--- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 41 บาดเจ็บ --- หน้าที่ 9 [28/12/63]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 41 บาดเจ็บ --- หน้าที่ 9 [28/12/63]  (อ่าน 28809 ครั้ง)

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
มีความเป็นFamilyมากกกกกจ้า  :-[ บทเจ้าหญิงขี้อายของน้องหนูช่างขัดกับตัวจริงจริง พูด3ประโยค น่าร๊ากก 55555 //อะไรใดทั้งหมดที่ซื้อก็ล้วนแต่เป็นของที่พีทชอบทั้งนั้น วุ้ยยยย  :o8: อีกไม่นานหรอกคุณใหญ่จะได้ยินคำที่รอ ดีไม่ดีเขาอาจจะเป็นคนพูดออกมาเองโดยไม่ต้องถาม  :-[ แม่พลอยดูท่าคงเป็นสไตล์ถ้าลูกรักใครแม่ก็ว่าตาม เพียงลูกมีความสุข ไม่น่าจะเยอะนะ เพราะงั้นรีบๆชัดเจนกันสักทีเถ๊อออออ จะได้สวีท อุอิ   :กอด1: สนุกก ขอบคุณที่มาต่อนะคะ รออ่านทุกวัน รอตอนต่อไปเลย ไฟท์ติ้งงค่า  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
สามสิบเจ็ด
ความจริงเปิดเผย





               เมื่อคืน พอเสร็จจากงานโรงเรียนก็ตรงกลับบ้านทันที ถึงบ้านพิชญ์ก็จับน้องหนูอาบน้ำก่อนจะพาลูกสาวตัวน้อยเข้านอน พอหัวถึงหมอน น้องหนูก็หลับทันทีด้วยความอ่อนเพลีย หลังจากรอจนน้องหนูนอนหลับสนิทดีแล้ว พิชญ์ก็กลับห้องมาจัดกากรับตัวเอง เสร็จแล้วก็รีบปีนขึ้นเตียงก่อนจะผล็อยหลับด้วยความรวดเร็วพอๆ กับน้องหนู

               พิชญ์หลับสนิทตลอดทั้งคืน เช้านี้เขาเลยตื่นมาด้วยความสดชื่น ผิดกับวันสองวันก่อนหน้านี้ คนเพิ่งตื่นขมวดคิ้วนิดๆ เมื่อสัมผัสถึงความอึดอัดที่รัดแน่นรอบตัวเขา พิชญ์นิ่วหน้า ขณะพยายามแกะมืออริญชย์ที่รัดรอบเอวเขาออก ทั้งที่ห้องนอนของเขาก็เล็กกว่าห้องนอนของอริญชย์เกือบครึ่ง แต่ท่านเจ้าของบ้านก็ชอบพาตัวเองมานอนเบียดกับเขาอยู่เรื่อย

               พิชญ์ขยับตัวจะหนีออกจากอ้อมกอดของอริญชย์ แต่พอเขาขยับ อริญชย์ก็ขยับตาม ก่อนฝ่ายหลังจะลืมตามองเขานิ่งๆ ดวงตาคมปลาบมองตรงมายังพิชญ์ แฝงความนุ่มนวลจนคนถูกมองต้องเสหลบตาด้วยความเก้อกระดาก ยกมือดันหน้าอกอริญชย์ให้ขยับออกห่างจากตัว

                “ตื่นแล้วก็ปล่อยผมสิ คุณใหญ่” พิชญ์เอ่ยพลางขยับตัวอย่างอึดอัด

นอกจากจะไม่ปล่อยพิชญ์ออกจากอ้อมแขนแล้ว อริญชย์ยังกระชับแน่นเข้า พลางโน้มหน้ามาจนปลายจมูกชนกัน เสียงทุ้มแหบพร่าเอ่ยกระซิบถามข้างหู

                “เมื่อไหร่จะย้ายมานอนห้องเดียวกับฉันเสียที...”

                “พูดบ้าๆ อีกแล้วนะ”

               ปลายนิ้วแข็งแรงยกขึ้นลูบริมฝีปากพิชญ์เบาๆ จนคนถูกกระทำต้องเบือนหน้าหนี หักห้ามใจตัวเองไม่ให้อ้าปากงับนิ้วอริญชย์แล้วกัดแรงๆ

                “ปากนี่นะ หัดจะพูดดีๆ กับฉันเสียบ้าง ปากคอเราะร้ายเหลือเกิน”

               พอถูกเอ็ดเข้า พิชญ์ก็หุบปากฉับ ลืมสนิทว่าเขาต้องพาตัวเองออกมาจากอ้อมกอดของอริญชย์ กลับนอนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดจนกระทั่งริมฝีปากอุ่นจัดทาบทับลงมา ขบเม้มริมฝีปากเขาเบาๆ จนพิชญ์ต้องเผยอปากออกด้วยความจำนน ลึกๆ แล้ว พิชญ์รู้ดีว่าเขาเต็มใจรับสัมผัสที่อริญชย์มอบให้มากแค่ไหน

               อริญชย์ดูดกลืนริมฝีปากพิชญ์ ปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดร้อยรัดกัน บดเบียดจนริมฝีปากพิชญ์แดงก่ำ พออริญชย์ถอนริมฝีปากออก พิชญ์ก็รีบกอบโกยอากาศเข้าปอด ก่อนจะตวัดตามองคนที่บังคับขืนจูบเขาแต่เช้าตาดุๆ คนถูกมองค้อนยิ้มตาพราวระยับ ยื่นมือมาลูบริมฝีปากบวมเจ่อเบาๆ เสียงทุ้มเอ่ยถามข้างใบหูก่อนจะขบใบหูพิชญ์เบาๆ คล้ายหยอกเอิน

                “ตกลงว่าคิดถึงฉันบ้างไหม...”

               เขาทวงถามคำถามที่เมื่อวานเอ่ยถาม แล้วพิชญ์ก็หลบลี้หนีหน้า ไม่ยอมตอบเขา มาวันนี้อริญชย์กักพิชญ์ไว้ในอ้อมกอด ไม่ยอมปล่อย เฝ้ารอคำตอบจนกว่าพิชญ์จะเอ่ยถ้อยคำที่เขาพึงพอใจ แต่ม้าพยศก็ยังคงเป็นม้าพยศอยู่วันยังค่ำ พิชญ์เม้มริมฝีปากแน่น บอกเจตนารมณ์แน่วแน่ว่าจะไม่ตอบคำถามเขา จนคนรอฟังชักท้อ

               พอเริ่มท้อกับการรอคอย ฝ่ามือร้อนผ่าวก็พลันลากเรื่อยลงมาตามลำคอ ริมฝีปากพรมจูบไล่ตามลงมาติดๆ ทั้งลำคอ ไหปลาร้า เนินอก อริญชย์สอดมือเข้าใต้เสื้อนอนของพิชญ์ ลูบไล้เบาๆ บริเวณจุดที่ไวสัมผัส คนถูกกระทำเผลอหลุดเสียงครางออกมาก่อนจะบิดตัวหนี กลับกลายเป็นว่าถูกอริญชย์พลิกตัวคร่อมทับ

               พิชญ์เบิกตากว้าง มองคนที่ทับอยู่เหนือร่างเขา มิหนำซ้ำข้อมือสองข้างของเขายังถูกยึดอยู่เหนือหัว เขาช้อนตามองโกรธๆ ก่อนจะเอ่ยเรียกชื่ออริญชย์เสียงดุ

                “คุณใหญ่...”

                “ตอบคำถามฉันก่อนสิ”

               พิชญ์กำลังไตร่ตรองว่าเขาควรตอบอย่างไร ควรตอบคำถามที่อริญชย์พอใจหรือควรตอบคำถามที่เขาพอใจ ก่อนความคิดของเขาจะสะดุด เมื่อกระดุมเสื้อนอนถูกปลดจนหมด ริมฝีปากร้อนผ่าวก้มลงครอบครองยอดอกเขา ดูดดึงจนเขาเสียวซ่าน หัวสมองพลันขาวโพลน คิดอะไรไม่ออก ได้แต่เอ่ยร้องเรียกชื่ออริญชย์ออกมาอีกหน

                “คุณใหญ่...”

               อริญชย์ขบเม้มยอดอกพิชญ์ เขาเหลือบตามองปฏิกิริยาของคนที่บิดเร่าอยู่ใต้ร่างเขา แต่ริมฝีปากยังเม้มแน่นไม่ยอมเอ่ยถ้อยคำที่เขาอยากฟังอย่างนึกขัดใจ มือข้างหนึ่งที่ว่างค่อยๆ เลื่อนลงสอดเข้ากางเกงนอนขายาวของพิชญ์ กอบกุมแกนกายของพิชญ์ไว้ คนที่ถูกกดอยู่ข้างล่างเบิกตากว้าง นึกอยากต่อต้าน แต่ร่างกายไม่รักดีกลับทรยศเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

               ร่างกายของพิชญ์กำลังฟ้องว่าเขากำลังโหยหาอริญชย์มากแค่ไหน เพียงแค่อริญชย์แตะนิดแตะหน่อย ก็รีบร้อนแสดงความต้องการออกมา

               พิชญ์หน้าแดงก่ำ บอกตัวเองว่าเป็นเพราะเขาร้างลากับเรื่องแบบนี้มาพักใหญ่ มิหนำซ้ำตอนนี้ยังเป็นตอนเช้า ร่างกายจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ก็คงไม่แปลกนัก แต่ราวกับอีกคนจะรู้ทัน เสียงแหบพร่ากระซิบหยอกเย้าข้างหูเขา

                “เป็นเสียแบบนี้ แล้วยังปากแข็งไม่ยอมรับว่าคิดถึงฉันอีกหรือ”

                “ผมเปล่า...”

               พิชญ์พยายามเถียงเสียงแข็ง แต่เสียงที่ดังกลับฟังดูเชิญชวน เขาพยายามหนีบขาเข้าหากัน แต่อริญชย์กลับกดหัวเข่าลงมา แยกขาสองข้างของเขาออกจากกัน

               ฝ่ามือใหญ่กอบกุมแกนกายของพิชญ์เอาไว้ ขยับรูดรั้งจนพิชญ์ต้องบิดตัวไปมา ความต้องการพุ่งขึ้นสูง พอจวนเจียนจะถึงปลายทาง อริญชย์กับหยุดมือเอาไว้ ดวงตาร้ายๆ ก้มลงมองพิชญ์ที่นอนหน้าแดงก่ำ เอ่ยถามย้ำอีกครั้ง

                “คิดถึงฉันหรือเปล่า...”

               พิชญ์หลับตาลงช้าๆ เพราะไม่อยากมองสีหน้าของอริญชย์ ก่อนจะพึมพำเอ่ยตอบออกไปเสียงเบาอย่างไม่ยินยอมนัก

                “คิดถึง...”

               สาบานเลยว่า...เขาก็แค่ให้คำตอบที่อริญชย์พอใจ เขาก็แค่พูดสิ่งที่อริญชย์อยากฟัง

               เขาไม่ได้คิดถึงอริญชย์จริงๆ หรอก...ใช่ไหม

               พอได้ยินคำตอบที่เขาเฝ้ารอคอย อริญชย์ก็ขยับมือพาพิชญ์ไปถึงฝั่งฝัน เพราะพิชญ์หลับตา พิชญ์เลยไม่เห็นว่าสายตาที่ทอดมองมานั้นอบอุ่นแค่ไหน ราวกับจะโอบกอดเขาเอาไว้ด้วยความรักทั้งหมดที่อริญชย์มี ไขว่คว้าทุกสิ่งที่พิชญ์ต้องการมาให้ เพียงแค่พิชญ์เอ่ยปากเท่านั้น

               พอพาพิชญ์เดินทางถึงฝั่งฝันแล้ว อริญชย์ก็ไม่ยอมเสียเปรียบแม้แต่น้อย เขาป้ายคราบคาวของพิชญ์ที่เปรอะเปื้อนเต็มมือเขาลงที่ช่องทางด้านหลังของเจ้าตัว ช่องทางของพิชญ์ถึงกับหดเกร็งทันทีที่ถูกเขาสัมผัส อริญชย์กดนิ้วเข้าไปเบาๆ เพื่อให้พิชญ์ค่อยๆ ผ่อนคลาย

               ยามเห็นพิชญ์บิดตัวไปมาพร้อมกับส่งเสียงครางเบาๆ เส้นความอดทนของอริญชย์ราวกับขาดผึง คร้านที่จะยืดเวลาเล้าโลมคนใต้ร่าง แม้ว่ายังอยากจะปรนเปรอพิชญ์ต่ออีกหน่อย แต่ร่างกายของเขากลับไม่ยอมเชื่อฟัง อริญชย์ถอนนิ้วออกมา ก่อนจะแทนที่ด้วยตัวตนอันแข็งแกร่งของเขา

               ราวกับเป็นร่างกายที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อกันและกัน ร่างกายของพิชญ์ตอบรับและตอดรัดเขาเสียจนอริญชย์แทบคลั่ง เขาฝังตัวอยู่ในตัวพิชญ์นิ่ง ยังไม่ยอมขยับ จนคนใต้ร่างต้องลืมตามอง ดวงตาที่มองสบมาของพิชญ์ฉ่ำเยิ้ม ขณะเรียกชื่อเขาเสียงเครือ

                “คุณใหญ่...”

               แม้อยากจะฟังพิชญ์อ้อนวอนเขาเสียหน่อย แต่อริญชย์ก็ไม่อยากเสียเวลาอีกแม้แต่นาทีเดียว เขาขยับตัวเข้าออกช้าๆ เป็นจังหวะ ฝากฝังตัวตนลงไปอย่างลึกซึ้ง ทั้งครอบครองและแสดงความเป็นเจ้าของ ปล่อยให้ร่างกายโยกคลอนไปตามจังหวะ

               ร่างกายนี้เป็นของเขา ทุกอณูบนตัวพิชญ์ของเขา เหลือแค่เพียงสิ่งเดียวที่เขาพยายามไขว่คว้า...

               ...หัวใจของพิชญ์

               พอข้อมือถูกปล่อยเป็นอิสระ พิชญ์ก็เกาะเกี่ยวยึดบ่าของอริญชย์เอาไว้ เขาถูกกระแทกกระทั้นจนหัวสั่นหัวคลอน แต่ร่างกายกลับยังรู้สึกเหมือนไม่เพียงพอ ต้องการมากขึ้น อยากให้อริญชย์รุนแรงกับเขามากกว่านี้ เข้ามาข้างในตัวเขาให้ลึกขึ้น แต่ทั้งหมดนั้นก็อยู่แค่ในความคิดของพิชญ์ เขาไม่มีทางพูดเรื่องน่าอายเหล่านั้นออกไป

               พิชญ์ยื่นมือออกไปไขว่คว้าอริญชย์ แม้เขาจะไม่ได้เอ่ยออกเป็นคำพูด แต่อาการโอบรั้งอริญชย์ให้แนบชิด ให้อีกฝ่ายฝากฝังตัวตนลงมาอย่างลึกซึ้งก็แทนคำพูดมากมายในใจได้เป็นอย่างดี จนเหมือนกับว่า แท้จริงแล้วเป็นพิชญ์ที่พยายามกลืนกินตัวตนของอริญชย์

               แวบหนึ่งที่พิชญ์เผลอคิดว่า...ชีวิตนี้เขาคงหนีอริญชย์ไปไหนไม่พ้นแล้ว



.




ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25


               พิชญ์ลงมากินข้าวอีกทีตอนเกือบสิบเอ็ดโมง ส่วนอริญชย์ลงมาก่อนหน้านั้นแล้ว ตอนพิชญ์เดินลงมาถึงข้างล่าง แม่พลอยกับน้องหนูจัดการกับมื้อเช้ากันเสร็จเรียบร้ยอแล้ว แม่พลอยกำลังรอเจอลูกชายคนเดียวเพื่อร่ำลาก่อนจะเดินทางกลับประจวบคีรีขันธ์ พิชญ์เดินมากอดเอวแม่พลอยขณะเอ่ยร่ำลา

                “เดินทางปลอยภัยนะแม่”

                “จ้ะ เราก็ดูแลตัวเองด้วยนะพีท”

               หลังจากเอ่ยร่ำลากันแล้ว แม่พลอยก็อุ้มน้องหนูขึ้นมาหอมแก้มซ้ายขวา ก่อนจะเดินออกไปขึ้นรถที่กริชนำมารอไว้ น้องหนูวิ่งตามออกไปโบกมือบ๊ายบายคุณย่าหน้าบ้าน มีนวลคอยตามดูแลอยู่ห่างๆ

               พิชญ์ยืนดูจนกระทั่งรถแล่นออกจากรั้วบ้านแล้ว เขาถึงเดินกลับมาจากจัดการกับมื้อเช้า ส่วนน้องหนูวิ่งเล่นอยู่ข้างนอกกับนวล อริญชย์จัดการมื้อเช้าเสร็จแล้ว กำลังนั่งจิบกาแฟพลางอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ พิชญ์นั่งลงตรงข้ามอริญชย์ พอเห็นหน้าอริญชย์ก็พาลทำตัวไม่ถูก ร่างกายพลันร้อนผ่าว ภาพที่อริญชย์แตะต้องเขาวนเวียนอยู่ในหัวจนพิชญ์นึกละอาย

                “คุณพีทคะ...คุณพีท...”

               ป้าน้อยเอ่ยเรียกพิชญ์สองสามที เมื่อเห็นว่ายกอาหารมาวางแล้วพิชญ์ยังนั่งเหม่ออยู่ พิชญ์สะดุ้งก่อนจะเลื่อนจานข้าวมาตรงหน้า แล้วรีบก้มหน้าก้มตาจัดการกับมื้อเช้า วันนี้วันจันทร์ เดี๋ยวเขายังต้องเข้าบริษัทพร้อมอริญชย์อีก

               พอพิชญ์กินข้าวเสร็จ อริญชย์ก็ขยับตัวลุกทันที พิชญ์รีบคว้าน้ำมาดื่มแล้วเดินตามหลังอริญชย์ เกือบจะสวนกับน้องหนูที่วิ่งตื๋อเข้ามา

                “พ่อพีทกับลุงใหญ่จะไปไหนคะ”

                “ไปทำงานลูก” พิชญ์ตอบพลางย่อตัวลงหอมแก้มน้องหนู เด็กหญิงตัวน้อยเอียงคอมองก่อนจะเอ่ยถาม

                “พาน้องหนูไปด้วยได้ไหมคะ”

               พิชญ์กำลังจะเอ่ยปฏิเสธ แต่คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขากลับหันมาย่อตัวลงอุ้มน้องหนู พลางเอ่ยเสียงอ่อนโยน

                “ได้สิคะ คนเก่ง”

               พออริญชย์อนุญาต พิชญ์เลยไม่ได้เอ่ยห้ามปรามอะไร เขาเดินตามหลังคุณลุงที่อุ้มคุณหลานเดินไปที่รถ น้องหนูกวักมือเรียกพิชญ์ให้รีบเดินตามมา พลางส่งเสียงอย่างร่าเริง

                “พ่อพีท เร็วๆ”

               พิชญ์ส่งยิ้มให้ลูกสาวตัวน้อย ก่อนจะรีบเร่งฝีเท้าไปจนตามทัน อริญชย์เบี่ยงตัวหลบให้พิชญ์ก้าวขึ้นรถก่อน แล้วถึงอุ้มน้องหนูขึ้นรถ ส่วนตัวเขาเองขึ้นเป็นคนสุดท้าย

               น้องหนูนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างอริญชย์และพิชญ์ เด็กหญิงลูบกระโปรงของตัวเองที่พองๆ ให่แนบเข้ากับลำตัว พอเห็นพิชญ์มองด้วยความฉงน เจ้าตัวน้อยก็ยิ้มแฉ่งพลางเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว

                “เป็นเจ้าหญิงต้องเรียบร้อยค่ะ”

               พิชญ์กับอริญชย์หลุดยิ้มออกมาพร้อมกันให้กับความแก่แดดแก่ลมของน้องหนู ขณะที่คนขับรถอย่างตุลย์ถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ โดยไม่เกรงใจ เล่นเอาเจ้าตัวน้อยเอ่ยถามทันควัน

                “อาตุลย์หัวเราะอะไรคะ”

                “หัวเราะที่คุณหนูน่ารักครับ”

               ฟังคำตอบของคนสนิทแล้วอริญชย์ก็ถึงกับต้องกระแอมเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้ รอยยิ้มผุดบนริมฝีปากของอริญชย์จางๆ เขาเหลือบมองพิชญ์กับน้องหนูที่นั่งคุยกันเบาๆ อยู่ด้านข้าง ยอมรับด้วยความสัตย์จริงเลยว่า อริญชย์ชอบบรรยากาศแบบนี้ มันเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพิชญ์กำลังดีขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

               หลังจากฝ่าการจราจรอันคับคั่งบนท้องถนนมาร่วมชั่วโมง ตุลย์ก็พาทุกคนมาถึงบริษัท พนักงานรักษาความปลอดภัยพอเห็นอริญชย์กับพิชญ์มาถึงก็ยกมือทำความเคารพ อริญชย์พยายามผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงกว่าปกติ เพื่อให้พิชญ์ที่เดินจูงน้อยหนูอยู่ข้างหลังเดินตามมาทัน เขาชำเลืองมองพิชญ์กับน้องหนูเป็นระยะ หลานสาวตัวน้อยส่งเสียงเจื้อยแจ้วคุยกับเป็นผู้เป็นพ่อตลอดทาง

               จนกระทั่งเกือบจะถึงลิฟต์ พนักงานต้อนรับก็รีบร้อนเดินออกมาทำความเคารพอริญชย์กับพิชญ์ ก่อนจะเลี่ยงมาหาตุลย์ เอ่ยกระซิบกระซาบกับคนสนิทของอริญชย์หน้าตาเคร่งเครียด ตุลย์รับฟังพลางพยักหน้ารับช้าๆ ขณะเหลือบสายตามามองอริญชย์กับพิชญ์ที่กำลังยืนรอลิฟต์ หลังจากตัดสินใจอยู่เสี้ยววินาที ตุลย์ก็ตัดสินใจเดินตรงไปหาอริญชย์

                “คุณใหญ่ครับ พอดีมีเรื่องนิดหน่อย” ตุลย์เอ่ยพลางมองอริญชย์ ก่อนจะชำเลืองมองพิชญ์

               อริญชย์เองพอจะเดาความหมายจากสายตาของตุลย์ออก แต่เขาก็เพียงแค่พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยปาก

                “ว่ามา...”

                “เสี่ยเล้งมาหา รออยู่ห้องรับแขกส่วนตัวด้านบนครับ” ตุลย์หมายถึงห้องรับแขกส่วนตัวของอริญชย์ ซึ่งอยู่ติดกับห้องทำงานของเจ้าตัว

               พิชญ์ซึ่งกำลังคุยอยู่กับน้องหนูถึงกับชะงักกึก เมื่อชื่อของ ‘เสี่ยเล้ง’ ดังเข้าโสตประสาท เขาหันขวับมากำลังจะเอ่ยปากถามอริญชย์ แต่อริญชย์ก็ชิงตัดบทด้วยการเอ่ยสั้นๆ ว่า

                “ลิฟต์มาแล้ว”

               พิชญ์จูงน้องหนูเดินตามอริญชย์เข้าลิฟต์ คิ้วขมวดมุ่นจนแทบจะชนกัน เขากำลังพยายามหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้าถึงสาเหตุที่ราชันย์มาเยือนถึงที่นี่ ดูเหมือนตอนที่ตุลย์เดินมาบอก อริญชย์เองจะไม่ได้แปลกใจแม้แต่น้อย ราวกับคาดเดาได้อยู่แล้วว่าราชันย์จะมา

               พอประตูลิฟต์เปิดออก ปกติแล้วพิชญ์กับอริญชย์จะต้องเดินแยกไปห้องทำงานของตัวเองกันคนละทาง เนื่องจากห้องทำงานของพิชญ์กับอริญชย์อยู่กันคนละฝั่ง แต่วันนี้พอเดินออกมาจากลิฟต์แล้ว พิชญ์กลับจับแขนเสื้ออริญชย์เอาไว้ คนถูกจับหันมาเลิกคิ้วมองนิดๆ

                “ผมขอไปเจอเสี่ยเล้งด้วยได้ไหม”

               อริญชย์มองหน้าพิชญ์ พอเห็นสายตาที่มองสบมาที่เขาแล้วก็ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธ พยักหน้าแทนคำตอบ ขณะกำลังจะเอ่ยถามว่าแล้วน้องหนูล่ะ เจ้าตัวเล็กก็จับข้อมือพิชญ์แกว่งไปมาก่อนจะเอ่ยเสียงเบา

                “พ่อพีท น้องหนูปวดฉี่”

                “แป๊บนะลูก” เอ่ยบอกน้องหนูแล้ว พิชญ์ก็หันกลับมาหาอริญชย์ “เดี๋ยวผมพาน้องหนูไปเข้าห้องน้ำแล้วรีบตามเข้าไป”

               พิชญ์จับจูงมือน้องหนูเดินตรงไปที่ห้องทำงานของเขา ห้องทำงานของพิชญ์มีห้องน้ำอยู่ข้างใน หลังจากรอให้น้องหนูเข้าห้องน้ำจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว พิชญ์ก็เตรียมสมุดระบายสีกับดินสอสีให้เจ้าตัวเล็ก

                “น้องหนูนั่งระบายสีอยู่ในห้องนะคะ พ่อพีทไปทำงานแป๊บเดียว เดี๋ยวมา”

                “นานไหมคะ”

                “ไม่นานครับ”

               เจ้าตัวเล็กพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย หยิบสมุดระบายสีกับดินสอสีมาจากพิชญ์แล้วปีนขึ้นไปบนโซฟา พิชญ์ยืนดูน้องหนูอยู่ครู่หนึ่งจนวางใจก่อนจะเดินออกมาจากห้อง ก่อนพิชญ์จะออกมา น้องหนูยังโบกมือให้พิชญ์หยอยๆ

               พอเดินออกมาจากห้องทำงานของตัวเองแล้ว พิชญ์ก็เปลี่ยนจากใบหน้าอ่อนโยนยามอยู่กับน้องหนูมาเป็นสีหน้านิ่งเฉย เหตุผลที่วันนี้เขาอยากเจอราชันย์ เพราะเขามีคำถามที่อยากจะถามอีกฝ่าย เขาอยากรู้ว่า...

               คนที่ลักพาตัวแม่พลอยและน้องหนูไป...ใช่ราชันย์หรือไม่

               พิชญ์เดินมาถึงห้องรับแขกส่วนตัวของอริญชย์ เขาชะงักฝีเท้าเล็กน้อยเมื่อเห็นตุลย์เพิ่งเดินออกมาจากห้อง

                “คุณใหญ่อยู่ข้างในใช่ไหมครับ” พิชญ์เอ่ยถามคนสนิทของอริญชย์

                “ครับ อยู่ข้างในกับเสี่ยเล้ง”

               พิชญ์พยักหน้ารับ ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะประตูเบาๆ ตามมารยาท แล้วถึงเปิดประตูเข้าไปในห้องรับแขก อริญชย์กับราชันย์กำลังนั่งประจันหน้ากันอยู่ แต่บรรยากาศกลับดูสบายๆ จนพิชญ์นึกแปลกใจ แขกที่มาเยือนกำลังยกน้ำชาขึ้นจิบ พอได้ยินเสียงพิชญ์ก็เงยหน้ามอง ยิ้มมุมปากเล็กน้อย โดยไม่เอ่ยอะไร พิชญ์เสียอีกที่เป็นฝ่ายค้อมหัวลงเป็นเชิงทักทาย อย่างน้อยด้วยวัยวุฒิและประสบการณ์ เขาก็ยังจำเป็นต้องให้เกียรติราชันย์

               พิชญ์เลื่อนเก้าอี้ข้างๆ อริญชย์ออกก่อนจะนั่งลง ทั้งอริญชย์และราชันย์ต่างสาละวนกับน้ำชาตรงหน้า ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา จนพิชญ์เกือบจะเป็นเริ่มต้นบทสนทนาเองแล้ว แต่ด้วยมารยาท เขาจึงทำได้เพียงนั่งเงียบๆ

               พิชญ์ทบทวนถ้อยคำที่เขาตั้งใจจะเอ่ยราชันย์อยู่ในหัว ก่อนจะสะดุ้ง เมื่อจู่ๆ อริญชย์ก็เอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบๆ โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย

                “กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

               คนถูกถามมีท่าทีสบายๆ ค่อยๆ วางถ้วยชาลงบนโต๊ะกลางก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเรื่อยๆ แฝงความเกียจคร้านไว้นิดๆ

                “กลับมาถึงเมื่อคืน” ราชันย์มองพิชญ์แวบหนึ่ง ก่อนจะเบนสายตากลับมาที่อริญชย์เหมือนเดิม ขณะเอ่ยถามประโยคถัดไป “น้องหนูเป็นยังไงมั่ง”

                “ปลอดภัยดีแล้ว”

               พอได้ยินชื่อลูกสาวตัวเอง พิชญ์ก็ถึงกับนั่งไม่ติด เขารอจนกระทั่งอริญชย์ตอบราชันย์แล้ว ถึงได้เอ่ยถามคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวมาตลอดหลายวัน

                “เสี่ยเล้ง...”

                “พอได้ยินนายเรียกแบบนี้ แล้วฉันรู้สึกว่าตัวเองดูเป็นพวกตาแก่หัวล้านยังไงก็ไม่รู้”

               พิชญ์ไม่สนใจถ้อยคำหยอกล้อของอีกฝ่าย เขายังคงเอ่ยถามคำถามที่ตัวเองอยากรู้ออกไป

                “คุณมีส่วนรู้เห็นกับเรื่องที่แม่และลูกของผมถูกลักพาตัวไปเมื่อวันก่อนหรือเปล่า”

               ราชันย์ปรายตามองอริญชย์แวบหนึ่ง เห็นเพื่อนรักยังคงนั่งนิ่ง เขาเลยเอ่ยออกมาตรงๆ แบบไม่ปิดบัง

                “ฉันไม่ได้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรอกนะ แต่ถ้าถามว่ามีส่วนไหม...ก็อาจจะมีนิดหน่อยล่ะมั้ง”

                “หมายความว่ายังไง” คราวนี้อริญชย์เป็นฝ่ายเอ่ยถามเสียงเยียบเย็น พลางตวัดตามองราชันย์

               ราชันย์ไม่สนใจเพื่อนรัก เขารู้ว่าความจริงแล้วเขาก็ทำไม่ถูกนักที่เลือกใช้เล่ห์กลแบบนี้ แต่บางครั้งชีวิตก็ไม่ได้มีทางให้เลือกเดินมาก มีใครบ้างที่อยากเดินอ้อม ถ้าเกิดเจอทางลัด เขามองสบตากับพิชญ์ ก่อนจะเลือกเล่าเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับเขาเท่านั้น

                “หลิวเป็นคนสั่งลักพาตัวแม่และลูกของนาย ไม่ใช่ฉัน”

               แม้คำตอบจะไม่ผิดจากที่อริญชย์คาดเดานัก แต่พอได้ยินราชันย์เอ่ยออกมาเอง ย่อมแปลว่าเจ้าตัวมีหลักฐานแน่ชัดแล้ว อริญชย์อดเดือดดาลขึ้นมาอีกรอบไม่ได้

               ถึงแม้รัญญาจะเป็นน้องสาวของราชันย์ แต่ลองว่าราชันย์เอ่ยยืนยันออกมาด้วยตัวเองว่าอีกฝ่ายเป็นคนอยู่เบื้องหลังแล้ว ย่อมหมายความว่าครั้งนี้ราชันย์จะจัดการรัญญาให้ถึงที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าอริญชย์เองก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเพิกเฉยและปล่อยรัญญาไป ในเมื่อกล้ากระตุกหนวดเสือ ก็ต้องกล้ายอมรับผลที่จะตามมาด้วยเช่นกัน

               แค่คราวที่เกิดเรื่องขึ้นกับอธิษฐ์ เขาก็ใจดีกับรัญญามามากพอแล้ว

                “หมายความว่ายังไง ผมไม่เข้าใจ” ฟังถ้อยคำของราชันย์แล้ว พิชญ์ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ หรือเขาพลาดตรงไหนไป

               พิชญ์รู้ว่ารัญญาเองก็ไม่ใช่คนดีอะไรนัก แต่เขาแปลกใจตรงที่คนเป็นพี่ชายอย่างราชันย์เอ่ยออกมาง่ายๆ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของรัญญา ราวกับไม่แยแสน้องสาวตัวเองเลยแม้แต่น้อย

                “หลิวคิดว่าน้องหนูเป็นลูกของฉัน ก็เลยตั้งใจจะลักพาตัวน้องหนู แต่บังเอิญว่าวันนั้นแม่ของพีทอยู่ด้วยก็เลยถูกลักพาตัวไปพร้อมกัน”

               อริญชย์จับใจความแค่ประโยคแรกที่ราชันย์เอ่ยออกมา โดยไม่สนใจข้อความหลังจากนั้น เขาจ้องหน้าเพื่อนรักสายตาดุดันขณะเค้นเสียงถามออกมา

                “อย่าบอกนะว่ามึงเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องน้องหนูเป็นลูกมึง”

               พอราชันย์พยักหน้ารับแทนคำตอบ พิชญ์ก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาจากที่นั่ง มารยาทและกาลเทศะถูกเขาโยนทิ้งไปอย่างไม่สนใจไยดี พิชญ์ตั้งใจจะต่อยหน้าราชันย์แรงๆ เสียที ให้สมกับความโมโหที่อีกฝ่ายมีส่วนทำให้แม่พลอยกับน้องหนูถูกลักพาตัวไป แต่แค่เขาจะถลาเข้าไปหาราชันย์ เสียงร้องเรียกชื่อก็ดังมาจากข้างหลังทำเอาเขาถึงกับชะงักกึก

                “อย่านะพีท!”

               ไม่ใช่อริญชย์ที่เอ่ยห้ามปรามพิชญ์ แต่เป็นปฐพีที่รีบร้อนวิ่งเข้ามาในห้อง ข้างหลังมีน้องหนูเดินตามมาต้อยๆ ก่อนจะปฐพีจะวิ่งไปแทรกระหว่างพิชญ์กับราชันย์ ขณะที่น้องหนูเอียงคอมองพิชญ์น้อยๆ แล้วเอ่ยถามผู้เป็นพ่อที่กำลังยืนอยู่ในท่าทางแปลกๆ

                “พ่อพีททำอะไรอยู่คะ”

               คำถามของน้องหนูทำเอาพิชญ์ต้องลดมือลงด้วยความไม่เต็มใจนัก อย่างน้อยเขาก็ไม่ควรใช้ความรุนแรงต่อหน้าน้องหนู

                “น้องหนูทำไมไม่รอพ่อพีทอยู่ในห้องล่ะลูก”

                “น้องหนูหิวน้ำ พอเดินออกมาก็เจอคุณอาคนนี้” เจ้าตัวเล็กว่าพลางชี้มือไปยังปฐพีที่ยืนก้มหน้าก้มตาอยู่

               จิ๊กซอว์บางอย่างเหมือนต่อกันอย่างลงตัว แต่พิชญ์รู้ดีว่าบนโลกนี้ไม่มีความบังเอิญ เขาจ้องมองเพื่อนที่ยืนนิ่งด้วยความผิดหวังก่อนจะเอ่ยถามเสียงเย็นชา ทั้งที่พอเดาที่มาที่ไปได้อยู่แล้ว

                “นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

                “ฉันพามาเอง” ราชันย์เป็นคนตอบก่อนจะดึงปฐพีให้เดินมาอยู่ข้างเขา

               พิชญ์มองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ แม้จะเริ่มพอเดาอะไรได้ลางๆ แต่เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่ามันคือความจริง วินาทีนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่ ที่ถูกปิดหูปิดตา ไม่เคยรับรู้เรื่องราวอะไรเลย แม้กระทั่งความสัมพันธ์ระหว่างปฐพีกับราชันย์

                “หมายความว่ายังไง ดิน”

                “ฉันอยู่กับเฮียมาหลายปีแล้ว”

               พิชญ์สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ สัมผัสของน้องหนูที่แตะข้อมือเขาเบาๆ เรียกสติพิชญ์ให้คืนกลับมา อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ไม่สามารถโมโหหรือโวยวายต่อหน้าน้องหนูได้ พิชญ์นับหนึ่งถึงสิบในใจก่อนจะหันมาปั้นหน้ายิ้มใส่น้องหนู

               กลับไปนั่งเล่นที่ห้องพ่อพีทกันค่ะ คนเก่ง”

               พิชญ์ก้มลงย่อตัวอุ้มน้องหนูขึ้นมาแนบอก เขาเดินผ่านทุกคนตรงไปยังประตูโดยไม่เอ่ยอะไร ไม่สนใจกระทั่งปฐพีที่พยายามเรียกชื่อเขา พิชญ์พาน้องหนูกลับมาที่ห้องทำงาน หลังจากหาน้ำให้น้องหนูแล้ว ตุลย์ก็เคาะประตูห้องก่อนจะเดินเข้ามา

                “คุณพีท มีคนมารออยู่ข้างนอกครับ”

               พิชญ์มองน้องหนูที่นั่งเล่นอยู่ตรงโซฟาก่อนจะชั่งใจ ยอมรับเลยว่าตอนนี้อารมณ์เขาไม่มั่นคงนัก กระทั่งจะอยู่กับน้องหนูตามลำพัง พิชญ์ยังไม่ไว้ใจตัวเอง อย่างน้อยเขาก็อยากรู้ความจริงทั้งหมด เขาไม่อยากถูกปิดหูปิดตาเหมือนคนโง่ พิชญ์ตัดสินใจฝากน้องหนูไว้กับตุลย์ในที่สุด

                “งั้นฝากคุณตุลย์ช่วยดูน้องหนูทีนะครับ”

               พอเดินออกมาจากห้องแล้วเห็นปฐพียืนรออยู่ พิชญ์ก็ไม่ได้นึกแปลกใจนัก เขาเดินนำปฐพีไปยังห้องรับแขกของเขาก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง โดยไม่แม้แต่จะเอ่ยปากเชื้อเชิญอีกฝ่าย ปฐพีนั่งลงตรงข้ามพิชญ์ เขาลอบสังเกตสีหน้าท่าทางของพิชญ์ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความกระอักกระอ่วน

                “นาย...โกรธฉันใช่ไหม”

               พิชญ์จ้องหน้าปฐพีนิ่งๆ ก่อนจะยอมเปิดปากในที่สุด

                “นายปิดบังฉันไว้เยอะเลยนี่ ทั้งเรื่องงานที่นายทำ เรื่องหอพักที่นายอยู่ สรุปว่าทุกครั้งที่เราเจอกันมันคือเรื่องโกหกทั้งหมดเลยใช่ไหมดิน”

               พอพิชญ์เอ่ยออกมาแบบนั้น ปฐพีก็หลบตาวูบหนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบไม่เต็มเสียงนัก

                “ฉันก็ไม่ได้อยากทำแบบนี้ ฉันอธิบายได้นะพีท ฟังฉันก่อน”

               พิชญ์มองเพื่อนเก่านิ่ง ยอมรับว่าเขาเคยคิดจะชวนปฐพีมาทำงานด้วยกัน เคยอยากจะหยิบยื่นความช่วยเหลือต่างๆ ให้ปฐพี เพราะเห็นใจและเห็นแก่ความเป็นเพื่อนเก่า แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนของราชันย์ คงไม่ต้องการอะไรจากเขาแล้วมั้ง

                “นายเป็นอะไรกับเสี่ยเล้ง”

               พอคำถามถูกโยนออกมา ปฐพีก็ถึงกับนิ่ง เขาจะเอ่ยออกไปได้อย่างไรว่าเขาเป็นแค่นายบำเรอ เป็นแค่ของเล่นคลายเหงา คนถูกถามหรุบตาลงต่ำด้วยความละอาย แต่กลับทำให้คนมองเข้าใจผิดจนต้องเอ่ยเสียงเยาะหยัน

                “ทำไมตอบไม่ได้ คำตอบมันยากมากนักหรือ”

                “ฉัน...มีความสัมพันธ์กับเขา” คำตอบของปฐพีเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ

               ฟังคำตอบของปฐพีแล้ว พิชญ์ก็ถึงกับสะอึก คำตอบของอีกฝ่ายอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาไปไกล ให้ปฐพีบอกว่าเป็นผู้ช่วย เป็นเลขา เขายังยินดีจะเชื่อเสียมากกว่า แต่พิชญ์รู้ดีว่าปฐพีคงไม่มีทางเอาสถานะและศักดิ์ศรีของตัวเองมาล้อเล่น ถ้อยคำที่เขาเอ่ยออกไปเลยไม่ได้เย็นชาเหมือนเมื่อครู่

                “ตั้งแต่เมื่อไหร่...”

               ปฐพีค่อยย้อนความไปถึงเหตุการณ์วันที่เขาเจอกับราชันย์ เคยคิดว่าคงจะอายจนไม่กล้าสู้หน้าใคร หากมีคนอื่นรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับราชันย์เข้า แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องเล่าออกมาจริงๆ เขาก็พบว่ามันไม่ได้ยากเกินไปนัก

                “ตอนฉันเรียนอยู่มหาวิทยาลัย พ่อป่วยหนักมาก ฉันไม่มีเงินรักษา มันต้องใช้เงินจำนวนเยอะ ฉันคิดไม่ออกว่าจะหาเงินยังไงให้ได้เร็วๆ คิดได้แต่วิธีโง่ๆ เท่าที่สมองของฉันจะคิดออกในตอนนั้น แล้วฉันก็เจอเขา...”

                “อย่าบอกนะว่าเขาให้เงินนาย”

                “ใช่ เฮียให้เงินฉัน รักษาพ่อจนถึงที่สุด เฮียสัญญาว่าจะส่งน้ำเรียนต่อจนจบมหาวิทยาลัย แล้วก็พาฉันไปอยู่ฮ่องกงด้วยกัน ส่งเสียให้ฉันเรียนหนังสือจนจบ”

                “ทั้งหมดที่นายได้มาต้องแลกกับอะไรบ้าง”

                “แค่อย่างเดียวเองพีท...อิสรภาพของฉัน”

               ทั้งที่เอ่ยตอบเพื่อนไปแบบนั้น แต่ปฐพีรู้ดีว่าตลอดเวลาที่เขาอยู่กับราชันย์นั้น สิ่งที่ราชันย์เอาไปจากเขาไม่ได้มีแค่อิสรภาพ แต่ยังรวมถึงหัวใจและความจงรักภักดีของเขาด้วย หัวใจที่เขาใส่พานวางไว้ในกำมือของราชันย์โดยไม่คิดจะเอากลับคืน

                “แล้วเขาก็สั่งให้นายเข้ามาหาฉันใช่ไหม”

                “ไม่ใช่พีท ฉันเป็นคนที่อยากเจอนายเอง เฮียแค่สั่งไม่ให้ฉันพูดอะไรกับนายมาก เฮียเขาไม่ได้เลวร้ายอย่างที่นายคิดนะพีท”

               ฟังคำของปฐพีแล้วพิชญ์ก็ถึงกับต้องกลอกตา อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้โกรธปฐพีมากเท่าเมื่อกี้แล้ว พอได้รับรู้ความจำเป็นของปฐพี เขาก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่มีทางเลือก ปฐพีเองก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเขามากนัก บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าชีวิตจะเจอทางตันเขาตอนไหน

                “นายอยากเป็นอิสระไหมดิน ฉันอาจจะช่วยนายได้...”

               พิชญ์รู้ว่ามันไม่ง่ายนัก หากเขาคิดจะต่อรองกับราชันย์เพื่อคืนอิสระให้ปฐพี แต่เขาก็ยังอยากลองหยั่งเชิงถามปฐพีเพื่อดูท่าทีของอีกฝ่าย แต่ปฏิกิริยาที่ได้รับกลับมาทำเอาพิชญ์ถึงกับขมวดคิ้ว ปฐพีดูเหมือนไม่ได้ต้องการอิสระแม้แต่น้อย ดูลำบากใจกับคำถามที่เขาเพิ่งเอ่ยถามเสียด้วยซ้ำ ท่าทางหลุกหลิกแบบนั้นทำเอาพิชญ์พอจะเดาอะไรออกลางๆ

                “ฉันไม่คิดว่าตัวเองอยากได้อิสระ”

                “ทำไม...”

               พิชญ์ถามทั้งที่รู้คำตอบดีแก่ใจ แววตาของปฐพีเปิดเผยทุกอย่างออกมาจนหมด จนเขาอดนึกสงสัยไม่ได้ว่า คนอย่างราชันย์มีอะไรดีถึงขนาดที่ปฐพีต้องยอมเอาตัวไปผูกติดด้วย แต่เพราะพิชญ์ไม่ใช่ปฐพี เขาเลยไม่เข้าใจ และคงไม่มีวันเข้าใจ

                “นายชอบเขาเข้าแล้วใช่ไหม”

               พอปฐพีพยักหน้ารับเบาๆ พิชญ์ก็อยากจะร้องไห้ออกมาเสียเดี๋ยวนี้ เขากับปฐพีเหมือนคนโง่สองคน ติดอยู่ในวังวนความสัมพันธ์บ้าๆ บอๆ เหล่านี้ ไม่รู้ว่าจะสลัดหรือหนีพ้นยังไง ไม่ว่ามองดูความสัมพันธ์ระหว่างปฐพีกับราชันย์ยังไง พิชญ์ก็รู้สึกว่าปฐพีไม่ได้รับความเป็นธรรมแม้แต่น้อย

               ตัวพิชญ์เอง ยังน่าอิจฉากว่าที่อริญชย์ผลักเขาออกมาอยู่หน้าแสงไฟ ให้เขาได้ส่องประกาย ขณะที่ปฐพีนั้นกลับถูกราชันย์ซุกซ่อนเอาไว้ในความมืด ไม่มีใครรับรู้การมีตัวตนของปฐพีเลยแม้แต่น้อย

               พอปฐพีเห็นพิชญ์เริ่มอารมณ์เย็นขึ้นมาแล้ว ก็รวบรวมความกล้าแตะประเด็นที่อ่อนไหวที่สุดสำหรับพิชญ์

                “น้องหนูไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

               พิชญ์ชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเรียบๆ

                “ไม่เป็นไร ฉันพาคนไปช่วยไว้ได้ทันพอดี มีแค่แม่พลอยที่บาดเจ็บนิดหน่อย”

                “แล้วแม่พลอยเป็นอะไรมากไหม”

                “มีแค่รอยฟกช้ำภายนอก”

                เห็นท่าทีของพิชญ์แล้ว ปฐพีก็นึกโกรธราชันย์หน่อยๆ ครั้งนี้ราชันย์ทำเกินไปจริงๆ ที่จงใจปล่อยข่าวว่าน้องหนูเป็นลูกตัวเองเพื่อให้รัญญาเข้าใจผิด ใช้น้องหนูเป็นเหยื่อล่อในแผนการบ้าๆ นี้ พิชญ์จะโมโหจนเกือบต่อยหน้าราชันย์ก็คงไม่แปลก แต่คนที่น่าโมโหยิ่งกว่าใครก็คือรัญญาที่กล้าลงมือแม้กระทั่งกับเด็กและคนแก่

หลังจากนี้ รัญญาคงต้องลงมือมากกว่านี้ จะผิดไหม ถ้าเขาจะแย้มพรายเรื่องบางเรื่องให้พิชญ์ได้รับรู้ อย่างน้อยก็ถือว่าชดเชยที่เขาปิดบังพิชญ์เรื่องที่เขาอยู่กับราชันย์ก่อนหน้านี้ ปฐพีถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพิชญ์นิ่ง

                “ฉันมีอะไรอยากบอก ไม่รู้ว่านายอยากฟังไหม”

                “ว่ามาสิ” พิชญ์ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก

                ปฐพีปิดบังเขามาจนกระทั่งวันนี้ที่ความจริงเปิดเผย ยังมีเรื่องราวอะไรที่เขายังไม่รู้อีกหรือไง

                “ความจริงแล้ว...” ปฐพีเว้นจังหวะอึดใจหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกไปในที่สุด “...เฮียกับคุณใหญ่เขาไม่ได้ทะเลาะกันจริงๆ”



TO BE CONTINUE



มาลงตอนใหม่แล้วค่ะ
อาจจะไม่ได้มาบ่อยๆ แต่จะพยายามมาเรื่อยๆ นะคะ
ปมเริ่มทยอยคลี่คลายแล้ว รอคุณใหญ่ค่อยๆ เคลียร์ทีละเปาะ
พีทก็เริ่มใจอ่อนทีละนิดแล้ว >///<  ฮึบๆ


ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
เริ่มเคลียร์แล้ว ..

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
 :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ต่อจากนี้ก็ขอให้เป็นไปในทางที่ดีนะ       

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เอ้อออเอาให้มันรู้เรื่องกันไปสักทีเถอะ จะได้เคลียร์ให้จบเร็วๆ  o13 อาร๊ายยยยยยอุกรี๊ด เขินมากกกก   :oo1: :jul1: :impress2: :-[ :o8: :กอด1: คิดถึงกันมากสินะ แอบดูแล้วแบบว่าเขินสุดๆ 5555 รอตอนต่อไปเลยค่ะ จะยังไง ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รรรรร  :pig4: :pig2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
สามสิบแปด
เปิดอกคุย





          หลังจากปฐพีเดินออกมาจากห้องรับแขกของพิชญ์ ราชันย์ซึ่งนั่งเล่นรออยู่ด้านนอกก็พาเขากลับทันที สาเหตุที่วันนี้ราชันย์ถ่อมาหาอริญชย์ถึงบริษัทด้วยตัวเองนั้น แท้จริงแล้วเขาเพียงแค่อยากมาเห็นกับตาว่าน้องหนูปลอดภัยดี หลังจากเมื่อเช้าเขาสั่งปกรณ์โทรศัพท์เช็ก จนรู้ว่าอริญชย์กับพิชญ์พาน้องหนูมาที่บริษัทด้วย เขาก็พาปฐพีมานั่งรอตั้งแต่เจ้าของบริษัทยังเดินทางมาไม่ถึง

          ราชันย์ยอมรับว่าเขาเองก็ขี้โกงที่เอาน้องหนูมาเป็นเหยื่อล่อรัญญา เป็นเขาเสียเองที่ประเมินรัญญาสูงไป ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าลงมือกับเด็กและคนแก่ ยังดีที่เขามั่นใจว่าตัวเองและอริญชย์สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เขาถึงได้เลือกวิธีนี้เพื่อให้รัญญายอมโผล่หางของตัวเองออกมา สิ่งเดียวที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขา คงมีแค่แผลเลือดซึมตรงมุมปาก ทึ่เพิ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ

          ปฐพีเองก็สังเกตเห็นแผลที่มุมปากของราชันย์ตั้งแต่เดินออกมาจากห้องรับแขกของพิชญ์แล้ว เพียงแต่เขาไม่กล้าเอ่ยถามออกไปต่อหน้าพิชญ์ เพราะกลัวจะทำให้ราชันย์ขายหน้า รอจนกระทั่งขึ้นรถมาแล้วถึงได้เอ่ยถามออกไป ปิดบังความห่วงใยในน้ำเสียงไม่มิด

           “เฮีย เมื่อกี้พีทต่อยโดนเฮียด้วยเหรอ”

          ราชันย์ยกมือขึ้นลูบมุมปากตัวเองเบาๆ ก่อนจะเอ่ยปฏิเสธ

           “เปล่า ไม่ใช่พีท ไอ้ใหญ่ต่างหาก”

          พอราชันย์เอ่ยจบ ปฐพีก็ทำหน้าสงสัย แต่เขาก็คร้านจะอธิบายว่า หลังจากปฐพีเดินตามพิชญ์ออกจากห้องไป อริญชย์ก็หันมาซัดเขาแบบไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะเอ่ยเสียงเหี้ยมเกรียม

           ‘โทษฐานที่มึงเอาหลานกูไปเป็นเหยื่อล่อ’

          ดีว่าอริญชย์ยังยั้งมืออยู่บ้าง ไม่ซัดเขาลงไปกองกับพื้น ขนาดไม่ได้ต่อยตีกันแบบจริงๆ จังๆ มานาน อริญชย์ก็ยังคงหมัดหนักไม่เปลี่ยน ราชันย์เหยียดยิ้มออกมา ก่อนจะขยับมือแตะมุมปากตัวเองเบาๆ

          ปฐพีมองแผลที่มุมปากของราชันย์ นึกอยากเอื้อมมือไปแตะแล้วเอ่ยถามเจ้าตัวว่าเจ็บไหม แต่เขารู้ว่าราชันย์ไม่ชอบให้เขาแสดงความห่วงใยแบบนั้น เขาเลยได้แต่เอ่ยถามถึงเหตุการณ์ตอนที่เขาเปิดประตูเข้าไปเห็นแทน

           “เฮียไม่โกรธใช่ไหมที่พีทจะต่อยเฮีย”

           “คิดว่าอย่างหมอนั่นจะต่อยฉันได้ง่ายๆ หรือไง”

          ฟังคำตอบของราชันย์แล้ว ปฐพีก็คิดว่าเขาคงเป็นห่วงราชันย์มากเกินไป ถ้อยคำของราชันย์ไม่ได้โอ้อวดเกินจริงเลยแม้แต่น้อย คนอย่างราชันย์มีหรือจะยอมโดนพิชญ์ต่อยเอาง่ายๆ ถ้าเป็นอริญชย์ก็ว่าไปอย่าง ทั้งฝีมือและทักษะการต่อสู้ของราชันย์กับอริญชย์เรียกว่าดีจนเห็นปฐพีกับพิชญ์เป็นแค่เด็กน้อยในสายตา

          เห็นราชันย์ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว ปฐพีเลยไม่ได้เอ่ยถามถึงแผลตรงมุมปากอีก เขานั่งคิดทบทวนถึงถ้อยคำที่เขาเอ่ยบอกกับพิชญ์ไป กำลังสองจิตสองใจว่าจะสารภาพออกไปดีไหม ราชันย์จะหาว่าเขาจุ้นจ้านและยุ่งไม่เข้าเรื่องอีกหรือเปล่า เขามองหน้าราชันย์อย่างคิดไม่ตก ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็เม้มริมฝีปากแน่น เก็บกลืนถ้อยคำของตัวเองแล้วหันหน้ากลับมา เป็นราชันย์เสียเองที่เป็นฝ่ายเอ่ยปากถามปฐพี

           “มีอะไรหรือเปล่า ทำท่าเหมือนจะพูดแล้วก็ไม่พูด อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นั่น”

          ปฐพีเม้มริมฝีปากแน่นด้วยความชั่งใจ ถึงยังไง จะช้าจะเร็วราชันย์ก็ต้องรู้ความจริงเข้าอยู่ดี ไม่สู้สารภาพความจริงออกไปตอนนี้เลยดีกว่า อย่างน้อยถ้าราชันย์โกรธขึ้นมา ก็ถือว่าเขารีบรับสารภาพแล้ว โทษหนักอาจจะกลายเป็นเบา

           “เฮีย เมื่อกี้ผมบอกพีทไปว่า ความจริงแล้วเฮียกับคุณใหญ่ไม่ได้ทะเลาะกันจริงๆ”

           “อ้อ...” ราชันย์ตอบรับแค่นั้นแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ท่าทางไม่ได้ใส่ใจมากนัก จนปฐพีเสียอีกที่ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยถามต่อเอง

           “เฮียไม่โกรธเหรอที่ผมพูดไปแบบนั้น”

           “พูดไปแล้วจะให้ย้อนเวลากลับไปหรือไง บอกไปก็ดีเหมือนกัน จะได้เอาคืนที่ไอ้ใหญ่ต่อยหน้าฉัน ให้มันเจอปัญหาเสียบ้าง เห็นหน้ามันแล้วขวางหูขวางตาชะมัด”

          ทั้งที่ถ้อยคำยามเอ่ยถึง ฟังแล้วเหมือนเกลียดขี้หน้ากันมานมนาน แต่ถึงกระทั่งยอมให้ตัวเองโดนต่อยได้ง่ายๆ บางทีปฐพีก็ไม่ค่อยเข้าใจความสัมพันธ์ของอริญชย์กับราชันย์นัก หรือความสัมพันธ์แบบนี้ มันเป็นเรื่องปกติของเพื่อนรักที่คบหากันมาหลายปี

           “เฮียโมโหที่คุณใหญ่เขาต่อยหน้าเฮียเหรอ”

           “เปล่า แค่เกลียดที่เห็นมันมีความสุข”

          เห็นราชันย์เอ่ยคำว่าเกลียดออกมาได้ง่ายๆ ปฐพีก็ยิ่งไม่เข้าใจ แต่เขารู้ว่าราชันย์ไม่ได้เกลียดอริญชย์จริงอย่างที่ปากพูด อาจจะแค่หมั่นไส้มากกว่า แววตาของเจ้าตัวบอกเขาอย่างนั้น ช่างเถอะ ยิ่งคิดมากไปเขาก็ยิ่งไม่เข้าใจ ไม่สู้สนใจเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตัวเองดีกว่า

          อย่างน้อยๆ ตอนนี้เขาก็ไม่มีอะไรปิดบังพิชญ์แล้ว แต่เป็นเรื่องที่อริญชย์จะต้องอธิบายกับพิชญ์เอง



.



          ลิฟต์ส่วนตัวของห้องชุดราคาหลายสิบล้านย่านกลางเมืองวิ่งตรงดิ่งขึ้นสู่เพนท์เฮ้าส์ชั้นบนสุด พอประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้ง เรืองร่างระหงในชุดจั๊มสูทสีกรมก็ก้าวออกมาจากลิฟต์เป็นคนแรก ตามติดด้วยผู้ชายอีกสองคน เสียงส้นรองเท้าเคาะกับพื้นหินแกรนิตดังเป็นจังหวะ จนกระทั่งเจ้าตัวหยุดอยู่หน้าห้องชุด หนึ่งในสองห้องบนชั้นสูงสุดแห่งนี้

          มือเรียวล้วงหยิบคีย์การ์ดมาแตะเปิดประตูห้องชุด ก่อนจะเอื้อมมือกดเปิดสวิตช์ไฟตรงห้องรับแขก รัญญาถอดรองเท้าส้นสูงออก ก่อนจะใช้เท้าเขี่ยไปไว้มุมห้องแบบลวกๆ แล้วก้าวฉับๆ มาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟารับแขกกลางห้อง

          ชายวัยกลางคนที่เดินตามหลังเข้ามานั่งลงตรงข้ามรัญญา มีคนสนิทของรัญญายืนคุมเชิงอยู่มุมหนึ่ง พอเห็นท่าทางของเธอแล้วเขาก็เปรยถามเสียงเรื่อยๆ

           “ถึงกับหมดแรงจนพูดไม่ออกเลยหรือไง”

          รัญญาขยับตัวขึ้นมานั่งประจันหน้ากับอีกฝ่ายดีๆ เธอสบตากับผู้มีศักดิ์เป็นอาลำดับที่สอง แต่เธอกับราชันย์มักจะเรียกเขาว่าอาสาม ตามลำดับการเกิดของตระกูลมากกว่าจะไล่ลำดับอย่างตระกูลอื่นๆ อีกฝ่ายพอเห็นเธอลุกขึ้นมานั่งดีๆ แล้วก็อดเอ่ยปรามาสตามวิสัยไม่ได้

           “เธอโดนไอ้เล้งหลอกมากี่ครั้งแล้วนะ”

          ฟังคำปรามาสของอีกฝ่ายแล้วรัญญาก็ถึงกับเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เธอหลงคิดว่าการเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ฮ่องกงห้าปีจะทำให้ราชันย์หมดพิษสง แต่ดูเหมือนเธอจะคิดผิดมาตลอด พี่ชายคนดีเพียงแค่หลอกให้เธอตายใจเท่านั้น แม้กระทั่งเรื่องของน้องหนู เธอก็โดนราชันย์ปั่นหัวจนพังไม่เป็นท่า กลายเป็นว่าหมากที่เดินผิดคราวนี้ได้ลากเอาอริญชย์เข้ามาร่วมผสมโรงในเกมนี้ด้วย แต่จะให้เธอถอยหลังกลับตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว มีแต่ต้องเดินต่อไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

           “ฉันว่าเธอยอมแพ้ดีกว่าไหมยัยหลิว กลับไปขอขมาไอ้เล้งดีๆ เผื่อมันจะยอมยกโทษแล้วแบ่งอะไรให้เธอบ้าง”

          รัญญาแค่นเสียงหัวเราะเย็นๆ ออกมา ขณะจ้องมองผู้เป็นอาอย่างไม่สบอารมณ์นัก

           “ทำไมหนูต้องยอมแพ้ หนูก็เป็นลูกป๊า มีสิทธิ์ในสมบัติทุกอย่างของกมลวิลาศน์เหมือนกัน”

           “แต่เธอเป็นลูกสาว เธอไม่ใช่ลูกชาย แล้วยังไม่ใช่ลูกเมียหลวงอีกด้วย”

           “ลูกสาวแล้วยังไง ลูกเมียน้อยแล้วยังไง ลูกป๊าก็คือลูกป๊า อาสามเถอะ ระวังจะถูกเฮียจับได้ว่ายักยอกเงินกองกลางเข้าซักวัน”

           “พูดจาให้มันดีๆ หน่อย ฉันช่วยเธอมาตั้งกี่ครั้งแล้ว”

          รัญญาจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง ไม่รู้ว่าเธอคิดผิดหรือคิดถูกที่ร่วมมือกับอาสาม แต่ก็มีแค่อาสามคนเดียวที่ยอมลงเรือลำนี้กับเธอ อารองนั้นพออายุเยอะก็หันหน้าเข้าวัดทำบุญทำทาน แทบไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติของกมลวิลาศน์แม้แต่น้อย ส่วนอาสี่ ฝ่ายนั้นก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่ารักราชันย์มากกว่าเธอ ถ้าต้องเลือกช่วยใครคนใดคนหนึ่ง แน่นอนว่าอาสี่คงช่วยราชันย์ ไม่ใช่เธอ เหลือก็แต่อาสามที่อยากจะร่วมแบ่งปันสมบัติของตระกูลกับเธอ

           “ครั้งนี้เราจะพลาดไม่ได้แล้วนะอาสาม มาถึงขนาดนี้แล้ว”

           “นั่นมันขึ้นอยู่กับเธอต่างหาก”

          สำหรับตระกูลใหญ่ๆ หลายตระกูล สายเลือดก็เป็นแค่คำบอกความสัมพันธ์ ผลประโยชน์ต่างหากที่ใช้เจรจาต่อรองกัน รัญญาเองก็เข้าใจข้อนี้ดี การจะอยู่รอดในตระกูลกมลวิลาศน์ สิ่งที่จำเป็นที่สุดคืออำนาจ

           “ฉันมีวิธีที่จะเล่นงานทางเกียรติกาญจนาอยู่ ไหนๆ เราก็ต้องลากทางนั้นเข้ามาเกี่ยวด้วยแล้ว ก็เอาให้พังกันไปข้างเลย” รัญญาเอ่ยถ้อยคำร้ายกาจออกมาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ซึ่งคนฟังเองก็ไม่ได้แปลกใจนัก ราวกับคุ้นเคยด้านนี้ของเธอเป็นอย่างดี

           “ตอนนี้เธอเหลือไพ่อะไรในมือบ้าง”

          รัญญาเหยียดริมฝีปากออกช้าๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เธอกดเลื่อนหน้าจออยู่สองสามที ก่อนจะหันให้อีกฝ่ายดู พอเห็นสิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ อีกฝ่ายก็หัวเราะด้วยความพอใจ

           “ดี! นับว่าเธอยังมีความฉลาดและเล่ห์เหลี่ยมอยู่บ้าง รีบๆ ลงมือแล้วกัน”

           “อาสามก็เหมือนกัน ระวังอย่าให้อาสี่เข้ามาขัดขวางได้ล่ะ”

           “ฉันจะคอยจัดการทางเจ้าสี่ให้ ไม่ต้องห่วง”

          รัญญาเม้มริมฝีปากก่อนจะผงกหัว ความจริงเธอก็อยากจะอยู่ในตระกูลกมลวิลาศน์ด้วยความสงบสุข ถ้าเพียงแต่จะไม่มีใครกระทำกับเธอก่อน ในเมื่อความผิดทั้งหมดทั้งมวลเกิดขึ้นจากคุณนายหลิน ผู้เป็นแม่ของราชันย์ อย่างนั้นคงไม่ผิดอะไรถ้าเธอจะให้ราชันย์เป็นฝ่ายชดใช้

          ความสัมพันธ์ทางสายเลือดจอมปลอมนี้จะนับเป็นอะไรได้ เมื่อเทียบกับความคับแค้นใจที่เธอได้รับ

          สายเลือดเดียวกัน มันสำคัญกว่าผลประโยชน์ด้วยหรือ?



.



ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25



          หลังจากราชันย์กับปฐพีกลับไปแล้ว ทีแรกพิชญ์ก็ตั้งใจว่าจะคุยกับอริญชย์ แต่อริญชย์ก็มีประชุมด่วน เขาเลยไม่มีโอกาสได้คุย พิชญ์ได้แต่นั่งทำงานอยู่ในห้องกับน้องหนูสองคน เจ้าตัวเล็กนั่งเล่นอยู่บนโซฟา พาให้คนเป็นพ่อเห็นแล้วก็อดยิ้มอยู่บ่อยครั้งไม่ได้

          จนกระทั่งล่วงเลยมาถึงเวลาเลิกงานแล้ว พิชญ์ก็ยังไม่เห็นอริญชย์ เจ้าตัวเล็กก็เริ่มโยเยร้องจะกลับบ้าน ขณะที่เขากำลังคิดว่าจะโทรศัพท์หาอริญชย์อยู่นั้น ตุลย์ก็เป็นฝ่ายมาเคาะประตูห้องเขาเสียก่อน

           “จะกลับบ้านแล้วใช่ไหม คุณตุลย์” พิชญ์เอ่ยถามพลางเก็บของ

           “ครับ คุณใหญ่ติดประชุมยาว เลยให้ผมส่งคุณพีทกับคุณหนูกลับบ้านก่อน”

           “นานเลยเหรอครับ”

           “น่าจะอีกพักใหญ่เลยครับ คุณพีทพาคุณหนูกลับบ้านก่อนดีกว่า”

          ถ้าพิชญ์อยู่คนเดียว เขาคงเลือกที่จะนั่งทำงานต่อที่บริษัทพลางนั่งรออริญชย์ แต่วันนี้มีน้องหนูมาด้วย พอเห็นลูกสาวตัวน้อยเริ่มหน้ามุ่ย พิชญ์เลยได้แต่พยักหน้ารับคำแล้วพาน้องหนูกลับบ้านพร้อมตุลย์ เรื่องที่ตั้งใจจะคุยกับอริญชย์ตั้งแต่บ่ายเลยยังไม่มีโอกาสได้คุยเสียที

          กระทั่งกลับถึงบ้าน หลังจากพิชญ์กับน้องหนูจัดการกับมื้อเย็นกันเรียบร้อยแล้ว ตุลย์ที่ออกไปรับอริญชย์ที่บริษัทก็ยังไม่กลับมา พิชญ์หยิบโทรศัพท์แล้ววางอยู่สองสามรอบ นึกอยากจะโทรหาอริญชย์ แต่ก็คิดว่าอีกฝ่ายคงอยู่ในห้องประชุม ต่อให้เขาโทรศัพท์ไป บางทีอริญชย์อาจจะไม่รับสายก็ได้

          น้องหนูเองก็ชะเง้อคอมองหาลุงใหญ่จนถอดใจ หันมาเขย่ามือพิชญ์ให้พาขึ้นห้อง พิชญ์จูงมือเจ้าตัวเล็กเดินขึ้นชั้นสอง ส่งน้องหนูให้นวลพาไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย ก่อนที่ตัวเขาจะเดินตรงเข้าห้องเพื่อจัดการกับตัวเอง

          หลังจากอาบน้ำเสร็จ พิชญ์ก็เดินไปหาน้องหนูที่ห้อง น้องหนูที่วิ่งเล่นทั้งวันอ่อนเพลียจนจวนเจียนจะหลับอยู่รอมร่อ พอนวลเห็นพิชญ์เดินเข้ามาก็ขอตัวเลี่ยงออกไป ให้สองพ่อลูกได้ใช้เวลากันตามลำพัง พิชญ์นั่งลงข้างเตียง ลูบหัวน้องหนูที่กำลังตาปรือเบาๆ ก่อนจะก้มลงหอมแก้มลูกสาวตัวน้อย

           “ฝันดีนะคะ คนเก่งของพ่อพีท”

          น้องหนูพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ ผล็อยหลับด้วยความง่วงงุน พิชญ์รอจนน้องหนูหลับสนิทก็เอื้อมมือปิดไฟที่หัวเตียง เกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากน้องหนูออกด้วยความอ่อนโยน เขาค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากเตียงแล้วเดินออกจากห้องนอนของน้องหนูด้วยความเงียบ ระวังไม่ให้ตัวเองเผลอทำเสียงดัง

          พิชญ์เพิ่งจะเปิดประตูออกมาจากห้องน้องหนู ก็เห็นอริญชย์กำลังเดินขึ้นบันได พอเงยหน้าขึ้นมาสบสายตาพิชญ์ที่ยืนมองอยู่ก็เลิกคิ้วน้อยๆ

           “รอฉันกลับมานอนด้วยหรือไง”

          พิชญ์ขี้เกียจจะเถียงกับอริญชย์จนเสียเวลาคุยเรื่องสำคัญ เขาเลยทำหูทวนลมใส่ถ้อยคำยียวนนั้นเสีย

           “ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”

           “ต้องคุยวันนี้เลยใช่ไหม”

          ถ้อยคำปฏิเสธแล่นขึ้นมาถึงริมฝีปากพิชญ์ก่อนที่เจ้าตัวจะเก็บกลืนมันลงไป หากเชาไม่ได้คุยกับอริญชย์ให้รู้เรื่องวันนี้ คืนนี้เขาคงนอนไม่หลับแน่ๆ

           “ไม่ได้หรือครับ...”

          อริญชย์มองสบสายตาพิชญ์ อดคิดไม่ได้ว่าความเหนื่อยล้าสะสมจากการประชุมยาวนานตลอดทั้งวัน แทบจะหายเป็นปลิดทิ้งทันทีที่เห็นหน้าพิชญ์

           “รอฉันอาบน้ำก่อนแล้วกัน”

           “เดี๋ยวผมไปนั่งรอในห้องทำงาน”

          เอ่ยแล้วพิชญ์ก็ไม่รอให้อริญชย์ตอบรับหรือตอบปฏิเสธ เขาเดินตรงไปยังห้องทำงานของอริญชย์ ก่อนที่อีกฝ่ายจะเปลี่ยนเป็นห้องนอนให้เขาลำบากใจ คนที่ยืนอยู่ข้างหลังได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าห้องนอนของตัวเอง



.



          ระหว่างรออริญชย์อาบน้ำ พิชญ์ก็หยิบหนังสืออ่านเล่นมานั่งอ่านฆ่าเวลารอ อริญชย์ใช้เวลาจัดการกับตัวเองไม่นานก็ตามเข้ามาที่ห้องทำงาน ตอนที่เขาเดินเข้ามา พิชญ์กำลังจดจ่ออยู่กับหนังสือในมือจนไม่รู้สึกตัว กระทั่งตอนที่อริญชย์ยืนมาซ้อนอยู่ด้านหลังพิชญ์ แล้วชะโงกหน้าดูว่าพิชญ์อ่านหนังสืออะไรอยู่ เจ้าตัวถึงได้สะดุ้งน้อยๆ จนเกือบทำหนังสือหล่น

           “คุณใหญ่...” พิชญ์เรียกชื่ออริญชย์ ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับเจ้าของบ้าน

          ทั้งพิชญ์และอริญชย์ต่างคนต่างสวมชุดนอน ยืนประจันหน้ากันอยู่กลางห้อง กลิ่นหอมเย็นๆ ของสบู่จากตัวอริญชย์ลอยเข้าจมูกพิชญ์ เขาเผลอเกร็งตัวก่อนจะเขยิบเท้าถอยหลังมาก้าวหนึ่ง แต่กลับถูกอริญชย์คว้าจับข้อมือเอาไว้ หนังสือที่พิชญ์ถือไว้ถูกอริญชย์หยิบออกจากมือก่อนจะวางไว้บนโต๊ะข้างตัว ขณะที่เจ้าตัวโน้มตัวลงเอ่ยถามเสียงทุ้ม

           “ว่าไง มีอะไรจะคุยกับฉัน”

          พิชญ์มองสบตาอริญชย์พลางไตร่ตรองถึงถ้อยคำที่ปฐพีเอ่ยกับเขาเมื่อตอนบ่าย เขาเผลอขบริมฝีปากตัวเองเบาๆ อย่างที่มักเผลอไผลยามใช้ความคิด แค่ประโยคเดียวที่ปฐพีเอ่ยกับเขา พิชญ์กลับรู้สึกเหมือนว่าเขาไม่ได้รู้จักอริญชย์อย่างแท้จริง

           “สัญญาได้ไหม...ว่าคุณจะพูดความจริงกับผม”

          อริญชย์หรี่ตาลงน้อยๆ ยามมองสบตากับพิชญ์ พอจะเดาออกลางๆ ว่าวันนี้ปฐพีคงเอ่ยอะไรกับพิชญ์ตอนอยู่ด้วยกันตามลำพัง แต่เขาก็ยังมั่นใจว่าตัวเองจะสามารถอธิบายทุกอย่างได้ อริญชย์พยักหน้ารับแทนคำตอบ ก่อนจะเห็นพิชญ์ทำสีหน้าคล้ายโล่งอก

          เห็นอริญชย์ยอมตอบรับคำขอของเขาแล้ว พิชญ์ก็ใจชื้น ว่าหากเขาเอ่ยถามอะไรออกไป อย่างน้อยอริญชย์คงไม่โกหกเขา เพียงแต่จะพูดออกมาหมดหรือไม่ก็อีกเรื่อง พิชญ์เรียบเรียงถ้อยคำอยู่ในหัว คิดอยู่นานว่าจะเอ่ยถามอริญชย์อย่างไร แต่สุดท้ายก็เลือกเอ่ยถามออกไปตรงๆ

           “คุณไม่ได้ทะเลาะกับเสี่ยเล้งจริงๆ ใช่ไหม”

          ถามไปแล้ว พิชญ์ก็แทบจะกลั้นใจรอฟังคำตอบของอริญชย์ ใจหนึ่งพิชญ์ก็อยากให้มันเป็นเรื่องจริง ถ้าหากอริญชย์กับราชันย์ไม่ได้ทะเลาะกันจริงๆ มันก็คงดีไม่น้อย แต่อีกใจหนึ่ง พิชญ์ก็อยากให้มันเป็นเรื่องโกหก เขาไม่อยากเป็นคนโง่ที่ถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถูกปิดหูปิดตาจนไม่รับรู้อะไร

          คำถามของพิชญ์ไม่ได้เหนือความคาดหมายของอริญชย์มากนัก อย่างน้อยนี่ก็เป็นหนึ่งในหลายเรื่องที่เขาตั้งใจจะเล่าให้พิชญ์ฟังหลังจากทุกอย่างคลี่คลาย ดังนั้นเขาจึงเอ่ยตอบออกมาได้ง่ายๆ โดยไม่ลังเล

           “ใช่ ฉันไม่ได้ทะเลาะกับมันจริงๆ”

          พิชญ์บอกไม่ถูกว่าตอนนี้เขารู้สึกอย่างไร แต่เขาก็ยังพึมพำถามออกไป

           “ทำไม...”

          อริญชย์ดึงพิชญ์ให้หันหลังมาพิงอกเขาก่อนจะกอดพิชญ์ไว้หลวมๆ พิชญ์ทำท่าเหมือนจะขัดขืนในทีแรก ก่อนจะยอมยืนนิ่งๆ อยู่ในอ้อมกอดของอริญชย์ ลมหายใจอุ่นร้อนของอริญชย์เป่ารดอยู่ข้างหูเขา ขณะค่อยๆ เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้พิชญ์ฟัง ทีละเล็กทีละน้อย

           “ฉันกับไอ้เล้งรู้จักกันมาจนถึงตอนนี้ก็เกือบยี่สิบปีแล้ว กับความสัมพันธ์ที่ยาวนานขนาดนี้ นายคิดว่าฉันกับมันจะเกลียดกันแทบเป็นแทบตายได้ง่ายๆ ไหมล่ะ”

          พิชญ์ส่ายหน้าช้าๆ เมื่อคิดตามที่อริญชย์บอกก็ต้องเห็นด้วยกับสิ่งที่อริญชย์พูด ความสัมพันธ์ยี่สิบปียาวนานเกินกว่าครึ่งชีวิตของราชันย์และอริญชย์เสียอีก แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจคือ...

           “ถ้างั้นทำไมคุณต้องหลอกผม หลอกทุกคน ว่าคุณกับเสี่ยเล้งทะเลาะกัน” พิชญ์ถามเสียงแข็งก่อนจะขืนตัวเองออกจากอ้อมกอดของอริญชย์ หันมาจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยความโกรธเคือง

           “เพราะต้องการทำให้คนบางคนเข้าใจแบบนั้นยังไงล่ะ ถ้าแม้แต่คนใกล้ชิดยังไม่เชื่อ จะทำให้คนอื่นเชื่อได้ยังไง”

           “คุณหมายถึงใคร”

           “นายลองเดาดูสิ...” อริญชย์เอ่ยพลางจับมือพิชญ์ขึ้นมาลูบไปมา

          พิชญ์พยายามคิดทบทวนไตร่ตรองเรื่องราวทั้งหมด แต่เขาก็คิดไม่ออกว่าเป้าหมายที่อริญชย์กับราชันย์เล็งไว้คือใคร

           “ผมจะไปรู้ได้ยังไงกัน”

           “คิดดูให้ดีๆ มันไม่ได้ยากขนาดนั้น ในเมื่อนายเองก็รู้จักดีอยู่แล้ว”

           “คุณหมายถึง...” ใบหน้าหนึ่งปรากฏขึ้นมาในความคิดของพิชญ์ ก่อนเขาจะเอ่ยถามอริญชย์ออกไป “คุณหลิวน่ะเหรอ” 

          อริญชย์ลูบแก้มพิชญ์เบาๆ แทนคำตอบ พีทของเขาฉลาดเสมอ

           “ผมไม่เข้าใจ ทำไมถึงต้องทำแบบนั้นด้วย คุณหลิวเป็นน้องสาวเสี่ยเล้งไม่ใช่หรือไง”

          อริญชย์ยังคงไล้ปลายนิ้วกับแก้มของพิชญ์ สัมผัสอุ่นวาบทำเอาพิชญ์ถึงกับต้องหลุบสายตาลงมองพื้น คนตัวสูงกว่าถอดถอนหายใจออกมาเบาๆ บนโลกใบนี้ยังมีด้านสีเทาๆ อีกมากที่พิชญ์ยังไม่รู้ โลกไม่ได้เป็นสีขาวเสมอไป โลกมีทั้งสีดำ สีขาว และอาจผสมปนเปกันจนเป็นสีเทา ทุกคนต่างหาเหตุผลให้กับการกระทำของตัวเองและเที่ยวตัดสินการกระทำของคนอื่นว่าถูกหรือผิด แม้แต่กรณีของราชันย์กับรัญญาก็ไม่เว้น

           “ไอ้เล้งกับหลิวเป็นพี่น้องคนละแม่กัน เท่าที่ฉันรู้หลิวน่าจะเกลียดไอ้เล้งมาตลอด”

           “ทำไมล่ะ ยังไงก็เป็นพี่น้องกันไม่ใช่หรือครับ”

           “ไม่ใช่พี่น้องทุกครอบครัวที่จะรักกันนะพีท หลิวคิดว่าแม่ของไอ้เล้งเป็นคนสั่งฆ่าแม่ตัวเอง เลยทั้งเกลียด ทั้งแค้น อยากจะแย่งเอาทุกอย่างของไอ้เล้งมาเป็นของตัวเอง หารู้ไม่ว่าตัวเองแทบไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิด”

          พิชญ์เบิกตากว้างกับความจริงที่อริญชย์เล่าให้เขาฟัง เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน ว่าแท้จริงแล้วต้นสายปลายเหตุจะมาจากสองพี่น้องอย่างราชันย์กับรัญญา

           “แล้วเรื่องมันเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่าครับ”

           “เปล่า คนที่สั่งให้จัดการกับแม่ของหลิวก็คือเจ้าสัวลิขิต พ่อแท้ๆ ของไอ้เล้งกับหลิว”

           “ทำไมถึงต้องทำอย่างนั้นล่ะครับ”

           “ภรรยาน้อยที่จะเป็นเสี้ยนหนามตำใจภรรยาหลวงและสั่นคลอนอำนาจของตัวเอง คนอย่างเจ้าสัวลิขิตไม่มีทางเก็บเอาไว้อยู่แล้ว แต่สุดท้ายเจ้าสัวลิขิตก็รักษาแม่ไอ้เล้งเอาไว้ไม่ได้อยู่ดี ความเชื่อใจเมื่อมันถูกทำลายลงไปครั้งหนึ่งแล้ว ก็ยากที่จะได้รับมันอีกครั้ง”

          พิชญ์ถึงกับนิ่งงันไป เรื่องราวเหล่านั้นที่อริญชย์เอ่ยเล่าออกมา ช่างดูห่างไกลจากวิถีชีวิตและสังคมที่เขาคุ้นเคยเหลือเกิน เขาไม่เคยรู้เลยว่าฉากหน้าของครอบครัวที่ร่ำรวยล้นฟ้า พี่น้องที่ดูรักกันนักหนา แท้จริงแล้วจะซุกซ่อนปัญหาระหว่างสายเลือดเอาไว้

           “โหดร้ายจังเลยนะครับ...” พิชญ์พึมพำออกมาเบาๆ

          ถ้าหากเจ้าสัวลิขิตรู้ว่าการมีภรรยาน้อยจะนำปัญหามากมายมาสู่ภรรยาหลวงและตระกูล เขาก็ไม่ควรเลือกเดินทางนั้นตั้งแต่แรก อย่างน้อยในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกันแบบนี้ คุณพ่อของอริญชย์กับไอลดาก็ถือว่าจัดการปัญหาได้ดีกว่าเจ้าสัวลิขิตมากนัก แต่พิชญ์ไม่เข้าใจเลย ว่าทำไมสำหรับคนบางคน การใช้ชีวิตคู่โดยไม่นอกกายหรือนอกใจกันถึงได้เป็นไปได้ยาก คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา

           “คิดอะไรอยู่...” อริญชย์เอ่ยถาม พลางไล้ปลายนิ้วกับหัวคิ้วของพิชญ์ที่ขมวดเป็นปม

          พิชญ์ช้อนตามองอริญชย์ เขาคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ อยู่ในหัวก่อนจะเอ่ยปากถามออกไปตรงๆ

           “การทะเลาะกันที่ผ่านมาระหว่างคุณกับเสี่ยเล้งคือการแสดงทั้งหมดเลยหรือครับ”

           “แค่บางส่วน บางครั้งฉันกับมันก็เล่นงานกันจริงๆ บางทีก็เป็นฝีมือของหลิว”

           “แล้วเรื่องที่น้องหนูถูกลักพาตัวไปล่ะครับ”

           “เป็นฝีมือของหลิว แต่จะบอกว่าไอ้เล้งเป็นตัวการก็ได้ มันปล่อยข่าวว่าจริงๆ แล้วน้องหนูเป็นลูกของมัน หลิวก็เลยคิดที่จะลักพาตัวน้องหนูไปต่อรองกับไอ้เล้ง”

          พออริญชย์เล่าความจริงให้ฟัง พิชญ์ก็โมโหขึ้นมาอีกรอบ ราชันย์จะจัดการปัญหาในครอบครัวตัวเองยังไงก็ได้ แต่ก็ไม่ควรลากลูกสาวกับแม่ของเขาเข้าไปเกี่ยวด้วย เห็นพิชญ์ฟังแล้วทำหน้าบึ้ง อริญชย์ก็ลูบแก้มเจ้าตัวเบาๆ ก่อนจะเอ่ยปลอบ

           “อย่าหงุดหงิดไปเลย วันนี้ฉันจัดการสั่งสอนมันแทนนายแล้ว”

          ได้ยินดังนั้น พิชญ์ก็เลยนึกได้ว่าตอนเดินออกมาจากห้อง เขาเห็นมุมปากราชันย์มีรอยช้ำอยู่ ยังคิดว่าไปโดนอะไรมาระหว่างที่เขานั่งคุยกับปฐพี ที่แท้ก็เป็นฝีมือของอริญชย์นี่เอง ถึงจะยังโมโหราชันย์อยู่ แต่พอรู้ว่าอริญชย์ช่วยจัดการให้แล้ว ความหงุดหงิดของพิชญ์ก็ลดลงไปกว่าครึ่ง

           “แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจ ในเมื่อเขาโกรธ เขาเกลียดเสี่ยเล้ง แล้วทำไมถึงต้องลากคุณใหญ่เข้าไปเกี่ยวด้วย”

           “เพราะฉันกับไอ้เล้งแทบจะตายแทนกันได้ ตราบใดที่เรายังอยู่ด้วยกัน อำนาจของไอ้เล้งในตระกูลก็ยิ่งมั่นคง เพราะมีฉันหนุนหลังอยู่ หลิวเลยเลือกวิธีที่โหดร้ายที่สุดที่จะทำให้เราสองคนแตกหักกัน”

           “อย่าบอกนะครับว่า จริงๆ แล้วเรื่องของคุณกลางก็เป็นฝีมือของคุณหลิวด้วย” พออริญชย์พยักหน้ารับ พิชญ์ก็ถึงกับหลุดเสียงอุทานออกมาด้วยความตื่นตะลึง เขาไม่เคยคิดเลยว่าภายใต้รอยยิ้มอ่อนหวานของรัญญา แท้จริงแล้วกลับเป็นคมมีดที่พร้อมจะทิ่มแทงทุกคนที่ขวางทางเธอ

           “ถึงตัวการจะเป็นหลิว แต่ครั้งนั้นฉันก็ทั้งโกรธทั้งเกลียดไอ้เล้งจนแทบจะฆ่ามันให้ตายคามือ โกรธจนอยากจะพังทุกอย่างของมัน โกรธที่มันไม่มีปัญญาจัดการน้องสาวตัวเอง”

          พิชญ์ยื่นมือไปบีบมืออริญชย์ไว้โดยไม่รู้ตัว บีบกระชับมืออีกฝ่ายราวกับจะบอกว่ายังมีเขาอยู่ตรงนี้ เขารู้ว่าทุกครั้งที่อริญชย์คิดถึงเรื่องอธิษฐ์ ความโกรธที่คละเคล้าไปด้วยความเจ็บปวดก็จะปะทุขึ้นมาทุกครั้ง ใช่ว่าอริญชย์จะไม่รู้ตัว เขารู้ตัวอยู่ตลอด มิหนำซ้ำยังถือวิสาสะดึงพิชญ์เข้ามาในอ้อมกอด

           “คุณใหญ่...” พิชญ์เรียกชื่อคนที่จู่ๆ ก็ดึงเขาเข้าไปกอดเบาๆ

           “เชื่อฉัน ฉันจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องกับแม่พลอยและน้องหนู รวมถึงนายอีกเด็ดขาด”

           “หมายความว่าคุณกับเสี่ยเล้งมีวิธีจัดการกับปัญหาพวกนี้แล้วหรือครับ”

           “คนผิดจะต้องได้รับบทเรียนและถูกลงโทษ” แววตาและน้ำเสียงของอริญชย์ยามเอ่ยประโยคนี้ออกมา ทั้งดุดันและเหี้ยมเกรียม ถึงอีกฝ่ายจะเป็นรัญญา แต่คราวนี้ทั้งเขาและราชันย์ไม่มีทางปล่อยเธอไปง่ายๆ เหมือนที่ผ่านมาแน่ๆ “เด็กดี เชื่อฉัน ถ้ามีฉันอยู่จะไม่มีใครทำอะไรนายได้”

           “ผมเชื่อคุณใหญ่” ถ้อยคำที่แสดงถึงความเชื่อมั่นและไว้วางใจในตัวเขา ทำเอาอริญชย์ถึงกับเต็มตื้นอยู่ในอกจนเผลอกระชับอ้อมกอดแน่นเข้า

          อริญชย์เคยคิดว่า...ต่อให้พิชญ์จะเกลียดเขาแทบตายก็ไม่เป็นไร ถ้าเขาได้ตัวพิชญ์มาอยู่ข้างกาย

          แต่เวลานี้เขากลับคิดว่า...ต่อให้คนทั้งโลกจะเกลียดเขาแทบตายก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่พิชญ์เชื่อใจเขา

           “หลังจากนี้ปล่อยให้เป็นเรื่องของฉันกับไอ้เล้งก็พอ  นายแค่ตั้งใจทำงาน ใช้ชีวิตกับน้องหนูให้มีความสุข แล้วก็เป็นห่วงฉันมากๆ ก็พอแล้ว”

          พิชญ์เกือบจะพยักหน้าหงึกหงักรับคำอยู่แล้ว แต่พอได้ยินถ้อยคำสุดท้ายก็ชะงักไปนิดหนึ่ง จนอริญชย์ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยถามซ้ำ

           “ได้ไหม...”

           “ครับ”

          อริญชย์ลูบหลังพิชญ์ที่ยืนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดเขาเบาๆ ดวงตายามทอดมองพิชญ์อ่อนโยนกว่าครั้งไหนๆ หลังจากสะสางเรื่องราวที่ผ่านมาระหว่างเขา ราชันย์และรัญญาแล้ว เขาตั้งใจว่าจะจัดการเรื่องระหว่างเขากับพิชญ์ให้เรียบร้อยเสียที เขาปล่อยให้ตัวเองรอคอยมานานเกินไปแล้ว ถึงเวลาคืนอิสระให้กับไอลดา แล้วเปลี่ยนแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของพิชญ์เป็นวงที่คู่ควรเสียที

          เดิมพันครั้งนี้...เขาเดิมพันด้วยหัวใจ พร้อมที่จะวางไว้ในมือพิชญ์ หวังเพียงแค่เจ้าตัวจะไม่วิ่งหนีหรือโยนทิ้งไป





TO BE CONTINUE





เริ่มคลี่คลายปมเรื่อยๆ แล้วค่า หลังจากคุณใหญ่เหนื่อยมาหลายตอน
ได้เปิดอกคุยกับพีทเสียที
รอคุณใหญ่หาจังหวะเคลียร์เรื่องตัวเองกับพีทอีกนิด
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ :)

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
แมนๆคุยกัน เคลียร์ทุกประเด็นสงสัย  o13 o13 ต่อไปก็จัดการคนก่อเรื่อง แรงทั้งสองฝั่ง ตายกันไปข้าง   :beat: พีทเชื่อใจคุณใหญ่ขนาดนี้แล้ว คุณใหญ่เตรียมแหวนที่คู่ควรรอไว้เลยค่ะ  :-[ 55555 ฟ้าหลังฝนมาเคลียร์หัวใจกันทั้งสองคู่เลย ดินและเสี่ยเล้งด้วยจะเป็นยังไงนะคู่นี้ เดาไม่ออกเลย 555 ขอบคุ๊ณณณณนะคะที่มาต่อ รออ่านเสมอ อยากอ่านต่อตอนต่อไปเลย สนุกอ่ะ อิอิ รรรรรนะคะ เป็นกำลังใจให้  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
ก็ขอให้สำเร็จ ..

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25



สามสิบเก้า
ข่าวฉาว





          หลังจากค่ำคืนอันเงียบสงบ ความโกลาหลก็มาเยือนเคเค คอนสตรัคชั่นก่อนจะลามมายังคฤหาสน์เกียรติกาญจนาแต่เช้าตรู่ อริญชย์เพิ่งจะย่างเท้าลงบันไดมาถึงห้องอาหาร ก็เห็นตุลย์กำลังยืนหน้าตาเคร่งเครียดรอเขาอยู่ พิชญ์ที่เดินตามหลังอริญชย์ลงมาติดๆ พอเห็นสีหน้าของตุลย์ก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี การที่ตุลย์มายืนรอแต่เช้าพร้อมสีหน้าเคร่งเครียดแบบนี้ บอกได้เพียงอย่างเดียวว่าไม่มีเรื่องดีเกิดขึ้นแน่ๆ เพียงแต่พิชญ์ไม่รู้ว่ามันจะร้ายแรงแค่ไหน

          พิชญ์เผลอยื่นมือไปดึงแขนเสื้ออริญชย์ไว้เบาๆ โดยไม่รู้ตัว เจ้าของแขนเสื้อเลื่อนมือลงมากอบกุมมือพิชญ์พร้อมกับกระชับไว้ในฝ่ามือใหญ่ ก่อนจะเอ่ยถามตุลย์เสียงเรียบๆ

           “มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นหรือไง ถึงได้มารอฉันแต่เช้าแบบนี้”

          ตุลย์ไม่ได้เอ่ยตอบทันทีที่อริญชย์เอ่ยถาม เขาหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่ถือไว้ในมืออยู่แล้วส่งให้อริญชย์ดูแทนคำตอบ บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือปรากฏภาพข่าวบนสังคมออนไลน์ ซึ่งกำลังกลายเป็นประเด็นร้อนแรงของเช้าวันนี้ ไม่ใช่ข่าวเศรษฐกิจหรือข่าวการเมือง แต่เป็นข่าวซุบซิบของแวดวงไฮโซที่ยังพ่วงไปถึงวงการบันเทิง

          พอเห็นรูปที่ปรากฏบนหน้าจอ อริญชย์ก็เหยียดริมฝีปากออกเป็นเส้นตรง ดวงตาดำจัดคุกรุ่นด้วยอารมณ์เดือดดาล ใบหน้าสบายๆ เมื่อตอนเดินลงบันไดมาพลันเปลี่ยนเป็นดุดัน พอพิชญ์เห็นท่าทางแปลกๆ ของอริญชย์ก็ก้าวมายืนข้างๆ ชะโงกมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือในมือของอริญชย์ ก่อนจะต้องเป็นฝ่ายหน้าเผือดสีเสียเอง

          ภาพล่อแหลมของพิชญ์กับรัญญาปรากฏบนหน้าข่าว มุมเล็กๆ ด้านข้างกันเป็นรูปของไอลดา ซึ่งกลายเป็นผู้ถูกกระทำโดยไม่รู้ตัว หัวข้อข่าวจงใจสื่อถึงเรื่องอื้อฉาวระหว่างพิชญ์กับรัญญา ทั้งที่เจ้าตัวเป็นสามีของไอลดา โจมตีพิชญ์เข้าเต็มๆ มิหนำซ้ำยังพ่วงมาถึงตำแหน่งผู้บริหารของพิชญ์

           “มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะคุณใหญ่...” พิชญ์มองเสี้ยวหน้าดุดันของอริญชย์ก่อนจะอธิบาย “วันนั้นผมขึ้นรถคุณหลิวแล้วหมดสติ คุณหลิวบอกว่าผมแพ้น้ำมันหอมระเหยบนรถเขา พอตื่นขึ้นมาอีกทีผมก็อยู่ที่ออฟฟิศของคุณหลิว”

          เหตุการณ์วันนั้นแทบจะย้อนกลับมาในความคิดของพิชญ์ แค่เห็นสภาพตัวเองในรูปพิชญ์ก็นึกย้อนกลับไปได้ทันที วันนั้นที่เขาขึ้นรถของรัญญาแล้วหมดสติไป เจ้าตัวอ้างว่าเขาน่าจะมีภูมิต้านทานน้ำมันหอมระเหยต่ำ แต่แท้จริงแล้วเรื่องราวก็ถูกเปิดโปงออกมาในวันนี้ ว่ารัญญาจงใจวางเล่ห์กลกับเขาตั้งแต่วันนั้น และเก็บเขาไว้เป็นหมากเพื่อทำร้ายอริญชย์กับไอลดา

          พิชญ์นึกเจ็บใจตัวเองที่พลาดท่าเอาง่ายๆ จนอีกฝ่ายหยิบเอามาเล่นงานอริญชย์ และที่สำคัญ...ไอลดาที่อยู่ไกลถึงอีกซีกโลกหนึ่งก็ยังถูกลากเข้ามาเกี่ยวด้วย

          อริญชย์ปรายตามองพิชญ์ที่ยืนหน้าเสียอยู่ข้างๆ พอเห็นท่าทางรู้สึกผิดของพิชญ์ จากที่อยากโกรธก็พลอยโกรธไม่ลง แต่ก็อดไม่ได้ ต้องเอ็ดให้เจ้าตัวรู้จักหลาบจำเสียบ้าง

           “ถ้านายเล่าให้ฉันฟังตั้งแต่วันนั้น เรื่องก็คงไม่กลายมาเป็นแบบนี้”

          ทั้งที่อริญชย์ไม่ได้ต่อว่าเขาด้วยถ้อยคำแรงๆ เพียงแค่ประโยคง่ายๆ แต่กลับทำเอาพิชญ์รู้สึกผิดมากมาย หนนี้ ความดื้อรั้น อวดดี อวดเก่งของเขา นำความเดือดร้อนมาสู่อริญชย์เข้าให้จริงๆ พิชญ์เงยหน้ามองอริญชย์ด้วยความรู้สึกผิดก่อนจะเอ่ยขอโทษออกมา

           “ขอโทษครับ คุณใหญ่”

          เห็นท่าทางหงอยๆ ของพิชญ์ อริญชย์ก็ต้องพยายามหักห้ามใจไม่ให้ดึงเจ้าตัวเข้ามากอด อย่างน้อยเหตุการณ์คราวนี้ก็จะเป็นบทเรียนสำคัญให้กับพิชญ์ หลังจากนี้เจ้าตัวจะได้ไม่กล้าปิดบังอะไรเขาอีก อริญชย์ครุ่นคิดพลางเบือนหน้าจากพิชญ์ไปยังตุลย์ เอ่ยถามคนสนิทเสียงเย็นชา

           “เรื่องนี้เป็นฝีมือใคร”

           “ตรวจสอบแล้วเป็นฝีมือคุณหลิวครับ” ตุลย์เอ่ยคำตอบที่อริญชย์รู้ดีอยู่แล้ว คนฟังนิ่วหน้านิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยสั่งเสียงเฉียบขาด

           “ติดต่อพวกเว็บไซต์ให้เอาข่าวนี้ลงให้หมด ใช้เงินเท่าไหร่ไม่เกี่ยง แต่อย่าให้มีข่าวนี้ปรากฏให้ฉันเห็นอีก”

           “ครับ คุณใหญ่”

          หลังจากรับคำสั่งจากอริญชย์แล้ว ตุลย์ก็หายไปจัดการเรื่องข่าวบนโลกออนไลน์ที่กำลังเป็นประเด็นราวกับไฟลามทุ่ง พิชญ์นั่งลงตรงโต๊ะอาหารตรงข้ามอริญชย์ มื้อเช้าที่ป้าน้อยยกมาเสิร์ฟเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน ทั้งที่ฝีมือของป้าน้อยยังดีเหมือนเดิม แต่พิชญ์กลับรู้สึกฝืดคอจนแทบกินอะไรไม่ลง ผิดกับอริญชย์ที่ตักข้าวเข้าปากคำแล้วคำเล่า โดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

          หลังจากข้าวต้มในชามอริญชย์พร่องไปกว่าครึ่ง ตุลย์ก็เดินกลับมา ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ขณะเอ่ยรายงานผู้เป็นนาย

           “ผมจัดการให้พวกเว็บไซต์เอาข่าวลงแล้วครับ แต่ตอนนี้เรื่องมันค่อนข้างลุกลาม มีคนพูดถึงบนโลกออนไลน์ไม่น้อย ทั้งถ้อยคำก็ค่อนข้างหยาบคาย ซึ่งเราไม่สามารถไปห้ามกลุ่มคนพวกนั้นได้ เพราะพวกนั้นเป็นบรรดาแฟนคลับที่โพสต์อยู่ตามกระทู้ต่างๆ”

          ฟังถ้อยคำของตุลย์แล้ว อริญชย์ก็ถึงกับสบถออกมาด้วยความเดือดดาล

           “บัดซบ!”

          หลังจากได้ฟังที่ตุลย์รายงานแล้ว พิชญ์ก็หยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองขึ้นมาเสิร์ชหาว่าคนอื่นพูดถึงข่าวนี้ว่าอย่างไร ก่อนจะต้องหน้าม้านด้วยความอาย ถ้อยคำต่างๆ ที่ถูกพูดถึงบนโลกออนไลน์ล้วนเป็นการแสดงความสงสารไอลดา นอกจากนั้นยังก่นด่ารัญญากับเขา หลักๆ เป็นเขาเสียมากกว่าที่ถูกด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายจนไม่มีชิ้นดี

          พิชญ์ถึงกับลูบหน้าตัวเองเบาๆ แค่มีข่าวฉาวเกี่ยวกับใครซักคนหลุดออกไปบนโลกออนไลน์ คนเราก็พร้อมจะเชื่อและรุมประนามหยามเหยียดโดยไม่คิดจะสืบหาความจริงแม้แต่น้อย สุดท้ายเมื่อความจริงปรากฏ คนที่เคยต่อว่าต่อขานก็เพียงแค่เงียบๆ ไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีกระทั่งคำขอโทษ ไม่มีกระทั่งความรู้สึกผิด เขาถอนหายใจช้าๆ ให้กับความรู้สึกหน่วงๆ ในอก รัญญาเดินหมากเกมนี้โดยเอาชื่อเสียงของตัวเองเป็นเดิมพันโดยหวังจะฉุดรั้งเขาให้ดิ่งลงไปพร้อม

          คนอย่างรัญญา กมลวิลาศน์...ไม่เพียงแต่โหดร้ายกับคนอื่น แต่ยังโหดเหี้ยมกับตัวเองด้วยเช่นกัน

          พิชญ์ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาควรจะทำอย่างไร ถ้าเทียบความสามารถในการจัดการแก้ไขปัญหาแล้ว นับว่าเขายังห่างจากอริญชย์อีกไกล ระหว่างที่เขากำลังนั่งฟังอริญชย์กับตุลย์คุยกันด้วยท่าทางเคร่งเครียด โทรศัพท์ของตุลย์ก็แผดเสียงดังขัดจังหวะ ตุลย์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหมายเลขก่อนจะกดรับสายอย่างไม่เต็มใจนัก ดูท่าทางว่าคงเป็นสายสำคัญ ตุลย์ถึงได้เลือกรับสายต่อหน้าอริญชย์

          ตุลย์พูดตอบรับอยู่สามสี่ประโยค ทำนองว่าเดี๋ยวจะแจ้งคุณใหญ่ให้ ก่อนจะวางสายไปแล้วสบตากับผู้เป็นนาย เห็นสีหน้าของตุลย์ อริญชย์ก็เดาออกทันที

           “พวกฝ่ายบริหารล่ะสิ...”

           “ครับ ทางฝ่ายบริหารกดดันให้เปิดประชุมหาแนวทางแก้ไขเรื่องคุณพีท ไม่อย่างนั้นข่าวเชิงลบแบบนี้จะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของบริษัท”

           “ห่วงผลประโยชน์จริงๆ เวลาเรื่องดีๆ ไม่เคยเสนอหน้า เวลาเรื่องแบบนี้ล่ะถนัดนัก” อริญชย์ก่นด่าก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วสั่งกำชับตุลย์อีกสองสามประโยค “ไปเตรียมรถแล้วเรียกพวกที่อยากประชุมเข้ามาประชุมให้หมด ขาดหายไปแม้แต่คนเดียวก็ไม่ได้”

          พอตุลย์เดินออกไปเตรียมรถตามที่อริญชย์สั่ง พิชญ์ก็รีบผุดลุกขึ้นยืน ก่อนจะเอ่ยถามคนที่กำลังอารมณ์ไม่ดีแต่เช้า

           “คุณใหญ่ ให้ผมเข้าประชุมด้วยไหม”

           “ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันรีบไปกับตุลย์ จะได้ไม่เสียเวลา นายจัดการอะไรเสร็จค่อยตามไปที่บริษัทแล้วกัน”

          เหตุผลที่อริญชย์ไม่ให้พิชญ์เข้าประชุมด้วย ไม่ใช่เพราะว่าเขาอยากกันพิชญ์อยู่วงนอกของปัญหา แต่เขารู้ดีว่าถ้าหากพิชญ์ไปปรากฏตัวในที่ประชุมฝ่ายบริหารเมื่อไหร่ คนพวกนั้นก็จะหันมากดดันพิชญ์แทนเขา อย่างน้อย คนที่มีสิทธิ์จะลงโทษพิชญ์ก็มีแค่เขาคนเดียว คนอื่นหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์ทั้งนั้น

          พิชญ์มองสบตาอริญชย์ ทำท่าเหมือนอยากจะเอ่ยอะไรออกมา แต่กลับไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไร ครั้งนี้เขาทำผิดจริงๆ อริญชย์นึกอยากดึงพิชญ์เข้ามากอด แต่ทั้งเขาและพิชญ์ต่างยืนกันอยู่กลางบ้าน คงไม่เหมาะสมนักหากเขาจะทำอะไรประเจิดประเจ้อ อย่างน้อยเขาก็ควรให้เกียรติพิชญ์ ในฐานะพ่อของน้องหนู และในฐานะสามีของไอลดาที่ยังมีพันธะต่อกัน อริญชย์บีบบ่าคนตัวเล็กกว่าเบาๆ ก่อนเสียงทุ้มต่ำจะปัดเป่าความกังวลของพิชญ์ให้หายไปมากกว่าครึ่ง

           “จำที่ฉันบอกเมื่อคืนไม่ได้หรือไง เชื่อฉัน ถ้ามีฉันอยู่ จะไม่มีใครทำอะไรนายได้”

          ถ้อยคำธรรมดาของอริญชย์ ไม่ว่าจะเมื่อคืนหรือตอนนี้ พิชญ์ก็เชื่อหมดใจ พิชญ์เชื่อว่าเมื่อมีอริญชย์อยู่ เขาจะก้าวผ่านทุกอย่างไปได้ ตั้งแต่เมื่อไหร่ พิชญ์ก็ไม่อาจรู้ได้ ที่เขาวางทั้งหัวใจและความเชื่อใจลงในมือของอริญชย์

          สุดท้ายแล้ว...ตัวพิชญ์เองคือคนที่เต็มใจอยู่ในความสัมพันธ์อันซับซ้อนนี้ พิชญ์มีคำตอบให้ตัวเองในที่สุด หัวใจที่เขาไม่เคยหยิบยื่นให้ไอลดา แท้ที่จริงกลับมอบให้อริญชย์ไปนานแล้ว

          เขาแค่หวังว่า ความเชื่อและความไว้ใจทั้งหมดที่เขามอบให้อริญชย์ไป...จะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง



.



          บรรยากาศในห้องประชุมฝ่ายบริหารค่อนข้างเคร่งเครียด เสียงพูดคุยกระซิบกระซาบดังเบาๆ ส่วนมากล้วนแล้วแต่เอ่ยถึงหัวข้อข่าวที่ปรากฏบนโลกออนไลน์ ร้อยวันพันปี เคเค คอนสตรัคชั่นไม่เคยจะมีเรื่องอื้อฉาวเสียหาย คราวนี้นอกจากจะมีเรื่องอื้อฉาวแล้ว คนที่ถูกพาดพิงยังเป็นถึงน้องสาวท่านประธานและรองประธาน มิหนำซ้ำคู่กรณีอีกฝ่ายยังเป็นบริษัทคู่แข่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาวิธีลดแรงเสียดทานลงให้ได้มากที่สุด

          แต่ละคนต่างพากันเลื่อนดูข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง พลางเอ่ยวิพากษ์วิจารณ์ บางคนถึงกับหยิบยกเอาเรื่องที่พิชญ์ได้ตำแหน่งรองประธานบริษัทมาด้วยความรวดเร็วมาเป็นหัวข้อสนทนา แม้จะมีคนชื่นชมความสามารถพิชญ์ไม่น้อย แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะพอใจในตัวพิชญ์ เมื่อมีคนชื่นชมก็ย่อมมีคนชิงชังด้วยเช่นกัน

          สิ่งเดียวที่ฝ่ายบริหารสนใจคือผลประกอบการและหน้าตาของบริษัท แม้พิชญ์จะคว้างานประมูลชิ้นใหญ่ของปีให้กับเคเค คอนสตรัคชั่นได้สำเร็จ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าข่าวฉาว ซึ่งกำลังเป็นที่กล่าวขวัญถึงอยู่นี้ ได้ลดทอนมูลค่าและภาพลักษณ์ของบริษัทลง

          ขณะที่แต่ละคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ถึงข่าวที่เกิดขึ้นอยู่นั้น ประตูห้องประชุมก็เปิดออก แม้จะเป็นการประชุมเร่งด่วนที่มีขึ้นกระทันหัน แต่อริญชย์ก็คงเดินเข้ามาด้วยท่าทางทรงอำนาจเหมือนทุกครั้ง เขากวาดตามองรอบๆ ห้องราวกับต้องการจะเช็กรายชื่อคนที่มาเข้าร่วมประชุมก่อนจะนั่งลงประจำตำแหน่ง

           “ผมได้ยินว่าทุกท่านต้องการให้เปิดประชุมเป็นวาระเร่งด่วนเพื่อพิจารณาหาแนวทางรับมือกับข่าวของพิชญ์ ภัทรกุล” อริญชย์โยนหินถามทางออกไปด้วยท่าทางเรียบเฉย แต่แฝงไว้ด้วยความกดดัน

          คนแรกที่กล้ายกมือและเอ่ยปากท้าทายอำนาจของอริญชย์ นั่งอยู่ทางขวามือของเขา เอ่ยถามด้วยถ้อยคำเยาะหยัน

           “แล้วเจ้าตัวเขาไม่คิดจะบากหน้ามาเข้าประชุมและแสดงความรับผิดชอบหน่อยหรือไง”

          สายตาคมกริบของอริญชย์กวาดไปยังคนพูด เขาเลิกคิ้วน้อยๆ ขณะนึกหมายหัวอีกฝ่ายไว้ในใจ ในเมื่ออำนาจอยู่ในมือเขา เขาก็ย่อมใช้อำนาจที่ตัวเองมีให้เกิดประโยชน์ ถ้าแค่นี้เขายังปกป้องพิชญ์จากคำครหาไม่ได้ เขาก็คงไม่ใช่อริญชย์ เกียรติกาญจนา

           “มีเหตุผลอะไรที่พีทต้องทำอย่างที่คุณบอกด้วย ไหนลองอธิบายให้ผมฟังหน่อยสิ คุณสมภพ”

          เจ้าของชื่อลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับอริญชย์ทันที สายตาประสานสายตา ก่อนเขาจะเป็นฝ่ายแสยะยิ้ม

           “อย่าบอกว่าคุณใหญ่ไม่เห็นข่าวที่กำลังอื้อฉาวไปทั่วโลกออนไลน์ตอนนี้”

           “ทำไมผมถึงจะไม่เห็น”

           “ถ้าอย่างนั้นคุณใหญ่ก็ต้องเห็นว่าข่าวนี้มันสร้างผลกระทบกับบริษัทมากแค่ไหน ในฐานะตัวแทนของฝ่ายบริหารคนอื่นๆ ผมเองก็คาดหวังว่าจะได้เห็นวิธีรับมือและจัดการกับปัญหาอย่างมืออาชีพ” ถ้อยคำของเขามีทั้งความท้าทายและกดดันอยู่ในที แต่อริญชย์กลับแค่รับฟังนิ่งๆ ก่อนจะเอ่ยย้อนถามกลับไป

           “ผมเข้าใจว่าคุณสมภพคงจะมีวิธีดีๆ อยู่ในใจแล้ว ไม่สู้ลองพูดออกมาให้ผมพิจารณาดูหน่อยล่ะ”

           “คุณใหญ่อยากฟังจริงๆ หรือครับ”

          หากคิดว่าคนอย่างอริญชย์จะกริ่งเกรงกลับถ้อยคำกึ่งยั่วยุกึ่งข่มขู่นั้น คนพูดก็คงจะประเมินอริญชย์ต่ำไปหน่อย การก้าวขึ้นมาอยู่บนจุดนี้ของอริญชย์ สิ่งที่ต้องมีนอกเหนือจากความสามารถก็คืออำนาจบารมี เขาทอดสายตามองคนพูดนิ่งๆ ราวกับอีกฝ่ายเป็นเด็กอมมือที่ริอ่านจะต่อกรกับเขา

           “ว่ามาสิ ผมรอฟังอยู่”

           “ผมและฝ่ายบริหารบางส่วนเห็นตรงกันว่า เพื่อรักษาชื่อเสียงของเคเค คอนสตรัคชั่น ควรที่จะปลดคุณพีทออกจากตำแหน่งรองประธานบริษัท”

          เสียงสนับสนุนดังขึ้นรอบด้านราวกับจะยืนยันว่าเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องนี้ อริญชย์หรี่ตาลงอย่างดุร้าย หลังจากจัดการเรื่องต่างๆ เสร็จ เขาเองก็ควรจะต้องเก็บกวาดบ้านของตัวเองให้เรียบร้อยเหมือนกัน

           “ในเมื่อเสนอให้ผมปลดพีทออกจากตำแหน่ง แปลว่าแต่ละคนคงมีคนที่จะดันขึ้นมาอยู่ในใจแล้วใช่ไหม ใครกันล่ะ หรือว่าจะเป็นคุณสมภพเอง” อริญชย์เอ่ยถามออกไปตรงๆ โดยไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายแม้แต่น้อย จนคนถูกเอ่ยชื่อถึงเป็นฝ่ายหน้าม้านเสียเอง

          ภายใต้ความเด็ดขาดและเยือกเย็นของอริญชย์ เสียงอื้ออึงรอบข้างพลันเงียบสงบลง กระทั่งว่าหากมีเข็มหล่นซักเล่มก็คงได้ยินเสียง จนกระทั่งมีคนเอ่ยปากทำลายความเงียบขึ้นมา

           “ผมกลับมองต่างกัน ผมมองว่าคุณพีทเป็นคนมีความสามารถ การที่จะปลดคุณพีทออกจากตำแหน่งเลย ผมคิดว่าเป็นการด่วนตัดสินเกินไป  ทำไมเราไม่ให้คุณพีทยุติบทบาทเป็นการชั่วคราวแทนล่ะครับ รอให้เรื่องต่างๆ เงียบลงก่อน ถึงยังไงคนไทยเราก็ลืมง่ายอยู่แล้ว หรือท่านอื่นๆ คิดว่าไงครับ”

          อริญชย์ไม่ได้เอ่ยสนับสนุนหรือโต้แย้งออกมาในทันที เขาเพียงแค่กวาดสายตามองขณะสังเกตท่าทีของคนอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าความคิดเห็นของบรรดาฝ่ายบริหารเริ่มแตกออกเป็นสองฝั่ง มีทั้งที่อยากให้ปลดพิชญ์ ซึ่งส่วนมากก็เป็นคนที่คัดค้านตั้งแต่ตอนที่อริญชย์ผลักดันให้พิชญ์ขึ้นรับตำแหน่งเมื่อตอนแรกๆ และอาศัยโอกาสนี้ในการเรียกร้อง ขณะที่อีกฝั่งกลับมองว่าการรักษาคนที่มีความสามารถเอาไว้สำคัญกว่าการรักษาชื่อเสียง

          ชื่อเสียงกอบกู้เมื่อไหร่ก็ได้ แต่หากบริษัทสูญเสียคนมีความสามารถที่อุตส่าห์ปลุกปั้นไป ทุกสิ่งที่ผ่านมาก็เสียเปล่า ยิ่งคนที่ว่าคือพิชญ์ ภัทรกุล แน่นอนว่าอริญชย์ย่อมไม่มีทางปล่อยให้ใครหน้าไหนมาสั่นคลอนตำแหน่งของพิชญ์ง่ายๆ แน่ กับแค่ข่าวฉาวรายวันเหมือนหมาหยอกไก่แบบนี้ หากคิดว่าคนอย่างเขาไม่มีปัญญาจัดการก็คงจะดูถูกคนอย่างอริญชย์ เกียรติกาญจนาไปหน่อย เหตุผลที่เขายอมเรียกประชุมตามที่บรรดาฝ่ายบริหารเรียกร้อง ก็แค่อยากจะดูว่ามีกี่คนกันบ้างที่มีความคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อคนของเขา

          ฝ่ายบริหารทำทีเป็นปรึกษาหารือถึงแนวทางการแก้ปัญหากันใหญ่ ทุกคนคงลืมไปว่า ภายใต้บริษัทเคเค คอนสตรัคชั่นแห่งนี้ คนที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดคือใคร พอเจ้าตัวตบโต๊ะทีหนึ่ง ทุกคนก็เงยหน้าขึ้นมอง รอยยิ้มเยียบเย็นปรากฏบนใบหน้าของอริญชย์ ก่อนที่เขาจะเอ่ยตัดสินใจออกมาโดยไม่ต้องขอความเห็นใคร

           “ไม่จำเป็นต้องเถียงกันให้เสียเวลา สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นคราวนี้ ผมจะให้ทีมสื่อสารภาพลักษณ์ของบริษัททำเรื่องชี้แจ้งกับสื่อภายในวันนี้ ส่วนเรื่องตำแหน่งของพีท...” อริญชย์เว้นวรรคพลางกวาดสายตามองรอบห้อง ดวงตาดำจัดคมกริบ “ผมไม่เห็นความจำเป็นที่จะปลดหรือยุติบทบาทของรองประธาน ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว อำนาจตัดสินใจทั้งหมดอยู่ที่ผม ถ้าใครมีปัญหาอะไรก็มาพบผมที่ห้อง”

          บางคนทำท่าจะเอ่ยคัดค้าน แต่พอเห็นแววตาเย็นชาของอริญชย์ก็รู้สึกว่าการพยายามรักษาเก้าอี้ของตัวเองในตอนนี้ดูจะเป็นสิ่งที่ควรทำมากกว่า พอเห็นว่าไม่มีเสียงคัดค้านใดๆ อีก อริญชย์ก็ยิ้มเยาะ คนพวกนี้ประเมินความสำคัญของพิชญ์ในใจเขาต่ำเกินไปหน่อย คิดหรือว่าเขาจะให้ความสำคัญกับพิชญ์น้อยกว่าชื่อเสียงบริษัท

           “ถ้าไม่มีใครมีปัญหาอะไร งั้นประชุมวันนี้ก็ให้จบลงแค่นี้ คนอื่นแยกย้ายไปได้ แต่รบกวนคุณสมภพอยู่คุยกับผมก่อน”

          คนอื่นๆ พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะรีบเดินออกจากห้องประชุม ถึงจะมีตำแหน่งอยู่ในฝ่ายบริหาร แต่อำนาจของแต่ละคนก็ยังเป็นรองประธานบริษัทอย่างอริญชย์ คนที่เมื่อกี้ร่วมผสมโรงเรียกร้องให้ปลดพิชญ์ออกจากตำแหน่งถึงกับร้อนๆ หนาวๆ ทั้งไม่รู้และไม่อยากรู้ว่าอริญชย์จะจัดการกับพวกเขายังไง คนที่ฉลาดหน่อยก็พอคิดได้จากท่าทีของอริญชย์วันนี้ ว่าไม่ควรจะมีข้อสงสัยหรือข้อซักถามใดๆ กับเรื่องของพิชญ์ ภัทรกุล แม้จะมีคำถามวนเวียนอยู่ในหัวมากมายว่าทำไม ทำไม และทำไม

          ...แค่เพราะพิชญ์ ภัทรกุลเป็นน้องเขย อริญชย์ถึงต้องปกป้อง แค่นั้นจริงหรือ?...



.



ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25



          พิชญ์มาถึงบริษัทตอนสายๆ เขาคิดมาตลอดทางว่าคงจะมีสายตาแปลกๆ จากบรรดาพนักงานมองมายังเขา แต่โชคดีที่ไม่เป็นอย่างนั้น ทุกคนยังคงให้ความเคารพนบนอบเขาเหมือนเดิม พอพิชญ์ขึ้นลิฟต์ไปถึงชั้นของเขา ก็เห็นหัวหน้าทีมสื่อสารภาพลักษณ์เพิ่งเดินออกมาจากห้องของอริญชย์ อีกฝ่ายพอเห็นพิชญ์ก็รีบค้อมหัวเป็นเชิงทักทาย พิชญ์พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องของอริญชย์ โดยไม่ลืมที่จะเคาะประตูห้องก่อน

          ตุลย์เป็นฝ่ายเดินออกมาเปิดประตู พอเห็นว่าคนเคาะคือพิชญ์ เขาก็รีบเบี่ยงตัวหลบให้พิชญ์เดินเข้าห้อง ก่อนที่เขาจะถือโอกาสออกจากห้อง ทิ้งพิชญ์อยู่ในห้องกับอริญชย์ตามลำพัง เจ้าของห้องกำลังง่วนอยู่กับเอกสารตรงหน้า คิดว่าคนที่ยังอยู่ในห้องคือตุลย์ก็เอ่ยถามโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง

           “ใครเคาะประตูน่ะ ตุลย์”

           “ผมเอง”

          พอได้ยินว่าเป็นเสียงใคร อริญชย์ก็วางปากกาในมือลง ก่อนจะเอ่ยเรียกคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตู

           “มานี่สิ”

          ถ้าเป็นเวลาอื่นพิชญ์คงอิดออด แต่เวลานี้พิชญ์กำลังรู้สึกผิดกับปัญหาที่ตัวเองก่อขึ้นโดยไม่ตั้งใจ ไม่ว่าอริญชย์จะบอกให้เขาทำอะไร เขาก็ทำตามโดยไม่มีเกี่ยงงอน

          พอพิชญ์เดินเข้ามาจนอยู่ในระยะมือคว้า อริญชย์ก็ดึงอีกฝ่ายเข้ามาหา จนพิชญ์ล้มลงมานั่งทับอยู่บนตักของอริญชย์ พิชญ์พยายามขืนตัวจะลุกขึ้นยืน แต่คนที่ทำตัวเป็นเก้าอี้จำเป็นกลับไม่ยอม นอกจากสองแขนจะรัดรอบเอวเขาแล้ว ยังกดปลายคางลงมา บังคับไม่ให้พิชญ์ลุกหนีไปไหน

           “นั่งดีๆ นายยังมีความผิดอยู่นะ ลืมแล้วหรือไง”

          คนถูกต่อว่ากรายๆ ยอมนั่งนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของอริญชย์อย่างไม่เต็มใจนัก

           “เมื่อกี้ผมเห็นหัวหน้าทีมสื่อสารองค์กรเพิ่งเดินออกไป คุณใหญ่เรียกเขามาหรือ”

           “ใช่สิ นายคิดว่าฉันจะปล่อยให้ชื่อของนายติดอันดับคำค้นหาบนโลกออนไลน์ต่อไปเรื่อยๆ หรือไง เดี๋ยววันนี้ทางทีมสื่อสารองค์กรจะชี้แจงถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วฉันก็สั่งให้ไอ้เล้งจัดการปัญหาทางฝั่งมันให้เรียบร้อยด้วย”

           “มันจะง่ายขนาดนั้นเลยหรือครับ” พิชญ์เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนัก

           “ไม่เชื่อมั่นในฝีมือทีมสื่อสารองค์กรของเราหรือไง ถ้างานง่ายๆ แค่นี้ยังทำไม่ได้ ฉันจะสั่งย้ายไปทำอย่างอื่นให้หมด”

          เห็นคนที่มีอำนาจสูงสุดในบริษัทเอ่ยปากจะสั่งย้ายคนอื่นง่ายๆ พิชญ์ก็รีบเอ่ยห้ามทันควัน ก่อนที่คนอารมณ์ไม่ดีจะวู่วามสั่งการลงไปแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง

           “อย่าเพิ่งใจร้อนได้ไหม คุณใหญ่”

           “ถ้าเป็นเรื่องนาย ฉันใจร้อนทั้งนั้น”

          พิชญ์ถอนหายใจออกมาเบาๆ ให้กับความหุนหันพลันแล่นของอริญชย์ แต่แวบหนึ่งก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเขาตื้นตันอยู่ในอกลึกๆ ยามที่รู้ว่ามีปัญหาแล้วยังมีอริญชย์ยืนอยู่ข้างหลัง พร้อมที่จะแก้ปัญหาต่างๆ ให้เขา แม้ว่าจะเป็นปัญหาที่เขาก่อขึ้นก็ตาม ในเมื่ออริญชย์เลือกที่จะวางหัวใจไว้ในมือของเขา คงไม่แปลกอะไร ถ้าหากพิชญ์จะวางหัวใจคืนกลับไปให้เช่นกัน

          พิชญ์รู้ว่ามันไม่ถูกต้องนักกับความสัมพันธ์ที่ยังคลุมเครือกันอยู่แบบนี้ ความสัมพันธ์ที่อีกฝ่ายเป็นพี่ภรรยา ส่วนเขาเป็นน้องเขย แต่พิชญ์ก็อยากจะขอเห็นแก่ตัว เก็บเกี่ยวความรู้สึกดีๆ และความห่วงใยที่อริญชย์มีให้เขา อย่างน้อยก็แค่ตอนนี้ ตอนที่เขาไม่ต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิดที่มีต่อไอลดา

           “ทำไมคุณหลิวถึงต้องพุ่งเป้ามาที่ผมด้วย ในเมื่อคนที่ขัดแย้งกับคุณหลิวคือเสี่ยเล้ง ไม่ใช่ผม” พิชญ์เอ่ยถามคำถามที่ติดอยู่ในหัวของเขามานับตั้งแต่เกิดเรื่อง

           “เพื่อให้มั่นใจ ว่าทางเราจะโมโหและจะไม่ยื่นมือไปยุ่งกับเรื่องภายในของกมลวิลาศน์ยังไงล่ะ”

          ถ้อยคำของอธิบายไขข้อข้องใจของพิชญ์ได้เป็นอย่างดี รัญญาคงคิดว่าถ้าเธอทำแบบนี้แล้ว ทางอริญชย์และพิชญ์ก็จะยิ่งอยู่นิ่งและออกห่างจากราชันย์ เพื่อไม่ให้เรื่องลุกลามไปกันใหญ่ แต่รัญญาคงต้องคิดผิด เพราะเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพิชญ์แล้ว อริญชย์ไม่เคยคิดจะปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ

           “ขอบคุณนะครับ...”

          ขอบคุณที่อริญชย์ไม่โกรธเขา ขอบคุณที่อริญชย์คอยอยู่เคียงข้างเขา เผชิญหน้าปัญหาต่างๆ ร่วมกันกับเขา...

          อะไรบางอย่างดลใจให้พิชญ์หันไปเผชิญหน้ากับอริญชย์ เขาสบตากับเข้ากับดวงตาดุดันที่เจือความอ่อนโยนจางๆ ทุกครั้งที่ทอดมองเขา พิชญ์เลื่อนหน้าเข้าไปไกล จนเห็นเงาตัวเองสะท้อนออกมาจากนัยน์ตาของอริญชย์ แตะริมฝีปากตัวเองลงบนริมฝีปากอริญชย์เบาๆ อย่างเขินอาย อย่างขลาดเขลา

          คนถูกกระทำเป็นฝ่ายเบิกตากว้าง ประกายแสงแห่งความยินดีลุกโชนในดวงตา ไม่มีครั้งไหนที่อริญชย์จะรู้สึกว่าตัวเองเข้าใกล้หัวใจของพิชญ์ได้เท่าครั้งนี้ ที่พิชญ์เป็นฝ่ายจูบเขาก่อน แม้จะเป็นเพียงแค่สัมผัสแผ่วๆ แต่มันก็ชัดเจนและจริง จนอริญชย์เกือบจะคิดว่าเขากำลังฝันไป

          ฝันที่เคยฝัน ความรักที่คาดหวังมาตลอด ตอนนี้ดูราวกับแค่เอื้อมมือออกไปก็จะไขว่คว้ามาครองได้

          แทนความยินดีที่เขามี อริญชย์กดริมฝีปากตัวเองให้แนบสนิทกับริมฝีปากพิชญ์มากยิ่งขึ้น ขบเม้มริมฝีปากพิชญ์เบาๆ ใช้ปลายลิ้นหลอกล่อให้พิชญ์ค่อยๆ เผยอริมฝีปากออกด้วยความยินยอม ลิ้มรสความสุขที่อัดแน่นอยู่ในริมฝีปากร้อนผ่าวที่แนบเคล้าคลอเคลียอยู่กับริมฝีปากเขา

          จูบครั้งนี้ดูหอมหวานกว่าครั้งไหนๆ อริญชย์แทบอยากจะกลืนกินพิชญ์ลงไปทั้งตัว ฝ่ามือลูบไล้ไปทั่วร่างพิชญ์ ติดแค่ว่าตอนนี้เขาอยู่ในออฟฟิศ ในช่วงเวลาที่มีความสุ่มเสี่ยง อะไรๆ ที่อยากทำตามใจเลยต้องหักห้ามเอาไว้ไม่ให้เลยเถิด ได้แต่ดูดกลืนริมฝีปากและเสียงครางของพิชญ์ซ้ำๆ

          ก้อนเนื้อในอกซ้ายเต้นเร็วและแรง บ่งบอกถึงความยินดีปรีดาของเจ้าของมัน กระทั่งตอนที่ผละริมฝีปากออกมา และโอบกอดพิชญ์ที่นั่งอยู่บนตักไว้หลวมๆ อริญชย์ก็ยังกระซิบข้างหูพิชญ์เบาๆ ด้วยความอิ่มเอม

           “ฉันรักนาย รักจนแทบทนไม่ไหว รู้บ้างไหม...”

          คนถูกบอกรักไม่ตอบรับ แต่กลับซุกหน้าเข้ากับอกของอริญชย์ พยักหน้าน้อยๆ แทนคำตอบ ดวงหน้าที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้แดงก่ำจนลามไปถึงใบหู ทำเอาคนมองถึงกับเอ็นดู ก้มลงงับใบหูเจ้าตัวเบาๆ ก่อนจะกระซิบถ้อยคำรักออกมาด้วยความรู้สึกอันท่วมท้น

           “คุณใหญ่รักพีท...”

          ถ้อยคำนี้ทำเอาพิชญ์ถึงกับกระดากยิ่งกว่าเดิม เขาก้มหน้างุด แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ดังอยู่เหนือหัว แทบจะมุดหน้าลงไปในอกของอริญชย์ คำรักของอริญชย์ที่เอ่ยออกมาแทบจะตอกย้ำตีตราลงบนหัวใจของพิชญ์ หัวใจดวงเล็กเต้นเร่าอย่างไม่ตัวของตัวเอง จนพิชญ์อดสงสัยไม่ได้ว่า...

          หัวใจดวงนี้...อาจจะตกเป็นของอริญชย์ไปนานแล้ว



.



          ข้าวของที่อยู่ใกล้ไม้ใกล้มือถูกรัญญาคว้าจับแล้วเขวี้ยงลงพื้นกระจัดกระจายด้วยความโมโห หญิงสาวหน้าแดงก่ำด้วยแรงโทสะที่มี เมื่อวานเธอยังคุยกับอาสามถึงแผนการต่างๆ ที่วางไว้ร่วมกัน วาดฝันถึงวันที่จะกระชากราชันย์ลงจากบัลลังก์มังกร แต่วันนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตร อำนาจที่เธอพยายามไขว่คว้า ทุกสิ่งที่เธอเพียรพยายามทำมา กลับถูกยึดคืนง่ายๆ แค่เพียงเพราะผู้เป็นแม่ของเธอไม่ใช่คุณนายหลิน

          เช้าวันนี้ อารองเรียกหารือกันเป็นการภายในโดยกันเธออยู่วงนอก พอรู้ตัวอีกที รัญญาก็แทบกรีดร้องด้วยความเกรี้ยวกราด คุณนายหลิวอาศัยอำนาจอะไรมาบีบบังคับให้อารองกับอาสี่ปลดเธอออกจากตำแหน่งบริหารของกมลวิลาศน์ หักแขนหักขา ถอดเขี้ยวเล็บเธอจนไม่เหลือชิ้นดี แม้กระทั่งอาสามก็ยังช่วยเหลืออะไรเธอไม่ได้

          เมื่อเทียบกันแล้ว เธอกับอาสามรวมกันสองคน ยังไม่อาจสู้ราชันย์ อารอง และอาสี่ อำนาจที่เธอเคยหลงคิดว่ามี แท้จริงแล้วกลับไม่มีจริง ความสามารถที่เธอคิดว่าทำให้คนเก่าคนแก่ยอมรับได้นั้น แท้จริงคนเหล่านั้นก็ยังยึดติดอยู่กับการให้ราชันย์เป็นคนสืบทอดสกุล

          เพราะเธอเป็นผู้หญิง...

          เพราะเธอไม่ใช่ลูกที่เกิดจากภรรยาหลวง...

          หรือเพราะเธอไม่มีความสามารถเท่าราชันย์กันแน่

          รัญญาซบหน้าลงกับฝ่ามือ ตอนนี้หนทางเดียวที่เธอพอจะนึกออกคงมีแต่การถอยออกมาตั้งหลักก่อน หญิงสาวยืดหลังตรง ในเมื่อเธอก็มีสายเลือดกมลวิลาศน์ไม่ต่างกัน แล้วทำไมเธอต้องมามัวทำตัวขี้ขลาดอยู่อย่างนี้

           “นที...” เพียงแค่รัญญาเอ่ยเรียก คนสนิทก็มาปรากฏตัวข้างกายเธอทันที “เช็กดูว่าตอนนี้ฉันมีเงินสดอยู่ในบัญชีแต่ละบัญชีเท่าไหร่” อย่างน้อยตอนนี้ การมีเงินสดก็ดูจะปลอดภัยที่สุดสำหรับเธอ

           “ครับ คุณหลิว”

          รัญญานั่งนิ่งอยู่บนโซฟา เวลานี้สิ่งสำคัญคือเธอต้องมีทั้งสติและสมอง นอกจากอำนาจที่สูญเสียไปแล้ว สิ่งต่างๆ ที่เป็นของเธอก็ยังคงเป็นของเธออยู่ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีทางออก หญิงสาวปลอบตัวเองให้ใจเย็นๆ ก่อนจะรู้ว่าเธอมองโลกในแง่ดีเกินไป เมื่อนทีเดินหน้าตาเคร่งเครียดกลับมา

           “เกิดอะไรขึ้น นที” รัญญาถาม แม้จะพอเดาคำตอบจากท่าทีของอีกฝ่ายได้ลางๆ

           “คุณลือชาสั่งอายัดบัญชีคุณหลิวทั้งหมดเลยครับ”

          พอได้ยินคำตอบของราชันย์ รัญญาก็ถึงกับมือสั่นระริกด้วยความโกรธ เธอไม่เคยคิดเลยว่าอารองจะกล้าทำกับเธอถึงขนาดนี้ หญิงสาวควานหาโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ตั้งใจจะกดโทรออกหาอารอง แต่แล้วเธอกลับเปลี่ยนใจ กดโทรออกหาอีกคนแทน

           “อาสาม ฉันเอง...”

          แม้จะรู้ดีว่าการขอความช่วยเหลือจากอาสามจะต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน แต่นี่ก็เป็นหนทางเดียวที่รัญญานึกออกในตอนนี้ สำหรับตระกูลใหญ่อย่างกมลวิลาศน์แล้ว สายสัมพันธ์นั้นช่างเปราะบาง มีเพียงอำนาจและเงินตราที่จีรัง แต่ในยามนี้ ยามที่เธอไม่มีทั้งอำนาจและเงินตรา รัญญาก็ยังคิดไม่ออกว่าเธอจะเอาอะไรไปต่อรองกับอาสาม อาสามที่เห็นแก่ตัวและรักตัวกลัวตายยิ่งกว่าสิ่งไหน





TO BE CONTINUE



เหลือสต็อกตอนสุดท้ายแล้ว เลยมาๆ หายๆ

ถ้ามีช่วงที่หายไปนานๆ ก็ขออภัยด้วยนะคะ

ขอบคุณทุกคนที่รอติดตามนะคะ ^^

ถึงสถานการณ์รอบข้างจะยังไม่ดี แต่คุณใหญ่กับพีทก็ชื่นมื่นมาก


ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
รัญญาเธอโง่มาก พยามทำเหมือนว่าให้ฉลาด แต่จริงๆโง่ก็คือโง่ และไม่รู้จะดันทุรังเป็นหมาจนตรอกรึป่าวนะ ถึงตอนนั้นใครคงช่วยอะไรไม่ได้ ทำตัวเองทั้งนั้น อยากได้อำนาจมากเกินไปจนบางทีก็ลืมว่าเขาก็ไม่ได้คิดร้ายอะไรกับตัวเธอเลย อยากจะสนับสนุนด้วยซ้ำถ้าเธอไม่โลภมาก หึ! จะข่าวไรมาก็บ่ยั่นค่าา คุณใหญ่เอาอยู่ค่ะ เล่นกับใครไม่เล่น หึ //โอ๊ยยยยเห้เอ้ยเขินนไม่ไหวแล้ว  :กอด1: :-[ :o8: มารไม่มี รักนี้คงไม่เกิด 5555 พีทยอมรับใจแล้วเว้ย บราโว่~~ทั้งยังแสดงออกก่อนอีก อุ๊กรี๊ดด ปริ่มเลยคุณใหญ่ บอกรัก ปาหัวใจรัวๆ หวานมาก ให้ตายเถอะ >/////< เขินนไปด้วย 555 เป็นตอนที่ดีต่อใจจริง คึคึ รอๆตอนต่อไปเลยค่ะ ชอบมาก ขอบคุณนะคะที่มาต่อให้อ่าน  :L1: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
ยังไม่ยอมจบเรื่องราวอีก รัญญา

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
สี่สิบ
แบล็คเมล์





          ล่วงเข้าวันที่สองหลังจากที่มีข่าวฉาวระหว่างพิชญ์ ภัทรกุลกับรัญญา กมลวิลาศน์ปรากฏบนสังคมออนไลน์ อริญชย์ยังคงมีตารางงานประชุมรัดตัวแน่น แม้ฝ่ายสื่อสารองค์กรของเคเค คอนสตรัคชั่นจะออกมาชี้แจ้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นเบื้องต้นแล้ว แต่ก็ยังคงมีเสียงด่าทอพิชญ์อย่างหนาหูบนโลกออนไลน์

          พิชญ์อ่านถ้อยคำต่างๆ ที่ด่าทอเขาแล้วก็ถึงกับสะอึกอึ้งอยู่หลายรอบ เขาลูบหน้าผากตัวเองเบาๆ รู้สึกเหนื่อยเสียจนอยากหลบลี้หนีหน้าทุกคน การลงมือของรัญญาคราวนี้นับว่าส่งผลกระทบต่อเขาอย่างรุนแรงจริงๆ

          พิชญ์เองก็คาดไม่ถึง ว่าหลังจากลงมือลักพาตัวแม่พลอยกับน้องหนูแล้ว รัญญาจะถึงกับเล่นสกปรกขนาดเอาชื่อเสียงของตัวเองมาเดิมพัน จนตอนนี้เขาเหมือนกับเป็นผู้ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว พิชญ์นั่งจ้องโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ตรงหน้านิ่ง ยุคสมัยนี้ ข่าวต่างๆ บนสังคมอนไลน์แพร่ไปไวกว่าความตระหนักรู้ของคน ไม่แน่ว่าไอลดาที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งก็อาจจะทราบข่าวนี้แล้วเหมือนกัน พิชญ์นึกอยากโทรศัพท์หาไอลดา เพื่ออธิบายเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้กับเธอฟัง แต่พิชญ์ก็ไม่รู้ว่าไอลดาพร้อมที่จะรับฟังเขาหรือยัง

          พิชญ์วางนิ้วบนหน้าจอโทรศัพท์นิ่งๆ ขณะที่ยังคิดไม่ตกอยู่นั้นเอง โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ตรงหน้าก็สั่นครืดคราด ส่งสัญญาณว่ามีสายเรียกเข้า

          พิชญ์มองหมายเลขโทรศัพท์ที่แสดงบนหน้าจอ ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าหมายเลขที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในเครื่องของเขา ขณะกำลังชั่งใจว่าจะกดรับสายดีไหม สายก็ตัดไปเสียก่อน พิชญ์เลยถือโอกาสละสายตาจากโทรศัพท์มือถือตรงหน้า คิดเอาเองว่าปลายสายอาจจะโทรผิด และตั้งใจว่าจะเริ่มต้นเคลียร์เอกสารที่คั่งค้างอยู่เสียที แต่ยังไม่ทันได้ทำอย่างใจคิด โทรศัพท์มือถือก็สั่นครืดคราดอีกครั้ง ยังคงเป็นหมายเลขเดียวกับเมื่อครู่ที่โทรเข้ามา พิชญ์ตัดสินใจกดรับสายในที่สุด

          “สวัสดีครับ”

          “คุณพีท หลิวเองนะคะ”

          พิชญ์ชะงักไปนิดหนึ่ง เมื่อรู้ว่าคนโทรมาคือรัญญา นึกแปลกใจที่เธอยังกล้าโทรหาเขาทั้งที่ก่อเรื่องไว้มากมายขนาดนั้น เขาปรับอารมณ์ตัวเองให้เป็นปกติขณะเอ่ยตอบกลับเสียงเรียบๆ

          “ครับ คุณหลิว”

          ปลายสายดูเหมือนจะแปลกใจเล็กน้อย ที่ไม่เห็นพิชญ์แสดงอาการเกรี้ยวกราดอย่างที่เธอคาดหวังว่าจะได้เห็น บางทีเธอคงคาดหวังมากเกินไป รัญญาได้แต่หวังว่าเรื่องที่เธอโทรมาคราวนี้จะพอทำให้พิชญ์เกรี้ยวกราดขึ้นมาได้บ้าง

          “คุณพีท เห็นข่าวของหลิวกับคุณพีทแล้วใช่ไหมคะ”

          “ทั้งหมดนั่นเป็นฝีมือของคุณหลิวสินะ คุณหลิวทำไปทำไมกัน” พิชญ์แสร้งถาม ทั้งที่ตัวเขารู้คำตอบดีแก่ใจ

          “หลิวก็อยากจะเล่นเกมตอบคำถามกับคุณพีทอยู่หรอก แต่น่าเสียดายที่หลิวไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น เรื่องบางเรื่องคุณพีทเองก็น่าจะพอเดาออกอยู่แล้ว คงไม่ต้องให้หลิวเสียเวลาอธิบาย ที่หลิวโทรมาหาคุณพีทคราวนี้ก็เพราะมีเรื่องจะรบกวน”

          พิชญ์แค่นยิ้มเย็นออกมา รัญญายังกล้าพูดว่ามีเรื่องจะรบกวนเขา สิ่งที่เธอทำลงไปมันยิ่งกว่าการรบกวนเขาเสียอีก การอยู่เฉยๆ แล้วถูกคนไม่รู้จักรุมด่าทอเป็นยังไง พิชญ์เพิ่งรู้ซึ้งก็คราวนี้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่โกรธ แต่เขาโกรธมากเสียจนกลายเป็นความเฉยชาไปเสียแล้ว

          “ผมว่าคุณหลิวคงโทรหาผิดคนแล้วล่ะครับ คนอย่างผมไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรให้คุณหลิวต้องโทรหา” พิชญ์เอ่ยตัดบทอย่างไร้เยื่อใย ไม่คิดจะเสียเวลาสนทนากับเธอให้เสียอารมณ์แม้แต่น้อย แต่ดูเหมือนพิชญ์จะประเมินรัญญาต่ำไป

          “คุณพีทก็รู้ว่าที่หลิวยังมีรูปคุณพีทอยู่อีก”

          พิชญ์ขบกรามแน่น เมื่อพอจะเดาจุดประสงค์ที่รัญญาโทรมาออก เธอต้องการต่อรองกับเขา ด้วยไพ่ที่เหลืออยู่ในมือเธอ เขาพยายามควบคุมอารมณ์ขณะเอ่ยถามกลับไปเสียงนิ่งๆ

          “แล้วคุณหลิวต้องการอะไร”

          “เงินสดยี่สิบล้าน แลกกับรูปทั้งหมด”

          พอฟังข้อเสนอของรัญญาแล้ว พิชญ์ก็เกือบจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งด้วยความฉุนเฉียว นี่มันปล้นกันชัดๆ คนที่ตกเป็นผู้เสียหายทั้งขึ้นทั้งล่องก็คือเขา คนโดนถ่ายรูปแบล็กเมล์ก็คือเขา คนโดนเรียกร้องเงินก็คือเขา ไม่คิดว่ารัญญา กมลวิลาศน์จะมีวิธีรีดเลือดกับปูที่น่ารังเกียจแบบนี้ พิชญ์คิดด้วยความโมโหก่อนจะย้อนถามเสียงแข็ง

          “ไม่คิดว่ามากไปหน่อยหรือครับ คุณหลิว”

          “ยี่สิบล้านสำหรับรูปทั้งหมดนี้ หลิวไม่คิดว่ามันมากเกินไปค่ะ นอกเสียจากว่า...” รัญญาเว้นวรรคนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “คุณพีทอยากให้รูปเหล่านี้ส่งไปถึงคุณแม่ของคุณพีทที่อยู่ปราณบุรี”

          พิชญ์เกือบจะสบถออกมาด้วยความเกรี้ยวกราดเมื่อฟังคำขู่ของรัญญา ดีว่าเขายังควบคุมอารมณ์ตัวเองไว้ได้ ถึงได้เอ่ยถามกลับไปน้ำเสียงเยาะหยัน

          “แล้วผมจะเชื่อคุณหลิวได้ยังไง”

          “รูปทั้งหมดอยู่ในโทรศัพท์มือถือหลิว ถ้าคุณพีทตกลง หลิวก็จะยกโทรศัพท์ให้คุณพีทเป็นการแลกเปลี่ยน”

          ขณะที่พิชญ์กำลังคิดว่าควรโต้ตอบรัญญาที่อยู่ปลายสายอย่างไร เงาร่างของอริญชย์ก็ปรากฏตัวตรงหน้าเขา พิชญ์ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นอริญชย์ พอสบตากับอริญชย์เข้า อีกฝ่ายก็ขยับริมฝีปากโดยไร้สุ้มเสียง

          “ตอบตกลงไป”

          แม้พิชญ์จะนึกสงสัยว่าอริญชย์มีแผนการอะไรอยู่ ถึงให้เขาตอบตกลงไปเจอกับรัญญา แต่เวลานี้พิชญ์ย่อมเชื่ออริญชย์โดยไม่มีข้อกังขา

          “ตกลง แล้วผมต้องไปเจอคุณหลิวที่ไหน”

          “เดี๋ยวหลิวส่งสถานที่ไปให้อีกที แต่ว่า...” รัญญาเว้นวรรคไปอึดใจหนึ่ง “คุณพีทต้องมาคนเดียวนะคะ ไม่งั้นหลิวคงไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่เผลอส่งรูปให้ใครอีก”

          “ได้ครับ ส่งสถานที่มาให้ผมอีกทีแล้วกัน แค่นี้นะครับ” เอ่ยจบ พิชญ์ก็รีบกดตัดสายก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้

          อริญชย์เดินเข้ามายืนอยู่ข้างตัวพิชญ์ พอเห็นแววตาเหนื่อยล้าของพิชญ์แล้วก็นึกปวดใจ เขาวางมือลงบนบ่าของพิชญ์ก่อนจะบีบเบาๆ พิชญ์ช้อนตามองอริญชย์ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเนือยๆ

          “คุณใหญ่รู้ด้วยเหรอว่าคุณหลิวจะติดต่อมาหาผม”

          อริญชย์ไม่ได้ตอบคำถามพิชญ์ในทันที เขาโน้มตัวลงมาแตะริมฝีปากตัวเองกับริมฝีปากพิชญ์เบาๆ ก่อนจะดึงพิชญ์เข้าหาตัวแล้วเอ่ยกำชับ

          “นายแค่ไปหาหลิวก็พอ เรื่องอื่นๆ ไม่ต้องเป็นห่วง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉัน”

          “แล้วเงินยี่สิบล้านล่ะครับ”

          “เดี๋ยวฉันจัดการเอง”

          พิชญ์ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหลับตาลงช้าๆ ปล่อยให้ตัวเองซึมซับสัมผัสจากฝ่ามือของอริญชย์ที่ลูบหัวเขาเบาๆ พิชญ์ไม่รู้ว่าอริญชย์มีแผนการอะไร แต่ตอนนี้เขาก็ยินดีจะทำตามที่อริญชย์บอก ขอแค่ให้เรื่องวุ่นวายต่างๆ จบลงโดยเร็วที่สุด



.



          คฤหาสน์ตระกูลกมลวิลาศน์ตั้งตระหง่านอยู่บนที่ดินขนาดสี่ไร่ ซึ่งเป็นมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น อายุอานามของคฤหาสน์หลังนี้เกือบจะเท่ากับจำนวนปีที่ตระกูลกมลวิลาศน์ลงหลักปักฐานในประเทศไทย

          เรือนร่างระหงของสุภาพสตรีวัยย่างหกสิบก้าวลงมาจากรถยนต์ซีดานสัญชาติยุโรป ตามติดมาด้วยลูกชายเพียงคนเดียว ครั้งนี้นับเป็นการกลับมาเหยียบคฤหาสน์ตระกูลกมลวิลาศน์เป็นครั้งแรก หลังจากที่คุณนายหลินก้าวเท้าออกจากที่นี่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เธอเคยคิดว่าตัวเองคงไม่มีวันกลับมาเหยียบที่นี่อีกแล้ว แต่ต้นสายปลายเหตุที่พาเธอกลับมายืนอยู่ที่นี่ คือลูกชายคนเดียวที่กำลังเดินเคียงข้างเธอ ราชันย์ กมลวิลาศน์

          ทุกย่างก้าวที่คุณนายหลินและราชันย์เดินผ่าน บรรดาคนรับใช้ต่างพากันทำความเคารพด้วยความพร้อมเพรียง ทั้งคู่เดินตรงไปยังห้องหนังสือบริเวณปีกตะวันออก ซึ่งน้องชายคนรองและคนที่สี่ของเจ้าสัวลิขิตนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

          พอเห็นคุณนายหลินเดินเข้ามาพร้อมราชันย์ อารองและอาสี่ซึ่งกำลังนั่งสนทนากันอยู่ก็ลุกขึ้นยืนทำความเคารพตามลำดับความอาวุโสก่อนจะเอ่ยเรียกตามธรรมเนียม พลางเชื้อเชิญ

          “เชิญนั่งครับ พี่สะใภ้”

          อารองลุกขึ้นชงชาเถี่ยกวนอินด้วยตัวเอง ก่อนจะรินลงถ้วยกระเบื้องเคลือบแล้วนำมาวางตรงหน้าคุณนายหลิน ราชันย์ น้องชายตัวเอง และตัวเขาเอง จากนั้นจึงค่อยนั่งลงละเลียดชาราคาแพงตรงหน้าช้าๆ แล้วถึงเงยหน้าสบตาคุณนายหลินก่อนจะเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม

          “เวลาผมดื่มชาเถี่ยกวนอินทีไร เป็นต้องคิดถึงพี่สะใภ้ทุกทีเลย”

          “ความหมายดีหรือไม่ดีกันล่ะ” คุณนายหลินย้อนถามพลางคลี่ยิ้มบางเบา

          เห็นรอยยิ้มบางเบาของคุณนายหลินแล้วอารองก็ถึงกับชะงัก กาลเวลาไม่อาจทำร้ายสุภาพสตรีซึ่งกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าได้แม้แต่น้อย เธอในวัยสามสิบสวยสะพรั่งมากแค่ไหน เธอในวันนี้ก็ยังคงสวยสะพรั่งเหมือนเดิม แต่มีความสง่างามและกลิ่นอายของความมีอำนาจเพิ่มมากขึ้น จนเขาได้แต่นึกเสียดายแทนพี่ชายผู้ล่วงลับ ที่อารมณ์ชั่ววูบทำให้เลือกคว้าเอาก้อนกรวดมาชื่นชม จนต้องสูญเสียเพชรน้ำงามไปตลอดกาล

          “ต้องดีสิครับ พี่สะใภ้เป็นคนแนะนำชาเถี่ยกวนอินให้ผมดื่มนี่นา เสียแต่ว่าราคาแพงเสียจนผมหน้ามืดทุกครั้ง”

          คุณนายหลินหัวเราะออกมาเบาๆ ยามได้ยินถ้อยคำซึ่งกล่าวเกินจริงของน้องชายคนรองของอดีตสามี ด้วยฐานะอย่างลือชา กมลวิลาศน์แล้ว การดื่มชากิโลกรัมละหลายหมื่นไม่ได้ทำให้เจ้าตัวเดือดร้อนแม้แต่น้อย ประโยคที่เพิ่งเอ่ยออกมาเมื่อซักครู่ก็เป็นแค่ถ้อยคำทีเล่นทีจริงของเจ้าตัวเท่านั้น

          “เสียดายที่คราวนี้ฉันมากระทันหันไปหน่อย เลยไม่ได้เอาชาติดไม้ติดมือมาฝากน้องรอง”

          “แค่พี่สะใภ้ยอมมาพบพวกเราสองคนที่นี่ก็ดีมากแล้วครับ”

          เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ยามรู้เรื่องราวระหว่างเจ้าสัวลิขิตกับรตี ด้วยความหยิ่งทระนงทำให้คุณนายหลินแทบจะตัดสัมพันธ์ทุกอย่างกับทางตระกูลกมลวิลาศน์ เจ้าสัวลิขิตเพียรพยายามเดินทางไปฮ่องกงหลายต่อหลายครั้งเพื่อขอคืนดี แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงแค่ความเย็นชาและห่างเหิน

          “ฉันเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ความปรารถนาในชีวิตก็เหลืออยู่แค่เพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น”

          ฟังถ้อยคำแฝงความนัยของคุณนายหลินแล้ว อารองกับอาสี่ก็หันมองหน้ากัน ก่อนอาสี่จะเอ่ยถามไถ่

          “แล้วมาคราวนี้พี่สะใภ้จะมาอยู่กี่วันครับ”   

          ด้วยสถานะของคุณนายหลิน ซึ่งตอนนี้เป็นเพียงอดีตสะใภ้ของตระกูลกมลวิลาศน์ คุณลือชากับคุณปราโมทย์สมควรจะเรียกขานเธอว่าคุณนายหลิน ไม่ใช่พี่สะใภ้อย่างที่เรียกขานอยู่ แต่เห็นแก่ความสัมพันธ์อันดีระหว่างเธอกับพี่น้องสองคนนี้ รวมถึงการที่ทั้งคู่ดูแลราชันย์เป็นอย่างดี คุณนายหลินเลยไม่อยากหักหน้าอีกฝ่าย เพียงแค่คลี่ยิ้มบางๆ ยามรับฟัง

          ตลอดเวลาที่ผ่านมาสามสิบกว่าปี ทั้งคุณลือชาและคุณปราโมทย์ล้วนแต่เคารพนับถือเธอเป็นอย่างดี แม้กระทั่งวันที่เดินก้าวออกมาจากตระกูลกมลวิลาศน์ จนบางทีเธอเองก็นึกสงสัยอยู่ครามครัน ว่าน้องชายสามีเคารพเธอเพราะตำแหน่งพี่สะใภ้ หรือเพราะตระกูลหลินที่อยู่เบื้องหลังเธอ

          “มะรืนนี้ฉันก็จะกลับฮ่องกงแล้ว คราวนี้เจ้าเล้งช่วยดูแลจัดการเรื่องที่พักให้ ไม่ต้องลำบากเธอสองคนหรอก”

          “งั้นพรุ่งนี้เย็น เรากินข้าวด้วยกันซักมื้อดีไหมครับ

          คุณนายหลินไม่ได้เอ่ยตอบถ้อยคำเชื้อเชิญในทันที กลับปรายตามองลูกชายซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ราชันย์นั่งคลึงถ้วยชาเงียบๆ ไม่ได้เอ่ยร่วมวงสนทนาตั้งแต่เดินเข้ามา เห็นอาการของลูกชายแบบนี้ เธอก็เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะหันมาสบตาน้องชายคนที่สี่ของอดีตสามี แล้วเอ่ยปฏิเสธออกมาตรงๆ

          “พรุ่งนี้ตอนเย็นฉันมีนัดแล้ว พอดีทางตระกูลหวังเดินทางมาพักผ่อนกันที่นี่ ฉันเลยนัดหารือเรื่องสำคัญกับเขา”

          ความจริงแล้ว คุณนายหลินต้องการจะนัดพบกับตระกูลหวังตั้งแต่ที่ฮ่องกง บังเอิญว่าราชันย์กลับมาประเทศไทยเสียก่อน เลยต้องเปลี่ยนแผนมาพบปะกันที่นี่แทน

          ตระกูลหวังเป็นตระกูลอันดับต้นๆ ของฮ่องกงเคียงคู่กับตระกูลหลินมาหลายยุคหลายสมัย เสียแต่ว่าพอมาถึงยุคนี้ ตระกูลหวังกลับมีทายาทผู้หญิงเพียงสองคน ไร้ซึ่งลูกชายอย่างที่ผู้ใหญ่ในตระกูลคาดหวัง เมื่อคุณนายหลินเอ่ยปากออกมาแบบนี้แล้ว อารองและอาสี่ก็พอจะเดาเรื่องราวต่างๆ ออก สองพี่น้องมีความสนิทสนมคุ้นคยกับคุณนายหลินมากกว่าคนอื่นๆ ย่อมรู้ดีว่าภายใต้ริมฝีปากที่ฉาบรอยยิ้มบางเบาอยู่บ่อยครั้ง แท้จริงแล้วกลับวางแผนลึกล้ำมากมาย

          ตอนนี้บรรดาญาติพี่น้องที่เป็นปฏิปักษ์กับราชันย์ต่างถูกจัดการเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงแค่อาสามและรัญญา หนทางการขึ้นสู่ตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลกมลวิลาศน์ของราชันย์อยู่เพียงแค่มือเอื้อม เห็นทีความปรารถนาของคุณนายหลินที่เอ่ยออกมาเมื่อซักครู่ นอกเหนือจากการเห็นลูกชายคนเดียวรับสืบทอดมรดกด้วยความชอบธรรมแล้ว ก็คงเป็นการที่เห็นราชันย์เป็นฝั่งเป็นฝา ทั้งที่พอจะเดาเรื่องราวต่างๆ ออก อาสี่ก็ยังคงเอ่ยถามคุณนายหลินใบหน้ายิ้มแย้ม คล้ายว่ากำลังชวนคุย

          “เท่าที่ผมเห็นตามข่าวต่างๆ เหมือนตระกูลหวังจะมีลูกสาวอยู่สองคนใช่ไหมครับพี่สะใภ้”

          “ใช่ ฉันเคยเจอแล้วทั้งสองคน คนพี่ดูเรียบร้อย ท่าทางเอาการเอางาน ส่วนคนน้อง ตอนนั้นที่ฉันเจอยังดูเด็กๆ อยู่เลย ป่านนี้คงโตเป็นสาวสวยแล้วมั้ง”

          ราชันย์ยังคงนั่งนิ่งเงียบ ยามฟังอาสองคนของเขาสนทนากับแม่ จนกระทั่งคำถามของอาสี่วกกลับมาหาตัวเขาจังๆ เขาถึงได้เงยหน้าขึ้นมาพร้อมดวงตาเย็นชา

          “แล้วพี่สะใภ้เล็งคนไหนไว้ให้เจ้าเล้งหรือครับ”

          “อาสี่...” ราชันย์เรียกอีกฝ่ายเสียงเรียบๆ คล้ายจะปรามว่าเขายังนั่งอยู่ตรงนี้

          อาสี่ทำเมินเฉยต่อเสียงเรียกของหลานชายคนโปรด เขาเองก็ยังนึกสงสัย ว่าทำไมพี่สะใภ้ที่เมินเฉยต่อทุกสิ่งทุกอย่างของตระกูลกมลวิลาศน์ถึงยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องครั้งนี้ ดูเหมือนราชันย์จะทำข้อตกลงบางอย่างกับคุณนายหลิน ข้อตกลงที่ทำให้หลานชายของเขาดูแปลกไป ถึงแม้เขาจะมีศักดิ์เป็นอาของราชันย์ แต่ก็ไม่ใช่แม่บังเกิดเกล้า เรื่องบางเรื่องเขาก็ไม่อาจก้าวก่ายได้

          คุณนายหลินฟังถ้อยคำถามของน้องชายอดีตสามีแล้วก็แย้มยิ้ม ปรายตามองลูกชายคนเดียวแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบคำถามเมื่อครู่

          “ก็ต้องเป็นเอมิลี่ หวัง ลูกสาวคนโตสิ ทั้งเรียบร้อยและอ่อนหวาน ดูดีมีชาติตระกูลแบบคุณหนูตระกูลใหญ่”

          เรื่องที่ราชันย์กินอยู่กับเด็กผู้ชายคนหนึ่งมาหลายปี แน่นอนว่าไม่ใช่มีแค่คุณนายหลินที่รู้ แม้กระทั่งอารองและอาสี่ก็รู้ แต่ทุกคนต่างก็คิดตรงกันว่าราชันย์แค่เลี้ยงดูเหมือนของเล่นแก้เหงา ตราบใดที่ไม่ได้กระทบกระเทือนถึงชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ทุกคนก็ล้วนแล้วแต่เอาหูไปนา เอาตาไปไร่เสีย แต่เมื่อเห็นท่าทางเฉยชาของราชันย์วันนี้ ทุกคนก็เหมือนจะเดาออกว่าราชันย์คงไม่ได้เห็นดีเห็นงามหรือเต็มใจที่จะเกี่ยวดองกับตระกูลหวังอย่างที่คุณนายหลินคาดหวังไว้

          แม้จะนึกเห็นอกเห็นใจหลานชายอยู่ไม่น้อย แต่ความจริงที่ว่าราชันย์เป็นลูกชายคนเดียวของกมลวิลาศน์ ก็ทำให้อาสี่ถึงกับนิ่งเฉยเสีย ต่อให้จะมีความรักหรือไม่มี ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการมีทายาทสำหรับตระกูลใหญ่เป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ทายาทชาย ซึ่งจะมาสืบทอดตระกูลต่อไปในภายภาคหน้า

          อารองทำท่าเหมือนอยากจะเอ่ยอะไรออกมา แต่เสียงโทรศัพท์มือถือของราชันย์ก็ดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน เขาหยิบขึ้นมาดูอย่างเสียไม่ได้ พอเห็นว่าเป็นใครโทรมา เขาเลยเอ่ยปากบอกคนอื่นๆ ก่อนจะกดรับสาย

          “ไอ้ใหญ่โทรมา น่าจะมีเรื่อง ขอผมรับสายสักครู่” เอ่ยจบราชันย์ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เขาเดินถอยออกมายังมุมห้องก่อนจะกดรับสายของอริญชย์ “ว่าไง...”

          “หลิวโทรศัพท์หาพีทเมื่อกี้นี้ เรียกเงินยี่สิบล้านแลกกับรูปที่เหลือ” อริญชย์ที่อยู่ปลายสายเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขาไม่ชอบให้ใครมาลูบคมแบบนี้ “มึงจะจัดการเองหรือจะให้กูจัดการ”

          ฟังถ้อยคำของอริญชย์แล้วราชันย์ก็มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน ความหมายในคำถามของอริญชย์ย่อมไม่ใช่เรื่องจัดการรูปถ่าย แต่หมายถึงการจัดการรัญญาที่กล้ามากระตุกหนวดเสือ ยังดีที่อริญชย์ยังมีคุณธรรมมากพอที่จะโทรศัพท์มาถามเขาก่อน อย่างน้อยราชันย์ก็ไม่อยากให้เรื่องราวลุกลามไปข้างนอกโดยไม่จำเป็น เขาอยากเอาตัวรัญญากลับมาจัดการเป็นการภายในมากกว่า รวมถึงคนปลิ้นปล้อนอย่างอาสามของเขาด้วย

          “มึงส่งสถานที่ที่หลิวนัดกับพีทมาให้กู เดี๋ยวกูจัดการหลิวเอง”

          “ได้ เดี๋ยวกูส่งให้ แค่นี้นะ”

          ราชันย์ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร อริญชย์ก็วางสายไปแล้วราวกับรีบร้อน พอเขาเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วเงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็เห็นทั้งคุณนายหลิน อารอง และอาสี่กำลังมองมาที่เขา เขาเลยอธิบายสั้นๆ

          “หลิวโทรหาคนของไอ้ใหญ่ เรียกเงินยี่สิบล้านแลกกับรูปถ่ายที่เหลือ เดี๋ยวผมจะออกไปจัดการปัญหานี้ให้มันเสร็จๆ ไป ฝากอารองกับอาสี่ช่วยจัดการอาสามให้เรียบร้อยทีนะครับ” เอ่ยจบ ราชันย์ก็เตรียมตัวเดินออกจากห้อง ก่อนจะหันมามองคุณนายหลินที่ยังนั่งอยู่ “เรื่องนัดกับทางตระกูลหวัง ฝากแม่เตือนผมอีกทีแล้วกัน เผื่อผมยุ่งๆ แล้วเดี๋ยวจะลืมเอา”

          พอเอ่ยจบคราวนี้ ราชันย์ก็เดินออกจากห้องรับแขก ทิ้งผู้เป็นแม่และญาติผู้ใหญ่อีกสองคนไว้เบื้องหลัง คุณนายหลินมองตามหลังของลูกชายโดยไม่ได้เอ่ยอะไร แต่ริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มบางเบา

          ...อย่างน้อยลูกชายของเธอก็ควรรู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ การพบปะกับตระกูลหวังในวันรุ่งขึ้น เธอควรจัดการทุกอย่างให้จบทีเดียว จะได้ไม่ต้องมาคอยพะวักพะวงอีก งานนี้เธอลงทุนลงแรงไปไม่น้อย ได้แต่หวังว่าราชันย์จะไม่ทำให้เธอผิดหวัง



.


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-11-2020 20:09:59 โดย Renze »

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25



          อีกซีกโลกหนึ่ง ไอลดากำลังนั่งอ่านข่าวคราวต่างๆ ที่ปรากฏบนสังคมออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ประเด็นหลักๆ ช่วงนี้คือข่าวของสามีเธอกับรัญญา ริมฝีปากบางเม้มแน่นยามอ่านเนื้อความต่างๆ รวมถึงถ้อยคำแสดงความเห็นอกเห็นใจเธอ แต่กลับก่นด่าสามีเธอเสียเละเทะ

          ไอลดาถอนหายใจออกมาช้าๆ สภาพจิตใจเธอตอนนี้นับว่าดีขึ้นจากตอนแรกๆ ไม่น้อย หลังเธอลงเรียนหลักสูตรสอนทำอาหาร เธอก็เอาแต่จดจ่ออยู่กับการเรียน เพิ่งมีโอกาสติดตามข่าวสารต่างๆ เมื่อไม่กี่วันนี้ ก่อนจะกลายเป็นฝ่ายเซอร์ไพรส์เมื่อเห็นว่าตัวเองมีเอี่ยวกับข่าวฉาวนี้ด้วย

          หลังจากนั่งไล่อ่านข่าวของพิชญ์และความคิดเห็นต่างๆ บนสื่อออนไลน์มาร่วมชั่วโมง ไอลดาก็วางโทรศัพท์มือถือลง เธอย่อมรู้ดีแก่ใจว่าพิชญ์ไม่มีทางยุ่งเกี่ยวหรือมีสัมพันธ์เกินเลยกับรัญญา รวมถึงผู้หญิงคนอื่นๆ ในเมื่อกับเธอ ซึ่งเป็นภรรยาตามกฎหมาย เขายังไม่ยอมมีความสัมพันธ์ด้วยเลยซักครั้งนับตั้งแต่แต่งงานมา พอคิดถึงภาพของพี่ชายกับสามีตัวเอง ไอลดาก็เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะปัดความไม่พอใจเหล่านั้นออกจากความคิด

          ความที่เป็นน้องสาวเพียงคนเดียวของอริญชย์ ไอลดาย่อมรู้จักคิดวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ ไม่ต่างจากผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งเธอก็พอมองออกว่าเรื่องนี้ดูแปลกๆ และหญิงสาวก็พุ่งเป้าไปที่รัญญา เธอเองพอรู้จักอีกฝ่ายอยู่บ้าง แต่ไม่ได้สนิทสนมคุ้นเคยกัน แต่สัญชาติญาณลึกๆ มักจะบอกเธออยู่เสมอว่ารัญญาดูไม่น่าไว้วางใจ และการจะไขข้อข้องใจของตัวเองได้ ก็คงมีเพียงการกลับไป แต่...

          เธอพร้อมแล้วจริงๆ หรือที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับอริยชย์และพิชญ์

          ไอลดารู้ว่าข่าวบ้าๆ นี่ของพิชญ์จะเงียบสงบลงเพียงแค่เธอปรากฏตัวเคียงข้างพิชญ์ แต่ปัญหาคือเธอพร้อมแล้วหรือยัง พร้อมที่จะกลับไปแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่พี่ชายของเธอก่อขึ้น และทำให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจจนต้องหนีมาไกลถึงสหรัฐอเมริกา หญิงสาวตรึกตรองก่อนจะลุกไปหยิบโน้ตบุ๊กของอธิษฐ์ที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือ ตอนมาถึงใหม่ๆ ไอลดามีเหตุให้ต้องใช้โน้ตบุ๊กเพื่อเตรียมเอกสารสมัครเรียน คุณอำพรเลยนำโน้ตบุ๊กของอธิษฐ์มาให้เธอใช้

          ไอลดาใส่รหัสผ่านที่คุณอำพรเคยบอกกับเธอ หลังจากนั้นก็ต่ออินเทอร์เน็ต เข้าเว็บของสายการบินเพื่อค้นหาตั๋วเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ ก่อนจะต้องชะงักน้อยๆ เมื่อเสียงแหบๆ เอ่ยถามมาจากด้านหลัง

          “จะไปไหนน่ะ”

          ไม่ต้องหันไปมอง ไอลดาก็รู้ว่าเจ้าของเสียงคืออธิษฐ์ พี่ชายต่างมารดาของเธอ ถึงแม้การอยู่ร่วมชายคาเดียวกันมาร่วมเดือนจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับอธิษฐ์ไม่ย่ำแย่เหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก

          “อย่ายุ่งน่า”

          ไอลดาคิดเอาเองว่าหลังจากเธอเอ่ยปากออกไปแบบนั้น อีกฝ่ายคงเลิกสนใจเหมือนที่แล้วๆ มา แต่น่าแปลก คราวนี้อธิษฐ์กลับเดินเข้ามายืนอยู่ข้างหลังเธอ เขาเม้มริมฝีปากแน่นเหมือนชั่งใจอะไรบางอย่างอยู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาเบาๆ เหมือนตัดสินใจแล้ว

          “จองตั๋วเผื่อฉันด้วย”

          คนสองคนที่ต่างมีบาดแผลในใจ แม้จะต่างที่มา ต่างเหตุผล แต่ตอนนี้ได้ตัดสินใจที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับต้นตอของบาดแผลด้วยกัน

          ไอลดาละสายตาจากหน้าจอโน้ตบุ๊กหันมาหาพี่ชายคนรอง หรี่ตาลงนิดๆ เหมือนไม่แน่ใจ หลายปีแล้วที่อธิษฐ์ย้ายมาอยู่ที่นี่ จนเธอไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกลับไปเหยียบประเทศไทย แต่ทำไมวันนี้ถึง...

          “จะไปทำไม ว่างหรือไง” กับพี่ชายต่างสายเลือดคนนี้ ไอลดายังทำใจให้พูดดีๆ ด้วยไม่ได้เสียที แต่นี่ก็ถือว่าเธอยอมอ่อนให้มากแล้วเหมือนกัน

          “ไปเป็นเพื่อนเธอ จองตั๋วให้ฉันด้วย”

          “เอ๊ะ...”

          ไอลดาเพิ่งจะขึ้นเสียง คุณอำพรก็รีบเดินเข้ามาดูเพราะกลัวว่าไอลดากับอธิษฐ์จะทะเลาะกัน พอเห็นสีหน้าเฉยชาของลูกชาย คุณอำพรก็หันไปหาไอลดาที่นั่งหน้าบึ้ง

          “เป็นอะไรคะ คุณเล็ก โมโหอะไรเจ้ากลางคะ”

          ไอลดาหันมาสบตากับคุณอำพร อดรู้สึกดีกับอีกฝ่ายไม่ได้ อย่างน้อยตลอดระยะเวลาที่เธอมาขออาศัยอยู่ที่นี่ คุณอำพรก็ปฏิบัติกับเธอเหมือนเป็นลูกอีกคน ทั้งดูแลและคอยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเธอเป็นอย่างดี จนไอลดาถึงกับรู้สึกผิดหน่อยๆ ที่เคยอคติและตั้งแง่กับอีกฝ่าย แต่จะให้ยอมรับเรื่องที่พ่อของเธอนอกใจแม่ มันก็ไม่ง่ายขนาดนั้น

          “ฉันกำลังจะจองตั๋วกลับกรุงเทพฯ”

          “อ้าว แล้วคอร์สเรียนทำอาหารที่คุณเล็กลงเรียนไว้ล่ะคะ”

          “ดรอปไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยกลับมาเรียนต่อ”

          คุณอำพรฟังแล้วก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ ไอลดามาอยู่กับเธอก็เป็นเดือนแล้ว คงคิดถึงบ้านและลูกสาวไม่น้อย คิดได้ดังนั้นก็อดถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงไม่ได้

          “แล้วจะกลับวันไหน ยังไงกันคะ คุณเล็กแจ้งคุณใหญ่หรือยัง”

          “กำลังจะจองตั๋วกลับ แต่เขาบอกว่าจะกลับไปด้วย” เอ่ยพลาง ไอลดาก็บุ้ยปากไปยังอธิษฐ์ที่ยืนนิ่งอยู่

          คุณอำพรหันไปมองอธิษฐ์ก่อนจะหน้าเผือดสี แล้วหันกลับมาเอ่ยกับไอลดาเสียงแปลกแปร่ง

          “คุณเล็กน่าจะฟังผิด กลางไม่กลับไปหรอกค่ะ” สิ้นคำของคุณอำพร คนที่ถูกเอ่ยถึงก็เอ่ยเสียงดังฟังชัด แม้เสียงจะติดแหบอยู่หน่อยๆ เพราะอาการแพ้อากาศของเจ้าตัว

          “ผมจะไปกรุงเทพฯด้วย”

          “แต่กลาง...”

          คุณอำพรกลั้นคำพูดที่อยากจะเอ่ยออกมาลงคอไป ถึงแม้จิตแพทย์หลายต่อหลายคนจะเห็นตรงกันว่าจิตใจของอธิษฐ์กลับมาเข้มแข็งแล้ว ด้วยการดูแลเยียวยารวมถึงความรักและเอาใจใส่จากคุณอำพร แต่เธอก็ยังไม่อยากเชื่อและไม่ไว้ใจ อย่างน้อยกันไว้ก็ดีกว่าแก้ เธอไม่อยากต้องมาเสียใจภายหลังอีกแล้ว

          “ผมโอเค ให้ผมไปเถอะ” อธิษฐ์สบตากับผู้เป็นแม่แน่วแน่ บอกชัดถึงเจตนารมณ์ของตัวเอง “พี่ใหญ่ไม่มีทางปล่อยให้ผมเป็นอะไรไปเด็ดขาด”

          เห็นความตั้งใจของลูกชายแล้ว คุณอำพรก็ได้แต่ยอมแพ้ ก่อนจะเอ่ยถามลูกชายด้วยความเป็นห่วง

          “อยากให้แม่ไปด้วยไหมกลาง”

          คำตอบของอธิษฐ์คือการส่ายหน้า เขาแค่อยากกลับไปเผชิญหน้ากับราชันย์ กลับไปปรับความเข้าใจ และบอกราชันย์ว่าเขาไม่ได้โกรธ ไม่ได้เกลียดอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ราชันย์ไม่จำเป็นต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิดเพราะเขาอีกต่อไป เขาเองก็ตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตต่อไปให้ดีเหมือนกัน

          ไอลดามองสลับไปมาระหว่างคุณอำพรกับอธิษฐ์ ก่อนจะเอ่ยถามออกมาตรงๆ

          “สรุปคือนายจะไปกับฉันด้วยจริงๆ ใช่ไหม”

          “ใช่สิ ฉันเป็นพี่ชายเธอนี่ เมื่อไหร่จะยอมเรียกฉันว่าพี่เสียที”

          ไอลดาเม้มริมฝีปากแน่น ไม่ตอบคำ ก่อนจะหันหลังกลับไปจองตั๋วเครื่องบิน อธิษฐ์หันไปบีบมือคุณอำพรที่ยืนอยู่ข้างๆ ให้กำลังใจแม่และให้กำลังใจตัวเอง

          “มีอะไรอย่าเก็บไว้คนเดียวนะกลาง กลางยังมีแม่อยู่รู้ไหม”

          “ครับแม่”

          เขาในตอนนี้ อยู่ในวัยยี่สิบเจ็ดปีแล้ว ไม่ใช่เด็กวัยรุ่นที่ไม่มีความยั้งคิด ขาดความระมัดระวังคนนั้นอีกต่อไป ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุการณ์ในอดีตได้สร้างรอยแผลไว้ในใจของเขา แต่ตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่ มีความรักเต็มเปี่ยมจากแม่ที่มอบให้ เขายังคงต้องเดินต่อไปข้างหน้า

          ในชีวิตหนึ่งที่เกิดมา...คนเราจะวิ่งหนีปัญหากันได้ซักกี่ครั้งกัน

          ที่ผ่านมา เขาเพียงแค่หลบมาฟื้นฟูหัวใจตัวเอง รอคอยวันที่มันจะกลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิม และในวันนี้...เขาคิดว่าหัวใจของเขากลับมาเข้มแข็งแล้ว แม้ว่าอาจจะยังไม่เหมือนเดิมก็ตามที

          และที่สำคัญ...เขาเองก็อยากเห็นหลานสาวตัวน้อยที่เคยได้ยินอริญชย์พูดถึงด้วยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะดื้อและหัวแข็งเหมือนแม่หรือเปล่า อธิษฐ์คิดพลางปรายตามองน้องสาวที่กำลังนั่งจองตั๋วเครื่องบินอยู่ มุมปากผุดรอยยิ้มขึ้นมาจางๆ จนแทบมองไม่เห็น

          ทำไมเขาจะไม่รู้...ว่าไอลดาในวันนี้ไม่ได้ต่อต้านเขาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพียงแต่จะให้ยอมรับได้คงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ เขาเองก็อยากจะใช้ชีวิตที่มีทั้งพี่ชายและน้องสาวมานานแล้ว



TO BE CONTINUE





มาต่อแล้วค่ะ หายไปนานเลย ^^
กว่าคุณกลางจะมีบท เกือบจะท้ายๆ เรื่องเลย

ออฟไลน์ bigbeeboom

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
โอย ลุ้น รอตอนหน้าอย่างจดจ่อ สงสารคุณใหญ่หวานได้หน่อยนึง ต้องลุยอีกแล้วววว ชอบเรื่องนี้มากจ้า รอติดตามนะ :)

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
เรื่องราว เริ่มพัวพันอีกแล้ว

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เออเฮ้ย! กลาง คิดดีอ่ะ กลับไปเผชิญปัญหาให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย ไปจบความรู้สึกต่อกันเหลือเพียงความสัมพันธ์คนรู้จักหรือเพื่อนของพี่ชายเท่านั้น แล้วใช้ชีวิตต่อไป ดูโตเป็นผู้ใหญ่ดี นิ่ง สุขุมขึ้น ก็นะ 27แล้ว 555 ถึงไทยเมื่อไหร่มันคือวันรวมตัวรวมเรื่องทุกปัญหาออกหน้ามาเคลียร์กันสินะ 55555 แล้วคนอย่างอริญช์เนี้ยนะจะยอมเสีย20ล้าน ให้รูปหลุดออกมาแล้วเอาเงินปิดปากสื่อยังเหลือเงินอีกตั้งเยอะ แถมยังแม่พีทจะเชื่อเรื่องโง่ๆพรรค์นี้หรอ ถถถถถ รัญญาเธอจะได้แบงค์กาโม่สอดไส้ไปสิไม่ว่า 55555  //เอาแล้ววววววราชันย์ต้องไปแต่งงานกับคุณหนูตระกูลใหญ่ ดินหนีไปจากไปไม่ต้องมาให้เฮียเห็นหน้าเลยนะ ชอกช้ำใจเปล่าๆ หึหึ จะเป็นยังไงละเนี้ย เดาไม่ถูกเลยคู่นี้ แต่ชอบ 55555 ขอบคุณนะคะที่มาต่อ สนุกกกกกกกก รอตอนต่อไปเลย  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
คิดถึงเฮียใหญ่ กลับมาอ่านอีกรอบ รออยู่นะคะ  :call: :call: 5555

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25



สี่สิบเอ็ด
บาดเจ็บ





          พิชญ์นั่งเบียดกับอริญชย์อยู่บนโซฟาตัวยาว เขาก้มลงมองโทรศัพท์มือถือของตัวเองเป็นพักๆ เพราะกลัวจะพลาดการติดต่อจากรัญญา อริญชย์เห็นท่าทางกระวนกระวายของพิชญ์ก็โอบกระชับบ่าอีกฝ่ายเข้ามาพิงกับตัว ขณะที่เขานั่งดูโทรทัศน์ท่าทางสบายๆ เป็นพิชญ์เสียเองที่เอาแต่กังวล จนอริญชย์ต้องเอ่ยปลอบคนข้างกาย

           “อย่ากังวลเลยน่า...”

           “ทุกอย่างจะเรียบร้อยดีใช่ไหม คุณใหญ่”

           “เชื่อฉัน” นอกจากคำยืนยันจากปากแล้ว อริญชย์ยังบีบกระชับบ่าพิชญ์เบาๆ

          พิชญ์ถอนหายใจออกมาเบาๆ บีบมือสองข้างเข้าหากันก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ พิชญ์เอี้ยวตัวมองตามเสียง แล้วก็เห็นอริญชย์ล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อก่อนจะกดรับสาย

           “ว่าไง”

           “กูจัดการกับอาสามเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้กำลังถูกคุมตัวอยู่ที่ตระกูล หลิวติดต่อมาหรือยัง นี่เพิ่งเค้นคออาสามจนรู้ว่ายัยนั่นวางแผนให้อาสามช่วยพาหนีออกนอกประเทศชั่วคราว”

          พอได้ยินว่าเป็นราชันย์ที่โทรศัพท์มา พิชญ์ก็เบียดตัวเข้าหาอริญชย์เพื่อฟังด้วย อริญชย์ยิ้มด้วยความอ่อนใจก่อนจะกดเปิดลำโพงโทรศัพท์ให้พิชญ์ฟังไปพร้อมๆ กัน

           “ยังเลย กูกำลังนั่งรอกับพีทอยู่”

           “ได้ ถ้าติดต่อมาแล้วรีบโทรศัพท์หากู ทางกูสแตนด์บายรออยู่แล้ว”

           “โอเค ถ้ามีความคืบหน้าเดี๋ยวกูรีบโทรหา”

          พออริญชย์วางสายจากราชันย์แล้ว เขาก็หันกลับมาหาพิชญ์ที่กำลังนั่งขมวดคิ้วอยู่ข้างๆ

           “ที่เสี่ยเล้งพูดมาเมื่อกี้ แปลว่าคุณหลิวตั้งใจจะหนีออกนอกประเทศหรือครับ”

           “คงใช่ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมหลิวถึงเรียกเงินยี่สิบล้านจากพีทของฉัน เพื่อจะได้เตรียมตัวหนีออกนอกประเทศยังไงล่ะ”

           “แล้วเสี่ยเล้งตั้งใจจะทำยังไงต่อครับ”

           “ตามกฎของตระกูลหมอนั่นก็คือต้องจับตัวกลับไปตัดสินโทษกันอีกที ไม่ต้องกังวลหรอก แค่รอหลิวโทรศัพท์มาก็พอ”

          ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อริญชย์ก็ตั้งใจจะจัดการทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้เรียบร้อยภายในวันนี้ เขากับราชันย์ตกลงกันดิบดีแล้ว เขาจะยอมถอยออกมา ไม่ก้าวก่าย ให้ราชันย์เป็นคนจัดการรัญญาเอง ความรับผิดชอบของเขามีแค่การดูแลพิชญ์ให้ปลอดภัย

          หลังจากนั่งเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง โทรศัพท์ของอริญชย์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ขณะที่ของพิชญ์ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว คราวนี้ไม่ใช่ราชันย์ แต่เป็นตุลย์ที่โทรศัพท์มารายงานเรื่องของไอลดากับอธิษฐ์สั้นๆ

           “คุณเล็กกับคุณกลางจองตั๋วเครื่องบินกลับมาไทยแล้วนะครับ คิดว่าน่าจะเพราะข่าวคุณพีท”

          หลังวางสายจากตุลย์แล้ว อริญชย์ก็หันกลับมาหาพิชญ์ ท่าทางของพิชญ์ปกปิดความไม่สบายใจเอาไว้แทบไม่มิด พิชญ์ช้อนตามองอริญชย์ก่อนจะเรียกชื่อ

           “คุณใหญ่...”

           “ฉันอยู่ตรงนี้”

          เรียกชื่ออริญชย์แล้วพิชญ์ก็เงียบไป เขาไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน พอยอมรับความรู้สึกของตัวเองว่าเขาเองก็รู้สึกกับอริญชย์ไม่ต่างกัน พิชญ์ก็แสร้งลืมว่าตัวเองเป็นคนที่มีพันธะ และตอนนี้ความจริงก็กำลังตีเข้ากลางแสกหน้าพิชญ์ เมื่อรู้ว่าไอลดากำลังจะกลับมา

           “ผมควรทำยังไงดี”

           “เชื่อใจฉันไหม”

          พิชญ์ไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูด แต่พยักหน้าให้อริญชย์แทนคำตอบ อริญชย์ดึงพิชญ์เข้ามาในอ้อมกอด เขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะคุยกับไอลดาเรื่องนี้อย่างจริงจังเสียที ตอนแรกก็คิดว่าหลังจากเรื่องทุกอย่างคลี่คลาย เขาจะพาไอลดากลับมาบ้านด้วยตัวเอง แต่ในเมื่อน้องสาวตัวดีกลับมาเองแบบนี้ เรื่องทุกอย่างก็คงง่ายขึ้น

           “ไม่ต้องห่วง ฉันจะคุยกับยัยเล็กเรื่องของเราเอง”

          ปัญหาที่เขาเป็นคนก่อขึ้น เขาต้องเป็นคนแก้ไขด้วยตัวเอง อริญชย์เข้าใจความจริงข้อนี้ดี

          พิชญ์กำลังจะเอ่ยตอบอริญชย์ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกรอบ คราวนี้เป็นโทรศัพท์ของพิชญ์เองที่ดัง พิชญ์รีบดันตัวออกจากอ้อมกอดของอริญชย์แล้วก้มดูโทรศัพท์มือถือของตัวเอง มีข้อความส่งเข้ามาจากหมายเลขแปลกๆ แต่พิชญ์มั่นใจว่าเป็นข้อความจากรัญญาไม่ผิดแน่ ข้อความที่ส่งมามีแค่เวลาและที่อยู่ ไม่มีข้อความอื่นๆ อีก พิชญ์ส่งโทรศัพท์ในมือให้อริญชย์ดู

           “เดี๋ยวฉันออกไปหาไอ้เล้งก่อน พอใกล้ถึงเวลานัด นายก็ออกจากบ้านไปเจอหลิวได้เลย ส่วนเงินยี่สิบล้าน ฉันจะให้ตุลย์ช่วยเตรียมเอาไว้ให้”

          พิชญ์มองอริญชย์ที่ยังคงมีท่าทางเหมือนปกติ ก่อนจะจับแขนเสื้ออริญชย์เอาไว้แล้วเอ่ยถามเสียงเบา

           “คุณใหญ่จะปกป้องผมใช่ไหม”

           “ฉันเคยไม่ทำอย่างนั้นด้วยหรือไง”

          สัมผัสอุ่นวาบแตะลงบนหน้าผากพิชญ์เบาๆ ก่อนจะผละออก อย่างน้อยก็ช่วยปัดเป่าความกังวลของพิชญ์ได้ เขาไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เหมือนละครแบบนี้ แต่เมื่อเลือกวางหัวใจไว้ในมือของอริญชย์แล้ว เขาก็ต้องเชื่อมั่นในตัวอริญชย์และตัวเขาเอง พิชญ์ส่งยิ้มให้อริญชย์ ก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างแยกย้ายกันไปเตรียมตัว



.



          พิชญ์พยายามทำตัวให้เหมือนปกติ แม้เขาจะรู้สึกเกร็งอยู่หน่อยๆ หลังจากฝากนวลให้ช่วยดูแลน้องหนูแล้ว พิชญ์ก็จัดการอาบน้ำแต่งตัว เขาเลือกเสื้อผ้าที่สีไม่สะดุดตามากนัก ตามที่อริญชย์กำชับว่าให้ทำทุกอย่างให้เหมือนปกติ อย่าให้รัญญารู้สึกผิดสังเกต แต่การบอกให้เขาทำตัวให้เป็นปกติ ทั้งที่สถานการณ์มันไม่ปกติ มันก็ช่างยากเหลือเกิน

          พอเดินลงมาถึงข้างล่าง พิชญ์ก็เห็นตุลย์ยืนรออยู่พร้อมกับกระเป๋าหนังแบบที่พิชญ์มักจะเห็นในละครอยู่บ่อยๆ ใครจะไปรู้กันว่าวันหนึ่งเขาจะมีโอกาสได้ถือ พิชญ์นึกสงสัยว่าทำไมรัญญาถึงต้องอยากได้เป็นเงินสดด้วย ในเมื่อสมัยนี้ คนเราสามารถโอนเงินหากันง่ายยิ่งกว่ากระพริบตา อริญชย์เลยช่วยไขข้อข้องใจให้เขาว่า

           ‘เพราะหลิวโดนอายัดบัญชีหมดแล้วไง อย่างน้อยเงินสดนี่ก็ใช้ได้ทันท่วงที เผลอๆ อาจจะหนีออกนอกประเทศตั้งแต่คืนนี้เลยก็เป็นได้’

          พิชญ์เลยเข้าใจ และเพราะเหตุนี้เอง เขาเลยต้องถือกระเป๋าหนังไปเจอรัญญาอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากรับกระเป๋ามาจากตุลย์แล้ว พิชญ์ก็ไม่ได้ตรวจเช็ก เขาเชื่อใจอริญชย์มากพอที่จะไม่สงสัยอะไรใดๆ คิดเสียว่าเขามีหน้าที่เป็นแค่คนส่งของเท่านั้น

          หลังจากตระเตรียมทุกอย่างจนเรียบร้อยแล้ว พิชญ์ก็ออกจากบ้าน เขาเลือกรถคันที่ตัวเองขับเป็นประจำ แล้วขับไปยังสถานที่ที่รัญญาส่งข้อความมาหาเขา ประสาทของพิชญ์ขมวดเกร็งตลอดทาง จนได้แต่หวังว่า หลังจากนี้เขาคงไม่ต้องมาร่วมแสดงในบทบาทอย่างนี้อีกแล้ว

          พอถึงที่หมาย พิชญ์ก็จอดรถแอบอยู่ด้านหนึ่ง ถนนเล็กๆ ในซอยที่พิชญ์ขับเข้ามาเงียบสงัด แทบไม่มีชุมชนหรือบ้านคนให้เห็น แม้จะนึกเกร็งๆ อยู่บ้าง แต่พิชญ์ก็เผลอชมความรอบคอบของรัญญาในใจ หลังจากจอดรถเรียบร้อยแล้วพิชญ์ก็ยังไม่ลงมาจากรถ เขามองออกไปนอกรถ แต่กลับไม่เจอใครทั้งนั้น ทั้งที่ล่วงเลยเวลานัดมาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ขณะที่พิชญ์เกือบจะถอดใจว่าตัวเองคงโดนรัญญาต้มเข้าให้ ก็มีเงาตะคุ่มๆ มาเคาะหน้าต่างรถเขา

          พิชญ์เกือบจะอุทานออกมาด้วยความตกใจยามเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ พอมองดีๆ แล้วถึงค่อยเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นคน ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนเลย นอกเสียจากนที คนสนิทของรัญญา พิชญ์ลดหน้าต่างลงเพื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย

           “ไม่คิดจะลงจากรถหรือไง” อีกฝ่ายถามเสียงห้วน ไม่ได้คิดจะพูดจาสนทนากันดีๆ เท่าไหร่นัก

           “คุณหลิวอยู่ไหน”

           “ลงมาจากรถสิ จะได้พาไปหา เอาเงินมาด้วยใช่ไหม”

           “เอามาด้วย แต่ผมจะไว้ใจคุณได้ยังไง”

           “ถ้าไม่ลงมาก็กลับไปซะ”

          ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมให้ทางเลือกหรืออำนาจในการต่อรองแก่พิชญ์เลยแม้แต่น้อย พิชญ์ครุ่นคิดพลางดับเครื่องยนต์รถก่อนจะถือกระเป๋าหนังลงมา นทีเดินนำพิชญ์ไปยังรถที่จอดแอบอยู่มุมหนึ่ง ซึ่งสาบานเลยว่าตอนเข้ามา เขาไม่ทันได้สังเกตเห็น อีกฝ่ายพยักเพยิดเป็นเชิงให้พิชญ์ขึ้นรถไป เขาเลยรีบประท้วง

           “ผมนัดกับคุณหลิวที่นี่นะ”

           “คุณหลิวไม่ได้อยู่ที่นี่ จะตามมาหรือไม่ตามมาก็แล้วแต่”

          พิชญ์ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก เขาเลยต้องยอมขึ้นรถไปกับนที ระหว่างทางก็อดกังวลไม่ได้ว่าอริญชย์กับราชันย์จะหาเขาเจอไหม ในเมื่อสถานที่ที่บอกอริญชย์ตอนแรกกับที่ที่ทีกำลังจะพาเขาไปมันคนละที่กัน รัญญารอบคอบไม่น้อยเลย ระหว่างที่กำลังกังวลอยู่นั้น พิชญ์ก็พลันนึกถึงตอนที่น้องหนูถูกลักพาตัวได้ เขาแอบหวังได้ไหม ว่าอริญชย์เองก็น่าจะติดเครื่องติดตามตัวไว้ที่ตัวเขาเหมือนกัน

          นทีไม่ได้ขับรถออกมาจากซอยที่ตอนแรกพิชญ์ขับเข้ามา แต่ขับลึกเข้าไปข้างในอีกราวๆ สี่ถึงห้ากิโลเมตร ยิ่งเข้ามาลึก ถนนก็ยิ่งไม่ค่อยดี ทำให้ทำความเร็วได้ไม่มากนัก ในที่สุดนทีก็จอดรถลงหน้าโกดังที่อยู่สุดซอย อีกฝ่ายบุ้ยปากเข้าไปในโกดังก่อนจะไล่พิชญ์ลงจากรถ

           “คุณหลิวอยู่ข้างใน ลงไปสิ”

          ตอนนี้พิชญ์อยู่ลำพัง เขาคงไม่สามารถอิดออดหรือต่อรองอะไรได้ พิชญ์เดินลงมาจากรถพร้อมกระเป๋าหนัง บรรยากาศข้างนอกทั้งมืดและเงียบ มีเพียงแสงไฟจากหลอดไฟดวงเล็กที่ลอดออกมาจากโกดัง พิชญ์เดินตรงเข้าไปข้างใน ทุกย่างก้าวของเขาดูหนักอึ้ง เขาเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าจะมีอะไรรออยู่ข้างในโกดัง แต่จะให้หันหลังกลับตอนนี้ก็คงไม่ได้ ในเมื่อตอนนี้มีแค่ตัวเขาและกระเป๋าหนังหนึ่งใบ

          พิชญ์บอกตัวเองให้เชื่อใจอริญชย์ อริญชย์ให้สัญญากับเขาแล้ว อริญชย์ไม่มีทางปล่อยให้เขาเป็นอะไรไปเด็ดขาด พิชญ์ย้ำตัวเองทุกย่างก้าวที่เดินเข้าไป

          อย่างน้อยเมื่อเดินเข้ามาถึงข้างในโกดัง สถานการณ์ตรงหน้าก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่พิชญ์นึกกลัว สิ่งที่รอเขาอยู่ข้างในมีเพียงรัญญาที่นั่งอยู่และข้างหลังเธอคือคนติดตามอีกสองคน แสงจากหลอดไฟที่สะท้อนเข้าตาทำให้พิชญ์มองสีหน้าของรัญญาได้ไม่ชัดนัก พิชญ์เลือกที่จะหยุดฝีเท้าและรักษาระยะห่างจากรัญญา ขณะที่ยืนนิ่งๆ โดยไม่ได้เอ่ยอะไร รอให้อีกฝ่ายเริ่มต้นเริ่มต้นบทสนทนาก่อน

           “นึกว่าคุณพีทจะปล่อยให้หลิวรอเก้อเสียแล้ว” แม้ถ้อยคำของรัญญาจะดูกึ่งเย้า แต่ท่าทางของหญิงสาวกลับดูเครียดเกร็ง

          รัญญานึกกังวลไปต่างๆ นานาว่าพิชญ์จะไม่ตกลงรับข้อเสนอเธอ หรืออีกฝ่ายอาจจะพาใครมาด้วย วินาทีที่เห็นพิชญ์เดินเข้ามาเพียงลำพัง เธอก็แทบจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก สายตาเธอจับจ้องที่กระเป๋าหนังในมือพิชญ์ คิดไม่ถึงว่าจากชีวิตที่น่าอิจฉาของเธอจะต้องมาตกอับถึงเพียงนี้ เธอเองก็ไม่ได้อยากจะใช้ลูกไม้งี่เง่าแบบนี้ให้เสียศักดิ์ศรี แต่เธอไม่มีทางเลือก และนทีก็เป็นคนเสนอความคิดนี้ขึ้นมา

          ก่อนหน้านี้หากรัญญาอยากได้อะไร น้อยครั้งนักที่เธอจะไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เธอจะต้องรีดไถพิชญ์เพื่อเอาเงินอย่างน่าสมเพชขนาดนี้ แต่อย่างน้อย เงินยี่สิบล้านจากพิชญ์ก็เพียงพอให้เธอหลบหนีไปตั้งหลักที่ต่างประเทศได้พักใหญ่ๆ แล้วค่อยคิดหาหนทางว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตต่อ

           “ไหนมือถือล่ะครับ คุณหลิว”

           “ยื่นหมูยื่นแมวกันก่อนสิคะ คุณพีท ถ้าเงินยังไม่มา ของจะไปได้ยังไง”

          บรรยากาศภายในโกดังเต็มไปด้วยความกดดัน พิชญ์มองรัญญาและคนติตตามสองคนที่อยู่ข้างหลังเธอ หลังแยกจากนทีตอนลงจากรถ เขายังไม่เห็นอีกฝ่ายตั้งแต่เข้ามา พิชญ์อาจจะประมาทรัญญาได้ แต่เขาไม่ควรประมาทนที

           “จะไม่ยุดิธรรมไปหน่อยหรือเปล่าครับ ผมตัวคนเดียว แต่คุณหลิวมีคนติดตามอีกสองคน คงไม่ต้องให้บอกนะครับ ว่าผมไม่ไว้ใจคุณหลิวอีกแล้ว”

           “แล้วคุณพีทจะเอายังไง”

           “ส่งโทรศัพท์มาให้ผมตรวจเช็กก่อน แล้วผมถึงส่งกระเป๋าให้”

          รัญญาขมวดคิ้วอย่างไม่ยินยอมนัก แต่เมื่อคิดถึงความจริงว่าพิชญ์มาหาเธอเพียงลำพัง อีกฝ่ายคงไม่ตุกติกอะไร เธอก็หยิบโทรศัพท์ยื่นให้คนข้างตัวนำไปส่งให้พิชญ์

          พอได้รับโทรศัพท์จากมือคนสนิทของรัญญาแล้ว พิชญ์ก็เปิดเช็กข้อมูลข้างใน พอเห็นภาพที่อีกฝ่ายถ่ายเก็บไว้ ความโกรธก็เกือบจะปะทุขึ้นมาอีกรอบ พิชญ์พยายามควบคุมอารมณ์ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตารัญญา

           “ถ้าดูจนพอใจแล้วก็ส่งกระเป๋ามาด้วยค่ะ”

          พิชญ์ยื่นกระเป๋าให้คนของรัญญาอย่างไม่เต็มใจนัก แค่คิดว่าต้องมาเสียเงินยี่สิบล้านเพื่อแลกกับรูปไร้สาระพวกนี้ของรัญญา พิชญ์ก็รู้สึกไม่ยินยอม แต่เขาไม่มีทางเลือก

          รัญญายื่นมือไปรับกระเป๋าหนังจากคนติดตามที่เดินถือกลับมาให้ หญิงสาวเปิดกระเป๋าขึ้นมาเช็กด้วยความรอบคอบ เมื่อเห็นมัดธนบัตรสีเทาวางเรียงรายเต็มกระเป๋าก็ยิ้มด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะเลือกหยิบมัดหนึ่งขึ้นมาตรวจสอบอีกครั้ง แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าก็พลันจางหาย รัญญาดึงธนบัตรสีเทาที่อยู่บนๆ ออกมา ก่อนจะเขวี้ยงที่เหลือทั้งปึกไปทางที่พิชญ์ยืนอยู่

           “นี่มันหมายความว่ายังไงกัน คุณพีท คิดจะเล่นตุกติกกันหรือไง”

          พิชญ์มองกระดาษสีขาวที่มีขนาดเท่าธนบัตรมูลค่าหนึ่งพันบาท ซึ่งตอนนี้กำลังกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น หลังจากใช้เวลาคิดไม่ถึงนาที พิชญ์ก็เดาออกทันทีว่านี่คือเล่ห์กลของอริญชย์

          ขณะที่พิชญ์กำลังคิดว่าจะรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้านี้อย่างไร ประตูโกดังข้างหลังรัญญาที่เดิมที่ถูกลงกลอนล็อกเอาไว้ก็ถูกสะเดาะออกอย่างง่ายดาย ก่อนจะถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงเยียบเย็นของราชันย์ที่ดังมาก่อนตัว

           “ตระกูลเราสิ้นไร้ไม้ตอกถึงขนาดที่เธอต้องมารีดไถเงินคนอื่นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันฮึ”

          รัญญาถึงกับชะงักก่อนจะหันขวับไปทางต้นเสียง ใบหน้าของหญิงสาวเผือดสีก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด

           “นี่วางแผนกันเอาไว้ทั้งหมดแล้วใช่ไหม”

          ราชันย์เดินเข้ามาพร้อมกับคนติดตามหกคน ใบหน้าเย็นชาดูดุดันกว่าทุกครั้ง ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่ายๆ รัศมีความมีอำนาจของราชันย์แผ่ออกมากดดันจนรัญญาอดนึกเกรงไม่ได้ แต่เธอก็ยังรู้สึกไม่ยินยอม คนของรัญญาสองคนรีบรุดมาขวางหน้าผู้เป็นนายเอาไว้

           “ตลบหลังกันแบบนี้ คิดว่าฉันจะยอมเฮียง่ายๆ หรือไง” รัญญาเอ่ยเสียงแข็ง พลางล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรออก

          ราชันย์มองการกระทำของน้องสาวต่างมารดาด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเอ่ยดับความหวังของเธอ

           “คิดจะโทรหาอาสามหรือไง เปล่าประโยชน์น่า ไม่สู้ตามฉันกลับไปเจออาสามที่บ้านดีกว่า”

           “เฮียหมายความว่าไง”

           “หมายความว่าอาสามไม่ได้อยู่คอยช่วยเธอแล้วไง” เอ่ยจบ ราชันย์ก็ออกคำสั่งกับลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างกายเสียงเหี้ยมเกรียม “พาตัวยัยหลิวกลับบ้าน แล้วก็จัดการให้บทเรียนกับพวกที่เลี้ยงไม่เชื่องซะ”

          พิชญ์มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองดังมาจากเบื้องหลังราชันย์ พอเห็นอริญชย์ยืนอยู่ข้างหลังราชันย์ พิชญ์ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ความหนักอึ้งที่กดทับอยู่ในใจดูเหมือนจะเบาบางลงอย่างไม่น่าเชื่อ พิชญ์กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาอริญชย์ ก่อนจะรู้สึกเย็นวาบที่ข้างหลัง

          พอมาถึงแล้วเห็นว่าพิชญ์ยังปลอดภัยดี ไม่ได้บุบสลายอย่างที่นึกกลัว อริญชย์เองก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาปล่อยให้ปัญหาภายในตระกูลกมลวิลาศน์เป็นหน้าที่ของราชันย์ ที่เขาต้องการมีแค่พาพิชญ์กลับบ้านอย่างปลอดภัย

          พอเห็นพิชญ์กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาหาเขา อริญชย์ก็สาวเท้าเดินไปหาเจ้าตัว แม้จะรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ว่าเหมือนเขากับราชันย์น่าจะลืมอะไรบางอย่างไป

          อารามที่เห็นว่าพิชญ์ปลอดภัยดี รวมทั้งเห็นว่ามีคนของราชันย์อยู่รอบๆ ด้วย ทำให้อริญชย์เองลืมระวังตัว ก่อนเขาจะฉุกคิดขึ้นได้ว่าเขายังไม่เห็นนทีเลย แล้วคำตอบก็ปรากฏแก่สายตา เมื่ออริญชย์เห็นเงาตะคุ่มของนทีปรากฏตัวขึ้นข้างหลังพิชญ์ พร้อมกับประกายไฟสว่างวาบที่ปลายกระบอกมัจจุราชสีดำ

           “พีท!” อริญชย์ตะโกนเสียงดังพร้อมกับพุ่งตัวออกไป จังหวะเดียวกับที่เสียงเหนี่ยวไกดังขึ้น

          พิชญ์ที่ยังยืนงงอยู่ถูกอริญชย์พุ่งเข้ามารวบตัวไว้จนล้มกลิ้งไปด้วยกัน เสียงปืนดังขึ้นซ้ำอีกสองครั้งติดๆ กันจากนทีที่กำลังบ้าคลั่ง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงคำรามของราชันย์ที่ตะโกนสั่งการลูกน้องตัวเองเสียงดังลั่น

           “ยังไมรีบเข้าไปจัดการนทีอีก”

          ลูกน้องของราชันย์รีบแบ่งคนที่กำลังควบคุมตัวรัญญาอยู่เข้ามาจัดการนที พิชญ์ที่เพิ่งได้สตินอนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของอริญชย์ ก่อนที่เสียงแหบพร่าของอริญชย์จะเอ่ยถามพิชญ์

           “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม พีท”

          พิชญ์ส่ายหน้าแทนคำตอบ เขาเห็นรอยยิ้มปรากฏบางๆ ที่มุมปากอริญชย์ก่อนที่เจ้าตัวจะพึมพำเสียงเบา แล้วหลับตาลงช้าๆ

           “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว...”

          พิชญ์รู้สึกตงิดๆ เขายกมือข้างขวาที่กอดอริญชย์ไว้ขึ้นมาดู พอเห็นเลือดแดงฉานเต็มฝ่ามือตัวเอง พิชญ์ก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูก มือไม้พลันสั่นระริก เพิ่งจะได้สติว่าเมื่อสักครู่ที่อริญชย์พุ่งเข้ามารวบตัวเขาไว้ก่อนจะล้มกลิ้งไปด้วยกันนั้น เพราะอีกฝ่ายต้องการปกป้องเขาจากลูกกระสุนของนที

          เลือดสดๆ ที่ปรากฏเต็มฝ่ามือทำเอาหัวสมองพิชญ์ถึงกับขาวโพลน ความคิดที่ว่าอาจจะเสียอริญชย์ไป ทำให้พิชญ์ตะโกนเรียกราชันย์ออกมาสุดเสียง

           “เสี่ยเล้ง! ช่วยด้วย คุณใหญ่ถูกยิง”

          ราชันย์ที่กำลังคุมลูกน้องให้จัดการกับนทีอยู่ถึงกับชะงักไป รีบทิ้งทางนั้นแล้วก้าวยาวๆ มาถึงตัวพิชญ์กับอริญชย์ เขาคุกเข่าลงดูอาการเพื่อนรักที่อยู่ในอ้อมกอดพิชญ์ ก่อนจะส่ายหน้าด้วยความสมเพช

           “โง่จริงๆ ปกป้องคนอื่นจนตัวเองถูกยิง”

          นาทีนี้พิชญ์ไม่มีเวลามาสนใจคำกระแหนะกระแหนของราชันย์ เขาคว้าแขนอีกฝ่ายไว้พลางเขย่าเหมือนเด็กๆ

           “เสี่ยเล้ง ช่วยคุณใหญ่ด้วยนะ ผมขอร้องล่ะ”

           “รู้แล้วๆ เดี๋ยวฉันให้คนส่งมันไปโรงพยาบาล หมอนี่ไม่ตายง่ายๆ หรอก น่าซาบซึ้งใจแทนมันชะมัด” เอ่ยจบ ราชันย์ก็ตะโกนเรียกลูกน้องตัวเองให้เข้ามาแบกอริญชย์

          พิชญ์รีบลุกขึ้นแล้วเดินตามออกไป ทั้งๆ ที่ฝีเท้าของเขาหนักอึ้ง แต่จิตใจของพิชญ์กับร้อนรน ที่อริญชย์บอกให้เขาเชื่อใจอีกฝ่าย แท้จริงแล้วมันหมายความอย่างนี้หรือเปล่า พิชญ์เชื่อว่าอริญชย์จะปกป้องเขาได้ แต่เขาไม่เคยอยากให้อริญชย์ปกป้องเขาด้วยชีวิต จนต้องกลายเป็นแบบนี้

          หนี้ชีวิตนี้...เขาชดใช้เท่าไหร่ก็คงไม่พอ

          ทั้งที่ราชันย์บอกว่าอริญชย์ไม่ตายง่ายๆ แต่พิชญ์ก็ยังไม่เชื่อ จนกว่าจะเห็นอริญชย์ลืมตาขึ้นมามองเขาอีกครั้ง จะดุ จะด่า จะต่อว่าต่อขานเขายังไงก็ได้

          ไม่ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเคยโกรธ เกลียดอริญชย์ด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม ตอนนี้พิชญ์สาบานเลยว่า เขาให้อภัยอริญชย์ทุกอย่าง ขอเพียงอริญชย์ปลอดภัย พิชญ์ไม่ขออะไรมากไปกว่านี้เลย ความรู้สึกที่เพิ่งยอมรับกับตัวเอง นาทีนี้มันชัดเจนเสียจนพิชญ์ไม่อาจปฏิเสธได้

          เขารักอริญชย์...รักมากเหลือเกิน รักจนไม่ยินยอมที่จะสูญเสียอริญชย์ไป



.

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25

          หลังจากจัดการเรื่องทุกอย่างที่โกดังจนเรียบร้อยแล้ว ราชันย์ก็สั่งให้คนคุมตัวรัญญากับนทีกลับบ้าน ส่วนเขาตรงมาโรงพยาบาลพร้อมอริญชย์กับพิชญ์ เห็นท่าทางของพิชญ์ที่นั่งกุมมืออริญชย์มาตลอดทางแล้ว ราชันย์ก็นึกอยากถ่ายรูปให้เพื่อนตัวเองดูตอนฟื้นขึ้นมา แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลา

          พอมาถึงโรงพยาบาล อริญชย์ก็ถูกส่งตัวให้อยู่ในความดูแลของหมอ พิชญ์นั่งนิ่งไม่ไหวติง เห็นแล้วราชันย์ก็ทนไม่ได้ คิดว่าถ้าขืนยังเป็นอย่างนี้ต่อไป กว่าอริญชย์จะฟื้นขึ้นมา พิชญ์คงได้ล้มพับไปก่อน เขาหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมากดโทรหาตุลย์ เล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ ก่อนจะกำชับให้ฝ่ายนั้นรีบมาโรงพยาบาล

          หลังวางสายไม่ถึงสิบห้านาที ตุลย์ก็มาถึงโรงพยาบาล ราชันย์เองก็อยากจะอยู่ดูอาการอริญชย์อีกหน่อย แต่เขายังต้องกลับไปสะสางเรื่องของรัญญา เลยฝากฝังทั้งอริญชย์และพิชญ์ไว้กับตุลย์ ก่อนจะกลับยังกำชับตุลย์อีกสองรอบเพื่อความมั่นใจ

           “ถ้าไอ้ใหญ่ฟื้นขึ้นมาแล้ว โทรบอกฉันที”

          พอราชันย์กลับไปแล้ว ตุลย์ก็เดินไปนั่งข้างพิชญ์ พิชญ์ยังคงนั่งนิ่ง จนตุลย์ต้องเรียกชื่อเจ้าตัวเบาๆ

           “คุณพีท...”

          ตุลย์เรียกอยู่สองสามครั้งกว่าพิชญ์จะยอมหันกลับมาหาเขา พอเห็นหน้าตุลย์ พิชญ์ก็เอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกผิด

           “คุณใหญ่บาดเจ็บเพราะปกป้องผม”

           “คุณใหญ่คงยอมให้ตัวเองเจ็บดีกว่าให้คุณพีทเจ็บ คุณพีทไม่ต้องคิดมากหรอกครับ”

          พิชญ์ก็อยากจะทำอย่างที่ตุลย์พูด แต่เขาก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดี พิชญ์นั่งนิ่งไม่ยอมขยับไปไหน จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของตุลย์ เขาคิดว่าอริญชย์ไม่น่าจะออกจากห้องผ่าตัดง่ายๆ แล้วถ้าอริญชย์ออกมาแล้วพิชญ์ล้มพับไปอีกคน มีหวังอริญชย์ได้เล่นงานเขาแน่ๆ คิดได้อย่างนี้ ตุลย์เลยหันมาตะล่อมคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

           “กว่าคุณใหญ่จะออกมาคงอีกนาน คุณพีทกลับไปรอที่บ้านดีไหม ถ้าคุณใหญ่ออกมาแล้วเดี๋ยวผมโทรบอก” ตุลย์พยายามหว่านล้อมคนที่นั่งนิ่ง

           “ไม่ครับ ผมจะรออยู่ที่นี่” พิชญ์ยืนกรานเสียงแข็ง

          หลังจากกล่อมพิชญ์อยู่สามสี่รอบแล้วไม่สำเร็จ สุดท้ายตุลย์ก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ เขาเดินไปกดน้ำกระป๋องมาให้พิชญ์กับตัวเองคนละกระป๋อง ก่อนจะกลับมานั่งเป็นเพื่อนพิชญ์

          แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่อริญชย์ถูกยิง อีกทั้งพิชญ์เองก็เห็นอริญชย์ถูกยิงมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ความรู้สึกวันนั้นกับวันนี้มันต่างกัน เพราะครั้งนี้อริญชย์ถูกยิงเพราะช่วยเขาเอาไว้ และที่สำคัญ เพิ่งมีครั้งนี้ที่อริญชย์เสียเลือดจนหมดสติ กว่าจะออกจากโกดังมาถึงโรงพยาบาลได้ก็ใช้เวลาไปไม่น้อย ไม่รู้กระทบกระเทือนบาดแผลของอริญชย์ไปมากเท่าไหร่

          ทั้งที่บอกตัวเองว่าอริญชย์ถึงมือหมอแล้ว แต่พิชญ์ก็ยังกลัว ตราบใดที่การผ่าตัดยังไม่สำเร็จเขาก็ยังกลัว ทุกการผ่าตัดมีความเสี่ยงเสมอ ไม่มีใครรับประกันอะไรให้เขาได้ พิชญ์ได้แต่คิดฟุ้งซ่านไปมาด้วยความกังวล ตอนนี้ขอเพียงให้อริญชย์ปลอดภัย จะให้พิชญ์ทำยังไงก็ยอมทั้งนั้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะรับฟังคำขอของเขาไหม

          พิชญ์นั่งรอด้วยความอดทนติดกันหลายชั่วโมง โดยไม่ยอมไปไหน มีแค่ลุกไปเข้าห้องน้ำเท่านั้น หลังจากรออยู่ค่อนคืน ในที่สุดนายแพทย์เจ้าของไข้ก็ออกมาแจ้งว่าการผ่าตัดสำเร็จด้วยดี และเตรียมจะย้ายอริญชย์ไปพักฟื้นที่ห้องธรรมดา พิชญ์ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก รู้สึกถึงน้ำตาที่ซึมออกมาจากหางตาตัวเอง ไม่รู้ว่าเกิดจากความง่วงหรือความดีใจกันแน่

           “ยังไงคุณใหญ่ก็คงไม่ฟื้นขึ้นมาง่ายๆ คุณพีทกลับไปอาบน้ำอาบท่า พักผ่อน แล้วค่อยมาใหม่ดีไหมครับ”

           “แต่ว่า...”

           “จะได้เตรียมเสื้อผ้าและของใช้สำหรับมาเฝ้าไข้คุณใหญ่วันอื่นด้วยไงครับ”

          พอตุลย์ให้เหตุผลแบบนี้ พิขญ์เลยยอมแพ้ในที่สุด ตุลย์โทรศัพท์เรียกคนมารับพิชญ์กลับบ้าน เพราะไม่ไว้ใจให้เจ้าตัวนั่งแท็กซี่กลับบ้านเอง

          ก่อนจะกลับบ้าน พิชญ์ยังแวบมาชะโงกดูอริญชย์ผ่านหน้าต่างห้องก่อนจะสะท้อนใจลึกๆ เวลาแบบนี้อริญชย์ก็ดูไร้พิษสงดีอยู่หรอก แต่เขากลับชอบเวลาที่อริญชย์ทำตัวร้ายกาจมากกว่า อย่างน้อยก็ดีกว่าต้องมาเห็นอีกฝ่ายบาดเจ็บแบบนี้ เห็นใบหน้าไร้สีเลือดของอริญชย์แล้วก็ทำเอาพิชญ์เจ็บปวดใจไม่น้อย อริญชย์ต้องมาบาดเจ็บแบบนี้ เพราะช่วยเขาเอาไว้แท้ๆ

          พอคนที่ตุลย์เรียกให้มารับพิชญ์กลับบ้านมาถึง พิชญ์ก็ยอมกลับบ้านแต่โดยดี หลังจากขึ้นรถได้ไม่นาน พิชญ์ก็ผล็อยหลับด้วยความอ่อนเพลีย ก่อนจะตื่นเอาตอนใกล้ถึงบ้าน

          พอถึงบ้าน พิชญ์ก็รีบอาบน้ำอาบท่าด้วยความรวดเร็ว เขาตั้งใจจะงีบแป๊บหนึ่ง ก่อนจะออกไปเฝ้าอริญชย์ที่โรงพยาบาล แต่พอล้มตัวลงนอน พิชญ์ก็หลับยาวจนตื่นมาอีกทีตอนใกล้เที่ยง พอสะดุ้งตื่นขึ้นมา พิชญ์ก็รีบโทรศัพท์หาตุลย์ ถามไถ่อาการของอริญชย์

           “คุณใหญ่ยังไม่รู้สึกตัวครับ น่าจะอีกพักใหญ่ๆ เลย ยาที่หมอให้ผสมกับน้ำเกลือมีฤทธิ์ทำให้ง่วง คุณใหญ่จะได้พักผ่อนยาวๆ คุณพีทพักผ่อนก่อนแล้วค่อยมาโรงพยาบาลตอนเย็นๆ ก็ได้ครับ”

           “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจัดการอะไรเรียบร้อย แล้วจะตรงไปโรงพยาบาลเลย ฝากคุณใหญ่ทีนะครับ”

          พิชญ์จัดการอาบน้ำอีกรอบก่อนจะเดินออกมาจากห้อง ยังไม่ทันลงบันไดก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างล่าง เหมือนวันนี้จะมีความคึกคักแปลกๆ พิชญ์ขมวดคิ้วนิดๆ ขณะเดินลงบันไดมา ก่อนจะต้องเป็นฝ่ายชะงัก

          นอกจากน้องหนูที่อยู่กับนวลแล้ว ยังมีภรรยาตามกฎหมายที่พิชญ์ไม่ได้เจอมาร่วมเดือน รวมถึงผู้ชายอีกคน ที่เขาคาดเดาเอาเองว่าคงจะเป็นอธิษฐ์ เกียรติกาญจนา

          ไอลดาที่กำลังเล่นกับน้องหนูอยู่หันมามองพิชญ์เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ หญิงสาวมองสามีตัวเองด้วยดวงตาเฉยเมย ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมา เป็นพิชญ์เสียเองที่เรียกชื่อไอลดาเสียงเบา

           “คุณเล็ก...”

           “อรุณสวัสดิ์ค่ะ พี่พีท...”

          พิชญ์เพิ่งนึกออกว่าไอลดาจะกลับมา เขามัวแต่ตกใจเรื่องอริญชย์จนลืมเสียสนิท แต่เขาเองก็ยังไม่ได้เตรียมใจมาเผชิญหน้ากับไอลดาตอนนี้ บรรยากาศเลยมีแต่ความกระอักกระอ่วนแปลกๆ จนกระทั่งไอลดาเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

           “ขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิคะ พี่พีท”
 




TO BE CONTINUE



หายไปนานมากๆ เลย ต้องขอโทษด้วยนะคะ
กลับมาลงต่อแล้วค่ะ จริงๆ เขียนตอนนี้ไว้ซักพักแล้ว
แต่หน้าที่การงานยุ่งมาก T__T เลยถือโอกาสช่วงใกล้ปีใหม่มาลง
เมอร์รี คริสต์มาสย้อนหลังและสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าเลยนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด