วิวาห์อามันต์
ตอนที่14
“ยี่หวา!!” วิวาห์อ้าปากค้าง ตาเหลือกมองร่างเล็กบางที่ล้มลงไปนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น เลือดไหลซึมออกมาจากบาดแผลกลางอกที่ยังมีมีดเล่มนั้นปักคาเอาไว้อยู่ ว่านใช้มือกดแผลที่ท้องของตัวเองแน่นแล้วรวบรวมกำลังที่เหลือคลานเข้าไปหาร่างของลูกสาวที่นอนอยู่ หัวใจของเขาเหมือนหยุดเต้นไปแล้ว “ยี่หวา...”
น้ำตาร้อน ๆ ทะลักออกมาจากสองเบ้าตา วิวาห์ได้ยินเสียงล้มตึงดังขึ้นใกล้ ๆ ยายเอิบทรุดลงไปนอนที่พื้นพี่วัตกับวินได้ยินเสียงกรีดร้องก็เลยวิ่งพรวดพรวดเข้ามาดู พอเห็นสภาพคนในห้องเข้าก็ตกใจมาก
“ว่าน...ยี่หวา เกิดอะไรขึ้น”พี่วัตกระโจนเข้ามาหาน้องชายแล้วเบิกตากว้างเมื่อเห็นสภาพของหลานสาวสุดที่รัก “ใครทำยี่หวายี่หวา..”
“ผมขอดูหน่อยครับ” วิรุฬได้สติเขาจับชีพจรของยี่หวาแล้วก็เริ่มปั้มหัวใจให้หลานสาวคนเดียวอย่างเร่งร้อน ปากก็บอกให้พี่ชายโทรเรียกรถพยาบาลมาตอนนี้เลย วิวาห์ไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว เขาจับตัวเย็นเฉียบของยี่หวาเอาไว้แน่น ใบหน้าเล็ก ๆ นั้นขาวซีดไร้สีเลือดริมฝีปากที่เพิ่งเรียกชื่อเขาเมื่อครู่นี้เปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ
“พี่ขอดูแผลว่านหน่อย”
“ไม่เป็นไรครับ ว่านไม่เป็นไรช่วยยี่หวาเถอะช่วยลูกว่านด้วย” วิวาห์พูดละล่ำละลักแทบฟังไม่เป็นคำนัยน์ตาของเขาพร่าเบลอไปหมดไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำตาหรือว่าเสียเลือดมากเกินไป
“แผลว่านลึกมากนะ นอนลงก่อน”
“ไม่ครับ...ยี่หวา ยี่หวาของวีว่า กลับมาก่อนสิ...ยี่หวา”
วิวาห์เคยผ่านช่วงที่คิดว่าตัวเองเสียใจที่สุดในโลกมาแล้วแต่ไม่นึกเลยว่าเขายังสามารถเสียใจได้มากกว่านั้นอีก วิวาห์กุมเท้าของลูกเอาไว้แน่น เขาไม่กล้ามองหน้าลูกอีกแล้ว
“ยายเอิบ...เป็นคนแทง”
“ว่าไงนะ” คนฟังอุทานวิรัตน์เพิ่งนึกขึ้นได้หันกลับไปดูยายพี่เลี้ยงที่นอนคว่ำหน้าอยู่ไม่ไกล พอพลิกหน้ายายเอิบขึ้นมาชายหนุ่มก็ผงะหน้าของยายเอิบขึ้นอืดนัยน์ตาถลนจำหน้าเดิมไม่ได้ น้ำเหลืองเยิ้มติดมือวิรัตน์มาด้วยพร้อมกับศีรษะของศพที่หลุดกลิ้งไปที่พื้น ชายหนุ่มล้มทั้งยืนด้วยความตกใจ “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย”
“พี่วัตช่วยยี่หวา...ช่วยลูกว่านด้วย” วิวาห์กระซิบเขาไม่เหลือแรงจะลุกขึ้นแล้วชายหนุ่มซบหน้าลงกับปลายเท้าของลูกสาวเลือดจากบาดแผลของเขาทะลักออกมาเป็นลิ่ม ๆ จนพี่ชายใจเสีย
“ว่านนอนลงก่อน พี่จะช่วยกดแผลให้”
“ไม่มีประโยชน์ แผลลึกไป”ว่านรู้ตัวเองดีมีดปอกผลไม้เล่มนั้นเล็กบางก็จริงแต่ว่าคนแทงตั้งใจหมุนควานในท้องของเขาเต็มที่ ว่านรู้ตัวว่าคงไม่รอดแน่ “ดูยี่หวาดูยี่หวาเถอะครับ”
“รถมาแล้ว”
วิวาห์หายใจหอบลึกในความพร่าเบลอเขามองเห็นคนหลายคนเข้ามารุมล้อมลูกสาวได้ยินเสียงพูดคุยกันอย่างเคร่งเครียดดังขึ้นจอแจ ความเจ็บปวดของว่านหายไปแทนที่ด้วยความมึนชาหนักอึ้งเขาพยายามจะเรียกชื่อลูกแต่ก็ไม่มีเสียงหลุดลอดออกมา
“คลำชีพจรไม่ได้ครับ เริ่มCPR”มีคนพูดอยู่เหนือร่างของเขา
น่าแปลกที่ว่านมองเห็นตัวเองนอนอยู่ตรงนั้น มีเจ้าหน้าที่กำลังขึ้นปั้มหัวใจ ว่านมองเห็นแม้กระทั่งเลือดที่ทะลักออกมาจากแผลที่ท้องตอนที่เจ้าหน้าที่ยกร่างของเขาขึ้นรถพยาบาล แต่ทิ้งให้ยี่หวาลูกสาวตัวจ้อยนอนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่มีใครปั้มหัวใจของเธอ แม้แต่วิรุฬก็ยืนร้องไห้อยู่ข้าง ๆ ร่างของเธอ
“เด็กเสียชีวิตคาที่ มีดตัดเข้าขั้วหัวใจเลย ส่วนคนแก่ก็แปลกมาก ดูจากคำบอกเล่าน่าจะเพิ่งเสีย แต่ทำไมร่างเน่าหมดแล้วก็ไม่รู้”
“เดี๋ยวสิครับ ช่วยลูกผมก่อนสิคุณหมอ คุณ...ลูกผมยังไม่ตาย...ไม่ได้นะ ไม่ต้องช่วยผมไปช่วยลูกผมสิ ...คุณ”วิวาห์ตรงเข้าไปเขย่าตัวเจ้าหน้าที่คนหนึ่งทว่าเขากลับสัมผัสตัวของอีกฝ่ายไม่ได้ ชายหนุ่มเบิกตากว้าง มองมือของตัวเองอย่างตกใจ
“พี่วัต ได้ยินผมมั้ยพี่วัต ช่วยยี่หวาด้วย” เขาเข้าไปหาพี่ชายแทน วิรัตน์ไม่ได้ยินเขา ชายหนุ่มยืนกอดภรรยาเอาไว้แน่น “วิน...วินช่วยหลาน วินช่วยยี่หวาสิ” วิวาห์พูดอย่างหมดทาง เขาพยายามตะโกนให้ดังที่สุดแล้วก็ยังไม่มีใครได้ยิน
ว่านรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตกอยู่ในฝันร้าย เขายืนมองลูกสาวตายไปต่อหน้าต่อตา แถมคนแทงยังกลายเป็นศพเน่าอืดบวมเละ
“ยี่หวา...ฮึก...ไม่เอา อย่าทำแบบนี้...ยี่หวา กลับมาก่อนยี่หวา...”วิวาห์ร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะร้องเขายืนมองคนมาดึงมีดที่ปักกลางอกลูกออกไปพร้อมกับเอาผ้ามาคลุมร่างเห็นพ่อกับแม่เป็นลมลงไปตรงหน้าทว่าไม่สามารถเอื้อมมือไปช่วยได้ “ยี่หวากลับมาก่อน ...ยี่หวาของวีว่า..”
เสียงร้องไห้คร่ำครวญของเขาดังก้องกลับไปกลับมาเหมือนเสียงสะท้อนในห้องแคบ ๆ วิวาห์ทรุดลงไปนั่งกับพื้นเขาไม่เสียใจที่ตัวเองตายแต่เสียใจที่ช่วยลูกเอาไว้ไม่ได้ หวันยิหวาของเขาเพิ่งจะอายุนิดเดียวเอง ป่วยหนักก็นับว่าเคราะห์ร้ายมากแล้วแท้ ๆ ยังจะต้องมาจากไปแบบนี้อีกวิวาห์ทำใจไม่ได้
ภาพลูกล้มไปลงตาเบิกค้างยังติดตา ถ้าเพียงแต่เขาคว้าตัวยายเอิบเอาไว้ไม่ให้ไปหายี่หวาได้ ..ถ้าเพียงแต่ว่าเขาเอะใจซักนิดเรื่องยายเอิบ
ถ้าไม่วางมีดปอกผลไม้เอาไว้ในตะกร้า ถ้าเพียงแค่เขารีบคว้ามีดเอาไว้เสียก่อน
...ยี่หวาก็คงจะไม่ตาย
ไม่ใช่ยายเอิบ...ว่านมั่นใจ สำนึกสุดท้ายตอนที่สบตาของหญิงชราคู่นั้น ...ไม่ใช่แววตาของยายเอิบมันคุกรุ่นเข้มข้นด้วยความแค้นรุนแรงราวกับโกรธกันมาแต่ชาติปางก่อน วิวาห์กำมือแน่นใครกัน...แววตาแบบนั้นเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนแต่ก็นึกไม่ออก
“ไม่ต้องชันสูตรครับ” เขาได้ยินพี่ชายพูดกับเจ้าหน้าที่ วิรัตน์ยืนคอตกขณะที่วิรุฬเองก็เซ็นเอกสารไปร้องไห้ไปด้วย บรรยากาศปกคลุมด้วยความเศร้าหมองราวกับมีหมอกหนาทึบลอยวนอยู่ พ่อกับแม่นอนพักอยู่คนละมุม แทบไม่มีใครพูดอะไรกันเลย
ร่างของยี่หวาถูกยกใส่เปลขึ้นรถไป วิวาห์ผวาตามไป
“ยี่หวา...ยี่หวา” กี่ปีที่เขาทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อดูแลลูก มันไม่ควรจะจบลงง่าย ๆ แบบนี้ “ยี่หวา”วิวาห์ตะโกนจนเสียงแหบแห้งทว่าไม่มีเสียงตอบรับกลับมาเลย
ไม่ใช่...นี่ไม่ใช่เรื่องจริง
มันคือฝันร้าย ...มันไม่ใช่เรื่องจริงแน่ ๆ ไม่เอาน่ะ...อย่าทำแบบนี้ ไม่ใช่...
ได้โปรด ..วิวาห์ตะโกนก้อง.. ตื่นสิ ตื่นเดี๋ยวนี้...วิวาห์ ตื่นเถอะ ไม่ต้องไม่ใช่เรื่องจริง ใครกำลังเล่นตลกกับเขาอยู่ ...ยี่หวายี่หวาของวีว่าจะต้องไม่ตายนี่มันคือเรื่องโกหกแน่ ๆ
วิวาห์ไม่เชื่อ เขาทุบลงไปบนขาตัวเองแรง ๆ มันไม่เจ็บไม่ปวด ต้องใช่แน่ตอนนี้เขาคงกำลังอยู่ในความฝันจริง ๆ แล้วยี่หวากำลังร้องเพลงอยู่กับพี่วัตแล้วก็วินแน่เลย เขาต้องตื่นตั้งแต่ตอนนี้ วิวาห์....ลืมตา
ลืมตาสิ..ตื่นเดี๋ยวนี้...
มันก็แค่ฝันร้ายเท่านั้น
..................................................
“วีว่าคะ ตื่นเร็วค่ะรถไฟมาแล้ว”
เสียงเล็ก ๆ ใส ๆ ของเด็กผู้หญิงวัยไม่เกินห้าขวบดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกล ดูเหมือนว่าเธอกำลังเขย่าตัวปลุกชายหนุ่มที่นั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว ..คนที่เธอเรียกว่า วีว่า..
“ยี่หวา ยี่หวาจริง ๆ ด้วย” ผู้ชายคนนั้นสะดุ้งลืมตาตื่นแล้วรวบร่างเด็กหญิงเข้าไปกอดแน่นราวกับกลัวหาย น้ำตาไหลออกมาพรากออกมาจากดวงตากลมโตคู่นั้น “ยี่หวายังไม่ตาย ...แค่ฝันไปสินะใช่มั้ย”
“วีว่าร้องไห้ทำไมคะ” เด็กคนนั้นถามต่อ พยายามใช้มือเล็ก ๆ เช็ดน้ำตาให้ผู้ใหญ่อย่างน่าขัน เขาเดินเข้าไปใกล้อีกนิด รู้สึกคุ้นเคยกับเสี้ยวหน้าที่เห็นเพียงครึ่งบนนั้นอย่างประหลาด
มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามานั่งบนม้านั่งตัวเดียวกับผู้ชายและเด็กหญิงคนนั้น พวกเขาเขยิบที่ให้เธอนั่งโดยอัตโนมัติ อามันต์ก็เลยเดินเรื่อย ๆ เข้าไปนั่งถัดจากเธออีกที เขาลอบมองใบหน้าท่าทางของคนที่ชื่อวีว่ากับเด็กหญิงอย่างเงียบ ๆ บรรยากาศบนสถานีรถไฟเงียบสงัดได้ยินเพียงแค่เสียงสะอื้นเบา ๆ ดังมาจากผู้ชายคนนั้น
...ไม่ผิดแน่...เขาจำเสียงร้องไห้ จำลักษณะวิธีการสะอื้นแบบนี้ได้ดี เพราะเคยได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วน...
พื้นที่โล่ง ๆ ของชานชาลาย่านชานเมืองที่เขานั่งรถไฟมาเรื่อยเปื่อยอย่างไร้จุดหมาย เลยออกไปเป็นสวนผักและบ้านหลังเล็ก ๆ เหมือนบ้านตุ๊กตาสงบเงียบ เสียงรถไฟแล่นมาบนราง อามันต์เห็นชายหนุ่มคนนั้นช้อนตัวเด็กหญิงขึ้นอุ้มแล้วเดินไปต่อแถวขึ้นรถไฟ
มีที่นั่งเหลืออีกหนึ่งที่ อามันต์ปล่อยให้อีกฝ่ายอุ้มลูกเดินเข้าไปนั่ง เขาเห็นอีกฝ่ายหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก ผิวหน้าที่พ้นขอบหมวกและหน้ากากอนามัยออกมายังอ่อนใสเหมือนผิวเด็กวัยรุ่นอยู่เลย ทั้ง ๆ ที่อายุน่าจะล่วงเลยพ้นวัยเด็กหนุ่มมาแล้ว...
“พี่วัตอยู่ที่ไหนครับ ว่านน่าจะลงผิดสถานี” เหมือนคนในสายจะถามอะไรต่อมา เขาเห็นอีกฝ่ายเอียงคอขมวดคิ้วมุ่น “เปล่าครับ..”วิวาห์เหลือบมองนาฬิกา “พี่วัต วันนี้วันที่เท่าไหร่ครับ”
อามันต์เหลือบเห็นพวงกุญแจรูปแมวตกอยู่ที่พื้นตรงหน้าเขาจำมันได้ทันที...ก็เป็นคนซื้อให้เองนี่นะ... ก้มลงเก็บขึ้นมาถือเอาไว้ ดึงหน้ากากขึ้นมาบังหน้าสูงขึ้นอีกนิดหนึ่ง..
“ขอโทษนะ นี่ของคุณหรือเปล่า” เลือกใช้ภาษาอังกฤษแทนภาษาไทย อามันต์มือเย็นเฉียบตอนที่สบตากลมโตคู่นั้น
“ว่าน...ไอ้ว่าน สายหลุดหรือเปล่า ได้ยินฉันมั้ย” ได้ยินเสียงผู้ชายดังออกมาจากโทรศัพท์ที่อีกคนถือค้างเอาไว้ รถจอดเทียบชานชาลาพอดี เขารีบถอยออกตั้งใจว่าจะรีบผละออกมาให้เร็วที่สุดก่อนที่อีกฝ่ายจะจำเขาได้... ทว่ามือของคน ๆ นั้นกลับเอื้อมมาคว้าข้อมือของเขาเอาไว้
“พี่อาร์ม”
ประตูรถเปิดออกแต่อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยมือเขา อามันต์ชะงักนิ่ง เขาทั้งตกใจและเสียใจ...ไม่น่าเข้าไปทักเลย...
“ไม่เจอกันนาน...ว่าน” เขาตอบกลับไปแล้วดึงมือออก หัวใจเต้นแรงด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เด็กคนนั้นรีบอุ้มผู้หญิงขึ้นแล้วก้าวตามหลังเขามาติด ๆ “มาเที่ยวเหรอ” เขาถามไปอย่างนั้นเอง ขณะที่สองขาก้าวออกมาจากรถไฟอย่างรีบเร่ง ไม่แน่ใจว่าควรจะต้องทำตัวอย่างไร หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เขาทำเอาไว้
ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกผิด... แต่อามันต์ก็บอกไม่ถูกว่าความรู้สึกในตอนนี้คืออะไรกันแน่
“ครับ พี่อาร์มล่ะครับ” อีกฝ่ายถามต่อมา เกือบโดนคนบนสถานีชนเอาเพราะมัวแต่เดินตามหลังเขามาติด ๆ
“ประมาณนั้น” เขาตอบสั้น ๆพวกเขาออกมาจากสถานีรถไฟด้วยกัน เด็กหญิงคนนั้นรั้งมือของชายหนุ่มเอาไว้แล้วกระซิบถาม
“วีว่าคะ คุณลุงคนนี้คือใครเหรอคะ”
“ลูกสาวเหรอ...แต่งงานเมื่อไหร่ไม่เห็นรู้” เขาตัดสินใจหยุดเดิน เพราะดูท่าวิวาห์คงจะตามเขาไปด้วยอย่างไม่ลดละแน่ คนถูกถามชะงัก วิวาห์ยืนนิ่งเบิกตากว้างมองหน้าเขาอย่างสับสน
“ว่าน?” เขาเรียกเจ้าตัวอีกครั้งหนึ่ง มองหน้าวิวาห์อย่างประหลาดใจ ว่านขมวดคิ้ว
“...วันนี้วันที่เท่าไหร่ครับ”
“หืม?” เป็นคำถามที่ผิดคาดมาก อามันต์นึกว่าวิวาห์จะถามเขาว่า‘หายไปไหนมา’เป็นคำถามแรกเสียอีก แต่เขาก็ตอบวันที่ไปตามตรง น่าแปลกที่อีกฝ่ายมองหน้าเขาอย่างตกตะลึงราวกับเห็นผีกลางวันแสก ๆ “มีอะไรหรือเปล่า”
“มันยังไม่เกิดขึ้น” ว่านพูดกับตัวเองอย่างงุนงง “ฉันฝันไปจริง ๆ เหรอ” ชายหนุ่มยกมือขึ้นแนบหน้า สั่นหัวแรง ๆ เงียบไปครู่หนึ่งก็รีบถามต่อมา “..พี่อาร์ม...รู้จักคนที่ชื่อธาดาไหมครับ”
“ธาดาไหน?” เขารักษาสีหน้าเอาไว้ดีเยี่ยม แม้จะรู้สึกตกใจมากก็ตามที่ว่านยกชื่อของฝาแฝดของเขาขึ้นมาถามถึงหน้าตาเฉย
“คนที่...เป็นฝาแฝดของพี่อาร์มแล้วพี่อาร์มก็ไปสิงร่างของเขา...” ว่านพูดแล้วก็เงียบไป คนฟังขมวดคิ้วท่าทางว่านไม่ได้บอกว่ากำลังล้อเล่นอยู่แต่มันก็แปลกอยู่ดีที่จู่ ๆ ว่านจะรู้เรื่องนี้เข้า
ความจริง...ว่านทำงานที่สำนักพิมพ์ของธาดาอยู่ อาจจะมีโอกาสรู้ก็ได้ล่ะมั้ง...
“ว่านรู้เรื่องแฝดของพี่ได้ยังไง” เขาถามกลับพลางยกมือขึ้นกอดอก “แล้วยังไงอีก? พี่ไปสิงร่างเขาหมายความว่าอะไร”
“ธาดาเป็นแฝดของพี่อาร์มจริง ๆ เหรอครับ” วิวาห์อ้าปากค้าง
“ใช่ ว่านรู้ความลับเรื่องนี้มาจากไหน”
“ว่าน...พี่อาร์มบอกว่านเอง”
“พี่มั่นใจว่าไม่เคยบอกใครเรื่องนี้เลย” อามันต์ขมวดคิ้ว “ว่านไปเอามาจากไหน”
“เอามาจากไหนก็เรื่องของว่านเถอะ” วิวาห์รีบพูดรัวเร็ว “พี่อาร์มป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวใช่มั้ยครับ”
คราวนี้คนฟังยืนนิ่งเหมือนถูกตรึง รู้สึกชาตั้งแต่ใบหน้าลงไปยังปลายเท้า
“ใครบอกว่าน” เขากระซิบ
วิวาห์กำมือเข้าหากันแน่น
“เรื่องจริงใช่มั้ยครับ ทำไมพี่อาร์มไม่บอกว่าน ทำไมถึงไม่ยอมบอกใครเลย”
“มันเป็นความล้มเหลวในชีวิตของพี่” เขาพูดช้า ๆ สงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็ว “พี่ไม่อยากบอกใคร ว่านบอกพี่มาดีกว่าว่าไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหน” เขาไม่เคยเล่าให้ใครฟัง แม้แต่เพื่อนสนิทที่สุดก็ยังไม่รู้เรื่องนี้... อามันต์มั่นใจว่าเขาเก็บความลับเรื่องอาการป่วยของตัวเองเอาไว้ได้อย่างดี
นอกเสียจากว่า....
“ว่านแค่ได้ยินมา ไม่นึกว่าจะได้เจอพี่อาร์มอีก...ห้าปีที่พี่อาร์มหายไปก็เพื่อไปรักษาตัวเหรอครับ”
อามันต์ถอนหายใจ
“ใช่ วันนี้พี่เพิ่งไปfollow upครั้งสุดท้ายมา หมอบอกว่าพี่หายดีแล้ว ไม่มีเซลล์มะเร็งหลงเหลืออีก” เขาพูดตรงข้ามกับสิ่งที่แพทย์บอก
“ยินดีด้วยนะครับ” ว่านพูดท่าทางเหมือนอยากพูดอะไรมากกว่านั้น
“ว่านกำลังจะไปไหนน่ะ” เขาถามขึ้นอีกฝ่ายกะพริบตา วิวาห์จูงมือเด็กหญิงเดินตามเขาออกมาไกลทีเดียว
“เรากำลังจะไปสวนสนุกกันค่ะ” เด็กหญิงที่สวมกระโปรงสีสดผูกเปียสองข้างรีบตอบแทนชายหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่ ท่าทางเหมือนรอจังหวะอยู่แล้ว “เราจะไปทันดูคุณมิกกี้มั้ยคะวีว่า”
“เอ่อ...ทันสิ ทันแน่ ๆ”เขาเห็นวิวาห์ก้มลงตอบเด็กหญิงที่น่าจะเป็นลูกสาว “ถ้างั้น...ว่านขอตัวก่อน”
“เอาสิ ตามสบาย”เขาตอบกลับไป “ไม่ต้องเกร็งหรอกน่ะ จะเกร็งทำไมกัน หรือว่าว่านยังโกรธพี่อยู่” ประโยคหลังเขาหลุดปากถามออกไปโดยไม่ตั้งใจมันคงเป็นความรู้สึกผิดลึก ๆ ในใจของเขา
“.............” วิวาห์เม้มปากอามันต์รู้สึกว่าเขาคงจะถามมากเกินไปแล้ว
“เอ่อ...แล้วตอนนี้ทำงานที่ไหน เผื่อกลับไปจะได้ติดต่อกัน” เขาถามต่อทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว ทั้งที่ทำงานและที่อยู่ของว่าน อามันต์รู้ถึงขั้นว่าตอนนี้ว่านได้เงินเดือนเท่าไหร่ด้วยซ้ำ..
“ทำที่บ้าน”
เขาขมวดคิ้ว
“ทำอะไรน่ะ”
“วีว่าทำงานบริษัทค่ะ เป็นตึกใหญ่ ๆ แล้วก็เท่มาก ๆ” เสียงใส ๆ แทรกขึ้นทันควัน วิวาห์กระตุกมือลูกสาวเอาไว้เหมือนจะห้ามไม่ให้พูดมาก ท่าทางเจ้าตัวคงพูดเก่งน่าดู...
“งั้นเหรอ ...ดีจังนะเห็นว่านมีงานการมั่นคงแล้วพี่ก็สบายใจ”เขาพูด แล้วก็นึกไม่ออกว่าจะพูดเรื่องอะไรต่อดี เราห่างหายกันไปนานมากจนต่อไม่ติด... “ไม่ได้เจอว่านนาน ...คิดถึง”เขายกมือขึ้น อยากสัมผัสเส้นผมนุ่มมือเหมือนครั้งก่อนแต่ก็ห้ามตัวเองเอาไว้ได้ทัน อามันต์เม้มปาก รู้สึกว่าเขาจะอารมณ์อ่อนไหวง่ายเกินไปในช่วงนี้
คงเป็นเพราะผลตรวจล่าสุดที่หมอแจ้ง...
“พี่อาร์มจะไปไหนครับ”
“พี่เหรอ..เที่ยวไปเรื่อย ๆ น่ะ” อามันต์ตอบ ฝืนหัวเราะออกมานิดหนึ่ง ย่อตัวลงจนใบหน้าเสมอกับเด็กหญิง ยกมือขึ้นแตะผมเปียของเธอเบา ๆ “สวัสดีค่ะ...หนูชื่ออะไรคะ”
“ชื่อยี่หวาค่ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
เขาลุกขึ้นยืน กวาดตามองทั่วร่างโปร่งบางของอดีตคนรัก ว่านแทบไม่เปลี่ยนไปจากเดิมที่เขาจำได้เลยสักนิด ยกมือขึ้นลูบท้ายทอยตัวเองอย่างไม่รู้จะทำอะไรดีกว่านั้น เขาตัดสินใจบอกลาสองพ่อลูก
“งั้น..พี่ไปก่อนนะ ไว้เจอกันใหม่”
เขาหมุนตัวเดินจากมาก ก้าวยาว ๆ โดยไม่หันกลับไปมองอีก รู้สึกว่าหัวใจที่เต้นรัวแรงค่อยผ่อนเบาลงจนกลายเป็นปกติ อามันต์รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย เขาหยุดยืนอยู่ที่ข้างร้านหนังสือเพื่อหอบหายใจ
...ไม่เจอกันหลายปีเลยนะ ว่าน...
..........................................................................
เขาเคยได้ยินเรื่องทฤษฎีโลกกลมมาก่อน แต่ไม่นึกว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเอง หลายปีแยกย้ายไม่เจอกัน เป็นทั้งความตั้งใจของเขาเองด้วยส่วนหนึ่ง พอมาตอนนี้กลับได้เจอหน้ากันเป็นครั้งที่สองแล้ว
อามันต์หยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องน้ำอย่างตกใจและไม่คาดฝัน ภาพวิวาห์หัวเปียกชื้นคลุมด้วยผ้าขนหนูเคยปรากฎในความฝันเขาเมื่อครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ไม่คิดเลยว่าเขาจะได้เห็นเจ้าตัวอีกครั้งในสภาพที่เพิ่งเสร็จจากการอาบน้ำมาใหม่ ๆ สองข้างแก้มแดงปลั่งด้วยเลือดฝาดน่าเอ็นดู...
“พี่อาร์ม” วิวาห์ทักดูไม่แปลกใจที่เจอเขาที่นี่เลย
“ว่าน”
“พักที่นี่เหรอครับ” อีกฝ่ายถามต่อมาเรียบ ๆ
“ใช่” เขาตอบ ลอบสังเกตอากัปกิริยาของว่านอย่างระมัดระวัง “ว่าน...”
“พี่อาร์ม...”
พวกเขาเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาพร้อมกันแล้วก็ต่างคนต่างนิ่งไป
“ว่านพูดก่อนได้เลย” เขาพูดพยายามขยับตัวไม่ให้ดูเกร็งจนเกินไปนักไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงหายใจไม่สะดวกเอาเสียเลย
“พี่อาร์มรอว่านตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวว่านลงมาคุยด้วย ขอขึ้นไปเก็บของก่อนแป๊บเดียว” วิวาห์พูดเร็วปรื๋อก่อนจะเผ่นขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของบ้าน
“จะเบาได้ยังไง มันทิ้งแกไปไม่ใช่หรือไง” เสียงผู้ชายที่คงเป็นพี่ชายของว่านดังลงมาถึงข้างล่าง ท่าทางคงโกรธจัด “ฉันจะไปเคลียร์กับมัน เอาเลือดหัวมันออก ไม่งั้นนอนไม่หลับ” ...อามันต์ขมวดคิ้ว...ไม่แปลกที่พี่ชายของว่านจะโกรธเขาขนาดนั้น
“ไม่เอา...อย่าไปนะพี่วัต ไม่งั้นว่านโกรธนะ” เสียงเหมือนวิวาห์ดังขึ้นบ้าง “นั่งลงเถอะว่านจะจัดการเอง”
“อย่าบอกนะว่าแกยังหลงรักมันอยู่” เสียงฝ่ายนั้นพูดอย่างไม่อยากเชื่อ “บ้าเหรอเปล่ามันทิ้งแกไปนะตั้งแต่ตอนที่ดังแล้วแยกวงก็ทีหนึ่งแล้วแล้วยังมาเรื่อง...”
อามันต์ขมวดคิ้วเข้าหากัน...จริงสินะ เขาเป็นคนบอกเลิกว่านเองด้วยเหตุผลที่โคตรจะฟังไม่ขึ้น ถ้าเขาเป็นว่านก็คงโกรธมากแบบไม่เผาผีกันไปแล้ว นับว่าว่านใจกว้างมากที่ยังพูดคุยกับเขาได้...
ทว่าเวลาก็ผ่านมานานหลายปี ว่านก็แต่งงานมีลูกมีเมียมีครอบครัวของตัวเอง เรื่องของพวกเรา ความสัมพันธ์เก่า ๆ ก็กลายเป็นเพียงแค่อดีตให้นึกถึงบ้างบางครั้งเวลาเผลอตัว
“พี่วัตเข้าไปนอนเถอะ”
ได้ยินเสียงวิวาห์พูดตามด้วยเสียงก้าวลงบันได อามันต์เอื้อมมือไปรินน้ำใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่ม เขารู้สึกคอแห้งกะทันหัน
“ขอโทษที่ให้รอครับ” วิวาห์พึมพำ“ไปนั่งคุยในครัวไหม”
อามันต์ก้มศีรษะรับ เดินตามหลังคนตัวสูงเท่าไหล่ของเขาเข้าไปในห้องครัวเล็ก ๆ ท่าทางวิวาห์เหมือนคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิดหนักหน่วง
เขาลองเดาเอาเองว่าอีกฝ่ายคงจะมีปัญหาครอบครัวกระมัง ...เขารู้เรื่องอาชีพของว่านแต่ไม่เคยรู้เรื่องส่วนตัวเลย ว่านจะมีแฟนหรือแต่งงานมีลูกเมื่อไหร่...เขาไม่เคยอยากรู้...
ไม่อยากรับรู้..
“มีเรื่องอะไรหรือ” เขาเป็นฝ่ายถามก่อน ทันเห็นอีกฝ่ายถอนหายใจยาว
“ว่านมีเรื่องอยากถามครับ”
คำพูดและท่าทางของว่านทำให้เขาพลอยรู้สึกกังวลไปด้วย
“ถามมาสิ” เขาพูด
“ว่านขอถามอะไรละลาบละล้วงหน่อยนะครับ กรุณาตอบตามตรง”คนตรงหน้าเขาพูดต่อมาด้วยท่าทางระมัดระวังมากจนเขานึกขัน “ว่านอยากรู้ว่าแม่ของพี่อาร์มชื่ออะไรครับ”
“หืม?” อามันต์นึกว่าตัวเองหูฝาด จู่ ๆ ว่านก็ถามถึงชื่อมารดาของเขาโดยไม่มีการเกริ่นอะไรก่อนทั้งสิ้น ท่าทางเอาจริงเอาจังราวกับจะหาเรื่องกัน “ว่านจะถามไปทำไม”
“ใช่นุชนารถไหมครับ”
“ทำไมถึงมาถามชื่อแม่พี่ล่ะ จะเอาไปทำอะไรบอกก่อน” เป็นคำถามที่เหนือความคาดหมายของเขาอีกแล้ว...
วิวาห์เม้มปากใบหน้าเรียวเล็กนั้นกลายเป็นสีชมพูอ่อนน่ามองอามันต์ยกมือขึ้นเท้าคาง...เหมือนจะนานมากแล้วที่เขาไม่ได้มองว่านใกล้ ๆ แบบนี้ รอยกระเล็ก ๆ ที่แก้มยังอยู่เหมือนเดิม ปลายขนตายาวงอนกับตาโต ๆ ที่ชอบจ้องแบบคาดคั้นไม่ยอมให้หลบไปทางไหนได้ อามันต์ยิ้มออกมานิด ๆ
“พี่อาร์มยิ้มอะไรครับ ตอบว่านมาก่อนเรื่องสำคัญมากนะครับ”
“ถ้าว่านไม่บอกเหตุผลกับพี่ พี่ก็ไม่ตอบหรอก จะเอาชื่อแม่พี่ไปทำอะไร”
“ว่านแค่อยากรู้เฉย ๆ”
“แต่ก่อนว่านก็เคยเจอแม่พี่แล้วไม่ใช่เหรอ” เขาแกล้งโยกโย้เล่นไปอย่างนั้นเองอันที่จริง...การได้นั่งพูดคุยกันภายในบ้านเงียบ ๆ แบบนี้ก็ให้ความรู้สึกที่ดีไม่หยอก เหมือนย้อนเวลากลับไปในบรรยากาศเก่า ๆ ที่เขาเกือบลืมไปแล้ว
“คนนั้นเป็นแฟนใหม่ของพ่อพี่ ไม่ใช่แม่ของพี่เสียหน่อย” หางเสียงของคนพูดเริ่มตวัดขึ้นนิด ๆ ท่าทางว่านแปลกไปกว่าเดิมจริง ๆ อามันต์ขยับตัวเขามองเห็นความโกรธของว่านตอนที่มองมาที่เขา ทำให้เขาไม่กล้าล้อเล่นด้วย
“โอเค ๆ แม่แท้ ๆ ของพี่ชื่อนุชนารถ ถามทำไมน่ะ”
“............” สีหน้าของคนถามซีดลงและดูเคร่งขรึมขึ้นอีกเท่าตัวราวกับกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดหนักอึ้ง
อามันต์รู้สึกว่าอีกฝ่ายดูโตเป็นผู้ใหญ่กว่าเมื่อหลายปีก่อนจนเห็นได้ชัด ว่านดูไม่เหมือนคนที่จะไปทำ‘เล่น ๆ’ด้วยได้อีก
“ถึงตาว่านบอกเหตุผลกับพี่แล้วนะ ...ถามเรื่องนี้กับพี่ทำไม แล้วว่านรู้เรื่องที่พี่ป่วย..รู้เรื่องฝาแฝดของพี่ว่านต้องอธิบายให้พี่ฟังแล้วล่ะว่าไปรู้มาจากไหน” อามันต์ถามเสียงเข้มขึ้นเขาคาดหวังว่าจะเห็นคนฟังมีท่าทางตื่นตระหนกหรือตกใจเหมือนสมัยก่อน
ผิดคาดตรงที่ว่านไม่แม้แต่จะกะพริบตาด้วยซ้ำ อดีตคนรักของเขาดูสงบนิ่งจนอามันต์เป็นฝ่ายไม่สบายใจเสียเอง
“ว่านมีเหตุผลบางอย่างถึงได้รู้มา เอาไว้จะบอกพี่อาร์มทีหลังนะครับ” วิวาห์พูดขึ้นเนิบ ๆ แล้วลุกขึ้นยืน “ขอบคุณพี่อาร์มมากที่ตอบตามตรง ว่านขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวสิ” อามันต์เอื้อมมือไปจับแขนอีกฝ่ายเอาไว้ ผิวของว่านยังเนียนนุ่มมือเหมือนเดิม ว่านเหลือบมองเขาด้วยหางตาแววตาฉายแววรังเกียจวาบขึ้นมาก่อนจะจางหายไปเป็นปกติ อามันต์ขมวดคิ้ว เขาไม่ได้ปล่อยมือ “จะขึ้นไปหาภรรยาข้างบนเหรอ”
“ปล่อยครับ” ว่านดึงแขนตัวเองออกจากการเกาะกุมแล้วเดินเลี่ยงกลับขึ้นไปชั้นบน