...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [25] บทส่งท้าย (End) Up [24/05/63] แจ้งฯ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [25] บทส่งท้าย (End) Up [24/05/63] แจ้งฯ  (อ่าน 24154 ครั้ง)

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


............ต่อให้ผมรักเขามากมายแค่ไหน คนที่เขารักก็ไม่ใช่ผมอีกแล้ว.........



    ไม่ใช่เพราะผมไม่รักเขา แต่เป็นเพราะเขารักใครอีกคนที่ไม่ใช่ผม เพราะหัวใจของเขามีใครอีกคนเป็นเจ้าของ

 

ไม่ใช่ผม...อีกต่อไป

 

 

   นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายแนวดราม่า แต่จบแบบHappy Ending แน่นอนค่ะ ฝากหนูไมน์กับดินแดนเอาไว้ด้วยนะคะ
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2020 10:09:46 โดย เด็กสาวในชุดสีฟ้า »

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[0]


บทนำ


ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เราถึงได้รักใครคนหนึ่งได้มากมายขนาดนี้ รักได้จนหมดทั้งใจ ยอมให้เขาได้ทุกอย่าง

ใครบางคนบอกว่ามันคือโชคชะตา เป็นความรักที่ถูกลิขิตมาจากคนบนฟ้าที่อยู่สูงขึ้นไป

แต่บางคนก็บอกว่า…นี่คือเกมของพระเจ้า พวกเขาเพียงแค่ใช้มนุษย์เป็นของเล่นแก้เบื่อ สร้างความผิดหวัง ความรัก ความสุข และความเจ็บปวดให้เพื่อคลายเหงา

ผมเองก็ไม่อาจจะรู้ได้เช่นกันว่ามันเป็นเพราะสิ่งไหน แต่ถ้าหากมันเป็นเพียงเกมสำหรับคนบนฟ้าจริง ๆ

รู้ได้เลยว่าพวกคุณใจร้ายมาก! พวกคุณทำให้ผม…เจ็บปวดจนอยากจะตาย

ผมจะเล่าเรื่องราวของผมให้ฟัง เรื่องราวที่นำมาทั้งความสุขและความทุกข์ เป็นเรื่องราวที่มีผมเป็นตัวร้าย เขาเป็นพระเอกและใครอีกคนเป็นนางเอกยังไงล่ะ

ผมชื่อไมน์ ผมเป็นคนพิเศษที่ได้รับการดูแลจากครอบครัวมาอย่างดี เป็นคนที่ถูกประคบประหงมมาด้วยความรัก ไม่เคยมีสักครั้งที่จะต้องถูกใครมองด้วยสายตาดูแคลน

เพราะอะไร?

หึ…เพราะผมคือทายาทหมื่นล้านยังไงล่ะ

เป็นลูกชายคนเล็กของเจ้าสัวใหญ่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว เพียงแค่เอ่ยชื่อก็จะได้นับการรับรองอย่างดีจากทุกคน ไม่ว่าจะร้านอาหาร โรงแรม หรือสถานที่ไหน ๆ นามสกุลสุทธิวรเวชก็จะเป็นที่รู้จักเสมอ

แต่ไม่ใช่กับเขา

ผมตกหลุมรักผู้ชายคนหนึ่ง เขาชื่อแดน ดินแดน โชติญาณกุล เป็นลูกชายของเจ้าของโรงแรมใหญ่ที่ติดหนึ่งในห้าโรงแรมที่ดีที่สุดในประเทศ

ผมเจอเขาที่งานเลี้ยง วันนั้นผมเมาหนักมาก ถูกเพื่อนๆ แกล้งด้วยการเอาเหล้ามาให้ผมดื่ม ผมเป็นคนคออ่อน แค่กินไปไม่กี่อึกก็สามารถเมาเละเทะได้

ผมอ้วก อ้วกจนแทบจะไม่มีแรง ไม่มีใครว่างมาสนใจหรือดูแลผม มีเพียงแค่เขา มีแค่แดนที่เดินเข้ามาทักเข้ามาถามไถ่ถึงอาการ เขายื่นผ้าเช็ดหน้าให้ผม ผมจำเขาได้ดี ขำแววตาอ่อนโยนที่เขามองมา จำใบหน้าอ่อนโยนที่ประดับรอยยิ้มอ่อนๆ ได้

ทุกอย่างมันติดอยู่ในความทรงจำ

เมื่อสร่างเมาผมจึงสืบหาข้อมูลของเขา จึงได้รู้ว่าเขาคือใคร ผมระเห็จตัวเองออกจากบ้าน บ้านที่แสนอบอุ่นและเต็มไปด้วยความรัก ผมออกไปอยู่คอนโด เลือกที่จะซื้อห้องใกล้ๆ เขา ไม่ว่าจะต้องทุ่มเงินมากมายเท่าไหร่ ผมยินดีจ่ายมัน จนผมได้มันมาครอง

เราเริ่มทำความรู้จักกันในฐานะเพื่อนบ้าน ผมทักเขาและเขาก็ยิ้มตอบ เพียงแต่เขาลืมมันไปแล้ว เขาจำผมไม่ได้หรือบางทีผมอาจจะไม่เคยอยู่ในความทรงจำของเขาเลยก็ได้

แต่ไม่เป็นไร ผมสามารถสร้างความทรงจำของพวกเราขึ้นมาใหม่ได้

แล้วเราสองคนต่างก็เป็นของกันและกัน ผมเป็นแฟนเขา เราสองคนรักกัน มันเป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุด สุขเสียจนคิดว่านับจากนี้ไป…จะมีเพียงแค่เราสองคน

แค่กันและกัน







TBC



น้ำจิ้มเพื่อความสะใจของตัวเองล้วนๆ ฮ่าาาาา มันต้องแบบนี้! มันต้องแบบเน้เส๊ วะฮะ ฮ่าาาาา เรื่องนี้จะเป็นดราม่านะคะ แต่ไม่มีการตัดจบแบบแบดเอ็น จบสวยแน่นอนค่ะ พระนายต้องได้อยู่ด้วยกัน! เราสัญญา เพราะงั้น เชิญเตรียมทิชชู่ ผ้าเช็ดหน้าเอาไว้เพื่อซับน้ำตาแล้วลุ้นไปกับชีวิตของทั้งสองกันนะคะ 

เป็นเจ้าของ

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[1]


…พยายาม…

เสียงเพลงดังคลอเบาๆ ผมฮัมตามไปกับดนตรีที่แสนไพเราะนั้นอย่างห้ามใจไม่อยู่ มือยังคงกวาดไปตามพื้นห้อง เก็บขยะที่ตกหล่นเอาไปทิ้งถังขยะ เผลอหลุดยิ้มเมื่อได้เห็นรูปของผมกับแดนที่วางอยู่ตรงตู้

สามปี สามปีกับการที่ได้มีเขา สองปีที่เราคบกัน และ สี่ปีที่ผมได้ออกจากบ้านมา

ผมยังคงโทรไปหาพ่ออยู่เสมอ ยังคงติดต่อแม่อยู่ตลอดเวลา ผมรู้ว่าทั้งสองห่วงผมมาก ออกปากจะส่งป้าเนียนมาดูแลผม แต่ผมก็ปฏิเสธไป ผมไม่อยากให้แดนมองว่าผมฟุ่มเฟือย ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย หรือใช้จ่ายจนเกินตัว ผมเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง แม้ว่าจะไม่ได้ขายดีอะไรมากมายแต่มันก็พอให้ผมได้ใช้จ่ายโดยไม่ร้องขอต่อพ่อและแม่

เงินถูกโอนเข้ามาในบัญชีผมตลอดแม้ว่าผมจะบอกพวกท่านว่าผมไม่จำเป็นต้องใช้อะไร แต่ผมก็เข้าใจว่าพวกท่านกลัวผมลำบากจึงไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก ผมเก็บเงินที่พ่อและแม่โอนมาให้ผมเอาไว้ ไม่ได้เบิกออกมาใช้ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน ยังไงเสียเงินในร้านแสนสุขของผมก็เพียงพอใช้อยู่อย่างไม่ลำบากแล้ว

วันนี้คือวันที่17 เดือนพฤษภาคม เป็นวันสำคัญที่ผมเฝ้ารอมาเนิ่นนาน

วันเกิดของแดน…วันที่ผมจะฉลองให้เขา เหมือนอย่างที่เคย

ผมตื่นเช้ามากเพื่อมาเตรียมของทำเค้กให้เขา จนล่วงเลยเวลามาจวบจนตอนเที่ยงวัน เค้กที่ผมเพียรพยายามทำมันออกมาให้ดีที่สุดก็เสร็จเรียบร้อย

ผมจึงลงมือเตรียมอาหารอีกสองสามอย่างเพื่อรอเขาเลิกงาน ผมทั้งยิ้มทั้งตื่นเต้นไปกับการเซอร์ไพรส์ให้เขา เค้กรูปหัวใจที่ถูกประดับด้วยช็อกโกแลตที่เขาชอบ ผมทำมันเองโดยเน้นรสชาติขมๆ ของมันให้ออกมาเด่นชัดมากขึ้น เมื่อมันถูกทานกับเนื้อเค้กและครีมวานิลลาหอมๆ จะยิ่งช่วยให้เขาหายเหนื่อยจากการทำงานได้บ้าง

เอาล่ะ เก็บขยะหมดแล้ว จัดโต๊ะเรียบร้อย อีกแค่ไม่กี่นาทีแดนก็จะกลับมา

ถ้าอย่างนั้น…ผมควรจะเอาขยะไปทิ้งเสียก่อน ใช่…เป็นความคิดที่ดี

เมื่อตัดสินใจได้แล้วผมจึงมัดถุงขยะขนาดกลางแล้วยกมันออกมาจากถังขยะ พามันเดินออกไปจากห้องโดยไม่ลืมล็อกกุญแจห้องแดน

ไม่ใช่ห้องผมครับ ห้องของแดน ผมมีกุญแจสำรองจึงสามารถเข้ามาได้ตลอดเวลา

ผมเดินไปที่ลิฟต์กดลงแล้วยืนรออยู่แบบนั้น จนเมื่อประตูลิฟต์เปิดออกผมจึงเดินเข้าไป เมื่อเห็นคนในลิฟต์ผมก็ยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตรและเธอเองก็ยิ้มตอบผมกลับมา

“ทิ้งขยะเหรอคะ?” ผมหัวเราะเบาๆ กับคำถามของเธอ แต่ก็ยอมตอบกลับไป

“ครับ กำลังจะลงไปทิ้งน่ะครับ” เธอค่อนข้างเป็นมิตร ดูท่าทีแล้วก็ชวนให้มองอยู่ไม่น้อย

“ขยันจังเลยค่ะ ไม่บ่อยนักที่จะเห็นผู้ชายลงมาทิ้งเองแบบนี้” นั่นสินะ แต่ถ้าไม่ใช่ผม แดนก็คงไม่ทำหรอก หึๆ

“พอดีแฟนผมเขาทำงานหนักน่ะครับ ผมเลยต้องจัดการให้เขา เดี๋ยวมันจะเน่าติดห้อง หึๆ” เธอชะงักก่อนจะหัวเราะออกมา เสียงของเธอก้องกังวานเหมือนเสียงกระดิ่ง มันใสและไพเราะน่าฟัง น่าเสียดายที่ผมเลือกจะรักได้แค่แดนเท่านั้น ไม่อย่างนั้นผมคงจะ ชอบเธอไปเสียแล้ว

“น่าอิจฉาจังเลยค่ะ แต่แบบนี้ก็ดีออกนะคะ เขาว่าเก่งงานบ้านงานเรือนแฟนจะรักจะหลงเสียด้วยสิ คิก”

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีสิครับ ฮ่าๆ”

ติ๊ง!

ลิฟต์เปิดออกผมขยับให้เธอเดินออกไปก่อน แล้วผมจึงได้ก้าวตามเธอออกมา เธอหันมาโบกมือให้ผมน้อยๆ ก่อนจะเดินตรงไปหาเพื่อนของเธอที่ยืนรอกันอยู่หน้าคอนโด ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เธอสดใสดีนะครับ คงจะยังเด็กพอสมควร ไม่ก็ยังเป็นนักศึกษา แต่นี่ล่ะคือชีวิต เป็นช่วงที่ยังพอจะสนุกได้

ผมสะบัดหน้าไล่ความคิดเรื่อยเปื่อยของตัวเองออกไปแล้วเอาขยะไปทิ้งทางด้านหลังของคอนโด แล้วกลับเข้ามาอีกครั้ง ผมมองไปยังที่จอดรถเพื่อหารถของแดนว่ากลับมาหรือยัง แต่เท่าที่กวาดดูด้วยสายตาก็คิดว่าน่าจะยังไม่กลับมา ผมจึงขึ้นลิฟต์ไปอย่างไม่รีบร้อนอะไร

501 คือห้องของผม

502 คือห้องของแดน

เพราะรู้ว่าแดนอยู่ที่นี่ผมจึงได้หาซื้อห้องข้างๆ และเป็นโชคดีของผมเหลือเกินที่สามารถต่อรองจนเจ้าของห้องยินยอมขายมันให้ผมได้

ผมเดินยิ้มออกมาจากลิฟต์แล้วเดินตรงไปยังประตู ห้อง502ทันทีอย่างไม่ลังเล แต่เมื่อผมกำลังจะไขประตูห้อง มันกลับถูกเปิดออกมาจากด้านใน

“แดน…กลับมาแล้วเหรอ”

“อืม…” ผมยิ้มกว้างอย่างดีใจเมื่อเขากลับมา แต่แดนกลับเพียงพยักหน้าและส่งเสียงตอบรับในลำคอ

ผมชะงักมองชุดฟรีสไตล์ของแดนด้วยความงุนงง จำได้ว่าวันนี้เขาว่างนี่ ไม่ใช่หรือ?

“แดนจะไปไหนเหรอ?” แดนมองหน้าผมไม่ถึงสิบวิแล้วเบนสายตาออกไปทันที

“กินเลี้ยงกับเพื่อนน่ะ”

ฉลองวันเกิดกับเพื่อนสินะ ผมหัวเราะเบาๆ แล้วจับมือของแดนเอาไว้

“รีบไหม พอดีไมน์มีอะไรจะให้ดูน่ะ” แต่แดนกลับดึงมือออกจากมือผมไปจัดเสื้อผ้าตัวเอง มันทำให้ผมนิ่งไปครู่หนึ่งอย่างอึ้งๆ แต่ก็ปรับอารมณ์ตัวเองกลับมาได้ในทันที

คิดมากไปแล้ว แดนคงแค่อยากจัดเสื้อผ้าตัวเองมากกว่า

“ขอโทษทีนะ วันนี้ไม่ว่างน่ะ” ไม่ว่างเหรอ ได้ยังไงกัน

“ตะ แต่ว่าแดน”

“ไมน์! อย่างี่เง่าได้ไหม! วันนี้ผมไม่ว่าง!” ผมหน้าซีดกับน้ำเสียงที่ติดรำคาญกับการตะคอกที่ไม่เคยได้ยินสักครั้งอย่างช่วยไม่ได้ แต่ผมก็ปรับสีหน้า ยิ้มเจื่อนๆ แล้วหัวเราะแห้งๆ ออกมา

“ระ เหรอ ขะ ขอโทษนะ ไมน์ไม่รบกวนแล้วดีกว่า แดนไปเถอะ ป่านนี้เพื่อนคงรอแย่แล้วล่ะ”

“อืม”

แดนเดินผ่านตัวผมไปทันทีอย่างรีบร้อน ส่วนผมได้แต่ยืนนิ่งค้าง ยังคงหัวเราะอยู่อย่างนั้นเหมือนคนบ้า ขาทั้งสองข้างเองก็ไม่ยอมขยับเดินไปทางไหน ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมแม้ว่าคนที่เคยอยู่ตรงหน้าจะหายไปแล้วก็ตาม

วันเกิด ของแดนปีนี้ คงไม่มีผมสินะ

ไม่สิ ไม่แน่หรอกว่าแดนอาจจะกลับมาทันก่อนเที่ยงคืนก็ได้

ใช่ ยังทัน

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดอีกครั้ง ฝืนยกเท้าที่หนักอึ้งเดินเข้าไปยังห้องของแดน รอเฝ้ารอเวลาที่เจ้าของห้องจะกลับมา เค้กถูกซ่อนเอาไว้ในตู้เย็น บนโจ๊ะมีเทียนและอาหารจัดเอาไว้อย่างหรูหรา

แต่ไม่มีเจ้าของงาน มีเพียงแก้วและจานที่ว่างเปล่า และผมที่ยังเฝ้ารอ

ครืดดด ครืดดด

“แดนเหรอ” ผมเอื้อมมือกดรับแทบจะทันทีโดยไม่ต้องมองเบอร์ที่โทรเข้ามา

(ไม่ใช่…เรียกหาแต่ผัวนะมึง กูเพื่อนมึงต่างหาก) ผมเผลอปล่อยความผิดหวังออกมาทางสายตา ลอบถอนหายใจแล้วยกมือขึ้นเสยผมขึ้นไป เป็นความเคยชินเมื่อตกอยู่ในอารมณ์หงุดหงิด

“ว่าไงรัก” ไม่ใช่ไม่อยากคุยกับเพื่อน ผมแค่…อยากให้คนที่โทรมาเป็นแดน

(มึงอยู่ไหนตอนนี้?)

“อยู่ห้องแดน ถามทำไมวะ?” ผมขมวดคิ้ว ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นมันสนใจว่าผมจะอยู่ที่ไหน

(เปล่า…กูแค่ถามดู มึงอยู่ห้องกับมันเหรอ?)

“เปล่า แดนไปฉลองวันเกิดกับเพื่อน กูอยู่รอแดนกลับมา กะจะเซอร์ไพรส์วันเกิดนิดหน่อย มีอะไรหรือเปล่าวะ?”

(…)

แปลก ไอ้รักไม่เคยโทรมาหาผมแล้วเงียบแบบนี้ มันยิ่งทำให้ผมสงสัย เกิดความรู้สึกร้อนใจอย่างประหลาด ผมอธิบายไม่ได้ว่ามันเป็นความรู้สึกแบบไหน แต่จะคล้ายๆ กับหวิวๆ ในหัวใจ เจ็บจี๊ดๆ เหมือนมีใครเอาเข็มมาทิ่มแทงเล่น

อะไรที่ทำให้รักโทรมาหาผมแบบนี้ อะไรที่ทำให้รักมันเงียบไปไม่ยอมพูดออกมา

“รัก…มีอะไรกันแน่” ผมได้ยินเสียงมันถอนหายใจออกมาเสียงดัง แต่ผมก็ไม่ได้คะยั้นคะยออะไรมันมากนัก ผมไม่อยากกดดันมัน มันอาจจะมีปัญหาแล้วไม่กล้าพูดออกมา

(ไม่มีอะไรหรอก กูแค่เป็นห่วงมึงเพราะช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอมึงเลย มึงเป็นไงบ้างวะ กับไอ้แดนนั่นล่ะ ยังไปกันได้ดีไหม)

มันกำลังเป็นห่วง ผมรู้ดี ผมจึงระบายยิ้มออกมา แล้วกรอกเสียงหวานลงไปด้วยน้ำเสียงที่ร่างเริงที่สุด

“ดีสิ แดนรักกูมากเลยนะ มึงไม่ต้องห่วงหรอกน่า”

(อย่างงั้นเหรอ…)

“…”

(งั้นก็ดีแล้วล่ะ กูจะได้สบายใจว่ามึง…ไม่ได้เลือกทางผิด)

ผมเม้มปากแน่น ดวงตาไหวระริกไปด้วยความรู้สึกรวดร้าว นิ้วมือกำจนเล็กจิกเข้าไปในฝ่ามือ ความห่วงใยจากเพื่อนมันทำให้ผมเกือบจะอ่อนแอ ความใส่ใจที่ได้รับยิ่งแทบจะทำลายกำแพงของผมให้ล้มครืนลงมา แต่ผมก็ยังคงกลั้นใจ พยายามผลักดันต้านความอ่อนแอเอาไว้

ไม่เป็นไร แค่นี้ไม่เป็นไร

“อื้อ! มึงสบายใจได้เลยนะ กูโอเคทุกอย่าง กินอิ่มนอนหลับและเรารักกันมาก”

เรารักกันมากหรือผมที่รักมากก็ไม่รู้ บางทีคำตอบของผมก็เหมือนชัดเจนสำหรับคนอื่น แต่ไม่เคยชัดเจนสำหรับผมเลยสักครั้ง

ผมรู้สึกได้…มันเป็นสัญชาตญาณของคนเป็นแฟน ว่าแดนกำลังแปลกไป ความสัมพันธ์ของเราทั้งสองคนไม่เหมือนเดิม แดนหงุดหงิดมากขึ้นเมื่อผมอยู่ใกล้ๆ แดนมักจะออกไปข้างนอกบ่อยๆ โดยอ้างว่าไปดื่มกับเพื่อน ผมไม่ซักไซ้ไม่ไล่ถามกับใคร จะอยู่เฉยๆ แล้วยิ้มให้กับแดนเหมือนทุกวัน

ต่อให้มันไม่เหมือนเดิม แต่ผมจะพยายาม

ถ้าผมพยายามมากเพียงพอ…เราสองคนอาจจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมกันก็ได้

เหมือนเมื่อสองปีก่อนที่เรารักกันมาก

(…ไมน์) ผมขบริมฝีปากตัวเองเอาไว้จนเจ็บ กลัวความสั่นไหวที่ตีขึ้นมาจะเปิดเผยทุกอย่าง

“ไม่ต้องคิดมากหรอก กูยังโอเคอยู่”

ใช่! ผมยังโอเคอยู่ นี่คือประโยคที่ผมใช้บอกตัวเองหรืออนุรักษ์กันแน่ผมก็ไม่รู้ แต่สิ่งที่ผมรู้คืออาการปวดหนึบและหวิวๆ ในอกเหมือนอะไรสักอย่างกำลังจะหายไปมันชัดเจนเหลือเกิน

ชัดเจนจนผมเริ่มกลัว

(…ถ้ามึงว่างั้น กูก็เชื่อมึง) น้ำเสียงของไอ้รักมันเต็มไปด้วยความห่วงใยจนผมเองที่เริ่มอ่อนแอ แต่สุดท้ายผมก็ยังคงยิ้มออกมา แม้ว่ามันจะฝืนมากมาย แต่อีฝ่ายไม่ได้รู้ด้วยเสียหน่อย เพราะงั้น…

เพราะงั้นผม…ขออ่อนแอได้ไหม

“ขอบใจนะ” ขอบใจมากจริงๆ ที่มึงยังเป็นห่วงเป็นใยกู ขอบใจที่เป็นเพื่อนที่ดีมากตลอด

ผมวางสายไป เหม่อมองออกไปที่ท้องฟ้ากว้างจากหน้าต่าง ด้านนอกมืดมิดเหลือเพียงดาวดวงน้อยที่ถูกแสงจากเมืองใหญ่กลบจนมองแทบไม่เห็น และดวงจันทร์ครึ่งดวงที่ยังคงลอยเด่นอยู่บนฟ้า ในห้องมืดมิดจนวังเวง ผมจึงลุกขึ้นเดินไปทางด้านนอกที่เป็นระเบียงแทน

เพียงแค่ปลดล็อกและเปิดออกไปยังภายนอก ลมก็พัดเข้ามาโดนใบหน้าจนผมต้องขมวดคิ้ว บรรยากาศตรงท้องถนนด้านล่างวุ่นวายกับการจราจรเช่นเดียวกันแทบจะทุกคืน ปกติแล้วผมจะไม่มายืนดูอะไรแบบนี้ แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าการได้ออกมาสูดอากาศข้างนอกและปล่อยสายตาไปตามแสงไฟดวงเล็กตามท้องถนน

บรรยากาศแสนเหงากับคนเหงาๆ

มันชวนให้ผมรู้สึกอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ มองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับห้วงอารมณ์อ่อนไหวไปอย่างนั้น เฝ้ารอเวลาที่แดนจะกลับมาหาผม










กึก กัก

เสียงอะไรบางอย่างทำให้ผมสะดุ้งตื่นจากฝันทันที นี่กี่โมงแล้วกัน ในห้องยังคงมืดเพราะผมไม่ได้เปิดไฟในห้องของแดน ผมเผลอหลับไปหลังจากที่คิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานา เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้งและผมได้ยินมันชัดเจนจึงได้เดินไปทางต้นตอของเสียงนั้น หน้าประตูงั้นเหรอ?

หรือว่าจะเป็น…แดน

แดนอาจจะหลับมาแล้ว เขาคงจะเลิกจากการฉลองวันเกิดแล้ว พอคิดแบบนั้นผมก็ตื่นเต้น รีบจัดตัวเองให้ดูดีแล้วเดอนไปคว้าเค้กที่แช่อยู่ในตู้เย็นออกมา ปักเทียนลงไปอย่างเร่งรีบแล้วจุดไฟก่อนที่จะเดินไปอยู่หน้าประตู รอให้แดนเปิดมันแล้วเห็นเค้กในมือผม ผมตื่นเต้นมากๆ ตื่นเต้นจนกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ได้

แอด…

“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยะ…” ผมยืนประชันหน้ากับแดนที่ถูกหิ้วปีกมาด้วยมือของแดนเอง ภูมิเป็นเพื่อนสนิทกับแดน เขาไม่ค่อยชอบผมแต่ผมไม่รู้ว่าทำไมเพียงแต่เขาแสดงออกชัดเจนจนผมไม่สามารถหลับหูหลับตาไม่รับรู้ได้

“มันเมา เอามันไปนอนแล้วดูแลมันด้วย” น้ำเสียงขอภูมิไร้ความเป็นมิตร มีแต่ความไม่พอใจที่ขยับขยายออกมาจนผมเองอึดอัด แต่ผมก็ยังคงยิ้มให้กับเขาวางเค้กลงไว้ที่โต๊ะใกล้มือที่สุกแล้วรับตัวของแดนมากอดเอาไว้ พยุงร่างของเขาไม่ให้ล้มลงไปกองกับพื้น

“ขะ ขอบคุณมากนะภูมิที่มาส่งแดน” ถึงเขาจะไม่ชอบผม แต่ภูมิเป็นเพื่อนของแดน ผมจึงต้องปล่อยผ่านไป ไม่คิดมากมายกับการแสดงออกของเขา

“ไม่ต้อง! กูแค่ช่วยเพื่อนของกู”

ปัง!!

ผมสะดุ้งตกใจกับเสียงประตูที่ถูกภูมิปิดจนดังสนั่น แต่คนในอ้อมแขนของผมกลับไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมา ผมพาร่างของเขาเข้าห้องไปวางไว้บนเตียงอย่างทุลักทุเล แดนเป็นคนตัวใหญ่ สูงและหนักมาก ผมที่สูงได้เพียงปลายคางของเขาเองแทบรับน้ำหนักของแดนไม่ไหว ดีหน่อยที่ห้องนอนไม่ได้อยู่ไกลนัก ผมจึงยังสามารถพาแดนมาจนถึงเตียงได้

แดนนะแดน ทั้งที่รู้ว่าจะเมาขนาดนี้ทำไมต้องดื่มไปเยอะแบบนั้นนะ

ผมเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาตีสองแล้วใบหน้าของตัวเองก็ยิ่งเศร้าสลด เข้าวันใหม่แล้ว เค้กของผมคงไม่ได้ให้แล้วสินะ ผมเดินถอยออกห่างจากแดนเล็กน้อยเพื่อเปิดไฟให้สว่าง แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำเอาน้ำกับผ้าสะอาดออกมาหาเขา ผมคุกเข่าลงใกล้ๆ เตียง ถอนหายใจออกมาอย่างเสียดายที่วันเกิดเขาไม่ได้อยู่กับผม

แต่ไม่เป็นไร เรายังมีเวลาด้วยกันอีกนาน พลาดปีนี้ ผมยังมีปีหน้าและปีต่อๆ ไปอีกมาก

“อืม…” แดนขยับหน้าหนีความเย็นจากผ้าที่ถูกชโลมน้ำจนเปียกชุ่ม ผมปัดผมเขาออกแล้วซับไปตามหน้าตาและลำคอ

“อึก อย่ามายุ่ง” มือของเขาปัดป่ายและผลักผมออก แต่ผมไม่ถือโทษหรือโกรธเขา ถึงยังไงเขาก็กำลังเมา ถ้าผมไม่ดูแลเขาแล้วใครจะดูแลกัน

“แดน ไมน์เช็ดตัวให้ จะได้นอนสบายตัวไง” ผมพยายามพูดกับแดนดีๆ แต่ดูเหมือนแดนจะไม่มีสติที่จะเข้าใจ มือเขาคอยแต่จะปัดทุกอย่างที่รบกวนการนอนหลับของเขาออก ไม่ว่าผมจะพยายามบอกเขายังไงสิ่งที่ได้กลับมาคืออาการแข็งขืนไม่ยินยอมให้ผมได้ดูแล

“อืม ออกไป อึก!”

“เดี๋ยวแดน! อย่าเพิ่งนะ” ผมดึงแดนขึ้นจากเตียงก่อนที่เขาจะ…

“อ้วกกกก”

สุดท้ายเตียงของแดนก็ไม่เปื้อนแม้แต่น้อย แต่ตัวผมกลับเปื้อนจนไม่เหลือตรงไหนให้มอง ผมค่อยๆ ขยับร่างของแดนให้นอนลงไปอีกครั้ง แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเอง ถอดเสื้อออกล้างตัวแล้วเดินออกมาโดยไม่ได้ใส่เสื้อ ดีหน่อยที่กางเกงของผมไม่ได้เปื้อนไปด้วย ไม่อย่างนั้นผมก็คงจะลำบากกว่านี้

ผมเช็ดทำความสะอาดพื้นที่เปรอะอาเจียนของเขาจนสะอาด ล้างมือแล้วมาเช็ดตัวเขาอีกครั้ง คราวนี้แดนหลับสนิทไปแล้ว ผมจึงได้เช็ดใบหน้าของเขาอย่างถนัดถนี่ เส้นผมสีดำถูกผมใช้มืออีกข้างปัดมันขึ้นไปแล้วซับความเย็นลงไปให้เขาได้รู้สึกสดชื่น มองเปลือกตาที่ซ่อนแววตาแสนอ่อนโยนที่ครั้งหนึ่งผมเคยได้เห็นมันในงานเลี้ยง

ริมฝีปากบางที่คอยถามไถ่ผมที่กำลังเมามายด้วยความห่วงใย กับรอยยิ้มที่ผมไม่เคยลืมมันเลยสักครั้ง ผมเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของแดนด้วยความรู้สึกรักที่มากล้นในหัวใจ อยากจะจดจำ เก็บทุกอย่างเอาไว้ในหัวใจและสมอง อยากจะเก็บเขาเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว อยากจะใช้เวลาด้วยกันทุกวัน แต่ผมรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้

เพราะแต่ละวันแดนเองก็มีเรื่องมากมายให้ต้องทำ เขามีเพื่อนฝูงให้ต้องคบค้าสมาคม

ผมเช็ดตัวของแดนด้วยอาการเหม่อลอย อดนึกถึงเรื่องราวในช่วงที่ผมเข้าหาเขาไม่ได้ ยังนึกขำตัวเองที่กล้าทักทายเขาก่อน ยอมไปเรียนทำอาหารทั้งที่แค่จับมีดผมยังทำไม่เป็น ยอมลงทุกเรียนทำเค้กเพียงเพราะว่าอยากให้เขาได้ทานมัน และผมก็จะยิ้มทุกครั้งที่แดนชมว่ามันอร่อย ทั้งที่ความจริงแล้วมันหวานจนเลี่ยน

คิดขึ้นมาแล้วก็ขำ คนไม่ชอบหวานอย่างแดนกลับกินเค้กหวานๆ ที่ผมทำจนหมด

แต่แล้วความสุขของผมก็ถูกหยุดลง สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาผมตอนนี้มันทำให้โลกของผม พังทลายลงจนป่นปี้ หัวใจดวงน้อยที่เต้นอยู่ที่อกข้างซ้ายปวดหนึบจนหายใจไม่ออก มือที่ปลดกระดุมเสื้อของแดนสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ ความร้อนผ่าวไหลผ่านผิวแก้ม

รอยคิสมาร์ก และรอยลิปสติกของผู้หญิง

สิ่งนี้มันทำให้หัวใจของผมวูบไหวด้วยความปวดร้าว แต่ส่วนหนึ่งในหัวใจกลับปฏิเสธที่จะเชื่อได้ลงว่าเขาจะทำมันได้ลง ผมกัดริมฝีปาก กล้ำกลืนความสะอื้นลงไปในลำคอเพราะกลัวว่าเสียงร้องไห้ของตัวเองจะทำให้แดนต้องตื่นขึ้นมา วันนี้แดนเหนื่อยมามากแล้ว ผมไม่อยากจะทำให้เขาต้องมาเห็นอาการของผม มันคงไม่ดีนักหรอก

แต่ผมห้ามตัวเองไม่ได้

ผมถอดเสื้อผ้าแดนออก เช็ดตัวเขาไปพร้อมกับปาดน้ำตาไปด้วย เขาจะรู้ไหมว่าผมรักเขามากขนาดไหน เขาจะรู้ไหมว่าสิ่งที่ผมเห็นจากร่างกายเขา มันทำให้ผมทรมานใจมากแค่ไหน ตัวผมสั่น มือก็สั่นจนแทบจะติดกระดุมชุดนอนให้เขาไม่ได้ แต่ผมต้องฝืน ต้องทนทำมันเพราะกลัวเขาจะไม่สบาย กลัวว่าเขาจะป่วยถ้าไม่ใส่เสื้อผ้า

ผมยื่นมือที่สั่นไหวออกไปข้างหน้า ดวงตาพร่าไปด้วยหยาดน้ำตาที่ไม่หยุดไหล ค่อยๆ ลูบผมของเขาอย่างเบามือ แต่สายตากลับไม่สามารถถอนออกจากรอยหวานที่ลำคอของเขาได้

เขาทำจริงๆ เหรอ

ทำแบบนั้นได้ จริงๆ น่ะเหรอ

ทั้งที่สมองปฏิเสธที่จะเชื่อในสิ่งที่เห็นด้วยตา แต่หัวใจกลับยิ่งบีบรัดจนแทบจะแหลกสลาย วันนี้ วันที่เราควรจะอยู่ด้วยกัน แต่เขาเลือกจะไปกับเพื่อนผมก็ยอมเข้าใจ ยอมรับในสิ่งที่เขาตัดสินใจเลือก

แต่ทำไมล่ะ

ทำไมผมถึงต้องทรมานกับสิ่งที่เขาคืนกลับมา

เขาไม่รักผมแล้วเหรอ? เขามีคนอื่นแล้วเหรอ?

แต่คนอย่างผมแน่นอนว่าไม่กล้าแม้จะเอ่ยถามเขาอย่างแน่นอน ผมคงทำได้แค่หลับหูหลับตา กัดฟันอดทนเพื่อจะฉุดรั้งเขาเอาไว้ ไม่เป็นไร ขอแค่เขาไม่ไป แค่เขาไม่พูดว่าจะไป มันก็หมายความว่าผมยังมีโอกาส

ไม่เป็นไร ผมไม่เป็นไร แค่มีเขาอยู่กับผมก็พอ

17 พฤษภาคม 2019

วันเกิดของดินแดนในปีนี้ที่เราสองคนไม่ได้อยู่ฉลองมันด้วยกัน





TBC



แมวคิดว่าใครหลายคนคงเคยพยายามเพื่อความรักมามาก และที่พยายามก็เพียงเพราะเหตุผลเดียวนั้นคือ เพราะรัก แต่แมวก็เชื่ออีกว่าทุกคนที่ต่างพยายามให้ความรักกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้งนั้น ล้วนมีคำตอบของคำถามที่ว่า ทำไมเขาถึงเปลี่ยนไปอยู่แล้ว ยังคงยืนยันนะคะว่า...แมวยังไม่เคยมีความรัก ทุกสิ่งที่สื่อออกมาทั้งหมดทุกอารมณ์ของตัวละคร เป็นการวิเคราะห์และเรียนรู้จากคบรอบข้างค่ะ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าจ้าาา

เป็นเจ้าของ

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ทำดีที่สุด



เช้าแล้ว ตอนนี้เป็นเวลา 6 โมงเช้า เหมือนทุกวัน

หน้าที่ของผม ก็คือการทำอาหารให้เขา ของที่แดนชอบที่สุดในตอนเช้า มีเพียงแค่กาแฟและขนมปังปิ้ง 2 แผ่นเท่านั้น แดนจะไม่ทานอย่างอื่น เพราะเขาจะมองว่า มันเป็นการสิ้นเปลืองเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ผมรู้ดี เธออยู่กับเขามาหลายปีนี่นา

หลังจากที่เตรียมอาหารให้เขาเรียบร้อย ผมก็เดินมานั่งตรงข้ามเพื่อรอให้เขามาทานเหมือนทุกๆ วัน แดนเดินเข้าไปในห้องน้ำ จัดการตัวเองจนเรียบร้อย ผมก็เห็นเขาเดินออกมา แต่งตัว ด้วยเสื้อเชิ้ตสีดำ กางเกงสีเดียวกัน ผมยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มแรกของวันนี้ เพราะทุกวัน ผมและเขาต่างก็จะยิ้มให้กันนั่งทานอาหารด้วยกัน เป็นเรื่องปกติของคู่รักทั่วไป

แต่แดนในวันนี้ เขากลับมองเมินรอยยิ้มของผม เลือกจะนั่งตรงข้าม แล้วจัดการอาหารที่ผมวางเอาไว้ให้เท่านั้น

แดนไม่มอง เขาทำเหมือนมองไม่เห็น เหมือนผมไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา

แต่คงไม่ได้เป็นอย่างนั้น ผมคงแค่คิดไปเอง ก็เรารักกันนี่นา

ใช่ไหม?

“เมื่อคืน…” แดนชะงักมือที่กำลังถือส้อมกับมีด แม้ว่าใบหน้าจะไม่ได้เงยขึ้นมาสบตากับผม แต่บรรยากาศรอบตัวเขาก็บอกได้ว่าไม่อยากจะคุย ผมกล้ำกลืนทันลงคอไป ไม่ใช่เพราะกลัวเขาโกรธ

ผมแค่ยังไม่พร้อมจะรู้ความจริง

กลัวว่าตัวเองจะแตกสลายถ้าหากแดนยอมรับว่า…หมดรักผมแล้ว

มันเป็นสิ่งที่ผมหวาดกลัวมาตลอดทั้งคืน ผมนอนไม่หลับ ดวงตาบวมและแดงก่ำกากการร้องไห้มาอย่างหนัก ทรมานกับร่องรอยที่แม้จะไม่ยอมรับแค่ไหนก็รู้ดีว่ามันเกิดขึ้นจากอะไร

แดนเป็นคนที่ผมรัก เป็นผู้ชายที่ทำให้ผมเลือกจะเดินออกมาจากครอบครัว

ผมเลือกเขาแล้วก็จะจับเขาเอาไว้ให้แน่น ไม่ปล่อยมือไปจากเขา แม้ว่าเขาจะอยากไปแค่ไหนก็ตาม ในเมื่อตัวเขาไม่ได้พูดมันออกมาว่าจะเลิกกัน ผมก็ยังคงถือว่าเป็นคนรักของเขา เป็นตัวจริงที่อ้างสิทธิ์พวกนั้นกับใครต่อใครก็ได้ที่เข้ามาหวังจะแย่งเขาไป

ผมไม่ยอม…จะไม่ยอมปล่อยมือของเขาเด็ดขาด

ดินแดนนี้เป็นของผม ผมไม่ยอมยกมันให้ใคร!

“แดนเมามากเลยรู้ไหม มะ ไม่ดีกับร่างกายเลยนะ” ผมยิ้มออกมาบางๆ ส่งให้เขา มอบความห่วงใยอย่างที่เคยมอบให้มาตลอดสองปี

“อืม โทษที” แดนลงมือทานอาหารเช้าต่อ ดวงตาคู่นั้นจับจ้องเพียงแค่อาหารที่วางอยู่ตรงหน้า

ผมหัวเราะแห้งๆ ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมเราทั้งสองคน ปล่อยให้อาการปวดหนึบในหัวใจกัดกินไปเรื่อยๆ อย่างไม่อาจจะหยุดยั้งมันเอาไว้ได้

แดนยังอยู่ตรงหน้าผม กิริยาต่างๆ อยู่ในสายตาของผม

แต่ผมกลับรู้สึกว่าเราสองคน…ยิ่งห่างกันมากกว่าเก่า

เหมือนมีเส้นบางๆ มาขวางกั้นพวกเราเอาไว้ไม่ให้เข้าไปใกล้กัน…

มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่นะ ความห่างไกลที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาหาพวกเราสองคนมันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจจะเพียงไม่นานมานี้ หรือนานจนผมไม่ทันได้สังเกตกันนะ ความห่างไกลที่ทำให้หัวใจปวดร้าว มันน่ากลัวพอๆ กับการถูกมองเมินอย่างไม่มีตัวตน

แดนยังเหมือนเดิมหรือเปล่า ยังเป็นคนที่รักผมที่สุดอยู่ใช่ไหม?

คำถามพวกนี้ผมทำได้เพียงแค่ถามเขาในใจ ยอมรับว่าอ่อนแอเกินกว่าจะยอมรับฟังคำตอบที่น่าหวาดกลัวนั้นได้ พอมานึกย้อนดูแดนเองก็แปลกไปตั้งแต่งานวันเกิดของภูมิ

วันนั้น...

ผมนอนกุมท้องตัวเองที่ปวดจากอาหารเป็นพิษอยู่บนเตียง ริมฝีปากซีดเซียวเพราะอาการขาดน้ำ แดนรบเร้าให้ผมไปงานวันเกิดของภูมิด้วยกัน ผมรู้ดีว่าหากไม่ยอมไปมันดูเป็นการไม่ให้เกียรติเพื่อนของแดน แต่ผมไม่ไหวจริงๆ แค่จะลุกขึ้นมานั่งยังไม่มีแรงด้วยซ้ำ

“ไหวหรือเปล่าไมน์ ให้แดนอยู่เป็นเพื่อนไหม?” ผมฝืนยิ้มให้เขาแล้วส่ายหน้า มึนหัวไปหมด บ้านทั้งหลังหมุนไปมาเหมือนเห็นการโคจรของโลก

“ไม่เป็นไร แดนไปเถอะ เดี๋ยวภูมิจะรอนาน ฝากแฮปปี้เบิร์ดเดย์แทนไมน์ด้วยนะ” ผมไม่อยากผิดใจกับภูมิ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยจะชอบผมก็ตาม ยิ่งผมไม่ไปงานวันเกิดเขา ขาก็ยิ่งจะไม่ชอบหน้าผมมากยิ่งขึ้นไปอีก

โชคชะตาก็ช่างเล่นตลกกับผมเสียจริง คิดจะให้ภูมิเกลียดผมเข้ากระดูกเลยหรือไงถึงให้ผมป่วยวันไหนไม่ป่วย ดันเป็นวันสำคัญแบบนี้

“ถ้างั้นแดนจะรีบกลับ ไมน์นอนพักอย่าซนล่ะ” ผมยิ้มพยักหน้าให้เขาอย่างขบขัน

“ครับๆ ผมรู้แล้วครับคุณพ่อ” แดนหัวเราะแล้วขยี้หัวผมจนมันยุ่ง แววตาทอประกายความเอ็นดูออกมาจนเห็นได้ชัด มันอบอุ่นหัวใจยังไงไม่รู้ ผมชอบที่เขามองผมแบบนี้ เพราะมันทำให้ผมรู้ว่าเขารักผม

“ไปแล้วนะ แดนจะรีบกลับ”

“ครับ ขับรถดีๆ นะ”

แดนจูบหน้าผากของผมก่อนจะคว้ากุญแจห้องแล้วเดินออกไป ส่วนผมก็นอนพักผ่อนอยู่บนเตียง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน แต่แอร์ที่เย็นฉ่ำทำให้ผมรู้สึกสบายจนเผลอไผลหลับไปในที่สุด

แต่เพราะอาการคอแห้งจากการกระหายน้ำ ผมจึงได้ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ครัวเพื่อจะเอาน้ำมาดื่ม จังหวะที่ผมกำลังลุกขึ้นมาผมก็เห็นนาฬิกาข้างเตียงบอกเวลาตี2กว่าเข้าไปแล้ว ผมมองหารอบห้อง แต่ไม่มีร่องรอยการกลับมาของแดน เพราะมันดึกมากแล้วผมจึงเป็นห่วง

เขาจะเป็นอะไรหรือเปล่า

แดนไม่เคยกลับดึกขนาดนี้ อย่างมากที่สุดก็ไม่เคยเกินเที่ยงคืน แต่นี่ตี2กว่าแดนยังไม่กลับ มันช่วยไม่ได้เลยที่ผมจะคิดไปในทางร้ายๆ

หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาล่ะ หรือใครทำอะไรแดน?

ทุกอย่างเป็นการคาดเดาจากความเป็นไปได้ เพราะผมห่วยเขาจึงฝืนตัวเองหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาแดน ผมไม่เคยคิดจะโทรจิกหรือกดดันตามตัวให้เขากลับบ้าน ผมแค่เป็นห่วงเขามาก

ขอแค่ได้รู้ว่าเขาไม่เป็นอะไร ให้ผมได้สบายใจก็พอแล้ว

“แดน...แดนทำไมยังไม่กลับล่ะครับ?” ผมรีบถามเขาทันทีเมื่อมีการรับสายจากปลายทาง แต่เสียงที่ผมได้ยินกลับมากลับไม่ใช่แดน

(อ๊ะ ขอโทษด้วยนะคะ พอดีแดนเขากำลังหลับอยู่ ไม่ทราบว่านี่ใครเหรอคะ?) เสียงผู้หญิง...

เป็นไปได้ยังไง แดนไม่เคยให้คนอื่นรับสาย

“ผมเป็นแฟนแดนครับ ไม่ทราบว่า...” ผมยังไม่ทันจะได้ถามต่อ เสียงอีกฝ่ายก็ขัดขึ้นมา

(อุ๊ย แดน อย่าซนสิคะ พอแล้วนะ บัวไม่ไหวแล้วน้า บัวช้ำไปหมดแล้วค่ะ อื้อ)

เขา อึก! เขาทำ อะไรกัน

เสียงของเธอ...มันชวนให้ผมคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ หัวใจผมเบาหวิวจนแทบจะปลิวหายไป ความรู้สึกขมปร่าขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ

แดนทำจริงๆ เหรอ แดน...กำลังทำแบบนั้นจริงๆ น่ะเหรอ

ผมอ้าปากจะถาม แต่ปลายสายกลับตัดไปเสียก่อน ปล่อยให้ผมวนเวียนถามตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน โทรศัพท์แดนอยู่ที่เธอคนนั้น ผู้หญิงที่ชื่อว่าบัว เสียงที่บัวส่งผ่านสายมามันกระเส่า มันทำให้ใจของผมแทบจะแตกสลายถ้าหากนั่นคือความจริง

อึก! อ้วก

ผมรีบวิ่งไปยังห้องน้ำ โก่งคออาเจียนออกมาจนหมดแรง น้ำตาไหลลงมาไม่ขาดสาย ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะผมอาเจียนหรือเพราะสิ่งที่ได้ยินจากผู้หญิงคนนั้นกันแน่

อกข้างซ้ายตรงนี้มันเจ็บจนร้าวราน ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาพบเจอกับความผิดหวังอันแสนคลุมเครือขนาดนี้ แดนนอกใจผมจริงๆ หรือเปล่า แดนกำลังนอนกับเธอคนนั้นจริงๆ เหรอ

“ฮึก แดน”

ทำไมล่ะแดน ทำไมถึงทำกับผมแบบนี้

ทำไมล่ะ ทำไมถึงทรยศต่อความไว้ใจของผม ทำไมถึงทำร้ายผมได้ขนาดนี้

ผมปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเรื่อยๆ ทิ้งตัวพิงผนังห้องน้ำอย่างหมดเรี่ยวแรง สองมือปิดใบหน้าตัวเองเอาไว้ ปล่อยให้เสียงสะอื้นไห้ดังก้องอยู่ในนั้นเผื่อว่าความเจ็บปวดใจของผมจะลดลงไปบ้าง

ไหนล่ะที่ว่าจะรีบกลับ ที่จริงแล้วแดนห่วงผมจริงๆ หรือเปล่า

การที่ผมไม่ได้ไปกับเขามันดีสำหรับเขาแล้วใช่ไหม?

ผมอดคิดไปต่างๆ นานาไม่ได้ แดนทำให้ผมฟุ้งซ่านและสับสน ความอ่อนแอถูกหยดน้ำตาพาให้ออกมาทีล่ะน้อยๆ ผมอยากจะหยุด อยากจะลบคำพูดของเธอคนนั้นออกไปจากหัว แต่ไม่ว่าจะทำยังไงเสียงของเธอก็ยังคงวนเวียนซ้ำๆ คอยตอกย้ำให้ผมทรมานจนแทบจะบ้าตาย

แดนใจร้าย ใจร้ายเหลือเกิน

ผมสะดุ้งตื่นจากความทรงจำที่หวนกลับมาเมื่อร่างของแดนลุกขึ้นจากโต๊ะ ในจานไม่เหลืออาหารใดๆ อีกแล้ว ผมเองก็ผุดลุกขึ้นทันทีด้วยเช่นกัน แดนปรายตามองผมชั่ววินาทีก่อนจะเบนสายตากลับไป หยิบเอาเสื้อสูทของตัวเองมาถือเอาไว้อย่างไม่ใส่ใจ

“จะ จะไปแล้วเหรอ” แดนชะงักเท้าแต่ไม่ได้หันกลับมามองผมเพียงแค่พยักหน้าและส่งเสียงตอบรับในลำคอเท่านั้น ผมกำมือแน่น บางอย่างจุกอยู่ในลำคอและเบ้าตาจนร้อนผ่าว ผมพยายามกลืนมันลงไป ให้มันลงไปให้ลึกจะได้ไม่ต้องตีตื้นขึ้นมาอีก

“วันนี้ แดนจะ...มาทานข้าวเย็นกับไมน์ใช่ไหม”

จะกลับมาอยู่ด้วยกันใช่ไหม ผมอยากถามเขาแบบนี้ แต่ก็ไม่กล้า

“ยังไม่แน่ใจ” แดนเดินออกไปโดยไม่หันกลับมาอีก จนได้ยินเสียงประตูปิดลงผมถึงได้สติกลับมา

ยังไม่แน่ใจงั้นเหรอ ยังไม่แน่ใจ

ทำไมผมถึงได้หวังมากมายขนาดนั้นนะ คิดไปได้ยังไงว่าแดนจะตอบกลับมาว่าแน่นอน คิดได้ยังไงว่าแดนจะยิ้มให้ผม เดินเข้ามาจูบหน้าผากแล้วมองผมด้วยแววตาหวานซึ้งเหมือนเมื่อก่อน

ผมคิดไปได้ยังไง คิดไปได้ยังไง!!

มันไม่มีทางอีกแล้วหรือยังไงกัน ผมแค่อยากจะใช้วันเวลาร่วมกันเหมือนคนรักคนอื่นๆ ผมผิดหรือไงที่เรียกร้องในสิ่งที่คนรักกันควรจะทำด้วยกัน สำหรับแดนแล้วผมยังอยู่ที่เดิมในหัวใจของเขาหรือเปล่า ผมยังมีตัวตนอยู่ในสายตาของเขาบ้างไหม

ความเจ็บปวดและเดียวดายของผม เขามองไม่เห็นมันบ้างเหรอ

ไม่สงสารผม...ที่ถูกทิ้งให้เดียวดายบ้างหรือไง

ผมไม่มีค่าให้เขาชายตามาแลเลยเหรอครับ แม้แต่หางตาเขายังไม่มองมาที่ผมเลยสักเสี้ยวนาที

“ฮะๆ ฮ่าๆ”

ทั้งที่ผมกำลังหัวเราะ ทั้งที่กำลังเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเหมือนกับคนบ้า

แต่ทำไมล่ะ...

ทำไมน้ำตาของผมถึงต้องไหลออกมาด้วย ทำไมหัวใจของผมถึงเจ็บปวดเหมือนกำลังจะตาย

















กว่าจะตั้งสติได้ก็ช่วงสายของวัน ผมอาจจะงี่เง่าเกินไปก็ได้ แดนเองก็ต้องทำงานหนัก ยิ่งเป็นธุรกิจของที่บ้านยิ่งต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะแบบนั้นผมเองก็ออกจะงี่เง่าเกินไปจริงๆ ที่ไปเรียกร้องอะไรแบบนั้น

ไม่เป็นไร ผมจะเอาปิ่นโตที่เต็มไปด้วยความรักของผมไปส่งให้เขา

แดนจะได้รู้ว่าผมยังใส่ใจต่อเขาเสมอ ไม่ว่าความสัมพันธ์ของเราจะห่างไกลแค่ไหนก็ตาม

ผมจะยืนอยู่ที่เดิม ให้เขารู้ว่าผมไม่ได้เปลี่ยนไป ยังคงรักเขามากเช่นเดิม และเพิ่มขึ้นทุกวันๆ

ผมยิ้มมองปิ่นโตสีสวยในมืออย่างภูมิใจ ผมทำของชอบของเขามาทั้งนั้น แดนเคยบอกว่าอาหารที่ผมทำมันอร่อยมาก ไม่ว่าเขาจะทานมากแค่ไหนก็ไม่มีเบื่อ ไม่เคยนึกจะเบื่อเลย ผมจำได้ดีว่าเขาชอบอะไร ผมจึงได้ลงมือทำทุกอย่างที่เขาชอบ ใส่ทุกสิ่งที่ควรใส่ใจให้เขาได้ทานมันให้อร่อย

ผมเดินลงไปด้านล่างของคอนโด เรียกรถแท็กซี่แล้วก้าวขึ้นนั่งด้านหลังอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวว่าปิ่นโตจะหกเอาได้ถ้าหากผมไม่ขยับตัวให้ดีๆ

“ไปไหนครับ?” ผมยิ้มให้กับคุณลุงแท็กซี่ ลุงแกก็ยิ้มคืนมาให้ผมอย่างใจดี

“ไปโรงแรมภัทราแกรนด์ครับคุณลุง”

“โอเค...”

คุณลุงดูท่าทางใจดีมากๆ แกยิ้มให้ผมแววตามองเหมือนผมคือลูกหลานของแกคนหนึ่ง มันก็แปลกนะ ทั้งที่ผมเป็นคนแปลกหน้า แต่ก็ยังดีกว่าได้รับความไม่เป็นมิตร ผมกอดปิ่นโตเอาไว้แน่น สายตาของคุณลุงก็เหลือบมองกระจกมองหลังเป็นระยะๆ คล้ายกับว่ามีบางสิ่งอยากจะพูดออกมา

“มีอะไรเหรอครับคุณลุง?” คุณลุงดึงสายตากลับไปมองท้องถนน แต่ผมเห็นว่าแกกำลังยิ้มอยู่

“เปล่าหรอก เห็นหนูแล้วลุงก็อดนึกถึงลูกชายตัวเองไม่ได้ น่าจะรุ่นๆ หนูนี่ล่ะ” น้ำเสียงของแกที่พูดมันช่างเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน

“คุณลุงมีลูกชายด้วยเหรอครับ ดีจังเลย” ผมชวนแกคุยไปเรื่อยๆ ดีกว่าใช้เวลากับความเงียบงันในรถ

“ใช่แล้วล่ะ ไอ้หนูลูกชายของลุงมันเกเรไปหน่อย ตอนนี้ก็เลยไปก่อนเวลาอันควรแล้ว” ผมขนลุกซู่ ความหดหู่แผ่กระจายออกมาจนทั่วทั้งคัน

“ผม...เสียใจด้วยนะครับ” แต่คุณลุงกลับโบกไม้โบกมือ แล้วยังหัวเราะออกมา

“ไม่เป็นไรๆ มันนานมากแล้วล่ะ เพียงแต่หนูขึ้นรถลุงมาลุงเลยอดนึกถึงเจ้าคิมมันไม่ได้” ผมกำปิ่นโตแน่น สงสารลุงแกจนสุดหัวใจ เสียลูกชายไปเวลาเห็นเด็กรุ่นเดียวกันกับลูกชายตัวเองย่อมต้องนึกถึงอยู่แล้ว

“ชื่อคิมหันต์สินะครับ ฤดูร้อนก็เลยซุกซนหรือเปล่าครับเนี่ย” ผมพูดติดตลก ดึงอารมณ์ของคุณลุงให้นึกถึงแต่ช่วงเวลาความสุขมากกว่าความโศกเศร้า ซึ่งลุงแกเองก็หัวเราะไม่หยุดเช่นกัน

“ใช่ๆ ฮ่าๆ ซนที่หนึ่งเชียวล่ะ ตอนเด็กๆ นะ เจ้าคิมลูกลุงไล่ต่อยกับเด็กแถวบ้านจนใครๆ ต่างก็เรียกมันว่าลูกพี่กันหมด หนูรู้ไหม ลุงต้องไปห้องปกครองเพราะการต่อยตีของมันกี่ครั้ง ไปจนครูห้องปกครองแทบจะให้ลุงอาศัยที่นั่นเป็นบ้านเลยนะ”

ผมกับลุงหัวเราะออกมา เรื่องราวความแสบสันของคิมหันต์ลูกชายของลุงถูกถ่ายทอดมาให้ผมฟังด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุข ผมรู้สึกดีที่ได้ยิน ดีใจที่คนที่อายุพอๆ กับพ่อของผมยิ้มและหัวเราะออกมาได้ มันทำให้ผมอดนึกถึงคุณพ่อไม่ได้เหมือนกัน ไม่รู้ว่าป่านนี้คุณพ่อจะยังทำงานหนักจนลืมดูแลตัวเองหรือเปล่า คุณแม่จะยังเสียใจไหมที่ผมเลือกออกมาใช้ชีวิตข้างนอกคนเดียวแบบนี้

“ถึงแล้วล่ะ ขอบใจหนูมากนะ ลุงรู้สึกเหมือนได้คุยกับลูกลุงอีกครั้งเลย” ผมส่งยิ้มให้ลงขณะที่เปิดประตูออกไป

“ผมดีใจครับที่คุณลุงสนุก นี่เงินค่ารถครับ ไม่ต้องทอนนะครับ ขอบคุณคุณลุงมากๆ นะครับที่มาส่งผม” ลุงทำท่าแข็งขัน ยืดอกมือจับพวงมาลัยรถอย่างมุ่งมั่น

“แท็กซี่ไทย ยินดีให้บริการครับผม!” ผมหัวเราะแกเองก็หัวเราะ ผมโบกมือลาคุณลุงเล็กน้อยแล้วปิดประตูรถพร้อมกับเดอนไปต่อ

ตอนนี้ผมมาถึงโรงแรมภัทราแกรนด์แล้ว ตื่นเต้นเหมือนกันนะครับ เพราะผมเองก็เคยมาที่นี่ครั้งแรกเลย

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกแล้วก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว สองข้างทางของโรงแรมเป็นต้นไม้น้อยใหญ่ มีดอกไม้เรียงรายอยู่ไม่น้อย ดูแล้วสบายตา ตึกของโรงแรมสูงจนต้องแหงนใบหน้าขึ้นไปมอง พนักงานต่างยิ้มแย้มให้กับลูกค้าด้วยท่าทางอ่อนน้อม

สมกับที่เป็นโรงแรมที่ติดหนึ่งในห้าของโรงแรมที่ดีที่สุดในประเทศ

ผมอดยิ้มกับมันไม่ได้ ภูมิใจแทนแดนที่มีกิจการที่ดีแบบนี้ ผมรุดหน้าเข้าไปยังภายในโรงแรม เดินเข้าไปหาพนักงานคนหนึ่งด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ

“สวัสดีครับ” เธอเงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วส่งยิ้มมาให้

“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบต้องการห้องพักแบบไหนคะ"

“ผมมาหาดินแดนน่ะครับ คุณดินแดนอยู่หรือเปล่าครับ?” พนักงานสาวคนนั้นเธอชะงักแล้วกวาดตามองผมครู่หนึ่ง ผมเดาว่าคงเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติที่เกิดขึ้นเมื่อคนแปลกหน้าที่แต่งตัวธรรมดามาขอพบผู้บริหารโรงแรมล่ะนะ ผมไม่โกรธเธอหรอก เธอเองก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะมองเหยียดผมเสียหน่อย

“เอ่อ ไม่ทราบนัดไว้หรือเปล่าคะ?”

“เปล่าครับ แต่ช่วยแจ้งแดนให้หน่อยนะครับว่าไมน์มาหา”

“รอสักครู่นะคะ ดิฉันจะแจ้งท่านให้”

ผมยืนรอเธออย่างที่เธอบอก ถือโอกาสมองไปรอบๆ โรงแรมอย่างสนใจ คนเยอะเหมือนกันนะครับ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติเสียมากกว่า มีคนไทยอยู่เพียงไม่กี่คน ส่วนมากก็ดูจะมาเรื่องงานเสียมากกว่าจะมาพักผ่อน จำได้ว่าที่โรงแรมของพ่อเองก็เป็นแบบนี้ แต่ก็มีความแตกต่างอยู่อย่างเห็นได้ชัด ถึงยังไงภัทราแกรนด์ก็เป็นหนึ่งในห้าโรงแรมที่ดีที่สุดในประเทศ

แต่ลัลลาเซ็นทราเวลของพ่อผมก็ยังถือว่าเป็นหนึ่งในสามล่ะนะ

“ไมน์! มาทำอะไรที่นี่!” ผมหันไปหวังจะยิ้มให้กับแดนที่เดินมาหา แต่ใบหน้าคมกลับติดร่องรอยความขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัด

“ไมน์แค่เอาปิ่นโตมาฝาก ไมน์ทำแต่ของที่แดน…”

เคร้ง!

ผมชะงักมองปิ่นโตที่ถูกปัดทิ้งจนหกเลอะเทอะบนพื้นไปหมดด้วยแววตาอึ้งๆ ผมไม่ ไม่คิดว่าแดนจะปัดมันทิ้งอย่างไม่ไยดี ไม่คิดว่าแดนจะ…ไม่อยากได้มันถึงขนาดนี้ กับข้าวที่ผมทำมันด้วยความใส่ใจ ไม่เหลือแม้แต่ความหวังให้ได้มองเห็น ม่านน้ำตาบดบังทุกสิ่งที่มองเห็น ภาพปิ่นโตที่หกอยู่บนพื้นมันช่างพร่าเบลอไปหมด

“อย่ามาทำแบบนี้อีก อย่ามาที่นี่ แดนไม่ชอบ มันน่ารำคาญ!”

ฮะๆ น่ารำคาญงั้นเหรอ ผม สิ่งที่ผมทำให้เขา พยายามเพื่อเขามันน่ารำคาญงั้นเหรอ ผมกัดริมฝีปากแน่น ก้มหน้าลงมองพื้นไม่กล้ามองไปรอบข้างด้วยซ้ำ สายตากี่สิบคู่กันที่มองมาที่ผม สายตากี่ร้อยคู่กันที่สมเพชผม ผมไม่อยากรับรู้หรอก แต่มีเพียงสายตาคู่เดียวเท่านั้นที่มองผมด้วยความเย็นชา ไร้ซึ่งความรู้สึกผิดใดๆ คือสายตาของเขา สายตาของคนที่ผมรัก

“เดี๋ยวบัวช่วยเก็บให้นะคะ” ผมชะงักกับเสียงที่ได้ยิน ใบหน้าจึงเงยขึ้นทองโดยอัตโนมัติ

เสียงแบบนี้…เหมือนคืนนั้น คืนที่เป็นวันเกิดของภูมิ

“ไม่ต้องครับบัว ปล่อยให้คนที่เอามันมาเป็นคนเก็บ ขยะที่ถูกพาเข้ามาก็ต้องให้คนที่พามาเป็นคนเอามันออกไป! ”

“ตะ แต่ อ๊ะ!” เธอถูกแดนรั้งตัวให้เดินออกไป แต่เพียงแค่แดนหันหลังให้ผม ดวงตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์ของเธอก็ปรากฏแววตาสะใจและเย้ยหยัน ราวกับว่าเธอยืนอยู่สูง เหนือผมขึ้นไปอีก

เธอสินะ คนในคืนนั้น

เธอคนนี้สินะที่แดนกำลัง…พามาแทนที่ผม





TBC



คนที่เคยใช่ ไม่สามารถกลับมาใช่ได้อีก เพราะเขาให้เราเป็นอดีต ไม่ใช่ปัจจุบัน ต่อให้สิ่งที่เราทำมันจะเป็นสิ่งที่เขาเคยชอบยังไง สำหรับเขาที่มองว่าเราเป็นแค่คนที่ไม่ใช่เจ้าของหัวใจ ก็ไม่มีค่ามากไปกว่าคนน่ารำคาญ

เป็นเจ้าของ

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[3]

กล้ำกลืน

สายตาของผมตอนนี้พร่าเบลอไปหมด มือของผมเอื้อมออกไปหวังจะเก็บปิ่นโตกลับมา แต่มันก็สั่นเสียเหลือเกิน สั่นจนตัวผมเองไม่สามารถหยุดมันได้ ความรักความใส่ใจถูกแดนปัดมันทิ้งอย่างไม่ไยดี แววตาติดรำคาญคู่นั้นมันยังชัดเจนทั้งที่เจ้าของดวงตาไม่ได้ยืนอยู่เบื้องหน้าของผมแล้วด้วยซ้ำไป

ผิดหวัง เจ็บปวดและอับอาย

มีแค่แดนเท่านั้นที่สอนให้ผมรู้จักกับมันอย่างที่ไม่เคยมีใครสอนผมมาก่อน ผมควรจะดีใจใช่ไหม ควรจะยิ้มออกมาใช่ไหมที่ได้บทเรียนบทใหม่ ผมไม่เคยเชื่อในคำพูดของใครสักคนว่าความรักจะมาพร้อมกับความเจ็บปวด หากเรียนรู้จะรักแล้วมักจะได้รู้จักความเจ็บปวดเป็นของแถม ผมไม่เคยเชื่อ

แต่วันนี้ผมเชื่อแล้ว เชื่อโดยไม่มีข้อกังขาใดๆ

“ฮะๆ น่าสมเพชชะมัด” ทั้งที่เป็นแบบนั้น ทั้งที่ริมฝีปากมีรอยยิ้ม แต่น้ำตากลับยังคงไหลลงมาไม่ยอมหยุด หัวใจดวงนี้ที่เต้นอยู่ก็ไม่ยอมคลายความปวดร้าวไปเลยแม้แต่น้อย

“คุณคะ ดิฉันช่วยนะคะ” ผมเม้มปากที่สั่นระริก ก้มหน้าก้มตาเก็บกวาดความสกปรกที่ตั้งอกตั้งใจทำ เก็บความใส่ใจที่เขาเรียกมันว่าขยะลเข้าไปในปิ่นโตทุกหยาดหยด

“ขอบคุณมากๆ นะครับ” ผมบอกเธอแต่ไม่ได้เงยขึ้นมองหน้าของเธอ แต่ผมจำเสียงเธอได้ เธอคือผู้หญิงที่เป็นพนักงานคนนั้น คนที่มองสำรวจผม

แต่ในขณะที่คนอื่นมองผมแล้วนินทา เธอกลับยื่นมือเข้ามาช่วย แค่นี้ผมก็ขอบคุณเธอมากแล้ว

ผมลุกขึ้นยืน ฝืนตัวเองให้ก้าวเท้าออกไปท่ามกลางการจับจ้องของผู้คน ผมเป็นตัวประหลาด กลายเป็นคนหน้าไม่อายที่ตามมาหาผู้ชายทั้งที่เขาไม่อยากแม้แต่จะเห็นหน้าผม ผมกระชับปิ่นโตที่เปรอะเปื้อนเข้าสู่อก กอดความใส่ใจของตัวเองเอาไว้แน่นเพื่อให้หัวใจได้จดจำความเจ็บปวดนี้บ้าง

เขาไม่รับ ก็แค่เก็บเอากลับคืนมา มันไม่มีอะไรยากเย็นเลยสักนิด

แต่ผมก็ไม่อาจห้ามความเจ็บปวดที่มีมากจนล้นหัวใจได้เหมือนกัน

ร้องไห้เหมือนเด็กๆ คำนี้จะใช้เรียกก็คงไม่ผิด แต่คนที่เพิ่งเคยรู้จักกับความทรมานนี้อย่างผม นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ทำได้ สมองจึงสั่งให้น้ำตาไหลออกมาระบายเอาความทรมานออกมาเผื่อว่าหัวใจจะกลับมาดีดังเดิม

ผมเรียกแท็กซี่นั่งไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย ปล่อยอารมณ์ให้มันไปตามเส้นทางที่ผ่านมา ผมไม่สนใจว่าค่ารถจะขึ้นเท่าไหร่ ผมมีปัญญาจะจ่าย เพื่อแลกกับความสบายใจและอารมณ์ที่สามารถดึงกลับมาได้ ผมบอกเลยว่ามันคุ้ม เงินทุกบาทที่ผมมี ผมพยายามอดออมมันเพื่อเขา พยายามเป็นคนที่ดีกว่าเพื่อเขา

ในเมื่อตอนนี้เขาทำให้หัวใจผมมันเจ็บจนยากจะเยียวยา ผมก็จำเป็นต้องใช้เงินซื้อยาวิเศษมาฟูมฟักมันเอง

ไกลแค่ไหนแล้วนะที่เราออกมา แดนจะรู้สึกผิดกับการกระทำนั้นบ้างไหม

“ฮึก!”

แค่คิดถึง ภาพที่เขาจูงมือของผู้หญิงคนนั้นก็แล่นเข้ามาในสมอง อยากจะลบ อยากจะเอามันออกไปแต่ผมก็ทำไม่ได้ มันติดตราตรึงใจผมมากจนตามมาหลอกหลอนผมแม้จะลืมตาอยู่ ทำไมความทรงจำของผมถึงต้องตอกย้ำหัวใจของผมเองด้วย ทำไมต้องซ้ำเติมจนผมไม่สามารถเยียวยาตัวเองได้

กลไกของสมองมักจะตอกย้ำความทรงจำที่สะเทือนใจ ความทรงจำที่มีผลทางอารมณ์มากเหมือนภาพที่กำลังวนเวียนเล่นซ้ำไปมาในหัวของผม

ผมเกลียดตัวเองที่อ่อนแอ

เกลียดตัวเองที่ไม่สามารถเข้มแข็งพอจะต่อสู้กับผู้หญิงคนนั้นได้

เกลียดตัวเองที่เอาแต่ร้องไห้

ผมที่เคยมองคนจากจุดสูงสุด ทุกคนจะต่างพากันมาพะเน้าพะนอต่อผม เคยมองข้ามคนมากมายแต่พวกเชาก็หวังให้ผมมองไปที่พวกเขา แต่ตอนนี้ผมกลับเป็นคนที่อยู่ในจุดที่ถูกมองลงมา เป็นคนที่เขาสะบัดทิ้งไม่ใส่ใจไยดีต่อการมีตัวตนของผม

ครืดดด ครืดดด

“ฮึก ฮะ ฮัลโหล” ผมพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ ไม่ให้มันออกมาสร้างความอับอายให้ตัวเอง

(ไมน์…มึงอยู่ไหน) เพียงแค่คำถามสั้นๆ คำถามสั้นๆ ที่ไม่ใช่การถามว่าผมเป็นยังไงบ้าง แต่เป็นการถามว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน อนุรักษ์รู้ดีว่าผมเป็นแบบไหน และควรถามผมยังไง เพราะมันคือเพื่อนรักของผม

“รัก ฮึก รักฮือๆ”

(ไมน์มึงอยู่ไหน บอกกูสิ อย่าร้องไห้) ผมปิดหน้าด้วยมือข้างเดียว หูยังคงได้ยินเสียงเรียกของรักอย่างชัดเจน

อยากพูด อยากบอกออกไป แต่ทำไม่ได้

มันทรมาน มันเจ็บจนอยากจะตาย แต่ที่ทำได้กลับมีเพียงร้องไห้อยู่อย่างคนอ่อนแอ

(ไมน์...บอกกูสิ กูจะไปรับมึงเอง บอกกูเถอะว่ามึงอยู่ที่ไหน) ผมพยายามสงบอารมณ์ของตัวเองลงช้าๆ ค่อยๆ ปรับลมหายใจเข้าออกจนพอจะสามารถพูดคุยกับมันได้จึงได้ตอบกลับรักไป

“ยะ อยู่ ฮึก บนแท็กซี่” ผมได้ยินเสียงถอนหายใจของรัก รักคงจะโล่งใจที่อย่างน้อยก็ยังพอจะสอบถามอะไรผมได้บ้าง

(ถ้างั้นมึงบอกเขาเลยว่าให้มาที่คอนโด...ที่...เข้าใจใช่ไหม) ผมพยักหน้าระรัว ทั้งที่น้ำตายังไม่หยุดไหล

อยากเจอรัก อยากกอดรัก อยากระบายความเจ็บปวดออกไปกับใครสักคน

“ขะ เข้าใจแล้ว พี่ครับไป...” ผมบอกสถานที่กับคนขับ เขาตอบรับและเปลี่ยนเส้นทางทันทีที่รู้จุดหมายปลายทาง

(กูจะรออยู่ข้างล่าง มึงไม่ต้องห่วงนะ)

“อื้อ ฮึก ฮือๆ”

รักยังคงไม่ยอมวางสาย มันนั่งฟังผมที่เอาแต่ร้องไห้อยู่เงียบๆ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าที่ผมต้องอยู่คนเดียว ดีกว่าต้องมารู้สึกเดียวดายอย่างเมื่อกี้

หัวใจที่เจ็บปวดมาอย่างสาหัสรู้สึกได้ถึงการปลอบประโลม มันอุ่นวาบไปทั้งใจว่าจะเป็นการทำให้รู้สึกถึงความเจ็บปวดชัดกว่าเก่า แต่มันก็ดีกว่าปล่อยให้หัวใจของผมเน่าเฟะจนเกินจะรักษา รักเป็นเพื่อนที่คอยอยู่ด้วยกันมาเสมอ เป็นคนที่คอยรับฟัง คอยยืนอยู่ข้างๆ ไม่ว่าผมจะพบเจอปัญหาที่ลำบากมากแค่ไหน

เพราะมีรักอยู่ ผมถึงยืนขึ้นมาได้ทุกครั้ง

เพราะมีรักอยู่ผมถึงไม่รู้สึกว่าความเจ็บปวดทั้งหลายมันหนักหนาสาหัสจนเกินรักษา

อาจจะเป็นเพราะที่บ้านของผมและรักต่างก็สนิทกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า ปู่ผมกับปู่ของรักก็เป็นเพื่อนกัน พ่อผมกับพ่อรักแม้จะไม่ใช่เพื่อน แต่ก็นับได้ว่าเป็นพี่น้องที่สนิทกันและรักกันมาก ผมกับรักก็เป็นอีกรุ่นที่ได้มาผูกสัมพันธ์สานต่อความสัมพันธ์เก่าแก่ของสองตระกูล

ยิ่งผมเจอเรื่องเลวร้ายมากแค่ไหน คนที่จะคอยพยุงผมให้ยืนขึ้น ผลักผมให้เดินไปข้างหน้าก็มีแค่รักเท่านั้น

“รัก...”

(กูยังอยู่ ไม่เป็นไร) ผมกัดริมฝีปากตัวเองที่โหยหาที่พึ่งอย่างรักในเวลานี้

ผมรู้ไม่ใช่ไม่รู้ว่าควรกลับไปที่คอนโดตัวเอง เคลียร์ทุกอย่างให้ชัดเจนมันถึงจะดีที่สุด

แต่ใครไม่มาเป็นผมไม่มีวันรู้หรอกว่าการที่จะได้รักใครสักคน เราก็จะรักเขาให้ถึงที่สุด เมื่อไหร่ที่ความรักมันเดินทางมาจนถึงสุดปลายทางของมัน ผมย่อมต้องเลือกที่จะไม่ยื้อมันไว้

แต่ตอนนี้มันก็แค่อารมณ์วูบหนึ่งเท่านั้น หากผมเย็นลงเมื่อไหร่...ผมก็จะกลับไปพยายามเหมือนเดิม

ผมเปล่าโง่ แค่รักแดนมากเกินกว่าจะเสียแดนไปได้

แดนไม่ได้บอกเลิกผม ต่อให้ใช้คำพูดรุนแรงแค่ไหนเขาก็ยังอยู่ในสถานะของการเป็นแฟนกันของผมและเขา ส่วนใครอีกคน...ผมจะยอมปิดตา จะยอมมองไม่เห็นแม้ว่าจะเห็นอยู่ตำตา

จะยอมบอกตัวเองว่าเข้าใจผิดไป

ยอมกลายเป็นคนโง่ๆ ที่นอนร้องไห้ทุกคืนแต่มีเขาอยู่ข้างกาย

ไม่เป็นไร ผมจะทนมันให้ได้

ไม่เป็นไร แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก





........ 50% ........





มาแล้วจ้าา มาก่อนแค่ครึ่งเดียวน้าา วันพรุ่งนี้เจอกันอีกครั้งกับครึ่งหลังนะจ๊ะ 

เป็นเจ้าของ

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[3]

รถแท็กซี่จอดลงหน้าคอนโดของรัก ผมมองเห็นรักมันยืนรออยู่จริงๆ อย่างที่พูดเอาไว้ รักวางสายแล้วเดินมาหาผม ในขณะที่ผมเอาเงินออกมาจ่ายค่ารถ พอผมออกมาแล้วปิดประตูรถลงไป รักก็คว้าตัวผมเข้าไปกอดจนแน่น ทั้งที่เราตัวเท่ากันแท้ๆ แต่รักกลับมีแรงมากจนผมตกใจ

ความอบอุ่นจากอ้อมกอดของรักมันทำให้น้ำตาของผมที่สามารถหยุดมันลงไปได้ไม่นาน ไหลออกมาอีกครั้ง ร่างกายของผมสั่นระริกอยู่ในอ้อมกอดของรักโดยมีมือของรักลูบหลังอย่างปลอบประโลม ผมปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย ไม่สนใจว่าหน้าตาตัวเองจะน่าเกลียดมากแค่ไหน

ผมรู้สึกได้ว่ารักเองก็ร้องไห้ไม่ต่างจากตัวผมเอง เพราะผมรู้สึกถึงแรงสั่นจากไหล่ของรัก ผมกับรักต่างกอดกันแล้วร้องไห้ มันดูเป็นภาพที่ไม่น่ามองสักนิดเดียว แต่ความเสียใจทำให้เราต่างลืมไปว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน

กว่าจะยอมปล่อยแล้วพากันขึ้นมาบนห้องก็ปวดตาไปหมด รักตาแดงพอๆ กับผม แม้ว่าผมจะดูแดงก่ำมากกว่าเพราะผมผ่านการร้องไห้มาก่อนเขาก็ตามที

“มึงจะกินอะไรไหมไมน์” ผมกอดเข่าตัวเองอยู่บนโซฟาแสนนุ่มของรักแล้วส่ายหน้าปฏิเสธจนได้ยินเสียงรักถอนหายใจออกมา

“กูรู้แล้วนะเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้...” ผมจิกเล็บลงไปบนขาตัวเอง เรื่องที่ว่ารู้แล้ว หมายถึงที่ผมถูกปฏิเสธข้าวที่ส่งไปให้ใช่ไหม

“ทะ ทำไมถึงรู้” รักไม่ใช่คนในโรงแรมภัทราแกรนด์เสียหน่อย ทำไมถึงได้รู้เรื่องที่ผมเจอมาได้

“กูมีสายอยู่ข้างใน” น้ำอุ่นถูกวางลงตรงหน้าผมพร้อมกับขนมโปรดของผม แต่ผมตอนนี้กินอะไรไม่ลงจริงๆ มันตื้อไปหมด อยากอาเจียนออกมา อยากร้องไห้อีก แต่แค่นี้ผมก็ปวดหัวมากพอแล้วถ้าขืนผมยังร้องไห้ต่อไปอีกคงไม่ดีกับร่างกายของผมแน่ๆ

แต่น้ำตาก็คือน้ำตา ใครจะไปห้ามมันไม่ให้ไหลลงมาได้ล่ะจริงไหม

“สายของมึงเป็นใคร พอจะรู้ไหมว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ แดนวันนี้เป็นใคร” ต่อให้ใจหนึ่งไม่อยากจะฟัง ไม่อยากจะรู้ก็ตาม แต่อีกใจมันก็อยากจะรู้อยู่ดี และปากเจ้ากรรมก็ช่างเลือกที่จะถามออกไป

อนุรักษ์หรี่ตามองผม ชั่งใจอยู่นานกว่าจะยอมส่งเสียงออกมา

“แน่ใจเหรอว่าอยากฟัง?”

อึก! ผมกล้าบอกเลยว่าไม่อยาก ผมไม่ได้เข้มแข็งขนาดที่จะรับความจริงได้ในตอนนี้ ผมน่ารำคาญใช่ไหม อย่างที่แดนว่าผมเอาไว้ว่าผมมันน่ารำคาญ เพราะใจผมมันยังไม่เด็ดขาดเพียงพอ ถึงได้ประวิงเวลา ใช้ความเจ็บแลกกับการได้อยู่ใกล้ๆ แดนเอาไว้ ไม่มีใครคนไหนหรอกที่อยากจะเสียแฟนตัวเองไป ไม่มีใครหรอกที่อยากจะรับความจริงที่ว่า

แฟนนอกใจ

“กูยัง…ไม่พร้อมจะฟังตอนนี้ผมทำใจไม่ได้จริงๆ ที่จะต้องรับรู้

ใจวูบโหวงจนเหมือนว่าผมทำมันหายไป เหมือนอวัยวะสำคัญอย่างหัวใจถูกบี้จนแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี

อนุรักษ์มันเป็นห่วงผม ผมรู้ดี แต่ผมในตอนนี้อ่อนแอเกินกว่าจะรับความเป็นจริงได้ ถ้าถามว่าผมจะทำยังไงต่อ ผมคงได้แต่บอกว่า จะอดทน เผื่อสักวันหนึ่งเขาจะหันกลับมาแล้วพบว่าคนที่เขารักจริงๆ แล้วมันเป็นผมต่างหาก ไม่ใช่เธอคนนั้นที่แดนกำลังปกป้องเอาไว้

“เอาไปดู เชื่อกูเถอะ มึงเอาไปดูซะไมน์” ผมเงยหน้าขึ้นมองรักอีกครั้ง สีหน้าและแววตามันแกมขอร้องให้ผมรับโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดไปดู แต่ผมไม่กล้า ผมกลัวสิ่งที่จะได้เห็นไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตามที

ผมไม่อยากรับรู้ว่าความจริงแล้วเขารักกันมากแค่ไหน

ไม่อยากรู้ว่าเขาอยู่ด้วยกันกี่คืนแล้ว

ผมไม่อยากรู้สักนิด

แต่ใจหนึ่งก็ทนต่อความเจ็บปวดที่คาใจไม่ได้ มือที่เอื้อมออกไปรับนั้นสั่นไหว ชะงักค้างอยู่หลายครั้งกว่าจะยอมจับมันเอาไว้แล้วดึงเข้ามาวางไว้บนตัก ไม่กล้าจะพลิกดู ผมไม่กล้า

พรึบ!

รักยกมือถือขึ้นมาอยู่ตรงหน้าผม ผมหลับตาปี๋ทันทีไม่ยอมมองหน้าจอนั้น รักก็ยิ่งโกรธ บีบคางของผมแล้วยัดโทรศัพท์ลงมาตรงหน้าจนแนบชิด กดมันแรงๆ จนผมเจ็บจึงจำใจลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย

“เออ! ลืมตาสักที!”

มะ ไม่จริง!

แดน แดนจะทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ

แดนจะนอกใจผมได้ยังไง ไม่จริงหรอก นี่ไม่ใช่เรื่องจริง

“มันเป็นแค่คนหน้าเหมือนแน่ๆ เลย ไม่ ฮึก ไม่ใช่แดนหรอก ดะ แดนไม่มีทาง ฮืออออ ไม่มีทางนอกใจกูแบบนี้!!”

มันไม่จริง มันต้องไม่ใช่สิ ทำไมล่ะ ทำไมถึงต้องจูบกับเธอด้วย!!!

ภาพของคนสองคนนัวเนียกันอยู่บนเก้าอี้โซนวีไอพีโดยมีผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่บนตักของแดน ริมฝีปากของทั้งสองคนแนบชิดจรดกันเหมือนที่ผมและแดนเคยทำมัน

มือของแดนกอดรัดเอวของเธอเอาไว้ มืออีกข้างก็ประคองใบหน้าของเธอเอาไว้อย่างรักใคร่

ถ้ารักกัน ถ้าพวกเขารักกันแล้วผมล่ะ

ผมมันเป็นตัวอะไรล่ะ!!! ผมเป็นอะไรของแดนกันแน่!

ถูกด่าว่าเป็นตัวน่ารำคาญ ถูกมองว่าของที่ตั้งใจทำมาให้เป็นเพียงแค่ขยะ มันยังไม่เจ็บเท่ากับการที่ผมเห็นเขาสองคนจูบกันอย่างดูดดื่ม ยังไม่ทรมานเท่าการที่ได้รู้ว่าเขากำลังนอกใจผม

เจ็บ เจ็บเหมือนจะขาดใจตาย เจ็บเหมือนถูกใครเอามีดมากรีดหัวใจจนเหวอะหวะไปหมด

มันพังหมดแล้ว หัวใจของผมมันพังไปหมดแล้ว

“ฮืออออ” ไม่อยากร้องไห้ ไม่อยากเอาแต่อ่อนแอ แต่ผมก็ทนไม่ได้ มันเจ็บมาก เจ็บมากเกินไป

รักเดินเข้ามากอดผมเอาไว้ สีหน้าของมันดูแยา แต่ผมไม่อาจจะใส่ใจอะไรได้ ผมกำลังเจ็บ กำลังทรมาน ผมไม่อยากจะงี่เง่าเดินกลับไปถามเขาตรงๆ ว่าเขานอกใจผมจริงๆ หรือเปล่า เขาทำมันลงไปได้ยังไง

ดินแดน ผู้ชายที่ผมหลงรักความอ่อนโยนของเขา ผู้ชายที่ผมยอมทิ้งทุกสิ่งเพื่อมาอยู่กับเขา

แต่เขากลับเป็นผู้ชายที่ทำผมเจ็บมากกว่าใครคนไหน สอนให้ผมรู้ซึ้งถึงคำว่าเจ็บเจียนตาย

“กูไม่อยากกลับไป ฮึก กูยังไม่อยากกลับไปเลย ฮือๆ กูยังไม่พร้อม” ยังไม่พร้อมจะเจอหน้าเขา

ไม่อยากจินตนาการว่าเขาแอบนอนด้วยกันกี่ครั้ง ไม่อยากนึกว่าลับหลังผมเขาทำด้วยกันกี่หน จูบกันนานมากเท่าไหร่ รูปที่รักเอามาให้ผมดูผมเห็นเพื่อนๆ ของแดนทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ภูมิ ฮะๆ ไม่น่าล่ะ คืนนั้นภูมิถึงพาแดนมาส่ง มิน่าล่ะถึงได้ยอมมองหน้าผมได้เต็มสายตา

ที่แท้ก็เพราะผมมันไร้ค่า กำลังถูกหลอกจากคนที่รักอยู่นี่เอง เพราะเพื่อนรักอย่างแดนไม่ได้มีผมในหัวใจอีกแล้วนี่เอง ภูมิถึงได้ยอมพูดกับผม

โง่ มึงมันโง่เหลือเกินไมน์ คิดไปได้ยังไงว่าเป็นเจ้าของดินแดนนี้ได้

คิดไปได้ยังไงว่าสามารถยึดครองพื้นที่หัวใจของดินแดนได้

ที่ตรงนั้นมันไม่ใช่ของมึงเลยไมน์ มึงไม่เคยได้เป็นเจ้าของมันจริงๆ หรอก ไม่เคยเลย คนอย่างมึงก็แค่ขยะไร้ค่าที่แดนไม่คิดจะชายตามาแล เป็นแค่คนน่ารำคาญสำหรับเขามึงได้ยินไหม!! หันจำเสียบ้างสิ! ทำไมไม่หยุดรักเขาสักที!!

ผมอยากหยุดแล้ว อยากเลิกรักเขาแล้ว แต่ก็ทำไม่ได้

หัวใจของผมร่ำร้องต่อต้าน เพียงแค่คิดว่านับจากนี้ไปจะไม่สามารถยิ้มให้เขาได้อีก ไม่สามารถเจอเขาได้อีกก็ทนแทบไม่ได้อีกแล้ว หากต้องเป็นคนอื่นไกลที่แดนไม่คิดจะทักทาย ผมยอมกลายเป็นควายที่สามารถมีเขาได้ยังดีกว่า

ผมโง่ใช่ไหม…

ผมรู้ดี ผมโง่จริงๆ นั่นล่ะ ไม่มีคนฉลาดคนไหนหรอกที่เลือกจะให้แฟนตัวเองมีคนอื่น ยอมปิดหูปิดตาเพียงเพื่อรั้งสถานะที่เป็นแค่ลมปากเอาไว้ แต่ผมยอม…เพราะผมยังเลือกจะเดินจากไปไม่ได้ ผมยอมจะยืนอยู่เคียงข้างเขาแม้เขาไม่ต้องการ ดีกว่าจะเป็นคนอื่นที่เขาไม่คิดแม้แต่จะมองมา

“ถ้างั้นก็อยู่นี่ อยู่จนกว่ามึงจะพร้อม แล้วไปจบกับมันสักทีเถอะไมน์ มึงรักตัวเองบ้างได้ไหม”

“ฮึก ฮือออ”

ผมกอดรักเอาไว้จนแน่น ใช้มันพักพิงหัวใจที่บอบช้ำเพื่อจะรักษาให้หายสนิท ความเสียใจและความเจ็บปวดยิ่งมีมากมายเท่าไหร่ น้ำตาของผมก็ไหลออกมามากเท่านั้นเช่นกัน

ความกลัวเริ่มเข้ามาครอบงำหัวใจของผมช้าๆ จากที่เคยมั่นใจว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ในตอนนี้มันยังจะเป็นไปได้อยู่อีกไหม ผมไม่อยากหลอกตัวเอง แต่ก็ไม่อยากถอดใจ เราสองคนคบกันมาสองปี ผมไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะหมดรักผมง่ายดายขนาดนั้น ถ้าหากว่า…ถ้าหากว่ามันเป็นเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบ ผมจะอภัยให้เขา ขอแค่เขายอมหยุดความสัมพันธ์นั้นลง ขอแค่เขากลับมาเป็นดินแดนของผมเหมือนเดิม

ผมจะลืมทุกอย่างไป จะใช้เวลาด้วยกันอย่างเมื่อก่อน

มันจะเป็นไปได้ไหมนะ ความหวังของผมจะยังพอมีโอกาสเป็นจริงไหม

หรือแดนรักเธอคนนั้นไปแล้วทั้งใจ ถ้าเป็นแบบนั้นผมล่ะจะทำยังไง ในเมื่อหัวใจของผมยังไม่สามารถที่จะหยุดรักเขาได้ ผมจะต้องทนให้แดนนอกใจต่อไปอย่างนั้นเหรอ ผมจะทนได้จริงๆ นะเหรอ ผมยังไม่สามารถตอบตัวเองได้เลย แค่หัวใจตัวเองผมยังไม่สามารถควบคุมมันได้ ความรู้สึกตัวเองผมยังควบคุมไม่ได้ แล้วผม…จะสามารถหยุดแดนได้ยังไงกันถ้าแดนรักผู้หญิงคนนั้นไปแล้วจริงๆ

ไม่อยากยอมแพ้ ผมคงต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง อย่างน้อยผมก็จะได้บอกตัวเองได้ว่าผมพยายามอย่างถึงที่สุดแล้วจริงๆ

“ไมน์…มึงจะเอายังไงต่อไป” รักคงหมายถึงผมจะกลับบ้านไหมมากกว่า บ้านที่เป็นบ้านจริงๆ ไม่ใช่คอนโดที่ผมอยู่ในตอนนี้หรอกนะ

“ไม่ได้หรอก กูยังไม่ลองพยายามเลย บางทีแดนอาจจะแค่ แค่หลงใหลผู้หญิงนั้นเป็นครั้งคราวก็ได้” ใช่ มันอาจจะไม่ใช่ความรักก็ได้ จะรู้ได้ยังไงล่ะ ก็แค่เขาสองคนจูบกัน

“เฮ้อ…มึงนี่มันดื้อจริงๆ ระวังเถอะ! กูจะเอาเรื่องนี้ไปบอกพี่มิน”

“ไม่ ไม่ได้นะ!” ถ้าพี่ชายผมรู้เข้าต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ ดีไม่ดีแดนอาจจะถูกพี่มินผมทำร้าย

รักมันรู้ดีว่าครอบครัวผมเป็นยังไง เพราะผมเป็นลูกคนเล็ก พ่อแม่และพี่มินก็มักจะโอ๋ผม ตามใจผมและปกป้องผมมากกว่าใครๆ ถ้าผมถูกรังแก พี่ชายจะเอาคืนให้เป็นเท่าตัว ขนาดครั้งนั้นที่เพื่อนผมแกล้งผลักผมจนล้ม พี่มินก็จัดการผลักมันกลับไปบ้าง ปรากฏว่าอีกฝ่ายขาหัก แต่ไม่สามารถเอาผิดพี่ชายผมได้

ถ้าร่างกายของผมบาดเจ็บ พี่กายก็จะทำให้คนที่ทำร้ายผมเจ็บยิ่งกว่าผมสิบเท่า

แต่ถ้าผมเจ็บข้างในหัวใจ แดนคงไม่แคล้วต้องตายทั้งเป็น!

“ก็ได้กูจะเก็บเป็นความลับ จะไม่ให้พี่กายรู้ กูเชื่อนะไมน์” รักขยี้เส้นผมของผมจนยุ่งเหยิง สายตาขอมันจริงจังและเต็มไปด้วยความห่วงใยของเพื่อนที่มีต่อเพื่อน

“กูเชื่อว่าวันหนึ่ง มึงจะสามารถเดินออกมาจากมันได้อย่างที่มึงควรจะทำ และกูจะรอวันนั้น”

“อืม…ขอเวลาให้กูหน่อยนะ ถ้าหากว่ากูได้ลองพยายามแล้วมันไม่มีอะไรเปลี่ยนไป กูสัญญาว่ากูจะเดินออกมาเอง”

ผมสัญญา แต่ตอนนี้ผมต้องขอพยายามให้ดีที่สุดก่อน เพราะเมื่อมันดีที่สุดแล้วในตอนที่ผมเดอนออกมา จะได้ไม่มีอะไรค้างคาใจอีก







บางครั้งการเดินเข้าไปหาใครสักคนที่เราต้องการ มันไม่ยากเย็นเท่ากับการที่เราเดินออกมาจากใครบางคนที่เรารัก 

เป็นเจ้าของ

ออฟไลน์ Windtofree

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เป็นกำลังใจให้นะครับ เชื่อว่าคนเราค้องใช้เวลาเพื่อที่จะ Move on  :mew2:

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[4] 50%

อยู่อย่างเจ็บๆ

ผมอาศัยพักใจที่คอนโดของรักกว่าอาทิตย์ คอยมองดูโทรศัพท์ว่าเมื่อไหร่ที่แดนจะโทรมาหาผม ถามไถ่ว่าผมหายไปไหน หรือผมเป็นยังไงบ้าง

แต่ไม่มีเลย ไม่มีแม้แต่เสียงเรียกเข้าสักสาย

ไม่มีแม้แต่การตามหาจากคนที่ผมรัก

ราวกับว่าผมเป็นเพียงอากาศที่ลอยล่องไป อากาศที่ไม่มีใครเคยมองเห็น เป็นขยะชิ้นนั้นที่เขาใช้สายตามองเหยียด เป็นคนที่เขารังเกียจแม้แต่จะใช้เวลามาคิดถึง

ผมควรจะเจ็บใช่ไหม? ผมบอกได้เลยว่าผมเจ็บมากๆ เจ็บจนผมคิดว่าชาตินี้คงมีแต่เขาที่ทำให้ผมรู้สึกเจียนตายได้ บางทีก็อยากจะหัวเราะใส่ตัวเองที่ยังคงยืนอยู่ไม่ไปไหนทั้งๆ ที่เจ็บจนทรมาน แต่ผมก็ไม่สามารถถอนตัวเองออกมาจากความฝันที่เราเคยมีกันและกันได้

รอยยิ้มของเขา

ดวงตาของเขา

ความอ่อนโยนของเขา

แม้แต่ความรักของเขา ผมเองจำได้ดีทุกอย่าง

เพียงแต่ว่าวันนี้มันเป็นเหมือนกับความฝัน เหมือนทุกวันที่ผมและเขาเคยมีความสุขกันนั้นมันไม่เคยเป็นความจริงเลย ทุกสิ่งที่เคยได้รับมาจนหัวใจผมฟูฟ่อง มันก็แค่มนต์มายาทีืถูกสร้างขึ้นมาหลอกลวงผมให้หลงมัวเมากับความหอมหวานนั้น

ผมเดินกลับห้องของตัวเอง หยุดยืนหน้าประตูห้องของตัวเองแล้วมองห้องที่อยู่ข้างกันด้วยความคิดถึง แต่เจ้าของห้องจะคิดถึงผมไหม ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

แกร็ก…

ผมยืนตัวเกร็งค้างเมื่อร่างของใครบางคนกำลังเดินออกมาจากห้องที่ผมกำลังมองอยู่ ร่างเดิมที่แสนคุ้นตา ร่างของคนที่ได้ชื่อว่า…แฟน

“…ไง”

ผมยิ้มเจื่อนๆ มองเขาที่มองมาทางผมเพียงแค่ไม่กี่วินาทีแล้วหันไปปิดล็อกห้องของตัวเองต่ออย่างไม่คิดจะใส่ใจผมที่ยืนอยู่

ผมยังมีตัวตนสำหรับเขาอยู่ไหม

ผมยัง…ถูกเรียกว่าแฟนของเขาอยู่หรือเปล่า

เรายังเป็นคนรักกันอยู่ใช่ไหม?

“แดน…”

ผมบังคับเสียงตัวเองเอาไว้ไม่ให้มันสั่น ห้ามน้ำตาเอาไว้ไม่ให้มันไหลออกมาประจานความอ่อนแอโง่ๆ ของตัวเอง ต่อให้ความร้อนที่กระบอกตามันพร้อมจะระเบิดออกก็ตาม

แดนหยุดชะงักลง แม้จะไม่ได้หันมามองผมก็ตาม แต่อย่างน้อยเขาก็ยังไม่ได้เมินคำเรียกของผมไป อย่างน้อยผมก็ยังมีตัวตนในโลกของดินแดน แม้ว่ามันจะไม่เด่นชัดเหมือนเดิมก็ตาม

“มีอะไร” ผมจิกเล็บลงไปที่แขนตัวเอง พยายามระงับความโศกเศร้าเสียใจที่ตีตื้นขึ้นมาให้ได้มากที่สุด

“จะ จะไปทำงานแล้วเหรอ?”

ไม่เป็นไร อดทนเอาไว้นะ

“ใช่”

“แดนทานข้าวเช้าหรือยัง ให้เราทำ…”

“ไม่ต้องหรอก เรารีบ” แดนไม่คิดจะฟังผมพูดให้จบด้วยซ้ำ เขาเดินหน้าต่อไปอย่างไม่สนใจผมอีก ผมถลาร่างเอื้อมมือไปฉุดรั้งเขาเอาไว้ ดึงแขนของเขาไว้ทั้งที่รู้ดีว่า…ไม่ควร

“แดน แดนเรา…”

เขาไม่คิดจะฟัง เพียงแค่ผมอ้าปากจะพูดขึ้นมาเขาก็สะบัดแขนออกจากฝ่ามือของผมอย่างแรง ความอบอุ่นจากผิวกายของเขาหลุดหายไป ใจของผมเองก็พลอยหลุดหายไปด้วยเช่นกัน

แต่ผมจะมายอมแพ้แค่นี้ไม่ได้! ผมต้องพยายามอีกครั้ง ให้เขากลับมาเป็นดินแดนคนเดิม

ด้วยความรักที่ผมมี

“แดน วะ วันนี้ไมน์จะทำอาหารเย็นไว้ให้นะ จะทำสปเก็ตตี้กับไก่อบที่ไมน์เคยทำเมื่อก่อนดีไหม?”

เหมือนที่เราเคยกินมันด้วยกันในวันครบรอบปีที่แล้ว ผมอยากให้มันเป็นตัวกระตุ้นความทรงจำของเราสองคน ให้ดินแดนหวนกลับไปคิดถึงวันที่เราสองคนรักกัน วันที่เรามีกันและกัน ไม่ใช่วันที่เขาเย็นชากับผม…แบบนี้

“เราจะได้ทานมันด้วยกันไง ตอนนั้นแดนเองก็บอกว่าชอบมัน แดนจำได้ไหม”

ขอร้องล่ะ จำมันให้ได้ทีเถอะ ช่วยจำมันให้ได้ทีว่าเราสองคนเคยรักกันมากมายแค่ไหน

แต่คำอธิษฐานของผมมันไม่เคยได้ผล แดนหันมาหาผมด้วยสายตาเย็นชาและหยามเหยียด มองผมที่คล้ายกับการดูแคลน ผมชาวาบไปทั้งร่าง คำพูดนับล้านที่มีไว้เพื่อเหนี่ยวรั้งเขามันจุกอยู่ในลำคอจนไม่สามารถพูดคำใดๆ ออกมาได้

“เคยมีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอ?”

ผมรู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงกำลังจะหายไป รู้สึกราวกับว่าตัวเองหมดซึ่งทุกอย่างในโลกนี้แล้ว

“เราลืมมันไปหมดแล้วล่ะ ไมน์เอง…ก็ควรจะทำงานหาเงินบ้างนะ จะได้ไม่มัวแต่คิดฟุ้งซ่านเรื่องเก่าๆ ที่มันไร้สาระแบบนี้”

จุก

ผมไม่เคยรู้เลยว่าคนเราจะสามารถเจ็บจากคำพูดของใครบางคนได้มากมายแค่ไหน วันนี้ผมรู้ซึ่งถึงความเจ็บปวดนั้นได้อย่างดี มันเจ็บจนเหมือนตายทั้งที่ผมยังคงหายใจ มันทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

คำพูดจากคนที่เรารัก การกระทำจากคนที่เราแคร์

ทุกอย่างมันชัดเจนเสมอแม้จะอยู่ในความทรงจำ ต่อให้เป็นความทรงจำที่เจ็บปวดก็ตามที แต่สมองของผมก็จะกักเก็บมันเอาไว้ รักษาความทรงจำอันล้ำค่าที่เคยมีกับเขามา ต่อให้มันเจ็บและทรมานแต่มันก็มีเขาอยู่

ดินแดนคนเดิมของผมที่เคยยิ้มสดใส วันนี้ไม่มีอีกแล้วสินะ

เขาเปลี่ยนไปมากมายขนาดนี้เลยหรือ ผมพลาดที่ตรงไหนกัน ผมทำอะไรผิดกันเขาถึงได้เดินห่างจากผมไปแบบนี้

ผมทนไม่ได้ รู้สึกเหมือนทุกก้าวที่ขาของเขากำลังก้าวเดินออกไป มันค่อยๆ ดึงลมหายใจของผมให้หลุดหายตามไปด้วย

อย่าไป อย่าไปเลยนะ

“อย่าไปนะ แดน…”

ผมร้องเรียกเขา ส่งเสียงที่แสนเบาหวิวราวกับเสียงลมที่พัดผ่านเรียกเขาเอาไว้ไม่อยากให้ไปไหน เพราะผมรู้สึกราวกับจะขาดใจทุกครั้งที่เห็นเขากำลังจะเดินไปจากผม มันเป็นความรู้สึกลึกๆ ที่คล้ายกับหวาดกลัว

ใช่ ความหวาดกลัวที่ว่า…

เขาจะไม่กลับมาอีก

“แดน…อย่า อย่าไปเลยนะ” ผมไม่มีเรี่ยวแรงจะฉุดรั้งเขาเอาไว้ มีเพียงแค่เสียงที่สามารถตะโกนมันออกไปได้

อย่าไป อย่าทิ้งไมน์

“เฮ้ยไมน์! นี่เราจะไปทำงานนะ! อย่ามางี่เง่าได้ไหม ถ้าว่างมากก็ไปหางานทำ ไม่ใช่คิดแต่จะคอยตามเราแบบนี้!”

ผมกัดริมฝีปากที่สั่นระริก กำมือทั้งสองข้างเอาไว้อย่างอดทนอดกลั้น ผมกำลังอ่อนแอ อ่อนแอเพียงเพราะผู้ชายที่ชื่อดินแดนคนนี้ คนที่ทั้งชีวิตของผมรักเขามากเหลือเกิน

“แดน แดนจะกลับมาในตอนเย็นใช่ไหม” บอกไมน์สิ ให้ไมน์ได้เข้าใจ ให้ไมน์ได้มีความหวังสักนิด

“อืม”

ผมไม่รู้หรอกว่าการตอบกลับมาแบบนั้นเป็นเพียงการตัดความรำคาญจากผมหรือเปล่า แต่แค่เขาตอบมาผมก็ยินดีจะรอเขาแล้ว

ผมปล่อยให้แดนเดินจากไปส่วนตัวเองก็กลับเข้าห้องมา กลิ่นอับจากการถูกทิ้งเอาไว้หลายวันทำให้ผมย่นจมูกลง เดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อระบายเอาอากาศภายนอกเข้ามาทดแทน ระหว่างนั้นผมก็จัดการเก็บกวาดทำความสะอาดห้องตัวเองอย่างจริงๆ จังๆ เฝ้ารอให้เวลามันผ่านไปอย่างไม่รีบร้อน

เพราะแดนบอกแล้วว่าจะกลับมา แดนบอกแล้วว่าจะกลับมาอย่างแน่นอน ผมเชื่อเขา…







 
........50%........



เดินออกมาค่ะลูก เขาไม่รักก็เดินออกมาซบอกแม่ ครึ่งแรกมากแล้ว พรุ่งนี้เจอกันครึ่งหลังนะคะ 

เป็นเจ้าของ

ออฟไลน์ Windtofree

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เอาจริงๆเป็นคนเกลียดคนที่แบบอ่อนแอแบบนี้มากๆเลยครับ ละยิ่งอ่อนแอกับเรื่องความรักนี้โดยไม่รักรักตัวเองเลยเนี่ย  :mew5:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[4] 100%

ผมเปิดประตูห้องของแดนออกด้วยกุญแจสำรองที่เชาเคยให้ผมเอาไว้ เข้ามานั่งรอเข้าในห้องอย่างเคยเหมือนทุกๆ วันที่เราคบกัน ผมทำอาหารเอาไว้หลายอย่าง วางมันเอาไว้บนโต๊ะพร้อมทานเรียบร้อย เขาจะต้องหวนนึกถึงมันอย่างแน่นอนเมื่อได้สัมผัสมันอีกครั้ง

ผมเชื่อเรื่องความคุ้นเคย เชื่อว่าคนเราเมื่อคุ้นเคยกับมันไปแล้ว จะไม่มีวันลืมมันไปได้

แต่ในตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกมากนัก ห้องของดินแดนยังคงเหมือนเดิม ไม่ว่าจะกี่ครั้งเขาก็ไม่เคยสักครั้งที่จะเก็บกวาดมันด้วยตัวเอง

ผมได้แต่ส่ายหน้ากับการถอดเสื้อผ้าทิ้งเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นกางเกงหรืออันเดอร์แวร์ ผมไม่เคยรังเกียจที่จะตามเก็บกวาดให้เขา มันเป็นหน้าที่ของคนเป็นแฟนกัน เรื่องแค่นี้…มันธรรมดามากนะสำหรับผม แม้ว่าเกิดมาจะไม่เคยทำมันเลยก็ตาม แต่ผมก็เรียนรู้มันด้วยระหว่างที่พยายามเข้าใกล้กับเขา

ดินแดนทำให้ผมได้ทำในสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำ

ดินแดนทำให้ผมรู้จักหลายๆ สิ่งที่ผมไม่เคยรู้จัก

!!!

นะ นั่นมัน…

ผมยืนนิ่งค้าง มองสิ่งที่ปรากฏอยู่ในถังขยะอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ผมรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว รู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดของโลกที่มีมากกว่าปกติจนทำให้ผมต้องทรุดกายลงไปกับพื้น

เขาทำมันจริงๆ หรือ? เขาทำแบบนั้นได้จริงๆ น่ะหรือ?

สิ่งที่อยู่ในถังขยะยังไม่ทำให้ผมร้องไห้ได้เท่ากับกางเกงในตัวจิ๋วของผู้หญิงที่อยู่บนเตียงของดินแดน เตียงที่เราสองคนเคยใช้มันด้วยกัน

เตียงที่เป็นความทรงจำอันมีค่าของเราสองคน เขาทำมันได้ยังไงกัน

พาใครที่ไหนก็ไม่รู้มานอนบนเตียงของเรา มาทำซ้ำรอยผมได้ยังไง!!

“ฮึก ฮือๆ”

แดน ทำได้ยังไง ทำกับไมน์แบบนี้ได้ลงคอจริงๆ หรือ ใจร้ายเหลือเกิน

“อื้อ พอแล้วนะ ไมน์ไม่ไหวแล้ว” ผมร้องห้ามเมื่อรู้สึกได้ถึงริมฝีปากที่ไต่ลงมาจากลำคอและเคลื่อนต่ำลงไปเรื่อยๆ แดนเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยแววตาหวานฉ่ำ ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมบนหน้าของผมออก

“ไมน์หวานนี่นา เราจะพอแค่นี้ได้ยังไงกัน” ผมยิ้มเขิน ขยับหันไปด้านข้างเพื่อให้เราสองคนได้มองหน้ากัน

“เรายังมีเวลาอีกตั้งนานนี่นา ใช่ว่าเราจะเลิกกันพรุ่งนี้เสียหน่อย”

แดนหัวเราะดึงมือของผมไปกุมแก้มของเขาเอาไว้ ใช้ริมฝีปากจูบเบาๆ ที่ฝ่ามืออย่างเอาอกเอาใจ ผมยิ้มให้เขา ผมชอบเวลาที่เขาแสดงให้เห็นว่ารักผมขนาดไหน มันทำให้หัวใจของผมเต้นแรงยิ่งขึ้นและไม่มีทีท่าจะสงบลงได้ง่ายๆ

ดวงตาของแดน ผมไล่นิ้วไปตามเปลือกตาของเขา สัมผัสมันอย่างแผ่วเบาเพื่อจดจำไว้ด้วยความรู้สึก

จมูกของแดน ผมเลื่อนลงมาลูบไล้สันจมูกและปลายจมูกของเขาอย่างอ่อนโยน โดยที่มีแดนทำเพียงมองผมเอาไว้นิ่งๆ

ริมฝีปากของแดน มันเป็นสิ่งที่ผมชอบมากที่สุด เพราะเขามักจะยิ้มอ่อนโยนมาให้ผม ชอบที่เขาเรียกชื่อผมทุกครั้งที่เราอยู่ด้วยกัน ชื่อของผมถูกเอ่ยออกมาด้วยริมฝีปากนี้ นั่นคือสิ่งที่ผมชอบมากที่สุด

“ถ้ายังลูบอีก เราจะต่อรอบสองแล้วนะ”

“อ๊ะ! บ้าๆ” ผมอุทานเมื่อถูกเขาแกล้งด้วยการงับเอานิ้วของผมเข้าไปในปาก ใช้ฟันที่เรียงตัวสวยครูดมันเบาๆ เพื่อยั่วเย้าผม

แต่นี่มันครั้งแรกของผมนะ ให้ต่ออีกรอบคงไม่ไหวแล้วล่ะ แค่นี้ผมก็เจ็บไปทั้งตัวแล้ว

“ไมน์…แดนรักไมน์นะ” ผมย่นจมูกใส่คำบอกรักเสียงแหบพร่าของเขา

“ฮึ! จะรักได้นานขนาดไหนกัน” ผมแกล้งเย้าแหย่เขาบ้าง เหมือนแดนจะรู้ทันจึงได้ดึงผมเข้าไปกอดไว้จนแน่น

“จะรัก…ตลอดไป รักจนกว่าไมน์จะไม่อยากเป็นของแดน” ผมหัวเราะคิกคักกับคำตอบของเขา หัวใจดวงน้อยในอกพองฟูขึ้นมาแทบจะทันที เก่งจริงๆ เชียวเรื่องที่ทำให้ผมดีใจแบบนี้ ปากหวานก็ไม่มีใครเกิน

“จะเชื่อได้เหรอ?”

แดนลูบศีรษะของผมเบาๆ มันทำให้ผมรู้ว่าเขาเองก็รักผมไม่น้อย สายตาและจังหวะการเต้นของผมใจมันไม่เคยโกหก และผมเห็นและได้ยินมันอย่างชัดเจน

ดินแดนรักผมไม่ใช่เรื่องโกหก และผมเองก็รักเขามากเกินกว่าจะโกหกได้เช่นกัน

“เชื่อได้สิ แดนรักไมน์แค่คนเดียวเท่านั้นนะรู้ไหม”

คำว่ารักที่ถูกพูดออกมาทำให้ผมอดหน้าแดงไม่ได้ เป็นการบอกรักที่แสนหวาน แม้ว่าจะเพิ่งเสร็จจากเรื่องบนเตียงก็ตามที แต่ผมเชื่อเขา เชื่อคำว่ารักที่เขาบอก เชื่ออย่างไม่มีวันกังขาในคำพูดนั้น

“ห้องนี้เป็นของแดนนะ ถ้าวันหนึ่งแดนพาใครเข้ามา เราจะรู้ได้ยังไงกัน?” ดินแดนหัวเราะก่อนจะเอื้อมมือออกไปยังโต๊ะข้างเตียงฝั่งตนเอง เลื่อนลิ้นชักแล้วหยิบบางสิ่งออกมา แดนดึงมือของผมออกมาข้างหนึ่งก่อนจะวางบางสิ่งนั้นเอาไว้ในมือของผม

มันคือกุญแจ แต่กุญแจอะไรกันล่ะ?

“นี่คือ?” แดนยิ้ม

“กุญแจสำรองห้องนี้ไง แดนให้ไมน์ ไมน์จะได้เข้ามาได้ตลอด จะได้รู้ว่าแดนไม่มีวันพาใครเข้ามายังห้องนี้อีกเด็ดขาด” ผมมองกุญแจในมือยิ้มๆ รู้สึกร้อนผ่าวที่หัวตาอย่างบอกไม่ถูก

มันตื้นตัน มันดีใจ

“แดนสัญญา…ห้องนี้จะมีแค่เราสองคน ไม่มีทางเป็นคนอื่นอย่างแน่นอน”

ทุกความรู้สึกที่ได้รับมันเอ่อล้นขึ้นมาจนทำให้น้ำตาของผมไหลไม่ขาดสาย

“ขอบคุณ ฮึก นะ” ปลายนิ้วของแดนเกลี่ยไล่หยาดน้ำตาที่รินไหลของผมให้ออกไปจากใบหน้า หน้าผากของแดนขยับเข้ามาจนชิดเข้ากับหน้าผากของผม

“ขอบคุณทำไมกัน เราเป็นแฟนกันนี่ครับ”

แฟนกัน ในที่สุดเราก็ได้เป็นแฟนกัน ผมดีใจมากที่ได้ใช้คำคำนี้กับแดน ผู้ชายที่ผมรัก ดีใจที่เขาใช้มันกับผมเช่นกัน เราสองคนเป็นแฟนกัน และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป

“เราเป็นแฟนกัน ฮือออ”

“อ้าวๆ ขี้แยเสียแล้วแฟนเรา”

“อยะ อย่าแซ็วเรา ฮึก นะ” แดนกลั้วหัวเราะในลำคอ ดึงแก้มของผมเบาๆด้วยความเอ็นดู

“ใครจะไปกล้าครับ รักขนาดนี้”

“รัก ฮึก รักไมน์จริงๆ นะ ฮือๆ” หน้าผากของผมถูกแดนจรดริมฝีปากลงไปแผ่วเบา

“รักสิ รักที่สุดเลยล่ะ”

ผมถูกแดนเย้าแหย่กับความขี้แยในครั้งนี้อยู่นาน ใช้เวลานอนมองหน้ากันแทบจะทั้งคืน ค่อยๆ เรียนรู้กันและกันมากขึ้นจากการสัมผัสด้วยหัวใจและร่างกาย ใช้การมองและการพูดคุยในการสื่อสารความรู้สึกต่อกัน มันดีเหลือเกินสำหรับผม ทุกอย่างในตอนนี้ดีจนผมคิดว่าถ้าหากเป็นความฝัน ผมก็ไม่ขอตื่นขึ้นมาอีกจะดีกว่า


อยากจะหยุดเวลาเอาไว้ตรงนี้ ในช่วงเวลาที่เราสองคนต่างก็มีกันและกันไว้ตลอดไป

แต่แล้ววันนี้ วันที่ผมฝันสลาย วันที่ดินแดนคนนั้นไม่อาจทำตามคำพูดที่เคยบอกผมได้อีกแล้ว

นี่น่ะหรือไม่มีวันพาใครเขามาอีกแล้ว นี่น่ะหรือคือคำสัญญาที่เขาให้เอาไว้กับผม นี่น่ะหรือคือความรักที่เรามีให้กันมาตลอดสองปี ช่างให้ความรู้สึกที่ทรมานดีเหลือเกิน

คนผิดสัญญา คนไม่รักษาสัญญา

ทั้งที่เป็นแบบนั้นแต่ผมกลับไม่สามารถถอยห่างออกมาจากเขาได้ ทั้งๆ ที่เห็นกับตาถึงเศษซากความหอมหวานของพวกเขาทั้งคู่ แต่ผมก็ทำได้แค่ยืนยันจะรักเขาต่อไป แม้ว่าจะทรมานมากกว่านี้อีกมากมายแค่ไหน แต่สุดท้ายผมก็เดินไปจากเขาไม่ได้อยู่ดี

ไปไม่ได้…

ผมไปจากเขาไม่ได้ เพราะผมยังตัดใจไม่ลง

ผมรู้ดีว่าตัวเองโง่งมแค่ไหน รู้ดีว่าตอนนี้หัวใจพังลงไปเท่าไหร่ แต่ผมยังไม่พร้อม ยังไม่พร้อมจะไปจากเขา ไม่พร้อมจะต้องเสียเขาไป ความทรงจำทุกอย่างที่มีเขาอยู่มันดีมากเหลือเกิน ความสุขที่เคยได้รับมาจากเขา มันทำให้ผมโง่งมงาย ยังคงเฝ้ารอให้เขาเดินกลับมารักกันเหมือนดังครั้งก่อน

ให้เหมือนตอนที่เรามีกันและกัน

ผมทิ้งตัวลงกอดตัวเองแน่น หลับตากัดฟันกับภาพความทรงจำต่างๆ ที่หลั่งไหลออกมาไม่หยุด ตอกย้ำความรักที่แสนโง่งมของผมให้มากยิ่งขึ้นไปอีก ทุกครั้งที่ผมเจ็บปวดจนอยากจะตัดใจ จะถูกรักษาด้วยความทรงจำที่เราสองคนรักกัน

รอยยิ้ม แววตา เสียงหัวเราะ

ทุกสิ่งที่สมองสามารถนำมันออกมาจากจิตสำนึกได้ ไม่ว่าจะเป็นอะไร มันถูกฉายวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนผมอยากจะตายๆ ไปเสียให้มันรู้แล้วรู้รอด

ทั้งที่สมองปลดปล่อยความทรงจำต่างๆ ออกมารักษาความเจ็บปวด ร่างกายก็ปลดปล่อยน้ำตาออกมาเพื่อให้ความเจ็บปวดลดน้อยลงไป

มีเพียงแค่หัวใจของผมที่ไม่สามารถหยุดความเจ็บปวดไว้ได้ ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมทุกสิ่งที่ผมทำให้เขามันถึงไม่มีค่า ทำไมเป็นผมที่ถูกทิ้งให้เดียวดาย

ผมผิดที่ตรงไหนกัน?

หรือผมผิดที่รักเขามากเกินไปจนไม่สามารถหยุดความเจ็บปวดในใจตัวเองได้ ผิดที่ทนกับความทุกข์ใจที่ต้องรับในตอนที่รักเขาไม่ได้กัน? ผมผิดที่ตรงนั้นใช่ไหม?

แล้วผมควรจะทำยังไง ผมควรจะทำแบบไหนถึงจะสามารถ…เสียเขาไปได้โดยที่ตัวเองไม่ต้องหยุดหายใจ

ใครก็ได้ช่วยบอกผมที ว่าผม…ต้องทำยังไง





การนอกใจไม่ว่าเหตุผลมันจะเป็นอะไร ก็ลบล้างการนอกใจไม่ได้อยู่ดี บีบหัวใจกันรัวๆทั้งที่เพิ่งเริ่มเรื่องมาได้แค่สี่ตอน โอ๊ย อยู่ด้วยกันก่อนนะคะทุกคนนนน 

เป็นเจ้าของ

ออฟไลน์ Windtofree

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มูฟออนจ้า ของตายยังมีค่ามากกว่าไมซ์อีกตอนนี้

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[5] 50%


หัวใจที่บอบช้ำ

ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเจ็บปวดได้มากขนาดนี้มาก่อน สิ่งที่ได้เห็นได้รับรู้และเข้าใจมันในตอนนี้ช่างเป็นความทรมานที่แสนยาวนาน เป็นความทรมานที่ผมเป็นคนเลือกและยึดเหนี่ยวมันเอาไว้เองไม่สามารถโทษใครได้ เป็นเพราะตัวผมเองที่ไม่สามารถอยู่ให้ได้เมื่อขาดแดน

ถ้าหากผมสามารถเดินออกไปจากเขาได้มันคงจะดี

แต่เมื่อไหร่ที่ผมปรารถนาจะเดินออกไปจากเขา สมองของผมจะหลั่งไหลภาพความทรงจำดีๆ ระหว่างเราออกมา ทุกสิ่งที่เราสองคนเคยมีด้วยกัน ช่วงเวลาอันแสนสุขที่เราสองคนต่างก็ใช้มันด้วยกัน

มันไม่เคยลบเลือนไปเลยด้วยซ้ำ

ผมมีโอกาสไหมที่จะทิ้งแดนไป?

มีสิ มีมากมายหลายต่อหลายครั้ง เพียงแค่ผมต่อสายโทรศัพท์ไปที่บ้าน บอกความต้องการตัวเองว่าอยากกลับไป ผมว่าไม่ถึง10นาทีพ่อและพี่ชายของผมคงส่งพี่ชาติมารับผมถึงที่

คิดแล้วก็ตลก ทำไมผมถึงยอมทิ้งชีวิตที่สุขสบาย ชีวิตที่มีทุกๆ อย่างที่ทุกคนปรารถนาจะมีออกมาเพื่อความรักด้วย คำถามข้อนี้ผมไม่เคยตอบตัวเองด้วยตรรกะใดๆ ได้ เพราะคำตอบที่ผมมักจะตอบออกมาทุกครั้งก็คือ

ผมรักเขา ผมรักแดนมากพอจะยอมทิ้งทุกๆ อย่าง

แต่แดนคงรักผมไม่มากพอสินะ

ผมอยาก…เดินออกไปจากจุดนี้ อยากเป็นอิสระจากความเจ็บปวด

แต่เพราะตัวผมยังไม่สามารถเข้มแข็งได้มากขนาดนั้น ผมจึงได้แต่ยืนอยู่ที่เดิม ยืนรับความเจ็บปวดที่ถูกทำร้ายจิตใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนหัวใจเกือบจะแตกสลายไปแล้วด้วยซ้ำ

ผมรู้ดีว่าตัวเองอ่อนแอ รู้ดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นเพราะผมเองเพียงคนเดียว

แต่สิ่งที่ทำให้ผมอดทนยอมรับความเจ็บปวดมากมายที่ถูกเขากระทำ มันคือ…ความหวัง เป็นความหวังที่ผมใช้มันหล่อเลี้ยงหัวใจเอาไว้ เป็นตัวเยียวยาชั้นดีที่จะทำให้หัวใจของผมยังคงเต้นต่อไปได้

ความหวังที่ว่า สักวันดินแดนจะหันกลับมารักผมเหมือนเดิม

ความโง่งมที่พวกเขาเรียกผม คนโง่เง่าที่เอาแต่ยึดติดอย่างที่เพื่อนของดินแดนเรียกผมนั้น มันไม่ได้ทำให้ผมเจ็บปวดมากไปกว่าเดิมเลย

ไม่มีอะไรเจ็บปวดไปกว่าการได้รู้ว่า…คนที่ตัวเองรักนอนกับคนอื่นอีกแล้ว

“ดินแดน…”

ผมเรียกเขาทำไมกันนะ ทั้งๆ ที่ควรจะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร คนอย่างดินแดนไม่มีทางมาหาผม ต่อให้ผมกำลังจะตายไปก็ตามที

“ไมน์! มึงฟื้นแล้วเหรอ!” ผมไม่อยากลืมตาขึ้นมาพบกับความจริงหรอก แต่เสียงที่เจือไปด้วยความห่วงใยจากอนุรักษ์มันทำให้ผมต้องฝืนลืมตาขึ้นมามองอย่างช่วยไม่ได้

“ที่นี่…” ห้องสีขาวสะอาด กับสายน้ำเกลือ

ฮึ! นี่ผมคงน็อกไปอีกแล้วสินะ

“โรงพยาบาล มึงเป็นยังไงบ้าง” เป็นยังไงหรือ…

“กูหิวน้ำ…” รู้สึกเหมือนตัวเองขาดน้ำไปนานจนคอแห้งผาก

“ได้ๆ น้ำ น้ำๆ” อนุรักษ์มันเดินหันซ้ายหันขวา มิงหาน้ำเพื่อจะเอามาให้ผมได้ดื่ม นิสัยของมันก็แบบนี้ เวลาผมเจ็บ มันเองก็เป็นคนที่เจ็บไปด้วยกันกับผม

เคร้ง!

“โว้ย ใครตั้งโต๊ะไว้ตรงนี้วะแม่ง!” ผมอยากจะหัวเราะกับความซุ่มซ่ามของมัน แต่ผมดันไม่มีเรี่ยวแรงเหลือเฟือขนาดนั้น โต๊ะมันก็ต้องวางอยู่ตรงนั้นตลอดอยู่แล้ว ใครจะไปเคลื่อนย้ายมันกันล่ะ เป็นเพราะมันใจร้อนนี่ล่ะถึงได้เจ็บตัว

รักค่อยๆ เดินกะเผลกๆ มากหาผมช้าๆ ในมือถือแก้วน้ำเอาไว้พร้อมกับหลอดที่จะให้ผมดื่ม เห็นมันทำเพื่อผมขนาดนั้นมันก็ดีใจอยู่หรอก แต่เป็นมันทุกครั้งที่จะเป็นคนดูแลผม คอยห่วงใยเอาใจใส่ผม ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว มันไม่ต้องทำก็ได้

ขนาดแฟนผม ยังไม่มาสนใจไยดีอะไรผมเลยสักนิด ฮะๆ

“ได้แล้ว มึงค่อยๆ นะ” ผมยกศีรษะขึ้นเพื่อจะดูดน้ำจากหลอด โดยมีรักที่ทำหน้าที่คอยประคับประคองผมเอาไว้ไม่ให้ฝืนแรงมากเกินไป

“รัก…อยากกินน้ำเย็น” อนุรักษ์หน้าตึง จิกตาใส่ผมชนิดที่แทบจะตบหัวผมด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่าป่วย

“แดกน้ำนี่ล่ะ รอมึงหายค่อยกินน้ำเย็นอะไรนั่น!” ว่าแล้วไหมล่ะ มันไม่ยอมให้ผมกินจริงๆ ด้วย

“แล้วนี่กูมาอยู่โรงพยาบาลได้ยังไง มึงพากูมาหรือ?”

อนุรักษ์เดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงของผม สีหน้าของมันดูไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก แต่ผมไม่รู้หรอกว่าเรื่องอะไร รู้แค่รักไม่เคยเป็นแบบนี้ให้เห็นได้บ่อยนัก ส่วนมากรักจะเพียงแค่โวยวายเสียมากกว่าตามนิสัยของมัน

“มีอะไรก็พูดมาเถอะ” รักถอนหายใจออกมาเสียงดัง แววตาที่ใช้มองผมเปลี่ยนมาเป็นจริงจังจนผมเองยังแอบตกใจไม่หาย

“กูว่ามึงกลับบ้านเถอะไมน์ มึงอยู่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรมันดีขึ้นมาหรอก” ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งยิ้มที่แสนอ่อนแรงไปให้มัน

ผมรู้ ไม่ใช่ไม่รู้ แต่ผมยังไม่พร้อมจะเดินจากไปก็แค่นั้น

“มึงไม่เข้าใจรัก กูไปไม่ได้”

“มึงจะดื้ออยู่กับมันไปถึงไหนวะไมน์ มึงไม่เห็นหรือไงว่ามัน…ฮึ่ย!”

“ว่ามันมีคนอื่นไปแล้วใช่ไหม คำนี้สินะที่มึงจะพูด” ผมทั้งจุกทั้งเจ็บ ทั้งรวดร้าวไปหมด แต่สิ่งที่ทำได้คือฝืนหัวเราะออกมาเบาๆ ต่อหน้าเพื่อน เพื่อให้มันสบายใจไปบ้าง

“ไมน์…กูขอเถอะ มึงเลิกกับมันสักทีเถอะนะ กู…จะทนมองเพื่อนตัวเองถูกทำร้ายจิตใจขนาดนี้ได้ยังไงวะ!” ผมได้แต่ทอดสายตาขึ้นไปมองเพดานสีขาว

เลิกหรือ…ทำไมผมจะไม่อยาก

เพียงแต่ผมทำไม่ได้ ผมยังไม่เข้มแข็งเพียงพอจะเดินออกมาจากแดน

“กูยังเลิกกับแดนไม่ได้” มันไม่เข้าใจ

“ทำไมวะไมน์ ทั้งๆ ที่มึงเจ็บขนาดนี้ มึงต้องเจ็บไปอีกแค่ไหน มึงถึงจะยอมเลิกกับมันสักที!” ผมรู้ รู้ดีว่ารักมันห่วงผม เพราะเราเป็นเพื่อนกัน มันถึงอยากให้ผมเลิกกับแดน

แต่ไม่ใช่ว่าผมดื้อดึงอะไร ผมแค่…ยังไม่สามารถอยู่ได้ถ้าขาดแดนไป

ผมไม่สามารถใช้ชีวิตในวันพรุ่งนี้ได้ถ้าไม่มีแดนอยู่ในช่วงเวลานั้น ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรทำยังไง ควรจะต้องทำแบบไหน เพราะทุกสิ่งที่ผมวางแผนเอาไว้ มันมีแต่แดนเท่านั้นที่เป็นส่วนสำคัญในชีวิตของผม

ชิ้นส่วนสำคัญที่ผม…ไม่มีไม่ได้เด็ดขาด

“มึงไม่เข้าใจรัก ไม่เข้าใจว่ากูเดินออกมาจากที่ที่กูยืนอยู่ตอนนี้ไม่ได้” ผมไปไม่ได้ ผมไปจากเขาไม่ได้จริงๆ

“บ้าเอ๊ย!” รักสบถอย่างหัวเสีย มันหงุดหงิดงุ่นง่านด้วยความไม่พอใจ แต่ผมไม่โทษมันต่อให้มันจะด่าว่าผมโง่อีกสักกี่ครั้ง ให้มันมองผมด้วยสายตาดูแคลน ผมก็ไม่มีวันโกรธรัก

“มึงรู้ไหมไมน์ มึงรู้ไหมว่าคุณลุงคุณป้าเขาคิดถึงมึงขนาดไหน?”

“…” ผมเอียงใบหน้าหนี ไม่คิดจะสบตากับรักในตอนนี้

“มึงรู้ไหมว่าพวกท่านรอวันแล้ววันเล่า รอคอยให้มึงกลับบ้าน มึงรู้บ้างไหม!”

“…” ผมหลับตานิ่งๆ ปล่อยให้น้ำตาไหลลงช้าๆ

รู้สิ รู้ดีว่าทำแบบนี้มีกี่คนที่กำลังรอคอยให้ผมกลับไปอยู่

“แต่มึง…มึงกลับเอาแต่คิดถึงมัน ไอ้เหี้ยที่มันไม่เคยแม้แต่จะเห็นค่าของมึง กกกอดอยู่กับผู้หญิงคนนั้นจนมึงต้องมาล้มป่วยแบบนี้! มึงกลับเอาแต่คิดถึงมันมากกว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงมึงมา!!”

“ฮึก ฮือ”

“ทำไมวะไมน์ ทำไมมึงถึงต้องยอมทิ้งทุกอย่างมาแบบนี้ด้วย” ผมยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองทั้งที่มันกำลังสั่น ผมคิดถึงพ่อกับแม่นะ แต่ผมก็ยังกลับไปไม่ได้อยู่ดี

“มึงไม่เข้าใจ ฮึก ฮืออ”

“ใช่สิวะ กูถึงถามมึงอยู่นี่ไงว่ามึงจะยอมทนไปอีกนานแค่ไหน! อีกแค่ไหนมึงถึงจะยอมทิ้งมันสักที!” อนุรักษ์เสยผมขึ้นไปด้วยอาการหงุดหงิดของตัวเอง ผมรู้ว่ามันกำลังโมโห และมันกำลังปรับอารมณ์ตัวเองให้เย็นลงมากพอที่จะรอคำตอบจากผมได้

“บอกมาไมน์ อีก นาน แค่ ไหน!”

“กู ฮึก กูไม่รู้ ฮือๆ”

“ไมน์ นี่มึง! ....” ผมส่ายหน้าอย่างแรง สบสายตาของรักอย่างเว้าวอนให้มันรอฟังผมสักนิด

“ไม่ ฮึก ไม่ใช่นะ! กูแค่ ฮือ แค่อยากพยายามให้ถึงที่สุด ถ้าหาก ฮึก ถ้าหากว่ากูพยายามจนพอแล้ว ฮึก ฮืออ กูจะกลับบ้านด้วยตัวกูเอง”

เมื่อถึงวันนั้นที่หัวใจผมมันไม่สามารถฟื้นฟูขึ้นมาได้อีกแล้ว ผม…จะกลับไปที่บ้าน

กลับไปกอดพ่อและแม่ กอดพี่ชายที่ผมรักอย่างเต็มใจ

“มึงพูดเองนะไมน์”

“กู…สัญ ฮึก สัญญา”

“เฮ้อออ”







..........50%..........



ไมน์! ทำไมหนูดื้อแบบนี้คะลูก /ต่อสายหาคุณพี่ชายให้ส่งคนมาเก็บดินแดน แค่กๆ ไม่ได้ค่ะไม่ได้ นั่นพระเอก เราจะทำร้ายพระเอกตอนนี้ไม่ได้ ยังไม่ถึงเวลานั้นนนนน แล้วพบกันใหม่พรุ่งนี้กับครึ่งหลังนะคะ 

เป็นเจ้าของ

ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ขยี้อยู่ที่เดิมมา​นานละนะ
ปมคือรักมากไม่อยากจากไป
และต้องรอให้มีไคลแมกซ์​สำคัญก่อนถึงจะไปได้... รอวนไป

ออฟไลน์ Windtofree

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เบื่อความเวิ่นเว้อของนายเอกมาก ตื่นได้ละะะะะ

ออฟไลน์ tuek

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +214/-3
ไมน์ก็แค่กลับบ้านmove on จากผู้ชายเฮงซวยซะที

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[5] 100%


รักค่อยๆ ก้าวเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว มันคว้าตัวผมเข้าไปกอดเอาไว้ เราสองคนกอดกันแน่น มันลูบหลังของผมอย่างปลอบประโลมเบาๆ ใช้ความอ่อนโยนที่คุ้นชินพยายามให้ผมค่อยๆ หยุดร้องไห้ลง ผมรักอนุรักษ์นะครับ เพราะเราคบกันมานานมากและรักเป็นคนที่ผมสนิทด้วยที่สุด เราสองคนต่างก็เติบโตมาด้วยกัน เพราะงั้น…สำหรับรักแล้ว ผมก็คงไม่ต่างจาก น้องชายคนสำคัญ

“รัก…มึงโกรธกูไหม” โกรธไหมที่เพื่อนคนนี้โง่เกินกว่าจะยอมตัดใจได้

“โกรธ!” ผมหน้าหงอยลงทันตา รักดันผมออกจากอ้อมกอด มันมองใบหน้าของผมทีืเริ่มแดงจากการร้องไห้แล้วใช้นิ้วจิ้มหน้าผากผมอย่างไม่ออมแรง

“โอ๊ย เจ็บนะ!”

“ก็จิ้มให้เจ็บไงล่ะ!”

“ตกลงมึงโกรธกูจริงๆ หรือ?” รักกลอกตาไปมาแล้วถอนหายใจ

“ตั้งแต่รู้จักกันมา กูเคยโกรธมึงจริงๆ หรือไง” ผมส่ายหัวอย่างแรง เท่าที่จำได้รักมันก็ไม่เคยโกรธผมจริงๆ นั่นล่ะ

“ไม่เคย…”

“ก็รู้นี่!” ผมยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ยังไงเสียรักก็ดีที่สุดเสมอ ไม่ว่าจะผ่านมานานกี่ปี อนุรักษ์เพื่อนผมก็จะเป็นเพื่อนที่ไม่เคยโกรธผมจริงๆ นั่นล่ะ

“ขอบใจนะ…ว่าแต่ตกลงกูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” รักมันชักสีหน้าใส่ผม กระแทกหลังเข้ากับเก้าอี้อย่างไม่ชอบใจ ดูก็รู้ว่ามันไม่อยากจะพูดถึงด้วยซ้ำไป

แต่ยังไงผมก็ยังจำเป็นต้องรู้อยู่ดี

“เจ้าของห้องมันเอามึงมาทิ้ง”

เอามาทิ้งงั้นหรือ จะบอกว่าอาการเจ็บป่วยที่ผมเป็น การที่เขามาเห็นผมสลบไปในห้องของเขามันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรเลยงั้นหรือ ไม่มีความเสียใจ ความสงสารหรือแม้แต่ความรัก จะบอกผมว่าเขาสามารถตัดสินใจแบกผมเอามาทิ้งไว้ได้จริงๆ นะหรือ

ผมยกมือที่สั่นระริกขึ้นมาลูบตรงอกข้างซ้ายไปมาเพื่อบรรเทาความปวดร้าวที่กำลังเล่นงานหัวใจของผม หวังให้การปลอบโยนที่ผมทำไปจะสามารถช่วยลดอาการเจ็บปวดนี้ลงไปได้บ้าง ผมเจ็บกับการที่เขาไม่แคร์ เจ็บกับการที่เขามองไม่เห็นคุณค่าและความสำคัญ

แต่ที่เจ็บกว่าคือเขาไม่เหลือความรักให้ผมอีกแล้วแม้แต่เศษเสี้ยวของหัวใจ

นั่นต่างหากที่ทำให้ผมเจ็บปวด

ผมอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ อยากจะเดินออกไปแล้วทิ้งตัวดิ่งลงมาบนพื้นดินจากชั้นสูงๆ อยากลองประชดชีวิตด้วยการทำร้ายตัวเองแต่ผมก็ไม่สามารถทำได้ ผมทำได้เพียงแค่อดทนกับสิ่งที่กำลังเผชิญ บอกตัวเองว่ามันเป็นเพียงการทดสอบความรักระหว่างเราสองคนเท่านั้น ทั้งที่ความจริงผมไม่รู้ด้วย

ไม้รู้ว่าตัวเองควรจะทำยังไง หรืออควรจะรู้สึกแบบไหน

หัวใจของผมมันร้าวรานจนหาความรู้สึกอื่นใดนอกจากความทรมานไม่เจออีกแล้ว

“เขาคง…งานยุ่ง” มันคงเป็นแบบนั้น แต่ผมไม่รู้ว่าเสียงที่ส่งออกไปอย่างเบาหวิวมันใช้ยืนยันต่อตัวผทเอง หรือบอกเล่าให้กับรักได้ฟัง

ภาพสุดท้ายที่ผมจำได้ดีคือเราสองคนต่างก็รักกันมาก สิ่งที่ผมจำได้คือผมกับเขาเราสองคนต่างก็มีความสุขเมื่อมีกันและกัน แต่มันไม่ใช่อีกต่อไปแล้วสินะ…

ไม่ใช่ผมอีกแล้วที่เขาให้ความสำคัญ

“มึงควรจบมันลงไปได้แล้วนะไมน์…” ผมปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอาบสองแก้มอย่างช้าๆ ปล่อยความเจ็บปวดที่กำลังทำร้ายหัวใจของผมผ่านม่านน้ำตา มือของผมกำเข้าหากันจนแน่น ทั้งที่มันกำลังสั่นอย่างช่วยไม่ได้ จิกเล็บเข้าที่ฝ่ามืออย่างแรงเพื่อลดความทรมานในหัวใจ

ผมเคยได้ยินมา เขาบอกกันว่าหากร่างกายได้รับบาดเจ็บในช่วงเวลาเดียวกับที่เรากำลังเจ็บปวดทางจิตใจ มันจะสามารถลดความเจ็บทางจิตใจลงไปได้มาก

ผมไม่เคยลองมาก่อน แต่วันนี้มีโอกาสผมยอมรับเลยว่า…

ทุกอย่างมันจริง การระบายควาทเจ็บปวดไปกับร่างกายมันทำให้หัวใจของผมทรมานน้อยลงไปมากเลย มันทำให้ผมไม่ต้องทุกข์ทรมานจนเจียนตาย แม้จะลดลงไปไม่ได้มากขนาดที่จะลบมันออกไป แต่ก็มากพอให้ผมสามารถหายใจต่อไปได้ด้วยตัวเอง

“มันไม่ง่ายแบบนั้น…”

“มึงก็แค่ปล่อยมือที่มึงจับมันเอาไว้…” ผมก้มหน้าลงมองมือของตัวเอง ปล่อยให้หยาดน้ำตาค่อยๆ หยดลงไปบนหลังมือของตัวเอง

น้ำตาของเราร้อนดีนะครับ ร้อนจนรับรู้ได้ง่ายๆ เลย

“มือของกูงั้นหรือ?” ทำไมต้องเป็นมือคู่นี้ด้วยที่ต้องปล่อยไป ทำไมไม่เป็นใครอีกคนบ้างล่ะที่ควรจะปล่อยไป ทั้งๆ ที่ผมมาก่อน ทั้งๆ ที่ผมคือคนที่อยู่ในสถานะแฟน

แต่ทำไมล่ะ ทำไมต้องเป็นผมที่ต้องยอมแพ้

ทำไมถึงต้องเป็นผมด้วยที่ต้องยอมเสียแดนไป

“ใช่แล้วไมน์ มือของมึง” ไม่อยากปล่อยสักนิด ผมอยากดึงรั้งแดนเอาไว้ อยากจะยึดแดนเอาไว้ไม่ยอมให้ไปไหน ผมอยากเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ไร้ความรู้สึก อยากเป็นคนที่แม้จะเจ็บมากมายแค่ไหนก็ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด

ผมอยากเป็นคนแบบนั้น แต่สิ่งที่ผมเป็นคือคนที่รักเขามากมายจนการกระทำของเขามันตอกย้ำผมอยู่ทุกลมหายใจ ว่าเขาไม่มีผมอีกต่อไปแล้วในหัวใจดวงนั้น

“ฮึก…” ผมมันอ่อนแอ ทั้งที่ไม่ควรจะฟูมฟายกับความรัก แต่กลับไม่สามารถหยุดตัวเองได้

“ไมน์…”

ผมถูกรักดึงเข้าไปกอดจนแน่น น้ำเสียงของมันดูทรมานไม่ต่างไปจากผม สีหน้าและแววตาบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเจ็บปวดเหลือเกิน ผมซบหน้าลงกับไหล่ของอนุรัก ใช้ไหล่ของมันเป็ยที่พักพิงให้กับหัวใจที่อ่อนแอใกล้แตกสลาย

“ปล่อยมันไปเถอะนะไมน์ กูไม่อยากเห็นมึง…เจ็บอีกต่อไปแล้ว”

ผมรู้ว่ามันหวังดีต่อผมเอง แต่ผมก็ไม่สามารถหักห้ามหัวใจ หยุดความคิดถึงที่มีต่อแดนไปได้ สิ่งที่ผมทำได้คือรักมัน รักผู้ชายใจร้ายที่ย่ำยีหัวใจของผมอย่างไม่ปรานี ใช้ความรักของผมเป็นสิ่งที่ทำร้ายผมกลับมา ให้ผมได้ลืมตาตื่นขึ้นมามองความเป็นจริงว่า…คนที่เขาเลือกนั้นเป็นใคร

“กูเจ็บ ฮึก รัก กูเจ็บจังเลย”

“กูรู้…กูรู้ว่ามึงทรมานมากถ้าต้องปล่อยมือมัน”

“ฮึก…”

“มึงอาจจะอยู่ไม่ได้ถ้าขาดมันไป กูรู้ข้อนี้ดี”

“ฮือๆ” ผมคงขาดใจตาย ถ้าไม่มีแดน

“แต่รู้ไหมไมน์…ชีวิตของมึงไม่ได้มีแค่มันคนเดียวหรอกนะ” ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองรักผ่านม่านน้ำตา รักมันยิ้มเศร้า รอยยิ้มแสนเศร้าที่เต็มไปด้วยความทรมานนั้นผมเห็นมันมาเสมอ ถ้าหากมันเป็นเรื่องของผม

“มึงยังมีกู ยังมีพี่มิน ยังมีพ่อกับแม่ของมึง มึงยังมีพวกเขา”

ใช่สินะ ผมยังมีคนที่รักผมอีกมากมาย แต่ทำไมหัวใจของผม มันถึงไม่ยอมเข้าใจเสียที

“เพราะงั้นอย่ากลัวว่ามึงจะไม่มีใคร มึงแค่ปล่อยมันไปแค่คนเดียวไมน์ แค่มันคนเดียวไม่ได้ทำให้มึงไม่เหลือใคร”

รักจับมือของผมเอาไว้แน่น บีบมันเบาๆ แล้วประสานสายตามาที่ผมด้วยความรู้สึกหลากหลาย

“อย่าทำร้ายตัวเองอีกเลยว่ะ กูขอร้อง”





เพิ่งสังเกตุเหมือนกันว่าเรื่องมันดำเนินไปช้าจนเหมือนเล่นปมเดิมซ้ำๆไม่เดินหน้าไปไหน ตอนเขียนแมวเขียนไปทีเดียวจนจบเลย ตอนนั้นอาจจะดำดิ่งไปกับมันมากไปจนไม่ทันได้ทบทวน

 แมวขอน้อมรับคำติชมและจะนำไปปรับปรุงเนื้อเรื่องระหว่างนี้นะคะ ขอบคุณที่ติดตามและให้ข้อเสนอแนะค่ะ

ปล.รักไมน์ แค่กๆ เรือนี้ลงไม่ได้นะ ไม่เปลี่ยนพระเอกนะคะขอยืนยัน ห้ามลงเรือผิดนะ ห้าม!! ตอนหน้าลับมีดรอไว้เลยนะคะ เพราะคุณอาจต้องใช้ 


เป็นเจ้าของ

ออฟไลน์ Windtofree

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เหมือนจะตาสว่าง แต่ก็ยังเหมือนเดิม กับผู้ชายเฮงซวสแบบนี้

ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อาจเป็นเพราะคุณนักเขียนทยอยลงคราวละ​ 50% ทำให้เรื่องที่ช้าอยู่แล้วยิ่งดูช้าไปอีก​

ช่วงต้นนี้​ ลองลงเต็มๆ​ ตอน​ บ่อยหน่อย​ หรือถ้าจะสัปดาห์ละหนก็ลงสัก​ 2​ ตอนติดกันไหมคะ​ ในกรณีถ้ามีสต็อกเรื่องอยู่แล้ว

ถ้าคนอ่านเห็นความคืบหน้าแล้ว​ จะทยอยลง​50% ก็ได้

ลองดูค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-03-2020 19:05:21 โดย pktherabbit »

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[ุ6] 50%


เจียนตาย
[/b]

พอถูกทิ้งให้ต้องอยู่คนเดียวในห้องผู้ป่วยผมเองก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งถูกความเงียบที่มีเพียงเครื่องปรับอากาศที่ทำงานอยู่ก็ยิ่งทำให้ผมคิดไปไกล หวนนึกถึงเรื่องของเราสองคนอย่างควบคุมไม่ได้ สมองของผมหลั่งไหลเหตุการณ์ต่างๆ มาไม่หยุด อดคิดไม่ได้ว่าการที่ดินแดนทำผิดคำสัญญานั้นมันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้หรือเปล่า

ผมคิดไปต่างๆ นานา คิดไปถึงขนาดที่ว่าหากดินแดนเดินเข้ามาขอโทษผม วิงวอนให้ผมอภัยให้เขาแล้วเราสองคนจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกไหม

ซึ่งผมตอบตัวเองไม่ได้

ผมจะไม่โกหกว่าตัวเองเป็นคนดี ไม่! มันไม่ใช่เลย ผมเป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึกรุนแรง

รักแรง โกรธแรงและเกลียดแรง

เมื่อมีความรู้สึกที่รุนแรงแบบนี้ ผมที่เป็นลูกชายคนเล็ก ถูกคนที่บ้านโอ๋มาตั้งแต่เด็กมีหรือที่จะทนกับเรื่องพวกนี้ได้? ไม่! ที่จริงแล้วผมทนไม่ได้ แต่ที่ยังคงยืนอยู่ตรงนี้ทั้งที่ความอดทนหมดไปนานแล้วนั้นเป็นเพราะผมรักดินแดนมากเหลือเกิน

แต่ในขณะที่ผมยังคงจมอยู่กับเรื่องบ้าๆ ในสมอง เฝ้าถามตัวเองอย่างไร้ซึ่งคำตอบอยู่นั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออกทันที ตามมาด้วยร่างของใครบางคนที่ผมคุ้นตา

ร่างของคนที่ผมรักเขามากกว่าตัวเอง ดินแดนก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่แสนสง่างาม ใบหน้านิ่งเฉยไร้วี่แววโศกเศร้าเสียใจที่ควรจะมีให้เห็น เขามีเพียงแววตาไร้อารมณ์ที่จับจ้องมาที่ผม มองผมด้วยความรู้สึกไม่เหมือนเดิม และมันช่างสั่นใจผมได้ดีเหลือเกิน

ผมกำผ้าห่มข้างตัวเอาไว้นิ่งๆ มองใบหน้าของคนผมรักอย่างต้องการคำอธิบาย

ผมอยากรู้…เขาผิดสัญญากับผมจริงๆ ใช่ไหม?

เขาลืมมันจนหมดแล้วจริงๆ หรือกับวันเวลากว่าสองปีของเราสองคน มันไม่มีความหมายอะไรสำหรับเขาเลยหรือยังไงกัน เขาจึงได้เมินเฉยต่อผมในทุกๆ วินาที

“ไง…” เสียงของผมเอ่ยทักออกไปเพื่อทำลายความเงียบที่แสนน่าอึดอัดนี้ ดินแดนเดินเข้ามาหาผมอย่างช้าๆ ทุกย่างก้าวมันมั่นคงและหนักแน่น ดึงดูดสายตาของผมเสมอมาไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน

“แดนมารับไมน์กลับบ้านหรือ? เสียดายจังไมน์ยังต้องอยู่ที่นี่อีกสองสามวันน่ะ คุณหมอไม่ยอมให้ไมน์กลับตอนนี้นะสิ” มันฝืน ผมกำลังฝืนทั้งรอยยิ้มและน้ำเสียงสดใส ฝืนทำมันทุกอย่างเพื่อเขา เพื่อไม่ให้เขาต้องจากไป

สุดท้ายไม่ว่าจะเจ็บแค่ไหน เพียงแค่เห็นหน้าของแดน หัวใจของผมก็ไม่เคยตัดแดนออกไปได้จริงๆ

“เพราะงั้นวันนี้…”

“ไมน์…” ผมชะงักคำพูดลงทั้งๆ ที่ยังพูดไม่จบ ผมหลบตาของแดนเพราะไม่สามารถห้ามความอ่อนแอเอาไว้ได้ ไม่อยากจะร้องไห้ออกมาต่อหน้าเขา ผมพยายามกลืนก้อนสะอื้นลงไปในลำคอ กะพริบตาไล่ความร้อนที่แล่นขึ้นมา

“อืม…” ผมหลบตา แต่ยังรู้สึกได้ว่าดินแดนกำลังจับจ้องผมอยู่ไม่วางตา เขายังคงมองผมเช่นทุกวันที่มีเรา เพียงแต่ความรู้สึกที่เขามองผมในคราวนี้ มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

“หมอว่ายังไงบ้าง” ผมเม้มปากแน่น ดวงตาสั่นระริกทั้งที่หัวใจเต้นโครมคราม

แดนกำลังห่วงผม เขาเป็นห่วงผมใช่ไหม?

“ไม่ ไม่เป็นไรแล้ว หมะ หมอบอกว่าพักผ่อนน้อยเท่านั้นเอง” ผมยิ้มกว้าง ความดีใจแล่นพล่านไปทั่วทั้งตัวและหัวใจ จนผมไม่สามารถควบคุมรอยยิ้มเอาไว้ได้

ผมยังมีหวัง ความหวังยังไม่หมดไปจากเราสองคน

“ไม่ต้องเป็…”

“ไม่ได้เป็นห่วงหรอก แค่ไม่ชอบให้คนอื่นมาหาว่าเราทำร้ายไมน์”

ผมชะงักกับสิ่งที่ได้ยิน รอยยิ้มที่เคยเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังและความยินดีค่อยๆ จางลง ดวงตาผมไหวไปตามอารมณ์ที่ดิ่งลงเหว หัวใจบีบรัดจนรวดร้าวและทรมาน

เขาไม่ได้เป็นห่วงผม ผมไม่ได้ถูกห่วงใย

เขาเพียงแค่…กลัวคำกล่าวหา

นั่นสินะ นั่นคงเป็นเรื่องที่เขากลัวที่สุด ไม่ใช่อาการของผม ไม่ใช่ความเจ็บป่วยที่ผมเป็น เขาไม่ได้สนใจไยดีว่าผมจะเป็นหรือตาย

เจ็บจัง หัวใจของผมต้องทนเจ็บปวดขนาดนี้เลยหรือ

“แดน…”

“ถ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะ” ผมปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม ตัวสั่นไปกับแรงสะอื้นที่แสนเจ็บปวด แววตาของดินแดนไม่มีความเห็นใจแม้แต่น้อย มันเรียบเฉยและเย็นชาจนผมที่ถูกมองต้องปลดปล่อยความปวดร้าวออกมา

ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ไม่ใช่ความห่วงใยที่ชวนให้โล่งใจ

แต่เป็นประโยคตัดความรำคาญที่เขามอบมันให้ผม ดินแดนคนนี้ ใจร้ายดีเหลือเกินนะ จะต้องให้ผมเจ็บช้ำกับเขาไปอีกมากมายแค่ไหน

ทำไมเขาถึงเย็นชากับผมขนาดนี้!

ผมเป็นแฟนเขานะ!

“แดนคะ ไปกันหรือยังคะ” ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่เรียกชื่อแฟนผมด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานผ่านม่านน้ำตา เธอคนนั้น…ผู้หญิงที่ถูกแดนดึงไปในวันที่ผมเอาอาหารไปที่โรงแรม ผู้หญิงที่มองผมด้วยรอยยิ้มและแววตาเย้ยหยัน ผู้หญิงที่ผมเห็นเธอผ่านรูปที่เธอและแดนกำลังจูบกัน

ผมจดจำทุกอย่างได้เป็นอย่างดี ทั้งหน้าตาและรูปร่างของเธอ จดจำจากความเจ็บปวดที่แดนเป็นคนมอบให้ เธอคือคนนั้นสินะ คนที่ได้ครอบครองพื้นที่ในหัวใจของแดน เป็นคนที่ทำให้คนรักของผมผิดสัญญา

“ครับบัว ผมกำลังจะออกไปครับ” น้ำเสียงที่แสนอ่อนโยนที่ครั้งหนึ่งเคยมีมันไว้เพื่อผม วันนี้กลับมีไว้เพื่อใครอีกคน

ผมอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ แต่สิ่งที่ออกมากลับเป็นน้ำตาและเสียงสะอื้น ผมมันอ่อนแอ พ่ายแพ้ทั้งที่ยังไม่ได้สู้กลับไปด้วยซ้ำ เธอคนนั้นเพียงแค่เพิ่งมาใหม่ ผมกับแดนต่างก็ผ่านเรื่องราวมามากมาย ทั้งรอยยิ้ม ความสุขและความรักที่เราต่างมีให้แก่กัน

เธอเป็นใครกับถึงมาทำลายมันในวันนี้

เธอเป็นใครถึงได้มีสิทธิ์มีเขาข้างๆ แทนที่ผม!

“อุ๊ย! คุณไมน์ ขอให้หายป่วยไวๆ นะคะ” ทั้งที่เธอส่งยิ้มมา แต่ผมกลับมองว่ามันคือการเยาะเย้ยที่เธอส่งมาให้ คำที่เอ่ยออกมาราวกับห่วงใยกลับคล้ายการตอกย้ำซ้ำเติมให้ผมต้องทรมานยิ่งกว่าเก่า

ผมกัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้ มองเธอด้วยสายตาไม่ยินยอม ไร้ซึ่งความเป็นมิตรใดๆ ทั้งสิ้น สายตาของผมไม่ละไปจากเธอ

ผมเกลียดเธอที่เข้ามาทำให้เราห่างกันไป

ผมเกลียดเธอที่มาแย่งดินแดนไปจากผม ทั้งๆ ที่เรารักกันดี แต่เพียงแค่มีเธอเข้ามาเท่านั้น ดินแดนก็เปลี่ยนไป…

“ออกไปซะ เธอเป็นใครถึงมาเพูดกับแดนแบบนี้!” ผมคุมตัวเองไม่ได้ ความโมโห ความไม่ยินยอมมันบังคับให้ผมต้องตอบโต้เธอกลับไป

“ไมน์!”

ไม่ยอม ผมไม่ยอมหรอก

แดนน่ะ…เขาเป็นของผมต่างหาก!

“ออกไปเดี๋ยวนี้นะ! ออกไป!!” ผมตะคอกออกไปจนเสียงดังไปทั้งห้อง มองภาพที่เธอคนนั้นตัวสั่นระริก แววตาและใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างขยะแขยง

โกหกชัดๆ ดูก็รู้ว่าเธอแค่เล่นละครตบตา! เธอคนนั้นไม่เคยกลัวผม เธอไม่เคยแม้แต่จะสนใจด้วยซ้ำว่าผมจะเป็นยังไงรู้สึกแบบไหน

เธอแค่อยากแย่งแดนไปจากผม

ไร้ยางอายสิ้นดี! แดนเห็นอะไรดีในตัวผู้หญิงคนนี้กันถึงขนาดที่สามารถลืมเลือนวันเวลาดีๆ ที่เรามีด้วยกันมาไปได้ เธอพิเศษกว่าผมตรงไหน ผมสิ! ผมต่างหากที่รักเขามากที่สุด ไม่ใช่ผู้หญิงหน้าด้านคนนั้น!

“ขะ ขอ ฮึก ขอโทษค่ะ บะ บัวจะ ฮึก ฮือ ออก ปะ ไปเดี๋ยวนี้แล้วค่ะ ฮือๆ”

ตอแหล! เธอกำลังตอแหล แกล้งบีบน้ำตาทำตัวน่าสงสารทั้งที่ทำร้ายผมสารพัด!

ทำไมล่ะแดน! ทำไมถึงดูไม่ออกว่าเธอคนนี้มารยาสาไถยขาดไหน ทำไมถึงมองไม่เห็นเสียที!

“หยุดได้แล้วไมน์! ใบบัว ไม่ต้องไปครับ อยู่กับผมนี่ล่ะ!” ผมได้แต่มองดินแดนดึงเธอคนนั้นเข้ามากอดเอาไว้แนบอก ปลอบโยนเธอราวกับสิ่งมีค่าที่ต้องหวงแหน ภาพการเอาใจใส่ที่แดนมีต่อเธอมันทำให้หัวใจของผมแทบจะแหลกสลายจนต้องกัดริมฝีปากตัวเองอย่างแรงเพื่อระงับความเสียใจและโกรธเกรี้ยวเอาไว้

อ้อมกอดของแดน ทั้งๆ ที่มันเป็นของผมแท้ๆ แต่เธอกลับได้มันไป

กล้าดียังไงแย่งเขาไปจากผม!!

“ปล่อย อย่าไปกอดนะ แดนปล่อยสิ ปล่อยมันเดี๋ยวนี้!!!!” ผมก้าวลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว กระชากร่างของแดนออกจากเธอ แยกทั้งคู่ไม่ให้กอดกันต่อหน้าต่อตาผม ผมทนไม่ได้ ผมทนมองมันไม่ได้

“ไมน์! หยุดบ้าได้แล้ว!”

หยุดได้ยังไง จะหยุดได้ยังไง ถ้าผมหยุด ผมก็จะต้องเสียแดนไป ผมหยุดไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่ร่างกายและหัวใจของผมสั่งการทุกอย่าง ผมพุ่งตัวเข้าไปหาเธอ ดึงสายน้ำเกลือของตัวเองออกโดยไม่สนใจว่าเลือดมันจะไหลออกมาหรือเปล่า กระชากไหล่เธอแล้วกุมมันเอาไว้ทั้งสองข้างอย่างแรง เขย่าเธอโดยไม่สนใจเลยว่าเธอจะเจ็บแค่ไหน เพราะผมไม่คิดว่าในที่แห่งนี้…จะมีใครเจ็บไปมากกว่าผม

“คุณไมน์ บัวเจ็บค่ะ ฮึก อย่าทำบัวเลย” ยิ่งเธอทำท่าทางอ่อนแอเหลือเกินผมก็ยิ่งหงุดหงิด ยิ่งควบคุมตัวเองไม่ได้ ฝ่ายมือของผมยกขึ้นหมายจะตบเธอ แต่แล้วผมกลับถูกดินแดนคว้าแขนเอาไว้แล้วบีบข้อมือของผมอย่างแรง แววตาที่เขาใช้มองผมมันดูเลวร้าย ราวกับว่าผมคือฆาตกรที่ถูกตามล่า ทำความผิดมามากมายทั้งที่ผมเพียงแค่…ทำร้ายผู้หญิงของเขา

“ไมน์! คิดจะทำอะไรบัว!”

ปึก!







...........50%..........





เสียงอะไรคะ เอ๊ะ! เกิดอะไรขึ้น!! รอชมต่อได้ในวันพรุ่งนี้นะคะ คิกๆ
ปล. อยากให้ทุกคนอดทนรอกันอีกนิดนะคะ เพราะน้องใกล้แล้วจริงๆ อดทนอีกหน่อยน้าาา


เป็นเจ้าของ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ tuek

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +214/-3
คนอ่านก็จะทนไม่ไหวแล้วเหมือนกันอึดอัดจริงๆเมื่อไหร่ไมน์จะออกมาจากตรงนี้สักที

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[6] 100%

“ไมน์! คิดจะทำอะไรบัว!”

ปึก!


ผมถูกผลักจนศีรษะกระแทกเข้ากับขอบโต๊ะ แดนไม่สนใจผมแม้แต่น้อย เขาเอาแต่สำรวจใบหน้าของเธอคนนั้นเพื่อหาบาดแผล ในขณะที่ผมล้มอยู่ที่พื้น เลือดสีเข้มค่อยๆ ไหลลงมาจากศีรษะลงสู่แก้มอย่างช้าๆ กลิ่นคาวของเลือดลอยฟุ้งอยู่ในอากาศจนผมได้กลิ่นมันอย่างชัดเจน

ผมยกมือที่สั่นระริกขึ้นแตะบริเวณหน้าผากของตัวเอง มองของเหลวสีแดงที่เปื้อนปลายนิ้วอย่างร้าวราน มันเจ็บจนผมไม่อาจอธิบายได้ บาดแผลที่ผมได้รับมันไม่ได้ทำให้ผมอ่อนแอ แต่เป็นเพราะผมถูกทำร้ายจากเขาต่างหาก นั่นต่างหากที่ทำให้ผมเจ็บปวดจนอยากจะตาย

“ฮะ ฮะๆ”

เจ็บดีจัง เจ็บจนรู้สึกได้ถึงความตายที่อยู่ตรงหน้า

ผมหัวเราะพร้อมกับสบตากับดินแดนที่มองมายังเลือดสีสดบนใบหน้าของผม แววตาของเขาสะท้านวูบไหวไปครู่หนึ่ง เพียงเสี้ยววินาทีที่แทบไม่ทันสังเกตเห็น ก่อนที่มันจะเรียบเฉยราวกับไม่มีความรู้สึกผิดอยู่ในหัวใจ ผมยิ่งเจ็บปวดกว่าเป็นเท่าตัวเมื่อเห็นว่าเขาขยับเธอคนนั้นไว้ทางด้านหลัง แสดงออกชัดถึงการปกป้อง

ปกป้องเธอด้วยการทำร้ายผม นั่นสินะสิ่งที่เขาเลือกจะทำ

“ไมน์…”

อย่ามาเรียกชื่อของผม! อย่ามาทำเหมือนว่าผมเป็นคนที่ผิดในทุกอย่าง ทั้งที่เขาต่างหากที่ทำให้ผมเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจ! เขาต่างหากที่ทรยศต่อความรักที่ผมมีให้!

เขาต่างหากที่ทำ!

“หายไวๆ นะ”

“ห้ามไปนะ! ห้ามไปกับเธอนะ!”

อย่าไปจากผม อย่าทิ้งผมไปนะ

“ปล่อย ไมน์ปล่อยเดี๋ยวนี้!!” ผมส่ายหน้ากอดแขนของเขาเอาไว้แน่น แม้ว่าจะถูกอีกคนรังเกียจมากแค่ไหน แต่ผมไม่สามารถปล่อยเขาไปได้

ขอร้องล่ะ

โลกใบนี้…ผมต้องการแค่เขา

แต่คำวิงวอนร้องขอของผมช่างไร้ผล ดินแดนไม่สนใจผมสักนิด เขาสะบัดแขนออกจากผม ใช้มือที่เคยโอบกอดผมข้างนั้นโอบเอวของเธอออกไปจากห้อง ผมทิ้งตัวลงกับพื้นอย่างหมดแรง มองร่างของแดนที่เดินจากไปพร้อมกับเธอคนนั้น ผู้หญิงที่ชื่อใบบัว

ไม่! ผมไม่ยอมหรอก!

ผมตัดสินใจลุกขึ้นวิ่งออกไปตามทางที่แดนเพิ่งจะก้าวไป กวาดสายตามองหาร่างของคนที่ผมรักสุดหัวใจด้วยความหวัง เมื่อผมได้เห็นแผ่นหลังของเขา ความลังเลใดๆ ก็หายไปจนหมดสิ้น ผมออกตัววิ่งไปที่เขาทันที โถมร่างกอดแผ่นหลังของดินแดนเอาไว้จนแน่น ราวกับกลัวว่าเขาจะหายไป ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะมีใครมองสักกี่คน จะถูกจับจ้องด้วยสายตาแบบไหน

ขอเพียงรั้งเขาไว้ได้ ผมก็ยอมทำทั้งนั้น

“อย่าทิ้งไมน์ไปเลยนะแดน…อยู่กับไมน์เถอะนะ ไมน์ ฮึก รักแดนนะ แดนไม่รักไมน์แล้วหรือ” ผมโอบแขนรัดรอบร่างกายของเขา กระชับความอบอุ่นกอดเก็บเอากลิ่นกายที่แสนคุ้นเคยเอาไว้

ผมเสียเขาไปไม่ได้ ถ้าหากผมเสียเขาไป เท่ากับผมเสียเหตุผลที่จะหายใจไปด้วย

“ปล่อย…เราว่าไมน์ควรจะเข้าใจได้แล้วนะ” ผมส่ายหน้า ไม่ยอมรับสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งคำปฏิเสธหรือแม้แต่สิ่งที่เขากระทำ ผมรักเขา เราสองคนรักกัน นั่นคือสิ่งที่ผมเชื่อมั่น

“แดนจำได้ไหม ไมน์เคยบอกแดนแล้วว่าไมน์จะรักแดนตลอดไป เราสองคนจะรักกันตลอดไป ฮือ ทำไมล่ะ ทำไมแดนถึงลืมมันไป” แดนสลัดตัวผมออก สายตาและสีหน้ามีเพียงความเย็นชาที่ส่งมาให้ผม ไม่มีแม้เศษเสี้ยวความรักที่มีให้ผม

ผมทรุดกายลงกับพื้น กอดขาของแดนเอาไว้จนแน่นไม่ยอมปล่อยให้เขาไป ผมไม่เคยทำขนาดนี้เพื่อใครมาก่อน แต่ผมยอมทำเพื่อเขาเพียงคนเดียว

ศักดิ์ศรีใดๆ ผมก็ยอมแลกได้ ขอเพียงได้มีเขาต่อไปก็เพียงพอ

“ขอโทษนะ…เราลืมมันไปหมดแล้วล่ะ”

“ละ ลืมหมดแล้ว ฮึก ลืมแล้วจริงๆ หรือ ฮือออ”

เขาลืมมันไปหมดแล้วจริงๆ หรือ เขาลืมความรักที่เราสองคนมีให้กันไปจนหมดแล้วได้จริงๆ นะหรือ ทั้งๆ ที่ผม…ไม่เคยลืมมันไปได้เลยสักวัน แต่เขากลับลืมมันลงไปได้ง่ายๆ

“ใช่! ลืมไปหมดแล้ว”

ผมหมดเรี่ยวแรงจะฝืนดึงรั้งเขาเอาไว้อีก มองแผ่นหลังที่ค่อยๆ ห่างออกไปช้าๆ ด้วยหัวใจที่เจ็บปวดรวดร้าว ทุกๆ ก้าวที่เขาเดินจากไปเหมือนมีดที่กรีดลงมาบนตัวผมช้าๆ ย้ำจนแน่ใจแล้วว่าผมทรมานเกินกว่าจะตายลงไปได้ ผมปล่อยให้ตัวเองร้องไห้อยู่อย่างนั้น ไม่สนใจพยาบาลที่เข้ามาไถ่ถามอาการของผมด้วยซ้ำ ไม่ได้สนใจแม้แต่ความเจ็บปวดจากการถูกรักษาแผลบนใบหน้าและข้อมือ

เพราะไม่มีสิ่งไหนที่เจ็บไปกว่าใจของผมอีกแล้ว

ลืมหมดแล้ว…ลืมมันไปจนหมดแล้ว จริงๆ สินะ ผมไม่มีวันเป็นคนเดิมที่ได้ยืนเคียงข้างเขาอีกแล้วใช่ไหม ไม่มีวันที่ผมจะได้อยู่ในชีวิตเขาอีกแล้วใช่ไหม อนาคตที่เคยมีเรา ต่อจากนี้ไป…มันคงไม่เหลือเราอีกแล้ว

แล้วทำไมผมถึงทำใจยอมรับมันไม่ได้สักทีกะนล่ะ ทำไมเสียงร้องไห้และน้ำตาของผมมันถึงได้ไหลไม่ยอมหยุดแบบนี้ ทำไมผมถึงต้องเป็นคนที่เจ็บปวดมากกว่าใคร ทำไมล่ะ...ทำไมผมถึงต้องจดจำทุกๆ อย่างได้

ทั้งที่เขา…ลืมมันไปแล้ว

“วันนี้อยากกินอะไรล่ะแดน”

“กินไมน์…ได้ไหมครับ”


ลืมมันจนหมดแล้วสินะ ในวันที่เราสองคนกอดกัน

“หนาวหรือ?”

“ใช่ หนาวมากเลย”

“ไม่เป็นไรหรอก แดนสัญญาว่าจะกอดไมน์ตลอดไป หนาวเมื่อไหร่ แดนจะกอดไมน์เอาไว้เอง”


ทั้งที่ผมไม่เคยลืมมันได้เลยสักวัน แต่ทำไมล่ะแดน ทำไมถึงพูดออกมาว่าลืมมันไปแล้วอย่าง่ายดาย ความทรงจำของเราสองคนมันไม่มีค่าให้จดจำขนาดนั้นเลยหรือ มันเป็นเศษส่วนที่ไม่สมควรเก็บเอาไว้ในส่วนไหนเลยจริงๆ หรือ ผมเป็นเพียงแค่คนที่ไร้ค่าในสายตาของเขาจริงๆ ใช่ไหม

“ไมน์!!!” ผมเงยหน้าขึ้น หันกลับไปมองด้านหลังอย่างเหม่อลอย ดวงตาพร่าเลือนไปหมดจนมองแทบไม่เห็น รับรู้เพียงใครบางคนกำลังวิ่งตรงมาหาผม ดึงเอาตัวของผมเข้าไปกอดเอาไว้ ใช้ความอบอุ่นจากร่างกายถ่ายทอดมันมาให้ผมที่กำลังจะจมลงไปในทะเลอารมณ์

“พี่…มิน” อ้อมกอดของพี่มินกระชับแน่นขึ้น ร่างกายของพี่มินกำลังสั่น ผมรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นที่หัวไหล่

พี่มินกำลังร้องไห้ พี่ชายของผม…กำลังเจ็บปวด

แต่เพราะอะไรกันล่ะ เพราะอะไรพี่ชายของผมถึงต้องร้องไห้ด้วย ผมไม่เข้าใจ

“ใช่ๆ พี่เอง ไมน์…พี่เอง” เสียงของพี่มินสั่นเครือไปหมด ผมยิ่งถูกกอดรักจนแน่นขึ้นไปอีกเมื่อผมคอยแต่เรียกพี่ชายตัวเองซ้ำไปซ้ำมาไม่ยอมหยุด

ผมเหนื่อยจังเลย อยากลองหยุดหายใจดูบ้าง ถ้าหากว่าผมตายไป แดนจะเสียใจไหม ถ้าหากว่าผมหายไปจากโลกของเขา เขาจะจดจำผมได้สักเสี้ยวหนึ่งของความทรงจำไหม ถ้าหากว่าผม…ปล่อยเขาไป ผมจะถูกเขาลืมไปใช่ไหม เขาจะไม่มีผมอยู่ในความทรงจำอีกต่อไปแล้วใช่หรือเปล่า

“พี่…มิน” อย่าลืมผมนะแดน อย่าทิ้งผมออกไปจากความทรงจำของคุณเลยนะ ผมรักคุณมากเกินกว่าที่คุณจะเข้าใจ ผมอยู่ไม่ได้ถ้าหากต้องสูญเสียคุณไป แต่การถูกคุณลืมไปกลับยิ่งเป็นการฆ่าผมให้ตายทั้งเป็น

“ไมน์ หนูไมน์…กลับบ้านกันเถอะนะ กลับไปที่บ้านของพวกเรากันนะครับคนเก่ง”

“ฮึก พี่มิน ฮืออออออ”

บ้านของพวกเรา บ้านที่มีพ่อ แม่ และพี่มิน บ้านที่ผมจะยิ้มและมีความสุข บ้านที่มีแต่ความทรงจำอันแสนสุข

บ้าน…ของเรา





แดน!! แกกล้าทำน้องเหรอย๊ะ! ย้ากกกก!!! (รู้สึกเหมือนกำลังจะกลายเป็นฆาตกร 555) เอาล่ะค่ะ มารอลุ้นกันว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไงต่อ แต่บอกเลยว่า หึๆ อีกไม่นาน ไม่นานเกินรอ ไม่นานเราจะอยู่ในจุดที่จะหัวเราะไปด้วยกัน ฮ่าๆๆๆ

เป็นเจ้าของ

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
หัวใจที่แตกสลาย

ผมทอดสายตาออกไปทางหน้าต่างด้วยอาการเหม่อลอย ความเจ็บปวดจากการถูกทอดทิ้งมันทำให้ตัวผมเองไม่อยากจะสนใจในสิ่งไหนอีก ได้แต่จมอยู่กับภาพของดินแดนที่เดินเคียงข้างเธอคนนั้น ภาพแผ่นหลังของคนที่ผมรักกำลังค่อยๆ เดินจากผมไป ผมกอดขาตัวเองเอาไว้อย่างต้องการสิ่งยึดเหนี่ยว มันทรมานและปวดร้าวจนผมไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆ อีก

“ไมน์…ดูสิใครมาเยี่ยม” ผมหันไปมองตามเสียงเรียก แต่ความสนใจกลับไม่ได้ไปตามสายตาแม้แต่น้อย

ในสมองของผมว่างเปล่าเกินกว่าจะสามารถรับรู้อะไรได้ การถูกเรียกแล้วผมยังสามารถหันไปได้ มันเป็นเพียงปฏิกิริยาโต้ตอบอัตโนมัติจากร่างกายของผมเพียงเท่านั้น เพราะความจริงแล้วผมยังไม่สามารถดึงตัวเองออกมาจากภาพติดตานั้นได้

เขาเลือกจะทิ้งผมเอาไว้ตรงนี้ เลือกที่จะไปกับใครอีกคน…มากกว่าผมที่เป็นคนรัก

ความจริงแล้วผมควรจะยอมรับและเข้าใจมันได้เสียที แต่ผมก็ยังคงรอคอยและคาดหวังเอาไว้ ว่าสักวันหนึ่งเขาจะเดินกลับมาหาผม แล้วเราสองคนจะกลับไปรักกันอีกครั้ง ผมมีเขาอยู่ในชีวิตและหัวใจ มีเพียงเขาเท่านั้นที่เป็นเจ้าของทั้งร่างกายและหัวใจของผม

ทั้งที่เราสองคนต่างก็รักกันมาก ไม่สิ ต้องบอกว่า…ทั้งที่ผมรักเขามากต่างหาก เพราะตัวเขาไม่ได้รักผมอีกแล้ว เขาลืมเลือนทุกสิ่งที่เป็นผมออกไปจากใจของเขาแล้ว มันไม่มีคำว่าเราสองคนอีกแล้ว ชีวิตนี้ต่อไป…เหลือเพียงแค่ผมเพียงคนเดียว แค่ผมที่ไม่มีดินแดน

“ไมน์…พ่อกับแม่มาเยี่ยมนะครับ” เสียงของพี่มินปลุกผมจากความเหม่อลอย เพราะคำว่าพ่อกับแม่มันกระแทกเข้ามาตรงกลางใจผมอย่างแรง

น้ำตาค่อยๆ เอ่อล้นออกมาจากดวงตาที่บอบช้ำ ผมปล่อยให้มันไหลรินอย่างไม่คิดจะหยุดมันเอาไว้ ให้มันได้แสดงความอ่อนแอที่ผมมีออกมาให้จนหมด เพราะเพียงแค่เห็นหน้าของพ่อกับแม่ ผมก็รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณแล้วว่า จากนี้ไม่ว่าผมจะอยากอ่อนแอสักเท่าไหร่ ก็จะไม่มีใครเหยียบย่ำผมอีก เพราะพวกเขา…ครอบครัวของผมจะคอยปกป้องผมเอาไว้จนสุดกำลังที่มี

“พ่อครับ แม่ครับ ฮึก ฮือ”

“โธ่…ไมน์ลูกแม่” แม่สวมกอดผมแนบอก กดศีรษะของผมให้ซบลงไปที่อกอันอบอุ่นของแม่ มือของแม่ค่อยๆ ลูบหัวผมเบาๆ ถ่ายเทความรู้สึกที่ถูกรักมาให้ผมจนล้นเหลือ

ผมบังคับร่างกายที่สั่นระริกให้ยกมือขึ้นกอดตอบร่างของแม่ไป ซบใบหน้าร้องไห้อยู่ไม่ห่างไปไหน ผมอ่อนแอ ผมกำลังพ่ายแพ้ ผมจึงร้องไห้อย่างหนักเมื่อจับต้องความรู้สึกรักใคร่ที่หายไปนาน ผูกคนมองมาที่ผม พี่มินและพ่อต่างก็มองภาพที่ผมร้องไห้ไม่หยุด ส่งเสียสะอื้นราวกับจะขาดใจด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด อนุรักษ์ก็เมินหน้าหนีไปทั้งที่สายตาของมันเองก็มีแววปวดร้าวอยู่เช่นกัน

ผมไม่รู้ว่าถูกปลอบประโลมด้วยคำว่าไม่เป็นไรนะลูกอยู่นานเท่าไหร่ ผมรู้แค่เพียงว่าเพียงแค่คำคำนี้ก็สามารถทำให้ผมปลดล็อกตัวเอง ปล่อยความเจ็บปวดออกมาเป็นน้ำตาจนหมดสิ้น ส่งเสียงสะอื้นไห้อย่างไม่คิดจะอายใครจนเสียงดัง

ไม่มีใครเข้าใจผม มีแค่ครอบครัวของผมเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่เคียงข้างผมในตอนนี้

“แม่ ฮึก ผมคิด ฮือๆ ถึงแม่จังเลย ฮือออ”

คิดถึง คิดถึงที่สุด

ไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองคิดถึงความรักที่เคยได้รับมาตั้งแต่เด็กจนโตขนาดนี้ ไม่เคยรู้เลยจนถึงตอนนี้ว่าความรักที่เคยได้รับมามันดีมากมายแค่ไหน

“ผมคิดถึงพ่อ คิดถึงพี่มิน ฮึก ทุกคนเลย ฮือๆ” ทุกคนในบ้านสุทธิวรกุลต่างก็รักและเป็นห่วงผมกันทั้งสิ้น ผมคิดถึงทุกคน ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะคิดถึงสิ่งที่เคยมีได้ขนาดนี้ ในวันที่ผมล้มจนลุกขึ้นมาไม่ไหว มีเพียงแค่เพื่อนและครอบครัวเท่านั้นที่พาผมให้ยืนขึ้นมา

คิดถึงที่สุด คิดถึงจนผมไม่เคยคิดว่าตัวเองอยู่มาได้ยังไงในวันที่ไม่มีพวกเขา

“อย่าร้องไห้ไปเลยนะลูก” ผมส่ายหน้ากับอกของแม่ ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ต่อไปเรื่อยๆ พ่อขยับเข้ามาหาผมช้าๆ ยื่นมือออกมาลูบหัวผมอีกคน ใบหน้าของพ่อแม้จะเรียบเฉย แต่แววตาที่มองมาที่ผมกลับเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างแท้จริง

“เป็นลูกผู้ชาย เรื่องแค่นี้มันไม่เป็นไรหรอกนะไมน์”

“ฮึก แต่ผม ฮึก เจ็บตรงนี้ครับพ่อ ฮึก เจ็บตรงนี้” ผมชี้ไปที่ตำแหน่งหัวใจของตัวเอง บอกตำแหน่งที่ทำให้ผมเจียนตายอยู่ตอนนี้ให้พ่อได้รับรู้ ว่าผมเจ็บมากเหลือเกิน

ทุกคนต่างเงียบเมื่อเห็นว่าผมทรมานมากมายแค่ไหนจากแววตาและจำนวนน้ำตาที่ยังไม่หยุดไหล ผิวแก้มเปียกชุ่ม ชุดผู้ป่วยที่ผมใส่ก็เปียกไปด้วยเช่นกัน ความเงียบมันยิ่งทำให้เสียงสะอื้นของผมได้ยินจนชัดเจน พี่มินกำมือตนเองแน่น เม้มริมฝีปากด้วยความไม่พอใจ แววตากร้าวจนน่ากลัวไม่ต่างจากพ่อผม

“เขาสำคัญขนาดนั้นเลยหรือลูก ทำไมต้องเอาหัวใจไปให้เขาเหยียบเล่นด้วยคะ” ผมยิ้มทั้งน้ำตา สบตาแม่ด้วยความรวดร้าวที่มีมากเหลือเกินในหัวใจของผม

“ผมไม่รู้ครับว่าเขาสำคัญมากไหม ฮึก แต่แค่เขาเดินไปจากผม ผมก็แทบไม่อยากจะอยู่ต่อไปอีกแล้ว” ผมรู้ว่าไม่ควรพูดออกไปแบบนี้ แต่ผมเป็นแบบนั้นจริงๆ แดนสำคัญไหม คงไม่มากเท่าครอบครัวของผม แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญสิ่งหนึ่งของผมอยู่ที่เขา หัวใจของผม และลมหายใจ มันถูกเขายึดเอาไว้ในกำมือ แต่สำหรับเขา…มันคงไม่สำคัญ

“ไมน์…ทำไม ฮึก ทำไมพูดแบบนี้ละคะลูก”

“แม่ครับ ผมขอโทษ ฮือๆ” ผมไม่ได้อยากให้แม่ร้องไห้ ไม่ได้อยากให้แม่เจ็บปวดสักนิด ผม แต่ผมกำลังเจ็บปวดจริงๆ ผมแทบไม่อยากจะหายใจอีกต่อไปด้วยซ้ำ

“ไมน์ แค่มันคนเดียวเอง แค่มันเท่านั้น ไมน์จะแลกชีวิตกับมัน โดยไม่สนใจพี่กับพ่อแม่เลยหรือ? ไม่สงสารพวกเราหรือไมน์…”

“…ฮึก…”

“เราบอกว่าอยู่ไม่ได้โดยไม่มีมัน แล้วพี่กับพ่อแม่ล่ะ จะอยู่ได้ยังไงถ้าไม่มีเรา” ผมกระชับอ้อมกอดของแม่แน่นขึ้น ได้แต่สะอื้นกับความจริงที่พี่มินพูดออกมา

ผมอยู่ไม่ได้โดยไม่มีแดนจริงๆ แต่ผมคงเสียใจยิ่งกว่าถ้าทุกคนอยู่ไม่ได้เพราะผม

“กลับบ้านเราเถอะ คนแบบนั้น…อย่าไปสนใจอีกเลย” ผมกำเสื้อของแม่จนยับ ในหนึ่งผมอยากกลับไป อยากโผเข้าไปซบอ้อมกอดอันอบอุ่นที่บ้านสุทธิวรกุล บ้านที่ผมเติบโตมาตั้งแต่เด็ก แต่อีกใจหนึ่งก็คัดค้าน ยังคอยหวังว่าดินแดนจะกลับมาหาผม แม้จะรู้ดีว่าไม่มีวันนั้นก็ตาม

ผมรู้ดีว่าควรตัดใจ รู้ดีว่าควรจะลืมไปได้แล้วเหมือนที่เขาลืมผม แต่ผมก็ยังไม่สามารถควบคุมหัวใจตัวเองได้ มันอ่อนแอ มันคอยแต่เรียกหาเพียงดินแดนเท่านั้น ทั้งที่สมองไหลเวียนความทรงจำอันปสดร้าวออกมาตอกย้ำหัวใจที่ไม่รักดี แต่ถึงจะเจ็บปวดมากจนแทบจะขาดใจ หัวใจของผมก็ยังคงต่อต้าน ไม่ยอมรับความจริงสักที

ไม่ยอมลืมวันเวลาที่เราเคยรักกันว่ามันช่างแสนสุขมากแค่ไหน

“ไมน์…กลับบ้านเรากันเถอะนะคะลูก” ผมยังคงเงียบ ไม่อาจให้คำตอบกับความคาดหวังของพ่อแม่และพี่มินได้ ผมยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้นนานพอควร มันลังเล มันยังไม่อาจเดินจากแดนไปได้เต็มร้อย ผมไม่ได้เป็นคนเจ็บไม่จำ แต่คนอย่างผมอยากลองเดินไปให้สุดทาง ถ้ามองไม่เห็นทางจะไปต่อ ถ้าผมหมดแล้วซึ่งความหวัง ผมคงจะยอมเดินกลับมาที่นี่ ที่ที่เรียกว่าบ้าน

“ผม…” สายตาของผมเต็มไปด้วยความลังเล

“ไมน์…” ทุกคนกำลังเฝ้ารอคำตอบของผม คำตอบที่มันไม่ชัดเจนมากนัก แต่แน่ชัดแล้วว่าผมคงจะตอบรับไม่ได้

“ขอโทษครับ ผมเป็นลูกที่แย่ เป็นน้องที่ไม่เอาไหน ฮึก ผมยังอยากลองเริ่มจากการห่างเขาทีละน้อย”

ให้มันคุ้นชินและได้จดจำเอาไว้ว่าเขาไม่รักผมอีกต่อไปแล้ว

“เมื่อถึงวันที่ผมแน่ใจ ผม…จะกลับบ้านนะครับ” ทั้งที่รู้ว่าถ้าผมกลับไปที่บ้าน ทุกอย่างมันคงมีแต่เรื่องดีๆ ผมคงไม่ต้องทรมานใจ ไม่ต้องเจ็บปวดมากมายขนาดนี้ แต่ผมก็ยังดื้อรั้น ยังคงยอมเดอนกลับเข้าไปหาความเจ็บปวดเพียงเพราะยังไม่พร้อมจะไม่มีเขาจริงๆ

อีกสักนิดเถอะนะ ขอเวลาให้ผมอีกนิด เมื่อหัวใจของผมเข้าใจมันอย่างชัดเจนแล้ว ผมจะกลับไปเองอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น…ผมจะไม่เหลือความค้างคาใจใดๆ อีก คงจะยอมปล่อยมือผู้ชายที่ชื่อดินแดนไปเสียที















กว่าจะหายดีมันก็ผ่านไปสามวัน พ่อและพี่มินไม่ยอมให้ผมออกจากโรงพยาบาลเด็ดขาดจนกว่าจะแน่ใจว่าผมโอเคแล้วทุกอย่าง แม่เอาแต่พูดเกลี้ยกล่อมให้ผมเปลี่ยนใจ แต่อย่างที่ผมบอกออกไป ผมในตอนนี้ยังกลับไปไม่ได้ ผมต้องการย้ำให้หัวใจตัวเองได้เข้าใจอย่างชัดเจนเสียทีว่าไม่มีทางอีกแล้ว

ผมตั้งมั่นกับตัวเองเอาไว้ว่า ผมกับแดนจะเป็นเพียงเพื่อร่วมคอนโดกันธรรมดา รอจนถึงวันที่ผมคุ้นชินกับการมองเขาอยู่ห่างๆ ผมจะไปจากเขาเองอย่างไม่ลังเลใดๆ จะยอมปลดปล่อยพันธนาการที่ผูกมัดหัวใจตัวเองเอาไว้แล้วจากไป กลับไปในที่ที่ผมควรจะอยู่มาตั้งแต่แรก ไม่ใช่ดื้อรั้นจะอยู่ในที่ที่ไม่ใช่ของเรา

สำหรับรักเองก็ดูจะไม่ชอบใจกับทางเลือกของผมสักเท่าไหร่นัก สีหน้าและแววตาของมันเต็มไปด้วยความขัดใจ แต่รักก็คือรัก รักยังคงไม่ขัดผมแม้ว่าจะไม่พอใจก็ตาม รักจะให้ผมทำตามทุกอย่างที่ต้องการเพราะรักรู้ดีว่าเมื่อผมเจ็บจนเกินจะทนแล้ว ผมจะยอมเดินออกมาอย่างไม่เสียดายอะไรอีก

“มึงแน่ใจนะว่าอยู่คนเดียวได้?” ผมหัวเราะกับอาการห่วงมากเกินไปของเพื่อนผมคนนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ใช่ว่าผมจะไม่ได้อยู่คนเดียวเสียเมื่อไหร่ แต่ผมก็พอเข้าใจในสิ่งที่รักเป็นห่วงผม คงกลัวว่าถ้าผมต้องออกมาเจอแดนกับผู้หญิงคนนั้น ผมอาจจะเกิดความคิดบ้าๆ ขึ้นมาก็ได้

“ได้สิ กูก็อยู่คนเดียวมาตั้งนานแล้ว” ตั้งแต่เมื่อไรก็จำไม่ได้ รู้เพียงว่าหลังจากที่ดินแดนเริ่มหายไปจากผมช้าๆ ผมก็ต้องอยู่คนเดียวมาเสมอ อาจจะมีการเข้าไปในห้องของเขาบ้าง เพื่อจะได้หลอกตัวเองต่อไปว่าเรายังคงเป็นเราอยู่เช่นเดิม

“บอกกูหน่อยสิไมน์” ผมกอดอกพิงกับประตูห้องตัวเองอย่างรอคอยในคำถาม

“อะไรล่ะ?”

“มึงคิดดีแล้วจริงๆ ใช่ไหม?” ผมหลุบตาลงมองพื้น สองมือที่เพิ่งกอดอกลดลงข้างลำตัวแทบจะทันที

“ไม่รู้สิ แต่ถ้ากูกลับไปที่บ้านตอนนี้ กูว่าสักวันกูก็คงออกมาหาแดนอีกอยู่ดี มึงก็รู้จักนิสัยกู”

“หึ กูรู้สิ รู้ดีเลย” ผมยิ้มเศร้ากับคำตอบรับของรัก มันเป็นคนดี เป็นเพื่อนที่ดี แต่เรื่องนี้ผมต้องตัดใจด้วยตัวเอง ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าตัวผมเองว่าควรจะต้องทำยังไง วิธีการตัดใจของคนเราไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะหลบหน้าหลบตา ไปอยู่ที่อื่นเพื่อจะลืม บางคนหาคนอื่นมาแทนที่จะได้ลืมคนคนนั้น แต่ผมไม่ใช่

คนอย่างผมมันต้องเจ็บจนเจ็บอีกไม่ไหว ผมถึงจะเดินออกไปจากแดนได้

เพราะถ้าผมเจ็บจนถึงขนาดนั้น บางทีผมอาจจะรักตัวเองขึ้นมาบ้าง

“สัญญากับกูหน่อยว่ามึงจะไม่ทำอะไรโง่ๆ” ผมชอบคำนี้นะ แต่คำว่าโง่ของมันนี่จำกัดความไว้แค่ไหนกันล่ะ

“สัญญาครับ” ผมหัวเราะในลำคอพร้อมกับยกนิ้วขึ้นมาสามนิ้วคล้ายกับการปฏิญาณตนจนอนุรักษ์มองค้อนผม

“ถ้าเจอไอ้เหี้ยนั่นอยู่กับผู้หญิงก็ห้ามฆ่าให้ตาย”

“ฮ่าๆ ถ้ากูทำจริงๆ มึงอย่าลืมไปประกันตัวกูด้วยนะ” ผมตอบติดตลกออกไปจนรักมันแทบจะแยกเขี้ยวใส่ผมขึ้นมาอยู่หลายที แต่สุดท้ายรักก็ถอนหายใจออกมาเสียยาวเหยียด ค่อยๆ เอื้อมมือออกมาตบไหล่ผมสองสามครั้งราวกับเป็นการให้กำลังใจ

“กูกลับก่อนนะ มีอะไรโทรมา กูจะมาทันที”

“ได้ กลับดีๆ นะ”

อนุรักษ์พยักหน้าแล้วเดินจากไป ผมปิดประตูทันทีที่ลับร่างของเพื่อนไปจากสายตา เปิดไฟห้องให้สว่างแล้วมองทุกอย่างในห้องด้วยแววตาที่เจ็บปวด รูปคู่ของเราสองคน ของขวัญที่เขาให้ผม มันยังอยู่ที่เดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือความรู้สึกของเขา มีแต่ผมที่ยังคงเหมือนเดิมมาตลอด

ทั้งที่อีกคนเขาลืมไปแล้ว แต่ผมกลับยิ่งจำมันจนฝังใจ ไม่อาจจะลบเลือนมันออกไปได้

ผมหยิบเอากล่องลังใบใหญ่ที่ไปขอมาจากนิติบุคคลด้านล่างตอนก่อนขึ้นมาข้างบน มาวางไว้ตรงหน้าข้าวของเหล่านั้น อยากลองเริ่มห่างจากเขา ผมต้องเริ่มจากการค่อยๆ เก็บของของเขาออกไป

ผมหยิบเอารูปของแดนที่ถูกใส่กรอบเอาไว้ขึ้นมามองมันครั้งสุดท้าย ใช้ปลายนิ้วไล่ไปตามโครงหน้าหล่อเหลาที่ฉีกรอยยิ้มเสียกว้างให้ผมอยู่ตอนนี้ ก่อนจะประทับจุมพิตลงไปด้วยความรักแล้วนำมันใส่ลงไปในกล่องแล้วหยิบของชิ้นอื่นๆ ขึ้นมาทำแบบเดียวกัน

ยิ่งเป็นของที่สำคัญมาก ผมก็ยิ่งต้องเก็บมันลงไป บางทีการไม่เห็นมันอาจจะดีกว่าก็ได้ ถ้าต้องมาทนเห็นแล้วปวดใจ สู้มองไม่เห็นมันเลยคงดีที่สุด ของบางชิ้นผมก็นำมันใส่เอาไว้เพื่อรอวันนำไปคืนเจ้าของ ถึงแม้เจ้าของของพวกนี้จะนำมันไปทิ้งขยะ แต่ผมก็ยังถือว่าได้คืนเขาไปแล้ว แบบนั้นมันจึงจะดีกว่า

อา…ผมร้องไห้อีกแล้วสิ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ครับ!” ผมตอบกลับเสียงเคาะประตูไปทันที ยกมือขึ้นปาดไล่หยดน้ำตาบนใบหน้าออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินไปที่ประตูและเปิดมันออก

สิ่งที่ผมไม่อยากจะเชื่อคือคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผม มันคล้ายกับเดจาวูที่เคยเกิดขึ้นไปแล้ว และกำลังวนเวียนซ้ำอย่างไม่รู้จบ

“หมอนี่เมาน่ะ” ผมเม้มปาก แววตาสับสนในท่าทีของภูมิที่มีต่อผม ครั้งก่อน…ตอนงานวันเกิดของแดนที่เขาเมากลับมา ภูมิก็มาส่งแดนแบบนี้ แต่ท่าทีของเขาตอนนั้นมันต่างกันมาก ตอนนั้นผมสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าภูมิเกลียดผม เขาไม่ชอบผม แต่ตอนนี้มันต่างออกไป สายตาของเขาดูละอายใจ ดูเหมือนคนที่ไม่กล้าสู้หน้าผม

“ห้องของแดน…อยู่อีกห้องนะ” จำผิดหรือเปล่าผมอยากจะพูดแบบนั้นออกไป แต่ดูท่าทางเก้ๆ กังๆ ของภูมิก็ไม่อยากจะบีบคั้นเขามาก แต่คำพูดที่พูดออกไปแล้วมันเอาคืนมาไม่ได้ เห็นสีหน้าย่ำแย่ของภูมิผมเองก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที

“มันเมา แค่อยากให้มีคนดูแลมัน ไม่อยากให้มันอยู่คนเดียว” ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับแล้วเดินออกมาจากห้องโดยไม่ลืมที่จะล็อกประตู

“ห้องแดนก็แล้วกัน” ภูมิมองผมอย่างขอบคุณ แล้วแบกร่างของดินแดนตามหลังผมมา ผมทำหน้าที่ไขประตูห้องด้วยกุญแจสำรองที่ติดตัวอยู่ พอล็อกถูกปลด ผมก็เปิดประตูออกกว้างๆ ให้ภูมิเป็นพาเขาเข้าไปในห้อง วางเขาไว้บนเตียงอย่างไม่เบามือนัก

ผมกับภูมิยืนอยู่ตรงหน้ากันและกัน เขาดูกระดากอาย ดูรู้สึกผิดอย่างมาก เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรและเรื่องอะไรที่เขารู้สึกผิดกับผม เขาเอาแต่ยืนนิ่งมองผมด้วยแววตาที่อ่อนลงไปมากโขจนผมเองที่รู้สึกไม่ชิน ก่อนหน้านี้ผมเคยอยากให้เขามองผมแบบนี้ ในตอนที่ผมกับแดนเรารักดันดี แต่มันเป็นไปไม่ได้ เวลานี้ผมได้สายตาแบบที่ต้องการมาแล้ว แต่ผมกับแดนกลับต้อง…

“เฮ้ออ…มีอะไรก็พูดเถอะภูมิ” ผมเพิ่งหายป่วย อารมณ์ไม่คงที่เพราะเพื่อนตัวดีของเขาทำผมเจ็บปวดจนแทบจะกระอักเลือด ผมคงไม่สามารถยืนอดทนรอเขาได้ทั้งคืนหรอก

“เราขอโทษนะ” นั่นเป็นเรื่องที่ทำให้ผมอดขมวดคิ้วไม่ได้

“เรื่องอะไรหรือ? ทำไมต้องขอโทษเราด้วยล่ะ?”

“ตอนแรกเราไม่ชอบไมน์ บอกตามตรงเราคิดว่าไมน์มา เอ่อ เกาะไอ้แดนมัน” ผมอยากจะขำนะครับ แต่พอดีผมขำไม่ออกเสียด้วย ผมเลยทำได้แค่เหยียดยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยันตัวเอง นี่ผมตกต่ำขนาดกลายเป็นคนที่ต้องเกาะคนอื่นเขากินไปแล้วหรือ ดีจริงๆ

“ช่างมันเถอะ” มันผ่านไปแล้ว มันไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก

“ตอนนี้เรารู้แล้วว่าไมน์ไม่ได้เป็นแบบนั้น เรา…อยากให้ไมน์อยู่ข้างๆ แดน” ผมยกมือขึ้นมานวดหัวตาตัวเองเมื่อความร้อนแล่นผ่านขึ้นมา ก้อนสะอื้นจุกอยู่ในอกและลำคอจนยากจะกลืนมันลงไป

“ภูมิ เราไม่ได้โกรธหรอกนะ อาจจะเป็นเราเองที่ไม่ชัดเจน ทำตัวเหมือนเป็นแบบนั้นทำให้ภูมิคิดไป เราไม่โทษภูมิแต่…” ภูมิขมวดคิ้วแน่น มองสบตากับผมอย่างไม่ละสายตา

“แต่?” ผมยิ้มเบาบาง ดวงตาเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความเศร้าที่ต้องยอมแพ้

“ภูมิก็รู้ดี…น่าจะรู้ดีกว่าเรา” อย่างที่คิด เขารู้ดีจริงๆ ด้วย เพราะภูมิหลบสายตาไปจากผม เขาหลุบตาลงมองพื้นไม่ยอมสบตากับผมอีก ผมหรือไม่อยากจะอยู่ข้างๆ แดน แต่เขาเองต่างหากที่ไม่อยากให้ผมอยู่

“ขอโทษนะ” ผมส่ายหน้าแล้วส่งรอยยิ้มไปให้เขา เป็นห่วงเพื่อนผมเข้าใจเรื่องนี้ เพราะแบบนั้นผมถึงไม่โกรธเขา

“ไม่เป็นไรหรอก ภูมิกลับเถอะดึกแล้ว เดี๋ยวเราจะดูแดนให้เอง”

“อืม…”

ภูมิพยักหน้า แต่สายตากลับคล้ายอยากจะพูดอะไรมากกว่านี้แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ผมส่งภูมิที่หน้าห้องแล้วเดินกลับมา จัดการหาผ้าผืนเล็กชุบน้ำเช็ดไปตามเนื้อตัวของแดน กลิ่นเหล้าลอยคละคลุ้งไปหมดทั้งห้องจนผมต้องเบือนหน้าหนี

“อื้อ…” แดนส่ายหน้าปฏิเสธความเย็นจากผ้าที่เปียก มือเขาปัดป่ายไปมาอย่างขัดเคืองใจ

หมับ!

“อ๊ะ!” ผมร้องอย่างตกใจเมื่อถูกฝ่ามือใหญ่ของแดนดึงกระชากข้อมือเข้าไปจนร่างของผมล้มลงไปทาบทับตัวของเขา กลิ่นกายผสมกับกลิ่นเหล้าลอยเข้ามาในจมูกจนผมอดนิ่วหน้าไม่ได้ แดนยังไม่ลืมตา เขาหลับตาอยู่เหมือนเดิม แต่ฝ่ามืออีกข้างกลับลูบไล้ไปตามแผ่นหลังของผมจนผมตัวแข็งทื่อ

“แดน ตื่นสิ อย่าทำแบบนี้” ผมพยายามขยับร่างกายหนี แต่กลับถูกแดนพลิกร่างจนตัวผมเองที่ต้องอยู่ใต้ร่างของเขา ดินแดนพึมพำอย่างไม่อาจจับใจความได้อยู่ในลำคอ ใบหน้าของเขาซุกไซร้ไปตามลำคอของผม ดูดดึงผิวเนื้อจนเจ็บ

“แดน แดนอย่านะ!” ผมทั้งผลักทั้งดันร่างของแดนออก หวังให้ดินแดนมีสติและปล่อยผมออกจากอ้อมกอดของเขา แต่มันก็เปล่าประโยชน์

“อื้อ!” ผมถูกแดนแนบริมฝีปากลงมา ดูดดึงกลีบปากของผมอย่างรุนแรงราวกับกระหายในรสชาติ เขาพยายามสอดปลายลิ้นเข้ามา แต่เมื่อผมไม่ยินยอมเปิดรับเขาก็เปลี่ยนมาเป็นขบกัดกลีบปากของผมอย่างแผ่วเบา ใช้ฝ่ามือลูบไล้จากเอวของผมขึ้นมาอย่างช้าๆ

“แดน อืม!” ผมตกใจเมื่อเขาไม่ยอมหยุด เมื่อผมเปิดปากเอ่ยชื่อเขาก็ถูกปลายลิ้นสอดแทรกเข้ามาเกี่ยวกระหวัดอย่างเอาแต่ใจ เขาดูดดึงปลายลิ้นของผมอย่างแรง กวาดต้อนจนผมมึนงงไปหมด เรี่ยวแรงที่ใช้ขัดขืนก็ลดลงไปกับสัมผัสอันแสนคุ้นเคย

“อืม บัว”

!!!

ผมตัวแข็งทื่อ เบิกตากว้างมองดวงตาที่หลับพริ้มอย่างตกใจ ความปวดร้าวแล่นเข้าสู่หัวใจจนทรมาน น้ำเสียงแหบพร่าที่พร่ำเอ่ยเรียกชื่อของใครอีกคนในขณะที่กำลังจูบผมมันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน ผมปล่อยให้น้ำตาไหลรินลงสู่แก้มทั้งสองข้าง สองมือทุบอกกว้างของแดนอย่างทรมาน ความเสียใจประดังเข้ามาจนแทบจะรับไม่ไหว

อยากพอแล้ว อยากหยุดมันแล้วทุกอย่าง ผมในตอนนี้ไปต่อไม่ไหวอีกแล้ว

ทั้งที่ผมมีเรี่ยวแรงมากมาย แต่กลับคล้ายกับว่าไร้เรี่ยวแรงใดๆ เสื้อผ้าหลุดออกจากร่างไปทีละชิ้น ถูกริมฝีปากของคนที่ผมรักปรนเปรอจนร้อนผ่าวไปทั่วทั้งร่าง แต่ผมกลับหยุดร้องไห้ไม่ได้

ผมนอนนิ่งๆ ให้เขาทำตามใจ แดนจับแขนของผมทั้งสองข้างไว้ข้างลำตัว พรมจูบไปตามร่างกายของผมจนทั่วทั้งร่าง กดย้ำตีตราร่องรอยสีแดงไว้ราวกับต้องการประกาศความเป็นเจ้าของ

เพียงแต่คนที่เขาอยากประกาศไม่ใช่ผม ไม่ใช่ผมที่นอนอยู่ตรงนี้

“บัว อืม บัวหวานเหลือเกิน”

“ฮึก ฮือๆๆ”

ผมหันหน้าไปอีกด้าน ไม่อยากจะรับรู้อะไรทั้งสิ้น นอนฟังเสียงของคนรักพร่ำเพ้อเรียกหาใครอีกคนอย่างปวดร้าวใจ ถูกย้ำชัดด้วยสัมผัสจากเขาถึงความจริงที่ได้รับในตอนนี้

มันไม่ใช่ความฝัน ไม่อาจหลอกตัวเองได้อีกแล้วว่ามันไม่ใช่ความฝีน

ยอดอกถูกดินแดนขบเม้มและดูดดึงจนแดง ปลายลิ้นของเขาตวัดหยอกล้อกับมันอย่างสนุกสนาน ดวงตาทั้งสองยังคงหลับพริ้มอยู่ในห้วงความฝันที่แสนสุข สำหรับเขาคนที่เขากำลังปรนเปรออยู่คือผู้หญิงคนนั้น ไม่ใช่ผมที่ได้รับความรัก รสชาติของน้ำตามันขมจนผมอยากจะอาเจียน ร่างกายถูกเล้าโลมไปจนทั่ว สองขาถูกแยกออกกว้างมากขึ้นจนสะโพกของผมลอยขึ้นจากเตียง

“แดน หยุดเถอะ ข้อร้องล่ะ ฮึก ไมน์ไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้นนะ!!”

แม้ผมจะส่งเสียงออกไปดังแค่ไหน ดินแดนก็ไม่เคยได้ยินมันเลย เขายังคงหลงใหลไปกับภาพลวงที่เข้าใจว่าได้ร่วมรักกับผู้หญิงของเขา ผมขยับตัวหนีอย่างไม่ยินยอม ทั้งทุบทั้งตีพยายาททุกทางเพียงเพื่อจะได้ไปให้พ้นๆ จากตรงนี้เสียที ความเจ็บปวดมันถาโถมเข้ามาไม่ยอมหยุด เพียงแค่คิดว่าต้องเป็นตัวแทนของใคร หัวใจของผมก็แทบจะแหลกสลายไปแล้ว

“หยุดนะ ฮึก หยุดเดี๋ยวนี้ ฮือออ”

ดินแดนกดร่างผมให้หยุดนิ่ง มือใหญ่จับจ่อตัวตนของตัวเองเข้ามาที่ช่องทางเล็กๆ กดแทรกมันเข้ามาโดยไม่สนใจความเจ็บปวดของผมเลยสักนิด เขาโถมร่างเข้าใส่อย่างรุนแรง ขยับเข้าออกด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข

หากเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่คิดอะไร หากเป็นเมื่อก่อนผมคงยินยอมให้เขาทำแม้ว่าผมจะเจ็บมากแค่ไหนก็ตาม

แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ตอนที่เขาเรียกใครคนอื่นที่ไม่ใช่ผม ไม่ใช่ชื่อของผม

“บัว บัวจ๋า”

ผมหลับตารองรับแรงกระแทกที่ถูกสอดใส่โดยไม่ได้เตรียมพร้อม ความเจ็บปวดที่ร่างกายกลับไม่ได้ทรมานเท่าความเจ็บปวดที่หัวใจ ร่างกายของผมเคลื่อนไหวไปตามแรกกระแทก ถูกคนที่รักกอดด้วยความรุนแรงตามอารมณ์ แต่ผมกลับไม่รู้สึกยินดีสักนิด ใบหน้าส่ายไปมาอย่างไม่ยอมรับ ช่องทางที่โอบรัดตัวตนของเขาบีบรัดจนแน่น

“อา บัวครับ บัว แน่นเหลือเกิน”

“พอแล้ว ฮึก พะ พอได้แล้ว ฮืออ”

ความรักของผม หัวใจของผมมันไม่มีค่าเลยใช่ไหม

มันไม่มีค่าอะไรให้เขาต้องใส่ใจเลยใช่ไหม ผมต้องเจ็บเจียนตายไปอีกนานแค่ไหน

พอเถอะ พอสักที!!!

แค่นี้ผมก็เจ็บจะตายอยู่แล้ว หยุดเรียกชื่อของเธอทั้งๆ ที่กำลังรักกับผมได้ไหม ผมไม่ใช่ตัวแทนของใครนะ ผมชื่อไมน์ เป็นผู้ชายที่รักคุณนะดินแดน ไม่ใช่ใบบัว

“รัก แดนรักใบบัว”

ผมปล่อยแขนลงอย่างหมดเรี่ยวแรง ดวงตาเหม่อลอยออกไปไกลแสนไกล รัก คำว่ารักที่เคยพร่ำบอกกับผม ในวันนี้ไม่ใช่ของผมอีกต่อไป หัวใจของดินแดนไม่มีผมอีกต่อไปแล้ว ผมได้แต่ยิ้มออกมาอย่างสมเพชตัวเอง หัวเราะออกมาทั้งที่ยังคงสะอื้นไห้ หัวเราะให้กับความรักที่พังทลาย และหัวใจที่ถูกเหยียบจนแหลกสลายด้วยน้ำมือของคนที่ผมรัก

“อือ อา!” ความอุ่นร้อนฉีดเข้ามาในร่างกายของผม เขาถอนตัวตนของเขาออกไปอย่างช้าๆ เอนกายลงนอนลงเคียงข้างผม โอบกอดผมเอาไว้ราวกับรักและหวงแหน ยิ่งถูกริมฝีปากของเขากดจูบแผ่วเบาลงบนหน้าผาก ผมยิ่งเจ็บปวดจนแทบอยากจะตายเสียตรงนี้

ขอบคุณที่ทำให้ผมเจ็บจนทนไม่ไหวอีกต่อไป

ขอบคุณที่สอนผมมาตลอด ว่าความรักที่ฝืนทน มันไม่เคยยั่งยืน







ไมน์ลูกกก กลับมาหาแม่มา แม่จะกอดหนูเอง วันนี้พามาเต็มๆตอนเพราะพรุ่งนี้ เราจะงดอัพนะจ๊ะ ใครทีมน้องไมน์เตรียมตัวไว้ได้เลยจ้า จากนี้น้องจะ... หึๆ ไม่บอกดีกว่า รอลุ้นๆ 

เป็นเจ้าของ

ออฟไลน์ Windtofree

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :katai1: :katai1: โมโหแล้วนะ

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[8] 50%


ยอมแพ้

ผมจัดการร่างกายตัวเองในห้องน้ำอยู่นาน ทำความสะอาดทุกอย่างเพื่อให้สัมผัสที่แสนเจ็บปวดหายไปแม้สักเล็กน้อยก็ยังดี แต่มันไม่ได้ผล ผมลืมไปได้ยังไงว่าสัมผัสที่เจ็บที่สุดมันอยู่ในความทรงจำ อยู่ในหัวใจ ไม่ใช่ร่างกาย เขาพร่ำเรียกหาชื่อของใครคนนั้น เฝ้าบอกรักซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งคืน คอยจูบซับน้ำตา กอดปลอบประโลมทั้งที่มันไม่ใช่ของผม

และนั่นยิ่งทำให้ผมเจ็บปวดมากเหลือเกิน

ผมปล่อยให้เขาหลับไปในห้วงนิทราอันแสนหวาน ส่วนตัวเองนั่งคิดวนเวียนไปมากับเรื่องนี้ เฝ้าถามตัวเองว่ายังทนได้อีกไหม ยังจะฝืนยืนอยู่เคียงข้างเขาได้อีกต่อไปหรือเปล่า และคำตอบที่ผมตอบตัวเองคือ…

ผมทนรับความเจ็บปวดที่เขามอบให้ไม่ได้อีกแล้ว ผมพอแล้ว

หัวใจผมมันไม่เหลือชิ้นดีแล้วในเวลานี้ ผมเลือกแล้ว วันนี้มันจะจบลงด้วยการที่ผม…จะปล่อยเขาไป

“อืม…บัว”

ผมยืนมองเขากวาดมือหาร่างของคนในความคิดถึงอย่างปวดร้าว สายตาของผมทอดความทรมานออกมาไม่ให้เขาเห็น เมื่อเขาลืมตาขึ้น ผมจึงเก็บความอ่อนแอและความทุกข์ใจเอาไว้ข้างในอย่างมิดชิด ใช้ความเฉยชามองเขาอย่างที่เขาเคยมองผม

แดนลุกขึ้นมองไปรอบห้องอย่างงุนงง มือหนายกขึ้นลูบใบหน้าของตัวเองแรงๆ แล้วกุมศีรษะเอาไว้ ผมไม่สนใจว่าตอนนี้เขาจะรู้สึกแย่? จะรู้สึกยังไงหรืออะไร เพราะคนที่ผมต้องเป็นห่วงคือตัวผมเอง เขามีคนห่วงใยมากมายพอแล้ว เขามีคนที่จะคอยดูแลแล้ว ผมควรจะรักตัวเองได้เสียที

“ไมน์หรือ” น้ำเสียงของเขามันช่างดูแปลกใจ ดูเหมือนเขาจะจำไม่ได้ แต่ก็ช่างมัน ผมเองก็ไม่ได้คิดให้เขามารู้สึกผิดหรืออะไรแบบนั้นอยู่แล้ว

ผู้ชายที่ชื่อดินแดน ไม่เคยแคร์ความรู้สึกของผมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

“ผมเอง” แดนดูชะงักไปกับการแทนตัวของผม แววตาของเขาดูสับสน เขามองสบตากับผมอย่างไม่เข้าใจ แววตาและสีหน้าที่คุ้นเคยมันทำให้ผมเกือบจะเก็บแววตาตัดพ้อเอาไว้ไม่ได้ ยังดีที่ผมรู้สึกตัวได้ทันและเก็บกักมันเอาไว้

ผมเหนื่อยมากพอแล้วกับการวิ่งไล่ตามความรักของเขาที่เขาลืมมันไป ผมจะเลิกวิ่งเสียที

ถึงเวลาที่ผมควรจะเดินออกมาในเส้นทางที่มันดีกว่า เส้นทางที่ผมควรจะเลือกมันตั้งแต่แรก

นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ไม่มีเราสองคน

“มีอะไรหรือเปล่า?” น้ำเสียงแดนดูอ่อนลงทั้งที่เวลาอยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนนั้น เขาทั้งเย็นชาและทำร้ายผมด้วยวาจาโหดร้ายสารพัด แต่ตอนนี้มีเพียงแค่ความแปลกใจและน้ำเสียงนุ่มหูที่เคยบอกรักผม ผมกลืนก้อนสะอื้นลงคอไป กลืนมันลงไปให้ลึกจนไม่สามารถจะตะเกียกตะกายขึ้นมาได้อีก กะพริบตาไล่ความร้อนที่หัวตาออกไป

ความอ่อนแอในตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ ผมไม่อยากได้ความเห็นใจจากเขา เพราะผมเลือกทางของตัวเองแล้ว

“วันนี้…คุณว่างหรือเปล่า” แดนชักสีหน้าใส่ผม แววตาคมกริบตวัดมองผมอย่างไม่พอใจ

“เราเคยพูดกันแล้วนี่ไมน์! เราบอกไมน์แล้วไงว่าเรา…”

“ผมแค่ขอเวลาคุณไม่นานหรอกครับ ไม่ได้อยากจะรบกวนคุณมากมายขนาดนั้น” ผมแค่นยิ้มออกมา เหยียดยิ้มที่บ่งบอกออกไปว่าผมไม่ได้อยากจะยื้อความสัมพันธ์บ้าๆ ที่เขาว่ามาเลย

ก่อนหน้านี้ ผมอาจจะดื้อรั้น พยายามดึงดันดึงความสัมพันธ์ของเราเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

แต่ในวันนี้…ผมจะปล่อยมือคู่นี้เสียที

“เราว่าง” ผมไม่ได้สนใจว่าเขากำลังมองผมแบบไหน ต่อให้เขามีความคลางแคลงใจแล้วยังไงล่ะ ผมในตอนนี้แค่รักษาหัวใจตัวเองยังไม่ได้ ไม่มีเวลาไปสนใจความทรมานหรือความสงสัยของใครหรอก

ผมไม่ได้ใจดีขนาดนั้น

“วันนี้เที่ยงตรง ผมรบกวนเวลาคุณสัก10นาทีนะครับ รับรองได้ว่ามันคุ้มค่าอย่างแน่นอน” แววตาของเขาที่มองมามันไหวระริก มันเต็มไปด้วยความสับสนเพียงแต่ผมไม่สนใจ เขาจะเป็นยังไงมันเกี่ยวอะไรกับผมกัน แค่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความเจ็บปวดทุกวันนี้มันก็เพราะเขาไม่ใช่หรือ?

“ทำไมไม่คุยตอนนี้” ผมหันหลังให้กับแดนทันที ไม่คิดจะมองใบหน้าที่สั่นคลอนหัวใจของผมอีก ยิ่งได้เห็นหน้าเขา หัวใจผมยิ่งทวีความเจ็บปวดอย่างบ้าคลั่ง

“แค่10นาทีมันคงไม่เสียเวลาคุณมากเท่าไหร่หรอกครับ สละมันมาบ้างเถอะ ผมไม่ได้ขอร้องคุณนะดินแดน แต่ผมกำลังเรียกร้องมันจากคุณต่างหาก กรุณาเข้าใจใหม่ด้วยนะครับ”

ผมไม่ได้ขอร้องแต่มันคือสิ่งที่เขาต้องให้มันกับผม ผมเรียกร้องมันเป็นครั้งสุดท้าย แค่ครั้งนี้เท่านั้นที่ผมเรียกร้องมัน ตลอดเวลาที่เราคบกัน ผมไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเขาแม้กระทั่งเวลา ไม่เคยเรียกร้องในสิ่งที่ผมสมควรจะได้แม้แต่หัวใจ เพราะคิดว่ามันเป็นของผมอยู่แล้ว

แต่วันนี้ผมจะเรียกร้อง จะขอเรียกร้องเวลาเพียงแค่10นาทีจากผู้ชายที่ตอนนี้ยังคงมีสถานะชัดเจนว่าเป็นแฟนของผม แต่หลังจากนี้ผมจะคืนสถานะนี้ให้เขาเอามันไปมอบให้คนที่เขารัก แล้วผมจะไม่รับรู้อีกต่อไปว่าเขาจะมอบมันให้ใคร อะไร ยังไง เพราะผมกับเขา เราจะจบกันและกลายเป็นเพียงคนแปลกหน้าต่อกัน

“ไมน์…” หัวใจผมสะท้านวูบ น้ำเสียงที่คล้ายกับการออดอ้อนมันทำให้หัวใจของผมสั่นไหวได้อย่างดีจนผมต้องกำมือทั้งสองข้างแน่น ใช้ความเจ็บปวดทางกายดึงสติกลับมาไม่ให้ตัวเองหลงมัวเมาไปกับความเคยชินที่เขาเพียงแค่เผลอไผลแสดงมันออกมาเท่านั้น

อย่า อย่านะไมน์ แค่นี้ก็เจ็บเกินพอแล้วไม่ใช่หรือ แค่นี้หัวใจยังพังไม่พออีกหรือยังไง อย่าหลงไปกับสิ่งที่ได้รับรู้ อย่าเดินเข้าไปในวังวนที่แสนทรมานนั่นอีกเลย

“เที่ยงตรง ที่…นะครับ ผมหวังว่าคุณจะสละเวลามาได้ เพราะมันสำคัญมาก”

ผมเดินออกมาจากห้องของแดนโดยไม่หัวกลับไปมอง พยายามก้าวเดินกลับไปยังห้องของตนเองด้วยสองขาที่สั่นเทา หยดน้ำตาค่อยๆ ไหลลงมาช้าๆ ผมต้องกัดริมฝีปากของตัวเองเอาไว้เพื่อระงับเสียงสะอื้นที่อาจจะหลุดออกมา ผมเดินเข้าห้องมาอย่างยากลำบาก เพียงแค่ปิดประตูลงขาทั้งสองข้างก็หมดแรงจนต้องทรุดกายลงกับประตู ผมมองนาฬิกาที่บอกเวลา9โมงเช้าด้วยสายตาพร่าเลือนไปด้วยหยาดน้ำตา

ยังเหลือสิ่งที่ต้องเก็บอีกมาก ยังมีเวลาก่อนที่จะถึงเวลานัด ผมจะต้องเก็บทุกอย่างให้หมด ไม่ให้หลงเหลือแม้แต่ชิ้นเดียว ไม่ว่าสิ่งของชิ้นไหนที่ทำให้นึกถึงเขา ผมจะเก็บมันลงไปในกล่อง จะไม่ให้มันมาตอกย้ำความทรมานของตัวเองอีก

ผมปาดน้ำตาออกแล้วเดินตรงไปยังกล่องใบใหญ่ที่ยังเก็บค้างเอาไว้จากเมื่อคืน ค่อยๆ หยิบของทีละชิ้นด้วยมือที่สั่นระริก ไม่ว่าผมจะหยิบชิ้นไหน น้ำตามันก็ยิ่งไหลออกมา ร่างกายสะอื้นขึ้นลงอย่างปวดร้าว แต่ผมต้องแข็งใจวางมันลงไปในกล่องทั้งที่ใจจริงของผมในตอนนี้ ยังไม่อาจตัดความรักที่มีต่อเจ้าของของพวกมันได้

ผมยังรักดินแดน รักมาก

แต่ผมคงไม่สามารถวิ่งไล่ตามเขาต่อไปได้อีกแล้ว ใจของผมมันพังไปแล้ว

กำลังใจและกำลังกายที่เคยถูกปลุกขึ้นมาด้วยความทรงจำอันแสนมีค่า ด้วยรอยยิ้มและความสุขที่เรามีด้วยกัน มันถูกแทนที่ด้วยเสียงครวญครางยามเรียกชื่อของผู้หญิงคนอื่นทั้งที่กำลังรักผม ถูกแทนที่ด้วยคำพูดโหดร้ายที่เขาใช้มันกับผม ถูกแทนที่ด้วยแผ่นหลังที่ค่อยๆ หายลับไปพร้อมกับคนที่ได้หัวใจของเขา

ผมไม่มีเรี่ยวแรงอะไรจะไปยื้อเชาไว้อีกแล้ว ผมยอมแพ้แล้วตั้งแต่ตอนนี้ ยอมให้เขาไปใช้ชีวิตกับคนที่เขาเลือก ยอมเป็นคนที่จะเดอนออกมาแม้ว่าผมจะเจ็บเจียนตายก็ตามที

ผมปิดกล่องลงเมื่อของทุกชิ้นถูกใส่ลงไปจนหมดแล้ว ปิดมันลงเช่นเดียวกับหัวใจของผมที่จะปิดตัวลงไปเช่นกัน บางทีการได้มีโอกาสรักเขาอยู่ไกลๆ มันอาจจะดีกว่าได้ครอบครองเขาในเวลาสั้นๆ แต่แสนทรมานใจ

ผมรู้ดีแล้วว่าการได้ครอบครองอะไรสักอย่างมาเป็นของตัวเอง ยึดถือมันเอาไว้อย่างเป็นเจ้าของ เมื่อวันหนึ่งที่ความจริงปรากฏว่าของสิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา มันทำให้เราเจ็บปวดกว่าการไม่เคยได้ครอบครองมันเลยหลายเท่า ถ้าหากโลกนี้มีการย้อนเวลา ผมว่ามันคงดีกว่าถ้าเราไม่เคยเจอกัน

มันคงดีกว่าจริงๆ ถ้าเราสองคนไม่เคยรักกันเลย









..........50%..........



ดีแล้วลูก ดีแล้วที่หนูตัดใจ ครึ่งแรกมาแล้ว รอพบกับครึ่งหลังวันพรุ่งนี้นะคะ มาดูกันว่าดินแดนจะทำอย่างไรต่อไป

เป็นเจ้าของ

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
หนู​ทำถูกแล้วลูก​เอ๊ย​ เอามือลูบหัว​ รักตัวเองให้เท่าที่รักดินแดนนะ

ออฟไลน์ Windtofree

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เด็ดขาดสักที มูฟออน

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[8] 100%

หลังจากที่จัดการของทุกอย่างจนเสร็จเรียบร้อย ผมก็เดินเข้ามาในห้องน้ำ ยืนนิ่งๆ อยู่ใต้สายน้ำที่ไหลลงมา สิ่งที่ผมชอบที่สุดของการอกหักแล้วร้องไห้เวลาอาบน้ำ คือต่อให้ผมร้องไห้มากมายแค่ไหน สายน้ำและน้ำตาของผมมันจะรวมกันเป็นสายเดียว มันเหมือนกับผมไม่ได้ร้องไห้ออกมา ไม่ได้เสียน้ำตาเลยแม้แต่น้อย

อีกไม่นานก็จะถึงเวลานัด หัวใจของผมยิ่งบีบรัดกับการจะจบความสัมพันธ์ของเราในครั้งนี้ เป็นช่วงเวลาที่ผมไม่เคยต้องการ ไม่เคยแม้แต่อยากจะให้มันมาถึง แต่สุดท้ายผมก็ฝืนไม่ได้ เวลาย่อมเดินไปข้างหน้าไม่อาจถอยกลับ เช่นเดียวกับผมที่ควรจะเดินต่อไปข้างหน้า

ผมจัดการทุกอย่างจนเสร็จ ปิดน้ำและแต่งตัวในเวลาเพียงไม่นานเพราะไม่อยากจะเสียเวลาไปมากกว่านี้ อีก20นาทีจะถึงเวลานัด ผมไม่ได้พิถีพิถันอะไรในการแต่งตัว ตอนนี้ผมไม่มีเวลามากพอมาสนใจว่าตัวเองดูดีแค่ไหน แต่ความเคยชินย่อมมีอยู่กับตัวเอง ตัวผมแม้จะรีบร้อนแค่ไหนก็ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองดูแย่ ทุกการแต่งตัวมันจะต้องดูดีเสมอ วันนี้ก็เช่นกัน

ผมสวมเสื้อสีเทาที่สกรีนตัวอักษรภาษาอังกฤษตัว M ตัวใหญ่ๆ ไว้ที่อกเสื้อ พร้อมกับกางเกงยีนแนบร่างที่มีร่องรอยการขาดตรงช่วงต้นขาและหัวเข่า ผมชอบความสบายของมัน อะไรที่ผมใส่แล้วสบายผมย่อมต้องใส่ ผมไม่จำเป็นต้องใส่สูทไปหาแดนเพียงเพื่อจะจัดการเรื่องราวที่ค้างคาของพวกเรา

น้ำหอมขวดหรูที่พี่มินซื้อมาฝากจากฝรั่งเศสถูกหยิบเอามาใช้ในกรณีพิเศษนี้ ทั้งที่มันถูกเก็บไว้นานแล้วแท้ๆ ผมเก็บมันเอาไว้เพราะไม่อยากให้แดนมองว่าผมติดหรู ต้องใช้ของแบนด์เนม เพราะน้ำหอมขวดนี้คนอย่างดินแดนย่อมต้องรู้ราคา ผมไม่อยากถูกมองด้วยสายตาแย่ๆ

แต่ผมมักจะลืมไปว่า…ต่อให้ผมทำตัวดีแค่ไหน สายตาของแดนก็สามารถมองผมแย่ได้เสมอ ถ้าเขาไม่ได้รักผมอีกแล้ว

คิดถึงกลิ่นหอมก่อนนี้จริงๆ ผมจำได้ว่าชอบมันมากถึงขนาดรบเร้าให้พี่มินซื้อมาฝากทุกครั้งที่ต้องบินไปติดต่องานที่นั่น ความหอมเย้ายวนที่แฝงความผ่อนคลายเอาไว้ยามได้กลิ่น มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนทุกคนยืนอยู่ข้างๆ ผม ในช่วงเวลาที่ผมต้องเผชิญกับความเสียใจ

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ อยู่หลายครั้ง พยายามเรียกกำลังแรงใจสุดท้ายเพื่อจะได้ไปจบปัญหาเสียที พร้อมๆ กับการไล่น้ำตาและความอ่อนแอที่คอยแต่จะไหลออกมาให้มันถูกฝังลึกลงไปเสียก่อน

ยังไม่ใช่ตอนนี้ ผมจะไม่อ่อนแอก่อนไปเจอเขา มันต้องไม่เกิดขึ้นในตอนที่ผมกำลังจะเข้มแข็ง

ผมเดินออกมาจากห้อง ปิดประตูลงกลอนเอาไว้อย่างดีก่อนจะเหลือบไปมองห้องข้างๆ ภาพที่ผมเคยกอดกับเขาอยู่หน้าประตูปรากฏขึ้นมาให้ได้เห็น รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความรักที่เราเคยมีให้กัน เป็นเหมือนความทรงจำที่สวยงามมากเกินกว่าที่ผมจะสามารถลบเลือนมันออกไปจากหัวใจได้จริงๆ

อาการปวดหนึบที่หัวใจทำให้ผมต้องถอนสายตาออกมาจากการมองห้องของดินแดน ผมเลือกที่จะเดินต่อไปข้างหน้า ก้าวออกไปเพื่อได้จบเรื่องราวที่แสนยืดเยื้อ ปลดปล่อยเขาออกไปจากตัวผมเช่นเดียวกับที่ผมจะปลดปล่อยหัวใจตัวเองออกจากความเจ็บปวดเช่นกัน

“เชิญครับคุณหนู” พี่ชาติเปิดประตูด้านหลังให้ผมอย่างเคย เหมือนทุกๆ ครั้งที่ผมต้องการจะออกไปไหน พี่ชาติคือคนขับรถที่พ่อกับแม่หามาให้ผมเพื่อให้ผมไปไหนได้สะดวก พี่ชาติเป็นลูกชายของป้าเนียนคนสนิทของแม่ผม เป็นคนที่คอยดูแลผมกับพี่มินมาตั้งแต่ยังเด็ก

ผมส่งยิ้มให้พี่ชาติก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งด้านใน พี่ชาติปิดประตูลงแล้ววิ่งกลับไปอีกฝั่งด้านคนขับ ผมทอดสายตาออกไปด้านนอกมองภาพเคลื่อนไหวยามที่รถออกตัวด้วยสายตาเหม่อลอย ผมอดคิดไปมากมายไม่ได้ สิ่งที่ผมกำลังคิดแน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องของดินแดนกับผู้หญิงคนนั้น

ผมอยากจะรู้จริงๆ ว่าเขาสองคนจะไปกันได้นานแค่ไหน จะคบกันได้ยืดยาวจนแก่เฒ่าเลยหรือเปล่า หรือว่าผมจะมีโอกาสได้รับการ์ดเชิญงานแต่งงานของพวกเขาไหม แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องของผมอีกแล้ว ผู้หญิงอย่างใบบัวผมเห็นมามากมาย สังคมของผมไม่ใช่คับแคบ คิดว่าครอบครัวผมที่มีชื่อเสียงและเงินทองมากมาย คนอย่างผมจะไม่เคยเจอผู้หญิงอย่างเธอเลยงั้นหรือ

ที่ผมตลกที่สุดคงจะเป็นเรื่องที่ดินแดนตกหลุมพรางกับดักที่โง่เง่าแบบนั้นไปได้ยังไง ทั้งที่เขาเก่ง เขาอ่อนโยน และเป็นคนที่ฉลาดคนหนึ่ง ไม่น่าจะถึงขนาดมองมารยาของเธอไม่ออก

แต่ก็นั่นล่ะครับ มันไม่ใช่เรื่องของผมอีกแล้ว อีกไม่กี่อึดใจผมและแดนก็จะต้องหยุดความสัมพันธ์ของพวกเราลง ผมหวังว่าเขาจะมีความสุขกับคนที่เขาเลือก ผมจะคอยอวยพรให้เขาทั้งสองคน ให้รักกันนานๆ ให้มีความสุขมากกว่าที่ผมเคยมี และหวังอย่างยิ่งว่า…ผมจะไม่ต้องเห็นเขามานั่งเสียใจทีหลัง

“พี่ชาติจอดรอผมอยู่ที่นี่ก่อนนะครับ ถ้าหากว่าไม่อยากอยู่ในรถ ผมอนุญาตให้พี่ออกไปหาอะไรทานก่อนได้ครับ นี่ก็เกือบจะเที่ยงแล้วด้วย” พี่ชาติยิ้มให้ผม

“ไม่ต้องห่วงครับคุณหนู ผมรอได้ครับ เรื่องอาหารเที่ยง หากคุณหนูไม่ว่าอะไร ขอผมทานในรถได้ไหมครับ”

“เต็มที่เลยครับ ผมไม่บอกป้าเนียนแน่นอน”

ผมกับพี่ชาติต่างหัวเราะให้กันเพราะเราสองคนต่างรู้ดีว่าแม่ของพี่ชาติหรือป้าเนียนนั้นเข้มงวดแค่ไหนกับเรื่องพวกนี้ ป้าเนียนไม่ชอบและไม่ยินดีเลยหากว่าพี่ชาติจะทานอาหารบนรถ เพราะมันจะมีกลิ่นตกค้างอยู่ ไหนจะเศษอาหารและเรื่องมารยาท อันที่จริงผมคิดว่าป้าเนียนคงกลัวว่าผมกับพี่มินไม่ชอบเสียมากกว่า คงห่วงว่าผมจะรู้สึกแย่ ถึงได้ออกปากห้ามเอาไว้ก่อน

ผมก้าวลงจากรถและเดินเข้าไปในร้านด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ ไม่มีการก้มหน้าหรือแววตาเสียใจมดๆ ทั้งสิ้น เพราะผมจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้น ผมเลือกนั่งที่ที่เขาจะสามารถหาผมเจอได้ง่ายๆ สั่งลาเต้เย็นมาหนึ่งแก้วพร้อมกับเค้กชิ้นเล็กๆ พอเป็นพิธี ผมมองนาฬิกาจากโทรศัพท์แทบจะทุกๆ นาที ผมอยากให้มันจบเร็วๆ ยิ่งจบได้เร็วเท่าไหร่ผมก็จะยิ่งสามารถเดินออกไปได้เร็วเท่านั้น

เชื่อไหมครับว่าทั้งๆ ที่ผมนั่งรอเขาเพื่อยุติเรื่องของเราสองคน ในใจของผมก็ยังคงหวังเอาไว้ว่าเขาจะสามารถกลับตัวกลับใจ กลับมาเป็นเราได้อีกสักครั้ง แม้ว่าเรื่องพวกนั้นมันจะมีความเป็นไปได้เกือบจะเท่ากับศูนย์ แต่หัวใจของผมก็ยังคงหลอกตัวเองไม่เลิกรา

น่าตลกนะครับ ทั้งที่ถึงเวลาที่ควรจะตัดใจแล้วแท้ๆ แต่ตัวผมเองก็ยังคงเฝ้ารอด้วยความหวังเล็กๆ ในเศษเสี้ยวหนึ่งของหัวใจก็ยังคงไม่เลิกหวังเสียที

ผมมองผู้คนที่เดินเข้าออกร้านด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย เฝ้ารอร่างอันคุ้นตาปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้า…แต่ไม่ว่าจะรอเท่าไหร่ เขาก็ไม่มาเสียที จะหนึ่งนาที สองนาที ห้านาที หรือสิบนาที ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่ แดนก็ไม่เคยให้มันกับผมได้สินะ ทั้งที่ผมเรียกร้องเวลาจากเขาเพื่อจะจบมันลงให้เขา แต่เขากลับปล่อยให้ผมนั่งรอแล้วรอเล่า รออย่างไร้วี่แววว่าเขาจะมา แล้วผมจะเฝ้ารอต่อไปเพื่ออะไรล่ะ?

“หึ ฮ่ะๆ”

ผมไม่ควรรอมาตั้งแต่แรกแล้วจริงๆ ผมควรจะรู้ว่าคนอย่างดินแดนคำเรียกร้องที่มาจากปากของผมมันไม่เคยมีความหมายใดๆ ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวความสนใจที่จะได้จากเขา

สมกับเป็นแดนจริงๆ ใจร้ายได้แม้กระทั่งวินาทีสุดท้าย ทำผมเจ็บปวดได้แม้กระทั่งวันที่ผมจะไป

ผมลุกขึ้นวางเงินลงที่โต๊ะโดยไม่สนใจเศษเงินที่ต้องทอน ตัดสินใจเดินออกไปจากร้านหยิบเอาแว่นตาสีชาออกมาสวมเอาไว้เพื่อปกปิดร่องรอยความผิดหวังของผมเอาไว้ ซ่อนดวงตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากสายตาของคนอื่นๆ แต่ผมไม่เคยคิดเลยว่าเพียงแค่ผมเดินออกมาจากร้าน สิ่งที่ทำให้ผมเจ็บยิ่งกว่ากลับมาอยู่ตรงหน้าเสียได้

ผมชะงักค้าง ยืนอยู่หน้าประตูร้านด้วยอาการนิ่งอึ้ง มองร่างของดินแดนโอบประคองผู้หญิงคนนั้นด้วยท่าทางรักใคร่อย่างปวดใจ

เวลาที่ผมเป็นคนเรียกร้อง คงสู้เสียงออดอ้อนของเธอไม่ได้สินะ

ผมน่าจะรู้ ควรจะรู้ได้แล้วว่าเขาไม่มีวันมาตามที่นัดไว้ ความสำคัญของผมมีค่าเท่ากับศูนย์ นั่นจึงทำให้ผมต้องเป็นฝ่ายที่ต้องอดทนรออยู่เสมอ ผมเสยผมสีน้ำตาลอ่อนของตัวเองขึ้นด้วยความผิดหวังและเสียใจ ในเมื่อเวลาแค่10นาที เขายังให้ผมไม่ได้ ถ้างั้นคงไม่มีอะไรให้ผมต้องรออีกต่อไป

มันควรได้เวลาที่ผมจะเดินออกไปอย่างจริงจังเสียที ผมเหนื่อยและเจ็บปวดมามากพอแล้วกับสิ่งที่ดินแดนมอบให้ ผมผิดหวังกับเขามามากจนเกินกว่าจะตั้งความหวังไว้ได้ไหวอีก สิ่งที่ดินแดนทำลายลงไปคือหัวใจของผมและความรักที่มีให้เขา ผมว่าเราสองคนควรจะพอมันได้แล้ว ความรักในครั้งนี้เป็นผมที่ดื้อรั้นจะมีมัน ผมก็จะปลดปล่อยมันให้เขาเอามันไปให้คนอื่นที่เขาต้องการ

“คุณหนูครับ…” อา ทำคนอื่นเป็นห่วงเสียดาย ผมนี่แย่จริงๆ ผมดันแว่นตาสีชาขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าก่อนหน้านี้ความรู้สึกใดๆ ก็ไม่ได้อยู่บนหน้าของผมเลย

“ออกรถเถอะครับพี่ชาติ” ผมคงจะอยู่ตรงนี้ต่อไปไม่ได้ ภาพที่เขายังคงมีความสุขกับเธอโดยที่ไม่สนใจเวลานัดของเรามันทำให้ผมอดเสียความรู้สึกกับดินแดนไม่ได้

“ได้ครับ คุณหนูจะไปที่ไหนต่อครับ?”

ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ปล่อยดวงตาให้จดจ่ออยู่กับภายนอกอย่างเผลอไผล กอดเก็บความเสียใจเอาไว้เงียบๆ พยายามฟื้นฟูตัวเองขึ้นมาจากการบาดเจ็บที่แสนสาหัสนี้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องมีเขา ไม่จำเป็นต้องมีเรา

เพราะจากนี้ไปจะมีเพียงแค่ ไมรวี สุทธิวรเวช เท่านั้น จะไม่มีไมน์ เด็กน้อยที่ตกหลุมรักดินแดนจนหมดหัวใจอีกแล้ว จะไม่มีคนอ่อนแอที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้หัวใจของเขาอีกแล้ว

“กลับไปคอนโดก่อนนะครับพี่ชาติ ผมมีเรื่องที่ต้องทำนิดหน่อย”

“ได้ครับคุณหนู”

พี่ชาติขับรถออกจากร้านมาอย่างเงียบๆ แม้จะไม่ได้เอ่ยทักหรือถามไถ่อะไรผม แต่ผมก็พอจะรู้ตัวว่าถูกพี่ชาติมองผ่านกระจกบ่อย ผมเข้าใจว่าพี่ชาติเป็นห่วงผม ยังดีที่พี่ชาติปล่อยให้ผมใช้ความคิดไปเรื่อยๆ โดยไม่ทักถามอะไร ดีที่พี่ชาติปล่อยให้ผมจมอยู่กับตัวเองแบบนี้

ผมว่ามันควรจะจบแล้วจริงๆ ถึงเวลาที่ผมควรจะถอยออกมาจากดินแดนเสียที เพราะอยู่ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น คนที่เขาเลือกไม่เคยใช่ผมอยู่แล้ว เพราะงั้น…ก็ไม่จำเป็นต้องมีผมก็ได้

เพราะผมเองก็จะอยู่ให้ได้โดยไม่มีเขา

ผมดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง กดหมายเลขออกไปอย่างคุ้นเคยแม้จะไม่ได้โทรออกไปนานมากแล้วก็ตาม ผมเฝ้ารอเสียงจากปลายสายอย่างใจเย็นและหมดเรี่ยวแรง ปล่อยตัวให้จมอยู่กับเบาะรถ พิงศีรษะกับกระจกโดยไม่สนใจว่าผมจะโดนกระแทกจากการขับรถของพี่ชาติหรือเปล่า

“พี่มิน…”

[หนูไมน์ มีอะไรหรือเปล่า เกิดอะไรขึ้น] น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยมันทำให้น้ำตาของผมพานจะไหลออกมาอีกแล้ว ผมนี่มันอ่อนแอเหลือเกิน

“พี่ครับ…ช่วยพาผมกลับบ้านที ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว” ผมขอกลับไปในที่ที่เขามองเห็นค่าของผมดีกว่าอยู่กับคนที่ผมรักแต่กลับไม่เคยมองเห็นผมในสายตา

ผมได้เรียนรู้แล้วว่า ยิ่งผมดึงรั้งคุณเอาไว้มากแค่ไหน มือของผมก็จะยิ่งเจ็บมากเท่านั้น เพราะหากฝ่ายหนึ่งฝืนดึง อีกฝ่ายหนึ่งต้องการจะจากไป ฝ่ายที่ดึงไว้ต้องใช้แรงมากและเจ็บปวดมากกว่าฝ่ายที่เดินจากไปอย่างแน่นอน

เพราะงั้น...ผมจะปล่อยมือแล้วนะครับ ผมจะไม่ดึงคุณเอาไว้อีกแล้ว

ผมเจ็บที่คุณเดินจากไป แต่ผมว่าคงดีกว่าต้องเจ็บต่อไปกับการรั้งคุณ..





น้องกลับบ้านแล้ว!!! จุพลุฉลองกันเร๊ววววววว ในที่สุดน้องก็ตัดใจแล้ว มารอดูต่อกันไปว่า นังแดนจะทำยังไง ลูกฉันจะเลิกรักแกแล้วนะย๊ะ!!

เป็นเจ้าของ

ออฟไลน์ smmikie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
อย่ารักใครมากกว่ารักตีวเองนะ ดีแล้ว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด