-- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ไม่พิเศษ -- (อัพเดต 21/01/2021) หน้า 20
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: -- คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต...บทพิเศษ ไม่พิเศษ -- (อัพเดต 21/01/2021) หน้า 20  (อ่าน 104569 ครั้ง)

ออฟไลน์ nikpook

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เอาแล้วไง   :serius2: อยากให้พรุ่งนี้เป็นวันศุกร์เลยค่ะจะเป็นยังไงต่อ :katai1:  :pig4: :L1:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ Pe_no

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 375
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ Caramel Syrup

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-2

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ตรัส...ใจเย็นก่อนเจ้าค่ะ   :hao5:

ออฟไลน์ toonsora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ถ้าจะบอกว่าแต่ละตอนช่างสั้นนัก จะผิดไหม 5555 :z3: :z3:

ออฟไลน์ THAMON926

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 60

ทะเลาะ

---------


   ตรัสกลับไปที่ร้านยาแล้วครั้งหนึ่ง แต่บ่าวในร้านบอกว่ามีคนมาขอพบรติ เป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง สวมแว่น ชื่อปราณ เพียงเท่านั้น ก็ไม่ต้องคิดถึง ‘ปราณ’ อื่นอีกแล้ว นอกจากอาจารย์หนุ่มแห่งโรงเรียนดรุณีพิไล


เขาแทบจะเหาะกลับมาที่เรือน แล้วทันทีที่มาถึง เขาก็พบว่าสิ่งที่คาดไว้ ไม่ผิดสักนิด!


ปราณมาที่นี่!!


มาไม่พอ ยังจับต้องรติด้วย!!


ไม่รู้ว่าความโกรธแล่นริ้วมาจากที่ใด ทั้งที่เดิมทีเป็นคนใจเย็น เวลานี้เหมือนมีแต่ไฟสุมอยู่เต็มอก ตรัสก้าวเท้าอาดๆเข้าไปกระชากร่างของภรรยาออกมาจากมือของปราณทันที!


   “โอ๊ย!” เสียงร้องของรติไม่อาจทำให้ตรัสสงสาร เขาเหลือบมองภรรยา แขนข้างหนึ่งถูกเขากุมแน่นถึงเพียงนั้นยังไม่เงยหน้าขึ้นมาทักสักคำ


คนอะไร! นิสัยเช่นนี้!


   “เบาหน่อยท่านตรัส ภรรยาของท่านไม่สบาย” ปราณทักท้วง


   “ไม่สบายแล้วทำไมไม่พักในเรือน ออกมาตากแดดตากลมข้างนอกเช่นนี้จะหายป่วยรึ?!” ไม่แน่ใจนักว่าตรัสถามใคร เพราะเขาพูดโดยมองหน้าปราณ ก่อนจะหันมามองภรรยาที่ไม่ยังก้มหน้านิ่ง


   “อาจารย์ปราณ ท่านกลับไปก่อนเถอะ” รติเอ่ยขึ้นมาเรียบๆ ปราณอยากแย้ง แต่เมื่อเห็นสีหน้าเครียดขมึงของตรัส เขาก็ไม่อยากสร้างปัญหา


   “ไว้ข้าจะมาเยี่ยมใหม่ ขอตัว” เขากล่าวแล้วค้อมศีรษะเล็กน้อย


“ขอไม่ส่ง ต้องดูแลภรรยา!” เจ้าของเรือนตอบกลับเสียงเรียบ มีมารยาทอย่างไร้มารยาทด้วยการยืนเฉยราวกับไล่ อาจารย์หนุ่มมองตรัสอีกครั้ง ถอนฉุนทีหนึ่ง ก่อนจะยอมเดินออกจากเรือนอหัสกร


ตรัสมิได้มองส่งแขก เขาพูดเสียงกระด้าง ไม่แม้แต่จะมองภรรยาด้วยซ้ำ


   “มากับข้า!” พูดแล้วก็ดึงอีกฝ่ายเข้าไปในเรือน รติมองไม่เห็น แต่เรื่องนี้ตรัสไม่ทราบ การถูกกระชากโดยไม่รู้ทิศทางทำให้สะเปะสะปะจนต้องร้องบอก


   “ตรัส! ช้าหน่อย...อ๊ะ!...” พูดได้เพียงเท่านั้น ร่างของเขาก็ลอยหวือขึ้นจากพื้น รติชะงัก รู้สึกเหมือนร่างของตนโคลงเคลง แม้จะมองไม่เห็นแต่ก็คิดว่าเขาน่าจะถูกจับอุ้มขึ้นพาดบ่า หัวห้อย


รติไม่ได้ดิ้นรนจะลง เพราะรู้ดีว่าจะเป็นการก่อปัญหา และอีกฝ่ายอาจสังเกตอาการผิดปกติของเขา จึงยอมอยู่ในท่านั้นแต่โดยดี จนกระทั่งถูกโยนลงบนฟูก


แม้จะนุ่มพอประมาณ แต่การที่จู่ๆก็ถูกโยนก็ทำเอาความเจ็บแล่นริ้วมาตามเนื้อตัว


   “โอ๊ย!” เสียงร้องของรติย่อมทำให้ตรัสมีสติขึ้นมาวูบหนึ่ง กระนั้นเมื่อคิดถึงภาพเมื่อครู่ ความโกรธก็ลุกโชนในใจขึ้นมาอีก


   “ยังไม่หายดี เหตุใดยังออกไปรับแขก!”


   “อาจารย์ปราณแวะมาเยี่ยม ไม่ให้ออกไปรับได้อย่างไรกัน” คนป่วยเถียง แต่มิได้เงยหน้ามอง


   “ให้คนไปตามท่านย่าก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นที่เจ้าจะต้องออกไปเอง หรือชายผู้นั้นวิเศษวิโสนักหรือ?! เจ้าถึงต้องออกไปต้อนรับ บิดพลิ้วไม่ได้!”


   รติฟังแล้วคิ้วขมวด จับต้นชนปลายไม่ถูกจนต้องเอ่ยปากถามอย่างงุนงง


   “ท่านต้องการพูดอะไร”


   ตรัสได้แต่เม้มปาก รู้ดีว่าเขาช่างไร้เหตุผล แต่ทันทีที่ได้ยินว่ามีแขกชื่อปราณมาขอพบรติที่ร้านยา เขาก็ถึงกับต้องถ่อกลับมาที่เรือนด้วยความหึงหวง


   “เจ้าไม่สบาย! ไม่ควรพบใครทั้งนั้น!” ชายหนุ่มยกเรื่องเจ็บป่วยขึ้นมาอ้าง ทั้งที่ในความจริงแล้ว ใจของเขาร้อนรนราวไฟเผาเพราะชายผู้นั้นใกล้ชิดรติต่างหาก


“อาการข้าดีขึ้นมากแล้ว” รติตอบอย่างใจเย็น เมื่อตอนกลางวัน เขารู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาดีขึ้นกว่าเดิมมาก แต่แล้วเวลานี้ก็กลับมาแย่ลงอีก


...ตรัสอารมณ์ร้อน ทั้งที่ไม่เคยอารมณ์ร้อน…


   “แต่ยังไม่หายดี!”


   รติเงียบ ไม่รู้จะพูดเช่นไรอีก ราวกับยิ่งพูด ตรัสก็ยิ่งหงุดหงิด


   เมื่อฝั่งหนึ่งเงียบราวกับเหนื่อยใจจะเถียง ตรัสเองก็หงุดหงิดเกินกว่าจะสรรหาเรื่องมาโมโหอีก เขาพ่นลมหายใจแรง


   “ข้าจะออกไปสั่งบ่าวไพร่  จนกว่าจะหายดี ห้ามไม่ให้เจ้ารับแขกอีก!” พูดแล้วชายหนุ่มหมุนตัวเดินปึงปังจากไป


เสียงของพายุจากไปแล้ว คนที่นั่งอยู่บนเตียงก็ได้แต่ถอนหายใจเบา ร่างกายเจ็บป่วยไม่สู้ความรู้สึกอ่อนล้าในใจ


---------


   ตรัสสั่งบ่าวไพร่ในเรือนอหัสกรอย่างที่พูดเอาไว้ คือห้ามคนนอกพบรติจนกว่ารติจะหายดี หากมีใครมาเยี่ยม ก็ให้ไปตามท่านอมรามาต้อนรับ ชายหนุ่มกลับไปทำงานที่ร้านยาต่อ แต่บ่าวไพร่ที่ร้านยาต่างก็ไม่มีใครเข้าหน้าติด ต่างพูดกันว่าวันนี้หมอตรัสหงุดหงิดกว่าทุกวัน


   เย็นนั้น ตรัสกลับมาที่เรือน และเป็นคนไปตามรติออกมากินข้าว แต่กลับทะเลาะกันขึ้นมาอีก


   “ข้าบอกแล้วว่ายังไม่หิว” รติอ้างเหตุผลที่ไม่ออกไปรับประทานมื้อเย็นร่วมโต๊ะกับผู้อื่น แน่นอนว่าฟังไม่ขึ้นสำหรับตรัส การยืนกรานหนักแน่นว่าไม่หิว ไม่ออกจากห้อง จะนอนอย่างเดียว ดูอย่างไร ตรัสก็มองว่าอีกฝ่ายพยศ


   ...พยศเพราะอะไร? เพราะเมื่อกลางวันเขามาขวางความสุขของรติกับชายอื่นอย่างนั้นหรือ?!...


   “ไม่หิวได้อย่างไร เย็นป่านนี้แล้ว!”


“ก็ข้ายังไม่หิว ข้าง่วง อยากนอน” แล้วรติก็พลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้ทันที ทั้งที่แท้จริงแล้วหิวจนต้องกดท้องเอาไว้ แต่เพราะเมื่อกลางวันเพิ่งทะเลาะกับตรัส อาการป่วยทางร่างกายทุเลาด้วยยา แต่อาการป่วยทางจิตใจกลับทำให้การมองไม่เห็นกลับมาแย่ลงอีก


   มองไม่เห็นไม่พอ คราวนี้ยังรู้สึกแขนขาอ่อนเปลี้ยไม่มีเรี่ยวแรง


   เขากลัวว่าหากออกไปร่วมโต๊ะกับผู้อื่น อาจจะล้าแรงจนผิดสังเกต เกรงว่าจะปิดความลับเอาไว้ไม่อยู่


   แต่เรื่องเหล่านี้ ตรัสไม่ทราบ   


ชายหนุ่มยืนอยู่ข้างเตียง มองภรรยาพลิกตัวหนีแล้วรู้สึกเหมือนความใจเย็นของตนมอดไหม้ไปหมดแล้ว ครั้นจะดันทุรังบังคับอีกฝ่าย ก็รังแต่จะทำให้เจ็บใจ


   ...กับผู้อื่น ใกล้ชิดสนิทสนม…


   ...กับเขา นอนหันหลังให้…


   ชายหนุ่มตัดใจไม่ตอแยอีก หมุนตัวเดินออกจากเรือนพักผ่อนของตนทันที


   สองสามีภรรยา...ห่างเหิน เคืองขุ่น...เพราะไร้การพูดจา

---------


#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต


ธ ม น


THAMON926


---------


พอดีสัปดาห์นี้ติดธุระ เลยมาเร็วหน่อยนะคะ แต่มาสั้นเหมือนเดิม ฮ่าฮ่า

ชื่อตอนว่าทะเลาะ แต่มีคนเดียวที่ทะเลาะคือตรัส คนอื่นไม่เห็นมีใครทะเลาะกับตรัสเลยค่ะ ฮ่าฮ่า

เจอกันวันจันทร์ค่ะ (ตรัสจะรู้แล้วววววว...)

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ใจเย็นลงนิดนึงพ่อ..อออออออออ  :serius2:

ออฟไลน์ Caramel Syrup

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-2
หนึ่งไม่พูด หนึ่งไม่ถาม หนึ่งไม่สบตา ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกัน

ออฟไลน์ Pe_no

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 375
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
โอ๊ยยยยยแม่ไปกันใหญ่  :mew2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
พอกัน ทั้งคู่อะ ผัวเมียก็งี้แหละนะ 555

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :z3: ฟาดใครเมียคู่นี้

ออฟไลน์ nikpook

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 :katai1: เข้าใจทังสองคนเลยอะ  :กอด1:  :เฮ้อ: รอตอนต่อไป :3123: :pig4:  :L1:

ออฟไลน์ THAMON926

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 61

ความจริง

---------


เย็นนั้น...ผู้ที่ร่วมโต๊ะมื้อค่ำจึงมีเพียงท่านอมรา ตรัส และระพี...


เด็กชายเหลือบมองคนที่นั่งร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยความกล้าๆกลัวๆ ส่วนหนึ่งเพราะสีหน้าของตรัสในเวลานี้เครียดขมึง ดูแล้วไม่ควรเข้าใกล้เลย แต่...ถ้ายังขืนปล่อยเอาไว้แบบนี้ รติจะไม่ได้กินข้าว แล้วอาการป่วยก็อาจจะแย่ลงอีก


   เด็กน้อยไม่รู้จะทำเช่นไร เมื่อกดดันมากเข้า ความอัดอั้นก็กลายเป็นน้ำใสไหลอาบแก้ม


   “ระพี เจ้าเป็นอะไร” หญิงชราหันมาเห็นหลานชายร้องไห้ทั้งๆที่ยังตักข้าวเข้าปากก็ร้องถามด้วยความตกใจ ตรัสที่แม้จะหงุดหงิดกับเรื่องของรติ แต่เมื่อหันมาเห็นเด็กชายนั่งร้องไห้เงียบๆ ก็พลันต้องวางอารมณ์ร้ายนั่นลงเสียก่อน


   “เจ้าเป็นอะไร หรือเจ็บป่วยตรงใด”


   “เปล่าขอรับ ไม่ใช่ข้าขอรับ” ระพีตอบเสียงสั่น ใช้หลังมือปาดน้ำตาทิ้งลวกๆ ก่อนจะเงยหน้ามองอมราและตรัส


   “พี่รติขอรับ พี่รติต่างหาก...พี่รติ...ยังไม่ได้กินข้าว...”


   ตรัสนิ่งไป เม้มปาก รู้สึกเหมือนตนเองช่างเป็นสามีที่ไร้น้ำใจ ภรรยาไม่กินข้าว ก็ยังปล่อยปละละเลย แต่...นั่นก็เพราะภรรยาหันหลังให้เขาไม่ใช่หรือ


   “เขาบอกว่าเขายังไม่หิว...” ชายหนุ่มเอ่ยเรียบๆ


   เด็กชายส่ายหน้า สูดน้ำมูก


   “ท่านปู่เคยบอกว่า ยามเจ็บป่วย แม้ไม่หิวก็ต้องกิน ร่างกายจึงจะสู้กับโรคภัยได้ แต่...แต่ท่านพี่ไม่กินข้าว...ท่านพี่จะยิ่งป่วยหนักกว่าเดิมนะขอรับ...”


ตรัสเงียบ เขารู้ว่าทิฐิของเขาอาจทำให้อาการของรติแย่ลง


แต่...อาการที่ตรัสเป็นกังวล กับอาการที่ระพีเป็นกังวลไม่ใช่อาการเดียวกัน


ตรัสรู้เพียงเรื่องไข้หวัดที่รติเป็น แต่ระพีรู้เรื่องอาการต่อเนื่องที่รติเป็น นอกเหนือจากไข้หวัด...


ท้ายที่สุด เมื่อความอึดอัดและเป็นห่วงรติรุมเร้า เด็กชายก็ไม่อาจเก็บความลับได้อีก


   “ระพีกลัว...กลัวท่านพี่...จะมองไม่เห็นอีก...” เสียงสะอื้นของระพีทำเอาตรัสชะงัก


   ท่านอมราก็พลอยชะงักไปด้วย หันมองเด็กชายตัวน้อย


   “เจ้าพูดอะไร?”


   “พี่รติ...ม...มองไม่เห็น...”



แม้จะถูกกำชับมาว่าอย่าบอกใครเรื่องนี้ แต่ระพีไม่อาจนิ่งนอนใจได้แล้ว รติไม่สบาย หนำซ้ำยังไม่ออกมากินข้าว เมื่อตอนเที่ยง เขาเห็นเพียงน้ำแกงถ้วยหนึ่งถูกยกเข้าไปให้ หากยังกินน้อยเช่นนี้ จะหายป่วยได้อย่างไร จะปรึกษารุจี นางก็ไม่อยู่ให้ปรึกษา ครั้นจะปล่อยไว้เช่นนี้ เขาก็เกรงว่ารติจะมองไม่เห็นไปอีกนาน


   “หมายความว่าอย่างไร” อมราถามซ้ำ


   “ถ...ถ้าพี่รติไม่สบาย...ฮึก...จะมองไม่เห็นขอรับ...”


   “มองไม่เห็น?” ตรัสทวนคำแล้วก็ชะงัก นึกย้อนไปถึงเมื่อตอนที่เขาเข้าไปกระชากร่างของรติออกมาจากมือของอาจารย์ปราณ


หากรติมองเห็น คงหันมาจ้องเขาอย่างเอาเรื่องแล้ว แต่เมื่อกลางวันเจ้าตัวกลับนิ่ง ตอนเขาอุ้มพาเข้าเรือนก็ยอมอยู่เฉย ไม่แม้แต่จะกระดุกกระดิก ที่สำคัญ...ตลอดเวลา รติไม่สบตาเขาสักนิด!


   “แต่...คราวก่อนที่รติเป็นไข้ หลังจากนั้นก็มองเห็นไม่ใช่หรือ” อมราถาม


   “ถ...ถ้าหายป่วยจึงจะกลับมามองเห็นขอรับ แต่...แต่ถ้าท่านพี่ไม่ได้กินข้าว ท่านพี่จะหายป่วยหรือขอรับ”


ระพีนั้นช่างไร้เดียงสา ใครถามอะไรล้วนตอบความจริงด้วยความเป็นห่วง


ตรัสลุกขึ้นยืนโดยพลัน หันไปสั่งให้คนรับใช้ตักข้าวมาให้หนึ่งถ้วย จากนั้นก็ตักปลาทอดตัวยาววางบนข้าวอีกทีหนึ่ง


   “ข้าพิสูจน์เอง!” เขาเอ่ยเช่นนั้น ก่อนจะหมุนตัวออกจากห้องรับประทานอาหารทันที


----------


   รติไม่กล้าลุกขึ้นทำอะไร เพราะเวลานี้ดวงตาของเขามองไม่เห็นแม้แต่แสง แม้จะหิวข้าวหิวน้ำก็ทำได้เพียงนอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียง จนกระทั่งเสียงเปิดประตูดังขึ้น แล้วอึดใจต่อมาก็เกิดเสียงวางของดังเคร้งมาจากโต๊ะข้างเตียง


   “ลุกขึ้นมากินข้าว!” เสียงทุ้มกระชาก ไม่ต้องมองเห็นก็รู้ว่าเจ้าของเสียงคือใคร รติทำเป็นนอนหลับไม่รับรู้ จนกระทั่งเสียงนั้นดังขึ้นอีก


   “รติ!!”


   รติยอมลืมตา แต่เพราะมองไม่เห็นและไม่ต้องการให้อีกฝ่ายรู้เรื่องนี้จึงทำเป็นพลิกตัวตะแคงหันหลังให้


   “ข้ายังไม่หิวหน่า ท่านนี่วุ่นวายจริง”


ทั้งๆที่ความจริงหิวจนแสบท้อง แต่ก็ทำได้เพียงนอนขดอยู่ใต้ผ้านวมแล้วกดท้องตนเองเอาไว้เพื่อไม่ให้ส่งเสียงใดๆน่าสงสัย


   “ดี! ไม่หิว ไม่กินก็เรื่องของเจ้า!” เสียงของตรัสดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่หายออกไปทางประตู



รติยังนอนนิ่งเช่นนั้น ทิ้งเวลาสักเล็กน้อยเพื่อให้แน่ใจว่าตรัสจะไม่วกกลับเข้ามาในไม่กี่อึดใจนี้ แต่กลิ่นหอมฉุยจากอาหารที่วางอยู่ใกล้หัวเตียงก็ทำเอาเขาอดทนได้ไม่นานพอ


   เขาลุกขึ้นนั่ง เอื้อมมือคลำไปยังโต๊ะข้างเตียง แต่เพราะมองไม่เห็น ปลายนิ้วจึงสัมผัสเข้ากับถ้วยกระเบื้องที่ร้อนจัด รติหดมือ ร้องเบาๆ ก่อนจะค่อยๆจับอย่างระมัดระวัง มืออีกข้างควานหาช้อนหรือตะเกียบที่น่าจะวางอยู่ไม่ไกลกัน พอทั้งสองอย่างอยู่ในมือแล้ว เขาก็คลี่ยิ้มอย่างสบายใจ ยกถ้วยจ่อใกล้ปาก ใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวเข้าปากอย่างหิวโหย ใช้ปากกัดปลาทอดที่วางอยู่บนสุดด้วยเพราะไม่รู้ว่ารูปทรงเป็นเช่นไร และจะคีบอย่างไร


   ทว่า...นั่นไม่ใช่เรื่องเดียวที่การมองไม่เห็นทำให้เขาไม่รู้


   อีกประการที่เขาไม่รู้...คือคนที่เขาคิดว่าออกจากห้องไปแล้ว มิได้ไปไหนไกลเลย


   ตรัสยืนอยู่ที่ประตู มองรติอย่างตกตะลึง อาชีพหมอที่รักษาคนมาหลายโรค ย่อมต้องมีอาการตาบอดผ่านมือไม่มากก็น้อย และเขามั่นใจว่าสิ่งที่รติเป็นในเวลานี้คือตาบอด มองไม่เห็นแม้แต่ข้าวและปลาทอดที่อยู่ใกล้ถึงเพียงนั้น


   ชายหนุ่มทนไม่ไหวอีกแล้ว เขาก้าวเท้าอย่างไวเข้าไปดึงตะเกียบและถ้วยมาจากคนที่กำลังทาน รติชะงัก แทบลืมหายใจ


   “เจ้ากำลังจะกินก้างปลา” ประโยคต่อมายิ่งทำเอาคนป่วยแทบอยากหายตัวไปเสียเดี๋ยวนั้น


   คนที่เข้ามาขัดจังหวะ มิได้นำอาหารไปที่อื่น รติรับรู้ว่าอีกฝ่ายนั่งลงข้างเขา จากนั้นก็ตามด้วยเสียงทุ้มที่ดังขึ้นอีก


   “อ้าปาก” ไม่แน่ใจนักว่าอีกฝ่ายพูดด้วยความรู้สึกเช่นไร น้ำเสียงเข้มงวดแต่มิได้มีแววโมโหสักนิด รติทำตามคำพูดของตรัสแต่โดยดี แล้วพออ้าปาก ก็มีข้าวอุ่นๆกับเนื้อปลาเข้ามาในปาก


   ตรัส...ป้อนข้าวเขาอย่างนั้นหรือ?


   ฝ่ายภรรยาได้แต่ก้มหน้าเคี้ยวอย่างเงียบๆ ไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรสักคำ


   ในขณะที่สามีก็ได้แต่มองคนข้างกายอย่างเงียบๆ คีบข้าวและปลาป้อนให้โดยไม่เร่งรีบ ไม่มีแม้แต่แววหงุดหงิดเหมือนเมื่อครู่ อาการของรติทำให้เขาลืมเลือนความโกรธเคืองไปหมดแล้ว หนำซ้ำ หัวใจยังบีบรัดจนเจ็บหน่วง มือของเขาสั่นจนแทบระงับไม่อยู่ รู้สึกราวกับตัวเองช่างโง่เขลาที่ไม่เคยสังเกต


รักษาคนมากี่ร้อยกี่พัน แต่ไม่เคยสังเกตสักนิดว่าคนในเรือนของตนเองตาบอดมองไม่เห็น


   ภายในห้องที่เงียบจนได้ยินแม้แต่เสียงลมพัดจากข้างนอกหน้าต่าง จนกระทั่งเสียงของตรัสดังขึ้น


   “เป็นตั้งแต่เมื่อไร” น้ำเสียงไม่มีวี่แววตะคอกอีกแล้ว กลับทุ้ม สงบและแสนเบา


   “เมื่อเช้า”


   “ตอนกลางวัน ที่ขอกินแค่น้ำแกง ก็เพราะไม่อยากให้ข้ารู้ใช่ไหม”


   “อืม”


“ที่ต้องให้คนพยุงก็เพราะมองไม่เห็นใช่ไหม”


   “อืม”


   ตรัสเม้มปาก กลืนก้อนสากระคายในคออย่างยากลำบาก ตั้งแต่เมื่อเช้าที่รติมองไม่เห็น แต่เขากลับไม่สังเกตสักนิด เมื่อตอนกลางวัน ที่ไม่ยอมกินข้าว เอาแต่ใจขอกินเพียงน้ำแกงก็เพราะมองไม่เห็น ไม่อยากจับถ้วยจับช้อน ที่ต้องให้คนช่วยประคองก็เพราะมองไม่เห็น เดินไปไหนไม่ถูก


แต่...เขาก็ยังไม่สังเกต หนำซ้ำยังโกรธเคืองหึงหวงที่รติให้ชายอื่นแตะเนื้อต้องตัว แท้จริงแล้ว...เพราะเจ้าตัวต้องการรักษาหน้าตาของสามีโง่เง่าอย่างเขาต่างหาก ถึงได้โกหกคนอื่นว่าเดินไม่ไหว หาใช่ตาบอดมองไม่เห็น


   “เป็นอย่างนี้มานานเท่าไรแล้ว”


รตินิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้ม ในเมื่ออีกฝ่ายรู้แล้วว่าเขามองไม่เห็น ก็ไม่มีเหตุใดให้ปิดบังเอาแต่หลบสายตาอีกแล้ว


แล้วพอเงยหน้าขึ้นมา แม้จะรู้ว่าตรัสนั่งอยู่ข้างๆ แต่ดวงตาของรติย่อมไม่มีแววของการจับจ้อง ทว่าตรัสก็ยังรับรู้ว่ารอยยิ้มนี้มีให้เขา นั่นยิ่งทำให้หัวใจของชายหนุ่มเจ็บหน่วง


   “จำไม่ได้แล้ว แต่เป็นแล้วก็หาย เป็นไม่นานหรอก”


   “นอกจากมองไม่เห็น ยังมีอาการอื่นอีกไหม”


   “ปกติไม่มี”


   “แล้วที่เป็นตอนนี้ปกติไหม”


   รติชะงักไป ก่อนจะส่ายหน้า


   “...มัน...ไม่ค่อยมีแรง” ประโยคนี้แสนเบา ราวกับคนพูดไม่ต้องการให้อาการเจ็บป่วยของตนเป็นภาระของผู้อื่นมากกว่านี้ “...แต่...เดี๋ยวก็หาย เชื่อข้าสิ ข้าชินแล้ว”


   คนฟังสะท้อนไปทั้งใจ รติมักเก็บเรื่องทุกข์ยากไว้กับตนเอง ครั้งนี้ก็พิสูจน์แล้วว่าเจ้าตัวไม่ต้องการให้เขารู้เรื่อง หากไม่ได้ระพีเล่าความจริง ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะได้รู้อาการผิดปกติเช่นนี้ของคนข้างกายหรือไม่


   “ข้า...อิ่มแล้ว”


ตรัสหยุดป้อน หันไปเทน้ำมาให้ถ้วยหนึ่ง


“ดื่มน้ำให้หมด ข้าจะช่วยเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า อยากเข้าห้องน้ำไหม จะพาไป”


“ไม่เป็นไร ข้าจัดการได้ ท่านแค่พาข้าเข้าห้องน้ำก็พอ”


“ข้าทำให้” ตรัสมิได้ตะคอก แต่น้ำเสียงมุ่งมั่นจริงจังหมายจะดูแลภรรยาโดยไม่ให้อีกฝ่ายบิดพลิ้ว


ช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า พาเข้าห้องน้ำแล้วก็พาออกมาพักผ่อน ตลอดเวลา ตรัสไม่ได้ถามอะไรมากเกินจำเป็น นอกจากเฝ้าสังเกตอาการผิดปกติอื่นๆ พอภรรยาลงนอนได้เรียบร้อยดีแล้ว ก็จับชีพจรจากข้อมือ


“ขอข้าวัดชีพจร”


รติไม่ทันสังเกตว่าปลายนิ้วของตรัสหาใช่วัดเพียงชีพจร แต่เลื่อนปลายนิ้วไปจากจุดชีพจรเล็กน้อย คนเป็นหมอมิได้บุ่มบ่าม ตรวจสอบแล้วก็วางแขนของรติลง


“ชีพจรปกติดี แต่ก็ควรพักให้มาก ข้าจะไปสั่งให้พุดกรองต้มยาและน้ำสมุนไพรให้อีก”


“ขอบคุณ”


ตรัสไม่เอ่ยอะไรอีก คราวนี้เขาลุกออกจากห้องไปโดยไม่ตุกติก มุ่งหน้าไปยังโรงครัว สั่งให้คนต้มน้ำสมุนไพรสำหรับบำรุงร่างกายแล้วก็หมุนตัวตรงดิ่งไปยังห้องหนังสือของเรือน


เขาต้องรู้ให้ได้ ว่าอะไรที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของรติ และมันทำให้รติตาบอด!


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------
หลังจากนี้ ตรัสจะเป็นสามีที่ดี ตรัสสัญญา ฮ่าฮ่า

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านเลยค่ะ



ออฟไลน์ Tassanee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สู้ๆน้า ทั้งรติ ทั้งตรัส

ออฟไลน์ nikpook

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ในที่สุดแง ไม่ต้องปิดบังแล้วนะระติ ดีใจจังเลย ทีนี้ตรัสจะได้รักษาจะได้ไม่เป็นอีก เป็นกำลังใจให้ทั้งสองคนเลย :pig4: :L1:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
โอ๊ยยยเอ็นดูระพีไม่ไหวแล้วลูกเอ๊ย! กลัวพี่จะไม่ได้กินข้าวจะไม่หายป่วย ไม่รู้จะทำยังไงดี ร้องไห้แม่ง 5555 ความลับแตกเลย ทำดีมาก ให้รู้ๆกันไปสักทีจะได้หาทางรักษา สู้ๆนะตรัสรติ

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ต้องขอบคุณรพีน้อย   :hao5:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Caramel Syrup

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-2
รพี คนเก่ง เป็นฮีโร่เลยนะ พี่สองคนเริ่มคุยกันแล้ว  o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ jum1201

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-5
 :mew1:ในที่สุดก็รู้จนได้ ยกนิ้วให้ระพี

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :hao5: น่าสงสารที่สุดคือคนเก็บความลับ
กดดันมาก ร้องแม่งเลย

ออฟไลน์ THAMON926

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

บทที่ 62

คิดถึง

---------


   พออาการตาบอดของรติถูกเปิดเผย ตรัสก็ไม่หาเรื่องทะเลาะอีก แม้เขาจะไม่ได้ใกล้ชิดอ้อล้อกับรติอย่างคู่สามีภรรยาที่รักกันหวานชื่น แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีหงุดหงิดอีกแล้ว หนำซ้ำยังดูแลอย่างดี จัดยาขนานเอกแห่งสกุลอหัสกรให้สามเวลา อาการไข้หวัดก็หายสนิท เมื่อหายไข้แล้ว อาการตาบอดก็หายเป็นปลิดทิ้งในวันถัดมา


   กระนั้น ตรัสก็ยังตรวจอาการอย่างถ้วนถี่


“ไม่มีไข้แล้ว ชีพจรเป็นปกติ ขอข้าดูตาของเจ้า...มองตรงมาที่ข้า” ตรัสวางมือของภรรยาลงอย่างแผ่วเบา แล้วจับใบหน้าของรติให้มองตรงมาที่เขา จากนั้นจึงสำรวจทั้งตาดำตาขาว นัยน์ตามีแววจับจ้องแล้ว ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่มืดมัวอย่างคนตาบอด


“เจ้ามองเห็นอะไรบ้าง”


“เห็นทุกอย่าง” โดยเฉพาะใบหน้าของตรัสที่อยู่ตรงหน้า


“ชัดมากน้อยเพียงใด”


“ชัดมาก”


ตรัสพยักหน้ารับรู้ แต่เป็นฝ่ายเขาเองที่ไม่เอ่ยปากเกี่ยวกับบางสิ่งที่เขาจับได้จากการวัดชีพจรตอนที่รติมองไม่เห็น แต่วันนี้เมื่อรติมองเห็น เขาก็ไม่รู้ถึงสิ่งนั้นในร่างกายของรติอีก


ราวกับ ‘มัน’ สงบ


ไม่รู้สิ่งนั้นคืออะไร แต่ยามรติไม่สบายและมองไม่เห็น สิ่งนั้นในร่างกายของรติไม่สงบ ทว่าพอหายป่วย ร่างกายกลับมาแข็งแรง ตรัสก็ไม่สามารถรับรู้ได้อีก แสดงว่าความแข็งแรงของร่างกายมีผลต่อความปั่นป่วนของสิ่งดังกล่าว


ตรัสยังจ้องอีกฝ่ายนิ่ง และเพราะเป็นการจ้องในระยะใกล้ หัวใจของรติก็ชักเต้นถี่จนต้องหลบสายตา


“หลบตาข้าทำไม” ทั้งคำถามทั้งน้ำเสียงออกจะเข้มงวด เหมือนหมอผู้เคร่งครัด แต่หากรติหันมามอง จะพบว่าแท้จริงแล้ว ในดวงตาของตรัสกลับทอดแววเอ็นดูที่ได้เห็นปฏิกิริยาเขินอายและใบหูแดงก่ำของภรรยา


กี่วันแล้ว ที่พวกเขาไม่ได้ใกล้ชิดกัน กี่วันแล้วที่อคติและทิฐิทำให้ความสัมพันธ์สามีภรรยาห่างเหิน


“ก็...” รติไม่รู้จะอธิบายอย่างไร พวกเขาเป็นสามีภรรยาก็จริง แต่ก่อนหน้านี้มีแต่เมฆหมอกแห่งความโกรธเคืองจนเข้าหน้ากันไม่ติด พอวันนี้ อีกฝ่ายมาดูแลใกล้ชิด อีกทั้งให้เขามองลึกเข้าไปในดวงตา มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะ...เขิน


เขินสามีตัวเองแล้วผิดอะไรเล่า?!


“ก็อะไร” ตรัสปล่อยมือจากใบหน้าของภรรยา แต่ดวงตายังจับจ้อง ทันทีที่เขาปล่อย รติก็หันหน้าหนีไปทางอื่น


“ก็...ก่อนหน้านี้เรา...”


รติไม่รู้จะพูดอย่างไร ต้นเหตุของความบาดหมางระหว่างพวกเขา คือการไม่พูดคุยกัน แต่พูดไปแล้วก็ไม่ต่างจากการโยนความให้กันไปมา


รติไม่อยากให้พวกเขาทะเลาะกันอีกแล้ว


เมื่อฝ่ายภรรยาไม่พูด สามีจึงเอ่ยปากขึ้นมาเอง


“ข้าหึง”


เพียงเท่านั้น ฝ่ายภรรยาก็ถึงกับชะงัก หันมองอย่างงุนงงผสมตกตะลึง


“หึง? หึงใคร?”


ถูกย้อนถามกลับมาเช่นนี้ ตรัสก็นึกขุ่นเล็กน้อย ดูเอาเถอะ พูดถึงเพียงนี้ รติยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาหึงใคร


“จะหึงใคร ภรรยาของข้าสนิทสนมกับชายอื่นถึงเพียงนั้น พบกันแต่ละทีก็ยิ้มแย้มสดใส หัวร่อต่อกระซิก แล้วชายอื่นผู้นั้น ข้าก็เคยบอกแล้วว่าเขาปรารถนาในตัวเจ้า แต่เจ้าก็ยัง...” ตรัสพูดได้เพียงเท่านั้น รติก็ร้องถามสวนขึ้นมา


“ท่านหมายถึงอาจารย์ปราณหรือ”


“รอบกายเจ้านอกจากข้าก็มีอาจารย์คนนั้น...” พอพูดถึงชายผู้นั้น สีหน้าของตรัสก็คล้ายจะทะมึนขึ้นมาอีก รติกะพริบตาปริบๆ ตั้งสติอยู่อึดใจหนึ่งก็รีบร้องบอก


“อาจารย์ปราณไม่ได้ปรารถนาในตัวข้า!”


ตรัสเหลือบมอง ก่อนจะแย้ง “เขาเคยมองเจ้าในงานเลี้ยง”


“ไม่จริง! ข้ากับอาจารย์ปราณเป็นสหายกันเท่านั้น อาจารย์ปราณมีคนรักอยู่แล้ว”


คราวนี้ตรัสชะงัก มองคนพูดแล้วถามซ้ำ


“เจ้าว่าอะไรนะ”


“อาจารย์ปราณมีคนรักแล้ว เขามักพูดบ่อยๆว่าเห็นท่านกับข้า...เอ่อ...แล้ว...แล้วก็อิจฉาที่พวกเรา...ปฏิบัติต่อกัน...อย่างเป็นธรรมชาติ เขาเคยให้ข้าสอน แต่ข้าสอนไม่เป็น เขาเองก็ทำไม่เป็น...”


ตรัสถึงกับพูดไม่ออก ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาหึงหวงคนรักของตนเองกับคนที่มีคนรักแล้วเช่นนั้นหรือ?


ชายหนุ่มใจหายจนโหวงเหวงไปทั้งอก ได้แต่ยกมือขึ้นลูบหน้า


“...นี่ข้า...หึงเจ้ากับคนที่มีคนรักแล้วอย่างนั้นหรือ” เขาครวญ


“...แล้วเพราะข้ามัวแต่หึงหวง ถึงไม่สังเกตสักนิดว่าเจ้า...” ยิ่งพูดมาถึงเรื่องนี้ คนเป็นหมอที่รักษาคนไข้มานับร้อยก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองช่างโง่เขลาเบาปัญญา ปล่อยให้รติทุกข์ทรมานเพราะความหึงหวงบังตาจนเขาไม่สังเกตถึงความผิดปกติของอีกฝ่าย


ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองช่างไม่คู่ควรกับภรรยาเลยแม้แต่น้อย


“ตรัส...” รติเรียกชื่ออีกฝ่ายแผ่วเบา สีหน้าของตรัสในเวลานี้คล้ายคนสิ้นท่า หมดแล้วซึ่งความหยิ่งทะนง


“...ตรัส ไม่ใช่ความผิดท่านหรอก เพราะท่านไม่รู้ ท่านก็เลย...”


ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมา สีหน้าของเขาเศร้าสลดอย่างคนรับผิด


“เพราะข้าโง่งม อีกทั้งยังเอาแต่ความคิดตนเป็นใหญ่ รสนาเคยเตือนให้ข้าพูด แต่ข้า...คิดว่าพวกเราเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูด แต่แล้วก็กลายเป็นข้าเองที่ไม่เข้าใจอะไรเลย...”


“...ขอโทษ รติ...ข้าขอโทษ”


“ข้าเองก็ผิดที่ไม่เคยรู้ว่าท่านรู้สึกเช่นไร ข้าก็ต้องขอโทษ”


ลงท้ายคำขอโทษด้วยรอยยิ้มจาง เป็นรอยยิ้มอ่อนหวานละมุนละไมที่ทำให้หัวใจของตรัสคล้ายได้รับน้ำจนชุ่มชื้น


...สิ่งใดหนอ ดลบรรดาลให้เขาได้ภรรยาอย่างรติ ทำให้ตรัส อหัสกรกลายเป็นชายผู้โชคดีถึงเพียงนี้...


เขาแนบฝ่ามือลงกับแก้มของภรรยา ลูบไล้แผ่วเบาอย่างอ่อนโยน ราวกับรับรู้ในบัดนี้แล้วว่าคนตรงหน้าคือแก้วมีค่าที่ต้องรักษาและทะนุถนอม


น้ำหนักของการลูบไล้ผิวบนใบหน้าและสายตาที่ทอดมองมานั้นชวนให้รติเขินซ่านไปทั้งอก สายตาของตรัสเทิดทูนและรักใคร่ อีกทั้งยัง...มีประกายของความคิดถึง


คนเป็นสามีภรรยาจะไม่รู้เชียวหรือว่าทั้งสายตา ทั้งสัมผัส...บอกอะไร...


...แต่...นี่เช้าแล้ว และถ้าพวกเขายังไม่ออกจากเรือน อาจมีคนสงสัย...


“อ...เอ่อ...ถ้า...ถ้าท่านตรวจเรียบร้อยแล้ว ข้าจะไปดูแลในครัว อ๊ะ!” ออกตัวหมายจะลงจากเตียง แต่ร่างถูกดึงกลับมานั่งทับตักคนที่นั่งอยู่ริมเตียง


คราวนี้ใกล้ยิ่งกว่าใกล้ ใกล้จนแผ่นอกแนบสนิทกั้นกลางเพียงอาภรณ์ ใกล้จนได้ยินสิ่งที่เต้นสะท้อนอยู่ใต้แผ่นอก


“วัดชีพจรด้วยวิธีเช่นนี้ก็น่าจะดี...” คนเป็นหมอเอ่ยแผ่ว ดวงตาทอดมองใบหน้าของภรรยาอย่างรักใคร่ ยิ่งได้รู้จากปากของรติว่าไม่เคยคิดเป็นอื่นกับชายใด เมฆหมอกใดๆก็ล้วนมลายไปจากใจทั้งสิ้น


อย่าว่าแต่รติมีปฏิกิริยากับการมองหน้ากันในระยะใกล้เลย ตรัสเองก็รู้สึกสุขล้นไปกับการได้พินิจพิเคราะห์ใบหน้าของภรรยาเช่นกัน


ทั้งๆที่ก็เห็นกันทุกวัน เห็นกันทุกคืน ตื่นมาก็เจอกัน ก่อนนอนก็เจอกัน แต่ก็ยัง...รู้สึกราวกับตกอยู่ใต้มนต์สะกดทุกครั้งที่ได้ทอดสายตามอง


เป็นมนต์สะกดที่เย็นตา เย็นใจ แต่บางทีก็ทำให้ร้อนรุ่มไปทั้งสรรพางค์กาย


เป็นมนต์สะกดที่ทำให้ใจสงบ แต่บางคราวก็ทำให้ใจเต้นถี่


ไม่รู้เจ้าของใบหน้าทำอย่างไร ถึงทำให้บุรุษผู้นิ่งเฉยเช่นตรัสรู้สึกถึงเพียงนี้


ปลายนิ้วของตรัสแตะปลายคางของรติให้เบี่ยงใบหน้าลงมาเล็กน้อย ริมฝีปากห่างกันแค่คืบ แต่เสียงของภรรยาดังขึ้นแผ่วเบาเสียก่อน


“ตรัส...”


“...ช...เช้าแล้วนะ...” เหตุผลแรกคือเช้าแล้ว เหตุผลที่สองคือพวกเขาไม่ได้ใกล้ชิดกันเช่นนี้มาระยะหนึ่งแล้ว พอมาวันนี้ได้ใกล้ชิดกันเช่นนี้ จึงราวกับครั้งแรกของพวกเขาหมุนวนกลับมาอีกครั้ง


“ข้ารู้ แต่...ข้าคิดถึง...”


ประโยคนั้นคล้ายหยุดเวลาเอาไว้ รตินิ่งงัน ใจสั่นจนไร้เรี่ยวแรง


“คิดถึง...” ตรัสย้ำเสียงเบา ดวงตากวาดมองใบหน้าของภรรยาที่ห่างหายการใกล้ชิดมาหลายวัน เป็นหลายวันที่ไม่มีความสุขเลย


“อยู่ใกล้แค่นี้ แต่หลายวันที่ผ่านมากลับไม่ได้กอดเจ้า ไม่ได้ดูแลเจ้า...คิดถึง...”


“ก...ก็ท่าน...ท่านโกรธข้า...”


“ข้าขอโทษ...ข้าเป็นสามีที่แย่...เรื่องของเจ้า กลับไม่เคยสังเกต ถ้าระพีไม่บอก ข้าก็คงโง่เขลาต่อไป เอาแต่หึงหน้ามืดตามัว ข้าขอโทษ...” ทั้งน้ำเสียง ทั้งสีหน้า ทั้งแววตาของตรัสนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด จนรติต้องส่งสองแขนโอบกอดร่างของคนรักเอาไว้ แล้วกระซิบเบา


“ไม่ต้องขอโทษแล้ว ข้าบอกแล้วว่าไม่ได้โกรธ”


ตรัสทอดมองเจ้าของเสียงนุ่ม ดวงตาของเขามีทั้งความรู้สึกผิดแต่ก็เต็มไปด้วยความรักใคร่ มันอ้อนวอนคล้ายขอความเห็นใจ


...นี่หรือ ตรัส อหัสกรผู้นำสกุลอหัสกร ชายผู้เงียบขรึมและเคร่งครัดกับเรื่องรอบกาย แต่ยามนี้กลับไม่ต่างจากเสือที่ไร้เขี้ยวเล็บ ทำได้เพียงวอนขอความรู้สึกจากภรรยาที่นั่งอยู่บนตัก...


“แล้วคิดถึงข้าไหม”


ใบหน้าของคนถูกถามขึ้นสีก่ำ แม้จะไม่ใช่คนช่างพูดเรื่องเหล่านี้ แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมาก็บอกให้รู้ว่าการที่พวกเขาไม่คุยกัน ทำให้ความสัมพันธ์ย่ำแย่เพียงใด


ถึงเวลาต้องพูดบ้างแล้ว


“คิดถึงสิ...ข้าก็คิดถึงท่าน...”


ความรู้สึกที่แท้จริงถูกเปิดเผยด้วยคำพูด ย้ำชัดด้วยสายตาที่ทอดมองกันและการโอบกอด ใบหน้าเคลื่อนเข้าหากันช้าๆ ก่อนจะย้ำคำว่าคิดถึงด้วยการจุมพิต


บทจูบและการลูบไล้ของพวกเขา มิได้ร้อนผ่าว ทว่ามันกลับหนักแน่นไปด้วยความรู้สึกมากมายที่ถูกขังเอาไว้ในใจ


“ตรัส...” หลังจากริมฝีปากของตรัสเคลื่อนออกห่างเล็กน้อยให้ได้หายใจ เสียงแผ่วเบาของรติก็ดังขึ้น


“...ถ้าไม่ออกไป...คนอื่นๆจะเป็นห่วง...”


ใบหน้าของรติแดงเรื่อ คล้ายจะรู้ว่าหากพวกเขายังมอบความรู้สึกให้กันเช่นนี้ เช้านี้คงอีกไกล...


ตรัสยิ้มจาง ปลายนิ้วเกลี่ยไล้ผิวแก้ม


“เจ้ายังไม่หายดี...”


“...หากจะออกจากเรือนสายหน่อย ก็คงไม่มีใครว่าอะไร...” แล้วหลังประโยคนั้น ตรัสก็มอบรสจูบแห่งความคิดถึงระคนโหยหาให้อีกครั้งและอีกครั้ง


ริมฝีปากประกบบดเบียด ส่งลิ้นรุกไล่กันและกัน ความรู้สึกในใจล้นทะลักจนต้องกอดรัดแนบแน่น


กว่ารสจูบของความคิดถึงจะผละห่าง ก็ตอนที่เกือบจะหมดอากาศหายใจแล้ว รติหอบตัวโยนบนตักของสามี ตรัสเองก็หอบหายใจไม่ต่างกัน เพียงแต่...ยังสู้อุตส่าห์กดจมูกและริมฝีปากไปตามผิวแก้มและซอกคอของคนบนตัก


“คิดถึง...” ไม่เพียงลิ้มรสผิวเนื้อ แต่ยังพร่ำบอกกับเนื้อตัวของภรรยาอย่างโหยหา


“อ๊ะ...อื้อ...”


เสียงของรติครางเครือ ริมฝีปากของตรัสมิได้อ่อนโยนเลยสักนิด ทั้งบดทั้งดูด ในขณะที่ฝ่ามือร้อนลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังลงสู่สะโพก จนรติสะท้านวาบไปทั้งอก


ตรัสใช้ริมฝีปากคาบสาบเสื้อให้แยกออกจากกันก่อนจะเหลือบตาขึ้นมาพูดกับเจ้าของแผ่นอกเขา 


“เจ้าล่ะ...คิดถึงข้าไหม”


“ข...ข้า...ข้าบอกไปแล้ว...อ๊ะ...”


“บอกซ้ำไม่ได้หรือ” คำถามนั้นช่างแสนหวาน แต่ฝ่ามือร้อนกลับขยุ้มก้อนเนื้อนุ่มที่สะโพกแรงๆราวกับมันเขี้ยว จนรติสะดุ้งโหยง ซ่านเสียวไปทั้งกาย


“อ๊ะ!...ข...ข้า...”


“บอกอีกครั้งได้ไหม รติ”


ดวงตาของรติเริ่มฉ่ำปรือ มือร้อนล้วงเข้าไปใต้อาภรณ์แล้วบีบขย้ำสะโพกของเขาไม่หยุด ในขณะที่ริมฝีปากของตรัสเริ่มลากไล้ไปทั่วแผ่นอกของเขาโดยไม่แตะต้องกับจุดที่กำลังชูชันสองข้าง


พอไม่ได้แตะต้องร่างกายกันนานๆแล้ว จู่ๆมาจุดอารมณ์อย่างนี้ รติผู้ไม่มีประสบการณ์เชี่ยวชาญก็ไม่อาจอดทนต่อความรู้สึกซาบซ่านในอกได้


“ข...ข้า...อ๊ะ...ตรัส...อื้อ...”


จุดที่ต้องการให้แตะต้อง ตรัสกลับหลีกเลี่ยงที่จะแตะต้อง จูบพรมบนหน้าอกแต่ไม่สนใจยอดอกทั้งสองข้าง บีบขย้ำสะโพกทั้งสองข้าง แต่กลับทอดทิ้งเบื้องหน้าที่กำลังตั้งชัน


รติเสียวซ่าน แต่ไม่กล้าเอ่ย สองแขนที่เคยโอบร่างสามี มือหนึ่งขยับมาบดบี้ยอดอกของตน อีกมือล้วงลงต่ำสู่เบื้องล่าง แต่...ไม่ทันจะได้แตะต้องให้สมกับความปรารถนาที่ลุกโชน มือของตรัสก็จับสองมือของภรรยาไขว้หลัง ดวงตาดุที่บัดนี้เต็มไปด้วยความรักความต้องการเหลือบขึ้นสบกับดวงตาปรือปรอยที่คล้ายจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ด้วยความต้องการที่ไม่ถูกปรนเปรอ


“ต...ตรัส...”


“บอกข้าอีกครั้ง ว่าเจ้าก็คิดถึงข้า”


“...ค...คิดถึง...” แม้ประโยคนี้จะกระท่อนกระแท่น แต่คนฟังกลับยิ้มจาง ตวัดร่างของรติลงนอนราบ ส่วนตนเองตามขึ้นทาบทับแนบชิด


“ข้าสัญญา...ต่อจากนี้...จะไม่ปล่อยให้เราต้องคิดถึงกันอย่างที่ผ่านมาอีกแล้ว”


แล้ว...ความคิดถึงของสองสามีภรรยาก็ถูกคลายลงในเช้าวันนั้นเอง…


---------

#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต

ธ ม น

THAMON926

---------

พอเขาดีกันแล้ว มันก็เข้าทางตรัสอีกแล้วค่ะ ฮ่าฮ่า ไหนใครบอกว่าไม่ทุกวันนะคะ

ขอบคุณสำหรับทุกการอ่าน

เจอกันวันศุกร์ค่ะ

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ตรัสคนเดิม...เพิ่มเติมคือมีเสน่ห์  :hao3:

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1

ออฟไลน์ Pe_no

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 375
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ nikpook

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
หวานมากๆเลยค่ะ :pighaun: เข้าใจกันแล้ว :-[ อ่านตอนนี้คือมดแดงเต็มจอหวานกันสุดๆเลย แล้วมันคืออะไรที่อยู่ในรติ :ruready  :pig4: :L1:

ออฟไลน์ THAMON926

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต


บทที่ 63


 ท่านอมรา


---------


   อมรา  อหัสกรเป็นหญิงอาวุโสแห่งสกุลอหัสกร สกุลเก่าแก่แห่งเมืองตะวันออกที่เชี่ยวชาญเรื่องการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ


นางเป็นสะใภ้ผู้แต่งเข้าสกุล กระนั้นก็มีความรู้เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บเป็นอย่างดี เพราะเคยเป็นลูกมือให้สามี ครั้นบุตรชายเติบใหญ่ และรับหน้าที่ต่อจากบิดา ท่านอมราก็ปล่อยให้กิจการอยู่ในมือบุตร จนกระทั่งเขาหายสาบสูญ ตรัสขึ้นมาเป็นผู้นำสกุล และดูแลร้านยาอหัสกรแทน ถึงแม้นางจะไม่ได้เข้าไปยุ่มย่าม แต่ก็คอยสอดส่องอยู่เสมอ


   ตรัสเป็นคนเคร่งครัด มุมานะและอุตสาหะ เขาดูแลทั้งสกุลและกิจการของอหัสกรอย่างดี แม้กิจการจะไม่ได้อู้ฟู่ แต่เหลือกันเพียงสองย่าหลานที่มิได้ทะเยอทะยาน ก็นับว่าเป็นชีวิตที่สงบสุข


   จนกระทั่ง...วันที่คนแปลกหน้าผู้แนะนำตัวเองว่า ‘รติ บริบาล’ มาเยือนพร้อมกับจดหมายหนึ่งฉบับ


   ‘ท่านปู่ของข้า ฝากฝังเอาไว้ก่อนจะสิ้นลม ให้มาขอพึ่งพาอาศัยสกุลอหัสกรขอรับ เห็นว่าเป็นสหายสนิท’


   ท่านอมราอายุมากแล้ว ผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนปูนนี้ มีหรือจะเชื่อถือคำพูดเพ้อเจ้อเหล่านั้น นางอยู่อาศัยที่เมืองตะวันออกตั้งแต่เกิด จะรู้จักมักจี่กับคนจากเมืองทางใต้ได้อย่างไรกัน


เรื่องสหายสนิทนั่นเป็นเพียงลมปาก จดหมายในมือก็เป็นเพียงข้อความที่มิรู้ว่าผู้ใดเขียน มีใจความเพียงแค่ฝากฝัง ‘รติ รุจี ระพี’ เท่านั้น ชื่อของปู่ของคนถือจดหมายนางยังไม่รู้จัก นับประสาอะไรกับสามชื่อนี้เล่า


   แต่...พอหันไปเห็นเด็กชายตัวน้อยที่ติดสอยห้อยตามมาด้วย ความคิดก็เปลี่ยนโดยพลัน


   นางเลี้ยงลูกชายมาตั้งแต่เกิด นางเลี้ยงหลานชายมาตั้งแต่เด็ก มีหรือจะไม่เห็นว่าเด็กชายผู้นั้นหน้าตาคล้ายคลึงกับทั้งลูกชายและหลานชายของนางเพียงใด


   หญิงชราตัดสินใจรับทั้งจดหมายและผู้มาเยือนทั้งสามเข้าเรือน เพ่งพิจารณาจดหมายอีกครั้ง แล้วก็ฉุกใจขึ้นมาเรื่องหนึ่ง


   จดหมายมีเนื้อหาขอความช่วยเหลือให้รับทั้งสามเข้าสกุล ประโยคเหล่านี้จะให้รติเป็นคนพูดปากเปล่ายังได้ เพราะถ้าคนเขียนเป็นปู่ของทั้งสามจริง ก็น่าจะรู้ดีว่าสองสกุลมิได้รู้จักกันแต่แรกแล้ว กระนั้น...ก็ยังเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา


   จดหมายที่มิได้มีใจความสลักสำคัญแต่อย่างใด จะเขียนขึ้นมาทำไม หากไม่ใช่ว่า...ซุกซ่อนความสำคัญบางประการเอาไว้...


   ในสมัยก่อน มีความนิยมประการหนึ่งของพวกเหล่าหมอยา คือการปรุงสมุนไพรล่องหน วิชาความรู้นี้นิยมอยู่ช่วงหนึ่งก็หายไป หากปู่ของทั้งสามเป็นหมอ อายุอานามก็น่าจะพอกับนาง และ...น่าจะพอรู้วิชานั้น


   ท่านอมราลองทดสอบ ด้วยเห็นว่าสามพี่น้องผู้นี้มาจากทางใต้ นางจึงเทียบเคียงฤทธิ์ของสมุนไพรทางใต้กับสูตรสมุนไพรล่องหน แล้วผสมในน้ำร้อนจัด จากนั้นรอให้น้ำเย็นลง แล้วใช้พู่กันจุ่มน้ำมาป้ายลงกับกระดาษ เมื่อยกขึ้นทาบกับตะเกียงเทียน...ทุกอย่างยังเป็นปกติ ทว่าพอพลิกด้านหลัง ก็กลับมีข้อความปรากฏ


   ‘รติเป็นคนเสียสละ รุจีเป็นคนเอาใจใส่ ระพีช่างน่าสงสาร โปรดพิจารณาหน้าตาของระพีให้ดี หากเห็นว่าเขามีค่า โปรดรับไว้ทั้งสาม โปรดรักและเอ็นดูระพี ส่งเสียรุจีให้มีความรู้ ฝากผีฝากไข้ของรติด้วย ขอให้อหัสกรรุ่งเรืองสืบไป’


   ตอนที่นางเห็นข้อความนี้ ท่านอมราก็แน่ใจ


ในเมื่อหน้าตาของระพี...พิมพ์เดียวกับอหัสกร ย่อมเป็นอื่นไม่ได้อีกแล้ว




นางจึงมุ่งมั่นต่อรองกับตรัสให้เขารับเข้าเรือนให้จงได้ แม้ฐานะทางการเงินของสกุลจะไม่สู้ดีก็ตาม ทีแรกตรัสไม่ยอม จนนางต้องบังคับให้เขาแต่งงานกับรติ แม้จะรู้ว่านี่ช่างเป็นกลวิธีโง่เขลา แต่การปล่อยให้ทายาทผู้หนึ่งของอหัสกรระหกระเหิน นางก็ทำไม่ลง ครั้นจะรับแต่ระพีเข้าสกุล รติก็คงไม่ยอม จำเป็นต้องรับทั้งหมด โดยที่รติเข้ามาในฐานะสะใภ้อหัสกร


ท่านอมราเชื่อมั่นในตัวตรัส เขามิใช่คนมนุษยสัมพันธ์ดีเด่น ติดจะไว้ตัว หนำซ้ำยังมีวิชาป้องกันตัวในระดับที่สามารถเป็นคู่มือของนายทหารจากส่วนกลางซึ่งเป็นสหายสนิทของเขาได้ หากรติทำให้เขาไม่พอใจ แน่นอนว่าเขาไม่เอาไว้ หากรติคิดร้าย เขายิ่งจัดการขั้นเด็ดขาด


เมื่อเป็นเช่นนั้น นางจะกันระพีออกมา ส่วนรติจะเป็นอย่างไรก็อีกเรื่องหนึ่ง


แต่...รติกลับทำให้ตรัสไว้เนื้อเชื่อใจ รติเข้ามาแบ่งเบาภาระของหลานชายของนาง ท่านอมราพินิจพิเคราะห์ผู้มาเยือนผู้นี้ใหม่อีกหน ผสมกับข้อมูลที่นางว่าจ้างคนให้ลงไปสืบเรื่องราวของสกุลบริบาลที่เมืองใต้ ก็พบว่าเป็นสกุลรักษาโรคจริงอย่างที่รติกล่าวอ้าง เคยรับชายแปลกหน้าผู้ไม่ใช่คนท้องถิ่นเข้าสกุลและแต่งงานกับหลานสาวคนโต สองสามีภรรยาคู่นี้มีบุตรชื่อระพี แต่พวกเขาอายุสั้น ส่วนผู้อาวุโสของสกุลบริบาลก็จากไปในเวลาไม่นานหลังจากนั้น หลานชายคนรองจึงขายกิจการและทรัพย์สิน พาสมาชิกครอบครัวที่เหลือออกจากเมืองใต้


นอกจากเรื่องสหายสนิทระหว่างปู่ของรติและนาง เรื่องบุตรชายของท่านอมราเป็นเขยของสกุลบริบาล และเรื่องสถานะของระพีที่รติโกหกแล้ว เรื่องอื่นนอกจากนั้นก็ตรงกับรติบอกกล่าวทั้งหมด


เรื่องปกปิดโกหก จะไม่ถือสาก็ได้ เพราะเมื่อพิจารณาเนื้อแท้อย่างถ้วนถี่แล้วก็พบว่ารติเป็นคนจริงใจ ร่าเริง แต่ก็เอาจริงเอาจัง เรื่องเหล่านี้สำคัญส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนที่สำคัญกว่าคือรติทำให้ตรัสเปลี่ยนไปทีละน้อย


เดิมที ตรัสมีความสุขตามอัตภาพ แต่หลังจากรติเข้ามาในเรือนอหัสกร ตรัสมิใช่เพียงมีความสุขตามอัตภาพ แต่ยังมีความสุข...สมกับวัยหนุ่มของเขาด้วย


   ความเปลี่ยนแปลงของตรัส ล้วนอยู่ในสายตาของท่านอมรา นางพบว่าข้อความในจดหมายที่เกี่ยวกับรติ รุจีและระพีมิได้กล่าวเกินจริงเลย แต่...เวลานี้ นางคิดว่าตนมองข้ามข้อความแฝงในจดหมายฉบับนั้น


หญิงชราทบทวนสิ่งที่เพิ่งได้รู้


รติตาบอด มองไม่เห็นเฉพาะเวลาที่ร่างกายไม่แข็งแรง


จดหมายบอกว่าให้พินิจหน้าตาของระพีให้ดี ระพีหน้าเหมือนตรัสอย่างกับอะไร เรื่องนี้ท่านอมราปิดตามองข้างหนึ่งก็ดูออก แต่...ตาไม่เหมือน


คนท้องถิ่นในเมืองตะวันออกล้วนมีดวงตาสีอ่อน ยิ่งสกุลเก่าแก่อย่างอหัสกรด้วยแล้ว จัดว่าเป็นหนึ่งในสกุลที่มีดวงตาสีอ่อนที่สุดของเมือง


แต่...ระพีกลับมีดวงตาสีดำสนิท เรื่องนี้แปลก


คราแรก นางคิดว่าเป็นเพราะมารดาของระพีเป็นคนเมืองอื่น ระพีจึงอาจมีดวงตาเหมือนทางมารดาก็เป็นได้ แม้จะรู้สึกว่าดวงตาของรุจีและระพีคล้ายคลึงกัน ในขณะที่ดวงตาของรติกลับมีเฉดสีประหลาดแฝงอยู่ แต่หญิงชราคิดว่าสายตาตนเองฝ่าฟางตามวัย จึงไม่ฉุกใจนัก


จนกระทั่ง...รู้ว่ารติตาบอด


อะไรบางอย่างดลใจให้นางกลับมาอ่านจดหมายฉบับนี้อีกครั้ง โดยเฉพาะข้อความที่ถูกซุกซ่อนด้วยกลของสมุนไพรล่องหน


‘รติเป็นคนเสียสละ’


รติเสียสละแน่นอน...มิเช่นนั้นเขาจะยอมแต่งงานกับตรัสเพื่อทำตามเงื่อนไขจึงจะได้อยู่ที่นี่ทำไม ในเมื่อเขาเองก็น่าจะรู้ว่าสกุลของตนและอหัสกรมิใช่สหายอย่างที่ปากพูด


รติเสียสละแน่นอน...นับตั้งแต่แต่งงาน เขาช่วยทำมาหากิน แบ่งเบาภาระของตรัสมาไว้ที่ตนเอง ลำบากลำบนเหนื่อยยากจนเป็นลมก็เคยมาแล้ว ไม่มีครั้งใดเลยที่เขายึดความสบายของตนเป็นที่ตั้ง


แต่...ความเสียสละของรติมีเท่านี้จริงหรือ?


หรือความเสียสละของรติจะมีก่อนที่รติจะพารุจีและระพีมาที่อหัสกร


โดยเฉพาะสิ่งที่ท่านอมราฉุกใจแต่แรก


ดวงตาของระพี


นางพยายามทบทวนผู้คนในสกุลอหัสกรที่มีอยู่น้อยนิด ไม่มีผู้ใดเลยที่มีดวงตาสีอื่น ตัวนางเองเป็นคนตะวันออก แต่ดวงตาสีเข้มกว่าพวกอหัสกรเล็กน้อย เมื่อมีลูก บุตรชายของนางก็หาได้มีสีตาคล้ายนาง แต่กลับอ่อนจางอย่างบิดาของเขา ตรัสเองก็มีดวงตาสีจางอย่างบิดาและปู่ แม้ว่ามารดาของเขาจะมีดวงตาเข้มก็ตามที


ทุกคนในอหัสกรมีดวงตาสีเดียวกัน แต่ระพีที่เป็นเชื้อสายของอหัสกรกลับมีดวงตาสีดำสนิท


แล้วพลันนั้น หญิงชราก็นึกไปถึงถ้อยความประโยคเดิม


‘รติเป็นคนเสียสละ’


แล้วก็พลอยฉุกใจขึ้นมาเรื่องหนึ่ง


...ดวงตาของรติ...


พอคิดอย่างนั้น หญิงชราก็รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งกาย หากการคาดคะเนของนางถูกต้อง ความเสียสละของรติคราวนี้ก็ยิ่งใหญ่เหลือเกิน


นางก้มลงอ่านจดหมายในมืออีกครั้ง โดยเฉพาะประโยคที่ว่า ‘…ฝากผีฝากไข้ของรติด้วย’ แล้วก็พลันยิ้มจางกับตนเอง


 “น่าเสียดายที่ท่านตายเสียก่อน มิเช่นนั้นจะไปหาถึงที่ จะขอคบหาเป็นสหาย และจะนำของกำนัลไปเยินยอที่ฉลาดเหลือเกิน”


“...คิดเอาไว้แล้วใช่ไหม ว่าการให้รติพาระพีมาที่นี่ จะทำให้ระพีได้อยู่กับสายเลือดครึ่งหนึ่งของเขา เนื้อแท้และความสามารถของพวกเขาจะทำให้คนที่นี่ยอมรับ ทำให้รุจีไม่ต้องระหกระเหิน มีที่อยู่ ได้เรียนหนังสือ ที่สำคัญคือ...หมายจะให้รติได้ฝากผีฝากไข้...”


ท่านอมราพึมพำ มองตัวอักษรบนกระดาษที่เริ่มจางหายเมื่อความชื้นของกระดาษเริ่มหมดลง


“ท่านกล้าหาญเหลือเกินที่วางเดิมพันเช่นนี้ เห็นแก่ว่าท่านใจกล้า อีกทั้งยังเก่งที่เลี้ยงดูหลานออกมาได้ดีถึงเพียงนี้ ข้าจะทำให้ท่านเบาใจก็แล้วกัน”


---------



#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต


ธ ม น


THAMON926


---------


ท่านย่าแกมีเหตุผลแต่แรกนะคะ แกบังคับตรัสแต่งกับรติเพราะจะเอาระพีไว้ แต่สุดท้ายกลายเป็นรติชนะใจทั้งแกและตรัสเลยค่ะ (ภูมิใจในตัวน้อง)


ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านนะคะ


เจอกันวันจันทร์กับเรื่องตาบอดของรติค่ะ

ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด