...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [25] บทส่งท้าย (End) Up [24/05/63] แจ้งฯ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [25] บทส่งท้าย (End) Up [24/05/63] แจ้งฯ  (อ่าน 24152 ครั้ง)

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[20] 100%


การรับประทานอาหารดำเนินไปอย่างเงียบๆ โดยที่ผมและดินแดนต่างก็ต้องคอยระวังไม่ให้ภูเขาไฟสองลูกนี้เกิดปะทุขึ้นมาอีก

“ไมน์ครับ ทานนี้นะ กุ้งแม่น้ำที่ไมน์ชอบ” ผมยิ้มรับให้กับดินแดนที่เขายังคงจดจำได้ว่าผมชื่นชอบอะไร

“ขอบคุณมากนะแดน” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตักมันเข้าปาก จู่ๆ พี่มินก็ยื่นมือมาตักเจ้ากุ้งตัวโตออกไปจากจานของผมแล้วเอาเข้าปากตัวเองแทนเสียอย่างนั้น แถมยังเคี้ยวเหมือนมันเป็นศัตรูมาตั้งแต่ชาติปางก่อน

“พี่มิน!! นั่นกุ้งของไมน์นะ ของไมน์!!” ผมโวยวายอย่างงอแง กุ้งตัวนั้นดินแดนตักมาให้ผมครั้งแรกในรอบปี ตั้งแต่ที่เราทะเลาะกัน แต่พี่ชายผมกลับ...แย่งมันไปกินหน้าตาเฉย

แบบนี้มันใจร้ายเกินไปแล้ว!

“เอา พี่ตักให้ใหม่แล้ว กินสิ” ผมมองเจ้ากุ้งแม่น้ำที่ถูกตักมาใหม่ในจานอย่างหมดคำจะพูด นี่พี่ชายผมไม่เข้าใจจริงๆ หรือแค่กำลังกวนอารมณ์ของผมอยู่กันแน่ มันเหมือนกันที่ไหนเล่า!

“อยากกินกุ้งทำไมไม่บอก เอานี่! ...จะได้ไม่ต้องไปแย่งของน้อง” ผมอยากจะอ้าปากค้างกับความใส่ใจของพี่ชายดินแดนที่มีต่อพี่ชายของผมมาก กุ้งตัวโตถูกตักไปวางในจานของพี่ชายผมอย่างรวดเร็ว แต่พี่ผมนะหรือจะทาน ไม่มีทางเสียหรอก

เห็นไหม...เขี่ยทิ้งไปอย่างไม่ใยดี

“ไม่ต้อง ผมตักเองได้!” แต่แทนที่พี่เขตจะหยุด แต่เปล่าเลย พี่เขตยังคงดื้อดึงตักของมากมายให้กับพี่ชายของผม แต่แปลกนะ แต่ละอย่างที่ส่งไปในจานของพี่มินล้วนแต่เป็นของโปรดพี่มินทั้งนั้น หรือว่าพี่มินจะสนิทกับพี่เขตจริงๆ

“นี่ของชอบนายไม่ใช่หรือ” ผมมองเนื้อปลาสีขาวที่อยู่ในจานของพี่มินอย่างสนใจ แต่สีหน้าที่เย็นชาของพี่มินกลับน่าสนใจยิ่งกว่า ดวงตาทั้งสองของพี่ชายผมมันสะท้อนอารมณ์ที่ผมมองไม่ออกไปวูบหนึ่ง ก่อนที่มันจะถูกลบหายไปราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน

“ของที่เคยชอบ ไม่ได้หมายความว่าผมจะชอบอยู่” ปลาชิ้นนั้นถูกเขี่ยทิ้งอย่างไม่ไยดีต่อความรู้สึกของคนให้แม้แต่น้อย ผมรู้สึกเหมือนเห็นหัวใจดวงหนึ่งกำลังร่วงหล่น เหมือนเห็นตัวเองในวันที่ดินแดนทำให้ผมเจ็บปวดจนต้องถอยออกมา

มันเหมือนกับผมในวันนั้นจริงๆ ความเอาใจใส่ของดินแดนในวันที่สายไป

“วันนี้ผมชอบอย่างอื่นไปแล้ว คุณไม่รู้ย่อมไม่แปลก เพราะงั้นไม่ต้องแสดงความหวังดีต่อผม ผมไม่ต้องการมัน” ผมได้แต่กลืนข้าวที่ยังไม่ทันจะเคี้ยวให้ละเอียดลงคอไปอย่างฝืดเคือง ประโยคที่พี่มินพูดออกมาผมว่ามันฟังดูแปลกๆ ฟังยังไงก็คล้ายๆ …คำพูดที่คนรักเก่าเขาใช้พูดใส่กัน

ไม่ๆ ผมไม่ควรคิดอะไรบ้าๆ แบบนั้น พี่มินกับพี่อาณาเขตนี่นะ จะเป็นคนรักเก่ากัน มันเป็นไปไม่ได้หรอก

ผมเหลือมองสีหน้าของพี่เขตอีกครั้งว่าไม่ได้มีสีหน้าที่อยากจะฆ่าพี่ชายของผมให้ตายไปใช่ไหม แต่สิ่งที่ผมเห็นนั้นมีแต่ความหน่ายใจ คล้ายกับอาการเอาแต่ใจของเด็กดื้อเสียมากกว่า ผมอดแปลกใจไม่ได้ ความสัมพันธ์ระหว่างพี่มินกับพี่เขตเป็นแบบไหนกันแน่ จะคนรักก็ไม่ใช่ เพื่อนก็ไม่เชิง ศัตรูที่ไหนเขาตักอาหารให้กันแบบนี้ คิดไปคิดมาสติก็หล่นหายไปจากหัวผมเพราะทุกอย่างมันไร้คำตอบไปหมด ผมเชื่อมโยงอะไรไม่ได้เลย

“ไม่เคยเปลี่ยนเลยจริงๆ” เสียงบ่นของพี่เขตไม่ได้เบาสักนิด ดูก็รู้ว่าจงใจให้พี่ชายของผมได้ยิน และแน่นอนว่าพี่มินต้องได้ยินเต็มสองหู มือที่จับช้อนอยู่ถึงได้กำช้อนจนแน่นราวกับต้องการจะหักมันให้ได้ด้วยสองมือ

“คุณพูดอะไรของคุณ!” พี่เขตไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระต่อความไม่พอใจของพี่มินแม้แต่น้อย ปลายนิ้วเรียวยาวเคาะลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดังเป็นจังหวะยิ่งดูยียวนให้คนที่ได้ยินต้องสติแตก

“ก็แค่บอกว่า นิสัยนายยังเด็กเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ฉันพูดผิดตรงไหน?” ผมอยากจะปรบมือให้กับความเก่งกล้าของพี่เขตมากๆ แต่ก็อยากจะกราบกรานพี่เขตในเวลาเดียวกันว่าให้รีบหยุดเถอะ ก่อนที่ความสัมพันธ์ของผมและดินแดนมันจะดิ่งลงเหวมากไปหว่านี้

“คุณมันก็เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน” พี่มินกัดฟันพูดออกมาอย่างไม่เต็มใจ ผมเห็นพี่เขตผงกหัวรับอย่างเต็มใจราวกับว่านั่นคือคำชม

“สารเลวยังไง ก็ชั่วช้าอย่างนั้น คงเส้นคงวาดีนะครับ สันดานของคุณ”

หน้าของผมนี่ซีดแล้วซีดอีก รู้สึกเหมือนกับว่าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพี่ชายของผมจะปากหมาได้ขนาดนี้ พี่มินที่แสนดีของผมหายไปไหน ทำไมเจอพี่เขตแค่ไม่กี่นาที พี่ผมถึงได้คุมตัวเองไม่อยู่เสียแล้ว

ผมคิดจะอ้าปากเอ่ยเรียกสติของพี่มิน แต่ดินแดนกลับกระตุกมือของผมจนผมต้องหันไปมองเขา เขาเพียงแค่ทำสีหน้าปลงตก ส่ายหน้าห้ามไม่ให้ผมสอดมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ ความจริงผมควรจะหยุดพี่มินนะครับ ก่อนที่เรื่องมันจะบานปลายใหญ่โต ยังตอนนี้ครอบครัวของเราสองฝั่งก็กำลังดำเนินธุรกิจร่วมกัน การที่จะต้องมามีเรื่องขัดแย้งกันเอง ผมว่ามันคงดูไม่ดีเท่าไรในสายตาของคนอื่น

“นายคงลืมไปแล้วสินะมินวรุตม์ ว่าครั้งสุดท้ายที่นายปากดีกับฉัน…มันจบลงยังไง” แววตาของพี่มินวูบไหวไประลอกหนึ่งก่อนจะที่จะเปลี่ยนเป็นเฉยชา ใบหน้าหล่อเหลาเชิดขึ้น เลิกคิ้วใส่อีกฝ่ายอย่างยียวน

“พอดีผมมันเป็นพวก…เลือกจำเสียด้วยสิ คนไม่สำคัญ ผมไม่จำมันให้รกสมองหรอกนะครับ คุณอาณาเขต” คราวนี้ผมว่าชะตาพี่มินขาดแน่ๆ เพราะสายตาของพี่เขตที่เปลี่ยนจากเหนื่อยหน่ายใจกลับกลายเป็นแววตาที่วาวโรจน์และแข็งกร้าวไปด้วยความไม่พอใจ

ผมคิดจะลุกขึ้นไปดึงพี่มินแล้วเอ่ยขอโทษพี่เขตสักสองสามครั้ง แต่ติดตรงที่ดินแดนไม่ยอมให้ผมขยับตัวไปไหน เขาไม่ยอมให้ผมสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องของพี่ชายของเรา มันทำให้ผมไม่เข้าใจ แต่ความร้อนใจยิ่งมีมากกว่า เมื่อพี่เขตใช้สองมือคว้าแขนทั้งสองข้างของพี่มินเอาไว้จนแน่น

“ปล่อย!” พี่มินสั่งเสียงเข้ม สีหน้าฉายความเจ็บจากแรงบีบออกมาเล็กน้อย แต่ก็ยังพอให้มองเห็นบ้าง

“พี่ พี่อาณาเขตครับ ผมขอโทษแทนพี่ชายของผมด้วย ปล่อยพี่ผมเถอะนะครับ” ผมพยายามประนีประนอมเหตุการณ์ในครั้งนี้ แต่ดูเหมือนพี่เขตจะโกรธเกินกว่าจะสนใจผมกับดินแดนอีกแล้ว

“ไปขอโทษมันทำไม คนอย่างอาณาเขตนะหรือ อย่าไปเสียน้ำลายพูดด้วยเลยจะดีกว่า”

“พี่มิน!!” ผมเรียกเพื่อให้พี่มินหยุดพูด แต่พี่มินไม่สนใจสิ่งที่ผมพยายามแสดงออก พี่เขตยกยิ้มเหี้ยมออกมา สองมือยิ่งบีบแขนของพีามินจนแน่นเข้าไปอีก พี่ชายผมได้แต่ดิ้นขลุกขลักอยู่อย่างไม่มีทางหนี คนเป็นน้องอย่างผมยิ่งเห็นก็ยิ่งปวดใจ

“ดีนี่! ปากเก่งขึ้นเยอะเลยนะมิน ฉันชักอยากจะรู้เสียแล้วสิว่า…อย่างอื่นนายจะเก่งขึ้นด้วยหรือเปล่า มานี่!”

“พี่มิน! แดน แดนช่วยพี่ชายไมน์ด้วย ช่วยห้ามพี่อาณาเขตหน่อย!” ผมพยายามให้ดินแดนช่วย แต่แดนกลับได้แต่ถอนหายใจออกมาพร้อมกับยืนขึ้นวางเงินไว้ที่โต๊ะแล้วพาผมเดอนออกมา

ผมและแดนพยายามตามหาว่าพี่อาณาเขตไปทางไหน แต่ก็เปล่าประโยชน์ สิ่งที่พบคือความว่างเปล่า ใครต่อใครต่างเดินสวนทางเราสองคนไปมากมาย แต่ไม่มีสักคนที่จะใช่พี่ชายของเราสองคน ผมร้อนใจหนัก...กลัวแต่ว่าพี่อาณาเขตจะทำร้ายพี่มิน กลัวว่าพี่มินจะเป็นอะไรไป

ทำไงดี คลาดกันไปแล้ว ผมควรทำยังไงดี!

“ไมน์ ใจเย็นๆ นะ เดี๋ยวผมจะโทรหาพี่เขตเอง มันไม่มีอะไรหรอกเชื่อผมสิ”

“ไมน์เองก็หวังอย่างนั้นนะ”

ดินแดนตบหลังมือของผมเบาๆ สองสามครั้ง ก่อนจะลอบเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขหาพี่ชายของเขา รออยู่ไม่นานนัก พี่อาณาเขตก็รับสาย

“พี่เขต พี่เอาตัวพี่แฟนผมไปไหน?” ผมเฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ มองสีหน้าเคร่งเครียดของดินแดนที่ค่อยๆ คลายออก จนเหลือเพียงความแปลกใจก็เกิดสงสัยขึ้นมาบ้าง

“เอางั้นหรือ ก็ได้ เดี๋ยวผมจะบอกไมน์เอง ได้พี่ อย่าลืมเรื่องนั้นด้วยล่ะครับ ขอบคุณครับพี่”

“แดน พี่อาณาเขตว่าไง พี่มินล่ะ? พี่มินอยู่ไหน?” ผมถามทันทีที่ดินแดนวางสายไป ผมร้อนใจจนแทบบ้าอยู่แล้ว

“พี่เขตพาพี่มินไปเคลียร์ความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นน่ะ ผมเองก็ไม่รู้ละเอียกนัก รู้แค่ว่าพี่ชายเราสองคนกำลังเข้าใจผิดกันอยู่” ผมค่อยเบาใจลงได้เมื่อได้ยินแบบนั้น สีหน้าที่เคร่งเครียดก็คลายลงไปมาก ถึงแม้ว่าจะหายกังวลแต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี ท่าทางตอนพี่มินที่ตัวสูงแต่ถูกกระชากตัวให้เดินตามโดยที่ขัดขืนไม่ได้ มันช่าง…น่าเป็นห่วงยังไงก็ไม่รู้

“เอาไงต่อดีครับไมน์ ไมน์อยากไปไหนต่อหรือเปล่า?” นาทีนี้ผมก็เริ่มคิดอะไรไม่ออกแล้วเหมือนกัน แต่ผมยังไม่อยากที่จะแยกจากเขาเร็วแบบนี้ อยากยื้อเวลาเอาไว้ให้นานที่สุด ถึงจะรู้ว่ามันไม่ใช่วันสุดท้ายก็ตาม แต่ผมก็อยากจะอยู่กับเขาอยู่ดี

“ไมน์คิดไม่ออกเลย แต่ไมน์ยังอยากอยู่กับแดนต่อ อยากใช้เวลาด้วยกันอีก ยังไม่อยากกลับ” นั่นเป็นความจริง ผมคิดแบบนั้นจริงๆ

ดินแดนหัวเราะเบาๆ ในลำคอ กระชับอุ้งมือที่จับกันอยู่จนแน่นราวกับกลัวว่าใครสักคนจะมาพรากเราสองคนออกจากกัน ผมยิ้มให้ดินแดนเหมือนที่ดินแดนเองก็ยิ้มให้ผม เราสองคนต่างก็มีรอยยิ้มเดียวกัน นั่นคือรอยยิ้มแห่งความสุข

สุขที่ได้อยู่กับคนที่เรารักและรักเรา ความสุขที่ครั้งหนึ่งเราเคยทำหล่นหายไป

แต่โชคดีแค่ไหนที่เราต่างก็ได้มันคืน

“แหม! น่าอิจฉาจังเลยนะคะ คู่รักคู่ใหม่ที่ใครๆ ก็จับตามอง” น้ำเสียงเย้ยหยันดังมาจากทางด้านหลังจนเราสองคนต้องหันกลับไปมอง ร่างบอบางของใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น

“ใบบัว” ใช่แล้ว ผู้หญิงที่เป็นคนทำลายความสัมพันธ์ของเราสองคนให้ขาดสะบั้นลง ผู้หญิงที่ผม…ไม่เคยชอบเธอเลย

“ดีใจจังเลยค่ะที่ยังจำกันได้ บัวละปลื้มเหลือเกิน” ดินแดนขยับร่างมาบดบังผมออกจากการมองเห็น ใช้แผ่นหลังอันอบอุ่นปกป้องผมไว้จากเธอคนนั้น

“คุณมาทำไม?” ใบบัวยิ้มเยาะออกมา ก่อนจะก้าวเข้ามาหาเราสองคนอย่างช้าๆ จนหยุดอยู่เบื้องหน้าของดินแดน

“ก็มาทวงคุณคืนไงคะแดน ทวงคนที่กำลังได้ชื่อว่าเป็นพ่อของลูกบัวคืนจากผู้ชายคนนี้ไงล่ะ!”

“!!!!”

“ใช่แล้วค่ะ บัวกำลังท้อง ท้องลูกของคุณไงคะ ดินแดน”






ข่าวร้ายจริงๆด้วยค่ะทุกคนนนนน เธอบอกว่าท้องงั้นเหรอ ท้องได้ยังไงกันย๊ะ เธอท้องกับใคร หาาาา ใบบัววววว ความจริงนิยายเรื่องนี้ไม่ได้ยาวอะไรเลยค่ะ ใกล้จะจบแล้วด้วยซ้ำ มาดูกันว่าเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไปในวันพรุ่งนี้นะคะ 

เป็นเจ้าของ

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
ข่าวร้าย มันต้องดักตบ

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ขอให้ใบบัวท้องจริงๆที่เถิ๊ดดดดด
ดินแดนไปรับผิดชอบด่วนเลย

กล้าทำ..กล้ารับนะรู้เปล่า
แมนๆ

ส่วนไมน์ต้องปล่อยไป
ไม่ขาดใจตายหรอก เรื่องมนุษยธรรม

เป็นนิยายที่ไม่อยากเชียร์ให้พระเอกสมหวังกับนายเอกอ่ะ
เรื่องแรกเลยนะ ตั้งแต่เข้าเล้าเป็ดนี้มา นานนนนนนนนน
ฮ่าฮ่า

+1 คนแต่งเก่งอ่ะ..เราน่ะอ่านแล้วอินเกิ๊นนนนนนนนนน
หุหุ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
ท้องลมหรือท้องกะผู้ชายอื่นนะ

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
จะท้องกับดินแดนไหม ยังไงไมน์ก็บ่หยั่นจ้า ก็ยังจะรักต่อไป ถึงขนาดที่ว่าถ้าดินแดนไปรับผิดชอบเป็นพ่อของลูกก็จะไม่เลิกกันจ้าา ฮูเร รักเรามั่นค๊ง มั่นคง (ประชดไมน์ล้วนๆ555) มันมาแนวผู้หญิงต้องร้ายแล้ว ไม่แน่ว่าจะเป็นใบบัวโป๊ะแตก ต้องรอดูต่อไป สนุกๆ โอเคเลย รรรร  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[21] ฉบับเต็ม


ไม่อาจ..

“ใช่แล้วค่ะ บัวกำลังท้อง ท้องลูกของคุณไงคะ ดินแดน”

ผมรู้สึกชาไปทั้งร่างราวกับไม่สามารถขยับร่างกายได้ตามที่นึกคิด เสียงร่ำร้องในใจล้วนมีแต่คำถาม ใบบัวเธอบอกว่ากำลังตั้งท้องลูกของดินแดน เธอกำลังจะมีลูกให้เขา

ความรู้สึกแน่นอกจนหายใจไม่ออก เหมือนโลกทั้งใบกำลังจะพังทลายลงมาช้า ๆ โดยที่ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย หัวใจของผมบีบตัวอย่างรุนแรง สองขาอ่อนล้าขนาดจะยืนยังยากลำบาก แต่แล้วผมก็รู้สึกถึงแรงที่บีบอยู่ที่ฝ่ามือ ดินแดนมองผมด้วยแววตาคมกริบ เป็นเหมือนกับคำเตือนต่อผมว่าไม่อนุญาตให้ผมปล่อยมือออกจากเขา

เขาไม่ยอมให้ปล่อย ผมเองก็ไม่อยากจะปล่อย แต่ถ้าหากว่าผมยังดื้อที่จะจับมือเขาต่อไป

ไม่เท่ากับผมเห็นแก่ตัว ทำร้ายเด็กตาดำๆ ที่กำลังจะลืมตาดูโลกหรือ?

“คุณบอกว่าท้องกับผม มันจะเป็นไปได้ยังไง คุณมีหลักฐานหรือ?” ใบบัวหน้าชา แววตาที่หันมามองผมเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ทั้งที่ประโยคเมื่อครู่ ดินแดนต่างหากที่เป็นคนพูดมัน ไม่ใช่ผมแต่สิ่งที่เธอส่งมาให้ผมคือความเกลียดชัง ความเกลียดชังที่ไม่ว่าใครก็มองเห็นได้ต่อให้ไม่ใช่ผมก็ตาม

“ผลตรวจมันยืนยันไม่ได้อีกหรือคะแดน ฉันมีคุณแค่คนเดียวนะ ทำไมถึงถามคำถามแบบนี้ออกมา!” เธอโกรธจนหน้าแดงก่ำ เสียงที่ดังขึ้นทำให้รอบข้างเริ่มหันมาสนใจพวกเรา

“แดน แดนใจเย็นก่อน ตอนนี้เราไม่ควรมาคุยกันอยู่ตรงนี้นะ ไมน์ว่าเราไปคุยกันที่อื่นเถอะ ไปคอนโดไมน์ก็ได้” ผมพยายามสงบอารมณ์ของทุกคนเอาไว้ก่อน ไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่จริง ไม่ว่ามันจะจบลงยังไงก็แล้วแต่ ขอเพียงตอนนี้ทุกคนยอมย้ายสถานที่พูดคุยกัน ไม่ให้ความวุ่นวายมันเกิดขึ้นไปมากกว่านี้ ทั้งผมและดินแดน พวกเราต่างก็มีหน้ามีตา ไม่ควรจะต้องมาทะเลาะกันในเรื่องคาวๆ ให้คนอื่นต้องรับรู้ด้วย

“ได้ ไปคอนโดผม” ดินแดนดึงมือผมให้เดินตามไป แต่ใบบัวเธอก็เดินเข้ามากระชากมือของดินแดนเอาไว้ไม่ยอมให้เดินต่อไป

“แดน! คุณต้องไปกับบัว บัวท้องอยู่นะ จะให้บัวนั่งแท็กซี่ไปหรือไง!” ผมได้ยินเสียงถอนหายใจจากดินแดน ดูเหมือนแดนเองก็เริ่มหมดความอดทนแล้วเช่นกัน

“แดน เอาแบบนี้นะ เดี๋ยวไมน์ให้พี่ชาติขับตามไปเอง แดนไปกับเธอเถอะ ยังไงก็ดีกว่าเราต้องมายืนถกเถียงกันอยู่ตรงนี้นะ”

“แต่...”

“นะแดน”

“เฮ้อ...ก็ได้ครับ ถ้างั้นรีบตามมานะ ผมไม่อยากห่างคุณนาน”

ผมมองบรรยายกาศที่แสนน่าอึดอัดนี้อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ มองดินแดนตวัดสายตาที่คมกริบมองใบบัวที่เชิดหน้าไม่สนใจสายตาของดินแดนแม้แต่น้อย ผมรอจนทั้งสองคนเดินจากไปแล้วจึงได้เดินแยกไปอีกทางบ้าง

ผมไม่รู้ว่าใบบัวเธอท้องจริง ๆ หรือเปล่า แต่ถ้าหากว่าเธอเกิดท้องจริง ๆ นั่นหมายความว่าระหว่างพวกเราทั้งสามคน จะมีคนที่สี่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร และเด็กคนนั้นเองก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของดินแดน นิสัยใบบัวดูก็รู้ว่าคงไม่ยอมอะไรง่ายๆ อย่างแน่นอน ผมเองคงต้องเป็นคนที่เย็นที่สุด รอฟังทั้งสองฝ่ายแม้ว่าหัวใจของผมจะเจ็บมากแค่ไหนก็ตาม

แม้ว่าเรื่องจะจบลงด้วยการที่ผมจะต้องเดินออกมาก็ตามที ผมก็จะต้องเป็นคนจบทุกอย่างด้วยตัวเอง

“คุณหนู กลับบ้านเลยใช่ไหมครับ” ก้าวเข้าไปนั่งที่ด้านหลังเมื่อพี่ชาติเปิดประตูให้ รอจนพี่ชาติปิดประตูและก้าวขึ้นมาประจำที่ของคนขับผมจึงได้เอ่ยตอบไปอย่างคนที่หมดเรี่ยวแรง

“พี่ชาติช่วยขับรถตามคันหน้าไปหน่อยนะครับ เปิดเพลงให้ไมน์ด้วยนะ ไมน์เหนื่อย” ผมเอนหลังพิงกับเบาะรถ ปล่อยความอ่อนล้าทั้งหมดเอาไว้ที่ตรงนี้

“ครับ คุณหนู”

พี่ชาติเปิดเพลงให้ผมตามที่สั่ง เสียงเพลงคลอไปเบาๆ กับอารมณ์ที่ไม่คงที่ของผม ในหัวใจของผมตอนนี้มันมีแต่ความหวาดกลัว กลัวที่จะต้องเป็นคนเดินออกมาเอง กลัวความจริงที่จะได้รู้ ผมกลัวไปทุกอย่าง...เพราะความรักที่ผมมีให้ดินแดนมันมากมายนัก มากกว่าที่ผมรักตัวเองเสียอีก

ลมหายใจของผมเป็นของเขา หัวใจของผมเป็นของเขา

แต่ผมกลับอดรู้สึกเหมือนโดนหักหลังไม่ได้

ถ้าใบบัวท้องจริง ๆ ละ ถ้าหากว่าดินแดนไม่ยอมรับ ผมจะทำใจเป็นคนชั่วที่จะแย่งพ่อของเด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรได้หรือ ผมเลวได้ขนาดนั้นจริง ๆ ใช่ไหม

คำตอบคือไม่ ผมไม่สามารถทำได้ ผมทำได้เพียงแค่ปล่อยมือของเขา ให้เขาจับมือของเธอคนนั้นเอาไว้ สร้างครอบครัวที่มีกันพร้อมหน้าพร้อมตา ต่อให้ผมจะเป็นคนที่ต้องเจ็บปวด แต่อย่างน้อยผมก็จะไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรในสิ่งที่ทำ

ผมปาดไล่เอาน้ำตาที่มันไหลออกไปจากใบหน้า กอดตัวเองที่กำลังสั่นเอาไว้จนแน่น คอยแต่ปลอบตัวเองเอาไว้ ว่าความจริงมันยังไม่ออกมา อาจจะยังมีหวัง เธอคนนั้นอาจจะไม่ได้ท้องจริง ๆ อาจจะเป็นแค่คำโกหกที่เธอสร้างขึ้นมา นั่นคือคำปลอบใจและคำภาวนาของผมที่แม้จะรู้ดีแก่ใจว่ามันไม่มีวันเป็นจริง

“คุณหนู...กลับบ้านเรากันดีไหมครับ ถ้าไม่ไหว” ผมสบตากับพี่ชาติผ่านกระจก รับรู้ถึงความห่วงใยที่พี่ชาติมีให้มาตั้งแต่ยังดีเด็ก พี่ชาติก็ห่วงผมเหมือนที่พี่มินห่วง แต่เรื่องนี้...ผมต้องจัดการมันให้จบ ไม่อย่างนั้นมันจะหลอกหลอนผมตลอดไป

“ไม่ได้ครับ ไมน์ต้องไป” พี่ชาติถอนหายใจ เพราะรู้ดีว่าเมื่อผมตัดสินใจแล้ว ก็ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนใจของผมได้

“ถ้างั้นก็ได้ครับ ถึงแล้วครับคุณหนู” ผมมองเบื้องหน้าที่เป็นตึกสูงอย่างฉงนใจ แอบแปลกใจไม่น้อยที่ความหมายของคำว่า คอนโดผมที่ดินแดนหมายถึง จะเป็นคอนโดเก่า ไม่ใช่คอนโดที่ผมกำลังอยู่ในตอนนี้

ผมสูดลมหายใจเข้าปอด เช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าจนหมด พยายามเรียกความเข้มแข็งมาไว้ในหัวใจ ก่อนจะเปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับความจริงที่รออยู่ ดินแดนก้าวลงมาจากรถด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ เช่นเดียวกับที่ใบบัวเองก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่เมื่อเห็นหน้าผม ใบบัวก็ปรากฏสีหน้าราวกับว่าอยู่เหนือกว่าผมออกมา ผมเบื่อเต็มทนกับเรื่องพวกนี้ อยากจะจบมันไปให้เร็วที่สุด

เราสามคนเดินขึ้นไปจนถึงบนห้องของดินแดน ที่ผมจำได้ดีในทุกสิ่ง ข้าวของต่าง ๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ถูกจัดวางเอาไว้ไม่ต่างจากตอนที่ผมยังอยู่ข้างๆ เขา เพียงแค่สิ่งที่ต่างออกไปนั้น มีเพียงแค่ของที่ผมเคยนำใส่กล่องมาคืนเขาในวันนั้น วันนี้มันถูกเอามาจัดเรียงเอาไว้ ไม่ใช่ถูกโยนทิ้งไปเหมือนที่ผมเคยคิดและจินตนาการ

“ทีนี้ คุณอยากจะโวยวายเสียงดังแค่ไหนก็เชิญ” น้ำเสียงของดินแดนไม่แยแสต่อความรู้สึกของใบบัวสักนิด ตรงกันข้าม ท่าทางของดินแดนกลับยิ่งดูถูกและเหยียดหยามเธอด้วยซ้ำ ใบบัวสั่นไปด้วยความไม่พอใจ สีหน้าย่ำแย่จนถึงขีดสุด ก่อนที่เธอจะหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าของเธอแล้วปามันใส่ดินแดนอย่างแรง

ผมก้มลงเก็บมันขึ้นมาแล้วคลี่ออก ทันทีที่สายตาของผมกวาดไปตามตัวอักษรต่าง ๆ ร่างกายและหัวใจของผมก็คล้ายกับไร้เรี่ยวแรงค้นมาจริง ๆ

มันคือผลตรวจการตั้งครรภ์ของใบบัว

ในที่สุด สิ่งที่ผมหวาดกลัวมันก็เกิดขึ้นมาจริง ๆ เธอกำลังตั้งท้องกับดินแดน ผู้ชายที่ผมรัก

ผมไม่รู้ว่าอะไรที่มันเจ็บปวดมากกว่ากัน ระหว่างความจริงที่ได้รับรู้ในตอนนี้ว่าเขากำลังจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ หรือผม...ไม่มีสิทธิ์จะอยู่ในชีวิตของเขาอีกต่อไป

“เห็นแล้วใช่ไหม ถ้าเห็นแล้วก็ไสหัวไปสิ อย่ามาทำให้ครอบครัวของฉันต้องพังลงแบบนี้”

ไม่...ผมไม่ได้อยากทำลายครอบครัวของใครทั้งนั้น ผมก็แค่รักเขา รักคนที่ผมได้พบเขาก่อน

แต่คำว่ามาก่อนไม่เคยให้สิทธิ์ทุกสิ่งทุกอย่าง คำว่ามาก่อนเป็นเพียงแค่สถานะที่บ่งบอกว่าเราเป็นคนมาถึงจุดนี้คนแรก ไม่ใช่คนสุดท้าย ดินแดนก็เช่นกัน ผมอาจจะพบเขาก่อนเธอ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะพบเขาเป็นคนสุดท้าย เมื่อเธอเองต่างหากที่ได้รับสิทธิ์นั้นไป

สิทธิ์ของความเป็นแม่ของลูกของเขา

“ไมน์ อย่าไปเชื่อเธอ เธอกำลังโกหก เด็กในท้องนั่นไม่ใช่ลูกของผม ผมป้องกันทุกครั้งที่นอนกับเธอ!”

“ทุกครั้งจริง ๆ หรือแดน?” ดินแดนสะอึก มือที่กำลังเอื้อมออกมาจับมือของผมชะงักค้างไปเมื่อผมทอดสายตาที่ต้องการคำยืนยันอย่างชัดเจน

แต่สิ่งที่ผมได้มากลับเป็นสิ่งที่ผมได้รับมันมาทุกครั้ง เขาไม่ตอบ เบี่ยงหลบสายตาไปจากผมอย่างไม่มั่นใจ แค่นั้นมันก็ทำให้ผมสรุปได้อย่างชัดเจนแล้วว่าเขาเองก็ไม่สามารถยืนยันมันได้เช่นเดียวกัน ผมอยากจะหัวเราะให้กับหัวใจที่ต้องแตกสลายลงไปอีกครั้ง ความรักต้องพังลงเป็นครั้งที่สองเพราะเธอคนนี้

ถามว่าผมเลวพอจะแย่งเขามาจากการเป็นพ่อ เป็นสามีของใครไหม

แน่นอนว่าผมทำไม่ได้ และต่อให้ผมจะทำได้ ผมก็คงไม่ทำ

“ไมน์ เธอเองก็มีฐานะ มีหน้ามีตา มีเงินมากมาย ขอร้องนะคะ อย่าพรากพ่อ ไปจากเด็กคนนี้ที่กำลังจะลืมตาขึ้นมาดูโลกเลยนะคะ ฉันขอร้อง” ใบบัวใช้มือข้างหนึ่งลูบที่หน้าท้องของเธอเบาๆ ราวกับต้องการจะบอกให้ผมรู้ว่า เด็กคนนั้นในท้องของเธอกำลังต้องการพ่อเพื่อมีชีวิตอยู่

แล้วผมจะหน้าด้านทวงสิทธิ์อะไรได้อีก ในเมื่อตอนนี้...มีอีกหนึ่งชีวิตที่เขาไม่ได้รู้อะไรด้วยกำลังจะเกิดขึ้นมา

“หยุดพูดสักทีใบบัว!!”

“บัวไม่หยุด! ทำไมคะ บัวพูดผิดตรงไหน ก็เด็กคนนี้เขาต้องการพ่อ และคุณก็คือพ่อของลูกบัว บัวพูดผิดตรงไหนที่บอกให้เขาหยุดแย่งพ่อของลูกบัวไปเป็นของตัวเอง!!” ผมสะอึกกับคำโต้เถียงกันของทั้งสองคน เจ็บปวดที่เหมือนอยู่ระหว่างความถูกต้องกับหัวใจของตัวเอง

ผมไม่ควรจะยืนอยู่ตรงนี้ใช่ไหม? ผมควรจะเดินออกไปใช่หรือเปล่า?

“คุณจะมาอ้างกับผมเพียงเพราะท้องหรือ ความจริงคุณก็แค่ยังอยากจะเกาะผมต่อไปเรื่อยๆ จึงได้อ้างเด็กที่ไหนไม่รู้มาเหนี่ยวรั้งผมม่กกว่า หยุดสร้างความร้าวฉานให้กับเราสองคนเสียที! คนอย่างผม ดินแดน โชติญาณกุล ชาตินี้จะมีหัวใจรักให้แค่ไมน์คนเดียวเท่านั้น!”

“แล้วเด็กในท้องนี่ล่ะ คุณจะบอกว่าคุณไม่รักลูกหรือไงคะแดน! ลูกของเราทั้งคนนะ!”

ทั้งที่รู้คำตอบในทุกคำถามดีอยู่แล้วว่าควรจะทำยังไง แต่ร่างกายผมกลับไม่สามารถขยับไปได้ตามที่ใจต้องการ สองขาเหมือนถูกก้อนหินขนาดใหญ่ถ่วงเอาไว้ไม่ให้ก้าวเดิน หนักอึ้งจนไม่สามารถยกมันขึ้นมาได้

ผมอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ อยากจะต่อว่าต่อขานให้สมกับความเจ็บปวดที่ผมได้รับ แต่มันจะเป็นการทำร้ายอีกฝ่ายโดยเฉพาะอารมณ์ที่แสนอ่อนไหวของคนที่กำลังจะเป็นแม่

ดินแดนไม่ได้ผิดเพราะครั้งหนึ่งเขาเองก็คบหากับใบบัว

ใบบัวเธอก็ไม่ได้ผิดที่ตั้งท้อง ในเมื่อเธอก็ได้ชื่อว่าเป็นแฟนของดินแดน

แล้วผมล่ะ ผิดตรงไหน?

ก็คงเป็นตรงที่ผมดันเข้ามาในเวลาที่ไม่สมควร เมาเป็นตัวปัญหาของคนที่เขากำลังจะเป็นครอบครัวเดียวกัน

ผมคงผิดที่รักเขามากเกินไป

ผมยืนก้มหน้า ฟังเสียงต่อว่ากันของทั้งสองคนเงียบๆ กลืนความปวดร้าวที่ทรมานจนแทบบ้าลงไปในลำคอ พวกเขาไม่รู้ ไม่เข้าใจว่าผมกำลังจะตายยังไง ไม่เคยรู้เลยว่าผมที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้เฉยชาจนไร้ความรู้สึก ไม่ได้เข้มแข็งจนไม่หลั่งน้ำตา แต่มันเจ็บจนร้องไห้ไม่ออกอีกแล้ว หัวใจปวดหนึบและร้าวราน ไม่มีใครเข้าใจผม ไม่มีเลยสักคนด้วยซ้ำ

ทุกอย่างมันวุ่นวายไปหมด ทั้งเหตุการณ์ตรงหน้า หรือแม้แต่หัวใจและความคิดของผม ไม่มีอะไรเลยที่มันสงบ ผมต้องทนกับเสียงในหัว ต้องทนกับเสียงที่เขาสองคนทะเลาะกัน โต้เถียงกันในเรื่องของเด็กในท้อง ราวกับไม่สนใจว่าเด็กคนนั้นจะสามารถรับรู้ได้หรือไม่ จะเข้าใจอารมณ์ของพวกเราหรือเปล่า

ทำไมไม่หยุดสักที ทำไมไม่ยอมหยุดกันเสียที!!!

“หยุดได้แล้ว!!! พอสักทีเถอะ เดี๋ยวผมไปเอง!!”

ไม่ใช่ไม่เจ็บปวด ไม่ใช่ว่าอยากจะไป

แต่ผมทนไม่ได้ที่ต้องเป็นคนที่ทำลายครอบครัวของใคร

ในที่สุดทุกอย่างก็เงียบลงเสียที ทั้งดินแดน หรือแม้แต่ใบบัวเธอเองก็เงียบไปเช่นกัน ความเงียบปกคลุมไปทั้งห้อง มีเพียงแค่ผมที่หอบหายใจอย่างทรมาน มันทรมานมากจริง ๆ ผมเจ็บที่หน้าอกจนแม้แต่จะหายใจก็ยังทรมาน แต่อย่างน้อย เสียงด่าทอและต่อว่ากันก็เงียบลงในที่สุด เจ้าตัวน้อยในท้อง จะได้ไม่ต้องรองรับอารมณ์ที่ไม่สมควรพวกนี้

“ผมจะไปเอง ผมจะเป็นคนเดินจากไปเอง ไม่ต้องห่วงนะครับใบบัว” เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าการเรียกชื่อของเธอมันช่างยากเย็นและแสนทรมาน เป็นครั้งแรกที่ผม...ไม่อาจจะมองหน้าพวกเขาทั้งสองคนได้

ความรัก ความเกลียดชัง ปัญหาที่ผู้ใหญ่เป็นคนเริ่มมัน ไม่ควรต้องให้เด็กคนนั้นต้องมารับรู้ด้วย

ผมหลับตาลงพยายามควบคุมหัวใจที่ยิ่งทวีความเจ็บปวด พยายามกลืนก้อนสะอื้นทุกครั้งที่มันเอ่อล้นขึ้นมา กลืนมันลงไปเมื่อไม่อยากจะจากลากับคนที่ได้ครอบครองหัวใจของผมต้องมาเห็นหยุดน้ำตาที่กำลังเอ่อล้นออกมา

“ไมน์...” เสียงของเขาราวกับคนที่หมดกำลัง หมดแล้วซึ่งทุกสิ่งอย่างที่จะฉุดรั้งให้ยังหายใจ

แต่ผมล่ะ ผมที่ต้องเสียเขาไป ผมที่ต้องหลีกทางให้กับความถูกต้อง ไม่เจ็บยิ่งกว่าเขาอีกหรือ?

ความทรมานของใครผมไม่อยากมองมันทั้งนั้น ไม่อยากรู้ว่าคนอื่นเจ็บปวดหรือสุขใจแค่ไหน เพราะแค่ความทรมานของตัวเองมันก็หนักหนาเพียงพอให้ผมไม่อยากจะอยู่ต่อไปอีกแล้ว

ผมเหนื่อย... เหนื่อยที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ เหนื่อยที่ความผิดถูกโยนไปมา

ผมจะสามารถรักเขาอีกต่อไปได้ยังไงกัน ในเมื่อตอนนี้ ผม...ไม่มีสิทธิ์นั้นอีกต่อไปc] h;

“ไมน์ไม่ได้ทำเพราะไม่รักแดน ไม่เชื่อใจแดน”

เจ็บจัง ผมเจ็บยิ่งกว่าในวันที่เดินออกมาจากเขา

“แต่ไมน์รักแดนมาก เพราะงั้นถึงได้ยอมเดินออกมา”

ไม่ใช่ไม่รัก แต่เพราะรักมากจึงได้เดินจากไป ยอมเป็นคนที่เจ็บที่สุดเพื่อให้เขาได้ไปต่อ

“ไมน์รักแดนมากเกินกว่าจะให้ใครประณามแดนด้วยถ้วยคำเลวร้าย ว่าแดนไม่รับผิดชอบในสิ่งที่ทำ” ผมพยายามใจแข็งหันไปมองดินแดนที่มีสีหน้าไม่ต่างจากผม

เราสองคนกำลังทรมานเจียนตาย แต่เด็กคนนั้นก็ไม่ได้ผิด ในเมื่อเขาเป็นลูกของดินแดน เขาก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบ ไม่ใช่จะปัดความรับผิดชอบแบบนี้ ผมจะไม่อยู่เป็นเหตุผลให้เขาทิ้งเธอและลูก

“ไมน์ ไมน์อย่าไปนะ ผมอยู่ไม่ได้ อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีไมน์” ผมปลดมือเขาออกจากการจับกุม แข็งใจจากลาในตอนนี้คงดีที่สุดแล้ว

“เขาก็อยู่ไม่ได้เหมือนกันถ้าไม่มีแดน”

ผมสบตากับดินแดน เขามีแต่แววตาขอร้องอ้อนวอนต่อผม แต่ผมไม่สามารถให้เขาได้ ไม่สามารถใจอ่อนได้ในเรื่องนี้ เขาต้องรู้ถึงมัน ว่าผมเองก็ทรมานไม่แพ้กันเลย

“เด็กคนนั้นไม่ได้ทำอะไรผิด...”

ทำร้ายเขาไม่ได้ เขาบริสุทธิ์

“เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะแดน แดนจะใช้หัวใจตัดสินไม่ได้อีกแล้ว เขา...เด็กคนนั้น ต้องการพ่อนะแดน”

“ผมก็ต้องการไมน์เหมือนกันนะ!! ผมจำเป็นต้องมีไมน์!” ผมส่ายหน้า ก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างเว้นระยะ

“ไม่ใช่เลยแดน เด็กต่างหากที่จำเป็นต้องมีพ่อ แต่เราไม่จำเป็นต้องมีกัน

ไม่อยากอยู่ตรงนี้อีกสักวินาทีเดียว ผมกลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะทำตัวเข้มแข็งต่อไปได้ไม่ไหว กลัวว่าตัวเองจะแสดงความอ่อนแอออกมาให้ดินแดนเห็น และใช้มันยึดเหนี่ยวผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย เหมือนที่ผมเอง ก็ไม่อยากจะปล่อยมือของเขา ทั้งที่ผมและเขาเพิ่งจะได้จับมันด้วยกันเป็นครั้งแรก ทั้งที่เราเพิ่งจะมีความสุขกัน

แต่เวลาแห่งความสุขมันก็ช่างแสนสั้น เพียงไม่ถึงวันก็พรากมันไปจากผมอย่างโหดร้าย

ผมก้าวเข้าไปหาใบบัวช้า ๆ ก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าของเธอ มองเธอที่ยังคงมีสีหน้าถือดีพร้อมกับรอยยิ้มเยาะน้อย ๆ ที่ถูกส่งมาให้ผม แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมควรจะสนใจ ต่อให้เธอจะทำหน้าตาหรือความรู้สึกแบบไหนต่อผมก็ช่าง เธอไม่ใช่คนที่ผมจะให้ความสำคัญ ไม่ใช่เลย

เด็กในท้องต่างหากที่ผมใส่ใจ ไม่ใช่เธอที่อุ้มท้องเขาอยู่

“อย่างที่ผมบอกไป ผมจะเป็นคนเดินจากไปเองครับ อย่าห่วงไปเลย”

“อย่านึกว่าฉันจะซาบซึ้งหรือขอบคุณนะ เพราะนี่มันเป็นสิทธิ์ของฉัน สิทธิ์ที่แกมาแย่งฉันไป” น้ำเสียงของใบบัวเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด แต่แม้ว่าเธอจะใช้คำพูดจิกกันผมแค่ไหน จิกเรียกผมยังไง ผมก็จะไม่ตอบโต้

ไม่ใช่การยอมแพ้ ผมแค่ยอมปล่อยวาง

“คุณคงเข้าใจผิดนะครับใบบัว”

“อะไร? ฉันเข้าใจผิดตรงไหน ดินแดนเป็นสามีของฉัน เป็นพ่อของลูกฉัน สิทธิ์พวกนี้มันก็เป็นของฉัน แกต่างหากที่ไม่มีสิทธิ์อะไรเลย!” ผมได้แต่ส่ายหน้าช้า ๆ เธอไม่เข้าใจจริง ๆ สินะ

“ไม่ใช่เลยครับ ทุกอย่างที่ผมยอมสละให้ ไม่ใช่ให้คุณครับคุณใบบัว ผมให้เด็กคนนั้นต่างหาก” ผมชี้ไปที่หน้าท้องของเธอ บอกให้เธอรู้ว่าคนที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผไม่ใช่เธอเลย แต่เป็นเด็กที่กำลังจะเกิดมา เป็นเพราะลูกของดินแดนต่างหากผมจึงได้ยอมถอยให้เธอ

ใบบัวขึงตาใส่ผม สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมสักนิด เพียงแต่ผมไม่คิดจะสนใจเธออีกต่อไป ผมก้าวเดินเข้าไปหาดินแดนที่ไม่ต่างจากคนหมดเรี่ยวแรง เห็นคนที่รักเป็นแบบนั้นมีหรือที่ผมจะไม่ทรมานใจ ผมจะไม่ปวดใจ แต่ผมต้องเลือกทางที่ถูกต้อง จะใช้ความเห็นแก่ตัวของใครสักคนไม่ได้

แม้แต่ของผมเอง

“ดินแดน...” อยากจะบอกว่ารัก รักเขามากเหลือเกิน แต่ผมไม่สามารถพูดมันออกมาได้ อยากจะกอดเขาเอาไว้ให้แน่น แต่อ้อมกอดของเขาไม่ได้มีเอาไว้เพื่อผมอีกแล้ว

“ไมน์...อย่า อย่าไป...จากผม” ไม่ได้ ผมจะทำแบบนั้นไม่ได้

“แดน แดนรักไมน์ไหม รักไมน์บ้างไหม?” ผมถามเขาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ทั้งที่พยายามเก็บความเจ็บปวดเอาไว้แล้ว แต่สุดท้ายมันก็ออกมาจนได้ ทั้งที่ผมอยากจะเข้มแข็ง แต่เมื่อมาอยู่ตรงหน้าเขา ผมกลับอ่อนแอเหลือเกิน

“ผมรักไมน์ รักไมน์เสมอ ไม่มีวันไหนที่ผมไม่รักไมน์ ไม่มีวันนั้นเด็ดขาด”

แค่นั้นก็พอแล้ว แค่ได้รู้ว่าเขารักผม มันก็เพียงพอให้ผมได้มีชีวิตอยู่ต่อแล้ว

“ถ้างั้นแดนรับปากไมน์นะ รับปากไมน์ว่าจะรักลูกที่กำลังจะเกิดมา รักเขาให้เหมือนที่แดนรักไมน์” แดนหลบสายตาลงต่ำ แต่ผมก็ยังมองเห็นความไม่ยินยอมในแววตาของเขา ความเกลียดชังที่กำลังก่อตัวอยู่เงียบๆ

“ผมจะรักได้ยังไง ในเมื่อมัน...ทำให้ผมถึงต้องเสียไมน์ไป” ผมกัดริมฝีปากจนเจ็บ ไม่อยากให้เขาคิดแบบนั้นเลย เด็กคนนั้นน่าสงสาร ผมไม่อยากให้ดินแดนทอดทิ้งเขา

“ถ้างั้นแดนไม่ต้องรักไมน์ก็ได้...” ถ้าหากการรักผมทำให้เขาเกลียดเด็กคนนั้น

“ไมน์! ทำไมพูดแบบนี้ ทำไมถึงพูดแบบนี้” น้ำเสียงของแดนแหบแห้ง ดวงตาแดงก่ำราวกับเขากำลังจะร้องไห้

“ถ้าหากว่าการที่แดนไม่รักไมน์ จะสามารถทำให้แดนรักเด็กคนนั้นได้ ไมน์ยอม” ความรักของเขาตอนนี้ไม่ควรเป็นของผมอีกแล้ว มันควรเป็นของเด็กที่กำลังจะเกิดมา

“ไมน์กำลังทำให้แดนยิ่งเกลียดมัน” ผมเอื้อมมือออกไป ใช้ฝ่ามือสัมผัสผิวแก้มของเขา จดจำมันเอาไว้เป็นครั้งสุดท้าย

“ถ้าแดนรักไมน์ ก็เอาความรักที่แดนให้ไมน์ มอบให้เขาเถอะนะ รักเขาให้เหมือนกับที่แดนรักไมน์ แดนทำให้ไมน์ได้ไหม”

ไม่ต้องรักผมก็ได้ แต่เขาจะไม่รักลูกของเขาไม่ได้เด็ดขาด

“ผม...” ดินแดนกำหมัดกัดฟันแน่น ดวงตาแม้จะมีความไม่ยินยอมแต่ก็ยอมรับปากผม ผมยิ้มให้เขา ยิ้มสุดท้ายที่ผมจะสามารถให้กับเขาได้

“ผมจะทำ...แม้ว่าผมจะไม่อยากทำก็ตาม”

“ดีแล้ว แบบนี้ดีแล้ว”

“ผมทน..ไม่ได้ ผมไม่อยากสูญเสียไมน์ไป ผมทำใจไม่ได้ ไมน์ไม่ไปจากผม ได้ไหมครับ” ผมส่ายหน้าทั้งน้ำตา แม้ว่าเราสองคนจะรักกันมากแค่ไหน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกแล้ว ในเมื่อเราสองคนไม่อาจจะอยู่ในสถานะของคนที่สามารถรักกันได้อีก

บางทีความรักของเราสองคนคงมีเอาไว้เพียงแค่รู้สึก

ไม่ใช่การครอบครอง

“หยุดนะ! อีบ้า! ดินแดนเป็นของฉันกับลูกนะ หยุดเดี๋ยวนี้”

ผมโน้มใบหน้าของดินแดนที่ฉายชัดถึงความเสียใจลงมาช้าๆ จรดริมฝีปากลงบนกลีบปากของเขาที่เคยเฝ้าเว้าวอนว่ารักผมมากแค่ไหน ดูดดึงริมฝีปากของเขาเบาๆ ทั้งที่สองแก้มของผมเปียกชื้น ไม่สนใจแม้แต่แรงกระชากหรือทุบตีของใบบัวแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่หัวใจของผมมันกำลังพังทลายลงไปอย่างช้าๆ จนแทบไม่เหลือชิ้นดี

ครั้งนี้ไม่ใช่การจากกันเพราะเราหมดรักกัน

แต่เป็นเพราะเรารักกันไม่ได้...ผมจึงต้องเดินออกมา

“ปล่อยสิยะ! ปล่อยดินแดนของฉันนะ! หยุดเดี๋ยวนี้!”

ดินแดนกอดกระชับผม บดจูบลงมาอย่างรุนแรงราวกับไม่ต้องการให้ผมหายไป ร่างกายของดินแดนสั่นสะท้าน ลมหายใจติดขัดด้วยความทรมาน แต่มันไม่ใช่เพราะความปรารถนา แต่เพราะส่วนลึกในหัวใจของเขามีผมอยู่ในนั้นมากจนถึงขนาดที่เขาสามารถทรมานได้เมื่อต้องเสียผมไปอีกครั้ง ผมถอนริมฝีปากออกจากเขาช้าๆ ใช้ปลายนิ้วเช็ดหยาดน้ำตาจากดวงตาของเขาก่อนที่มันจะไหลลงมา ไม่อยากให้เขาต้องร้องไห้ เพียงเพราะเราสองคนต้องแยกจากกัน

“ดูแลลูก ฮึก ดีๆ นะแดน จากนี้ไป...ไมน์จะไม่อยู่กับแดนแล้วนะ แดนต้อง...ดูแลตัวเองกับลูกดีๆ นะครับ”

“รีบไปเลย ไสหัวแกไปซะ! ผัวฉัน ลูกฉัน ฉันดูแลเองได้ ไม่ต้องให้คนนอกอย่างแกมาห่วงหรอก!”

“ใบบัว หยุดบ้าสักที! ถึงผมจะรับผิดชอบลูก ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะเป็นของคุณ ชีวิตของผม หัวใจของผม เป้นของไมน์คนเดียวเท่านั้น มันไม่มีวันเป็นของคุณ”

“กรี๊ดดดดด!!”

แดนไม่ปล่อยมือของผม ใช้ร่างกายบดบังผมจากสายตาของเธอคนนั้น ทั้งที่วันนี้เขาปกป้องผมแล้วไม่ใช่เธอเหมือนในวันก่อน แต่ในวันนี้ที่ผมสุขใจ กลับเป็นวันที่ผมต้องเสียใจและทรมานใจที่สุด เพราะผม...ต้องเสียเขาไปอย่างไม่มีวันได้เขาคืน

ผมค่อยๆ ปล่อยมือออกจากมือคู่นั้นอย่างช้าๆ ในระหว่างที่เขาและใบบัวกำลังโต้เถียงกันอย่างไม่มีใครยอมแพ้ ผมก็ถอยหลัง เดินออกมาจากเขาทั้งสองคนให้เบาและเงียบที่สุด ผลกระทบที่เกิดจากความผิดพลาดมันมากมาย แต่สิ่งที่เป็นความสวยงามกำลังจะลืมตาขึ้นมาดูโลกนี้ เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคนที่ผมรัก ผมควรยินดีให้กับดินแดน ควรจะหยุดสิ่งที่เหนี่ยวรั้งเขาไม่ให้ทำหน้าที่ของความเป็นพ่อ

แต่ผมจะเก็บมันเอาไว้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำอันแสนมีค่า ความทรงจำที่ปวดร้าว หรือแม้แต่ความทรงจำที่เราสองคนผ่านมาด้วยกันทั้งหมด ผมก็จะไม่มีวันลืมมัน

ความรักของเขา ความรักของเรา

ผมจะเก็บมันเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ จะไม่ลืมว่าเขาคือลมหายใจของผม

ผมจะไม่มีวันลืมเด็ดขาด

ผมขยับตัวถอยออกมาจากทั้งสองคน มองภาพของคนที่ผมรักสุดหัวใจอีกครั้งให้เต็มตา เก็บความภาพของเขาเอาไว้เป็นความทรงจำที่ดีที่สุด เป็นความรักที่มีเพียงเราสองคนเท่านั้นที่รู้ดีว่า...มันดีแค่ไหน

แล้วจากนี้ไป...จะไม่มีไมรวีในชีวิตของดินแดนอีกแล้ว ไม่มีเจ้าของหัวใจของผมอีกต่อไปแล้ว แม้ว่านับจากวันนี้มันจะเป็นเช่นนั้น

แต่ผมก็จะรัก รักเขาตลอดไป ไม่ว่าวันนี้ พรุ่งนี้ หรืออีกกี่ปีข้างหน้า

สำหรับผม...เขาคือคนที่ได้ครอบครองหัวใจของไมรวี สุทธิวรเวช ตลอดไป









ลงเต็มๆเลยนะคะ แมวจะลงวันละตอนไปเลย เด็กที่เกิดมาไม่ได้ทำอะไรผิดใช่ไหมคะ อย่างที่น้องไมน์บอกเอาไว้ เด็คนนั้นจำเป้นต้องมีดินแดน แต่แดน ไม่จำเป็นต้องมีไมน์ ยอมถอยดีกว่าฝืนไปต่อ ไม่มีอะไรถูกต้องชัดเจน อยู่ที่มุมมองนะคะ
 
เป็นเจ้าของ

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
จะทนได้กี่วันกัน ที่จะไม่วิ่งกลับไปหาเขา ขอเย้ยไว้ก่อนนะไมน์ 55555 อะเธอคนนี้ พอได้มาครอบครอง เขาก็ไม่สนใจดูแลไม่แคร์อะไรทั้งนั้น จนเหนื่อยและท้อ แล้วยอมรับความจริงว่าพวกเขานั้นรักกันมาก เลยหลีกทางให้ ท้ายที่สุดกลับไปง้ออีก อะ กลับมาคืนดี รักกัน จบปิ๊ง อย่างนี้ป่ะไมน์ (ชอบประชดไมน์จริงๆ) 555555 ถถถถถเศร้าเลย หัวใจแตกสลายอีกครั้ง ผุๆพังๆไปหลายรอบ เอาน่า ชินได้แล้วมั้ง 55555 อ่านแล้วหมั่นไส้ดีแท้ ทุกคนเลย แต่งเก่งๆ รรรรตอนต่อปายย  :pig4:

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ใบบัว..เธอกลับมาแล้ว
ตั้งสติดีดี เอาใหม่นะ
พยายามนึกนะ..ว่าตอนนั้นเราน่ารักขนาดไหน
ที่ทำให้ผู้ชายมาหลงรักเราได้ซะหัวปักหัวปำ
ใจกล้าถึงขนาดว่าทิ้งเมียตัวเองที่คบกันมาตั้งหลายปีได้ลงคอ

ทำเลย..ใบบัว เราเชียร์
ทำให้เค้ากลับมาเป็นของเรา รักเรา หลงเรา ให้ได้อีกครั้ง

บอกแล้วไงว่าไม่เชียร์
ให้ไมน์กับแดน ได้ครองรักกันอีก

ฮ่าฮ่า
ไม่เชียร์อ่ะ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
คือไม่มีความเด็ดขาดแต่แรกละ อ่อนแอมากๆ ผู้ชายแบบดินแดน เป็นถึงผู้บริหารแต่โง่เพราะผู้หญิงคนเดียว ผู้หญิงร้ายกับมีนกี่ครั้งแล้วไม่เคยจัดการอะไรเลย เฮ้อออ

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[22] (ฉบับเต็ม)


อยู่กับตัวเอง
[/b]

ผมหอบหัวใจที่แหลกสลายกลับมาที่บ้านอีกครั้ง มันเป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมร้องไห้อย่างหนัก จนทุกคนต้องคอยเป็นห่วงผมไม่จบไม่สิ้น ผมเจ็บจนรวดร้าวไปทั้งหัวใจ สูญเสียคนที่ผมรักสุดหัวใจไปทั้งที่เรายังคงรักกัน มันทรมานจนผมไม่อยากแม้แต่จะมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ แต่ถ้าผมตาย...ทุกอย่างคงย่ำแย่ลงไปกว่านี้

อย่างน้อยก็มีมากกว่าหนึ่งคนที่ต้องเสียใจกับการตายของผม

ผมขดตัวอยู่บนเตียง เมินทุกเสียงที่เรียกผมอยู่ข้างนอกประตูนั้น ความบอบช้ำที่ผมได้รับมันมากจนในตอนนี้มันมากเหลือเกิน มากจนเกินกว่าจะสามารถพบหน้าใครได้ ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นคุณแม่หรือพี่มินก็ตาม

สองวันที่ผ่านมากับการอยู่โดยไม่มีดินแดน แม้มันจะเป็นเหมือนทุกวัน แต่ผมกลับทรมานยิ่งกว่าทุกวัน อาจเป็นเพราะหัวใจของผมตอนนี้ดื่มด่ำความสุขที่ได้รับในช่วงเวลาอันแสนสั้น ในตอนนี้จึงได้เจ็บปวดเพราะไม่อาจได้รับความสุขนั้นอีก

ดินแดนกำลังทำหน้าที่ ผมเองก็มีหน้าที่ของผมเช่นกัน

หน้าที่ของเขา คือการรับผิดชอบและดูแลชีวิตน้อย ๆ ที่กำลังจะลืมตาขึ้นมาดูโลก...

หน้าที่ของผม คือการหยุดเข้าไปในชีวิตของเขาเสียที

แม้จะคิดถึงเขามากแค่ไหนก็ได้

ผมรู้สึกว่าตัวเองอ่อนล้ากำลังและแรงใจ เหนื่อยและหมดเรี่ยวแรงจะทำทุกสิ่ง ผมปรารถนาให้เขามีความสุข หวังว่าเด็กคนนั้นจะทำให้เขามีรอยยิ้มขึ้นมาได้ ให้เขาได้หลุดพ้นจากความขมขื่นที่เป็นอยู่

แกร็ก...

“ไมน์...ทำไมไม่ออกไปทานข้าวละคะลูก” ใบหน้าของผมยังคงซุกอยู่กับหมอนใบใหญ่ แต่เสียงที่คุ้นเคยนี้ทำให้ผมรู้ดีว่าใครที่เข้ามา

“แม่ให้ป้าเนียนทำข้าวต้มปลามาให้ลูก ทานเสียหน่อยเถอะนะลูกนะ” ศีรษะของผมถูกมืออันแสนอบอุ่นลูบปลอบประโลมอย่างใจดี น้ำตาที่เริ่มเหือดแห้งค่อยๆ ไหลลงมาอีกครั้ง ไหล่ของผมสั่นไหวไปตามแรงสะอื้น

ทำไมผมถึงอ่อนแอขนาดนี้ ทำไมผมถึงได้ไม่มีความเข้มแข็งบ้างเลย

“คุณแม่ครับ ผม...เจ็บมากเลย” ผมบอกกับคุณแม่ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ สองมือกำหมอนจนแน่นเพื่อระบายความทรมานที่กำลังกัดกินหัวใจของผม

“ฮึก ผมทรมาน หัวใจของผม...เหมือนจะแตกสลายเลยครับคุณแม่” ผมไม่รู้ว่าตัวเองต้องเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน เพราะตัวผมที่เดินออกมาจากดินแดนในครั้งก่อนมันเป็นการตัดใจแล้วว่าเขาไม่รักผม

แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน ครั้งนี้...คือเราจากกันทั้งที่ยังรักกันอยู่

คุณแม่ถอนหายใจออกมา แต่มือของคุณแม่ก็ยังคงลูบศีรษะของผมอยู่ตลอดเวลา ความอบอุ่นและเอาใจใส่ของคุณแม่มันยิ่งทำให้ผมแสดงความอ่อนแอออกมา

ผมต้องทำ ต้องทนความเจ็บปวดครั้งนี้เพื่อชีวิตที่สมบูรณ์ของเด็กคนนั้น เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องขาดความรักของพ่อหรือแม่ไป

“แล้วทำไมถึงเลือกเดินออกมาล่ะไมน์”

“...ฮึก...”

“ถ้าลูกเสียใจและเจ็บปวด แล้วทำไมถึงทิ้งเขาไปละคะ”

ไม่ใช่ว่าผมอยากจะทำ แต่ผมไม่มีทางเลือกต่างหาก สิ่งที่ผมทำคือความถูกต้องที่ต้องแลกกับความทรมานที่แสนสาหัส

“ผม เพราะผมไม่สามารถเห็นแก่ตัวได้ครับ”

“เพราะอะไรคะ ทำไมลูกถึงบอกว่าเป็นความเห็นแก่ตัว” ผมเงยหน้าขึ้นมาจากหมอน ผมรู้สึกได้ถึงดวงตาที่มันคงแดงก่ำและช้ำมาจากการร้องไห้

“เพราะเธอกำลังท้องครับคุณแม่ เธอกำลัง ฮึก ท้องลูกของเขา ลูก ฮือ ของผู้ชายที่ผมรัก” ผมเจ็บปวดและทรมานมากมายเหลือเกิน หัวใจรวดร้าวราวกับจะขาดใจเสียตรงนั้น

ดวงตาปรือฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำตาที่เอ่อล้น มันไหลลงมาอาบสองแก้มไม่มีหยุด ทุกอย่างพังทลายลงไปแล้ว ทั้งความรัก ความฝัน มันได้สูญสลายไปจากหัวใจของผมแล้ว

โลกของผมที่ไม่มีเขา มันก็เหมือนกับความมืดที่ไร้แสงสว่าง

“ผม ฮึก ฮืออ ผมถึงจำเป็นต้องเดินออกมา ทั้งที่เราสองคนรักกัน ทั้ง ๆ ที่เป็นอย่างนั้น ฮึก แต่ผมก็ไม่อยากปล่อยมือเขาเลยสักนิด”

“...”

“ผมอยากเห็นแก่ตัว แต่ผม ฮืออ ผมก็ทำไม่ลงจริง ๆ ครับ ผมแย่งเขา ฮึก มาจากเด็กคนนั้นไม่ได้ ฮือ ๆ” ไม่ได้ ผมทำไม่ได้

“โธ่ ลูกแม่” คุณแม่ดึงผมเข้าสู่อ้อมกอด ใช้ความอบอุ่นของความเป็นแม่ปลอบประโลมผมเอาไว้ ความอ่อนโยนที่แสนคุ้นเคยกอดกักความอ่อนแอของผมเอาไว้ในอ้อมแขนราวกับว่าผมคือเด็กตัวเล็ก ๆ ที่คุณแม่ต้องปกป้องเอาไว้

ผมกระชับอ้อมกอดของคุณแม่แน่นขึ้น ใช้ความรักของคุณแม่มาลบความเจ็บปวดและทรมานในหัวใจตัวเอง แม้จะรู้ดีว่ามันไม่ช่วยอะไรเลย แต่ผมก็จะยึดทุกความหวัง เหนี่ยวรั้งทุกสิ่งที่จะทำให้ตัวผมเจ็บปวดได้น้อยลง ผมเองก็รู้ว่าแม่ทรมานใจที่เห็นผมเป็นแบบนี้ เจ็บปวดกับการที่ผมเอาแต่ร้องไห้ ทรมานตัวเองด้วยการไม่ยอมทานข้าว

“ถ้าอย่างนั้นก็เลิกร้องไห้เถอะนะคะไมน์ ถ้าลูกยังคงเศร้าเสียใจอยู่แบบนี้ เกิดเขาคนนั้นรู้เข้า เขาก็คงทิ้งทุกความรับผิดชอบ เพื่อมาปลอบโยนลูกของแม่”

ผมรู้... แต่ผมก็ไม่สามารถห้ามความเสียใจของตัวเองได้

ไม่สามารถสั่งหัวใจให้เลิกเจ็บปวดได้เลยสักครั้ง

ผมอยากเก่งให้ได้เหมือนปากที่พูดออกไปว่าจะยอมปล่อยเขา อยากจะทำได้ในทุกอย่างที่ดูเข้มแข็งเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาเช่นเดียวกับวันนั้น แต่ใครจะไปรู้ดีกว่าตัวของผมเอง ว่าผมกำลังเสียใจมากมายแค่ไหน เจ็บปวดยิ่งกว่าอะไร อยากจะร้องไห้ อ้อนวอนให้เขามาหาผม แต่ผมกลับต้องอดทน ต้องยอมกอดเอาความทรมานนี้ไว้กับตัวเอง เพื่อความถูกต้อง

“ลูกอยากให้เป็นแบบนั้นหรือเปล่าคะ?” ผมส่ายหน้ากับอกของคุณแม่

“ไม่เลยครับ ถึงแม้ผมอยากจะรักเขามากมายแค่ไหน ผมก็ไม่เคยคิดจะแย่งเขามา”

ป่านนี้เขาจะเป็นยังไงบ้างนะ ผมไม่ได้ติดตามข่าวคราวของพวกเขาเลย โทรศัพท์ของผมถูกปิดลงตั้งแต่วันที่ผมเลือกจะเดินออกมาจากเขาทั้งสองคน ปิดรับทุกการติดต่อจากดินแดนโดยไม่สนใจเลยว่าเขาจะพยายามโทรเข้ามาที่บ้านของผมกี่ครั้ง เพราะต่อให้เขาโทรเข้ามาอีกสักพันครั้ง ผมก็จะไม่มีวันคุยกับเขา

เพื่อตัวเขาเอง และหัวใจของผมเอง

ผมไม่ใช่คนดีมากมายนักหรอก หากว่าต้องคุยกับเขาต่อไป ผมเองก็กลัวว่าจะใจอ่อนเข้าสักวัน ยอมกลายเป็นคนเลวที่แย่งพ่อของเด็กตาดำๆ คนหนึ่งเพราะความเห็นแก่ตัว ต่อให้เราสองคนจะรักกันมากมายแค่ไหน จะยิ้มให้กันสักกี่ครั้ง ผมก็ควรจะเก็บมันเอาไว้เป็นเพียงแค่ความทรงจำ ทำตัวเป็นแค่อดีตที่ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นคนที่รักกันมาก

คลิปถูกแชร์ในโลกโซเชียลต่อ ๆ กันหลายแสนครั้ง ผมได้แต่ดูมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดูพร้อมกับหยดน้ำตาและหัวใจที่ถูกบีบให้เจ็บช้ำ ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ทั้งที่ผมเองก็รู้ว่ามันจะเจ็บมาก แต่ผมก็ยังไม่อยากจะหยุด คลิปนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมเหลืออยู่ เป็นสิ่งเดียวที่ยืนยันว่าความรักของเขายังไม่ได้หายไปไหน มันเป็นเหมือนของขวัญที่เขามอบมันให้ผม เป็นเหมือนของขวัญชิ้นสุดท้ายก่อนที่เราจะไม่มีกันและกันอีกต่อไป

ชีวิตที่ไม่มีเขามันไม่มีอะไรง่ายดาย เพราะแค่หลับตาภาพของเราสองคนก็ถูกฉายซ้ำ ๆ ให้ได้เห็น แต่ในความฝันก็ยังมีเขาอยู่ในนั้นไม่เคยหายไป ยิ่งลืมตา...ผมก็ยิ่งคิดถึงเขา คิดถึงช่วงเวลาที่เราสองคนต่างมีด้วยกัน

มันไม่ง่ายเลยที่ไม่มีเขา ไม่ง่ายเลยที่จะไม่ใช่เราอีกต่อไป

จากนี้ไปจะมีแค่ผม แค่ผมเพียงคนเดียว

ไม่มีดินแดนของไมน์อีกต่อไป



วันเวลาผสานไปอย่างเชื่องช้าราวกับหนึ่งวันของทุกคนเท่ากับหนึ่งปีของผม ตอนนี้เวลาผ่านไปห้าเดือนแล้ว ลูกของดินแดนก็คงจะใกล้คลอดเต็มที ผมใช้เวลาในแต่ละวันกับการเข้าไปที่โรงแรม ใช้เวลาไปกับการช่วยดูแลกิจการของที่บ้าน แต่ส่วนใหญ่ก็มีพี่มินเป็นคนดูแลทุกอย่างอยู่แล้ว ผมเพียงถูกดึงให้ไปช่วยงานเพื่อจะได้ไม่ต้องคิดมาก

ดินแดนติดต่อผมมาตลอด ทุกช่องทางที่จะทำได้ ผมเองก็หลบเลี่ยงเขาทุกทางเช่นเดียวกันเพื่อที่เขาจะได้ลืมผม และมอบความรักให้เด็กคนนั้นอย่างเต็มที่

พี่มินโกรธจัดหลังจากที่หายไปเป็นอาทิตย์ พอกลับมาแล้วรู้ว่าผมร้องไห้เสียใจเพราะดินแดน พี่มินแทบจะขับรถออกไปเพื่อต่อยหน้าเขาด้วยซ้ำ แต่ผมดึงพี่มินเอาไว้ อธิบายเรื่องทุกอย่างให้พี่มินได้ฟังจนสุดท้าย พี่มินก็ต่อสายหาใครสักคน ทะเลาะและด่าทอจนเสียงดัง ผมไม่รู้ว่าพี่มินโทรหาใคร แต่พอจะคิดได้ว่าคงไม่ใช่ดินแดนอย่างแน่นอน

ผมนั่งอยู่ในสวนหน้าบ้าน ชิงช้าตัวน้อยที่ครั้งหนึ่งผมเคยชอบมัน เป็นสิ่งที่คุณพ่อซื้อมาไว้ให้ผมและพี่มินได้เล่นมันด้วยกัน เวลาผ่านไปหลายสิบปี แม้แต่สวนภายในบ้านก็ถูกจัดใหม่หลายครั้ง จนต่างออกไปจากความทรงจำ แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปคือความรู้สึก ผมยังรู้สึกได้ถึงความคุ้นเคย เพราะผมอยู่ที่นี่มานานเหลือเกิน

อากาศแสนบริสุทธิ์ที่ถูกเจือไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบที่อยู่ไม่ไกล มันยิ่งชวนให้ผมนึกถึงวันที่ดินแดนไปง้อผมที่ร้านอาหาร ทั้งที่ถูกผมบอกว่าเราไม่รู้จักกันอีกแล้ว เขายังถือดอกกุหลาบมาง้อผม ยิ่งได้กลิ่น...ก็ยิ่งคิดถึง

“อยู่นี่เอง” เสียงของใครสักคนดังมาจากทางด้านหลัง ทำให้ผมต้องหันไปมองเขา เมื่อเห็นแล้วว่าเป็นใคร ผมก็ทำได้เพียงแค่ส่งยิ้มไปให้เท่านั้น

“มึงมายังไงวะ” อนุรักษ์นั่งลงข้างๆ ผม สีหน้าของมันยังคงเต็มไปด้วยความเป็นห่วงอยู่เสมอ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพื่อนที่แย่มาก ทำให้มันเป็นห่วงไม่จบไม่สิ้นเสียที

“ขับรถมาสิ”

นั่นสินะ ผมเองก็ไม่น่าจะถามอะไรโง่ๆ ออกไปเลย

“มึงเป็นยังไงบ้าง...” ผมหลุบตาลงมองสองมือที่จับกันไว้ของตัวเองบนตัก ขยับปลายนิ้วถูกกันไปมาเล่นอย่างเบื่อหน่าย

“เหมือนเดิม”

ยังคิดถึงมันเหมือนเดิม

“นี่ก็ผ่านมาตั้งหลายเดือนแล้วนะ มึงยังไม่เลิก...” รักเงียบลง ผมหันไปมองจึงได้เห็นว่ามันเองก็กล้ำกลืนถ้อยคำลงคอไปอย่างยากลำบากไม่น้อย สีหน้าที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร จะปลอบแบบไหนยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองแย่เพราะต้องให้คนอื่นมาเป็นห่วง

“ยังไม่เลิกคิดถึงแดนนะหรือ?” ในเมื่อมันไม่พูด ผมจะเป็นคนพูดออกมาเอง

“ใช่...” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาแหบแห้งเหลือเกิน ผมไม่ได้มองหน้าของมันแล้วว่ามันกำลังมีสีหน้าแบบไหน ผมเจ็บปวดเพราะความรักมากเกินพอที่จะต้องมาเจ็บปวดเรื่องอื่นอีก

“ยัง และคงเลิกไม่ได้ เหมือนที่กูไม่เคยเลิกรักเขา”

ต่อให้ตอนนี้ดินแดนกำลังทำหน้าที่พ่อของลูก กำลังรับผิดชอบต่อครอบครัวที่มีกันพร้อมหน้า แต่หัวใจของผมก็ยังคงไม่ลืมเขา ไม่เคยเลิกรักเขาได้เลยแม้สักวินาทีเดียว ผมยังคงจดจำความรักของพวกเราเอาไว้ในหัวใจ ยังคงมีแต่เขาที่เป็นเจ้าของหัวใจของผมเรื่อยมา ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหน

“มึงกำลังรอหรือเปล่าไมน์ รอว่าวันหนึ่งมึงจะได้กลับไปคบกับมัน”

นั่นสินะ ผมเองก็ถามตัวเองทุกวันว่าผมกำลังรออยู่หรือเปล่า

แต่ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่การเฝ้ารอเลยกับสิ่งที่ผมกำลังทำ

“เรียกว่าห่วงดีกว่านะ กูแค่ห่วงเขาอยู่ในจุดที่กูยืนอยู่ จุดที่ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันเลย”

“มึงกำลังยึดติด” ผมได้ยินการวิเคราะห์ของมันก็เกิดรอยยิ้ม แหงนเงยใบหน้าขึ้นมองท้องห้าที่ถูกเมฆสีขาวเป็นปุยนุ่มปกคลุมอยู่

“ก็อาจจะใช่...”

การยึดติดของแต่ละคนต่างก็ไม่เหมือนกัน เหมือนที่ผมเองก็อาจจะยึดติดเขาเอาไว้ แต่ไม่ใช่การครอบครอง

“กูอาจจะยึดติดกับดินแดน เหมือนที่ดินแดนเองก็ยังยึดติดกับกู”

“แล้วมันดีแล้วหรือที่เป็นแบบนี้ ไม่ใช่ว่ามึงกับมันต่างก็ทรมานหรือ เพราะไม่สามารถรักกันต่อไปได้” ผมส่ายหน้าให้กับอนุรักษ์

“กูยึดติดเพราะกูรักแดนนะรัก แต่ไม่ใช่การครอบครอง”

“มันต่างกันตรงไหน ไม่ว่าจะอะไร กูก็เห็นมึงเจ็บเพราะมันอยู่ดี”

“...”

“ลืม...ไม่ใช่สิ่งที่มันจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นหรือวะไมน์ การลืมมันไป อาจจะทำให้มึงเองเริ่มต้นใหม่ได้ง่ายกว่าหรือเปล่า” ลืมงั้นหรือครับ นั่นสิ การลืม...ย่อมเป็นคำตอบที่ดีที่สุดแล้ว

แต่อนุรักษ์คงลืมไปเช่นกันว่า การลืม...ไม่ใช่การลบ ไม่มีใครลืมมันไปได้จริงๆ หรอก

“มึงพูดถูก...ลืมไปคงทำให้อะไรดีขึ้นอีกมาก” อนุรักษ์ยิ้มออกเมื่อได้ยินผมพูดออกมาแบบนั้น

“ถ้างั้น...”

“แต่มึงอย่าลืมนะว่า ไม่มีใครลืมทุกอย่างได้ไปตลอด สักวัน...สิ่งที่เราลืมหรือพยายามลืม มันก็ต้องกลับมาอยู่ดี”

“...”

“มึงบอกให้กูลืมแดน ลืมความรัก ความผูกพันของกูกับแดน”

“...”

“มึงกล้ายืนยันไหมว่า ถ้ากูบังเอิญเจอแดน บังเอิญได้เห็นสิ่งที่คุ้นเคย ได้ไปในที่ที่กูกับแดนต่างก็เคยไปมา กูจะไม่กลับมาจำมันได้ ไม่กลับมาเจ็บปวดทรมานกับมันอีก มึงกล้าพูดได้เต็มปากหรือเปล่ารัก”

“...” ผมบอกแล้วไง การลืมไม่ใช่การลบทุกสิ่งออกไป เราแค่สร้างกลไกการป้องกันตัว เลือกจะสั่งให้สมองไม่ไปยุ่งกับความทรงจำนั้น แต่ถ้าหากถูกกระตุ้นด้วยสิ่งที่คุ้นเคย ไปยังสถานที่คุ้นตา ความทรงจำที่เราคิดว่าลืมมันไป ย่อมต้องกลับมาอีกครั้งแน่นอน เพราะสมองของคนเราไม่ใช่คอมพิวเตอร์ ที่จะสามารถลบทุกอย่างได้ตามที่ต้องการ

“ถ้ามึงสามารถบอกกูได้เต็มปากว่าเมื่อกูลืมมันแล้ว กูจะไม่มาเสียใจอีกถ้าเจอแดน กูจะลืมมันให้มึงเอง”

“ไมน์...กูแค่เป็นห่วงมึง มึงไม่เข้าใจหรือ?” ทำไมผมจะไม่เข้าใจ เพราะผมเข้าใจดีถึงความหวังดีของมัน ผมถึงได้พูดกับรักตรง ๆ บอกความจริงว่าสิ่งที่มันคิดนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ผมหายจากความเศร้าได้ถาวร

“กูรู้รัก กูรู้ว่ามึงห่วงกูมาเสมอ กูรู้ดี”

และเพราะรู้ดีถึงทำไม่ได้ เพราะรู้ดีถึงได้ไม่อยากเป็นแบบนี้เลยสักนิด

“เฮ้อ! เอาเถอะ ยังไงกูก็เป็นเพื่อนมึงเสมอ ต่อให้มึงจะเลือกทางที่ทำให้มึงเจ็บกว่านี้ กูก็จะอยู่ข้างมึง” อนุรักษ์ก็แบบนี้ เป็นแบบนี้มาเสมอ คอยห่วงผมมาตลอดไม่ว่าเมื่อไร

“ขอบใจนะ” ผมดีใจมากที่มีมันเป็นเพื่อน ดีใจมากที่ได้รู้จักมัน

“จริงสิ...กูมาที่นี่เพราะเรื่องของดินแดน”

“เกิดอะไรขึ้น?” ผมรีบหันหน้าไปมองรักทันที หัวใจเต้นแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ผมจะร้อนรนทุกครั้งถ้าเป็นเรื่องของดินแดน เป็นห่วงทุกอย่างที่เขาต้องเผชิญมัน

“มึงรู้ใช่ไหมว่าก่อนหน้านี้ ช่วงที่มึงตัดสินใจออกมาจากความสัมพันธ์ของมึงกับมัน มันพยายามติดต่อมึงทุกทาง แม้แต่กับกู” ผมหลุบตาลง เรื่องนั้นผมรู้ดีกว่าใครเลยล่ะ เพราะผมเป็นคนบอกกับอนุรักษ์เองว่าไม่ให้บอกว่าผมอยู่ไหน เป็นยังไง ไม่ให้ส่งข่าวคราวใด ๆ ของผมไปถึงดินแดน

“อืม กูรู้”

“หลังจากที่มันไม่สามารถหาทางติดต่อมึงได้ ไม่สามารถรู้ได้ว่ามึงเป็นยังไง เหมือนตัวมันจะถอดใจ ตัดสินใจตัดขาดกับครอบครัวตัวเอง บอกว่าจะไม่ยอมให้ใครได้ชื่อว่าเป็นสะใภ้ของโชติญาณกุล นอกจากมึง”

“....” ผมเม้มปาก นัยน์ตาไหวระริกอย่างหวั่นใจ หัวใจของผมก็ไม่สามารถควบคุมได้ ทั้ง ๆ ที่รู้ แต่ก็ยังดีใจ ไม่ควรเลยสักนิด

“ได้ยินว่าเมีย ขอโทษที กูหมายถึงผู้หญิงคนนั้นน่ะ โกรธมันมาก ทะเลาะกันแทบจะทุกวัน”

เห็นได้ชัดว่าไม่มีความสุข ดินแดนไม่มีความสุขเลยสักนิด ผมได้แต่หลับตาลง กำมือทั้งสองข้างจนแน่น ระงับความต้องการที่จะเรียกร้องเขาคืนมาก

ไม่ ไม่ใช่เรื่องของผมอีกต่อไปแล้ว มันเป็นเรื่องของครอบครัวของดินแดนแล้ว

“แล้วทางครอบครัวของดินแดน ยอมให้ดินแดนออกมาแบบนั้นงั้นหรือ?” คุณอาสมภพกับพี่อาณาเขต ยอมให้ดินแดนออกมาลำบากเพียงคนเดียวหรือ?

“ยอมดิวะ เห็นว่าทางพี่ชายของดินแดนไม่ยอมรับผู้หญิงคนนั้นเลยปล่อยให้มันตัดขาดออกไป” ความเป็นห่วงที่อยู่ในหัวใจยิ่งท่วมท้น ปวดใจแต่กลับช่วยอะไรคนที่ผมรักไม่ได้เลย

“แต่กูว่า...คงเป็นแผนที่ทางนั้นใช้บีบผู้หญิงคนนั้นมากกว่า ดูก็รู้ว่าอยากขึ้นมาชูคอเป็นสะใภ้โชติญาณกุลขนาดไหน แต่อย่างว่า...ทำตัวเองทั้งนั้นนี่”

ผมไม่ได้สนใจหรอกว่ามันจะคือแผนหรืออะไร ถึงผมจะรู้ดีว่าดินแดนเอาตัวรอดจากความยากลำบากหรือความจน เริ่มต้นจากจุดเริ่มต้นได้เสมอ แต่ผมก็ยังกลัวและห่วงเขาอยู่ดี ดินแดนไม่ใช่คนฟุ่มเฟือย แต่ใบบัวไม่ใช่...ผู้หญิงคนนั้นไม่มีทางทนกับการอดออมได้แน่นอน

แล้วไหนจะเด็กในท้องอีก ถ้าหากว่าเธอเอาแต่โมโห เอาแต่หงุดหงิด เด็กในท้องก็จะไม่เป็นผลดี ทุกอย่างมีแต่จะแย่ไปหมด ผมเป็นห่วงว่าเธอจะคิดทำอะไรบ้า ๆ ได้แต่ภาวนาว่าจะไม่เกิดเรื่องเลวร้ายอะไรขึ้นมาอีก

“กูได้ยินมาจากพี่มิน ว่ามึงจะบินไปอังกฤษ...จริง ๆ งั้นหรือ?”

“จริง กูจะไปพรุ่งนี้แล้ว” ผมยิ้มอ่อน ไม่ได้คิดจะปิดบังเพื่อนคนเดียวของผมเลยสักนิด

“มึงไปเพราะเรื่องของดินแดนหรือเปล่าไมน์”

“ไม่ใช่...” จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ จะใช่ก็ใช่

“ถ้างั้นมึงไปทำไมวะ ถ้าอยากไปเที่ยวทำไมไม่เห็นชวนกูสักคำ” ผมอดหัวเราะกับการกระเง้ากระงอดของอนุรักษ์ไม่ได้ เห็นความน้อยใจในแววตาของมันก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้เหมือนกัน

“แม่กูอยากจะไปชอปปิ้ง กูเลยจะไปเป็นเพื่อนแม่เสียหน่อย ถือโอกาสให้ตัวเองได้พักผ่อนด้วย เผื่อว่าไปที่นั่นกูอาจจะคิดถึงเรื่องของดินแดนน้อยลง”

ถ้าหากอยู่ที่นี่ต่อไปคงไม่พ้นผมต้องหาทางไปหาเขาสักวัน ตอนนี้แค่ได้ยินว่าเขาตัดขาดจากครอบครัวผมก็ห่วงเขาใจจะขาด อยากจะไปหาดินแดนเสียมันตอนนี้เลยด้วยซ้ำ ติดก็ตรงที่ผมยังสามารถห้ามหัวใจตัวเองเอาไว้ได้ ผมไม่อยากผิดคำพูด บอกว่าจะถอยก็คือถอย ผมยอมหลีกทางเพื่อเด็กที่เป็นลูกของดินแดน เพราะงั้น...ผมจะไปพบเขาไม่ได้เด็ดขาด

“มึงจะไปนานแค่ไหน” ปมทอดสายตาขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ตอนนี้มีเพียงสีฟ้าเท่านั้น ไร้ก้อนเมฆมาบดบังความสว่างของมัน บางทีธรรมชาติก็ดูสวยงามน่ามองเหมือนกัน

“คงสักระยะ จนกว่ากูจะพร้อมมาเจอความจริง”

“มึงไม่อยากเห็นหน้าลูกของดินแดนใช่ไหม กูถามจริง ๆ ที่มึงต้องไปเพราะมึงทนรับความจริงที่ว่ามันกำลังจะมีลูกไม่ได้ใช่ไหมไมน์” ผมถอนหายใจออกมาก

“ถ้ากูจะรับไม่ได้ มันก็ควรจะตั้งแต่วันที่ใบบัวบอกว่าท้องกับแดนแล้วไหมวะ ที่กูไม่อยากอยู่ในช่วงเวลานี้ ไม่ใช่เพราะกูรับไม่ได้ แต่กูทำใจไม่ได้ต่างหาก”

รับไม่ได้หรือ? ไม่ใช่เลย แต่ผมทำใจไม่ได้ต่างหากที่ต้องยินดีกับเขา ต้องยิ้มให้เขา

“มึงจะกลับมาใช่ไหมวะไมน์...”

“กลับสิ ยังไงที่นี่ก็บ้านกู หัวใจของกู...อยู่ที่นี่ กูต้องกลับมาอยู่แล้ว” แค่ขอเวลาเท่านั้น ขอเวลาให้หัวใจของผมได้เข้มแข็งพอจะเผชิญหน้ากับเขาในวันที่เขามีกันพร้อมหน้า

“กูจะรอมึงกลับมา”

“อืม...”

ผมจะกลับมาอย่างแน่นอน เมื่อผมมั่นใจแล้วว่าวันไหนที่เจอหน้าของดินแดน ผมจะไม่ร้องไห้ต่อหน้าเขาอีก

วันนั้น...ผมจะกลับมายืนยิ้มให้เขา แสดงความยินดีที่ลูกของเขาเกิดมา

ไม่นานหรอกนะดินแดน ไม่นานหรอกไมน์จะเข้มแข็งขึ้นเอง







น้องไปแล้วค่ะ หลบไปพักใจยาวๆเหมือนกับแมว แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ เดี๋ยวน้องก็กลับมาาาา อีกไม่กี่ตอนเราก็จะจบกันแล้วนะคะกับเรื่องราวความรักของไมน์กับดินแดน แต่บทสรุปจะเป็นยังไง ก็ต้องมารอดูต่อไปค่ะ สำหรับแมวที่วางเรื่องมาก แมวรู้สึกว่ามันมเหตุสมผล สมตัวละครตามนิสัยของพวกนางที่สุดแล้ว อาจจะไม่ตรงใจของใครหลายๆคน แต่ก็ขอให้มันเป้นเหมือนมุมมองหนึ่งเอาไว้เตือนตัวเอง อย่าก้าวพลาดเหมือนตัวละครของแมวนะคะ กราบแทบอกทุกคนค่ะ  

เป็นเจ้าของ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
 :z3:
ไร้หนทางจะเดินต่อไปจริงๆ

เครียดว้อยยยยยย
 :ling3:

+1 ให้จ้า..คนแต่ง
มีให้ลุ้นทุกตอนเลย
หุหุ

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
สู้ๆนะไมน์ หอบใจพังๆไปพักนะ ว่าไปแล้วก็แอบสงสารอยู่นะ เพราะช่างทำตัวน่าสงสารซะ กี่ครั้งแล้วอะเธอออออ 5555555 ยืนให้ได้ เข้มแข็งไว้ ปากก็บอกนะว่าจะไม่ร้องไห้ตอนเจอหน้าอีก โถ! อย่าร้องไห้ตอนไปเห็นหน้าลูกเขาด้วยละ ลูกของคนรักกับกิ๊ก ตื้นตันใจไม่ไหวแล้ว 55555555 อะจะเป็นยังไงต่อไป บทสรุปของสองคนนี้ เดาไม่ถูกแหะ จะ...... หรือจะ........ รรรตอนต่อปายยาวๆ ขอบคุณนะคะที่แต่งมาต่อ  :pig4:

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
พักใจยาวๆเลยหนูเอ้ย

ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[23] (ฉบับเต็ม)


กลับบ้าน
[/b]

หนึ่งปีผ่านไป...

“ไมน์! ไมน์! ทางนี้ๆ!” ผมเดินออกมาจากทางช่องผู้โดยสารขาออก ถอดแว่นตาสีชาออกจากใบหน้าแล้วโบกมือกลับไปให้

ผมจากที่นี่ไปหนึ่งปีเต็มๆ คุณแม่ชอปปิ้งจนสบายใจกลับมาตั้งแต่เดือนแรกแล้ว มีแต่ผมที่ยังคงจะอยู่ต่อเพียงคนเดียว ความจริงมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากมายหรอกครับ ผมเพียงแค่อยากจะลองพบเจอคนใหม่ๆ ลองใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ ที่เคยทิ้งไปเพื่อเขาเท่านั้น

แต่ไม่ว่าจะเจอใครคนไหน พูดคุยกับใครมากมายเท่าไร หัวใจของผมก็รู้สึกเหมือนกับว่าอะไรบางอย่างนั้นได้ขาดหายไป มันไม่เต็มอิ่ม ไม่ว่าจะหลับหรือตื่น จะกินหรือนอน ทำอะไรผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองหลงลืมบางอย่างที่แสนสำคัญไป จนในที่สุดผมก็ทนมันต่อไปไม่ไหว ต้องบินกลับมาที่เมืองไทย

กลับมาไม่ใช่เพราะพร้อม แต่ผมไม่สามารถไปจากเขาแบบนี้ได้

“โทษทีวะ เครื่องล่าช้าไปครึ่งชั่วโมงเลยกว่าจะออก” ผมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของอนุรักษ์ที่ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว ใบหน้าของคนตรงหน้าผมเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ผมรู้สึกได้ว่ารักมันเปลี่ยนไป เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าตรงไหนเหมือนกัน

“ช่างมันเถอะ มึงกลับมาก็ดีแล้ว กูก็นึกว่ามึงจะติดใจที่โน่นจนไม่กลับมาที่นี่แล้วเสียอีก” ฟังอนุรักษ์พูดแล้วผมก็อดยิ้มไม่ได้

“จะไม่กลับมาได้ยังไงกันเล่า...” ในเมื่อหัวใจของกูยังอยู่ที่นี่

ผ่านไปหนึ่งปี ไม่รู้ว่าดินแดนจะเป็นยังไงบ้าง ลูกของดินแดนเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ครอบครัวจะเป็นสุขดีไหม เข้ากับแม่ของลูกได้หรือยัง ผมมีคำถามมากมายที่ต้องการคำตอบ แต่ก็ไม่อาจจะถามออกไปได้ในเมื่อเป็นผมเองที่เลือกจะไม่เจอกับเขา ตลอดเวลาหนึ่งปี ผมคุยกับอนุรักษ์เสมอไม่เคยขาดการติดต่อ เพียงแต่ข่าวคราวของดินแดนมีน้อยมาก ตัวดินแดนเองก็เหมือนจะยอมรามือ เลิกขวนขวายหาทางติดต่อผมในที่สุด

ผมควรจะดีใจ ที่เขาปล่อยวางและลืมผมได้...

แต่ผมกลับปวดใจ เมื่อคิดว่าเขากำลังมีความสุขอยู่เป็นครอบครัว

ทุกวันที่ผมใช้เวลาท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่าง ๆ เลือกผลาญเวลาที่มีอยู่มากมายไปกับสิ่งที่จะช่วยดึงดูดความสนใจของผมได้ แต่มันไม่เพียงพอ ไม่ว่าจะใช้ไปสักเท่าไร ความรู้สึกของผมก็ยังคงโหยหาดินแดนจากก้นบึ้งของหัวใจ ทั้งที่เราทั้งสองคน...ไม่มีวันเป็นไปได้อีกต่อไป แต่ผมก็ยังคงไม่อาจเลิกรักเขา ไม่อาจจะลืมเลือนเขาไปจากหัวใจ

“ว่าแต่...ที่ร้านเป็นยังไงบ้างวะ?” ผมปล่อยให้อนุรักษ์จัดการกับสัมภาระของผม ส่วนตัวเองก็เดินตัวเปล่าอยู่ข้างๆ ความเหนื่อยล้าที่ชวนให้ง่วงนอนไม่ใช่ปัญหาเลยในตอนนี้ สิ่งที่ผมเป็นห่วงคือร้านอาหารที่ผมฝากอนุรักษ์ช่วยดูแลให้ในตอนที่ผมไม่อยู่เมืองไทยมากกว่า ไม่ใช่ผมไม่ไว้ใจเพื่อน ผมไว้ใจอนุรักษ์แน่นอน แต่ความเป็นห่วงกับความไว้ใจมันไม่เกี่ยวกัน

“ไปได้ดีเลยล่ะ จำที่กูเสนอให้มึงเปิดดาดฟ้าช่วงเย็นได้ไหม”

“เออ จำได้” จะจำไม่ได้ได้ยังไงกัน ในเมื่อวันนั้นอนุรักษ์มันโทรทางไกลหาผมแบบรีบร้อนจนผมที่เพิ่งข่มตานอนได้ไม่นานต้องแหกขี้ตาขึ้นมาฟังมันร่ายความดีของชั้นดาดฟ้าที่อยู่ในจุดรับแสงได้ดี มองเห็นดวงจันทร์ได้ด้วยตาเปล่า จนเหมือนจะบินออกไปลอยอยู่กับดาวเคราะห์น้อยแล้ว และเพราะผมอยากจะนอนต่อ ผมจึงได้ตกปากรับคำไปอย่างรำคาญ

แต่ดูเหมือนการกระทำที่เกิดจากความรำคาญของผมจะออกผลมาอย่างดีสินะ

“ตอนนี้คิวจองโต๊ะตอนเย็นของร้านมึง ยาวไปถึงปีหน้าเลยนะ อีกนิดเดียวก็จะแตะสิ้นปีหน้าแล้วด้วยซ้ำ” ผมเลิกคิ้วอย่างอดประหลาดใจไม่ได้ เพียงแค่ดาดฟ้าจะสามารถดึงดูดคนได้มากมายขนาดนี้เชียวหรือ?

“มึงไม่อยู่ไทยคงไม่รู้ พวกเพจดัง ๆ มันมาทำรีวิวร้ายเราเพราะบรรยากาศกับรสชาติอาหาร ทุกคนชอบกันใหญ่เลย” ผมชะงักตัวหยุดเดิน อนุรักษ์เองก็หยุดลงตามผม สีหน้าของมันเป็นกังวลอยู่บ้าง

“เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“รัก...”

“มีอะไรวะ?” หรือมันจะไม่รู้จริง ๆ

“มึงไม่รู้จริง ๆ หรือว่าพวกนั้นมาเพราะเรื่องของกูกับดินแดน” อนุรักษ์เงียบลง ไม่ใช่ไม่รู้สินะ สีหน้าแบบนี้คือรู้ดีที่สุดเสียมากกว่า คนพวกนั้นที่มารีวิวให้เพราะกระแสของผมกับดินแดนในช่วงแรกๆ แต่ผมก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าร้านของเราบรรยากาศดีอาหารอร่อย ผมว่าจุดนี้จึงทำให้พวกเขายังคงมาอย่างต่อเนื่อง

“มึงไม่โอเคกับมันหรือเปล่าวะ?” ผมส่ายหน้าแล้วเดินต่อโดยมีอนุรักษ์เคียงข้างไม่ห่าง

“ไม่หรอก ยังไงก็เป็นผลดีกับร้าน กูต้องโอเคอยู่แล้วสิ”

ก็แค่...ในอกมันหวิว ๆ เท่านั้นเอง

“ใช่! ตอนนี้ร้านมึงมีกำไรเป็นกอบเป็นกำเลยนะ คนอยากมาสมัครงานร้านมึงก็โคตรจะเยอะ” ผมหันไปหาอนุรักษ์ที่เดินอยู่ข้าง ๆ

“มึงไม่ได้รับใครเพิ่มเข้ามาใช่ไหม?” ผมไม่ได้หวงเงินเดือน ไม่ได้หวงพื้นที่ร้านหรืออะไร ไม่ใช่ว่าผมจ่ายเงินเดือนไม่ไหว แต่ผมไม่อยากให้รับใครสุ่มสี่สุ่มห้า อยากจะคัดแยกออกมาด้วยตัวเองมากกว่า

“ไม่ ไม่ใช่กูหรอก คุณหญิงแม่ของมึงต่างหากที่จัดการเรื่องนี้ มึงไม่รู้จักนิสัยของแม่มึงหรือ? เนี้ยบกว่าสีทาบ้านกูเสียอีก”

อนุรักษ์ได้แต่ทำท่าทางขนลุกขนพอง ลูบแขนตัวเองเป็นพัก ๆ กับใบหน้าที่ฉายความสยดสยองออกมาอยู่ตลอด ผมว่ามันตลกดี คุณแม่ของผมเป็นคนใจดีนะครับ แต่เรื่องการรับคนเข้ามาทำงานนี่...ต้องยอมรับเลยว่าท่านโหดมาก ถ้ามีพิรุธ แสดงความรู้สึกที่ไม่ชอบมาพากล คุณแม่ผมจะโยนออกไปโดยไม่คิดจะหันมามองแม้แต่หางตา เพราะงั้นเรื่องที่อนุรักษ์พูดจึงไม่ได้โอเว่อร์เกินไปหรอกครับ เพราะนั่นล่ะ คือแม่ของผมเอง

ผมกับรักเดินมาจนถึงจุดที่มันจอดรถเอาไว้ อนุรักษ์จัดการเอากระเป๋าเดินทางของผมเข้าไปใส่ที่หลังรุ ปลดล็อกประตูให้ผมขึ้นไปนั่งรอเฉยๆ โดยไม่ต้องทำอะไร ปมปิดประตูทันทีที่ก้าวขึ้นมานั่งบนรถสำเร็จ คาดเข็มขัดนิรภัยแล้วเอนหลังลงไปแนบชิดกับเบาะ หลับตาลงเพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง

“แล้วมึงจะไปไหนก่อนดี กลับบ้านหรือจะเข้าไปที่ร้านก่อนเลย?”

“กลับบ้านก่อนดีกว่า วันนี้กูอยากพัก กูเหนื่อย” อนุรักษ์พยักหน้าไม่ได้เซ้าซี้ผมต่อ ก่อนที่ตัวรถจะค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปอย่างเชื่องช้าและนิ่มนวลที่สุด พร้อมกับเพลงที่ถูกเจ้าของรถเปิดคลอเบา ๆ ให้ผมได้ผ่อนคลายอารมณ์

เหนื่อย...แต่ก็คิดถึงเหลือเกิน

อยากไปเจอ...แต่ก็ทำไมได้

สิ่งที่ผมทำได้คือการปล่อยให้อารมณ์ล่องลอยไปกับเสียงเพลงที่ดังคลอออกมา ปล่อยให้ความคิดถึงล่องลอยไปกับสายลมที่พัดผ่านไป หวังให้มันได้เอ่นกระซิบข้างๆ หูของคนที่ผมไม่วามารถมีเขาอยู่ได้ในชีวิต มีสิทธิ์เพียงแค่เก็บเขาเอาไว้ในความทรงจำ

ว่าคิดถึง คิดถึงเขาเหลือเกิน













ผมกลับมาถึงบ้านด้วยอาการกึ่งหลับกึ่งตื่น ทันทีที่รถจอดผมก็ไม่สนใจอะไรอีก แม้แต่จะเอ่ยลาอนุรักษ์ที่มันอุตส่าห์ไปรับผมยังไม่ได้พูดเลยด้วยซ้ำ ผมหอบร่างของตัวเองก้าวขึ้นบันไดไปเรื่อย ๆ แล้วไปจบที่ห้องนอน ทิ้งตัวลงนอนหลับเป็นตายทันทีที่หัวถึงหมอน

ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง กระเป๋าเสื้อผ้าจะถูกนำออกมาแขวนเอาไว้ในตู้จนหมด ทุกอย่างถูกเก็บเอาไว้อย่างดี ผมกวาดสายตาที่ยังคงมีอาหารง่วงหลงเหลืออยู่ไปรอบห้อง

หนึ่งปีที่ผมจากไปแต่ของทุกอย่างไม่เคยเปลี่ยน แม้แต่สีของผ้าปูเตียงหรือผ้าห่ม มันก็ยังคงเป็นสีเดิมเช่นเดียวกับวันที่ผมจากไป เพียงแต่กลิ่นในห้องกลับหอมสะอาด ไม่ใช่กลิ่นอับที่ห้องถูกปิดเอาไว้มาเนิ่นนาน

คงเป็นคุณและป้าเนียนที่สั่งให้เปิดระบายและทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลาสินะ คงเตรียมเอาไว้เพื่อผมในวันที่ผมพร้อมจะกลับมา

สิ่งเหล่านี้แสดงถึงความเอาใจใส่และความรักที่คุณแม่กับทุกคนมีให้ผม ซึ่งสำหรับผมแล้วมันดีเหลือเกิน ดีจนในอกของผมรู้สึกได้ถึงความหวานละมุน

ผมขยับร่างกายเล็กน้อยก่อนที่จะลุกขึ้นจากเตียงแล้วเข้าไปจัดการอาบน้ำทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำจนเรียบร้อย ตอนนี้ก็สี่โมงกว่าแล้ว จะว่าไปคุณแม่คุณพ่อและพี่มินก็คงจะอยู่กันพร้อมหน้าแล้วเหมือนกัน ผมคิดถึงทุกคน อยากจะเจอหน้าทุกคนให้หายคิดถึง ไม่รู้ว่าพี่ชายของผมจะเป็นยังไงบ้างหนึ่งปีมานี้ ผมไม่ค่อยได้คุยกับพี่มินเลย เพราะติดต่อไม่ได้เสียส่วนใหญ่ ขนาดโทรเข้ามาที่บ้านก็ยังไม่ค่อยอยู่ ไม่รู้ว่าหายไปไหน

จะว่าไปตั้งแต่ที่พี่มินเจอกับพี่อาณาเขต ผมก็เห็นว่าพี่มินหายไปบ่อย ๆ บ้างก็สามวัน บ้างก็อาทิตย์หรือเป็นเดือนๆ ก็มี แถมเวลากลับมาสีหน้าก็มีแต่ความหงุดหงิด ถามอะไรก็ไม่ค่อยจะตอบ ผมก็เลยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

เอาล่ะ...ลงไปข้างล่างดีกว่า ป่านนี้ทุกคนคงกลับมาถึงบ้านกันหมดแล้ว

ผมเดินออกจากห้องลงบันไดไปอย่างสบายอารมณ์ บ้านของผมที่ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมก็ยิ่งทำให้ผมสบายใจที่ได้กลับมา มันแตกต่างจากตอนที่ผมต้องอยู่ที่โน่นคนเดียว ถึงแม้ว่าทุกอย่างมันจะเป็นระเบียบ เพื่อนดีมีมากมาย แต่ผมก็ยังคงอยากกลับมาที่นี่มากกว่า สำหรับผมแล้ว ไม่มีอะไรดีไปกว่าบ้านของผมอีก

“ไมน์...ตื่นแล้วหรือคะลูก” ผมหันไปยิ้มให้กับคุณแม่แล้วเดินเข้าไปใกล้เพื่อนั่งลงเคียงข้างท่าน ผมใช้สองแขนโอบกอดร่างกายของคุณแม่เอาไว้อย่างเอาใจ ใช้ศีรษะซบลงที่ไหล่ของคุณแม่เหมือนเด็กน้อยที่ยังไม่เติบโต

“คิดถึงคุณแม่จังครับ นี่ผมรีบกลับมาเลยนะครับเนี่ย”

“ค่ะ คงคิดถึงแม่มากเลยนะคะถึงกลับมาหลังจากที่ผ่านไปหนึ่งปี” โดนคุณแม่ค้อนสายตาใส่แบบนี้ผมยิ่งออดอ้อนเขาไปใหญ่ คุณแม่กำลังงอนผม ผมรู้

“ไม่เอาสิครับคุณแม่ ไมน์ไม่ได้อยากกลับช้าเสียหน่อยนี่นา คุณแม่ก็รู้ว่าผมน่ะ รักกกกกกคุณแม่มากขนาดไหน” คุณแม่ค่อยหันมาหาผมช้า แล้วใช้สองมือหยิกแก้มของผมด้วยความหมั่นเขี้ยว

“ไหนคะ บอกแม่สิว่ารักแม่มากขนาดไหน” ผมยิ้มจนตาหยี ก่อนจะทำมือกว้างๆ อย่างเอาอกเอาใจ

“เท่าฟ้าเลยครับ ผมรักคุณแม่เท่าฟ้าเลยยยย” และนั่นก็ทำให้คุณแม่ของผมหัวเราะเสียยกใหญ่ เอาแต่บอกว่าผมไม่รู้จักโตทั้ง ๆ ที่อายุก็ไม่ใช่จะเด็กแล้ว แต่ถึงจะบ่นแบบนั้น คุณแม่กลับลูบศีรษะผมอย่างอ่อนโยน

นี่คือสิ่งที่ผมเองก็คิดถึง ความอบอุ่นของมือคู่นี้มันช่างชวนให้คิดถึงอยู่เสมอ

“โอ๊ะ! พี่มินนนนนน” ผมรีบลุกขึ้นทันทีที่เห็นพี่ชายคนเดียวเดินเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย แต่เมื่อได้ยินเสียงของผมและร่างของผมที่กำลังวิ่งถลาเข้าไปหา พี่มินก็เปลี่ยนสีหน้าแทบจะทันที เพราะตอนนี้นอกจากความดีใจ...ผมก็มองไม่เห้นอย่างอื่นอีกเลย

“ไมน์! ไอ้ตัวแสบ!”

หมับ

ผมโผเข้ากอดพี่มินจนแน่นโดยที่อีกฝ่ายเองก็ไม่ต่างกัน ความคิดถึงของผมและพี่ชายต่างก็มีมากพอ ๆ กัน เราสองคนจึงได้ต่างคนต่างก็ไม่มีใครอยากจะผละออกจากอ้อมกอดของกันและกันแบบนี้ พี่มินดึงผมออกช้า ๆ ใช้มือข้างขวาขยี้ลงบนผมของผมอย่างแรงจนมันยุ่งเหยิงไปหมด แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องอมยิ้มกลับเป็นรอยยิ้มของพี่มินเสียมากกว่า เพราะตอนนี้...พี่ชายของผมก็ยังไม่หุบยิ้มลงเลยด้วยซ้ำ

“อย่าสิพี่มิน ผมไมน์ยุ่งหมดแล้วนะ” ผมพยายามปัดป้องมือของพี่มินออกแต่ก็ไม่ได้จริงจังนัก พี่มินยิ่งเห็นผมทำท่าทีห่วงผมของตัวเองแบบนั้นก็ยิ่งลงมือแกล้งผมหนักยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังไม่ยอมเลิกขยี้หัวผมเสียที

“ทำไมเพิ่งจะกลับมา ไม่รู้หรือไงว่าพี่...” เป็นห่วง สองคำนี้ถูกพี่ชายของผมกลืนลงคอไป สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้น ยิ่งถูกมองก็ยิ่งเจ็บปวดในใจ

“ผมเอง...ก็อยากกลับมาครับ” อยากกลับมาใจจะขาด แต่ก็ทำไม่ได้

“แล้วทำไมไม่กลับมาล่ะ ทำไมถึงต้องรอให้เวลามันผ่านไปนานขนาดนี้ หนึ่งปีเชียวนะไมน์ ที่พี่ไม่ได้เจอ” ใช่แล้ว เวลาหนึ่งปีมันยาวนานสำหรับคนที่รอเสมอ ผมก้มหน้าลงซ่อนดวงตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดเอาไว้

“ผมแค่ยังไม่พร้อม ยังเข้มแข็งไม่มากพอถึงได้อยู่ต่อ” แค่เพราะหัวใจของผมยังไม่แข็งแรงมากพอ ผมถึงเลือกที่จะไม่กลับมาที่นี่ ทั้งที่รู้ดีว่า...มีคนเฝ้ารอผมอยู่มากแค่ไหน

“แล้วตอนนี้เข้มแข็งแล้วหรือ”

ผมส่ายหน้า แววตาฉ่ำรื้อไปด้วยหยาดน้ำใส ๆ ทั้งสองข้างมองพี่ชายอย่างเจ็บปวด ความเข้มแข็งไม่ได้มีมากขึ้นเลยสักนิด กลับกันหัวใจของกลับทวีความอ่อนแอลงมากขึ้นๆ ทุกวัน ความคิดถึงและโหยหาที่มาจากส่วนลึกของหัวใจ ยิ่งทำให้ผมไม่อาจจะทนอยู่ที่นั่นได้อีก

“ถ้าไม่ได้เข้มแข็งขึ้น แล้วทำไมถึงยอมกลับมาล่ะ”

“...” นั่นสิ ทำไมกันนะ ทำไมผมถึงยังกลับมาทั้งที่รู้ดีว่าตัวเองไม่ได้เข้มแข็งขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ผมแค่ยิ้มออกมาเพราะต้องการเยาะเย้ยตัวเองที่ทำไม่ได้

“ทำไมเราถึงตัดสินใจแล้วว่า...การกลับมาคงดีที่สุด”

“คงเพราะผมคิดถึงเขา คิดถึง...ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่าต่อให้กลับมาที่นี่แล้ว ก็ไม่สามารถจะไปเจอเขาได้อยู่ดี” ความทรมานจากความคิดถึงเป็นแบบนี้เอง ทั้ง ๆ ที่ปรารถนาจะไปพบ แต่ก็ทำได้แค่ห้ามตัวเองเอาไว้

มันช่างเป็นความทรมานที่ผมต้องกล้ำกลืนลงไปอย่างยากเย็น

“เอาล่ะๆ เลิกคิดมากได้แล้ว แบบนี้ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอกนะ” ผมฝนส่งยิ้มให้กับพี่มิน ไม่อยากใครเป็นห่วงกลัวว่าผมจะอยู่ไม่ได้หรืออะไรแบบนี้ แม้ว่าความจริงแล้วหัวใจผมมันกำลังทุกข์ทรมานกับความคิดถึงที่เป็นดั่งพิษร้ายคอยกัดกร่อนหัวใจผมไปอย่างช้า ๆ

สิ่งที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้ไม่ได้ต่างจากเมื่อหนึ่งปีก่อนในวันที่ผมเดินออกไปจากเขา ความเจ็บปวดทรมานไม่ได้ลดลงไปแม้แต่น้อย เวลาไม่ใช่สิ่งที่จะเยียวยาทุกอย่าง วันนี้ผมได้รับรู้ถึงมันแล้ว ความปวดร้าวในใจที่ไม่ได้ลดน้อยลงนั้น เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่ามันเสียเปล่า

หนึ่งปีที่ผ่านมาเป็นตัวพิสูจน์ให้ผมได้อย่างดี เพราะมันไม่เคยทำให้ผมเลิกคิดถึงดินแดนได้เลย ความเจ็บปวดที่มีในทุกครั้งที่คิดถึงเขา มันก็ยังคงตามมาหลอกหลอนอยู่ไม่เลือนหาย

“อยากรู้ข่าวไหมล่ะ ข่าวของคนคนนั้น” คำถามของพี่มินทำให้ตัวผมชะงักค้าง แข็งเกร็งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ข่าวของคนคนนั้นที่ว่า คือดินแดนสินะ พี่มินรู้ข่าวของดินแดนด้วยอย่างนั้นหรือ? ผมแปลกใจและคาดไม่ถึงว่าพี่ชายของผมจะถามผมออกมาแบบนี้

ผมได้แต่หันไปมองใบหน้าของพี่มินที่จับจ้องผมอยู่แต่แรกแล้วด้วยความไม่เข้าใจ แววตาของผมฉายความสับสนที่แสนว้าวุ่นออกมาอย่างไม่ปิดบัง ทั้ง ๆ ที่เจ็บปวด แต่ผมกลับไม่อาจปฏิเสธได้ว่านั่นคือสิ่งที่ผมต้องการจะรู้จริง ๆ

“ถ้าหาก...”

“หืม?”

“ถ้าหากว่าผมอยากรู้...พี่จะบอกผมหรือครับ”

ถ้าหากผมพูดออกไปว่าอยากฟัง ผมต้องการรู้เรื่องของดินแดนว่าเขายังสุขสบายดีหรือเปล่า เขา...มีความสุขอยู่ใช่ไหม พี่มินจะบอกผมงั้นหรือ? ถ้าผมพูดความต้องการในหัวใจของผมออกไป พี่ชายของผมคนนี้...จะยอมบอกมันกับผมงั้นหรือ ในเมื่อพี่มินไม่ต้องการให้ผมยุ่งเกี่ยวกับดินแดนอีก

“แล้วเราอยากรู้จริง ๆ หรือเปล่าล่ะ...” ผมก้มหน้าลง สายตาจับจ้องปลายเท้าของตัวเอง ถามตัวเองอยู่ในใจว่าควรรู้หรือเปล่า หากรู้แล้วผมจะยิ่งเจ็บช้ำกว่าเดิมไหม แล้วถ้าหาก...อยู่อย่างไม่รู้แบบนี้ ผมทรมานมากกว่าการที่ต้องรู้หรือเปล่า

คำถามของผมที่เฝ้าถามกับตัวเองนั้น มันไม่มีคำตอบอยู่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

เพราะงั้นผมถึงต้องเลือกมันเอง เลือกเองว่าจะฟังข่าวของคนที่ผมคิดถึงสุดหัวใจ หรือจะปล่อยไป ไม่รับรู้อะไรเกี่ยวกับเขาอีก...

“ว่าไงตัวแสบ อยากจะฟังหรือเปล่า ข่าวของผู้ชายคนนั้น” ผมเม้มริมฝีปากจนแน่น ไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรออกไปดีในเมื่อผมเองในตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่า ทางเลือกไหนที่เจ็บน้อยกว่า

“ถ้าผม ถ้าผมเลือกจะรู้ ผม...จะเจ็บกว่าการไม่รู้ไหมครับ” ผมเงยหน้าขึ้นถามพี่มินด้วยแววตาที่เจ็บปวดจนพี่ชายของผมผงะไป ก่อนจะถอนหายใจออก

“นี่คือสิ่งที่ไมน์จะต้องตัดสินใจ เลือก...ในสิ่งที่ตัวเองจะไม่เสียใจภายหลัง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

สิ่งที่จะทำให้ผมไม่เสียใจภายหลังงั้นหรือ ถ้าผมเลือกจะไม่รับรู้ข่าวสารของดินแดน ผมคง...ต้องทรมานใจจนไม่อาจจะมีความสุขได้ แต่ถ้าเลือกที่จะรู้ ผมเองก็กลัวว่าตัวเองจะเจ็บกับข่าวที่ได้รู้ แต่...อย่างน้อยมันก็เป็นความสบายใจว่า ในตอนนี้...ดินแดนมีความสุขดีแล้ว เขามีครอบครัวที่สมบูรณ์ไปแล้ว ผมอาจจะ...พอตัดใจได้บ้าง

“ผมอยากรู้ครับพี่มิน...” ผมสูดลมหายใจแล้วตัดสินใจเลือกหนทางนี้ออกไป

ดีแล้วล่ะ ดีแล้ว แม้ว่าอาจจะเจ็บ แต่ก็จะได้รู้ว่าเขาสบายดีหรือเปล่า

อย่างน้อยก็ได้รู้...

“ได้...ในเมื่อน้องชายของพี่อยากจะรู้ พี่ก็จะบอก”

ผมเม้มปากกำมือจนแน่น พยายามระงับหัวใจตัวเองไม่ให้มันเต้นแรงนัก พยายามควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติ ไม่ให้ร่างกายเกร็งจนเกินไปกับการรอฟังเรื่องของดินแดน

“ไอ้หมอนั่น ตอนนี้ได้ลูกชาย” ลูกชายหรือ ดี ดีแล้ว แบบนี้ดีแล้วล่ะ

“งะ งั้นหรือครับ” อา ทำไมหัวใจของผมมันถึงปวดหนึบแบบนี้กันนะ เด็กคนนั้นคงจะต้องเหมือนดินแดนแน่ ๆ คงจะต้องรูปหล่อเหมือนที่ดินแดนเป็น คงมีแววตาอ่อนโยนคล้ายพ่อของเขา

แต่ทำไมผมถึงได้...เจ็บปวดขนาดนี้กันล่ะ? ทำไมกัน

“ส่วนเมียของมัน...”

ผมกลั้นหายใจเมื่อได้ยินพี่มินกำลังจะพูดถึงใบบัว ความจริงผมก็เตรียมใจฟังมาบ้างแล้ว ถ้าต้องการจะรู้ข่าวของดินแดน ยังไงก็คงหนีไม่พ้นต้องฟังข่าวของเธอด้วยเช่นกัน

“พี่ได้ข่าวมาว่า หลังจากคลอดลูกได้สามสี่เดือนก็หอบเสื้อผ้า ทิ้งลูกทิ้งมันไปหาผัวใหม่แล้ว ตอนนี้เห็นควงๆ อยู่กับเสี่ยกำจร”

ทิ้ง! ทิ้งดินแดนกับเจ้าตัวเล็กหรือ? ได้อย่างไรกัน!

“แล้ว อึก! แล้วตอนนี้...” ตอนนี้ดินแดนเป็นยังไงบ้าง ลำบากมากหรือเปล่า เขา...เหนื่อยมากไหม ผมอยากจะถามออกไปมากมายนับร้อยพันคำ แต่สิ่งที่ออกมาจากปากของผมได้กลับไม่มีสักคำ ผมพูดไม่ออก มันทรมานใจแทนดินแดน ลูกยังเล็ก ดินแดนจะดูแลยังไงเพียงคนเดียว เขาจะได้พักผ่อนเพียงพอไหม ผม...ห่วงเขาเหลือเกิน

“ตอนนี้เป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว เลี้ยงลูกตัวคนเดียว”

ห่วง ผมห่วงเขาเหลือเกิน อยากไปหาเขา อยากพบเขา อยากดูแลเขา แต่ผม...ไม่มีสิทธิ์นั้น

ผมเสียสละ ยอมเดินออกมาจากพื้นที่มันเป็นของผม เสียสละให้เธอได้ยืนอยู่ตรงจุดนั้นเพื่อดูแลดินแดนและเด็กในท้อง แต่เธอกลับทอดทิ้งเขา ปล่อยให้เขาลำบากอยู่เพียงคนเดียวในการเลี้ยงลูก ถ้าเธอไม่รักเขา จะมาทวงสิทธิ์ที่ไม่อยากได้ไปเพื่ออะไรกัน

“แล้วที่บ้านดินแดนละครับพี่มิน ทั้งพี่อาณาเขต คุณอาสมภพ ไม่มีใครเลยหรือครับที่จะ...”

“รับกลับเข้าบ้านน่ะหรือ?”

“ครับ” ผมพยักหน้ารับคำ บีบมือของตัวเองเอาไว้อย่างปลอบโยนตัวเองไม่ให้ห่วงดินแดนมากจนเกินไป เพราะผมกลัวว่าตัวเองจะวิ่งออกไปตามหา และแย่งชิงหน้าที่การดูแลที่ไม่ใช่ของผมอีกแล้วกลับมา

“มีสิ แต่เจ้าตัวเองนั่นล่ะที่ไม่ยอมกลับ”

“...” พี่มินปรายตามองผมเล็กน้อยเพื่อดูปฏิกิริยาของผม

“และพี่เชื่อว่าไมน์คงรู้ดีใช่ไหม ว่าทำไมดินแดนถึงไม่ยอมกลับเข้าบ้านตัวเอง” รู้สิ ทำไมผมจะไม่รู้ล่ะ ในเมื่อทั้งหมดมันชัดเจนอยู่แล้ว ดินแดนไม่อยากให้ใบบัวกลับมาทวงตำแหน่งของความเป็นแม่ กลัวว่าเธอจะกลับมาในชีวิตอีกครั้ง ดินแดนชิงชังเธอ ผมเห็นมันอย่างชัดเจนในวันที่ผมเลือกเดินออกมา แต่ไม่คิดว่าในวันนี้ที่ผ่านมาหนึ่งปี เขา...จะยังคงรู้สึกเช่นเดิม

แล้วความรู้สึกที่มีให้ผมล่ะ จะยังเหมือนเดิมหรือเปล่า?

เรื่องนี้...ผมคงไม่สามารถถามพี่มินได้สินะ เพราะคนที่จะตอบมันได้มีเพียงแค่คนเดียว

นั่นคือ...ดินแดน





เอาให้สุดค่ะ ให้ทุกคนผิดหวังกับนิยายเรื่องนี้ให้มันสุดๆไปเลย หวังเพียงว่าจะมีคนเข้าใจสักนิดก็พอ ขอให้ทุกคนมองมันเป็นเพียงแค่นิยายนะคะ ขอให้มองเป็นหนึ่งมุมสะท้อนที่เอาไว้เตือนใจ หรือเป็นมุมมองที่เราอาจจะไม่มีวันเป้น หรืออาจจะเป็นได้ในสักวันหนึ่ง แต่แมวอยากให้ทุกคนรู้นะคะ ว่าตอนนี้เราอยู่ในมุมของที่เห้นทุกอย่าง รับรู้ว่าจิตใจของใครคนไหนเป้นแบบไหน แต่สำหรับตัวละครของแมวเป็นเหมือนคนหนึ่งคนที่ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าใครคิดอย่างไรในจิตใจ ความผิดพลาด การกระทำที่โง่เขลา ปัจจัยหลายๆอย่างมันเป็นตัวกำหนด ที่แมวจะบอกก็คือ ทุกอย่างมีเหตุและผลของมันในการกระทำนั้นๆค่ะ เข้าใจค่ะว่าผิดหวังกับมัน แต่อย่าเพิ่งทิ้งนิยายที่แมวลงมือสร้างเลยนะคะ พลีส

เป็นเจ้าของ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ความผิดพลาด อาจดูเหมือน สะเทือนจิต
การกระทำ ไม่ยั้งคิด ผิดมหันต์
มันกระทบ จุดจบตาม ความสัมพันธ์
ถึงดื้อรั้น มั่นใจหมาย ให้คลายลง

แต่จิตใจ มันเต็มเปี่ยม ด้วยเลือดเนื้อ
โดนแล่เถือ ซ้ำเกลือป่น จนผุยผง
ยากจะกลับ ให้คืนดี เหมือนใจจง
รังจะแต่ ดำดิ่งลง คงใกล้ตาย

เจ็บอะไรไม่เท่าเจ็บที่ใจ
และอยู่ที่ใครเป็นคนทำ

รักมากก็แค้นมากเว้ยยยยยย
ฮ่าฮ่า

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[24] (ฉบับเต็ม)



“You”

ผมเขี่ยข้าวในจานอย่างหมดอารมณ์ที่จะกินต่อ เหม่อมองออกไปนอกร้านอย่างไม่มีจุดหมาย คำพูดของพี่มินยังคงวนเวียนอยู่ในหัวผม คำพูดแล้วคำพูดเล่าไม่มีทางสลัดมันออกไปได้ไม่ว่าจะทำยังไง ในตอนนี้มีแต่ความห่วงใย คอยแต่คิดถึงความลำบากที่อาจจะเป็นไปได้ว่าดินแดนจะต้องพบเจอ

ผมได้แต่ถอนหายใจกับความคิดของตัวเอง อยากจะสลัดเรื่องของดินแดนออกไปจากหัว แต่ผมทำไม่ได้...

“เป็นอะไรวะ ไม่อร่อยหรือ?”

“อร่อยสิ” แค่กินไม่ลง

“แล้วทำไมมึงถึงได้เขี่ยข้าวแบบนั้นล่ะ” อนุรักษ์มองผมด้วยแววตาที่ไม่เข้าใจ แต่ผมเพียงก้มหน้าลงซ่อนแววตาที่ว้าวุ่นเอาไว้ไม่ให้เพื่อนรักคนเดียวของผมเห็น ยิ่งได้เห็น รักมันก็ยิ่งเป็นห่วง แบบนั้นมันเป็นการสร้างความกังวลใจให้กับคนอื่นเสียเปล่า ๆ ยิ่งเป็นคนที่ผมแคร์ ผมยิ่งไม่อยากให้มาเครียดไปกับตัวผมด้วย

แม้ว่าตัวผมเองจะกำลังคิดมากแค่ไหนก็ตาม ผมก็ไม่คิดจะให้ใครรับรู้

“กูแค่อิ่ม” แม้จะบอกไปแบบนั้นแต่ดูเหมือนอนุรักษ์ไม่ได้คิดจะเชื่อผมเลยสักนิด ผมขยับช้อนวางลงไปในที่สุด ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวสายตาที่จ้องจับผิดของมัน แต่ผมแค่...ไม่รู้ว่าจะถือมันไปทำไมในเมื่อผมไม่ได้คิดจะกินอะไรเข้าไปอีก อนุรักษ์เองเมื่อเห็นว่าผมวางช้อนลง ตัวเขาเองก็วางช้อนลงเช่นกันก่อนจะหันมาจ้องผมอย่างจริงจัง สายตากดดันผมอย่างทุกครั้งที่เขาต้องการเค้นเอาความหนักใจหรือเรื่องราวในใจที่ผมเก็บเอาไว้ไม่ยอมบอก

“ได้ อิ่มแล้วใช่ไหม?” ผมพยักหน้า มองเพื่อนตัวดีของผมยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม

อาหารที่เหลือเกินครึ่งตรงหน้า ยิ่งทำให้ผมสะท้านใจ อดคิดถึงดินแดนไม่ได้ ไม่รู้ว่าในตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง จะได้กินอิ่มนอนหลับเหมือนที่ผมเป็นหรือเปล่า แล้วลูกชายของดินแดนล่ะ? จะได้ทานอะไรหรือยัง มันคือความกังวลใจที่คอยแต่จะกัดกินและบั่นทอนจิตใจของผมลงไปเรื่อย ๆ

“งั้นตอนนี้ก็มาคุยกัน” ผมขมวดคิ้วเมื่ออนุรักษ์เอนตัวพิงกับเก้าอี้พร้อมกับสองแขนที่ยกขึ้นมากอดอกเอาไว้

“คุย? คุยเรื่องอะไรล่ะ?” รักไม่ยิ้มแม้แต่น้อย สายตาและท่าทางเต็มไปด้วยความจริงจังจนผมเริ่มใจไม่ดี

มีเรื่องอะไรหรือเปล่านะ ทำไมเพื่อนผมคนนี้จึงได้เคร่งเครียดแบบนี้

“มึงรู้แล้วสินะ เรื่องของดินแดน”

“...” ผมเงียบลงไปทันที ริมฝีปากที่ขยับยิ้มก็หุบลงทันตา สายตาหลุบลงมองขาของตัวเองแทนการสบตาไปตรง ๆ กับมัน

“มึงรู้เรื่องดินแดนด้วยหรือวะ?” ไม่ใช่การตอบคำถาม แต่เป็นการถามกลับไปเพราะความไม่เข้าใจมากกว่า

“ใช่ กูรู้เรื่องของดินแดนแล้ว” คำตอบของมันยิ่งทำให้ผมเม้มริมฝีปากของตัวเอง

“เมื่อไร? ตั้งแต่เมื่อไรวะรัก” ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มันรู้เรื่องนี้ ก่อนผมกลับมา หลังผมกลับมา หรือว่า...

“กูรู้มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว รู้มาตลอดเวลา”

มันรู้มาตลอด รู้มาตลอดว่าดินแดนเป็นยังไงบ้าง แต่ไม่คิดจะบอกผม มันยังหัวเราะ ยังยิ้มได้เหมือนทุกวันราวกับว่าไม่มีอะไร ทั้ง ๆ ที่ผมอยากจะรู้ข่าวของดินแดนใจแทบขาด แต่มันกลับไม่เคยบอกอะไรผมเลย

“ทำไม...” ผมไม่สามารถถามออกไปได้เต็มคำ เสียงที่เอ่ยถามทั้งแหบแห้งและเบาหวิว มันเจือไปด้วยความเสียใจที่ถูกอีกคนปิดบังเอาไว้

“เพราะกูไม่อยากให้มึงไปยุ่งกับมันอีกไงไมน์ มึงเห็นตัวเองไหม มึงต้องหนีไปเมืองนอกเพราะมันอยู่ที่นี่ เพราะมันกำลังมีครอบครัว ทั้งหมดนี่ก็เพราะมัน แล้วมึงจะให้กูบอกมึงอีกหรือ? เพื่อให้มึงต้องเจ็บซ้ำ ๆ แล้วก็ไปจากที่นี่อีกหรือไงวะ!” มันโกรธที่ผมไปอังกฤษสินะ โกรธที่ผมไปนานเกินกว่าที่คิดไว้ เพราะผมทิ้งมันใช่ไหม เพราะผมปล่อยให้มันเหงาใช่หรือเปล่า แต่เรื่องนี้มันก็ควรจะเข้าใจไม่ใช่หรือ ว่าผมเอง...ก็แค่อยากได้เวลา ไม่ใช่ว่าจะไปแล้วไม่กลับ

“กูขอโทษ ถ้าสิ่งที่กูเลือกหรือสิ่งที่กูทำมันทำให้มึงเสียใจ เสียความรู้สึก”

“เฮอะ!” อนุรักษ์แค่นเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ แน่นอนว่าผมเข้าใจดี มันจะโกรธก็คงไม่แปลก ผมกับมันรู้จักกันมานานขนาดไหน ยิ่งเป็นเพื่อนกันมานาน การที่ผมเลือกเดินไปในจุดที่ไม่มีมันย่อมน่าโมโหเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ผมเข้าใจดี

“แต่มึงไม่เข้าใจรัก มึงไม่เข้าใจกู ว่าสำหรับกูแล้วมึงคือเพื่อนที่กูรักมาก ๆ”

มากจนผมเองยังสามารถตายแทนมันได้

“แต่ดินแดนคือหัวใจของกู เป็นความรักและโลกทั้งใบที่กูมี มึงเข้าใจไหมรัก เข้าใจกูหรือเปล่า”

ผมไม่ใช่คนที่เห็นคนที่รักสำคัญกว่าสิ่งใด แต่การที่อนุรักษ์ตัดขาดผมออกจากสิ่งที่ผมอยากจะรู้ ก็ไม่ต่างจากการแย่งชิงอากาศที่ผมใช้หายใจไปจากผม ผมเห็นรักสำคัญเหมือนที่เห็นครอบครัวของผมสำคัญ แต่ความสำคัญไม่ได้หมายความว่าควรมาตัดสินในสิ่งที่ผมควรจะเลือกได้ เพราะงั้น...ผมจึงมองว่าคราวนี้อนุรักษ์ทำเกินไป แม้จะมาจากความหวังดีก็ตาม

“ชิ! กูจะพูดอะไรได้อีกล่ะ เฮอะ!” ท่าทางที่แสนงอนของอนุรักษ์ทำให้ผมหลุดยิ้มออกมา จากสีหน้าที่แสดงความไม่ยินยอม แต่การแสดงความขัดใจออกมาตรง ๆ แบบนี้ผมกลับคิดว่าเป็นความจริงใจที่ผมเห็นแล้วสบายใจมากกว่า อย่างน้อยรักมันก็เข้าใจแล้วว่าไม่ได้มีแค่ดินแดนที่สำคัญสำหรับผม เพราะตัวของรักเองก็สำคัญ

เป็นเพื่อนคนสำคัญคนเดียวของผม

“มึงคงสงสัย ทำไมกูถึงเลือกที่จะพามึงมากินข้าวที่นี่ ทั้งที่ทุกอย่างไม่ใช่ความชอบของกูและมึง” ผมสบตากับอนุรักษ์ที่จู่ ๆ ก็พูดเรื่องบรรยากาศ รสชาติ และความชอบขึ้นมา

“อา ก็ใช่ แต่ก็นึกว่ามึงอยากจะลองอะไรใหม่ๆ” ไม่ใช่หรอกหรือนี่ ถ้างั้นทำมันล่ะ

“เพราะที่นี่มีสิ่งที่มึงมองหา...” ผมมองตามสายตาของอนุรักษ์ไปยังนอกร้านแล้วก็ต้องเบิกตากว้างกับสิ่งที่ผมได้เห็น ภาพของใครคนหนึ่งที่แสนคุ้นตา ทว่าในตอนนี้เขากลับต่างออกไปจากเดิม คนที่ทำให้ผมปั่นป่วนหัวใจ ห่วงใยจนไม่สามารถข่มตานอนได้

“กูอาจจะปิดบังข่าวคราวของมันไม่ให้มึงได้รู้...”

คนที่เป็นเหมือนโลกทั้งใบของผม

“แต่กูจะเป็นคนพาโลกทั้งใบมากองเอาไว้ตรงหน้ามึงอีกครั้ง ให้มึงได้เลือกเองว่าจะอยู่ในโลกใบนั้นต่อ หรือจะเดินออกมาแล้วสร้างโลกใหม่”

“ฮึก...” ผมยกมือขึ้นมาปิดปากของตัวเองเพื่อไม่ให้เสียงร่ำไห้ต้องเล็ดลอดออกมา ปล่อยน้ำตาให้ไหลลงอาบแก้มทั้งสองยามที่มองภาพของคนที่ผมรัก หอบข้าวของมากมายทั้งที่อุ้มเด็กผู้ชายตัวน้อยคนหนึ่งเอาไว้ เสื้อผ้าหน้าผมที่ขาดการดูแล สีหน้าที่แสนอิดโรยชวนให้ผมปวดใจนั้น มันคือความคิดถึงที่สุดของหัวใจ

“ถึงเวลาที่มึงต้องเลือกแล้วนะไมน์ ว่าจะปล่อยมันไป...หรือจะไปกับมัน” ผมปาดความเปียกชื้นออกจากใบหน้า หันมามองใบหน้าของเพื่อนรักเพียงคนเดียวของผมอย่างเต็มตา ด้วยความรู้สึกที่สุขจนล้นใจ

ผมเลือกได้สินะ ถ้าอยากจะเลือกดินแดน ไม่เป็นไรใช่ไหมถ้าเราจะมีกันและกันอีกครั้ง

“ขอบคุณนะรัก ขอบคุณมาก ฮึก จริง ๆ”

ครั้งนี้ผมจะไม่ยอมปล่อยมือคู่นั้นให้ใครอีกแล้ว ขออีกครั้งให้เราได้อยู่ด้วยกันอย่างที่เราสองคนปรารถนา

อีกสักครั้งที่หัวใจของผมจะได้รับความสุขอย่างที่เคยเป็น ผมขอเห็นแก่ตัวสักครั้ง แค่ครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว

“แดน!!” ผมวิ่งออกมาจากร้านอาหาร วิ่งตามหลังเขามาก่อนจะส่งเสียงเรียกเขาเมื่อร่างของดินแดนล้มลงกับพื้นเพราะถูกรถคันหนึ่งพุ่งเข้าใส่ หัวใจของผมเหมือนจะหยุดเต้น ภาพของเขาที่โอบประคองร่างกายเล็ก ๆ ของเด็กผู้ชายคนนั้นอยู่มันบีบหัวใจของผมเหลือเกิน

“แดน แดน เป็นอะไรไหม เจ็บ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ความร้อนใจทำให้ผมรัวคำถามใส่เขาโดยไม่ได้มองเลยว่าเขาจะตกใจมากแค่ไหนที่ได้เจอผม สายตาของผมกวาดมองไปทั่วทั้งร่างของดินแดน มองหาบาดแผลที่อาจจะเกิดขึ้นได้ด้วยความเป็นห่วง

“ไมน์...”

“เดินยังไงวะ! อยากตายนักหรือไง!” เสียงที่เต็มไปด้วยความฉุนเฉียวดังขึ้นเมื่อคนที่ขับรถคันนั้นเดินออกมา ผมตวัดสายตาโกรธเกรี้ยวไปยังคนที่บังอาจทำร้ายดินแดน

“เดินยังไงหรือ มันต้องถามทางนั้นต่างหากว่าขับรถภาษาอะไร!” ผมตะคอกเสียงถามอย่างโมโห ทางนั้นขับรถไม่มองทางแล้วมีหน้ามายืนด่า เสียงข่มขวัญให้คนอื่นกลัว แบบนี้มันได้หรือไงกัน เสียงร้องของเด็กชายในอ้อมแขนของดินแดนยิ่งกระตุกหัวใจของผม พัดให้ความโกรธของผมยิ่งโหมกระพือมากขึ้นจนแทบจะถึงขีดสุด

“พูดบ้าอะไร ทางฉันน่ะขับรถมาดี ๆ มีแต่สองพ่อลูกนี่ต่างหากที่อยากจะตาย เดินมาให้ฉันชน เฮอะ! อยากตายก็ไปตายที่อื่นไป สกปรกรถฉันหมด”

สกปรกหรือ กล้าดียังไงกัน

“รถราคาไม่กี่แสน อย่าทำมาพูดดีเหมือนรวยล้นฟ้าดีกว่า เดี๋ยวจะอับอายเอาทีหลังนะ” เสียงของอนุรักษ์ที่ดังขึ้นมาดึงสติของผมได้ดี ผมปล่อยให้อนุรักษ์จัดการผู้ชายคนนั้น ส่วนตัวเองก็พยุงร่างของดินแดนขึ้นมา

“ไมน์ ไมน์จริง ๆ หรือ” ผมรู้สึกปวดใจเหลือเกินเมื่อได้ยินเสียงของดินแดนที่เต็มไปด้วยความดีใจ สับสน ไม่อยากจะเชื่อในสายตาตัวเอง ผมเม้มริมฝีปากแน่น กัดมันเอาไว้เพื่อสะกดกลั้นหยาดน้ำตาที่ใกล้จะไหลริน

“ไมน์เองแดน แดน ฮึก เป็นยังไงบ้าง” ไม่ไหว ผมไม่สามารถห้ามตัวเองได้ ผมคิดถึง โหยหาและรักเขาเหลือเกิน ความรู้สึกอันท่วมท้นล้นทะลักออกมาจนอาบสองแก้ม ร่างกายสั่นระริกจากแรงสะอื้น

“ไม่ ไม่เป็นไร ไมน์...อย่าร้องไห้สิครับ อย่าร้องไห้แบบนี้ หัวใจของผม มันทนมองไมน์ร้องไห้แบบนี้ไม่ได้หรอกนะ” น้ำเสียงของดินแดนยังคงเจือไปด้วยความรวดร้าวราวกับใจจะขาดลงเสียจริง ๆ กับการที่ต้องทนมองผมร้องไห้แบบนี้ แต่ผมคิดถึงเขา คิดถึงจนไม่อาจจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้

“ผมจะเอาเรื่องพวกคุณ! นี่คงเป็นขบวนการเดียวกันสินะ ที่คิดจะมาเรียกร้องค่าเสียหายล่ะสิ!”

ไอ้บ้านี่มันหลุดมาจากไหนถึงกล้าวางท่าทางใหญ่โตขนาดนี้

ผมโมโหจนแทบจะถลาเข้าไปชกหน้าและปากสั่ว ๆ นั่นให้มันได้เลือดออกมาล้างปากของมันเสียสักทีสองที แต่กลับถูกอนุรักษ์ดึงแขนของผมเอาไว้เสียก่อน

“ห้ามทำไมรัก มึงไม่เห็นมันพูดหรือวะ!” อารมณ์ของผมในตอนนี้มันเกินกว่าจะมานั่งห่วงหน้าตาของตัวเองอีกแล้ว

“รอก่อน นายด้วย รอก่อน รออีกเดี๋ยวรับรองว่านายได้ระบายอารมณ์อย่างดีแน่นอน”

“เฮอะ! ให้รออะไร นี่คิดจะพาพวกมาทำร้ายฉันล่ะสิ พวกอันธพาลเอ๊ย!”

“ไอ้...” ผมคิดจะด่าออกไปด้วยถ้อยคำที่แสนหยาบคาย แต่มือของอนุรักษ์กลับปิดปากของผมเอาไว้ ทำไมกัน จะต่อยมันผมก็ทำไม่ได้ จะด่ามันก็ยังทำไม่ได้อีก แบบนี้คือผมต้องอดทนอย่างเดียวหรือไง ผมไม่ใช่คนที่จะทนอะไรแบบนั้นหรอกนะ!

“รอก่อนไมน์ มึงรอก่อน กูเรียกมาแล้ว มึงรอสะใจได้เลย” ผมหยุดชะงักไปกับคำพูดของอนุรักษ์ ถ้าหากว่าเพื่อนผมพูดออกมาแบบนี้ นั่นหมายความว่ามีคนที่จะมาจัดการให้แล้ว แต่จะเป็นใครล่ะ พี่มินหรือ?

หรือว่าจะเป็น...

“นั่นไง มานั่นแล้ว” ผมหันไปมองตามสายตาของอนุรักษ์แล้วก็พบกับผู้ชายใส่สูทตัวหรูที่เนี้ยบทั้งแต่หัวจรดเท้า ทว่าแววตาของคนที่กำลังเดินเข้ามากลับชวนให้เสียวสันหลังวาบ

“พี่อาณาเขต!”

ไม่อยากจะเชื่อว่าพี่อาณาเขตจะมาด้วยตัวเอง แต่ที่ไม่อยากจะเชื่อยิ่งกว่าคือทำไมอนุรักษ์เพื่อนของผมถึงมีเบอร์ติดต่อพี่อาณาเขตด้วยล่ะ ไปสนิทหรือรู้จักกันตอนไหน

“นายหรือที่เป็นคนขับรถชน?” หมอนั่นไม่ได้สำนึกแม้แต่น้อย ไม่ได้รับรู้ถึงความน่ากลัวของพี่อาณาเขตเลยสักนิด เพราะเขายังเอาแต่แสดงสีหน้าว่าเหนือกว่าในทุกอย่างโดยไม่ได้มองอะไรเลย

“ใช่! คอยดูสิ ฉันจะฟ้องพวกแกให้หมดทุกคนเลย แล้วนี่อะไร ทนายงั้นหรือ เฮอะ!” นั่นสายตาหรือส้นเท้า มองลูกชายคนโตของคุณอาสมภพ โชติญาณกุลว่าเป็นทนายงั้นหรือ ถึงมันจะตลกมาก แต่ผมไม่กล้าขำหรอกครับ กลัวถูกฆ่าตายแบบหาศพไม่เจอ

“อุ๊บ ฮ่า ๆ ทนายสินะ ทนายสินะ ฮ่า ๆ” ผมหันไปมองคนข้างหลังของพี่อาณาเขตแล้วยิ่งตกใจ ทำไมพี่ชายของผมถึงมาด้วยล่ะ นี่ไม่ใช่เรื่องที่พี่มินจะต้องมาเลยนี่นา

“จะฟ้องใช่ไหม ใจกล้าดี ถ้างั้นก็เอานามบัตรนี่ไปนะ แล้วสั่งฟ้องให้ถูกชื่อด้วยล่ะ ฉันจะรอรับหมายเรียก” ทันทีที่ผู้ชายคนนั้นรับนามบัตรไป สีหน้าที่เคยหยิ่งผยองก็ซีดเผือด แข้งขาอ่อนลงจนต้องทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ก็สมควรแล้วล่ะ ตัวเองผิดที่ขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือเอง แต่กลับมาโทษดินแดนว่าเดินไม่ดูทาง หาว่าจะฆ่าตัวตายเพื่อทำให้รถสกปรก แค่นี้มันยังน้อยไป

“อะ อาณาเขต โชติญาณกุล” พี่เขตยิ้มเย็น สองมือล้วงกระเป๋าอย่างใจเย็น

“ใช่ ถ้าจำได้แล้วก็ช่วยส่งมาเร็วๆ ด้วยล่ะ หมายเรียกตัว” อีกฝ่ายหน้าซีดตัวสั่น มองมาที่ดินแดนสลับกับพี่อาณาเขตอย่างไม่เข้าใจ

“ทะ ทำไมต้องช่วยเขาด้วยล่ะครับ ก็เขาเดินไม่ดูทาง ผมไม่ได้อยากจะหาเรื่องเสียหน่อย” ไม่อยากจะหาเรื่องเสียหน่อยนี่คงหมายถึง ไม่ได้อยากจะมีเรื่องกับพี่อาณาเขตเสียหน่อยสินะ

“นั่นน้องชายฉัน ถ้านายจะฟ้องก็จดชื่อลงไปสิ ดินแดนโชติญาณกุล แต่ถึงจะจำไม่ได้ นายฟ้องฉันก็ได้นะ มันไม่ต่างกันนักหรอก” ความรวยที่เรืองไปด้วยอำนาจของพี่อาณาเขตเริ่มทำให้ผมรู้สึกเหม็นขี้หน้าขึ้นมาตุ ๆ เสียแล้วสิ ทำไมถึงได้อวดอ้างความรวยและอำนาจของตัวเองได้สมบูรณ์แบบขนาดนี้กันนะ

“นะ น้องชาย!” ดวงตาที่เคยมองเหยียดหยามดินแดนเบิกกว้างอย่างตกใจและคาดไม่ถึง

“ใช่ รีบๆ ไปแจ้งความดำเนินคดีเสียล่ะ ฉันว่างจนแทบจะรอรับหมายเรียกจากนายแทบไม่ไหวแล้วสิ” ความน่าหมั่นไส้นี้ผมควรรู้สึกยังไงกับมันดี

ผมไม่ได้สนใจผู้ชายคนนั้นอีก คนที่ผมให้ความสนใจในตอนนี้คือพี่มินกับพี่อาณาเขตมากกว่าว่าทำไมถึงมาที่นี่ได้ แต่พี่อาณาเขตไม่เท่าไร พี่มินพี่ชายของผมนะสิ มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

แต่ไม่ทันได้ถามอะไรให้หาคาใจ พี่อาณาเขตก็ลากพี่มินออกไปทั้งที่พี่ชายผมยังหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังไม่ยอมหยุด คล้ายกับว่าเป็นสิ่งที่กวนโมโหอีกฝ่ายได้ดีที่สุด ทิ้งผมและดินแดนกับอนุรักษ์ให้มองตามอย่างห้ามปราบอะไรไม่ได้ ผมจึงต้องหันไปมองหน้าเพื่อนรักของผมแทนว่ามันเกิดอะไรขึ้น

“โทษที กูเรียกพี่เขตมาเอง แต่พี่มินน่าจะอยู่ด้วยกันกับพี่เขตนะ ถึงมาด้วยกัน” สรุปแล้วคือสองคนนั้นมาด้วยกันสินะ ผมยังคงมึนและสับสนอยู่เล็กน้อย แต่ก็พอจะปล่อยมันไปก่อนได้ เรื่องพวกนี้คงถามกับเพื่อนผมไม่ได้ คงต้องไปถามกับพี่ชายของผมเองมากกว่าว่ามันเป็นยังไงกันแน่ ผมเห็นอนุรักษ์ยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลาแล้วมีสีหน้าเคร่งเครียด

“กูมีประชุมต่อ มึงจะเอาไง”

ผมหันมองดินแดนที่ก้มเก็บของทั้ง ๆ ที่ยังอุ้มลูกชายเอาไว้ในอกอย่างปวดใจ ผมไม่อยากจะปล่อยมืออีกแล้ว บางทีผมก็แค่หวังเอาไว้ว่าครั้งนี้มันจะไปได้สวย ทั้งผมและเขา ถ้าเราสองคนลองมันด้วยกันอีกครั้ง ทุกอย่างอาจจะดีขึ้นมาก็ได้ แค่อยากให้ครั้งนี้ ที่เราทั้งสองคนจะไม่ปล่อยมือออกจากกันอีกเป็นครั้งที่สาม

เมื่อตัดสินใจได้ผมจึงยิ้มแล้วหันไปหาอนุรักษ์ที่ยืนรอคำตอบของผมอยู่ จะไม่เสียใจอีกแล้ว ผมจะทำตามหัวใจของตัวเอง เพื่อที่หัวใจของผมจะได้ไม่เจ็บปวดอีก เพื่อให้โลกทั้งใบกลับมาเป็นโลกของเรา

“กูจะไปกับดินแดน มึงไปเถอะ ขอบใจมากนะ”

ขอบคุณที่พาโลกของผมมาวางไว้ตรงหน้า ของคุณที่ทำเพื่อผมมาตลอด

“เออ! กูขออย่างเดียว ช่วยอย่าหนีไปเมืองนอกอีกก็แล้วกัน กูไม่ได้รวยขนาดเอาเงินไปจองตั๋วได้บ่อย ๆ หรอกนะ” ผมหัวเราะกับคำพูดแดกดันและสายตาที่มองค้อนผมมาเสียวงใหญ่

“กูสัญญา”

สัญญาว่าถ้าครั้งนี้มันไปไม่รอด ผมจะไม่ทิ้งใครไปที่ไกล ๆ อีก จะรักษาแผลใจอยู่ที่นี่ ที่บ้านของผมเอง

ผมโบกมือส่งให้อนุรักษ์ไหวๆ แล้วหันมามองดินแดนข้างๆ กายผมอีกครั้ง ผมรู้สึกได้ถึงหัวใจที่พองฟูจนแน่นคับอก อาการตกหลุมรักเขาอีกครั้งมันช่างชวนให้หัวใจเต้นแรงเหลือเกิน แม้ว่าดินแดนในตอนนี้จะไม่ได้ดูดีเหมือนครั้งที่เราคบกัน แต่สำหรับผมแล้ว ดินแดนที่มีเด็กชายตัวน้อยที่สะอาดสะอ้านและตัวอ้วนกลมกลับน่ามองยิ่งกว่า

เพราะนั่นบอกผมได้ดีเลยว่า เขารักษาสัญญาที่ให้ไว้กับผม

สัญญาที่จะรักเด็กคนนี้ให้เท่าที่เขารักผม

“แดนจะไปไหนต่อหรือ?” ดินแดนมองของในมือครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมาบาง ๆ

“คงกลับห้องน่ะ เอาของพวกนี้ไปเก็บ”

“อะ อ๋อ”

แล้วผมควรพูดอะไรต่อดีล่ะ ห่างกันมาเกือบจะสองปีแบบนี้ผมเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มความสัมพันธ์ของเราจะตรงไหน ขอไปกับเขาหรือ แล้วถ้าเขาปฏิเสธล่ะ? ผมจะทำยังไง ต่อให้ตอนนี้นั้นดินแดนจะไม่มีใครอยู่ในชีวิตอีกแล้ว แต่เขาก็ยังมีเด็กชายคนนั้นในอ้อมแขนอยู่ เด็กผู้ชายที่หน้าตาเหมือนดินแดนไม่มีผิด ความอ่อนโยนที่ฉายออกมาจากดวงที่จับจ้องมาทางผม มันคุ้นเคยจนผมเองยังนึกเอ็นดู

“ไปด้วยกันไหมไมน์ ถ้าไม่รังเกียจว่าผมมีลูกติด ไปที่ห้องผมกับพวกเราได้ไหม”

ผมไม่เคยนึกรังเกียจ ไม่เคยเลยสักครั้ง ผมรู้ดีว่าตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับความลำบากมากมายขนาดไหน สีหน้าที่อิดโรยกับดวงตาที่เริ่มคล้ำลง มันยิ่งสะกิดใจของผมให้เกิดความรู้สึกผิด

ผิดที่หนีหายไป ไม่ยอมอยู่ที่นี่เพื่อช่วยเหลือเขาในเวลาที่เขาต้องการ

“เอ่อ ถ้าไมน์รังเกียจก็ไม่เป็นไร ผมแค่...”

“ไม่ใช่นะ! ไมน์ไม่ได้รังเกียจแดนนะ ฮึก แดนอย่า อย่าพูดแบบนี้สิ ฮืออ” เพราะผมรู้สึกผิดเหลือเกินที่ตัวเองทิ้งเขาไป ผมรักเขามากจนไม่อยากเขามองว่าผมในตอนนี้จะรังเกียจเดียดฉันท์เขาที่เป็นคุณพ่อลูกติด ผมไม่เคยรังเกียจเขากับลูกเลย ไม่มีเลยสักครั้งที่มันจะอยู่ในหัวของผม

ผมยังรักเขาและคิดถึงเขา ทุกวันนี้มีแต่รักและคิดถึงเท่านั้น

“ขอโทษนะ ผมจะไม่พูดแบบนั้นอีกแล้ว ไมน์อย่าร้องไห้อีกเลยนะครับ ผมปวดใจเหลือเกิน” ดินแดนรวบตัวผมเข้าไปกอดจนแน่น ผมรู้สึกได้ถึงความโหยหาที่สิ้นสุดลง มันอิ่มตัวจนไม่อยากจะได้สิ่งใดอีกแล้ว แต่ในระหว่างที่ผมซึมซับเอาความอบอุ่นจากดินแดน ผมกลับรู้สึกได้ถึงฝ่ามือเล็ก ๆ ที่เอื้อมออกมาแตะที่ไหล่ของผม

“อยากปลอบคุณอาหรือครับ โอ๋ๆ ลูกปะป๊าเก่งจังเลย” เสียงเย้าแหย่ของดินแดนที่มีให้กับเจ้าตัวน้อยมันช่างอบอุ่นเหลือเกิน

“ฮึก ลูกชายของแดนชื่ออะไรหรือ ไมน์ยังไม่รู้เลย” ดินแดนยิ้มกว้าง ใช้มือข้างหนึ่งเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของผมออกอย่างอ่อนโยน

“ยูครับ เด็กคนนี้ชื่อว่ายู ผมตั้งชื่อของเขา เพื่อไมน์ เพื่อย้ำเตือนเสมอว่าผมเป็นของใคร”







ไหนใครสงสารดินแดนกับน้องยูบ้างคะ เด็กน้อยตัวเล็กๆที่เกิดมาจากความโง่ของดินแดน เป้นผลกรรมที่อยู่ติดตัว ที่จริงเรื่องนี้แมววางเนื้อเรื่องการท้องและการที่ไมน์ยอมเดินออกมาเพื่อเป็นผลกรรมที่ทำให้ดินแดนต้องยอมรับสภาพ และเสียใจกับมันโดยไม่มีน้อง โดยที่คิดว่าจะไม่มีวันได้เจอน้องอีก ช่วยมองมันเป็นผลกรรมนะคะ มองมันเป็นเหตุผลของคนคนหนึ่งที่ตัดสินใจทำด้วยเหตุผลของตัวเอง มองตัวละครทุกตัวอย่างมีชีวิต เหมือนเขามีชีวิตอยู่จริงๆ ช่วยมองในมุมของดินแดนและไมน์ด้วยน้าาา 

เป็นเจ้าของ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
น้ำตาจะไหลอะ น่าสงสาร

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
และแล้วเราก็จะได้กลับมารักกันรอบที่ ที่ ที่เท่าไหร่นะ 55555 รักกันเป็นครอบครัวสุขสันต์ บราโว่~~  ก็พอจะรู้ว่าเชื่อคำพูดไมน์ไม่ได้ซักอย่างทำไม่ได้จริงอย่างที่พูดซักครั้ง เตรียมใจมาแล้วเลยไม่แปลกใจและไม่ได้อะไรมาก 55555 แค่อยากจะบอกว่าอย่าให้พวกเขาไปรักไปอยู่กับใครเลย อย่าแยกเขา เราเหมาะสมกันสุดแล้ว ไปๆช่วยกันเลี้ยงลูก ไปชงนมไป๊ 555555 อ่านแล้วสนุกดีเว้ย รอตอนต่อไป คุณพ่อไมน์คุณป๊าแดนแอนด์น้องยู (ฮ่าๆ)  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ kungverrycool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[25] ฉบับเต็ม


บทส่งท้าย

หลังจากลงจากแท็กซี่มา ผมก็เป็นฝ่ายดึงของมากมายที่ดินแดนถือเอาไว้มาถือมันเสียเอง เพื่อให้เขาได้อุ้มน้องยูได้อย่างถนัดถนี่ เด็กคนนั้นน่ารัก ส่งเสียงอ้อแอ้ราวกับกำลังพูดคุยกับคนเป็นพ่ออยู่ มันทำให้ผมอดยิ้มตามไม่ได้ สายตาที่ดินแดนมองลูกชายของตนเองอ่อนโยนกว่าสิ่งใดในโลกนี้ ปลายนิ้วที่เกลี่ยพวงแก้มยุ้ยสีชมพูนั้นแผ่วเบาราวปุยนุ่น คล้ายกลัวว่าผิวแก้มอันบอบบางของลูกนั้นจะเป็นรอย

น้องยูยิ้มและหัวเราะคิกคักทุกครั้งที่ดินแดนสัมผัส ผมมองแล้วกลับรู้สึกอุ่นวาบไปทั้งใจ ดินแดนรักเด็กคนนั้นจากใจจริง รักเหมือนที่คนเป็นพ่อทุกคนรักลูกของตัวเอง

ผมเดินเข้ามาที่ห้องของดินแดน กวาดสายตามองข้าวของมากมายที่ถูกใส่กล่องเอาไว้ไม่แกะออกมา มีเพียงของส่วนน้อยเท่านั้นที่ถูกจัดวางอยู่ ห้องที่เคยเต็มไปด้วยข้าวของมากมาย ตอนนี้มีเหลือเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น ดินแดนวางน้องยูลงบนเบาะที่มีคอกกั้นเด็กล้อมอยู่แล้วเดินมาหาผมเพื่อช่วยผมเก็บของ

“แดน ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวไมน์เก็บเอง แดนไปดูน้องยูเถอะ” ของแค่นี้ไม่ได้มากมายอะไร ที่จริงผมเองเก็บคนเดียวก็หมด

“ไม่เป็นไรหรอก ยูน่ะ...ลองได้อยู่บนเบาะตัวโปรดแล้ว ไม่มีทางคลานไปซนที่ไหนอีกแล้วล่ะ ให้ผมช่วยไมน์เถอะนะ” เมื่อดินแดนยืนยันแบบนั้นผมจึงไม่ขัดข้อง แบ่งข้าวของให้เขาได้จัดการด้วยตัวเอง

ผมกวาดตามองไปรอบห้องอย่างไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาเกือบสองปีนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่จะให้ถามตอนนี้ก็ดูจะไม่ใช่เวลาเท่าไหร่ ผมถอนสายตากลับมาแล้วเลือกเอาของสดบางส่วนใส่ไว้ในตู้เย็น พอหันกลับมาก็พบว่าของชิ้นอื่น ๆ ถูกดินแดนจัดเข้าที่จนหมดแล้ว ดินแดนเดินเข้ามาใกล้ผม จับมือของผมแล้วดึงให้เดินตามไปนั่งที่โซฟา

เราสองคนต่างก็สบตากันและกัน สื่อความรู้สึกกันผ่านทางสายตามากกว่าคำพูด ทั้งที่ผมเองก็มีมากมายหลากหลายอย่างที่อยากจะพูดคุยกับเขา แต่ก็ไม่สามารถพูดมันออกไปได้สักคำ ผมไม่รู้จะเริ่มตรงไหน เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร เราสองคนจึงได้แต่เงียบใส่กัน แต่บรรยากาศกลับไร้ความอึดอัดใจ

ครั้งหนึ่งมือคู่นี้ที่ผมได้จับ ผมยอมปล่อยมันเพื่อเด็กตัวน้อย...

วันนี้มือคู่นี้กลับมาจับกับผมอีกครั้งพร้อมกลับมือน้อย ๆ อีกคู่หนึ่ง ถ้าผมจะโลภมาก ไม่ยอมปล่อยไปเป็นครั้งที่สามคงจะเป็นไปได้ใช่ไหม

ผมคง...ไม่ผิดใช่ไหมที่อยากได้ทั้งสองคน

“ที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง แดนสบายดีใช่ไหม” น้ำเสียงของผมสั่นเครือ มันขื่นขมที่ต้องเดินจากเขาไป ไม่สามารถรับรู้ข่าวคราวของเขาได้

“ผมสบายดี อาจไม่เท่าที่เคยมีไมน์ แต่ผมก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็มียูอยู่ข้าง ๆ ให้ผมได้ดูแล” ผมเม้มริมฝีปากกับคำตอบของเขา มันดีเหลือเกินที่เขาสบายดี ดีเหลือเกินที่วันนี้ได้เจอกันอีกครั้ง

“ดีแล้ว แดนสบายดีก็ดีแล้ว” ดีแล้วที่ไม่เป็นไร ดีแล้วที่ดินแดนยังยิ้มได้แม้จะไม่มีผม

“ผมทำตามสัญญาแล้วนะไมน์” จู่ ๆ ดินแดนก็กระชับมือของผมแน่นขึ้น ใบหน้าที่อิดโรยเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มราวกับว่าสิ่งที่สู้อดทนมาบรรลุผลสำเร็จด้วยดีแล้ว

“สัญญาหรือแดน?”

“ใช่แล้วสัญญา สัญญาที่ผมให้ไว้ว่า จะรักยูให้เหมือนกับที่รักไมน์ ผมทำให้ไมน์แล้วนะ” หยาดน้ำตารื้ออยู่เต็มทั้งสองตา เขายังจำมันได้ คำสัญญาในวันที่เราทั้งสองต้องจากลา คำสัญญาที่ผมร้องขอต่อเขาเอาไว้ ว่าให้เขารักเด็กคนนี้ให้เท่ากับที่รักผม รักเขาให้เหมือนกับที่ดินแดนรักผม เขายังจำมันได้...

“อื้อ ไมน์เห็นแล้วล่ะ แดนทำได้ดีมากเลยนะ แดนเป็นพ่อที่ดีมากเลย” ยิ่งเห็นว่าน้องยูน่ารักและอารมณ์ดีมากแค่ไหน ผมก็ยิ่งรับรู้ได้ว่าดินแดนนั้นทั้งทุ่มเทและมอบความรักให้เจ้าตัวกลม ที่ตอนนี้คลานเล่นของเล่นอยู่อย่างสนุกสนานมากมายแค่ไหน

คำสัญญาครั้งหนึ่งที่เขาเคยพูดเอาไว้ครั้งหนึ่งว่าจะมีแค่ผมเพียงคนเดียวนั้น เขาทำมันไม่ได้ เขามีคนอื่นเข้ามาในชีวิตของเราสองคน และสุดท้ายก็จบลงด้วยการที่ผมต้องเจ็บและผิดหวัง แต่วันนี้...เขาพิสูจน์ให้ผมเห็นแล้วว่า ครั้งนี้เขาจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับผมอย่างแน่นอน

และเขาก็ทำมันได้สำเร็จ

“จะว่าไป ห้องแดนดูโล่งๆ นะ ไมน์จำได้ว่าของในห้องมีมากกว่านี้นี่” นาฬิกาที่ผมเคยซื้อเป็นของขวัญให้เขามันก็หายไป ทั้ง ๆ ที่ก่อนนี้มันเคยแขวนเอาไว้ให้เห็นได้ชัดแท้ ๆ ดินแดนถอนหายใจกับเรื่องที่ผมถาม ใบหน้าดูหมองหม่นจนน่าสงสาร

เกิดอะไรขึ้นกับเวลาที่ผ่านมากันนะ

“ไมน์อาจจะไม่รู้ แต่ผมตัดขาดความช่วยเหลือทุกอย่างกับคุณพ่อและพี่เขตไปแล้ว” จะว่าไปเรื่องนี้ผมรู้ รู้ตั้งแต่ก่อนจะไปอังกฤษด้วยซ้ำไป

แต่เหมือนว่าผมทำเป็นไม่รู้จะดีกว่าสินะ

“เหตุผลเพราะผมรู้ดีว่าใบบัวคาดหวังอะไรจากผม ผมจึงเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างลำบากลำบน ยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง” ผมบีบมือของดินแดนในระหว่างที่ฟังดินแดนเล่าด้วยสีหน้าเย้ยหยันที่ผมไม่รู้เลยว่ามีไว้ให้ตัวเองหรือใบบัวกันแน่ แต่ที่ผมรู้คือความรู้สึกที่ส่งผ่านมาทางน้ำเสียงนั้น มันช่างน่าเห็นใจเหลือเกิน

“แล้วผมก็คิดถูก ใบบัวเธอเริ่มแสดงออกถึงความไม่พอใจ เราทะเลาะกันบ่อยมาก แต่ผมไม่ได้ทะเลาะด้วยหรอกนะ ผมแค่ปล่อยให้เธอพูดของเธอไปจนกว่าเธอจะพอใจ”

“แล้วทุกอย่างมันดีขึ้นไหมแดน” เคยได้ยินว่าชีวิตคู่นั้นมาพร้อมกับความอดทน ในเมื่อฝ่ายหนึ่งร้อน อีกฝ่ายหนึ่งเย็น ทุกอย่างมันก็ควรจะจบลงด้วยดี ดินแดนส่ายหน้าให้กับผม แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่าย

“ไม่เลยไมน์ ไม่ว่าผมจะเงียบลงไปกี่ครั้ง อดทนต่อคำด่าทอของเธอมากเท่าไร มันก็เป็นเพียงการระบายความโกรธของเธอเท่านั้น”

ดินแดนหลับตาลงช้า ๆ ราวกับว่าเขาต้องการปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างออกไปจากร่างกายและหัวใจของเขา

“เมื่อเธอทนไม่ไหวกับการที่ต้องลำบากไปกับผม เธอก็ไป ผมดีใจที่เธอไปจากผม แต่ที่ดีใจยิ่งกว่าคือการที่เธอไม่หอบยูไปด้วย เพราะผมคิดว่าผมคง...อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีลูก และคงไม่มีหน้าไปเจอไมน์ได้อีก” ผมเอนตัวลงซบศีรษะลงที่ไหล่ของดินแดน จับมือของเขาเอาไว้จนแน่นไม่ยอมปล่อย ผมมีความสุข สุขที่เขานึกถึงลูกและผม ไม่ใช่ความรู้สึกผิดที่เกาะกินหัวใจ

“ไม่เป็นไรหรอกนะแดน ตอนนี้ไมน์อยู่นี่แล้ว น้องยูเองก็อยู่กับแดนนะ ไม่มีใครหายไปไหนทั้งนั้น”

ไม่ว่าจะเป็นผมหรือลูกของเขา พวกเราทั้งสองคนก็ยังอยู่ตรงนี้ ข้าง ๆ กายเขาไม่ไปไหน

“ไมน์...”

“หืม?”

“น้องยูเป็นลูกของแดนจริง ๆ ไมน์รับได้หรือเปล่า” ผมยกศีรษะขึ้น สบสายตากับเขาที่มีความกังวลอยู่เต็มหัวใจ

“ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะแดน” ดินแดนกลายเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองตั้งแต่เมื่อไรกัน

“ผมกลัวว่าน้องยูจะกลายเป็นความผิดที่มีตัวตน กลัวไมน์จะรังเกียจเพราะผม...นอกใจไมน์” จริงอยู่ที่น้องยูเป็นลูกชายของแดนกับผู้หญิงที่ทำให้ผมต้องกลายเป็นคนที่ต้องเดินออกมาจากคนที่ผมรัก แต่ผมรักดินแดน นั้นย่อมหมายความว่า ผมรักลูกชายของเขาด้วยเช่นกัน

เด็กคนนั้นน่าสงสารเหลือเกิน เกิดมาไม่ทันจะเท่าไร แม่ก็ทิ้งเขาไปอย่างไม่ไยดี แบบนี้ผมหรือจะสามารถเกลียดเขาได้ลง เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แม้ว่าการที่ผมถูกเขานอกใจนั้นจะเป็นความจริงก็ตาม แต่อดีตก็คืออดีต ไม่มีใครไม่เคยทำผิดพลาด มันขึ้นอยู่กับว่าคนที่ทำผิดไปนั้น เขาตั้งใจจะแก้ไขตัวเองบ้างหรือเปล่า แต่สำหรับดินแดนผมเห็นแล้วว่า เขาพร้อมจะชดใช้ความผิดให้ผมทุกอย่าง พร้อมจะแก้ไขตัวเองให้ดีขึ้นอย่างแน่นอน

อย่างน้อย ๆ ตอนนี้...เขาก็เป็นพ่อที่ดีของน้องยู นั่นก็ดีมากมายแล้ว

“ไม่เลย ไมน์ไม่เคยรังเกียจน้องยูเลยนะ ยังไงเขาก็คือลูกของแดน เป็นคนที่ไมน์ยอมหลีกทางเพื่อให้เขาเกิดมา”

เพราะเขาคือคำตอบสำคัญที่สุดในชีวิตของดินแดน เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของดินแดนครึ่งหนึ่ง มันก็ไม่ต่างกับตัวดินแดนเอง ผมรักดินแดน...แล้วผมจะเกลียดครึ่งหนึ่งของดินแดนอย่างยูได้ยังไง

“ถ้างั้นมันเป็นไปได้ไหม...”

“อะไรหรือ?” ดินแดนดึงมือทั้งสองข้างของผมขึ้นมากุมเอาไว้แน่น จรดริมฝีปากลงไปอย่างเชื่องช้า แตะสัมผัสที่ร้อนผ่าวลงบนหลังมือของผมเบาๆ

“ผมรักไมน์ ไม่เคยเปลี่ยนแปลงต่อให้เวลาจะผ่านไปอีกนานเท่าไร หัวใจของผมก็ยังเป็นของไมน์เสมอ”

ฝ่ามือของผมถูกดึงเอาไปวางลงที่แผ่นอกตรงตำแหน่งของหัวใจจนสามารถสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงอยู่ในร่างกายของดินแดน

“ถ้าหากไมน์ยังไม่มีใครและไม่รังเกียจคุณพ่อลูกอ่อนอย่างผม” ผมไม่เคยรังเกียจดินแดนสักครั้ง

“...”

“ช่วยมาเติมเต็มเราสองคนพ่อลูกได้ไหมครับ” ผมปรารถนาสุดหัวใจ ว่าเราจะมีวันนั้นด้วยกันได้มาตลอด

“...”

“มาเป็นคนรัก เป็นคุณพ่อของลูกชายผมอีกคนได้ไหม” สีหน้าของดินแดนเต็มไปด้วยความเว้าวอน ขอร้องให้ผมอย่าได้ปฏิเสธเขาอย่างใจร้าย

“...” น้ำตาของผมคลออยู่เต็มสองตา มันค่อยๆ ไหลรินเมื่อประโยคสุดท้ายถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความต้องการอันแรงกล้า

“มาอยู่โลกใบเดียวกันอีกครั้งได้ไหมครับ”

เป็นของกันและกัน มีเขามีผมและมีเจ้าหนูน้อย เป็นครอบครัวที่จะไม่มีใครมาพรากเราจากกันอีก ความสุขที่ผมเฝ้ารอคอยมานานในวันนี้มันได้เกิดขึ้นมาแล้ว ทางเลือกของผมไม่เคยมีคำว่าไม่มาตั้งแต่แรก สิ่งที่ผมอยากจะบอกเขาออกไปในตอนนี้คือ...

“ฮึก ครับ ฮือออ”

เนิ่นนานเหลือเกินกว่าจะสามารถมีวันนี้ได้ ความเจ็บปวดที่ผ่านมามันเทียบไม่ได้เลยกับความสุขที่ผมได้รับอยู่ในเวลานี้ เวลาที่พวกเรามีกันและกันนับจากนี้ไป











หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป...

“ฮึก แง้!!!!” ผมวิ่งวุ่นไปทั่วทั้งห้องพร้อมกับเสียงร้องไห้โวยวายของเจ้าตัวกลมในอ้อมแขนของดินแดน วันนี้น้องยูผิดปกติ ร้องไห้งอแงอย่างไม่มีสาเหตุขึ้นมา แม้ว่าดินแดนจะอุ้มขึ้นมาโยกตัวเบาๆ เพื่อกล่อมให้น้องหยุดร้อง แต่น้องก็ยังไม่ยอมหยุด กลับยิ่งร้องดังขึ้น ทั้ง ๆ ที่หนึ่งอาทิตย์กว่าๆ ที่ผ่านมา น้องยูยิ้มแย้มแจ่มใสแท้ๆ แต่ทำไมวันนี้ถึงได้ร้องไห้หนักขนาดนี้กันนะ

“แดน หรือน้องยูจะป่วย พาไปหาหมอดีไหม?” ผมพูดกับดินแดนทั้ง ๆ ที่อีกมือหนึ่งยังคงโบกเจ้าตุ๊กตาตัวโปรดไปมาเพื่อล่อหลอกให้น้องอารมณ์ดี

“ตัวก็ไม่ร้อนนะ ไม่น่าจะป่วย แดนว่าแกอาจจะงอแงเฉยๆ” ผมไม่รู้นะว่าคนมีลูกเขารู้สึกยังไงบ้าง หรือรู้ได้ยังว่าลูกป่วยหรือเปล่า แต่ผมตอนนี้กำลังลนลานเพราะไม่รู้ว่าอาการของน้องยูที่ร้องไห้อย่างหนักนั้นเกิดมาจากสาเหตุอะไร

ผมห่วงน้องยู รักแกเหมือนลูกแท้ๆ ของตัวเอง ยิ่งเห็นแกร้องไห้จนหน้าแดง ผมก็ยิ่งปวดใจ

“แต่น้องกำลังร้องไห้นะแดน” เพราะเด็กไม่สามารถพูดออกมาให้เรารู้ได้ว่าเขาเป็นอะไร สิ่งที่แกทำได้ก็มีแต่ร้องไห้เท่านั้น ถ้าแกไม่เจ็บ ไม่ปวด แกก็คงไม่งอแงแบบนี้

ทำยังไงดี ผมเองก็ไม่เคยมีลูกเสียด้วย ทำไงดีนะ ใครจะช่วยได้บ้าง

ไม่สิ คนที่เคยเลี้ยงลูกที่ผมรู้จักก็มีนี่นา คุณแม่ยังไงล่ะ!!

ผมตัดสินใจโทรออกไปยังเบอร์ของคุณแม่ทันทีโดยไม่คิดจะปรึกษาดินแดนก่อนแต่อย่างใด ยังไงเสียน้องยูก็ต้องมาก่อนอยู่แล้ว ปล่อยให้เด็กตัวน้อยร้องไห้ไม่หยุดจนหน้าตาแดงก่ำขนาดนี้ไม่ใช่ความคิดที่ดีแน่ ขนาดผมที่โตแล้วร้องไห้มากหน่อยยังปวดตา ปวดหัว คัดจมูก แล้วน้องยูจะไม่ทรมานยิ่งกว่าหรือ

รับแล้ว!

“คุณแม่ครับ”

(ไมน์ ตายจริง โทรหาแม่มีอะไรหรือเปล่าคะ หรือว่าเงินไม่พอ) ไม่ใช่สิ ทำไมการที่ผมโทรหาคุณแม่ถึงกลายเป็นการขอเงินไปได้ล่ะ ไม่ๆ ก่อนอื่นเรื่องของน้องยูสำคัญกว่า

“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ พอดีน้องยู ผมหมายถึงลูกชายของแดน แกเป็นอะไรไม่รู้ครับ เอาแต่ร้องไห้ใหญ่เลย” ผมกลัวว่าน้องจะเจ็บตรงไหนแล้วเราไม่รู้ กลัวว่าน้องจะเจ็บมากขึ้นทั้งที่เราได้แต่มอง

(ร้องงอแงหรือ เจ้าตัวน้อยหิวหรือเปล่าคะ?) ผมหันหน้าไปปรึกษาดินแดน แต่ดินแดนส่ายหน้าเพราะไม่ว่าจะนมหรืออะไรเขาก็ไม่กินทั้งนั้น

“ไม่น่าจะใช่นะครับ เขาไม่ยอมทานอะไรเลย”

(อืม ลองดูที่แพมเพิสหรือยังคะ น้องอาจจะรู้สึกเปียกชื้นไม่สบายตัวก็ได้นะ) ดินแดนที่ได้ยินก็จับแพมเพิสน้องอ้าออก สอดมือเข้าไปสัมผัสดูว่าเป็นอย่างที่คุณแม่ของผมบอกหรือเปล่า

“ไม่ครับคุณแม่ น้องไม่ได้เปียกหรือระคายอะไรเลย คุณแม่ครับ น้องเป็นอะไร” น้ำเสียงของผมร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด จนคุณแม่ต้องเอ่ยปลอบผม

(ใจเย็นๆ นะคะน้องไมน์ เดี๋ยวแม่คิดก่อน จริงสิ ลองเปลี่ยนคนอุ้มหรือยังคะ บางทีน้องอาจจะโยเยอยากให้คนอื่นอุ้ม อย่างตอนน้องไมน์ก็เหมือนกันนะคะ เวลาที่คุณแม่อุ้มบ่อยเกินไปแล้วตัวหนูอยากให้คุณพ่ออุ้มก็จะร้องไห้โยเยหนักมากเลยล่ะค่ะ)

“งั้นเดี๋ยวผมจะลองดูนะครับคุณแม่ แดนครับ ส่งน้องยูมาหาไมน์เถอะ” ผมส่งโทรศัพท์ของตัวเองให้ดินแดนแล้วรับน้องยูมาอุ้มเอาไว้แทน ไม่นานนักเสียงร้องไห้ที่ดังระงมก็เบาลงจนเหลือเพียงความเงียบ ดวงตากลมๆ ของเจ้าตัวน้อยมองผมตาแป๋ว ริมฝีปากระบายยิ้มน้อย ๆ แล้วเบียดซุกใบหน้าเข้ากับแผ่นอกของผม

มันอุ่นวาบไปทั้งหัวใจ รู้สึกเหมือนกับว่าโลกนี้ไม่มีอะไรสำคัญอีกแล้ว ผมเคยคิดว่าคนที่เขามีลูกเวลาได้อุ้มลูกของตัวเองเขาจะรู้สึกยังไงกันบ้าง เคยแต่จินตนาการไปแต่ไม่เคยคิดว่าจะได้พบกับตัวแบบนี้

วันนี้ผมได้รู้แล้ว ว่ามันสุขจนล้นใจ แม้ว่าน้องยูจะไม่ใช่ลูกของผม แต่ผมกลับรู้สึกได้ว่าแกเองก็รักผมเช่นกัน หัวใจของผมยิ่งกว่าพองฟู มันเต้นระรัวมากเหลือเกิน

“คุณแม่สวัสดีครับ ผมดินแดนนะครับ ดูเหมือนลูกชายของเราจะหยุดร้องแล้วล่ะครับ” ผมไม่ได้สนใจเลยว่าดินแดนจะเป็นฝ่ายพูดคุยกับแม่ของผมยังไง ในตอนนี้สายตาของผมมีแต่ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของน้องยู หูได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของเจ้าตัวกลมในอ้อมแขน

“ครับ ได้ครับคุณแม่”

ตากลมๆ รอยยิ้มแป้นๆ ที่น่ารักนี่มันช่าง...ชวนให้ผมหลงลืมแต่หายใจ

“ไมน์ ไมน์ครับ คุณแม่จะคุยด้วย”

ดินแดนส่งโทรศัพท์คืนมาให้กับผมแล้วดึงเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนของผมไป เจ้าตัวยุ่งขมวดคิ้ว ส่งเสียงฮือ ๆ อย่างขัดใจ สองมือก็ดึงรั้งเสื้อของผมไว้ไม่ยอมปล่อย

“ปล่อยก่อนสิครับยู อย่าดื้อสิ เดี๋ยวป๊ะป๋าพาไปเล่นของเล่นนะครับ” ดินแดนพยายามดึงตัวเองออกมาจากอกของผม แต่เจ้าตัวน้อยได้แต่ส่ายหน้า เบ้ปากราวกับจะร้องไห้อีกครั้งเมื่อถูกดินแดนดึงตัวออกไปจากผมได้สำเร็จ

“น้องยู เดี๋ยวไมน์มานะ อยู่กับป๊ะป๋าก่อนนะครับ แป๊บเดียวน้า”

“ฮึกก ฮึกก” ดูเหมือนเจ้าตัวยุ่งจะไม่ยอม มือป่ายๆ ได้แขนเสื้อผมก็กำเอาไว้แน่น ผมเองก็ไม่กล้าแกะ เพราะกลัวว่าน้องจะเจ็บ

“ฮัลโหลครับคุณแม่ น้องหยุดร้องแล้วครับ”

(คิกๆ ลูกของเรา~ แหม...แม่ฟังแล้วก็อดเขินแทนไม่ได้เลยนะคะ) ฟังคุณแม่พูดแซ็วแล้วผมเองก็อดเขินขึ้นมาไม่ได้ ใบหน้าจึงขึ้นสีระเรื่อ สองแก้มแดงก่ำจากความขวยเขิน

“คุณแม่ครับ!” เสียงหัวเราะของคุณแม่ยิ่งดังขึ้น ผมเหลือบตามองดินแดนที่ยิ้มกริ่ม กลับดวงตาของน้องยูที่จ้องมาตาแป๋วแล้วน่าตีจริง ๆ ทั้งสองคนเลย

(โอเคค่ะแม่ไม่แซวแล้วก็ได้ งั้นฟังแม่นะคะ) ผมถอนหายใจออกมา ปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติแล้วตั้งใจฟังสิ่งที่คุณแม่ของผมจะพูด

“ครับ”

(แม่คิดว่าเด็กคนนั้นคงโหยหาความรักความอบอุ่นของคนเป็นแม่ที่เขาขาดไป)

“...” ผมหลุบตาลงมองเจ้าแก้มแดงที่ยังไม่ยอมปล่อยมือไปจากผมแล้วก็อดสงสารแกไม่ได้ ต้องการความรักความอบอุ่นจากแม่ แต่แม่ของเด็กคนนี้กลับไม่เคยมาดูดำดูดีแกเลยสักครั้ง แล้วจะให้ไปหาความอบอุ่นจากที่ไหนมาให้กันล่ะ

(เพราะแบบนั้น เมื่อเห็นว่ามีบุคคลอื่นมาอยู่ในบ้านของเขา เขาเลยคิดว่า...นั่นคือแม่ของเขาไง)

“ครับ?” ผมกำลังอึ้งกับสิ่งที่ได้ยินออกมาจากปากของคุณแม่ อะไรคือคิดว่าคนแปลกหน้าคือแม่กัน

(ไมน์ลองคิดดูนะคะ ก่อนนี้น้องมีกันอยู่แค่สองคน คือดินแดนกับน้องใช่ไหม จากนั้นก็มีไมน์มาอยู่ มาคอยดูแลเขา เอาใจใส่เขา เขาจึงได้คิดว่า นี่คือคุณแม่ของเขา มาเติมเต็มความโหยหาที่เขาไม่มีไงคะ หนูเข้าใจหรือเปล่าคะลูก)

“แต่ คุณแม่ครับ” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ผมไม่ใช่นี่นา การสมอ้างตามความเข้าใจของเด็กแบบนี้ ฝ่ายที่จะเจ็บในวันที่น้องรู้ความจริงมันเป็นผมนะครับ ไม่ใช่ใคร

(แม่เข้าใจนะคะไมน์ แต่ลูกจะปล่อยให้เด็กคนนี้ ขาดความรักต่อไปหรือคะ? ลูกจะใจร้ายดึงมือของเขาออกในเวลาที่เขากอดลูกหรือคะ?) ผมหลับตาลงนึกภาพตามที่คุณแม่บอก

ถ้าหากน้องกอดผมเอาไว้แล้วผมต้องดึงมือน้องออก น้องก็จะต้องเสียใจ จะต้องร้องไห้เพราะผม

ผมรู้สึกได้ว่าหัวใจของตัวเองบีบรัดแน่น ถูกความเจ็บปวดกระแทกเข้ามากลางหัวใจอย่างจังจนแทบจะประคองสติเอาไว้ไม่ได้ ผมจะทำแบบนั้นได้ยังไงกัน จะทำร้ายหัวใจของเด็กคนนั้นได้ยังไง ผมทำไม่ได้หรอก

“ผม ผมทำไม่ได้ครับคุณแม่”

(ดีแล้วค่ะที่ไมน์ทำไม่ได้ นั่นหมายความว่าลูกของแม่อ่อนโยนและเห็นอกเห็นใจ มีความรักที่เต็มหัวใจอยู่ เพราะงั้น...คงไม่มากมายอะไรใช่ไหมคะ ถ้าลูกจะแบ่งมันให้กับเด็กคนนั้นบ้าง)

“แล้วถ้าวันหนึ่งเขาเกิดรู้ขึ้นมา...” ว่าผมไม่ใช่แม่ของเขา เป็นเพียงคนที่ฉกฉวยเอาที่ยืนตรงนี้มา เขาจะเกลียดผมหรือเปล่า

(น้องไมน์คะ เด็กน่ะ บริสุทธิ์นะคะลูก ถ้าเรารักเขาอย่างบริสุทธิ์ใจ ยังไงเขาก็ไม่มีทางมองเราเป็นอย่างอื่นหรอกค่ะ นอกจากคนที่รักเขา) ผมยิ้มออกมาในที่สุด วางฝ่ามือลงบนศีรษะเล็ก ๆ ของน้องยูที่ตอนนี้ยังคงมองผมไม่วางตา

“ผมเข้าใจแล้วครับคุณแม่ ขอบคุณมากนะครับ”

ขอบคุณที่รักผม ที่เลี้ยงผมมาได้ดีขนาดนี้ ขอบคุณที่คอยอยู่เคียงข้างเสมอ ขอบคุณครับที่ทำให้ผมได้มีโอกาสเป็นลูกของแม่

(จ้า ยังไงก็พาหลานมาหาแม่บ้างนะคะ แม่อยากเห็นเสียแล้วสิ) ผมอดหัวเราะไม่ได้กับคำหยอกเย้าของคุณแม่

“ได้สิครับ ไว้ผมจะพาดินแดนกับลูกไปเยี่ยมนะครับ สวัสดีครับ” ผมวางสายไปด้วยหัวใจที่เต็มล้นไปด้วยความรู้สึกที่ยินดี ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมน้องยูถึงเอาแต่จ้องผมอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ผมพาตัวเองเข้ามาในดินแดนที่เป้ยของเขากับแดน หรือแม้แต่ตอนนี้ เป็นเพราะเขากำลังสงสัย ว่าผมจะใช่...แม่ของเขาหรือเปล่า

แต่ถึงผมจะไม่ใช่ แต่ผมยินดีจะมอบความรักให้เขาเช่นเดียวกับดินแดน จะไม่ปล่อยให้เขารู้สึกว่าขาดความรักไปแม้แต่น้อย

เพราะผมเองก็รักเขาไม่น้อยไปกว่าใคร

“มาหาไมน์ไหมครับยู ไมน์อุ้มดีไหม?” ผมตบมือแปะๆ เป็นการลองเชิงว่าเจ้าตัวน้อยจะมาหรือเปล่า แต่เจ้าตัวอ้วนกลับตาโต รีบตะกายตัวของผู้เป็นพ่อมาหาผมอย่างรวดเร็ว

“แอ้ มา มา”

ผมชะงักค้างกลางอากาศ รู้สึกเหมือนถูกน้องเรียกชื่อ หรือว่าผมมโนไปเอง?

“มามะๆ ไมน์อุ้มน้าคนเก่ง”

“คิกกก มามา คิกๆ มา” โอ้ย ผมรู้สึกเหมือนหัวใจจะเต้นแรงขึ้นมาอีกแล้ว ยิ้มจนแก้มแทบจะปริเมื่อเจ้าตัวกลมกอดคอผมแน่น โดนผมซุกหน้าเข้ากับซอกคอจนหัวเราะคิกคักเป็นการใหญ่

“นี่โดนเรียกชื่อ หรือเรียกหม่าม้ากันนะ ผมเริ่มไม่แน่ใจแทนไมน์แล้วสิ” ผมมองค้อนใส่ดินแดนที่แซ็วอะไรน่าอายแบบนี้ออกมา

ผมเล่นกับน้องยูจนเจ้าตัวตาปรือลง เห็นได้ชัดว่าง่วงนอนจนแทบจะทนไม่ไหว แต่สองมือกลับยังกำเสื้อของผมเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าผมจะหายไป ผมเองก็เสียพลังงานไปมาก ยิ่งเมื่อเจ้าตัวยุ่งเริ่มส่งเสียงครางเบาๆ ราวกับเพลงขับกล่องมันยิ่งทำให้ผมอดง่วงตามไม่ได้

ดินแดนโอบผมเข้าไปให้เอนตัวพิงกับอกของเขา ในขณะที่น้องยูยังคงนอนลงซุกอยู่กับอกของผมมันจึงกลายเป็นเราสองคนถูกดินแดนกอดเอาไว้ทั้งคู่ ดินแดนโยกตัวเบาๆ เพื่อกล่อมให้น้องยูได้เข้าสู่ห้วงนิทราและกล่อมตัวผมไปพริ้มๆ กัน ผมรู้สึกถึงริมฝีปากของดินแดนที่กดจูบลงมาที่ศีรษะ มือข้างหนึ่งลูบแขนของผมเบา ๆ จนผมรู้สึกเบาสบาย จวบจนเมื่อผมใกล้เข้าสู่ห้วงของนิทรา กลับได้ยินเสียงที่ดังมาใกล้ ๆ แต่คล้ายจะไกลแสนไกล

“ขอบคุณที่มาเป็นโลกทั้งใบของพวกเรานะครับไมน์”

และคำพูดนั้นก็ทำให้ผมระบายยิ้มออกมาพร้อมกับฝันดี






The End





ขอบคุณที่มาเป็นโลกทั้งใบของพวกเรา กรี๊ดดดดด แมวเขินนนนน ว่าแต่ว่า...น้องเรียกอะไรคะลูก หม่าหม้าหรือไมน์ไมน์ บทสรุปของนิยายเรื่องนี้ออกมาแล้ว สำหรับแมว แมวว่ามันสวยงามในแบบของมันและลงตัวมากที่สุดแล้วค่ะ แต่ก็อาจจะมีคนคิดต่างออกไป ซึ่งแมวเข้าใจนะคะว่าดินแดนอาจจะเลวระยำมากไปจนไม่มีใครอยากให้นางไม่ต้องพบเจอความสุข 555 ไม่ว่ากันค้าาาา ถ้าหากแมวแต่งเรื่องใหม่จบ จะมาลงให้อ่านอีกน้าาาา 

เป็นเจ้าของ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
จบบริบูรณ์ แฮปปี้ครอบครัวสุขสันต์กันถ้วนหน้า อะจ้าาา 555 ดีแล้ว เออ!!มารักมาอยู่ด้วยกันให้มันจบๆเสร็จเรื่องสิ้นราวสักทีเถอะ รอวันนี้มานาน คลาดกันมาหลายรอบละ ปักหลักละนะทีนี้ 555555 ขอบคุณนะคะที่แต่งจบจน แต่งเก่ง ยอมรับ แม้เราจะชอบประชดตัวละครก็เถอะ เพราะอินไง 5555 รอตามผลงานหน้าแน่นอนจ้า  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ kungverrycool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 โอ๊ย.......อยากมีลูก555
ขอบคุรสำหรับนิยายค่า
 :กอด1:

ออฟไลน์ tong_pub

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 356
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-5
อ่านถึงบทที่5ที่นายเอกเข้ารพ. ก็คือเหมือนคนเขียนต้องการขยี้ปมดึงคนอ่านให้ดำดิ่งกับความดราม่าของนายเอก พยายามขยี้ๆเข้าไปเพื่อให้รอดูว่าต่อไปพระเอกจะทำยังไง เข้าใจนะคะ แต่ก็แบบ...เห้อ เออ ชีวิตจริงมันก็มีคนแบบนี้อยู่จริง ขอไปอ่านต่อก่อน ถ้าอ่านจบจะมาเม้นเพิ่มนะคะ

น้องมูฟออนแล้ว จะรอดูเหตุผลของคนเลวนะคะ หวังว่าคนเขียนจะหาเหตุผลมาซัพพอร์ตเขาได้มากพอ


-------------------------------------------------
อ่านจบแล้ว อ่านไปก็ท่องไว้ในใจว่าชีวิตนี้เคยเจอคนที่บูชาความรักแบบไมน์
แต่คนที่เราเจอในชีวิตจริงเขามีเหตุผลซัพพอร์ตว่าทำไมเขาถึงรักคนที่ทำร้ายจิตใจเขาได้มากขนาดนี้ นั่นเพราะตัวเขาไม่เคยได้รับความรักจากครอบครัวเลย เขาไม่เคยได้รับความอบอุ่น การดูแลเอาใจใส่ การปกป้อง ความห่วงใยที่มาในรูปแบบนี้เขาเลยลงรักลงหัวใจไปกับใครอีกคนหนักมาก อันนี้เลยเข้าใจได้ จนตอนนี้เขาก็ยังมูฟออนออกมาแบบ100%ไม่ได้ เพราะใครคนนั้นหลอกให้เขาหลงรักจมอยู่กับความจอมปลอมที่สร้างขึ้นมา เราก็ได้แต่เอาใจช่วยอยู่ห่างๆ

ซึ่งต่างจากไมน์ ดินแดนเข้ามาหาไมน์ในวันที่ไมน์โดนกระทำ(?) แต่ไมน์มีเบื้องหลังทางครอบครัวดีมาก พ่อแม่รัก พี่ก็รัก คือครอบครัวคนรวยที่ดูอบอุ่นครอบครัวหนึ่งเลย แต่ไมน์กลับโหยหามันทั้งหมดจากดินแดน(อันนี้ไม่เข้าใจ) รักครั้งนี้ของไมน์เริ่มจาก  100 ไป 1000 เพราะไมน์รู้สึกกับดินแดนก่อน แล้วพยายามพาตัวเองเข้าไปหาดินแดนจนท้ายสุดก็คบกัน

ตลอด3ปีที่เขาคบกันมาอันนี้สงสัยเป็นอย่างมากว่าทำไมต่างฝ่ายต่างไม่รู้จักเบื้องหลังกันและกันเลย สามปีนั้นเขตหายไปไหนในเมื่อไมน์ก็รู้จักว่าครอบครัวดินแดนทำอะไร ส่วนดินแดนคนเราจะไม่สงสัยว่าพ่อแม่ของคนที่เราคบด้วยคือใครเลยเหรอ สามปีเลยนะ แล้วนามสกุลอีก ไหนว่าไมน์เป็นนามสกุลดังเป็นคนรวยอันดับต้นๆ ตัวเองเป็นถึงผู้บริหารทำไมถึงไม่รู้ทั้งที่อยู่ในวงการเดียวเดียว อันนี้คือส่วนที่ เอ๊ะ! มากๆ

ต่อมาเรื่องตำแหน่งดินแดนซึ่งเป็นที่มาของคำว่าอิหยังวะในตัวพระเอกที่สุด ดินแดนมีใบบัวเป็นเลขาใช่มั้ย แต่กลับให่เลขายืนแสดงกิริยาไม่ดีใส่ตนเองต่อหน้าลูกน้องเนี่ยนะ แถมพ่อก็ยืนอยู่ตรงนั้น ซึ่งมันพลาดมากกับการจัดการอะไรแบบนี้ แสดงว่าเขาไม่มีอำนาจจัดการอะไรได้เลย ตำแหน่งผู้บริหารที่ได้มาเลยดูไม่น่าเชื่อถือ ส่วนเรื่องที่มีเม้นว่าทำไมไม่ย้ายงานของใบบัวเสียอันนั้นเห็นด้วยมากๆ การกระทำของดินแดนไม่ใช่คนดีตั้งแต่แรกถ้าจะโยกย้ายงานของใบบัวก็ได้นี่ แต่ไม่ทำเพราะอะไร คำตอบก็เหมือนเดิม เพราะอำนาจในตำแหน่งดูไม่มั่นคงเลย

ส่วนใบบัว คนแต่งปูทางมาให้ผู้หญิงในเรื่องดูร้ายมากๆ ปูมาเพื่อให้คนอ่านอย่างเรารู้สึกได้ว่าข้อผิดพลาดมันไม่ได้ผิดที่พระเอกฝ่ายเดียวแต่เป็นตัวนางร้ายที่ทำตัวเองด้วย เหมือนเป็นตัวช่วยคลี่คลายการขยี้ปมความเสียใจ การนอกใจ การมามีอะไรกับแฟนตอนเมาแต่เรียกชื่อผู้หญิงคนอื่นมันดูซอฟต์ลง ซึ่งเราไม่รู้สึกคล้อยตามเพราะยังไงคนผิดในเรื่องนี้คือดินแดนเต็มๆ

ทั้งเรื่องที่อ่านมาเลยรู้สึกว่าคนที่สูญเสียและต้องวิ่งตามทุกอย่างคือไมน์ อาจเพราะได้อ่านแค่มุมมองฝั่งไมน์เป็นส่วยใหญ่ด้วยมั้ง ถึงแม้จะมีมุมมองของดินแดนเสริมมาแต่ก็ไม่รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้สูญเสียอะไร การที่มาง้อมาขอคืนดีก็ไม่รู้สึกว่าการกระทำของดินแดนมันควรค่าแก่การให้อภัยแล้ว แต่ก็อย่างว่าไมน์รักและเทิดทูนบูชาความรักขนาดนี้ ต่อให้ดินแดนทำเลวกว่านี้ไมน์ก็ให้อภัยได้

มีอีกหลายอย่างที่อยากแสดงความเห็นแต่มันตีกันไปหมดจนได้แค่ถอนหายใจ นี่คืองานเขียนที่คนแต่งต้องการสร้างมาเราอยู่ในมุมผู้เสพก็ทำอะไรไม่ได้ ก็ได้แค่ทำความเข้าใจกับตัวนิยายและตัวละครที่คนเขียนต้องการสื่อ ทำให้ต้องกลับมาคิดซ้ำว่า ชื่อเรื่อง 'เป็นเจ้าของ' นี่หมายความว่ายังไง

ไมน์เป็นเจ้าของดินแดน ในที่นี่ตอนแรกเหมือนจะแค่กล่อมตัวเองไปเรื่อยๆว่าตัวเองคือเจ้าของผู้ชายคนนี้ ทั้งที่ดินแดนนั้นไม่เคยทำตัวเป็นของไมน์เลย
ส่วนดินแดนในตอนหลังพยายามทำตัวให้ตัวเองถูกเป็นเจ้าของโดยไมน์ ก็ไม่รู้สึกว่าควรถูกครอบครองอยู่ดีเพราะชนักที่ติดหลังมันใหญ่หลวงมากนะสำหรับคนนอกอย่างเรา

สุดท้ายก็คือขอบคุณที่คนแต่งเลือกจะเอามาลงให้เราได้เสพงานเขียนนะคะ ในเรื่องของสำนวนภาษาอ่านแล้วเข้าใจง่ายค่ะ คำผิดมีอยู่บ้างแต่ก็ไม่เยอะจนถึงกับขัดอารมณ์เวลาอ่าน และขอชื่นชมในความตั้งใจในการแต่งนิยายเรื่องนี้
ขอบคุณค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-05-2020 06:54:46 โดย tong_pub »

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
     
แจ้งข่าวค่ะ แทนคำขอบคุณ
[/b]

สวัสดีค่ะทุกคน หลังจากที่นิยายเรื่องนี้จบ แมวก็ได้กลับมาอ่านคอมเม้นต่างๆแล้ว รุ้สึกขอบคุณทุกคนมากๆที่สนใจในนิยาย ไม่ว่าจะถูกใจก็ดี ไม่ถูกใจก็ดี และแมวได้เห็นถึงความเห้นหลายๆความเห็นที่ยอมรับกับการตัดสินใจในเนื้อเรื่องตอนจบของแมว แมวจึงขอมอบคำขอบคุณให้แก่ทุกคนด้วยการ...

แต่งตอนจบออกมาสองแบบ

ใช่แล้วค่ะ ตอนจบแบบแรกนั้นแมวได้ลงให้อ่านไปแล้ว แต่สำหรับใครที่ เกลียดนังแดน เกลียดนังใบบัว จนไม่สามารถยอมรับให้เขากลับมาอยู่ด้วยกันได้ แมวจึงได้แต่งตอนจบแบบพิเศษ นั่นคือ Bad End นั่นเอง แต่แมวจะไม่ลงในหน้านิยายนะคะ ตอนจบแบบพิเศษจะลงในเพจของแมวเท่านั้น ใครที่สนใจสามารถกดเข้าไปอ่านในเพจได้เลยนะคะ แต่ก่อนไปอ่าน แมวอยากให้ทุกคนอ่านตอนที่ 22 อีกครั้ง เพราะตอนจบพิเศษของแมว จะเริ่มตั้งแต่ตอนที่23 เป็นต้นไปค่ะ 

ขอบคุณสำหรับการติดตามด่า(ตัวละคร) และชื่นชม(ตัวละครและแมว)มากๆนะคะ นี่เป็นของขวัญเพียงอย่างเดียวที่แมวจะให้ทุกคนได้ หวังว่าเราทั้งสองฝ่าย (มีไหม) จะสุขไปกับนิยายเรื่องนี้น้าาาาา

ปล. จะเริ่มลงทีละตอนช่วงเย็นนะคะ


https://www.facebook.com/PassionateFiction




 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด