เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 39!!! (29/6/65)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่อผมกลายเป็นบอดี้การ์ด อัพเดต ตอน 39!!! (29/6/65)  (อ่าน 16110 ครั้ง)

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
คุณชายหน้าวอกเป็นพระเอกเหรออ แล้วเดเนียลคู่ใครละเนี่ยะ

ออฟไลน์ Tassanee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ เจ้าหมีวุ่นวาย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ตอนที่ 12
" คนแมนแมนกับความป่วยของพวกเขา "





“ นายทำอะไรของนาย ฉันจุกไปหมดแล้วเนี่ย ” ร่างสูงร้องโอ้ย ชี้ร่องรอยแดงจางๆ ที่ต้นเหตุมาจากกระผมคนดีคนนี้ สีหน้าง่วงงุนและขุ่นเคืองชวนตีได้ทุกเมื่อ



“ ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ มันมองไม่เห็นอ่ะ ” ผมพูดเสียงอ่อย จ๋อยสนิท วันนึงผมต้องตกใจเพราะอีกฝ่ายกี่รอบเนี่ย แต่พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมาโผล่อยู่ที่นี่ได้ยังไง ก็รีบถามต่อ


“ แล้วที่นี่มันที่ไหนกันครับ แล้วคุณมานอนอยู่เตียงเดียวกับผมได้ยังไง ”



“ ก็ใครใช้ให้นายหลับเป็นตายหน้าห้องฉันล่ะ นี่ฉันแบกนายเข้ามานอนก็บุญถมไปละ ยังมีหน้ามาทำร้ายฉันอีก ” อีกฝ่ายทำเสียงจิ๊จ๊ะเบาๆ เชิงขัดใจ ทิ้งตัวลงไปนั่งบนเตียงนอน เสยผมลวกๆ ผมมองอย่างเคลิบเคลิ้ม





ห่า เซ็กซี่ชิบหาย

ฮึ่ยยยยย เลิกคิด!





“ แบกเข้ามา? ” ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ “ อย่าบอกนะว่านี่เรายังอยู่ที่บริษัทเหรอครับ! ”



“ ก็ใช่น่ะสิ นี่เป็นห้องนอนของฉันเอง อยู่ในห้องทำงาน ” เจ้าตัวพูดพลางหาวไปด้วย “ ฉันจะนอนต่อแล้ว ง่วง นายช่วยปิดไฟด้วยนะ ”



“ เอ่อ ถ้าผมขอตัวกลับก่อนได้ไหมครับ ”



“ ตอนนี้? ตีหนึ่งเนี่ยนะ ”



“ ห้ะ ตีหนึ่ง! ” ผมรีบหันขวับไปมองนาฬิกาตั้งโต๊ะข้างเตียง เข็มนาฬิกาชี้เลขหนึ่งพอดิบพอดี “ นี่ผมนึกว่าสองสามทุ่ม ผมหลับไปนานขนาดนี้เลยเหรอ ”



“ ก็ใช่น่ะสิ แถมเรียกไม่ยอมตื่นด้วย ฉันก็กลัวว่านายจะตายไปแล้ว ”



“ พอดีเมื่อวานผมนอนไม่ค่อยหลับน่ะครับ ” ก็เพราะใครกันล่ะ! โธ่เว้ย แล้วเอาไงดีวะเนี่ย ถ้านอนต่อก็ต้องนอนกับไอคุณชายนี่ ไม่งั้นก็ไม่รู้จะนอนตรงไหน จะไปนอนโซฟาในห้องทำงานก็ดูน่าเกลียดอีก ผมยืนกระสับกระส่ายตัดสินใจไม่ได้ซักที



“ นายไม่สบายเหรอ ” อยู่ๆ อีกฝ่ายก็ถามขึ้น



“ ไม่ได้เป็นอะไรมากครับ แค่ปวดหัวนิดหน่อย ”



“ ก็ว่าอยู่ วันนี้นายอย่างกับซอมบี้ ” อีกฝ่ายตบที่เตียงเบาๆ แล้วพูด “ มานั่งนี่ ”



ผมทำท่าระแวดระแวงยืนอยู่กับที่ ไม่ยอมเดินไป แต่ไอคุณชายกลับส่งสายตาขมขู่บังคับให้ผมเดินไป เราเล่นเกมจ้องตากันอยู่อย่างนั้น จนในที่สุดอีกฝ่ายทนไม่ไหว ลุกขึ้นมาดึงมือผมให้ไปนั่งข้างๆ ผมนั่งแข็งเกร็ง กลัวว่าตะคริวเมื่อกี้จะกำเริบขึ้นมาอีกรอบ



“ ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นก็ได้ ดูสารรูปนายซะก่อน พิศวาสยังไงให้ไหว ฉันก็เลือกเหมือนกันนะ ”



“ อย่ามาบูลลี่หน้าตาผมนะครับ ใครกลัว ผมเนี่ยนะกลัว ” กูสั่นสู้นะโว้ย เอาดิ!



“ หึ ตัวแข็งเป็นศิลาจารึกร้อยปีแล้วยังจะมาเถียงอีก ” เขาไม่พูดเปล่า เอาฝ่ามือขึ้นมาอังที่หน้าผากผม





ปุ๊งง (เสียงหม้อน้ำระเบิด)





ตอนนี้ตัวผมระเบิดไปหมดแล้วครับท่านน ฮืออ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ารักคนนี้ขอตายดีกว่า เมื่อเห็นใบหน้าของไอคุณชายหน้าขาวนี่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ แถมมือยังจับนู่นลูบนี่ จนตัวผมเองเห่อร้อนไปหมด วูบวาบตามเนื้อตัวเลยครับ ฮืออ



“ น่าจะมีไข้นิดหน่อยนะ ยังปวดหัวอยู่ไหม ”



“ นิดหน่อยครับ ”



“ ในห้องนี้น่าจะมีกล่องปฐมพยาบาลอยู่ เดี๋ยวรอนี่นะ ฉันไปหาดูก่อน ” เมื่อไอคุณชายลุกเดินไป ผมรีบเอาผ้าห่มคลุมหัวตัวเองทันที อายชิบเป๋งเลยเว้ย เกิดมามีแต่หญิงดามใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ดันแมนเหมือนกัน ถึงผมจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายชายแท้หรือเปล่าก็เถอะ เฮ้อ คนแมนกลุ้มใจ



หลังจากนั้นร่างสูงก็เดินกลับมาพร้อมยาสองเม็ดในมือและน้ำเปล่า เมื่อผมกินยาเรียบร้อย อีกฝ่ายทำหน้าพึงพอใจเล็กน้อย และหันหลังจะเดินไปปิดไฟ ผมรีบลุกขึ้นเพื่อจะจะหาที่ซุกหัวนอนของตัวเองในคืนนี้



“ นั่นจะไปไหน ”



“ ผม เอ่อ จะไปนอนที่โซฟาข้างนอกครับ ”



“ นอนตรงนี้แหละ จะไปนอนข้างนอกให้เปลืองแอร์เล่นทำไม ”



“ มันน่าจะไม่เหมาะสมนะครับ คุณก็เป็นเจ้านายผม ” ไอคุณชายได้ยินแล้วก็ทำหน้าอึ้งพักหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา มันขำตรงไหนกันวะ ก็คนมันเกิดมามีมารยาทอ่ะเฮ้ย



“ ทั้งที่ตอนนอนเมื่อกี้นี่รัดฉันแน่นจนแทบจะปล้ำฉันอยู่แล้วเนี่ยนะ ”



“ ผมอ่ะนะ คุณละเมอหรือเปล่า ”



“ ฉันจะโกหกทำไมล่ะ เอะอะจะกอดฉันท่าเดียว ฉันนี่เปลืองตัวให้นายกอดฟรีขนาดนี้ ยังจะมาเถียงอีก ”  โอ้โฮ เปลืองตัวเลยเหรอ ไอคุณชายยย โอ้ยย ผมนี่ขึ้นครับ



“ ขอโทษละกันนะครับที่ทำให้เปลืองตัว จะกอดผมกลับไหมล่ะครับ จะได้เจ๊ากัน ”



“ ไม่เอา ไม่คุ้มหรอก นายนี่นอกจากจะชอบแต๊ะอั๋งแล้วยังขี้อ่อยอีก ”



“ ผมไปอ่อยอะไรคุณตอนไหนไม่ทราบ ”



“ ก็นี่ไง อ่อยอยู่ชัดๆ ” เจ้าตัวไม่รอให้ผมเปิดปากพูด เดินตรงไปที่เตียงแล้วยึดครองฟากหนึ่งของเตียงไป แล้วตบเตียงเป็นการบังคับให้ผมลงไปนอนเดี๋ยวนั้น ตัวผมที่ไม่มีตัวเลือกมากนักได้แต่ปลงตกในโชคชะตา เดินเกร็งๆ นั่งลงไปที่เตียง พอผมจะล้มตัวลงนอน



“ ไม่ปิดไฟหรือไง ฉันไม่เปิดไฟนอนนะ ” ฮึ่ยย อะไรๆ ก็สั่งไปหมด ไอคุณชายบ้าบอนี่ ผมลุกกระฟัดกระเฟียดเดินไปปิดไฟ ก่อนจะเดินกลับมาล้มตัวลงนอนบ้าง ผมกระเถิบไปจนสุดขอบเตียง นอนให้ห่างจากอีกฝ่ายมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พยายามข่มตาให้หลับ



“ ถ้าต้องการหมอนข้างก็บอกนะ เดี๋ยวยอมเปลืองตัวให้อีก ” เสียงกระซิบเบาๆ ของไอคุณชายลอยเข้าหูผม ใครกันแน่ที่ขี้อ่อย



“ นอนเถอะครับ! ” อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ ก่อนที่เสียงจะเงียบไป



เวลาผ่านไปสักพักลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของคนที่นอนอีกฝากก็บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงหลับไปแล้ว ผมพลิกตัวกลับไปกลับมาอย่างคนที่นอนไม่หลับ จนในที่สุดก็พลิกตัวหันกลับมาทางที่ไอคุณชายนอนอยู่ นั่งจ้องหน้าเขาอยู่อย่างนั้น จิตใจว้าวุ่น ยิ่งทำให้นอนไม่หลับไปกันใหญ่ ผมเริ่มมารู้สึกว่าระยะนี้หลายสิ่งหลายอย่างของคนตรงหน้าผมนั้นอยู่ในความสนใจของผมมากจนตัวผมตกใจ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรล้วนอยู่ในสายตาผมตลอดเวลา



สับสนหัวใจ…













โครกกกก ครากกก



เสียงท้องใครวะ เสียงดังจริง คนกำลังจะนอน ผมพลิกตัวไปอีกด้านหนึ่ง



ตึกตึก ตึกตึก



ฮึ่ยยยยย รำคาญโว้ยย ผมลืมตาพรืบขึ้นมา เพื่อจะมองว่าต้นเสียงมันคืออะไร แต่เดี๋ยวนะ รู้สึกทะแม่งๆแปลกๆ



ทำไมกูถึงมานอนกอดไอคุณชายได้ล่ะวะเนี่ย! แถมยังเอาขาก่ายไปที่ตัวเขาอีก เวร ความติดหมอนข้างนี้ท่านได้แต่ใดมา เสียงท้องร้องนั่นคงเป็นของผมล่ะสิ แต่ไอเสียงหัวใจเต้นคงเป็นของเจ้าตัวที่นอนข้างๆ ผมนี่



ผมค่อยๆ เอาขาออกมาให้พ้นจากตัวอีกฝ่าย และแอบมองอีกตามสไตล์ โอ้ว ขาวแสบตาซะจริง คนบ้าอะไรขาวได้ขนาดนี้ ขนาดผมว่าผู้ที่มีเชื้อสายจีนอย่างผมนี่ขาวละนะ มาเจอคนตรงหน้าผมนี่แพ้เลย ขนตานี่งอนหนาได้รูปไม่ต้องพึ่งไอที่ผู้หญิงใช้ปัดขนตาอะไรนั่นอ่ะ ผมก็เรียกไม่ถูก ผมไล่สายตามองตั้งแต่คิ้วยันคาง เก็บทุกรายละเอียด ผมก็ไม่รู้ทำไปเพื่ออะไร รู้แต่ว่าปกติแล้วผมไม่ได้ใกล้ชิดขนาดที่มานั่งมองแบบนี้ได้บ่อยๆ เฮ้อ ประติมากรรมอันทรงคุณค่าของชาวเรา



ผมนอนชื่นชมอยู่นานพอสมควร มารู้สึกตัวก็ตอนที่แสงแดดทแยงตาผมแล้วนั่นเอง ผมมองไปนาฬิกา เห็นเลขเข็มชี้ตรงที่เลขแปด หืมมม เลขแปด เดี๋ยว! แปดโมงเช้าแล้วเหรอวะ ตายห่า ผมรีบปลุกคนที่นอนสบายอยู่ตรงหน้าตามแพทเทิน ก่อนที่ตัวเองจะรีบเข้าไปจัดการตัวในห้องน้ำอย่างรวดเร็วความไวแสง และปัญหาที่ตามมาคือ



กูจะใส่ชุดอะไรฟร้า



ผมเดินออกมาเห็นเจ้าตัวปัญหานั่งตาปรืออยู่บนเตียง ทำไมวันนี้ไอคุณชายดูเปื่อยจังวะ



“ คุณ เอ่อ พอจะมีเสื้อเชิ้ตให้ผมยืมหรือเปล่าครับ พอดีตัวเมื่อวานมันเหม็นแล้วครับ ” อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไร นอกจากชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้ามุมหนึ่งข้างๆ ห้องน้ำ ผมจึงถือวิสาสะเปิดตู้ เสื้อผ้ามีแขวนอยู่ไม่กี่ตัว เพราะเจ้าตัวคงอาจจะไม่ค่อยได้มานอนซักเท่าไหร่ แต่ผมก็ยังสัมผัสได้ถึงออร่าความแพงของเสื้อผ้าแล้วรู้สึกไม่อาจเอื้อม จึงเลือกเสื้อที่ดูแพงน้อยที่สุดในนั้นส่งๆ ออกมาตัวหนึ่ง



เมื่อผมแต่งตัวอะไรเสร็จอย่างรวดเร็ว ทุกกระบวนการเสร็จโดยไม่ถึงห้านาที (ความไวแสงยังคงแพ้เมื่อเจอความไวรัก ฮา) แต่ก็เห็นไอคุณชายยังนั่งอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมคือหลับตาไปแล้ว! ไอนี่มันนั่งหลับได้เว้ยเฮ้ย



“ คุณๆ ทำไมไม่ไปอาบน้ำล่ะ มันแปดโมงกว่าแล้วนะครับ ” ยังคงเงียบ ผมจึงเอื้อมมือไปสะกิดเบาๆ เจ้าตัวลืมตาปรือขึ้นมามองที่ผม ป่วยหรือเปล่าวะ ผมเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากเบาๆ นั่น ตัวร้อนจริงๆ ด้วยแฮะ สงสัยติดจากผมแน่เลย ทำไมตอนที่เผลอนอนกอดมันผมถึงไม่รู้วะ



ผมจัดการประคองตัวคนป่วยให้ลงไปนอน ห่มผ้าให้เรียบร้อย เช็ดตัวลวกๆ เสร็จก็เดินออกไปแจ้งอาการป่วยกับคุณเลขาและท่านประธาน ก่อนจะเดินลงไปซื้อข้าวต้มข้างๆ บริษัท ขึ้นมาป้อนให้คนป่วยกิน แล้วก็ป้อนยาให้กินตามด้วยป้อนน้ำ จบกระบวนการทุกขั้นตอน



เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าเกิดเป็นบอดี้การ์ดต้องอดทน



ผมนั่งเคลียร์งานบางส่วนเท่าที่ผมทำได้ให้ไประหว่างเฝ้าไอคุณชายที่นอนเปื่อยอยู่บนเตียง ผมไม่ได้ทำอะไรมากมายหรอกครับ ทำได้แค่จัดเอกสารที่เร่งด่วนแยกกับกองธรรมดาเท่านั้นเอง และช่วยตรวจดูเอกสารที่รออนุมัติว่ามีเรื่องอะไรบ้าง แยกๆ ตามเรื่องไปแค่นั้นเองครับ พอไอคุณชายมาทำต่อจะได้รวดเร็วขึ้น ผมว่าจริงๆ แล้วไอคุณชายควรมีเลขาซักคนนะเนี่ย เผื่อจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระได้บ้าง จ้างผมสิ จ้างโผมมมมมม



มีพนักงานหลายฝ่ายเดินมายื่นเอกสาร หรือไม่ก็ต้องการจะคุยรายละเอียดเกี่ยวกับงานต่างๆ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เท่าที่แยกเอกสารให้เจ้าตัวมาก็พอจะเดาคร่าวๆ ได้ ก็เลยรับมาจัดการให้เท่าที่ตัวเองจะจัดการได้ นอกเหนือจากนั้นคือต้องแจ้งคุณๆทั้งหลายให้รอเจ้านายผมอีกทีละกันนะครับคุณ โชคดีที่วันนี้ไอคุณชายป่วยนั่นไม่มีเข้าประชุมหรือมีนัดข้างนอก ไม่อย่างนั้นผมก็ไม่รู้ว่าจะปลอมตัวเต๊ะท่ายังไงให้เหมือนน่ะนะ



นั่งก้มหน้าเคลียร์เอกสารไป รู้ตัวอีกทีก็เที่ยงแล้วครับ จึงเข้าไปดูอาการไอคุณชาย นี่ผมเพิ่งจะมาสังเกตเห็นประตูที่เข้ามาในห้องนอน มันกลืนไปกับสีห้องเลยครับ ก็ว่าแล้วว่าทำไมผมมาทำงานตั้งนานแล้วไม่เคยรู้เลยว่ามีห้องนอนอยู่ในนี้ด้วย พอเข้าไปถึงก็ไม่เห็นตัวไอคุณชายแล้ว หายไปไหนของเค้าวะ



“ คุณเนตร อยู่ไหมคร้าบ ” ผมร้องเรียกไอคุณชาย เดินหารอบห้อง ในห้องน้ำก็ไม่มีเสียงน้ำหรืออะไรเลย บนเตียงก็มีแต่ก้อนขะยุกๆ ของผ้าห่ม เดินรอบห้องแล้วก็ยังหาไม่เจอ ผมเริ่มใจไม่ดี เพราะเจ้าตัวยังป่วยอยู่ ไม่รู้ว่าตอนนี้อาการเป็นยังไงบ้าง แต่ถ้าเดินออกจากห้องผมก็ต้องเห็น เพราะผมนั่งเคลียร์งานที่โซฟาในห้องทำงานของไอคุณชายตลอดตั้งแต่เช้า เพราะฉะนั้นเจ้าตัวก็ต้องอยู่ในห้องนั่นแหละ



หรือจะอยู่ในห้องน้ำ



ผมเปิดประตูห้องน้ำเข้าไปชะโงกหน้าดู



ก็ไม่มีนี่นา แล้วตัวหายไปไหนกันเนี่ย



ผมเริ่มลนลาน จึงเดินหาทุกซอกทุกมุมในห้องนอนอีกครั้ง ตัวควายๆ อย่างไอคุณชายมันจะไปซุกอยู่ตรงไหนได้



ผมเดินตรงไปที่เตียง ตบๆ ลงไปที่ผ้าห่มที่ขะยุกๆ เป็นก้อนนั่น



“ ฮื่ออ เลิกตบ ” เดี๋ยวว เสียงไอคุณชาย ผมถือวิสาสะเลิกผ้าห่มขึ้นมา



ร่างควายๆ ของมันขดจนเป็นลำไส้ใหญ่เลยครับ โธ่!



“ คุณเนตรครับ ผมหาแทบตาย ตกใจหมดเลย ทำไมมาขดอยู่อย่างนี้ล่ะครับ! ” ผมค่อยๆ พยุงตัวอีกฝ่ายให้นอนดีๆ ไม่รู้นอนแบบนั้นมานานเท่าไหร่ เหน็บกินหมดเนี่ย ได้ยินอีกฝ่ายงึมงำๆ บ่นหนาว จึงเริ่มรู้สึกเหมือนกันว่าอุณหภูมิในห้องมันหนาวยะเยือกเกินไป จึงลุกไปปรับอุณหภูมิให้สูงขึ้น แล้วเดินกลับมาพลิกตัวร่างหนักๆ นี่ให้นอนดีๆ



ไอคุณชายไม่หือไม่อืออะไร ยอมให้ผมจัดแจงท่านอนแต่โดยดี พอเห็นสภาพเป็นแบบนี้ผมก็อดที่จะอ่อนใจไม่ได้ ปกติแล้วจะเจอแต่เวอร์ชั่นคุณชายมาดผู้ยิ่งใหญ่ แกล้งผมสารพัดให้ผมงานงอกแทบทุกวัน แต่ตอนนี้เหมือนเป็นคุณชายเวอร์ชั่นใสๆ ไม่มีพิษภัย ผมมองอย่างเผลอไผลอีกครั้ง



ผมถอนหายใจกับอาการของตัวเองที่ชักจะกำเริบขึ้นทุกวัน นี่แหละหนาที่เขาบอกว่าความรู้สึกคนเรามันช่างเข้าใจยากแท้ ผมนั่งปลงกับตัวเองซักพัก แล้วจึงลุกไปเตรียมอาหารและยาให้คนตรงหน้ากิน สลับตำแหน่งกันซะงั้น เมื่อวานผมยังป่วยอยู่เลย พอมาวันนี้ไอคุณชายกลับป่วยแทน นี่มันคนป่วย 2018 ซะจริงๆ







ก่อนที่ผมจะลงไปหาอะไรใส่กระเพาะตัวเองบ้าง ท่านประธานก็แวะมาหาผมเพื่อมาดูลูกชายตัวเองครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่เป็นอะไรมาก ก็ฝากฝังให้ผมช่วยดูแล แล้วก็เดินไปทำธุระของตัวเองต่อ ผมก็เห็นใจท่านนะ ถึงคราววัยที่ตัวเองจะเกษียณได้แล้ว แต่กลับต้องมาเจออะไรแบบนี้ ก็ต้องเหนื่อยกันต่อไป จนกว่าคดีนี้จะจบ



แต่ถ้าพูดถึงคดีนี้ ทำไมมันดูไร้ร่องรอยขนาดนี้ เหมือนกันว่าแผนถูกเตรียมมาอย่างดีจนไม่มีหลักฐานอะไรที่จะเอาผิดได้เลย ตั้งแต่เกิดเรื่องอุบัติเหตุขึ้นจนถึงทุกวันนี้นี่ก็ผ่านมาเดือนกว่าเกือบสองเดือนแล้ว หลักฐานล่าสุดที่คุณเลขามารายงานให้ไอคุณชายก็มีแต่รถกับคนขับที่ยังหาตัวไม่ได้ซักที ราวกับมันหายไปกับอากาศได้ยังไงยังงั้น ทางตำรวจก็ช่วยเต็มที่ แต่ก็ยังคืบหน้าไปได้ไม่ถึงไหน



แต่ทุกคนก็เหมือนจะปักใจเชื่อว่าเป็นเพราะตำแหน่ง และคนที่ท่าประธานสงสัยก็คือพวกคณะกรรมการที่เป็นหุ้นส่วนของบริษัทแห่งนี้ คลับคล้ายคลับคลาว่าผมเคยเห็นอยู่ครั้งหนึ่งที่ตึกนี้ แต่หลังจากนั้นก็ไม่เห็นอีกเลย แต่ไอคุณชายก็บอกอยู่ว่าเจ้าตัวไม่ค่อยได้เข้าบริษัท นานๆ ทีจะเห็นตัวซักครั้ง



ด้วยความที่ไม่มีหลักฐานจึงกล่าวหาลอยๆ ไม่ได้ หรือจะเป็นประเด็นของไอแสงที่เคยพูดว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของรุ่นที่แล้วที่ไม่เคยแพร่งพรายให้ใครรับรู้ นั่นก็อาจจะเป็นได้ เพราะเขาอาจจะมีเรื่องขัดแย้งกันทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันเกิดขึ้น



ผมนั่งครุ่นคิดคิ้วขมวดยับยู่ยี่ไปหมดก็ยังคิดไม่ออกว่าเหตุผลที่ก่อเหตุทั้งหมดนี้เป็นเพราะอะไร จากนั้นจึงเดินกลับบริษัท เพราะไม่อยากทิ้งไอคุณชายไว้คนเดียวนานๆ ระหว่างที่ผมเดินเหม่อคิดเรื่องคดี ก็ชนเข้ากับร่างสูงคนหนึ่งที่เดินสวนกันมาอย่างจัง



“ โอ๊ะ ขอโทษครับ ผมมองไม่ดูทาง เจ็บไหมครับ ” ผมรีบก้มหัวเล็กน้อยให้อีกฝ่ายเป็นเชิงขอโทษ



“ ไม่เป็นไรครับ คุณนั่นแหละเจ็บหรือเปล่า ชนซะแรงเลย ” ร่างสูงตรงหน้าหันมายิ้มให้ สายตาช่างคุ้นเคยเหมือนกับใครซักคนที่ผมเคยเห็น แต่ผมอาจจะคิดมากไปเอง เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไร ผมจึงเอ่ยขอตัวเบาๆ แล้วเดินจากมา



แต่ใครจะรู้ เมื่อผมเดินหันหลังไป ใบหน้าชายหนุ่มที่เปื้อนยิ้ม ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สายตาเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาอย่างรวดเร็ว และจ้องมองตรงมาอย่างหมายมั่นบางสิ่งบางอย่าง







โปรดติดตามตอนต่อไป....

เลทแล้วเลทเลย 5555555555

เลทมิเสื่อมคลาย

เลทจนต้องกราบกรานขออภัย


 :hao6:


ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0

ออฟไลน์ เจ้าหมีวุ่นวาย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ตอนที่ 13
" ผมชื่อ เนตรนภิศ "



เนตรนภิศ พากย์
 
 

หน้าตาดี บุคลิกใช้ได้ แถมดูแล้วเป็นคนไว้ใจได้พอสมควร
 

เป็นความรู้สึกของเขาเมื่อได้เห็นหน้าเจ้านี่เป็นครั้งแรก ถามว่าเขารู้ได้ยังไงน่ะเหรอ พูดตรงๆก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะเพิ่งจะเคยเห็นมันเป็นครั้งแรก แต่แค่ความรู้สึกผมบอกอย่างงั้น อาจจะเป็นเพราะหน้าตาซื่อๆทึ่มๆของเจ้าตัวล่ะมั้ง
 

เขาอาบน้ำอยู่ แต่ก็ได้ยินเสียงแว่วๆเหมือนคนคุยกันจากข้างนอก พอเดินออกมาก็เห็นผู้ชายคนหนึ่ง ตัวเตี้ยกว่าหน่อย เดินสำรวจรอบห้องเขาไม่พอ ยังหยิบนู่นหยิบนี่ตามอำเภอใจอีก คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของหรือไงกัน แต่เขาก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกไป แต่ก็ยืนอยู่ตรงมุมที่สามารถบังตัวเขาได้ และมองไปยังคนบุกรุกนี่เงียบๆ อยู่ๆมันก็เอาหัวโขกหน้าต่าง เขาจึงเดินเข้าไปใกล้ๆเพื่อดูว่ามันเป็นอะไร
 

เขายอมรับว่าแอบตกใจเมื่อเห็นเจ้านี่หันมา มันมองเขาเหมือนกับไม่เคยเห็น ตาตี่ๆของมันเบิกกว้าง แถมมองปากเขาแล้วกลืนน้ำลายนั่นอีก ทะลึ่งชิบหาย ก่อนที่มันจะเลื่อนสายตามาสบตาเขาช้าๆ มองอยู่เนิ่นนานจนมันคิดว่าท้องได้มั้งนั่น เขาจึงเลิกคิ้วหน่อยๆด้วยความแปลกใจในความแปลกประหลาดของมัน ได้ผลแฮะ มันสะดุ้งเฮือกใหญ่ คนอะไรขี้ตกใจชะมัด
 

และพอรู้ว่ามันมาเพื่อมาดูแลเขา ใจเขาก็คัดค้านอย่างแรง หน้าอย่างเจ้านี่อ่ะนะ มาเพื่อเรียกปัญหามาใส่ซะมากกว่า ไม่ได้มีแววจะสู้ใครได้เลย แต่เป็นเพราะพ่อเขาเรียกมันมา จึงจำเป็นต้องยอมรับอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะญาติดีกับมันนะ ก็แค่ต่างคนต่างอยู่กันไปแล้วกัน
 

แต่ต่างคนต่างอยู่ยังไง ก็ไม่จำเป็นต้องมาทำหน้าที่ถึงในห้องนอนนะเว้ย! ทำตั้งแต่มาปลุกตอนเช้า เขาถามมันว่าเข้ามาได้ยังไง เพราะปกติเขาจะล็อคประตูก่อนนอนทุกครั้ง มันก็ทำลอยหน้าลอยตาบอกว่าพ่อเอากุญแจให้มันเก็บไว้ชุดหนึ่ง เผื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยไว้ได้ทัน ซึ่งเขาอาจจะต้องกลัวมันมากกว่าที่คนร้ายเสียอีก คนอะไรหื่นชะมัดยาก มาจ้องเขาตาเป็นมันอยู่ได้ พอตัวเองโดนจับได้ก็ทำเป็นเสมองทางอื่น หน้าไม่อายจริงๆ แอบลวนลามทางสายตาอีก คิดว่าเขาไม่รู้ตัวน่ะสิ หึ
 

บางทีเขาก็กวนตีนมันไปงั้น เพราะหมั่นไส้ไอพนักงานดีเด่นของพ่อ และปฏิกิริยาท่าทางของมันก็ทำให้เขาเพลินดีเหมือนกัน ท่าทางเหมือนจะสุขุมก็ไม่ใช่ เหมือนจะโก๊ะๆก็ไม่เชิง มันผสมปนเปกันจนบางทีเขานึกว่ามันแอ๊บเก๊กไปงั้น จริงๆแล้วอาจจะปัญญาอ่อนก็เป็นได้
 

เขากลับมาไปทำงานหลังจากที่หยุดพักไปเพราะบาดเจ็บ งานก็ไม่ได้กองท่วมเพราะมีน้องชายเขา หรือเจ้านันท์และเลขาพ่อช่วยๆกันจัดการไปแล้วบ้าง เขาจึงเข้ามาทำต่อท่ามกลางเสียงคัดค้านของที่บ้าน แต่เป็นเพราะว่าเขาพักมานานเกินไปแล้ว ร่างกายผมก็ฟื้นฟูจนเกือบจะหายดีแล้ว แค่มีบางบริเวณอาจจะขัดยอกนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหามากมาย
 

และด้วยความที่เขาไม่ชอบอยู่เฉยๆแบบไร้ประโยชน์ เลยตัดสินใจกลับไปทำงานดีกว่า แต่คราวนี้ก็ต้องพ่วงบอดี้การ์ดหน้าตี๋นี่ไปด้วย เปรียบเสมือนเงาตามตัว
 

จริงๆแล้วเจ้านี่มันก็ใช้ได้ งานเล็กๆน้อยๆที่มันพอจะช่วยได้มันก็ทำเสร็จเรียบร้อยและไวมาก อาจจะเป็นเพราะมันเคยทำงานเลขามาก่อน จึงมีสกิลในด้านนี้ เลขาของพ่อบอกมาอ่ะนะ แต่สำหรับเขาแล้ว มันก็ยังขวางหูขวางตาอยู่ดี สลัดมันไม่หลุดจนกว่าเขาจะกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยไร้สิ่งตามรังควาญ แม้กระทั่งวิญญาณก็คงหมดสิทธิ์ตามเขา
 


และแล้ววันนั้นก็เกิดเรื่องจนได้
 


เขารู้สึกเบื่อๆเลยเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อย และก็ไม่รู้ว่าสองเท้ามันมาหยุดอยู่ที่ร้านนั้นได้ยังไง
 

ร้านที่ วรรณ ทำงานอยู่
 

เขาไม่รู้ว่าเธอยังทำงานอยู่ที่นั่นอยู่หรือเปล่า เพราะตั้งแต่เลิกกัน เราสองคนก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย จนกระทั่งเขาบินไปเรียนต่อที่เมืองนอก และได้ข่าวว่าเธอหมั้นหมายกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีฐานะพอสมควร ซึ่งเป็นคนคนเดียวกับที่เขาเคยเห็น เขาก็ไม่รู้ว่าไปรู้จักกันตอนไหน กว่าจะรู้เรื่องทั้งหมดก็วันนั้นเอง…
 


ภายนอกร้านฟ้าครึ้ม ฝนตกบางเบา แต่ก็บรรยากาศมืดมนพอที่จะทำให้ความรู้สึกเขาหม่นหมอง
 

‘ เนตรรู้ตัวมั้ยว่าเนตรไม่เคยมีเวลาให้วรรณเลย ’ เสียงสะอึกสะอื้นของวรรณ เสียดเข้าไปในหัวใจของเขา เขายืนมองเธอด้วยความเสียใจ และละสายจาไปมองมือของเธอที่ถูกชายอีกคนยืนจับอยู่อย่างแนบแน่นราวกับจะเยาะเย้ยเขา

‘ จนถึงตอนนี้ เนตรก็ยังเฉยชา วรรณถามจริงๆนะ เนตรเคยรักวรรณมั่งมั้ย ’ รักหรือ เขารักวรรณแน่นอนอยู่แล้ว แต่เพราะหน้าที่ที่เขาต้องแบกเอาไว้ ทำให้เขาไม่สามารถทำตามใจตัวได้มากนัก เขาเงียบ หลุบตาอย่างคนรู้สึกผิด ซึ่งในใจรู้ดีว่าคงกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เพราะภาพเบื้องหน้าบ่งบอกเขาได้ชัดเจนว่าเธอคงเลือกแล้ว

‘ ในเมื่อเนตรยังจะเป็นแบบนี้ วรรณก็คงไม่มีทางเลือก เราสองคน…’ เธอหยุดสะอื้นอย่างยากลำบาก ก่อนจะมองเขา ไม่หลบสายตา ดวงตาคู่นั้นที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี ภาพความทรงจำมากมายหลั่งไหลอยู่ในหัวเขา แต่วันนี้ดวงตาคู่นี้จับจ้องมาที่เขา คงไม่มีความรู้สึกดีๆหลงเหลืออยู่แล้ว เธอกำลังจะพูดประโยคถัดไปที่เขาเองรู้ดีว่าคืออะไร

‘ ผมยังรักวรรณอยู่เสมอ แต่ถ้าความรักของผมทำให้วรรณเป็นแบบนี้ สิ่งที่ผมเห็นในวันนี้ มันคงชัดเจนแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดมันออกมา ’ เขาเปิดปากพูดเป็นประโยคแรก
 

หลังจากที่เห็นเธอกับชายคนนี้ยืนจูงมือกันอยู่หน้าร้าน ถึงแม้ฟ้าฝนจะไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แต่สีหน้าของเธอสดใสมาก ซึ่งเขาไม่เคยเห็นสีหน้าของเธอแบบนี้มาตั้งแต่เราคบกันแรกๆ เขาเดินกางร่มมาที่ร้านเพราะต้องการจะเซอร์ไพรส์เธอ แต่กลายเป็นว่าเขาถูกเซอร์ไพรส์ซะเอง
 

เมื่อเธอหันมาเห็นเขา สีหน้าตกใจ รีบปล่อยมือที่กุมอยู่ แต่คงจะเป็นชายคนนี้ที่ไม่ยอม ในใจเขาเกิดข้อสรุปได้อย่างง่ายดาย
 

‘ วรรณไม่ผิดเลยที่จะทำแบบนี้ แต่เป็นผมที่ผิดเอง เพราะฉะนั้นสิ่งที่วรรณเลือกในวันนี้ ผมจะยอมรับและจะไม่โทษใครทั้งนั้น ’ เธอยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็ก โดยที่ชายข้างกายไม่ปล่อยมือเธอเลยซักวินาทีเดียว เขามองอีกฝ่ายพักหนึ่ง ซึ่งคนคนนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว แต่คงเป็นสายตาของที่สื่อออกมา อีกฝ่ายคงดูแลเธอได้ดีกว่าเขา

‘ ผมขอให้วรรณโชคดีนะ ’ เขาพูดได้เท่านี้และเป็นฝ่ายเดินออกมา เขาได้ยินเสียงชายคนนั้นปลอบวรรณอย่างอ่อนโยนไล่หลังมา เสียงวรรณที่ยังคงร้องไห้หนักไม่หยุด ก่อนที่จะเดินหายไปจากมุมตึก เขาตัดสินใจหันมามองอีกครั้ง และยิ้มบางๆกับภาพที่เห็น
 

เธอตัดสินใจถูกแล้วล่ะ
 

เขาเดินจากไปท่ามกลางสายฝนที่ตกแรงขึ้นราวกับจะกลบความเปียกชื้นบนหน้า
 

และกลบเสียงความเสียใจที่อัดแน่นอยู่ข้างใน…
 


เขาหยุดนิ่ง ความทรงจำหลั่งไหลมากมาย ก่อนที่จะรู้สึกถึงแรงกระแทกข้างหลังเบาๆ หันหลับมาเห็นบอดี้การ์ดตัวดียืนลูกหน้าผากตัวเอง สีหน้ามุ่ยมองผมค้อนๆ น่าแปลกที่ความรู้สึกเจ็บปวดยามที่หวนคิดถึงวันเก่าๆกลับเจือจางไปอย่างรวดเร็ว เขายอมรับว่าอารมณ์ดีทุกครั้งที่ได้แกล้งมัน
 

แต่ไม่ทันไร ตัวเขาก็ถูกเจ้านี่ผลักล้มไปด้านข้าง เหตุการณ์มันวุ่นวายอลหม่านไปหมด เสียงผู้คนร้องตกใจดังไปทั่ว เขาพยายามตั้งสติและหันไปมองตัวต้นเหตุที่ขับมอเตอร์ไซด์หนีไป ตามมาด้วยเจ้าบอดี้การ์ดที่ได้ลงสถานการณ์จริงซักทีที่ช่วยชีวิตเขาไว้อย่างหวุดหวิด สีหน้าซีดขาวและสายตาเป็นห่วงเป็นใยของมันกลับทำให้เขารู้สึกแปลกๆในใจ
 

เขาตกใจที่เห็นมันได้รับบาดเจ็บจึงรีบพามันกลับมาทำแผล ความรู้สึกหน่วงๆใจในที่มันคืออะไรกัน เขาคงบ้าไปแล้วที่รู้สึกแบบนี้ มองมันใกล้ๆ หน้าใสๆของมันทำให้เขาเผลอจ้องอยู่นาน อยู่ๆใจเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล จนมันสะดุ้งเพราะแสบแผล เขาถึงรู้ตัวว่ากดสำลีแรงไป จึงรีบดึงสติกลับมาก่อนที่อะไรๆมันจะบ้าบอไปกันใหญ่ ก่นด่าตัวเองในใจ
 


เขา – ยัง – ปกติ – ดี - อยู่!



ไม่พอแค่นั้น คืนวันนั้นเขานัดเพื่อนออกมาเจอกันหลังจากที่ไม่ได้เจอมันสักพัก เพื่อนคนนี้เป็นเพื่อนสนิทเขาตั้งแต่สมัยเรียนมหา'ลัย เจอกันไปเจอกันมาอยู่ๆมันก็มาสนิทกันเฉย เพื่อนๆคนอื่นก็เจอกันบ้างประปราย แต่คนนี้จะเจอบ่อยที่สุด และเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องราวระหว่างเขากับวรรณ คุยอัพเดตชีวิตกันไปเรื่อยจนถึงเวลาก็กลับ เพราะเพื่อนเขารีบกลับไปหาเมียที่เพิ่งคลอดลูก ก่อนกลับมันยังแอบถามเลยว่าเขายังไม่มีคุยกับใครอีกเหรอ หน้าตาก็ดี ฐานะก็ดี น่าจะหาคนไม่ยาก


แต่ก็นั่นแหละ คนมันไม่ใช่ต่อให้พยายามหายังไงมันก็ไม่ใช่ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องนึกถึงหน้าไอตี๋นั่นตอนเพื่อนเขาถามนะเว้ย ให้ตาย!


นั่นมันทำให้เขายิ่งฟุ้งซ่านเข้าไปใหญ่ ไอเพื่อนเขาก็ทำหน้าเหมือนรู้ทันอีก เขาเลยไล่กลับไปหาลูกหาเมียซะ จะได้เลิกวุ่นวายทำให้เขานั่งเป็นบ้าเนี่ย ส่วนตัวเองก็นั่งต่ออีกหน่อย


แต่ถ้าเขาตาไม่ฝาด หรือว่าเห็นภาพหลอนน่ะนะ เขารู้สึกว่าเหมือนเห็นไอตี๋นั่นนั่งอยู่โต๊ะหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากโต๊ะเขาเท่าไหร่ แต่โต๊ะตรงโซนเขาเป็นโซนไพรเวต ส่วนใหญ่จะเป็นพวกคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว จึงทำให้โซนโต๊ะภายนอกมองไม่เห็นข้างใน นั่นก็ทำให้ตอนนี้ เขากำลังจ้องไปที่โต๊ะของไอตัววุ่นวายในหัวใจ อะแฮ่ม ในชีวิตเขาอยู่ เห็นจากไกลคือหน้ามันกำลังกรึ่มๆได้ที่ แต่มันไม่ได้นั่งคนเดียว กลับกันก็มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย สรุปแล้วใครมอมใครกันแน่ล่ะนั่น


เขาเริ่มไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ตอนที่เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังลูบมือ 'คนของเขา' อยู่ ผู้หญิงดีๆที่ไหนจะจับมือผู้ชายก่อนวะ แล้วแถมไอนั่นมันก็ยอมให้เขาจับอยู่นั่นแหละนะ ทำหน้ากะริกกะรื้อใหญ่ โดยที่ไม่รู้ตัวคือคิ้วเขาขมวดจนยุ่งไปหมด แล้วที่น่าตกใจคือ ทำไมเขาต้องมาอารมณ์เสียด้วยเนี่ย นั่งสงบสติกับตัวเองพักใหญ่ เลยเรียกพนักงานเช็คบิล ครั้งที่แล้วเพื่อนเขาเลี้ยง ครั้งนี้เขาเลยเลี้ยงเพื่อนกลับ แฟร์ๆดี ไม่เอาเปรียบกัน


เขาลุกออกจากโต๊ะ เลิกสนใจโต๊ะนั้นแล้วเดินไปห้องน้ำก่อนแล้วค่อยกลับ และตอนที่เขาออกจากห้องน้ำนั่นเอง ก็เห็นคนที่ทำให้เขาเป็นบ้าเดินเมาโซเซจะมาเข้าห้องน้ำ ด้วยสภาพแบบนี้ไม่รู้เลยว่าจะรอดไปถึงโต๊ะไหม เขาเลยยืนอยู่ที่เดิมเพื่อรอให้มันเดินเข้ามา โชคดีที่ตอนนั้นไม่มีใครอยู่บริเวณนั้น จึงทำให้ไอคนเมาเนี่ยมันเดินได้โดยไม่ชนใคร แถมเอาแต่เดินก้มหน้า เขาเลยส่ายหน้าด้วยความจนใจปนหมั่นไส้ ให้มันเดินผ่านตัวเขาเข้าห้องน้ำไปก่อน รอมันออกมากะว่าจะแกล้งชนมันนิดหน่อยตอนมันเดินออกมาถึงตัวเขา



และหน้ามันตอนที่เงยหน้ามองเขาก็เป็นอะไรที่ทำให้เขาอารมณ์ดีได้จริงๆ คนอะไรเหวอได้น่ารักขนาดนี้


เดี๋ยวนะ น่ารักเหรอ? เขากำลังคิดอะไรอยู่วะ


จากนั้นเขาก็จัดการดึงตัวตัวเล็กกว่ากลับไปที่โต๊ะของมัน โต๊ะว่างเปล่าไม่มีผู้หญิงคนนั้นอยู่แล้ว แต่ก็ดี ไปซะเถอะ อย่ามายุ่งกับคนเมาเลยไม่ดีหรอก นั่งแหย่มันไปสักพัก เพลินและสนุกดี สรุปแล้วต่อไปถ้าวันไหนรู้สึกอารมณ์ไม่ดีให้มาแหย่มันจะดีขึ้นพิลึก เป็นตัวบำบัดอารมณ์ชั้นดี และที่ตลกกว่านั้นคือ มันโดนเพื่อนทิ้งให้กลับเอง น่าสงสารซะจริง หญิงก็นก เพื่อนยังมานกใส่อีก


เขาเลยรีบเสนอตัวเองเพื่อจะไปส่งมันเอง ยังแปลกใจกับตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องทำขนาดนี้ ทั้งๆที่ปกติก็ให้กลับเองก็ได้ ผู้ชายมันไม่เป็นอะไรหรอก แต่พอคิดว่าเมาๆแบบนี้แล้วยังต้องกลับเอง มันทำให้เขารู้สึกอยากไปส่งมันเฉยๆ ก็ตามประสาเวลาเห็นคนลำบากก็อยากช่วยแหละมั้ง เขาก็คนดีพอที่จะไม่ปล่อยให่้คนเมาที่สติสะตังไม่มีกลับเองหรอก (นั่งปลอบใจตัวเอง) สุดท้ายแล้วก็ลากมันไปขึ้นรถของตัวเอง และก็ขับไปส่งมันจริงๆ


ถึงจะรู้สึกแปลกที่ต้องขับรถให้คนที่ปกติต้องขับรถให้เขา แต่เขาก็ไม่นึกเดือดร้อนอะไร กลับเบาใจซะอีก ขับไปได้สักพักเลยหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆก็เห็นหลับคอพับไปเรียบร้อยแล้ว เขาส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ คออ่อนขนาดนี้เพื่อนมันปล่อยให้อยู่คนเดียวได้ยังไง ไม่กลัวอันตรายหรือไงกัน จนขับถึงคอนโดของเจ้าตัว ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น และก็ไม่รู้วันนี้เขาอารมณ์ดีหรืออะไร นั่งรอคนบางคนตื่นเนี่ย แต่จะว่าไปดูไปดูมามันก็เพลินดี ตอนมันตื่นขึ้นมาแล้วตาลีตาเหลือกลงจากรถก็ตลกดี พลางคิดในใจ



อยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆ จะได้รอใครบางคนมาปลุกถึงที่นอน



โปรดติดตามตอนต่อไป....


เปิดกรุความในใจของคุณพี่เนตรรรรรร


 :hao6:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ เจ้าหมีวุ่นวาย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ตอนที่ 14
" นอกจากครอบครัวแล้ว ก็มีแต่นายที่ฉันไว้ใจ "




ผมนั่งอยู่บนโซฟารับแขกในห้องของไอคุณชายจนถึงเวลาเลิกงาน จึงได้เห็นเจ้าตัวเดินออกมาจากห้องนอน สีหน้าค่อยยังชั่วขึ้นและรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น หลังจากได้อาบน้ำ ผมมองตามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินมานั่งที่โต๊ะทำงาน ทำทีจะสะสางงานตรงหน้าให้เสร็จ คนที่เพิ่งจะหายป่วยเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นเอกสารที่ผมกองแยกลำดับความความสำคัญเอาไว้
 

“ นายเป็นคนทำทั้งหมดนี่เหรอ ”


“ ใช่ครับ ผมกลัวว่าเอกสารจะกองเยอะเกินไปจนคุณปวดหัว จึงแยกไว้ให้ครับ ” ผมเอ่ยตอบขณะที่กำลังเก็บลงกระเป๋าตัวเอง


“ ทำดีนี่ นายเคยเป็นเลขาใช่ไหม เห็นพี่ดาบอกมา ”


“ ใช่ครับ แต่ทำได้ไม่นานก็ต้องออก ”


“ ทำไมถึงออกล่ะ เห็นว่าบริษัทเก่าก็ดีนี่นา ใหญ่ด้วย ” ผมควรจะบอกถึงเหตุผลอันอุบาทว์ให้ไอคุณชายฟังดีมั้ย ว่าผมโดนประธานโรคจิตหวังจะหยิบยื่นโอกาสอันน่าสะอิดสะเอียนให้เพื่อแลกกับการฟันข้างหลังผมสักครั้ง ขนาดพ่อแม่ผมยังไม่อยากเล่าให้ฟังเลย ไอแสงเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องนี้


“ มีปัญหานิดหน่อยครับ เลยออกมาน่าจะดีกว่า ” ผมตอบเลี่ยงไป เพราะไม่อยากพูดถึง


“ อ้อเหรอ ไม่ใช่ว่าเกือบโดนจับกดเหรอเลยออก ” ผมหันหน้าขวับมามองคนพูด อ้าปากค้าง ทำไมมันรู้วะเฮ้ย รู้ได้ยังไง!


“ สงสัยล่ะสิฉันรู้ได้ยังไง ” เจ้าตัวพูดด้วยน้ำเสียงกระหยิ่มใจ เมื่อเห็นสีหน้าช็อคโลกของผม


“ ความลับ หึๆ ” ว่าแล้วก็นั่งก้มหน้าเคลียร์กองงานตรงหน้า สีหน้าดูพออกพอใจที่แกล้งผมได้ น่าจะป่วยๆไปต่อให้มันรู้แล้วรู้รอด พอหายแล้วนิสัยเสียเดิมๆก็กลับคืนมา ไอบ้าเอ้ย!


“ ก็ไม่อยากรู้นักหรอก ว่าแต่แล้วนี่เลิกงานแล้วนะครับ คุณจะกลับกี่โมง ”


“ เดี๋ยวฉันขอเคลียร์งานเร่งๆที่นายจัดไว้ก่อนนะ นายหิวยัง ถ้าหิวสั่งอะไรขึ้นมากินก็ได้ ” ไอคุณชายพูดไปนั่งก้มหน้าพลิกเอกสารบนโต๊ะไป


“ ผมยังไม่ค่อยหิวครับ รอส่งคุณกลับบ้านก่อนดีกว่า ”


“ ตามใจนะ ฉันขอเวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง ” ผมพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ หลังนั่งพิงโซฟา หยิบมือถือขึ้นมาเช็คความเคลื่อนไหว เปิดแอพพลิเคชั่นสีเขียวยอดฮิตขึ้นมาเคลียร์แชทที่คั่งค้าง
 

แชทของไอแสง


แชทของที่บ้าน


แชทของเพื่อนทั้งหลาย


แชทของสาวๆที่เคยคุย (อุ้ย)


และตามเคย แชทของแดน
 

ด้วยความสงสารและเห็นใจ ผมเปิดตอบของคุณแดเนียลก่อนคนแรก หลังจากที่ค้างไปสองสามวัน ปกติผมเป็นคนขี้เกียจตอบมากถึงมากที่สุด จะมีก็ไอแสงนี่แหละที่ตอบบ่อยๆ เพราะมันตอบเร็วมาก และมีเรื่องอัพเดตตลอดเวลา ผมจึงกลายเป็นคนเพื่อนทิ้งเพราะไม่ติดต่อใครเลย อยู่กับไอแสงจนอีกนิดจะกลายเป็นผัวเมียกันละ (ฮา)


‘  เฮ้ ขอโทษนะ ผมไม่ได้ตอบซะนาน ’   ผมพิมพ์ส่งให้เขาก่อนจะกดออกไปตอบคนอื่น
 

อยู่ๆมือถือผมสั่น มีคนตอบแชทกลับ ผมจึงกดออกจากแชทหนึ่งเพื่อไปดู หูย คุณแดนเนียลตอบเร็วมาก แม่งสิงมือถืออยู่เหรอไงวะ

 
‘ ไม่เป็นไร ฉันชินแล้ว ’   รู้สึกเหมือนถูกด่ายังไงชอบกล ผมอมยิ้ม พิมพ์ตอบไปอย่างรวดเร็วแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ปกติจะดองไว้้อ่ะนะครับ


‘ นายเป็นไงบ้างช่วงนี้ ’


‘ สบายดีนะ งานเยอะนิดหน่อย แต่โดยรวมโอเค แล้วนายล่ะ ’


‘ เหมือนเดิมแหละ เออใช่ ผมได้งานใหม่แล้วนะ ’
 

เขาหายไปพักหนึ่ง แชทผมถึงขึ้นว่าอ่านแล้ว
 

‘ ถ้านายยุ่งอยู่ก็ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวค่อยคุยกันก็ได้ ’ ผมเกรงใจเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายงานยุ่งหรือเปล่า


‘ ฉันมีเวลาเสมอแหละถ้าเป็นนาย ’   หืมม นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนเก่า ผมนึกว่ามันจีบผมอยู่นะเนี่ย ผมจึงแซวมันไปขำๆ


‘ เขินจัง เดี๋ยวแฟนนายจะหึงเอานะ ’


‘ ฉันโสด ’


‘ ล้อผมเล่นปะเนี่ย หล่อๆอย่างนายเนี่ยนะยังโสดอยู่ ’


‘ ฉันจะโกหกเพื่อ? จีบนายได้ปะล่ะ ฮ่าๆ ’   เริ่มกวนนิดๆแล้วแฮะ ผมนั่งด่ามันในใจอยู่ มันก็พิมพ์กลับมาอีก ‘ ช่างเถอะ ยังไงฉันก็แสดงความยินดีด้วยนะ ที่ได้งานใหม่ ’


‘ แต๊งกิ้วมาก ผมเริ่มมาได้เกือบสองเดือนแล้ว ’


‘  ชื่อบริษัทอะไรล่ะ ’


‘ โอฬารกรุ๊ป นายเคยได้ยินปะ ’


‘  หืม คุ้นๆอยู่นะ ว่าแต่ตำแหน่งอะไรล่ะ ’  นั่นไง กูจะตอบยังไงดีไม่ให้มันขำท้องแตกวะเนี่ย จะบอกว่าเป็นบอดี้การ์ด ก็เห็นภาพมันมองตัวผมขึ้นลงช้าๆ พร้อมสายตาเหยียดหยันในศักยภาพของผมนั่น ชัดขึ้นมาในหัวทันทีราวกับจิตสัมผัสเลย


‘ เลขาครับ ’ เอาแบบนี้แล้วกัน ดูมีภูมิ


‘  อ้อ ทำดีๆแล้วกัน อย่าให้เขาเตะออกอีกล่ะ ’   ไอคุณแดน! กวนตีน!


‘ *สติกเก้อเป็ดหน้าเอือม* ’


‘ *สติกเก้อหัวเราะ* ’ ผมเบ้หน้าใส่แชทมัน ประหนึ่งว่ามันเห็น ก่อนจะไปตอบแชทอื่นที่เยอะมากมายก่ายกอง ตามประสาคนฮ็อต (แดก) ล้อเล่นครับ แชทร้างขนาดนี้ ก็มีแต่ไอแสงนี่แหละที่กระหน่ำทักมา
 

มือถือผมสั่น มีคนตอบแชทมาตอนที่ผมตอบแชทไอแสงเพื่อนผมอยู่ ผมคิดในใจว่าเดี๋ยวค่อยตอบ ก่อนที่เงาร่างหนึ่งค่อยๆบดบังแสงไฟ ผมเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
 


เชี่ยยยยย



ผมตกใจจนตาแทบถลน ใบหน้าของไอคุณชายหน้าวอกอยู่ใกล้จนจมูกของเราแทบจะชนกัน ผมหยุดหายใจอัตโนมัติ นั่งตัวเกร็งไม่กล้าขยับตัว กลัวว่าถ้าขยับนิดหนึ่งอะไรๆมันจะชนกัน สายตาผมจ้องเข้าไปยังนัยตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น ก่อนที่จะรู้สึกว่าตัวเองร้อนวูบวาบไปทั่วร่างกาย ความรู้สึกของปลากัดเวลามันจ้องตาอีกฝ่ายแล้วท้องคงเป็นแบบนี้ใช่ไหม ฮืออ หัวใจเกือบวาย
 

ส่วนร่างสูงตรงหน้าผมนั้น สีหน้ายังคงเรียบเฉย มีก็แต่สายตามันที่มองไปทั่วหน้าผมก่อนจะหยุดลงที่ริมฝีปากของผม บรรยากาศหวาบหวานนี่คืออะไร นี่มันเรื่องจริงนะไม่ใช่การ์ตูนสาวน้อย ไอดอกไม้ที่อยู่หลังใบหน้าของไอคุณชายผุดขึ้นมาเต็ม ออกไปซะ! (ผมเคยไปขโมยน้องสาวผมอ่านมา)
 

ผมหลับตาปี๋ เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำทีจะขยับใกล้เข้ามาอีก ลมหายใจแผ่วๆที่ผมสัมผัสได้ ในใจท่องนะโมเวอร์ชั้นจีนไปสิบจบแล้ว
 

“ หึ กลัวหรือไง ”  ผมลืมตาขึ้นข้างหนึ่งเพื่อแอบมอง แต่ก็ยังไม่วายเห็นเจ้าตัวยังยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้ผละตัวออกไป ฮือ ป๊าจ๋าม๊าจ๋า ตอนนี้รู้สึกรักป๊ากับม๊าจังเลย ต่อไปจะโทรหาบ่อยขึ้นนะครับ ผมได้แต่ร้องไห้ในใจ
 

“ เฮ้ย นาย…กลัวจนร้องไห้เลยเหรอ ” เสียงอีกฝ่ายดูตกใจ ก่อนจะผละตัวออกไป


“ ร้องอะไร ผมไม่ได้ร้อง… ” ผมเอามือลูบหน้า และตกใจเมื่อปลายนิ้วมือผมแตะโดนความชื้น กูจะร้องไห้ทำไมฟระ! โอ้ย ไอรัก ไอง่าว!
 

หมดกัน ความแมนโดยสมบูรณ์แบบของผม
 

ผมรีบดันร่างสูงออกไปเบาๆ ลุกเดินไปที่ห้องน้ำ พลางเช็ดน้ำตาให้แห้ง ปิดประตูให้สนิทแล้วนั่งยองปิดหน้าปิดตาตัวเองอย่างอับอายที่สุดในโลก อยู่ๆไปร้องไห้ให้เขาเห็นได้ยังไง การที่ร้องไห้ในใจ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องร้องออกมานะเฟ้ย (ด่าตัวเอง) ยิ่งในหัวนึกถึงเหตุการณ์อันน่าหวาดเสียวเมือกี้แล้วยิ่งทำให้ผมแทบหยิกหน้าตัวเองให้เจ็บตายไปเลย
 

หลังจากที่กวักน้ำล้างหน้าล้างตาเป็นที่เรียบร้อย เรียกว่าแทบจะอาบหัวได้แล้วดีกว่า ผมก็เดินสะโหลสะเหลออกมาจากห้องน้ำ กวาดตามองหาไอตัวปัญหา แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงถอนใจด้วยความโล่งอก เดินเก็บของตั้งใจว่าจะไปรอที่รถเพื่อตั้งหลักก่อน ย่องไปทีละก้าวสองก้าว นี่กูจะย่องทำไมกัน
 

“ นั่นนายจะไปไหน ” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยดังมาทางมุมห้องหนึ่งทำให้ผมสะดุ้งตกใจ ผมไม่กล้าหันไปสบตาจึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น


“ ฉันถามว่านายจะไปไหน ” เมื่อได้ยินเสียงเค้นถามอีกครั้งผมจึงตัดสินใจหันกลับมา สบตากับคนที่ทำให้ใจผมสับสนอีกครั้ง


“ ไปรอที่รถครับ ” ผมตอบเสียงแผ่ว ก้มหน้าลง
 

อีกฝ่ายเงียบไปเหมือนกับว่ากำลังใช้ความคิด ผมได้แต่ยืนตัวลีบอยู่ที่เดิม รอรับคำสั่งต่อไป แต่ก็ได้ยินแต่เสียงแอร์ที่ดังหึ่งเบาๆ และเสียงฝนที่ตกตั้งแต่ตอนไหนผมก็ไม่ทันได้รู้ตัว ความรู้สึกอึดอัดแปลกๆประท้วงอยู่ในใจ ผมไม่รู้และคาดเดาไม่ได้ว่าในใจของไอคุณชายคิดอะไรอยู่ แต่ที่รู้ๆเลยคือ เราสองคนต่างไม่ได้ชอบเพศเดียวกัน เป็นชายแท้ทั้งคู่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมกำลังรู้สึกนั้นมันเป็นไปไม่ได้ ผมพร่ำบอกตัวเองมาตลอดว่าให้ใจแข็ง
 

แต่ลืมไปว่า หัวใจมันไม่เคยโกหก
 

ความคิดของเราต่างหากที่เป็นตัวกล่อมให้เราเชื่อในสิ่งบางสิ่งที่ตรงกันข้ามกับหัวใจ
 

เขาเป็นทายาทร้อยล้านพันล้าน เป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม ส่วนผมเป็นคนพื้นเพกลางๆ ดูแล้วก็ไม่น่ามีส่วนไหนที่สามารถเข้ากันได้เลย
 

เดี๋ยวก่อนนะ นี่ผมกำลังคิดถึงความเป็นไปได้ของผมกับเขางั้นเหรอ อาการหนักแล้วไอรักเอ้ย!
 

ความอ่อนไหวในใจกำลังเหยียบผมให้จมดิน
 

ผมไม่รู้ว่าในห้องนั้นเงียบมานานขนาดไหน ผมยกมือทั้งสองขึ้นกุมหน้า เหมือนคนอยากจะร้องไห้ แต่ร้องไม่ออก
 

หลังจากนั้นผมก็ได้ยินเสียงคนถอนหายใจ ก่อนที่ผมจะรู้ตัว มืออุ่นของอีกคนก็ดึงมือผมออกจากใบหน้าช้าๆ สายตาผมต้องกลับไปเผชิญกับสิ่งที่ผมอยากจะหลีกหนีไปให้ไกลอีกครั้ง ใบหน้าของคนที่ผม….กำลังตกหลุมรัก ไม่อยากจะยอมรับเลยให้ตาย
 

“ นายไม่ได้ทำอะไรผิด คนที่ผิดคือฉันเอง เพราะฉะนั้นนายไม่จำเป็นต้องหงอยเป็นหมาโดนทิ้งขนาดนี้ ” ไอคนเขียน ลบประโยคข้างบนของผมเดี๋ยวนี้ ผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมเกลียดมัน!


“ แต่นายฟังนะ สิ่งที่ฉันทำไปทั้งหมด ฉันมีสติครบถ้วนและรู้ตัว ” คนพูดเน้นย้ำประโยคหลังเป็นพิเศษ นี่ไอคุณชายกำลังบอกอะไรผมอยู่งั้นเหรอ


“ คุณ… ” ผมกำลังจะถาม แต่โดนคุณชายทำสัญญาณจุ๊ปากให้เงียบซะก่อน


“ ปล่อยตัวตามสบายเถอะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ตอนนี้สิ่งที่ฉันต้องมุ่งมั่นก็คือเรื่องคดี ” ร่างสูงตรงหน้าผมลูบมือผมในอุ้งมือตัวเองเบาๆ ผมเหมือนคนสติลอยไปชั่วครู่หนึ่ง แต่แล้วสติของผมก็ถูกดึงเข้าร่าง ด้วยคำพูดของอีกฝ่าย
 

“ เพราะงั้น…ช่วยอยู่เคียงข้างฉันได้ไหม ”


“ … ”


“ นอกจากครอบครัวแล้ว ก็มีแต่นายที่ฉันไว้ใจ ”
 

โอย หัวใจ อย่าทำให้ผมตกหลุมลึกไปกว่านี้เลย






ผมเดินตามแรงดึงจากมือของร่างสูงตรงหน้า หน้าเห่อร้อนไปหมดเมื่อได้ฟังสิ่งที่เขาพูด บอกตามตรงนะ ถึงไม่มีคำว่ารักหลุดจากปากของไอคุณชาย ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกสารภาพรักยังไงชอบกล


“ เดี๋ยววันนี้ฉันขับเอง นายนั่งเฉยๆเถอะ ” คนที่จูงมือผมมาตลอดทางหันมาพูดกับผมเมื่อถึงรถ


“ ขอบคุณครับ ”


“ ไม่ต้องขอบคุณหรอก ฉันกลัวไม่ถึงบ้านมากกว่า สติสตังดูท่าจะหล่นหายไปขนาดนี้ ”


“ คุณว่าผมอีกแล้วนะครับ! ” อีกฝ่ายหัวเราะชอบใจ แล้วรีบผลักหัวผมให้นั่งเข้าไปในรถ ปิดประตู จากนั้นก็อ้อมมานั่งฝั่งคนขับ
 

เสียงเพลงคลอเบาๆจากวิทยุช่องโปรดของผมเมื่อเจ้าตัวเอื้อมมากดปุ่ม เพิ่งรู้ว่าไปคุณชายก็ฟังเพลงแนวเดียวกับผมซะด้วย เห็นปกติไม่ค่อยจะเปิดเพลงเท่าไหร่ นึกว่าจะไม่มีอารมณ์สุนทรีย์ซะแล้ว
 

“ เมื่อกี้นายนั่งคุยไลน์กับใครอ่ะ เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ” ไอคุณชายพูดขัดเพลงที่ผมกำลังอินเลย


“ ตอนไหนครับ ”


“ ก็ตอนที่ฉันไปยืนดูแล้วอยู่ๆนายก็เงยหน้าขึ้น แล้วเราก็เกือบ… ”


“ สต็อปครับ! ได้โปรดอย่าย้อน ” ผมรีบยกมือห้ามไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะทำให้ผมย้อนกลับไปนึกถึง ‘ เหตุการณ์ ’ นั้นอีกครั้ง


“ แหม แก้มแดงเชียว เขินเหรอไง ”


“ เขินบ้าบออะไรครับ ผมจะมาเขินกับผู้ชายทำไมกัน ”


“ หึๆ ก็เห็นอยู่ชัดๆ ” ยังไม่วายพูดลอยๆมาให้ผมได้ยินอีก ไอคุณชายบ้านี่ เดี๋ยวแม่ เอ้ย พ่อถีบตกรถ “ เอาเถอะๆ สรุปนายคุยกับใคร ”


“ เพื่อนครับ ” ผมตอบเสียงเหวี่ยง


“ เพื่อนคนที่ไปกับนายที่บาร์วันนั้นอ่ะเหรอ ”


“ คุณจำได้ด้วยเหรอครับ ”


“ ก็ฉันอยู่ในเหตุการณ์ที่คนบางคนโดนเพื่อนทิ้งหนีไปกับสาวน่ะสิ ” ว่าจบแล้วหัวเราะเสียงดัง แสดงให้เห็นถึงความจริงใจในความสะใจระดับร้อยเลยครับ ผมไม่ตอบ หันหน้าขวับเข้าหากระจก


“ เอาน่า ฉันก็แซวเล่น นายอย่าถือสาฉันเลย เวลาฉันให้ความสนใจใครก็เป็นงี้แหละ ” ผมรีบหันหน้าไปทางคนพูด สีหน้าตื่นตกใจ ความร้อนเริ่มคืบคลานขึ้นใบหน้าอีกแล้วครับท่าน นี่เตาอบเคลื่อนที่หรือเปล่า ขยันให้กูร้อนจังโวะ


“ คุณพูด...อะไรนะครับ ” ดูสิ ไปไม่ถูกเลยกู ชีวิต


“ ตามนั้นแหละ ถึงบ้านฉันแล้ว เข้าบ้านไปเอารถได้แล้วไป๊ รีบกลับบ้านนอน ”
 
 
ผมหลบหน้าอันร้อนๆของผมสุดฤทธิ์ ไม่ยอมให้ไอคุณชายนี่เห็นเป็นอันขาด รีบเดินเข้าโรงรถเพื่อไปเอารถของตัวเอง ส่วนไอบ้าที่ขยันทำให้ผมเขินนั่นนั้น ปล่อยมานนน หัวใจผมจะระเบิดแล้ว
 

ผมเข้าไปนั่งในตัวรถ ก่อนที่จะปิดประตู มืออันขาวผ่องเป็นยองใยแม้ในที่มืดก็รีบดึงประตูผมเอาไว้ เจ้าตัวเอาแขนเกยหลังคารถ ก้มหน้ามองผมที่อยู่ในรถเรียบร้อยแล้ว


“ กลับบ้านดีๆล่ะ เดี๋ยวฉันทักไปถามนะว่าถึงยัง ”


“ ไม่ต้องก็ได้ครับ ” ผมพูดพึมพำเบาๆ รีบก้มหน้าทำทีเป็นมองพวงมาลัย


“ หึ ”


“ ผมกลับก่อนนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ ” ผมพูดแล้วรีบดึงประตูที่อีกฝ่ายยึดเอาไว้เบาๆ แต่ก็ยังปิดไม่ได้ ผมกำลังจะเงยหน้าขึ้นไปบ่น


“ เวลานายเขินนี่… น่ารักดีนะ ”


แอคเเทคนี้ท่านได้แต่ใดมาาาาาาา!
 

ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังกว่าเสียงหัวเราะของไอคุณชายที่หันหลังเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านซะอีก
 

ฮือ ป๊าจ๋าม๊าจ๋า ผมอยากกลับบ้าน
 

ผมฟุบหน้าลงกับพวงมาลัย มือกุมที่หัวใจ
 

ไม่ไหวแล้วไอรักเอ้ย เอ็งตายแน่




โปรดติดตามตอนต่อไป....


คุณพี่รักรุกก่อนไม่รอแล้วนะคร้าบบ



มาถึงช่วง ตอบคอมเมนท์ค่ะท่าน!!!

เผอิญว่าไรท์ก็เพิ่งจะมาใช้เว็บไซต์นี้ครั้งแรก เลยไม่รู้ว่าเล่นอะไรยังไง เอาเป็นว่าเอาที่ไรท์สบายใจละกันเนอะ (ใครสบายใจกับเอ๊งงง) ก็ฉันจะตอบแบบเน้!

คุณ AkuaPink ขอบคุณน้าคะที่เข้ามาติดตามตั้งแต่ยังไม่อัพเรื่องเลยย แต่ไม่รู้หลังจากนั้นยังเข้ามาอ่านอยู่หรือหายไปแล้ว 55555
คุณ MayuYume เข้ามาเมนท์คนแรกเลยยยย ต้องขอบคุณจริงๆค่ะ ตอนนั้นไรท์ยังคิดอยู่เลยว่าจะมีใครเข้ามาอ่านมั้ยวะ ฮ่าๆ
คุณ cavalli เข้ามาส่งสติกเกอร์ให้ทุกครั้งเลยง่ะะ ดีใจมากก ขอบคุณเหมือนกันน้าที่เข้ามาอ่าน
คุณ blove ขอบคุณน้าที่ชมนิยายเรื่องแรกที่เซไปเซมากว่าจะได้ตอนนึงของไรท์ ซาบซึ้ง ฮืออออ
คุณ k2blove  ส่งสติกเกอร์ช็อคหมายความว่ายังไงค้าาา 555555
คุณ snoopyme  ให้เฉลยเลยมั้ยคะ อิอิ
คุณ nightsza  คุณเขาเนียนค่ะ ไม่รู้ว่าได้นิสัยจากใครมาอ่ะนะคะ (ไรท์ตีมึน 55555)
คุณ psychological ขอบคุณที่เข้ามาติดตามนิยายเรื่องแรกของไรท์น้าาา
คุณ GBlk ไรท์ขอขอบคุณค้าบบที่เข้ามาติดตาม มีอะไรติชมได้นะค้าาา
คุณ iceman555 แดเนียลรอคู่อยู่ค่ะ เชียร์ใครก็ชงเยอะๆนะคะ 555555
คุณ Tassanee แอร๊ยยยยยยยยยย จิกหมอนขาดดด (ไรท์ตื่นเต้นยิ่งกว่า)

ปล.ขอบคุณทุกทู๊กคนนนนนนนนน ที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้นะค้าาา มีอะไรสามารถติชมได้เลยค่ะ ถ้าจะยิ่งดีแนะนำคนมาอ่านเยอะเยอะ ไรท์จะได้มีกำลังใจท่วมท้น จะได้ไม่ขี้เกียจ เอ้ย ไม่ลีลา เอ้ยยย ไม่รีรอที่จะอัพตอนต่อไปค่ะ 5555555

 :call:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-10-2020 10:36:09 โดย เจ้าหมีวุ่นวาย »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
คืบหน้าแร้ววว

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
มีเขิน มีชมกันแล้วงานนี้

ที่ส่งสติกเกอร์ช็อค เพราะแดเนียล ตอบตรงมากครับ เลยแอ็บเป็นรัก ตกใจแทนอ่ะ
 :m23: :m23: :m23:

ออฟไลน์ เจ้าหมีวุ่นวาย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ตอนที่ 15
" สนใจไหมล่ะ? "



และหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นเป็นต้นมา ชีวิตผมก็ไม่เคยสัมผัสคำว่าสงบสุขเลยครับ คุณท่านประธานคุณภรรยาของท่านประธาน พวกท่านจะรู้บ้างไหมว่าลูกชายท่านกลายเป็นแบบนี้ไปซะแล้ว ผมกลับคอนโดทุกวันแทบไม่มีแรงเหลือให้ทำอะไร รวมทั้งเรื่องงานด้วย เพราะโดนไอบ้านั่นสั่งหัวหมุนทั้งวัน! ไอบ้าหน้าขาว (?)
 

บางวันก็ดีหน่อย ยอมให้ผมนั่งทำงานไปเงียบๆ แต่ก็ยังมิวายสั่งให้เข้าไปทำข้างในห้อง เพราะอยากเห็นหน้าเฉยๆ ถามว่าผมเขินไหม
 

เขินสิวะ!
 

จะมีอะไรไปมากกว่าการที่โดนจ้องหน้าทั้งวันจนไม่มีสมาธิ เกิดมาก็เคยแต่ไปแอ๊วคนอื่นเขา เนี่ย กรรมตามสนองมึงใช่ไหม เฉกเช่นเดียวกับวันนี้ ตัวผมก็นั่งอยู่ในห้องเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือคุณเลขาที่มาอธิบายโปรเจ็คใหม่ที่ทางบริษัทวางแผนจะขยายตลาด โดยที่ผลิตภัณฑ์จะเป็นตัวใหม่ที่กำลังจะทำการเปิดตัวในไทยก่อนเร็วๆนี้ ซึ่งจะเล็งไปที่ตลาดยุโรปเป็นจุดหลัก และอธิบายเงื่อนไขกฎเกณฑ์ต่างๆเกี่ยวกับกระบวนการการส่งออกที่บริษัทต้องกระทำตาม
 

ไอคุณชายมุ่งมั่นกับโปรเจ็คนี้มาก เพราะอยากให้เป็นการบุกเบิกที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่เข้ามาดำรงตำแหน่งในบริษัทนี้ ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้สืบทอดตำแหน่งประธานบริษัทอย่างเป็นทางการก็ตาม ผมต้องตามเขาไปดูกระบวนการผลิตที่โรงงาน พบปะคู่ค้า และพบบริษัทจัดอีเวนท์ต่างๆ รวมถึงพรีเซนเตอร์ที่บริษัทจะร่วมมือในอนาคตอันใกล้นี้ จริงๆแล้วงานต่างๆพวกนี้ให้ทางแผนกอื่นทำก็ได้ แต่ก็นะ ตามสไตล์คุณชายบ้างาน ต้องผ่านมือเขาก่อนเท่านั้น คนอื่นถึงจะรันงานต่อได้
 

ซึ่งเป็นที่มาว่าทำไมผมถึงกลับบ้านทีไรเป็นต้องสลบเหมือดทุกที
 

ส่วนไอคุณชายน่ะเหรอ สภาพก็ดีกว่าผมนิดหนึ่ง
 

ตอนนี้งานเปิดตัวสินค้าใหม่ก็ใกล้เข้ามาทุกที จึงทั้งยุ่งและทั้งวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นท่านประธาน คุณเลขา หรือตัวไอคุณชายเองก็หัวหมุนกันไปหมด ผมได้ข่าวมาว่าท่านประธานจะร่วมงานนี้ด้วย ทั้งที่ปกติจะไม่ค่อยออกงานเท่าไหร่ อย่างที่บอกว่าบ้านนี้เขาเป็นพวกหวงเนื้อหวงตัวน่ะ สงสัยอยากจะร่วมเป็นสักขีพยานในความสำเร็จของลูกชายตัวเอง
 

ผมนั่งมองทั้งคู่คุยงานกันแล้วทำให้ผมนึกถึงตัวเองในตอนนี้ ถ้าผมมีบริษัทเป็นของตัวเองแบบนี้ (ที่ไม่ใช่กิจการขายของไหว้นะ) มีรากฐานใหญ่ขนาดนี้ ผมจะทำได้เหมือนกับไอคุณชายหรือเปล่านะ
 

การเป็นหัวเรือใหญ่ของบริษัทแบบนี้ บางคนหรือแม้กระทั่งตัวผมเองก็มองว่าเป็นงานสบาย ไม่ต้องทำอะไรก็มีคนอื่นทำให้หมด ก็แค่เซ็นเอกสาร เข้าร่วมประชุม ไปดูงานนิดหน่อย มีเวลาส่วนตัวเยอะแยะ แต่พอผมมาได้สัมผัสจริงๆ มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเลย งานของคนเหล่านี้คือการคิดต่อยอด การวางแผน การรับรู้ถึงปัญหาต่างๆที่มีผลกระทบต่อบริษัทและวิธีการแก้ไข และที่สำคัญเลยคือต้องเป็นคนที่จับพังงานำทางให้เรือลำใหญ่นี้ดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น เป็นกัปตันของลูกเรือทุกคนๆ
 


ตุบ
 


“ เหนื่อยจัง ” เสียงคุณชายทำให้ผมเงยหน้าจากหน้าจอคอม มองไปทางโซฟาที่เจ้าตัวทิ้งตัวแผ่นอนลงไปหลังจากที่คุยงานกับคุณเลขาเสร็จเรียบร้อย


“ ก็ควรจะเหนื่อยล่ะครับ เล่นทำงานไม่หยุดตั้งแต่เช้าขนาดนี้ ”
 

เมื่อเห็นไอคุณชายเงียบไป ผมจึงตั้งสมาธิทำงานที่ค้างต่อ แต่อยู่ๆมือถือของผมก็ดังขึ้น ผมจึงหันไปหาไอคุณชายเพื่อขออนุญาตรับโทรศัพท์
 

อีกฝ่ายหลับไปซะแล้ว เฮ้อ สงสัยเหนื่อยจัด
 

ผมจึงเดินออกมารับข้างนอกห้อง ไม่ให้รบกวนเจ้าตัวที่กำลังหลับอยู่
 

“ ฮัลโหลม๊า ว่าไง ” ผมกรอกเสียงตอบปลายสายเบาๆ


“ ทำไมลูกเสียงเบา แอบใครคุยอยู่เหรอไง ”


“ ก็มันเวลางานนี่ฮะแม่ จะให้คุยโจ่งแจ้งขนาดนั้นผมก็โดนเฉ่งสิ ”


“ เออ ก็จริง แปปนึงนะ พ่อมีเรื่องจะคุยด้วย ป๊า! ” แล้วแม่ผมก็เปล่งพลังเสียงอันแรงกล้า จนผมต้องเอามือถือออกห่างจากหู อยู่บ้านนี้ต้องมีหูที่แข็งแรงเพื่อรับฟังเสียงแบบนี้ไปตลอดชีวิต ผมปลงตกกับตัวเอง


“ เอ้อ รักเหรอลูก ”


“ ใช่ฮะ ป๊ามีอะไรหรือเปล่า ” ผมแง้มประตูเล็กน้อย ชะโงกหัวเข้าไปดูว่าไอคุณชายตื่นหรือยัง แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวยังนอนหลับตาอยู่บนโซฟา จึงปิดประตูเบาๆคุยกับพ่อต่อ


“ คือป๊าจะบอกว่า ไอห้องคอนโดxxx ที่ลูกอยู่ตอนนี้อ่ะ พอดีมีคนจะเช่าต่อ ”


“ อ้าว แล้วป๊าตอบตกลงไปแล้วเหรอ ”


“ ยังเลย เขามาถามเฉยๆ พ่อเลยจะถามลูกก่อนว่าจะเอายังไง ” ผมเกาหัวแกรกๆ ถ้าให้เขาอยู่ แล้วตัวเองจะไปอยู่ไหนล่ะเนี่ย ต้องหาที่พักใหม่อ่ะเหรอ ตอนนี้ห้องเช่าราคาเบาๆหายากจะตาย แถมคอนโดที่อยู่ตอนนี้ก็ห่างจากบริษัทนี้ไม่ไกลด้วย ทำเลทองมากๆ  แต่ถ้าไม่ให้เขาเช่าอยู่ ก็เสียดายเงินที่กำลังจะเข้ากระเป๋า โอ้ย ไม่ว่าทางไหนก็ต้องเลือก


“ แล้วพ่อปล่อยเขาเช่าเท่าไหร่อ่ะ ”


“ ก็ราวๆหมื่นสองหมื่นบาทนะ แล้วเขาจะทำสัญญาตั้งสามปี พ่อก็แอบเสียดายถ้าชวดไป แต่ไม่งั้นลูกก็ต้องหาที่อยู่ใหม่… ”  น้ำเสียงพ่ออ่อยๆด้วยความที่เสียดาย ถ้าจะพูดขนาดนี้ ก็คือผมต้องเป็นฝ่ายไปสินะ ฮือ เกิดมาเป็นคนแพ้ก็ต้องถอย


“ ก็…ไม่เป็นไรฮะ เดี๋ยวผมลองหาที่พักเอาก่อนละกัน แต่ถ้าเดือนนี้คงไม่ทัน เพราะนี่อีกสองอาทิตย์ก็ปลายเดือนละ ผมขอเดือนหน้าแล้วกันนะ ”


“ ได้เลย! ไม่มีปัญหา เดี๋ยวป๊าไปบอกเขาให้ ” แหม น้ำเสียงสดใสเชียวนะ นี่ผมตกหลุมพรางพ่อตัวเองหรือเปล่าเนี่ย


“ เอ้อ รัก แล้วตอนนี้งานเป็นยังไงบ้างล่ะ ”


“ ก็ดีนะฮะป๊า ตอนนี้ผมได้จับงานเลขานิดๆหน่อยๆด้วยแหละ ช่วยคุณเนตรได้พอสมควรเลยฮะ ” ผมลูบคอเบาๆด้วยความหวั่น ถ้าเรื่องที่ผมถูกมอเตอร์ไซด์เฉี่ยวเมื่อหลายวันก่อนหลุดไปถึงหูแม่ผมนะ ตายกันหมดนี่แน่นอน ถึงแม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมาย เกรงว่าอาคารแห่งนี้ก็คงกันไว้ไม่อยู่ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ให้คนรู้น้อยที่สุดไว้จะเป็นการดีมาก


 เอือก ผมลอบกลืนน้ำลายเบาๆด้วยความสะพรึง ผมยังอยากทำงานมีเงินเดือนอยู่นะ


“ ฮะพ่อ โห ระดับนี้แล้ว อะไรก็ไม่คณามือผมทั้งนั้นแหละ พ่อวางใจได้เลย ” ผมทำเสียงมั่นใจ ผิดกับเหงื่อที่มันกำลังผุดตามแนวหลัง


“ ไม่มีอะไรแล้วล่ะรัก อย่าลืมเรื่องห้องนะลูก ”


“ ได้เลยครับป๊า ผมจะระวังตัวให้มาก ” พ่อพูดมาสองสามประโยคแล้วก็วางสายไป
 

ผมถอนหายใจด้วยความปลง ทำไมอะไรๆมันต้องปะเดปะดังมาช่วงนี้ด้วยวะเนี่ย หรือปีนี้ชง มันก็ไม่ใช่นี่หว่า หรือโดนใครสาปส่งใส่ ผมก็มั่นใจว่าตัวเองหล่อจะเป็นคนดีพอจะไม่ทำร้ายใครก่อน หรือกูโดนพระเจ้าสาปแช่งที่เกิดมาหลงตัวเองเกินไป
 

เฮ้อ หล่อเกินก็เหนื่อยชีวิต
 

แล้วนี่ผมจะย้ายไปอยู่ไหนกันเนี่ย กลับบ้านก็ไกลจากที่นี่เกินไป เกรงว่าจะมาทำงานทีคงต้องตื่นแต่ตีสามมาอยู่เป็นเพื่อนคุณผี
 

ผมผลักประตูกลับเข้าไปในห้อง ไอคุณชายยังคงนอนแผ่หลาอยู่เหมือนเดิม สงสัยคงจะหนาวล่ะนั่น แอร์ก็จ่อขนาดนั้น ผมจึงเดินเข้าไปในห้องพักผ่อนเพื่อไปหยิบผ้าห่มผืนเล็กแล้วเดินกลับมาห่มให้เจ้าตัว
 

“ วรรณ…. ”
 

ผมชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินคนตรงหน้าละเมอออกมา วรรณ งั้นเหรอ วันอะไร วันหยุด? หรือนายนี่โหยหาวันหยุดกัน สงสัยทำงานจนเพี้ยนไปแล้ว ผมปัดเรื่องในหัวออกไป แล้วยืดตัวตรงเพื่อกลับไปนั่งโต๊ะตัวเอง พลางเช็คอีเมลล์ไปด้วย
 

หืม ใครส่งเมลล์มาอีกแล้ว ผมเปิดอีเมลล์ที่เพิ่งจะส่งมาล่าสุดเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา แต่กลับพบแต่ความว่างเปล่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเจออีเมลล์บ้าบออะไรแบบนี้ หรือจะเป็นสแปมวะเนี่ย คนส่งมันต้องว่างมากแน่ๆ เพราะจากที่ผมเช็คมันคืออีเมลล์ที่ส่งจากแอดเดรสเดียวกันหมดเลย ผมจึงปล่อยมันไว้อย่างนั้น เพราะขี้เกียจที่จะใส่ใจมัน
 

ระหว่างที่ไม่มีอะไรทำ ผมจึงเปิดหน้าเว็บลุงกุ๊กกู๋เพื่อค้นหาที่ซุกหัวนอนของตัวเอง เพราะเหลือเวลาแค่สองอาทิตย์ในการจัดการทุกอย่างรวมถึงย้ายสมบัติของตัวเองที่สุมกันอยู่ในห้อง ย้ำว่าสุมนะครับ เพราะมันรกมากจริงๆ
 

ผมหาไปได้สักพัก เห็นราคาที่สูงจนปวดหัวใจพวกนั้นแล้ว ก็ได้แต่ถอนใจ ที่อยู่อะไรทำไมมันถึงแพงขนาดนี้ฟระ สร้างห้องกันด้วยทองหรือไงกัน ห้องก็นิดเดียว แต่ราคาที่พุ่งขึ้นไปจักรวาลแล้ว บ้าเอ้ย! ถึงงานที่ผมทำอยู่ตอนนี้จะเงินดีพอที่จะเช่า แต่ผมก็เสียดายเงินเบาๆ เพราะแทนที่จะเอาไปใช้อย่างอื่นได้ แต่ดันต้องมาเสียให้ไอค่าห้องนี่
 

แต่ถ้ามึงไม่เอา มึงก็จะไม่มีที่ซุกหัวนอนนะเฮ้ย!
 

ผมนั่งเถียงกับตัวเองในใจ ตาก็จ้องหน้าจอ นิ้วก็คลิ้กตามเว็บไซด์นู่นนี่ ค้นหาต่อไป มีความแยกประสาทสูงมากเลยทีเดียว จนตัวเองจะประสาทตายอยู่แล้ว
 

“ นายจะย้ายที่อยู่เรอะ ” เสียงที่ดังขึ้นข้างบนหัวผม ทำให้ผมสะดุ้งตกใจ ผมหันหน้าขึ้นไปก็พบกับไอคนที่เผลอหลับบนโซฟาครู่ใหญ่ที่ผ่านมา ยืนค้ำหัวอยู่ด้านหลังผม


“ มาไม่ให้สุ้มให้เสียง ผมตกใจหมด โธ่ ”


“ นายนี่มันขี้ตกใจชะมัด ”


“ ก็คุณเล่นมาเงียบๆ ใครก็ตกใจกันทั้งนั้นแหละ ” ผมพูดเสียงสะบัดใส่ไอคนขี้แกล้ง ดูก็รู้ว่าแกล้งกันชัดๆ ไอคุณชายเจ้าปัญหาบ้าบอ (ชื่อเรียกยาวขึ้นได้อีก)


“ แล้วว่ายังไง จะย้ายคอนโดเหรอ ” อีกฝ่ายถามขึ้นมาอีกครั้ง แถมยังเอาหน้าเข้ามาใกล้ๆเพื่อดูหน้าจออีกต่างหาก ผมเลื่อนเก้าอี้หลบเล็กน้อยหลบไปให้ไอคุณชายได้ยื่นหน้ามาได้สะดวกขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าตัวก็ยังเขยิบมาใกล้ตัวผมเข้าไปอีก ผมหันไปมองแรง แต่ก็ไอคนขี้แกล้งก็ยังลอยหน้าลอยตาไม่รู้ร้อนรู้หนาว


“ ใช่ครับ ”


“ ย้ายทำไม เงินเยอะเหรอไง ” ผมมองแรงไปที่คนแขวะ เจ้าตัวก็หันกลับมาจ้องตาใส (ใสแจ๋วเลย) ใส่ผม ทำเหมือนตัวเองไม่ได้พูดให้คนอื่นอยากถีบยอดหน้าซะจริงๆ


“ ผมจำเป็นหรอก อย่างผมจะไปรวยล้นฟ้าเหมือนคุณได้ที่ไหนกันล่ะ ” เจ้าตัวไม่ได้พูดอะไร ยืดตัวตรง หน้าตานิ่งจ้องมองไปยังอพาร์ตเมนต์บางที่ที่ผมเปิดค้างไว้อยู่บนหน้าจอ และมาร์กเอาไว้ว่าโอเค ส่วนผมเมื่อเห็นว่าไอคุณชายไม่ได้ถามอะไรอีก ก็เลิกสนใจอีกฝ่าย เปิดค้นหาต่อไปเรื่อยๆเผื่อเจอที่ที่ถูกใจอีก
 

จริงๆแล้วผมก็ต้องทำใจยอมรับว่าอพาร์ตเมนท์ใจกลางกรุงขนาดนี้ แถมอยู่ในทำเลที่ดีขนาดนี้ ราคาก็ต้องสูงเป็นธรรมดาน่ะแหละ ถ้าสถานที่ไม่ดี ห่างไกลถนนหนทาง จะไปไหนทีก็ต้องเดินออกมาไกล หรือต้องขับรถออกมา แบบนั้นผมก็ไปอยู่บ้านซะจะยังดีกว่า (ยอมอยู่เป็นเพื่อนคุณผี) แถมบริษัทของไอคุณชายก็ตั้งเด่นหราอยู่ใจกลางเมืองขนาดนี้ ก็เงี้ยแหละ ชีวิตในเมือง ยังไม่มีเมีย เอ้ย ยังไม่มีมันนี่ก็ต้องดิ้นรนกันต่อไป
 

“ นายคิดว่าคอนโดฉันเป็นยังไง ” อยู่ๆไอคนที่นิ่งเงียบก็พูดขึ้นมา ทำเอาผมแปลกใจ


“ ก็ดีนะครับ สะดวกดี ใกล้ที่บริษัทมาก เดินมาบริษัทยังได้เลย ” ผมตอบตามที่รู้สึก ห้องของไอคุณชายกว้างอย่างกับอะไร นอนได้ตั้งเป็นสิบคน แถมเครื่องอำนวยความสะดวกอะไรก็มีครบ วิวก็ดี ที่สำคัญคือโคตรใกล้ ทำเลดีขนาดนี้ถ้าผมได้เป็นเจ้าของห้องซักห้องนะ ผมรักพระเจ้าตายเลย


“ ดีกว่าที่นายหาอยู่นี่ไหม ”


“ ดีกว่ามากเลยล่ะครับ ทำไมเหรอ จะขายให้ผมเหรอครับ ” ผมพูดติดตลก ถึงขายให้ผม ผมก็ไม่มีปัญญาจะไปซื้อต่อหรอกนะ ถึงแม้จะลดราคามือสองให้ก็ตาม


“ เปล่า แต่ฉันจะให้นายเช่าต่างหาก สนใจไหมล่ะ ”











“ ให้ตายเถอะ นี่มันห้องหรือป่าช้า ” ไอคุณชายพูด สีหน้าตกใจระคนทึ่งกับสภาพห้องตรงหน้า


“ แหะๆ เอ่อ ห้องครับห้อง นี่ห้องผมเอง ไม่ใช่ป่าช้าที่ไหน ” ผมเกาหัวแกรกด้วยความกระดากอาย ผมไม่เคยพาใครเข้ามาในห้องผมเลย เพราะความขี้เกียจเก็บห้องของผมนั่นแหละ วันไหนถ้ามีอารมณ์เก็บกวาด สภาพห้องก็จะดีขึ้นมาหน่อย แต่ถ้าสันหลังยาวเมื่อไหร่ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละครับ
 

ไอคุณชายผินหน้ามามองผมด้วยสีหน้ายังคงเดิมอยู่ เพิ่มเติมคือผมสังเกตเห็นความลังเลในสายตาคู่นั้น

 
ไม่ได้นะเฮ้ย! ห้ามเปลี่ยนใจเด็ดขาด

 
“ คุณไม่ต้องกังวลนะครับ สภาพแบบนี้ไม่ได้เป็นบ่อยมาก แต่แค่ผม เอ่อ ยุ่งเกินไปก็เท่านั้น ” ผมรีบแก้ตัวไปขัดๆก่อนที่เขาจะเปลี่ยนใจจริงๆ น้ำตาตกในเป็นยังไง วันนี้ก็เพิ่งจะได้ลิ้มรส


“ ฉันบอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าที่ฉันมาที่นี่วันนี้เพื่อมาให้นายขนของขึ้นรถเท่านั้น เพราะฉะนั้นนายต้องเก็บของให้เสร็จภายในวันนี้ ”


“ ฮ้ะ!! วันนี้เหรอครับ! ” ผมตกใจตะโกนเสียงดัง จะบ้าเหรอไง วันนี้ใครจะไปเสร็จกัน กว่าจะขนของกว่าจะเคลียร์ห้อง กว่าจะยกลงไปอีก โอ้ย หล่อจะบ้า!

 
แต่กระนั้นแล้ว เมื่อคนตรงหน้าเลิกคิ้ว ต้องการจะถามว่า ‘มีปัญหาเหรอไง’ คำว่า ‘ที่ซุกหัวนอน’ ก็ผุดขึ้นมาในหัวผมทันที ราวกับมีสปอตไลท์พุ่งตรงตรงมายังผม พร้อมกับเสียงหัวเราะเยาะเย้ยจากอีกฝ่ายดังลั่นก้องอยู่ในหัว

 
“ ดะ ได้ครับ ผมจะรีบเก็บให้เสร็จภายในวันนี้ครับ ” แต่ในใจน่ะเหรอ น้ำตาท่วมอกแล้ว


“ ดี แล้วฉันจะแวะมาใหม่ ถ้าไม่เสร็จภายในวันนี้ก็เชิญไปหาที่ซุกหัวนอนที่อื่นได้เลย ” ทำไมก่อนหน้านี้ยื่นข้อเสนอที่น่าเย้ายวนใจให้ผม แล้วมาวันนี้ถึงถีบหัวส่งผมได้ขนาดนี้ล่ะครับไอคุณชายบ้าบอ!

 
ผมจึงคอตกเดินเข้ามาในห้องตัวเอง หลังจากที่ไอคุณชายเดินออกไปแล้ว เมื่อเห็นสภาพในห้อง ผมก็นึกแล้วแหละว่าทำไมท่าทีไอคุณชายถึงขยาดขนาดนั้น ก็ในเมื่อห้องมันรกขนาดนี้ นี่ผมก็เพิ่งมาเห็นสภาพห้องตัวเองเต็มตาก็วันนี้แหละ ปกติเช้าก็รีบออกจากบ้าน ตกดึกก็กลับห้องมาด้วยความสภาพเหมือนซอมบี้อดกินเลือดมาเป็นปี ใครจะไปมีแรงมาจัดห้องกันวะ
 

ตั้งแต่เมื่อวันก่อนที่อยู่ๆคนดวงซวยในตอนนี้อย่างผมก็พบเจอแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิดที่ไร้ความปราณี แล้วผมจะพรรณนาเพื่ออะไร เอาเป็นว่าไอคุณชายเสนอให้ผมเช่าห้องของเขาอยู่ชั่วคราว จนกว่าจะหาที่พักได้ใหม่ เพราะระยะเวลาที่จะย้ายออกนั้นมันกระชั้นชิดซะเหลือเกิน ผมจึงรีบตอบรับข้อเสนอโดยไม่ลังเลใดๆทั้งสิ้น

 
ความกังวลก่อนหน้านี้ที่ก่อเกิดในใจผม ผมก็ยังปัดมันทิ้งไปโดยไม่เสียเวลาฉุกคิดเลย เพราะที่ซุกหัวนอนและเรื่องปากท้องมันสำคัญกว่าเรื่องใดๆในโลก ปัจจัยสี่น่ะรู้จักไหมครับ

 
ผมเดินเข้ามาในห้องของตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าไม่ได้คุ้นเคยกับมันเลย ตัดสินใจว่าจะเริ่มตรงไหนก่อนดี ไม่ว่าจะตรงไหนก็ล้วนหนักใจทั้งนั้น เอาวะ ลุย!

 
กวาดตรงนี้ ปัดตรงนั้น ถูตรงนู้น ล้างตรงโน้น

 
ไม่รู้เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ ผมรู้สึกตัวอีกที ภายนอกหน้าต่างตอนนี้ก็มืดสนิทแล้ว ผมเหลียวมองภายในห้องที่ตัวเองเพิ่งจะลงแรง (เรียกได้ว่ามากที่สุดในชีวิตนี้แล้ว) ทำความสะอาดครั้งใหญ่ จนสะอาดเอี่ยมอ่องผุดผ่องเป็นยองใย ว่าง่ายๆก็คือขาวสะอาดตา หลังจากที่ไม่ได้ทำจนลืมไปแล้วว่าจริงๆแล้วห้องสีอะไร

 
ผมทรุดนั่งลงไปที่โซฟาในห้องอย่างหมดแรง เนื้อตัวเหนียวเหนอะนะอย่างแรง จนอยากจะอาบน้ำใหม่มันตรงนี้ซะจริงๆ ผมยกมือขึ้นมาดูนาฬิกาข้อมือ ทุ่มนึงแล้วเหรอเนี่ย เพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้กินข้าวตั้งแต่ตอนเที่ยง เพราะตอนนี้หิวจนเสียดท้องไปหมด ผมยกมือขึ้นกุมท้อง ทำไมมันปวดขนาดนี้วะเนี่ย

 
ผมพยายามฝืนลุกขึ้นเพื่อยกสัมภาระของผมทั้งหมดไปไว้หน้าห้อง เพื่อไอคุณชายมาถึงจะได้ไม่ต้องรอนาน แต่เดินไปยังไม่ถึงประตูห้อง ผมก็ต้องวางของทั้งหมดแล้วงอตัวลงไปนั่งยองๆ มือกุมท้อง

 
ผมควานหามือถือในกระเป๋ากางเกง แต่ก็พบว่ามันว่างเปล่า แม้แต่มือถือก็ยังจะทรยศผมเรอะ ตอนนี้ผมไม่มีกะจิตกะใจจะมานึกว่าตัวเองวางมือถือไว้ตรงไหน ปวดท้องจนจะตายแล้ว

 
ป๊าจ๋าม๊าจ๋า ผมปวดท้อง…

 
ผมพยายามจะคลานกลับไปที่โซฟา ช่างหัวของบ้าบอมันแล้ว เหงื่อผุดออกมามากมายจนแผ่นหลังชื้นไปหมด ทั้งๆที่แอร์ในห้องก็เย็นฉ่ำ พอกระเสือกกระสนกลับมาถึงโซฟาได้ ผมก็นอนแผ่ราบลงไป ตาพร่ามัวไปหมด ไม่รู้เพราะปวดมากหรือเพราะน้ำตากันแน่ ผมหลับตาลง พยายามข่มความเจ็บปวดอย่างยากลำบาก
 
 
“ เฮ้ๆ ” เสียงใครซักคนลอยมาจากที่ไกลๆ ผมได้ยินไม่ชัดเจน แต่ก็เป็นเสียงที่คุ้นหูมาก เสียงเรียกดังอยู่สองสามครั้ง แล้วก็เงียบไป

 
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยเคว้ง หูได้ยินแต่เสียงวิ้งๆ ท่ามกลางความมืดนั้นกลับเห็นกลับใบหน้าที่ออกจะคุ้นเคย แต่ก็พร่าเลือนเกินกว่าจะระบุได้ว่าเป็นใคร ใบหน้าผมถูกตบเบาๆพร้อมกับเสียงเรียกที่ดังขึ้นอีกครั้ง หลังจากนั้นก็รู้สึกถึงแรงดึง ก่อนที่สติผมจะดับวูบไป
 
 
 







“ ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วครับ อาจจะเกิดเพราะทานข้าวไม่ตรงเวลา จึงทำให้อาการกำเริบ ”


“ อาการกำเริบ? เขาเป็นอะไรเหรอครับหมอ ”


“ ตัวคนไข้เป็นโรคกระเพาะครับ แต่ไม่ได้ร้ายแรงมาก อาการจะกำเริบก็ต่อเมื่อทานข้าวไม่ตรงเวลา หรือไม่ได้ทานเลย ประจวบกับถ้าทำงานหนักด้วย ก็จะเป็นแบบที่เห็นแหละครับ ”

 
ผมได้ยินเสียงสนทนาอยู่ไม่ไกลจากตัวผมมากนัก แต่อาการสะลึมสะลือก็ทำให้ผมได้ยินเพียงแต่เสียงพึมพำที่จับใจความไม่ได้ ผมพยายามลืมตา แต่แสงที่แยงตาทำให้ผมต้องหรี่ตาลง

 
“ ก็พยายามอย่าให้อาการกำเริบบ่อยมากเกินไปนะครับ เพราะมันจะส่งผลต่อกระเพาะครับ ”


“ ครับ ขอบคุณมากครับหมอ ”

 
เมื่อสายตาผมชินกับแสง ผมจึงลืมตาขึ้นมองไปรอบด้าน ก็เห็นสภาพห้องที่ไม่คุ้นเคย มองไปอีกด้านหนึ่งก็เห็นแผ่นหลังของชายคนหนึ่งที่กำลังยืนรินน้ำอยู่
 

เดี๋ยวนะ นี่ผมอยู่ที่ไหนกัน

 
ผมลืมตาตื่นเต็มที่เมื่อคำถามนั้นผุดขึ้นมาในหัว จำได้ว่าตัวเองเก็บของเสร็จ แล้วเกิดปวดท้องขึ้นมา และกะจะนอนพักแปปนึง แต่ลืมตาตื่นขึ้นมาก็มาโผล่อยู่นี่แล้ว

 
“ ตอนนี้นายอยู่โรง’บาล ” ชายคนที่ยืนหันหลังรินน้ำอยู่เมื่อกี้ก็คือไอคุณชายนั่นเอง เขาเดินเข้ามาพร้อมยื่นแก้วน้ำมาให้ผม ผมนั่งจูนสมองอยู่สักพัก ก็ได้ความว่าตัวเองอยู่โรงพยาบาลแล้วตอนนี้


“ นายโรคกระเพาะกำเริบ รู้ตัวบ้างไหมเนี่ย ทำหน้าบื้ออยู่ได้ ” อีกฝ่ายบ่นกระปอดกระแปด เดินไปนั่งที่โซฟาข้างเตียง นั่งกอดอกยกขาขึ้นไขว่ห้าง แม้แต่ในโรง’บาลก็ไม่เว้นที่จะเต๊ะท่าเนอะคนเรา แต่ผมไม่ได้พูดอะไรกลับไปนอกจากขมวดคิ้วเล็กน้อยกับโรคที่ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองเป็น


“ คุณเป็นคนพาผมมาที่นี่เหรอครับ ” ผมหันไปถามไอคุณชาย


“ นายคิดว่าไงล่ะ ” อีกฝ่ายทำน้ำเสียงยียวนกลับมา ทำให้ผมเดาได้ว่าต้องใช่แน่ๆ นี่ผมทำให้คนอื่นเขาลำบากอีกแล้วเหรอเนี่ย ฮือ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวซวยที่แผ่รังสีออกไปรอบข้างเป็นวงกว้าง ทำให้คนอื่นรับผลกระทบไปเป็นระยะๆ


“ ผม เอ่อ ขอโทษนะครับที่ทำให้เดือดร้อน ” ผมนั่งคอตก เอ่ยขอโทษอย่างรู้สึกผิด


“ รู้แล้วก็อย่าสร้างเรื่องให้มันเยอะสิ นี่ถ้าฉันไม่มาก่อนเวลาที่นัดไว้ นายคงปวดท้องตายเป็นวิญญาณเฝ้าห้องไปแล้วนั่นน่ะ ” คำพูดของอีกฝ่าย ทำให้ผมคิ้วกระตุก นี่ขนาดผมเป็นคนป่วยนะเนี่ย ทำไมปากคอเราะร้ายขนาดนี้! ผมนั่งทำหน้าจ๋อยแต่ในใจนั้นกำลังก่นด่าอยู่ สักพักก็ได้ยินเจ้าตัวถอนหายใจแรง และลุกเดินมาทางนี้


“ นายโตมาได้ยังไงเนี่ย ขนาดตัวเองเป็นโรคอะไรก็ยังไม่รู้เลย นี่รู้ตัวไหมว่าเป็นโรคกระเพาะ ”


“ ผมก็เพิ่งจะรู้ครับ เมื่อก่อนมันปวดก็จริง แต่ไม่ได้หนักขนาดครั้งนี้ ผมเลยไม่ได้เอะใจ ”


“ แล้วไม่เคยตรวจสุขภาพเลยหรือไง ”


“ เอ่อ ไม่ได้ตรวจมาสามสี่ปีแล้วครับ ” ผมเกาหัวกลบความเก้อกระดาก รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนผู้ใหญ่ดุยังไงชอบกล ว่าแต่พูดถึงเรื่องนี้ ตอนที่มาทำงานกับไอคุณชายนี่ เขาก็ไม่ได้ขอใบตรวจสุขภาพนี่หว่า


“ นายนี่มันไม่ใส่ใจตัวเองเลยจริงๆให้ตายเถอะ ” ไอคุณชายบ่นพึมพำ “ ถ้าจะมาดูแลคนอื่น ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีก่อน เข้าใจไหม ”


“ เข้าใจแล้วครับ ผมขอโทษอีกทีนะครับที่บกพร่องในหน้าที่ ” ผมนั่งก้มหน้าจนจะชิดกับหน้าอกอยู่แล้ว มือประสานอยู่ที่ตัก ได้แต่นั่งเจี๋ยมเจี้ยมรับฟังคำดุด่าจากอีกฝ่าย ครั้งก่อนก็เป็นไอคุณชายที่ช่วยดูแลตอนผมป่วย ยังจะมาเกิดเรื่องแบบนี้อีก ก็ยิ่งทำให้รู้สึกละอายใจมากขึ้นไปอีกเพราะสร้างเรื่องให้อีกฝ่ายมากมาย


“ ฉันเป็นห่วงนายหรอกนะ ” ผมรีบเงยหน้าขึ้นมามองทันทีที่เขาพูดจบ ก็เจอกับสายตาที่จ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว ความร้อนเริ่มลามไปทั่วใบหน้า ไอคุณชายเห็นผมนั่งอึ้งอยู่ ใบหน้าลดความเคร่งขรึมลง


“ ต่อไปนายต้องกินข้าวพร้อมฉัน ห้ามขาดแม้แต่มื้อเดียว “


“ เดี๋ยวนะครับ ” ผมเคลิ้มอยู่เดี๋ยวเดียวก็โดนลากกลับสู่วิถีความจริง


“ ห้ามแย้ง นี่เป็นคำสั่ง แล้วนายก็ต้องทำตาม ” เจ้าตัวกลับมาเป็นไอคุณชายบ้าบอเหมือนเดิมแล้ว ยืนกอดอกทำหน้าตาย บรรยากาศมุ้งมิ้งเมื่อกี้เหลือเพียงแค่เศษฝุ่นที่กระจายฟุ้งไปรอบตัว ทำไมเปลี่ยนไปเร็วถึงเพียงนี้ เป็นกิ้งก่าเหรอไง (กระซิกๆ)


“ แล้วผมจะกินพร้อมคุณได้ไง คุณเป็นเจ้านายผมนะครับ ”


“ ถ้านายขาดไปแม้แต่มื้อเดียว นั่นก็หมายความว่าฉันก็ต้องอดด้วย ”


“ เข้าใจ? ”


คำประกาศิตได้ถูกถ่ายทอดลงมาแล้ว...



โปรดติดตามตอนต่อไป....


ร่วมหอลงโรงงงงงงง เอร้ยยย XD

 :impress2:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-10-2020 11:16:03 โดย เจ้าหมีวุ่นวาย »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ เจ้าหมีวุ่นวาย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ตอนที่ 16
" ลองดูก็ไม่เสียหาย "




“ นี่ห้องของนายนะ ส่วนข้างๆนั่นก็ห้องน้ำ นายใช้ได้ตามสบาย เพราะของฉันมีส่วนตัว ” ผมมองไปตามทางที่เจ้าของห้องชี้ไป ห้องของไอคุณชายเรียกว่า ใหญ่และสะดวกสบาย เรียบหรูตามสไตล์ ทำให้ผมไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามเพราะเกรงจะเกิดความเสียหายได้ ซึ่งก็ไม่ใช่อะไร กลัวโดนหักเงินนั่นเอง

 
ห้องที่เป็นของผมหมาดๆนั้นเป็นห้องนอนที่เล็กกว่าห้องของไอคุณชาย ซึ่งมีห้องน้ำอยู่ด้านนอก ไม่ใช่ด้านในเหมือนของเขา เวลาจะทำธุระที ก็ต้องเดินออกมาข้างนอก ขัดใจนิดหน่อย แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะไม่ได้อยู่ในฐานะที่สามารถเรื่องมากได้ เดี๋ยวจะโดนเตะส่งออกจากห้องไป

 
ผมยกสัมภาระที่ติดตัวมาเข้าไปในห้องนอน ไอคุณชายเดินเข้ามาแนะนำนู่นนี่นั่นอยู่ครู่หนึ่งก็ปล่อยให้ผมจัดการกับของของตัวเองไป

 
หลังจากที่ผมออกจากโรง’บาล ก็ดึกมากแล้ว ไอคุณชายซึ่งรับหน้าที่เป็นสารถีชั่วคราว (ถ้าเขาได้ยินคงไล่ผมออกแน่ๆ) พาผมกลับมายังคอนโด ผมก็เพิ่งมารับรู้ทีหลังเหมือนกันว่า เขาเป็นคนขนสัมภาระทุกอย่างของผมออกมา แถมยกถุงขยะถุงเบอเริ่มออกมาไว้ข้างนอกให้ด้วย ทำให้ผมรู้สึกผิดไปอีกระดับคูณร้อยเลย ผมจึงรับปากว่าผมจะช่วยทำความสะอาดห้องของเขาให้ด้วย จะได้ไม่รู้สึกเป็นภาระ

 
แต่ไอคุณชายดันบอกว่ากลัวผมมาตายในห้องซะก่อน จึงให้ผมรับหน้าคนทำอาหารเช้าพอ เพราะมีแม่บ้านมาทำความสะอาดประจำอยู่แล้ว
 

ผมจึงรับปากด้วยความยินดี อย่างน้อยก็ช่วยอะไรเขาได้บ้าง

 
ผมจัดแจงเอาของที่จำเป็นออกมาก่อน ของที่เหลือเดี๋ยวมีเวลาแล้วมาจัดอีกที เสร็จแล้วผมก็รีบเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกาย ไม่รู้ว่าผมทนนอนไปได้ยังไง ตัวเหม็นเหงื่อขนาดนี้ แถมยังโดนไอคุณชายอุ้มมาอีก เขาไม่อ้วกแตกก็ดีแค่ไหนแล้วเนี่ย

 
พอได้อาบน้ำ ผมก็รู้สึกกระปี้กระเป่าขึ้นมาทันที ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ ข้ามกองสัมภาระต่างๆที่วางไว้อยู่ ไปยังหน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่ด้านในสุดของห้อง เลิกม่านขึ้นเล็กน้อย ความสูงของชั้นนี้ทำให้ผมมองเห็นแสงสว่างมาจากตึกอารามบ้านช่องได้ชัดเจน ผมยืนเหม่อมองอยู่สักพัก ในหัวคิดถึงภารกิจหน้าที่ต่างๆที่ได้รับ ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มงานจนถึงตอนนี้ และความรู้สึกของผม

 
ถึงแม้หน้าที่ของผมจะมีเพียงแต่ปกป้องไอคุณชายจากอันตรายต่างๆ แต่ผมกลับอยากช่วยคลี่คลายปัญหาต่างๆที่เกิดด้วย เพื่อที่จะให้เขาปลอดภัยจากภัยที่มองไม่เห็นว่ามาจากทิศทางไหน

 
ความรู้เป็นห่วงลึกๆเริ่มแสดงอาการมากขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่อยากเห็นเขาและครอบครัวถูกทำร้ายอีกแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งสองครั้ง ผมไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องกันอย่างไร แต่ก็รู้ได้ว่าเป้าหมายคือคนคนเดียวกัน ซึ่งก็คือคุณเนตร ผู้ที่กำลังจะสืบทอดตำแหน่งต่อจากท่านประธาน

 
ผมถอนหายใจหนักๆ เมื่อในใจคิดว่าถ้าหากเกิดเหตุขึ้นอีกครั้ง แล้วผมไม่สามารถปกป้องเขาได้ จะเป็นอย่างไร

 
ในใจก็พลันเกิดความรู้สึกหน่วงๆขึ้นมาทันที ผมถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองเป็นห่วงเขาขนาดไหน
 
 
 
 
“ คุณเนตรครับ อาหารเช้าพร้อมแล้วนะครับ ” ผมเคาะประตูปลุกคนข้างในที่ไม่รู้ว่าตื่นหรือยัง ครั้งนี้ที่ผมไม่ได้ถือสิทธิ์ผู้มีกุญแจสำรอง ไม่สามารถไขเข้าไปปลุกได้อย่างสบายใจ นั่นก็เป็นเพราะ…

 
ผมโดนมันยึดกลับแล้วครับ ฮือ

 
ผมไม่รู้ว่าตัวเองเอากุญแจไปวางไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ พอรู้ตัวอีกที ผมก็หากุญแจห้องของไอคุณชายไม่เจอแล้ว เหลือก็เพียงแต่กุญแจประตูใหญ่หน้าห้อง และที่ห้อยกุญแจลายจีนที่แม่ผมบังคับให้ห้อยไว้ (ดูความจีนของบ้านผมสิ)

 
พอไปถามไอตัวต้นเหตุ ก็เพียงแค่ยักไหล่ แล้วยังถามกลับมาอีกว่า ‘แล้วคิดว่าไง’ แถมทำหน้าตายใส่อีก นั่นก็ทำให้ผมรู้แล้วล่ะครับ ว่ามันหายไปไหน

 
วันนี้ผมจึงได้แต่เคาะประตูห้องเรียกเจ้าของห้อง ซึ่งผมต้องจ่ายค่าเช่าทุกเดือน เกรงว่าคนข้างในจะไม่ยอมตื่น (หลังๆมานี่เพิ่งจะสังเกตว่าเขาขี้เซามากครับ) ผมจึงเคาะย้ำไปอีกสามสี่ที จึงได้ยินเสียงเหมือนคนเดินเข้าห้องน้ำไป ผมจึงกลับมาทำความสะอาดนู่นนี่ เพื่อรอเวลาไอคุณชายเสด็จออกมา

 
ผมเอาถุงขยะที่เมื่อวานกองสุมกันไว้ในห้อง หลังจากที่จัดของไปได้ส่วนหนึ่ง เอาออกไปทิ้งตรงห้องขยะของคอนโด คิดไว้ว่าวันนี้จะต้องกลับมาจัดอีก ผมก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาทันทีเลย เฮ้อ

 
“ ขอโทษนะครับ ” ผมหันไปตามทางที่ถูกเรียก ก็พบชายคนหนึ่งที่ถือถุงสีดำเหมือนจะมาทิ้งขยะเหมือนกัน จึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองยืนขวางห้องขยะอยู่ ผมหันไปเอ่ยขอโทษเบาๆ ยิ้มแหยๆ พร้อมกับหลบทางให้


“ เพิ่งมาอยู่เหรอครับ ไม่เคยเห็นหน้าเลย ” ชายแปลกหน้าถามขึ้น ทำให้ผมที่กำลังจะหันกลับไปเดินเข้าห้องตัวเองชะงัก จึงหันกลับมา


“ อ้อ ใช่ครับ ผมมาเช่าอยู่เฉยๆน่ะครับ ไม่ได้ซื้อไว้ ”


“ ถ้าอย่างนั้นก็ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ผมพักอยู่ห้องxxx นี่เอง ” ผมยื่นมือเข้าไปจับมือที่ยื่นมาก่อนเพื่อทักทายเพื่อนข้างห้องใหม่หมาดๆของผมคนนี้ จริงๆแล้วก็อาจจะเป็นเพื่อนข้างห้องคนเดียวที่มี เพราะทั้งชั้นมีแค่สองห้อง ให้ตาย ห้องจะใหญ่ไปไหน ราคาคงเอาเรื่องอยู่นะนั่นอ่ะ


เขาพูดคุยกับผมอยู่สองสามประโยคก่อนจะขอตัวกลับห้องของตัวเอง ผมจึงหันหลังจะเดินกลับบ้าง ก็ถูกเขาเรียกไว้อีกครั้ง


“ ลืมบอกไป ผมชื่อ นนท์ นะครับ ” ผมยังไม่ทันที่จะแนะนำตัวเองบ้าง เขายิ้มให้และเปิดประตูห้องเข้าไปซะก่อน

 
ผมยืนเกาหัวตัวเองแกรกๆ งงในความมาไวไปไวของเพื่อนบ้านใหม่

 
“ นายไปไหนมาเนี่ย ” พอเปิดประตูห้องเข้าไปก็พบกับความหงิกบนใบหน้าของไอคุณชาย ผมรีบปิดประตูรีบเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะ อาหารเช้าง่ายๆอย่างข้าวต้มหมูสับในชามของไอคุณชายพร่องไปเล็กน้อย น่าจะว่าคงทนหิวไม่ไหวหรือไม่ก็ขี้เกียจรอผม (น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า อืม…)


“ พอดีเอาขยะไปทิ้งแล้วเจอเพื่อนบ้านน่ะครับ ”


“ เพื่อนบ้าน? ใคร ”


“ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาบอกว่าพักอยู่ห้องข้างๆนี่เองครับ ”


“ อ้อเหรอ ฉันไม่ยักรู้มาก่อน ” ไอคุณชายพูดก่อนจะก้มลงกินต่ออย่างไม่ใส่ใจมากนัก

 
แหม อย่างกับตัวเองมีอัธยาศัยดีอย่างนั้นแหละ โธ่

 
ผมเข่นเขี้ยวในใจอย่างหมั่นไส้ คนบ้าอะไรอยู่มาตั้งนานแล้วยังไม่รู้จักเพื่อนข้างบ้านอีก ทั้งๆที่ทั้งชั้นก็มีอยู่สองห้อง ก็คือห้องนี้กับห้องของเพื่อนบ้านคนใหม่นั่นแหละ ว่าแต่เขาชื่ออะไรนะ เมื่อกี้เขาเพิ่งจะแนะนำตัวกับผมเอง ลืมไปแล้วเนี่ย แต่ก็ช่างเถอะ เดี๋ยวก็คงได้เจอกันใหม่แหละมั้ง

 
ผมและไอคุณชายจัดการมื้อเช้ากันเสร็จ ก็ออกจากบ้านไปบริษัทตามปกติ แต่เมื่อไปชั้นผู้บริหารถึงก็พบกับคุณเลขาที่มาแจ้งว่าท่านประธานเรียกพบตัวไอคุณชาย แต่ก็ไม่ได้บอกอะไรไปมากกว่านี้ ไอคุณชายจึงตรงไปที่ห้องประธานเลยโดยที่ไม่ได้แวะห้องของตัวเอง ผมจึงเข้าไปนั่งรออยู่ที่โต๊ะทำงาน เช็คอีเมลล์ และสำรวจความเรียบร้อยของห้องไปด้วย หลังจากนั้นก็ไปชงกาแฟให้เจ้าตัวตามปกติ

 
ผ่านครู่ใหญ่จึงปรากฏตัวของไอคุณชายที่เข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งๆเล็กน้อย เจ้าตัวไม่ได้พูดอะไร เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ พร้อมกับเปิดเอกสารที่วางอยู่ตรงหน้าและเริ่มอ่าน ผมมองตามไปอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เพราะรู้ว่าคงอารมณ์บ่จอยมากๆ และผมก็ไม่อยากเป็นขยะรองรับอารมณ์ของคนตรงหน้า เดี๋ยวจะโดนฟาดงวงโดยไม่รู้ตัว จึงเลือกที่จะเงียบเอาไว้ และทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป

 
“ เอ่อ คุณ ผมถามอะไรหน่อยได้ไหม ” ผมเอ่ยถามอย่างกล้ากลัวๆ เพราะสีหน้า ‘หงิก’ ขอไอคุณชายทำให้บรรยากาศในห้องดูทะมึนเยือกเย็น ชวนให้รู้สึกหนาวๆร้อนๆยังไงชอบกล ไอคนหน้าหงิกทำเหมือนไม่ได้ยินที่ผมถาม นอกจากนั้นยังทำเหมือนผมเป็นธาตุอากาศขนาดย่อมที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น

 
“ อ่า โอเค คุณไม่อยากให้ผมถาม ” ผมพึมพำพอให้ตัวเองได้ยิน จากนั้นเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก นอกจากเสียงแป้นพิมพ์รัวๆที่ดับเบิ้ลรัวยิ่งกว่าเดิมของไอคุณชาย รัวอยากนี้ระวังแป้นพิมพ์มันกระเด้งหลุดให้นะครับ ผมก็นั่งเคลียร์งานที่ได้รับจากคุณเลขาเล็กๆน้อยๆตามปกติ จนกระทั่งอยู่ๆก็มีซองจดหมายสีหวานไถลมาตรงหน้า (อย่าเรียกว่าวางเลยน่ะ) ผมเงยหน้ามองคนส่งที่ยืนค้ำหัวด้วยความแปลกใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้คำตอบจากเจ้าตัว ผมจึงก้มหน้าลงไปเปิดอ่าน

 
หืมมม การ์ดเชิญงานแต่งงาน?

 
พิธีสมรสระหว่างนางสาววรรณกา ประสิทธิวงศ์ และ นายปรวีณ์ ฤทธิชัยสกุล

 
เอามาให้ผมทำไมกัน?

 
ผมเงยหน้าขึ้นไปมองอีกครั้งด้วยความงงงวยสุดขีด คนรู้จักเหรอก็ไม่ใช่ ไอคุณชายก้มลงมองผมด้วยความเอือม

 
“ ไปกับฉันด้วย วันนั้นเตรียมตัวให้พร้อมล่ะ ” เจ้าตัวอธิบายสั้นๆ สงสัยเป็นเพราะอารมณ์ไม่ดี จึงทำให้บรรยากาศวันนี้มันเซ็งๆชอบกล


“ เอ่อ ครับ ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินออกจากห้องไป ทำให้ผมต้องรีบกระเด้งลุกออกจากที่นั่งแทบไม่ทัน เพราะพายุที่ชื่อเนตรนภิศกำลังพัดออกนอกสถานที่แล้วครับท่าน!

 
ผมเดินกึ่งวิ่งตามมาที่ลิฟต์ ไอคุณชายเดินเข้าไปพอดี ผมจึงรีบบึ่งกว่าเดิมแต่กระนั้นแล้ว…ก็ยังไม่วายเกือบโดนประตูลิฟต์หนีบเข้าให้ ส่วนเจ้าตัวน่ะเหรอ ก็คงความหน้าหงิกเหมือนเดิม เพราะก็ไม่มีการกดปุ่มเปิดประตูลิฟต์ให้ อาศัยระบบเซ็นเซอร์เอา ประตูจึงเปิดอีกครั้ง

 
ฮึ่ย ไอคุณชายบ้าบอ!

อะไรของเขาวะ อารมณ์เสียเองก็อย่ามาพาลเขาสิเว้ยเฮ้ย!

 
ผมก่นด่าอีกฝ่ายเสียงดังก้องในใจ ตอนนี้ผมก็เริ่มมีอารมณ์เหมือนกันแล้วเนี่ย ผมตามอารมณ์ของไอบ้านี่ไม่ถูกซะจริงเลย เมื่อเช้าก่อนจะมาบริษัท ยังปกติอยู่เลย แล้วไหงพอหลังจากนั้นไม่กี่นาที ถึงบูดได้ขนาดนี้ ผมเดินตามร่างสูงตรงหน้ามาเรื่อยๆจนเกือบจะถึงรถ อยู่ๆคนตรงหน้าผมก็หยุดกระทันหัน แต่บทเรียนนั้นผมเคยได้รับมาแล้ว หึ กูไม่หลงกลหรอกโฟ้ย! ผมจึงรีบหยุดทันที

 
“ อ้าว นึกว่าใคร เนตรนั่นเอง จะรีบไปไหนเหรอ ” น้ำเสียงของชายคนหนึ่งเอ่ยทัก ผมจึงหันไปมอง

 
หืม นั่นมันคนที่ไอคุณชายบอกว่าเป็นหุ้นส่วนนี่นา

 
“ ผมกำลังออกไปทำธุระข้างนอกครับ ” คนอ่อนวัยกว่าตอบน้ำเสียงเนิบ ขบกรามแน่น บ่งบอกถึงอารมณ์ที่ตึงเครียดได้เป็นอย่างดี


“ ได้รับการ์ดเชิญแล้วใช่ไหม ” คนฟังตัวเกร็งขึ้นทันทีเมื่ออีกฝ่ายพูดจบ


“ ได้รับแล้วครับ ”


“ อาขอบคุณมากนะที่ยังไม่ลืม วรรณ นี่เขายังถามซ้ำๆอยู่เลยว่าเนตรได้รับการ์ดเชิญหรือยัง ”


“ ครับ ฝากบอกเขาด้วยแล้วกันนะครับว่าผมไม่ลืม…ไม่มีทางลืม ” ประโยคหลังเอ่ยเสียงเบา ผมมองไอคุณชายที่ตอนนี้สีหน้าว่างเปล่า แต่ยืนกำมือแน่น แล้วก็นึกไปถึงวันที่เขานอนละเมอ ก็พูดชื่อนี้ออกมาเหมือนกัน แต่ตอนนั้นผมนึกว่าเขาละเมอมั่วๆเลยไม่ได้ใส่ใจ แต่นี่ยังมาได้ยินอีกครั้งจากปากของชายวัยกลางคนคนที่ยืนอยู่หน้าผมและไอคุณชายตอนนี้ และผมก็ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญแน่ๆ


วรรณ งั้นเหรอ ใครกัน….







(เนตร)

ผมว่าตัวเองจะทำใจได้พอที่จะลืมความเจ็บปวดในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว แต่เมื่อมาถึงวันที่ผมคาดไว้ว่ามันจะเกิดขึ้นในซักวัน ผมก็รู้ตัวว่าตลอดมานั้นผมอาจจะหลอกตัวเอง
 

“ พ่อได้รับการ์ดเชิญมา ของลูกสาวหุ้นส่วนบริษัทเราน่ะ แกลองเอาไปดูสิ ” ผมรับมาดู แล้วก็ค้นพบว่าการ์ดเชิญที่พ่อว่านั้น เป็นของอดีตคนรักเก่าผมเอง
 

วรรณกา
 

ชื่อของคนคนหนึ่งที่ผมคงจะจำไม่ลืม
 

ผมตัวชาไปทั้งร่าง กระทั่งเดินกลับมาที่ห้องยังไงผมก็นึกไม่ออก ในหัวผมตอนนี้มีแต่ความทรงจำเมื่อสมัยเก่าวนเวียนอยู่ มันฉายภาพขึ้นมาเป็นฉากๆราวกับถูกเก็บไว้อย่างดีในซอกหลืบภายในใจที่ผมพยายามกดมันให้ลึกเพื่อที่จะลืม แต่พอมาในตอนนี้มันถูกดึงขึ้นมาเพื่อเตือนสติผมอยู่ว่า ผมยังคงไม่ลืม และก็ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหน่ถึงจะลืม
 

ผมโหมทำงาน พยายามลืมทุกสิ่งทุกอย่าง พยายามไม่นึกไม่คิดถึงคนคนที่ผมเคยรักสุดหัวใจ  และอยากจะหลีกหนีไปไม่อยากไปร่วมงานนั้น ไม่อยากไปเป็นสักขีพยานในความล้มเหลวของตัวเอง ล้มเหลวทั้งกาย แล้วก็หัวใจ แต่แม้ว่าผมจะพยายามปฏิเสธขนาดไหน แต่ความจริงก็คือความจริง ถึงผมหนีตอนนี้ แต่ภายภาคหน้าก็อาจจะได้มาพบเจอกันอีก ไม่ว่าจะโอกาสไหนก็ตาม ดังนั้นเพื่อความสบายใจของอีกฝ่าย ผมคงต้องฝืนมันอีกซักครั้ง
 

ฝืนใจ…เหมือนตอนที่จากลากัน

 
แท้จริงแล้วอาจจะเป็นผมฝ่ายเดียวที่ยังยึดติดอยู่ ไม่ว่าตอนนี้เธอจะก้าวเดินได้ไกลแค่ไหน คงมีแต่ผมที่ยังย่ำอยู่ที่เดิม ที่ผ่านมาแม้ว่าจะพยายามลากเท้าให้ก้าวต่อไปขนาดไหนก็ตาม ก็คงเป็นธรรมดาที่ช่วงเวลาแห่งความสุขที่ถึงจะอยู่ได้ยาวนาน แต่ก็ไม่นานพอที่จะให้ครอบครอง หรือมันอาจจะไม่มีวันที่จะได้ครอบครองจริง
 

ไม่รู้ว่าผมนั่งเหม่อมานานขนาดไหน ที่สวนแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ผมกับวรรณเจอกันครั้งแรก ก็อีกตามเคยอย่างที่ผมเคยบอก คงมีแต่ผมที่ยังยึดติด ที่ยังมาตรงที่เดิมๆ ผมถอนใจเบาๆ และตอนนั้นเองผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าผมไม่ได้นั่งอยู่คนเดียวมาตั้งแต่ต้น มีบอดี้การ์ดนั่งเหม่ออยู่กับผมด้วยอีกคน

 
ผมนั่งมองอีกฝ่ายโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเดินตามผมมาตั้งนาน แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่รู้ตัวเลยกันนะ หรืออาจจะเป็นเพราะเรื่องในวันนี้มันทำให้ผมตกใจจนหัวสมองว่างเปล่าไปหมด ถึงกับทิ้งงานที่ยังทำคั่งค้างเอาไว้ แล้วเดินออกมาเพราะอึดอัดในใจจนต้องหาที่มาสงบจิตสงบใจ

 
จริงๆแล้ว ไม่ว่าผมจะสุข ทุกข์ หรือตกใจอะไร ก็มีเจ้านี่แหละที่อยู่กับผมตลอด อาจจะเป็นเพราะหน้าที่ หรือเพราะเงิน ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่บางทีมันทำให้ผมอุ่นใจว่ายังมีคนอยู่ข้างๆ ถึงแม้อาจจะไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย แต่ก็แค่อยู่ข้างๆก็รู้สึกดีกว่ารับรู้เรื่องราวคนเดียวอยู่มากโข

 
ตั้งแต่ผมออกจากบ้านมาทำงาน หรือแม้กระทั่งไปเรียนต่อต่างประเทศ ผมก็ไม่ค่อยสุงสิงกับที่บ้านมากนัก จะมีก็แต่เจ้านันท์ที่บางทีมีเรื่องมาปรึกษาอยู่เรื่อยๆ แต่กับพ่อกับแม่นานๆทีจะติดต่อกลับไป ไม่ใช่ว่าห่างเหินหรืออะไร แต่อาจจะเป็นเพราะผมรู้สึกว่าผมไม่อยากให้เขารับรู้ปัญหาของผมก็เป็นได้ เพราะไม่อยากให้เขาต้องกังวลหรือเป็นห่วง แสดงให้เขาเห็นว่าผมอยู่ได้ ผมจึงเป็นคนเดียวในบ้านที่มีโลกส่วนตัวมากหน่อย แต่กับเจ้านันท์ที่เป็นคนร่าเริงขี้อ้อนเป็นทุนเดิม จึงสนิทสนมกับพ่อกับแม่มากกว่า

 
เพราะฉะนั้นเวลาผมมีปัญหาอะไร จึงชอบที่จะเก็บไว้คนเดียว แก้ปัญหาด้วยคนเดียวอยู่เรื่อย เพราะไม่ชินที่จะปรึกษาใคร และไม่ชินที่จะขอร้องให้ใครช่วย ด้วยความที่ผมเป็นแบบนี้ น้อยคนนักจึงจะรู้ว่าจริงๆแล้วผมก็อยากมีคนคอยร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน แม้กระทั่งอดีตคนรักของผมก็ตาม

 
แต่เมื่อนึกถึงคนที่นั่งอยู่ข้างๆผมตอนนี้ ในใจผมกลับอุ่นวาบขึ้นมา ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน คงรับรู้ได้ว่ายังมีคนคอยยืนอยู่ข้างหลังคอยระวัง ยืนอยู่ข้างๆเพื่อแบ่งทุกข์ร่วมสุข จนถึงคอยอยู่ข้างหน้าเพื่อจูงผมออกไปจากสถานการณ์ที่เลวร้ายเหมือนตอนนี้ ผมไม่ได้สนใจรักร่วมเพศหรืออะไรเทือกๆนั้น แต่เรื่องราวแบบนี้มันก็อยู่ที่ใจเราไม่ใช่หรือ? ผมไม่เห็นถึงความเสียหายหรือความเดือดร้อนให้ใคร ไม่เห็นจำเป็นต้องอายใคร และต้องกลัวใครเลยด้วยซ้ำ
 

หรือผมควรจะกระชากโซ่ที่ตรึงขาผมไว้ ลืมอดีตที่ผ่านมา แล้วก้าวไปทีละก้าว มุ่งไปสู่ทางข้างหน้าที่ไม่รู้จะเป็นยังไง แต่ก็คงจะดีกว่าย่ำอยู่ที่เดิม

 
เอาสิ

 
ในใจผมให้คำตอบอย่างรวดเร็ว อย่างที่แทบไม่ต้องตัดสินใจอะไรเลย เหมือนมีลมอุ่นๆพัดพาความหดหู่ในใจให้ค่อยๆจางหายไป หัวสมองค่อยๆเบาลง ผมหันหน้ากลับมาและมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างกับคนปลงตกอะไรบางอย่าง มุมปากเกิดรอยยิ้มบางๆ


ลองเสี่ยงดูก็ไม่เสียหายนี่นะ


 
โปรดติดตามตอนต่อไป


เมื่อคุณเนตรเบิ่งเนตรเป็นที่เรียบร้อยค่ะ!

 :sad4:


ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ เจ้าหมีวุ่นวาย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ตอนที่ 17
" รู้สึกแปลกๆ อย่างเช่นอึดอัด? "





หลังจากที่ไอคุณชายมานั่งโง่ๆ อยู่ตรงนี้มาได้นานสองนาน แล้วก็มีผมแหละครับที่นั่งโง่ไปด้วย แถมไม่โง่พอที่จะนั่งเฉยๆ นะครับ นั่งสัปหงกด้วยเว้ย!



กู (โง่) ล้ำกว่าว่ะ



ไอคุณชายต้องสะกิดผม ผมถึงจะสะดุ้งตื่นเต็มตา ก็อากาศมันเย็นนี่นา นั่งใต้ร่มต้นไม้ ลมพัดเอื่อยๆ แถมวิวก็สบายตา ไอผมก็อดไม่ได้นี่ครับที่จะเคลิ้ม โธ่ แถมพอนั่ง (โง่) จนเสร็จแล้ว พอลืมตาขึ้นมา ก็เจอกับไอคุณชายที่นั่งเท้าคางมองมายังผมนิ่งๆ แต่สีหน้าเจ้าตัวกลับดีขึ้น ความหมองหม่นรอบตัวที่มีก่อนหน้านี้ได้หายไป ตอนนี้มีแค่ไอคุณชายคนเดิม ที่กวนประสาทเหมือนเดิม



“ รู้เปล่า เมื่อกี้ที่นายนั่งอู้งานอ่ะ... ”





“ ผมไม่ได้อู้งานนะ! มันก็แค่ เอ่อ เผลอไปแปปนึงเอง ” ผมรีบสวนคำพูดของไอชาย เถียงข้างๆ คูๆ ก่อนจะอึกอักหาข้อแก้ตัว ก็รู้ว่าผิด แต่มันห้ามเปลือกตาอันหนักอึ้งไม่ได้นี่นา ใครใช้ให้อีกฝ่ายมานั่งตรงที่ลมดีกันล่ะ





“ หึ นั่นแหละ นายเอนตัวมาทางฉัน จนจะล้มอยู่แล้ว ”





“ ใช่เหรอครับ คุณขี้โม้หรือเปล่า ผมไม่เคยสัปหงกถึงขั้นนั้นนะ ”





“ นั่น ยอมรับแล้วใช่ไหมว่าแอบอู้ ” น้ำเสียงยียวนกวนบาทา ยืดตัวขึ้นกอดอก ไขว่ห้าง เต๊ะท่าเป็นผู้ดีตีนขาว (ตัวขาวเกินไปน่ะ) มองนิ่งๆ มายังผม แต่ไอมุมปากที่ยกขึ้นยิ้มเยาะราวกับผู้ชนะนั่นคืออะไร!





“ เออๆ ผมยอมรับก็ได้ครับ ผมขอโทษ ” ผมต้องยอมรับอย่างไม่มีทางเลือก เพราะยังไงผมก็แอบหลับจริงๆ นั่นแหละ อีกฝ่ายก็หัวเราะชอบใจ เออ! ขอบใจ!





“ เออ ใช่ เมื่อกี้อยู่ๆ มีคนเข้ามาจะทักนาย บอกว่านายลืมของเอาไว้ แต่ฉันเห็นนายหลับอยู่เลยรับของมาแทนก่อน ”





“ หืม ผมเนี่ยนะ ลืมของเอาไว้ ” ผมถามย้อนกลับไปด้วยความฉงน ใครวะ แล้วผมไปลืมไว้ตอนไหนกัน ไอคุณชายล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกง แล้วดึงของบางอย่างออกมา





“ สร้อยข้อมือ? ” อีกฝ่ายยกสายสร้อยที่มีลักษณะเป็นสายโซ่ขึ้นเพื่อให้ผมเห็นชัดๆ ผมมองไปที่ข้อมือตัวเองก็พบว่าว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยสร้อยที่ปกติจะชอบสวมไว้ติดตัว





“ เฮ้ย ใช่เลย ของผมเอง โอ้ย นี่ไม่รู้ตัวเลยนะเนี่ย ” ผมยื่นมือไปรับสร้อยคอในมือของไอคุณชายกลับมา พลิกซ้ายพลิกขวาดูเผื่อมีร่องรอยเสียหาย





“ ว่าแต่นายรู้จักเขาเหรอ ” ไอคุณชายถามต่อหลังจากที่คืนของให้ผม





“ ใครเหรอครับที่เอามาคืน ”





“ เป็นผู้ชายอ่ะ ตัวสูงๆ หน่อย ผิวไม่ขาวมาก ฉันก็ลืมถามชื่อ แต่เขาบอกว่ารู้จักนาย ” ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย พยายามนึกถึงคนที่รู้จักว่าใครมีเค้าโครงที่จะใช่ ทวนคำอธิบายนั้นในใจซ้ำไปซ้ำมา ก่อนที่เพื่อนบ้านที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อเช้าจะปรากฏวาบขึ้นมาในหัว





“ อ้อ น่าจะเป็นคนข้างห้องใหม่ที่ผมเล่าให้ฟังหรือเปล่าครับ ”





“ คนข้างห้อง? ไม่เห็นคุ้นหน้าเลยตอนเจอ ” เจ้าของห้องนั่งคิ้วขมวด





“ ก็ที่ตอนที่ผมไปทิ้งขยะไงคุณ ที่คุณรอกินข้าวเช้านั่นน่ะ ”





“ แล้วเขารู้ได้ไงว่านายทำงานที่นี่ ” เออ นั่นสิ ผมก็สงสัย เพราะถ้าเขาไม่รู้จักไอคุณชายนี่ แล้วเขารู้ได้ไงว่าผมทำงานอยู่ที่นี่ เพราะเมื่อเช้าผมว่าผมไม่ได้บอกไปนะ ขนาดชื่อผมยังไม่ทันได้บอกเลย





“ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ หรือว่าเขาตามผมออกมา ”





“ ไม่รู้ ช่างเถอะ ของตัวเองได้คืนกลับมาก็ดีแล้ว ” ไอคุณชายพูดจบก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วหันมาลากแขนผมให้เดินตาม ผมตกใจมองอีกฝ่าย พยายามดึงแขนออกจากฝ่ามือขาวของอีกฝ่ายแต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็ต้านแรงของอีกฝ่ายไม่ได้ ผมจึงได้แต่เดินตามด้วยสีหน้าที่เอือมสุดฤทธิ์











เดินมาสักพัก ก็ถึงร้านคาเฟ่น่ารักๆ ร้านหนึ่ง ที่ผมจำได้ว่าไอคุณชายเคยเดินมารอบหนึ่ง ตัวร้านถูกตกแต่งด้วยสไตล์เรือนขนมปังขิง ที่มีความผสมผสานระหว่างตะวันตกกับไทยได้อย่างลงตัว ประดับลวดลายฉลุไม้ ตัวร้านทาสีไข่ตัดกับหลังคาสีฟ้า ให้ความรู้สึกเหมือนย้อนยุคกลับไปในสมัยก่อน มีระเบียงยื่นออกมาเป็นรูปทรงหกเหลี่ยมข้างๆ ประตูทางเข้า ไม่ยักจะรู้ว่าอย่างไอคุณชายก็มีมุมแบบนี้ด้วย เข้าร้านมุ้งมิ้งขนาดนี้



คนตัวสูงที่เดินนำผมมาตลอดทางยืนนิ่งหน้าร้านพักหนึ่ง ค่อยๆ เอื้อมมือไปผลักกระตูร้านเบาๆ เสียงกระดิ่งที่ถูกกระทบเบาๆ เกิดเสียงให้รู้ว่ามีคนเข้าร้าน



ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในกระทบตัวผมเบาๆ เสียงพนักงานเอ่ยต้อนรับและยิ้มให้เล็กน้อย ผมกับร่างสูงข้างหน้าเดินไปตรงบริเวณเคาท์เตอร์ที่รับออเดอร์ ไอคุณชายสั่งเครื่องดื่มก่อน แล้วจึงหันมามองผมเชิงถามว่าจะเอาอะไร นึกว่าจะไม่ถามกันแล้วซะอีก



ผมเลือกเมนูเครื่องดื่มพ่วงด้วยขนมหวานอีกอย่างหนึ่ง นิ้วจิ้มไปที่ขนมหวานก็ได้ยินคนข้างๆ กระแอมเบาๆ ผมจึงหันไปยักคิ้วให้กวนๆ แทน ฮ่าๆ พอสั่งเสร็จเราก็เดินไปนั่งที่โต๊ะมุมหนึ่งของร้าน ผมผินหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง เพิ่งจะเห็นว่าข้างนอกก็เป็นสวนเล็กๆ ที่ประดับประดาไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ เหมือนของร้านพี่อุ่นเลย แต่ร้านนี้จะให้กลิ่นอายที่เรียบหรูมากกว่า คงเหมาะกับพวกคุณหญิงคุณนายจะมานั่งเม้ามอยกัน



ผมกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์สุนทรีย์อยู่สักพัก ไอคุณชายก็ยื่นเท้ามาเตะเท้าเบาๆ ผมละสายตาจากนอกหน้าต่าง มาให้ความสนใจกับคนที่นั่งตรงข้าม ก่อนจะถลึงตาให้ รองเท้าแพงนะโว้ย สกปรกหมด



“ คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกเอ็มวีหรือไง นั่งอย่างกับถ่ายเอ็มวีอยู่อย่างนั้นแหละ ” ทำไมชีวิตผมถึงต้องมีมารผจญที่ชอบขัดความสุขชาวบ้านซะเหลือเกินนะ ผมจึงทำหน้าบึ้งตอบกลับไป นึกในใจ มีลูกน้องที่ไหนเขาทำท่าทางแบบนี้ใส่เจ้านายกันมั่งไหมเนี่ย



หลัวจากนั้นผมกับไอคุณชายก็พูดคุยสัพเพเหระเรื่อยเปื่อย (ส่วนใหญ่จะกวนตีนใส่กันซะมากกว่า) ระหว่างนั้นเครื่องดื่มและของหวานที่สั่งไว้ก็ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะ ผมก็แปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมถึงเล่าอะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวให้อีกฝ่ายฟังอยู่นานสองนาน ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้สนิทสนมกันไปมากกว่าเจ้านายกับลูกน้อง ถ้าเป็นไอแสงล่ะว่าไปอย่าง



สงสัยอาจจะเป็นเพราะสบายใจล่ะมั้ง



ผมปลอบใจตัวเอง ผมยกน้ำขึ้นมาดื่ม ของหวานหมดนานแล้วโดยฝีมือไอคนตรงหน้าผมนี่ ตอนแรกทำทีเป็นไม่ให้สั่ง ทีงี้ล่ะมาแย่งคนอื่นเขากิน แล้วก็ไม่ให้ผมสั่งเพิ่มด้วยนะ บอกแค่ว่าถ้าสั่งจะให้จ่ายเองให้หมดเลย โว้ย แพงขนาดนี้ผมก็ไม่อยากเสียเงินหรอกนะ น้ำแก้วหนึ่งก็ปาเข้าไปร้อยกว่าบาทแล้ว (คืองกนั่นเอง)



เสียงกระดิ่งดังขึ้นอีกครั้ง จริงๆ มันก็ดังอยู่ตลอดนั่นแหละ เพราะลูกค้าร้านนี้เข้าออกเยอะเหมือนกัน ตั้งแต่ที่ผมนั่งมาก็มากหน้าหลายตาสลับกันมาไม่ซ้ำหน้าเลย บางคนสั่งกลับบ้าน บางคนก็มานั่งในร้านเลย ทำให้ร้านดูคึกคักตลอด แต่ก็เป็นไปอย่างผู้ดีเขากินกัน ไม่มีการพูดเสียงดัง หรือหัวเราะเสียงดัง ไม่มีเลย แล้วยิ่งเสียงเพลงที่คลอเบาๆ ยังเป็นสไตล์แจ๊สอีก จึงทำให้ร้านนี้ดู ‘แพง’ ไปอีก



จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงที่คาดว่าน่าจะเป็นเจ้าของร้าน เพราะมีการถามไถ่พนักงานเล็กน้อย ก่อนจะเดินหายเข้าไปด้านใน ทำไมผมสังเกตขนาดนี้น่ะเหรอ ก็เพราะไอคนตรงข้ามผมมองตามชนิดที่ว่าไม่วางตาเลยน่ะสิ ผมจึงแอบๆ หันไปมองบ้าง แล้วก็เห็นอย่างที่ผมบอกไปน่ะครับ



คงจะสวยมากล่ะสิ ก็เป็นธรรมดาที่ผู้ชายจะชอบผู้หญิงสวยๆ ขนาดผมจะมองตามเลย แต่ความรู้สึกใจแฟบที่เป็นอยู่นี้คืออะไรกัน ผมขมวดคิ้วมุ่นไปหมด ห้ามความรู้สึกที่เหมือนจะ...



ผิดหวัง?



หืมม แล้วทำไมผมจะต้องผิดหวังด้วยวะ!



ผมหันกลับมามองไอคุณชายอีกครั้ง ก็พบว่าสายตาเขายังมองไปด้านที่ร่างบอบบางของหญิงสาวผู้นั้นผลุบหายเข้าไปอยู่อย่างนั้น ความรู้สึกผิดหวังเริ่มก่อขึ้นภายในใจมากขึ้น ผมเสยกน้ำขึ้นมาดูด ไล่สะบัดความคิดนี้ออกจากหัว แต่ก็ดูเปล่าประโยชน์ เพราะยิ่งปัดมันออกไปความรู้สึกก็ยิ่งเพิ่มขึ้นทุกที



ผมนั่งก้มหน้าน้อยๆ ทำทีเป็นมองมือถือ แต่ก็ยังแอบมองไอคุณชายเป็นระยะๆ ถอดถอนใจเบาๆ จนกระทั่งหญิงสาวเจ้าของร้านเดินออกมาพร้อมถาดขนมอีกครั้ง ผมมองไปยังกระจกหน้าต่างที่สะท้อนเงาของหญิงสาวไกลๆ เพราะไม่อยากหันกลับไปให้เขารู้ มือขาวเรียวถือที่คีบหยิบขนมสีสันหลากสีออกมาจัดเรียงอย่างสวยงาม คนตรงข้ามผมก็ยังคงมองต่อไป ผมเริ่มเกิดความรู้สึกที่อยากกลับขึ้นมาทันที ไม่อยากจะอยู่ต่อแล้ว จึงเอ่ยปากจะถามไอคุณชายเพื่อจะถาม



แต่เหมือนจะช้าไป อยู่ๆ คนที่นั่งนิ่งก็ลุกขึ้นยืนไม่ให้ทันตั้งตัว ผมมองตามร่างสูงที่เดินไปยังหน้าร้าน ก่นด่าในใจกับความหุนหันพลันแล่นของอีกฝ่าย และขณะที่ผมจะหยิบของส่วนตัวเพื่อเดินตามไป





“ เนตร ”


                 
               
เสียงอ่อนหวานแผ่วเบาของหญิงสาวดังเข้าโสตประสาทของผม ผมชะงัก หันกลับไปมองหญิงสาวคนนั้นอีกครั้งด้วยความแปลกใจ ทั้งสองคนที่ยืนเผชิญหน้ากันทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีสายใยบางอย่างที่ผมคิดว่าเขาจะต้องรู้จักกันมาก่อนแน่นอน ผมกดอารมณ์หน่วงๆ ที่เกิดขึ้นในใจเมื่อกี้ลงไปให้ลึก เดินไปหาทั้งคู่ สีหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ





“ ใช่ ผมเอง ”  ไอคุณชายไม่แสดงความถึงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากสายตาที่ทอดมองไปยังหญิงสาวตรงหน้า ซึ่งผมอาจจะคิดไปเองว่ายังอาลัย ในอกผมพลันเกิดความรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างที่ผมไม่ทันคาดคิด





“ เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม แล้วกลับจากเมืองนอกตั้งแต่เมื่อไหร่ ”  หญิงสาวพยายามทำเสียงร่าเริง แต่คนนอกอย่างผมดูก็ดูออกว่าคงฝืนอยู่





“ ก็...เรื่อยๆ น่ะ กลับมาได้เกือบสี่เดือนแล้ว แล้ว วรรณ ล่ะเป็นยังไงบ้าง ”  หืม ‘วรรณ’ งั้นเหรอ ผมว่าผมคุ้นชื่อนี้มาก เพราะเคยได้ยินบังเอิญมาหลายครั้งหลายคราเหลือเกิน คือ...คนคนนี้เองน่ะเหรอ ผมมองไปที่หญิงสาวอย่างเหม่อลอย ในใจเริ่มรู้สึกหน่วงๆ หนักขึ้นอย่างบอกไม่ถูก





“ ก็สบายดีเหมือนเดิมแหละ ว่าแต่เนตรได้รับ... ”





“ ได้แล้ว ขอบคุณมากนะที่ยังไม่ลืมกัน ”  ร่างสูงข้างตัวผมรีบพูดตัดประโยคของอีกฝ่าย ผมเห็นเธออึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา





“ จะลืมได้ไง ”  แล้วก็เดดแอร์ไปชั่วครู่ ระหว่างที่ทั้งสองคนยังไม่รู้จะหาประโยคอะไรมาคุยต่อ ผมก็เริ่มรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก กะว่าจะขอตัวออกไปรอข้างนอก เพื่อรับอากาศปลอดโปร่ง ไล่ความขุ่นมัวในใจออกไป





“ เออ แล้วนี่คือใครอ่ะเนตร เพื่อนเหรอ ”  และอยู่ๆ ผมที่ซึ่งเป็นธาตุอากาศมาโดยตลอดการสนทนา ก็ปรากฏอยู่ในสายตาของหญิงสาว ไอคุณชายหันมามองผมด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออก แล้วหันกลับไปมองที่หญิงสาวตามเดิม ผมแสร้งยิ้ม ทั้งที่ในใจรู้สึกขมขื่น ความรู้สึกหน้าชื่นอกตรมเป็นยังไงก็เพิ่งรู้สึกจริงตอนนี้แหละ





“ อืม เพื่อนน่ะ ”  คำว่าเพื่อนสนิทที่ออกจากปากของไอคุณชาย ไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจซะเท่าไหร่ ใครจะไปบอกกันล่ะว่าผมเป็นบอดี้การ์ด





“ อ๋อเหรอ เพิ่งรู้นะเนี่ย ว่าเนตรก็มีเพื่อนหน้าตาดีแบบนี้ด้วย ”





“ หา ผมเนี่ยนะครับ ”  ผมร้องเหวอออกไป เมื่อได้ยินคำชมของอีกฝ่าย เธอหัวเราะออกมาเบาๆ พอได้เห็นสีหน้าเหวอๆ ของผม





“ ขอโทษนะ พอดีฉันพูดตามที่เห็นน่ะ ”  เธอยิ้มให้เล็กน้อย  “ ว่าแต่ชื่ออะไรเหรอ ”





“ ชื่อ ณรัก ครับ เรียกผมรักก็ได้ ”





“ ขนาดชื่อยังน่ารักเลย ”  เธอพูดแล้วหัวเราะอีกครั้ง ผมจึงหัวเราะแห้งๆ ตาม





“ ฉันชื่อวรรณนะ เป็น… ”





“ แฟนเก่าฉันน่ะ ”  อยู่ๆ ไอคุณชายที่เงียบไปสักพักก็เปิดปากพูดออกมา หญิงสาวหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย แต่ก็ยังยิ้มให้ผม ผมมองบรรยากาศรอบๆ ตัวตอนนี้ ถ้ากรมอุตุนิยมวิทยามาตรวจสอบได้ คงพยากรณ์ออกมาว่า ‘มีหมอกหนาปกคลุมทั่วพื้นที่’ มันอึมครึมยังไงชอบกล





“ วรรณว่าเราอย่ามาคุยกันตรงนี้เลย ไปนั่งกันไหม ”





“ เดี๋ยวผมก็จะกลับแล้วล่ะ กะว่าจะมาแปปเดียว แต่เห็นวรรณซะก่อน ” ทำไมไม่รู้ผมถึงรู้สึกว่าเขากำลังโกหกอยู่กันนะ แค่เห็นหน้าตอนไอคุณชายตอนเห็นผู้หญิงคนนี้เดินเข้ามา แล้วพอได้มารู้จักกัน ก็เหมือนกับสิ่งที่ผมแปลกใจก็ได้รับคำตอบในทันที



มารอเจอนั่นแหละ



ผมยิ้มให้หญิงสาวเล็กน้อย ก่อนจะก้มหัวให้เป็นเชิงขอตัวออกมา พวกเขาคงมีอะไรพูดกันก่อนจาก ผมก็คงไม่อยากอยู่เป็นตัวขัดให้เสียอารมณ์ จึงเดินออกมานั่งรอที่ม้านั่งตรงระเบียง ลมพัดเบาๆ มากระทบตัวผมไม่ได้ทำให้ผมปลอดโปร่งขึ้นซักนิด ผมก้มลงมองมือตัวเอง ในหัวก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ไอคุณชายนอกละเมอเป็นชื่อของคนนี้ขึ้นมา ผมอดคิดไม่ได้ว่าเขายังคงอาลัยอาวรณ์อยู่ ทำไมไม่รู้ความจริงเรื่องนี้มันทำให้ผมอึดอัดใจมาก



อยู่ๆ การ์ดแต่งงานสีหวานที่ผมเห็นเมื่อเช้า ก็ผุดขึ้นมาในหัว วรรณ ที่ว่านี้ไม่ใช่ว่าเป็นคนเดียวกับที่กำลังจะแต่งงานหรอกหรือ ผมนิ่งไป แล้วทำไมเขาถึงยังอาลัยอาวรณ์ล่ะ



ไม่ใช่ว่า…ยังรักอยู่เหรอ



มือผมประสานกันแน่น เมื่อผมได้คำตอบที่ผมว่าผมมั่นใจว่าใช่ ไอคุณชายยังรักหญิงสาวอยู่ ไม่อย่างนั้นตอนได้รับการ์ดแต่งงานนั้นเขาคงไม่อารมณ์เสียขนาดนี้หรอก ถึงขนาดออกมานั่งเหม่ออยู่นานสองนาน เพราะฉะนั้นเขาต้องยังรักอยู่แน่ๆ ทำไมผมถึงรู้สึกว่ามันคงมีอะไรมากกว่านั้นกันนะ



เสียงประตูดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ร่างคนที่อยู่ในความคิดของผมจะเดินออกมา สีหน้าไม่บ่งบอกความรู้สึกอีกตามเคย ผมลุกขึ้นเดินเข้าไปหา คราวนี้เป็นผมที่เดินนำไปก่อน พอเข้ามาอยู่ในรถ บรรยากาศก็ตกอยู่ในความเงียบ ต่างคนก็ต่างคิดอะไรของตัวเองไป ถึงจะเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีใครเปิดปากพูดออกมาก่อน



เมื่อกลับถึงห้องคอนโด ผมจึงเอ่ยขอตัวเบาๆ กับไอคุณชาย ก่อนที่จะเดินเข้าไปห้องนอนของตัวเองไป ส่วนเจ้าของห้องผมก็พยายามไม่หันไปมองหน้า ในใจผมตอนนี้มันตีรวนปรวนเปไปหมด บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรใสตอนนี้ ใจหนึ่งก็ดีใจเมื่อรู้ว่าเขามีคนในใจแล้ว ตัวเองจะได้ตัดใจได้ซักที แต่อีกใจหนึ่งก็ผิดหวังเมื่อต้องรู้ความจริงว่าคนที่อยู่ในใจเขามาตลอดคือใคร ผมนั่งลงบนเตียง แล้วทึ้งหัวเบาๆ กับตัวเอง



เสียงไลน์ดังเตือนว่ามีคนกำลังทักแชทผมมา ผมหยิบมันขึ้นมาดู เผื่อว่าเป็นไอแสงทักมา แต่คนที่ทักมาหาผมในช่วงเวลานี้กลับเป็นไอคนที่ผมเมินมันตลอดมา





‘ หวัดดี ’  คุณแดเนียลนั่นเอง





‘ *สติกเกอร์เป็ดทรุดตัวลงกับพื้น* ’





‘ เป็นอะไรไป? ทำงานเหนื่อยเหรอ? ’





‘ เปล่าอ่ะ รู้สึกเหนื่อยใจนิดหน่อย ’ ผมล้มตัวลงนอนราบไปกับเตียง ยกมือถือขึ้นกด





‘ มีเรื่องอะไร ปรึกษาฉันได้นะ ’  ผมนิ่งไปพักหนึ่งหลังจากที่เห็นข้อความที่มันตอบมา





‘ เฮ้อ ฉันยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นอะไร ฉันจะไปปรึกษานายได้ยังไงล่ะ ฮ่าๆ ’




‘ นายไปเจออะไรมาล่ะวันนี้ ’   ผมนึกไปถึงเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นหมาดๆ เมื่อตอนบ่าย แล้วชั่งใจว่าจะเล่าให้ฟังดีไหม ในตอนนี้คือผมต้องการที่จะระบายออก ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่รู้ว่าจะระบายยังไงก็ตาม แต่ก็ตัดสินใจเล่าให้อีกฝ่ายไป





‘ วันนี้ฉันไปเจอเพื่อนมา ’





‘ อึฮึ ’





 ‘ฉันไม่ได้ว่าสนิทกับเพื่อนคนนี้มาก แต่ก็ตัวติดกันตลอด ’





‘ ไอแสง? ’





‘ ไม่ใช่ๆ จะเป็นใครก็ช่างเถอะ ’  ผมพิมพ์ต่อ  ‘ แล้วอยู่ๆ วันหนึ่งผมเพิ่งมารู้ว่ามันมีแฟนเก่าที่คงรักกันมาก เพราะตอนนี้มาเจอกันมันยังดูอาลัยเขาอยู่เลย ’





‘ นายตกใจเหรอที่รู้ ’




‘ มันไม่เชิงอ่ะ แต่แค่รู้ว่าแบบผิดหวัง แล้วก็… ’  อึดอัด ผมพิมพ์ค้างไว้ยังไม่กล้าส่ง แต่กลับเป็นคุณแดเนียลที่ตอบมาอย่างกับมาเห็นคำตอบผม





‘ นายก็เลยผิดหวังใช่ไหม รู้สึกแปลกๆ อย่างเช่นอึดอัด? ’ ผมรีบลบประโยคที่พิมพ์ค้างไว้ทันที





‘ เฮ้ย นายรู้ได้ไงอ่ะ ’  จากนั้นไอคุณแดเนียลก็เงียบไปพักหนึ่ง จนผมนึกว่ามันคงปิดไปแล้ว ผมกำลังกดออกจากแชทไป แล้วจะไปทักไอแสงต่อ แต่เหลือบไปเห็นข้อความมันตอบซะก่อน



‘ นายไม่รู้ตัวเลยจริงๆ เหรอ ’





‘ รู้ว่า? ’  ผมรีบพิมพ์กลับไป





‘ ฉันถามได้ไหมว่าเพื่อนผู้หญิงหรือผู้ชาย ’





‘ ผู้ชายน่ะ ’





‘ …’  สิ่งที่คุณแดเนียลตอบกลับมามีแต่จุดจุดจุดนี้ ผมจึงสงสัยว่ามันกำลังรู้อะไรแล้วหรือเปล่า ผมกำลังจะพิมพ์ถามว่าเขาเป็นอะไร แต่สายตาไปสะดุดกับประโยคที่อีกฝ่ายพิมพ์กลับมา ผมนิ่งทันทีราวกับถูกปิดสวิชต์ในร่างกาย เลือดลมในร่างกายเหมือนถูกแช่แข็ง ผมนอนนิ่งค้างอย่างนั้นไปหลายนาที ก่อนจะกระเด้งตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เสียงทักแชทรัวๆ จากใครก็ตามไม่ได้อยู่ในสาระบบผมแล้ว ตอนนี้สิ่งที่อยู่ในหัวผมมีอยู่อย่างเดียว



‘ นาย...กำลังชอบเขาเข้าให้แล้วล่ะ รู้ตัวหรือเปล่า ’



ประโยคที่ไอคุณแดเนียลพิมพ์มา…..





โปรดติดตามตอนต่อไป


น้อนนนนนนนนนน ไอต้าววววววววววว  :z3:





ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ เจ้าหมีวุ่นวาย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ตอนที่ 18
" ถ้านายยังไม่รีบตัดใจตั้งแต่ตอนนี้... "




 ‘ เฮ้ย บ้าเหรอ เขาเป็นผู้ชายนะ ฉันจะไปชอบเขาได้ยังไงกัน คุณมั่วแล้ว ’  หลังจากที่ผมนั่งอึ้งไปอยู่หลายนาที ขนาดคุณแดเนียลส่งสติกเกอร์ประโยคคำถามมาให้ ผมยังคงจ้องมองประโยคที่คุณแดเนียลพิมพ์มาก่อนหน้านี้ค้างไว้อยู่อย่างนั้น ผมรีบสะบัดหัวแล้วรีบพิมพ์ปฏิเสธลงไป





‘ ฉันไม่ได้ว่าจะกดดันนายหรืออะไรนะ แต่อาการของนายน่ะ มันกำลังเข้าขั้นแล้ว ’





‘ นายจะเริ่มรู้สึกแย่จนไม่อยากคุยกับเขา หรืออาจจะพาลไม่อยากเจอหน้าเขาเลย แถมตอนนี้นายคงกำลังหมดแรง หัวสมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก นอกจากคิดถึงเรื่องของเขาใช่ไหม ’   โอ้ย จึก จึก จึก จึกๆๆๆๆ หัวใจผมพรุนไปหมดแล้ว ทำไมไอนี่มันทายถูกหมดเลยวะว่าผมรู้สึกยังไง อย่างกับมานั่งมองสภาพผมอยู่ตอนนี้ ทั้งๆ ที่อยู่ไกลกันตั้งหลายพันกิโลเมตร ผมรู้สึกแย่จนแทบอยากจะร้องไห้ออกมา แต่ร้องไม่ออก มันตื้อๆ ไปหมดอย่างที่มันว่าแหละ



‘ ทำไมนายรู้ดีขนาดนี้ เคยเป็นเหรอไง ’





‘ เคยเป็น พอมาตอนนี้ก็กำลังเป็นอยู่ ’   คำตอบของเขาทำให้ผมแปลกใจ โปรไฟล์ดีอย่างเขาเนี่ยนะ จะมีอาการแบบผมได้ด้วย





‘ ทำไมล่ะ? ’





‘ ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรนะ มันเรื่องส่วนตัวของนาย ’  ผมรีบพิมพ์ไปเผื่อคุณแดเนียลจะรู้สึกว่าผมยุ่งเรื่องของเขา





‘ จริงๆ แล้ว… ’   พิมพ์มาเท่านี้ แล้วเขาก็หยุดพิมพ์ไป





‘ จริงๆ แล้ว? ’  นี่คือคนที่เกรงใจว่าไม่อยากยุ่งเรื่องคนอื่นนะเนี่ย





‘ ฉันแอบรักคนคนหนึ่งมานานมาก ’   หา อย่างนายนี่อ่ะนะ ยังต้องแอบรักอีกเหรอ ผมอึ้งไปกับประโยคที่เขาเล่ามา ผมยังคงไม่ตอบอะไรเพื่อให้เขาเล่าไปก่อน เขาจะได้ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วผมชอบเสือกเรื่องชาวบ้าน




‘ ฉันเจอเขาตั้งแต่ยังฉันยังเรียนอยู่เลย แถมเจอได้แปปเดียวก็ต้องจากกันแล้ว ’


‘ ฉันก็ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นแบบนี้ได้ยังไง รู้ตัวอีกทีฉันก็รู้สึกไปแล้ว ’ 


‘ ตอนนั้นฉันก็รู้สึกผิดหวังไปทีหนึ่งแล้ว ฉันก็มีคนคบไปเรื่อย แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครทำให้ฉันลืมเขาได้จริงๆ ’



‘ ตอนที่ฉันเกือบจะลืมเขาได้แล้ว แต่พอมาเจอกันอีกครั้ง ความพยายามของฉันก็เปล่าประโยชน์ไปทันที ’ 



‘ พอมาถึงตอนนี้ฉันก็เพิ่งมารู้ว่าเขากำลังชอบอยู่กับอีกคน ก็เลยอดที่จะรู้สึกผิดหวังอีกครั้งไม่ได้น่ะ ’  หืมมม นายนี่มันก็มีมุมที่รักฝังใจเหมือนกันนะเนี่ย จากที่ไอแสงเล่า ผมก็นึกว่าจะเปลี่ยนคู่ควงไปเรื่อยซะอีกๆ แต่ผู้ชายคนนั้นเป็นใครกัน ทำให้คนอย่างเขาหลงได้ขนาดนี้ ถ้าเป็นผมนี่คงจะรู้สึกภูมิใจ ที่ทำให้คนที่เจ้าชู้ (หรือเปล่า) มาหลงรักได้





‘ แล้วตอนนี้นายยังติดต่อเขาอยู่ไหม ’  ผมพิมพ์ถามหลังจากที่เขาพิมพ์เสร็จ





‘ ก็ติดต่อบ้าง ไม่ได้คุยกันบ่อยๆ หรอก ’ 





‘ ตอนนี้เรานี่อยู่ในสภาพเดียวกันเหรอเนี่ย ฮ่าๆ ’  ผมรีบทำเป็นพูดเล่นกลบเกลื่อน ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยสัพเพเหระ แต่ในใจก็ยังคงคิดถึงสิ่งที่คุยกับไอคุณแดเนียล ความจริงที่อีกฝ่ายตอกย้ำให้ผมยอมรับ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนโลกจะแตกในวันพรุ่งนี้ยังไงอย่างนั้น



ก่อนจะแยกย้าย คุณแดเนียลก็ส่งประโยคที่ทำให้ใจผมหายวาบ





‘ ฉันบอกนายได้เลยนะว่า ถ้านายยังไม่รีบตัดใจตั้งแต่ตอนนี้ อีกหน่อยนายจะลำบาก ’ 





‘ … ’





‘ เพราะจนถึงตอนนั้น ต่อให้นายอยากจะจากเขาขนาดไหน ก็คงสายไปแล้ว ’

















“ คุณเนตรครับ อาหารเช้าพร้อมแล้วนะครับ ” ผมเคาะประตูเรียกตามหน้าที่ปกติอย่างทุกวัน แต่วันนี้แปลกหน่อย ผมตื่นสายน่ะครับ เฮ้อ เศร้าใจ ผมเลยรีบตาลีตาเหลือกลุกขึ้นมาเพื่อทำกิจส่วนตัวอะไรเสร็จให้เรียบร้อย เตรียมข้าวปลาอาหาร ก่อนจะเดินมาปลุกคุณชายตื่นสายนี่แหละครับ นี่มันงานพ่อบ้านชัดๆ!



รออยู่นานก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร ผมจึงเคาะอีกครั้ง แล้วเอาหูแนบติดกับประตู เพื่อฟังเสียงข้างใน แต่ฟังอยู่สักพักก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร หรือไอคุณชายจะน็อคอีกแล้ววะเนี่ย ผมเคาะอีกครั้งเป็นการขออนุญาต แล้วก็เปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของเจ้าตัว ที่ผมไม่เคยจะย่างก้าวเข้าไปเลยจริงๆ



ผมเดินเข้าตรงเตียงนอนที่คาดว่าน่าจะมีร่างของเจ้าของห้องนอนแผ่หลายอยู่ แต่ปรากฏว่า ว่างเปล่า เขาไปไหนของเขากันวะ ผมยืนเกาหัวแกรกๆ หันมองไปรอบห้องก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ อยู่ทั้งนั้น (นอกจากยุง) ผมเดินเข้าไปเปิดประตูห้องน้ำ ก็ว่างเปล่าเหมือนกัน มีเพียงอย่างหนึ่งที่ผมแน่ใจว่าเขายังไปออกไปบริษัทชัวร์ๆ คือ กุญแจรถคันเก่งของเจ้าตัวที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง



ผมกำลังใช้หัวตรึกตรองอย่างหนัก (อย่างกับจะไปสอบ) ว่าคนอย่างไอคุณชายนี่จะไปไหนได้ในเวลานี้ หรือว่าจะไปออกกำลังกาย? ก็ไม่น่าใช่ เพราะเขาชอบออกกำลังกายช่วงค่ำๆ หลังจากที่กลับมาจากบริษัทแล้ว หรือว่าจะไปซื้ออะไรกิน? อันนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ เพราะสิ่งที่เป็นไปได้สำหรับเจ้าตัวก็คือ จิกหัวใช้ผมเยี่ยงทาสนั่นเอง ไม่น่าจะออกไปซื้อเอง



เฮ้อ คิดไม่ออกโว้ย เดี๋ยวก็คงกลับมาล่ะมั้ง



ผมจึงนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว ก่อนจะพนมมือพูดขอโทษไอคุณชายในใจที่ถือวิสาสะลงมือจัดการอาหารของตัวเองก่อน นั่งเช็คไลน์ตัวเองไปด้วย นั่งกินไปสักพักซึ่งอาหารผมก็ใกล้จะหมด จึงได้ยินเสียงเซ็นเซอร์บัตรประตูดังขึ้น ตามด้วยเสียงประตูแง้มเบาๆ ก่อนจะปิดลง แล้วก็ปรากฏร่างของคนที่ผมกำลังตามหาอยู่นั่นเอง



“ นี่นายมากินก่อนฉันได้ยังไงกันเนี่ย ” คนที่เพิ่งมาใหม่ยืนหน้าหงิกอยู่ใกล้ๆ กับโต๊ะกินข้าว ผมจึงรีบกลืนข้าวที่เต็มปากลงไปก่อนที่จะสำลักข้าวเข้าหลอดลมตาย





“ ก็ผมหาคุณตั้งนาน ไม่รู้ว่าคุณไปไหนมา ก็เลยขอกินก่อนเพราะหิวมากๆ ” ผมพูดเน้นคำว่าหิวมากๆ อีกฝ่ายหรี่ตามองผม ไม่พูดอะไร แต่ก็ยอมนั่งฝั่งตรงข้ามผม ทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจ





“ แล้วคุณไปไหนมาครับ ”





“ ก็ไปทักทายไปห้องข้างๆ มาน่ะสิ ก็นายเคยด่าฉันไม่ใช่หรือไงว่าไม่มีความเป็นมิตรเลย เพื่อนข้างบ้านอยู่มาตั้งนานก็ไม่รู้จัก ” คราวนี้ผมสำลักข้าวจริงแล้วครับ ตบอกตัวเองเบาๆ มองไปยังฝ่ายตรงข้ามอย่างตกใจปนความรู้สึกทึ่ง คนอย่างไอคุณชายเนี่ยนะ จะถ่อไปถึงห้องข้างๆ เพื่อไปทักทาย โอ้ จีซัสไครส์!





“ นั่น ตกใจจนสำลักข้าวตายอย่ามาโทษกันละกัน อะไรจะตกใจขนาดนั้นฮะ แค่ไปทำความรู้จักกับเพื่อนข้างห้องแค่นี้ ”  ไอคุณชายกอดอก ส่งสายตาขุ่นมัวมายังผม หน้าหงิกเป็นตูดเป็ดเลยเชียว





“ ก็ผมตกใจจริงๆ นี่ครับ ท่านชายผู้ยิ่งใหญ่อย่างคุณนี่เข้าหาคนอื่นก่อนแบบนี้ได้ นี่ตกใจจริงๆนะครับไม่ได้พูดเล่น ” พร้อมทำท่าทางขนาดที่ว่ารางวัลออสก้ายังต้องพ่ายให้ผม





“ เดี๊ยะๆ ฉันยอมอ่อนให้หน่อย เดี๋ยวนี้กล้าปีนเกลียวกันได้เลยนะ ” เจ้าตัวบ่นอุบ เดินอ้อมมานั่งเก้าอี้ตรงข้ามผม





“ แต่ก็ดีแล้วครับ หัดไปทำความรู้จักซะบ้าง ก่อนที่จะไม่มีใคร…เอ่อ คบ ” ประโยคสุดท้ายถูกกลืนไปพร้อมกับข้าวในปาก เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม ไอคุณชายนั่งทำหน้าเขม็ง จ้องมายังผมอย่างไม่สบอารมณ์ ผมหัวเราะแฮะๆ แก้เก้อ ก่อนจะหลุบตารีบจ้วงข้าวในจานใส่ปาก





“ แต่ก็แปลกนะ พอฉันไปทำความรู้จักกับเพื่อนบ้านของนายคนนี้ เขาพูดกับฉันเหมือนกับเราสนิทกันมาเป็นชาติ ”





“ ทำไมเหรอครับ ”





“ ไม่รู้เหมือนกัน แต่แบบมันแค่ไม่เหมือนคนเพิ่งรู้จักกันเลย ”





“ เขาอาจจะเห็นคุณมานานแล้ว แต่ไม่ได้เข้ามาคุยอะไรแบบนี้ก็ได้นะครับ ” คนตรงข้ามผมทำหน้าครุ่นคิด





“ จริงๆ แล้วฉันว่าคนที่ฉันเคยเห็นพักอยู่ห้องข้างๆ นี่ไม่ใช่คนนี้นะ ”





“ อ้าว แล้วเป็นใครล่ะครับ คุณรู้จักเหรอ ” ผมมองคนพูดอย่างแปลกใจ ถ้าเป็นอย่างที่ไอคุณชายพูดจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าคนที่ชื่อนนท์คนนี้น่าจะเพิ่งเข้ามาใหม่ล่ะสิ แล้วทำไมเขาทักผมราวกับเหมือนตัวเองอยู่มาตั้งนานแล้ว ไหนจะรู้ที่ทำงานของผมอีก ถึงกับเอาของมาคืนให้ แปลกๆ แฮะ





“ ฉันเคยเห็นอยู่สองสามครั้ง ตอนเดินออกมาจากห้อง แต่ว่าไม่น่าจะใช่คนนี้แน่นอน ”





“ หรือจะเป็นคนรู้จักของเขาหรือเปล่า ”





“ อาจจะอย่างนั้นล่ะมั้ง ช่างเขาเถอะ นายนี่กินเสร็จยังเนี่ย ชักช้าอืดอาด เดี๋ยวฉันไปทำงานสายนะ ” ผมรีบปัดเรื่องอยู่ในหัวออก แล้วรีบตักข้าวกิน จัดการอะไรทุกอย่างเสร็จ เราก็ได้ฤกษ์ออกไปบริษัท





“ อ้าว คุณเนตร คุณรัก สวัสดีค่ะ ” ผมกับไอคุณชายขึ้นลิฟต์มาก็เจอคุณเลขากำลังรอลิฟต์อยู่พอดี





“ สวัสดีครับ นี่จะไปไหนครับเนี่ย ” ผมเอ่ยทักคุณเลขา





“ อ๋อ พอดีวันนี้ทางบริษัทออแกไนซ์เขานัดคุยงานกับทางแผนกจัดอีเวนท์ค่ะ ดิฉันจะลงไปตรวจสอบซักหน่อยค่ะ เพราะงานเปิดตัวกำลังใกล้เข้ามาแล้ว ”





“ ผมลงไปดูด้วยได้ไหมครับ จะได้ดูภาพรวมไปด้วยเลย ” ไอคุณชายถาม





“ ได้สิคะ ดีเลย เผื่อคุณเนตรมีอะไรจะเพิ่มเติมก็บอกเขาได้โดยตรงเลยค่ะ ” เมื่อคุณเลขาเซย์เยส ผมจึงรีบเอาของสัมภารกทั้งหลายทั้งของเจ้านายและของตัวเองเข้าไปเก็บในห้อง โดยไม่ลืมหยิบสมุดบันทึกประจำตัวของตัวเองไปด้วย และรีบวิ่งไปยังลิฟต์



เมื่อเราลงมาถึงแผนกจัดอีเวนท์ ทุกคนก็กำลังจะเตรียมประชุมอยู่พอดี และเมื่อทุกคนรู้ว่าไอคุณชายจะเข้าร่วมประชุมแล้วด้วย ก็ยิ่งทำให้การเตรียมประชุมปกติ กลายเป็นสมรภูมิรบยังไงอย่างนั้น เพราะต่างคนต่างจัดนู่นจัดนี่มือไม่ประวิงกันเลยทีเดียว เหมือนถ้าหากลืมอะไรซักอย่าง อาจจะโดนเนรเทศออกจากห้องได้ ทั้งๆ ที่ไอคุณชายก็ไม่ได้แผ่รังสีกดดันออกมาแต่อย่างใด ผมมองไปรอบๆ ด้วยความทึ่งปนขำ เพราะรับรู้ถึงความเกร็งนิดหน่อยที่ลอยอยู่ในบรรยากาศโดยรอบ



ระหว่างรอให้ทางบริษัทออกาไนซ์มาถึง ผมจึงไปเตรียมกาแฟสูตรเฉพาะของไอคุณชายเพื่อเอาเข้าห้องประชุมด้วย และเมื่อชงเสร็จก็ยกออกจากห้อง แต่เสียงสนทนาของหญิงสาวครู่หนึ่งก็ลอยเข้าหู



“ แกๆ (กระซิบเสียงสูง) ลูกชายท่านประธานหล่อจังเลยอ้ะ! ” หญิงสาวคนแรกเปิดประเด็นด้วยการบรรยายความหล่อเหลาของเจ้านายของผม





“ ใช่มะแก ฮือ อยากได้ ” กาแฟในแก้วผมเกือบกระฉอดมาลวกมือผม เมื่อได้ยินหญิงสาวคนที่สองพูด ช่างไม่มียางอายกันซะจริงเลยนะ (มือกำแก้วกาแฟแน่น)





“ นี่ถ้าไม่ติดว่ามีลูกแล้วนะ ฉันก็รีบรุกให้ดูเลย ” ผมยิ้มอย่างละเหี่ยใจ หน้าไอคุณชายลอยขึ้นมาในหัวทันที ถ้าเขามาได้ยินนะ คงไล่ตะเพิดออกไปหมดแล้วเนี่ย ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ปลงในความรุกแรงของหญิงสาวทั้งสอง ก่อนจะหันตัวออกจากประตู แต่หูมันก็ทำงานดีซะเหลือเกิน





“ แต่ฉันได้ยินมาว่าเขาเคยมีแฟนมาก่อนไม่ใช่เหรอ ก่อนหน้านี้เขาลือกันให้แซด ” ผมชะงักกึกทันที





“ น่าจะใช่นะ เห็นว่าเป็นลูกสาวของเพื่อนท่านประธานที่ด้วยนิ ” ผมนิ่งอึ้งด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน มือที่ถือแก้วกาแฟอยู่เกร็งขึ้นเล็กน้อย



ลูกสาวเพื่อนท่านประธาน…



“ ที่เป็นหุ้นส่วนของบริษัทเราน่ะเหรอ ”





“ น่าจะใช่นะ ฉันเคยเห็นเขาควงกันมาเมื่อหลายปีก่อน ”





“ แหม เธอล่ะก็ นี่รู้ลึกขนาดนี้ ตามสืบมานานเท่าไหร่เนี่ยฮ้ะ ”





“ ก็แหม ฉันเข้ามาทำงานก็ได้สักพักแล้วนะ เห็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ”





“ แต่ฝ่ายหญิงจะแต่งงานแล้วนิ ”





“ จริงเหรอ สงสัยจะเลิกกันจริงๆ แล้วมั้ง ”





“ น่าจะเลิกกันแล้วแหละ ไม่งั้นก็คงเดินควงกันมาแล้วแหละ ”





“ เฮ้อ เสียดายเนอะ ตอนฉันเห็นพวกเขาเดินด้วยกัน เหมาะสมอย่างกับอะไรดี ฉันเห็นแล้วยังรู้สึกปวดใจเลยอ่ะ ” ผมฟังอยู่นานเท่าไหร่ก็จำไม่ได้ ไม่รู้แม้กระทั่งหญิงสาวทั้งสองเดินออกไปจากห้องอีกฝั่งตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ในหัวมีแต่ใบหน้าของคนที่ชื่อวรรณกับชายวัยกลางคนที่ผมเคยบังเอิญเห็นที่บริษัท ซึ่งตอนหลังมารู้ว่าเป็นหุ้นส่วนของบริษัท



เหมาะสมกันอย่างกับอะไรดี หึ



ผมหัวเราะในลำคอ และก้มมองตัวเอง คำเตือนของคุณแดเนียลผุดขึ้นมาในหัวแทบจะทันที เห็นทีผมคงต้องหักห้ามใจจริงๆ แล้วแหละมั้ง ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปก็คงเป็นผมที่เจ็บเองซะเปล่าๆ ถึงแม้ตอนนี้อาการจะยังไม่สาหัสขนาดนั้น แต่ถ้าผมยังไม่ระวังตัวเอง แล้วยังปล่อยให้ความรู้สึกมันงอกเงยต่อไปเรื่อยๆ ไม่อยากจะคิดเลย ให้ตาย ในใจเกิดความรู้หน่วงๆ ขึ้นมาอีกแล้ว คงจะเป็นคำเตือนจากหัวใจอีกแล้ว เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เพิ่งมารู้ตัวจริงๆ ก็เพิ่งเดี๋ยวนี้นี่เอง พร่ำบอกกับตัวเองว่า หน้าที่ก็ส่วนหน้าที่ ความรู้สึกก็ส่วนความรู้สึก ผมไม่ควรเอามันมาปะปนกันให้มันยุ่งเหยิง



ถ้าท่านประธานรู้ว่าผมเป็นแบบนี้ มีหวังคงไล่ตะเพิดออกจากไปให้ไกลแทบจะทันที



ผมเดินออกจากห้องชงกาแฟด้วยความเซื่องซึม สายตามองไปเห็นไอคุณชายที่ยืนเด่นเป็นสง่า คุยกับพนักงานคนหนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้าของแผนก ได้แต่มองเขาด้วยความหดหู่ใจ หรือมันจะเป็นเพราะความเผลอไผลเพราะใกล้ชิดกัน สงสัยคงจะเป็นแบบนั้นล่ะมั้ง ถ้าคดีจบทุกอย่างเรียบร้อย ผมก็จะได้หลุดพ้นจากหน้าที่นี้ซักที แล้วกลับไปเป็นไอรัก ผู้ทรงเสน่ห์เหมือนเดิม



คิดถึงตรงนี้มันควรจะดีใจจนเนื้อเต้นสิ ไม่ใช่ใจแฟบแบบนี้ ฮ่วย!



“ ขอโทษนะครับ ” ผมที่ยืนคอตกพร่ำด่าตัวเองในใจอยู่ ถูกสะกิดทางด้านหลัง แต่เมื่อหันกลับไปมองแล้ว คนที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของผมกลับทำให้ผมตกใจ



“ อ้าว! นาย… ”




อ่านต่อข้างล่าง

ออฟไลน์ เจ้าหมีวุ่นวาย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0



“ เพื่อนข้างห้อง? ” ผมเอ่ยทักคนที่มาใหม่ด้วยความบังเอิญ



“ คุณรักนั่นเอง ” ตายห่า จำชื่อกูได้ด้วย แต่กูจำของมึงไม่ได้ว่ะเฮ้ย



“ เอ้อ นั่นแหละ แล้วนายมาทำอะไรที่นี่เนี่ย ” ผมเกาหัวแกรก รีบเปลี่ยนเรื่อง ก่อนที่จะถูกคนตรงข้ามจับได้ว่ากูจำชื่อมันไม่ได้



“ อ๋อ พอดีผมมีนัดมาคุยเรื่องงานอีเวนท์น่ะครับ คุณรักพอจะทราบไหมว่าคุณดลนทีอยู่ไหนเหรอครับ ผมติดต่อเขาไมได้เลย เขาบอกแค่ให้ขึ้นมาชั้นนี้ ” เดี๊ยวววววว นัดคุยเรื่องงานอีเวนท์ ตายห่าตายหอก ทำไมโลกมันกลมเยี่ยงนี้ เพิ่งได้รู้จักกันแค่ไม่กี่วัน ต่อมากลายเป็นคู่ค้ากันซะแล้ว

 

ผมยิ่งอึ้งด้วยความตกใจ ก่อนที่อีกฝ่ายจะทำสีหน้างุนงงเมื่อเห็นผมไม่ตอบ ผมจึงดึงสติตัวเองกลับมา แล้วมองหาหัวหน้าแผนกจัดอีเวนท์ที่เพื่อนข้างห้องกำลังตามหา แล้วนึกขึ้นได้ว่าเมื่อกี้เห็นยืนคุยอยู่กับไอคุณชายนี่นา แล้วหายไปไหนซะแล้วเนี่ย ผมมองหาจนหัวขวิด เดินเข้าไปหาในห้องประชุม



“ ผมไปแน่นอน ไม่ต้องเป็นห่วง แค่นี้ก่อนนะวรรณ ผมมีประชุมน่ะ ” เสียงคุ้นเคยดังขึ้นเมื่อผมเดินเข้าไปในห้องประชุม ถ้าไม่ยินไม่ผิด ผมได้ยินชื่อของหญิงสาวที่คอยบั่นทอนจิตใจผมมาตลอดช่วงนี้ด้วย ผมยืนนิ่งมองไปยังไอคุณชายที่ยืนหันหลังให้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันกลับมาเห็นผม แวบหนึ่งที่ผมเห็นสีหน้าตกใจจากอีกฝ่าย แต่ก็แวบเดียวเท่านั้น ก็กลับมาหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม ผมจึงแสร้งทำทีเหมือนไม่ได้ยิน



“ คุณเนตรเห็นคุณดลนทีไหมครับ พอดีทางบริษัทออแกไนซ์เขามาแล้วน่ะครับ ”



“ อืมม เมื่อกี้เหมือนเห็นเขาเดินหายไปทางห้องเครื่องดื่มนะ ให้ทางนั้นเขาเข้ามาในนี้เลย แล้วนายก็ไปตามหัวหน้าแผนกกับคนที่เกี่ยวข้องเข้ามาด้วยแล้วกัน ” อีกฝ่ายเดินไปนั่งตรงหัวโต๊ะที่อยู่ตรงข้ามหน้าจอโปรเจคเตอร์ เปิดอ่านแฟ้มที่ทางแผนกเตรียมให้ ผมจึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองถือกาแฟที่จะชงให้เจ้าตัวอยู่ แต่ตอนนี้มันก็อุ่นซะแล้วล่ะ ไม่อร่อยแล้ว ผมจึงเดินออกไปเพื่อจะไปชงใหม่ให้



“ นั่นนายจะยกไปไหน ” ไอคุณชายพูดขึ้น ทำให้ผมที่กำลังจะก้าวออกจากห้องไป หยุดชะงัก หันกลับมาอีกครั้ง



“ พอดีมันเย็นแล้ว ผมจะไปชงใหม่ให้ ”



“ ไม่ต้อง เอาแก้วนั้นมานั่นแหละ ” คนพูดวางแฟ้มในมือลงแล้วหันมาทางผม สายตากึ่งบังคับให้ผมเอาแก้วไปวาง ผมจึงแอบเบ้ปากเล็กน้อยพอให้อีกฝ่ายเห็น แล้วจึงเดินเอาแก้วไปวางให้ไอคุณชาย คนบ้าชอบสั่งเสียจริง!



“ นี่ครับ กาแฟเย็นชืดสูตรพิเศษจากผม ” ผมพูดจบก็เห็นใบหน้าที่เอือมระอาของอีกฝ่าย



“ ไปตามคนอื่นได้แล้วไป ” แหม พอพอใจแล้วก็รีบไล่กันเลยนะ โธ่ ไอคุณชายขี้เก๊ก ผมเดินเสียงตึงตังเล็กน้อย แล้วเดินออกไปตามทุกคนเข้าห้องประชุม

 

 

“ ทางผมก็ต้องจบการรายงานเพียงเท่านี้ครับ หากมีรายละเอียดปลีกย่อยเพิ่มเติม รบกวนส่งอีเมลล์มาได้เลยนะครับ ส่วนที่เล่มรายงานสรุปรายละเอียดครับ ” คุณนนท์ (ที่ผมเพิ่งได้ยินคนอื่นเรียกพอดี) อธิบายรายละเอียดอยู่ตรงหน้าโปรเจคเตอร์ ผมรู้สึกว่าเขาก็ทำงานเก่งและค่อนข้างใส่ใจรายละเอียดมาก เพราะจุดเล็กจุดน้อยนี่ไม่มีหลุดออกจากสายตาเขาเลย งานที่เขาเสนอมาก็อยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ (วัดจากระดับสีหน้าของไอคุณชาย) จึงทำให้ความอคติเล็กน้อยในใจผม ค่อยๆหายไปทีละน้อย ส่วนไอคุณชายอ่ะเหรอ พอรู้ว่าคุนนท์เป็นเพื่อนข้างห้องที่ตัวเองเพิ่งจะไปทำความรู้จักด้วย ก็ยิ่งพอใจเข้าไปใหญ่ สงสัยเพราะจะได้โขกสับได้อย่างสบายใจละมั้งนะ

 

พอคุณนนท์ปิดการรายงานเรียบร้อย ทางหัวหน้าแผนกจึงพูดเกี่ยวกับรายละเอียดของงานต่างๆให้ไอคุณชายกับคุณเลขาฟัง ทั้งสองก็พิจารณาตามความเหมาะสม ปิดท้ายการประชุมที่ไอคุณชายบอกว่าจะติดต่อไปอีกครั้ง เพื่อคุยเรื่องการดำเนินงาน

 

พอที่ประชุมยุติเป็นที่เรียบร้อย ทุกคนในที่ประชุมก็เก็บข้าวของและเดินออกจากห้องไป เหลือก็แต่ไอคุณชายที่ยังนั่งเต๊ะท่าไขว้ห้าง และผมที่ไปไหนไม่ได้ถ้าอีกฝ่ายยังนั่งอยู่ที่เดิม ผมจึงนั่งเปิดแฟ้มรายงานประชุมขึ้นมาพลิกไปพลิกมาเพื่ออ่าน

 

“ นายว่า…. ” อยู่ๆไอคนที่นั่งไม่ยอมลุกก็พูดขึ้นมา แล้วทำท่าครุ่นคิดสงสัย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ



“ ว่า? ” ผมจึงถามย้ำ



“ เพื่อนข้างห้องนั่นน่ะ แปลกๆหรือเปล่า ” ผมหันไปมองคนถามด้วยความแปลกใจ ทำไมเขาจึงสงสัยอะไรแบบนี้



“ ทำไมล่ะครับ คุณสงสัยอะไร ”



“ ฉันว่ามันบังเอิญเกินไปน่ะสิ ก่อนหน้านั้นนายไปบังเอิญรู้จักก่อน ทั้งๆที่ฉันอยู่มาตั้งนานไม่เคยบังเอิญเจอ แถมยังเอาของมาคืนถูกที่อีก นายก็ไม่ได้บอกที่ทำงานกับเขา แล้วตอนนี้ยังจะมาเป็นคู่ค้ากันอีก ฉันก็เลยแปลกใจในความบังเอิญนี่ ” อีกฝ่ายทำให้ผมคิดตาม จริงๆแล้วผมก็รู้สึกเหมือนกันว่ามันบังเอิญเกินไป แต่ก็เขาจะมีแรงจูงใจอะไรให้ทำอย่างนั้นล่ะ ในเมื่อเขาก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับไอคุณชายนี่ แถมหน้าตาเขาก็ดูไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร ซ้ำยังหน้าตาดีด้วย (ข้อหลังนี่คือเรื่องจริง)



“ ก็ไม่แปลกนะครับ คุณเคยได้ยินประโยคที่ว่าโลกมันกลมหรือเปล่าล่ะครับ ”



“ ฉันเคยได้ยิน แต่มันก็แปลกใจอยู่ดี ”



“ คุณกลัวอะไรอยู่เหรอครับ ”



“ ไม่ได้กลัว เพียงแต่แค่คิดสงสัยเท่านั้น แต่ช่างเถอะ ฉันคงจะคิดมากไป ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ลุกขึ้น แล้วเดินออกไปข้างนอกห้อง ผมจึงเดินตามออกไป แต่ในหัวก็คิดถึงสิ่งที่เขาพูดเหมือนกัน ไม่ประมาทก็จะดีกว่า เห็นคงต้องระวังให้เขาซักหน่อยแล้ว

 

“ นายมีชุดไปงานแต่งหรือยัง ” ไอคุณชายถาม ขณะที่ผมกำลังขับรถพาเจ้าตัวกลับบ้าน



“ ก็คง มีมั้งครับ ต้องกลับไปหาก่อน ปกติผมมีแต่สูททำงานน่ะครับ ”



“ เพื่อนนายหรือคนรอบตัวนายไม่มีใครแต่งงานเลยเรอะ ”



“ แหม วัยผมมันก็อยู่ในช่วงสร้างเนื้อสร้างตัวไหมครับคุณชาย ” ผมจงใจเน้นหนักคำว่าคุณชายแรงๆ ให้เขารู้ว่าผมไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง ชิ



“ ถ้าฉันฟังไม่ผิด นายกำลังบอกฉันว่าวัยฉันมันแก่สินะ ”



“ เปล่าเลยครับ ใครจะไปกล้าว่าคุณเนตรกัน ” ผมทำเสียงสูงประชดประชัน



“ หึๆ ”  ไอคุณชายหัวเราะในลำคอ ไม่ได้โต้ตอบอะไร ผมเหลือบตามองกระจกหลัง ก็ปะกับสายตาของคนที่นั่งอยู่ข้างหลังที่มองมาก่อนอยู่แล้วพอดิบพอดี ดวงตาสวยที่ผมมองกี่ครั้งก็ไม่มีวันเบื่อ ผมเสหลบสายตามามองเบื้องหน้าก่อนจะขับไปเสยรถของคนอื่นซะก่อน ความร้อนลามไปทั่วใบหน้าช้า

 

เมื่อผมแสร้งทำเป็นให้ความสนใจกับถนนข้างหน้า ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากทางด้านหลัง ทำให้ผมยิ่งเขินเข้าไปใหญ่ โอ้ย ไอบ้า!



“ เย็นนี้นายว่างไหม ” อยู่ๆไอคนที่ทำให้ผมเขินก็ถามขึ้นมา



“ ไม่ว่างครับ ” ผมตอบแทบจะทันทีที่อีกฝ่ายถามจบ



“ แสดงว่าว่าง ” ผมส่งสายตาขุ่นมัวขึ้นไปมองกระจกหลังทันที  ไม่รับรู้หรือไงว่าผมอยากกลับบ้าน



“ รู้ได้ไงว่าผมว่าง ”



“ ก็นายเล่นตอบโดยไม่นึกนิว่าตัวเองมีนัดอะไร ฉันก็เดาออกว่าน่าจะว่าง แต่แค่อยากทำตัวไม่ว่าง ” คำตอบของงไอคุณชายทำให้ผมหมดคำพูดไปทันที ทำไมมันรู้ทันแบบนี้ฟระ ผมก็นั่งฮึดฮัดขับรถไป ในใจก็บังเกิดความรู้สึกตื่นเต้น

 

ตื่นเต้น?

 

มึงจะตื่นเต้นทำไมว้า เขาไม่ได้นัดมึงไปเดตหรอกนะ โธ่!

 

“ แล้วทำไมครับ คุณจะให้ผมพาไปไหนเหรอ ผมบอกไว้ก่อน นอกเวลาทำงานผมคิดสองแรงนะครับ ”



“ แล้วถ้าฉันไม่ได้ให้นายมาทำงานล่ะ ” ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะขับไปตามเส้นทางที่ไอคุณชายบอก

 

 

 



“ ฉันให้นายมานี่เพื่อเลือกชุด ไม่ใช่ให้มาเดินตามฉัน ” คนพูดเอ่ยด้วยความเบื่อหน่าย เมื่อเห็นว่าผมเอาแต่เดินตามเขาต้อยๆ ไม่ได้มีความสนใจอะไรกับชุดมากมายละลานตาที่แขวนอยู่บนราว ในร้านยี่ห้อดังที่แต่เดิมผมได้แต่มอง แต่ไม่กล้าเข้า เนื่องจากกลัวโดนราคาฟาดหน้า แต่วันนี้คนที่ออกคำสั่งให้ผมขับมาที่ห้างไฮโซแบบนี้ กลับเดินเข้าอย่างสบายใจ ราวกับมีเงินให้ถลุงไปอีกสิบชาติ



“ ก็ราคามันแพงนี่ครับ ผมไม่มีปัญญาชดใช้คุณหรอกนะครับ ” ผมกระซิบเบากับเจ้าตัว แล้วก็ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ



“ นายต้องแต่งชุดดีๆในงานแต่ง เพราะนายต้องไปในฐานะเลขาของฉัน ไม่ใช่บอดี้การ์ด เพราะฉะนั้นเลือกซะ เร็วๆ อย่าชักช้า ” แต่เมื่อเห็นผมยังนิ่งอยู่ จึงส่งสายตากดดันกึ่งบังคับมาให้ ผมกรอกตามองบนเบาๆ ฮึ่ยยยย เลือกก็เลือก ไม่สนใจราคงราคามันแล้วโว้ย!

 

ผมเดินเลือกทั่วร้านอย่างใจเย็น แต่ละแบบแต่ละสไตล์นี่ก็ทำให้ผมเลือกยากซะจริง ไม่รู้คนผลิตจะออกแบบมาทำไมเยอะแยะ คนมันเลือกไม่ถูกเนี่ย ผมเดินดูไปเรื่อยๆ โดยมีสายตาของไอคุณชายที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งในร้าน มองตามมาตลอด อย่างกับกลัวผมจะหนีออกจากร้านยังไงอย่างนั้น ยิ่งทำให้ลนลานเข้าไปกันใหญ่ ก่อนที่สายตาผมจะไปเห็นชุดสูทชุดหนึ่งที่แขวนอยู่แถวๆหน้ากระจกร้าน ผมเดินไปดูใกล้ๆ สูทสีน้ำเงินเข้มคล้ายๆสีกรมท่า ลักษณะเป็นสูทที่มีกระดุมสองแถว ตัวสูทแหวกด้านข้าง กระเป๋าซ้ายขวาล่างมีฝาปิด และมีกระเป๋าเจาะที่หน้าอกซ้ายไว้ใส่ผ้าเช็ดหน้า ข้างในสูทมีเสื้อกั๊กแบบกระดุมกลัด 2 เม็ดอีก 1 ชั้น

 

ผมหยิบสูทตัวดังกล่าวขึ้นมาทาบกับตัว แล้วมองไปทางกระจก ก็อดชื่นชมตัวเองเบาๆไม่ได้ คนอะไรเหมาะกับสูทเสียจริง จะว่าผมหลงตัวเองก็ไม่ผิดนะครับ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ผมหันตัวกลับมาก็เจอกับไอคุณชายที่เดินตรงมาทางนี้พอดี และหยุดตรงหน้าผม ตามองที่ตัวสูทที่ผมเลือก สีหน้าพออกพอใจเล็กน้อย

 

“ นายไปลองสิ อ่ะนี่เสื้อเชิ้ตกับคอกระต่าย ฉันว่าน่าจะเข้ากับนายดี เอาเข้าไปลองด้วย ” ไอบ้านี่มันไปเลือกเอาตอนไหนฟระ เห็นนั่งไขว้ห้างราวกับราชาอยู่ที่โซฟาอยู่เลย พออีกฝ่ายยัดของที่เขาไปเลือกมาใส่มือของผม พร้อมกับดันตัวผมที่ถือชุดที่ว่าเข้าไปในห้องลอง ผมจึงต้องเดินเข้าไปอย่างที่เลี่ยงไม่ได้



" เอ่อ ผมว่ามันเยอะเกินไปนะครับ เสื้อเชิ้ตที่บ้านผมมีเยอะ " ผมพยายามเกี่ยงให้อย่างถึงที่สุด เพราะเหลือบเห็นป้ายราคาของเสื้อเชิ้ตที่อีกฝ่ายเลือกให้ ผมถึงกับตาโต แต่อีกฝ่ายทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจ ผมจึงจำใจคว้าเสื้อพร้อมสูทเดินคอตกเข้าไปในห้องลอง



เฮ้อ ผมถอดเสื้อไปถอนหายใจไป ซื้อหมดนี่ผมคงต้องผ่อนไปอีกหลายเดือน นี่คือผมซื้อหรือไอบ้านั่นซื้อใส่กันแน่ บังคับกันจริง ก็รู้แหละว่าต้องดูดี แต่ราคาก็ไม่ต้องสูงเท่านี้ไหมล่ะ!

 

เมื่อสวมชุดทุกอย่างเสร็จก็ชื่นชมตัวเองหน้ากระจก(อย่างที่ทำบ่อยๆ)ทีหนึ่ง ก่อนจะออกไปให้ท่านชายยลโฉม บรึ๋ย ขนลุก อย่างกับเสี่ยพาหนูมาชอปปิ้ง

 

พอผมออกมาก็ชะเง้อคอหาไอคนชอบบงการคอแทบขวิด แต่ก็ไม่พบร่าง หายไปไหนซะแล้วเนี่ย ผมนี่ก็ไม่กล้าเดินออกไปพ้นจากห้องลองเกินรัศมี 10 เมตร ไม่ใช่เพราะอายนะ

 

แต่เพราะกลัวทำของเขาพัง กูไม่มีปัญญาชดใช้ ฮือ

 

" หืม ก็ดูดีนี่ " ขณะที่ผมกำลังตีอกตรมร่ำให้ในใจอยู่นั้น เสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้นข้างหลัง ผมจึงตกใจสะดุ้งหันหลังขวับทันที



" เฮ้ย คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงวะ เอ้ย ครับ "



" จริงๆแล้วฉันยืนอยู่ข้างๆประตูตลอด แต่นายดันตาถั่วมองไม่เห็นเอง " ไอคุณชายยืนกอดอธิบายให้ผมฟัง แล้วเดินเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น สอดส่องมองไปทั่วร่างกายผม สายตานั้นทำให้ผมรู้สึกร้อนๆยังไงชอบกล



" ก็โอเคนะ ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย "



" อ้าว นี่คุณด่าผมว่าไม่ปกติเหรอ " ผมโวยวายทันที หลังจากได้ยินประโยคก่อนหน้า



" ก็แล้วแต่จะคิด อย่าพูดมากน่า รีบๆไปจ่ายตังเร็ว " ไอคุณชายน่าโมโหนี่เดินดึงมือผมที่กำลังจะเปิดปากโวยวายอีกครั้ง ทำให้ผมได้แต่ฮึดฮัด ไม่พอใจ บังอาจมาดูถูกรูปลักษณ์ของผม แหม ไอคนหล่อกว่า โถะ! (นี่ชมหรือด่า)

 

แต่พอมาถึงเคาท์เตอร์จ่ายเงิน ผมถึงกับด่าไม่เป็นเลย เมื่อเห็นยอดเงินรวมทั้งหมด โอ้ว มาย ก็อด! ผมเกือบเข่าทรุดลงไป ดีที่ว่ามือจับเคาท์เตอร์อยู่ ลำพังเดือนหนึ่งบัตรเครดิตผมมันจำกัดวงเงินไว้ที่เท่าไหร่เอง รูดอันนี้ไปเกรงว่าจะไม่สามารถใช้อะไรได้อีกเลยทั้งเดือน ผมจึงหันหน้าไปหาผู้ที่ผมจำเป็นต้องพึ่งพาในยามนี้อย่างไอคนที่ลากผมมาที่นี่เท่านั้น ทำสายเว้าวอนเต็มที่ แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้เห็นใจผมเลย ยืนกดโทรศัพท์อยู่อย่างนั้น

 

ผมจึงจำใจยื่นมืออันสั่นระริกของผมส่งบัตรให้พนักงานอย่างสภาพน้ำตาคลอเบ้า ขนาดตอนเซ็นยังมืออ่อนแรงจนจับปากกาไม่อยู่เลย ฮือ ยิ่งได้ยินเสียงข้อความเตือนในมือถือว่าการจ่ายเงินสมบูรณ์แบบแล้ว ผมยิ่งแทบอยากจะร้องไห้

 

หลังจากผ่านเหตุการณ์ระทึกใจนั้นมา ผมก็เดินออกจากร้านด้วยร่างที่ไร้วิญญาณ สองถือถุงที่เมื่อกี้ได้คร่าชีวิตผมไปแล้ว



" เฮ้ นาย ตายหรือยังเนี่ย " ผมไม่ตอบ เพราะไม่มีแรงจะตอบจริงๆ ไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายตามมาตอนไหน ตอนผมชิ่งเดินออกจากร้าน โดยที่ไม่ได้เรียกเขาที่ยืนหันหลังกดมือถือ



" นาย " ผมทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยิน ตอนนี้ไม่มีกะจิตกะใจจะเฟรนด์ลี่ด้วยทั้งนั้น ผมจึงเดินนำลิ่ว ไม่สนใจว่าคนข้างหลังจะตามมาทันหรือเปล่า



" นาย! เดินรอกันหน่อยสิ จะรีบไปไหนเนี่ย " อีกฝ่ายรีบเดินมาคว้าไหล่ผมไว้ และดึงให้ผมหันหลังกลับไป ผมทำหน้าบึ้งนิดหน่อย แต่ก็ไม่กล้าพาลอารมณ์ใส่เขา



" นายเป็นอะไร ไหนบอกสิ ถ้าเรื่องเมื่อกี้ล่ะ เดี๋ยวฉันจ่ายให้ ไหนๆฉันก็เป็นคนลากนายเข้าไป " ยิ่งฟังประโยคแล้วก็ทำให้สติผมขาดผึงทันที ไม่กักเก็บอารมณ์คุกกรุ่นที่จวนจะปะทุนี่อีกต่อไป ตอนที่ผมหันไปขอความช่วยเหลือล่ะ ไม่สนใจ ทีงี้จะมาพูดว่าจะจ่ายให้!



" ผมรู้ว่าคุณไม่อยากขายหน้าในงาน ยิ่งเป็นงานแฟนเก่าคุณด้วย แต่ก็ถามผมซักคำไหมว่าผมอยากได้หรือเปล่าตอนเข้าไป คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้รวยล้นฟ้ามีเงินใช้เป็นฟ่อนๆเหมือนแฟนเก่าคุณ ผมก็คนธรรมดาที่ต้องทำงานเเลกเงิน!  " ผมระบายความอัดอั้นในใจยาวรวดเดียว จนไอคุณชายยืนนิ่งตกใจจนพูดอะไรไม่ออก ผมจึงล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบกุญแจรถ ยัดใส่มืออีกฝ่าย แล้วเดินหนีไปทันที โดยที่ไม่รอให้อีกฝ่ายทักท้วงแต่อย่างใด

 

ผมเดินดุ่มๆออกมาที่หน้าห้าง โดยไม่สนใจว่าฝนจะตกหรือลมจะพัดแรงยังไง ไม่สนใจว่าเนื้อตัวโดนฝนจนตัวเปียกลู่ ในหัวคิดอย่างเดียวคือ ผมต้องออกไปให้พ้นจากที่ตรงนี้ให้เร็วที่สุด และไม่รู้ตัวแม้กระทั่งน้ำตาที่ไหลลงมาตามแก้ม จนโดนฝนกลบไปมากมายเท่าไหร่

 

ผมก็ไม่รู้ทำไมตัวเองต้องหัวเสียขนาดนี้ ทั้งๆที่ไอคุณชายบ้านั่นคงไม่ได้คิดอะไร ผมก็รู้ตัวดีไม่ควรเอาตัวเองไปเปรียบกับใคร ไม่ใช่ว่าผมดูถูกตัวเองหรืออะไร แต่เป็นเพราะผมรู้ตัวดีว่าตัวเองอยู่ตรงไหน ไม่ควรประมาณตัวเองไว้สูงเกินไป แต่อยู่ตอนนี้ผมกลับล้ำเส้นที่ตัวเองวางไว้ซะอย่างนั้น ทำให้ผมต้องมานั่งเสียใจซะเอง

 

อยู่ๆก็นึกถึงไอแสงเพื่อนผมขึ้นมา ผมจึงเรียกแท๊กซี่มุ่งหน้าไปบ้านมันแทนที่จะกลับบ้านตัวเอง ผมรู้แค่ตอนนี้ผมไม่อยากอยู่คนเดียวก็เท่านั้น แม่ง อย่างกับการ์ตูนสาวน้อยเล่มที่ผมเคยแอบไปจิ๊กน้องมาอ่านเลย เคยด่าไอนางเอกเอาไว้ว่าอ่อน แต่มาวันนี้ตัวเองกลับมาเป็นซะเอง ไองั่ง!

 

เมื่อแท็กซี่ขับถึงอาณาเขตคฤหาสน์บ้านไอรัก ลุงคนขับที่ใจดีรับผมขึ้นมา ถึงแม้ตอนแรกเขาจะกล้าๆกลัวๆก็ตาม ก็หยุดรถจอดหน้าบ้านมัน แล้วผมก็ยื่นเงินที่โดนฝนเปียกชุ่มให้เขาไป พร้อมกับยิ้มให้อย่างสำนึกในบุญคุณ จนตัวผมลงมายืนบนพื้นได้เต็มขาเท่านั้นแหละ หันไปอีกทีรถทั้งคันหายไปพร้อมกับสายลม ผมถอนใจเฮือกใหญ่ ปลงในความตกอับของตัวเองซะจริง

 

 

" เฮ้ย! ไอเชี่ยรัก มึงไปตากฝนที่ไหนมาวะเนี่ย " เสียงร้องโวยวายของไอแสงดังขึ้นเมื่อเห็นสภาพผม หลังจากที่ผมกดออดหน้าบ้านมัน ผมรู้ว่าเวลานี้มันน่าจะถึงบ้านแล้ว จึงไม่ได้โทรหามันก่อน



" เรื่องมันยาว " ด้วยความที่ผมไม่รู้จะตอบอะไร จึงได้แต่บอกเหตุผลไปเพีงเท่านี้ ทั้งปากและตัวที่สั่นกึกๆเพราะความหนาวทั้งจากความเปียกชื้นและแอร์ที่เย็นฉ่ำภายในรถเเท็กซี่คันเมื่อครู่ ซึ่งคนขับก็ไม่ได้เห็นใจผมเลยซักนิดเปิดเร่งแอร์ซะเหมือนเตรียมตัวจะไปอยู่กับหมีที่ขั้วโลกเหนือ


" เออ กูเชื่อ เข้ามาในบ้านก่อนเว้ย กูไม่อยากให้ข่าวพรุ่งนี้เช้าลงว่ามึงมานอนปอดบวมตายหน้าบ้านกู "



ไอเพื่อนห่า!


 

โปรดติดตามตอนต่อไป


ตัดใจก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึงงงงง

 :sad4:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-12-2020 12:00:24 โดย เจ้าหมีวุ่นวาย »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ เจ้าหมีวุ่นวาย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ตอนที่ 19
" ก็…ไม่มีอะไร แค่อยากมาเฉยๆ "





“ นี่ สรุปแล้วมึงเป็นอะไรของมึงวะ เดินตากฝนมาอย่างกับพระเอกซีรี่ย์ตอนอกหัก ”  ไอแสงเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับไดร์เป่าผม หลังจากผมจัดการกับตัวเองในห้องน้ำเสร็จ เจ้าตัวเดินเข้ามานั่งบนโซฟาใกล้ๆ กับผม แถมไม่นั่งเปล่า ยังมาหรี่ตาเค้นคำตอบจากผมอีก นี่ตกลงจะปลอบใจกันจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย





“ ฮื่อ ไม่มีอะไรมากหรอก ทะเลาะกับคนรู้จักมานิดหน่อย ”  ผมตัดสินใจตอบเลี่ยงๆ ไป แสร้งฉกไดร์เป่าผมในมือมันมาเสียบปลั๊กแล้วเปิดเป่าผม ไม่อยากให้มันมาขุดคุ้ย ถ้าใครจำกันได้ว่ามันเป็นแชมป์นักขุดคุ้ยแห่งปี





“ หืม ไม่นิดละม้างง หงอยเป็นหมาซะขนาดนี้ ”  คนพูดคงยังทำหน้าที่ขุดต่อไป ซึ่งผมคาดว่าหากมันยังไม่ได้คำตอบภายในวันนี้ ชีวิตผมคงไม่พบความสุขอีกเลย ผมจึงปิดไดร์เป่าผม วางลงกับโซฟา





“ คือ…. ”  ผมพยายามเรียบเรียงคำพูดในหัว แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนจริงๆ





“ คือ? ”





“ คือกูอ่ะนะ รู้จักคนคนหนึ่ง แล้วแบบก็สนิทกันนิดหน่อย แต่ก็น้อยกว่ามึง ”





“ โอ้ย ถ้ามีใครมาสนิทกับมึงมากกว่ากูสิ กูจะไปอันเชิญคนคนนั้นมาชนเหล้ากับกูเลย ”





“ ไอห่า มึงหาว่ากูไม่มีคนคบเหรอ ”





“ อ้าว ก็เรื่องจริงไหมล่ะ ทุกวันนี้มึงเที่ยวกับใครนอกจากกูไหมล่ะ ”  จู่ๆ ใบหน้าของไอคนที่ผมเพิ่งมีเรื่อง (ฝ่ายเดียว) เมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้ ก็โผล่ขึ้นมาในความคิดผม ทำให้ผมเริ่มรู้สึกปั่นป่วนอีกครั้ง จึงรีบสะบัดออกจากหัวไป





“ เงียบไป แสดงว่ามีซัมธิงรองใช่ไหมเนี่ย ”  อยู่ๆ ไอแสงก็ยื่นหน้าเข้ามาจ้องหน้าผม ราวกับจะสแกนใบหน้าผมว่ามีริ้วรอยหรือเปล่ายังไงอย่างนั้น





“ เฮ้ย ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ มึงจะฟังไหมเนี่ย ขัดกูจริง ”  คนต้องการฟังจึงเอนตัวกลับไปที่เดิน แล้วทำท่านั่งฟังอย่างตั้งใจ





“ แล้วกูอ่ะแบบอยู่กับเขาก็เกือบทุกวัน มึงอย่าคิดลึก คือกูมีความจำเป็นต้องอยู่กับเขา ”  ผมรีบพูดอธิบายเมื่อไอแสงทำท่าตกใจซะจนโอเวอร์





“ กูก็ยังไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย มึงร้อนตัวนะเนี่ย ”  ว่าแล้วเจ้าตัวก็หัวเราะออกมาก ไอห่า มันใช่เวลาขำไหมเนี่ย ช่วยดูอารมณ์กูด้วย!





“ แล้วเขาก็แบบชอบทำให้กูผิดหวัง อย่างเช่นไม่สนใจกู แบบยังไงอ่ะ กูก็พูดไม่ถูก ”





“ เดี๋ยวๆ ทำไมกูได้กลิ่นทะแม่งๆ ลอยมา ”





“ ทะแม่งอะไรของมึง ”





“ ทะแม่งว่า เพื่อนกูกำลังตกหลุมรักเขายังไงล่ะจ๊ะ ”  ไอแสงทำเสียงกรุ้มกริ่มหยอกล้อ





“ เฮ้ย! ไอบ้า กูจะไปตกหลุมรักเขาได้ไง ”  ผมจึงโวยวายกลบความจริงที่อยู่ในใจ ผมกลัวเพื่อนจับได้ แล้วความลับมันจะถูกเปิดเผยน่ะสิ ไม่น่าเลยกูให้ตาย ไม่น่าเล่าเลย





“ แน่ะๆ มีพิรุธ บอกมาเถอะน่า กูไม่กินหัวมึงหรอก ถ้ามึงจะปันใจให้คนอื่น ”





“ ปันใจอะไรของมึง ฮึ่ย! กูไม่เล่าแล้ว หมดอารมณ์ ” ผมพูดสะบัดแล้วเอาไดร์ที่นอนแอ้งแม้งอยู่ขึ้นมาเป่าผมต่อ





“ เฮ้ย เดี๋ยวดิ เล่าต่อๆ กูไม่ล้อแล้วๆ ” ไอแสงแย่งไดร์ที่อยู่ในมือผมออกไปแล้วโยนไปไกลจากมือผม ผมจึงมองแรงใส่มัน จนแพ้สายตาเว้าวอนของมัน เลยจำใจเล่าต่อไป





“ ก็คือเขาชอบทำให้กูผิดหวังใช่มะ แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก จนล่าสุดกูเพิ่งมารู้ว่าเขามีแฟนเก่าที่เคยรักกันมาก แล้วทีนี้แฟนเก่าคนนั้นกำลังจะแต่งงานกับคนอื่น ”





“ อ่าฮะๆ ”





“ แล้วแบบเขาก็เหมือนมองข้ามกูไปเลย แบบเอาแต่ไปสนใจคนนั้น แล้วยังมาบังคับให้กูไปงานแต่งกับเขา แล้วมึงรู้อะไรไหม ” ผมหายใจเฮือกใหญ่ หลังจากที่เล่าเรื่องแบบมาราธอนจนไม่ได้หยุดหายใจ โดยมีไอแสงที่ฟังเหมือนลุ้นว่าผมจะหมดลมตอนไหนแบบนั้น





“ เขาลากกูเข้าไปในร้านที่โคตรหรู แล้วบังคับให้กูซื้อเสื้อที่ดูดีๆ เพื่อจะเอาไปใส่ในงานแต่ง เพราะไม่อยากอับอายที่กูต้องไปงานแต่งกับเขาด้วย ” ยิ่งพูดในใจก็ยิ่งขมขื่น ได้แต่ยิ้มหยันกับตัวเอง





“ อย่าบอกว่าเขาให้มึงจ่ายเงินเองนะ ” ผมพยักหน้าช้าๆ เมื่อได้ยินไอแสงถาม มันเลยด่าเหี้ยแบบไม่มีเสียง ประมาณว่าตกใจที่ได้ยินเรื่องแบบนี้





“ มึงรู้ไหมว่ากูรูดบัตรแบบทั้งเดือนกูรูดไม่ได้แล้ว ”  ยิ่งมันได้ยินแบบนี้ก็ยิ่งตาโตเข้าไปใหญ่ จากที่เศร้า กลายเป็นผมจะขำกับท่าทางโอเวอร์ของมันแทน





“ เหี้ยมึง ถึงกูจะรวยขนาดไหน กูก็ไม่บังคับให้คนอื่นซื้ออะไรที่แพงขนาดนี้นะเว้ย ”





“ อืม นั่นแหละ กูเลยแบบรู้สึกแย่ที่เขาดูถูกกู กูเลยรีบออกจากห้างแล้วตรงมาหามึงเนี่ย ”





“ ไม่น่าสภาพมึงถึงอุบาทว์ขนาดนั้น ”





“ ไอห่า เดี๊ยะๆ ฟังอย่างเดียวไม่ต้องวิจารณ์ ”  ผมพูดอย่างไม่สบอารมณ์





“ แล้วมึงจะใส่ไปงานแต่งไหม ”





“ ใส่ดิ กูซื้อมาขนาดนี้ กูจะใส่ตั้งแต่หกโมงเช้ายันเที่ยงคืนเลยคอยดู ”





“ กูว่าแล้ว ”





“ ว่าอะไรของมึง ”  ผมถามด้วยความสงสัย เหมือนมันไปรู้อะไรมา





“ ก็ญาติกูอ่ะดิ แดนอ่ะ มึงจำได้ปะ ”





“ จำได้ดิ แล้วเกี่ยวอะไรกับเขาวะ ”  ตั้งแต่คุยแชทกับคุณแดเนียลวันนั้น ก็ไม่ได้คุยอีกเลย เหมือนเขาน่าจะงานยุ่งหรืออะไรซักอย่างเนี่ย หลังๆ มานี่เลยเริ่มหายไป





“ ก็เขาอ่ะดิ แชทมาหากูบอกให้คอยดูมึงหน่อยเหมือนเขารู้อะไรซักอย่าง แต่เขาไม่ยอมเล่า ทั้งๆ ที่กูเค้นแทบตาย ” ขืนเล่าสิ มันได้ถ่อมาถามผมตั้งแต่วันนั้นแน่ๆ





“ ก็…นั่นแหละ พอดีเขาทักมาถามทุกข์สุกดิบ เลยเล่าให้เขาฟัง ” ผมตอบอ้อมแอ้ม





“ มึงไม่ยอมบอกกูแต่ยอมเล่าให้ญาติกูฟังเนี่ยนะ ” นั่นไง ผมว่าแล้วมีผิด มันต้องโวยวายแน่ๆ ทำไมซื้อหวยไม่แทงถูกแบบนี้ล่ะครับ!





“ โหย ก็ตอนนั้นกูยังไม่มั่นใจอะไรซักอย่างเลย พอคุยกับเขาแล้วเพิ่งจะรู้อาการของตัวเอง ”





“ แสดงว่ามึงยอมรับแล้วใช่มะ ว่ามึงกำลังชอบใครอยู่ ” ผมชะงักกึก เมื่อได้ยินเพื่อนผมถาม





“ ก็ ไม่รู้ว่ะมึง กูเหนื่อยใจอ่ะ ”  ผมก้มหน้าเอามือมาประสานกันวางที่หน้าขา ในหัวคิดแต่ภาพที่ผมอยู่กับไอตัวปัญหาแต่ละฉากๆ จนมาถึงล่าสุดที่ผมเพิ่งจะทะเลาะ (ฝ่ายเดียว) กับเขามาเนี่ย





“ เฮ้อ มึงนะมึง ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมีแฟนซะเมื่อไหร่ ทำไมถึงคิดอะไรมากมายขนาดนั้น ” ไอแสงเอื้อมมือมาตบไหล่ผมเบาๆ แล้วเขยิบเข้ามาใกล้ๆ ผมไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่นิ่งอยู่ในท่านั้น





“ กูว่านะ มึงอย่าเพิ่งคิดมาก จริงๆ แล้วเขาอาจจะคิดอะไรกับมึงก็ได้ แต่มึงอาจจะไม่รู้ เรื่องของแฟนเก่าก็ของแฟนเก่าเขาปะวะ มึงคือตอนปัจจุบัน แล้วจะเป็นอนาคตหรือไม่ก็ต้องดูที่การตัดสินใจของมึงว่ะ ”





“ กูไม่คิดว่าเขาจะชอบกูว่ะมึง เหมือนทุกวันนี้มันเป็นแค่หน้าที่อ่ะ ที่ทำให้เขากับกูต้องมาเจอกัน ”





“ ทำไมคิดแบบนั้นวะ ”  คนถามถามขึ้นด้วยความแปลกใจ





“ สถานะกูกับเขามันต่างกันนะมึง กูก็ดูสิกูไม่มีอะไรที่จะไปยืนอยู่ข้างเขาได้เลยอ่ะ แถมแบบเขามีหน้ามีตาในสังคม กูก็เหมือนถูกบังอยู่ในเงาตลอดเวลา ไม่มีใครรู้จัก ” ผมยกมือลูบหน้าด้วยความหดหู่ใจ





“ เดี๋ยวสิมึง คนมันจะรักกันอ่ะ มันไม่ได้ดูแค่สถานะหรอกนะมึง มึงต้องดูความรู้สึกเขากับมึงด้วย คนเราแค่รวยอย่างเดียวแต่อยู่กันไม่รอดก็เยอะแยะถมไป ”  ไอแสงพูดด้วยเสียงอ่อนใจ





“ แต่แบบกูก็ไม่กล้าเอาตัวเองไปยืนอยู่ขางเขาได้ขนาดนั้นว่ะ แบบ เฮ้อ ไม่รู้สิมึง กูยิ่งทียิ่งสับสน แรกๆ กูก็มีความสุขนะเว้ย แต่แบบไปๆ มาๆ กูเริ่มกลัว ”





“ กูเข้าใจ แต่มึงไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงถึงขั้นที่แบบสังคมจะไม่ให้อภัยเลยที่หว่า ”





‘ เรื่องที่เราทั้งคู่เป็นชายด้วยกันนี่สังคมพอจะให้อภัยได้ไหมเนี่ย ’





“ นี่สรุปแล้วคือมึงแค่กลัวว่ามึงจะไม่มีค่าพอจะไปยืนข้างเขาได้ใช่ไหมเนี่ย ”





“ เฮ้อ มันก็หลายเรื่องว่ะ กูเริ่มระแวงใจตัวเอง ”  ผมเอนตัวลงไปนอนที่พักแขนข้างตัว แล้วเอามือก่ายหน้าผาก





“ มึงอ่ะ ทีเรื่องแบบนี้มากลัว ทีตอนจีบหญิงไม่เห็นจะกลัวอะไรเลย ”  ไอแสงเตะขาผมด้วยความหมั่นไส้





“ กูเล่าให้มึงฟังหมดแล้วนะ ”





“ เอาเป็นว่า คิดง่ายๆ นะมึง ถ้ามึงชอบเขา แล้วเกิดความรู้สึกที่ว่ามีความสุข อยากอยู่ข้างกายเขา อยากปกป้องเขา กูแนะนำให้มึงทำตามหัวใจตัวเอง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าเขาจะชอบมึงหรือไม่ อย่างน้อยมึงก็ได้ลอง ” ไอแสงนั่งหันตัวมาทางผม แล้วยกขาขึ้นมาขัดสมาธิ “ แต่ถ้ามึงชอบเขาแล้วมึงมีแต่ความทุกข์ใจ ไม่มีความสุข หมดอาลัยตายอยาก กูว่ามึงก็ตัดใจเถอะ มันไม่ดีหรอก ”





“ ถ้าทำได้ง่ายอย่างที่มึงพูดก็ดีดิ ” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ นี่ไอแสงมันยังไม่รู้นะว่าต้นเหตุที่ทำให้ผมตกอยู่ในสภาพแบบนี้เป็นใคร ถ้ามันรู้นะ มีหวังคงโดนมันเฉ่งอย่างแรง ดีนะว่าพรุ่งนี้เป็นวันหยุด ผมจึงไม่ต้องไปเจอหน้าไอคุณชายด้วยความรู้สึกที่ยังปั่นป่วนอยู่ บางทีให้ผมได้หยุดพักผ่อน คิดทบทวนอะไรหลายๆ อย่าง เผื่อจะทำให้อะไรๆ ดีขึ้นมาได้บ้าง











ผมตื่นมาตอนเช้าด้วยอารมณ์ที่สดชื่นขึ้นเล็กน้อย หันหน้าไปอีกข้างก็เจอกับไอแสงที่หันหน้าเข้ามาเกือบชิดหน้าผมพอดี จึงทำให้ผมสะดุ้งตัวเด้งขึ้นมานั่ง ก่อนจะเตะตัวมันเบาๆ ให้มันเขยิบไป



หนอย ยึดเตียงจนกูจะตกเตียงอยู่แล้วไอห่า



ผมจึงลุกออกจากเตียง เปิดประตูออกจากห้อง เดินลงไปห้องครัวเพื่อจะหาน้ำกิน วันนี้สงสัยที่บ้านของไอแสงน่าจะไม่อยู่บ้าน เพราะตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่จอดรถไม่มีรถจอดอยู่ซักคัน นอกจากรถของไอแสงมันที่ใช้ประจำ (รถคันอื่นอยู่ในโรงรถ รวยขนาดไหนถามใจดู) วันนี้ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ที่จอดรถก็ยังคงว่างเปล่าอยู่ ไม่น่า ทำไมมันถึงไม่กลัวว่าใครจะเห็นสภาพผมเมื่อวาน



หลังจากกินน้ำเสร็จ ผมก็เดินออกไปยังทิศทางสวนหลังบ้านของมันเพื่อไปรับลมซะหน่อย ผมชอบสวนของบ้านไอแสงมาก เพราะมันร่มรื่น มีร่มเงาจากต้นไม้น้อยใหญ่อยู่เต็มไปหมด ทำให้อากาศไม่ร้อน และมีลมที่พัดมาเอื่อยๆ อยู่ตลอดเวลา ทำให้เวลามาเดินที่นี่มีไร สงบใจทุกที จนอยากจะมาอยู่เองเลย ผมเดินลงไปนั่งบนม้านั่งไม้ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ที่ชอบมานั่งประจำเวลามาบ้านมัน มือล้วงหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกง แต่พบแต่ความว่างเปล่า ผมจึงนึกขึ้นได้ว่าวางชาร์ตไว้อยู่บนโต๊ะในห้องนอนไอแสง จึงได้แต่นั่งสูดอากาศดีๆ ไปเฉยๆ



จริงๆ แล้วก็เป็นอย่างที่คุณแดเนียลพูดนะ ถ้าผมรู้ตัวว่าตัวเองกำลังเป็นอย่างที่เขาพูด ให้รีบตัดใจก่อนที่จะถลำลึกลงไป เพราะผมวาดอนาคตของตัวเองไม่ออกเลยถ้าตัดสินใจชอบเขาต่อไป แต่ตราบใดที่ผมยังต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาแบบนี้ มันยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลยที่จะตัดใจ หรือนี่จะเป็นเพราะความใกล้ชิดที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ ให้ตาย



ความรักนี่มันน่ากลัวจริงๆ บทจะมาก็มาไม่ทันตั้งตัว บทจะทำให้มีความสุขก็อย่างกับล่องลอยอยู่บนสรวงสวรรค์ แต่บทจะทำให้เจ็บปวดก็เจ็บปวดเจียนจะตาย สรุปแล้วมันก็มีทั้งด้านดีและด้านไม่ดีทั้งนั้น



นี่ผมกำลังพรรณนาถึงความรักหรือนี่ โอ้ มาย ก็อด



ผมที่สอบวิชาภาษาไทยเกือบตกตลอด กำลังพรรณนาถึงความรัก ผมส่ายหน้าให้กับตัวเองเบาๆ มึงนี่ท่าจะหนักแล้วไอรักเอ้ย!



“ โหย ไอห่า กูก็นึกว่ามึงเศร้าจนโดดน้ำตายไปแล้วนะเนี่ย หาตั้งนาน ”  ไอแสงในชุดนอนเดินงัวเงียมานั่งข้างๆ





“ ยังเว้ย อย่างกูไม่คิดฆ่าตัวตายง่ายๆ หรอก เดี๋ยวผู้หญิงทั้งโลกร่ำไห้ กูสงสาร ” ผมพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ ยิ้มออกมาอย่างสบายใจ





“ มีกูอยู่ทั้งคน ไม่มีใครร่ำไห้ให้มึงหรอก โธ่ ”





“ หลงตัวเองยิ่งกว่ากูก็มึงนี่เองครับเพื่อน ” ผมแซวมันนิดหน่อย ก่อนจะถอนหายใจยาวๆ “ กูว่าเดี๋ยวกูจะกลับแล้วล่ะ แม่กูไลน์มาหาเมื่อวานเนี่ย บอกว่าให้กลับไปหาบ้าง ไหนๆ ก็วันหยุด ”





“ เออก็จริง ตั้งแต่มึงได้งานนี่ไม่ได้กลับเลยปะวะ ”





“ ใช่ดิ กูมีเวลาที่ไหนอ่ะ งานยุ่งชิบหาย ” ยุ่งของผมนี่ก็คือต้องตัวติดกับไอคุณชายนั่นตลอดเวลานั่นแหละ





“ ไปๆ เดี๋ยวกูพาไปส่ง กูก็อยากกลับไปกินข้าวฝีมือพี่สาวมึงอยู่พอดี อิอิ ” คนนั่งข้างผมหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ บ่งบอกถึงความคิดที่ไม่ดีอยู่ในหัว ไว้ใจไม่ได้จริงๆ เลยไอห่า





“ หึ นั่นพี่กู เดี๊ยะๆ ตบหัวยุบ ”  ไอแสงเบนตัวหลบทันทีที่ผมยกมือหมายจะตบหัวมันอย่างที่พูดจริงๆ





“ โหย ไรอ่ะ กูก็แค่หยอกเล่น หวงพี่ซะจริง ”  เพื่อนผมร้องโวยวาย แล้วลุกขึ้นยืน “ไปๆ รีบไปอาบน้ำแต่งตัว วันนี้กระผมจะทำหน้าเป็นสารถีให้คุณมึงเอง”









“ ม๊าคร้าบบ ผมกลับมาแล้ว ”  ไอแสงตะโกนขึ้นมา เมื่อเปิดประตูเข้ามาข้างในบ้าน





“ นี่สรุปแล้วกูหรือมึงที่เป็นลูกของบ้านนี้ฮ้ะ ไอห่า ”  ผมตบหัวมันเบาๆ ดังเพลี้ย มันหันมาทำหน้าหงิกใส่ แถมบ่นพึมพำอะไรผมก็ขี้เกียจฟัง แต่ก็เดี๋ยวเดียวนั้นแหละ ก็กลับไปดี๊ด๊าเหมือนเดิม เมื่อเห็นคุณนายแม่เดินนวยนาด กรี๊ดกร๊าด ประหนึ่งเห็นดารามาเยือนบ้าน





“ ว้าย! ตายแล้ว! ลูกมา ” แล้วคุณแม่ผู้บังเกิดเกล้าก็เดินเข้าไปสวมกอดไอเพื่อนที่ซึ่งบัดนี้กลายเป็นลูกรักแทนผมไปซะแล้ว ทั้งคู่ยืนกระหนุงกระหนิง ทำให้ผมทำหน้าเบื่อหน่ายเมื่อเห็นไอห่าแสงหันมายิ้มแฉ่งให้ น่าเอาส้นยัดหน้ามันซะจริงๆ





“ ม๊าครับ ลูกม๊ายืนอยู่นี่ครับ ” ผมจึงอดไม่ได้ที่จะทวงสิทธิ์ความเป็นลูก (อันน้อยนิด) ของตัวเองบ้าง





“ อุ้ยตาย! ม๊าลืมไปแล้วนะเนี่ยว่ามีลูกชาย ”  แอคติ้งเนียนได้โล่ก็เห็นจะมีแต่คุณแม่ผมเท่านั้นแหละครับ





“ เอาที่สบายใจเลยฮะม๊า ผมหิวจะตายแล้วเนี่ย ทำอะไรให้กินหน่อยสิ ” ผมเดินถือของเข้าไปในบ้าน แล้วหย่อนตัวลงบนโซฟาที่ผมคุ้นเคย





“ จ๊ะ คุณชาย กลับมาไม่มีถามไถ่อะไรเลยนะยะ จะกินอยู่อย่างเดียว ” คนเป็นแม่บ่นกระปอดกระแปดเดินผ่านผมไป โดยมีแสงไอเพื่อนเฮงซวยเดินประจบไปตลอดทาง





“ เอ้อ ลืมบอกไป เมื่อกี้มีเพื่อนแกมานะ ม๊าเลยให้เขารออยู่ห้องรับแขกของป๊าแก ”





“ เพื่อนไหนอ่ะม๊า ” ผมถามอย่างสงสัย เพื่อนที่ไหนวะ เพื่อนที่มีก็ยืนหัวโด่อยู่ในบ้านนี่ (เพื่อนน้อยก็แบบนี้แหละ กระซิกๆ)





“ เห็นบอกว่าชื่อเนตรๆ อะไรนี่ล่ะ หล่อน่าดูเชียว ไอดีเห็นมันก็กระดี๊กระด๊าใหญ่ ” (ดีคือพี่สาวผมเองครับ) พอได้ยินชื่อเท่านั้นแหละ ผมนั่งนิ่งไม่ขยับ แต่ตาแทบถลนออกจากเบ้าตา และช็อกคาโซฟาเลยทีเดียว ไอแสงหันขวับมาหาผมอย่างสงสัยใคร่รู้ ชี้ชัดเลยว่าให้ตายมันต้องรู้เรื่องทั้งหมด ตายห่าแล้วตู ข้าศึกบุกถึงบ้าน!



“ เอ่อ ผมขอออกไปข้างก่อนได้ไหมฮะ ” ผมทำทีเป็นลุกขึ้นจะเดินออกไปจากบ้านที่เพิ่งจะเข้ามาได้ไม่ถึงสิบนาทีดี วินาทีนี้คือต้องออกไปให้พ้นๆ จากบ้านหลังนี้ (ที่มีไอคุณชายอยู่)



“  นั่น พูดถึงก็มาพอดี เนตรจ๊ะ ไอรักลูกชายม๊ามันกลับมาแล้วจ้า ” เอ่อ สาบานว่าน้ำเสียงของประโยคก่อนหน้ากับประโยคนี้ออกมาจากปากคนคนเดียวกัน เจอคนหน้าตาดีหน่อยนี่ถึงกับเสียงสองเลยนะ!



ไอคุณชายเดินมาด้วยท่าทีนอบน้อมเมื่อเห็นว่าคุณแม่ผมหันไปพูดคุยด้วย ก่อนที่สายตาจะเบนมาทางผมช้าๆ ซึ่งมันก็ทำให้เหงื่อในร่างกายของผมพร้อมใจกันผุดออกมาราวกับมีไฟมาลนอยู่ใกล้ๆ ตัว เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานผุดขึ้นมาในหัวผมเป็นฉากราวกับภาพยนตร์ในโรงหนัง ผมได้แต่ยืนตัวเกร็งอยู่ที่เดิม ไม่กล้าขยับไปไหนทั้งสิ้น พ่วงด้วยไอแสงที่ยืนงงๆ มองไปทางนั้นทีมองมาทางผมที



“ เอ่อ คุณมาทำอะไรที่นี่ครับ ” ผมถามเสียงสั่นๆ เมื่อคุณแม่เดินเข้าห้องครัวไป ไอคุณชายเดินเข้ามาหาผมด้วยท่าทางที่ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร แต่มึงรู้ไหม กูทุกข์สุดๆ แล้วโว้ย ไม่ได้ดูสถานการณ์เลย ไอคุณชายบ้า





“ ก็…ไม่มีอะไร แค่อยากมาเฉยๆ ”  อีกฝ่ายตอบหน้าตาย ผมจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำตอบ





“ ขออนุญาตขัดนะครับท่านทั้งสอง ผมขอถามได้ไหมว่าคุณคือใครครับ ” ไอแสงได้ทียิงคำถาม มันคงอัดอั้นอยากรู้แล้วสิ ท่าทางเหมือนคนกำลังสอบสวนผู้ร้าย แต่จริงๆ คือไม่มีอะไรนอกจากความอยากเสือกเฉยๆ ของมัน





“ เพื่อนกู มึงรู้ไว้แค่นี้แหละ ” ผมจึงตอบส่งๆ ไป ไม่อยากให้มันรู้ไปมากกว่านี้ เดี๋ยวความแตก ซวยกันตายห่าล่ะคราวนี้





“ กูถามคุณคนนั้น ไม่ใช่มึงไอรัก ” ว่าแล้วก็หันหน้าไปถามด้วยความเป็นมิตร ต่างกันกับที่คุยกับผม ทำไมคนใกล้ชิดผมถึงสองมาตรฐานกันได้ขนาดนี้





“ เป็นคนรู้จักของเขา ” มันก็เป็นคำตอบที่ไม่ได้เพิ่มข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้นเลยจริงๆ





“ คนรู้จักแบบประมาณไหนเหรอครับ ขอถามได้ไหมฮะ ” แต่ก็ไม่มีอะไรทำให้ไอแสงคนนี้ย่อท้อได้ทั้งนั้น ไอคุณชายยืนเงียบไป ผมรู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มเย็นยะเยือกจึงพยายามดึงไอสองคนนี้ให้ออกห่าง





“ เป็นเจ้านาย ”  ไอแสงเบิกตากว้างทันทีที่ได้ยินสิ่งที่ไอคุณชายพูด หันมาทางผมอย่างตกใจ ผมจึงกลืนน้ำลายเอือก รู้ถึงความหายนะนับต่อจากนี้ไปเบาๆ





“ ละ แล้วมาทำอะไรที่บ้านของรักล่ะครับ ”  ประโยคเริ่มนุ่มนวลขึ้นเมื่อรู้ถึงสถานะของฝ่ายตรงข้าม





“ พอดีเขาเข้าใจผมผิดนิดหน่อย ผมจึงอยากมาชี้แจง ”  คราวนี้ผมถึงกับเขาอ่อนเกือบทรงตัวไม่อยู่ไปชั่วพริบตาหนึ่ง ไม่คิดว่าไอคุณชายจะกล้าพูดขนาดนี้ แล้วเพื่อนผมมันจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่ไหมเนี่ย เรื่องเข้าใจผิดแบบไหนกันที่เจ้านายต้องมาด้วยตัวเองแบบนี้ ผมนี่แทบอยากจะร้องไห้ ไอแสงผู้ที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก จึงหันมาทางผม ทันใดนั้นมันก็จับมือลากผมออกไปอีกมุมหนึ่งของห้อง แล้วกระซิบถามผมเบาๆ





“ มึงตอบมา เรื่องเข้าใจผิดอะไรถึงต้องซีเรียสกันขนาดนี้ ”  นั่นไง ผมพูดผิดที่ไหน ผมจึงถอนหายใจเบาๆ





“ ไม่มีอะไรหรอกมึง คิดมาก เขาคงแค่อยากมาอธิบายเรื่องงานมากกว่า ”





“ เรื่องงานก็ไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเองแบบนี้มั้ง โทรมาก็ได้นี่ ”  เพื่อนผมคาดคั้นคำตอบ ผมอยากจะร้องไห้จริงๆ นะเนี่ย ไม่ได้ล้อเล่น ใครใช้ให้ไอแสงเกิดความรู้สึกสงสัยกัน





“ แล้วทำไมมึงไม่ไปถามเขาเอาเองเล่า ”





“ กูไม่กล้านี่หว่า ก็มึงดูท่าทางเขาสิ เหมือนกับถ้ากูถามอีกประโยคเดียว เขาจะเผากูจากสายตาเขาได้แบบนั้นแหละ ” คนอย่างไอแสงกลัวเป็นด้วยเว้ย ผมก็เพิ่งยักจะรู้





“ งั้นกูก็ตอบมึงได้แค่นี้แหละ เพราะกูก็ไม่รู้โว้ย ”





“ มึงอย่างุบงิบดิว้า เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับเพื่อนเหรอ ”





“ โอ้ย งุบงิบบ้าบออะไร ก็กูบอกว่ากูไม่รู้ ถ้าอยากรู้ก็ไปถามเองสิ ” ผมยกแขนขึ้นกอดอก หน้าหงิกขั้นสุด ทำไมช่วงนี้อะไรๆ มันปะดังปะเดมากันจังเลยวะ





“ เฮ้ย อย่าบอกนะว่าเรื่องเมื่อวาน... ”





ก่อนที่ไอแสงจะถามอะไรต่อ อยู่ๆ มือที่สามอย่างไอคุณชายที่เดินมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ดึงแขนของผมให้ออกจากวงสนทนา แล้วก็ลากไปทางหน้าประตู ผมกับไปแสงที่ต่างก็ทำหน้าเหลอหลามองกันและกัน ก่อนที่หน้ามันจะถูกบังด้วยประตูที่ไอคุณชายช่วยสงเคราะห์ปิดให้ กว่าผมจะตั้งสติได้ ตัวเองก็มาอยู่ในรถของอีกฝ่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว



กูยังไม่ได้แดกข้าวเลยโว้ยยย



อาเมน….







โปรดติดตามตอนต่อไป



ง่อววววววว คุณท่านเนตรมาง้อแล้วค่ะแม๊
ว่าแต่คุณพี่จะท่าเยอะไปไหนคะ
 :hao3:


สวัสดีปีใหม่น้าทุกคน
เฮ่ลโล่วววว ยังมีใครอ่านอยู่ม้ายยย  :sad11:
ปีที่แล้วหนักหน่วงกันมามากมาย ลากยาวมาถึงปีนี้ที่ไม่รู้มันจะจบลงเมื่อไหร่
ก็ขอให้ทุกๆคนสู้ๆนะคะ รวมถึงไรท์เองก็ด้วยค่ะ (ปลอบใจตัวเอง ว่าชั้นมาไกลเกินย้อนไปปป)
ให้กำลังใจกันและกัน ดูแลสุขภาพตัวเองคือสำคัญที่สุด
ขอให้พวกเราทุกคนผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปให้ได้ค่ะ
ไรท์เชื่อว่าคนที่อดทนและรู้หน้าที่ตัวเอง สุดท้ายแล้วจะได้รับสิ่งดีๆที่รอคอยอยู่ในภายภาคหน้าค่ะ
ยังไงก็เป็นกำลังใจให้น้า ถ้าเหนื่อยก็พัก แล้วมาอ่านนิยายของไรท์เพื่อคลายเครียดได้นะคะ อิอิ
ไรท์จะพยายามมาอัพให้บ่อยขึ้นค่ะ (ฮือ)

รักและเป็นห่วง
เจ้าหมีวุ่นวายเอง


------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ปล. อย่าลอกงานเขียนน้า เพราะกว่าจะคิดพล็อตขึ้นมาได้ หัวแทบระเบิดเป็นโกโกครั้นช์บดละเอียด

เพราะฉะนั้นสงสารหนูโด้ยข่า


ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ เจ้าหมีวุ่นวาย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ตอนที่ 20
" คู่รักแทนได้ปะ "




“ เมื่อวานนายไปไหนมา ไม่กลับห้อง ” เมื่อคนขับผู้ที่ซึ่งลากผมเข้ามาในรถ และตัวเองก็เข้ามานั่งฝั่งคนขับเป็นที่เรียบร้อย ก็ยิ่งกระสุน เอ้ย ยิงคำถามใส่ผมทันที โดยที่ไม่รอให้ผมได้หายคอหายใจเลย





“ ผมไปนอนบ้านเพื่อนมา ” ผมตอบทันทีเช่นกัน ในใจนึกกลัวว่าถ้าหากไม่ตอบคำถามใดๆ ก็ตามที่เจ้าตัวถามมา ก็โดนหิ้วไปฆ่าหมกป่าที่ไหนซักแห่งบนโลกใบนี้





“ เพื่อนคนที่อยู่กับนายเมื่อกี้น่ะเหรอ ”





“ ใช่ครับ ” ผมตอบอย่างหมดอาลัยตายอยาก สายตาเอาแต่มองผ่านกระจกรถ มองบ้านของผมที่ค่อยๆ ไกลออกไปเรื่อยๆ ด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว





“ สรุปแล้ว… ”  ไอคุณชายหยุดพูดไปแค่นั้น ผมจึงทำใจหันกลับมามองว่าเขาจะถามอะไรต่อ แต่เห็นแค่เพียงเสี้ยวใบหน้าที่มองตรงไปยังถนนข้างหน้าอย่างเดียวของเจ้าตัว จึงทำให้ผมกล้าที่จะมองต่อไป หากเขาหันมาแล้วนั้น เกรงว่าผมคงหันกลับคอแทบบิดในทันที





“ คุณจะถามอะไรครับ ” ผมถามย้ำไปเมื่ออีกฝ่ายเงียบไปทั้งๆ ที่ถามค้างไว้อยู่





“ นายจะยอมตอบไหมล่ะ ” ถ้าให้ผมเดาแล้วคงเป็นเรื่องเมื่อวานเป็นแน่แท้ ผมจึงเป็นฝ่ายเงียบบ้าง เพราะไม่รู้จะตอบคำถามเขายังไง ในเมื่อตัวเองยังไม่รู้แน่ชัดถึงการกระทำของตัวเองเลยจริงๆ





“ ฉันไม่รู้นะว่านายเป็นอะไร แต่ถ้ามันเกี่ยวกับเรื่องวรรณแล้ว ฉันบอกได้เลยว่านายไม่ต้องกังวล เราทั้งสองต่างก็เป็นอดีตกันไปแล้ว ทั้งเขาและฉันก็ต่างมีเส้นทางเป็นของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องติดค้างอะไรกันอีก ” ผมได้แต่เงียบฟังที่ไอคุณชายพูดอย่างเดียว โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าในใจตัวเองค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้นหลังจากที่ได้ฟัง



“ ตอนนี้ฉันบอกได้เลยว่าตัวเองกำลังเปิดใจอีกครั้งกับ ใครซักคน ซึ่งฉันก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าครั้งนี้ตัวเองจะต้องเจอกับอะไรบ้างในอนาคต แต่ฉันบอกได้อย่างเดียวคือ… ” ผมกลั้นใจไปพร้อมกับว่า ‘ใครซักคน’ ออกจากปากของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ความร้อนเริ่มแผ่คลุมใบหน้า ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้รู้ว่าใครซักคนของเขานั้นคือใคร แต่ก็ทำให้ใจผมกระตุกได้ในทันที



เมื่อสัญญาณไฟข้างหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียว คนขับที่หันมองไปยังทางข้างหน้าตลอดก็หันมาทางผม



“ นายคือคนสำคัญของฉันนะ ”




















“ กินให้มันช้าๆ หน่อยไม่ได้หรือไง กลัวฉันแย่งกินเรอะ ” เสียงไอคุณชายบ่นกระปอดกระแปดเป็นระยะๆ ตั้งแต่อาหารที่สั่งถูกนำมาวางบนโต๊ะ ขณะนี้เราสองคนอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งแถวๆ บ้านผมนี่แหละ



ตั้งแต่เราสองคนจบบทสนทนาในรถมา จนถึงตอนนี้ผมยังไม่กล้ามองหน้าเขาเลย ให้ตายสิ ใครใช้ให้พูดประโยคหน้าอายนั้นออกมากันล่ะ ยิ่งคิดผมก็ยิ่งกินเร็วกว่าเดิม จนคนที่นั่งตรงข้ามผมทนไม่ไหวจึงบ่นออกมาเป็นชุดนั่นแหละ แต่ผมบอกตรงๆ ว่าไม่ยุติธรรมเลย ไอคนพูดมันไม่เห็นจะมีอาการอะไรเลย ขนาดตอนพูดจบยังทำหน้าตายิ่งได้อย่างนั้น พูดเสร็จหันกลับไปขับรถหน้าตาเฉย เคยไปประกวดคนหน้านิ่งแห่งปีไหมเนี่ย ในขณะที่ยังตัวแข็งอยู่อย่างนั้น ขนาดเดินออกจากรถยังสะดุดน่ะคิดดู



“ เฮ้อ นายนี่น้า คนอะไรเขินแล้วติงต๊องชะมัด ” เสียงไอคุณชายขัดความคิดของผม ผมจึงเงยหน้าขึ้นมองคนพูดเป็นครั้งแรกหลังจากที่ออกจากรถ เห็นมือขาวๆ เอื้อมมาหมายจะสัมผัสหน้า ผมจึงรีบหลับตาปี๋ ไม่กล้ามองอีก





“ กินจนปากเลอะแล้วเนี่ย นายเป็นเด็กหรือไง ” สัมผัสแผ่วเบาตรงบริเวณปาก ทำให้ผมลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็เห็นอีกฝ่ายมองมาก่อนแล้ว สายตาอ่อนโยนที่ทอดมองมานั่นทำให้สติผมกลับคืนมาทันที รีบผละหน้าออกจากมือขาวๆ แล้วเสก้มลงไปดูดน้ำจากแก้วที่วางอยู่ข้างตัว ผมได้ยินเสียงไอคุณชายหัวเราะในคอ จึงยิ่งทำให้ผมกระวนกระวายยิ่งกว่าเดิม





“ แล้วนี่เป็นใบ้กระทันหันเหรอ ตั้งแต่ฉันลากมานี่ไม่พูดอะไรเลย ”





“ แล้วจะให้ผมพูดอะไรล่ะครับ ” ผมพูดเสียงเบาตอบกลับไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่กล้ามองหน้าอยู่ดี





“ ปกตินายพูดมากจะตายไป ทีแบบนี้ล่ะเงียบเชียว เป็นอะไร เขินอยู่หรือไง ” คำพูดของเขาทำให้ผมหวนกลับนึกถึงเหตุการณ์ที่อยู่ในรถเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมา ใบหน้าเริ่มเห่อร้อนอีกครั้ง





“ ขะ เขินบ้าบออะไรกันครับ ผมก็แค่…เอ่อ ใครใช้ให้คุณพูดแบบนั้นออกมากันล่ะ ”





“ หึๆ แค่นี้เขินเชียว ถ้าฉันทำยิ่งกว่านี้ไม่ยิ่งเขินตายเลยหรือไง ” ผมสำลักน้ำที่กินเข้าไปเมื่อกี้ ไอจนตัวโยน จนอีกฝ่ายหัวเราะชอบใจ ไอบ้า! แกล้งคนอื่นมันสนุกนักเหรอไง ผมมองค้อนไปยังอีกฝ่ายทั้งๆ ที่ยังสำลักเอาเป็นเอาตาย





“ อ่ะๆ เลิกแกล้งแล้ว กลัวใครบางคนเขินจนขาดอากาศหายใจไปซะก่อน ”  ไอคุณชายหัวเราะจนพอใจแล้ว จึงเรียกพนักงานในร้านเพื่อเช็คบิล กว่าผมจะหยุดสำลักได้ก็กินเวลาไปหลายนาที ไม่พอนะ ยังสะอึกด้วย เอาซะหายใจแทบไม่ทัน ผมพยายามปรับลมหายใจให้เป็นปกติ จนเดินกลับมาที่รถก็ยังไม่หายสะอึกอยู่ดี ผมจึงปล่อยเลยตามเลย ขี้เกียจจะสนใจแล้ว





“ วันนี้นายจะนอนบ้านหรือจะกลับคอนโดเรา ” คำว่า 'คอนโดเรา' ทำให้ผมรู้สึกขนลุกชะมัด





“ ผมกลับกับคุณเลยดีกว่า ไหนๆ พรุ่งนี้ อึก ก็ต้องทำงาน ” ผมสะอึกเสียงดังจนไอคุณชายหลุดขำออกมา





“ ยังไม่หายสะอึกอีกหรือไง ”





“ ถ้าหายแล้วผมคงไม่มาสะอึกแบบนี้หรอกครับ อึก ”





“ เขินจนสะอึก เกิดมาฉันก็เพิ่งจะเคยเห็น ”





“ ก็เพราะใครล่ะ อึก คนเขากินน้ำอยู่ก็ยังจะพูดออกมาอีก ” ผมพูดเสียงดังขึ้น จึงทำให้เสียงสะอึกดังขึ้นตามไปด้วย ไอคุณชายที่ยังไม่หยุดขำ ก็ขำหนักเข้าไปอีก ผมจึงกรอกตาขึ้นอย่างเบื่อหน่ายกับร่างกายตัวเอง ยกแขนกอดอกแล้วหันหน้าไปมองข้างทาง ไม่สนใจคนขับอีก



เสียงเพลงคลอเบาๆ ไปตลอดทาง เราสองคนต่างก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก แต่ไม่รู้ทำไมตอนมากับตอนกลับที่คนละอารมณ์เลย ตอนนี้ผมบอกไม่ถูกว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร แต่รู้แต่ว่าความอึดอัดที่อยู่ในใจจางหายไปแทบจะทันทีเพียงแค่ได้ยินประโยคนั้นออกจากปากคนพูด สงสัยไอที่คุณแดเนียลกับไอแสงพูดมันคงจะจริง ผมคงจะ…ชอบไอคุณชายบ้านี่เข้าแล้วจริงๆ แหละ ทำให้ทุกๆ เรื่องของเขามีผลต่อความรู้สึกของผมได้อย่างง่ายดาย แต่ผมก็ปลอบใจตัวเองอาจจะเป็นเพราะความใกล้ชิดที่ทำให้ผมเผลอหวั่นไหวไป ถึงแม้ผมจะไม่เคยคบหาใครถึงขั้นลึกซึ้งขนาดนั้น แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ก็ต้องแอบเผื่อใจไว้ส่วนหนึ่งด้วย ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่เกิดอะไรร้ายแรงขึ้น แต่ผมก็ไม่สามารถพูดได้ว่า ระหว่างเราจะไม่มีอุปสรรคใดๆ เลย



คิดแล้วก็ใจหาย หากสุดท้ายผมกับเขาจะไม่สามารถเดินเคียงข้างกันได้จริงๆ



ผมหันหน้าไปมองคนขับที่อยู่ในความคิดของผมมาตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ ใบหน้าที่ผมแอบหลงใหลมาตั้งแต่แรกเจอ เหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จนตอนนี้ได้มาอยู่ด้วยกัน ผมไม่เคยคาดคิดจริงๆ ว่าชีวิตนี้จะได้พบเจออะไรแบบนี้ นี่ถ้าครอบครัวผมรู้ หรือไอแสงรู้นี่ต้องตกใจกันมากแน่ๆ คิดถึงตอนนี้แล้วผมก็แอบหวั่นใจถึงอุปสรรคที่ผมคาดว่าจะต้องพบเจอซักวันในอนาคต



“ มองหน้าฉันจนไม่รู้ตัวเลยใช่ไหมว่าถึงคอนโดแล้ว ” ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินไอคุณชายพูด หันไปมองรอบตัวก็พบกับสิ่งแวดล้อมที่คุ้นตาที่ทำให้รู้ว่าถึงคอนโดแล้วจริงๆ ผมจึงรีบปลดเข็มขัดแก้เก้อ แล้วจึงเปิดประตูรถออกไปยืนสูดเอาอากาศเข้าปอดเพื่อไล่ความหวั่นไหวในใจออกไป เอาตัวตนตัวเองกลับมา เขินจนวิญญาณหลุดออกจากร่างแล้วเนี่ย



“ ผมขอตัวเข้าห้องก่อนนะครับ ” ผมเอ่ยกับคนเป็นเจ้าของห้องเมื่อเดินเข้ามาในห้องแล้ว ไอคุณมองหน้าผมนิดหนึ่งแล้วก็พยักหน้า ผมจึงเดินเข้าห้องโดยที่รู้สึกถึงสายตาลุ่มลึกมองตามมาจนกระทั่งปิดประตูห้อง



“ ค่อยหายใจหายคอคล่องหน่อย ให้ตายสิ ” ผมบ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ ตกใจในความรุกหนักของอีกฝ่าย กลายเป็นว่าสถานะของเราทั้งสองตอนนี้คืออยู่ในช่วงไหนกันแน่ ผมก็เริ่มไม่มั่นใจซักเท่าไหร่ การที่ไอคุณชายมาพูดกับผมแบบนี้ แสดงว่าเขาก็ต้องมั่นใจในความคิดตัวเองอยู่ไม่น้อย ใจหนึ่งผมก็แอบดีใจที่ได้รู้ความรู้สึกของเขา แต่อีกใจก็กลัวว่าพอถึงเวลาจริงๆ แล้วผมจะเสียใจในสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจ



ผมถอนหายใจ ช่างมันก่อนแล้วกัน ตอนนี้เอาเรื่องที่จำเป็นก่อน ที่เหลือค่อยมาคิดตอนนั้น



อีกไม่กี่วันจะถึงวันงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของท่านประธานแล้วก็ไอคุณชาย วันนั้นผมจะต้องรอบคอบให้มากขึ้น เพราะเป็นวันสำคัญของพวกเขามากทีเดียว เป็นงานเปิดตัวทั้งสินค้าใหม่และ…ทายาทของตระกูลโอฬารวิจิตรรัศมิ์เป็นครั้งแรก หลังจากที่เกิดเรื่องร้ายๆ กับตัวเขาซึ่งทำให้ต้องเลื่อนการรับตำแหน่งต่อจากท่านประธานเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ก่อนที่ผมจะเข้ามาทำงาน



ถึงแม้ว่าท่านประธานจะจ้างคนคุ้มกันมาหลายคนก็ตาม แต่ผมซึ่งเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของลูกชายเขาก็ต้องทำงานให้หนักขึ้น เนื่องจากเป็นคนสำคัญของงานนี้ หากมีอะไรที่ผิดพลาดเกิดกับตัวของลูกชายท่านประธาน นั่นก็เท่ากับว่าความพยายามที่ผ่านมาของผมนั้นล้มเหลว ตอนนี้ไอคุณชายเคร่งเครียดกับการดำเนินงานของฝ่ายจัดอีเวนท์ ทุกอย่างๆ ต้องผ่านตาเขาเท่านั้น เพราะผลงานนี้จะเป็นตัวชี้วัดถึงความเหมาะสมของเขาสำหรับตำแหน่งประธานคนต่อไป



ผมจึงอดที่จะกังวลใจไม่ได้ ช่วงนี้ในช่วงเย็นของทุกๆ วันผมจะต้องกลับเข้าไปที่ยิมของอาจารย์เพื่อฝึกร่างกายเพิ่มวันละสองชั่วโมง แต่ครั้งนี้อาจารย์อาจจะไม่ได้มาฝึกให้ผมด้วยตัวเอง เพราะติดภารกิจ แต่ก็ยังมีครูฝึกคนอื่นที่อาจารย์ฝากฝังไว้มาฝึกให้ผมแทน การที่ผมมายิมทุกวันนั้นทำให้ไอคุณชายบ่นอุบว่าผมกลับมาช้าหลังจากที่ส่งเขากลับคอนโดเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเอาจริงๆ ก็คือทำเพื่อเขาไหมล่ะ! แต่ถึงแม้ว่าจะฝึกขนาดไหน ความกังวลในใจผมกลับไม่ได้ลดลงเลย แต่ถ้าผมคิดในแง่ดี อย่างน้อยผมก็ได้ทำอะไรได้มากขึ้น ยังดีกว่าอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยแล้วกัน



วันนี้เป็นวันหยุด ผมจึงไม่ได้เข้ายิม เป็นวันพักผ่อนร่างกาย ไม่อย่างนั้นคงเดียงก่อนวันงานจริงๆ เพราะฝึกทีหนึ่งก็ไม่ใช่เบาๆ เลย ตั้งแต่ผมเริ่มทำงานก็ไม่ได้เข้าไปฝึกเลย เพราะงานยุ่งและยังจัดสรรเวลาให้ตัวเองไม่ค่อยได้ เพราะงานเลขาที่บริษัทเก่าเป็นอะไรที่แทบจะไม่มีเวลาว่างเลย ไหนจะเรื่องงาน ไหนจะต้องระวังตัวจากคุณอดีตเลขานั่นอีก จึงทำให้การฝึกของผมเว้นช่วงไปนาน พอได้มารื้อฟื้นตอนนี้ จึงทำให้ร่างกายผมต้องใช้เวลาปรับตัวไปพักใหญ่ ตอนนี้เพิ่งจะดีขึ้น จำได้ว่าวันแรกซึ่งก็คือไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากฝึกเสร็จ วันรุ่งขึ้นนี่เคล็ดขัดยอกไปทั้งตัว จนไอคุณถามว่าเป็นอะไรท่าทางเหมือนโดนใครอัดมา ซึ่งก็โดนอัดจริงๆ น่ะแหละ



ก๊อกๆ



เสียงเคาะประตูดังขึ้นหลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จ ผมจึงเดินไปเปิดประตูด้วยความแปลกใจ ปกติเจ้าของห้องไม่เคยเจาะแจะเลยหลังจากที่กินข้าวและแยกย้ายเข้าห้อง



“ มีอะไรหรือเปล่าครับคุณ ” เมื่อผมเปิดประตูก็พบกับเจ้าตัวที่ยืมอยู่หน้าห้อง



“ ฉันว่าจะชวนนายออกมาดูหนังกันซักหน่อย พอดีฉันนอนไม่หลับน่ะ ”





แต่ผมนอนหลับน่ะ…








สุดท้ายผมก็ย้ายสังขารตัวเองออกมานั่งอยู่บนโซฟาข้างนอกห้อง โดยมีตัวปัญหานั่งอยู่ข้างๆ



“ ทำไมถึงนอนไม่หลับล่ะครับ ” ผมถามขึ้นหลังจากที่นั่งดูเป็นเพื่อนเขามาสักพัก คนถูกถามไม่ได้พูดอะไรตอบ แต่หันกลับมาสบตากับผมที่มองไปก่อนอยู่แล้ว สีหน้าหนักใจที่น้อยครั้งเจ้าตัวจะเผยออกมา ทำให้ผมอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้



“ ฉันกังวลนิดหน่อย ” ว่าแล้วคนพูดก็ถอนหายใจ แล้วกันกลับไปมองจอโทรทัศน์แล้วเอ่ยต่อ “ นายก็รู้ใช่ไหมว่างานเปิดตัวนี้เป็นงานครั้งแรกของฉัน ”





“ รู้ครับ ”





“ ฉันกลัวว่าจะเกิดอะไรร้ายๆ ขึ้นอีก เพราะงานนี้เป็นงานเปิดตัวของฉันด้วยเหมือนกัน ” คนพูดน้ำเสียงกังวลจนผมสัมผัสได้ อย่าว่าแต่เจ้าของงานเลย แม้แต่ตัวผมเองก็กังวลเหมือนกัน





“ ผมจะช่วยคุณอย่างสุดความสามารถเอง คุณห่วงแค่งานของคุณก็พอครับ ”





“ ฉันรู้ว่าฝีมือนายก็ไม่อ่อนด้อยกว่าใครๆ แต่ฉันก็ห่วงนายด้วยเหมือนกันนะ ” มือเรียวขาวเอื้อมมาวางแหมะอยู่บนหัวผมแล้วลูบเบาๆ ผมที่นั่งนิ่งค้างอยู่นั้นก็ไม่กล้าขยับตัว ปล่อยให้อีกฝ่ายลูบจนพอใจก่อนที่มือนั้นจะค่อยๆ ไล่ลงมาสัมผัสกับแก้มของผมอย่างแผ่วเบา ผมเคลิ้มไปกับสัมผัสนั้น จนใบหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมเคลื่อนเข้ามาใกล้ ผมไม่ได้ขยับออกห่าง นัยตาหวานที่ผมมองไม่เคยเบื่อเลื่อนมาอยู่ในระดับสายตาของผมพอดี จึงทำให้เราสองคนสบตากัน ระยะห่างที่ค่อยๆ ลดลงจนเหลือแค่เพียงแค่คืบ บรรยากาศที่เริ่มเปลี่ยนไป ทำให้ผมรู้สึกตื่นตัวขึ้นเล็กน้อย จึงหลับตาลง และแล้วริมฝีปากของเขาก็ประกบลงมาอย่างแผ่วเบา





ใจผมเต้นแรงราวกับจะทะลุออกจากอก หลังจากที่ได้สัมผัสแนบชิด ความร้อนเริ่มคืบคลานลามไปทั่วร่างกายช้าๆ มือของอีกฝ่ายที่ประคองผมอยู่ค่อยๆ ลูบไล้จากใบหน้าของผมลงมายังลำคอ ไหล่ และแผ่นหลัง ทำให้ผมเริ่มรู้สึกตื่นตัวมากขึ้น รสจูบที่อีกฝ่ายมอบให้เริ่มร้อนแรง และลึกซึ้ง และระหว่างที่ผมยังมึนๆ งงๆ อยู่นั้น ลิ้นอุ่นร้อนก็ควานเข้ามาภายใน





เสียงที่ดังมาจากโทรทัศน์ไม่ได้ทำให้เราสองคนสนใจอีกต่อไป ไอคุณชายเขยิบตัวเข้าหาผมมากขึ้น ผมที่ตอนนี้แทบจะประคองตัวไม่อยู่ ค่อยๆ เอนตัวนอนราบไปบนโซฟา โดยมีมือของคนที่อยู่ด้านบนประคองหลังคอผมทำให้ริมฝีปากแนบชิดกันยิ่งกว่าเดิม ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ อีกฝ่ายบดจูบหนักๆ หลายครั้งก่อนจะผละตัวออกไป





ผมนอนหอบเหมือนคนหายใจไม่ทัน สมองมึนเบลอจากการโดนจูบเมื่อครู่ ใบหน้าเห่อร้อนจนแทบจะระเบิดพอๆ กับใจที่เต้นรัวจนน่ากลัว ไม่กล้าพูดอะไรออกมาเลยซักคำเดียว





ไม่อยากจะบอกว่ารู้สึกดีจริงๆ เลยให้ตาย!





ได้แค่คิดในใจขณะที่ปรับลมหายใจให้ปกติ ส่วนไอคนที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้น่ะเหรอ นั่งมองอยู่ที่เดิมนั่นแหละ แปลกแต่สายตาลุ่มลึกที่ชวนให้ผมขนลุกว่าถ้าผมไม่ลุกขึ้นมาตอนนี้ คงจะโดนจับกดไปจริงๆ ผมจึงค่อยๆ ดันตัวที่อ่อนปวกเปียกขึ้นมานั่งได้ในท้ายที่สุด ผมพยายามทำใจให้นิ่งให้มากที่สุด เพราะไม่อยากโวยวายเหมือนคนโดนขโมยจูบ (ซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นฝ่ายสมยอมเอง) แต่ก็อดที่จะเหลือบไปมองคนข้างๆ ไม่ได้ เมื่อเห็นว่าเขานิ่งเงียบไปเลย ไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเลยหรือไง





“ อย่ามองฉันแบบนั้น ” คนนั่งเงียบเปิดปากในที่สุด ผมจึงเหลือบมองอีกครั้งด้วยความแปลกใจ





“ ฉันบอกว่าอย่ามองฉันด้วยท่าทางแบบนั้น ”  ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย สงสัยในคำพูดอีกฝ่าย แต่ก็ยังไม่ได้ละสายตาไปไหน





“ พูดไม่ฟัง คิดจะยั่วฉันหรือยังไงกัน ” คนห้ามพูดพึมพำเบาๆ แต่ผมกลับได้ยินอย่างชัดเจน






ผมทำหน้าเหลอหลาทันทีคนตรงหน้าพูดจบ ใครยั่วใครกันแน่ฟระ ดูคนตรงหน้านี่สิ ใบหน้าขาวที่ติดจะแดงหน่อยจากเลือดสูบฉีด ดวงตาหวานฉ่ำ ไหนจะริมฝีปากแดงๆ ที่เจ่อเล็กน้อยหลังจากที่เราสองคน…เอ่อ นั่นแหละ บรรยายมาขนาดนี้ ไหนลองบอกซิว่าใครยั่วใครกันแน่





“ ผมไม่ได้ยั่ว ” ผมพูดเสียงสูงขึ้นเหมือนคนร้อนตัว





“ หึ รู้สึกดีไหม ” อยู่ๆ คนตรงหน้าก็เปลี่ยนอารมณ์โดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว ทำให้ไอร้อนกลับขึ้นไปสู่ใบหน้าอีกครั้ง





“ ก็…ปกติแหละครับ ”  ผมตอบอ้อมแอ้ม หลบเลี่ยงสายตาที่มองมาราวกับจะเค้นหาความจริง





“ อ้อเหรอ เห็นกำเสื้อฉันซะแน่น นึกว่าจะมีอารมณ์ร่วมซะอีก ”





“ คุณมั่วแล้ว ผม…ออกจะเชี่ยวชาญในเรื่องแบบนี้ ผมรู้ได้ว่ารู้สึกดีหรือรู้สึกไม่ดี ” ผมเถียงข้างๆ คูๆ แม้ในใจไม่อยากจะยอมรับว่าไม่เคยจูบใครแล้วรู้สึกดีแบบนี้มาก่อน





“ สงสัยครั้งหน้าฉันต้องซ้อมใหม่ซะแล้ว ”





“ เฮ้ย ซ้อมใหม่อะไรกัน เห็นผมเป็นคู่ซ้อมหรือไง ”





“ คู่รักแทนได้ปะ ” เหมือนมีหมัดหนักๆ พุ่งเข้าหน้าผมอย่างแรง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะหยอด หรือตั้งใจจะหยอก ผมก็เริ่มจะแยกไม่ออก แต่ตอนนี้ผมรู้ได้อย่างเดียวจริงๆ





ช็อค…ตายโดยสมบูรณ์
















ผมกำลังขับรถพาเจ้านายที่นั่งไขว้ห่างในมาดคุณชายอยู่ข้างหลังมุ่งหน้าสู่สถานที่จัดอีเวนท์ที่จัดขึ้น ณ ห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางเมือง วันนี้ไอคุณชายมีนัดเช็คสถานที่และความเรียบร้อยต่างๆ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะถึงวันงานในวันรุ่งขึ้น มีการซักซ้อมขึ้นเวทีด้วยในส่วนของพิธีกรกับพรีเซนเตอร์ซึ่งเป็นดาราที่กำลังมีชื่อเสียงอย่างมากในขณะนี้ และผมซึ่งมีหน้าที่เช็คระบบความปลอดภัยต่างๆ ภายในและรอบๆ สถานที่จัดงานด้วยอีกชั้นหนึ่ง



พิธีกรที่ทางบริษัทจัดจ้างมานั้น เป็นคนที่บริษัทคุ้นเคยเป็นอย่างดี เนื่องจากทำงานร่วมกันมาโดยตลอด จึงทำให้การดำเนินการในส่วนของบทพูดและการพรีเซนท์สินค้าต่างๆ เป็นไปอย่างรวดเร็ว ประกอบกับดาราที่มาเป็นพรีเซนท์เตอร์ในครั้งนี้ เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในระดับแถวหน้าของวงการ งานในวันรุ่งขึ้นจึงเป็นงานที่ผู้คนให้ความสนใจมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทายาทของตระกูลอย่างไอคุณชายและท่านประธานของบริษัท ซึ่งเป็นบิดาจะมาเปิดตัวพร้อมๆ กันในงานอีกด้วย



ผมจึงอดที่จะตื่นเต้นและกังวลด้วยไม่ได้ เพราะการเปิดตัวนั้นหมายความว่า บุคคลสำคัญทั้งสองจะถูกเปิดเผยตัวตนสู่ภายนอก และอาจจะเป็นเป้าหมายให้กับคนที่กำลังปองร้ายได้ง่ายขึ้นอีกด้วย แต่คนที่กำลังจะถูกเปิดเผยตัวตนนั้นกลับนั่งไม่อนาทรร้อนใจอะไรเลย แถมยังบอกกับผมอีกด้วยว่า ‘ดีซะอีก จะได้ติดตามสืบกันต่อได้ซักที เพราะเบื่อที่จะคอยระแวงแล้ว’ โอ้ย ไม่ได้รู้สึกถึงความหวั่นใจของคนในบ้านรวมถึงผมด้วยเอาซะเลย



ทางด้านผู้เป็นแม่นั้นก็กำชับผมนักหนาให้ช่วยดูแลลูกชายของเขาอย่างใกล้ชิด เพราะเธอเป็นห่วงมาก กลัวลูกจะได้รับอันตรายอีก ผมจึงให้คำมั่นแต่ในใจก็อดเครียดไม่ได้ เพราะชีวิตของเขานั้นฝากฝังไว้ในมือทั้งสองของผม แถมยังเป็นคนสำคัญของบริษัทอีก ถึงคนภายนอกจะรับรู้แค่ผมเป็นเลขาส่วนตัวของเขา แต่ถึงอย่างนั้นแล้วเลขามันก็ไม่ได้จบแค่งานในบริษัทนี่นะ ครอบคลุมไปถึงชีวิตส่วนตัวเขาอีกด้วย



ผมเหลือบมองคนข้างหลังผ่านทางกระจกด้านหน้า ก็พบว่าเจ้าตัวกำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดมองเอกสารในมือ น่าจะเป็นข้อมูลสำคัญของในวันพรุ่งนี้ บอกแล้วว่าทุกอย่างในงานต้องผ่านสายตาเขาก่อนเท่านั้นจริงๆ



“ นาย ฉันลืมเอกสารไว้ที่บริษัท นายวกกลับไปที่บริษัทก่อนได้ไหม ” คนนั่งหน้าเคร่งเครียดอยู่เมื่อกี้ เงยหน้าแล้วพูดกับผม ทำเอาผมเลื่อนสายตาที่แอบมองเขาอยู่กลับมามองถนนหน้ารถแทบไม่ทัน





“ ได้ครับ คุณลืมอะไรไว้ครับ ”





“ ลืมบทสคริปต์ของฉันน่ะ เมื่อวานลืมเอากลับมา กะว่าจะไปเอาวันนี้ก็เกือบลืมอีกแล้วเนี่ย ” ผมอือออในลำคอ ก่อนจะเปิดไฟเลี้ยวขับเบี่ยงไปเลนขวาสุดเพื่อที่จะกลับรถ เสียงมือถือของไอคุณชายดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมาดูนิดหนึ่งก่อนจะกดรับ



“ ว่าไง ” เจ้าของโทรศัพท์เอ่ยทักคนปลายสาย





“ วันนี้เหรอ ” เขายกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะตอบไป





“ ได้ แต่ฉันอยู่ดึกมากไม่ได้นะ พรุ่งนี้มีงานสำคัญ ”





“ อืมๆ โอเค เจอกันที่ร้าน ”





ผมเหลือบมองคนข้างหลังอีกครั้งก็พบว่าเขาเอาเอกสารขึ้นมานั่งดูเหมือนเดิมแล้ว จึงไม่กล้าถามสิ่งที่สังสัยออกไป น่าจะเป็นเพื่อนกลุ่มเดิมของเจ้าตัวนั่นแหละ นานๆ เจอกันครั้งหนึ่งเพราะต่างคนก็ต่างยุ่งในภารกิจของตัวเอง ผมเคยเห็นหน้าค่าตาอยู่สองสามครั้ง (ไปนั่งเนียนๆ อยู่ข้างๆ โต๊ะของพวกเขาเพราะต้องตามประกบไอคุณชาย) ก็เป็นบรรดาคุณชายๆ เหมือนกันนั่นแหละ แต่ดีอย่างตรงที่พวกเขาไม่ได้ทำตัวเสเพลหรือกร่างไปทั่วเพราะตัวเองรวยอะไรเทือกๆ นั้น



แต่ผมบอกได้อย่างเดียวว่า หน้าตาดีกันทุกคนจริงๆ ! พระเจ้าไม่เคยให้ความเท่าเทียม ดูอย่างผมนี่สิ หล่อแล้วก็ต้องประทานพรให้ผมรวยมากด้วยสิ ถึงจะยุติธรรม เพราะเพื่อนๆ ของไอคุณชายแต่ละคนถ้าไม่เป็นเจ้าของธุรกิจร้อยล้านพันล้านแล้ว ก็เป็นข้าราชการระดับบิ๊กๆ ทั้งนั้น ผมรู้ได้ไงน่ะเหรอ ก็เพราะเคยเห็นหน้าพวกเขาในหนังสือพิมพ์น่ะสิ ทุกคนล้วนผ่านการขึ้นหนังสือพิมพ์กันมาแล้วทั้งนั้น ยกเว้นก็แต่เจ้านายผมเนี่ย ยังคงทำตัวลึกลับอยู่ ปล่อยให้สังคมกระหายใคร่รู้ในชีวิตส่วนตัว





“ เย็นนี้ฉันมีนัด นายไม่ต้องตามเฝ้าก็ได้นะ ” คนที่ผมนินทาอยู่ในใจพูดขัดความคิดของผม





“ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมเข้าไปนั่งด้วยห่างๆ เหมือนเดิมนั่นแหละครับ ”





“ โอเค ตามใจนะ ถ้าเหนื่อยหรือง่วงนายก็กลับก่อนได้เลย ฉันให้เพื่อนฉันไปส่งได้ ”





“ ไม่ล่ะครับ เดี๋ยวคนบางคนจะหาว่าผมอู้งาน ”





“ หึ รู้ตัวก็ดี ” ผมแอบเบ้ปากเล็กน้อย แค่อู้งานครั้งเดียวที่จำฝังใจเลยนะ พอไม่ได้ดั่งใจก็หาเรื่องขุดเรื่องที่ผมไอหลับสัปหงกข้างๆ เขาในวันนั้นขึ้นมาลอยๆ อีก ผมจึงทำอะไรไม่ได้เพราะตัวเองดันไปสัปหงกแบบนั้นให้เขาเห็น แถมไม่รู้นานเท่าไหร่ด้วย อายชะมัดเลย



(อ่านต่อด้านล่าง)



ออฟไลน์ เจ้าหมีวุ่นวาย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

“ รับอะไรดีคะ ”



“ ผมขอชามะนาวเย็นแล้วกันครับ ” ผมส่งเมนูที่อ่านผ่านๆ ไปให้พนักงานของร้าน ตอนนี้ผมนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งซึ่งมีไม้ประดับบังอยู่ แต่สามารถมองไปยังโต๊ะที่ไอคุณชายกับเพื่อนของเขานั่งได้อย่างชัดเจน โดยไม่ได้ต้องกลัวว่าจะถูกจับได้ หลังจากที่ผมขับมาถึงร้านก็ให้ไอคุณชายลงหน้าร้านก่อน แล้วตัวเองไปหาที่จอดที่ทางร้านจัดตรงด้านหลัง



ร้านนี้เป็นร้านประจำที่เวลานัดเลี้ยงกัน ซึ่งบอกได้เลยว่าด้วยรสนิยมและฐานะของเหล่าคุณชายทั้งหลายนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าร้านจะหรูขนาดไหน สังเกตได้ตั้งแต่ป้ายและทางเข้าร้าน หรูอลังการราวกับวัง ส่วนใหญ่แล้วคนไฮโซจะมาที่นี่กันเยอะ เพราะเป็นแหล่งรวมไฮโซด้วยกัน จึงไม่ต้องกลัวว่าจะมีปาปารัสซี่แอบถ่ายหรือโดนเมาท์ นอกจากซะว่าไฮโซจะเมาท์ไฮโซด้วยกันเอง



ผมมานั่งที่นี่ เวลาจะสั่งอาหารแต่ละทีต้องคิดแล้วคิดอีก ถึงแม้ว่าไอคุณชายจะบอกว่าจะจ่ายให้หลายรอบแล้วก็ตาม แต่มันก็ไม่ชินซักทีน่ะ อะไรที่ช่วยประหยัดได้ก็ต้องประหยัด (พ่อพระไปอีก) วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมต้องมานั่งร้านนี้อีก มุมเดิมและเมนูเดิมที่สั่งตลอด จนพนักงานหลายคนที่จำผมได้ก็เหล่มองด้วยความสนใจ เอ้ย แปลกใจ เพราะผมดูไม่ใช่ไฮโซเงินหนาอะไรเทือกๆ นั้น แต่มานั่งได้โดยสั่งแค่เมนูเดียว



แต่วันนี้ผมจะขอสั่งเพิ่มครับ ฮ่า



“ แล้วก็ขอฮันนี่สตรอเบอร์รี่ครีมชีสโทสต์ที่หนึ่งครับ ” อยากของหวานมาตั้งแต่เช้า ก็จะสมพรในครั้งนี้แหละครับ แถมกินฟรีซะด้วย จะรออะไรกันล่ะ



พอสั่งเสร็จ พนักงานก็ยิ้มๆ ให้เหมือนกันว่าโล่งใจที่ในที่สุดผมก็สั่งเพิ่มได้ซักที หลังจากที่สั่งแต่ชามะนาวในหลายครั้งที่ผ่านมา ผมหันกลับมามองไปที่โต๊ะของเหล่าคุณชายนั้นอีกครั้ง รู้สึกเหมือนครั้งนี้จะมีหนึ่งคนที่ไม่ได้มา เพราะปกติกลุ่มของพวกเขาจะมีกันอยู่ สี่คน ถ้วน บางทีท่านชายต่างๆ เหล่านั้นก็จะมาแฟนหรือกิ๊กก็ไม่ทราบได้มาด้วย เพราะหลายหน้าหลายตาซะเหลือเกิน



ไอคุณชายนั่งหันหน้ามาทางผมพอดี ทำให้ผมเห็นทุกอิริยาบถของเขาง่ายยิ่งขึ้น ผมหันซ้ายหันขวามองลาดเลาไปทั่วๆ ร้านตามปกติ แต่เอาจริงๆ นะครับ เท่าที่ผมเห็นและสังเกตได้ก็จะมีแต่คนที่แอบมองไปที่โต๊ะไอคุณชาย ไม่ว่าจะหญิงแท้หรือชายเทียมก็ตาม ผมก็อดที่จะขำออกมาไม่ได้ นี่ถ้าไอคุณชายรู้ว่าตัวเองถูกมองหลายครั้งขนาดไหน คงหัวเสียแน่ๆ เพราะเจ้าตัวรำคาญสายตาเหล่านั้น



“ คุณครับ ” ไหล่ซ้ายของผมถูกสะกิดเบาๆ ผมหันขึ้นไปมองคนสะกิด ก็ทำให้ผมตกใจอีกระลอก





“ อ้าว! นาย ” อีตาเพื่อนข้างห้องนั่นเอง อะไรจะบังเอิญบ่อยขนาดนั้น นี่ถ้าไม่ติดว่าเราไม่ได้รู้จักสนิทชิดเชื้อ ผมก็จะนึกว่าเขาแอบสะกดรอยตามมานะเนี่ย





“ บังเอิญจังเลยนะครับ ” คนตรงหน้าผมที่แต่งตัวดีขึ้นจนถ้ามองผ่านๆ คงจำไม่ได้ ยิ้มให้เล็กน้อยตามมารยาท





“ นั่นสิครับ แล้วนี่คุณจะกลับแล้วเหรอครับ ”





“ ใช่ครับ พอดีผมมาคุยงานกับลูกค้า นี่ก็เพิ่งเสร็จเลยจะกลับ พอดีเห็นคุณซะก่อน ” อีกฝ่ายถือวิสาสะเลื่อนเก้าอี้แล้วนั่งข้างๆ ผม ในขณะที่ผมกำลังอึ้งกับความบังเอิญนี้อยู่เลย ‘นนท์’ ที่กำลังนั่งจิ้มมือถืออยู่ตอนนี้ เป็นเพื่อนข้างห้องที่เพิ่งจะรู้จักกัน แต่ถ้ารวมความบังเอิญที่ผ่านๆ มาจนถึงครั้งนี้ก็สามครั้งเข้าไปแล้ว แถมบังเอิญเจอแต่ละทีนี่ไม่คาดคิดทั้งนั้น





“ แล้วนี่คุณรักมาทำอะไรเหรอครับ ” คนที่นั่งข้างๆ ถามขึ้นในขณะที่ยังกดมือถือในมืออยู่ แล้วผมจะตอบกลับไปว่ายังไงดีวะเนี่ย มาเฝ้าเจ้านายแบบนี้เหรอ





“ ผมมานั่งรอเพื่อนฆ่าเวลาน่ะครับ พอดีเพื่อนเขาติดธุระอยู่ ” สุดท้ายก็ต้องพึ่งเพื่อนผู้เป็นทุกสถานะ





“ เพื่อนที่ห้องใช่หรือเปล่าครับ ” ผมลอบกลืนน้ำลายเมื่อได้ยินเขาถาม นี่ผมลืมไปได้ยังไงเนี่ยว่าเขาเคยเห็นไอคุณชายแล้ว แล้วที่สำคัญคือเจ้าตัวปัญหานั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี้เอง โอ้ย! ทางที่ดีต้องอย่าให้เขาเห็นไอคุณชายจะดีกว่า





“ เอ้อ ไม่ใช่ครับ คนละคนกัน อันนี้เป็นเพื่อนสนิทผมเองครับ ฮะๆ ” ผมหัวเราะหน้าเกร็ง ตัวเกร็งไปหมด ไม่รู้ว่าทำไมจะต้องปิดบัง แต่ที่รู้แน่ๆ คือสัญชาตญาณผมไม่ค่อยไว้ใจไอคนตรงหน้านี้เอาซะเลย





อีกฝ่ายอือออในลำคอ แต่ก็ไม่ได้แย้งอะไร





“ เมื่อไม่กี่วันก่อนผมเจอผู้ชายอีกคนที่ชั้นเดียวกัน เขาบอกว่าเขาพักอยู่ข้างๆ ห้องผม คุณก็บอกว่าพักอยู่ห้องนั้นเหมือนกัน แชร์กันอยู่เหรอครับ ” นั่น เอาแล้ว จริงๆ แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องนักหนาอะไรที่จะบอก แต่ให้คนรู้ให้น้อยที่สุดน่าจะดีกว่า ยิ่งคนไม่เกี่ยวข้องด้วยแล้ว รู้เยอะไปแล้วผมเนี่ยแหละจะซวยเอา





“ อ๋อ จริงๆ แล้วผมแค่มาอยู่ชั่วคราวน่ะครับ พอดีห้องเก่ามันมีปัญหานิดหน่อย แต่เดี๋ยวก็จะย้ายไปแล้วล่ะครับ ” ผมตอบอย่างคลุมเครือ ไม่ให้อีกฝ่ายสงสัย ท่าทีฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้มีอะไรน่าสงสัย ผมจึงเลยตามเลย





“ อ้อ คุณได้สร้อยคืนแล้วใช่ไหมครับ เจอกันคราวที่แล้วก็ลืมถามเลย ”





“ ได้คืนแล้วครับ ขอบคุณมากๆ เลยนะที่เอามาคืน พอดีเป็นของสำคัญด้วย ” ผมขโมยไอแสงมาต่างหาก





“ ดีแล้วล่ะครับ ผมเห็นมันตกอยู่ตรงใกล้ๆ ที่ทิ้งขยะพอดี เลยคิดว่าน่าจะเป็นของคุณ ”





“ แล้วคุณรู้ได้ยังไงครับว่าบริษัทผมอยู่ที่ไหนถึงเอามาคืนถูก ”





“ จริงๆ แล้วผมตามคุณไปน่ะครับ พอผมออกมาจากห้อง แล้วเห็นสร้อยตกอยู่ จึงรีบไปหาคุณที่ห้อง แต่ผมได้ยินเสียงเหมือนคนคุยกันตรงลิฟต์ คิดว่าน่าจะเป็นคุณ เลยเดินตามไปแต่ก็ไม่ทัน ” ฟังอีกฝ่ายเล่า ผมจึงคิดตามไปด้วย เหตุการณ์วันนั้นน่าจะเป็นวันเดียวกับที่ไอคุณชายมีอาการประหลาดๆ แล้วผมก็ไปนั่งสัปหงก…. ทำไมผมต้องมานั่งย้อนคิดถึงวันนั้นด้วยล่ะโว้ย คนอุตส่าห์จะลืม





“ ผมจึงรีบลงไปอาคารจอดรถ แต่ก็เห็นรถคุณกำลังลงไปอยู่ไวๆ จึงขับตามไปน่ะครับ ” หืม แล้วเขาแน่ใจได้ยังไงว่ารถคันนั้นมันจะเป็นของผมล่ะเนี่ย แต่ก็ช่างเถอะ คงจะตามไปจริงๆ นั่นแหละ ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้ยังไงว่าผมทำงานอยู่ที่ไหน





“ ยังไงก็ขอบคุณอีกทีนะครับ ”





“ ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่วันนั้นคุณก็อยู่กับผู้ชายคนที่ผมเจอตอนอยู่คอนโด ”





“ อ๋อ เขาเป็นเพื่อนผมน่ะครับ ที่ว่าผมมาขอเขาอยู่ชั่วคราว ” ผมรีบตอบเพื่อไม่ให้เขาสงสัย





“ คนนั้นเจ้าของห้องสินะครับ ”





“ ใช่ครับ ” ผมหัวเราะแห้งๆ ให้เขาก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง “ แล้วนี่เดี๋ยวคุณจะไปไหนเหรอครับ ”





“ ผมว่าจะกลับคอนโดเลยครับ พอดีมีงานค้างนิดหน่อย ” ผมอือออในลำคอ ก่อนจะทำทีหันไปมองรอบๆ ร้าน แล้วมองไปยังโต๊ะของไอคุณชายด้วย แต่เมื่อมองไปก็พบว่าเจ้าตัวมองเขม็งมาก่อนอยู่แล้ว



เอือก



ผมลอบกลืนน้ำลายอีกครั้ง ก่อนจะหลบสายตามามองคนที่นั่งข้างๆ แทน





“ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ หน้าซีดๆ ”





“ มะ ไม่ได้เป็นอะไรครับ พอดีอากาศมันร้อนนิดหน่อย ”





“ ร้อน? ” อีกฝ่ายทำหน้างุนงงเมื่อได้ยินผมตอบ ผมขี้เกียจอธิบายต่อจึงขอตัวไปเข้าห้องน้ำซะเลย ผมรีบลุกขึ้นเดินราวกับคนที่มีชนักติดหลัง เมื่อหาทางไปห้องน้ำเจอแล้วก็ยิ่งรีบเดินเข้าไปอีก เมื่อเข้าไปถึงห้องน้ำแล้วก็รีบตรงไปที่อ่างน้ำมือ กวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า เรียกความสดชื่นเข้าร่างกาย



“ เฮ้อ ค่อยยังชั่ว ” ผมมองหน้าตัวเองในกระจก ในหัวคิดถึงภาพที่ไอคุณชายจ้องมองมาเมื่อกี้ เหมือนคนกำลังจับผิดอะไรซักอย่าง แต่พอมาคิดๆ แล้วนี่ผมจะร้อนตัวทำไมฟระเนี่ย ตัวเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย ทำไมต้องเกร็งเหมือนกับคนที่ถูกจับได้ว่าแอบทำอะไรผิดซักอย่าง ผมยกมือทึ้งผมตัวเองเบาๆ ทำไมเดี๋ยวนี้เวลาอยู่ต่อหน้าเขาทีไรผมไม่เป็นตัวของตัวเองเอาซะเลย



‘ นายกำลังชอบเขาเข้าให้แล้ว ’  อยู่ๆ คำพูดของคุณแดเนียลก็ผุดขึ้นในหัวอีกครั้ง ผมจึงรีบก้มตัวกวักน้ำขึ้นล้างหน้าตัวเองอีกครั้งเพื่อไล่ความหงุดหงิดออกไป



ผมเดินออกจากห้องน้ำ มองไปที่โต๊ะตัวเองแล้วเห็นคนคนเดิมยังนั่งอยู่ที่โต๊ะของผม จึงถอนหายใจก่อนจะเดินตรงเข้าไปด้วยท่าทางปกติ ไม่กล้ามองไปที่โต๊ะของไปคุณชายเลยจริงๆ อีกฝ่ายยิ้มให้เล็กน้อยเมื่อเห็นผมมานั่งที่โต๊ะ





“ ผมว่าจะถามหลายรอบแล้ว ขอเบอร์คุณหน่อยได้ไหมครับ ”







โปรดติดตามตอนต่อไป....



กรุ๊บกริ๊บกระชุ่มกระชวยหัวใจ อิอิ

ท่านชายเขาเริ่มรุกแล้วค่ะท่านนนน ฮิ้ววว


------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ปล. อย่าลอกงานเขียนน้า เพราะกว่าจะคิดพล็อตขึ้นมาได้ หัวแทบระเบิดเป็นโกโกครั้นช์บดละเอียด

เพราะฉะนั้นสงสารหนูโด้ยข่า

 :hao7:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :katai2-1:



เอาแล้วๆๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด