[13] 100%
ผมก้าวลงจากรถหรูด้วยท่าทางที่เหนื่อยอ่อน ใจจริงผมเองไม่ได้อยากจะได้รถคันนี้เลยแม้แต่น้อย แต่เพราะคุณพ่อคุณแม่และพี่มินที่เป็นตัวตั้งตัวตีซื้อมาให้ผมพร้อมกับบังคับให้ผมใช้งานมัน ความจริงแล้วผมสามารถขึ้นแท็กซี่เองก็ได้ ใช่ว่าตลอดมาผมจะไม่เคยใช้เสียเมื่อไหร่กัน
ผมล็อกรถแล้วก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยฝีเท้ามั่นคงไม่รีบร้อน ตอนนี้ผมย้ายออกมาอยู่ที่คอนโดของพี่มินที่ยกให้ผมจากการร้องขอให้พี่มินซื้อให้ผมครั้งก่อน ดีหน่อยที่ผมหาคนซื้อคอนโดเก่าได้แล้ว จึงได้เอาเงินไปยัดใส่มือพี่มินได้บ้าง ไม่อย่างนั้นผมคงไม่กล้าเข้ามาอยู่ที่นี่แน่ๆ
ความสะดวกสบายนับว่าไม่เลวเลยด้วยซ้ำ ระยะห่างจากร้านของผมกับที่นี่ก็ไม่ไกล ขับรถไปเพียงไม่กี่นาทีก็ถึง แต่เสียดายก็เพียงแค่ช่วงเวลาที่ผมปิดร้านยังถือว่าเป็นเวลาที่รถติดอยู่ ผมกดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นที่ผมอาศัย ยืนรอจนประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อถึงชั้นที่ต้องการจึงได้ก้าวออกไปต่อ ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่แสนเหน็ดเหนื่อย ทั้งลูกค้าที่เพิ่มขึ้นและตัวของใครบางคนที่ขยันเข้ามาหาผมที่ร้านทุกวี่วัน ขนาดผมให้คนเอาดอกไม้ของเขาไปทิ้ง เขาก็ยังดื้อรั้น…ถือมันมาให้ผมทุกวันราวกับไม่สนใจว่าผมจะยินดีรับมันไหม
คิดถึงความดื้อดึงของดินแดนแล้วผมก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ เขาทำแบบนี้ผมกลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะใจอ่อนต่อเขา จะกลับไปยืนอยู่ในจุดที่รู้ดีว่าจะต้องเจ็บปวดและทรมานอีก แต่ผมก็หมดปัญญาจะไล่เขาออกไปจากชีวิต ทั้งที่ผมยอมถอย ยอมออกมาจากชีวิตของเขาแล้ว แต่เขากลับเอาตัวเองเข้ามาในชีวิตของผมเสียเอง
ผมก้าวออกมาจากลิฟต์ที่เปิดออก มือควานหากุญแจห้องโดยไม่ได้สนใจรอบข้างจนผมเผลอเดินชนกับใครบางคนเข้าอย่างแรง
“อ๊ะ! ขอโทษครับ” ผมเกือบจะเซล้ม ยังดีที่อีกฝ่ายใช้วงแขนประคองผมเอาไว้ได้ทัน
เกือบไปแล้วสิ
“ไม่เป็นไร” ผมขมวดคิ้ว สายตาของผมอยู่ระดับแผ่นอกของเขา แต่มันช่างคุ้นตาเหลือเกิน น้ำเสียงทุ้มที่แสนนุ่มหูก็ช่างคุ้นหูราวกับได้ยินมาหลายต่อหลายครั้ง กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยมาจากตัวเขามันก็ชวนให้ใจเต้นแรงอย่างไม่มีสาเหตุ ผมเงยหน้าขึ้นช้าๆ ไล่สายตาขึ้นจากแผ่นอกไปยังลำคอและสันกราม ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นใบหน้าที่ผมรู้จักเป็นอย่างดี
ดินแดนผมขืนตัวออกจากวงแขนของเขาแทบจะทันที ริมฝีปากเม้มแน่นทั้งที่ดวงตาไหวระริกกับอาการหวั่นไหวที่เข้ามาจู่โจม
เขามาได้ยังไง รู้จักที่นี่ได้ยังไง
ผมเอาแต่ถามตัวเองซ้ำๆ เงียบๆ แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบ ใจจริงผมแอบคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขามาเพราะผม มาที่นี่เพราะผมอาศัยอยู่ที่นี่ แต่แล้วผมก็ต้องหยุดความคิดฟุ้งซ่านนั่นลงไปเพราะไม่อยากจะคาดหวังกับความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง ผมและดินแดนมองหน้ากันและกันนานครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเป็นผมเองที่หลบเลี่ยงสายตาของเขา หวังเดินไปข้างหน้าเพื่อจะจบบรรยากาศแสนอึดอันนี้เสียที
“นี่! หลบสิ” แต่ใครจะไปคิดว่าดินแดนจะเป็นฝ่ายก้าวมายืนข้างหน้าผมอีกครั้ง ไม่ว่าผมจะขยับไปทางซ้ายหรือขวา เขาก็จะตามมาไม่ลดละ
“คุณพักอยู่ห้องไหนหรือครับ?” ผมตวัดสายตามองคนหน้าด้านที่ไม่ยอมหลีกทางให้ผมไม่พอยังจะกล้ามาถามอีกว่าผมอยู่ห้องไหน ผมสะกดอารมณ์โมโหตัวเองเอาไว้ พยายามเรียกเอาความใจเย็นที่แทบไม่หลงเหลืออยู่ออกมาให้มากที่สุด
“นั่นมันเรื่องส่วนตัวของผมนะครับ!” แต่ดินแดนกลับยิ้มขำ สองเท้ายังคอยขยับตามทิศทางที่ผมเดินไปอย่างไม่คิดจะปล่อยผม
“ผมเพียงแค่อยากทำความรู้จักกับคุณก็เท่านั้น” เฮอะ! ผมได้แต่กลอกตาใส่ดินแดนที่ยังคงยิ้มแย้มอย่างยินดีและพึงพอใจมาก
“ผมชื่อแดนครับ ดินแดน โชติญาณกุล ห้อง708 ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” ผมชะงักเมื่อได้ยินหมายเลขห้องจากปากของดินแดน ผมจะไม่ตกใจสักนิด หากว่าผมไม่ได้อยู่ห้อง703ที่เป็นห้องตรงข้ามกัน เรื่องบังเอิญไม่ควรเกิดขึ้นมาทันทีทันใดแบบนี้ ฟ้าเองก็ไม่ควรเล่นตลกส่งเขามาให้ผมในวันที่ผมตัดสินใจหันหลังให้กับเขาแล้ว เพราะมันยิ่งทำให้ผมทรมานยิ่งกว่าที่เป็นอยู่
“ผม…ขอตัว”
“เดี๋ยวสิครับ!” ผมกัดริมฝีปากของตัวเอง ห้ามปรามหัวใจที่กำลังอ่อนไหวอย่างสุดกำลัง ดึงข้อมือออกจากการถูกกอบกุมเอาไว้ออกมาทันที
“มีอะไรครับ” ผมอยากรีบๆ ออกไป อยากจะหายไปจากคนตรงหน้า ไม่ใช่เพราะขี้ขลาดหรืออ่อนแอ
แต่เพราะกลัวว่าหัวใจของผมจะคิดเข้าข้างตัวเองจนกลับไปจมปลักในจุดเดิม
“ผมยังไม่ได้ทานข้าวเลยตั้งแต่เช้า ถ้าไม่เป็นการรบกวน…อยากจะขอข้าวทานสักมื้อ จะได้ไหมครับ?”
ข้าวสักมื้องั้นหรือ
ผมยิ้มเยาะออกมา ปล่อยเสียงหัวเราะแผ่วเบาที่แสนกังวานออกมาเมื่อได้ยินคำนั้น อยากให้ผมทำอะไรให้เขากิน เขาลืมไปแล้วหรือเปล่าว่าเคยทำอะไรกับผมเอาไว้
ลืมไปแล้วหรือว่าวันนั้นเรียกมันว่าอะไร
“ขยะ…”
“ว่าอะไรนะครับ?” ผมยิ้มเย่ะ เงยหน้าขึ้นสบตากับดินแดนที่ยังคงงุนงงกับน้ำเสียงและคำพูดของผม
“ขยะที่ถูกทำขึ้นมาด้วยมือของผม คงไม่เหมาะจะให้ทายาทโชติญาณกุลได้ทานหรอกครับ” ลืมมันไปแล้วหรือเรื่องวันนั้น วันที่เขาเลือกจะมองเห็นค่าของอาหารที่ผมทำ เป็นเพียงขยะที่แสนไร้ค่า ถึงเขาจะลืม แต่ผมไม่เคยลืมมันไปได้เลยสักวัน มันยังคงตอกย้ำอยู่ในใจผมให้เจ็บปวดทรมานทุกครั้งที่หวนคิดถึง
“
ขยะที่ถูกพาเข้ามาก็ต้องให้คนที่พามาเป็นคนเอามันออกไป! ผมไม่เคยลืมมันเลยสักคำเดียว เพราะงั้น อย่าเสียเวลาอันมีค่าของคุณมารอทานขยะของผมเลยครับ
มันไม่มีค่าพอให้รอหรอก”
ผมปล่อยให้แดนนิ่งค้างอยู่ตรงนั้น ส่วนตัวเองก็เดินออกมาไขกุญแจเพื่อเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปด้านในด้วยหัวใจที่ปวดร้าวและสั่นไหวอย่างรุนแรง ผมไม่รู้หรอกว่าเขาลืมมันหรือเปล่า แต่คนอย่างผมคงลืมความอับอายและเสียใจในวันนั้นไม่ได้
คุณพูดถูกแล้วล่ะครับดินแดน ขยะที่ถูกพาเข้ามาก็ต้องให้คนที่พามาเป็นคนเอามันออกไป…เพราะงั้นช่วยปล่อยมือที่แสนสะอาดของคุณ ออกจากขยะที่คุณโยนทิ้งไปทีเถอะ ก่อนที่ผมจะทนใจแข็งไม่ไหวอีกต่อไป
ถือว่าผมขอร้องคุณก็ได้ ช่วยกลับไปหาเพชรที่แสนล้ำค่าของคุณเสียที
ผมอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็เริ่มรู้สึกว่าท้องมันว่างเกินไป อาการหิวเริ่มส่งเสียงประท้วงออกมาให้ได้ยิน ผมเดินไปในครัว เปิดตู้เย็นเพื่อดูของสด ถึงแม้ว่าจะย้ายออกมา แต่คุณแม่ก็ยังคงให้คนซื้อของมาเติมไว้ให้ในตู้เย็นเสมอ ผมเองก็ชอบทำอาหารไปแล้ว มันเคยชินจนต้องทำกินเองตลอดเวลา ยกเว้นเวลาที่ผมเข้าไปที่ร้านแสนสุขผมถึงไม่ต้องทำอะไร
อาหารสองสามอย่างที่ไม่ใช้เวลามากมายถูกวางเอาไว้บนโต๊ะ หน้าตาน่าทานอย่างที่เคยทำมาเสมอ ผมยิ้มออกมาอย่างพอใจ แต่ชั่วครู่หนึ่งหัวใจก็พลันบีบตัวอย่างรุนแรงอยู่ในอก อาการปวดหนึบๆ กลับมาอีกแล้ว คงเป็นเพราะผมหวนคิดถึงวันนั้นที่ดินแดนทำลายความตั้งใจของผมลงด้วยสองมือ มองความปรารถนาดีที่ผมให้ว่าเป็นเพียงแค่ขยะ
ผมเงยหน้าขึ้นกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่หยาดน้ำตาให้หายไป นั่งลงที่เก้าอี้หวังจะสลัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายให้ออกไปจากหัว เอื้อมมือออกไปหวังจะจับช้อนแต่มันก็ต้องชะงักลงก่อนที่จะเอื้อมไปถึง
ถ้าหาก…เขาไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าจริงๆ ล่ะ?
ไม่สิ ผู้หญิงคนนั้นคงไม่ปล่อยให้เขาหิวหรอก ยังไงคนรักกันเขาคงไม่ปล่อยให้แฟนตัวเองต้องอดอยากจริงๆ ดินแดนเองก็คงไม่ทรมานตัวเองขนาดนั้น แม้ว่าผมจะคิดแบบนั้น แต่ในใจก็อดถามไม่ได้ว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ หรือ แค่ความคิดของผมจะเป็นความจริง หรือผมจะแค่หลอกตัวเองกันแน่
ผมพยายามหลายครั้งที่จะหยิบช้อนขึ้นมา แต่ทุกครั้งใจผมก็ไม่เคยสงบ…มันยังคงคอยคิดเพียงแค่ว่าดินแดนจะทานข้าวไปแล้วจริงๆ หรือเปล่า
มันคาใจจนผมต้องหลับตาลงกำมือของตัวเองแน่น ผมตัดสินใจในช่วงนาทีสุดท้ายนี้แล้วว่าจะลองลุกขึ้นไปเปิดประตูดูว่าดินแดนยังอยู่ข้างนอกหรือเปล่า เพราะกว่าผมจะอาบน้ำแต่งตัวทำอาหารเรียบร้อยก็กินเวลาไปนานกว่าสองชั่วโมงแล้ว เพราะแบบนั้นผมจึงคิดว่าเขาอาจจะไม่อยู่แล้วก็ได้ ใครจะโง่นั่งรออยู่หน้าห้องของคนที่ไม่รู้ว่าจะเปิดประตูออกมาอีกไหมกันล่ะ
ใช่…คงไม่อยู่แล้วล่ะ
ผมตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปยังประตูสีน้ำตาล ยืนลังเลอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมมือออกไป เปิดประตูและก้าวออกไปเพื่อมองหาร่างคุ้นตา
ผมยืนนิ่งแข็งค้างอยู่ตรงหน้าประตู ขายังไม่ทันจะพ้นประตูสายตาของผมก็เหลือบเห็นใครบางคนที่นั่งกอดเข่าอยู่ข้างๆ ห้องของผม ใบหน้าหล่อเหลาของเขาซบอยู่ที่แขนของตนเองอย่างน่าสงสาร หัวใจของผมอ่อนยวบกับท่าทางน่าสงสารของเขาจนต้องเบือนหน้าหนีภาพตรงหน้า เม้มปากและกำมือแน่นเพื่อระงับอารมณ์ของตัวเองลง ปรับสีหน้าและแววตาให้ดูไร้ความรู้สึกอีกครั้ง แม้ว่าหัวใจของผม…จะอ่อนไหวมากแค่ไหนก็ตาม
เอาเถอะ…อย่างน้อยก็ถือเสียว่าทำบุญ
“มานั่งทำอะไรตรงนี้ครับ” ผมส่งเสียงถามเขาออกไป ก็ตรงนี้มันบริเวณห้องของผม เขาเงยหน้าขึ้นมาจากแขนตัวเอง แววตาที่ดูไร้แสงมันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง
แววตาที่ครั้งหนึ่ง…ผมเคยใช้มองเขา
“ขอโทษนะ เดี๋ยวจะไปแล้วล่ะ” ดินแดนดันร่างของตัวเองขึ้นมาจากพื้นด้วยท่าทางอ่อนแรง เขาส่งรอยยิ้มที่แสนเศร้าสร้อยมาให้ผม ซึ่งผมยอมรับเลยว่ามันปวดใจยังไงก็ไม่รู้
ผมรู้ดีว่าเขาใจร้ายมากมายแค่ไหน จำได้ดีว่าเขาทำอะไรกับผมเอาไว้บ้าง
ผมไม่เคยลืมมันไปเลยสักวัน มันยังคงตอกย้ำหัวใจของผมอยู่เหมือนเดิม
แต่เพียงแค่ผมเห็นสีหน้าที่เจ็บปวด กับแววตาที่ลุแก่โทษของเขา ผมกลับไม่สามารถห้ามหัวใจตัวเองไม่ให้มันอ่อนไหวไปกับสิ่งที่เห็นได้ เขาเลวไหม ใช่ เขาเลวเหลือเกินที่นอกใจผม เขาร้ายกับผมหรือเปล่า แน่นอนว่าใช่ เขาทั้งทำร้ายจิตใจผมสารพัด ผิดคำมั่นสัญญาของเรา มองผมเป็นเพียงคนน่ารำคาญคนหนึ่ง เลือกจะเดินจับมือไปกับใครอีกคนที่ไม่ใช่ผม และนั่น…ผมเองก็ไม่เคยลืม
เพียงแต่ผม…ไม่สามารถปล่อยให้เขาจากไปทั้งแบบนี้ได้ ผมทำไม่ได้จริงๆ
ผมสูดลมหายใจเข้าปอด หลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะลืมมันขึ้นมาอีกครั้ง จับจ้องแผ่นหลังของเขาที่กำลังจะห่างออกไปเรื่อยๆ
“เข้ามาสิครับ”
ไม่เป็นไรหรอก แค่ข้าวสักมื้อ ถึงยังไงมันก็คงเปลี่ยนอะไรไม่ได้อยู่แล้ว
“ผมทำอาหารเอาไว้เยอะ มีคุณเข้ามาทานอีกสักคน มันคงไม่เป็นไร” ดินแดนชะงักฝีเท้า เขาค่อยๆ หันมาอย่างช้าๆ มองหน้าผมด้วยความหวังที่ราวกับว่าผมเป็นคนมอบมันให้เขาได้ใช้มันต่อชีวิต
อย่ามองผมแบบนั้น ผมไม่อยากกลับไปรักคุณอีกแล้วดินแดน
เพราะผมรู้ดีแล้วว่า หัวใจของคุณ…ไม่ใช่ของผม
ดินแดนไม่เคยเป็นของไมรวี ไม่ว่าแต่ก่อนหรือตอนนี้ก็ตาม
น้องไม่ใจอ่อนนะคะ แค่ทำทานให้คนอดอยากเท่านั้น อย่าเพิ่งด่าน้องงงง รออ่านตอนต่อไปกันก่อนนนนน เป็นเจ้าของ