--- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 41 บาดเจ็บ --- หน้าที่ 9 [28/12/63]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 41 บาดเจ็บ --- หน้าที่ 9 [28/12/63]  (อ่าน 28793 ครั้ง)

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25


ไหน ๆ ก็อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา แถมยังมีนวลอยู่ด้วย พิชญ์เลยนึกครึ้มอยากทำอาหารขึ้นมา ซึ่งน้องหนูก็นั่งปรบมือแปะ ๆ เชียร์คุณพ่อตัวเองยกใหญ่ ตอนแรกไอลดาจะให้นวลไปซื้อของให้ แต่พิชญ์เห็นว่านวลเพิ่งกลับมาแหม็บ ๆ เลยอาสาว่าจะไปเอง จะได้ไม่ต้องลำบากนวล

“ให้เล็กไปด้วยไหมคะ พี่พีท” ไอลดาที่นั่งดูลูกสาววาดรูปอยู่เงยหน้าขึ้นมาถามพิชญ์

“ไม่เป็นไรครับ คุณเล็กอยู่กับลูกเถอะ”

พิชญ์จะรู้ไหม แค่ประโยค...คุณเล็กอยู่กับลูกเถอะ มันทำให้หัวใจคนฟังทั้งตื้นตันและเจ็บปวดไปในคราวเดียวกันมากแค่ไหน เขาพูดเหมือนกับว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่เขาคนนั้นก็ไม่เคยนึกอยากทำหน้าที่สามีของเธอทั้งที่มีสิทธิ์

ทำไมไอลดาจะไม่รู้ พิชญ์อยากเป็นพ่อ แต่พิชญ์ไม่ได้อยากเป็นสามี

เพราะสิ่งที่ได้มา มันไม่ได้มาจากความเต็มใจของเขา เธอจึงไม่เคยได้หัวใจของเขามาครอบครอง อย่างน้อย...ก็หวังว่าโซ่ทองเส้นใหญ่จะคล้องเขาเอาไว้ให้อยู่กับเธอได้นาน ๆ

“แม่รักหนูนะคะ...”

พิชญ์มองภาพที่ไอลดาก้มลงจูบแก้มน้องหนูก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา จะดีแค่ไหนกัน ถ้าหัวใจเขาสามารถรักเธอได้จริง ๆ รักโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ

พิชญ์ถอนสายตาออกมาจากภาพตรงหน้า ก่อนจะเดินออกมาจากห้อง ไอลดาบอกเขาว่าใกล้ ๆ คอนโดมีซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ที่นวลเพิ่งไปซื้อของใช้มาให้ไอลดา พิชญ์ลงลิฟต์แล้วออกจากคอนโดมาไม่ไกลก็เจอซูเปอร์มาร์เก็ตที่ว่า คนที่มาใช้บริการซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้ ส่วนมากเป็นคนในคอนโดหรือละแวกใกล้เคียงแถวนี้

พอเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต พิชญ์ก็ตรงไปหยิบตะกร้า ถือเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ลงมือทำอาหาร แล้วให้นวลคอยเป็นลูกมือ เรื่องที่จะให้ไอลดามาช่วยคงต้องปัดทิ้งไป พิชญ์เผลอหัวเราะออกมาเบา ๆ เมื่อจำได้ว่าตอนไปค่ายอาสา ไอลดาตอกไข่แตกไปหลายสิบใบ จนพวกรุ่นพี่ในค่ายพากันเรียกเธอว่า ‘คุณหนูไข่แตก’

ความทรงจำสมัยก่อนของพิชญ์มีค่าเสมอ เขาเองก็รักไอลดา แต่ไม่ใช่ในฐานะภรรยา เขารักและเอ็นดูเธอเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง น้องสาว...ที่เขาอยากมีมาตลอด

“โอ๊ย...”

เสียงอุทานดังมาจากคนข้างหน้าที่พิชญ์เผลอเดินชนเข้าให้ ชายหนุ่มรีบเอ่ยปากขอโทษทันที เมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด

“ขอโทษด้วยครับ ผมไม่ทันระวังเอง เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ”

“ไม่เป็นไรครับคุณ อ้าว พีทเองเหรอ”

พิชญ์ขยับรอยยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจเมื่อเห็นว่าชนใครเข้า เขารู้อยู่แล้วว่าทฤษฎีโลกกลมมันเป็นความจริง แต่บางทีอาจต้องเพิ่มทฤษฎีโลกแคบเข้าไปด้วย

“เจอกันอีกแล้ว ไปยังไงมายังไงเนี่ย”

“ฉันพักอยู่หอพักตรงนู้นแน่ะ นายเถอะ มาทำอะไรแถวนี้” ปฐพีเอ่ยถามเพื่อนเก่า พลางชี้มือไปยังหอพักราคาถูกที่อยู่อีกฟากของถนน

“พอดีมาหาลูกน่ะ คอนโดคุณเล็กเขาอยู่ตรงนั้นไง ช่วงนี้ฉันเอาลูกมาไว้กับเขา”

ปฐพีมองตามที่พิชญ์ชี้ก่อนจะเบิกตากว้าง

“โห คอนโดนี้เหรอวะ ได้ข่าวว่าราคาเกือบสิบล้านเลยนี่หว่า”

“ของคุณเล็กเขาน่ะ”

“อ้าว ถ้าลูกกับเมียมาอยู่ที่นี่ แล้วตอนนี้นายอยู่ที่ไหนล่ะ”

“อยู่ที่บ้านกับคุณใหญ่ พี่ชายคุณเล็กเขาน่ะ”

พิชญ์เดินเลือกซื้อของไปเรื่อย ๆ พร้อมกับคุยกับปฐพีไปด้วย ถามสารทุกข์สุขดิบของกันและกัน ส่วนมากเป็นปฐพีที่เป็นฝ่ายเอ่ยถามพิชญ์มากกว่า ซึ่งพิชญ์ก็ตอบเท่าที่ตอบได้

“แล้วนี่พ่อนายเป็นยังไงบ้างล่ะดิน อาทิตย์ที่แล้วฉันกลับบ้านก็ลืมแวะไปหา”

ปฐพีชะงักไปเล็กน้อย เขาเสมองออกไปข้างนอก ราวกับไม่อยากจะตอบคำถาม ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเรียบ ๆ แต่ปิดบังความเศร้าสร้อยของตัวเองไว้ไม่มิด

“เสียไปแล้ว...”

“ขอโทษด้วยนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

“ไม่เป็นไรหรอก พ่อฉันเสียไปนานแล้ว เกือบสี่ปีได้แล้วมั้ง”

พิชญ์ยื่นมือไปตบบ่าเพื่อนอย่างให้กำลังใจ สมัยเรียน เขาเองก็เคยแวะไปบ้านของปฐพีอยู่หลายครั้ง คุ้นหน้าค่าตาพ่อของปฐพีไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าระยะเวลาหลายปีที่ไม่ได้ติดต่อกับบรรดาเพื่อน ๆ จะทำให้อะไรหลาย ๆ อย่างเปลี่ยนไปมากมาย

“งั้นตอนนี้นายก็อยู่กับน้องแค่สองคนน่ะสิ”

“อือ เหลือกันสองคนพี่น้อง ฉันก็ต้องคอยส่งเสียไอ้น้ำมันเรียน ดีที่มันเป็นเด็กดี ไม่เที่ยว ไม่เกเร” แววตาของปฐพีตอนที่พูดถึงน้องชายคนเดียวมีทั้งความภูมิใจและความสุขจนคนฟังยังสัมผัสได้ พิชญ์เลยเผลอยิ้มตามออกมา

“ดีแล้ว ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะดิน เอ้านี่...” พิชญ์ล้วงหยิบนามบัตรของตัวเองออกมา ก่อนจะยัดใส่มือปฐพีไว้

“เฮ้ย ๆ ไม่เอา ไม่อยากได้ชื่อว่าเกาะเพื่อนกิน”

“บ้าเหรอไง ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นเสียหน่อย ตอนนี้ฉันก็ไม่ค่อยได้ติดต่อใคร เพิ่งมาเจอนายนี่แหล่ะ อะไรช่วยกันได้ก็ช่วยกันไป เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือไง”

“อืม เราเป็นเพื่อนกัน”

“งั้นฉันไปก่อนนะ มีอะไรก็โทรมาล่ะ ไม่ต้องเกรงใจ”

พิชญ์เอ่ยล่ำลาเพื่อนรักก่อนจะเดินจากมา ป่านนี้น้องหนูกับไอลดาคงหิวกันแย่แล้วพอดี เขาจ่ายเงินเสร็จก็รีบกลับคอนโด พอเดินออกมาจากลิฟต์ พิชญ์ก็ชะงักไปเล็กน้อย ภาพของร่างสูงที่ยืนกอดอกพิงกำแพง เนคไทถูกรูดลงอย่างหมิ่นเหม่ แขนเสื้อถูกพับขึ้นไปถึงข้อศอก ไม่ได้ผิดไปจากที่พิชญ์คาดคิดเลยแม้แต่น้อย

“ไปไหนมา...”

“ไปซื้อของมาทำอาหารครับ”

ตอบอย่างเดียวก็กลัวคนถามจะไม่เชื่อ พิชญ์เลยชูถุงพลาสติกที่ถืออยู่เต็มสองแขนให้ดูด้วย อริญชย์คว้าหมับไปถือไว้เองทั้งสองถุง ก่อนจะบุ้ยปากไปยังประตูห้องแล้วสั่งเสียงเรียบ ๆ

“เปิดประตูสิ”

พิชญ์เปิดประตูตามคำสั่งแต่โดยดี แม้จะนึกสงสัยตงิด ๆ ว่า ถ้าเกิดอริญชย์เปิดประตูให้เขาตั้งแต่แรก มันจะง่ายกว่ากันไหม แต่เถียงกับอริญชย์ไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะสำหรับทุก ๆ คำถาม อริญชย์คือคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเสมอ

พอเข้ามาในห้อง พิชญ์ก็ต้องผงะเล็กน้อย ห้องกว้างของไอลดาดูแคบขึ้นมาถนัดตา เมื่อประกอบด้วยผู้ชายตัวใหญ่ ๆ สามคนอย่างเขา อริญชย์ และตุลย์ แล้วยังมีเจ้าของห้อง น้องหนู และนวลอีก แต่ดูเหมือนว่าความคึกคักตรงหน้าจะทำเอาน้องหนูอารมณ์ดี หัวเราะออกมาไม่หยุด ไม่มีเค้างอแงให้เห็นแม้แต่น้อย

“ลุงใหญ่จ๋า น้องหนูวาดปลาฉลามด้วย”

น้องหนูถือกระดาษแผ่นโตวิ่งตึกตักมาอวดผู้เป็นลุง แต่นอกจากอริญชย์จะไม่สนใจกระดาษในมือน้องหนูแล้ว เขายังถือวิสาสะก้มลงหอมแก้มลูกสาวของพิชญ์ดังฟอดใหญ่อีกต่างหาก ฟัดแก้มหลานสาวซ้ายขวาจนพอใจแล้ว อริญชย์ถึงได้สนใจรูปวาดในกระดาษ

“แล้วนั่นอะไรคะ”

“คุณปูค่ะ”

“เก่งจัง เดี๋ยวนี้คุณครูสอนวาดปูด้วยเหรอคะ”

“เปล่าค่ะ อาตุลย์วาด”

พิชญ์คลับคล้ายคลับคลาเหมือนได้ยินเสียงใครบางคนหน้าแตกดังเพล้ง เขาหัวเราะเบา ๆ ผสมโรงกับไอลดาที่หัวเราะเยาะพี่ชายเสียงดังอย่างไม่เกรงใจ

“โอ๊ย พี่ใหญ่เอาตาตุ่มดูหรือไง วาดสวยขนาดนี้ น้องหนูจะวาดเองได้ยังไง จะหลงหลานก็ให้มันน้อย ๆ หน่อย”

“น้องหนูออกจะวาดรูปเก่ง” อริญชย์ไม่วายเถียง ไม่รู้ว่าเถียงแทนตัวเองหรือเถียงแทนน้องหนูกันแน่

“น้องหนูคะ หนูลองวาดคุณปูให้ลุงใหญ่ดูหน่อยสิ”

พิชญ์อาศัยจังหวะคนอื่นกำลังเถียงกันเรื่องวาดรูป คว้าของที่ซื้อมาเดินเข้าห้องครัว โดยไม่ลืมที่จะสะกิดนวลให้เดินตามมาด้วย

“คุณพีท จะให้นวลทำอะไรคะ”

“เดี๋ยวนวลช่วยเอาผักกับลูกชิ้นที่ผมซื้อมาล้างน้ำให้หน่อยนะ”

พิชญ์ซื้อของสดและผักมาสำหรับทำสุกี้ เขาเห็นแวบ ๆ ว่าไอลดามีหม้อสุกี้อยู่ในห้องตอนที่เพิ่งมาถึง เลยได้ไอเดียทำสุกี้ขึ้นมา ระหว่างรอให้นวลล้างผักกับลูกชิ้นให้สะอาด พิชญ์ก็จัดการหมักเนื้อหมูและเนื้อไก่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา พอพิชญ์จัดการกับเนื้อหมูและเนื้อไก่เสร็จ เขาก็หยิบเขียงออกมา เตรียมจะซอยกะหล่ำปลีให้เป็นฝอย

“นวล ขอกะหล่ำปลีหน่อยสิ”

กะหล่ำปลีถูกยื่นมาข้าง ๆ พิชญ์เอื้อมมือมาคว้ากะหล่ำปลีไปซอย ก่อนจะต้องชะงักเล็กน้อย แล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ

นวลคงไม่ได้มือใหญ่ขึ้นภายในหนึ่งวันแน่ ๆ...

“นวลล่ะ” พิชญ์เอ่ยถามโดยไม่เจาะจงว่าพูดกับใคร เพราะไม่รู้จะเจาะจงไปทำไม ในเมื่อมีกันอยู่แค่สองคนในห้องครัว

“ไล่ให้ออกไปดูน้องหนูแล้ว” คนที่มาแทนที่นวลตอบเสียงนิ่ง ๆ ไม่นำพากับอาการคิ้วขมวดของพิชญ์แม้แต่น้อย

พิชญ์ก้มหน้าก้มตาซอยกะหล่ำปลีในมือ ทำเป็นไม่สนใจคนที่ยืนเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่ข้าง ๆ ให้นวลมาช่วยเขาก็ดีอยู่แล้ว เขายังพอเรียกใช้นวลได้บ้าง แต่อริญชย์เล่นเอาตัวเองมาแทนนวล เขาจะไปกล้าใช้อริญชย์ที่ไหนกันล่ะ

“ไม่มีอะไรให้ฉันช่วยเลยหรือไง”

“คุณทำอะไรเป็นบ้างล่ะ”

“ฉันว่านายน่าจะรู้ดีกว่าคนอื่นนะ”

พิชญ์เม้มริมฝีปากแน่น สาบานเถอะว่าจะมาช่วยเขา จะมากวนประสาทกันก็บอกมาตรง ๆ ดีกว่า

“งั้นช่วยอยู่เฉย ๆ ละกันครับ”

ถ้าพิชญ์คิดว่าอริญชย์จะทำตามคำสั่งเขา พิชญ์คงต้องคิดผิดถนัด อริญชย์หยิบแครอทที่วางอยู่ข้างเขียงขึ้นมาดูอย่างพิจารณา ก่อนจะชวนพ่อครัวคนเก่งคุย

“จะมาที่นี่ ทำไมถึงไม่รอฉันก่อน”

“ผมเป็นห่วงน้องหนู แล้วผมก็เคลียร์งานเสร็จแล้วด้วย”

“แล้วคิดว่าฉันไม่เป็นห่วงนายหรือไง”

“ห๊ะ...โอ๊ย...”

เสียงแรก พิชญ์อุทานออกมาเพราะคิดว่าตัวเองหูฝาด ส่วนเสียงร้องที่สองก็เพราะพิชญ์เผลอชะงักจนทำมีดบาดตัวเอง คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รีบปราดเข้ามาดึงมีดออกจากมือพิชญ์ แล้วยกมือขึ้นมาพลิกซ้ายพลิกขวาหาบาดแผล

“เจ็บมากไหม ทำไมไม่ระวังเลย” อริญชย์เอ่ยเสียงดุ แต่แปลก...ที่พิชญ์กลับรู้สึกว่ามันแฝงไว้ด้วยความเอื้ออาทรอยู่ในที

“แผลนิดเดียวเอง ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก เดี๋ยวก็หาย...”

พิชญ์ตั้งท่าจะดึงมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย แล้วเอ่ยให้อริญชย์ปล่อยมือเขา แต่ยังช้ากว่าอริญชย์ที่ถือวิสาสะยกมือพิชญ์ขึ้นจรดริมฝีปาก

“เลือดออกด้วย...”

พิชญ์รู้ว่าเลือดออก แต่ที่เขาไม่รู้คือ...ทำไมอริญชย์ต้องตวัดปลายลิ้นเลียเลือดจากรอยบาดด้วย สัมผัสอุ่นวาบที่ประทับลงบนปลายนิ้วช้า ๆ อย่างนุ่มนวล ไม่ต่างอะไรจากกระแสไฟฟ้าที่แล่นพล่านจากปลายนิ้วเข้าสู่หัวใจ จนพิชญ์ถึงกับยืนตัวแข็งทื่อ ดวงหน้าพลันร้อนวาบเมื่อสัมผัสถึงความอ่อนโยนที่ได้รับ

“คุณใหญ่...”

“หืมม์...”

ลมหายใจร้อน ๆ จากริมฝีปากของอริญชย์เป่ารดปลายนิ้วพิชญ์เบา ๆ นอกจากจะไม่สร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกายแล้ว มันยังทำให้พิชญ์สะท้านเยือกไปทั้งตัว

“ปล่อยผมเถอะ...”

อริญชย์ช้อนตาขึ้นมองสบกับดวงตาเรียวของพิชญ์ ก่อนจะถอนริมฝีปากออกจากปลายนิ้วอย่างอ้อยอิ่ง วินาทีที่เขาปล่อยมือพิชญ์ให้เป็นอิสระ ก็เป็นวินาทีเดียวกับที่เสียงของไอลดาดังขึ้นข้างหลังอริญชย์

“พี่พีทเป็นอะไรคะ” ไอลดาถามพิชญ์ แต่ดวงตากลับมองไปที่อริญชย์อย่างคาดคั้น

“มีดบาด” อริญชย์ตอบเสียงเรียบ ๆ ไม่คิดที่จะหลบตาน้องสาวตัวเองแต่อย่างใด “เธอมาก็ดีแล้ว ไปเรียกนวลมาเตรียมอาหารต่อที”

พิชญ์ขยับจะอ้าปากค้านว่าบาดแผลเล็ก ๆ แค่นี้ห่างไกลหัวใจเขาจะตาย แต่ทั้งพี่ทั้งน้องก็ไม่มีใครยอมฟังเขาซักคน ไอลดารับปากว่าจะไปเรียกนวลมาจัดการต่อ แต่ไม่วายจูงมือพิชญ์เดินออกมาด้วย และแน่นอนว่าอริญชย์ก็เดินตามออกมาเช่นกัน

“ยัยเล็ก จะพาพีทไปไหน” อริญชย์เอ่ยถามน้องสาวเสียงห้วน เมื่อเห็นว่าไอลดากำลังจูงพิชญ์เข้าห้องนอน

“เล็กก็จะพาพี่พีทไปทำแผลไงคะ” ไอลดาตอบก่อนจะปิดประตูใส่หน้าพี่ชาย

อริญชย์ขยับจะเดินตาม แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อน้องหนูวิ่งตรงรี่เข้ามาเกาะขาเขาไว้ พร้อมกับได้ยินเสียงตุลย์เอ่ยตามหลังน้องหนูมาแว่ว ๆ

“คุณหนูลองให้คุณใหญ่ดูสิครับ ว่าปูคุณหนูหรือปูผมสวยกว่า”

อริญชย์หันไปแยกเขี้ยวใส่ตุลย์ทันควัน รู้ทันทีว่าเป็นความจงใจของคนสนิทที่ส่งน้องหนูมาขัดเขาไว้ อริญชย์อุ้มน้องหนูขึ้นมา ก่อนจะเดินไปกระแทกตัวลงนั่งข้าง ๆ ตุลย์ กระซิบเสียงต่ำลอดไรฟัน

“คิดจะทำอะไร”

ตุลย์คลี่ยิ้มออกมาบาง ๆ เขาเป็นคนสนิทของคุณใหญ่ แต่ไม่ได้มีหน้าที่ทำตามคำสั่งเพียงอย่างเดียว ยังมีอีกหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้วย

“คุณใหญ่จะตามเข้าไปทำไมล่ะครับ คุณเล็กเธอเป็นภรรยา แล้วคุณใหญ่เป็นอะไร รักน่ะรักได้ ไม่ผิด แต่ต้องคิดที่จะทำอะไรให้มันชัดเจนด้วยนะครับ”



.



อาหารเย็นจบลงอย่างเรียบง่าย ทุกคนนั่งล้อมวงกันกินสุกี้ร้อน ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วนวลก็จัดการพาน้องหนูไปอาบน้ำอาบท่า ก่อนจะเดินออกมาส่งอริญชย์กับพิชญ์ที่หน้าประตู

“บ๊ายบายค่ะพ่อพีท บ๊ายบายค่ะลุงใหญ่”

พอพูดคุยกันด้วยเหตุผลจริง ๆ น้องหนูก็เป็นเด็กว่าง่ายกว่าที่คิด เด็กหญิงยอมเข้าใจว่าพิชญ์งานยุ่ง ทำให้ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหมือนเมื่อก่อน

“เหมือนเวลาที่แม่เล็กงานยุ่ง แล้วน้องหนูต้องอยู่กับพ่อพีทไงคะ”

น้องหนูพยักหน้าหงึก ๆ เป็นเชิงเข้าใจก่อนจะหันมาอ้อนไอลดาให้อุ้ม

“แม่เล็กจ๋า อุ้มน้องหนูจุ๊บพ่อพีทหน่อย”

ไอลดาอุ้มลูกสาวตัวน้อยขึ้นมาตามคำขอ กระซิบอะไรกันสองคนแม่ลูกแล้วก็หัวเราะคิกคัก ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้พิชญ์ น้องหนูยิ้มหวานอย่างน่ารัก ค่อย ๆ โน้มหน้าไปหอมแก้มผู้เป็นพ่อเบา ๆ พอน้องหนูผละออกมา เด็กหญิงก็หันไปขยิบตาให้ผู้เป็นแม่ ไอลดายิ้ม...ก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปกดจมูกลงที่แก้มพิชญ์เช่นกัน

“อุ๊ย แม่เล็กจุ๊บพ่อพีทด้วย”

พิชญ์ยืนตัวแข็งทื่อ เพราะไม่คิดว่าไอลดาจะทำอะไรแบบนี้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าน้องหนู เขาเลยต้องยิ้มออกมา ผิดกับอริญชย์ที่สีหน้าแข็งกระด้างขึ้นมาทันที

ทั้งที่รู้ว่าไอลดามีสิทธิ์อย่างชอบธรรม เขาต่างหากที่ไม่มีสิทธิ์ แต่...

อริญชย์ไม่เคยนึกอยากให้ใครมาแตะต้องหรือยุ่งกับของ ๆ เขาเลย แม้ว่าคน ๆ นั้นจะเป็นน้องสาวที่เขารักมากก็ตามที

สัมผัสอุ่น ๆ แตะลงที่แก้มสากของอริญชย์ ก่อนที่ไอลดาจะโน้มตัวขึ้นเอ่ยชิดหูพี่ชาย

“ฝันดีนะคะพี่ใหญ่ เล็กฝากพี่พีทด้วยนะคะ”

“ยังไงพี่ก็ต้องดูแลพีทให้ดีอยู่แล้ว เธอก็ดูแลน้องหนูดี ๆ ละกัน”

ปล่อยให้ล่ำลากันอีกซักพัก อริญชย์ก็รั้งพิชญ์ให้เดินออกมา ไอลดาจะได้พาน้องหนูเข้านอนเสียที ส่วนพวกเขาสามคนก็จะได้กลับถึงบ้านไม่ดึกเกินไป

ตลอดทางกลับบ้านมีแต่ความเงียบงันปกคลุมทั่วรถ ตุลย์ขับรถไปเงียบ ๆ ไม่ได้เอ่ยกวนประสาทเจ้านายเหมือนทุกที พิชญ์มองออกนอกหน้าต่าง ก่อนจะขยับตัวอย่างอึดอัด เพราะอริญชย์ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาก็เลยไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน

“วันนี้คุยกับท่านจินดาเป็นยังไงบ้างครับ”

“ก็ดี...”

ในเมื่ออริญชย์ดูเหมือนจะไม่อยากคุยเท่าไหร่ พิชญ์เลยขี้เกียจเซ้าซี้ พอกลับถึงบ้าน เขาก็แยกตัวเข้าห้องนอน จัดการอาบน้ำแล้วเปลี่ยนเป็นชุดนอนให้เรียบร้อย เสร็จแล้วก็เดินไปสอดตัวลงใต้ผ้าห่ม พิชญ์ยกมือขึ้นปิดปากหาว ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดไฟ

กำลังจะเคลิ้มหลับก็ต้องชะงักนิด ๆ เมื่อได้ยินเสียงคนเปิดประตูห้องนอนเข้ามา

น่าแปลก ที่พิชญ์จำเสียงฝีเท้าของผู้บุกรุกได้

และที่น่าแปลกกว่า คือการที่เขาเลือกที่จะนอนนิ่ง ๆ

พิชญ์ยังไม่ได้หลับ แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องแกล้งทำเหมือนหลับ อันที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้แกล้ง เขาเพียงแต่นอนนิ่ง ๆ คนที่ถือวิสาสะบุกรุกเข้ามาในห้องนอนของเขายามวิกาลสอดตัวลงนอนข้าง ๆ โอบรั้งร่างเขาเข้าไปในอ้อมแขน ก่อนริมฝีปากร้อนผ่าวจะกดจูบลงมาบนแก้ม ข้างเดียวกับที่ไอลดาจูบเมื่อตอนหัวค่ำ

ถ้าสัมผัสของไอลดาทำให้พิชญ์รู้สึกเย็นวาบ สัมผัสของอริญชย์ก็ทำให้พิชญ์รู้สึกร้อนรุ่ม

อริญชย์กดจูบหนัก ๆ ราวกับจะย้ำความเป็นเจ้าของ ก่อนจะค่อย ๆ ผละออกมากอดพิชญ์เอาไว้หลวม ๆ แล้วกระซิบชิดใบหูพิชญ์เบา ๆ อย่างคนขี้ขลาด

“รัก...”

คำว่า ‘รัก’ ที่หนักแน่นดังภูผา แต่ว่าจะมีประโยชน์อะไร ถ้าไม่ได้พูดออกไปในยามที่คนฟังรู้สึกตัว



TO BE CONTINUE



ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์เลยนะคะ ^^

คุณใหญ่ขี้หวงและขี้อิจฉามาก
แต่คุณใหญ่ต้องเข้าใจเนอะ...ว่าเขาเป็นสามีภรรยากัน
อนุญาตให้หมั่นไส้และสมน้ำหน้าคุณใหญ่ได้เลยค่ะ


ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
....​อยู่ ๆ กันไปเดี๋ยวก็รักกันเอง
ใช่แล้วพีท อยู่ๆ กันไปก็จะรักกับคุณใหญ่ไปเอง  :m20:

คุณเล็กก็รุกหนักใช่เล่นนะ ดีที่น้องหนูตื่นมาขัดจังหวะไว้ทัน ไม่งั้นพีทจะเสียท่าให้ทั้งพี่และน้องแน่เลย... ฮือออ พีทผู้น่าสงสาร มีแต่คนรัก

.. เรารู้สึกห่วงพีทเกี่ยวกับเพื่อนที่ชื่อปฐพีจัง หวังว่าเพื่อนจะไม่คิดทำร้ายเพื่อนนะ  :mew2:

ปล.ฝากบอกคุณใหญ่นิดหนึ่งนะ ถ้าจะบอกรักพีทก็ให้บอกตอนเขาไม่หลับสิคะ บอกตอนหลับ ใครเขาจะรู้ความในใจเล่า!! โธ่!!

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
ตกลงพีทหลับไปก่อนจะได้ยินคำบอกรักเหรอโห่คุณใหญ่ใจกล้าหน่อย :hao3:
หวังว่าดินคงไม่สร้างปัญหาให้พีทจนแก้ไขอะไรไม่ได้นะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
อ้าวว!พีทหลับก่อนหรอ? แกล้งหลับแต่หลับจริงซะงั้น เฮ้ย!อย่าเพิ่งหลับ ฟังคำรักก่อน 5555555 คุณใหญ่นี่ทำให้เราทั้งหมั่นไส้และเห็นใจได้ได้เวลาเดียวกันจริง ชอบอ่ะเวลาที่พีทหวั่นไหวกับคุณใหญ่ แบบมีความคิดถึงหน้าไรงี้ รู้สึกวูบวาบดี 55555 เออจริง! อยู่ๆกันไปก็รักกัน ใช้ได้กับคู่นี้อยู่ รอวันที่ใจตรงกันแล้วกันคงฟินไม่น้อย อิอิ แต่กว่าจะถึงตอนนั้นคุณใหญ่อาจกระอักเลือดก่อนถ้าคุณเล็กจับได้เมื่อไหร่อะนะ บ้านแตก หรือป่าว? 555 ความไว้ใจ ใจดี ใจอ่อนของพีทจะนำมาซึ่งปัญหาข้างหน้ารึป่าวนะ จะทรยศใครระหว่างเพื่อนและเจ้าชีวิต มาให้คุณใหญ่ช่วยมา จะได้หนีจากคนใจร้ายด้วยนะดิน 55555 สนุกกกกกกกกก รออ่านตอนต่อไปเลยค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Tassanee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25

สิบเอ็ด
คนแปลกหน้า



แสงแดดยามเช้าส่องผ่านรอยแยกของผ้าม่านเข้ามากระทบร่างที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียง แม้ว่าอีกสิบห้านาทีจะแปดโมงเช้าแล้วก็ตาม พิชญ์มุ่นหัวคิ้วน้อย ๆ เมื่อถูกแสงแดดอ่อน ๆ รบกวนการนอน เขายกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองอย่างงัวเงีย ขยับพลิกตัวหนีมาอีกด้านของเตียง ปล่อยแสงแดดส่องกระทบแผ่นหลังของเขาแทน

มือเรียวควานหาหมอนข้างเพื่อคว้ามากอด ก่อนจะต้องชะงักน้อย ๆ เมื่อฝ่ามือสัมผัสเข้ากับความว่างเปล่าบนเตียง ทั้งที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเมื่อคืนมีคนบุกรุกเข้ามานอนกับเขา พิชญ์ลืมตาขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน กวาดสายตาดูรอบด้าน แล้วก็พบว่ามีแค่เขาที่นอนอยู่บนเตียงตามลำพัง ปราศจากร่องรอยของ ‘ผู้บุกรุกยามวิกาล’ ที่คงจะชิ่งหนีก่อนที่เขาจะทันตื่นขึ้นมา

พิชญ์เม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ค่อย ๆ ยันตัวขึ้นมานั่งบนเตียง ผ้าห่มที่คลุมร่างกายอย่างหมิ่นเหม่ร่นลงมากองอยู่บนตัก แต่เขาก็เพียงแค่ปัดมันออกจากตัวลวก ๆ มือเรียวยกขึ้นเสยผมตัวเองช้า ๆ ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทีละนิด

เมื่อคืนอริญชย์เข้ามาที่ห้องของเขากลางดึก ตอนที่พิชญ์จวนเจียนจะหลับอยู่รอมร่อ อริญชย์ก็ถือวิสาสะเบียดตัวเองขึ้นมานอนบนเตียงเขา มิหนำซ้ำยังริอ่านมาหาเศษหาเลยเอากับแก้มเขาเสียอีก ทั้ง ๆ ที่รู้ตัวดี แต่ตอนนั้นพิชญ์ก็ง่วงเกินกว่าจะขยับตัวหนีหรือผลักไสคนฉวยโอกาส เขาเลยแค่นอนนิ่ง ๆ ปล่อยตัวเองเข้าสู่ห้วงนิทราด้วยความง่วงงุน

ขณะที่กำลังจะปล่อยตัวเองจมดิ่งลงสู่ภวังค์ พิชญ์เหมือนได้ยินเสียงอริญชย์กระซิบงึมงำบางอย่างข้างหู แต่เพราะความง่วงที่มีอยู่เต็มเปี่ยมของเขา ถ้อยคำที่หลุดออกมาจากปากอริญชย์เมื่อคืนเลยกลายเป็นแค่เพียงลมปากที่ลอยผ่านหู เหมือนสายลมบางเบากลางฤดูร้อนที่เพียงแค่พัดมาสะกิดผิวกาย ไม่ได้มอบความเย็นฉ่ำใด ๆ

พิชญ์สะบัดหัวสองสามที ปัดความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองทิ้ง ก้าวลงมาจากเตียง มือเรียวขยับปลดกระดุมชุดนอนของตัวเองออกทีละเม็ด รู้สึกคิดถึงน้องหนูขึ้นมาตงิด ๆ ขนาดเพิ่งห่างกันแค่เพียงสองวัน พิชญ์ก็คิดถึงนางฟ้าตัวน้อยของเขาเข้าแล้ว เขามีเวลาคิดถึงน้องหนูเพียงแค่แวบเดียวก่อนจะต้องชะงักกึก ยืนตัวแข็งทื่อ เมื่อสายตาปะทะเข้ากับรอยแดงบนเนินอกจนต้องหลุดเสียงคำราม ที่ฟังแล้วคล้ายกับเสียงแมวขู่มากกว่า

“คุณใหญ่!”

ต้นสายปลายเหตุคงกำลังแต่งตัวอยู่ที่ห้องของตัวเอง หรือบางทีอาจจะกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ที่โต๊ะอาหาร พอพิชญ์เห็นผลงานของอีกฝ่ายแล้วก็ต้องเม้มปากแน่นเพื่อข่มอารมณ์โมโห สาบานเลยว่าเมื่อคืนตอนเขาอาบน้ำ ถึงพิชญ์จะแค่ส่องกระจกผ่าน ๆ แต่เนื้อตัวเขาก็เกลี้ยงเกลาปราศจากรอยบ้า ๆ พวกนี้ แล้วดูเช้านี้สิ กลับมีรอยบ้า ๆ มาปรากฏอยู่ตรงเนินอกเด่นชัด สาเหตุมีอยู่เพียงอย่างเดียว ผู้ชายเพียงคนเดียวที่ชอบหาเศษหาเลยกับร่างกายเขา

พิชญ์กัดฟันด้วยความหงุดหงิด นึกสงสัยอยู่หลายต่อหลายครั้ง รูปร่างแบบผู้ชายด้วยกัน ติดจะมีมัดกล้ามนิด ๆ แถมหน้าอกยังแบนราบราวกับแผ่นกระดานติดลูกเกดอย่างเขา มันไปเร้าอารมณ์ทางเพศของอริญชย์ตรงไหนกัน

เขาหลุดเสียงสบถออกมาอีกสองสามคำ ก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวมาพาดบ่า แล้วเดินเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการกับตัวเอง อารมณ์ดี ๆ เมื่อตอนเช้าแปรเปลี่ยนเป็นความหงุดหงิด เมื่อเห็นร่องรอยบนร่างกายตัวเองชัดเต็มสองตา เป็นหลักฐานอย่างดีที่บ่งบอกว่าอริญชย์กล้าเอารัดเอาเปรียบเขาแม้ยามหลับ ถึงพิชญ์อยากจะเอาเรื่องอริญชย์มากแค่ไหน แต่เขาก็รู้ดีว่า สุดท้ายมันก็จะเข้าอีหรอบเดิมที่เขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

จัดการกับตัวเองจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว พิชญ์ก็เดินลงมาข้างล่าง คฤหาสน์ที่กว้างขวางยิ่งเงียบเหงาลงกว่าเดิม เมื่อปราศจากเสียงเจื้อยแจ้วของน้องหนูที่มักเอ่ยออดอ้อนฉอเลาะผู้เป็นพ่อและลุงทุกเช้า โต๊ะอาหารที่เคยมีเสียงลุงหลานคุยกัน ยามนี้มีแค่อริญชย์ที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ตามลำพัง ตรงหน้าคือถ้วยกาแฟดำที่พร่องลงกว่าครึ่ง บ่งบอกว่าอีกฝ่ายลงมานั่งอยู่ข้างล่างนานแล้ว

พิชญ์นั่งลงตรงที่ประจำของตัวเอง ตรงข้ามกับอริญชย์ กำลังจะเหลียวมองหาป้าน้อย คุณแม่บ้านคนเก่าแก่ก็กระวีกระวาดยกชามข้าวต้มร้อน ๆ มาวางตรงหน้าเขา

“ขอบคุณครับ ป้าน้อย”

“ป้าทำข้าวต้มกุ้งของโปรดของคุณพีท ทานเยอะ ๆ นะคะ”

พิชญ์ยิ้มกว้างรับคำป้าน้อย ก่อนจะเอื้อมมือหยิบขวดพริกไทยมาเหยาะลงชามข้าวตัวเอง เอาช้อนคนข้าวต้มที่ร้อนจนควันฉุยเบา ๆ แล้วตักขึ้นจ่อริมฝีปากเพื่อเป่า พอเห็นว่าข้าวต้มหายร้อนแล้วก็ส่งเข้าปากตัวเอง เคี้ยวตุ้ย ๆ ด้วยความเอร็ดอร่อย

...ป้าน้อยมักจะรู้ใจเขาเสมอ...

พิชญ์คิดพลางอมยิ้มน้อย ๆ จนแก้มตุ่ย ก่อนจะต้องเป็นฝ่ายชะงัก เมื่อรู้สึกว่าอริญชย์มองตรงมาที่เขา ประมุขของคฤหาสน์กระตุกยิ้มมุมปาก ดูแล้วขัดหูขัดตาจนพิชญ์ต้องวางช้อนลง คว้าแก้วน้ำมาดื่มแก้เก้อ ขนาดเขาดื่มน้ำอย่างอ้อยอิ่งแล้ว พอดื่มเสร็จ อริญชย์ก็ยังคงนั่งเท้าคางมองเขาอยู่ พิชญ์เลยเลือกที่จะทำเมินเฉยเสีย แล้วก้มหน้าก้มตาจัดการกับข้าวต้มตรงหน้า แม้จะนึกหงุดหงิดนิด ๆ จนข้าวต้มรสชาติดีพาลกร่อยลงถนัดตา

มองเขาอย่างกับกำลังนั่งดูสารคดีสัตว์โลกเลยนะ...

จัดการกับอาหารเช้าเรียบร้อย อริญชย์ก็เดินนำพิชญ์มาขึ้นรถที่ตุลย์ขับมาจอดรออยู่แล้ว พอเหลือบตาเห็นสูทของตัวเองกับอริญชย์แขวนอยู่บนรถ พิชญ์ก็เลิกคิ้วนิด ๆ ด้วยความสงสัย ตุลย์ที่สังเกตเห็นเข้าเลยเอ่ยอธิบายออกมา

“ผมลืมเตือนคุณพีท วันนี้ตอนเย็นมีงานเลี้ยงสมาคมธุรกิจก่อสร้างที่โรงแรมอนันตรา ริเวอร์ไซด์ครับ”

“คราวหลังก็เขียนแปะที่หน้าเสียสิ”

พิชญ์ตวัดสายตามองคนพูดทันควัน อริญชย์ทำทีเป็นมองท้องฟ้า จนพิชญ์ต้องเป็นฝ่ายถอนสายตากลับมาแล้วก้าวขึ้นรถ

อันที่จริงแล้วพิชญ์ค่อนข้างเบื่องานสังสรรค์ที่ตุลย์พูดมา แต่ถ้าเป็นงานของสมาคมฯก็รู้กันเลยว่าห้ามเบี้ยว ห้ามชิ่ง ห้ามหนี ถึงแม้คนจัดงานจะอ้างว่าเป็นงานพบปะสังสรรค์ระหว่างกลุ่มนักธุรกิจ ความจริงแล้วก็คืองานอวดร่ำอวดรวยของพวกไฮโซอยู่ดี งานนี้ยังดีที่เป็นงานสังสรรค์ของวงการธุรกิจเดียวกัน ถ้าเป็นงานการกุศล พิชญ์คงต้องทนยืนปั้นหน้าดูคุณหญิงคุณนายอวดพิพิธภัณฑ์เครื่องเพชรกันจนตาแทบบอดแน่ ๆ

ช่วงแรกที่ถูกอริญชย์มัดมือชก ลากออกงานด้วยบ่อย ๆ พิชญ์ก็แทบจะบ้าตายเสียวันละหลายรอบ ตอนนั้นข่าวการแต่งงานระหว่างเขากับไอลดายังเป็นข่าวที่คนข้างนอกฮือฮาและจับตามอง เรื่องของไฮโซสาวกับผู้ชายเดินดินธรรมดา จนเขาถูกซุบซิบนินทาว่าบุญหล่นทับกลายเป็นหนูตกถังข้าวสารทองฝังเพชร

ออกงานแต่ละที พิชญ์ต้องทนปั้นหน้ายิ้มแย้มรับถ้อยคำแสดงความยินดีจากคนนั้นคนนี้ บางคนก็เข้ามาแสดงความยินดีกับเขาจริง ๆ แต่บางคนก็แค่แสดงความยินดีตามมารยาท พอลับหลังก็นินทาหาว่าเขาเกาะไอลดากิน พิชญ์หวิดจะวางมวยกับพวกปากดีอยู่หลายครั้ง ติดที่ว่าชื่อเสียงและความเป็นเกียรติกาญจนามันค้ำคอเขาอยู่ พิชญ์เลยต้องกล้ำกลืนฝืนทนจนผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมา

พิชญ์เคยโอดครวญกับไอลดาว่าเขาเบื่อการต้องมานั่งปั้นหน้าออกงานกับอริญชย์เต็มทน แต่ภรรยาคนสวยของพิชญ์ก็เพียงแค่ขำคิกคักก่อนจะปลอบเขาว่า...

‘เอาเถอะค่ะ เดี๋ยวอีกหน่อยพี่พีทก็ชินเอง’

พอถึงตอนนี้พิชญ์ก็อยากเถียงไอลดาขึ้นมาทันที ว่าขนาดผ่านมาหลายปีแล้วที่เขาต้องตามอริญชย์ออกงานต่าง ๆ พิชญ์ก็ยังเบื่องานที่ต้องสวมหน้ากากเข้าหากันอยู่ดี นึกแล้วก็อยากจะเป็นแค่นายพิชญ์ ภัทรกุล ผู้ชายธรรมดาที่มีฐานะเป็นแค่ลูกแม่พลอยคนทำขนมเหลือเกิน

เวลาเห็นพวกคุณหญิงคุณนายพาเด็กตัวเล็ก ๆ มาออกงานแล้วพิชญ์ก็ต้องเบ้ปาก พวกแม่ ๆ เหล่านี้พาเด็กมาทรมานชัด ๆ บางคนอายุน้อยกว่าน้องหนูเสียด้วยซ้ำ มาถึงงานก็ถูกรุมล้อม ผลัดกันอุ้ม ผลัดกันชม เดี๋ยวก็โดนบิดแก้ม จนพิชญ์ถึงกับบอกตัวเองเลยว่า...

ลองคนอื่นที่ไม่ใช่ญาติกัน กล้ามาบิดแก้มน้องหนูสิ รับรองเลยว่าเขาเอาเรื่องแน่ ๆ...

“ฉันว่างานนี้ไอ้เล้งน่าจะมาด้วย”

เสียงเปรยหนัก ๆ ของอริญชย์ดึงพิชญ์ออกจากภวังค์ ชายหนุ่มชะงักน้อย ๆ เมื่อชื่อคู่อริของอริญชย์ดังเข้าหู

เท่าที่พิชญ์รู้ เวลามีงานเลี้ยงสังสรรค์ของสมาคมฯ รัญญามักจะเป็นฝ่ายมาร่วมงานด้วยตัวเอง นาน ๆ ทีถึงจะเป็นคนสนิทของเธอ ผู้ชายเจ้าสำอาง ท่าทางร้าย ๆ ที่พิชญ์นึกเหม็นขี้หน้าปนหมั่นไส้ คลับคล้ายคลับคลาว่าหมอนั่นจะชื่อ ‘นที’

แต่ลองว่าราชันย์กลับมาประเทศไทยแล้ว งานนี้พี่ชายของรัญญาอาจจะมาร่วมงานด้วยตัวเองอย่างที่อริญชย์บอกก็เป็นได้ งานเลี้ยงของสมาคมฯ ถือเป็นงานสำคัญงานหนึ่งของวงการธุรกิจก่อสร้าง ที่มีแต่คนวงการเดียวกันมารวมตัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา พิชญ์เลยเชื่อว่าราชันย์ต้องมาแน่ ๆ

“ถ้าเสี่ยเล้งมา...” พิชญ์พึมพำ

“ก็ดีสิ ฉันกำลังคิดถึง อยากเจอมันอยู่พอดี” ประกายดุร้ายสว่างวาบที่ดวงตาของอริญชย์

พิชญ์เองก็อยากเจอ อยากรู้และอยากถามถึงสาเหตุความบาดหมางระหว่างอริญชย์กับราชันย์ แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า...ราชันย์จะยอมบอกเขาหรือเปล่า

“อ้อ อีกสองอาทิตย์ เรามีนัดดูที่ดินตรงจังหวัดชุมพรกันด้วย อย่าลืมจดลงสมุดบันทึกของนายล่ะ”

“ตกลงเขายอมเจรจาแล้วเหรอครับ”

“อืม ผลงานของนายนั่นแหล่ะ”

พิชญ์ยิ้มออกมา อริญชย์กำลังวางแผนจะลงทุนโปรเจคท์สำคัญที่ชุมพร มูลค่าการลงทุนเกือบร้อยล้าน กว่าเจ้าของที่ดินจะยอมนัดเจรจา พิชญ์ก็อ้อนวอนจนน้ำลายแทบหมดปาก พออีกฝ่ายบอกว่าเป็นผลงานของเขา มันเลยเป็นเหมือนกับคำชมกลาย ๆ ที่ทำเอาพิชญ์ถึงกับหน้าบาน

พิชญ์ล้วงเอาสมุดจดเล่มเล็กของตัวเองมาเปิด คว้าปากกามาจดตารางนัดหมายยุกยิก พิชญ์จดทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาคิดว่าสำคัญลงสมุดเล่มนี้ ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ที่สำคัญ เขาจดวันที่น้องหนูต้องแสดงงานโรงเรียนลงสมุดด้วย อริญชย์ที่ถือวิสาสะชะโงกหน้ามาดูสมุดของพิชญ์ขมวดคิ้วออกมา ก่อนจะเอ่ยถามสิ่งที่เขากำลังสงสัย

“ช่องที่นายวาดรูปมงกุฎคืออะไรน่ะ”

“อ๋อ งานโรงเรียนของน้องหนูไงครับ ปีนี้น้องหนูถูกเลือกให้เล่นละครเวทีเป็นเจ้าหญิงด้วยนะ”

สีหน้าของพิชญ์ยามเอ่ยถึงน้องหนู มีแต่ความสุขประดับประดาอยู่ทั่วหน้า จนคนมองอย่างอริญชย์ยังอดยิ้มตามไม่ได้

“เดี๋ยวใกล้ ๆ แล้วเตือนฉันทีนะ”

“หึ! ไม่ต้องซื้อตุ๊กตาแล้วนะคุณใหญ่”

“ทำไมล่ะ ฉันเห็นว่าน้องหนูก็ชอบตุ๊กตาจะตายไป”

“ไม่เอาแล้วครับ ตุ๊กตาเต็มห้องน้องหนูแล้ว ถ้าคุณซื้อมาอีก ผมเล่นงานคุณแน่ ๆ”

อริญชย์อมยิ้มกับถ้อยคำของพิชญ์ อยากเห็นคนปากเก่งเล่นงานเขาอยู่เหมือนกัน กลัวว่าพ่อของน้องหนูจะเก่งแต่ปากน่ะสิ

“เอ้า ถ้าไม่ซื้อตุ๊กตา งั้นเสนอไอเดียมาสิว่าฉันควรซื้ออะไรดี”

พิชญ์ทำหน้าเบ้ให้กับตรรกะของคนรวยอย่างอริญชย์ เขาล้วงหยิบสมุดบัญชีเล่มเล็กของธนาคารแห่งหนึ่งขึ้นมาโบกไปมาตรงหน้าอริญชย์เป็นเชิงอวด อีกฝ่ายหัวเราะหึก่อนจะแย่งสมุดบัญชีไปจากมือพิชญ์

“อย่าบอกนะว่าให้ฉันฝากเงินเข้าบัญชีน้องหนูแทน”

“ก็ใช่น่ะสิครับ ผมว่าดีกว่าซื้อของเล่นให้อีก”

อริญชย์เปิดสมุดบัญชีเล่มเล็กดู ก่อนจะต้องขมวดคิ้วนิด ๆ คล้ายกับไม่ชอบใจในสิ่งที่เห็น

“บัญชีนายพิชญ์ ภัทรกุลเพื่อเด็กหญิงอรนิช เกียรติกาญจนา ฉันว่าฉันเปิดบัญชีใหม่ให้น้องหนูดีกว่า”

“อ้าว ทำไมล่ะครับ”

พิชญ์ไม่ได้แกล้งเซ่อ แต่เขางงจริง ๆ จัง ๆ น้องหนูเพิ่งอยู่แค่อนุบาล อริญชย์จะเปิดหลาย ๆ บัญชีทำไมกัน

“ฉันอยากเปิดของฉันเองบ้าง เป็นบัญชีนายอริญชย์ เกียรติกาญจนาเพื่อเด็กหญิงอรนิช เกียรติกาญจนา”

พิชญ์ส่ายหน้าออกมาทันที พอเป็นเรื่องของน้องหนูทีไร เขากับอริญชย์เป็นต้องแข่งขันชิงดีชินเด่น แย่งกันเอาใจเจ้าตัวเล็กตลอด ถ้าเกิดไอลดารู้เข้าอีกคน คงได้เรียกร้องอยากจะเปิดอีกบัญชีเป็นชื่อเธอบ้างแน่ ๆ พออวดสมุดบัญชีเสร็จแล้ว พิชญ์ก็ดึงจากมืออริญชย์มาเก็บเข้ากระเป๋าเหมือนเดิม

“แล้วแต่คุณใหญ่เถอะ ของผมน่ะฝากให้น้องหนูทุกเดือนเลยนะ”

“แล้วเงินนายพอใช้หรือไง”

“ทำไมจะไม่พอล่ะ วัน ๆ ผมแทบไม่ได้ใช้อะไรเลย โตขึ้นน้องหนูจะได้สบายด้วย”

“ยังไงฉันก็ไม่มีทางปล่อยให้น้องหนูลำบากอยู่แล้ว”

พิชญ์ยิ้มออกมาได้ไม่เต็มที่นัก มันเป็นรอยยิ้มที่เจือจางอยู่แค่บนริมฝีปาก แต่ไม่ได้ส่งผ่านไปถึงดวงตา

เขาไม่สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคตได้ ถ้าในอนาคตเกิดมีเหตุการณ์ที่เขากับไอลดาต้องหย่าร้างกันขึ้นมา พิชญ์ก็ยังลังเลว่าเขาควรจะเป็นคนดูแลน้องหนูเอง หรือปล่อยน้องหนูให้อยู่ในความดูแลของไอลดากับอริญชย์ ถึงพิชญ์อยากจะพาน้องหนูไปอยู่กับเขามากแค่ไหน เขาก็เชื่อว่าพอถึงเวลานั้นขึ้นมาจริง ๆ อริญชย์คงไม่ยอมแน่ ๆ และที่สำคัญ ถ้าเทียบกันแล้ว อยู่กับอริญชย์ น้องหนูคงสบายมากกว่าอยู่กับเขา

“ขอบคุณนะครับ ที่ช่วยผมดูแลน้องหนูมาตลอด”

พิชญ์ไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล เรื่องที่อริญชย์ทำดีเขาก็ยอมรับ แต่เรื่องที่มันเลวร้าย เขาก็จำฝังใจ

“น้องหนูไม่ใช่หลานสาวของฉันหรือไง อย่ามาไร้สาระน่าพีท” อริญชย์เอ็ดคนที่เกิดจะเกรงใจเขาขึ้นมาเสียงดุ ๆ

พิชญ์ยิ้มออกมาขื่น ๆ ระหว่างเขากับอริญชย์ มันยังมีกำแพงบาง ๆ กั้นระหว่างกันอยู่ ถึงอริญชย์จะเห็นเขาเป็นแค่ของเล่นฆ่าเวลายามเหงา หรือแม้แต่เป็นที่ระบายความใคร่ยามต้องการก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่อริญชย์ยังรักและคอยดูแลน้องหนู พิชญ์ก็ทนอยู่ในสภาพนี้ต่อไปได้

พิชญ์รักน้องหนูมาก และเขาก็รู้ดีว่าอริญชย์เองก็รักน้องหนูมากเช่นกัน เขาถึงได้มั่นใจว่าอริญชย์จะไม่มีวันทำให้น้องหนูเสียใจอย่างแน่นอน แต่ถ้ามีวันนั้นขึ้นมาเมื่อไหร่ พิชญ์ก็จะไม่มีทางให้อภัยอริญชย์เด็ดขาด

...จะทำร้ายเขาให้เจ็บปวดเจียนตายก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่อริญชย์ไม่คิดร้ายกับน้องหนู...

“บางทีผมก็อยากให้น้องหนูมีน้องเหมือนกันนะ” พิชญ์เปรยขึ้นมาเบา ๆ ไม่ได้สังเกตสีหน้าคนฟังที่เปลี่ยนไปแทบจะทันทีที่เขาพูดจบประโยค

ตุลย์ที่กำลังขับรถให้เจ้านายอยู่ถึงกับชะงัก โชคดีว่าเขามีสติพอที่จะบังคับตัวเองไม่ให้เผลอเหยียบเบรกกะทันหันด้วยความตกใจ แต่อริญชย์นี่สิ ท่าทางอารมณ์ดีเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นขบกรามแน่น รับรองเลยว่าถ้าไม่ได้อยู่บนรถที่มีตุลย์เป็นกว้างขวางคอชิ้นโตอยุ่ อริญชย์คงได้ลากพิชญ์เข้ามาลงโทษให้สาสมกับความปากดีของเจ้าตัวแล้วแน่ ๆ

...คนบ้าอะไร ช่างสรรหาเรื่องมายั่วอารมณ์โมโหเขาได้ตลอดเวลา...

...ยั่วโมโหกันซึ่ง ๆ หน้า โดยไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ว่าทำให้คนฟ้งรู้สึกยังไง..

“นายหมายความว่ายังไง”

“ผมแค่คิดเผื่อเอาไว้เฉย ๆ อีกหน่อยพอน้องหนูโตแล้วอาจจะเหงาก็ได้ ถ้ามีน้องจะได้มีเพื่อนเล่นไง”

“แล้วน้องหนูจะมีน้องได้ยังไงล่ะ อย่าบอกนะว่านายจะให้ยัยเล็กท้อง ยัยเล็กคงยอมหรอก”

แม้ปากจะอ้างว่าไอลดาคงไม่ยอม แต่อริญชย์รู้ดีว่าเป็นตัวเขาเองที่คงไม่ยอมแน่ ๆ แค่คิดว่าพิชญ์จะมีความสัมพันธ์กับไอลดา เขาก็เผลอกำมือแน่นอย่างไม่รู้ตัว

อริญชย์รู้ รู้ว่านอกจากครั้งแรกแล้ว พิชญ์ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกับไอลดาอีกเลย นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาพึงพอใจตลอดมา

แต่เขาก็กลัว กลัวว่าซักวันพิชญ์อาจจะเผลอไผลหรือใจอ่อนให้กับน้องสาวของเขา ซึ่งอริญชย์คงยอมให้มันเกิดขึ้นไมได้

เขายอมรับว่าเขามันเห็นแก่ตัว แต่เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่คนเราต้องการ บางครั้งคนเราก็ไม่เลือกวิธีมากนัก ไม่ว่าจะเป็นวิธีที่ฉลาด หรือบางครั้งอาจจะเป็นวิธีที่โง่เขลาที่สุด

“ผมลืมคิดถึงคุณเล็กไปเลย” พิชญ์พึมพำกับตัวเองเบา ๆ

เขาไม่ได้ลืมว่าไอลดาไม่อยากมีลูก ไม่ได้ลืมว่าเธอไม่ชอบการตั้งครรภ์ แต่เขาลืมว่าตัวเองไม่อาจมีความสัมพันธ์กับไอลดาได้ ถึงแม้วิทยาการทางการแพทย์สมัยนี้จะก้าวหน้า จนเขาไม่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ทางกายกับไอลดาจริง ๆ แต่พิชญ์ก็ไม่ได้เลวขนาดจะเอาเปรียบไอลดา ทำร้ายความรู้สึกของเธอเพียงเพื่อให้ได้ลูกมา

เขาเลวพอแล้ว อย่าให้เขาต้องเลวกับไอลดาไปมากกว่านี้เลย

พิชญ์ปัดประเด็นเรื่องการมีน้องให้น้องหนูทิ้งไป บางทีเขาก็มัวแต่คิดถึงตัวเองกับน้องหนู จนลืมไปว่า ครอบครัวของเขาไม่ได้มีแค่เขากับน้องหนูสองคนพ่อลูก แต่ยังมีไอลดา ไอลดาที่มีสิทธิ์ในตัวน้องหนูมากเท่า ๆ กับเขา

พิชญ์ถอนหายใจออกมาเบา ๆ พอดีกับที่ตุลย์จอดรถลงหน้าบริษัท เห็นท่าทางมึนตึงของอริญชย์แล้วพิชญ์ก็นึกรู้ทันที ว่าเขาคงทำอริญชย์หัวเสียไม่น้อย สังเกตจากการที่อีกฝ่ายเดินหน้าตึงลงจากรถ ก่อนจะก้าวเท้ายาว ๆ เดินเข้าลิฟต์ผู้บริหาร ปล่อยให้พิชญ์เดินทักทายกับบรรดาพนักงานตามลำพัง ดูท่าทางแล้วอริญชย์น่าจะอารมณ์เสียมากแน่ ๆ พิชญ์ได้แต่ไหวไหล่น้อย ๆ อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเดินเลี่ยงไปขึ้นลิฟต์อีกตัวเพื่อตรงเข้าห้องทำงานของตัวเอง

สิ่งเดียวที่พิชญ์รู้คือ เขาไม่ผิด

ถึงเขาจะมีความสัมพันธ์ทางกายกับอริญชย์นับครั้งไม่ถ้วน แต่เขาก็ยังเป็นพ่อของน้องหนู และเป็นสามีของไอลดา นั่นคือความจริงที่อริญชย์ต้องยอมรับมัน ส่วนความสัมพันธ์หลบ ๆ ซ่อน ๆ ระหว่างพวกเขาสองคน มันคือสิ่งที่อริญชย์ยัดเยียดให้เขาโดยที่เขาไม่ได้เต็มใจเลยแม้แต่น้อย

ถ้าจะมีใครซักคนที่ผิด พิชญ์กล้าพูดเลยว่า...คนนั้นก็คืออริญชย์

เขาไม่ได้โยนความผิดให้อริญชย์ แต่ถ้าอริญชย์ไม่เป็นฝ่ายเริ่มต้นความยุ่งยากต่าง ๆ เรื่องราวทุกอย่างคงไม่มีทางดำเนินมาจนถึงจุดนี้ จุดที่พิชญ์ยังไม่รู้ว่าทางออกของมันจะเป็นอย่างไร


.


ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25



“แม่เล็กขา น้องหนูอยากกินไอศกรีมค่ะ”

ไอลดาเอียงคอมองลูกสาวตัวน้อยที่ยืนเกาะชายเสื้อเธออยู่ สลับกับร้านไอศกรีมด้านหลังที่ดูล่อตาล่อใจเจ้าตัวจ้อย กำลังนึกชั่งใจว่าจะเอาอย่างไรดี แต่พอสบเข้ากับดวงตาปริบ ๆ ที่มองมาอย่างออดอ้อน คนเป็นแม่ก็ต้องใจอ่อน ยอมเปลี่ยนทิศทางจากการเดินกลับคอนโดเป็นพาน้องหนูแวะร้านไอศกรีมแทน

“เย้ น้องหนูรักแม่เล็กที่สุดเลย”

ไอลดาส่ายหน้าเบา ๆ เมื่อเห็นลูกสาวตัวน้อยกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี ก่อนจะจูงมือคนเป็นแม่เดินตรงดิ่งไปที่ร้านไอศกรีม พอเข้ามาในร้าน น้องหนูก็รีบเดินนำคุณแม่คนสวยมานั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง มีพนักงานเดินตามมาติด ๆ

พอเมนูพร้อมกับอุปกรณ์วาดรูประบายสีสำหรับเด็กถูกวางลงตรงหน้า น้องหนูก็รีบคว้าเมนูมาเปิดหาไอศกรีมรสโปรดของตัวเอง ไอลดาชะโงกหน้ามาช่วยลูกสาวตัวน้อยดูเมนู ก่อนจะสั่งไอศกรีมเชอร์เบทมะนาวของตัวเองหนึ่งลูก น้องหนูนั่งจิ้มรายการอยู่นานก็ไม่ยอมเลือกซะที ผู้เป็นแม่เลยต้องกระตุ้นถาม

“เลือกได้หรือยังคะ คนเก่ง”

คำตอบของคำถาม คือการที่นิ้วป้อม ๆ สามนิ้วชูขึ้นมาตรงหน้า จนคนเป็นแม่เลิกคิ้วน้อย ๆ ด้วยความสงสัย เจ้าตัวจ้อยเลยยิ้มแป้นก่อนจะเฉลยเสียงใสแจ๋ว

“แม่เล็กจ๋า น้องหนูขอช็อกโกแลตสามลูกนะ”

“หา...” ไอลดาตกใจจริง ๆ จัง ๆ “ได้ยังไงคะน้องหนู ให้แม่เล็กโทรถามพ่อพีทก่อนนะ”

คราวนี้น้องหนูรีบสั่นหน้าปฏิเสธจนเส้นผมกระจาย โบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน ไม่ยอมให้ผู้เป็นแม่โทรหาพ่อ ก่อนจะยอมลดนิ้วลงหนึ่งนิ้ว

...น้องหนูยอมกินไอศกรีมแค่สองลูกก็ได้ ไม่เห็นต้องโทรหาพ่อพีทเลย...

ไอลดานิ่งคิดอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าตกลง นาน ๆ ทีคงไม่เป็นไรหรอก จริง ๆ เธอก็พอรู้อยู่แล้ว ว่า ถึงพิชญ์จะรักน้องหนูมาก แต่พิชญ์ก็ไม่ได้ตามใจน้องหนูไปทุกเรื่อง อย่างไอศกรีมก็ยอมให้กินแค่อาทิตย์ละลูก แถมต้องกินผักกับผลไม้ทุกวัน จนบางทีเจ้าตัวเล็กก็มาโอดโอยกับเธอบ่อย ๆ เธอก็ได้แต่ปลอบไปว่า

‘พ่อพีทเขาอยากให้น้องหนูแข็งแรง’

สั่งไอศกรีมไปแค่แป๊บเดียว พนักงานคนสวยก็ยกมาวางตามที่สั่ง เชอร์เบทมะนาวหนึ่งลูกของคุณแม่แยกมาต่างหาก ส่วนอีกถ้วยเป็นช็อกโกแลตสองลูกของคุณลูก นั่งกินไปได้ไม่เท่าไหร่ น้องหนูก็ชี้มือชี้ไม้ไปยังผู้ชายแปลกหน้าที่นั่งอยู่มุมหนึ่งของร้านไอศกรีม

“แม่เล็กคะ คุณอาคนนั้นเขามองมาทางเราสองคนใหญ่เลยค่ะ”

ไอลดามองตามนิ้วป้อม ก่อนจะเห็นจริงตามที่น้องหนูว่า เธอเขม้นมองอยู่หลายรอบก็มั่นใจว่าไม่เคยรู้จักผู้ชายคนที่กำลังมองมาที่เธอและน้องหนูแน่ ๆ ถึงอีกฝ่ายจะมีท่าทางสุภาพ ดูไม่น่ามีพิษมีภัย แต่คนสมัยนี้ไว้ใจได้ที่ไหน ข่าวแก๊งลักเด็กก็มีให้ได้เห็น ให้ได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ อะไรที่ระวังได้ก็ต้องระวัง จะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง

ไอลดาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมโทรหากริช เดาเอาเองว่าคนสนิทอีกคนของอริญชย์คงวงเวียนอยู่แถว คอนโดเธอตามคำสั่งของอริญชย์แน่ ๆ แต่ยังไม่ทันได้ทำอย่างที่ใจคิด คนแปลกหน้าก็ลุกเดินมาหาเธอกับน้องหนูที่โต๊ะ

“คุณไอลดาหรือเปล่าครับ”

ไอลดานิ่งเงียบ ไม่ตอบรับหรือตอบปฏิเสธ เธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน เลยเลือกนั่งเฉย ๆ แต่ไม่วายโอบน้องหนูเข้ามาใกล้ตัวด้วยความหวงแหน ถึงเธอจะไม่ได้ร้ายกาจเหมือนอริญชย์ แต่ลองมาทำอะไรลูกสาวตัวน้อยของเธอดูสิ ไอลดาจะทำให้รู้ว่า คนอย่างเธอก็สามารถแปลงร่างเป็นแม่เสือหวงลูกได้เหมือนกัน

“ผมเป็นเพื่อนสมัยเรียนของพีทน่ะครับ พอดีคุ้น ๆ ว่าเคยเห็นหน้าคุณตามหนังสือพิมพ์เลยลองเข้ามาทักดู”

“เพื่อนพี่พีทเหรอคะ”

“ครับ นี่คงเป็นลูกสาวของคุณกับพีทใช่ไหมครับ ผมเคยได้ยินพีทพูดถึงอยู่เหมือนกัน”

พอได้ยินชื่อผู้เป็นสามีหลุดออกมาจากปากของอีกฝ่าย ไอลดาก็เริ่มมีท่าทีลังเล แต่ยังไม่ไว้ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ น้องหนูมองคุณแม่ที คุณอาที แล้วก็ก้มลงจ้วงไอศกรีมช็อกโกแลตเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย คนแปลกหน้าของไอลดามองน้องหนูอย่างเอ็นดู ก่อนจะค่อย ๆ ล้วงเอานามบัตรของพิชญ์ออกมาวางให้ดูตรงหน้า พร้อมกับเอ่ยแนะนำตัวเอง

“ผมชื่อปฐพี หรือจะเรียกดินว่าก็ได้ครับ พักอยู่แถวนี้เหมือนกัน ถ้าคุณไอลดาไม่มั่นใจว่าผมเป็นเพื่อนพีทจริง ๆ จะลองโทรเช็กกับพีทดูก็ได้”

ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเอ่ยซ้ำ ไอลดาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาพิชญ์ทันที แม้จะแปลกใจตัวเองนิด  ๆ ว่าทำไมเธอถึงต้องเชื่อผู้ชายตรงหน้าด้วย แต่หญิงสาวก็อยากได้ยินคำยืนยันจากพิชญ์เหมือนกัน

รอสายอยู่ไม่นาน ปลายสายก็กดรับ ตอนแรกพิชญ์ก็ตกอกตกใจคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องหนู แต่พอไอลดาเอ่ยถามถึงปฐพี พิชญ์ก็หัวเราะกลับมา ก่อนจะยืนยันว่าปฐพีเป็นเพื่อนสมัยเรียนของเขาจริง ๆ แถมยังตบท้ายด้วยการบรรยายลักษณะท่าทางของอีกฝ่ายให้ไอลดาฟังอีก เธอจะได้มั่นใจว่าไม่ผิดคนแน่ ๆ

“ขอโทษทีนะคะ พอดีเห็นว่าเป็นคนแปลกหน้า ฉันเลยต้องป้องกันไว้ก่อน”

“ไม่เป็นไรครับ เป็นใครก็คงตกใจที่อยู่ดี ๆ ก็มีคนเดินมาทัก”

“แล้วพี่ดินอยู่แถวนี้เหมือนกันเหรอคะ”

“ครับ เมื่อวานผมเจอพีทที่ซูเปอร์มาร์เก็ตฝั่งตรงข้าม เขาบอกว่าภรรยากับลูกอยู่คอนโดแถวนี้ ผมเลยคิดว่าคงใช่คุณแน่ ๆ”

“เรียกเล็กเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ พี่ดิน”

หลังจากนั้นแป๊บเดียว ไอลดาก็นั่งคุยกับปฐพีอย่างสนุกสนาน นอกจากไอลดาจะเป็นคนที่มนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยมแล้ว ปฐพียังมีลักษณะบางอย่างที่ชวนให้เธอนึกถึงพิชญ์ขึ้นมา แต่ก็แค่บางอย่างเท่านั้น สำหรับไอลดาแล้ว ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็ไม่มีใครแทนที่พิชญ์ได้

ตอนแรก หญิงสาวก็รู้สึกตงิดหน่อย ๆ ที่ปฐพีถามเรื่องเธอกับน้องหนูหลายเรื่อง แต่อีกฝ่ายก็อ้างว่าเป็นเพราะเขาไม่ได้ติดต่อกับพิชญ์นาน เลยอยากรู้เรื่องราวความเป็นไปของเพื่อนรัก ไอลดาเลยยอมเล่าให้ฟังอย่างไม่เกี่ยงงอน ก่อนจะใช้โอกาสเดียวกันนี้ เอ่ยถามถึงเรื่องราวของพิชญ์สมัยก่อน ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยถามพิชญ์ แต่คนปากหนักอย่างพิชญ์ไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่ยอมเล่าเรื่องตัวเองให้ใครฟังง่าย ๆ เธอถึงต้องมาถามเอากับเพื่อนของเขาอย่างที่กำลังทำอยู่

“พี่ดินเล่าเรื่องพี่พีทสมัยก่อนให้เล็กฟังหน่อยสิคะ ถามพี่พีททีไร ก็ไม่ค่อยยอมเล่าให้เล็กฟังเลย”

“พีทน่ะเหรอครับ สมัยเรียนเนื้อหอมสุด ๆ เลยล่ะ สาว ๆ ทั้งโรงเรียนติดมันตรึม ขนาดมันติ๋ม ๆ เงียบ ๆ เอาแต่เรียนอย่างเดียวนะ ถ้ามันเล่นกีฬาด้วย มีหวังแฟนคลับเยอะแน่ ๆ”

ไอลดาเบิกตาน้อย ๆ แม้จะพอรู้อยู่แล้วว่าพิชญ์เป็นคนมีเสน่ห์ สังเกตจากตอนเรียนมหาวิทยาลัยที่เธอกับเขาเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องคณะเดียวกัน ไอลดาก็มักจะได้ยินใครหลายคนพูดถึงพิชญ์อยู่เสมอ นึกดีใจไม่น้อยที่ตอนรู้จักกัน เขายังไม่มีเจ้าของเป็นตัวเป็นตน และยิ่งดีใจมากกว่าเดิม เมื่อรู้ว่าสุดท้ายแล้วเจ้าของเขาคือเธอ เพียงแต่ว่า...

เธอได้เป็นเจ้าของเขาแค่เพียงร่างกาย แต่ไม่อาจได้หัวใจของเขามาครอบครอง

“พี่พีทเขาเจ้าชู้ไหมคะ”

ไอลดาถามทั้งที่เธอเองรู้คำตอบแก่ใจดี คนอย่างพิชญ์น่ะหรือจะเจ้าชู้ แค่จะแตะต้องเธอทั้งที่มีสิทธิ์ เขายังไม่ทำเลย ไม่ใช่ว่าเขารังเกียจเธอหรือว่าอะไร แต่เธอรู้ เพราะเขาไม่อยากทำร้ายเธอ ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันตามลำพัง พิชญ์จะระมัดระวังตัวเสมอ หารู้ไม่ว่ามันยิ่งทำให้เธอนึกชื่นชมเขามากกว่าเดิม

ถึงแม้ไม่ได้ครอบครองหัวใจ แค่อย่าจากเธอไปไหนก็พอ...

“อย่างพีทน่ะเหรอครับจะเจ้าชู้” ปฐพีว่าขำ ๆ ออกแนวติดตลกเสียด้วยซ้ำ “แค่จะคุยกับผู้หญิงซักคน มันยังไม่ค่อยอยากจะทำเลย”

ไอลดาฟังแล้วก็หัวเราะขำตาม จนน้องหนูถึงกับทนไม่ได้ ต้องยกมือกอดอก เอ่ยเสียงแจ้ว ๆ ขัดจังหวะผู้ใหญ่สองคน

“แน้ แม่เล็กกับอาดินนินทาพ่อพีทใหญ่เลย เดี๋ยวน้องหนูฟ้องพ่อพีทนะ”

“เชิญฟ้องเลยค่ะ คนสวย”

ไอลดาก้มลงฟัดแก้มน้องหนูอย่างมันเขี้ยว ก่อนจะได้รับเสียงหัวเราะคิกคักของเจ้าตัวจ้อยคืนกลับมา เธอนั่งคุยกับปฐพีอยู่อีกพักใหญ่ รอจนน้องหนูจัดการกับไอศกรีมจนราบคาบ ถึงได้เรียกพนักงานมาคิดเงิน แล้วเอ่ยขอตัวพาน้องหนูกลับคอนโด

ปฐพียิ้มออกมาบาง ๆ เอ่ยปากขออาสาเดินตามมาส่งสองแม่ลูกที่หน้าคอนโด ซึ่งไอลดาก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร พวกเขาแยกย้ายกันตรงหน้าคอนโด อดีตคนแปลกหน้ายืนโบกมือให้ไอลดากับน้องหนูที่เดินเข้าไปในคอนโด ก่อนจะหันหลังเดินกลับออกมา

ปฐพีเดินพ้นคอนโดไอลดาออกมายืนหน้าถนนใหญ่ได้ไม่ทันไร รถยนต์เล็กซัสติดฟิล์มหนาทึบก็แล่นมาจอดเทียบทางเท้า แค่มองแวบเดียว ปฐพีก็จำรถได้ทันที เขาเดินไปเปิดประตูฝั่งคนนั่งก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งข้างคนขับ

“เฮียให้มารับกลับคอนโด เดี๋ยวดึก ๆ เฮียจะมาหา” คนขับรถเอ่ยบอกเสียงเรียบ ๆ ไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ปฐพีก็ชินกับนิสัยของอีกฝ่ายซะแล้ว

หลังจากกลับมาถึงประเทศไทย ราชันย์ก็ไป ๆ มา ๆ ระหว่างคอนโดกับคฤหาสน์หรูย่านชานเมือง แต่ส่วนมากมักจะมาขลุกอยู่ที่คอนโดกับเขามากกว่า นาน ๆ ทีถึงจะยอมกลับไปค้างที่บ้านบ้าง ซึ่งปฐพีก็คงไม่สามารถไปถามหาเหตุผลจากกระทำของอีกฝ่าย ในเมื่อเขาไม่มีสิทธิ์

ช่วงที่รถติดอยู่หน้าโรงเรียนมัธยมชื่อดัง ปฐพีมองผ่านกระจกรถ เห็นนักเรียนชายกางเกงสีน้ำเงินเดินเกาะกลุ่มกันออกมาจากโรงเรียน พลอยทำให้อดนึกถึงน้องชายของตัวเองขึ้นมาไม่ได้ จนต้องเอ่ยถามคนข้างตัวออกไป

“พี่กรณ์ น้องชายผมเป็นยังไงบ้าง”

“สบายดี ไม่ต้องห่วง”

พอได้ยินที่ปกรณ์เอ่ยออกมา ปฐพีก็คลี่ยิ้มออกมาทันที เขาไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอกับน้องชายตัวเองบ่อยนัก ราชันย์ส่งน้องชายเขาเข้าโรงเรียนประจำตอนมัธยมปลาย ปีนี้ก็คงจะอยู่มัธยมหก เตรียมตัวจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว

ผู้ชายที่คนอื่นมองว่าใจร้าย รับปากกับเขาเอาไว้ว่าจะส่งเสียน้องชายเขาจนเรียนจบมหาวิทยาลัย ถึงคนอื่นจะมองราชันย์เป็นคนยังไง ปฐพีก็ไม่สนใจ

แค่เขา...แค่เขาที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นยังไงก็เพียงพอแล้ว

“ไว้จะพาไปเยี่ยมแล้วกัน” คนขับเอ่ยออกมา เพราะเห็นคนข้างตัวมองกลุ่มเด็กนักเรียนไม่วางตา

“ขอบคุณครับพี่กรณ์”

ปกรณ์ปรายตามองปฐพีแวบหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนไปเรื่องอื่น

“คืนนี้เฮียคงกลับดึก เพราะมีงานเลี้ยงของสมาคมฯ ถ้าง่วงก็นอนก่อนเลยนะ”

ปฐพีพยักหน้ารับช้า ๆ จำได้เลา ๆ ว่าราชันย์เคยบอกเขาเมื่อสองวันก่อน

ปกรณ์ขับรถมาส่งปฐพีที่คอนโดของราชันย์ เขาจอดรถเรียบร้อยก็เดินตามขึ้นมาส่งถึงห้อง หน้าที่อย่างหนึ่งของเขาคือ ต้องดูแลให้มั่นใจว่า ‘คนของนาย’ ปลอดภัย

“ถ้าหิวก็หาอะไรในตู้เย็นกินเอาแล้วกัน” เขาเอ่ย หลังจากเปิดดูแล้วว่ามีของกินเรียงอยู่เต็มตู้เย็น

“เดี๋ยวผมคงต้มมาม่ากินง่าย ๆ”

“ถ้าไม่ใช่พี่กับเฮีย อย่าเปิดประตูให้ใครสุ่มสี่สุ่มห้าล่ะ”

“ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกครับ พี่กรณ์รีบไปหาเฮียเถอะ”

“อยู่ดี ๆ ล่ะ ถ้าเฮียโทรมาก็รับสายด้วยแล้วกัน เดี๋ยวจะพาลจนกลับมาอาละวาดเอากับนายเสียเปล่า ๆ”

ปฐพียิ้มบาง ๆ ออกมาแทนคำตอบ เขาเดินมาส่งปกรณ์ที่หน้าประตู ก่อนจะยกมือไหว้คนสนิทของราชันย์

ปกรณ์มักจะดูแลราวกับเขาเป็นน้องชาย แม้จะรู้ดีว่าเขามาอยู่กับราชันย์ในฐานะอะไร แต่ก็ไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจออกมาให้เห็น มีบ้างบางทีที่อีกฝ่ายมักจะมองเขาด้วยแววตาเห็นใจ ก่อนมันจะถูกกลบเกลื่อนให้หายไปทันทีที่เขารู้ตัว

พอปกรณ์เดินออกจากห้องไปแล้ว ปฐพีก็ล็อกห้องทันที เขากวาดสายตามองรอบ ๆ ห้อง เริ่มคุ้นเคยกับห้องชุดราคาแพงระยับแห่งนี้ หลังจากราชันย์พาเขากลับมาจากฮ่องกงด้วยกัน ที่นี่ก็แทบจะกลายเป็นบ้านอีกหลังของเขา

สำหรับปฐพีแล้ว เขามีสิทธิ์ที่จะไปไหนมาไหนตามใจตัวเอง แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ราชันย์เรียกหา เขาจะต้องมาทันที และปฐพีไม่เคยได้รับอนุญาตให้ไปค้างที่อื่นนอกจากคอนโดแห่งนี้

ชีวิตของเขา ดูแล้วอาจจะไม่ต่างอะไรจากพิชญ์

แต่ปฐพีรู้ มันต่าง...ต่างเหลือเกิน...

ไม่ใช่เพราะเขาลำบากมากกว่าพิชญ์ แต่เพราะอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น



TO BE CONTINUE


ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์และทุกคนที่กดเข้ามาอ่านค่า ^^

พีทกับดิน ผลัดกันดราม่ากันคนละตอนสองตอน
น่าพาไปอยู่ศาลาคนเศร้าทั้งคู่เลยค่ะ

 


ออฟไลน์ Tassanee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอ้ยยยย ซับซ้อนซ่อนเงื่อนนนนนน ...  สงสัยอ่าาาาาาา    :ling1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
คุณเล็กท้องกับใครกันแน่ ทำไมเรามั่นใจว่าพีทไม่ใช่พ่อน้องหนูละ  :mew3:
ส่วนคุณใหญ่นี่รักหลงพีทเหลือเกิน ไปงานเลี้ยงถ้าเฮียเล้งเจอพีท จะอยากได้พีทมาครอบครองรึเปล่านะ น่าห่วงแฮะ  :เฮ้อ:
..​คุณเล็กน่าจะตัดใจได้แล้วนะ ได้เขามาแค่ตัว แต่ใจไม่ได้ ตัวเองเจ็บไม่พออีกหรือ.. ตัดใจมีคนใหม่ได้แล้ว

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
มากกว่านั้น มันคืออะไรอะดิน แต่ดูท่าคงน่าจะเพราะตัวเอง ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตนให้มากกว่านี้นะ ถึงจะไม่ได้ตกอยู่ในกรงทองแห่งนี้ หรือใจจริงก็อยาก ส่วนเหตุผลที่จำยอม แค่งงว่าทำไมไม่ทำงานส่งน้องเรียนเอง มันมีเหตุติดขัดอะไรมากป่ะ ต้องรอฟังว่าจะเข้าท่าม่ะ พอมันเป็นแบบนี้จะบอกให้แข็งข้อต่อเขาคือยากอ่ะ 555555 ก็นะ ต้องทำใจอยู่แบบนั้นต่อไปนะดินนะ กรงนี้สบาย หรูหราอู้ฟู่ เดี๋ยวก็ชิน ดูท่าจะเป็นคนโปรดมากซะด้วย อยากกอ่านคู่นี้อยู่นะ 55555  ส่วนคุณใหญ่ก็ถ้าไม่ได้ใจเขามาซักที ก็พอก่อนนะ ถอยก่อน อาจจะทำให้ได้ใจเขามามากกว่าอีก แต่คงอีกนานเพราะคุณใหญ่นั้นรั้นมาก อยากจะให้ความลับแตกไม่ไหวแล้วค่ะ 5555 ปมทะเลาะกันเพื่อนทรยศต้องตามต่อไป ขอบคุณนะคะที่มาต่อให้ได้มาก สนุกค่ะ  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
กว่าจะได้อะไรมา ต้องเสียอะไรไปบ้างนะ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ลึกลับนะดิน

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
ยิ่งอ่านยิ่งสนุก ซับซ่อนไปอีก555ชอบๆๆ


ถ้าหนูเล็กรู้ว่าพี่ชายตนเองรักพีทจะเป็นยังไงน้อ :katai1:

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
สิบสอง
ต้นสายปลายเหตุ



งานเลี้ยงของสมาคมธุรกิจก่อสร้างมีแขกเหรื่อมาร่วมงานอย่างคับคั่ง ส่วนมากล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและมีหน้ามีตาของวงการธุรกิจ แขกเหรื่อที่มาร่วมงานต่างพากันจับกลุ่มพูดคุยอยู่ตามมุมต่าง ๆ ของงาน หัวข้อที่ถกเถียงกันนอกจากจะเป็นเรื่องประเด็นทางธุรกิจแล้ว ก็มักจะเป็นเรื่องของวงสังคมภายนอกที่กลายเป็นประเด็นเผ็ดร้อนของวงสนทนา

เจ้าภาพของงานเดินตรวจตราความเรียบร้อยและทักทายแขกเหรื่อเป็นระยะ จุดมุ่งหมายของการจัดงานคือการรวมกลุ่มสังสรรค์ของคนวงการเดียวกัน ขณะกำลังเอ่ยสนทนากับแขกเหรื่ออย่างออกรสชาติ เจ้าภาพก็ต้องชะงัก เมื่อลูกน้องคนสนิทเดินเข้ามากระซิบบอกเขา

“ท่านครับ คุณอริญชย์มาถึงแล้วครับ”

ชายวัยกลางคน ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานสมาคมฯและเป็นเจ้าภาพของงานพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะหันมาเอ่ยขอตัวกับคู่สนทนา แม้ท่านจะมีตำแหน่งเป็นถึงประธานสมาคมฯ แต่ถ้าพูดกันตามตรงแล้วก็เป็นเพียงตำแหน่งที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมา ผู้กุมอำนาจวงการธุรกิจที่แท้จริงล้วนแต่เป็นบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย

เพียงแค่เดินออกมาถึงด้านนอกของงาน เจ้าของตำแหน่งประธานสมาคมฯก็ต้องชะงักเล็กน้อย เมื่อเห็นร่างสูงของบุคคลที่กำลังรอคอยอยู่ปรากฏกายขึ้นพร้อมคนสนิท เป็นที่รู้กันดีว่า นอกจากพิชญ์จะเป็นมือขวาของอริญชย์แล้ว เขายังพ่วงตำแหน่งน้องเขยด้วยอีกหนึ่งตำแหน่ง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่อริญชย์จะผลักดันผู้ชายธรรมดาอย่างพิชญ์ ภัทรกุลจนก้าวเข้ามายืนอยู่แถวหน้าของวงการธุรกิจ ทัดเทียมกับคนอื่น ๆ

อริญชย์ปรากฏตัวในชุดสูทสากลสีดำสนิท รูปหน้าเย็นชาราวกับสลักเสลาจากประติมากรรมชั้นดีสะกดทุกสายตาเหมือนที่เคยเป็นมาตลอด ริมฝีปากหยักเหยียดออกเป็นเส้นตรงก่อนจะยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อสบสายตาเข้ากับประธานสมาคมฯ

ท่านประธานกระแอมกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเป็นฝ่ายก้าวเข้าไปทักทายอริญชย์ด้วยความนอบน้อม

“สวัสดีครับ คุณอริญชย์ คุณพิชญ์”

“สวัสดีครับท่าน”

พิชญ์ค้อมหัวลงเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย ก่อนจะเดินไปยื่นบัตรเชิญให้กับฝ่ายต้อนรับเพื่อลงทะเบียน หญิงสาวที่นั่งอยู่บริเวณโต๊ะลงทะเบียนรับบัตรเชิญจากพิชญ์ก่อนจะเอ่ยชวนคุย

“ไม่ค่อยเห็นคุณพิชญ์ออกงานกับคุณไอลดาเลยนะคะ”

“เธอไม่ค่อยว่างน่ะครับ” พิชญ์ตอบพร้อมกับยิ้มตามมารยาท

เขามักจะโดนทักแบบนี้อยู่บ่อย ๆ ทั้งที่เขาเป็นสามีตามกฎหมายของไอลดา แต่กลับกลายเป็นว่าเขามีข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์ธุรกิจกับอริญชย์บ่อยกว่าไอลดาเสียอีก จนทุกคนชินกับภาพที่พิชญ์ออกงานกับอริญชย์ ถึงขนาดว่าภาพคู่ของพิชญ์กับไอลดากลายเป็นของหายากไปเลยทีเดียว

“บริษัท เคเค คอนสตรัคชั่น คุณอริญชย์และคุณพิชญ์นะคะ รบกวนเซ็นชื่อด้วยค่ะ”

“ครับ”

พิชญ์รับปากกามาก่อนจะจรดปากกาลงเซ็นชื่อ ชื่อนามสกุลและตำแหน่งของเขาปรากฏหรา

พิชญ์ ภัทรกุล...รองประธานบริษัท เคเค คอนสตรัคชั่น

จากผู้ชายเดินดินธรรมดาที่ก้าวมาถึงจุดนี้อย่างก้าวกระโดด มันสอนให้พิชญ์รู้ว่า...

โอกาสดี ๆ ไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาฟรี ๆ

ก่อนจะผละออกมาจากโต๊ะลงทะเบียน พิชญ์แอบเหลือบตามองรายชื่อของทางกมลวิลาศน์อย่างแนบเนียน เห็นช่องลงทะเบียนยังว่างเปล่าอยู่ เขาเดาว่าอีกฝ่ายยังเดินทางมาไม่ถึงงาน พิชญ์ส่งยิ้มให้กับหญิงสาวที่ทำหน้าที่ต้อนรับอีกครั้งก่อนจะเดินจากมา เห็นอริญชย์ยังยืนสนทนาติดลมอยู่ เขาเลยเดินเข้าห้องจัดเลี้ยงไปก่อน

...ถึงเขาจะเป็นคนสนิทของอริญชย์ แต่ตัวเขากับอริญชย์ก็ไม่ได้ติดกันถึงขนาดที่ว่าห้ามเดินไปไหน

งานเลี้ยงถูกจัดแบบค็อกเทล ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมสำหรับหลาย ๆ งาน เนื่องจากแขกเหรื่อส่วนมากที่มาร่วมงานนิยมที่จะเดินพูดคุยกันมากกว่าที่จะมานั่งคุย การจัดงานแบบค็อกเทลจึงตอบโจทย์ได้ดีกว่าบุฟเฟ่ต์หรือโต๊ะจีนแบบที่ผ่าน ๆ มา

ซุ้มอาหารวางเรียงรายละลานตา อาหารถูกจัดวางอย่างสวยงามและจัดทำออกมาแบบพอดีคำเพื่ออำนวยความสะดวกแก่แขกเหรื่อ พิชญ์เดินดูไลน์อาหารผ่าน ๆ ก่อนจะรับแก้วไวน์จากบริกรมาถือ แล้วยืนอยู่มุมหนึ่งของงาน หลายต่อหลายคนที่รู้จักกับพิชญ์ พอเห็นชายหนุ่มยืนอยู่ตามลำพังก็อดไม่ได้ที่จะแวะเวียนเข้ามาทักทาย

“มาคนเดียวเหรอครับคุณพิชญ์”

“คุณอริญชย์คุยอยู่กับท่านประธานน่ะครับ”

“ผมเพิ่งรู้ข่าวเรื่องโกดังถูกไฟไหม้ ยังไงก็ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ”

พิชญ์เพียงแค่ยิ้มรับเฉย ๆ ถึงอีกฝ่ายจะเอ่ยปากแสดงความเสียใจ แต่ก็ไม่อาจซ่อนความยินดีในแววตาเอาไว้ได้ ทำไมเขาจะดูไม่ออก ข่าวโกดังของเคเค คอนสตรัคชั่นถูกลอบวางเพลิงทำให้บริษัทเล็ก ๆ พากันดีอกดีใจมากแค่ไหน เวลาที่พวกบริษัทใหญ่ ๆ ทะเลาะกันเอง ใครที่จะได้ประโยชน์ ถ้าไม่ใช่พวกบริษัทเล็ก ๆ ที่รอวันเงยหน้าอ้าปาก และผู้ชายตรงหน้าพิชญ์ก็เป็นหนึ่งในนั้น

“ทางคุณก็ต้องระวังเหมือนกันนะครับ เดี๋ยวนี้วงการธุรกิจมันอันตราย พลั้งเผลอไปจะพลาดเอาง่าย ๆ”

อีกฝ่ายหน้าเจื่อนไปทันที ก่อนจะทำทีเป็นขอตัวไปทักทายคนอื่นบ้าง พิชญ์ไหวไหล่ออกมาน้อย ๆ อย่างไม่ใส่ใจ เขาไม่ได้ขู่ เขาแค่ ‘เตือน’ ด้วยความหวังดีเฉย ๆ

พิชญ์ยืนจิบไวน์อยู่อีกสองอึก พอเห็นบริกรเดินผ่านมาก็กวักมือเรียกก่อนจะวางแก้วไวน์ลงบนถาด แล้วถามหาทางไปห้องน้ำจากบริกร อันที่จริงพิชญ์ก็ไม่ได้นึกอยากเข้าห้องน้ำ แต่อย่างน้อยก็คงดีกว่ายืนอุดอู้อยู่ในงาน

พิชญ์ยืนสบตากับผู้ชายที่หน้าตาเหมือนเขาที่สุดในโลกผ่านกระจกเหนืออ่างล้างมือ แทบจะลืมเลือนภาพลักษณ์ในอดีตของตัวเองไปหมดแล้ว ภาพตัวเองที่สวมชุดสูทสากลสีดำดูภูมิฐานกว่าตัวตนที่เขาเป็นมาตลอด แต่พิชญ์รู้ดีว่าภาพที่เห็นก็เป็นแค่เปลือกนอกที่อริญชย์เอามาสวมให้เขา

บางทีอริญชย์ก็ทำให้พิชญ์รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นปูเสฉวน ที่ต้องหาเปลือกหอยที่เหมาะกับตัวเองมาคอยกำบัง แต่พิชญ์ไม่ได้อยากเป็นอย่างนั้นเลย ถ้าวันใดเปลือกหอยมันไม่พอดีกับเขาขึ้นมา แล้วเขาไม่สามารถหาเปลือกใหม่ที่เหมาะกับตัวเขาได้ ปูเสฉวนอย่างเขาจะอยู่ได้อย่างไร

เพราะอย่างนี้ พิชญ์ถึงต้องพยายามอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่ามันจะลำบากมากแค่ไหนก็ตาม

พิชญ์ยกมือขึ้นเสยผมตัวเองลวก ๆ ก้มลงดูนาฬิกาข้อมือก่อนจะถอนหายใจออกมาช้า ๆ เวลาเพิ่งผ่านไปแค่ชั่วโมงเดียว ดูเหมือนงานเลี้ยงค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล ชายหนุ่มกระชับสาบเสื้อสูทแนบเข้ากับลำตัวก่อนจะเดินออกมาจากห้องน้ำ

พิชญ์ชะงักเท้าที่กำลังจะเดินเข้าห้องจัดเลี้ยง เมื่อเห็นคนยืนสูบบุหรี่อย่างอ้อยอิ่งตรงระเบียง เขาเผลอหยุดมองอีกฝ่าย จนฝ่ายนั้นรู้สึกตัว ค่อย ๆ หันหน้ากลับมามองเขา

แม้ว่าจะไม่เคยพบหน้าค่าตากันมาก่อน แต่ใช่ว่าพิชญ์จะจดจำใบหน้าอีกฝ่ายจากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์รวมถึงนิตยสารต่าง ๆ ไม่ได้

“คุณราชันย์...”

เจ้าของชื่อยกมุมปากขึ้นเหมือนจะยิ้ม แต่ก็ไม่ใช่รอยยิ้มเสียทีเดียว ราชันย์ตัวจริงผิวขาวกว่าที่พิชญ์คิด คงเพราะอีกฝ่ายมีเชื้อสายจีนถึงได้ดูขาวกว่าคนไทยแท้ ๆ อย่างเขา คิ้วเข้มดกหนา สันจมูกโด่งคม ท่าทีที่ดูสบาย ๆ แต่กลับแฝงอันตรายเอาไว้เต็มเปี่ยม

ความรู้สึกแบบนี้ มันคงคล้ายกับครั้งแรกที่พิชญ์เจออริญชย์ล่ะมั้ง

“ไง คนสนิทของอริญชย์”

ถ้อยคำที่เรียกขานว่า ‘คนสนิทของอริญชย์’ ดูเหมือนจะไม่ได้แฝงแววชื่นชมเท่าไหร่ ถ้าถามพิชญ์ซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับอริญชย์มากว่าห้าปีแล้ว พิชญ์กล้าพูดเลยว่า อริญชย์กับราชันย์ต่างก็ให้ความรู้สึกถึงความมีอำนาจไม่แพ้กัน เพียงแต่...

ถ้าคนหนึ่งเป็นก้อนน้ำแข็งที่เย็นชา อีกคนก็คงเป็นเปลวไฟร้อนแรงที่พร้อมจะแผดเผาให้ไหม้เป็นจุล

ราชันย์จ้องมองพิชญ์อย่างเปิดเผย เขาค่อย ๆ ขยี้ก้นบุหรี่ในมือลงกับที่เขี่ยบุหรี่แล้วหันมามองพิชญ์เต็มตา ริมฝีปากเหยียดออกเป็นเส้นตรง

“ไม่น่าเชื่อเลยนะ ว่าคนที่ไอ้ใหญ่ไว้ใจจะดูธรรมดาขนาดนี้”

ต่อให้เป็นเด็กประถมอมมือก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่คำชมแน่ ๆ ทั้งน้ำเสียง ทั้งแววตา ไม่มีอะไรที่บ่งบอกเลยว่าราชันย์กำลังชื่นชมพิชญ์อยู่

“คนเราดูกันที่ภายนอกไม่ได้หรอกครับ”

ราชันย์เลิกคิ้วให้กับคำยอกย้อนอย่างเสแสร้ง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ ทั้งที่ไม่ได้มีเรื่องขำขันอะไร

“นั่นสินะ นายมีดีอะไรล่ะ เพราะเป็นน้องเขย หรือเพราะเป็นอะไรที่มากกว่านั้น”

พิชญ์เคยมั่นใจว่าไม่มีใครรู้เรื่องความสัมพันธ์บ้า ๆ ระหว่างเขากับอริญชย์ หรือถ้าจะมีคนรู้ก็คงมีแค่เขา อริญชย์ หรือตุลย์ แต่ทำไมสายตาที่ราชันย์มองมาถึงได้ทำเอาเขาร้อน ๆ หนาว ๆ ราวกับรู้อะไรมากกว่านั้น

“คุณหมายความว่ายังไง”

“อย่าแกล้งโง่หน่อยเลย ฉันรู้ว่านายฉลาด”

“คุณประเมินผมสูงไปหรือเปล่า”

พิชญ์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกไล่ต้อนให้จนมุม แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้แสดงท่าทีคุกคามอะไร นอกจากยืนอยู่เฉย ๆ ความคิดที่อยากจะถามเรื่องของอริญชย์กับราชันย์ถึงกับเป็นหมันไป เขาบ้าเอง ที่คิดว่าทุกอย่างจะง่ายอย่างใจคิด

“รู้หรือเปล่าว่าฉันรู้จักกับไอ้ใหญ่มากี่ปี” เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบแม้แต่น้อย เพราะเอ่ยจบ คนถามก็เป็นฝ่ายตอบออกมาเสียเอง “ถ้าจำไม่ผิดก็คงเกือบยี่สิบปีแล้วล่ะมั้ง”

ความเป็นเพื่อนที่ยาวนานขนาดนั้น อะไรกันที่ทำให้มิตรภาพขาดสะบั้นไป

“แต่ถึงฉันจะกลายเป็นแค่เพื่อนเก่า ฉันก็ยังมั่นใจว่าฉันรู้จักมันดีกว่าใคร”

“อย่าคิดเองเออเองหน่อยเลย” เสียงเยียบเย็นดังมาจากข้างหลัง ก่อนที่พิชญ์จะถูกดึงให้ออกห่างจากราชันย์ด้วยแรงที่เกือบจะเป็นการกระชาก

สายตาสองคู่สบประสานกัน อริญชย์มองอดีตเพื่อนรักอย่างเย็นชา ผิดกับอีกคนที่ยกริมฝีปากขึ้นน้อย ๆ คล้ายกับจะยั่วเย้า

“ไม่เจอกันนานเลยนะ...”

“มึงกลับมาทำไม”

“นั่นคือคำที่มึงใช้ทักทายเพื่อนเก่าเหรอวะ”

“กูกับมึงไม่ใช่เพื่อนกันตั้งแต่วันนั้นแล้ว”

ราชันย์แสร้งถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย เมื่ออริญชย์ทำท่าเหมือนจะพูดเรื่องเก่า ๆ เรื่องที่มันไม่ใช่ความผิดของเขาเลยแม้แต่น้อย

“ถ้ามึงยังเอาแต่ยัดเยียดว่าเป็นความผิดของกู กูว่าเราคงคุยกันไม่รู้เรื่องหว่ะ”

“สุดท้าย มึงก็ไม่คิดจะรับผิดชอบเรื่องของน้องกู”

“น้อง...”

พิชญ์ทวนคำพูดของอริญชย์อย่างสับสน แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจเขา เท่าที่พิชญ์รู้ น้องของอริญชย์คือไอลดา แล้วสิ่งที่อริญชย์พูดมามันหมายความว่ายังไง ราชันย์ทำอะไรกับไอลดา

“ในเมื่อกูให้สิ่งที่มึงต้องการไม่ได้ แล้วมึงจะให้กูรับผิดชอบด้วยอะไร”

“ชีวิตของมึงยังไงล่ะ”   

“ขอโทษทีหว่ะใหญ่ กูไม่ได้โง่ขนาดจะเที่ยวยกชีวิตตัวเองให้คนอื่นง่าย ๆ แล้วที่สำคัญนะ...” ราชันย์เว้นวรรคก่อนจะจ้องหน้าอดีตเพื่อนรักดวงตากร้าว “กูว่าทุกอย่างมันจบตั้งแต่ตอนที่มึงเล่นงานบริษัทกูแทบพังแล้ว ต่อจากนี้ไปกูไม่อยู่เฉย ๆ เหมือนเมื่อก่อนแน่”

“ถ้ามึงคิดว่าจะผงาดขึ้นมาได้ก็ลองดู กูนี่แหล่ะที่จะเป็นคนเหยียบมึงให้จมดินลงไปเอง”

“อย่าลืมสิ ว่ากูรู้จักมึงดีแค่ไหน เอาเวลาไปเฝ้าของ ๆ มึงไม่ดีกว่าหรือไง” ไม่พูดเปล่า ราชันย์ยังปรายตามองมาทางพิชญ์ก่อนจะยิ้มมุมปาก

“อย่าคิดที่จะยุ่งกับของ ๆ กู ไม่งั้นกูไม่เอามึงไว้แน่ ๆ”

ราชันย์เหยียดยิ้มร้ายออกมา ก่อนริมฝีปากหยักจะขยับเอ่ยออกมาช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำ

“มึงก็รู้ดีว่ามึงห้ามกูไม่ได้”

“ไอ้เล้ง!”

พิชญ์แทบจะผวาเข้าไปยึดแขนอริญชย์เอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นเท่าไหร่ เพราะถึงแม้จะเดือดดาลมากแค่ไหน อริญชย์ก็ยังพยายามข่มอารมณ์ไม่ให้เข้าไปตั๊นหน้าอดีตเพื่อนรักได้

ราชันย์ยืนมองเพื่อนรักนิ่ง ๆ ในเมื่อมันไม่คิดว่าเขาเป็นเพื่อน เขาก็ไม่จำเป็นต้องคิดว่ามันเป็นเพื่อนอีกต่อไป เขาปล่อยให้อริญชย์กระทำอยู่ฝ่ายเดียวมานาน หลังจากนี้เขาคงไม่อยู่เฉย ๆ แน่

“เฮีย...”

ราชันย์หันไปตามเสียงเรียก ก่อนจะเห็นน้องสาวตัวเองที่อยู่ในชุดราตรีน้ำเงินเข้มกำลังเดินตรงมาหาเขา รัญญาเดินเข้ามาเกาะแขนพี่ชายตัวเองไว้ ก่อนจะหลุดเสียงอุทานออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย

“อุ๊ย พี่ใหญ่ก็อยู่ด้วยเหรอคะ”

อริญชย์ปรายตามองรัญญาแวบหนึ่ง แต่ไม่คิดจะเอ่ยอะไรออกมา เขาฉวยแขนพิชญ์ที่ยืนนิ่งก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป ทิ้งสองพี่น้องเอาไว้เบื้องหลัง

“พี่ใหญ่ยังไม่หายโกรธเรื่องนั้นอีกเหรอคะ”

“ถ้ามันหายโกรธแล้ว มันคงไม่เล่นงานเราตลอดห้าปีที่ผ่านมาหรอก”

“แต่มันไม่ใช่ความผิดของเฮียเลยนะ”

“ช่างมันเถอะ เรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว”

ตอนแรกราชันย์ก็คิดว่าเวลาเกือบห้าปีคงจะทำให้อริญชย์หันมายอมรับความจริงและอารมณ์เย็นลง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะคิดผิดถนัด ตลอดห้าปีที่ผ่านมา อริญชย์ลอบเล่นงานเขาอยู่ตลอด แม้จะไม่เป็นข่าวใหญ่โตครึกโครม แต่ทางกมลวิลาศน์ก็รู้ดีว่าเป็นฝีมือใคร จากที่ตั้งใจจะปล่อยให้เรื่องค่อย ๆ เงียบหายไปเอง สุดท้ายเขาถึงต้องกลับมาจัดการสะสางปัญหาด้วยตัวเอง

...และบางทีพิชญ์อาจจะเป็นตัวแปรที่ดีสำหรับเรื่องนี้


.



ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25

พิชญ์เดินตามอริญชย์ที่ก้าวเท้ายาว ๆ ลงมายังล็อบบีจนขาแทบขวิด ตุลย์กำลังนั่งรออยู่ที่ล็อบบี พอเห็นสีหน้าของอริญชย์ก็เดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นออกทันที ระยะเวลาที่เขาอยู่กับอริญชย์นั้นนานพอจนทำให้ตุลย์รู้ว่ายังไม่ควรจะเอ่ยปากถามอะไรออกไป

“เดี๋ยวผมไปเตรียมรถมาครับ”

พิชญ์มองอริญชย์อย่างงุนงง ในหัวของเขามีแต่คำถามที่ต้องการคำอธิบายเต็มไปหมด บทสนทนาที่อริญชย์คุยกับราชันย์คืออะไร หมายความว่ายังไง

“คุณใหญ่...”

“อย่าเพิ่งถามอะไรทั้งนั้น” อริญชย์เอ่ยออกมาเสียงห้วน จนพิชญ์ต้องยอมหุบปากให้สนิท

ปกติต่อให้โมโหมากแค่ไหน อริญชย์ก็จะควบคุมอารมณ์ได้ดีเสมอ พิชญ์เพิ่งเคยเห็นอริญชย์เป็นเหมือนภูเขาไฟที่พร้อมจะปะทุอยู่ตลอดเวลาก็คราวนี้ อริญชย์ในตอนนี้ ดูทั้งแข็งกร้าวและเปราะบางไปพร้อมกัน ที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่

“เมื่อกี้ ไอ้เล้งไม่ได้ทำอะไรนายใช่ไหม” พอได้สติแล้ว อริญชย์ก็หันมาถามพิชญ์ พร้อมกับจับพิชญ์พลิกไปพลิกมาเหมือนอีกฝ่ายเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ

“เปล่าครับ แค่ยืนคุยกันเฉย ๆ”

“แล้วทำท่าไหนถึงไปเจอมันได้”

“ผมไปเข้าห้องน้ำ พอออกมาก็บังเอิญเจอเขาเข้าพอดี”

อริญชย์ยิ้มเยาะออกมา แน่นอนว่าไม่ได้เยาะพิชญ์ แต่เป็นรอยยิ้มที่ส่งผ่านไปให้ใครอีกคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้

“จำไว้นะพีท โลกนี้ไม่มีคำว่าบังเอิญหรอก ทุก ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแต่เป็นความจงใจของคนเราทั้งนั้น”

“ผมไม่เข้าใจ”

“นายยังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร แต่จำไว้ว่าอย่าเข้าใกล้ไอ้เล้งเด็ดขาด”

“คุณใหญ่ ถ้าขืนคุณยังไม่มีเหตุผลดี ๆ ที่ฟังขึ้น ผมก็ไม่มีทางรับปากว่าจะทำตามคำสั่งเด็ดขาด”

“พีท!”

อริญชย์เรียกชื่อพิชญ์เสียงหนัก ๆ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรออกไป ก็เปลี่ยนเป็นลากพิชญ์ให้เดินตาม เมื่อเห็นว่าตุลย์ขับรถมาจอดรออยู่ตรงหน้าทางเข้าล็อบบีแล้ว

พอขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อย อริญชย์ก็ถอดเสื้อสูทออกพาดกับเบาะนั่งข้างคนขับ ก่อนจะขยับปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสองเม็ดแรกแล้วตามด้วยกระดุมแขนเสื้อ พิชญ์นั่งรออริญชย์จัดการกับตัวเองอย่างอดทน จนกระทั่งเห็นอริญชย์ทิ้งตัวลงพิงพนักเบาะ เขาถึงได้หันไปประจันหน้ากับอริญชย์

“คุณใหญ่...”

“หืมม์” อริญชย์แค่ครางรับเสียงหนัก ๆ

“เรื่องของคุณกับเสี่ยเล้ง”

“ฉันยังไม่อยากเล่า” อริญชย์ตัดบทง่าย ๆ จนพิชญ์ได้แต่เม้มริมฝีปากนิ่ง

พิชญ์เบือนหน้าหนีออกนอกหน้าต่าง ข่มความรู้สึกบางอย่างที่ปะทุขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ เขาเหมือนคนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ถูกปิดหูปิดตา ได้แต่ทำตามคำสั่งของอริญชย์อย่างเดียว โดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นมันดีหรือไม่ดี มันถูกหรือผิด อริญชย์เห็นเขาเป็นอะไรกัน เขาไม่ใช่หมากในเกมที่อริญชย์นึกอยากจะจับเดินซ้ายก็ได้ จับเดินขวาก็ได้ แล้วเที่ยวแนะนำกับคนอื่นว่าเขาเป็นคนสนิททำไม ทำแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการเห็นเขาเป็นคนอื่นเลย

ฝ่ามือหนาเอื้อมมาแตะมือพิชญ์เบา ๆ ก่อนอริญชย์จะไล้ปลายนิ้วไปมา คนถูกสัมผัสได้แต่นั่งนิ่ง ตัวแข็งทื่อ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน

“อย่าเพิ่งโกรธ...”

“ผม...” พิชญ์กำลังจะอ้าปากเถียงว่าเขาไม่ได้โกรธ แต่อริญชย์ก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน

“ฉันแค่หงุดหงิดมากไปหน่อย เดี๋ยวถึงบ้านแล้วจะเล่าให้ฟัง”

“ถ้าคุณลำบากใจก็ไม่ต้อง”

“เอาเถอะ จะช้าจะเร็ว นายก็ต้องรู้”

ตุลย์ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่อริญชย์เจอกับราชันย์ แต่ถ้าถามเขา เขาก็เห็นด้วยที่อริญชย์จะเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้พิชญ์ฟัง สำหรับตุลย์แล้ว ตอนนี้พิชญ์เองก็เป็นคนในครอบครัวคนหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่อริญชย์จะต้องปิดบังพิชญ์


.


พอกลับถึงบ้าน ตุลย์ก็แยกกลับห้องพักของตัวเอง เพราะรู้ว่าอริญชย์ต้องการความเป็นส่วนตัวเพื่อคุยกับพิชญ์ตามลำพัง

อริญชย์เดินนำพิชญ์ไปที่ห้องนอนของเขา เขาเปิดไฟจนห้องนอนสว่างโร่ ก่อนจะค้นอะไรกุกกักในตู้หนังสือ ปล่อยให้พิชญ์ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่กลางห้อง

“นายไปนั่งรอที่โซฟาก่อน” อริญชย์หมายถึงโซฟารับแขกตรงมุมห้อง

พิชญ์เดินไปนั่งด้วยความรู้สึกแปลก ๆ แม้จะเคยเข้ามาในห้องนอนของอริญชย์หลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่พิชญ์ก็ยังอดรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้

ไม่ใช่ที่นี่หรือที่อริญชย์เฝ้ารังแกเขา ไม่ว่าจะหันไปมองตรงไหนของห้อง ความทรงจำน่าอายก็ผุดขึ้นมาเป็นฉาก ๆ จนพิชญ์ได้แต่นั่งนิ่ง ๆ พยายามเรียกสติตัวเองกลับมา ก่อนจะทำทีเป็นเอ่ยถามเจ้าของห้องที่ก้ม ๆ เงย ๆ หาของไม่เลิก

“คุณใหญ่หาอะไรอยู่ ให้ผมช่วยหาไหม”

“ไม่ต้อง ฉันหาเจอแล้ว”

อริญชย์เดินกลับมาพร้อมกับอัลบั้มรูปในมือ ดูเหมือนมันจะถูกเก็บอยู่ข้างในสุดของตู้หนังสือ เหมือนกับเรื่องราวบางเรื่องที่เขาเลือกจะเก็บมันเอาไว้ในความทรงจำ

“นายคงอยากรู้ใช่ไหม ว่าฉันกับไอ้เล้งตัดเพื่อนกันเพราะเรื่องอะไร”

พิชญ์พยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่ยังคาอยู่ในใจ

“ผมได้ยินคุณพูดถึงน้อง คงจะไม่ใช่...”

อริญชย์ยิ้มหยันออกมา เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เปรียบเสมือนบาดแผลตกสะเก็ด วันนี้มันไม่เจ็บแล้ว แต่ก็ยังมีแผลเป็นให้เห็นอยู่ เขาพยายามเอาพลาสเตอร์ปิดเอาไว้ จะได้ไม่ต้องนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น แต่เขาลืม ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เขาเห็นหน้าราชันย์ คนที่สร้างรอยแผลให้เขา เขาก็ต้องนึกถึงเรื่องราวเหล่านั้นขึ้นมาอยู่ดี

“ไม่ใช่ยัยเล็กหรอก”

พิชญ์พรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ถึงอย่างไรเขาก็เอ็นดูไอลดาเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ถ้าต้องมารับรู้ว่าในอดีตเคยเกิดเรื่องราวร้ายแรงกับไอลดา เขาเองก็คงเจ็บปวดไม่ต่างจากอริญชย์ แต่ถ้าเกิดไม่ใช่ไอลดา งั้นก็หมายความว่า...

อริญชย์ค่อย ๆ วางอัลบั้มรูปในมือลงตรงหน้าพิชญ์ เวลานี้พิชญ์มองไม่เห็นเสือร้ายที่ทุกคนหวั่นเกรง เขาเห็นแค่เพียงผู้ชายธรรมดาที่ดูอ่อนแอและเปราะบางไปพร้อม ๆ กัน อัลบั้มถูกพลิกผ่านทีละหน้า พร้อมกับเรื่องราวที่ค่อย ๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากช้า ๆ

“เมื่อก่อน ฉันก็คิดว่าฉันกับยัยเล็ก เรามีกันแค่สองคนพี่น้อง จนกระทั่ง...” อริญชย์หยุดเล่า พร้อมกับไล้ปลายนิ้วลงที่รูปถ่ายของเด็กชายสองคนและเด็กหญิงหนึ่งคน

พิชญ์ชะโงกหน้าไปมอง รูปถ่ายที่บ่งบอกระยะเวลาอันยาวนาน คือรูปของเด็กชายหญิงวัยไล่เลี่ยกันสามคน เด็กชายที่ตัวโตที่สุดซึ่งกำลังอุ้มเด็กหญิงตัวเล็กเอาไว้ คงหนีไม่พ้นผู้ชายที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าเขา ส่วนเด็กผู้ชายตัวเล็กอีกคน ไม่ว่าจะมองยังไงพิชญ์ก็ไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย คงไม่ใช่กริชกับตุลย์แน่ ๆ

“วันที่พ่อพาเด็กผู้ชายอีกคนมาที่บ้าน ฉันถึงเพิ่งรู้ว่าเราไม่ได้มีแค่ใหญ่กับเล็ก แต่พ่อยังมีกลางแอบเอาไว้”

“เขาเป็นน้องชายแท้ ๆ ของคุณหรือครับ” พิชญ์ถามด้วยความสงสัย

ทุกคนในวงสังคมต่างรู้ว่าอริญชย์มีน้องสาวหนึ่งคนคือไอลดา แต่น่าแปลกที่ไม่ยักมีใครรู้ว่าเขายังมีน้องชายอีกคน

“น้องชายแท้ ๆ แต่คนละแม่น่ะ ไม่ค่อยมีใครรู้หรอก เพราะว่าเขาใช้นามสกุลแม่ แล้วกว่าจะมาอยู่กับพวกเราก็ตอนโตแล้ว”

“เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือครับ” พิชญ์ถามก่อนจะกลั้นใจฟังคำตอบ

อริญชย์ยิ้มขื่นออกมา คงเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับน้องชายคนรองล่ะมั้ง เขาถึงได้ตามใจไอลดาทุกอย่าง ไม่ว่าไอลดาจะท้องตอนเรียน อยากแต่งงานกับพิชญ์ หรือแม้กระทั่งเป็นนางแบบโดยที่เขาไม่เห็นด้วย แต่บางทีเขาก็ลืมไป...

ไอลดากับอธิษฐ์เป็นคนละคนกัน ถูกเลี้ยงมาต่างกัน โดยพื้นฐานแล้วอุปนิสัยจึงย่อมแตกต่างกัน

“กลางไม่ได้ติดฉันมากเท่าไหร่หรอก กลางติดไอ้เล้งมากกว่า”

พิชญ์ขมวดคิ้วน้อย ๆ ดูเหมือนเรื่องที่อริญชย์กำลังเล่าจะเกี่ยวข้องกับราชันย์เต็ม ๆ

“ไม่สิ กลางไม่ได้ติดไอ้เล้งหรอก อันที่จริงแล้ว กลางชอบไอ้เล้ง”

“แบบคนรักน่ะหรือครับ”

อริญชย์พยักหน้ารับช้า ๆ ตอนนั้นเขาเองก็นึกขำ เมื่อเฝ้าสังเกตจนมั่นใจว่าน้องชายต่างแม่ตัวเล็กของเขาแอบชอบเพื่อนสนิทของเขาเข้า คงเพราะราชันย์แวะเวียนมาที่บ้านบ่อย ๆ มาคอยหยอกเย้าเจ้าตัวเล็กอยู่เสมอ จนเด็กชายตัวเล็ก ๆ เผลอใจโดยไม่รู้ตัว

“ไอ้เล้งเองก็อาจจะรู้หรือไม่รู้ตัว ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่ฉันก็จงใจปล่อยกลางไว้กับมันบ่อย ๆ”

ตอนนั้นอริญชย์ไว้ใจเพื่อนสนิทอย่างราชันย์ยิ่งกว่าใคร แม้ราชันย์จะชอบเที่ยวสำมะเลเทเมา มีความสัมพันธ์กับคนนั้นคนนี้ไปทั่ว แต่เขาที่คบกับมันมานานก็คิดว่ารู้จักมันดีพอ เลยกล้าไว้ใจให้มันคอยดูแลน้องชายของเขา ก่อนจะรู้ว่าคิดผิดก็ตอนที่เกิดเรื่องขึ้น

“ช่วงนั้นฉันต้องไปต่างประเทศ กลางขอไปอยู่กับไอ้เล้ง ฉันก็อนุญาต แต่ใครจะไปรู้...”

ไหล่ที่เคยผึ่งผายค่อย ๆ ห่อลู่ลง ผู้ชายที่พิชญ์เคยตราหน้าว่าเย็นชาไร้หัวใจ ตอนนี้กลับดูอ่อนแอจนพิชญ์เผลอเลื่อนตัวเข้าไปโอบกอดอริญชย์เอาไว้อย่างไม่รู้ตัว ตัวของอริญชย์สั่นสะท้าน น้ำเสียงที่เคยแข็งกระด้างเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

เรื่องเดียว...ที่ตอกย้ำว่าเขาเป็นพี่ชายที่ไม่เอาไหน

และเป็นความผิดพลาดเรื่องสุดท้าย ที่เขาจะยอมให้เกิดขึ้นกับคนที่เขารัก

“คุณใหญ่ พอเถอะ ผมรู้ว่าคุณเจ็บปวด ไม่ต้องเล่าแล้ว”

“กลาง...โดนทำร้าย!”

“ใคร...ใครเป็นคนทำเขา”

โดยที่ไม่รู้ตัว เสียงของพิชญ์เองก็สั่นพร่าไปด้วยความปวดใจ แล้วคนที่เป็นพี่ชายอย่างอริญชย์จะเจ็บปวดมากแค่ไหน เมื่อรู้ว่าน้องชายโดนทำร้าย

“คู่อริของไอ้เล้ง...”

“คุณเล็กรู้เรื่องหรือเปล่า”

“ไม่ ยัยเล็กไม่รู้เรื่องเลย ฉันไม่ได้บอก”

พิชญ์โอบอริญชย์แน่นกว่าเดิม เพราะไม่รู้จะทำอะไรที่ดีไปกว่านี้ เรื่องราวที่เขาอยากรู้มานาน พอรู้เข้าจริง ๆ พิชญ์กลับนึกอยากให้อริญชย์เก็บมันไว้เป็นความลับตลอดไป

ถ้าไม่รู้ คงไม่ต้องเจ็บปวดขนาดนี้

และถ้าเขาไม่อยากรู้ อริญชย์คงไม่ต้องเจ็บปวดอย่างที่เป็นอยู่

“ถึงไอ้เล้งจะจัดการคู่อริมันได้ แต่ทุกอย่างก็เหมือนกับฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนกลางอยู่ตลอด ฉันไม่มีทางให้อภัยมันเด็ดขาด ทั้งที่ฉันไว้ใจมัน แต่มัน...มันกลับทรยศต่อความไว้ใจของฉัน”

พิชญ์ก้มลงมองภาพถ่ายที่ยังเปิดอยู่ ป่านนี้...รอยยิ้มเหล่านั้นคงเลือนหายไปจากใบหน้าที่งดงามแล้ว เหลือเพียงบาดแผลและฝันร้ายที่ยังตามหลอกหลอน

เรื่องของคนที่รักที่สุด...ทำให้คนที่แข็งแกร่งที่สุดกลายเป็นคนอ่อนแอที่สุด...

ความรัก...บันดาลทั้งความสุขและความทุกข์



TO BE CONTINUE



เริ่มเฉลยปมออกมาทีละนิดแล้วค่ะ
คุณใหญ่ก็มีความน่าสงสารเหมือนกัน ถึงจะน่าหยิกมากกว่า

ตอนหน้า เดี๋ยวมาแปะวันอาทิตย์ดึก ๆ ค่า
ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม ขอบคุณทุกคอมเม้นท์มาก ๆ เลยค่ะ

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ Tassanee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ถ้าเหตุร้ายที่เกิดจากคู่อริเฮียเล้ง
อย่างงี้จะโทษเฮียเล้งเลยซะทีเดียวก็ไม่ได้หรือเปล่านะ

... ห่วงพีทขึ้นมาเลยว่าเฮียเล้งจะทำร้ายพีทแบบไหนเพื่อให้คุณใหญ่เจ็บ

รอตอนต่อไปดีกว่า :ling3:

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
พีคในพีค หักมุมอีกแล้ววววววว :katai1:

ออฟไลน์ casson

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ราชันย์ไม่ได้มาเล่นๆใช่มั้ย

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
อ๋อออ แบบนี้ก็ไม่ใช่ความผิดเสี่ยเล้งซะทีเดียวแต่ก็เกี่ยวข้องจนอดที่จะโทษให้ไม่ได้สินะ ความผิดคนละครึ่งทั้งสองคนละที่ไม่ดูแลให้อย่างเต็มที่ คุณใหญ่โทษเขา กลไลป้องกันความผิดตัวเองด้วยป่าว คือตัวเองก็ปล่อยน้องไง ความเสียใจลึกๆข้างในคงเป็นความเสียใจผิดต่อตัวเองที่ไม่ดูแลหรือห้ามปรามน้องให้มากกว่านี้ แต่ว่าก็ขอสักหน่อยเถอะว่ะ ทำธุรกิจเขาล่มไปแล้วรอบนึง แน่นอนจริง 55555 คราวนี้อะราชันย์จะมาสู้ประจันหน้าหรือจะหมาลอบกัด ตามต่อไป พีทคือจุดอ่อนของคุณใหญ่ที่แท้ทรู เขาดูออกอ่ะ 55555 จะเป็นยังไงต่อละเนี้ย รรรรตอนหน้าเลยค่า ขอบคุณนะคะที่แต่งสนุกๆให้อ่าน  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
แล้วจะมีโอกาสกลับมาเป็นเพื่อนกันอีกได้ไหมนะ :hao4:

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
สิบสาม
บาดแผลที่มองไม่เห็น



‘เฮีย...ช่วยด้วย ช่วยกลางด้วย...’

‘อย่า! อย่าทำผม! ผมกลัวแล้ว ปล่อยผมเถอะ...’

เจ้าของเสียงร้องพยายามดิ้นรน มือไขว่คว้าหาความช่วยเหลือจาก ‘เฮีย’ หยาดน้ำตาเอ่อคลอรอบดวงตา ก่อนทุกอย่างจะดับมืดลงราวกับปิดสวิตช์




ร่างสูงสะดุ้งตื่นกลางดึกจากฝันร้าย หยาดเหงื่อผุดพราวทั่วดวงหน้าขาวจัดจนซึมเปียกตามแนวไรผม อุณหภูมิเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศแทบจะหมดความหมาย เมื่อมันไม่อาจบรรเทาความร้อนรุ่มในใจของเขาได้

ราชันย์ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองช้า ๆ เขาค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจจนกลายเป็นปกติ ดวงตาดำจัดฉายแววเจ็บปวดออกมาวูบหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ เลือนหายไป เหลือไว้แค่เพียงความสงบนิ่ง

ริมฝีปากหยักเหยียดออกราวกับจะเย้ยหยันตัวเองด้วยความสมเพช สมเพชที่เขายังคงฝันร้ายอยู่เสมอ ไม่ใช่มีแค่อริญชย์ที่รู้สึกเจ็บปวด แม้แต่เขาเองก็มีบาดแผลที่มองไม่เห็นเช่นกัน การกลับมาเผชิญหน้ากับอริญชย์อีกครั้ง มันไม่ต่างอะไรกับการเอาไม้มาเขี่ยปากแผลให้เปิดขึ้นอีกรอบ

บาดแผลที่ยังไม่ทันจะสมานตัวดี ดูเหมือนจะเริ่มปริแตกขึ้นมาอีกครั้ง...

ราชันย์สะบัดผ้าห่มออกจากตัว ก้าวขาลงจากเตียงด้วยความเงียบเชียบ เขาหยิบบุหรี่กับไฟแช็คที่วางอยู่ตรงหัวเตียงติดมือมาด้วย กำลังจะเดินผ่านเตียงก็เหลือบตามองคนร่วมเตียงที่ยังคงนอนหลับสนิทแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินออกไปตรงระเบียงห้อง

เปลวไฟสว่างวาบที่ปลายมวนบุหรี่ ราชันย์คีบบุหรี่อยู่ระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วกลาง เขาอัดควันเข้าปอดหนัก ๆ ก่อนจะพ่นควันบางเบาออกมาจนลอยอบอวลอยู่ตรงหน้า พอเครียดที เขาก็ต้องหันมาพึ่งพวกสารนิโคตินที แต่วันนี้กลับดูเหมือนว่า...

อุณหภูมิเย็นเฉียบหรือบุหรี่รสเมนทอลเย็นฉ่ำก็ยังดับความร้อนในใจเขาไม่ได้เลย...

ชายหนุ่มบิดริมฝีปากเป็นรอยยิ้มขื่น ๆ สำหรับคนที่รักและเอ็นดูอธิษฐ์เหมือนน้องชายคนหนึ่งอย่างเขาแล้ว เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็ไม่ต่างอะไรจากฝันร้ายที่ยังคอยตามหลอกหลอนเขา

ฝันร้าย...ที่กลายเป็นจริง

เสียงร่ำไห้ของอธิษฐ์ยังคงดังบาดหู เสียงพร่ำร้องเรียกหาแต่ชื่อเขา ฝ่ามือที่ปัดป้องดิ้นรนหลีกหนีจากพวกมัน ทุกเหตุการณ์ยังคงแจ่มชัดเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

‘เฮีย...’

ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ต่อให้เขาจะพยายามวิ่งหนีมากเท่าไหร่ ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่สามารถลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้เลย

มิตรภาพระหว่างเขาและอริญชย์ที่ขาดสะบั้นลง ยังไม่อาจเทียบได้กับความไร้เดียงสาที่ถูกทำลาย เขาไม่ได้นึกเสียดายมิตรภาพอันยาวนานระหว่างเขากับอริญชย์มากเท่ากับที่เสียดายความอ่อนเยาว์และไร้เดียงสาของอธิษฐ์ ฝันร้ายในวันนั้น เปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปจนไม่อาจกลับมาเป็นเหมือนเดิม

ดวงตาดำจัดเหม่อมองออกไปไกล ก้นบุหรี่ที่มอดไหม้ถูกขยี้กับที่เขี่ยบุหรี่อันเล็กจนดับ ราชันย์เผลอกำมือแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

เขารู้ว่าทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีทางเดินของมัน เพียงแต่ต้องใช้เวลา แต่เขารอมามากเกินพอแล้ว รอจนเกือบจะแก้ไขอะไรไม่ได้

ชายหนุ่มเกือบจะอัดกำปั้นเข้ากับกำแพงปูนด้วยความหงุดหงิด แต่ก็ช้ากว่าอีกคน...

“เฮียอย่า!”

ปฐพีที่เพิ่งเดินงัวเงียออกมาจากห้องรีบผวาเข้ากอดราชันย์จากข้างหลังแน่น คนตัวเล็กกว่าพยายามดึงคนตัวสูงออกห่างจากกำแพง คนถูกห้ามพยายามขืนตัวในทีแรก แต่สุดท้ายก็ยอมหยุด

จะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อต่อให้เขาชกจนกำแพงร้าวก็ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอดีตได้

“เฮีย อย่าทำร้ายตัวเองเลย” ปฐพีร้องห้ามเสียงสั่น “ถ้าอึดอัดนักก็มาลงที่ผม...มาลงที่ผมนี่”

ราชันย์ผ่อนลมหายใจลงช้า ๆ จนกลายเป็นปกติ ก่อนจะหันกลับมาหาปฐพี เขายืนมองคนตัวเล็กกว่านิ่ง ๆ ดวงตาดำจัดดูว่างเปล่าราวกับท้องทะเลลึกยามปราศจากคลื่นลม

ลึกลับ น่ากลัว และเหว่ว้า แต่สำหรับปฐพีแล้ว แค่นี้มันยังเล็กน้อยเหลือเกิน ต่อให้มากกว่านี้ เขาก็ยินดีที่จะรับมันเอาไว้

ขอแค่เป็นราชันย์ แค่ราชันย์เท่านั้น

ปฐพีกางแขนโอบกอดร่างสูงใหญ่แน่น หวังจะเป็นความเย็นฉ่ำที่คอยบรรเทาความรุ่มร้อนให้จางหายไป

เขากอด...ถ่ายทอดทุกความรู้สึกของตัวเองลงไป เมื่อมั่นใจว่าคนตรงหน้าควบคุมอารมณ์ได้แล้วถึงผละออกมา ดวงตาเรียวช้อนขึ้นสบตากับราชันย์นิ่ง ริมฝีปากขยับเอื้อนเอ่ยถ้อยคำออกมาเสียงเบา...แต่หนักแน่น

“เฮียยังมีผม ผมอยู่ตรงนี้ มองผมสิ...มองผม...”

ปฐพีเขย่งเท้าขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองลงกับริมฝีปากเย็นชืดของราชันย์ มือสองข้างเกาะยึดอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะขบเม้มริมฝีปากราชันย์เบา ๆ อย่างเรียกร้องและเว้าวอน คนถูกกระทำยืนนิ่งอย่างข่มอารมณ์ รู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร ถ้าเขาเผลอไผลตามการล่อลวงของปฐพีเมื่อไหร่ สุดท้ายก็คงจบลงที่เตียง

ดูเหมือนปฐพีจะพยายามท้าทายขีดความอดทนของราชันย์ เมื่อเจ้าตัวพยายามสอดลิ้นเข้าไปอย่างเงอะงะ จนท้ายที่สุดแล้ว ราชันย์เองก็ไม่สามารถอดทนได้ตลอดรอดฝั่ง เขาตวัดร่างปฐพีเข้าหาตัว ก่อนจะเป็นฝ่ายบดเบียดริมฝีปากแนบลงไปด้วยความดุดันและเร่าร้อน กลืนกินลมหายใจอีกฝ่าย แล้วคืนลมหายใจของตัวเองกลับไปให้

สองร่างแนบชิดกันไปทุกสัดส่วน รับรู้ถึงความปรารถนาที่กำลังเต้นเร่า ปฐพียกมือขึ้นคล้องคอราชันย์เพื่อพยุงไม่ให้ตัวเองล้มลงไป ก่อนจะค่อย ๆ เบือนหน้าหนีออกมาเพื่อกอบโกยลมหายใจเข้าปอด

“ทำแบบนี้ รู้ใช่ไหมว่าจะเป็นยังไงต่อ”

ปฐพีขยับริมฝีปากเป็นรอยยิ้มบาง ที่สำหรับคนมองแล้ว ดูยังไงก็เป็นรอยยิ้มยั่วเย้าเสียมากกว่า

“ผมรู้...” ปฐพีกระซิบชิดริมฝีปากคนถาม ฝ่ามือลูบไล้ไปตามมัดกล้ามเบา ๆ ทุกอย่างที่ทำลงไป ทำไมเขาจะไม่รู้ถึงผลลัพธ์ที่ตามมา

จากเด็กผู้ชายไร้เดียงสาในวันวาน กาลเวลาไม่ได้เปลี่ยนแปลงปฐพี แต่เป็นราชันย์...เป็นเขาเองที่เป็นคนเปลี่ยนแปลงปฐพี เพราะเขา...ทั้งหลงใหลและรังเกียจในความไร้เดียงสาของปฐพี

ไม่ใช่ความไร้เดียงสานี้หรือ ที่ทำให้ราชันย์ตัดสินใจเดินเข้าไปหาปฐพีในวันนั้น

ยิ่งเห็นความไร้เดียงสาของอีกฝ่ายมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้เขานึกถึง ‘อีกคน’ จนอยากจะทำลายความไร้เดียงสาเหล่านี้ให้ย่อยยับและสอนให้ปฐพีรู้ว่า...โลกไม่ได้สวยงามเสมอไป

ราชันย์รู้ รู้ว่าเหตุผลที่เขาเอาปฐพีมาอยู่ข้างตัวคือความเห็นแก่ตัวของเขาล้วน ๆ เพราะหัวใจที่รู้สึกผิด หัวใจที่ต้องการที่ยึดเหนี่ยว จนกระทั่งดึงคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างปฐพีเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องบ้า ๆ นี่ แม้จะรู้ดีแก่ใจว่า...

หัวใจด้านชาดวงนี้คงไม่อาจรักใครได้อีก...

และใช่ว่าปฐพีจะไม่รู้ ปฐพีเองก็รู้ทุกอย่างดีแก่ใจ เขารู้ว่าทุกอย่างที่กำลังดำเนินอยู่นี้ มันมีสาเหตุมาจากอะไร แต่เพราะเป็นราชันย์ เขาถึงได้ยอม

ถึงจะต้องเจ็บ ถึงจะต้องปวด ถึงจะต้องเสียใจ แต่ก็ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไรจริง ๆ

ถ้ากอดเขาเอาไว้ แล้วทำให้บรรเทาพิษบาดแผลที่มองไม่เห็นได้ จะกอดเขาด้วยความรุนแรงแค่ไหนก็ไม่เป็นไร

ปฐพีบดเบียดร่างกายตัวเองเข้าหาราชันย์ ทุกสัดส่วนแนบชิดสนิทจนแทบจะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน รับรู้ได้ถึงความปรารถนาที่ดุนดันผ่านกางเกงนอนเนื้อบาง ดวงหน้าพลันซับสีระเรื่อขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แม้จะขลาดเขินกับการเสนอตัวของตัวเอง แต่เขาก็รู้แค่วิธีนี้ที่จะฉุดราชันย์ขึ้นมาจากฝันร้าย แม้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำลงไปจะต้องแลกด้วยร่างกาย โดยที่ไม่เคยได้หัวใจของราชันย์คืนกลับมาก็ตาม แต่...

ไม่เป็นไรจริง ๆ แค่มีที่ให้เขายืนข้าง ๆ ก็เพียงพอแล้ว

ไม่ต้องรัก ไม่ต้องทะนุถนอม แค่หันมามองกันบ้าง

ถึงเขาจะมีค่าแค่เพียงของเล่นแก้เหงา ให้ความสุขราชันย์ได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว แต่อย่างน้อย ถ้ามันทำให้ราชันย์มีความสุขได้ เขาก็ยอม ถึงแม้ว่าตัวเองจะต้องเจ็บปวดเจียนตายก็ตาม

เมื่อเลือกแล้วว่าจะมาอยู่กับราชันย์ มันก็ไม่ต่างอะไรจากการกระโจนเข้ากองไฟที่กำลังลุกโชน รู้ว่าร้อน รู้ว่าอาจจะเผาร่างกายเขาจนมอดไหม้ แต่ปฐพีก็ยังเต็มใจที่กระโจนลงไป



.



ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25


พิชญ์นอนขยับตัวยุกยิกอยู่ท่ามกลางความมืด เขาพยายามพลิกตัวด้วยความระมัดระวัง ก่อนที่คนข้างตัวซึ่งหลับสนิทก่อนหน้าเขาเป็นชั่วโมงจะตื่นขึ้นมาจัดการกับเขา พิชญ์พยายามข่มตาหลับเป็นรอบที่ร้อย นับแกะจนแทบจะหมดฟาร์ม แต่ทุกอย่างดูจะไร้ประโยชน์ไปเสียหมด

พิชญ์อดทนนอนนิ่ง ๆ อยู่อีกพักใหญ่ จนรู้ว่าคงไม่อาจข่มตานอนหลับได้ง่าย ๆ ถึงได้ยอมแพ้แล้วลุกขึ้นนั่ง

ปกติเวลานอนด้วยกัน แค่พิชญ์ขยับตัวนิดเดียว อริญชย์ก็จะรู้สึกตัวตื่นทันที แต่ดูเหมือนวันนี้อริญชย์จะเครียดจนหลับลึก ขนาดว่าพิชญ์ลุกขึ้นมานั่งจด ๆ จ้อง ๆ อริญชย์อยู่พักใหญ่แล้ว อีกฝ่ายก็ยังหลับสนิท จนพิชญ์เผลอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนตัดสินใจเดินออกมาจากห้องนอนของอริญชย์

ตอนแรกพิชญ์ตั้งใจว่าจะกลับมานั่ง ๆ นอน ๆ ที่ห้องตัวเอง แม้จะรู้ดีว่าพอตื่นเช้ามาอีกคนคงอาละวาดแน่ ๆ ถ้าไม่เห็นเขานอนอยู่ที่เดิม แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าปล่อยให้เขานั่งยุกยิกอยู่ในห้องจนอริญชย์ตื่นขึ้นมากลางดึก คิดไปคิดมาจนเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องตัวเอง สุดท้ายพิชญ์ก็เปลี่ยนใจ หันหลังกลับแล้วเดินลงมาข้างล่างแทน

แสงจากโคมไฟดวงเล็กส่องออกมาจากห้องรับแขกเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ไม่ปกติคงจะเป็นเสียงกุก ๆ กัก ๆ ที่ดังมาจากห้องครัวกลางดึก ทำเอาคนขวัญดีอย่างพิชญ์ถึงกับชะงักนิด ๆ ก่อนจะทำใจดีสู้เสือ เดินดุ่มไปที่ห้องครัว ตั้งใจจะย่องไปแอบดูว่าใครกันที่บังอาจมาบุกรุกห้องครัวยามวิกาล แค่พิชญ์เดินไปหยุดอยู่หน้าห้องครัว ยังไม่ทันได้ทำอะไรต่อ อีกฝ่ายก็ชิงเปิดไฟขึ้นมาก่อน

พอเห็นหน้าแขกที่มาเยือนห้องครัวยามวิกาลเต็มตา พิชญ์ก็ได้แต่เรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาเก้อ ๆ

“อ้าว คุณตุลย์นี่เอง”

ตุลย์ที่กำลังสาละวนอยู่กับการวางแฮมลงบนขนมปังตัดขอบ เงยหน้ามองพิชญ์ก่อนจะเอ่ยถามกลั้วหัวเราะ

“คุณพีทนึกว่าใครหรือครับ”

“ผมนึกว่าโจรหรือขโมยเสียอีก” พิชญ์แกล้งเอ่ยทีเล่นทีจริง

กับตุลย์แล้ว อีกฝ่ายมักจะหยอกเขากับอริญชย์อยู่บ่อย ๆ พอนานเข้า พิชญ์ก็เลยพลอยชอบแหย่หรือคุยเล่นกับตุลย์ตามไปด้วย

“คงมีแต่โจรชะตาขาดเท่านั้นแหล่ะครับ ที่คิดจะบุกเข้ามาที่นี่”

“ฮะ ๆ ผมเองก็ลืมไป”

“แล้วนี่คุณพีทลงมาหาของกินเหรอครับ ให้ผมทำแซนด์วิชเผื่อไหม”

ตุลย์ที่จัดการกับแซนด์วิชมื้อดึกของตัวเองเรียบร้อยแล้วเป็นฝ่ายเอ่ยถามพิชญ์บ้าง คนถูกถามได้แต่ยิ้มเก้อ ๆ ก่อนเบี่ยงตัวหลบให้ตุลย์เดินออกมาจากห้องครัว

“ไม่เป็นไรครับ จัดการตามสบายเถอะ พอดีผมนอนไม่หลับเลยว่าจะลงมาเดินเล่น แล้วคุณตุลย์ล่ะ”

“ผมหิวขึ้นมากลางดึกน่ะครับ” ตุลย์ตอบกลั้วหัวเราะพลางส่งแซนด์วิชแฮมที่ทำแบบง่าย ๆ เข้าปากตัวเอง แล้วเคี้ยวกร้วม ๆ หน้าตาเฉย

จัดการจนแซนด์วิชในมือราบคาบแล้ว ตุลย์ก็อดถามถึงผู้เป็นนายขึ้นมาไม่ได้

“คุณใหญ่ไม่ได้ตามลงมาด้วยหรือครับ”

“หลับเป็นตายเลยครับ”

ตุลย์แทบจะหัวเราะออกมากับถ้อยคำที่พิชญ์เอ่ยถึงอริญชย์ เขาดูไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่รู้ว่าอริญชย์นอนหลับลึกผิดปกติวิสัย อย่างน้อยก็ยังดีที่นอนหลับ

ตุลย์รินน้ำดื่มลงแก้วแล้วยกขึ้นดื่ม จัดการเก็บของต่าง ๆ จนเรียบร้อย หันมาอีกทีก็ยังเห็นพิชญ์นั่งอยู่ เลยเตรียมจะเอ่ยขอตัว เผื่อว่าอีกฝ่ายอยากจะอยู่ตามลำพัง แต่พิชญ์ที่นั่งครุ่นคิดอยู่นานก็ชิงเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

“คุณตุลย์ครับ ขอเวลาหน่อยได้ไหม พอดีผมมีเรื่องอยากคุยด้วย”

ตุลย์เลิกคิ้วน้อย ๆ พอจะเดาออกว่าพิชญ์ต้องการคุยกับเขาเรื่องอะไร เลยเดินนำอีกฝ่ายไปที่โซฟารับแขก ตุลย์ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาเดี่ยว ส่วนพิชญ์นั่งลงตรงข้ามเขา

ตุลย์ลอบมอง ‘คนของนาย’ อย่างพินิจพิจารณา เท่าที่รู้จักกับพิชญ์มาเกือบจะเท่ากับอายุของน้องหนู ตุลย์ต้องยอมรับเลยว่า พิชญ์เองก็เป็นคนที่ ‘มีดี’ คนหนึ่ง

“คุณใหญ่เล่าให้คุณพีทฟังแล้วใช่ไหมครับ” ตุลย์ถามออกมาตรง ๆ ไม่คิดจะอ้อมค้อมให้เสียเวลา ก่อนจะนิ่งรอดูท่าทีของพิชญ์

พิชญ์พยักหน้ารับ เขาพอจะรู้ว่าตุลย์เองก็คงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ้างเหมือนกัน เขาขยับจะเอ่ยปากถามถึงเรื่องที่ติดใจสงสัย แต่แล้วกลับเม้มริมฝีปากแน่น ไม่รู้ว่าสิ่งกำลังจะถามออกไปจะกลายเป็นการละลาบละล้วงหรือเปล่า ตุลย์ที่นั่งมองนิ่ง ๆ เหมือนจะรู้เท่าทันความคิดของพิชญ์ ถึงได้เป็นฝ่ายเอ่ยออกมาเสียเอง

“ถ้าคุณพีทอยากรู้อะไรก็ถามมาเถอะ ผมจะเล่าเท่าที่เล่าได้แล้วกัน”

พิชญ์กำมือที่วางอยู่บนตักตัวเองแน่น เขาเคยอยากรู้เรื่องราวทุกอย่างมาตลอด แต่พอถึงเวลาที่จะได้รู้ขึ้นมาจริง ๆ เขากลับลังเลขึ้นมา คิ้วเรียวขมวดเข้าหาอย่างครุ่นคิด คล้ายกับไม่แน่ใจว่าตัวเองควรเรียบเรียงคำพูดอย่างไร ก่อนจะเอ่ยออกไปช้า ๆ

“คุณกลาง...ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้างครับ”

คำถามของพิชญ์ไม่ได้ผิดไปจากที่ตุลย์คาดเอาไว้เลยแม้แต่น้อย ถึงเรื่องราวต่าง ๆ จะผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่พอได้ยินชื่อของอธิษฐ์หลุดออกมาจากริมฝีปากของพิชญ์ แม้แต่ตุลย์เองก็ยังเผลอหลุดรอยยิ้มเศร้า ๆ ออกมา

ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาก็ทำได้แค่แกล้งลืมไปวัน ๆ ทำเสมือนว่าเรื่องราวร้าย ๆ เหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้น ทั้งที่รู้ดีว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้เลย

ยิ่งอยากลืมมากแค่ไหน หัวใจกลับยิ่งจดจำ

ยิ่งวิ่งหนีเท่าไหร่ ความทรงจำกลับวิ่งไล่ตามเรามาติด ๆ มากเท่านั้น

ตุลย์ผ่อนลมหายใจยาว ในเมื่อไม่อาจกลับไปแก้ไขอดีตที่ผ่านพ้นไปได้ สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

“ตอนนี้คุณกลางอยู่กับคุณแม่ที่อเมริกาครับ”

พิชญ์ถอนหายใจออกมาแรง ๆ อย่างโล่งอก แม้จะไม่เคยพบหน้าค่าตากับอธิษฐ์มาก่อน แต่เรื่องราวที่รับรู้มาก็ทำให้เขานึกเห็นใจอีกฝ่ายไม่น้อย พอได้รู้ว่าอีกฝ่ายยังอยู่ดีก็เลยอดโล่งใจไม่ได้

“ตอนที่เกิดเรื่องใหม่ ๆ สภาพของคุณกลางแย่มาก คุณหมอแนะนำว่าต้องพาออกไปจากสภาพแวดล้อมเดิม ๆ เพื่อให้ลืมเรื่องราวร้ายๆ ที่เกิดขิ้น คุณใหญ่เลยตัดสินใจส่งคุณกลางไปอยู่กับคุณแม่ที่อเมริกา”

แม้ตุลย์จะเอ่ยออกมาแค่คำว่า ‘แย่’ คำเดียว แต่จากสีหน้าและท่าทางของคนพูด พิชญ์ก็พอจะนึกออกเลา ๆ ว่าสภาพของอธิษฐ์คงย่ำแย่มากจริง ๆ

“คุณเล็กเองไม่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณกลาง คิดว่าคุณแม่คุณกลางมารับกลับไปอยู่ด้วยเฉย ๆ อาการล่าสุดตอนนี้ก็ดีขึ้นพอสมควรแล้วครับ ถ้าไม่มีอะไรมากระทบจิตใจอีก ก็คงไม่เป็นไร” ตุลย์เอ่ยออกมาเสียงเรื่อย ๆ เหมือนกำลังเล่าเรื่องทั่ว ๆ ไป แต่คนช่างสังเกตอย่างพิชญ์ก็ยังจับได้ถึงกระแสความเจ็บปวดที่แฝงมาในน้ำเสียงของตุลย์

พิชญ์ไม่อยากนึกเลยว่า ทุกคนที่เกี่ยวข้องและรู้เรื่องราวทั้งหมดนี้ต้องอยู่ด้วยความเจ็บปวดมานานแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ถูกทำร้ายอย่างอธิษฐ์เอง หัวใจดวงนั้นคงจะเปราะบางและเต็มไปด้วยบาดแผล

“ผมถามได้ไหม ว่าทำไมไม่มีใครเอ่ยถึงคุณกลางเลย จนผมหลงเข้าใจผิดคิดว่าคุณใหญ่มีน้องแค่คนเดียวคือคุณเล็ก”

“ไม่ใช่ไม่อยากพูดหรอกครับ แต่พอพูดถึงคุณกลางขึ้นมาทีไร คุณใหญ่ก็จะนึกถึงเหตุการณ์นั้นขึ้นมา พวกผมเลยพยายามเลี่ยงไม่พูดถึงคุณกลาง ถึงจะไม่ค่อยได้เอ่ยถึงคุณกลาง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะลืมอยู่ดี พวกเราก็ทำได้เพียงแค่...แกล้งลืม”

พิชญ์ถึงกับนิ่งงัน เขาพอเข้าใจถึงเหตุผลที่ตุลย์อธิบาย ไม่ว่าใครก็คงไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องราวร้าย ๆ ในอดีตขึ้นมา แต่มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดีเลย และอีกเรื่องที่พิชญ์ยังคงติดใจสงสัยอยู่คือ...

“คุณบอกว่าคุณเล็กไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น เธอก็น่าจะพูดถึงคุณกลางบ้าง แต่นี่กลับไม่มีเลย มันหมายความว่ายังไงครับ”

ตุลย์บิดริมฝีปากเป็นรอยยิ้มแปลก ๆ เมื่อได้ยินคำถามของพิชญ์ คล้ายกับจะยิ้ม แต่ก็ยิ้มได้ไม่เต็มที่นัก

“คุณเล็กไม่ค่อยชอบคุณกลางน่ะครับ”

“อ้าว ทำไมล่ะครับ”

พิชญ์สงสัยขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน ในเมื่ออริญชย์เองก็ดูรักและห่วงอธิษฐ์มากขนาดนั้น แล้วมีเหตุผลอะไรที่ทำให้ไอลดาไม่ชอบอธิษฐ์

“คุณพีทคงรู้ใช่ไหมครับ ว่าคุณกลางเป็นพี่น้องคนละแม่กับคุณใหญ่และคุณเล็ก” พอพิชญ์พยักหน้ารับ ตุลย์ก็เอ่ยต่อ “คุณเล็กเคยเป็นที่หนึ่งของคุณใหญ่และคุณท่านมาตลอด พอมีคุณกลางเข้ามา เลยรู้สึกเหมือนถูกแย่งความรักไป และที่สำคัญ...คุณเล็กฝังใจมาตลอดว่าคุณท่านนอกใจคุณผู้หญิง ทั้งที่มีคุณแม่คุณเล็กเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้วแท้ ๆ แต่ก็ยังมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่นจนมีคุณกลางขึ้นมาอีก คุณเล็กเลยไม่ค่อยถูกกับคุณกลางไงครับ”

“น่าสงสารคุณเล็กเหมือนกันนะครับ”

ไอลดาที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของพ่อและพี่ชาย เคยคิดว่าครอบครัวของตัวเองอบอุ่นและน่าอิจฉามาตลอด เมื่อได้รู้ความจริงจึงไม่แปลกที่จะตั้งแง่กับพี่ชายต่างแม่และมึนตึงใส่ผู้เป็นพ่อ แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของอธิษฐ์เลย และขณะเดียวกันจะโทษไอลดาก็ไม่ได้

“จริง ๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่นั่นแหล่ะครับ ผมก็ได้แต่หวังว่าถ้ามีโอกาสเจอกันอีกครั้ง คุณเล็กจะยอมเปิดใจให้คุณกลางเสียที เพราะคุณกลางเองก็ผ่านอะไรร้าย ๆ มาตั้งมากมายแล้ว”

พิชญ์ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองช้า ๆ ขนาดไม่ใช่เรื่องของตัวเขาเองโดยตรง เขายังรู้สึกหนักอึ้งขนาดนี้ แล้วคนที่ต้องแบกรับทุกอย่างเอาไว้อย่างอริญชย์ล่ะ จะเจ็บปวดมากขนาดไหนกัน

“มีแต่เรื่องทั้งนั้นเลยนะครับ” พิชญ์พึมพำออกมาเสียงแหบพร่า ยอมรับเลยว่าเขาไม่ได้ใจแข็งขนาดจะทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาได้

เรื่องราวเก่า ๆ ยังไม่ทันคลี่คลาย เรื่องใหม่ที่เพิ่งรับรู้มาก็ทำเอาพิชญ์ถึงกับคว้าง ไม่รู้จะก้าวเดินต่อไปทางไหนดี

ผู้ชายที่แสดงออกว่าตัวเองแข็งแกร่งอยู่ตลอดเวลา แท้จริงแล้วเก็บงำอะไรเอาไว้ในใจบ้าง

ตุลย์เห็นสีหน้าท่าทางของพิชญ์ก็อดคิดเข้าข้างผู้เป็นนายไม่ได้ ว่าพิชญ์คงนึกห่วงอริญชย์อยู่บ้างไม่มากก็น้อย

ตอนนี้อาจจะยังไม่รักเจ้านายเขาก็ไม่เป็นไร แค่ไม่เกลียดกันก็พอ

“คุณใหญ่เล่าอะไรให้คุณพีทฟังบ้างครับ”

“เล่าแค่ว่าคุณกลางโดนทำร้ายน่ะครับ ผมเองก็ไม่อยากเซ้าซี้ถามคุณใหญ่ด้วย”

“ผมก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดเหมือนกัน เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ถ้าอยากรู้รายละเอียดจริง ๆ คงต้องไปถามเอากับเสี่ยเล้ง แต่รายนั้นก็ไม่ค่อยยอมเล่าอะไรออกมา ไม่รู้จะอมพะนำอะไรนักหนา” ท้ายประโยค น้ำเสียงตุลย์แลดูติดจะหน่าย ๆ บุคคลที่สามอยู่ไม่น้อย

พิชญ์ฟังที่ตุลย์พูดพลางคิดตาม เขาค่อย ๆ ประมวลเรื่องราวทั้งหมดที่รับรู้มาและสังเกตเห็นเอง แล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ตกลงแล้วราชันย์ผิดจริงหรือเปล่า หรือเป็นแค่ความเข้าใจผิดของอริญชย์ ถึงแม้ภายนอกอริญชย์จะดูเป็นคนมีเหตุมีผลอยู่บ้าง แต่พิชญ์ก็พอเดาได้เลยว่า ถ้าเป็นเรื่องของคนที่รักเมื่อไหร่ อริญชย์คงโยนสิ่งที่เรียกว่าเหตุและผลทิ้งไปอย่างไม่ลังเล

“เท่าที่ผมพอรู้มา รู้สึกเหมือนเสี่ยเล้งเขาจะฝากเพื่อนเขาดูแลคุณกลางอีกที แต่มันคงมีอะไรที่มากกว่านั้นแน่ ๆ ติดที่ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร”

พิชญ์เท้าคางอย่างครุ่นคิด เห็นความบาดหมางระหว่างอริญชย์กับราชันย์แล้ว คนนอกอย่างเขาก็อยากจะให้เคลียร์กันให้มันจบ ๆ ไปเสียที จะได้ไม่ต้องมาห้ำหั่นหรือลอบกัดกันอีก ถึงกลับมาเป็นมิตรต่อกันไม่ได้ ก็ยังดีกว่าปล่อยให้เป็นศัตรูต่อไปเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำจะกลายเป็นการหาเหาใส่หัวหรือเปล่า ในเมื่อเรื่องของเขากับอริญชย์เองก็ยังคาราคาซังจนแทบจะเอาตัวไม่รอด จะออกหัวหรือออกก้อยขึ้นมาวันไหนก็ยังไม่รู้

“คุณดูไม่ค่อยโมโหเสี่ยเล้งเรื่องคุณกลางเท่าไหร่เลยนะ”

ตุลย์คลี่ยิ้มออกมาบาง ๆ ยิ้มให้กับไหวพริบและความช่างสังเกตของพิชญ์

คนแบบนี้ เหมาะสมแล้วที่จะเป็นคู่คิดให้กับอริญชย์ ไม่โอนอ่อนจนดูเหยาะแหยะ แต่ก็ไม่แข็งกระด้างจนน่ารำคาญ ทุกอย่างที่เป็นพิชญ์มันเป็นความพอดีที่ลงตัว ติดอยู่แค่เพียงอย่างเดียว อย่างเดียวเท่านั้น

พิชญ์ไม่ใช่คนตัวเปล่า เขาเป็นผู้ชายที่มีลูกและภรรยาแล้ว แถมภรรยาของพิชญ์ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็นน้องสาวเพียงคนเดียวของอริญชย์เอง

“คุณตุลย์...” พิชญ์เรียกซ้ำ เมื่อเห็นคู่สนทนาเงียบไป

“โทษทีครับ เรื่องคุณกลาง ผมเองก็เคยโมโหไม่ต่างจากคุณใหญ่ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ในเมื่อเรื่องมันผ่านไปแล้ว เรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีก ที่ทำได้ก็เพียงแค่เยียวยาและคอยประคับประคองคุณกลางเท่านั้น แต่คุณใหญ่เขาไม่คิดเหมือนผม”

“แต่เท่าที่ผมสังเกต คุณเองก็ไม่ชอบเสี่ยเล้งอยู่ดี”

“มันยังมีเรื่องอื่นมากกว่านั้นครับ”

“เรื่องอะไรครับ”

ตุลย์นิ่ง ไม่รู้ว่าควรจะเล่าออกไปดีหรือไม่ ถึงแม้เขาจะยอมรับว่าพิชญ์เองก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวและมีฐานะเป็นเจ้านายของเขา แต่สำหรับเรื่องสีเทา ๆ บางเรื่อง อริญชย์ก็ยังกันให้พิชญ์อยู่ข้างนอก รับรู้เรื่องราวต่างๆ เท่ากับไอลดา ไม่ได้ปล่อยให้รู้อะไรมากเกินไป ไม่ใช่เพราะอริญชย์ไม่ไว้ใจ แต่เพราะว่า...

โลกที่เราเห็นว่าสวยงาม บางทีมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเสมอไป

“คุณตุลย์...”

ตุลย์ถอนหายใจออกมาช้า ๆ ก่อนจะตัดสินใจเล่าออกมา อย่างน้อย ๆ เขาก็รู้ดีว่าพิชญ์ไม่ใช่ภาระของอริญชย์ เผลอ ๆ อาจจะเป็นตัวช่วยที่ดีด้วยซ้ำไป

“นอกจากเรื่องคุณกลางแล้ว ทางฝั่งเสี่ยเล้งเองก็ลอบเล่นงานเราอยู่หลายหนเหมือนกัน อย่างคราวที่โกดังของเราถูกเผาไงครับ”

พิชญ์เบิกตากว้าง นอกจากเรื่องโกดังถูกเผาแล้ว ยังมีเรื่องอื่น ๆ ที่เขายังไม่รู้อีกมากแค่ไหนกัน คราวที่โกดังถูกเผาก็ถือเป็นความเสียหายที่ร้ายแรงของบริษัทมากแล้ว แปลว่ายังมีเรื่องที่ร้ายแรงกว่านี้อีก พิชญ์คิดไม่ถึงเลยว่า ภายใต้ใบหน้านิ่ง ๆ ราวกับไม่แยแสโลกแบบนั้น อริญชย์จะเก็บงำอะไรไว้มากมายถึงขนาดนี้

จู่ ๆ อารมณ์น้อยใจก็ผุดขึ้นมาเองแบบไม่มีสาเหตุ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่ควร ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่ใช่เวลา แต่พิชญ์ก็ห้ามตัวเองไม่ได้ เขานึกน้อยใจอริญชย์ขึ้นมาจริง ๆ ทั้งที่เขาเองก็อยู่กับอริญชย์มานาน ฝ่ายนั้นก็บอกคนอื่นปาว ๆ ว่าเขาเป็นมือขวา เป็นคนสนิท แต่เอาเข้าจริงแล้ว กลับทำเหมือนเขาเป็นคนอื่นคนไกล ไม่ยอมให้เขารับรู้เรื่องราวอะไรแม้แต่น้อย

“มีเรื่องอะไรอีกบ้างครับที่ผมยังไม่รู้”

ตุลย์กำลังจะตอบคำถามของพิชญ์ แต่แล้วก็บิดริมฝีปากเป็นรอยยิ้มแปลก ๆ ที่พิชญ์ไม่ค่อยเข้าใจนัก

“ผมว่าคุณพีทลองถามกับคุณใหญ่เองดีกว่าครับ ยังไงผมขอตัวไปนอนก่อนนะครับ”

พิชญ์ขยับจะลุกตามตุลย์ไป แต่ก็ช้ากว่าอีกฝ่ายที่กดบ่าพิชญ์ให้นั่งลงเหมือนเดิม

“ผมบอกให้หน่อยก็ได้ คุณใหญ่เคยโดนตัดสายเบรกรถตอนไปประชุมกับลูกค้า โชคดีว่าไหวตัวทันเสียก่อน ที่เหลือก็ถามกับคุณใหญ่เองนะครับคุณพีท”

ดวงตาที่เบิกกว้างอยู่แล้วของพิชญ์ยิ่งเบิกกว้างกว่าเดิม ความคิดที่จะเจรจาให้อริญชย์กับราชันย์หันหน้ามาคุยกันดี ๆ แทบจะปลิวหายไปกับสายลม ถ้าถึงขนาดจะเอากันให้ตายไปข้างก็คงไม่มีทางที่จะยอมคุยกันดี ๆ แน่ แต่พิชญ์คงไม่รู้ สิ่งหนึ่งที่ตุลย์ไม่ได้บอกพิชญ์ออกไปคือ...

ไม่ใช่แค่ราชันย์ที่ร้าย อริญชย์เองก็ร้ายกับทางนั้นไม่ต่างกัน เผลอ ๆ อาจจะร้ายกว่าเสียด้วยซ้ำไป

คนที่ถูกทิ้งให้นั่งอยู่ตามลำพังมัวแต่ครุ่นคิด จนไม่ทันสังเกตว่า สาเหตุที่ตุลย์ชิ่งหนีกลับไปนอนไม่ใช่เพราะง่วงหรืออะไรเลย แต่เป็นร่างสูงที่เดินมาประชิดด้านหลังพิชญ์ก่อนถือวิสาสะวางมือลงบนไหล่

“อ้าว คุณตุลย์ ไหนบอกว่าจะไปนอนแล้วไงครับ” พิชญ์เอ่ยทักโดยไม่ได้หันหลังกลับไปมอง เรียกอาการขมวดคิ้วฉับจากคนฟังได้ทันที

“ฉันไม่ใช่ตุลย์”

พิชญ์หันขวับกลับมามองเจ้าของเสียง ก่อนจะเห็นเจ้าของบ้านที่เขาเดาว่าเพิ่งลุกขึ้นมาจากเตียง มองมาที่เขาด้วยสายตาดุ ๆ

“คุณใหญ่...”

อริญชย์มองเลยพิชญ์ไปยังนาฬิกาแขวนผนังเรือนใหญ่ ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงนิ่ง ๆ

“ตีสอง นั่งคุยกันเป็นชั่วโมง นายเองก็กลับไปนอนได้แล้วมั้ง”

“ผมยังไม่ง่วง”

“พีท!”

พออริญชย์เริ่มต้นเรียกชื่อเขาด้วยเสียงหนัก ๆ พิชญ์ก็รีบยกมือเป็นเชิงยอมแพ้ทันที

“โอเค นอนก็นอนครับ แต่...” พิชญ์เดินตามมาดึงชายเสื้อนอนของอริญชย์เอาไว้ จนเจ้าของต้องหันกลับมาเลิกคิ้วด้วยความสงสัย “พรุ่งนี้คุณได้เล่นเกมยี่สิบคำถามกับผมทั้งวันแน่ ๆ”

อริญชย์ยิ้มมุมปาก ก่อนจะหัวเราะหึ ๆ ออกมาโดยไม่พูดอะไร

เขาไม่ใช่ผู้ชายเข้มแข็งอะไร แค่ไม่อยากให้ใครมาคอยเป็นห่วง แต่ถ้าคนที่ห่วงเขาคือพิชญ์ มันจะดีแค่ไหนกัน



TO BE CONTINUE





ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ค่า

เสี่ยเล้งกับดินก็เป็นความสัมพันธ์หม่น ๆ พอ ๆ กับคุณใหญ่กับพีทเลยค่ะ
ต่างกันแค่ดินเต็มใจ พีทไม่เต็มใจ
แต่ตอนนี้พีทก็เริ่มห่วงคุณใหญ่ขึ้นมาทีละนิด
ต้องเอาใจช่วยคุณใหญ่ต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ Tassanee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด