ทำดีที่สุด
เช้าแล้ว ตอนนี้เป็นเวลา 6 โมงเช้า เหมือนทุกวัน
หน้าที่ของผม ก็คือการทำอาหารให้เขา ของที่แดนชอบที่สุดในตอนเช้า มีเพียงแค่กาแฟและขนมปังปิ้ง 2 แผ่นเท่านั้น แดนจะไม่ทานอย่างอื่น เพราะเขาจะมองว่า มันเป็นการสิ้นเปลืองเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ผมรู้ดี เธออยู่กับเขามาหลายปีนี่นา
หลังจากที่เตรียมอาหารให้เขาเรียบร้อย ผมก็เดินมานั่งตรงข้ามเพื่อรอให้เขามาทานเหมือนทุกๆ วัน แดนเดินเข้าไปในห้องน้ำ จัดการตัวเองจนเรียบร้อย ผมก็เห็นเขาเดินออกมา แต่งตัว ด้วยเสื้อเชิ้ตสีดำ กางเกงสีเดียวกัน ผมยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มแรกของวันนี้ เพราะทุกวัน ผมและเขาต่างก็จะยิ้มให้กันนั่งทานอาหารด้วยกัน เป็นเรื่องปกติของคู่รักทั่วไป
แต่แดนในวันนี้ เขากลับมองเมินรอยยิ้มของผม เลือกจะนั่งตรงข้าม แล้วจัดการอาหารที่ผมวางเอาไว้ให้เท่านั้น
แดนไม่มอง เขาทำเหมือนมองไม่เห็น เหมือนผมไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา
แต่คงไม่ได้เป็นอย่างนั้น ผมคงแค่คิดไปเอง ก็เรารักกันนี่นา
ใช่ไหม?
“เมื่อคืน…” แดนชะงักมือที่กำลังถือส้อมกับมีด แม้ว่าใบหน้าจะไม่ได้เงยขึ้นมาสบตากับผม แต่บรรยากาศรอบตัวเขาก็บอกได้ว่าไม่อยากจะคุย ผมกล้ำกลืนทันลงคอไป ไม่ใช่เพราะกลัวเขาโกรธ
ผมแค่ยังไม่พร้อมจะรู้ความจริง
กลัวว่าตัวเองจะแตกสลายถ้าหากแดนยอมรับว่า…หมดรักผมแล้ว
มันเป็นสิ่งที่ผมหวาดกลัวมาตลอดทั้งคืน ผมนอนไม่หลับ ดวงตาบวมและแดงก่ำกากการร้องไห้มาอย่างหนัก ทรมานกับร่องรอยที่แม้จะไม่ยอมรับแค่ไหนก็รู้ดีว่ามันเกิดขึ้นจากอะไร
แดนเป็นคนที่ผมรัก เป็นผู้ชายที่ทำให้ผมเลือกจะเดินออกมาจากครอบครัว
ผมเลือกเขาแล้วก็จะจับเขาเอาไว้ให้แน่น ไม่ปล่อยมือไปจากเขา แม้ว่าเขาจะอยากไปแค่ไหนก็ตาม ในเมื่อตัวเขาไม่ได้พูดมันออกมาว่าจะเลิกกัน ผมก็ยังคงถือว่าเป็นคนรักของเขา เป็นตัวจริงที่อ้างสิทธิ์พวกนั้นกับใครต่อใครก็ได้ที่เข้ามาหวังจะแย่งเขาไป
ผมไม่ยอม…จะไม่ยอมปล่อยมือของเขาเด็ดขาด
ดินแดนนี้เป็นของผม ผมไม่ยอมยกมันให้ใคร!
“แดนเมามากเลยรู้ไหม มะ ไม่ดีกับร่างกายเลยนะ” ผมยิ้มออกมาบางๆ ส่งให้เขา มอบความห่วงใยอย่างที่เคยมอบให้มาตลอดสองปี
“อืม โทษที” แดนลงมือทานอาหารเช้าต่อ ดวงตาคู่นั้นจับจ้องเพียงแค่อาหารที่วางอยู่ตรงหน้า
ผมหัวเราะแห้งๆ ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมเราทั้งสองคน ปล่อยให้อาการปวดหนึบในหัวใจกัดกินไปเรื่อยๆ อย่างไม่อาจจะหยุดยั้งมันเอาไว้ได้
แดนยังอยู่ตรงหน้าผม กิริยาต่างๆ อยู่ในสายตาของผม
แต่ผมกลับรู้สึกว่าเราสองคน…ยิ่งห่างกันมากกว่าเก่า
เหมือนมีเส้นบางๆ มาขวางกั้นพวกเราเอาไว้ไม่ให้เข้าไปใกล้กัน…
มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่นะ ความห่างไกลที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาหาพวกเราสองคนมันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจจะเพียงไม่นานมานี้ หรือนานจนผมไม่ทันได้สังเกตกันนะ ความห่างไกลที่ทำให้หัวใจปวดร้าว มันน่ากลัวพอๆ กับการถูกมองเมินอย่างไม่มีตัวตน
แดนยังเหมือนเดิมหรือเปล่า ยังเป็นคนที่รักผมที่สุดอยู่ใช่ไหม?
คำถามพวกนี้ผมทำได้เพียงแค่ถามเขาในใจ ยอมรับว่าอ่อนแอเกินกว่าจะยอมรับฟังคำตอบที่น่าหวาดกลัวนั้นได้ พอมานึกย้อนดูแดนเองก็แปลกไปตั้งแต่งานวันเกิดของภูมิ
วันนั้น...
ผมนอนกุมท้องตัวเองที่ปวดจากอาหารเป็นพิษอยู่บนเตียง ริมฝีปากซีดเซียวเพราะอาการขาดน้ำ แดนรบเร้าให้ผมไปงานวันเกิดของภูมิด้วยกัน ผมรู้ดีว่าหากไม่ยอมไปมันดูเป็นการไม่ให้เกียรติเพื่อนของแดน แต่ผมไม่ไหวจริงๆ แค่จะลุกขึ้นมานั่งยังไม่มีแรงด้วยซ้ำ
“ไหวหรือเปล่าไมน์ ให้แดนอยู่เป็นเพื่อนไหม?” ผมฝืนยิ้มให้เขาแล้วส่ายหน้า มึนหัวไปหมด บ้านทั้งหลังหมุนไปมาเหมือนเห็นการโคจรของโลก
“ไม่เป็นไร แดนไปเถอะ เดี๋ยวภูมิจะรอนาน ฝากแฮปปี้เบิร์ดเดย์แทนไมน์ด้วยนะ” ผมไม่อยากผิดใจกับภูมิ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยจะชอบผมก็ตาม ยิ่งผมไม่ไปงานวันเกิดเขา ขาก็ยิ่งจะไม่ชอบหน้าผมมากยิ่งขึ้นไปอีก
โชคชะตาก็ช่างเล่นตลกกับผมเสียจริง คิดจะให้ภูมิเกลียดผมเข้ากระดูกเลยหรือไงถึงให้ผมป่วยวันไหนไม่ป่วย ดันเป็นวันสำคัญแบบนี้
“ถ้างั้นแดนจะรีบกลับ ไมน์นอนพักอย่าซนล่ะ” ผมยิ้มพยักหน้าให้เขาอย่างขบขัน
“ครับๆ ผมรู้แล้วครับคุณพ่อ” แดนหัวเราะแล้วขยี้หัวผมจนมันยุ่ง แววตาทอประกายความเอ็นดูออกมาจนเห็นได้ชัด มันอบอุ่นหัวใจยังไงไม่รู้ ผมชอบที่เขามองผมแบบนี้ เพราะมันทำให้ผมรู้ว่าเขารักผม
“ไปแล้วนะ แดนจะรีบกลับ”
“ครับ ขับรถดีๆ นะ”
แดนจูบหน้าผากของผมก่อนจะคว้ากุญแจห้องแล้วเดินออกไป ส่วนผมก็นอนพักผ่อนอยู่บนเตียง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน แต่แอร์ที่เย็นฉ่ำทำให้ผมรู้สึกสบายจนเผลอไผลหลับไปในที่สุด
แต่เพราะอาการคอแห้งจากการกระหายน้ำ ผมจึงได้ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ครัวเพื่อจะเอาน้ำมาดื่ม จังหวะที่ผมกำลังลุกขึ้นมาผมก็เห็นนาฬิกาข้างเตียงบอกเวลาตี2กว่าเข้าไปแล้ว ผมมองหารอบห้อง แต่ไม่มีร่องรอยการกลับมาของแดน เพราะมันดึกมากแล้วผมจึงเป็นห่วง
เขาจะเป็นอะไรหรือเปล่า
แดนไม่เคยกลับดึกขนาดนี้ อย่างมากที่สุดก็ไม่เคยเกินเที่ยงคืน แต่นี่ตี2กว่าแดนยังไม่กลับ มันช่วยไม่ได้เลยที่ผมจะคิดไปในทางร้ายๆ
หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาล่ะ หรือใครทำอะไรแดน?
ทุกอย่างเป็นการคาดเดาจากความเป็นไปได้ เพราะผมห่วยเขาจึงฝืนตัวเองหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาแดน ผมไม่เคยคิดจะโทรจิกหรือกดดันตามตัวให้เขากลับบ้าน ผมแค่เป็นห่วงเขามาก
ขอแค่ได้รู้ว่าเขาไม่เป็นอะไร ให้ผมได้สบายใจก็พอแล้ว
“แดน...แดนทำไมยังไม่กลับล่ะครับ?” ผมรีบถามเขาทันทีเมื่อมีการรับสายจากปลายทาง แต่เสียงที่ผมได้ยินกลับมากลับไม่ใช่แดน
(อ๊ะ ขอโทษด้วยนะคะ พอดีแดนเขากำลังหลับอยู่ ไม่ทราบว่านี่ใครเหรอคะ?) เสียงผู้หญิง...
เป็นไปได้ยังไง แดนไม่เคยให้คนอื่นรับสาย
“ผมเป็นแฟนแดนครับ ไม่ทราบว่า...” ผมยังไม่ทันจะได้ถามต่อ เสียงอีกฝ่ายก็ขัดขึ้นมา
(อุ๊ย แดน อย่าซนสิคะ พอแล้วนะ บัวไม่ไหวแล้วน้า บัวช้ำไปหมดแล้วค่ะ อื้อ)
เขา อึก! เขาทำ อะไรกัน
เสียงของเธอ...มันชวนให้ผมคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ หัวใจผมเบาหวิวจนแทบจะปลิวหายไป ความรู้สึกขมปร่าขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ
แดนทำจริงๆ เหรอ แดน...กำลังทำแบบนั้นจริงๆ น่ะเหรอ
ผมอ้าปากจะถาม แต่ปลายสายกลับตัดไปเสียก่อน ปล่อยให้ผมวนเวียนถามตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน โทรศัพท์แดนอยู่ที่เธอคนนั้น ผู้หญิงที่ชื่อว่าบัว เสียงที่บัวส่งผ่านสายมามันกระเส่า มันทำให้ใจของผมแทบจะแตกสลายถ้าหากนั่นคือความจริง
อึก! อ้วก
ผมรีบวิ่งไปยังห้องน้ำ โก่งคออาเจียนออกมาจนหมดแรง น้ำตาไหลลงมาไม่ขาดสาย ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะผมอาเจียนหรือเพราะสิ่งที่ได้ยินจากผู้หญิงคนนั้นกันแน่
อกข้างซ้ายตรงนี้มันเจ็บจนร้าวราน ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาพบเจอกับความผิดหวังอันแสนคลุมเครือขนาดนี้ แดนนอกใจผมจริงๆ หรือเปล่า แดนกำลังนอนกับเธอคนนั้นจริงๆ เหรอ
“ฮึก แดน”
ทำไมล่ะแดน ทำไมถึงทำกับผมแบบนี้
ทำไมล่ะ ทำไมถึงทรยศต่อความไว้ใจของผม ทำไมถึงทำร้ายผมได้ขนาดนี้
ผมปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเรื่อยๆ ทิ้งตัวพิงผนังห้องน้ำอย่างหมดเรี่ยวแรง สองมือปิดใบหน้าตัวเองเอาไว้ ปล่อยให้เสียงสะอื้นไห้ดังก้องอยู่ในนั้นเผื่อว่าความเจ็บปวดใจของผมจะลดลงไปบ้าง
ไหนล่ะที่ว่าจะรีบกลับ ที่จริงแล้วแดนห่วงผมจริงๆ หรือเปล่า
การที่ผมไม่ได้ไปกับเขามันดีสำหรับเขาแล้วใช่ไหม?
ผมอดคิดไปต่างๆ นานาไม่ได้ แดนทำให้ผมฟุ้งซ่านและสับสน ความอ่อนแอถูกหยดน้ำตาพาให้ออกมาทีล่ะน้อยๆ ผมอยากจะหยุด อยากจะลบคำพูดของเธอคนนั้นออกไปจากหัว แต่ไม่ว่าจะทำยังไงเสียงของเธอก็ยังคงวนเวียนซ้ำๆ คอยตอกย้ำให้ผมทรมานจนแทบจะบ้าตาย
แดนใจร้าย ใจร้ายเหลือเกิน
ผมสะดุ้งตื่นจากความทรงจำที่หวนกลับมาเมื่อร่างของแดนลุกขึ้นจากโต๊ะ ในจานไม่เหลืออาหารใดๆ อีกแล้ว ผมเองก็ผุดลุกขึ้นทันทีด้วยเช่นกัน แดนปรายตามองผมชั่ววินาทีก่อนจะเบนสายตากลับไป หยิบเอาเสื้อสูทของตัวเองมาถือเอาไว้อย่างไม่ใส่ใจ
“จะ จะไปแล้วเหรอ” แดนชะงักเท้าแต่ไม่ได้หันกลับมามองผมเพียงแค่พยักหน้าและส่งเสียงตอบรับในลำคอเท่านั้น ผมกำมือแน่น บางอย่างจุกอยู่ในลำคอและเบ้าตาจนร้อนผ่าว ผมพยายามกลืนมันลงไป ให้มันลงไปให้ลึกจะได้ไม่ต้องตีตื้นขึ้นมาอีก
“วันนี้ แดนจะ...มาทานข้าวเย็นกับไมน์ใช่ไหม”
จะกลับมาอยู่ด้วยกันใช่ไหม ผมอยากถามเขาแบบนี้ แต่ก็ไม่กล้า
“ยังไม่แน่ใจ” แดนเดินออกไปโดยไม่หันกลับมาอีก จนได้ยินเสียงประตูปิดลงผมถึงได้สติกลับมา
ยังไม่แน่ใจงั้นเหรอ ยังไม่แน่ใจ
ทำไมผมถึงได้หวังมากมายขนาดนั้นนะ คิดไปได้ยังไงว่าแดนจะตอบกลับมาว่าแน่นอน คิดได้ยังไงว่าแดนจะยิ้มให้ผม เดินเข้ามาจูบหน้าผากแล้วมองผมด้วยแววตาหวานซึ้งเหมือนเมื่อก่อน
ผมคิดไปได้ยังไง คิดไปได้ยังไง!!
มันไม่มีทางอีกแล้วหรือยังไงกัน ผมแค่อยากจะใช้วันเวลาร่วมกันเหมือนคนรักคนอื่นๆ ผมผิดหรือไงที่เรียกร้องในสิ่งที่คนรักกันควรจะทำด้วยกัน สำหรับแดนแล้วผมยังอยู่ที่เดิมในหัวใจของเขาหรือเปล่า ผมยังมีตัวตนอยู่ในสายตาของเขาบ้างไหม
ความเจ็บปวดและเดียวดายของผม เขามองไม่เห็นมันบ้างเหรอ
ไม่สงสารผม...ที่ถูกทิ้งให้เดียวดายบ้างหรือไง
ผมไม่มีค่าให้เขาชายตามาแลเลยเหรอครับ แม้แต่หางตาเขายังไม่มองมาที่ผมเลยสักเสี้ยวนาที
“ฮะๆ ฮ่าๆ”
ทั้งที่ผมกำลังหัวเราะ ทั้งที่กำลังเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเหมือนกับคนบ้า
แต่ทำไมล่ะ...
ทำไมน้ำตาของผมถึงต้องไหลออกมาด้วย ทำไมหัวใจของผมถึงเจ็บปวดเหมือนกำลังจะตาย
กว่าจะตั้งสติได้ก็ช่วงสายของวัน ผมอาจจะงี่เง่าเกินไปก็ได้ แดนเองก็ต้องทำงานหนัก ยิ่งเป็นธุรกิจของที่บ้านยิ่งต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะแบบนั้นผมเองก็ออกจะงี่เง่าเกินไปจริงๆ ที่ไปเรียกร้องอะไรแบบนั้น
ไม่เป็นไร ผมจะเอาปิ่นโตที่เต็มไปด้วยความรักของผมไปส่งให้เขา
แดนจะได้รู้ว่าผมยังใส่ใจต่อเขาเสมอ ไม่ว่าความสัมพันธ์ของเราจะห่างไกลแค่ไหนก็ตาม
ผมจะยืนอยู่ที่เดิม ให้เขารู้ว่าผมไม่ได้เปลี่ยนไป ยังคงรักเขามากเช่นเดิม และเพิ่มขึ้นทุกวันๆ
ผมยิ้มมองปิ่นโตสีสวยในมืออย่างภูมิใจ ผมทำของชอบของเขามาทั้งนั้น แดนเคยบอกว่าอาหารที่ผมทำมันอร่อยมาก ไม่ว่าเขาจะทานมากแค่ไหนก็ไม่มีเบื่อ ไม่เคยนึกจะเบื่อเลย ผมจำได้ดีว่าเขาชอบอะไร ผมจึงได้ลงมือทำทุกอย่างที่เขาชอบ ใส่ทุกสิ่งที่ควรใส่ใจให้เขาได้ทานมันให้อร่อย
ผมเดินลงไปด้านล่างของคอนโด เรียกรถแท็กซี่แล้วก้าวขึ้นนั่งด้านหลังอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวว่าปิ่นโตจะหกเอาได้ถ้าหากผมไม่ขยับตัวให้ดีๆ
“ไปไหนครับ?” ผมยิ้มให้กับคุณลุงแท็กซี่ ลุงแกก็ยิ้มคืนมาให้ผมอย่างใจดี
“ไปโรงแรมภัทราแกรนด์ครับคุณลุง”
“โอเค...”
คุณลุงดูท่าทางใจดีมากๆ แกยิ้มให้ผมแววตามองเหมือนผมคือลูกหลานของแกคนหนึ่ง มันก็แปลกนะ ทั้งที่ผมเป็นคนแปลกหน้า แต่ก็ยังดีกว่าได้รับความไม่เป็นมิตร ผมกอดปิ่นโตเอาไว้แน่น สายตาของคุณลุงก็เหลือบมองกระจกมองหลังเป็นระยะๆ คล้ายกับว่ามีบางสิ่งอยากจะพูดออกมา
“มีอะไรเหรอครับคุณลุง?” คุณลุงดึงสายตากลับไปมองท้องถนน แต่ผมเห็นว่าแกกำลังยิ้มอยู่
“เปล่าหรอก เห็นหนูแล้วลุงก็อดนึกถึงลูกชายตัวเองไม่ได้ น่าจะรุ่นๆ หนูนี่ล่ะ” น้ำเสียงของแกที่พูดมันช่างเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน
“คุณลุงมีลูกชายด้วยเหรอครับ ดีจังเลย” ผมชวนแกคุยไปเรื่อยๆ ดีกว่าใช้เวลากับความเงียบงันในรถ
“ใช่แล้วล่ะ ไอ้หนูลูกชายของลุงมันเกเรไปหน่อย ตอนนี้ก็เลยไปก่อนเวลาอันควรแล้ว” ผมขนลุกซู่ ความหดหู่แผ่กระจายออกมาจนทั่วทั้งคัน
“ผม...เสียใจด้วยนะครับ” แต่คุณลุงกลับโบกไม้โบกมือ แล้วยังหัวเราะออกมา
“ไม่เป็นไรๆ มันนานมากแล้วล่ะ เพียงแต่หนูขึ้นรถลุงมาลุงเลยอดนึกถึงเจ้าคิมมันไม่ได้” ผมกำปิ่นโตแน่น สงสารลุงแกจนสุดหัวใจ เสียลูกชายไปเวลาเห็นเด็กรุ่นเดียวกันกับลูกชายตัวเองย่อมต้องนึกถึงอยู่แล้ว
“ชื่อคิมหันต์สินะครับ ฤดูร้อนก็เลยซุกซนหรือเปล่าครับเนี่ย” ผมพูดติดตลก ดึงอารมณ์ของคุณลุงให้นึกถึงแต่ช่วงเวลาความสุขมากกว่าความโศกเศร้า ซึ่งลุงแกเองก็หัวเราะไม่หยุดเช่นกัน
“ใช่ๆ ฮ่าๆ ซนที่หนึ่งเชียวล่ะ ตอนเด็กๆ นะ เจ้าคิมลูกลุงไล่ต่อยกับเด็กแถวบ้านจนใครๆ ต่างก็เรียกมันว่าลูกพี่กันหมด หนูรู้ไหม ลุงต้องไปห้องปกครองเพราะการต่อยตีของมันกี่ครั้ง ไปจนครูห้องปกครองแทบจะให้ลุงอาศัยที่นั่นเป็นบ้านเลยนะ”
ผมกับลุงหัวเราะออกมา เรื่องราวความแสบสันของคิมหันต์ลูกชายของลุงถูกถ่ายทอดมาให้ผมฟังด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุข ผมรู้สึกดีที่ได้ยิน ดีใจที่คนที่อายุพอๆ กับพ่อของผมยิ้มและหัวเราะออกมาได้ มันทำให้ผมอดนึกถึงคุณพ่อไม่ได้เหมือนกัน ไม่รู้ว่าป่านนี้คุณพ่อจะยังทำงานหนักจนลืมดูแลตัวเองหรือเปล่า คุณแม่จะยังเสียใจไหมที่ผมเลือกออกมาใช้ชีวิตข้างนอกคนเดียวแบบนี้
“ถึงแล้วล่ะ ขอบใจหนูมากนะ ลุงรู้สึกเหมือนได้คุยกับลูกลุงอีกครั้งเลย” ผมส่งยิ้มให้ลงขณะที่เปิดประตูออกไป
“ผมดีใจครับที่คุณลุงสนุก นี่เงินค่ารถครับ ไม่ต้องทอนนะครับ ขอบคุณคุณลุงมากๆ นะครับที่มาส่งผม” ลุงทำท่าแข็งขัน ยืดอกมือจับพวงมาลัยรถอย่างมุ่งมั่น
“แท็กซี่ไทย ยินดีให้บริการครับผม!” ผมหัวเราะแกเองก็หัวเราะ ผมโบกมือลาคุณลุงเล็กน้อยแล้วปิดประตูรถพร้อมกับเดอนไปต่อ
ตอนนี้ผมมาถึงโรงแรมภัทราแกรนด์แล้ว ตื่นเต้นเหมือนกันนะครับ เพราะผมเองก็เคยมาที่นี่ครั้งแรกเลย
ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกแล้วก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว สองข้างทางของโรงแรมเป็นต้นไม้น้อยใหญ่ มีดอกไม้เรียงรายอยู่ไม่น้อย ดูแล้วสบายตา ตึกของโรงแรมสูงจนต้องแหงนใบหน้าขึ้นไปมอง พนักงานต่างยิ้มแย้มให้กับลูกค้าด้วยท่าทางอ่อนน้อม
สมกับที่เป็นโรงแรมที่ติดหนึ่งในห้าของโรงแรมที่ดีที่สุดในประเทศ
ผมอดยิ้มกับมันไม่ได้ ภูมิใจแทนแดนที่มีกิจการที่ดีแบบนี้ ผมรุดหน้าเข้าไปยังภายในโรงแรม เดินเข้าไปหาพนักงานคนหนึ่งด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ
“สวัสดีครับ” เธอเงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วส่งยิ้มมาให้
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบต้องการห้องพักแบบไหนคะ"
“ผมมาหาดินแดนน่ะครับ คุณดินแดนอยู่หรือเปล่าครับ?” พนักงานสาวคนนั้นเธอชะงักแล้วกวาดตามองผมครู่หนึ่ง ผมเดาว่าคงเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติที่เกิดขึ้นเมื่อคนแปลกหน้าที่แต่งตัวธรรมดามาขอพบผู้บริหารโรงแรมล่ะนะ ผมไม่โกรธเธอหรอก เธอเองก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะมองเหยียดผมเสียหน่อย
“เอ่อ ไม่ทราบนัดไว้หรือเปล่าคะ?”
“เปล่าครับ แต่ช่วยแจ้งแดนให้หน่อยนะครับว่าไมน์มาหา”
“รอสักครู่นะคะ ดิฉันจะแจ้งท่านให้”
ผมยืนรอเธออย่างที่เธอบอก ถือโอกาสมองไปรอบๆ โรงแรมอย่างสนใจ คนเยอะเหมือนกันนะครับ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติเสียมากกว่า มีคนไทยอยู่เพียงไม่กี่คน ส่วนมากก็ดูจะมาเรื่องงานเสียมากกว่าจะมาพักผ่อน จำได้ว่าที่โรงแรมของพ่อเองก็เป็นแบบนี้ แต่ก็มีความแตกต่างอยู่อย่างเห็นได้ชัด ถึงยังไงภัทราแกรนด์ก็เป็นหนึ่งในห้าโรงแรมที่ดีที่สุดในประเทศ
แต่ลัลลาเซ็นทราเวลของพ่อผมก็ยังถือว่าเป็นหนึ่งในสามล่ะนะ
“ไมน์! มาทำอะไรที่นี่!” ผมหันไปหวังจะยิ้มให้กับแดนที่เดินมาหา แต่ใบหน้าคมกลับติดร่องรอยความขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัด
“ไมน์แค่เอาปิ่นโตมาฝาก ไมน์ทำแต่ของที่แดน…”
เคร้ง!ผมชะงักมองปิ่นโตที่ถูกปัดทิ้งจนหกเลอะเทอะบนพื้นไปหมดด้วยแววตาอึ้งๆ ผมไม่ ไม่คิดว่าแดนจะปัดมันทิ้งอย่างไม่ไยดี ไม่คิดว่าแดนจะ…ไม่อยากได้มันถึงขนาดนี้ กับข้าวที่ผมทำมันด้วยความใส่ใจ ไม่เหลือแม้แต่ความหวังให้ได้มองเห็น ม่านน้ำตาบดบังทุกสิ่งที่มองเห็น ภาพปิ่นโตที่หกอยู่บนพื้นมันช่างพร่าเบลอไปหมด
“อย่ามาทำแบบนี้อีก อย่ามาที่นี่ แดนไม่ชอบ มันน่ารำคาญ!”
ฮะๆ น่ารำคาญงั้นเหรอ ผม สิ่งที่ผมทำให้เขา พยายามเพื่อเขามันน่ารำคาญงั้นเหรอ ผมกัดริมฝีปากแน่น ก้มหน้าลงมองพื้นไม่กล้ามองไปรอบข้างด้วยซ้ำ สายตากี่สิบคู่กันที่มองมาที่ผม สายตากี่ร้อยคู่กันที่สมเพชผม ผมไม่อยากรับรู้หรอก แต่มีเพียงสายตาคู่เดียวเท่านั้นที่มองผมด้วยความเย็นชา ไร้ซึ่งความรู้สึกผิดใดๆ คือสายตาของเขา สายตาของคนที่ผมรัก
“เดี๋ยวบัวช่วยเก็บให้นะคะ” ผมชะงักกับเสียงที่ได้ยิน ใบหน้าจึงเงยขึ้นทองโดยอัตโนมัติ
เสียงแบบนี้…เหมือนคืนนั้น คืนที่เป็นวันเกิดของภูมิ
“ไม่ต้องครับบัว ปล่อยให้คนที่เอามันมาเป็นคนเก็บ ขยะที่ถูกพาเข้ามาก็ต้องให้คนที่พามาเป็นคนเอามันออกไป! ”
“ตะ แต่ อ๊ะ!” เธอถูกแดนรั้งตัวให้เดินออกไป แต่เพียงแค่แดนหันหลังให้ผม ดวงตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์ของเธอก็ปรากฏแววตาสะใจและเย้ยหยัน ราวกับว่าเธอยืนอยู่สูง เหนือผมขึ้นไปอีก
เธอสินะ คนในคืนนั้น
เธอคนนี้สินะที่แดนกำลัง…พามาแทนที่ผม
TBCคนที่เคยใช่ ไม่สามารถกลับมาใช่ได้อีก เพราะเขาให้เราเป็นอดีต ไม่ใช่ปัจจุบัน ต่อให้สิ่งที่เราทำมันจะเป็นสิ่งที่เขาเคยชอบยังไง สำหรับเขาที่มองว่าเราเป็นแค่คนที่ไม่ใช่เจ้าของหัวใจ ก็ไม่มีค่ามากไปกว่าคนน่ารำคาญ
เป็นเจ้าของ