมาแกะไปแล้ว
   
“คุณเท่แล้วน่า”
   
บอสลูบหัวผมเหมือนพยายามปลอบใจแต่อีกมือก็โกยเอาฟองมาโปะใส่หัวผมเพิ่มอยู่ดี
   
“รีบอาบล่ะ เด็กดี”
   
“ครับ”
   
ผมตอบบอสหงอยๆ มองบอสที่เดินออกไปด้วยความเศร้าสร้อย และตัดสินใจคืนร่างมนุษย์แล้วอาบต่อด้วยความเสียใจมากเพราะไอ้พุดดิ้งมันยังมีภาพลักษณ์ดีกว่าผมเลยอ่ะตอนนี้
   
ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวลวกๆ แล้วออกจากห้องนอน
   
“บอส บอสครับ”
   
ผมเรียกหาบอสเพราะในห้องรับแขกที่บอสทำงานบอสก็ไม่อยู่ ห้องครัวก็ไม่มี
   
;w;
   
ผมหาบอสไม่เจออีกแล้ว
   
ผมพยายามฮึบและใช้ความสามารถของอัลฟ่าหมาป่าให้เป็นประโยชน์ ซึ่งผมก็ได้กลิ่นของบอสอยู่สนามหญ้าข้างนอก ผมเลยลนลานวิ่งออกไปเพราะกลัวว่าบอสจะหายไปไหนอีก
   
“…”
   
ผมมองบอสของผมที่นั่งยองๆ และยิ้มให้กับต้นกุหลาบสีแดงที่ผมเพิ่งรู้ว่ามีด้วย
   
มันเป็นกุหลาบต้นที่ไม่ใหญ่มาก ถูกปลูกไว้ในกระถางเล็กและออกดอกอยู่สองสามดอก บอสเอามือเกลี่ยดอกไม้เล่นแล้วยิ้มจาง ดูผ่อนคลายมาก
   
“มานี่สิ”
   
บอสเหลือบมองผมแล้วกวักมือเรียกผม
   
แน่นอนว่าผมรีบเอาตัวเองไปนั่งข้างๆ บอสทันที
   
“หัวคุณยังเปียกอยู่เลย”
   
บอสขมวดคิ้วแล้วเกลี่ยผมที่ปรกตาผมออก
   
“ผมไม่อยากให้บอสรอนาน”
   
“เดี๋ยวคุณก็เป็นหวัดหรอก”
   
บอสบ่นผมไม่จริงจังนักแล้วเอามือไปเกลี่ยกุหลาบเล่นต่อ
   
“!”
   
ผมตาโตขึ้นมานิดหน่อยเพราะพอผมตั้งใจดมดีๆ ก็พบว่ามันเป็นกลิ่นกุหลาบติดจะหวาน ซึ่งมันก็เป็นกลิ่นฟีโรโมนที่บอสปล่อยออกมาตอนที่อารมณ์ดี
   
บอสยังคงยิ้มน้อยๆ ก่อนจะขยับตัวเข้ามาซุกกับผม
   
“วันที่ผมเก็บคุณมาเลี้ยง มันบานพอดีเลย”
   
บอสวางหัวบ่นไหล่ผมแล้วยิ้มมากกว่าเดิม
   
“แม่ผมเคยบอกว่าถ้าดอกกุหลาบบานแล้วมันจะเกิดเรื่องดีๆ ”
   
“บอสชอบดอกกุหลาบเหรอครับ”
   
ผมถามและดึงมือข้างที่ว่างของบอสจับเล่น หัวใจพองโตเมื่อบอสนับผมเป็นเรื่องที่ดีในชีวิตด้วย เพราะอัลฟ่าหมาป่าอย่างผมก็ถูกตราหน้ามาตลอดว่าเป็นตัวกาลกิณี ใครได้ไปก็จะทำเขาซวย
   
ผมดีใจมากเลยที่บอสยอมเก็บผมมาเลี้ยง
   
“อือ แม่ผมชอบ ผมก็เลยชอบตาม”
   
“...”
   
ผมพยายามสังเกตแววตาของบอสและพบว่าบอสของผมดูมีความสุขมาก
   
“ตอนผมย้ายมาอยู่กับพ่อใหม่ๆ แม่ผมใจดีมากแล้วก็ชวนผมปลูกกุหลาบ ผมมานั่งดูทุกวันเลยว่ามันจะบานวันไหน แล้วพอวันที่มันบาน แม่ก็ตัดดอกนั้นให้ผม”
   
แม้แต่น้ำเสียงของบอสก็ยังเก็บความดีใจเอาไว้ไม่อยู่จนผมรู้สึกดีตาม
   
“ผมดีใจมากเลย คราม ดีใจมากจริงๆ ”
   
บอสสบตากับผมแล้วยิ้มจนตาหยี
   
“แล้วผมก็ชอบดอกกุหลาบมาตลอดเลย”
   
“...”
   
ผมมองบอสรอยยิ้มของบอสตาค้างและรู้สึกว่าละสายตาไปจากมันไม่ได้
   
หัวใจผมเต้นโครมครามรู้สึกเหมือนตกหลุมรักบอสอีกรอบ
   
บอสน่ารักมากเลย
   
“..ขอจูบได้ไหมครับ”
   
“อืม”
   
บอสดูงงๆ ที่ผมขอแบบปุบปับแต่ก็ยอมตามใจผม ซึ่งผมก็จู่โจมบอสทันที
   
เอาเข้าจริงผมอยากจูบบอสตั้งแต่ตอนที่บอสเกลี่ยผมให้ผมแล้ว ผมเลียริมฝีปากนุ่มๆ ของบอสก่อนสอดลิ้นเข้าไปและชิมความหวานของโกโก้ร้อนที่บอสดื่มตอนทำงาน
   
ผมจูบบอสแรงกว่าเดิมเมื่อสอดมือเข้าไปในเสื้อและพบว่าวันนี้บอสก็ใส่บราอีกแล้ว
   
“อื้อ”
   
บอสสะดุ้งเฮือกตอนที่ผมใช้นิ้วขยี้ตุ่มไตเล็กๆ น่ารักใต้บราของบอส
   
“..พอ พอก่อน”
   
บอสผละออกก่อนและมองผมเขินๆ
   
“แต่เช้าเลยเหรอ คราม”
   
“ก็บอสน่ารักนี่นา”
   
ผมพูดหงอยๆ
   
“ผมยังทำงานไม่เสร็จเลย”
   
หงิง
   
“ถ้าดึกๆ ผมไหวค่อยทำนะ”
   
“ครับ”
   
เด็กดีอย่างผมจะได้ตอบอะไรได้นอกจากครับล่ะ ทั้งๆ ที่ผมอยากจะร้องหงิงๆๆ ออกมามาก ผมเกลียดงาน เกลียดที่สุดเลย ผมอยากรวย บอสจะได้ไม่ต้องทำงาน แต่ทั้งเนื้อทั้งตัวผมไม่มีอะไรเลยนอกจากลูกบอล
   
“ไปกินข้าวกัน ผมหิวแล้ว”
   
บอสลุกขึ้นยืนก่อนแล้วก็ยื่นมือให้ผมจับ
   
“...”
   
ผมจับมือบอสแต่ก็ไม่ได้ลุกเพราะดันไปเห็นท้องฟ้าที่อยู่ข้างหลังบอสซะก่อน
   
วันนี้ท้องฟ้าสวยและสดใสมาก
   
และมันก็เป็นสีเดียวกับตาของบอส
   
ผมหลุดยิ้มออกมา
   
มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นตามที่แม่บอสบอกจริงด้วย
   
   
   
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 22 25 ก.ย 64 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 25-09-2021 20:55:18
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 22 25 ก.ย 64 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 30-10-2021 22:17:22
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Boss's Secret #ความลับของบอส ตอนที่ 22 25 ก.ย 64 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: P.PIM ที่ 31-10-2021 04:36:38
อยากทุบพ่อไลม์มาก ฮึ่ย โมโห  :fire:
แต่ตอนบอสเอาเป็ดมาวางบนจมูกครามคือน่ารักแม่ก แบบอ่ย ใจฟู จบตอนด้วยการเป็นเรื่องดีๆของกันและกัน