[16] 50%
ความพยายามของดินแดน
เสื้อผ้าที่ดูหรูหราของผู้คนในงานมันชวนให้ผมรู้สึกไม่ต่างจากสี่ปีก่อน งานเลี้ยงหรูหรา การพบปะพูดคุยกันของคนที่มีหน้ามีตาที่ทุกคนต่างก็สวมหน้ากากเข้าหากัน เสียงเพลงคลอเบาๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะจากใครหลายๆ คนไม่ไกลไปจากจุดที่ผมยืน
ผมแกว่งน้ำสีฟ้าในมือเล่นอย่างเบื่อหน่าย ใช้สายตาโฟกัสไปที่การกระเพื่อมของน้ำสีสวยในมือเสียมากกว่ารอบข้าง บรรยากาศอันคุ้นเคยที่ผมมักเจอมาตลอดเวลาที่คุณพ่อคุณแม่หรือพี่มินต้องออกงานสังคม ผมก็มักจะถูกติดสอยห้อยตามมาด้วยเสมอ ลูกชายลูกสาวของเหล่าสังคมไฮโซ ผมพบเจอมาจนแทบจะเอียนด้วยซ้ำ มีออกจะหลายครั้งที่ผมถูกคุณแม่พาไปพบ แนะนำให้ได้รู้จักกับลูกสาวเพื่อนๆ ของท่าน เพียงแต่ผมที่ยังไม่พบกับดินแดน ยังไม่มีใครครอบครองหัวใจนั้น แน่นอนว่าต้องลองเดทกับพวกเธอเป็นธรรมดา
น่าเสียดายที่ไม่มีใครสักคนที่สามารถสั่นคลอนหัวใจของผมได้
เพราะงั้นเมื่อผมได้พบกับดินแดน ผมจึงตกหลุมรักเขาอย่างง่ายดาย เพราะเขาเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถทำให้หัวใจของผมเต้นต่างไปจากจังหวะเดิมๆ
บ้าจริง ผมเผลอคิดถึงมันอีกแล้ว!
ผมยกค็อกเทลสีฟ้าขึ้นมาดื่มจนหมดแก้ว ดับอารมณ์ที่ตกค้างและไม่น่าคิดถึงนั้นไปจากหัวใจและสมอง ผู้ชายคนนั้นแม้จะไม่ได้โกหกผมเรื่องที่เลิกกับเธอคนนั้นแล้ว แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าเขาเลือกเธอไม่ใช่ผม ความรักที่ผ่านๆ มาของเรา ไม่สิ ต้องบอกว่าของผมมันสู้เธอคนนั้นที่มาทีหลังไม่ได้ แล้วจะให้ผมเชื่องั้นหรือว่าเขาเลิกกับเธอเพราะรักผม? ทั้งที่ในวันสุดท้าย…เขายังเลือกเธอก่อนผม
ผมยังไม่ใช่คนแรกของเขา ไม่ใช่คนที่เขาจะเลือกเสมอ
“ไมน์…เบื่อหรือเปล่า” ผมยิ้ม อยากจะบอกออกไปอยู่หรอกครับว่าเบื่อ แต่ความเบื่อของผมคงสร้างปัญหาแน่ถ้าเกิดพี่มินรู้มันเข้า เขาคงเลือกจะพาผมออกไปจากตรงนี้แน่นอน ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าต้องเกรงใจผู้ใหญ่คนไหนบ้าง
“ไม่ครับ มันก็สนุกดี” ผมวางแก้วเปล่าลงแล้วหยิบแก้วใหม่จากบริกรที่เดินผ่านมาถือเอาไว้ คราวนี้ผมไม่ยกดื่มรวดเดียวหมด เพียงแค่จิบมันช้าๆ เท่านั้น สีหน้าของพี่มินยังคงไม่ลดความห่วงใยลงไปแม้แต่น้อย กลับกันมันยิ่งทวีความตึงเครียดมากขึ้นกว่าเก่าจนผมต้องเอ่ยปลอบใจ
“อย่าคิดมากเลยครับพี่ ตอนนี้ใครๆ ก็รู้แล้วว่าผมเป็นใคร เชื่อได้เลยว่าไม่มีใครกล้าหาเรื่องผมอีกแน่”
พี่นารถเล่นประกาศความยิ่งใหญ่ของผมเสียดังลั่นภัทราแกรนด์ขนาดนั้น ไม่มีใครรู้สิแปลก ขนาดดินแดนที่ได้รู้ยังอึ้งจนไม่ขยับเขยื้อน ผมไม่ได้โกหกเขา แต่เป็นเขาต่างหากที่นิดมันไปเอง ใครบอกกันล่ะว่าเป็นลูกชายของเจ้าของโรงแรมอันดับสองของประเทศและธุรกิจอื่นๆ ในเครือจะต้องเข้าไปควบคุมดูแลทุกอย่าง ใครๆ ก็เอาแต่บอกให้ผมเที่ยวเล่นให้สนุก ให้ผมใช้ชีวิตให้เต็มที่ แม้แต่พี่มินเองยังรับงานหนักทั้งหมดไปไว้ที่ตัวเองคนเดียว
ถึงแม้ว่าในวันที่ผมจะก้าวออกจากบ้านมาแล้วคุณแม่จัดการเรื่องร้านอาหารให้ผมได้มีเอาไว้เป็นแหล่งรายได้เพราะผมปฏิเสธเงินจากที่บ้านก็ตาม แต่ผมก็ไม่เคยบอกนี่ว่าผมเป็นแค่นั้น ผมไม่เคยปิดบังตัวตน
แต่เป็นเขาเองต่างหากที่ไม่เคยเห็นผมมีตัวตน บัตรประชาชนมันก็ลงนามสกุลเอาไว้เด่นชัดขนาดนั้น ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นมัน แต่แล้วเขาก็ยังไม่รู้ว่าผมเป็นใคร แล้งผมผิดหรือที่เขาไม่รู้เอง
“พี่มิน…พี่ไม่มีแฟนเลยหรือครับ?” ทั้งๆ ที่อายุมากกว่าผม แต่กลับยังโสด ได้ชื่อว่าเป็นผู้ชายที่ทุกคนใฝ่ฝัน แต่กลับไม่มีคนรักมันจะเป็นไปได้ยังไงกัน พี่มืนเพียงแค่ยกไวน์ในแก้วขึ้นมาจิบพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากที่ถูกบดบังเอาไว้ เมื่อไม่ได้คำตอบในสิ่งที่ผมถามออกไปผมก็เลือกที่จะไม่เซ้าซี้อีก นิสัยพี่มินต่อให้บีบและเค้นคอถามให้ตายยังไง ถ้าไม่อยากคายมันออกมามันก็เท่านั้น เสียเวลาเปล่า
เอาเถอะ พี่มินเองก็โตแล้ว เป็นผู้ใหญ่พอจะตัดสินใจเลือกเองได้ คงไม่คว้าผู้หญิงเหมือนใบบัวคนนั้นมาหรอก
“พี่มิน…”
“หื้ม?”
“ไม่เอาพี่สะใภ้แบบผู้หญิงคนนั้นนะครับ” ผมพยักหน้าไปทางด้านซ้ายของพี่มินที่ผู้หญิงที่ชื่อใบบัวยืนอยู่ เธอกำลังพยายามยกตัวเองขึ้นมาให้เข้าสู่สังคมชั้นสูง พยายามคบค้าสมาคมกับพวกลูกคุณหญิงคุณนายทั้งหลาย พี่มินมองตามไปทางต้นทางที่ผมบอก แววตาของพี่ชายผมก็เปลี่ยนมาเป็นเย็นเฉียบ คมกริบจนแทบจะบาดร่างของเธอให้กลายเป็นเศษเนื้อ
“ไม่มีทาง ผู้หญิงที่มีดีแค่หน้าแต่ไร้สมองแบบนั้น พี่ไม่มีทางตาต่ำไปคว้ามา”
อา พูดแบบนี้ก็น่าสงสารดินแดนแย่ เพราะดันตาต่ำไปคว้ามากินแถมยังยกสถานะให้เสียด้วยสิ
ผมไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่กลั้วหัวเราะในลำคอแล้วยกค็อกเทลสีฟ้าขึ้นมาดื่มต่อ จะว่าไปใบบัวเธอเองก็จัดว่าสวย ทรวดทรงองค์เอวดูแล้วน่ามองไม่หยอก หน้าอกที่ล้นทะลักออกมาจากชุดสีดำแหวกจนแทบจะเปิดเผยทุกสัดส่วนก็เรียกสายตาจากใครได้หลายคน ขาเรียวขาวที่โผล่พ้นออกมาจากรอยแยกของกระโปรงยิ่งชวนให้ผู้ชายหลายคนหลงใหล ไม่แปลกใจสักนิดที่ดินแดนจะชอบเธอ
“เราเถอะ อย่าไปใกล้หมอนั่นมากนักล่ะ อย่าลืมว่ามันทำให้เจ็บมาขนาดไหน” ผมมองตามสายตาของพี่มินไปก็พบว่าดินแดนกำลังมองมาทางผมและพี่มิน ทว่าแววตาที่เคยมีความไม่พอใจในตอนนี้เหลือเพียงคนที่ลุแก่โทษเท่านั้น เขายืนอยู่กับภูมิเพื่อนของเขาที่ผมรู้จักดี
ขนาดวันนี้เขาก็ยังหล่อเหลาสมกับที่ได้หัวใจของผมไป เพียงแค่ได้สบตากับเขาหัวใจของผมก็เริ่มทำงานหนักอีกแล้ว ไม่ว่าจะเจ็บปวดมามากมายแค่ไหนผมก็ไม่สามารถสั่งให้หัวใจเลิกรักเขาไปได้เลยจริงๆ ผมดึงสายตากลับมาเมื่อรู้ตัวว่าสบตากับอีกฝ่ายนานเกินไป ผมไม่อยากให้เขาคิดว่าผมสนใจเขามาก ไม่อยากให้เขาเข้าใจว่าปมรักเขาจนสามารถทนต่อความโหดร้ายที่เขามอบให้ได้อีก
“ผมไม่ลืมหรอกครับ”
จะไปลืมได้ยังไงกันเพราะทุกวันนี้แม้มันจะลดลง แต่ก็ใช่ว่าหัวใจของผมจะหายดีเสียเมื่อไหร่
“ไม่มีทางที่จะลืมแน่นอน” นั่นคือสิ่งที่ผมตอบพี่มินและเป็นการย้ำเตือนตัวเองไปด้วยเช่นกัน
“ถ้างั้นก็ดีแล้ว เพราะพี่ดูสายตาของมันออก หมอนั่น…ไม่ยอมปล่อยเราไปง่ายๆ หรอกนะไมน์ สำหรับพี่ พี่คิดว่าดินแดนอะไรนั่น…กำลังพยายามเอาน้องคืน” ผมหัวเราะเบาๆ เย้าแหย่พี่มินเล่นอย่างไม่จริงจังนัก แม้ว่าคำพูดของพี่มินจะทำให้หัวใจของผมจั๊กจี้ราวกับคาดหวังก็ตาม
“เอาคืนผมหรือเปล่าครับ พี่มินอาจจะใช้คำผิด” แล้วผมก็โดนเขกศีรษะเบาๆ เป็นการตอบแทนความยียวนของผม ไม่ได้แรงขนาดเจ็บมากมายอะไร เป็นความรู้สึกเหมือนถูกสะกิดเสียมากกว่าอีก แต่ปมก็ยังยกมือขึ้นกุมศีรษะตัวเองเอาไว้ แกล้งร้องโอดครวญราวกับว่าเจ็บปวดมากมายเหลือเกิน
“โอ๊ย~ ผมเจ็บจังเลย จะบวมไหมนะ จะมีเลือดหรือเปล่า คุณแม่ต้องตกใจแน่ๆ เลย” พี่มินกลอกตาใส่ผม มือใหญ่ยกขึ้นเตรียมจะเขกหัวผมอีกครั้ง
“อีกสักทีดีไหม หื้ม!” ผมหัวเราะจนตัวงอ เราสองคนต่างก็เล่นกันแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ผมชอบที่เราได้คุยกันแบบนี้ บางทีผมก็รู้สึกว่าพี่มินเข้าใจผมมากที่สุด ถึงภายนอกจะไม่ได้แสดงออกอะไรมากมาย แต่ความหวงน้องของพี่มินไม่ได้มีน้อยๆ นะครับ แต่มันเพิ่งจะออกมาก็ตอนที่ผมเจ็บปวดจากความรักของดินแดน และอาจจะเป็นเพราะความเจ็บปวดครั้งนั้นที่ทำให้พี่มินต้องคอยจับตามองและดูแลผมยิ่งขึ้นก็ได้
ผมเผลอหันไปสบตากับดินแดนเข้าอีกครั้งทั้งที่ยังไม่ทันได้เก็บรอยยิ้มออกไปจากหน้า เมื่อรู้สึกตัวผมจึงรีบหุบยิ้มลง ทันที ดินแดนขยับเท้าเข้ามาหาผมเป็นจังหวะเดียวกับที่คุณแม่กำลังเรียกผมพอดี
“ผมไปหาคุณแม่ก่อนนะครับ”
ผมเลือกจะเดินหนีไปหาคุณแม่แทนที่จะอยู่รอให้ดินแดนเดินเข้ามาหาผม ผมยังไม่พร้อม ไม่อยากคุยกับเขาในตอนนี้ ผมอาจจะขี้ขลาดก็ได้ ในใจเองก็หวั่นและกลัวว่าเขาจะโกรธ จะรับไม่ได้เมื่อได้รู้ว่าแท้จริงแล้วผมเป็นใคร แต่อีกใจก็คิดว่าเราสองคนมันจบลงไปแล้ว เขาจะคิดอะไรยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับผมอีกต่อไป ต่อให้นับจากนี้เขาจะเกลียดผมก็เรื่องของเขาไม่เกี่ยวอะไรกับผม
แต่สุดท้ายผมก็เดินหนีออกมา เพราะยังไม่สามารถเผชิญกับความจริงที่คิดว่าเขาอาจจะเกลียดผมได้ ผมสูดลมหายใจเข้าปอด ระบายยิ้มออกมาบนใบหน้าพร้อมกับสาวเท้าเข้าไปหาคุณแม่อย่างรวดเร็ว
“ว่าไงครับคนสวยของผม คิดถึงผมแล้วหรือครับถึงเรียกมาแบบนี้” ผมใช้แววตาพราวระยับหยอกเย้าคุณแม่จนถูกตีลงที่ท่อนแขนไม่แรงมากนัก แต่บรรดาคุณหญิงคุณนายทั้งหลายก็พากันอิจฉากันถ้วนหน้า
“เดี๋ยวเถอะ มารู้จักกับคุณหญิงสิตาสิคะลูก ส่วนนั่นคือหนูวุ้น ลูกสาวของคุณหญิงสิตาเพื่อนแม่เองค่ะ” ผมหันไปยิ้มให้กับคุณหญิงสิตากับน้องวุ้นด้วยความจริงใจพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ผู้ใหญ่
“สวัสดีครับคุณน้า สวัสดีครับน้องวุ้น” คุณหญิงสิตายิ้มให้ผมอย่างเอ็นดูส่วนน้องวุ้นที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับหน้าแดงซ่าน บิดซ้ายขวาพอเป็นพิธีให้ไม่ดูน่าเกลียดมากนัก เรียกว่าเป็นความเขินอายที่ดูน่ารักน่ามองก็ได้
“สวัสดีจ้ะ แหมคุณพี่คะ ลูกชายหล่อขนาดนี้ไม่ใช่ว่าถูกจับจองหัวใจไปแล้วหรือคะนี่” จับจองหัวใจหรือครับ จะว่าไปหัวใจของผมมันก็ไม่ว่างจริงๆ นั่นล่ะ แต่ก็คงต้องรอดูว่าคุณแม่คนสวยของผมจะตอบไปว่ายังไง
“นี่ก็เพิ่งอกหักมานี่ละค่ะคุณน้อง พี่ก็หวังแต่ว่าลูกชายของพี่จะพบคนดีๆ ที่ช่วยเขารักษาแผลใจได้บ้าง พี่ล่ะสงสารลูกชายเหลือเกิน” ผมยิ้มอ่อนกับการเล่นใหญ่ของคุณหญิงราตรี เหลือบมองร่างของดินแดนที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลได้ชัดเจน
ดินแดนกำมือแน่นกัดฟันกับประโยคที่ได้ยินจากคุณแม่ของผมด้วยความไม่พอใจและเสียใจ นัยน์ตาของดินแดนมันหลากหลายอารมณ์จนคาดเดาไม่ออก ผมรู้เพียงว่าตัวเองเผลอไผลไปกับการแสดงออกมาของเขา เผลอตัวคาดหวังความหวังที่ลมๆ แล้งๆ ไปกับเขาอีกครั้ง เผลอดึงดินแดนที่ควรเป็นเหมือนของต้องห้ามมาเป็นยารักษาหัวใจอีกครั้งเสียแล้ว ผมนี่มันไม่เข็ดไม่จำเลยจริงๆ ทั้งที่ถูกทำให้เจ็บปวดขนาดนั้นกลับยังจดจำได้แต่เพียงเขา
..........50%..........
[/b]
กำมือไปเถอะจ่ะ เธอก็ทำได้แค่นั้นแหละ กล้าก็เดินเข้าไปเส้!! เอาเด้ๆ กล้าเปล่าาาา โด่~เป็นเจ้าของ