...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [25] บทส่งท้าย (End) Up [24/05/63] แจ้งฯ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ...เป็น l เจ้า l ของ... You're Mine [25] บทส่งท้าย (End) Up [24/05/63] แจ้งฯ  (อ่าน 24155 ครั้ง)

ออฟไลน์ Windtofree

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ต้องเอาคืนด้วย  o18

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
...

เป็นอีกเรื่องที่ยังดูไม่ออกว่าดินแดนจะเป็นคนดีได้อย่างไร.

ไมน์น่าสงสารมากกกก.

ทำม้ายยยย กลับมาอ่านเนี่ยมีแต่เรื่องที่สงสารนายเอกเป็นที่สุด

รักเขามาก ทำเพื่อเขาได้ทุกอย่าง แต่ชีวิตกลับดิ่งเหว ตกหน้าผาลึกกันทั้งน้านนนนเลย

.......


 :hao5:  :hao5: :hao5:  :hao5:  :hao5:  :hao5:  :hao5:

 :ling3:  :ling3:  :ling3:  :ling3:  :ling3:  :ling3:  :ling3:


...

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[9] 50%


กลับสู่อ้อมกอด

ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าห้องของเขา หน้าประตูห้องที่ปิดสนิทของดินแดน เขายังไม่กลับมาหรอกครับ ผมเพียงแค่เลือกใช้เวลาที่เขายังไม่มาในการส่งของคืนให้เขา ผมวางกล่องที่บรรจุความทรงจำต่างๆ ของเราเอาไว้หน้าห้องของเขา ที่จริงผมจะทิ้งมันไปก็ได้ เพราะเขาเองก็อาจจะไม่ต้องการมันด้วยซ้ำไป เพียงแต่ผมกลับคิดว่า การที่ผมเป็นฝ่ายส่งคืนให้คงดีกว่า ต่อให้เขารับไปแล้วเอามันไปทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องของผมอีกแล้ว

สิ่งที่ผมทำในตอนนี้ไม่ใช่การคืนของ แต่เป็นการ’ คืน’ ความรู้สึกให้เขากลับไปต่างหาก

คืนความรักที่เขาเคยให้ผม คืนความเจ็บช้ำที่ผมต้องทนรับ และคืนความทรงจำของเราสองคนกลับไป

จากนี้…ผมจะไม่อยู่เป็นคนที่ขัดหูขัดตาเขากับคนที่เขารักอีกแล้ว ได้เวลาที่ผมควรจะกลับบ้านของผมเสียที

บนกล่องมีกระดาษสีขาวที่ผมลงมือเขียนข้อความเอาไว้ให้เขาได้รับรู้อยู่ด้วย มันไม่ใช่ข้อความยาวๆ เป็นจดหมายลาหรืออะไรจำพวกนั้น ผมเพียงแค่เขียนเอาไว้สั้นๆ ใจความง่ายๆ ที่เขาอ่านก็คงจะเข้าใจได้ ถึงแม้ว่าตัวผมจะอาลัยอาวรณ์ความทรงจำพวกนั้นที่อยู่ภายในกล่องมากมายแค่ไหน แต่ผมว่าผมเลือกแล้วก็จำเป็นต้องทิ้งทุกสิ่ง กำจัดทุกอย่างที่จะดึงผมกลับไปยืนในจุดเดิม

ผมเหนื่อยที่ต้องมีเขาโดยที่เขาไม่เคยมีผมอยู่ในทางเดินของเขา

และผมเจ็บมากที่อนาคตของผมมีเขาอยู่ในนั้น ทั้งๆ ที่อนาคตของเขากลับไม่ใช่ผมที่ยืนเคียงข้าง

“ไมน์…พี่ให้คนขนของออกไปหมดแล้วนะ เราพร้อมหรือยัง”

พร้อมหรือ? ผมไม่เคยพร้อมหรอก

จนถึงตอนนี้คำว่าพร้อมไม่ได้อยู่ในหัวของผมเลย แต่ผมกลับจำเป็นที่จะต้องพร้อม เพื่อเริ่มต้นใหม่ทุกอย่าง เพื่อรักษาความทรมานที่ได้รับมาเนิ่นนานจากเขา ปล่อยให้เขาได้มีความสุขกับชีวิตที่อิสระและปราศจากผมที่คอยวนเวียนกวนใจเขา

มันถึงเวลาที่จะหยุดแล้วเดินไปทางใหม่เมื่อเส้นทางที่เดินมานั้นมันไม่สามารถไปต่อได้

ดินแดน ดินแดน ดินแดน

ทุกเสียงหัวใจที่เต้นกี่ครั้งก็ยังคงเป็นชื่อของเขา

ทั้งที่เจ็บปวด ทั้งที่ทรมาน

แต่มันก็ไม่สามารถหยุดความรู้สึกได้…เหมือนที่ผมไม่สามารถหยุดการเต้นของหัวใจได้

“ครับ ผมพร้อมแล้ว”

ต้องไปแล้วนะดินแดน ไมน์ต้องไปจากดินแดนที่แสนรักแห่งนี้แล้ว จากนี้ไปขอให้คุณมีความสุขเสียทีนะครับ อย่างน้อย…ก็ช่วยมีความสุขให้มากๆ ให้สมกับที่คุณเลือกที่จะทิ้งผมไป

ผมหันกลับมามองพี่มินด้วยรอยยิ้มแสนเศร้า พี่ชายของผมคงเข้าใจความรู้สึกที่ผมกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ จึงได้เดินเข้ามาโอบไหล่ของผมเอาไว้ ฝ่ามือถูไหล่ของผมสองสามครั้งอย่างปลอบใจ นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมอุ่นใจขึ้นมาได้บ้าง อย่างน้อยไม่มีเขาที่เป็นหัวใจ ก็ขอมีพี่ชายและครอบครัวที่เป็นดังลมหายใจก็ยังดี

“คุณพ่อกับคุณแม่รอเราอยู่นานแล้วนะรู้ไหม” ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้กับคำพูดที่คล้ายกับจะตำหนิก็ไม่เชิงของพี่มิน

“ผมว่าผมเก็บของเร็วแล้วนะครับพี่มิน ยังช้าอยู่อีกหรือ?” พี่มินชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดังก้องไปทั่วทั้งคอนโด เฮ้อ…จะโดนด่าว่าไม่รู้จักมารยาทไหมนะ

“พี่หมายถึง…รอวันนี้มานานแสนนานต่างหากล่ะไอ้ตัวแสบ” ศีรษะของผมถูกมือของพี่มินขยี้อย่างแรงจนผมสีน้ำตาลเกือบจะเสียทรง ผมยกมือขึ้นมาป้องกันเอาไว้ หลบเลี่ยงเท่าที่ทำได้แต่ก็เท่านั้น ผมไม่เคยสู้แรงของพี่มินได้สักที

“อย่าสิพี่! ผมยุ่งหมดแล้ว” นั่นกลับยิ่งทำให้พี่มินได้ใจเข้าไปอีก มือของพี่มินยิ่งขยี้ลงไปหนักๆ บังคับให้ผมยินยอมด้วยการล็อกคอผมเอาไว้

ผมอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ บอกตามตรงผมรู้สึกแปลกๆ ที่จะได้กลับบ้าน เพราะผมอยู่ที่นี่มาสามปีย่อมต้องมีความคุ้นชินและผูกพัน แต่ตอนนี้ผมกลับจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว นั่นล่ะที่ทำให้ผมอดรู้สึกหวิวๆ ในใจไม่ได้

เหมือนกำลังต้องพรากจากของรัก เหมือนผมกำลังลืมสิ่งสำคัญไป

แต่เพราะรู้ดีว่ามันคืออะไร ผมจึงต้องแข็งใจแล้วเดินจากไปให้ได้อยู่ดี เพราะไม่มีอะไรที่ทำให้ดินแดนเปลี่ยนใจกลับมารักผมอีกครั้ง ก็เท่ากับว่าไม่มีอะไรที่จะสามารถดึงรั้งผมเอาไว้ให้อยู่ต่อไป

“ความจริงไม่ต้องขนมาหมดก็ได้นะ”

“หือ?” ผมที่กำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยได้ยินพี่ชายพูดแบบนั้นในลิฟต์ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้

“พี่พูดจริงๆ ยังไงบ้านของเรา ห้องของไมน์ก็มีของอยู่ครบทุกอย่าง เอาไปก็รก สู้ทิ้งไปให้หมดไม่ดีกว่าหรือ” ผมได้แต่ส่ายหน้ากับคำพูดที่สมกับเป็นลูกชายคนรวยจริงๆ

ตัวผมเองติดการใช้เงินแบบที่ไม่สุรุ่ยสุร่ายมาตั้งแต่คบกับดินแดนไปแล้ว มันเลยทำให้ผมอดเสียดายของพวกนั้นไม่ได้ ทุกอย่างคือเงินที่ผมได้กำไรมาจากร้านอาหารที่คุณแม่จัดการไว้ให้ผม ผมคอยควบคุมดูแลบัญชี คอยดูรายรับรายจ่ายอยู่เสมอ ถึงแม้จะไม่ได้เลิศหรู ไม่ได้เป็นที่สนใจมากมาย แต่มันก็ไม่ได้ดูแล้วจะขาดทุน อาจจะเพราะทำเลที่คุณแม่ของผมเลือกให้มันดี อยู่ในจุดที่ทำการค้าได้ดี แต่จากนี้ไปผมคงต้องปรับปรุงมันอย่างจริงจังเสียที

ที่จริงผมสะดุดใจตั้งแต่วันที่ดินแดนพูดกับผมเรื่องที่ควรออกไปหางานทำ บางทีผมอาจจะเอ้อระเหยลอยชายมากเกินไปจนทำให้เขามองว่าผมเป็นคนไม่มีหลักแหล่งอะไร เพราะงั้นผมควรจะทำอะไรให้มันจริงจังเสียหน่อย ไม่ใช่เพื่อลบคำกล่าวหาที่เหมือนหลักลอย แต่เพื่อตัวผมเองที่จะได้มีความมั่นคงในชีวิตที่เป็นของผมเอง

“พี่มิน ของพวกนั้นผมไม่ได้จะเอาไปไว้ที่บ้านของเราหรอกครับ”

“หืม? หมายความว่ายังไง ถ้าไม่ได้จะเอาไปไว้ที่บ้าน แล้วเราจะเอาไปไว้ที่ไหนล่ะ?” ผมอมยิ้มน้อยๆ แต่ในใจกลับขมขื่นเหลือทน

“ผมอยากได้คอนโดสักแห่ง ที่ไหนก็ได้ ตอนนี้ผมยังไม่มีเงินสดให้พี่ แต่ถ้าผมขายห้องนี้ได้เมื่อไหร่ ผมจะคืนให้พี่แน่นอน” ผมพูดจริง ผมต้องการคอนโดเพราะผมอยากจะอยู่คนเดียวเหมือนเดิม แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะแยกตัวออกมา เพียงแต่ผมจะแบ่งเวลาไว้อย่างชัดเจนว่าวันไหนที่ผมจะกลับไปอยู่บ้านกับครอบครัว

“ไมน์ ไหนบอกว่าจะกลับไปอยู่บ้านด้วยกันไงล่ะ?” พี่มินเริ่มขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ จะพูดให้ถูกคือไม่ยินยอมเสียมากกว่า

“ผมจะอยู่ที่บ้านครับพี่ แต่เป็นช่วงสามวันสุดสัปดาห์”

“เพราะหมอนั่นหรือ?” ผมหลบสายตาจากพี่มินที่จับจ้องมาอย่างรอคอยในคำตอบ ความจริงไม่ใช่เพราะดินแดนหรอก ผมเพียงแค่…อยากใช้เวลารักษาตัวเอง

“ไม่ใช่หรอกครับพี่ ไม่ใช่เลย…”

“ถ้างั้นทำไมล่ะ ทำไมไม่อยู่ด้วยกันเหมือนเดิม”

“เพราะหัวใจของผมตอนนี้มันยังไม่หายดี…พี่เข้าใจไหมครับ ผมถึงอยากได้เวลาให้ตัวเอง”

พี่มินดูจะเข้าใจผมนะครับแม้ว่าสีหน้าและแววตาจะเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมและต่อต้านก็ตาม ผมสบตากับพี่มินอย่างขอร้องอ้อนวอน ผมแค่อยากมีที่ของผมเองที่เมื่อไหร่ที่ผมปวดร้าวจนทรมาน อย่างน้อยก็ยังมีที่ให้ผมหลบมาพักหัวใจตัวเองได้อย่างไม่ต้องกังวลอะไรอีก

“โอเค ก็ได้ๆ” ในที่สุดพี่ชายของผมก็ยอมตอบตกลงแล้ว ผมส่งยิ้มขอบคุณให้กับพี่มินด้วยใจจริง

“ขอ…”

“แต่พี่จะไม่ซื้อให้เราใหม่หรอกนะตัวแสบ เพราะพี่มีคอนโดอยู่แล้วห้องหนึ่ง ยังไงก็แค่ช่วยเพื่อนซื้อเอาไว้ไม่ได้คิดจะเข้าไปอยู่ เอาของพี่ไปก็แล้วกัน ส่วนเงินที่ขายห้องนี้ได้ ก็เก็บเอาไว้เถอะ เอาไว้เผื่อเสียใจหนักๆ จะได้ไปหาขนมกินให้หายเศร้า” ผมคิ้วกระตุกอย่างช่วยไม่ได้ นี่พี่มินคิดว่าผมอายุเท่าไหร่กันแน่ สามขวบหรือ? เวลาเสียใจถึงได้คิดแต่ให้ไปซื้อขนมมากิน แล้วคอนโดของผมราคาใช่จะถูกๆ เสียเมื่อไหร่ ใครเขาบอกให้เอาเงินเกือบสิบล้านไปซื้อขนมกินกันบ้างเล่า!

แต่จะว่าไปแล้วเมื่อก่อนผมก็มองมันเป็นแค่เศษเงินจริงๆ ด้วยสิ เงินจำนวนแค่นี้ส่วนมากผมก็แค่เอาไปใช้ฆ่าเวลาเล่นๆ เวลาเบื่อหรือเหงา ก็ไม่ผิดที่พี่ชายผมจะพูดแบบนั้น

เฮ้อ…คงต้องปรับตัวใหม่เสียแล้วสิ ดันติดนิสัยคิดก่อนใช้มาแบบนี้ ผมถึงได้ไม่ชินกับพี่ชายที่ใช้เงินแก้ปัญหาทุกๆ อย่างแบบนี้





..........50%..........





ชูป้ายไฟ พี่มินนนนน เปย์มาทางนี้ค่ะพี่ขาาาาา ใช้เงินแก้ปัญหาเหรอคะ แมวชอบบบบบบบบ รอติดตามต่อครึ่งหลังในวันพรุ่งนี้นะคะ 

เป็นเจ้าของ

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[9] 100%

“จะว่าไปช่วงนี้เหมือนคุณพ่อจะบ่นๆ มาเหมือนกันนะ” ผมก้าวเดินออกจากลิฟต์พร้อมๆ กับพี่มิน เดินเคียงข้างไปในขณะที่ยังคงพูดคุยกันไม่หยุด

“เรื่องอะไรครับ เรื่องของผมหรือ?” พี่ชายผมส่ายหน้าแล้วหัวเราะในลำคอ

“จะว่าไม่ใช่ก็ไม่เชิง คุณพ่ออยากให้เราเข้าไปช่วยงาน คงกลัวว่าเราจะหายไปไหนอีกนั่นล่ะ ถึงได้พยายามยัดงานเข้ามาให้เยอะๆ จะได้ไม่ว่างหอบเสื้อผ้าหนีไปไหนอีก”

ผมหลุดขำพรืดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แน่ล่ะ…ก็พี่ชายผมเล่นพูดจาด้วยสีหน้าง้ำงอแบบนั้น ดูก็รู้ว่าคงไม่ใช่แค่คุณพ่อหรอกครับที่บ่นและคิดจะยัดเยียดงานให้ผมทำ ผมว่าคงเป็นพี่มินเองด้วยนั่นล่ะที่กลัวผมจะหอบเสื้อผ้าหนีไปอีก ผมหัวเราะจนน้ำตาไหลมือกุมท้องเอาไว้เพราะหัวเราะมากเกินไป โดยมีพี่มินยืนมองด้วยสายตาหมั่นไส้เหลือเกิน

“หึ…หัวเราะได้เสียทีนะเรา” นั่นสิ นานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้หัวเราะ

“เอาล่ะ หัวเราะก็หัวเราะแล้ว ตอนนี้ก็ได้เวลากลับบ้านกันจริงๆ สักที พี่ว่าป่านนี้คุณพ่อกับคุณแม่คงนั่งรอเรากลับไปจนแทบจะไม่ไหวแล้วล่ะ”

ผมหัวเราะน้อยๆ แล้วเดินเข้าไปในรถที่ถูกพี่ชาติเปิดประตูรออยู่ก่อนแล้วอย่างไม่อิดออด จะว่าไปผมไม่ได้กลับบ้านมานานเหมือนกัน คิดถึงทุกคนที่บ้านเหลือเกิน ไม่รู้ว่าทุกคนจะสบายดีกันอยู่หรือเปล่า แต่อย่างน้อยก็คงจะดีพอสมควร ไม่งั้นพี่มินก็คงบอกผมแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

พี่มินก้าวเข้ามานั่งเคียงข้างผม คุณชายมินวรุตม์พี่ชายของผมคนนี้เป็นผู้ชายที่สาวๆ หมายตาและคลั่งไคล้สุดๆ ทั้งดาราและนางแบบหรือแม้แต่นางงามจากเวทีระดับโลกเองยังต้องส่งสายตาเว้าวอนต่อความหล่อเหลาของพี่ชายผม

ความจริงเคยมีการจัดอันดับหนุ่มหล่อในฝันอยู่เหมือนกันนะครับ ผมยังเคยกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ถือนิตยสารเล่มนั้นไปโยกโชว์ตรงหน้าไอ้รักอยู่เลย มันยังเหม็นขี้หน้าผมเพราะความเห่อพี่ชายของผมไปพักใหญ่ ก็แหม…ผมดีใจนี่ พี่ชายคนเดียวของผม ติดอันดับหนึ่งของผู้ชายที่สาวๆ เฝ้าฝันหาแบบนี้ ผมที่เป็นน้องชายย่อมต้องเห่อเป็นธรรมดา

จะว่าไปแล้ว ตอนนั้นก็มีชื่อของดินแดนเหมือนกันนะ รู้สึกว่าจะอยู่อันดับที่สองรองจากพี่ผม แต่ผมไม่ได้สนใจเพราะไม่ได้รู้จักเขา ไม่ได้พบความอ่อนโยนที่เขามอบให้

อา…เจ็บหัวใจอีกแล้วสิ

เพราะผมเพิ่งจะผ่านพ้นมันมาถึงยังไม่ชินสินะ คงต้องรอ ต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าหัวใจของผมจะกลับมาเต้นอย่างปกติ กว่าที่ผมจะสามารถอยู่ได้โดยไม่มีผู้ชายที่ชื่อดินแดน

“กลับบ้านเลยหรือเปล่าครับคุณมิน คุณหนู” พี่มินพยักหน้าโดยไม่สนใจว่าผมอยากจะไปที่ไหนหรือเปล่า เอาเถอะ ถึงอย่างไรผมก็ไม่ได้คิดจะไปไหนต่ออยู่แล้ว กลับบ้านก็ดีเหมือนกัน

“ตรงกลับบ้านเลยชาติ”

“ครับคุณมิน”

พี่ชาติออกรถทันทีที่ได้รับคำตอบ ตัวรถค่อยๆ เคลื่อนออกไปตามถนนใหญ่อย่างช้าๆ เป็นธรรมดากับการจราจรในช่วงเวลาแบบนี้ มันเป็นเวลาเลิกงาน ซึ่งรถจะติดก็ไม่แปลก ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ปล่อยสายตาออกไปตามท้องถนนมองผู้คนที่พลุกพล่านยามเลิกงาน สีหน้าของพวกเขาดูมีความสุข รอยยิ้มและการพูดคุยที่มองออกได้ทางสีหน้าและสายตา มันช่างน่ามองไปหมด

ผมเผลอปล่อยสายตาไปกับสิ่งที่ได้เห็น มองออกไปอย่างเหม่อลอยกับความสดใสของโลกใบนี้ นั่นสินะ ดินแดนเองก็คงกำลังยิ้มและหัวเราะไปกับคนที่เขารัก เขาคงกำลังมีความสุขกันอยู่ในตอนนี้ เขาสองคนคงกำลังมีชีวิตที่ดีขึ้น มอบความรักให้แก่กัน รอยยิ้มที่มีเพื่อกันและกัน เขาคงจะมีความสุขอย่างที่ควรมีมานาน ผมยินดีกับเขาเหลือเกินจากใจจริง

แต่ทำไมล่ะ ทำไมน้ำตาของผมถึงยังไหลลงมาไม่หยุดสักที

นี่ผมกำลังอ่อนแออีกแล้วใช่ไหม ผมไม่ชอบเลย















“ไมน์…” ผมยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ฝืดฝืนจนเกินจะฝืนได้ คงเพราะก่อนลงจากรถผมเพิ่งจะหยุดร้องไห้ จมูกและดวงตาของผมยังคงแดงจากเรื่องนั้น

“คุณแม่ครับ” ผมสวมกอดคุณแม่เอาไว้แน่น สูดดมกลิ่นของคุณแม่ที่ผมไม่ได้เจอมานานอย่างคิดถึง ผมหลับตาลงปล่อยให้หัวใจที่เกือบจะพังค่อยๆ ดูดซับความรักและความห่วงใยจากผู้ให้กำเนิดช้าๆ เพื่อนำมารักษาตัวเองให้ดีขึ้น

ผมกลับมาถึงแล้ว ในที่สุดผมก็กลับมาบ้านตัวเองแล้ว กลับมาพักหัวใจที่ร้าวรานลงอย่างหมดเรี่ยวแรง

“กลับมาแล้วสินะลูก อย่าไปไหนอีกนะคะ คุณแม่คิดถึงมากรู้ไหม” ผมหลับตาแน่นและเม้มริมฝีปาก ข่มความรู้สึกทรมานหัวใจเอาไว้จนมิด กระชับอ้อมกอดของคุณแม่เข้ามาจนแนบแน่น

“ขอโทษครับคุณแม่ ผมทำให้คุณแม่เสียใจ ทำให้คุณแม่ผิดหวัง ผมมันเป็นลูกที่แย่เหลือเกิน” น้ำเสียงของผมสั่นไหวจนคุณแม่ดันร่างของผมออก สีหน้าของคุณแม่ที่มองผมเต็มไปด้วยความห่วงใยและใจดี คุณแม่ยิ้มให้ผม ใช้ฝ่ามือที่แสนอบอุ่นนั้นกุมแก้มของผมเอาไว้

“ไม่เลยไมน์ แค่ลูกกลับมามันก็ดีมากพอแล้ว ไม่มีอะไรที่ลูกจะต้องรู้สึกผิดหรือเสียใจเลยนะ” ผมแนบแก้มลงไปบนฝ่ามือของคุณแม่อย่างซาบซึ้งใจ คิดถึงเหลือเกินความรู้สึกที่ถูกรักแบบนี้ รู้สึกได้เลยว่าตัวเองขาดมันไปนานเหลือเกิน

แต่จะไปโทษใครได้ล่ะ ในเมื่อผมเองที่เลือกจะไป

แต่อดีตก็คืออดีต ผมหันไปมองมันได้ ใช้เป็นบทเรียนได้แต่ไม่สามารถแก้ไขมันได้ สิ่งที่ผมต้องทำคือทำใจอยู่กับมันเสีย ใช้ชีวิตโดยมีมันเป็นเหมือนกับข้อสอบที่เราได้เคยทำมา เรียนรู้มันแล้วทำวันต่อๆ ไปให้ดียิ่งขึ้น

จะได้ไม่ทำพลาดเหมือนครั้งก่อน ไม่มานั่งเสียใจเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้

ผมมองพร้อมกับส่งยิ้มที่ทางด้านหลังของคุณแม่ ป้าเนียนหรือก็คือคุณแม่ของพี่ชาติยืนอยู่ตรงนั้น น้ำตาคลออยู่เต็มดวงตาทั้งสองข้าง ป้าเนียนยกมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้ทั้งที่ตัวสั่นเล็กน้อย

คนแก่นี่อ่อนไหวกันจริงๆ เลย

“ป้าเนียนร้องไห้เพราะเสียใจที่ผมกลับมาที่บ้านหรือเปล่าครับ?” ผมถามติดตลก แต่สิ่งที่ได้ไม่ใช่เสียงหัวเรา แต่เป็นอ้อมกอดที่ถูกโถมเข้าใส่อย่างแรงจนผมเซถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยความตกใจ ก่อนจะค่อยๆ ปรับตัวแล้วโอบร่างท่วมของป้าเนียนเอาไว้

“ป้า ฮึก ป้านึกว่าจะไม่ได้ ฮึก เจอคุณหนูแล้ว” ผมยิ้มอย่างอ่อนใจ แต่ละคนก็ช่างเหลือเกิน แบบนี้ผมยังจะกล้าไปไหนได้กันล่ะ?

“เจอสิครับ ยังไงผมก็จะกลับมาหาป้าเนียนกับคุณแม่แน่ๆ”

ก็ผมน่ะ คิดถึงทุกคนจะตายไป คิดถึงอยู่เสมอเลยทุกนาที แต่พูดไปใครจะเชื่อผมกันล่ะ ผมเป็นคนเดินออกไปเอง เป็นคนเลือกทางเดินนี้ เลือกที่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพียงเพื่อความรักโง่ๆ ที่ผมคิดไปเองว่า…มันเป็นของผม เพราะความจริงแล้ว ความรักที่ผมเห็นมันไม่ต่างจากดาวตกที่ส่องสว่างเพียงไม่กี่วินาทีแล้วดับไป

เขาส่องแสงใหม่แต่ไม่ใช่เพื่อผม เพียงแต่ผมคิดว่ามันเป็นของผมอยู่ผมจึงได้แย่งชิงมันกลับมา เป็นผมที่หลอกตัวเองอยู่ ไม่ใช่เขาหรอกที่ทำร้านผม

มันเป็นเพราะผมเองที่ไม่ยอมรับความจริง ฝืนเหนี่ยวรั้งหัวใจของคนที่หมดรักให้กลับมาเป็นดังเดิมให้ได้

“ป้าดีใจนะคะ ดีใจมากๆ ที่คุณหนูเลือกกลับมาอยู่ด้วยกันกับคุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงและคุณมินอีก”

“ผมเองก็ดีใจครับ” ผมดีใจที่ได้กลับมาเป็นคนในครอบครัวอีกครั้ง ได้กลับมาถ๔กโอบล้อมด้วยความรักความเอาใจใส่ ไม่ต้องคอยเหงาอีก

“อย่าไปไหนอีกเลยนะคะคุณหนู รู้ไหมคะว่าคุณผู้หญิงต้องคอยเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่คุฯ หนูจะกลับมา”

“ครับ” ผมชะงักเมื่อได้ยิน ส่งเสียงออกไปอย่าลืมตัว แม่เฝ้ารอผมกลับมาหรือ เวลาสามสี่ปีที่ผมไป แม่ยังคงเฝ้ารอทุกวันเลยงั้นหรือ? แบบนี้มัน…ไม่เท่ากับว่าผมทำบาปหรือครับ

“เอาล่ะๆ คุณก็ปล่อยให้ลูกชายของเราไปพักผ่อนเสียก่อนเถอะ ให้เขาได้อาบน้ำอาบท่าแล้วลงมาทานอาหารเย็นไงล่ะ” คุณพ่อเดินเข้ามาโอบไหล่ของคุณแม่เอาไว้ คำพูดที่ดึงสติทุกคนของคุณพ่อทำให้คุณแม่เบิกตากว้างอย่างลืมตัว

“ตายจริง นี่ฉันก็ลืมไปเลยค่ะ ถ้างั้นก็ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมาทานข้าวกันนะคะลูก” ผมยิ้มแล้วพยักหน้ารับคำของคุณแม่โดยไม่อิดออดใดๆ

“วันนี้แม่เราเขาลงมือทำอาหารด้วยตัวเองเลยนะ เพราะลูกกลับมาที่บ้านนี่ล่ะ พ่อถึงได้กินฝีมือของแม่เขาไปด้วย” คุณพ่อของผมพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะจนโดนคุณแม่หยิกเข้าที่หน้าท้อง เรียกเสียงหัวเราะจากคนในบ้านได้อย่างดี ไม่เว้นแม้แต่ผม

นี่คือความคุ้นเคยที่แสนสบายใจ มันคือทุกอย่างที่ผมมีมาตั้งแต่แรกและเป็นของผมเสมอไป

“คุณแม่ครับ เดี๋ยวนี้ไม่เห็นผมอยู่ในสายตาแล้วใช่ไหมครับ น่าน้อยใจเหลือเกิน” พี่มินหลุบสายตาลง ทำสีหน้าราวกับน้อยใจเหลือเกินได้สมจริงจนผมแทบจะไปกวาดรางวัลมาให้ เล่นเก่งเล่นเนียนแบบนี้ ไม่มีใครแล้วล่ะครับนอกจากพี่ผม

“โธ่ หนุ่มหล่ออันดับหนึ่งของแม่มาน้อยใจแบบนี้ สาวๆ ทั้งประเทศคงต้องอยากมาปลอบใจแน่ๆ เลย แบบนี้แม่คงไม่สำคัญแล้วเหมือนกันใช่ไหมคะ” ถูกคุณแม่ถามกลับด้วยประเด็นเดียวกันพี่มินของผมก็พลันขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ นี่ต้องเป็นข่าวเมื่อปีก่อนอย่างแน่นอน ถ้าผมจำไม่ผิดคุณแม่เคยโทรมาหาผมเรื่องที่พี่มินไปหลงใหลผู้หญิงคนหนึ่งจนไม่กลับบ้าน กว่าจะกลับมาได้ก็กินเวลานานถึง4เดือน เจ้าตัวเองก็ได้แต่หัวเราะกลับมาแต่ก็ไม่มีแม้เงาของผู้หญิงคนไหนจะถูกพี่ชายของผมพาเข้าบ้าน คุณแม่เองก็เอ่ยปากถามแต่พี่มินก็ไม่ยอมบอกอะไรสักอย่าง อาจจะเป็นเพราะผู้หญิงจริงๆ หรือเป็นเพราะอะไรก็ไม่อาจจะรู้ได้ เมื่อพี่ชายของผมเลือกจะเก็บเงียบเอาไว้

“มีที่ไหนครับคุณแม่ ลูกชายของคุณแม่คนนี้รักคุณแม่ที่สุดแล้วครับ จะมีสายตาที่ไหนไปมองสาวได้” ผมเองก็อดหัวเราะกับความขี้ประจบประแจงที่กลัวความผิดของพี่มินไม่ได้ จะว่ากลัวความผิดหรือร้อนตัวกลัวคุณแม่โกรธด้วยเรื่องเก่าๆ ดีล่ะ แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร นั่นก็เพียงพอให้พี่ชายผมทั้งออดทั้งอ้อนคุณแม่เสียยกใหญ่

“ถ้างั้นผมไปอาบน้ำก่อนนะครับคุณพ่อคุณแม่ พี่มิน”

“ได้ ไปเถอะ”

เมื่อได้รับคำอนุญาตจากพ่อ ผมก็ยิ้มแล้วเดินขึ้นไปข้างบนทันที ทุกอย่างมันเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน รูปครอบครัวที่ถูกแขวนเอาไว้ด้านข้างก็ยังไม่ถูกถอดเปลี่ยนไปไหน แจกันใบสีฟ้าแกะสลักลวดลายงดงามที่คุณแม่ประมูลมาในงานเมื่อเจ็ดปีก่อนก็ยังวางอยู่ตำแหน่งเดิม ผมมองความคุ้นตาที่พาตัวเองเดินกลับมองมาอย่างรู้สึกสบายใจแปลกๆ มันอบอุ่นและพองฟูไปด้วยความละมุนที่อยู่ในหัวใจ

ผมเปิดประตูที่สามทางขวามือออก ประตูห้องของผมที่ผมอาศัยนอนมาตั้งแต่ยังเด็กจนโต ภายในห้องที่ปรากฏในสายตาสะอาดสะอ้านและไร้กลิ่นอับ มีเพียงกลิ่นของผมที่ตลบอบอวลอยู่ในห้องเหมือนเมื่อก่อนที่ผมจะเดินออกไปจากบ้านหลังนี้ นี่หมายความว่าห้องของผมถูกทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลา ถูกเตรียมเอาไว้พร้อมเพื่อวันที่ผมจะได้กลับมาสินะ คุณแม่คง…รอผมอยู่ทุกวัน

ผมเงยหน้าขึ้นสูง กะพริบตาเพื่อไล่หยาดน้ำตาที่เริ่มจะคลอเบ้าออกไป ริมฝีปากขยับยิ้มออกมาอย่างแสนเศร้า แต่หัวใจของผมกลับอุ่นวาบไปทั้งใจ มันดีเหลือเกินที่ได้กลับมา ดีเหลือเกินที่ได้กลับมาหาทุกคนที่นี่ ผมมองไปรอบๆ ห้อง กวาดสายตามองของทุกชิ้นที่ผมยังคงจดจำมันได้ดีถึงคืนวันที่ได้รับมา นี่คือบ้านของผม ที่นี่คือที่ของผม

ใช่แล้ว…ตอนนี้ผมกลับบ้านแล้ว

กลับมาอยู่ในที่ของตัวเองเสียที







น้องกลับถึงบ้านแล้วววววว เย้~ เวลาที่เสียใจ ผิดหวัง ที่เดียวที่จะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น นั่นคือบ้านของเรานะคะ ไม่ว่าจะเจออะไรที่ย่ำแย่แค่ไหน กลับมาบ้านเรากันเถอะค่ะ ไม่มีใครเขาต่อว่าหรอก ต่อให้คุณแพ้ใครมา คนที่บ้านก็พร้อมปลอบใจเสมอ เราจะสู้และผ่านพ้นโควิด19 ไปด้วยกันนะคะ ช่วงนี้อย่าลืมใส่หน้ากากอนามัย พกเจลล้างมือ ทางที่ดี หลีกเลี่ยงคนหมู่มากจะดีกว่า สู้ๆนะคะทุกคน เราต้องผ่านมันไปได้!

ปล. นิยายของแมวแฮปปี้เอนดิ้งแน่นอนค่ะ เพียงแต่...แมวแต่งมันจบไปแล้ว และโฟกัสดินแดนเป้นตัวหลักเอาไว้ คงเปลี่ยนพระเอกไม่ได้หรอกค่ะ แง้ แต่...ถึงจะไม่ใช่แบบที่คุณคาดหวัง ก็อย่าทิ้งแมวเลยนะคะ แมวตั้งใจแต่งมันออกมาให้อ่านกันจริงๆ  

เป็นเจ้าของ

ออฟไลน์ Windtofree

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มันมีเรื่องที่จริงอยู่อย่างนึงนะว่าต่อให้โลกจะโหดร้ายกับเราแค่ไหนครอบครัวก็จะดีกับเราเสมอ

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[10] 50%


เปลี่ยนแปลง
[/b]

วันเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนย่างเงียบงัน ทุกสิ่งในชีวิตผมกลับมาเป็นเหมือนเดิมเหมือนก่อนหน้าที่ผมจะได้พบเจอกับดินแดน ผมถูกเอาใจทุกวี่วัน ถูกจับตามองราวกับของมีค่าที่กลัวจะสูญหายไปอีกครั้ง มันตลกดีนะครับสำหรับผม ผมมองว่าเป็นความห่วงใยที่ทุกคนมอบมันให้ผม

และผมรู้สึกดีใจมากที่ทุกคนต่างก็แสดงออกเพื่อผมขนาดนั้น

ผมเดินลงมาอย่างไม่เร่งรีบ มือซ้ายจับราวบันไดเพื่อก้าวลงไปเรื่อยๆ วันนี้ไม่สำคัญอะไร เพียงแต่ผมได้นัดหมายใครบางคนเอาไว้แล้ว

ใครคนนั้นกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่อย่างสบายอารมณ์ ขาข้างหนึ่งไขว้อยู่กับอีกข้าง วางท่ามาดคุณชายผู้หล่อเหลาได้อย่างน่าหมั่นไส้ ผมส่ายหน้าอย่างระอา หมอนี่จะเป็นแบบนี้เสมอเมื่อต้องมาในที่ที่ถูกจับจ้อง และคนที่จับจ้องก็ไม่ใช่ใคร เป็นพี่ชายของผมเอง

พี่มินหรี่ตากอดอกพิงโซฟาอย่างจับผิด มองท่วงท่าที่ไม่แยแสต่อการถูกจับตามองอย่างไม่ค่อยจะชอบใจนัก จนผมอดคิดไม่ได้ว่าตกลงแล้วสองคนนี้มีเรื่องอะไรกันมาก่อนหรือเปล่า

“ทำอะไรกันครับ?” พี่มินกะพริบตาลงแล้วหันมามองผม สายตาที่ใช้จับจ้องอนุรักษ์เพื่อนผมเอาไว้ก่อนหน้าหายไปจนหมด เหลือเพียงแววตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูของพี่ชายที่ใช้มองน้องชายเท่านั้น ผมขยับตัวเดินลงไปจนถึงโซฟา มองอนุรักษ์ที่นั่งนิ่งริมฝีปากติดรอยยิ้มเล็กๆ เอาไว้ด้วยความยียวน

“ไมน์ จะไปไหนหรือวันนี้ แต่งตัวเสียหล่อเชียว” สายตาของพี่ชายกวาดมองเสื้อผ้าหน้าผมของผม คงจะแปลกอยู่มาก ผมเองก็รู้สึกแปลกเช่นกัน เสื้อผ้าในตู้ของผมแทบจะล้น เรียกได้ว่าไม่มีทางจะใส่ได้หมด พอนึกย้อนไปในเวลาก่อน ผมเป็นคนที่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเสียจริง ไม่ได้คิดคำนึงถึงอะไรต่างๆ

แต่แล้วยังไงล่ะ? ประหยัดไปแล้วได้อะไร ทำดีแล้วมีใครมองเห็นไหม

ขนาดผมทำดีแทบตาย…ดินแดนยังเลือกคนอื่น ไม่ใช่ผม

ผมจึงตัดสินใจแล้วว่าจากนี้ไป ผมจะกลับเป็นคนเดิม อะไรที่เป็นความสุข ผมจะทำ อะไรที่ผมพอใจ ผมจะทำ ผมจะไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น จะเป็นไมน์คนที่เขาไม่รู้จัก เป็นไมน์อีกคนที่ไม่ว่าใครก็ไม่เคยเห็น

ผมอาจจะถนัดใช้เงินมาตั้งแต่เกิดก็ได้ แต่ใช่ว่าผมจะไม่รู้จักค่าของเงิน ทุกสิ่งที่หามาด้วยความยากลำบากผมย่อมต้องถนอมมันไว้ แต่คนอย่างผมต่อให้ใช้ไปเท่าไหร่ผมเองก็จะหามาให้มากกว่าเท่าตัว ผมส่งยิ้มให้พี่มินน้อยๆ ก้มลงมองตัวเองที่ใส่เสื้อผ้าตัวเองเมื่อสี่ปีก่อนอย่างพอดีตัว

“ครับ ผมนัดกับรักเอาไว้ว่าจะไปเที่ยวกันสักหน่อย” พี่มินเมื่อได้ยินคำว่าไปเที่ยวของผมสายตาก็พลันทอประกายอ่อนโยนโยนและยินดีอย่างสุดซึ้ง

“งั้นหรือ…ดีแล้วล่ะ อยากไปที่ไหนก็ไปเถอะ เรื่องคอนโดพี่ให้คนจัดการเก็บของต่างๆ ให้เรียบร้อยแล้ว อยากเข้าไปวันไหนก็เข้าไปได้เลย” ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ มองพี่มินอย่างขอบคุณจากใจจริง

“แล้วนี่มีเงินพอหรือเปล่า?” ผมหลุดหัวเราะกับคำถามของพี่ชายที่ทำเหมือนผมอายุสี่ห้าขวบ

“พี่มิน ผมน้องชายพี่นะครับ เป็นลูกชายคนเล็กของบ้านสุทธิวรเวช ถ้าผมไม่มีเงิน พี่เอกก็คงไม่มีเหมือนกันนั่นล่ะ”

ครอบครัวเราร่ำรวยมากมายเท่าไหร่ ติดอันดับต้นๆ ของประเทศด้วยซ้ำแล้วผมจะไม่มีเงินเที่ยวได้ยังไงกัน พี่มินก็ช่างพูดไปเรื่อยจริงๆ

“จริงด้วยสินะ ทำไงได้ล่ะ ใครใช้ให้น้องชายคนนี้ของพี่ออกไปอยู่คนเดียวแบบนั้น พี่ก็ต้องเป็นห่วงอยู่แล้วสิ” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ พยักหน้ารับคำพูดที่ดูเหมือนจะกึ่งเขินอายกึ่งขึงขัง ผมรู้…ไม่ใช่แค่พ่อกับแม่หรอกนะครับที่คอยส่งเงินให้ผมเป็นระยะๆ เพราะพี่มินพี่ชายของผมคนนี้เองก็คอยส่งมาเสมออยู่เช่นกัน ทุกคนต่างกลัวว่าผมจะอยู่อย่างลำบาก กลัวว่าผมจะใช้ชีวิตอยู่อย่างยากจนข้นแค้น

ยังไงมันก็คือความหวังดี ผมเพียงแค่ยอมรับ แต่ไม่ได้นำออกมาใช้ อาจจะมีบ้างในยามที่จำเป็นเช่นเมื่อผมไม่สบายหนักๆ ผมก็ต้องไปหาหมอ และค่ารักษาก็ไม่ใช่น้อยๆ

“ผมรู้ครับ ผมรู้แล้ว” พี่มินลอบถอนหายใจออกมาเสียงเบา ดวงตาฉายแววความปวดใจอยู่ไม่น้อยเลยเมื่อพูดถึงเรื่องที่ผมจากไป

มันเป็นความผิดของผมเองที่เดินออกไป

“เอาเถอะๆ ยังไงก็จะไปเที่ยวใช่ไหม ก็ไปเถอะไมน์ เที่ยวให้สนุกล่ะ” ผมส่งยิ้มกว้างให้พี่มินอย่างประจบประแจง

“ครับพี่ พี่ก็ทำงานให้สนุกนะครับ ไปกันเถอะรัก”

“ได้…สวัสดีครับคุณ”

อนุรักษ์ยกมือขึ้นไหว้พี่ชายของผมตามปกติ ว่าแต่ทำไมบรรยากาศของสองคนนี้มันถึงได้แปลกๆ กันนะ เพราะตั้งแต่จำความได้ เราสองคนพี่น้องก็สนิทและวิ่งเล่นกันกับรักมาตลอด ขนาดช่วงที่ผมยังไม่ได้ออกจากบ้านไปพี่มินกับรักก็ยังดูเป็นพี่เป็นน้องกันดีๆ อยู่เลย

เวลาเพียงแค่สามสี่ปีสามารถทำให้คนที่สนิทสนมราวกับพี่น้องเป็นคนแปลกหน้าไปได้หรือ?

ถึงแม้ว่าจะเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจมากมายแค่ไหนก็ตาม แต่ตอนนี้ผมจำเป็นต้องเดินตามหลังของเพื่อนรักไปอย่างช่วยไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ยังมีเวลาสืบสาวราวเรื่องอีกมาก แต่ตอนนี้ผมมีเรื่องสำคัญมากที่ต้องไปจัดการ นั่นคือการเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่

ผมนอนคิดมาหลายคืน รูปลักษณ์ของผมตอนนี้มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองยังไม่อาจจะตัดดินแดนออกไปจากใจของผมได้ ผมอยากจะลอง ลองทำสิ่งใหม่ๆ ลองทำตัวเองให้เปลี่ยนไป แม้สักนิดบางทีผมอาจจะสามารถดึงจิตใจที่เข้มแข็งของตัวเองออกมาได้บ้าง เพราะงั้น…ผมจึงได้โทรไปหาอนุรักษ์และนัดหมอนี่เพื่อจะให้หมอนี่ช่วยผมในเรื่องนี้

“มึงแน่ใจนะไมน์?” อนุรักษ์ถามผมอย่างไม่แน่ใจเมื่อเข้ามานั่งในรถ ผมจึงพยักหน้าให้หมอนั่นได้มั่นใจขึ้นมากับการตัดสินใจของผม

“แน่ใจสิ” รักถอนหายใจออกมากับคำตอบของผมแต่ก็ยินยอมออกรถแต่โดยดี สายตาของรักจับจ้องไปยังท้องถนน แต่ผมคิดว่ารักคงมีบางอย่างอยากจะพูดออกมาแต่ไม่ยอมพูด

หึ…ดูจากสีหน้าก็รู้

“เฮ้อ…มีอะไรก็พูดมาเถอะว่ะ” ผมไม่ค่อยชินกับทางที่อยากจะเอ่ยอะไรออกมาแต่กลับเก็บงำเอาไว้ของอนุรักษ์ หมอนี่เคยเป็นแบบนี้ที่ไหน เวลาปกติเอาแต่บ่นเอาแต่พูดๆ ด้วยซ้ำ

“ความจริงแล้วกูแค่…ไม่อยากให้มึงศัลยกรรม”

เดี๋ยว! ใครจะไปทำศัลยกรรมนะ?

ผมอึ้งจนแทบจะอ้าปากค้าง จริงอยู่ที่ผมบอกว่าอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทำตัวเองให้เป็นคนใหม่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมจะอยากทำศัลยกรรมเสียหน่อย นี่เพื่อผมมันใช้อะไรคิดครับ หรือผมพูดอะไรออกไปไม่เคลียร์กัน? จากความเข้าใจผิดที่รักพูดออกมาทำให้ผมหลุดขำพรืดออกมาเสียยกใหญ่ จนเจ้าตัวที่ถูกผมหัวเราะใส่เริ่มชักสีหน้า มองด้วยแววตาดุๆ ราวกับว่าน่ากลัวเสียเหลือเกิน

“ขำอะไรหนักหนา?”

“ขอโทษๆ ฮ่าๆ ก็มึงพูดออกมาแบบนั้นกูก็เลยอดไม่ได้จริงๆ” ก็มันจริงนี่นา ผมแค่อยากตัดผม อยากเปลี่ยนสีผมเปลี่ยนแปลงอะไรเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้คิดจะทำหน้าใหม่แบบที่รักเข้าใจเสียหน่อย มันก็เลยทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

อนุรักษ์หน้าตึง ตวัดสายตามองค้อนผมเสียยกใหญ่เมื่อเสียงหัวเราะของผมยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง ผมปาดน้ำตาออกจากหางตาตัวเองเมื่อผมหัวเราะมากจนเกินไป อนุรักษ์ขับรถตรงไปตามถนนใหญ่เรื่อยๆ โดยมีเสียงเพลงเคล้าคลอเบาๆ ไปตลอดทาง น่าแปลกที่อารมณ์ผมไม่ค่อยจะย่ำแย่เหมือนก่อนหน้านี้ เพราะหากว่าเป็นก่อนหน้าผมคงจะเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วก็เอาแต่ร้องไห้

บางทีอาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้เจอ ไม่ได้ข่าวคราวของดินแดนหัวใจของผมจึงเหมือนอยู่ในช่วงจำศีล ความเจ็บปวดทรมานจึงได้หายไปจากผม ผมหลับตาร้องคลอไปกับเพลงอย่างสบายอารมณ์จนถูกอนุรักษ์แซ็วเสียยกใหญ่

“สบายเหลือเกินนะ นี่ทำใจเรื่องมันได้แล้วสิ?” ผมลืมตาขึ้นมา แม้จะไม่ได้เจ็บปวดแต่พอถูกทักจากคนข้างๆ ก็อดรู้สึกหวิวๆ ในอกไม่ได้

“ไม่รู้สิ กูเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่คิดว่าการได้ห่างจากมันแบบนี้ ไม่นาน…กูคงจะทำใจได้” ผมก้มหน้าลงมองปลายนิ้วที่เกี่ยวกันเล่นของตัวเองระบายรอยยิ้มออกมาอ่อนๆ เหมือนคนที่ไม่สามารถหาคำตอบอะไรให้กับเพื่อนได้ อนุรักษ์ถอดถอนหายใจ หันมามองผมชั่วขณะหนึ่งก่อนจะหันกลับไป

“ขอโทษที กูผิดเอง”

“ไม่ใช่ความผิดมึงหรอก”

ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่ความผิดของมันเลย ผมก็แค่อ่อนไหวไปเองก็เท่านั้น

“สรุปแล้วที่มึงบอกว่าอยากเปลี่ยนตัวเองนี่คืออะไรกันแน่?” ผมหัวเราะเบาๆ กับอาการสนอกสนใจของรักที่มีต่อเรื่องนี้ไม่ยอมปล่อยวาง

“ก็แค่ตัด เปลี่ยนสีผม กูไม่ได้คิดจะไปทำนงทำหน้าอะไรที่มึงคิด” ได้ยินแบบนั้นอนุรักษ์ก็ถอนหายใจใส่ผมอย่างโล่งอก ใบหน้าดูดีขึ้นมาหลายส่วนจนคลายคิ้วที่เคยขมวดลงไปได้

“แบบนั้นกูก็ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย”

“เพราะงั้นกูถึงโทรนัดมึงออกมาไง”

“ทำไมวะ?” อนุรักษ์เหลือบมองผมเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจ

“กูอยากไปร้านพี่หนูเล็ก” พี่หนูเล็กคือช่างตัดผมฝีมือดีขนาดที่คนดังทั้งหลายยังต้องโทรเข้าไปจองคิว ซึ่งให้บังเอิญว่าพี่หนูเล็กคนนี้เป็นคนรู้จักมักจี่ หรือจะเรียกว่าสนิทชิดเชื้อกับแม่ของอนุรักษ์ก็ได้ เพราะงั้นอนุรักษ์เพื่อนที่แสนดีคนนี้จึงเป็นเหมือนกับใบเบิกทางสำคัญที่จะทำให้ผมลัดคิวเข้าไปได้ ผมยิ้มน่ารักใส่มันแต่มันกลับกลอกตาใส่ผมราวกับเบื่อหน่ายการใช้ประโยชน์จากคนของผมเหลือเกิน

ผมผิดตรงไหนเล่า ก็ผมอยากไปร้านพี่หนูเล็กนี่!

“ครับๆ ทราบแล้วครับคุณหนูไมน์…”

ผมไม่สนใจเสียงประชดประชันของมันหรอก ผมเอนตัวนั่งอย่างสบายอารมณ์ ฮัมเพลงต่อไปโดยไม่สนใจคนข้างๆ อีก อนุรักษ์กลับรถแล้วขับต่อไปตามเส้นทางที่เจ้าตัวคุ้นเคย ผมไม่ได้ไปบ่อนนัก แทบจะนับครั้งได้จึงจำเส้นทางไม่ได้เหมือนรักมัน เพียงไม่นานนักรถก็เคลื่อนมาจอดสนิทอยู่หน้าร้านเป็นที่เรียบร้อย







..........50%..........







อนุรักษ์ผู้ไม่เคยปฏิเสธเพื่อนได้ อยากมอบโล่ดีเด่นให้น้องเหลือเกินค่ะ ว่าแต่ หนูคิดได้ยังไงคะลูกกกกก ว่าน้องจะไปศัลย์หน้า โถๆๆ 

เป็นเจ้าของ

ออฟไลน์ Windtofree

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :z3: :z3: อย่าเปลี่ยนอะไรเยอะจนลืมตัวตนของเรานะไมน์

ออฟไลน์ t152_rakjai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[10] 100%



ผมกับอนุรักษ์ลงจากรถทันที ท่าทางของเพื่อนผมมันก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร คงมีแต่ผมเสียมากกว่าที่เร่งรีบไปเอง ความตื่นเต้นเริ่มเข้ามาในหัวใจ รู้สึกวูบวาบชวนให้อยากเข้าห้องน้ำเสียเหลือเกินตอนนี้ แต่ผมก็สูดลมหายใจเรียกความกล้าพร้อมกับเดินต่อไปยังร้านด้านหน้า

L&J

นั่นคือร้านที่ทุกคนอยากจะเข้าไป และแน่นอนว่าราคาย่อมไม่ถนอมกระเป๋าแม้แต่น้อย

แล้วผมสนหรือครับ? ผมมีเงินเสียอย่าง แพงแค่ไหนผมก็จะทำ

“ต๊าย สวัสดีค่ะน้องรัก ไม่เจอกันตั้งนานเลยนะคะเนี่ย” อนุรักษ์คิ้วกระตุกยิกๆ ปากก็ปั้นแต่งรอยยิ้มที่ดูก็รู้ว่าฝืนออกมาให้ผู้ชายตัวเล็กที่พูดคะขาอยู่ตรงหน้า

“สวัสดีครับพี่หนูเล็ก พอดีเพื่อนผมอยากจะให้พี่ช่วยทำผมให้หน่อย วันนี้พี่หนูเล็กพอมีเวลาว่างไหมครับ?” แม้จะพยายามพูดออกมาให้ผม แต่ดูก็รู้ว่ารักมันฝืนอยู่มากๆ สีหน้าของมันย่ำแย่จนน่าขำ ผมจำได้ดีวันนั้นที่มันวิ่งร้องไห้มาหาผม ร้องห่มร้องไห้ว่าถูกพี่ชายข้างบ้านที่รู้จักกันจับมาเป็นตุ๊กตาเพราะว่ามันน่ารัก ซึ่งผมเองยังเด็กเลยไม่ค่อยเข้าใจ แต่ดูท่าจะยากลำบากพอควร

เพราะตุ๊กตาของพี่หนูเล็กคงไม่ใช่หุ่นยนต์ตัวใหญ่แน่ รักมันคงถูกจับใส่กระโปรงกับติดโบว์สีชมพูเสียมากกว่า

“เอ๋ ปกติร้านพี่ต้องนัดเวลาล่วงหน้านะคะ แต่ไม่เป็นไรค่ะ เพื่อน้องรักพี่ยอมแหกกฎ ทำให้เพื่อนตัวน้อยของน้องรักก่อนเลย” ผมฉีกยิ้มกว้าง ในใจรู้สึกยินดีจนเก็บเอาไว้ไม่อยู่

“ขอบคุณครับพี่ ผมขอโทษนะครับที่ไม่ได้โทรนัด” เพราะผมอยากจะทำมันเพื่อลืมใครบางคน

ประโยคนั้นผมไม่ได้พูดออกไป พยายามฉีกยิ้มเต็มที่สะกดกั้นความรู้สึกแย่ๆ ที่คิดจะกลับเข้ามาในหัวใจเอาไว้จนไม่สามารถแสดงตัวได้อีก

พี่เล็กยิ้ม มองผมอย่างประเมินงาน เดินวนรอบตัวผมอย่างครุ่นคิดแล้ววกกลับมามองหน้าผมอีกครั้ง

“จะว่าไปคุณน้องนี่ผิวพรรณดีจังเลยนะคะ หน้าตาก็ดูจิ้มลิ้มน่ารัก ปากแดงตาโต แก้มก็น่าฟัดสุดๆ” สายตาที่จ้องมาวาววับจนผมกับอนุรักษ์แทบจะยืนกอดกันตัวสั่น ไม่เอานะ ผมไม่อยากเล่นเป็นตุ๊กตาเหมือนอนุรักษ์มัน!

“คะ ครับพี่ พะ ผมอยากจะตัดผมกับเปลี่ยนสีครับ อยากลองเปลี่ยนอะไรใหม่ๆ ดู” เผื่อเรื่องเก่าๆ จะหายไปบ้างเมื่อผมเปลี่ยนตัวเอง ผมยิ้มเศร้าอยู่เสี้ยววินาที ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มปกติที่ผมใช้มันกับทุกคน

“อืม…พี่ว่าผมหนูก็ไม่ได้ยาวนะคะ ถ้าตัดไปพี่คิดว่าใบหน้าหนูอาจจะไม่รับกับทรงน่ะสิ” ผมจับหน้าตัวเอง ขมวดคิ้วคิดตามคำพูดของพี่หนูเล็กแล้วหันไปมองกระจก

มันก็จริงที่ผมของผมไม่ได้ยาว เพียงแค่ระต้นคอเท่านั้น ผมด้านหน้าที่ปรกลงมาจนถึงช่วงหน้าผากก็ยิ่งเสริมให้ตัวผมดูเล็กและน่ารัก

เดี๋ยวสิ ผมไม่ควรชมตัวเองใช่ไหม

“แล้วพี่คิดว่าผมควรทำอะไรดีครับ?” เพราะผมไม่อยากจะเป็นคนเดิมอีกแล้ว อยากลองเปลี่ยนตัวเองดูใหม่ อะไรๆ มันอาจจะดีขึ้นมาก็ได้

“พี่ว่าเล็มๆ เอาก็พอค่ะ ส่วนเรื่องสีผม หนูคิดไว้ว่าจะเอาสีไหนคะ” สีไหนหรือ…นั่นสิ ผมควรจะใช้สีไหนดี ชั่ววินาทีนั้นผมหันไปเจอนิตยสารฉบับหนึ่งที่วางเอาไว้ นายแบบบนปกทอดสายตามองตรงมาที่ผม รอยยิ้มของเขาคล้ายกับแสงตะวันที่เจิดจ้า ผมของเขา ผมของเขาคนนั้นเป็นสีออกเทาดูดึงดูดสายตาไม่ใช่เล่น

และมัน…ถูกใจผมเหลือเกิน

“ผม…อยากได้สีนั้นครับ” ผมชี้ไปที่ปกนิตยสารเล่มนั้นให้พี่หนูเล็กหันไปมอง พี่เขามีสีหน้าตกอกตกใจแล้วหันมามองผมอีกครั้ง

“เลิศมากค่ะ! รสนิยมหนูดีมากเลยค่ะลูก มาค่ะ เดี๋ยวพี่จะทำให้หนูดูดีจนคนต้องมองเหลียวหลังเชียวล่ะ”

อนุรักษ์ที่หลุดออกจากความสนใจของพี่หนูเล็กก็ลอบถอนหายใจและเลือกที่จะไปนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือรอผมแทน ส่วนผมก็ถูกพี่หนูเล็กดึงไปจัดการทำนั่นทำนี่ตามที่ผมบอกความต้องการเอาไว้

หวังว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะพอช่วยให้ผม…ลืมเขาได้บ้าง











“เรียบร้อยละ แล้ว กรี๊ดดดดดด!” ผมที่กำลังจะหลับเพราะการทำผมครั้งนี้ใช้เวลานานพอสมควรก็ต้องสะดุ้งตกใจกับเสียงกรีดร้องของพี่หนูเล็ก

“อะไรๆ เกิดอะไรขะ ขึ้น…” อนุรักษ์ชะงักกึก มองผมด้วยสีหน้าและแววตาตกตะลึงปนทึ่งราวกับไม่เชื่อในสายตาตัวเอง ผมเกิดความงุนงงกับท่าทีของทั้งสองคน คนหนึ่งดีดดิ้นส่งเสียงร้องทั้งที่ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ อีกคนยืนนิ่งเป็นหุ่นอ้าปากค้าง มันทำให้ผมสงสัยจนต้องหันไปมองกระจกแทบจะทันที เพราะกลัวว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะทำให้ผมดูแย่ขึ้นไปอีก

“นะ นี่มัน!”

ไม่อยากเชื่อ! นั่น นั่นคือผมจริงๆ เหรอ

ผมนั่งตะลึงในความสามารถของพี่หนูเล็ก แม้ว่าจะได้ยินชื่อเสียงของพี่หนูเล็กมานานแต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะสามารถเปลี่ยนผมได้แบบนี้ เส้นผมสีเทาอ่อนๆ ยิ่งขับผิวขาวละออของผมให้เด่นยิ่งขึ้น ผิวแก้มสีอ่อนจากเลือดฝาดยิ่งทำให้ตัวผมหยุดมองตัวเองไม่ได้

ผู้ชายในปกนิตยสารนั้นว่าดูดีจนหยุดมองไม่ได้แล้ว

แต่ผมกลับ…

“พี่หนูเล็กครับ นั่น นั่นคือผมหรือครับ” ไม่อยากจะเชื่อ ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ

“ใช่ค่ะ โอ๊ยเป็นบุญของพี่เหลือเกินที่ได้ทำผมให้หนู”

“พี่เก่งเกินไปแล้วครับ เปลี่ยนสีผมจนผมแทบจะจำตัวเองไม่ได้” จากผู้ชายหน้าตาไทยๆ ตอนนี้ผมดันหน้าตาอินเทรนด์ไปทางเกาหลี แบบนี้ไม่เรียกว่าเก่งจะเรียกว่าอะไรได้ล่ะครับ ผมหันกลับไปหาพี่หนูเล็กที่กำลังยืนชอบอกชอบใจกับผลงานที่ออกมา ส่วนอนุรักษ์เพื่อนของผมก็ยังไม่ได้หลุดออกจากภวังค์เลยแม้แต่น้อย

“พี่ที่ไหนกันละคะ ถ้าเบ้าหน้าหนูไม่ดี ถึงเป็นพี่ก็ไม่ได้ขนาดนี้หรอกค่ะ ทำไมหนูสวย ไม่สิ หล่อ ไม่ใช่ๆ น่ารัก โอ๊ย! พี่ใช้คำเรียกหนูไม่ถูกแล้วค่ะตอนนี้ แต่หนูอปป้ามากเลยค่ะลูก ไม่นะ! อย่าทำสายตาแบบนั้นกับพี่ หัวใจพี่มีให้แค่หนุ่มหล่อกล้ามใหญ่เท่านั้น พี่จะไม่หวั่นไหวกับเด็กชายตัวน้อยๆ แบบนี้ กรี๊ดดดด!”

ผมเกิดอาการใบ้กินขึ้นมากะทันหัน ผมก็แค่หลุบสายตาลงมองเศษซากเส้นผมที่ถูกพี่หนูเล็กเล็มมันทิ้งไปว่าเท่าไหร่ ก่อนจะค่อยๆ ช้อนสายตาขึ้นมามองใบหน้าของพี่หนูเล็กอีกครั้งเอง ทำไมพี่หนูเล็กต้องเอามือไปกุมหัวใจแล้วเดินเซไปมาเหมือนคนไม่มีแรงจะยืนด้วยกันล่ะ?

“รัก ไอ้รัก!”

“หะ หา ขอโทษที กูไม่นึกว่ามึงจะเปลี่ยนไปขนาดนี้ เชี่ย…กูใจเต้นเลยว่ะ” ผมกลอกตาใส่มันอย่างเบื่อหน่าย พูดก็พูดเถอะมันเคยใจเต้นกับผมที่ไหน อนุรักษ์มันเป็นพวกตายด้าน ผู้หญิงหรือผู้ชายคนไหนมันก็ไม่สนหรอกครับ ความจริงตอนสมัยเป็นเด็ก อนุรักษ์มันติดพี่ชายผมเสียยิ่งกว่าอะไร พอโตขึ้นมานี่ล่ะถึงได้เปลี่ยนมาติดผมแทน อาจจะเป็นเพราะเราอายุเท่ากัน อีกทั้งยังเรียนที่เดียวกันมาตั้งแต่เล็กจนโต นั่นก็เป็นธรรมดาที่มันจะสนิทสนมกับผมมากกว่าพี่มิน

“ไม่ต้องมาพูด กูเชื่อมึงก็ควายแล้วล่ะ พี่หนูเล็กครับ ทั้งหมดเท่าไหร่ครับ?” ผมเลิกสนใจเพื่อนตัวเองแล้วหันไปสอบถามราคาที่ต้องจ่ายกับพี่หนูเล็กแทน แต่พี่หนูเล็กกลับยกมือขึ้นมาโบกไปมาเพื่อปฏิเสธ

“ไม่ต้องค่ะ ไม่ต้องๆ พี่เก็บเงินกับหนูไม่ลงจริงๆ แต่ถ้าหากหนูอยากตอบแทนพี่ พี่ขอหน้าหนูมาโปรโหมดร้านได้ไหมคะ” ผมหัวเราะเสียงใส พยักหน้าตอบรับพี่หนูเล็กอย่างว่าง่าย เพราะสิ่งที่พี่หนูเล็กขอมันไม่ได้มากมายอะไร อย่างที่ชีวิตผมก็ถูกเปลี่ยนไปเพราะพี่หนูเล็ก จากคนที่ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากมาย เป็นคนที่แทบจะสะกดทุกสายตาให้มองมา เรื่องแค่นี้ทำไมผมจะให้พี่หนูเล็กไม่ได้

เมื่อตกลงกันได้ผมก็นั่งเป็นแบบให้กับพี่หนูเล็กเก็บรูปของผมเพื่อเอาไปโปรโหมดร้านให้อย่างที่พี่หนูเล็กต้องการอย่างไม่อิดออด แถมยังยิ้มกว้างให้เสียด้วยซ้ำ ตอบแทนที่พี่หนูเล็กทำให้ผมดูดีได้ขนาดนี้

จากนั้นผมกับอนุรักษ์ก็เดินออกมาจากร้านแล้วตรงไปขึ้นรถที่จอดอยู่ไม่ไกล ระหว่างที่เดินออกจากร้านมา ผมถูกสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมาที่ผมไม่ลดละ จับจ้องผมจนต้องหันไปมองรอบข้างตัวเองเพราะไม่คุ้นชิน แต่ก็เป็นเพราะพี่หนูเล็กเปลี่ยนแปลงผมครั้งใหญ่นี่ล่ะครับ ทุกคนถึงจ้องมองผมกันขนาดนี้

“จะไปไหนต่อวะ?” ผมยืนนิ่งคิดอยู่เล็กน้อยก่อนจะตอบไปอย่างมั่นใจ

“กูอยากไปที่ร้านตัวเอง”

ทิ้งงานมานานเกินไป ยังไงก็ต้องไปตรวจดูเสียบ้าง อย่างน้อยก็โผล่หน้าไปให้พวกน้องๆ ได้เห็นหน้าผมบ้าง เดี๋ยวจะคิดว่าผมตายไปแล้ว









มูฟออนแล้วเดินตอ่ไป น้องทำถูกแล้วค่ะลูก ว่าแต่ว่าพี่หนูเล็กคะ รบกวนขอพิกัดร้านได้ไหมคะ แมวอยากเปลี่ยนตัวเองบ้าง (สาเหตุหลักคือจะไปขโมยรูปลูกชาย) ใครรออ่านพาร์ทคนใจร้ายอยู่บ้างงงง ตอนหน้าจะได้อ่านแล้วน้าาาา

เป็นเจ้าของ

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[11] 50%

บางสิ่งที่หายไป
[/b]

DinDan’ s Part

ไมรวี ชื่อนี้เป็นชื่อของผู้ชายที่เรียกตัวเองว่าคนรักของผม ซึ่งมันก็ใช่ สำหรับผมก่อนหน้านี้ไมน์เป็นคนที่ผมอยู่ด้วยแล้วมีความสุขมาก รู้สึกเหมือนได้เติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิต ไมน์น่ารัก ยิ้มง่ายและมักจะคอยดูแลผมเสมอมาไม่เคยเปลี่ยน เพียงแต่ช่วงหลังมานี้ ผมกลับรู้สึกว่าสิ่งที่ไมน์ทำมันดูควบคุมผมมากเกินไป คุกคามผมในพื้นที่ส่วนตัวของผมเองจนผมทนไม่ได้

แต่คนที่ทำให้ผมรู้สึกถึงสิ่งนี้คือเธอ

ผู้หญิงที่ผมเริ่มต้นจากความผิดพลาดมาเป็นความรัก

ใบบัว

วันนั้นเป็นงานวันเกิดของไอ้ภูมิ เพื่อนของผมที่จัดงานขึ้นและผมจะต้องไปร่วมงานด้วย เพียงแต่วันนั้นไมน์ป่วยหนัก ผมไม่อยากทิ้งไมน์ไส้คนเดียวแต่เป็นไมน์เองที่คะยั้นคะยอให้ผมไปร่วมให้ได้ เพราะไม่อยากเป็นต้นเหตุของการผิดใจกันของผมกับภูมิ

ภูมิไม่ชอบไมน์

เรื่องนี้ผมรู้มานานแล้วเพราะตัวของภูมิเองก็เอาแต่บ่นว่าผมไม่ควรคบกับไมน์ เป็นลูกชายเจ้าของโรงแรมใหญ่จะมาคบกับคนระดับนี้ได้ยังไง ดูก็รู้ว่าไมน์เจตนาไม่ดีต้องการจะมาเกาะผม ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ใส่ใจ ไม่อยากโต้เถียงกันจนทะเลาะกับมัน วันงานวันเกิดก็เหมือนทุกครั้ง ภูมิก็ยังคงบอกให้ผมหาคนอื่น บอกผมว่าไมน์ไม่ดีพอสำหรับผม เข้ามาในชีวิตของผมเพียงเพื่อจะเกาะผมกินเท่านั้น และผมเองก็ทำเช่นเคยคือการฟัง แต่ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธออกไป

ผมกับเพื่อนดื่มกันจนเมา เมาหนักจนจำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองนอนก่ายกอดใครบางคนในร่างเปลือยเปล่า ผู้หญิงที่สะกดกั้นความเสียใจเอาไว้ บอกว่าไม่โทษผมที่ทำกับเธอแบบนั้นเพราะผมเมา เธอฝืนยิ้มให้ผม แต่ผมดันเห็นรอยเลือดที่บ่งบอกถึงความบริสุทธิ์ทางร่างกายของเธอ มันยิ่งเหมือนถูกตีแสกหน้าเพราะผมเป็นคนแรกของเธอ

ผมรู้สึกผมอย่างมาก ทั้งกับไมน์และกับใบบัว เธอไม่เรียกร้องจากผม ไม่แม้แต่จะต่อว่าต่อขานหรือเข้ามาในชีวิต กลับเป็นเพราะความบังเอิญเสียอีกที่เล่นตลก ส่งเธอมาเป็นเลขาคนใหม่ของผม ความใกล้ชิดทำให้ผมเห็นเธอน่ารัก นิสัยดีของเธอที่ชวนให้อยากอยู่ใกล้ๆ เธอเป็นคนติดดิน ไม่ฟุ่มเฟือยเหมือนคนอื่นๆ และผมเองก็อดเปรียบเทียบไม่ได้ว่าไมน์เองยังไม่สามารถทำได้อย่างเธอ

ผมหลบหน้าไมน์ เพราะไม่สามารถมองคนรักของตัวเองด้วยสายตาแบบเก่าได้อีกแล้ว

ผมในตอนนี้…กลายเป็นคนลังเล เป็นคนที่ไม่อาจตัดสินใจได้ว่าควรจะต้องทำอย่างไร

ผมไม่รู้ว่าตัวเองคิดมากไปหรือเปล่า แต่ไมน์ในระยะหลังยิ่งทวีความน่ารำคาญใจมากขึ้น ในขณะที่ใบบัวกลับยิ่งน่ารักขึ้นทุกวัน หัวใจของผมสั่นไหว ยิ่งมองใบบัวผมก็ยิ่งอดรู้สึกยินดีไม่ได้ที่ได้เป็นผู้ชายคนแรกของเธอ ใบบัวทำงานเก่ง เป็นคนที่มีความสามารถ และเป็นคนที่ชวนให้ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจยิ่งกว่าไมน์

ใบบัวเธอเอาใจเก่ง น้ำเสียงหวานหูน่าฟัง ขี้อายจนผมอดเย้าแหย่เธอบ่อยครั้งไม่ได้ หัวใจของผมพองโต นับวันยิ่งรู้สึกชอบใบบัวมากยิ่งขึ้น ผมชอบที่มีเธออยู่ข้างกาย จนวันหนึ่งผมจึงได้ตัดสินใจ…ที่จะมีเธอตลอดไปแทนที่ไมน์

ผมเริ่มห่างจากไมน์ เริ่มใส่อารมณ์ให้ไมน์หยุดทำทุกอย่างที่ทำให้ผมในตอนนี้ จากความรักก็เริ่มเปลี่ยนเป็นความรำคาญใจ ผมเองก็ไม่เข้าใจ แต่ผมทนไม่ได้อีกต่อที่จะมีไมน์อยู่ข้างๆ

จากวันเป็นเดือน นานจนเหมือนกับว่าเป็นปี นับวันไมน์ก็ยิ่งเหนื่อยและท้อจนผมรู้สึกได้ จนวันนั้นที่ผมจงใจพาใบบัวเข้าไปนอนที่ห้องของผม แต่ไม่คิดว่า สิ่งที่ไมน์จะเข้าไปพบจะเป็นเรื่องจนถึงขั้นที่ไมน์จะสลบไป จนผมต้องพาไมน์ไปที่โรงพยาบาล และปล่อยทิ้งไว้ให้เพื่อนของไมน์เป็นคนดูแลต่อเอง

ผมไปเยี่ยมไมน์กับใบบัว จงใจพาใครอีกคนไปเพื่อให้ไมน์ได้เข้าใจเสียทีว่าผมต้องการจบความสัมพันธ์ ไมน์ยังคงร้องห่มร้องไห้ แววตาเจ็บปวดเจียนจะขาดใจที่มองมาที่ผมมันบีบหัวใจของผมมาก แต่ผมก็ยังคงหลับหูหลับตา เลือกสิ่งที่ผมคิดว่าใช่ที่สุดอย่างไม่สนใจอะไร

แต่เพียงแค่ไมน์เห็นใบบัว เห็นคนที่มากับผม ไมน์ก็เหมือนคนขาดสติ กรีดร้องด่าทออย่างที่ผมไม่เคยเห็นมันมาก่อน แววตาเหยียดหยามและดูแคลนที่ไมน์ใช้มันมองใบบัว ผู้หญิงที่ผมเลือกยิ่งทวีความไม่ชอบใจของผมให้หนักขึ้นไปอีก มันช่วยไม่ำด้ที่ผมจะรู้สึกแบบนั้น ไมน์เป็นใครถึงได้กล้าใช้สายตาแบบนั้นดูถูกคนอื่น แบบนี้มันไม่ถูกต้อง

ผมก็แค่ปกป้องผู้หญิงที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด

ผมหันหลังเดินออกมาทั้งที่ไมน์วิ่งตามมาโดยไม่สนใจว่าร่างกายตัวเองกำลังย่ำแย่แค่ไหน เขาพยายามเหนี่ยวรั้งผม พูดเรื่องเก่าๆ รื้อฟื้นความสัมพันธ์ของเราสองคนขึ้นมาใหม่ ผมจึงได้จับมือของใบบัวเอาไว้จนแน่น พูดอย่างเลือดเย็นออกไปว่า ผมลืมมันไปหมดแล้ว

ไมน์คงเสียใจมาก ผมรู้ว่ามันแย่ที่พูดแบบนั้น แต่ผมก็ไม่อยากให้เขายึดติดกับผมอีก ผมจึงได้เมินเฉยทุกความเจ็บปวดของไมน์ ปล่อยให้คนอื่นปลอบใจเขาไป

หลังจากวันที่ผมพาเธอไปเยี่ยมไมน์พร้อมกับผม ใบบัวก็เปลี่ยนไป แม้จะไม่มากมายแต่ก็พอจะเห็นได้ชัดเจน จากที่เคยว่าง่าย ยังไงก็ได้ตามใจผม ในตอนนี้เธอกลับงอแง เอาแต่ใจตัวเอง เรียกร้องของจากผมไม่น้อย แต่เพราะผมยังคงชอบเธอมาก และไม่รู้สึกแย่อะไร ผมก็ให้เธอตามที่เธอเองต้องการ

จนวันก่อนที่ผมตื่นเช้าขึ้นมาหลังจากเมาหนัก ร่างกายของผมเมื่อยไปทั้งตัว แต่ผมเห็นร่างของไมน์ยืนอยู่ตรงนั้น ยืนอยู่ที่เบื้องหน้าของผม แววตาของไมน์เฉยชา ขอบตาแดงก่ำจากการร้องไห้ สีหน้าที่เรียบเฉยต่างจากที่ผ่านมามันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ในหัวใจ

ไมน์ร้องขอให้ผมไปพบเขาในตอนเที่ยงวัน เรียกร้องขอเวลากับผมจนผมหลุดอาการเหวี่ยงใส่เขาไป แต่ยังไม่ทันได้พูดจนจบ ไมน์กลับตอกกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาและกดดัน บอกว่านั่นคือสิ่งที่ผมต้องให้แก่เขา เขาไม่ได้กำลังขอร้อง แต่กำลังเรียกร้องมันจากผม ผมจึงได้ตอบตกลงไปทั้งที่ตัวเองแทบจะหาสติไม่เจอ

ผมแต่งตัวออกไปทำงาน มองนาฬิกาอยู่ตลอดเวลาว่าถึงเวลาที่นัดเขาหรือยัง แต่เมื่อเหลืออีกสิบนาที เพียงแค่ผมก้าวออกไปจากห้องทำงาน ผมก็เจอใบบัว เธอเช้ามากอดผม ยิ้มหวานให้กับผมแล้วชักชวนให้ผมไปเที่ยวกับเธอ ผมบอกเธอไปว่าติดธุระ แต่เธอกลับบอกว่าวันนี้ผมไม่มีนัดและเริ่มทำตัวเอาแต่ใจ งอนผมยกใหญ่จนผมต้องยอมตกลงไปกับเธอ

ผมคิดเพียงว่า เอาน่า…สายสักหน่อยไมน์คงไม่ว่าอะไร เพราะยังไงไมน์ก็รอผมได้เสมออยู่แล้ว

แต่เปล่าเลย นั่นไม่ใช่ความจริง ผมปลีกตัวออกมาจากใบบัวได้ก็บ่ายโมงกว่า ผมไปตามสถานที่นัดพบ มองหาร่างที่แสนคุ้นตากลับไม่พบเจอ เดินเข้าไปถาม เอารูปของไมน์ที่ยังอยู่ในโทรศัพท์ของผมให้พนักงานได้ดู เขาบอกเพียงว่ามาที่ร้านตอนเที่ยง แต่ไม่นานก็ออกไป

ผมเดินออกมาจากร้านอย่างมึนงงและสับสน ผมไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เฝ้ารอผมได้มาตลอด ไม่ว่าจะสายหรือผมจะผิดนัดยังไงก็ไม่เคยโกรธผม วันนี้เขาจะเดินออกไปโดยไม่คิดจะรอผมอีกแล้ว ผมสะกดกั้นความรู้สึกแปลกๆ ในใจเอาไว้แล้วกลับไปทำงาน ผมไม่มีสมาธิเลยสักนิด รอเพียงว่าเมื่อถึงช่วงเย็นของวันนี้ เมื่อผมเลิกงานผมจะไปคุยกับเขา อาจจะขอโทษเขาที่ปล่อยให้รอเสียหน่อยก็คงไม่เป็นไร

แต่เมื่อผมกลับไปถึงห้อง สิ่งที่ผมเจอกลับเป็นกล่องกระดาษใบใหญ่วางเอาไว้หน้าห้องของผม มีซองสีขาวอยู่ด้านบนผมจึงได้รีบเปิดมันดู กุญแจสีเงินร่วงลงสู่พื้นจนเกิดเสียงดังก้อง ผมจำมันได้ดีเพราะมันเป็นสิ่งที่ผมยื่นให้กับไมน์ด้วยตัวเอง กุญแจสำรองที่ผมให้เขา วันนี้เขาคืนมาให้ผมแล้ว

นั่นย่อมหมายความว่าเราสองคน…จะตัดขาดกันจริงๆ เสียที

หัวใจผมเบาหวิวราวกับว่ามันกำลังหายไป ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงเดินมาที่หน้าห้องของไมน์ ไม่รู้ว่าทำไมต้องเคาะประตู ถ้าหากไมน์เปิดออกมาผมจะพูดอะไรล่ะ? จะบอกหรืออธิบายหรือผมจะเหวี่ยงอารมณ์ใส่เหมือนที่ผ่านมา ผมเองก็ตอบคำถามที่เกิดขึ้นมาไม่ได้ แต่ผมรู้เพียงว่าในตอนนี้นั้น…แค่ไมน์เปิดประตูออกมาก็พอ ผมขอแค่นั้น แค่ได้เห็นหน้าไมน์ก็พอแล้ว

ช่วยเปิดออกมาหาผมสักครั้งหนึ่งเถอะ







..........50%..........

เนื่องจากวันนี้เป้นวันโกกโลก แต่แมวเห้นคนโกหกมาเยอะแล้ว เพราะงั้น...เรามาดูความจริงกันบ้างดีกว่าาาา ลงให้เป็นพิเศษเลยน้าาาา รอลุ้นครึ่งหลังพรุ่งนี้นะคะทุกคน

เป็นเจ้าของ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ smmikie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
น้ำตาจิไหลลลลลล มาอัพแล้วววว

ออฟไลน์ Windtofree

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ช้าไปแล้ว หึ

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[11] 100%



ความหวังของผมช่างริบหรี่เหลือเกิน ก่อนไปทำงานทุกเช้าผมจะเคาะประตูบานนั้นเหมือนทุกวันที่ผ่านมา เวลากว่าหนึ่งเดือนที่ทั้งเช้าและเย็นของผมจะต้องทำเรื่องเดิมๆ คือการเคาะประตู หวังให้ใครสักคนเปิดประตูออกให้ผม แต่หนึ่งเดือนที่ผ่านมาไม่เคยมีสักครั้งที่ประตูบานนี้จะเปิดออก ผมเฝ้ารอจนดึก หวังว่าไมน์อาจจะแค่ออกไปข้างนอก แค่ไม่อยากเจอหน้าผมจึงได้หลบเลี่ยงแล้วกลับมาในตอนดึกๆ

แต่ผมก็ได้แค่รอ รอจนหลับไปทุกๆ คืน

แต่วันนี้ไม่ใช่อีกแล้ว วันนี้ห้องของไมน์มีเสียงดังลอดออกมา มันทำให้ผมใจเต้นแรง ผมลืมเรื่องของใบบัวไปจนหมด ไม่ได้ใส่ใจเธอมากเท่ากับแต่ก่อน ผมในตอนนี้มีแต่เรื่องของไมน์ที่ต้องคิด กล่องใบใหญ่ที่ถูกบรรจุไปด้วยของในความทรงจำของเราสองคนถูกไมน์ส่งคืนมา มันยิ่งทำให้ผมอดทนต่อไปไม่ได้ พยายามหาทางที่จะคุยกับเขา

และวันนี้ผมจะต้องได้คุย เราจะต้องได้คุยกัน

ผมยืนนิ่งอยู่หน้าห้องของไมน์ เสียงภายในยังคงดังออกมาไม่ขาดหาย มือของผมสั่นไปหมด หัวใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก ผมเอื้อมมือไปเคาะและรอคนที่อยู่ด้านในให้เปิดมันออก

ถ้าไมน์เปิด ผมจะพูดกับเขาดีๆ จะพยายามยิ้มให้เขา ไม่ใส่อารมณ์กับเขาอีก

“มะ…”

ไม่ใช่ไมน์ คนคนนี้ไม่ใช่ไมน์ เขาเป็นใครกัน

“ครับ?” คนตรงหน้าผมเป็นผู้ชายอายุสามสิบที่ดูดีและภูมิฐานพอตัว ผมลอบมองเข้าไปด้านในก็เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชวนให้สงสัย

“เอ่อ ผมมาหาไมน์ ไมน์อยู่ไหมครับ?” อีกฝ่ายขมวดคิ้วใส่ผม ก่อนจะสบตาของผมอย่างไม่เข้าใจ

“ผมไม่รู้จักคนชื่อนี้นะครับ จำห้องผิดหรือเปล่าครับ?” จะผิดได้ยังไง ในเมื่อสองสามปีมานี้ผมมาที่นี่บ่อยครั้ง มาจนจำทุกอย่างภายในห้องได้แท้ๆ ผมเม้มปากกำมือแน่น ก่อนจะคลายมันออกเมื่อปรับอารมณ์ของตัวเองลงไปได้

“เขาชื่อไมรวีครับ คุณ…ไม่รู้จักเขาเลยหรือ” อยากพบ อยากเจอ อยากพูดคุย แต่เหมือนคว้ามาได้เพียงแค่อากาศและภาพติดตาที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น

“อ๋อ เจ้าของห้องคนเก่า พอดีผมซื้อต่อห้องนี้มาจากคุณไมรวีน่ะครับ”

ซื้อต่อมา ไมน์ขายห้องนี้แล้วหรือ? ทำไมกันล่ะ?

“ครับ ขอโทษด้วยนะครับ”

ผมเดินกลับมาอย่างคนที่ไร้วิญญาณ หัวใจของผมกำลังลอยห่างออกไปไกลแสนไกลจนแทบจะมองไม่เห็น ผมกลับเข้ามาในห้อง ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดเรี่ยวแรง มือหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ นำเอากุญแจสำรองที่ถูกคืนกลับมาให้แล้วมองมันอย่างเหม่อลอย

ภาพความเจ็บปวดของไมน์หลั่งไหลเข้ามาจนแทบจะควบคุมไม่ได้ ผมต้องทนรู้สึกผิดซ้ำๆ กับการกระทำอันเลวร้ายของตัวเองอย่าไงไม่รู้จบ

ไมน์จะร้องไห้มากแค่ไหนกันนะ

จะเสียใจแค่ไหนกันกับสิ่งที่ผมทำลงไปแบบนั้น

ผมปาดไล่น้ำตาออกอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น ในใจได้แตาคาดหวังให้คนที่เคาะเป็นร่างของคนที่แสนคุ้นตา คนที่ในตอนนี้ผมไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหน ผมพยายามหาทางติดต่อเขา แต่ก็ไม่มีแม้สักทางที่จะสามารถติดต่อหาเขาได้ ผมเคยคิดแม้กระทั่งว่าอีกไม่นานเขาคงจะเดินกลับมา เหมือนทุกครั้งที่เขาทำ แต่มันก็เป็นความหวังที่แสนเลือนราง เพราะความเป็นจริงแล้วไมน์ไม่แม้แต่จะโผล่หน้ามาให้ผมเจอด้วยซ้ำ

“แดนคะ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ คุณหายเงียบไปเลย”

ใบบัว…คนที่ผมเคยรู้สึกสบายใจที่ได้อยู่กับเธอ ชอบความน่ารักของเธอ

แต่ตอนนี้ผมกลับ…ไม่อยากเจอเธอสักนิด

ผมรู้ว่าตัวเองเลว เป็นคนโลเลที่นำแต่ความเจ็บปวดมาให้เธอ แต่ผมก็ไม่สามารถหยุดความรู้สึกลงได้ ผมกำลังเฝ้ารอไมน์ในขณะที่ผมมีใบบัวอยู่เคียงข้าง มันแย่ที่ผมไม่สามารถตัดใครออกไปได้อย่างจริงจัง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมเลือกแล้วว่าจะใช้ชีวิตกับใบบัว แต่ตอนนี้เพียงแค่ไมน์หายไปจากชีวิตของผม ผมกลับร้อนรนจนทนไม่ได้ กลับขวนขวายหาทางพบไมน์ไม่ว่าจะทางไหน

ผมรักใครกันแน่? ใครกันแน่ที่ผมต้องการอย่างแท้จริง?

“ผมไม่ค่อยสบายน่ะ คุณหลับไปก่อนเถอะ”

ผมกำลังจะปิดประตูลง แต่กลับถูกใบบัวคว้าเอาไว้แล้วแทรกตัวเข้ามาอย่างไม่พอใจ สายตาของเธอกวาดมองไปรอบห้องก่อนจะสะดุดตากับของที่ถูกวางเอาไว้ในตู้ มือของเธอกำแน่น ตวัดสายตามองผมอย่างไม่พอใจโดยที่ผมไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้เธอที่เคยอ่อนหวานกลายเป็นคนแบบนี้

“นั่นอะไรคะ? ครั้งก่อนที่บัวมามันไม่มีขยะพวกนี้อยู่นี่!” ความไม่พอใจเริ่มก่อตัวขึ้นมาในใจของผมไม่น้อย ขยะที่เธอว่าคือสิ่งที่ผมลงมือทำมันให้กับไมน์ เป็นความทุ่มเทที่ผมเคยทำมันออกมาด้วยตัวเอง ไมน์ยิ้มรับมันอย่างยินดี กอดมันเอาไว้อย่างรักใคร่ แต่เธอกลับบอกว่ามันเป็นขยะ

บอกว่าความพยายามของผมเป็นขยะชิ้นหนึ่งอย่างนั้นหรือ!

“ออกไปก่อน ผมไม่มีอารมณ์จะคุยกับคุณ” ผมพยายามควบคุมน้ำเสียงของตัวเองไม่ให้มันกระด้างจนเกินไป พยายามไม่ใส่อารมณ์ที่ตีวนกันให้วุ่นในตัวออกมาให้เธอได้รู้ เพราะผมจะต้องรักษามารยาทเสมอกับทุกคน ไม่เว้นแม้แต่กับเธอเอง

“แดน! คุณกำลังไล่บัวนะคะ!”

“คุณมาที่นี่ต้องการอะไร?” ใบบัวกอดอก เชิดหน้าขึ้นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แสนหยิ่งผยอง

“ก็คุณไม่มาหาบัวเลย เวลาเลิกงานคุณก็เอาแต่รีบกลับบ้าน เพื่อนๆ ของบัวอยากเจอคุณ คุณก็ไม่ไป เอาแต่บอกว่าไม่ว่าง ไหนจะเรื่องที่เราคุยกันไว้ว่าคุณจะพาบัวเข้าไปกราบคุณพ่อคุณแม่ของคุณอีก ทำแบบนี้เหมือนคุณไม่สนใจบัว คุณเบื่อบัวแล้วใช่ไหมคะ!” เรื่องของเธอมันไร้สาระเหลือเกิน เวลาผมไปเจอเพื่อนเธอก็ต้องเป็นร้านอาหารดังๆ เป็นสถานที่หรูหราที่แม้ว่าผมจะคุ้นเคยแต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องมาบ่อยแบบนี้

ผมปล่อยให้เธอควบคุมทุกอย่างในเรื่องความสัมพันธ์ของเรา ผมตามใจเธอให้ทุกสิ่งที่เธออยากได้ไม่เคยขัดใจ นับวันเธอก็ยิ่งใส่อารมณ์ ยิ่งเอาแต่ใจจนผมแอบถามตัวเองเหมือนกันว่า…นี่คือผู้หญิงที่ผมเคยรู้สึกดีด้วยคนนั้นจริง ๆ หรือ?

“แต่ละครั้ง…ไม่ว่ากี่ครั้งทำไมเพื่อนๆ ของคุณต้องนัดเราที่ร้านแบบนั้นด้วย” ใบบัวกัดริมฝีปาก เชิดหน้าขึ้นสูงราวกับว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด

“มันก็แค่ร้านอาหารร้านหนึ่ง ทำไมคุณต้องคิดเล็กคิดน้อยด้วยละคะ? โรงแรมคุณก็ออกจะใหญ่โต กำไรต่อปีก็มากมายมหาศาล แค่เลี้ยงเพื่อนของบัวสักหมื่นสองหมื่นมันจะทำให้คุณล่มจมหรือยังไงกัน!” ผมอยากจะหัวเราะเยาะตัวเองเหลือเกิน นี่หรือคือผู้หญิงที่ติดดิน นี่นะหรือคือคนที่ผมเคยคิดว่าดีกว่าไมน์ไม่รู้กี่เท่า

นี่นะหรือคือคนที่ผมตัดสินใจเลือกมา ผมมันตาบอดได้อย่าง

“ไม่เอาสิคะแดน คุณไม่เคยคิดมากเรื่องแบบนี้นี่คะ อีกอย่าง…พรุ่งนี้ก็งานวันเกิดเพื่อนบัวด้วย บัวกำลังคิดว่าเราควรจะเป็นเจ้ามือจัดงานให้เธอนะคะ คุณคิดว่าไงคะ”

“บัว คุณกลับไปเถอะ ผมอยากพักผ่อน” ผมคว้าแขนของเธอเอาไว้ ลากเธอไปยังประตูที่เปิดอยู่ แต่เธอทั้งดิ้นทั้งสะบัดตัว ส่งเสียงโวยวายราวกับแม่ค้าในตลาดจนผมรู้สึกอับอายเหลือเกิน

“แดน! ปล่อยนะ ทำกับบัวแบบนี้ได้ยังไงคะ! บอกมาสิว่าคุณไปติดอีหน้าไหน” ใครมันกล้าแย่งผัวบัว แดน แดน!!”

ผมปิดประตูลงกลอนแทบจะทันที ปล่อยให้เธอส่งเสียงกรีดร้องอยู่ด้านนอกโดยไม่สนใจว่าใครจะมองผมแบบไหน ตอนนี้ผมเหนื่อยล้าจนเกินกว่าจะสนใจอะไรได้ ผมทรุดตัวลงกับพื้น แผ่นหลังพิงประตูอย่างหมดซึ่งเรี่ยวแรงใดๆ ภาพไมน์ที่เคยเดินไปมายังคงมีให้ผมเห็นทุกครั้งที่หันไปมอง

สายตาของผมมองไปยังครัวที่บ่อยครั้งจะมีร่างของไมน์อยู่ในนั้น ก่อนที่กลิ่นหอมของอาหารจะลอยตลบอบอวลออกมาให้ผมรู้สึกหิว อาหารของไมน์อร่อยเสมอ รสชาติที่คุ้นเคยมันทำให้ผมคิดถึง เสียงท้องยังคงร้องประท้วงอยู่เป็นระยะ ทั้งที่ผมหิวเหลือเกิน แต่กลับไม่รู้สึกถึงความอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย

ไมน์ที่ใส่ผ้ากันเปื้อน คอยเก็บทำความสะอาดห้องให้ผมและเสียงบ่นที่ตามหลังมาไม่หยุดว่าผมไม่ยอมดูแลห้องตัวเอง ผมมักจะกอดไมน์ไว้ กดจูบที่ริมฝีปากสีแดงนั่นเพื่อหยุดเสียงบ่นที่กำลังต่อว่า มันได้ผลเสมอ นั่นจึงเป็นความทรงจำที่ทำให้ผมยิ้มออกมาได้ง่ายที่สุด

“แดน ทานข้าวได้แล้วนะ”

“แดน…ทำไมไม่เอาผ้าใส่ตะกร้าเอาไว้ล่ะ แบบนี้ไมน์เหนื่อยนะ”

“บอกแล้วไงว่าให้ทิ้งลงถังขยะ ไมน์ต้องตามเก็บให้ทุกทีเลย”

“แดน…ไมน์รักแดนนะ”

“แดนยิ้มหน่อยสิ ยิ้มมมม”


ทุกอย่าง ผมทำลายทุกอย่าง ผมเป็นคนที่ทำให้ไมน์ต้องเจ็บปวดและเสียใจ ผมทำให้คนที่ได้ชื่อว่าแฟนต้องร้องไห้ ผมเป็นคนพาความเจ็บปวดเข้ามาทำลายความสัมพันธ์ของเรา เป็นผมเองที่โลเลไม่หนักแน่นพอ เป็นผมเองที่โง่งม คิดว่าสิ่งที่อยู่ในมือคือของธรรมดาและคนที่ผมอยู่ตรงหน้าคือของล้ำค่า ทั้งที่ความจริงแล้ว…ไม่มีใครดีได้เท่ากับไมน์อีกแล้ว ไม่มีอีกแล้ว

ผมปรารถนา อยากได้ของรักที่ผมปล่อยมือไปกลับมา แม้ว่าของสิ่งนั้นจะบอบช้ำจนไม่มีชิ้นดี ผมก็ยินดีจะรักษาจนกว่ามันจะกลับมาเป็นปกติ

ผมรู้ว่าตัวเองทำเรื่องเลวร้ายมากมายแค่ไหน สายตาของไมน์ที่ทอดมองมายามที่ผมทำร้ายจิตใจของเขายังคงติดตาผมไม่หาย เสียงร้องไห้ที่ราวกับจะขาดใจในวันนั้นที่ผมหันหลังเดินจากเขามา กลับยังชัดเจนราวกับมันกำลังเกิดขึ้นอยู่ข้างๆ ผมในตอนนี้

“ไมน์…”

คิดถึง

ผมอยากบอกเขาเหลือเกิน อยากให้เขาได้ฟังมันสักครั้งว่าผมเสียใจ ผมอยากเจอเขา ขอร้องอ้อนวอนเขาให้กลับมาหาผม อยากให้เขาอภัยให้คนโง่ๆ อย่างผมสักครั้ง อยากจะเรียกสิ่งที่เรียกว่าหัวใจคืนมา เพราะผมรู้แล้วว่าไม่สามารถขาดเขาไปได้

ผมคิดถึงเขา อยากมีเขาอยู่ข้างๆ

ผมอยากกินอาหารของเขา จะไม่มีวันปัดมันทิ้งอย่างวันนั้นอีก ผมจะไม่ทำให้เขากลายเป็นคนที่เลวร้ายในสายตาใคร จะถนอมเขาเอาไว้ราวกับสิ่งมีค่าที่เปราะบาง จะรักษาเขาเอาไว้ไม่ให้ต้องทรมานใจอีก

ขอแค่เพียงเขายอมกลับมา ยอมให้อภัยคนที่ตามืดบอดอย่างผมสักครั้ง

ให้เขายอมกลับมารักผม…

ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ผมยอมทุกอย่าง

ขอเพียงได้มีไมน์ ไม่ว่าต้องสูญเสียอะไร มันก็คุ้ม

เพราะไมน์คือหัวใจของผมที่ผมทำมันหายไป







อ๋อออ เพิ่งรู้ตัวเหรอว่าน้องคือหัวใจ แล้วแกทำร้ายน้องแบบนั้นทำม๊ายยยยยยย ขึ้น! ขึ้นมาก วันนี้พาพาร์ทสุดท้ายของพระเอกในคราบตัวร้าย (เอ๊ะถูกใช่ไหม) มาฝากค่ะ ขอออกตัวนิดหนึ่งนะคะว่าแมววางเรื่องนี้ไว้ให้เขาสองคนได้อยู่ด้วยกัน เพียงแต่ เนื้อเรื่องของเราจะไม่ได้จบลงที่ง้อคืนดีแล้วจบปิ้งง ไม่ใช่เลยยยย มันมีอะไรมากกว่านั้น รอลุ้นเอานะคะทุกคนนน

เป็นเจ้าของ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
โอ๊ยย รู้ตัวช้าไปไหมอีแดน อีควายยย

ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
คบกันมา 2-3​ ปี​
โดยไม่เคยรู้จักอีกฝ่ายอย่างจริงจังเลย
ช่างเป็นความสัมพันธ์ที่เปราะบางยิ่งนัก
ไม่มีอนาคตอย่างที่สุด...

พูดว่ารัก... แต่ไม่รู้จักรัก
=_=

ออฟไลน์ Windtofree

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
จะบ้าตายรายวัน

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
มาต่อเร็วๆนะ  :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[12] 50%


ลืมเธอไม่ลง…แต่กลับไปไม่ได้
[/b]

อนุรักษ์จอดรถลงที่หน้าร้านแสนสุข ร้านอาหารที่ผมเป็นเจ้าของเพียงคนเดียว ผมมองร้านที่ถูกเปิดตามปกติอย่างเหนื่อยใจ นี่ตัวเองละเลยร้านไปนานเท่าไหร่แล้วนะ คงตั้งแต่ที่ผมมีเรื่องของดินแดนให้ได้คิดและต้องพยายามเหนี่ยวรั้งหัวใจของเขาเอาไว้กับตัวผมเอง

จะว่าไปถ้าผมรู้ตัวเร็วกว่านี้ ไม่สิ ต้องเรียกว่าถ้าผมยอมรับความจริงได้เร็วกว่านี้ก็คงดี

ผมลอบถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงเหมือนเช่นทุกครั้ง อนุรักษ์จัดการล็อกรถแล้วก็เดินตามผมมา เพียงแค่ประตูเปิดออก เพียงแค่ผมก้าวเข้าไปด้านใน หัวใจของผมก็หล่นวูบลงสู่พื้นราวกับถูกกระชากอย่างแรงก่อนมี่มันจะเต้นแรงจนผมเองยังกลัวว่าใครจะมาได้ยิน

เขาไม่ควรมาที่นี่ ผมไม่ควรที่จะเจอเขาอีก

มันต้องไม่ใช่เขาสิ ต้องไม่ใช่…

“ไมน์…”

ก็ในเมื่อผมกับเขา เราเลิกกันไปแล้ว

ใบหน้าของผมกำลังซีดเซียว ทั้งที่ตลอดมาผมพยายามทำทุกอย่างเพื่อลืมเขาไป ปลดปล่อยเขาออกไปจากพันธนาการที่เหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้ทั้งหมดแล้ว ผมปล่อยเขาเป็นอิสระแล้ว ทำไมเขาถึงยังไม่ยอมหยุด ไม่ยอมปล่อยให้ผมหายไปเสียที จะตามมาเจอผมถึงที่นี่เพื่ออะไรกัน!

ผมไม่ได้สำคัญขนาดนั้นไม่ใช่หรือ…แล้วทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ ทำไมถึงยังเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงแบบนั้น

ผมเม้มริมฝีปากแน่น กำมือจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือของตัวเอง ดวงตาของผมไหวระริกไปด้วยความรู้สึกเดิมๆ อาการวูบไหวของหัวใจผสมปนเปไปกับความรวดร้าวที่ค่อยๆ คลืบคลานเข้ามาพร้อมๆ กัน ผมรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่หายไปนาน ในตอนนี้มันกลับมาแล้วพร้อมกับคำตอบที่ว่า

ผมยังลืมเขาไปไม่ได้ ผมยังรักเขาอยู่

“สวัสดีครับคุณดินแดน” ผมต้องเข้มแข็ง ต้องไม่พ่ายแพ้ให้ต้องเจ็บปวดซ้ำอีก แค่ยิ้มออกไป แค่ปล่อยสายตาให้เขาได้รู้ว่าผมไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว ตอนนี้…ผมเปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว

ไมน์ที่รักและเทิดทูนเขาไม่มีอีกต่อไป

ผมสบสายตาเข้ากับดวงตาคมที่จับจ้องมาตลอดเวลา แววตาของดินแดนมันสั่นไหว เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและตัดพ้อต่อผมจนผมต้องหลบสายตาออกไปพร้อมกับเม้มริมฝีปากตัวเอง

มองแบบนั้นทำไม ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย

มันควรจะต้องเป็นผมต่างหากที่มองเขาด้วยแววตาแบบนั้น

ผมหลับตานิ่ง ทำใจแข็งจ้องมองกลับไปราวกับไม่รู้สึกอะไรทั้งๆ ที่ความจริงแล้วหัวใจมันกำลังเปิดเผยทุกอย่างให้เขาได้รู้ ดินแดนเดินเข้ามาหาผมช้าๆ ท่ามกลางสายตาของคนในร้านไม่ว่าจะลูกค้าหรือพนักงานของผมเอง พวกเขาจับจ้องมาที่เราราวกับเป็นศูนย์กลางขอโลกใบนี้

“ไมน์…เป็นยังไงบ้าง” นั่นสินะ ก็เขาไม่ได้เจอผมเลยตั้งแต่วันนั้น ทั้งที่ผมเรียกร้องเขาเพียงแค่เวลา10นาที แต่เขากลับไม่คิดจะให้มันกับผม

แล้วจะให้ผมเป็นยังไงได้ล่ะ

ผมเหยียดยิ้มออกมาอย่างคนที่ต้องการจะเยาะเย้ยตัวเองและคำถามของเขา

“สบายดีครับ ขอบคุณที่เป็นห่วง” เขาไม่ควรมาพบผม เราสองคนไม่ควรมาเจอกันอีก และผมมั่นใจมากว่านี่ไม่ใช่ความบังเอิญ เพราะตัวเขาเองรู้ดีว่าร้านแสนสุขมันเป็นร้านของผม

“เรา…อยากขอโทษ” ขอโทษ? จากปากคนอย่างเขานี่นะหรือ คนอย่างดินแดนเอ่ยคำขอโทษต่อผมมันเป็นไปได้ด้วยหรือ ผมอดแปลกใจไม่ได้จริงๆ ยิ่งได้มองหน้าของเขาเพื่อหาเศษเสี้ยวของการโกหก ผมกลับยิ่งพบว่าเขากำลังพูดความจริง

หัวใจของผมมันเต้นระรัวทว่ากลับมีความปวดร้าวที่อยู่ในนั้นด้วย ยิ่งเขาทอดมองอย่างรู้สึกผิดจริงๆ จากหัวใจ ผมก็ยิ่งรู้สึกทรมานในใจ รู้สึกราวกับว่าอยากจะเข้าไปทุบตีและด่าทอให้สมกับความร้ายกาจที่เขาทำมันกับผม ให้สมกับที่เขาเคยเหยียบย่ำมันด้วยความรักที่เขามีต่อใครอีกคน

“เรื่องไหนหรือ?” ผมกอดอกเลิกคิ้วมองเขาอย่างไม่รู้ว่าเขากำลังขอโทษผมเรื่องอะไร ดินแดนถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้ เขาสบตากับผมนิ่งๆ แต่ในแววตาของเขากลับมีความคุ้นเคยอยู่ในนั้น สายตาที่เขาใช้มองผมในตอนนี้ มันคือสายตาที่ผมต้องการมาตลอดในวันที่ผมพยายามอย่างหนัก ทำทุกวิถีทางให้เขากลับมามองผมแบบนี้อีกครั้ง

แต่เขาจะมองผมแบบนีัทำไมในวันที่ผมตัดใจไปแล้ว

เขาจะให้สิ่งที่ผมต้องการทำไมในเมื่อวันนี้…ผมเลือกที่จะเดินออกมาจากชีวิตของเขา

“ขอโทษนะที่ผิดนัด ทั้งๆ ที่รับปากแล้วว่าจะไปแต่…”

“หึ แต่ก็ไม่ได้มา” ผมพูดออกมาแทนเขา อดไม่ได้ที่จะตอกย้ำมันกับตัวเองเมื่อหัวใจของผมกำลังดีใจกับคำขอโทษที่เขามอบให้

“ใช่” แดนสูดลมหายใจเข้าปอดราวกับต้องการเรียกความกล้าและกำลังใจให้แก่ตัวเอง

“แต่เราไม่ได้ตั้งใจจะผิดนัดไมน์เลยนะ วันนั้นเรา…”

“กำลังพาแฟนไปเที่ยว” ผมอดเจ็บแปลบไม่ได้เมื่อหวนคิดถึงวันนั้น ภาพที่เขาเดินเคียงข้างกัน สนุกสนานและส่งยิ้มให้กันอย่างมีความสุข มันบีบหัวใจของผมเหลือเกิน

เขาปล่อยให้ผมรอ…เหมือนตลอดมา

เพียงเพราะว่าผมไม่สำคัญเท่าเธอคนนั้น

“ไมน์…” สีหน้าแบบนั้นไม่คิดว่าผมจะรู้สินะ ผมแค่นยิ้มเย้ยหยันตัวเองและเขา ตอกย้ำความเจ็บปวดให้มันได้ชาชินเสียที เมื่อถึงเวลาจากนี้ไปจะได้ไม่ต้องทรมานกับมันอีก ผมเหนื่อยเหลือเกินกับการที่ต้องมารักษาบาดแผลในใจของตัวเอง และเหนื่อยยิ่งกว่าเมื่อเขาเป็นคนก้าวเข้ามาตอกย้ำบาดแผลมันซ้ำ ๆ

“มัน วันนั้นเรา…”

“…” ผมรอฟังคำแก้ตัวที่ไร้ค่าของเขา แต่รอแล้วรอเล่าก็ไร้เสียงใดเอ่ยออกมาจากปากของผู้ชายที่ชื่อดินแดน ไม่ปฏิเสธเพราะมันคือความจริง เป็นความจริงที่ผมรู้ดีเพราะเห็นมากับตา

“ขอโทษนะ วันนั้นที่เรานัดกัน ไมน์คงรอเรานานมากใช่ไหม”

ใช่แล้ว…ผมรอเขามานาน นานจนในที่สุดผมก็ตัดสินใจก้าวเดินออกมาจากตรงนั้น ยอมปล่อยมือที่ฉุดรั้งเขาเอาไว้ให้เขาได้จับมือใครอีกคนตามที่เขาต้องการ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ถือสาอะไรอีกแล้วล่ะ”

ใช่ มันจบลงไปแล้ว

ผมเลือกจะมองเมินความรู้สึกทุกอย่างที่เขาพยายามส่งมันมาให้ เดินผ่านร่างเขาไปราวกับว่าเขาไม่เคยเป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิตผมมาก่อน ผมมองเขาเป็นลูกค้าคนหนึ่ง มองว่าเขาคือคนที่เดินเข้ามาเพื่อรับประทานอาหารจากร้านของผมเท่านั้น เพราะหากผมคิดแบบนั้น อย่างน้อยความดีใจที่แสนหลงระเริงอาจจะหายไปได้บ้าง

ดินแดนคว้าแขนของผมเอาไว้ เขาไม่ยอมให้ผมเดินจากไปต่อหน้าต่อตา ความร้อนจากฝ่ามือของเขามันส่งผ่านมายังข้อมือของผมจนผมอดหวั่นไหวกับความคุ้นเคยนี้ไม่ได้

“ปล่อยผมเถอะ มันคงไม่ดีนักที่คุณจะทำแบบนี้” ผมพยายามดึงข้อมือของตัวเองออกจากการเกาะกุมของเขา แต่ไม่ว่าจะใช้เรี่ยวแรงมากมายแค่ไหนก็ไร้ความหมาย หัวใจที่อ่อนแอมันสั่งให้เรี่ยวแรงในร่างกายของผมหดหายไปทีละน้อย ราวกับเสียดายและกลัวว่าความอบอุ่นจากฝ่ามือของเขาจะหายไป

“ไมน์…ขอร้องล่ะ คุยกันหน่อยได้ไหม?” ผมเม้มปาก เผลอตัดพ้อดินแดนผ่านแววตาไปชั่วครู่ ทว่ายังดีที่ผมกำลังหันหลังให้เขา ยังดีที่เขามองไม่เห็นว่าผมมันอ่อนแอแค่ไหน

ทั้งที่พูดว่าจะปล่อยไป กลับยังรู้สึกมากมายเพียงแค่ได้เห็นหน้าของเขา

“เรายังเหลืออะไรให้คุยกันอีกหรือแดน…ไม่ใช่ว่าคำตอบที่แดนให้ไมน์มา มันชัดเจนมากพอแล้วหรือ”

หัวใจของผมมันบีบรัดจนเจ็บไปทั้งใจ ยิ่งได้เห็นแววตาอ้อนวอนจากเขาผมก็ยิ่งปวดร้าวในใจไม่หยุด ดินแดนดึงผมเข้าไปใกล้ ร่างกายที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงถูกเขาดึงเข้าไปหาอย่างไม่อาจจะขัดขืน มีเพียงแรงจากใครอีกคนที่ฉุดรั้งผมเอาไว้ ไม่ให้หลงเข้าไปในวังวนเก่าๆ

อนุรักษ์

“ปล่อยไมน์” รักแยกเขี้ยวขู่ ดวงตากร้าวอย่างไม่ชอบใจ น้ำเสียงที่เอ่ยลอดไรฟันมันน่าหวาดหวั่นจนผมต้องหันไปมอง รักเพียงจับผมเอาไว้ เป็นหลักยึดตัวผมไม่ให้ถูกดินแดนดึงรั้งกลับไปได้ง่ายดายแม้ว่าเรี่ยวแรงของอนุรักษ์ไม่มีทางสู่ดินแดนได้ แต่อย่างน้อยผมก็พอมีแรงบังคับหัวใจให้ร่างกายได้มีเรี่ยวแรงอีกครั้ง

“เราอยากคุยกับไมน์ ได้ไหม ไมน์ไปคุยกับเราเถอะนะ”

“เหอะ! วันก่อนยังเดินกับเมียมึงอยู่เลยไม่ใช่หรือ? ผ่านไปไม่นานมึงก็กลับมาเรียกร้องขอคุยกับเพื่อนกู?”

อนุรักษ์เหยียดยิ้ม ก้าวขึ้นมาบังร่างของผมเอาไว้ให้พ้นจากสายตาของดินแดน ใช้สายตาดูแคลนกวาดมองแดนตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ทีวันที่เพื่อนกูเรียกร้องขอคุยกับมึง กูไม่เห็นมึงจะให้เวลากับเพื่อนกูบ้างเลยนี่!”

“...”

“มึงไม่คิดว่ามันดูเหี้ยเกินไปหน่อยหรือวะ? หน้ามึงจะด้านไปถึงไหน”





..........50%..........





อูยยย เจอรักด่าไปนี่แมวจุกแทนดินแดนเลยค่ะ ว่าแต่ว่า แดนจ๋า หน้าหนาจริงไหมคะ อุ๊ย ไม่ได้สิเนอะ พระเอกนี่นา เกือบลืมไปเลยนะเนี่ยว่าเป็นพระเอก ทำตัวเป็นตัวร้ายมานานเกินไปแล้วนะลูก กลับมาทำหน้าที่พระเอกได้แล้ว เขาจะสาปส่งหนูกันหมดแล้วนะแดนนนนน 

เป้นเจ้าของ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
โดนด่าแค่นี้น้อยไปมากๆ จัดไปชุดใหญ่ๆเลย ให้สาสมกับที่ทำไว้กับไมน์

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[12] 100%

หมายเหตุ หากใครต้องการเพิ่มอรรถรสในการอ่าน แนะนำให้เปิดเพลง กรรมตามสนองไปพร้อมๆกับการด่านังแดนนะคะ





“ทีวันที่เพื่อนกูเรียกร้องขอคุยกับมึง กูไม่เห็นมึงจะให้เวลากับเพื่อนกูบ้างเลยนี่!”

“...”

“มึงไม่คิดว่ามันดูเหี้ยเกินไปหน่อยหรือวะ? หน้ามึงจะด้านไปถึงไหน”

คำพูดของรักกระแทกเข้ากลางอกอย่างจัง เจ็บจนจุกไปหมดจนต้องกลืนเอาความเจ็บช้ำลงไปอย่างยากลำบาก ผมมองไม่เห็นดินแดน ไม่รู้ว่าเขามีสีหน้าแบบไหน แต่ผมตอนนี้ไม่สามารถเก็บแววตาร้าวรานและผิดหวังเอาไว้ได้อีกแล้ว ผมกำเสื้อที่ด้านหลังของเพื่อนตัวเองจนแน่น พิงศีรษะกับหลังของมันอย่างไร้ที่พึ่ง

เพราะเราสองคนไม่มีอะไรที่ต้องพูดกันอีก ผมถึงเดินออกมาไม่ใช่หรือ

แล้วตอนนี้ผมกำลังรออะไรล่ะ?

ผมกำลังคาดหวังอะไรกับเขาคนนี้? คนที่เพียงแค่เวลาสิบนาทียังให้ผมไม่ได้

แล้วผมจะยังหวังอะไรจากเขาได้อีก?

“ไมน์! ไมน์เราขอร้อง! คุยกับเราหน่อยนะ เราขอโทษ!”

ผมหันหลังเดินโดยไม่ได้มองดินแดนอีก แม้จะไม่ได้เห็น แต่ผมกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน เสียงของเขาที่ปวดร้าว เสียงของคนที่ปรารถนาเหลือเกินในการให้อภัย ปรารถนาในสิ่งที่ไม่อาจจะมีได้อีกต่อไป นั่นคือความรู้สึกเดียวกันกับผมในวันนั้น วันที่เขาเลือกจะจับมือเธอและหันหลังเดินไปจากผม

ผมมองไปรอบๆ ร้านอย่างนึกขึ้นมาได้ว่าเวลานี้ร้านยังเปิด กลัวว่าเสียงและเรื่องราวของผมกับเขาจะเป็นเรื่องสนุกปากในการพูดคุย แต่ผมก็ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่ตอนนี้ในร้านไม่มีใครนอกจากพนักงานของผม พวกนั้นรู้ดี…จึงได้เข้าไปด้านในไม่ยอมออกมา

ผมสะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระและเดินเข้าไปด้านในครัว ปล่อยให้ดินแดนเผชิญหน้ากับอนุรักษ์แทนตัวของผมเอง เพียงแค่ประตูครัวถูกเปิดออก พวกเขาที่ทำตัวให้วุ่นๆ ทั้งที่ไม่มีลูกค้าก็พลันชะงักมือและหันมามองผมกันเป็นตาเดียว

“คุณไมน์สวัสดีครับ/ค่ะ” ทุกคนยกมือขึ้นไหว้ผม ซึ่งผมเองก็รับไหว้พวกเขาตามปกติ ผมปรับสีหน้าตัวเองมาบ้างแล้วจึงไม่เหลือแววตาที่ทอประกายความเจ็บปวดออกมาให้ใครได้เห็น

“สวัสดีครับ ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้เข้ามาดูเท่าไหร่” ผมยิ้มอย่างใจดีให้พวกเขา ซึ่งพวกเขาเองก็ดูจะกระอักกระอ่วนใจพอสมควร ความจริงแม้ว่าผมจะไม่เข้ามาที่ร้านแต่บัญชีรายการหรือยอดต่างๆ ผมก็เช็กดูอยู่ตลอดเวลา ถึงยังไงในนี้ก็มีคนที่ถูกคุณแม่ของผมส่งมาให้ตรวจตราและดูแลในช่วงที่ผมไม่อยู่บ้าง แต่ผมก็เป็นเจ้าของ การไม่เข้ามามันก็ดูจะ…ไม่เอาการเอางานจริงๆ

เพราะแบบนั้น ดินแดนถึงได้ออกปากบอกให้ผมไปทำงาน จะได้ไม่มีเวลาไปฟุ้งซ่านคิดเรื่องไร้สาระ

-ไม่ครับๆ ไม่เป็นไรเลยครับ ฮ่าๆ” ร้านของผมมีพนักงานทั้งหมด 5คน พ่อครัวและแม่ครัวสองคน พนักงานเสริฟอีกสองคน ส่วนคนสุดท้ายคือคนของแม่ผม ทำหน้าที่เป็นแคชเชียร์ควบตำแหน่งผู้จัดการร้านและจิปาถะมากมายตามที่แม่ผมสั่ง ผมมองพวกเขาทีละคนอย่างครุ่นคิด หรือท่าทีที่ทุกคนมีในตอนนี้จะเป็นเพราะเหตุการณ์ที่ผมกับดินแดนต่างคุยกัน ไม่ใช่เพราะผมหายหน้าหายตาไปนาน

“ผมว่าพวกคุณควรจะออกไปข้างนอกกันได้แล้วนะครับ เกิดลูกค้าเข้ามาไม่เจอพนักงานจะกลับกันไปหมดเพราะนึกว่าร้านปิด”

“อ๊ะ จริงด้วยค่ะ! จะออกไปเดี๋ยวนี้ค่ะคุณไมน์” คนนี้คือพี่กมล เป็นคนของแม่ผม ทุกคนต่างเชื่อฟังเธอเพราะเธอเป็นงาน ทำทุกอย่างได้เนียบและถูกต้องรวดเร็ว เมื่อพี่กมลเดินอีกไป อีกสองคนก็เดินตามหลังไปโดยที่เขาก้มหัวให้ผมน้อยๆ ตอนที่เดินผ่าน แสดงออกถึงความเคารพนับถือที่มีต่อผมไม่น้อย ผมเดินตามพวกเขาไป อดแปลกใจไม่ได้ที่ไร้เสียงของดินแดนและอนุรักษ์ที่ในตอนแรกโต้เถียงกันอยู่

หรือเขาจะกลับไปแล้ว?

ไม่ๆ กลับไปแล้วก็ดีสิ แบบนั้นจะได้สบายใจทั้งผมและพนักงาน

แต่ผมคิดง่ายเกินไป อนุรักษ์เดินเข้ามาหาผมด้วยสีหน้าบูดบึ้งและไม่พอใจสุดๆ ท่าทางฟึดฟัดชวนให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนที่ผมเข้าไปด้านใน

“มีอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงโมโหแบบนั้น?”

“มัน...ไป” เสียงของอนุรักษ์เบาหวิวจนผมฟังไม่ถนัด

“หือ อะไรนะ?” รักมันตวัดสายตาคมที่วาววับไปด้วยโทสะมาให้ผม จับจ้องเหมือนกับอยากจะฉีกผมเป็นร้อยๆ ชิ้นด้วยมือของตัวเอง

“กูบอกว่ามันไม่ยอมไป!! ได้ยินชัดไหม!!” ผมขมวดคิ้วเอามือลูบหูตัวเองเมื่อถูกเสียงที่ดังกว่าโทรโข่งลอดผ่านเข้ามาภายในหู

“เออ! ได้ยินแล้ว!” ผมกัดริมฝีปากกับความขัดใจ ทำไมดินแดนถึงได้ดื้อด้านแบบนี้กันนะ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผมถึงต้องมานั่งกังวลกับเรื่องนี้ด้วย ก็แค่ไม่ไป ก็ช่างเขาสิ

“แล้วนี่ ดินแดนอยู่ไหนล่ะ?” อนุรักษ์ร้องเฮอะออกมาแล้วชี้ปลายนิ้วไปยังมุมหนึ่งของร้านที่นับได้ว่าสวยที่สุด ผมมองใบหน้าหล่อเหลาที่มองด้านนอกอย่างดื้อดึง ความดื้อรั้นแสดงออกมาทางแววตาและสีหน้าจนมองเห็นได้ชัดเจนจนผมต้องลอบถอนหายใจออกมา

“เดี๋ยวกูจัดการเอง”

ผมเดินตรงไปหาเขาอย่างไม่รีบร้อน สะกิดไหล่ของเขาเบาๆ สองสามครั้งหวังให้รู้สึกตัวและหลุดออกจากภวังค์ แต่ดินแดนไม่เพียงไม่ยอมหันมาก ผมยังเห็นได้ชัดว่าเขาจงใจมองเมินเสียงเรียกของผม มันทำให้ผมรู้สึกอยากจะบ้าตายกับความดื้อรั้นของเชา

ในวันที่มันสายไป เขาจะมาหาผมอีกทำไมกัน

“กลับไปเถอะ เราคงไม่ได้คุยกันแล้วล่ะ อย่าเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกเลย” ผมพยายามลูบเขาด้วยน้ำเย็น แม้ว่าจะรักเขามากแต่ผมก็พอรู้ว่าในตอนนี้หัวใจของเขาไม่ใช่ของผมอีกแล้ว มันไม่เหลืออะไรที่เราสองคนจะต้องมานั่งคุยกันอีกต่อไปแล้ว เราสองคนต่างก็หลุดออกมาจากบ่วงที่รัดแน่นจนอึดอัดนั้นได้ ผมก็ยินดีที่เขาได้อยู่กับคนที่เขาเลือกจริงๆ เสียที

“ที่นี่บรรยากาศดีจังเลยนะ…ทำไมเราไม่เคยมากินข้าวด้วยกันที่นี่เลยล่ะ?” ผมได้แต่กลอกสายตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย ไม่เพียงไม่ฟังคำของผม เขายังเปลี่ยนเป็นการตั้งคำถามเองอย่างรวดเร็ว

แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อเขาถามมาผมก็จะตอบ และมันก็คือคำตอบที่เขาเองก็ควรจะจำมันได้

“อาจจะเป็นเพราะมันทั้งเก่าทั้งเล็ก ไม่มีอะไรดีเลยมั้งครับ แต่ต่อไปนี้ผมจะบูรณะมันขึ้นมาใหม่ อย่าห่วงเลยครับ ถ้าคุณอยากได้ดินเนอร์สุดหรู บรรยากาศหวานๆ ระหว่างคุณกับแฟน ร้านแสนสุขนับว่าไม่เลวเลยทีเดียว” แดนถอนหายใจ เงยหน้าขึ้นมามองผมเพื่อหาร่องรอยของการประชดประชัน แต่ไม่เจอหรอก คนอย่างผมไม่มีวันเอาความอ่อนแอของตัวเองมาประจานให้คนอื่นเขาดูถูก

“ไมน์…เรื่องนี้เราอยากจะ…”

ปึง!!

“เมนู จะสั่งไหม? ถ้าไม่แดก ก็ออกไปจากร้านเพื่อนกูเสียที!” อนุรักษ์วางเมนูลงจนเกิดเสียงดัง มันทำให้ทั้งผมและดินแดนสะดุ้งน้อย ๆ เพราะเราสองคนต่างก็ตกอยู่ในวังวนแห่งอดีตที่ไม่สามารถแก้ไขได้

“งั้นก็ตามสบายแล้วกันนะ กูฝากด้วยนะ ดูแลลูกค้าดีๆ เดี๋ยวกูไปดูงานกับพวกเขาก่อน” รักพยักหน้าแล้วปรายตามองดินแดนอย่างมีโทสะ

“ได้! จะดูแลอย่างดีเชียวล่ะ”

ผมปล่อยให้เขาอยู่ด้วยกับอีกครั้ง ผมตอนนี้แค่พูดคุยออกมาได้อย่างปกติทั้งๆ ที่ปวดใจขนาดนั้น นั่นก็นับว่าผมใช้ความอดทนไปมากมายเหลือเกินแล้ว ผมจึงเดินตรงไปหาทั้งสามคนที่อยู่อีกฝั่งเพื่อสอบถามถึงรายละเอียดเกี่ยวกับช่วงที่ผมไม่ได้มา

“คุณคนนั้นใครหรือครับคุณไมน์ ดูเหมือนคุณไมน์จะ…ไม่ค่อยชอบเขาเท่าไหร่” ผมฟังแล้วก็หัวเราะเบาๆ ไม่ชอบหรือ ไม่ใช่หรอก เพราะชอบมากต่างหากถึงเป็นแบบนี้

“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร ว่าแต่ช่วงที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง ลูกค้าเข้ามาเยอะมากไหม” พี่กมลส่ายหน้า สีหน้ามีแต่ความหนักใจอย่างไม่ปิดบัง

“คนน้อยมากค่ะคุณไมน์ นับวันยิ่งน้อยลงทุกที นี่พี่เองก็พยายามสุดๆ แล้วนะคะ ยังได้กำไรมาเพียงแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น” ผมยิ้มให้พี่กมลและคนอื่นๆ ที่ก้มหน้าก้มตากลัวว่าจะถูกผมด่า แต่ผมไม่ทำแบบนั้นหรอก ลูกค้าคือมนุษย์นะ เราจะไปบังคับให้เขาเข้ามาทั้งๆ ที่เขาไม่อยากเข้าได้ยังไงกัน

“ไอ้ไมน์! ให้คนมารับออเดอร์โต๊ะเหี้ยนี่หน่อย” เสียงเรียกของอนุรักษ์เรียกให้ผมหันไปมอง สีหน้าของมันย่ำแย่จนแทบจะฆ่าคนตรงหน้าให้ตายได้ด้วยซ้ำ ผมจึงพยักหน้าส่งพันโท เด็กเสริฟในร้านให้ไปรับออเดอร์แทน

“ความจริงแค่ไม่ขาดทุนผมก็ว่าทุกคนเก่งแล้วล่ะครับ เดี๋ยวไว้ผมจะลองหาวิธีดู เผื่อว่าจะสามารถทำให้ยอดขายของร้านดีขึ้นมาได้บ้าง”

“แม่ง! กวนตีนฉิบหายมึงรู้ไหมไมน์! ไล่มันออกจากร้านไปเลยก็ได้นี่ ทำไมต้องให้มันอยู่ต่อเป็นลูกค้าด้วย?”

นั่นสินะ

แต่จะว่าไป…ดินแดนเป็นหนุ่มหล่อไฮโซที่มีคนติดตามอยู่มากมาย

ถ้าหาก…เขาถ่ายร้านของผมลงโซเชียล บางทีความนิยมร้านผมอาจจะไปได้สวยกว่านี้ก็ได้

ผมยิ้มกว้างเมื่อคิดถึงข้อนี้ได้ แม้ว่าจะรู้ดีว่ามันเป็นเหมือนข้ออ้างของตัวเองที่จะเข้าไปใกล้และพูดคุยกับเขา แต่ผมว่ามันคงไม่ดีนักถ้าผมจะปล่อยให้ร้านย่ำแย่ต่อไปแบบนี้ มันอาจจะถึงขั้นปิดร้านและพวกพนักงานของผมเองก็อาจจะตกงานกันหมดเลยก็ได้

คิดแบบนั้นแล้วมันก็ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการที่ต้องไล่พวกเขาออกแล้ว ดินแดนก็แค่เพื่อนร่วมโลกคนหนึ่ง อย่างน้อยก็ให้เขาชดใช้เรื่องในวันนั้นที่เขาปล่อยให้ผมรอ…ก็คงจะได้สินะ

“แดน” ผมตัดสินใจเดอนเข้าไปหาดินแดนที่มุมนั้นอีกครั้ง เลื่อนเก้าอี้ออกตรงข้ามเขาแล้สนั่งลงประชันหน้า แววตาของแดนไหวระริก มันมีความยินดีและดีใจที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ มันทั้งรู้สึกผิด รู้สึกดีใจ รู้สึกตื่นเต้นตีรวนกันเต็มไปหมดจนผมแยกไม่ออก

“ไมน์…ไมน์ยอมคุยกับเราแล้วหรือ?” ผมหลับตาลงช้า ๆ หายใจเข้าจนสุดปอดแล้วพ่นลมออกมาก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

“เรื่องวันนั้นผมไม่โกรธหรอกนะที่คุณไม่มา ผมเข้าใจว่าคุณต้องเลือกแฟนของคุณก่อนอยู่แล้ว” ดินแดนได้ยินก็หน้าเสีย หลบสายตาของผมไปวูบใหญ่และนั่นจึงยิ่งทำให้หัวใจของผมบีบตัวจนเจ็บ

“ไมน์รู้หรือ แต่เราไม่ได้…ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ไมน์รอจริงๆ นะ เรา…” คำแก้ตัวต่างๆ นานามันไร้ประโยชน์สำหรับผมในตอนนี้ ผมยกมือขึ้นห้ามไม่ให้เขาอธิบายต่อและตรงเข้าประเด็นที่ตัวเองต้องการ

“ผมไม่ได้มาเพื่อฟังเหตุผลร้อยแปดพันก้าวของคุณหรอกครับ ผมมาเพื่อให้คุณไถ่โทษเรื่องวันนั้นให้ผม เวลาสิบนาทีที่คุณไม่ได้ให้ผมมา” ดินแดนยืดตัวขึ้น ท่าทางที่แสนสง่าปรากฏสู่สายตาของผมจนต้องห้ามหัวใจของตัวเองไว้ไม่ให้มันเต้นดัง

“ได้สิ ไมน์พูดมาเถอะ เราจะฟัง” ผมยิ้มบาง ๆ แล้วส่ายหน้าอีกครั้ง

“ไม่ใช่ครับ ผมไม่ได้จะขอมันเพื่อพูดคุยกับคุณ” แดนขมวดคิ้วแน่น ใบหน้ามีแต่ความไม่เข้าใจเต็มไปหมด

“อ้าว? งั้นอะไรคือสิ่งที่เราต้องชดใช้ล่ะ?” ผมเคาะนิ้วไปบนโต๊ะเป็นจังหวะ มองดินแดนด้วยแววตาจริงจังที่สุดที่เคยมองเขา

“10นาที กับการช่วยถ่ายรูปอาหารและบรรยากาศในร้านของผมลงโซเชียลของคุณหน่อย”

แค่10นาทีเท่านั้น ผมไม่ได้อ้อนวอนขอเขาตลอดไป แล้วจากนี้จะไม่มีการติดค้างใดๆ กันอีก

“คุณทำให้ผมได้ไหมครับ” ดินแดนนิ่งเงียบก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมาสบตากับผม ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและทรงพลัง

“ได้สิ…ต่อให้มากกว่านี้ แค่ไมน์ขอ เราก็จะให้ไมน์ทุกอย่าง”

ผมไม่กล้าขอหรอกครับ กลัวว่าสิ่งที่ขอมาจะไม่ใช่ของผม ฝันที่ถูกปลุกให้ตื่นมันเจ็บนะครับ เพราะวิธีตื่นของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความฝันที่ยิ่งดีมากมายเท่าไหร่ เวลาที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาก็ยิ่งเจ็บมากมายเท่านั้น

เรื่องนี้…ผมเรียนรู้มันมาแล้ว ด้วยหัวใจของผมเอง

“ถ้าหากเรื่องนี้จบ…เราไม่จำเป็นต้องรู้จักกันอีกแล้วก็ได้นะ” บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องที่สมควรทำมากที่สุดในชีวิตของผมก็ได้

นั่นคือการตัดเขาออกไปจากชีวิตของผมเสียที









“ถ้าหากเรื่องนี้จบ…เราไม่จำเป็นต้องรู้จักกันอีกแล้วก็ได้นะ”  ถ้าแมวเป็นแดน ประโยคนี้ของไมน์ทำให้เจ็บแทบตายเชียวล่ะค่ะ เพราะในวันที่เขาทั้งอ้อนวอน ทั้งพยายามเหนี่ยวรั้ง ตัวเองกลับไม่ไไยดี แต่ในวันนี้ที่ตัวเองเกิดรู้สึกตัว เขากลับไม่อยากจะเป็นแม้แต่คนรู้จัก แดนจ๋า แม่ขอมอบเพลง กรรมตามสนองให้หนูนะคะลูก หนูสมควรได้รับมันค่ะ 

เป็นเจ้าของ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
เอาอีกๆๆๆ ยังไม่ซะใจเลย

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[13] 50%


ยิ่งหวั่นไหวยิ่งปวดใจ

“นี่ไงร้านนี้ล่ะที่ดินแดนถ่ายลงแล้วเช็กอิน บรรยากาศดีมากเลยแถมอาหารก็อร่อย” ผมนั่งฟังลูกค้าพูดคุยเกี่ยวกับร้านของตัวเองอย่างเพลิดเพลินใจ ดินแดนทำตามที่พูดเอาไว้ทุกอย่างที่ผมร้องขอ เขาไม่เพียงแค่ถ่ายรูปอาหารของผม เขายังเช็กอินร้านลงไปด้วย พร้อมกับบรรยายมากมายถึงความอร่อยของอาหารในร้าน ทำให้กว่าสองอาทิตย์มานี้นั้น มีลูกค้าหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่มีหยุดหย่อน

“ตกลงแล้วเธอมาเพราะอาหารอร่อยหรือบรรยากาศที่ดี หรือว่าเพราะผู้ชายนะ!” ลูกค้าสาวมองค้อนเพื่อนเสียวงใหญ่ ใบหน้าขึ้นสีแดงเมื่อถูกจับได้ด้วยความอาย

“ก็แหม! ฉันก็ไปทุกทีที่ดินแดนเคยไปนั่นล่ะ” ถ้าไปทุกที่จริง ผมว่าป่านนี้เธอคงจะไม่น่าจะมีเงินเหลือแล้วล่ะ

จริงอยู่ที่ดินแดนไม่ใช่คนติดหรู มีเงินมากมายแต่ไม่ใช่คนที่ใช้จ่ายไม่มีหัวคิด เพียงแต่ช่วงหลังมานี้ผมเห็นจากที่อนุรักษ์เอารูปมาให้ผมดูว่า ดินแดนไปทานอาหารและช้อปปิ้งร้านแบรนด์เนมดังๆ หลายๆ อย่าง จึงเดาว่าเขาคงจะเอาใจแฟนของเขา ถึงได้พาเธอไปที่นั่นมากกว่า

แต่ก็ช่างเถอะครับ อย่างที่บอกว่ามันไม่เกี่ยวกับผมแล้ว

ตอนนี้ดินแดนชดใช้มันให้กับผมแล้ว และผมพอใจกับสิ่งที่ได้มา

“จะว่าไปช่วงนี้ฉันว่าดินแดนเขาก็แปลกๆ นะ”

“ยังไงล่ะที่ว่าแปลกของเธอ” ผมขมวดคิ้ว แม้ไม่ได้อยากจะสนใจแต่เมื่อหูได้ยินผมก็อดสนใจไม่ได้

“ก็ปกติดินแดนไม่ใช่คนที่จะมาทานอะไรที่เดิมซ้ำๆ แต่นี่…มาร้านนี้ทุกวันจนจะเข้าอาทิตย์ที่สามแล้ว ฉันถึงบอกไงล่ะว่าแปลก”

คำพูดของเธอทำผมสะดุ้งอยู่เงียบๆ ในใจ เป็นจริงอย่างที่เธอพูดทุกอย่าง ดินแดนมาที่นี่ทุกวัน แม้จะไม่เป็นเวลาแต่ก็มาไม่เคยขาด เขาจะสั่งอาหาร นั่งนานอย่างพอใจ สีหน้าอิ่มเอมในรสชาติจนปรากฏรอยยิ้มออกมา

ไม่สิ ผมไม่ได้สนใจขนาดนั้นเสียหน่อย ผมไม่ควรจะรู้ละเอียดขนาดนี้

“หรือว่าเทพบุตรของเธอจะเกิดปิ้งใครในร้านเข้า!” ลูกค้าคนที่สองยกมือขึ้นปิดปากตัวเองตาโต กระซิบถามอย่างสงสัยแต่เพราะผมอยู่ไม่ห่างจากพวกเขาผมจึงได้ยินคำถามนั้นเป็นอย่างดี

เดาผิดแล้วล่ะคนสวย

ดินแดนเขามีคนรักอยู่แล้ว…และเขาสองคนก็รักกันมากเสียด้วย

ผมนิ่วหน้าขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นนวดอกข้างซ้ายเมื่อรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจตัวเอง ไม่ว่าจะใช้เวลามากมายหรือเนิ่นนานเท่าไหร่ ผมก็ไม่สามารถหยุดยั้งความเจ็บนี้ลงไปได้เลยสินะ ผมต้องถอยออกไปมากมายแค่ไหนที่พอจะเยียวยาหัวใจของตัวเองได้บ้าง ผมยกมือขึ้นเสยผมขึ้นไปด้านหลัง ริมฝีปากพ่นลมหายใจออกมาเมื่อเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังย่ำอยู่กับที่ไม่ได้ไป

เหมือนถูกใครบางคนผูกติดเอาไว้ ไม่ยอมให้ผมก้าวออกไปข้างหน้ามากไปกว่านี้

“กรี๊ด! ฉันไม่อยากยอมรับ! ไม่เอานะ!”

ผมจมดิ่งลงไปกับความคิดของตัวเอง พยายามหางหนทางที่จะรักษาหัวใจและระยะห่างของผมกับดินแดนเอาไว้ให้มากๆ แต่เหมือนมันจะไม่ง่ายเลย เพราะดินแดนในตอนนี้ช่างมีอิทธิพลจ่อหัวใจของผมมากมายเหลือเกิน เพียงแค่เขาเดินเข้ามาในร้าน แค่เขามองมาที่ผมและส่งยิ้มให้เหมือนเช่นเมื่อก่อน ผมก็แทบจะหยุดหัวใจเอาไว้ไม่อยู่

ทั้งที่ผมไม่ได้อยากเจ็บปวดซ้ำๆ กับมันอีกต่อไปแล้ว

“อ๊ะ! แก!! เทพบุตร! เทพบุตรของแกเขามาแล้ว!!” เธอหันไปมองตามนิ้วมือของเพื่อนเธอที่ชี้ไปยังทิศทางของประตู ที่ตอนนี้มีร่างของดินแดนกำลังก้าวเข้ามาอยู่ ภาพตรงหน้าราวกับถูกใครบางคนทำให้มันช้าลง ทุกย่างก้าวมันทำให้ผมมองเห็นรายละเอียดของเขาได้อย่างง่ายได้

เส้นผมสีดำ ดวงตาเรียวคม คิ้วเข้มที่โค้งสวย กับริมฝีปากที่ยิ้มน้อยๆ ก็พลันทำให้หัวใจของผมเต้นแรงได้ไม่ยากเย็นเลย ดินแดนเดินเข้ามาช้าๆ สายตาของเขาจับจ้องมาทางที่ผมอยู่แต่ผมเองก็ไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขากำลังเดินตรงมากหาผม แม้ว่าหัวใจของผมมันจะคิดเช่นนั้นไปแล้วก็เถอะ แต่ผมไม่กล้าที่จะยอมรับมันหรอก เพราะกลัวว่าหากไม่ใช่อย่างที่คิด มันจะเป็นตัวของผมเองที่จะเจ็บปวด

“สวัสดีครับ” ผมกะพริบตา มองใบหน้าหล่อที่ยังแย้มยิ้มอย่างไม่เข้าใจแต่ก็พยักหน้ารับการเอ่ยทักของเขา

“ครับ สวัสดีครับคุณลูกค้า”

ผมบอกไปแล้วนี่ว่าเราจะไม่รู้จักกันอีก บอกไปแล้วว่าจะตัดเขาออกไปจากชีวิต

แล้วทำไมเขายังเดินเข้ามาทักทายผมแบบนี้?

“ผมมาร้านนี้ก็หลายวันแล้ว ผมชอบอาหารของคุณมาก นี่เป็น…ของขวัญจากผมนะครับ” ผมเอื้อมมือออกไปรับดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์ที่ถูกริบบิ้นสีแดงผูกเอาไว้ที่ก้านของมัน ผมทั้งอึ้งทั้งสับสนจนเผลอตัวทำตามความต้องการของหัวใจไปเสียได้

ดินแดนมอบรอยยิ้มให้ผมอย่างอบอุ่น ในแววตาเจือไปด้วยความยินดีอย่างสุดใจที่เห็นผมรับเอาดอกไม้ของเขาเอาไว้ ผมก้มลงซ่อนอาการสั่นไหวในแววตาของตนเองให้พ้นจากสายตาของดินแดน ความเผลอไผลแบบนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน ผมได้แต่มองดอกไม้ที่แสนสวยในมืออย่างปวดร้าว ครั้งหนึ่งมันก็เคยเป็นแบบครั้งนี้ เป็นของขวัญที่เขามอบมันมาให้ผม เพียงแต่ในครั้งนั้นผมได้เป็นช่อดอกไม้ แต่ครั้งนี้ผมได้ดอกไม้เพียงดอกเดียว

ผมเม้มริมฝีปาก มองดินแดนที่นั่งลงประจำจุดที่เขาชื่นชอบดังเช่นทุกวัน ซึ่งตัวเขาเองไม่อยากจะทำแต่ก็ยังต้องใจแข็งทำมัน เพราะหากผมยังเป็นแบบนี้ต่อไป…ผมคงใจอ่อนกับเขาและให้อภัยกับเขาอีกอย่างแน่นอน

ผมไม่อยากจะเจ็บซ้ำๆ กับเรื่องเดิมๆ ใครจะรับประกันให้ผมได้กันล่ะว่าเขาจะไม่ทำให้ผมเสียใจอีกเป็นครั้งที่สอง ใครจะรับประกันว่าเขาจะมีเพียงแค่ผมคนเดียวนับจากนี้ไป

ในเมื่อครั้งหนึ่งเขาเคยจับมือใครอีกคนแล้วเดินไปจากผม ใครจะรับประกันมันว่าผมจะไม่พบเจอเรื่องนั้นอีก?

หึ…แน่นอนว่าไม่มี ก็คงมีแต่ผมที่ต้องเดินเข้าไปและใช้หัวใจตัวเองเป็นสิ่งพิสูจน์อีกครั้ง

และนั่น…ไม่ใช่สิ่งที่ผมจะยอมรับมันได้

“แก! แกเห็นใช่ไหม เห็นเหมือนฉันใช่ไหม” เสียงเอ่ยถามดังขึ้นจากโต๊ะหนึ่งในร้าน มือยังคงเขย่าเพื่อนตัวเองยิกๆ เร่งเอาคำตอบจากอีกฝ่ายให้ได้

“หะ เห็นสิยะ! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเทพบุตรของแกจะ กรี๊ดด! ฉันเขินแทนเขา”

ดินแดนอมยิ้มเกาต้นคอด้วยท่าทางเขินอาย สายตาคมลอบมองผมเป็นระยะๆ ราวกับว่าอายเกินกว่าจะกล้าสบตากับผม ผมมองกุหลาบขาวในมือด้วยแววตาเจ็บปวด ทั้งที่เขามอบมันให้กับผมด้วยมือของเขาเอง แต่ผมกลับเจ็บปวดเกินกว่าจะรับมันด้วยหัวใจที่หลงระเริงได้

ความเจ็บปวดในอดีตมันคอยตอกย้ำจนผมไม่สามารถเชื่อเขาได้ลง สิ่งที่เขาทำอยู่ในตอนนี้อาจจะเป็นเพียงความสนใจชั่วคราว หรืออาจจะเป็นเกมที่เขาใช้มันมาเล่นกับหัวใจของผมอีก ผมไม่อยากที่จะดีใจในตอนนี้…แต่ต้องมานั่งเสียใจอีกครั้งในวันที่เขาจบเกมลง

“พันโท…” ผมเรียกพันโทที่อยู่ใกล้ๆ ด้วยเสียงแหบแห้ง

“ครับคุณไมน์” ผมกำดอกกุหลาบในมือแน่นก่อนจะยื่นไปตรงหน้าของพันโท

“เอาไปทิ้งให้ผมด้วยนะ”

ใบหน้าของทุกคนแข็งค้าง ดวงตาเบิกกว้างราวกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ผมยกยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก เยาะเย้ยความโง่ของตัวเองในอดีตที่ผ่านมา แต่ผมในตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว…ผมไม่ใช่คนโง่คนนั้นที่จะถูกหลอกล่อได้ง่ายๆ เพียงเพราะดอกไม้ดอกนี้ หรือรอยยิ้มของเขาที่ส่งมา

ไม่มีอะไรที่เป็นของผม ทุกอย่างมันก็แค่ภาพลวงตาที่ถูกสร้างมาบดบังความจริงที่แสนเลวร้าย

ว่าดินแดนไม่ใช่ของผมอีกแล้ว











..........50%..........





ปรบมือ!! ลูกฉันใจแข็งไหมล่ะเธอออ ไงล่ะๆ หงอยเลยสิเจอลูกฉันทิ้งดอกไม้เน่าๆของเธอ เฮอะ!! สมน้ำหน้าาาา  

เป็นเจ้าของ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
โอ๊ยยย สะใจเอาอีกๆ ต่อเรื่อยๆเลยนะ

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
......

 :z6: :z6:  :z6:  :z6:  :z6:  :z6:  :z6:  :z6:

สะใจยิ่งนัก. ใจแข็งไว้นะเธอ

ให้บทเรียนคนนอกใจซะมั่ง

.......


ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
ดีมากลูกใจแข็ง​ๆเข้าไว้นะคะ​ ให้แดนง้อให้สมกับที่ทำอะไรไม่รักษา​น้ำใจกัน

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[13] 100%


ผมก้าวลงจากรถหรูด้วยท่าทางที่เหนื่อยอ่อน ใจจริงผมเองไม่ได้อยากจะได้รถคันนี้เลยแม้แต่น้อย แต่เพราะคุณพ่อคุณแม่และพี่มินที่เป็นตัวตั้งตัวตีซื้อมาให้ผมพร้อมกับบังคับให้ผมใช้งานมัน ความจริงแล้วผมสามารถขึ้นแท็กซี่เองก็ได้ ใช่ว่าตลอดมาผมจะไม่เคยใช้เสียเมื่อไหร่กัน

ผมล็อกรถแล้วก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยฝีเท้ามั่นคงไม่รีบร้อน ตอนนี้ผมย้ายออกมาอยู่ที่คอนโดของพี่มินที่ยกให้ผมจากการร้องขอให้พี่มินซื้อให้ผมครั้งก่อน ดีหน่อยที่ผมหาคนซื้อคอนโดเก่าได้แล้ว จึงได้เอาเงินไปยัดใส่มือพี่มินได้บ้าง ไม่อย่างนั้นผมคงไม่กล้าเข้ามาอยู่ที่นี่แน่ๆ

ความสะดวกสบายนับว่าไม่เลวเลยด้วยซ้ำ ระยะห่างจากร้านของผมกับที่นี่ก็ไม่ไกล ขับรถไปเพียงไม่กี่นาทีก็ถึง แต่เสียดายก็เพียงแค่ช่วงเวลาที่ผมปิดร้านยังถือว่าเป็นเวลาที่รถติดอยู่ ผมกดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นที่ผมอาศัย ยืนรอจนประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อถึงชั้นที่ต้องการจึงได้ก้าวออกไปต่อ ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่แสนเหน็ดเหนื่อย ทั้งลูกค้าที่เพิ่มขึ้นและตัวของใครบางคนที่ขยันเข้ามาหาผมที่ร้านทุกวี่วัน ขนาดผมให้คนเอาดอกไม้ของเขาไปทิ้ง เขาก็ยังดื้อรั้น…ถือมันมาให้ผมทุกวันราวกับไม่สนใจว่าผมจะยินดีรับมันไหม

คิดถึงความดื้อดึงของดินแดนแล้วผมก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ เขาทำแบบนี้ผมกลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะใจอ่อนต่อเขา จะกลับไปยืนอยู่ในจุดที่รู้ดีว่าจะต้องเจ็บปวดและทรมานอีก แต่ผมก็หมดปัญญาจะไล่เขาออกไปจากชีวิต ทั้งที่ผมยอมถอย ยอมออกมาจากชีวิตของเขาแล้ว แต่เขากลับเอาตัวเองเข้ามาในชีวิตของผมเสียเอง

ผมก้าวออกมาจากลิฟต์ที่เปิดออก มือควานหากุญแจห้องโดยไม่ได้สนใจรอบข้างจนผมเผลอเดินชนกับใครบางคนเข้าอย่างแรง

“อ๊ะ! ขอโทษครับ” ผมเกือบจะเซล้ม ยังดีที่อีกฝ่ายใช้วงแขนประคองผมเอาไว้ได้ทัน

เกือบไปแล้วสิ

“ไม่เป็นไร” ผมขมวดคิ้ว สายตาของผมอยู่ระดับแผ่นอกของเขา แต่มันช่างคุ้นตาเหลือเกิน น้ำเสียงทุ้มที่แสนนุ่มหูก็ช่างคุ้นหูราวกับได้ยินมาหลายต่อหลายครั้ง กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยมาจากตัวเขามันก็ชวนให้ใจเต้นแรงอย่างไม่มีสาเหตุ ผมเงยหน้าขึ้นช้าๆ ไล่สายตาขึ้นจากแผ่นอกไปยังลำคอและสันกราม ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นใบหน้าที่ผมรู้จักเป็นอย่างดี

ดินแดน

ผมขืนตัวออกจากวงแขนของเขาแทบจะทันที ริมฝีปากเม้มแน่นทั้งที่ดวงตาไหวระริกกับอาการหวั่นไหวที่เข้ามาจู่โจม

เขามาได้ยังไง รู้จักที่นี่ได้ยังไง

ผมเอาแต่ถามตัวเองซ้ำๆ เงียบๆ แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบ ใจจริงผมแอบคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขามาเพราะผม มาที่นี่เพราะผมอาศัยอยู่ที่นี่ แต่แล้วผมก็ต้องหยุดความคิดฟุ้งซ่านนั่นลงไปเพราะไม่อยากจะคาดหวังกับความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง ผมและดินแดนมองหน้ากันและกันนานครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเป็นผมเองที่หลบเลี่ยงสายตาของเขา หวังเดินไปข้างหน้าเพื่อจะจบบรรยากาศแสนอึดอันนี้เสียที

“นี่! หลบสิ” แต่ใครจะไปคิดว่าดินแดนจะเป็นฝ่ายก้าวมายืนข้างหน้าผมอีกครั้ง ไม่ว่าผมจะขยับไปทางซ้ายหรือขวา เขาก็จะตามมาไม่ลดละ

“คุณพักอยู่ห้องไหนหรือครับ?” ผมตวัดสายตามองคนหน้าด้านที่ไม่ยอมหลีกทางให้ผมไม่พอยังจะกล้ามาถามอีกว่าผมอยู่ห้องไหน ผมสะกดอารมณ์โมโหตัวเองเอาไว้ พยายามเรียกเอาความใจเย็นที่แทบไม่หลงเหลืออยู่ออกมาให้มากที่สุด

“นั่นมันเรื่องส่วนตัวของผมนะครับ!” แต่ดินแดนกลับยิ้มขำ สองเท้ายังคอยขยับตามทิศทางที่ผมเดินไปอย่างไม่คิดจะปล่อยผม

“ผมเพียงแค่อยากทำความรู้จักกับคุณก็เท่านั้น” เฮอะ! ผมได้แต่กลอกตาใส่ดินแดนที่ยังคงยิ้มแย้มอย่างยินดีและพึงพอใจมาก

“ผมชื่อแดนครับ ดินแดน โชติญาณกุล ห้อง708 ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” ผมชะงักเมื่อได้ยินหมายเลขห้องจากปากของดินแดน ผมจะไม่ตกใจสักนิด หากว่าผมไม่ได้อยู่ห้อง703ที่เป็นห้องตรงข้ามกัน เรื่องบังเอิญไม่ควรเกิดขึ้นมาทันทีทันใดแบบนี้ ฟ้าเองก็ไม่ควรเล่นตลกส่งเขามาให้ผมในวันที่ผมตัดสินใจหันหลังให้กับเขาแล้ว เพราะมันยิ่งทำให้ผมทรมานยิ่งกว่าที่เป็นอยู่

“ผม…ขอตัว”

“เดี๋ยวสิครับ!” ผมกัดริมฝีปากของตัวเอง ห้ามปรามหัวใจที่กำลังอ่อนไหวอย่างสุดกำลัง ดึงข้อมือออกจากการถูกกอบกุมเอาไว้ออกมาทันที

“มีอะไรครับ” ผมอยากรีบๆ ออกไป อยากจะหายไปจากคนตรงหน้า ไม่ใช่เพราะขี้ขลาดหรืออ่อนแอ

แต่เพราะกลัวว่าหัวใจของผมจะคิดเข้าข้างตัวเองจนกลับไปจมปลักในจุดเดิม

“ผมยังไม่ได้ทานข้าวเลยตั้งแต่เช้า ถ้าไม่เป็นการรบกวน…อยากจะขอข้าวทานสักมื้อ จะได้ไหมครับ?”

ข้าวสักมื้องั้นหรือ

ผมยิ้มเยาะออกมา ปล่อยเสียงหัวเราะแผ่วเบาที่แสนกังวานออกมาเมื่อได้ยินคำนั้น อยากให้ผมทำอะไรให้เขากิน เขาลืมไปแล้วหรือเปล่าว่าเคยทำอะไรกับผมเอาไว้

ลืมไปแล้วหรือว่าวันนั้นเรียกมันว่าอะไร

“ขยะ…”

“ว่าอะไรนะครับ?” ผมยิ้มเย่ะ เงยหน้าขึ้นสบตากับดินแดนที่ยังคงงุนงงกับน้ำเสียงและคำพูดของผม

“ขยะที่ถูกทำขึ้นมาด้วยมือของผม คงไม่เหมาะจะให้ทายาทโชติญาณกุลได้ทานหรอกครับ” ลืมมันไปแล้วหรือเรื่องวันนั้น วันที่เขาเลือกจะมองเห็นค่าของอาหารที่ผมทำ เป็นเพียงขยะที่แสนไร้ค่า ถึงเขาจะลืม แต่ผมไม่เคยลืมมันไปได้เลยสักวัน มันยังคงตอกย้ำอยู่ในใจผมให้เจ็บปวดทรมานทุกครั้งที่หวนคิดถึง

ขยะที่ถูกพาเข้ามาก็ต้องให้คนที่พามาเป็นคนเอามันออกไป! ผมไม่เคยลืมมันเลยสักคำเดียว เพราะงั้น อย่าเสียเวลาอันมีค่าของคุณมารอทานขยะของผมเลยครับ มันไม่มีค่าพอให้รอหรอก

ผมปล่อยให้แดนนิ่งค้างอยู่ตรงนั้น ส่วนตัวเองก็เดินออกมาไขกุญแจเพื่อเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปด้านในด้วยหัวใจที่ปวดร้าวและสั่นไหวอย่างรุนแรง ผมไม่รู้หรอกว่าเขาลืมมันหรือเปล่า แต่คนอย่างผมคงลืมความอับอายและเสียใจในวันนั้นไม่ได้

คุณพูดถูกแล้วล่ะครับดินแดน ขยะที่ถูกพาเข้ามาก็ต้องให้คนที่พามาเป็นคนเอามันออกไป…เพราะงั้นช่วยปล่อยมือที่แสนสะอาดของคุณ ออกจากขยะที่คุณโยนทิ้งไปทีเถอะ ก่อนที่ผมจะทนใจแข็งไม่ไหวอีกต่อไป

ถือว่าผมขอร้องคุณก็ได้ ช่วยกลับไปหาเพชรที่แสนล้ำค่าของคุณเสียที













ผมอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็เริ่มรู้สึกว่าท้องมันว่างเกินไป อาการหิวเริ่มส่งเสียงประท้วงออกมาให้ได้ยิน ผมเดินไปในครัว เปิดตู้เย็นเพื่อดูของสด ถึงแม้ว่าจะย้ายออกมา แต่คุณแม่ก็ยังคงให้คนซื้อของมาเติมไว้ให้ในตู้เย็นเสมอ ผมเองก็ชอบทำอาหารไปแล้ว มันเคยชินจนต้องทำกินเองตลอดเวลา ยกเว้นเวลาที่ผมเข้าไปที่ร้านแสนสุขผมถึงไม่ต้องทำอะไร

อาหารสองสามอย่างที่ไม่ใช้เวลามากมายถูกวางเอาไว้บนโต๊ะ หน้าตาน่าทานอย่างที่เคยทำมาเสมอ ผมยิ้มออกมาอย่างพอใจ แต่ชั่วครู่หนึ่งหัวใจก็พลันบีบตัวอย่างรุนแรงอยู่ในอก อาการปวดหนึบๆ กลับมาอีกแล้ว คงเป็นเพราะผมหวนคิดถึงวันนั้นที่ดินแดนทำลายความตั้งใจของผมลงด้วยสองมือ มองความปรารถนาดีที่ผมให้ว่าเป็นเพียงแค่ขยะ

ผมเงยหน้าขึ้นกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่หยาดน้ำตาให้หายไป นั่งลงที่เก้าอี้หวังจะสลัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายให้ออกไปจากหัว เอื้อมมือออกไปหวังจะจับช้อนแต่มันก็ต้องชะงักลงก่อนที่จะเอื้อมไปถึง

ถ้าหาก…เขาไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าจริงๆ ล่ะ?

ไม่สิ ผู้หญิงคนนั้นคงไม่ปล่อยให้เขาหิวหรอก ยังไงคนรักกันเขาคงไม่ปล่อยให้แฟนตัวเองต้องอดอยากจริงๆ ดินแดนเองก็คงไม่ทรมานตัวเองขนาดนั้น แม้ว่าผมจะคิดแบบนั้น แต่ในใจก็อดถามไม่ได้ว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ หรือ แค่ความคิดของผมจะเป็นความจริง หรือผมจะแค่หลอกตัวเองกันแน่

ผมพยายามหลายครั้งที่จะหยิบช้อนขึ้นมา แต่ทุกครั้งใจผมก็ไม่เคยสงบ…มันยังคงคอยคิดเพียงแค่ว่าดินแดนจะทานข้าวไปแล้วจริงๆ หรือเปล่า

มันคาใจจนผมต้องหลับตาลงกำมือของตัวเองแน่น ผมตัดสินใจในช่วงนาทีสุดท้ายนี้แล้วว่าจะลองลุกขึ้นไปเปิดประตูดูว่าดินแดนยังอยู่ข้างนอกหรือเปล่า เพราะกว่าผมจะอาบน้ำแต่งตัวทำอาหารเรียบร้อยก็กินเวลาไปนานกว่าสองชั่วโมงแล้ว เพราะแบบนั้นผมจึงคิดว่าเขาอาจจะไม่อยู่แล้วก็ได้ ใครจะโง่นั่งรออยู่หน้าห้องของคนที่ไม่รู้ว่าจะเปิดประตูออกมาอีกไหมกันล่ะ

ใช่…คงไม่อยู่แล้วล่ะ

ผมตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปยังประตูสีน้ำตาล ยืนลังเลอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมมือออกไป เปิดประตูและก้าวออกไปเพื่อมองหาร่างคุ้นตา

ผมยืนนิ่งแข็งค้างอยู่ตรงหน้าประตู ขายังไม่ทันจะพ้นประตูสายตาของผมก็เหลือบเห็นใครบางคนที่นั่งกอดเข่าอยู่ข้างๆ ห้องของผม ใบหน้าหล่อเหลาของเขาซบอยู่ที่แขนของตนเองอย่างน่าสงสาร หัวใจของผมอ่อนยวบกับท่าทางน่าสงสารของเขาจนต้องเบือนหน้าหนีภาพตรงหน้า เม้มปากและกำมือแน่นเพื่อระงับอารมณ์ของตัวเองลง ปรับสีหน้าและแววตาให้ดูไร้ความรู้สึกอีกครั้ง แม้ว่าหัวใจของผม…จะอ่อนไหวมากแค่ไหนก็ตาม

เอาเถอะ…อย่างน้อยก็ถือเสียว่าทำบุญ

“มานั่งทำอะไรตรงนี้ครับ” ผมส่งเสียงถามเขาออกไป ก็ตรงนี้มันบริเวณห้องของผม เขาเงยหน้าขึ้นมาจากแขนตัวเอง แววตาที่ดูไร้แสงมันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง

แววตาที่ครั้งหนึ่ง…ผมเคยใช้มองเขา

“ขอโทษนะ เดี๋ยวจะไปแล้วล่ะ” ดินแดนดันร่างของตัวเองขึ้นมาจากพื้นด้วยท่าทางอ่อนแรง เขาส่งรอยยิ้มที่แสนเศร้าสร้อยมาให้ผม ซึ่งผมยอมรับเลยว่ามันปวดใจยังไงก็ไม่รู้

ผมรู้ดีว่าเขาใจร้ายมากมายแค่ไหน จำได้ดีว่าเขาทำอะไรกับผมเอาไว้บ้าง

ผมไม่เคยลืมมันไปเลยสักวัน มันยังคงตอกย้ำหัวใจของผมอยู่เหมือนเดิม

แต่เพียงแค่ผมเห็นสีหน้าที่เจ็บปวด กับแววตาที่ลุแก่โทษของเขา ผมกลับไม่สามารถห้ามหัวใจตัวเองไม่ให้มันอ่อนไหวไปกับสิ่งที่เห็นได้ เขาเลวไหม ใช่ เขาเลวเหลือเกินที่นอกใจผม เขาร้ายกับผมหรือเปล่า แน่นอนว่าใช่ เขาทั้งทำร้ายจิตใจผมสารพัด ผิดคำมั่นสัญญาของเรา มองผมเป็นเพียงคนน่ารำคาญคนหนึ่ง เลือกจะเดินจับมือไปกับใครอีกคนที่ไม่ใช่ผม และนั่น…ผมเองก็ไม่เคยลืม

เพียงแต่ผม…ไม่สามารถปล่อยให้เขาจากไปทั้งแบบนี้ได้ ผมทำไม่ได้จริงๆ

ผมสูดลมหายใจเข้าปอด หลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะลืมมันขึ้นมาอีกครั้ง จับจ้องแผ่นหลังของเขาที่กำลังจะห่างออกไปเรื่อยๆ

“เข้ามาสิครับ”

ไม่เป็นไรหรอก แค่ข้าวสักมื้อ ถึงยังไงมันก็คงเปลี่ยนอะไรไม่ได้อยู่แล้ว

“ผมทำอาหารเอาไว้เยอะ มีคุณเข้ามาทานอีกสักคน มันคงไม่เป็นไร” ดินแดนชะงักฝีเท้า เขาค่อยๆ หันมาอย่างช้าๆ มองหน้าผมด้วยความหวังที่ราวกับว่าผมเป็นคนมอบมันให้เขาได้ใช้มันต่อชีวิต

อย่ามองผมแบบนั้น ผมไม่อยากกลับไปรักคุณอีกแล้วดินแดน

เพราะผมรู้ดีแล้วว่า หัวใจของคุณ…ไม่ใช่ของผม

ดินแดนไม่เคยเป็นของไมรวี ไม่ว่าแต่ก่อนหรือตอนนี้ก็ตาม









น้องไม่ใจอ่อนนะคะ แค่ทำทานให้คนอดอยากเท่านั้น อย่าเพิ่งด่าน้องงงง รออ่านตอนต่อไปกันก่อนนนนน  :serius2:  :ling3:

เป็นเจ้าของ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
โอ๊ยย น้องใจอ่นแระ. อีดินแดนก็เนาะรู้ได้ไงว่าไมน์อยู่ที่ไหน

ออฟไลน์ งงปะ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
ถ้าจะวนเข้าลูปเดิมก็ไม่ไหวนะ
คนอ่านทำใจไม่ได้ มันรู้สึกอินไม่ลงกับการกระทำที่ผ่านๆมา จะมาพร้ำเพ้ออยู่ตลอดก็ไม่ใช่ คนเราต้องรู้จักการปล่อยวางและก้าวหน้าต่อไป
เอาจริงๆไม่ชอบลักษณะตัวละครของนายเอกเลย
ดูไร้ค่า บูชาความรักจนลืมและมองข้ามทุกสิ่งกระทั่งเลือกผู้ชายมาก่อนครอบครัวตัวเอง
อ่านแล้วสะเทือนใจมาก
ยิ่งมาตอนนี้ทำทีท่าเหมือนจะเริ่มๆจากทำความรู้จักกันใหม่ยิ่งไม่ไหวเลย
จริงๆเขาไปที่ร้านทุกวันวิธีแก้ไม่ยากเลยก็ไม่ต้องเข้าร้านก็จบปกติก็ไม่เคยเข้าอยู่แล้ว ไม่รู้จะเอาตัวเองไปวนเวียนอยู่ใกล้ๆเขาทำไม
/เป็นอินเลย

ออฟไลน์ เด็กสาวในชุดสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
[14] 50%


คำว่ารักในวันที่สายไป

บรรยากาศที่แสนจะน่าอึดอัดกำลังบีบอัดอากาศรอบด้านไปจนไม่มีความรู้สึกให้ควรอยู่ตรงนี้เลยแม้แต่น้อย ดินแดนนั่งอยู่ตรงข้ามผม แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกอย่างที่ผมรู้สึก เขาไม่ได้รู้สึกแย่หรืออึดอัดใด ๆ เลยแม้แต่น้อย ใบหน้าของเขาติดรอยยิ้มอยู่เหมือนเคย แววตาทอประกายหวานล้ำราวกับผมคือสิ่งล้ำค่าที่ต้องจับตามอง

แต่ผมไม่ใช่

เขาเคยตีค่าผมเป็นเพียงแค่คนน่ารำคาญ แล้วคนที่น่ารำคาญจะกลายเป็นสิ่งล้ำค่าไปได้อย่างไร มันคงจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

ผมอดยิ้มเยาะตัวเองออกมาไม่ได้ ก้มใบหน้าลงซ่อนรอยยิ้มเย้ยหยันของตนเองเอาไว้ไม่ให้เขาได้เห็น ผมหยิบช้อนขึ้นมาปรับเปลี่ยนสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติก่อนจะลงมือทานอาหารตรงหน้าเสียที ดินแดนเองเมื่อเห็นว่าผมที่นั่งนิ่งเงียบยอมทานอาหาร เขาเองก็ลงมือเช่นกัน

ดินแดนตักกับข้าวจากจานใกล้มือเขามาใส่ในจานของผมอย่างใส่ใจ ผมไม่ได้อิดออดเขี่ยมันทิ้งไปอย่างที่ควรจะทำ เพราะอาหารทั้งหมดผมเป็นคนทำเองไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องปฏิเสธอาหารที่ผมเป็นคนลงมือทำด้วย ดินแดนมองผมที่ยอมทานสิ่งที่เขาตักมาให้อย่างดีใจ ใบหน้าของเขาฉายชัดถึงความยินดีอย่างเหลือล้นนั้นจนผมแทบไม่ต้องมองหามันก็มองเห็นได้

บรรยากาศน่าอึดอัดเริ่มลดลงไปอย่างไม่รู้ตัว ผมว่าคงเป็นความเคยชินเสียมากกว่า เพราะเมื่อก่อนในวันนั้นที่เรายังรักกัน ผมกับดินแดนเองก็เคยร่วมทานอาหารกันเช่นวันนี้

มันจึงไม่มีอะไรแปลกประหลาดไปกว่าเดิม

“อร่อย…ยังอร่อยเหมือนเดิมเลยนะ” ผมเม้มริมฝีปาก สองมือชะงักไปกับคำชมที่ออกมาจากปากของดินแดน

“ขอบคุณที่ชมครับ แต่ผมคิดว่าคงไม่อร่อยเท่าอาหารที่แฟนของคุณทำให้ทานหรอกครับ” ผมเปล่าประชดประชัน เพียงแต่ผมไม่อยากตกอยู่ในห้วงรักของดินแดนอีก ทุกคำที่ผมพูดออกมาจากปากของผม เป็นเหมือนคำที่ช่วยย้ำเตือนให้หัวใจของผมได้ประมาณตน ไม่คิดอะไรที่มันเป็นการทำร้าวหัวใจของตนเอง

“ไมน์…” ดินแดนเหมือนต้องการจะพูดอะไรสักอย่างกับผม เพียงแต่ผมตอนนี้ คงไม่จำเป็นต้องฟังเขาก็ได้จริงไหม

“ทานข้าวเถอะ เดี๋ยวมันจะเย็นเสียก่อน”

ดินแดนมองผมครู่หนึ่งก่อนที่จะถอนหายใจออกมาแต่ก็ยอมหยุดพูดและลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้าไปเงียบๆ แต่ถึงแม้จะไม่ได้พูดคุยกัน ดินแดนก็ยังคงไม่หยุดที่จะตักอาหารให้ผมไม่ขาด เราสองคนต่างคนต่างก็อยู่ในจุดที่ไม่สามารถเดินด้วยกันได้อีกแล้ว

เขามีคนของเขาแล้ว และคนคนนั้นไม่ใช่ผม ผมยังจดจำรสชาติของน้ำตาที่เคยไหลได้ดีว่ามันเจ็บมากแค่ไหน มันขมขื่นมากเพียงใดกับการเฝ้ารอและไม่เคยถูกเขาเลือก ขนาดวันสุดท้าย…

ผมหลับตาลงข่มความทรมานที่เริ่มจู่โจมหัวใจของผมอีกระลอก กำมือจนแน่นเพื่อระงับความปวดร้าวที่ตีตื้นขึ้นมาให้ผมต้องแสดงความอ่อนแอ ผมในตอนนี้จะให้เขารู้ไม่ได้ว่าหัวใจของผมยังไม่สามารถตัดเขาออกไปได้ ผมกลัว ไม่ใช่กลัวว่าเขาจะเข้ามามีอิทธิพลต่อหัวใจของผมอีกครั้ง แต่ผมกลัวว่าตัวเองจะยอมกลับไปหาเขาด้วยความเต็มใจ

ทั้งที่รู้ดีว่าหัวใจของผมจะต้องเจ็บช้ำเช่นเดิม

“อิ่มแล้วหรือไมน์?” ผมหลุดออกจากภวังค์ ก้มลงมองจานอาหารที่มีข้าวเหลืออยู่ แต่กลับถูกผมเขี่ยไปมาอย่างเหม่อลอย

“ครับ ผมอิ่มแล้ว”

ผมไม่ชอบความคุ้นเคยที่เป็นอยู่ มันทำให้หัวใจของผมสั่นไหว ส่วนลึกในจิตใจยังคงโหยหาสิ่งที่ผมไขว่คว้ามาตลอด ทั้งที่ผมควรจะรู้และจดจำให้ขึ้นใจได้แล้วว่าไม่มีวันได้หัวใจของดินแดนมาครอบครอง แต่เสี้ยวเล็ก ๆ นั้นก็ยังคงคาดหวัง แม้ว่าความหวังครั้งนี้…ผมจะเมินมันไปก็ตาม

“เดี๋ยวผมเก็บให้เอง” ผมไม่ยื้อแย่ง ปล่อยให้เขาเก็บจานชามทั้งหมดไปล้างอย่างไม่คัดค้านใด ๆ เขาทำเพื่ออะไรผมรู้ดี เพียงเพื่อให้ได้อยู่ตรงนี้ต่ออีกสักวินาทีไม่ว่าอะไรก็ตาม ดินแดนยอมทำมันทั้งนั้น แต่ผมเพียงแค่คิดไม่ถึงว่าคนอย่างเขา ผู้ชายที่เป็นคุณชาย เป็นลูกชายคนที่สองของโชติญาณกุลจะยอมมายืนล้างจานในห้องของผม ทั้งที่เมื่อก่อนเขาไม่เห็นสนใจจะทำมันด้วยซ้ำ

ผมเบือนหน้าหนีภาพแผ่นหลังของผู้ชายที่ได้หัวใจของผมไป เลือกที่จะเดินออกมายังระเบียงกว้างมองท้องฟ้าที่มืดแต่ก็ยังพอมองเห็นดวงดาวได้อยู่บ้าง ภาพกรุงเทพฯ ยามค่ำคืนมันสวยงามสว่างไสวไปด้วยไฟต่าง ๆ ผู้คนคึกคักและสนุกสนานไปกับราตรีที่น่าลุ่มหลง แต่กับผมมันก็เป็นเพียงสีสันที่ชวนให้มองอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีอะไรน่าสนใจเท่ากับดาวดวงน้อยบนฟากฟ้าด้วยซ้ำไป

มันสวยงาม แม้จะเล็กแต่ก็ยังคงส่องแสงด้วยตนเอง

ผมก็อยากจะเป็นแบบนั้นบ้าง อยากเข้มแข็งและลบเขาออกไปจากใจได้เสียที

“มายืนอะไรตรงนี้” ผมสะดุ้งเมื่อถูกโอบกอดจากทางด้านหลัง ร่างกายค่อยๆ แข็งขืนเพื่อแสดงความไม่ยินยอมออกไปให้เขาได้รับรู้

แต่ดินแดนไม่เพียงไม่ปล่อย เขายังกระชับอ้อมแขนมากยิ่งขึ้นอีก

“ปล่อย…คุณกอดผมไม่ได้!”

ไม่ได้ จะกอดผมแบบนี้ไม่ได้นะ หัวใจของผมมันไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้น

“ทำไมล่ะ ทำไมผมถึงกอดไมน์ไม่ได้”

ผมขืนตัวออกจากอ้อมแขนของเขา แม้ว่าหัวใจจะร่ำร้องเรียกหาไออุ่นของเขาสักเท่าไร ผมก็ไม่อาจจะทำตามที่ใจปรารถนาได้อีกต่อไปแล้ว ผมยังจดจำความจริงที่ถูกโยนใส่หน้าได้ดี ความจริงที่บอกว่าเขาไม่ใช่ของผมอีกต่อไป

“ดินแดน ความจริงเรื่องนี้ผมว่าเราคุยกันแล้วนะ” ผมเบื่อเหลือเกินที่ต้องวนเวียนพูดมันซ้ำ ๆ เขาไม่รู้หรือยังไงว่าผมเองก็ทรมานจนเจียนตายแล้ว ทำไมจะต้องทำเหมือนเรายังรักกันทั้ง ๆ ที่เขาก็รู้ดี…ว่าเขาเป็นของใคร

“ไมน์...ผมไม่รู้ว่าคุณจะเชื่อผมไหม ไม่รู้ว่าวันนี้มันจะยังมีค่ากับคุณอยู่หรือเปล่า”

“…”

“แต่ผมรักคุณนะครับไมน์ ผมรักคุณมาก”

รักผม? รักผมอย่างนั้นหรือ?

มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน ในเมื่อแต่ก่อนนั้นผมอยากได้มันจนแทบคลั่ง พยายามทำทุกอย่างให้เขาพูดมันออกมาในวันที่เรายังคงเป็นเรา เป็นเขาเองไม่ใช่หรือที่ทำลายมันลงไป เป็นเขาไม่ใช่หรือที่มีใครมาแทนที่ผม เป็นเขาอีกไม่ใช่หรือไรที่บอกว่าเรื่องของเรา…เขาลืมมันไปจนหมดแล้ว

แล้ววันนี้ วันที่ผมเดินออกมาจากความเป็นเรา ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่มีค่าของเราเอาไว้ข้างหลัง ปล่อยมือออกจากมือของเขา ยอมให้เขาได้ใช้ชีวิตกับคนที่เขารัก ส่งเขาให้กับคนที่ได้ครอบครองหัวใจของเขาไป

แล้ววันนี้จะมาบอกรักผมทำไมกัน มันไม่สายไปหน่อยหรือ?

“คุณจำวันนั้นได้ไหมแดน”

“...” ผมพยายามเม้มริมฝีปากที่สั่นระริกเอาไว้ ไม่อยากหวนคิดถึงมันสักนิดแต่ก็ต้องทำให้ตัวผมและเขาได้จำมันให้ขึ้นใจ

“วันที่คุณปกป้องคนของคุณด้วยการทำร้ายผม คุณจำมันได้ไหม”

“ไมน์...”

“เพราะผมไม่เคยลืมมันได้เลยสักวัน คุณมองดูสิ ร่างกายผมเองยังคงทิ้งบาดแผลที่คุณทำกับผมไว้อย่างชัดเจน มันชัดเจนทั้งบาดแผลและความเจ็บปวดที่ผมรู้สึก

“...”

“แล้วมาวันนี้คุณกลับบอกผมว่า คุณรักผม? คุณจะมาเล่นอะไรของคุณอีกดินแดน! หยุดเล่นกับหัวใจของผมได้แล้ว ผมไม่เหลืออะไรให้คุณทำลายอีกแล้ว เพราะทุกอย่างมันพังทลายตั้งแต่วันที่คุณเลือกเขา! ไม่ใช่ผม!”

“ไมน์ ฟังผมก่อนได้ไหม ผมขอร้อง ผมขอโทษ แต่ผมรักคุณจริง ๆ”

"คุณเคยได้ยินไหมครับที่มีคนเคยบอกว่า คำบางคำไม่อาจทำให้รู้สึกดีถ้ามันสายไป"

"แต่ผมรักคุณจริง ๆ นะไมน์" ดินแดนยังคงย้ำชัดถึงคำคำนั้น เขาจับมือของผมเอาไว้ บีบมันเพื่อส่งความจริงใจมาทางสัมผัสและแววตา

"ในวันที่ผมอยากฟังที่สุด คุณกลับบอกผมด้วยคำร้ายกาจมากมาย แต่วันนี้ที่ผมยอมปล่อยมือจากคุณตามคำเรียกร้อง ทำไมคุณถึงคิดว่าผมยังอยากฟังมันล่ะครับ? " ผมยิ้มอ่อน แววตาอ่อนล้าเหลือเกินทั้งที่ในหัวใจทั้งเจ็บปวดและทรมานกับคำพูดคำนี้

"ผมรู้สึกตัวช้า ข้อนี้ผมรู้ตัวเองดี ก่อนหน้านี้ผมทำเลวกับคุณสารพัด ผมไม่ขอแก้ตัวใด ๆ แต่คำพูดที่ผมบอกคุณออกไปมันเป็นเพียงแค่ความในใจของผู้ชายคนหนึ่งที่รักคุณมาก"

"..." ผมหลบสายตาของเขา ยิ่งได้มองผมยิ่งไม่สามารถหยุดความรู้สึกของตัวเองลงไปได้ กลัวเหลือเกินว่าความเข้มแข็งของผมมันจะไม่หลงเหลืออีกต่อไป

"เพราะงั้นต่อให้คุณปฏิเสธที่จะฟังมันผมก็ไม่โกรธ ไม่ต่อว่าคุณเลย เพียงแต่คุณรู้ไหมไมน์...วันนี้ผมได้รู้แล้วว่าหัวใจของผมมันเป็นของใคร และผมอยากจะบอกคุณเพียงว่า...หัวใจของผมมันเป็นของคุณมาเสมอ และจะมีคุณเป็นเจ้าของเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง"

"..."

"ดินแดนคนนี้เป็นของไมน์นะครับ เป็นของคุณเพียงคนเดียว" ดินแดนกดริมฝีปากลงบนหลังมือของผม ดวงตาเต็มไปด้วยการอ้อนวอนต่อผม แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่คำพูดและแววตาของเขานั้น มันทำให้ผม…ใจสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่

ผมดึงมือออกทันทีที่เขาถอนริมฝีปากออกจากหลังมือของผม ความร้อนผ่าวของริมฝีปากนั้นยังติดตรึงอยู่ที่ผิวหนังของผม แต่ผมรู้ดีว่ามันคงติดตรึงไปถึงหัวใจของผมเช่นกัน สองมือกำแน่นจนเล็บจิกเข้าที่ฝ่ามือ ดวงตาของผมเต็มไปด้วยความสับสนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมไม่อยากเชื่อเขา แต่หัวใจของผมก็เชื่อมันไปแล้ว

“เจ็บมากใช่ไหมไมน์” ผมหลบวูบเมื่อเขาเอื้อมมือมาเพื่อจะแตะต้องบาดแผลที่ถูกเขาสร้างเอาไว้

“ผมไม่รู้ว่าควรขอโทษคุณแบบไหน แต่ไม่ว่าอะไรก็ตามถ้ามันทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น ผมยอมให้คุณทำทั้งนั้น”











..........50%..........





คุณอยากให้น้องลงโทษดินแดนอย่างไร 

1 แทงมันให้ตายแล้วโยนศพทิ้ง

2 โทรหาพี่มินเรียกเหล่าแม่ยกน้องไมน์มาช่วยกันรุมกระทืบ

3 ......... ไม่รู้คิดไม่ออก


เป็นเจ้าของ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด