ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]  (อ่าน 64686 ครั้ง)

ออฟไลน์ [Karnsaii]

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +523/-17
 

- จีบที่ 23 - 

 

ไอ้โต้งยิ้มหน้าระรื่นจนน่าหมั่นไส้

ผมมองใบหน้าคมคายที่แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มอยู่ในตอนนี้แล้วได้แต่ส่ายหน้า  ส่วนสาเหตุที่ทำให้ไอ้เปรตตรงหน้ายิ้มไม่หุบขนาดนี้เพราะมันมีนัดกับพี่อุ้ม บ่ายแก่ๆ วันนี้มันถึงเสนอหน้ามารอที่คณะผม

“ยิ้มเก่ง”

ผมแกล้งแซวมัน ก่อนชะโงกไปดูไอ้อ๋องที่นั่งจ้องโทรศัพท์ด้วยท่าทางแปลกๆ ดูขัดๆ เขินๆ ยังไงก็ไม่รู้ พอถือวิสาวะไปชะโงกดูโทรศัพท์ในมือ มันก็โยกโทรศัพท์หนีราวกับคนมีความลับ นั่นยังไม่รวมท่าทางมีลับลมคมในแปลกๆ ช่วงนี้ด้วย

“อ๋อง”

มันสะดุ้งโหยงทำหน้าเลิ่กลั่ก

“มึงมีอะไรปิดบังกู”

“เปล่า”

มันส่ายหน้าหวือ

“รีบตอบ”

“ก็เปล่า”

คราวนี้มันพูดเสียงแผ่วท่าทางประหลาดนั่นไม่หลุดรอดไปจากการสังเกตของผมกับไอ้โต้งไปได้หรอก  ผมเลยแอบส่งซิกกับไอ้โต้งและอาศัยจังหวะที่มันเผลอแกล้งมันซะเลย

“อ้าวไอ้ดลสวัสดีครับ”

ไอ้อ๋องทำหน้าตื่นแล้วหันขวับมองไปด้านหลังแล้วพบแต่ความว่างเปล่ากับเสียงหัวเราะของพวกผม

“พวกมึงแม่ง”

อ๋องมันดูแปลกไปช่วงนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่พี่ดลมาวนเวียนอยู่รอบตัวมันบ่อยๆ รวมถึงการกระทำบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม ผมรู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างสองคนนี้มันดูสีชมพูฟุ้งๆ บอกไม่ถูกว่ะ และยิ่งการที่ไอ้อ๋องสะดุ้งสุดตัว แค่ผมแกล้งเรียกชื่อพี่ดลแค่นี้ มันน่าสงสัย

ผมว่าเรื่องนี้ไม่ปกติซะแล้ว

หรือว่าสองคนนี้

“มึงมีอะไรกับพี่รหัสกู”

“ไอ้ห่าเปียว พูดอะไรวะ”

ผมหัวเราะ หึหึ 

“โทษที กูใช้คำผิด”

“...”

“มึงกับพี่ดลนี่ยังไง”

“คบกันเหรอ”

ไอ้โต้งทะลุกลางปล้อง คำถามของมันทำเอาเพื่อนข้างห้องผมเงียบกริบ

เขาว่ากันว่าความเงียบ บางครั้งอาจคือคำตอบ

“มิน่า ช่วงนี้พี่ดลถึงวนเวียนอยู่รอบตัวมึงแบบนี้”

“เปล่า”

ไอ้อ๋องส่ายหน้าปฏิเสธ

“เปล่าอะไรวะ”

“ไม่ได้คบกัน”

“หือ?”

ผมกับไอ้โต้งหรี่ตามองมันเป็นเชิงถาม คนตรงหน้าอึกๆ อักๆ ยังไม่ทันได้ตอบคำถามหรอก พอดีลุงรหัสและพี่รหัสผมเดินมาถึงก่อน 

“มีอะไรกันรึเปล่าวะ”

พี่อุ้มถามขึ้น คำถามนี้ทำให้ไอ้อ๋องรอดตัวไป เพราะพวกผมไม่อยากคาดคั้นเรื่องส่วนตัวของมันต่อหน้าคนอื่น เอาเป็นว่าถ้ามันยังไม่พร้อมที่จะพูดพวกผมก็จะรอจนกว่ามันจะสบายใจที่จะเล่าให้พวกผมฟัง

เอาเถอะถึงไอ้อ๋องไม่พูด แต่กับพี่อ๋อง พี่รหัสคนดีของผมนั้น

“พี่ดล”

ผมสะกิดไหล่พี่รหัสตัวเอง

“ว่าไง”

“ผมมีเรื่องจะถาม”

“เอาสิ”

ผมยิ้มเผล่เหลือบตามองไอ้อ๋องแวบหนึ่งก่อนจะกระซิบถามคนข้างกาย

“ที่ผมถามวันนั้นอ่ะ”

“...”

“ผมบอกว่าจะเป็นพ่อสื่อให้ พี่บอกว่าพี่เอ็นดูเพื่อนผมเหมือนน้องชาย คำตอบพี่ยังเหมือนเดิมป่ะ”

พี่ดลนิ่งไปก่อนจะยิ้มน้อยๆ มือข้างหนึ่งยื่นมาโยกศีรษะผมคล้ายมันเขี้ยว

“พ่อสื่อไม่จำเป็นแล้ว”

ผมนิ่วหน้าทันที

“เพราะคำตอบพี่เปลี่ยนไป”

ก่อนจะขยับรอยยิ้ม

“เปลี่ยนไปว่าอะไร”

พี่ดลเหลือบตาไปมองเพื่อนผมแล้วยิ้มกว้าง แน่นอนว่านั่นทำให้ไอ้อ๋องทำหน้าตื่นรีบขยับมาใกล้พวกผมทันที เอาจริงถึงมันไม่ได้ยินที่ผมคุยกับพี่ดลคุยกัน แต่ผมว่ามันคงจับท่าทางของพวกผมออกแน่ๆ ว่าคุยกันเรื่องอะไร

“มากกว่าพี่น้อง”

ไอ้อ๋องหน้าแดงแปร๊ด มันได้ยินคำพูดของพี่ดลแน่ๆ มันถึงชะงักกึกแล้วเดินเลยพวกผมไปโน่น 

เขินแล้วแม่งเดินหนีเข้าห้องน้ำ

ผมยิ้มขำยกจะยกนิ้วโป้งให้พี่ดล ท่ามกลางสายตางุนงงของลุงรหัสผม

“อะไรกันวะ”

“เรื่องของคนรักกันพี่”

พี่อุ้มทำหน้าสงสัยก่อนจะมองหน้าพี่ดลแล้วมองไปยังทิศทางที่ไอ้อ๋องเพิ่งเดินลับไปแล้วร้องอ๋อออกมา รุ่นพี่ผมยิ้มน้อยๆ แล้วนิ่วหน้าทันทีที่โปรแกรมแชทไลน์ในมือถือดังขึ้น

“มีอะไรรึเปล่าครับ”

“กูต้องแวะไปซื้อข้าวให้ไอ้เซียนน่ะ”

“หือ”

“มันไม่สบาย”

“ครับ?”

คำตอบนั้นทำเอาผมสะดุดใจ เพราะเมื่อเช้ายังคุยไลน์กับพี่มันปกติอยู่เลย ถึงแม้จะไม่ได้วีดีโอคอลเหมือนทุกทีก็ตาม ถ้าหากพี่มันป่วยยจริงๆ ทำไมถึงไม่ปริปากบอกผมสักคำเลยวะ

“ที่จริงก็ดูหน้าซีดๆ ตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ”

ไอ้โต้งพูดขึ้น

“ว่าไงนะ”

มันยิ้มแหยเหมือนรู้ตัวว่าพลั้งปากพูดออกไป

“ก็เมื่อวานอาจารย์พาพวกพี่เซียนกับเด็กปีหนึ่งที่ไปช่วยงานออกแบบไปเลี้ยงไง เมื่อวานพี่มันก็ท่าทางไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

“ทำไมมึงถึงไม่เล่าให้กูฟังวะ”

ผมแยกเขี้ยวใส่มัน

“ก็นึกว่ามึงรู้แล้ว”

ผมทำหน้านิ่วเลยทีนี้ เมื่อวานนี้ได้แฟนหนุ่มรุ่นพี่เล่าให้ฟังเหมือนกันว่าอาจารย์พาไปเลี้ยงข้าวหลังจากส่งงานออกแบบเข้าประกวดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เกือบตีหนึ่งพี่มันยังไลน์มาบอกว่าเพิ่งถึงห้อง ส่วนเมื่อเช้าก็ไลน์มาหาผมแต่เช้า

ทุกอย่างเป็นปกติจนผมไม่นึกเอะใจเลย

มิน่าเมื่อเช้าพี่เซียนถึงไม่ยอมวีดีโอคอลด้วย

ผมเม้มปากแน่น

“มันคงกลัวมึงเป็นห่วงแหละ”

พี่อุ้มพูดปลอบใจ

“ตอนนี้เห็นว่านอนอยู่คอนโด ถ้ามึงรู้แล้วก็ไปดูใจมันหน่อยเถอะไป”

คอยดูนะถ้าไปถึงแล้วจะบ่นให้หูชาเลย

ผมพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะคว้ากระเป๋ามาสะพายแล้วเดินดุ่ยๆ ออกมา ผมนั่งรถไฟฟ้ามาจนถึงสถานีพญาไทก่อนจะแวะซื้อพวกอาหารอ่อนของกินร้อนๆ แล้วแวะซื้อยาจากร้านขายยาแถวนั้นให้พี่มัน ช่วงนี้พี่เซียนมันโหมงานหนักจริงๆ ไม่ค่อยได้พักผ่อนหรอก เพราะพอเสร็จงานออกแบบนั้นก็ซ้อมคทากรอย่างหนัก ถึงพี่มันจะเป็นรุ่นพี่คทากรปีนี้ แต่ก็ต้องเดินขบวนเข้าสู่สนามตอนพิธีเปิดและพิธีปิด รวมถึงแสดงช่วงระหว่างเกมการแข่งขันที่ต้องไปแสดงตามแสตนต่างๆ 

นั่นคงทำให้พี่เซียนพักผ่อนไม่เพียงพอ อาทิตย์หน้าก็จะถึงวันงานฟุตบอลประเพณีแล้ว ไม่อยากจะคิดเลยว่าพี่มันต้องซ้อมหามรุ่งหามค่ำขนาดไหน เพราะขนาดว่าคณะผมที่เป็นฝ่ายสวัสดิการยังหัวหมุนกับการวิ่งส่งเสบียงให้กับทีมงานฝ่ายต่างๆ งานมันกระชั้นชิดเข้ามาทุกทีแล้ว ทุกฝ่ายถึงได้เร่งเตรียมงานกันสุดแบบนี้ เมื่อสัปดาห์ก่อนผมเห็นพี่ปั๊บและทีมบอลมหาลัยเองก็ซ้อมกันจนดึกดื่นเหมือนกัน

ผมเดินคิดไปพลางๆ ก่อนจะแตะคีย์การ์ดและกดชั้นที่เป็นที่อยู่ของคนรักรุ่นพี่ โชคดีว่าคีย์การ์ดห้องพี่เซียนอันนี้พี่มันให้เก็บไว้เผื่อผมต้องมาสอนพิเศษน้องซอ เอาจริงพี่มันบอกว่าให้มาเผื่อวันไหนผมอยากมาค้างด้วย

ค้างด้วยงั้นหรือ

ผมขนลุก ก็ตั้งแต่วันที่บอกว่าจะให้พี่มันกอดคืน ผมเห็นสายตาของพี่เซียนแล้วเสียวสันหลังแปลกๆ แววตาคู่คมที่จ้องมองกันจนผมนึกหวาดหวั่น

ถ้าวันไหนที่ผมตัดสินใจจะมาค้าง วันนั้นผมคงต้องเตรียมตัวเตรียมใจกับเรื่องของเราแล้ว ถึงพี่เซียนจะไม่พูดตรงๆ แต่ผมพอจะรู้ว่าพี่มันต้องการและหากผมการ์ดตกเมื่อไหร่ผมว่าพี่มันรุกคืบผมแน่ๆ

ฮึ้ย

คิดอะไรลามกแบบนั้นวะ

ผมจ้องหน้าตัวเองกับผนังลิฟต์ที่มีกระจกรอบด้าน ภาพที่สะท้อนออกมาคือเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าแดงก่ำลามเลียไปถึงคอ แววตาดูขัดเขิน แก้มสองข้างขึ้นสีเพราะปฏิกิริยาทางร่างกาย

พระเจ้าคงจะลงโทษผมแน่ๆ เพราะนี่คือสีหน้าของคนที่คิดเรื่องลามก

ผมสะบัดศีรษะตัวเองแรงๆ พอดีกับที่ลิฟต์เปิดออกในชั้นที่เป็นจุดหมาย ผมเดินออกมาจากตัวลิฟต์ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องพี่เซียนแล้วแตะคีย์การ์ดเปิดประตู พอเปิดเข้าไปความเย็นจากแอร์คอนดิชั่นก็พุ่งเข้ามาปะทะใบหน้าทันที

ป่วยแล้วยังชอบเปิดแอร์เย็นๆ อีกแล้วสินะ

ผมส่ายหัวเดินไปวางของที่เคาน์เตอร์ครัว ห้องรับแขกเงียบสงัดเปิดแอร์ทิ้งไว้แสดงว่าเจ้าตัวคงนอนอุตุอยู่ในห้องแน่นอน ผมจัดอาหารที่ซื้อมาใส่จานเอาไว้แล้วสาวเท้าตรงไปยังห้องนอนของอีกฝ่าย ประตูห้องนอนของพี่มันไม่ได้ปิดสนิทยังแง้มๆ เอาไว้ ผมจึงดันประตูนั่นเปิดออกก่อนจะชะงักกึก

ผมบอกไม่ถูกว่าควรรู้สึกยังไงกับภาพตรงหน้านี้ดี

โกรธ เสียใจ หรือน้อยใจ

ความรู้สึกเหล่านั้นผุดขึ้นมาเต็มหัวผมไปหมด 

นอกเหนือจากความรู้สึกเหล่านั้นแล้วผมยังเจ็บแปลบๆ ในอกบอกไม่ถูก มันคล้ายกับจะหายใจไม่ออก เหมือนบางอย่างเสียดแทงใจจนเจ็บ

ผมเผลอก้าวถอยหลังออกมาเป็นจังหวะที่ผู้หญิงคนเดียวกับี่ภาพที่อยู่ในใต้ลิ้นชัก่ซึ่งถูกปิดตายกำลังตั้งใจบิดผ้าเช็ดไปตามใบหน้าและแผ่นอกให้พี่เซียน

ผู้หญิงคนนั้นนั่งตัวเป็นๆ อยู่ที่ขอบเตียง สีหน้าดูเป็นห่วงเป็นใยคนป่วย ขณะที่คนป่วยนอนสะลึมสะลือตาจะหลับไม่หลับแหล่ พี่เซียนหน้าแดงก่ำเพราะพิษไข้ ขณะที่ผมหน้าขาวซีดเพราะพิษรัก

พิษรัก...ที่ทำให้ใจเจ็บจนยอก

ในห้องนอนพี่เซียน พื้นที่ส่วนตัวของคนรักผม กลับมีคนอื่นอยู่ในนี้ด้วย

ผมรู้สึกแย่กับความรู้สึกนี้จริงๆ

“เอะ”

ผู้หญิงคนนั้นหันมาเห็นผมพอดี ใบหน้างดงามทำหน้างวยงงก่อนจะขยับรอยยิ้ม

เธอยิ้มสวยมาก

สวยมากจริงๆ

“มาเยี่ยมเซียนเหรอจ้ะ”

ผมพูดไม่ออกก่อนจะเหลือบตามองคนป่วยที่หรี่ตาขึ้น พี่มันทำหน้างงๆ แต่พอเห็นผมก็ตื่นเต็มตาทันที

“เปียว”

เสียงพี่เซียนแหบพร่าเพราะพิษไข้ 

“ระวัง”

อาจารย์มัสลินพยุงพี่มัน้ที่ขยับลุกลงจากเตียงทันที

“ไอ้เดี่ยวล่ะ”

พี่เซียนทำหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไหร่

“เดี่ยวเอาของไปเก็บที่ห้อง”

คนป่วยทำเสียงจิ๊ปากในลำคอก่อนจะเดินตรงมาหาผม

“เปียว”

“ครับ”

ผมรับคำพี่มันเสียงแผ่ว ขณะที่แววตาหลุบตามองพื้น

“พี่อุ้มบอกว่าพี่ไม่สบาย”

“เปียว”

ผมรู้ว่าตัวเองเสียงสั่นมากๆ 

“ผมซื้อข้าวต้มกับยามาให้น่ะ”

“เปียว”

พี่เซียนดันคางผมให้เงยหน้าขึ้น

น้ำตารื้อเลยว่ะ

พี่เซียนหน้าเสียมากๆ ที่เห็นหน้าผมชัดๆ พี่มันรวบตัวเอาไปกอดแน่นๆ

“ไม่มีอะไร”

“...”

“จริงๆ ไม่มีอะไรแบบที่เราคิดเลย”

ผมพยักหน้าหงึกหงักกับอกพี่มัน 

ผมเชื่อพี่เซียน...แต่ผมก็ยังเจ็บอยู่ดี

เจ็บมากด้วย

ผมปาดน้ำตาให้ตัวเองก่อนจะฝืนยิ้มให้อาจารย์มัสลินที่ทำหน้าไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า เธอพยายามจะพูดอะไรสักอย่าง 

“ไหม นี่น้องเปียวแฟนผมเอง”

หญิงหนึ่งเดียวทำหน้างุงงงก่อนจะส่งยิ้มให้ผม

“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”

“ขอผมคุยกับเปียวตามลำพังนะไหม”

อาจารย์มัสลินพยักหน้าเข้าใจแล้วผละออกไปแล้ว แต่พี่เซียนยังไม่ปล่อยมือจากแขนผมเลย

“ขอโทษที่ถือวิสาสะเข้ามาในห้องนอนนะครับ ผมเห็นว่าพี่เซียนป่วยเลย...”

“ขอโทษทำไมิ์”

พี่เซียนจับมือแล้วบีบเบาๆ

“ตัวพี่ยังร้อน พักผ่อนเยอะๆ นะ”

ผมฝืนยิ้มให้พี่มัน

ถึงจะเข้าใจทุกอย่าง แต่เวลานี้ผมยังทำใจยอมรับไม่ได้อยู่ดี

“เปียว”

“ผมจะกลับก่อน”

“ไม่”

พี่เซียนคว้าแขนเอาไว้ สัมผัสร้อนผ่าวที่ออกมาจากตัวพี่มันเพราะพิษไข้จนผมรู้สึกได้

“พี่ควรจะนอนพัก”

“อยู่กับพี่นะ”

ผมส่ายหน้าหวือ

“ให้ผมกลับเถอะ”

“พี่จะปล่อยเปียวกลับไป โดยที่เรายังเข้าใจผิดไม่ได้”

“ผมเข้าใจ”

“ถ้าเราเข้าใจจริงแล้วหลบตาพี่ทำไม”

พี่เซียนพูดเสียงเครียด

“เราไม่เข้าใจต่างหาก แต่พยายามหลอกตัวเองว่าเข้าใจ”

“ผมเข้าใจสิ”

ผมเบะปากใส่พี่มัน

“เข้าใจ”

“...”

“แต่ยังทำใจไม่ได้”

“...”

“ผมทำใจไม่ได้ที่เห็นรักแรกของพี่ อยู่ในห้องนอนส่วนตัวของพี่”

“...”

“ผมเสียใจที่เวลาพี่ป่วย ผมกลับเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่อง”

มองไม่เห็นหน้าพี่มันแล้ว

เพราะน้ำตากลบรอบดวงตาไปหมดเลย

ผมอาจจะงี่เง่าที่คนรักป่วยแล้วรู้สึกไม่ดีที่อดีตคนในใจเขามาดูแลนั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่ง แต่อีกส่วนคือผมเจ็บแปลบๆ ตรงที่ผมรู้เรื่องพี่มันเป็นคนสุดท้าย ในขณะที่คนอื่นๆ ยื่นมือมาให้ความช่วยเหลือแล้ว

ภาพที่อาจารย์มัสลินเช็ดตัวให้พี่เซียนสว่างวาบขึ้นมาในหัว

ไม่ได้โกรธเลย

แต่เสียใจที่สุด

“ขอโทษ”

“...”

“พี่ขอโทษ”

พี่เซียนเกลี่ยเบาๆ รอบดวงตาให้อย่างเบามือ

“อื้อ”

“ยกโทษให้กับความละเลยของพี่ได้มั้ย”

“อื้อ”

ผมพยักหน้าหงึกหงัก

“ยกโทษให้..” ผมเม้ปากแน่น “แต่วันนี้ผมอยากกลับ”

“เปียว”

พี่เซียนหน้าเสีย

“ให้ผมกลับนะ ขอกลับไปตั้งสติก่อน”

“ไม่”

ผมแกะมือที่กอดรอบเอวตัวเองออกช้าๆ พี่เซียนเองก็ขืนไว้แต่สุดท้ายเพราะผมยังยื้อพี่มันเลยยอมปล่อย

“สัญญากับพี่”

“...”

“ถ้าพี่ปล่อยวันนี้ พรุ่งนี้เราจะเหมือนเดิม พี่ปล่อยวันนี้ไม่ได้หมายความว่าปล่อยตลอดไป เพราะพี่ไม่มีวันปล่อย จะไม่ปล่อยเลย...ตลอดชีวิต”

“...”

“พี่ให้ตามที่เปียวขอได้ เปียวอยากกลับ อยากคิดอะไรเงียบๆ ได้ แต่พี่ไม่ปล่อยมือเปียวแน่ๆ ไม่มีวัน”

พี่เซียนคงรู้ดีว่า...ความเชื่อใจมันต้องใช้เวลา

ความเชื่อใจเมื่อมันเคยถูกสะกิดจนเกิดรอยร้าว มันต้องใช้เวลาผสานรอยแผลนั้น


____________________
50%

ห่างกันสักพ้ากกก ห่างกันสักพ้ากกกก ฮืออออ

อีก2-3 ตอนก็จบแล้วน้า ฝากคอนเมนต์และหวีดติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ชื่นใจหน่อยค่ะ

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
อิพี่ จนได้    เอาจริงๆ  ถ้าเจอแบบนี้บ้างคงยิ่งกว่าเปียว

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
ให้เวลาน้องตั้งสติแป๊บ
 :mew1:

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
โอ๊ะโอ ... ตั้งสติคิดให้ดีๆ นะน้องเปียว

ออฟไลน์ MJTogether

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0

ออฟไลน์ manami_01

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 980
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-1
โอ๊ยค้างคาค่า :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ [Karnsaii]

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +523/-17
(ต่อ)

.

.

“เอ่อ น้องเปียว”

พี่เดี่ยวทำหน้าตื่นตอนที่เห็นผมเดินสวนออกมาจากห้องนอนพี่เซียน ฝ่ายนั้นคงพอจับสังเกตบรรยากาศอึมครึมนี้ได้ ผมจึงพยายามฝืนยิ้มให้พี่มันแล้วบอกขอตัวพร้อมกับยกมือไหว้พี่เดี่ยวและอาจารย์มัสลินซึ่งยืนอยู่ข้างๆ กัน มันเป็นเรื่องยากมากๆ ที่ต้องทำใจแข็งไม่หันกลับไปมองสีหน้าของคนรักรุ่นพี่ในตอนนี้ แต่ถึงจะไม่มองผมก็พอจะเดาสีหน้าพี่มันได้ว่าฝ่ายนั้นคงมีสีหน้าย่ำแย่ไม่น้อย

เอาเถอะ จะยังไงก็ตามผมขอออกไปจากความรู้สึกอึดอัดในตอนนี้ก่อน ขอกลับไปตั้งหลักตั้งสติก่อน

การที่ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันแบบนี้ทั้งที่ยังไม่เข้าใจกันดีนักมันไม่ใช่วิธีที่ดีนักหรอก สำหรับคู่รักแล้วเราควรพูดจาปรับความเข้าใจหรือหากอยากมีพื้นที่สำหรับปรับอารมณ์ ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะอยู่ห่างแบบแยกกันไปคนละที่ อย่างน้อยอาจจะอยู่คนละห้อง บริเวณใกล้กันเพื่อให้รับรู้ว่าอีกฝ่ายยังอยู่ในพื้นที่เดียวกัน เมื่อเวลาผ่านไปอารมณ์แต่ละฝ่ายเย็นลงหรือเมื่อได้ใช้เวลาทบทวนอย่างมีสติแล้ว เมื่อนั้นรอยร้าวจะถูกประสานได้ง่ายขึ้น

ผมรู้ดีว่าการแยกกันไปคนละทางทั้งที่เรายังเข้าใจกันไม่ดีนัก มันก่อให้เกิดอารมณ์อ่อนไหว ความอ่อนไหวนั่นอาจทำให้เราคิดฟุ้งซ่าน เคยมีคนพูดไว้ว่าความคิดในหัวเวลาอยู่คนเดียวมันน่ากลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาที่เราต้องห่างกันด้วยความรู้สึกที่ยังไม่เคลียร์สักเท่าไหร่ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินเอื่อยๆ ทอดน่องไปตามถนน กว่าจะรู้ตัวผมก็โผล่ไปนั่งอยู่ที่สวนสาธารณะไม่ไกลจากคอนโดพี่เซียน

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบหกโมงแล้วแต่แสงอาทิตย์ยังเจิดจ้าคงเพราะเป็นฤดูร้อนที่ทำให้ช่วงเวลากลางวันยาวนานกว่ากลางคืน สวนสาธารณะยามเย็นเช่นนี้ผู้คนค่อนข้างหนาตา เนื่องจากเป็นเวลาเลิกงานผู้คนส่วนใหญ่จึงพากันมาออกกำลังกาย บางส่วนก็มีนักเรียนนักศึกษามานั่งรวมกลุ่มทำกิจกรรมต่างๆ ผมมองไปรอบกายอย่างสนใจจนกระทั่งสายตาไปกระทบกับหญิงชราคนหนึ่งในชุดออกกำลังกาย ไม่ต้องเดาให้ยากว่าหญิง้สูงวัยท่านนั้นคงมาออกกำลังกายเหมือนเช่นคนอื่น

แต่ที่ประหลาดจนต้องสะดุดใจคือท่าทางเหนื่อยหอบนั่น

ผมสังเกตเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของคุณยายท่านนั้นเลยรีบปราดเข้าไปใกล้แล้วโอบไหล่เจ้าของร่างเล็กแกรนที่ยืนโงนเงนไปมาคล้ายกับจะเป็นลม

“คุณยาย”

ผมรีบประคองหญิงสูงวัยไปนั่งที่ม้านั่งก่อนจะขยับคอเสื้อแล้วล้วงเอาชีทในกระเป๋าเป้มาพัดให้คลายความร้อน หญิงชราทำตาสะลึมสะลือก่อนจะยกศีรษะขึ้นมองหน้าผมแล้วคลี่ยิ้มน้อยๆ

“ขอบใจมากนะหนู”

แกบีบมือผมเบาๆ

“คุณยายเป็นยังไงบ้างครับ”

ยังไม่ทันที่หญิงชราท่านนี้จะได้ตอบคำถามของผม ชายชราคนหนึ่งก็ปราดเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าตกอกตกใจ

“คุณเป็นยังไงบ้างคุณ”

ท่าทางชายชราท่านนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณยาย ไม่แน่อาจจะเป็นสามี

“หน้ามืดนิดหน่อย โชคดีได้เจ้าหนูนี่ช่วยเอาไว้”

คุณตาหันยิ้มให้ผม

“ขอบใจมากนะหนูที่ช่วยยายเอาไว้ เมื่อกี้ตาเผลอแป๊บเดียว ยายเดินมาซะไกลเลย”

“แหม ก็ตาน่ะมัวแต่แวะถ่ายรูปดอกไม้ ยายก็เลยเดินนำมาก่อน”

“แล้วเป็นไง เป็นลมจนได้”

ถึงคุณตาพูดทำนองบ่นแต่แววตานั่นดูหวงใยคุณยายไม่น้อยเลยทีเดียว

“หน้าซีดมากเลยนะยาย จิบน้ำสักหน่อยมั้ย เดี๋ยวตาไปซื้อให้”

คุณยายพยักหน้าหงึกหงัก ชายชราเลยหันมาฝากฝังคุณยายไว้กับผมแล้วเดินลิ่วไปยังร้านขายของไม่ไกลจากตรงนี้นัก ผมมองตามแผ่นหลังกระฉับกระเฉงของชายชราแล้วทึ่งไม่น้อย คนแก่อายุปูนนี้แล้วดูแข็งแรงอย่างไม่เชื่อเลย

“คุณตาดูแข็งแรงมากเลยนะครับ”

คุณยายยิ้มน้อยๆ ก่อนจะส่ายหัวไปมา

“จริงๆ คุณตาก็เป็นโรคนะ”

“จริงเหรอครับ ดูไม่ออกเลย”

ผมทำหน้าไม่อยากเชื่อ

“มะเร็งน่ะ”

“ครับ?”

ผมอึ้งไปพักหนึ่ง

“เป็นส่วนปอด ระยะที่สี่แล้ว”

คุณยายพูดยิ้มๆ สีหน้าดูไม่มีความเครียดกังวลใดๆ ราวกับผ่านพ้นเรื่องร้ายๆ มาจนสามารถมองชีวิตความเป็นไปได้อย่างปกติแล้ว

“นี่ก็เข้าปีที่ห้าแล้ว”

“แต่คุณตายังดูแข็งแรงอยู่เลยนะครับ คงเพราะออกกำลังกาย”

คุณยายพยักหน้าหงึกหงัก

“ก็มีส่วนนะหนู แรกๆ น่ะ ผอมโซเชียวล่ะ น้ำหนักก็ลดจนยายสงสัย เพราะคุณตาท่านไม่ยอมบอกว่าตัวเองป่วย”

“...”

“อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน เจ็บป่วยอะไรก็ไม่ยอมบอกกันได้”

ผมนิ่งไป แวบหนึ่งผมอดเปรียบเทียบกับเรื่องของตัวเองไม่ได้ สาเหตุที่ทำให้ผมมานั่งอยู่ตรงนี้ก็เพราะรู้สึกน้อยใจที่คนรักปิดบังเรื่องเจ็บป่วย อีกอย่างผมไม่ชอบความรู้สึกที่ต้องมารับรู้เรื่องของคนรักเป็นคนสุดท้าย 

ไม่ชอบเลย

“คุณยายโกรธมั้ยครับที่ตอนแรกคุณตาไม่ยอมบอก”

“จะเหลือเหรอ”

แกหัวเราะชอบใจ

“แต่ก็เข้าใจตาแกนะ ว่าแกคงห่วง กลัวยายจะคิดมาก”

“ห่วงงั้นหรือครับ”

“คนรักกันน่ะ เรื่องแบบนี้มันเรื่องปกติที่จะเข้าใจกันผิดได้ ก็เรามองกันคนละมุม ก็เขาห่วงกลัวเราจะคิดมากไปกับเขา ขณะที่เราเองก็ห่วงกลัวจะไม่ได้ดูแลเขา”

“...”

“ง่ายๆ ก็คือ ต่างฝ่ายต่างห่วงกัน เพียงแต่มองกันคนละมุม”

ผมเม้มปากแน่น

พี่เซียนเองก็คงห่วงกลัวว่าผมจะคิดมากเหมือนกันมั้ง ขณะที่ผมเองก็ห่วงกลัวว่าเขาจะเจ็บป่วยไปโดยไม่มีคนดูแล

เพียงแต่จังหวะที่ผมไปหาอีกฝ่ายเป็นจังหวะนรกที่บังเอิญรักแรกของพี่มันอยู่ด้วย

เฮ้อ

ความรักนี่หนอ น่าปวดหัวชะมัด

“คุณตาน่ะเขารู้ว่ายายโกรธที่เขาไม่ยอมบอก เขาก็มาสารภาพ ตอนนั้นนะ ทั้งน่าสงสารทั้งน่าโกรธจริงๆ”

“แต่สุดท้ายคุณยายก็หายโกรธใช่มั้ยครับ”

“หายสิ ก็รักเขาไปแล้วนี่”

ยายแกยิ้มจนเห็นเหงือก

“พอคุณตามาสารภาพยายเลยบอกแกว่า คนรักกันน่ะความเชื่อใจสำคัญที่สุด ในเมื่อเราเป็นคนๆ เดียวกันแล้ว จะทุกข์จะสุขเราต้องรับรู้และจับมือผ่านมันไปด้วยกัน”

“แล้วถ้าวันหนึ่งความเชื่อใจถูกทำให้สั่นคลอนล่ะครับ”

“จะยากอะไร ก็หันหน้ามาคุยกันสิ คิดคนเดียว แก้คนเดียวมันจะเรียกว่าคู่ชีวิตหรือลูก”

ใช่เราต้องคุยกัน

ในตอนที่อารมณ์หนักหน่วงผ่อนคลายลงเวลานั้นเราคงคุยกันด้วยเหตุผล

ไม่แปลกเลยที่ผู้สูงวัยคู่นี้จะครองรักกันมากว่าชั่วชีวิตแล้ว  ทั้งการกระทำและคำพูดนั่นเป็นเครื่องยืนยัน ดูเอาเถอะขนาดคุณยายจะดื่มน้ำคุณตายังกุรีกุจอไปซื้อมาให้ไม่พอยังแทบจะป้อนให้ถึงปาก พอคุณยายดีขึ้นก็พากันจับมือเดินเคียงกันไปโน่น  ถึงแม้จะยินเสียงบ่นไปตลอดทางแต่ผมสัมผัสได้ว่าเนื้อความนั้นเต็มไปด้วยความรักความห่วงใย

นี่แหละคนรักหรือคู่ชีวิต

มีทั้งทุกข์และสุข สมหวังและผิดหวัง แต่ก็จับมือเดินเคียงกันไป

 

 
- J E E B  -

 

 

“เปียว”

ผมสะดุ้งโหยงเพราะเดินคิดอะไรเพลินๆ อยู่ และไม่ทันสังเกตว่าตรงหน้าหอนั่นไอ้โต้งกับพี่อุ้มกำลังทำสีหน้าร้อนรนกระวนกระวายใจอยู่

“มึงหายไปไหนมาวะ กูโทรไปเป็นสิบรอบก็ไม่รับ”

เหรอวะทำไมไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์เลย ผมทำหน้างงๆ ล้วงไปในกระเป๋าแล้วเพิ่งถึงบางอ้อ

“แบตกูหมดว่ะ”

ยื่นหลักฐานที่หน้าจอดำสนิทไปให้มันดู ไอ้โต้งถอนหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้ามันดูเคร่งเครียดยังไม่ทันที่จะถามอะไรก็ถูกเพื่อนสนิทรวบตัวไปกอด

“มึงโอเคมั้ยเปียว”

ผมพยักหน้าหงึกหงักเข้าใจความห่วงใยของเพื่อนสนิท แต่พอมองเลยไหล่กว้างไปผมเห็นคนรักรุ่นพี่ยืนกอดอกหน้าเครียดอยู่ไม่ไกล ผมตบบ่าไอ้โต้งแล้วผละออก 

“พวกกูเป็นห่วงมึงมากนะเปียว”

พี่อุ้มพูดเสียงเครียดมองตามสายตาผมไป

“มันโทรหากูจนสายแทบไหม้ ถามว่ามึงถึงหอรึยัง”

พี่เซียนขยับเข้ามาใกล้ผมอย่างรวดเร็ว

“หายไปไหนมา”

พี่เซียนถามเสียงเครียด ท่าทางพี่มันดูกังวลใจไม่น้อย สายตาพี่มันมองสำรวจร่างกายผมเต็มไปด้วยความห่วงใย

“พี่เป็นห่วงมาก เปียวติดต่อไม่ได้เลย”

“แบตผมหมดครับ”

“แล้วเราไปไหนมา พี่มารอที่หอตั้งนาน”

“ผมแวะไปนั่งเล่นที่สวนสาธารณะมาครับ”

พี่เซียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะรวบตัวผมไปกอดไว้ เพราะสัมผัสร่างกายกันตรงๆ แบบนี้ผมเลยนิ่วหน้าเนื่องจากรับรู้ได้ถึงไอร้อนผ่าวที่พุ่งออกมาจากตัวพี่มัน

พี่เซียนกำลังไข้ขึ้น

ผมแตะหลังมือที่หน้าผากเพื่อเช็คอุณหภูมิร่างกาย

“กลับไปนอนพักเถอะครับ”

พี่เซียนกอดเอวผมไม่ปล่อย

“พี่กำลังไข้ขึ้นรู้ตั้วมั้ยเนี่ย”

“กูกินยาแล้ว”

ผมส่ายหน้าไปมาก่อนจะปัดแขนที่โอบเอวตัวเองเอาไว้ ก่อนจะหันไปคุยกับพี่อุ้ม

“ฝากพี่พาคนป่วยไปส่งที่คอนโดหน่อยนะครับ”

“กูไม่กลับ”

“แต่วันนี้ผมอยากพักผ่อน”

ผมกอดอกมองหน้าพี่มัน

“ถ้าวันนี้พี่กลับไปกินยานอน พรุ่งนี้ผมจะยอมคุยด้วย”

“เปียว พี่รู้พี่ผิด พี่ขอโทษ”

ผมพยักหน้ารับ

“ผมไม่ได้โกรธแล้ว”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่

“แต่ผมห่วงรู้มั้ย พี่ตัวร้อนมากนะ กลับไปนอนพักก่อนนะ”

“นอนหอมึงไม่ได้หรอ”

ผมส่ายหน้าหวือ

“คนป่วยงอแง ผมไม่คุยด้วยแล้ว”

ผมแข็งใจหันหลังเดินกลับเข้าหอไป แต่มีแวบหนึ่งแอบเอี้ยวตัวมองไปด้านหลังเห็นพี่เซียนทำหน้าเหยเกดูท่าพิษไข้จะเล่นงานไม่น้อยเลยล่ะ

เฮ้อ

ยอมรับว่าห่วงมาก

แต่อีกใจก็อยากอยู่เงียบๆ คนเดียวสักคืนก่อน

.

.

“พี่เซียนไม่ยอมกลับ”

ผมเบะปากทันทีที่อาบน้ำเสร็จแล้วเดินออกมาไอ้โต้งซึ่งเดินตามผมเข้าห้องมาด้วยตอนเข้าหอมาโพล่งขึ้น 

“แล้ว”

“พี่กูนอนอยู่ในรถใต้หอ”

“ว่าไงนะ”

ผมตาเหลือกเพราะนึกว่าอีกฝ่ายจะขึ้นมานอนที่ห้องพี่อุ้มเพื่อนสนิทซะอีก

“พี่อุ้มชวนขึ้นมาแล้ว”

“...”

“แต่พี่เซียนไม่ยอมขึ้นมาว่ะ บอกจะรอมึง”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินไประเบียงพอเปิดประตูออกไป รถของพี่เซียนจอดใต้หอผมจริงๆ ว่ะ

แม่ง

คนป่วยอะไรทำไมดื้อแบบนี้วะ

ผมขยี้หัวตัวเองแรงๆ ก่อนจะทำทีไปเดินคว้าเอาชีทเรียนมาอ่าน ท่ามกลางสายตาฃเอือมระอาของไอ้โต้ง

“พี่มันเป็นไข้นะมึง”

“อือ”

“ไข้กำลังขึ้นด้วย”

“ก็กูบอกให้เขากลับไปพักที่คอนโดแล้วนี่”

“มึงก็รู้ว่าเขามาง้อมึง”

“...”

“จะใจแข็งไปไหนวะ”

“...”

“พี่เซียนไม่ได้อยู่กับอาจารย์มัสลินสองต่อสองนะเว้ย จริงๆ พี่เดียวก็อยู่ด้วย แต่พี่แกกลับไปเก็บหนังสือที่ห้องจังหวะที่มึงมาพอดี อีกอย่างที่อาจารย์มัสลินรู้ว่าพี่เซียนป่วยเพราะบังเอิญวันก่อนมีเลี้ยงข้าว พี่เซียนไม่ได้บอกใครด้วยซ้ำว่าไม่สบาย”

“...”

“เฮียกูอาจจะผิดที่ไม่บอกมึง แต่เขากลัวมึงเป็นห่วงนะเว้ย”

“...”

“ก็ช่วงนี้มึงว่างซะที่ไหน วิ่งวุ่นส่งข้าวช่วยรุ่นพี่แทบไม่มีเวลาว่างเลย พี่มันเลยไม่อยากกวนมึง”

“แต่เรื่องแบบนี้สำหรับคนรักกัน มันไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยว่ารบกวนกันหรอกนะ”

ไอ้โต้งขยี้ศีรษะตัวเองแรงๆ

“เออแล้วแต่มึงแล้วกัน”

“...”

“แล้วโทรศัพท์มึงอ่ะ หัดเช็คซะบ้างนะ”

พูดจบมันก็เปิดประตูเดินออกไป ไม่นานก็ได้ยินเสียงประตูห้องพี่อุ้มเปิดขึ้น ไอ้เพื่อนเวรมันคงเข้าห้องลุงรหัสผมไปแล้ว

ผมถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะนอนแผ่ตรงกลางเตียงอย่างหมดแรง สายตาก็เหลือบมองมือถือที่เสียบชาร์ตไฟที่หัวเตียง เลยเอื้อมมือไปกดเปิดเครื่องไม่นานหลังจากนั้นสารพัดข้อความซึ่งเป็นการแจ้งเตือนจากมือถือก็ดังไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่จะเป็นแจ้งเตือนว่าช่วงเวลาที่มือถือผมดับมีใครโทรเข้ามาบ้าง

และแจ้งเตือนจากเฟซบุ๊ค

หือ?

ผมกดเข้าไปแล้วทำหน้าไม่ถูก

 

SakanSian 

พี่ขอโทษครับ สำนึกผิดแล้ว รับโทรศัพท์พี่หน่อย @Piao.pannakit

 

เพจทวงคืนเซียนศกัณฐ์จากเปียวปัณณกิต น้องเปียวรับสายพี่เซียนหน่อยคนดี

แมนวังหินซิ่งเบาะปลิว ละแมะ ละแมะ ไม่ว่างจริงๆ 

Tichob_tichob อะหรือ อะหรือว่ามีคนอื่น

Sai_darin ฉันเกลียดการต่อเพลงนี้ 

จะชงจนกว่าจะได้พี่เซียน ถ้าน้องเปียวไม่สนใจ มาหาน้องเปรตทางนี้ได้นะคะ

Onlyพี่เซียนวิศวะฯ
  ไม่เอาๆ ไม่งอนกันน้า ดีกันนะคะ

กานซานเป็นเมียพี่เซียน
  รอรับสายพี่ทั้งคืน ไม่มีมิสคอลเลยงองมากแม่ / อุ้ยลืมไป ฉันไม่ได้ชื่อเปียว 

 

 

ผมไล่อ่านความคิดเห็นแล้วเผลอยิ้มออกมา เวลาที่โพสคงเป็นตอนเดียวกับที่ผมนั่งคุยกับคุณตาคุณยายที่สวนสาธารณะแน่ๆ ไม่รู้ว่าช่วงเวลานั้นที่ถูกตัดขาดจากโลกโซเชียลเพราะแบตหมดจะทำให้ใครคนนั้นวิ่งวุ่นสักแค่ไหน พี่อุ้มเล่าว่าพี่เซียนมาหาผมที่หอไม่เจอก็ไปหาที่คณะและสนามบอลอยู่ตั้งหลายรอบ

ป่วยอยู่แท้ๆ ยังไม่ห่วงตัวเองด้วยซ้ำ

ผมเม้มปากแน่นนึกถึงคนป่วยที่ป่านนี้คงนอนซมอยู่ในรถ

แย่มาก

โคตรแย่เลย

ผมห้ามใจตัวเองไม่ไหวผุดลุกขึ้นแล้วลากแตะหนีบวิ่งลงไปใต้หอทันที ตอนที่ไปถึงรถไปพี่เซียนจอดสนิท เปิดกระจกฝั่งคนขับลงเล็กน้อย ผมเกาะกระจกมองใบหน้าคนขับที่คงหลับสนิทเพราะอ่อนเพลียจากพิษไข้

ก๊อกๆ

เคาะกระจกรถพี่มันเบาๆ ไม่กี่ครั้ง พี่เซียนก็สะดุ้งตื่น พอพี่มันเห็นหน้าผมก็ยิ้มกว้างก่อนเปิดประตูออกมา

“ระวัง”

พี่เซียนเซเล็กน้อยจนผมต้องประคอง

“ขึ้นไปนอนห้องผม”

“ครับ”

พี่เซียนเดินตามผมอย่างว่าง่าย พอถึงห้องก็ทำตัวเหลวทิ้งตัวลงนอนที่เตียงผมทันที 

“ถ้าง่วงก็หลับซะ อย่าฝืน”

ผมบิดผ้าเช็ดหน้าเช็ดไปตามใบหน้าอีกฝ่ายเบาๆ

“ตื่นมาแล้วจะเห็นหน้ามึงรึเปล่า”

“...”

“จะไม่หนีหน้ากูแล้วใช่มั้ย”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ

“ขอโทษที่ทำให้มึงเสียใจ”

พี่เซียนเอื้อมมือมาเกลี่ยใบหน้าผมเบาๆ

“แค่น้อยใจนิดหน่อย”

“นั่นแหละ”

“...”

“ที่มึงรู้สึกแย่ๆ วันนี้ความผิดกูทั้งหมด”

“อื้อ”

“กูไม่รู้ว่าอนาคตจะทำให้มึงเสียใจอีกมั้ย มันบอกไม่ได้เลยว่าเราจะมีวันแย่ๆ แบบนี้อีกหรือเปล่า แต่ตอนนี้กูรู้แล้วว่ากูควรใส่ใจและให้เกียรติความรู้สึกมึงมากกว่านี้ เรื่องนี้กูผิดจริงที่คิดน้อย กูขอโทษ”

ผมอมยิ้มแก้มตุ่ย

“ตาจะปิดอยู่แล้ว นอนเถอะ”

“อื้อ”

“สัญญากับผมได้มั้ย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามผมอยากได้ยินจากปากพี่ ผมไม่อยากเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่องของพี่ มันเจ็บนะ”

“หายเจ็บใจ”

พี่เซียนผุดลุกขึ้นแล้วชะโงกตัวเอาริมฝีปากแตะที่หน้าอกด้านซ้ายของผมเบาๆ

ผมยิ้มน้อยๆ นั่งสางผมพี่เซียนที่นอนซุกตักผมเล่นจนพี่มันตาปรือและหลับไป โดยที่มือข้างหนึ่งของพี่เซียนยังจับมือผมอยู่ ใบหน้าคมคายที่หลับสนิททำให้หวนนึกถึงความคิดเห็นหนึ่งในสเตตัสล่าสุดของพี่เซียน

 

 
SakanSian 

พี่ขอโทษครับ สำนึกผิดแล้ว รับโทรศัพท์พี่หน่อย @Piao.pannakit

 

Daranee พี่เซียนกับน้องเปียวคือคู่จริงหรือคู่จิ้นคะ


SakanSian @Daranee
คู่จริงครับ

 


TBC.

ยิ้มส่งท้ายกับอีก 2 ตอนสุดท้ายเด้อ ยังไง ฝากคอนเมนต์และหวีดติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ชื่นใจหน่อยค่ะ


ออฟไลน์ manami_01

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 980
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-1
กรี๊ดหวานเว่อ น้องเปียวพี่เซียนอย่าโกรธกันนานคนอ่านใจไม่ดี  :mew4:
แต่พอเขาหวานเบาหวานจะกิน :o8:

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
เข้าใจกันดีแล้ว  เย้
ขอหวานๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ [Karnsaii]

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +523/-17
 

- จีบที่ 24 -

 

“ตื่นแล้วก็ลุกเถอะครับ”

ฝ่ามือหนาที่กำลังสางผมเล่นอยู่เลื่อนมากระชับหัวไหล่ผมให้แน่นไปอีก นอกจากคนถูกทักท้วงจะไม่ยอมลุกง่ายๆ แล้วพี่มันกลับโอบรัดผมแน่นขึ้นดึงให้เนื้อตัวเราแนบชิดกันมากขึ้น มือหนาเปลี่ยนจากสางผมไปลูบแผ่นหลังผมเล่นแทน ตอนนี้ฟ้ายังไม่สางเลย ผมจึงแนบใบหน้าไปกับแผ่นอกที่ขยับขึ้นลงของพี่มัน เนื้อตัวพี่เซียนคลายความร้อนลงแล้วคาดว่าพิษไข้คงเริ่มคลายลง ใบหน้าคมคายที่ซีดเซียวเมื่อคืนกลับมีสีสันมากขึ้น

ไม่หายไข้ยังไงไหว ก็ผมนั่งเช็ดตัวให้เกือบทั้งคืน เพิ่งจะได้งีบหลับไม่นานนี้เอง ตอนนี้ผมเลยรู้สึกเพลียจนตาแทบปิดเพราะนอนไม่อิ่ม 

“มึงยังง่วงอยู่ไม่ใช่เหรอ”

“อื้อ”

ผมหาววอดๆ แล้วเอียงใบหน้าไปนอนซบที่ซอกคอหามุมที่คิดว่าตัวเองสบายที่สุด พี่เซียนคลายอ้อมกอดที่รัดออกหลวมๆ ทำให้ไม่อึดอัด แต่มือหนายังทำหน้าที่ลูบแผ่นหลังผมอยู่ สัมผัสเบาๆ จากฝ่ามืออุ่นๆ นั่นเหมือนการกล่อมนอน ไม่นานหลังจากนั้นผมก็ผล็อยหลับไปอีกครั้ง

“ขอบคุณที่เช็ดตัวให้กูทั้งคืนนะ”

เสียงทุ้มกระซิบเบาๆ พร้อมกับสัมผัสอบอุ่นที่หน้าผาก


.


.


ผมหลับไปอีกพักนึง ตอนที่ตื่นขึ้นมาม่านตรงระเบียงถูกเปิดออกเล็กน้อย พระอาทิตย์ขึ้นขอบฟ้าแล้วแสงของมันจึงสาดส่องเข้ามาในห้องดูเป็นเช้าที่สดใส ผมคลึงขมับตัวเองแล้วขยับตัวลุกบิดขี้เกียจ คนป่วยที่นอนร่วมเตียงกันมาทั้งคืนไม่อยู่แล้ว พอเงี่ยหูฟังดีๆ ผมได้ยินเสียงจากห้องน้ำจึงเบาใจลง ตอนที่เอื้อมมือไปเช็คโทรศัพท์นั่นแหละคนในห้องน้ำก็โผล่ออกมา

ใบหน้าคมคายเต็มไปด้วยหยาดน้ำ ร่างกายส่วนบนเปล่าเปลือยเห็นมัดกล้ามเนื้อชัดเจน ส่วนล่างมีกางเกงวอร์มเอวต่ำมากจนเห็นขนใต้สะดือที่ไล่ลงไปเรื่อยแล้วหายลับไปในกางเกงพาให้แก้มทั้งสองข้างร้อนวูบวาบ ในอกคันยุบยิบจนต้องเบือนหน้าหนี

“มึงมองนานกว่านี้ กูจะเก็บค่ามองแล้วนะ”

ผมแบะปากใส่พี่มันทันที

“ใส่เสื้อได้แล้ว เดี๋ยวก็เป็นปอดบวมตายหรอก เพิ่งหายไข้แท้ๆ ดันไปอาบน้ำซะนี่”

“มันร้อน”

 ฤทธิ์ยาคงขับให้เหงื่อออกแหละ คาดว่าตอนนี้พี่เซียนคงดีขึ้นมากแล้ว แต่เล่นไปอาบน้ำตอนเช้าขนาดนี้ผมก็อดกังวลว่าพี่มันจะไข้กลับน่ะสิ ผมส่ายหัวก่อนจะเดินลากปลายเท้าไปควานหาเสื้อยืดในตู้มายื่นให้พี่มัน   

“ใส่เสื้อเลย เดี๋ยวไข้กลับ”

พี่มันรับไปใส่ทันที จังหวะนั้นผมได้โอกาสแอบมองพี่เซียนใส่เสื้อยืด เอาจริงวิธีการสวมใส่ของแต่ละคนไม่เหมือนกันบางคนสวมที่แขนก่อนสวมหัว แต่บางคนสวมหัวก่อนแล้วจึงใส่แขน แต่ผมชอบอย่างหลังมากกว่า เพราะจังหวะการเคลื่อนไหวร่างกายแบบสวมหัวก่อนมันยังไงไม่รู้ ดูแล้วรู้สึกว่ามันเท่ดีในสายตาผม  ผมแอบมองอยู่พักหนึ่งก่อนจะแวบไปล้างหน้าแปรงฟัน 

“อ๊ะ”

ผมสะดุ้งโหยงตอนที่เดินผ่านพี่มันแล้วถูกคว้าเอวผมไปกอด

“โอ้ย”

จะหันไปต่อว่าอีกฝ่ายก็ถูกกระตุกให้ทรุดตัวนั่งลงตักอีกฝ่าย

“ทำอะไรเนี่ย”

ฟอด เต็มๆ แก้มซ้ายเลย 

ไรหนวดเหนือริมฝีปากของพี่เซียนซุกไซร้ซอกคอชวนให้จักจี้ไม่น้อย ผมหลุดขำก่อนจะเบือนหน้าหนีเพราะความรู้สึกยุบยับที่กำลังยุ่มย่ามตามใบหน้าตอนี้

“งื้อ”

คนที่ทำตัวต่างเบาะรัดผมแน่นขึ้นก่อนจะไล่ริมฝีปากมาประกบจูบที่ริมฝีปากผม แรกๆ ก็แตะทีเล่นทีจริงคล้ายกับจะแกล้ง แต่พออารมณ์ได้ที่ก็กลายเป็นจูบที่แนบสนิทมากขึ้น

“พะ พี่”

“มึงแม่ง”

พี่เซียนกระซิบชิดริมฝีปาก

“หน้าโคตรยั่ว”

ผมปรือตาหอบฮักๆ เพราะหายใจไม่ทัน 

“Do you know french kiss?”

ผมส่ายหน้าหวือ พี่เซียนยิ้มเอ็นดูมือหนาข้างหนึ่งคลึงขอบปากผมเบาๆ

“Let me teach you”

“อะไร”

อะไรคิสๆ วะ ผมรู้สึกว่าหัวสมองหมุนติ้ว ปลายนิ้วเรียวของพี่เซียนสางไปตามเส้นผมแล้วคลึงศีรษะผมเบาๆ ชวนให้ผ่อนคลาย ใบหน้าคมคายโน้มลงมาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย

“open your mouth”

ผมเผลอเปิดปาก

“good”

“อื้อ”

“good boy”

“อ๊ะ”

ผมสะดุ้งโหยงตอนที่ริมฝีปากพี่เซียนแทรกเข้ามาในปากแล้วดูดดึงเกี่ยวปลายลิ้นเล่นคล้ายจะหยอกกัน ความรู้สึกร้อนวูบวาบแล่นไปทั่วร่างกาย ยิ่งตอนที่แผ่นหลังสัมผัสกับเตียงเพราะถูกดันตัวให้ล้มลงนอนราบโดยที่อีกฝ่ายขยับกายขึ้นมาคล่อมทับ

“เปียว”

“อื้อ”

แววตาของพี่เซียนคล้ายกับหลุมดำที่ดึงดูดให้ผมตกหลุมพลาง ในอกผมวาบหวามบอกไม่ถูกยิ่งสบสายตากับพี่เซียนในระยะประชิดเช่นนี้  ผมเห็นความปรารถนาในแววตาคู่นี้ ความรู้สึกที่ทำให้รู้สึกปวดหน่วงที่ช่องท้อง สติผมคงเตลิดไปไกล จนกระทั่งสัมผัสจากฝ่ามือหนาที่ล้วงเข้ามาในเสื้อนอนแล้วสะกิดตรงยอดอกผมเบาๆ

“อ๊ะ”

มือร้ายกาจขยี้ยอดอกไม่เบามือนัก ขณะเดียวกันริมฝีปากก็ยังทำหน้าที่ได้ดีด้วยการไล่เลาะไปตามใบหน้าและไล่ลงมาที่ซอกคอและหัวไหล่  มือผมปะป่ายไปทั่วจนกระทั่งพี่มันรวมมือผมไปจับเอาไว้ด้วยมือเดียว   

“พี่”

“ครับ”

“ผะ ผม”

ผมไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกตอนนี้มันคืออะไร บอกไม่ถูก ทั้งร้อน ทั้งหวั่นไหว ทั้งกระหายอยากและขัดเขิน ทุกอย่างมันปั่นป่วนไปหมด ชวนให้มึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก พี่เซียนกดยิ้มมุมปากแล้วขยับมาจูบซับที่ขมับอย่างนุ่มนวล ก่อนจะคว้ามือข้างหนึ่งของผมไปแปะที่กึ่งกลางร่างกายของตัวเอง

“พี่เซียน”

ผมหน้าตื่นรีบถอยมือกลับ แต่พี่มันยังจับมือผมไม่ยอมปล่อย ไม่ต้องส่องกระจกผมก็คาดเดาสีหน้าตัวเองได้ว่าใบหน้าคงร้อนผ่าวและแดงก่ำขนาดไหน แทบจะกลั้นลมหายใจเมื่อสัมผัสได้ว่ากึ่งกลางร่างกายพี่มันพองตัวและร้อนผ่าว

ปฏิกิริยานั้นบ่งบอกว่าอีกฝ่ายกำลังต้องการ

พี่เซียนมีอารมณ์

ส่วนผมเอง...

“อ๊ะ”

ก็โคตรมีอารมณ์

“ว่าไงเด็กดี”

“...”

“มึงตัวสั่น”

ไม่ใช่สั่นธรรมดา แต่โคตรสั่นเลย สั่นจนพี่มันต้องกอดเอาไว้เบาๆ 

“พี่”

ผมละล้ำละลักเรียกชื่ออีกฝ่าย

“ชูว์ ใจเย็นๆ”

พี่เซียนหยุดมือข้างที่ระรานร่างกายผมเปลี่ยนเป็นลูบหลังผมคล้ายจะปลอบ

“ไม่เป็นไร”

“อื้อ”

“ถ้ามึงไม่พร้อม...”

ผมส่ายหน้าหวือรีบซุกใบหน้าตัวเองไปที่แผ่นอกพี่มันแล้วถูใบหน้าไปมา

“ผมไม่ได้รังเกียจพี่นะ”

“กูรู้”

พี่เซียนลูบศีรษะผมเบาๆ

“แต่ แต่ร่างกายผมเป็นอะไรไม่รู้”

ผมพูดเสียงสั่น

“ใจเย็นๆ”

“มันสั่นไม่หายเลย”

ผมทำหน้าเหมือนจะร้อง พี่เซียนเลยหัวเราะออกมา

“ไม่เป็นไร”

“...”

“รอให้มึงพร้อม”

“ตอนนี้ก็พร้อมเหอะ”

ผมคว้าปากตัวเองไม่ทันจึงโพล่งออกไปแบบนั้น พอหลุดปากไปแล้วจึงหลับตาปี๋หนีอายด้วยการซุกไปที่อกกว้าง 

พูดได้ไงวะ

ไอ้เปียว มึงพูดไปแล้วว่าอยากเสียตัว ห่าเอ้ย

“มึงนี่มัน”

พี่เซียนทั้งขำทั้งมันเขี้ยวจึงบีบแก้มผมเล่น

“รู้ตัวมั้ยว่าพูดอะไรออกมา”

“แมวพูด”

ผมปฏิเสธรัวๆ

“แมวตัวที่นอนซุกกูนี่อ่ะเหรอ”

ผมแกล้งเงียบ พี่เซียนคลึงไหล่ผมเล่น

“มึงเข้าใจความหมายของคำว่าพร้อมมั้ยเปียว”

“...”

“ไม่ใช่แค่พร้อมทั้งกายและใจนะ”

“...”

“ความหมายตรงๆ คือมึงพร้อม...”

ผมผวาปิดปากพี่เซียน ฝ่ายนั้นเลยจูบฝ่ามือผมทีนึง สายร้อนแรงนั่นทำเอาผมตัวสั่นขึ้นมาอีกครั้ง พี่เซียนยิ้มร้ายๆ ก่อนจะขยับมากระซิบข้างหูต่อท้ายคำพูดนั้นให้สมบูรณ์

“แม่ง”

ผมทำหน้าฮึดฮัดใส่อีกฝ่าย ก่อนจะผวาลุกหนี ท่ามกลางเสียงหัวเราะของพี่เซียนที่ไล่หลังมาติดๆ ผมซอยเท้าหนีเข้ามาในห้องน้ำ ครั้งนี้ผมเห็นสีหน้าที่ปรากฏในกระจกแล้วยืนอึ้ง ใบหน้าแดงก่ำเต็มไปด้วยอารมณ์และความต้องการ ทั้งสีหน้าและแววตา

แม่งเอ้ย

โคตรแรดเลยไอ้เปียว

ผมขยี้ศีรษะตัวเองแรงๆ แล้วหวนนึกถึงคำพูดที่พี่เซียนกระซิบข้างหูเมื่อกี้

‘ความหมายตรงๆ มันคือมึงพร้อมจะเป็นเมียกู’

เมีย

เมีย

เมียพ่องงงงง

ห่าเอ้ย...หัวใจเต้นแรงมาก


.


.


เช้าวันนั้นผมกับพี่เซียนเดินมาหาอะไรกินแถวร้านใกล้หอ ผมเลยพาพี่มันไปกินร้านไข่กระทะร้านโปรดของผม นอกจากขายไข่กระทะแล้วยังมีเมนูข้าวต้มและอาหารง่ายๆ แต่อร่อยสุดๆ ดีว่าวันนี้คนไม่เยอะเท่าไหร่ ปกติผมไม่เคยได้นั่งกินในร้านหรอก เพราะโต๊ะไม่พอนั่ง เช้าๆ อย่างนี้มีลูกค้าค่อนข้างหนาตา เลยต้องซื้อไปกินที่หอประจำ แต่วันนี้ท่าจะฤกษ์ดีถึงมีที่นั่ง

หลังจากสั่งเมนูที่ชอบให้ตัวเองและพี่มันไปแล้ว  รอไม่นานของกินที่ต้องการก็มาเสิร์ฟ ท่าทางพี่เซียนดูจะชอบใจไม่น้อยถึงแม้จะไม่ได้เอ่ยปากอะไรแต่ผมเห็นพี่มันยิ้มพอใจนิดๆ พี่มันคงไม่รู้ตัวว่าขนาดใส่เสื้อบอลกับกางเกงบอลเก่าๆ ผมไม่เซ็ท หน้าก็สดมานั่งกินข้าวเช้าสภาพชิลขนาดนี้ นิสิตสาวโต๊ะข้างๆ กันยังแอบมองขนาดนี้

หมั่นไส้ว่ะ

“ทำหน้าอะไรของมึง”

พี่เซียนเงยหน้าจากจานข้าวมาหรี่ตามองซึ่งผมเพียงแค่ยักไหล่ ก่อนจะมองไปรอบๆ แล้วสะดุดตากับคนคู่หนึ่ง 

“พี่อุ้ม”

ผมโบกมือทักทายพี่อุ้มและหันไปยิ้มแปลกๆ ให้ไอ้โต้งที่เดินเคียงข้างลุงรหัสผมมาด้วย

เดี๋ยวนะ

ผมจำได้ว่าเมื่อคืนไอ้โต้งอยู่ห้องพี่อุ้ม นี่อย่าบอกนะว่า

“เมื่อคืนมึงนอนห้องพี่อุ้มเหรอ”

ผมหันไปกระซิบกระซาบไอ้โต้งตอนที่สองคนนั้นเดินมานั่งร่วมโต๊ะ ไอ้เพื่อนเวรนอกจากจะไม่ตอบคำถามแล้วยังยักไหล่ทำท่ามีลับลมคมใน

“กูไปซื้อน้ำก่อนนะ”

พี่อุ้มลุกไปซื้อน้ำ ขณะที่เพื่อนผมเดินไปสั่งข้าว ผมมองตามทั้งคู่ไปแล้วหันมาสบตากับพี่เซียนที่หันมาทางนี้พอดี

“แปลกๆ”

“ใช่”

“สองคนนั้นต้องมีซัมธิงแน่ๆ”

“กูหมายถึงคอมึง”

“เกี่ยวอะไรกับคอผม”

ผมทำหน้างง

“คอมึง...” พี่เซียนชี้นิ้วไปยังต้นคอผม “มีรอยดูด”

“เชี่ย”

ผมตาเหลือกรีบตะปบต้นคอตัวเอง

“ระ รอยใหญ่มั้ย”

พี่เซียนพยักหน้าหงึกหงัก

“แล้วทำไมไม่บอกผมวะ” ผมทึ้งศีรษะตัวเองแรงๆ คว้าเอาคอเสื้อมาปิดรอยดังกล่าว “พี่แม่ง เพราะพี่คนเดียวเลย”

“แน่สิ”

พี่เซียนรับคำยิ้มๆ

“ใครจะดูดคอมึงได้นอกจากกู”

“โว้ย”

ผมค้อนให้พี่มันแล้วขยุ้มคอเสื้อตัวเองอยู่อย่างนั้นจนไอ้โต้งเดินกลับมา มันมองท่าทางประหลาดของผมแล้วแสยะยิ้ม

“คอมึงเป็นไร”

“กูนอนตกหมอน”

“จริงเปล่า”

ไอ้เพื่อนเวรแกล้งหรี่ตาจับผิด ผมเลยเนียนทำไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะรู้สึกถึงเงาดำขยับมาใกล้แล้วไอ้โต้งก็กระชากมือที่ปิดต้นคอของผมออก

“เชี่ย”

ผมตาเหลือก

“ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่หว่า”

“ฮะ”

ผมหันขวับไปมองหน้าพี่เซียน ซึ่งฝ่ายนั้นเพียงแค่ยักไหล่ให้

“พี่แกล้งผมเหรอ”

พี่มันยิ้มกลายๆ เป็นการยอมรับ

“นิสัยว่ะ”

ผมค้อนให้ทีนึง นึกโล่งใจที่ไม่มีร่องรอยหลักฐานประจานตัวเองต่อหน้าคนอื่น โดยเฉพาะคนอื่นที่ขี้แซวแบบไอ้ห่าโต้งนี่ด้วย

“กลัวกูจะเห็นว่าพี่เซียนทำรอยที่คอมึงเหรอ”

ผมตาโตอ้าปากค้างเลย อิห่าโต้งเดาแม่นเกินไปแล้ว ผมแกล้งทำเนียนไม่ตอบมัน แต่เพราะมันเล่นจ้องเอาจ้องเอาแบบนี้ ใบหน้าผมจึงขึ้นสีแดงก่ำเป็นคำตอบ

“เลิกแกล้งแฟนกูได้แล้วไอ้โต้ง”

พี่เซียนเอ่ยปรามน้องคณะตัวเอง

“โธ่เฮีย แฟนเฮียก็เพื่อนผมเถอะ”

“นั่นแหละ กูแกล้งได้คนเดียว”

ผมหันไปแลบลิ้นใส่ไอ้โต้ง และยิ้มแยะใส่มันด้วย

“ส่วนมึง”

พี่เซียนบีบแก้มผมเบาๆ

“ทำไมอ่ะ”

“อย่ายิ้ม...”

ผมทำหน้างง

“อย่ายิ้มเยอะ...”

“...”

“กูจ้อง’ฟัน’ มึงอยู่”

“ฟันที่เป็นนาม”

ไอ้โต้งสอดปากถาม พี่เซียนหันมามองหน้าผมแล้วพูดยิ้มๆ ว่า

“ฟันที่เป็นกิริยาดิ”

เลว

เลวมาก

ผมเขินจนจะมุดโต๊ะ พอเพราะจังหวะนั้นพี่อุ้มแม่งเดินกลับมาพร้อมน้ำในมือพอดี พี่มันเลยขำก๊ากไม่ต่างจากไอ้โต้งที่ถึงกับยกนิ้วโป้งให้ไอ้พี่เซียน

แม่งเอ้ย

ผมหน้าร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อเช้าที่ทำร่วมกับพี่เซียน

ฟันแบบกิริยาห่าอะไรล่ะ

ผมไม่ยอมง่ายๆ หรอก ฮึ้ยย เมื่อเช้าก็แค่เผลอปากไปว่าพร้อมก็เท่านั้นเอง ผมไม่มีสติเหอะ จริงๆ นะ

 

- J E E B-

 

[โต้ง]

 

ผมไม่รู้ว่าควรนิยามอารมณ์ตอนนี้ของผมว่ายังไงดี

การได้เห็นคนที่รักนั่งละเอียดเมนูที่ชอบ ได้ฟังเขาหัวเราะให้กับรายการตลกทางโทรทัศน์ หรือการที่อีกฝ่ายกำลังพันเทปคิเนซิโอเทป (Kinesio Tape) หรือที่พี่อุ้มอธิบายให้ผมเข้าใจง่ายๆ ว่าเทปบำบัดอาการบาดเจ็บ เพราะก่อนหน้านี้ผมลื่นล้มตรงสนามซ้อมคทากรดีว่าเป็นพื้นสนามหญ้า แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกปวดเข่าตุบๆ จนต้องขอพัก ระหว่างนั้นพี่อุ้มแวะมาหาที่ซ้อมพอดี พี่มันเห็นนั่งประคบน้ำแข็งอยู่อีกฝ่ายเลยคว้าเทปมีลวดลายขึ้นมาจับๆ คลำๆ ตรงหัวเข่าก่อนจะลงมือแปะเทป ผมไม่รู้ว่าวิธีการแปะแบบนี้คืออะไร ถ้าให้เดาคงไปตามลายกล้ามเนื้อที่ได้รับบาดเจ็บล่ะมั้ง

สีหน้าพี่อุ้มตอนที่แปะเทปให้ดูตั้งใจมากๆ อีกอย่างผมเห็นแววตาเป็นห่วงในสายตาคู่นี้ มันทำให้ผมใจฟูมากจริงๆ

“ทำไมชื่อเทปถึงฟังอยู่เหมือนค่ายรถของญี่ปุ่นล่ะครับ”

ผมชวนอีกฝ่ายคุย

“คนคิดค้นเป็นดร.ชาวญี่ปุ่น”

“อ๋อ”

ผมพยักหน้าหงึกหงัก

“แล้วมันต่างจากเทปทั่วไปยังไง หรือมียาช่วยลดอาการปวดในตัว”

พี่อุ้มส่ายหัว

“ไม่มีตัวยาอะไรหรอก”

“อ้าว”

คราวนี้พี่อุ้มเงยหน้าจากเข่าผมแล้วยิ้มน้อยๆ

“ผลลัพธ์มันอยู่ที่การติดเทปอย่างถูกวิธี”

ผมทำหน้างงกว่าเดิม

“ตามทฤษฎีเค้าว่าเทปมันติดเพื่อยกผิวหนังส่วนที่บาดเจ็บขึ้น เป็นการกระตุ้นการไหลเวียนของเหลวใต้ผิวหนังส่วนนั้น อีกอย่างมันพยุงข้อต่อด้วย”

พี่อุ้มพูดไปมือก็ติดเทปให้ผมไปด้วย

 “พูดง่ายๆ คือมันช่วยลดอาการปวด และบำบัดของอาการบาดเจ็บไปในตัว”

“...”

“มึงประคบน้ำแข็งมันก็ดีอยู่หรอก แต่อีกวันสองวันก็งานบอลแล้ว มึงคงพักส่วนที่เจ็บไม่ได้ อีกอย่างรุ่นพี่คทากรคงซ้อมมึงหนักแน่ๆ ช่วงนี้ พันเทปช่วยอีกทางแล้วกัน เทปมันยืดหยุ่นพอสมควร มึงจะได้เคลื่อนไหวร่างกายได้สะดวก”

“พี่ห่วงผมเหรอ”

ปลายนิ้วที่แตะเทปอยู่ชะงักไป เพราะผมไม่ได้คาดหวังกับคำตอบของพี่อุ้ม ผมถึงอึ้งไปเมื่อได้ยินเสียงงึมงำในลำคออีกฝ่าย

“อืม”

“อืมแปลว่าอะไรครับ”

ผมแกล้งถามอีกฝ่าย พี่อุ้มเงยหน้าจากหัวเข่าแล้วสบตาผม พอเห็นสายตาผมจับจ้องอยู่ฝ่ายนั้นก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น

“ถ้าโง่นัก ก็อย่ารู้เลย”

“เปลี่ยนเรื่องเก่ง โอ๊ย”

พี่อุ้มหยิกเนื้อตรงต้นขาผมทีหนึ่งแรงๆ

“เจ็บนะครับเนี่ย”

“มึงอยากโดนอีกข้างมั้ยล่ะ”

พี่อุ้มแบะปากใส่ ก่อนจะชะงักไปเมื่อผมมองอีกฝ่ายนิ่งเหมือนรอคอยคำตอบที่อยากได้ยิน

“เออ”

“...”

“กูห่วง”

ผมเอื้อมมือไปบีบมือพี่อุ้มข้างที่แตะหัวเข่าผมอยู่แล้วบีบเบาๆ ผมขอเข้าข้างตัวเองว่าแววตาสั่นไหวนั่นเป็นเพราะพี่อุ้มเป็นห่วงผม

“ผมดีใจโคตรๆ เลยรู้ป่ะ”

“อย่าทำตัวเองให้เจ็บอีก”

พี่อุ้มพูดเสียงสั่นมือนุ่มนิ่มลูบตรงที่เจ็บอย่างแผ่วเบา

“จะพยายามครับ”

“...”

“แล้วถ้าผมเจ็บอีกล่ะ”

ผมเกลี่ยแก้มขาวอย่างเอ็นดู

“พี่จะติดเทปให้ผมอีกมั้ย”

พี่อุ้มเม้มปากแน่น

“ติดสิ”

“...”

“จะติดจนกว่าจะหาย”

อดใจไม่ไหวแล้ว

ผมขอเอาแต่ใจตัวเองด้วยการโน้มใบหน้าไปใกล้แล้วกดจูบริมฝีปากอีกฝ่ายที่เงยขึ้นมารับพอดี ผมจับปลายคางพี่มันดันขึ้นแล้วบดริมฝีปากไล่เลาะไปตามขอบปากอย่างย่ามใจ นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่อ้อนจนอีกฝ่ายยอมให้ค้างด้วย ถึงแม้ผมจะนอนโซฟาแต่พี่มันนอนเตียงก็เถอะ

ผมคงต้องขอบคุณความยับยั้งช่างใจของตัวเองเมื่อคืนที่ผ่านมา เพราะตอนนี้ผมกำลังได้รับรางวัลที่โคตรคุ้มค่ากับความอดทนตลอดค่ำคืนที่ผ่านมา พี่อุ้มโอนอ่อนไปตามสัมผัสของผมอย่างเต็มใจ ผมได้เรียนรู้แล้วว่าบางสิ่งบางอย่างต้องใช้เวลาถึงจะได้รับมา และเมื่อนั้นมันจะมีคุณค่ามากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้รับมาจากคนที่รักี่ซึ่งให้อย่างเต็มใจ

“หนังสือเล่มนี้หวานจัง”

ผมกระซิบชิดริมฝีปากพี่มัน

“งื้อ”

“...”

“ค่อย”

“...”

“ค่อยๆ เปิดอ่าน”

พี่อุ้มกำคอเสื้อผมพูดเสี้ยงอู้อี้

“ครับ ผมจะทะนุถนอมหนังสือเล่มนี้ให้ดี”



TBC.

แหน่ะ รู้น้าว่ารอฉากอะไรกัน 555555555555

ตอนหน้าก็เป็นบทส่งท้ายแล้วน้า มาลุ้นว่าจะได้อ่านฉากที่ลอยคอ เอ้ย รอคอยมั้ย 55555555555

หวีดในทวิตติดแท็ค #ชอบก็Jeeb เป็นกลจ.ให้เราด้วยน้า


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ fammykiki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 329
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ MJTogether

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
พี่เซียนก็ขยันแกล้งน้องเปียวจริง  ส่วนคู่โต้ง-อุ้ม พอปรับความเข้าใจกันแล้วก็หวานเว่อร์

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
รอคอย รอยที่คอ ใครจะมาก่อนกัน
ขอทั้งสองคู่เลย
ชอบๆๆๆ
 :hao7:
 

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 508
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ Plakhem

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :katai2-1: รอๆๆๆ รอตอนต่อไป :call:

ออฟไลน์ [Karnsaii]

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +523/-17
จีบสุดท้าย

สนามศุภชลาศัยเช้าวันเสาร์นี้คึกคักเป็นพิเศษ เวลาเกือบสิบโมงเช้าบริเวณบีทีเอสสนามกีฬาแห่งชาติและห้างสรรพสินค้าแถบนี้คราคร่ำไปด้วยผู้คนซึ่งเป็นกลุ่มนิสิตนักศึกษาของสองมหาวิทยาลัย ฝ่ายหนึ่งสวมเสื้อบอลสีชมพู อีกฝ่ายใส่เสื้อที่แดงเหลืองซึ่งเป็นสีประจำของมหาวิทยาลัยทั้งสอง  เสียงกลองสันทนาการดังขึ้นมาเป็นระยะ ทั้งนี้มีทีมสันทนาของมหาลัยหนึ่งที่แต่งตัวเต็มไปด้วยสีสันพากันโห่ร้องและเต้นเพลงสันทนาอย่างสนุกสนานเพื่อเชิญชวนให้ผู้คนที่ผ่านไปมาเข้าร่วมงานฟุตบอลประเพณี


เกือบสิบโมงเช้าผมมายืนอยู่หน้าสนามกีฬาแห่งชาติ ปีนี้มหาวิทยาลัยผมเป็นเจ้าภาพจึงได้แสตนฝั่งร้อนคือบริเวณโซนหน้าสนามกีฬาเลย ส่วนอีกมหาลัยหนึ่งนั้นอยู่อีกฝั่งหนึ่งซึ่งว่ากันว่าเป็นฝั่งร่มเพราะเป็นทีมเยือนในฐานะแขก สายวันนี้ผู้คนค่อนข้างหน้าตาแล้ว บริเวณหน้าสนามกีฬามีบูธสินค้าและบริการที่เป็นสปอนเซอร์งานบอลมาตั้งเต้นท์แจกสินค้าและผลิตภัณฑ์กันเต็ม นอกจากนี้ยังมีพวกถุงยังชีพสำหรับขึ้นแสตน ผมลองไปสำรวจดูแล้วในถุงนั่นมีพวกน้ำ ขนมขบเคี้ยว ครีมกันแดด และพัด นอกนั้นก็เป็นบัตรกำนัลต่างๆ เอาจริงหากวันนี้ไม่ถูกเรียกตัวไปช่วยรุ่นพี่ ผมว่าจะชวนไอ้อ๋องไปขึ้นแสตนเชียร์ซะหน่อย


ผมได้ยินว่าทุกปีใครไปนั่งแสตนเชียร์ตอนจบงานจะมีจับรางวัลใหญ่แจกโทรศัพท์ยี่ห้อดังหรือไม่ก็พวกวอชเชอร์ที่พักโรงแรม โคตรเสียดายเพราะวันนี้รุ่นพี่สายรหัสผมซึ่งเป็นพี่เก่าและเป็นนักวิทยาศาสตร์การกีฬาประจำทีมฟุตบอลมหาลัยมาขอแรงไปช่วยดูเรื่องการบาดเจ็บของนักกีฬา


บริเวณหน้าสนามกีฬาเยื้องไปด้านหนึ่งมีเต็นท์ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นเต็นท์ของมหาลัยซึ่งจะมีบริการน้ำดื่มและพวกขนมขบเคี้ยว โดยคณะผมรับผิดชอบทั้งหมดเนื่องจากเป็นฝ่ายสวัสดิการ ในเต็นท์นั้นจะเห็นพวกปีหนึ่งกับปีสองประจำอยู่ไม่น้อย บางส่วนก็ไปช่วยหิ้วเอากล่องไปแจกจ่ายที่แสตน บางส่วนก็ไปส่งข้าวให้พวกคทากรและผู้นำเชียร์ซึ่งเตรียมตัวอยู่แถวๆ เพื่อรอเวลาพิธีเปิดงานตอนบ่ายโมงกว่า


“ไปไหนวะ”


ผมถามไอ้อ๋องซึ่งเดินสวนมาพอดี ก่อนหน้านี้มันคงไปส่งข้าวช่วยรุ่นพี่


“อาจารย์เรียกไปเก็บบัตรเข้างานว่ะ”


“อ๋อ”


เพราะปีนี้เป็นเจ้าภาพ หน้าที่เก็บบัตรเข้างานจึงเป็นของฝ่ายสวัสดิการคณะผม ทุกประตูที่เปิดให้เข้าชมงานในสนามกีฬาสุภชลาศัยจะต้องมีคนยืนเก็บบัตรและปั้มแขนเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าสามารถเข้าไปในสนามได้ เนื่อง


จากบัตรและที่นั่งชมมักมีจำนวนจำกัดโดยเฉพาะแสตนฝั่งร่มที่คนแห่จับจองกันแน่นขนัด ไฮไลท์ของงานฟุตบอลประเพณีสำหรับผมคือขบวนล้อเลียนการเมืองซึ่งเปิดพื้นที่ให้กลุ่มนิสิตนักศึกษาได้แสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรีภาพ และมันเป็นประเด็นหรือจุดประกายแนวคิดบางอย่างที่ขับเคลื่อนสังคมไม่มากก็น้อย ซึ่งผมชอบมากๆ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมเลือกสอบเข้ามหาวิทยาลัยนี้เพราะอยากเป็นส่วนหนึ่งในการมาร่วมอยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วย อีกอย่างที่สำคัญคือฟุตบอลนัดสำคัญระหว่างมหาลัยผมและมหาวิทยาลัยเก่าแก่แถวท่าพระจันทร์ที่ย้ายบางส่วนไปอยู่แถวรังสิต


การแข่งฟุตบอลถือเป็นไฮไลท์ของงานวันนี้เพราะเป็นคู่ชิงที่ผลัดกันแพ้ชนะกันทุกปี บอลประเพณีสำหรับคณะผมถือนัดแห่งศักดิ์ศรีเลยล่ะ เพราะนักกีฬาส่วนหนึ่งเอาจริงเรียกว่าส่วนใหญ่ก็ได้อยู่ในทีมบอลมหาลัยนี้ด้วย นักบอลส่วนใหญ่ถ้าไม่อยู่คณะผม ก็เรียนคณะครุศาสตร์สาขาพลศึกษา นอกนั้นก็เรียนคณะแถวฝั่งใหญ่ประปราย ซึ่งก่อนการแข่งขันนักบอลมหาลัยจะถูกเรียกมาซ้อมกันอย่างหนักหน่วง ดังนั้นพวกปีหนึ่งและปีสองคณะผมเลยถูกรุ่นพี่เรียกมาช่วยดูแลนักกีฬา   


อีกอย่างคณะผมมีกิจกรรมบังคับสำหรับนิสิตที่จะออกฝึกประสบการณ์วิชาชีพในตอนปีสี่ว่าในช่วงตั้งแต่ปีหนึ่งถึงปีสามต้องเก็บชั่วโมงฝึกงาน  ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมที่สำคัญคือการมาประจำทีมกีฬาและใช้ความรู้ที่เรียนมาดูแลนักกีฬาในเบื้องต้น บางทีก็เป็นผู้ช่วยนักวิทยาศาสตร์ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นรุ่นพี่คณะที่จบไปแล้วดูแลเรื่องการบาดเจ็บของนักกีฬา


พี่อุ้มเองก็ถูกอาจารย์เรียกมาช่วย เพราะผู้ช่วยจัดทีมฟุตบอลมหาลัยนี่ดันเป็นอาจารย์คณบดีที่คณะผมเอง ดังนั้นนิสิตที่คณะจึงถูกเกณฑ์มาช่วย โดยเฉพาะสำหรับใครที่อยากเก็บชั่วโมงฝึกงานด้วย มันเป็นงานที่ไม่ได้ยากลำบากนักหรอก เพราะพวกนิสิตเด็กๆ ยังไม่ได้ทำอะไรจริงจังมากนัก มีบ้างที่รุ่นพี่นักวิทยาศาสตร์การกีฬาเรียกไปดูเคสอย่างการปฐมพยาบาลเวลานักกีฬาบาดเจ็บ


กีฬาแต่ละประเภทมีการใช้กล้ามเนื้อแตกต่าง รวมถึงมีรูปแบบและวิธีการเล่นที่ใช้ทักษะต่างกันไป ดังนั้้นกล้ามเนื้อที่ใช้งานและอาการบาดเจ็บก็จะแตกต่างกันไป ผมสังเกตว่าขาและข้อเท้าเป็นอวัยวะที่สำคัญของนักฟุตบอล เวลาเจ็บมาที่มันส่งผลต่อการเคลื่อนไหวและเป็นอุปสรรคต่อเกมการแข่งขันมากๆ


“ประตูเปิดบ่ายโมงไม่ใช่เหรอ”


“อาจารย์เรียกประชุมน่ะ”


เพื่อนข้างห้องผมตอบ 


“มึงไปเก็บบัตรกับกูมั้ย”


ผมส่ายหน้าไปมา


“ต้องช่วยพี่อุ้มว่ะ”


“พวกนักบอลมาแล้วนี่”


อ๋องมันพยักพเยิดไปในสนามซึ่งด้านในมีห้องพักของนักกีฬา


“คงยืดกล้ามเนื้อกันอยู่”


“เดี๋ยวอีกสักพักพี่อุ้มคงโทรมาเรียก”


“งั้นมึงนั่งแจกน้ำที่ซุ้มไปก่อน”


ไอ้อ๋องบุ้ยปากไปด้านหลังที่เพื่อนๆ ปีหนึ่งกำลังแจกน้ำคนที่มาร่วมงาน


“เดี๋ยวกูไปประชุมก่อน”


“เออ”


ผมลากเท้าเดินไปนั่งแปะในซุ้ม ระหว่างนั้นเพื่อนๆ ก็ส่งขนมสารพัดมาให้กินเนื่องจากเป็นของแจกจากสปอนเซอร์ถือเป็นสวัสดิการให้นิสิตที่มานั่งเฝ้าซุ้มแจกของด้วย ระหว่างนั่นผมนั่งเล่นมือถือไปเรื่อยจนกระทั่งพี่เซียนไลน์มาหา ผมรู้ว่าพี่เซียนมาถึงตั้งแต่เช้าเพราะต้องแต่งตัวและต้องซ้อมอีกรอบ ตอนนั้นผมเหลือบตามองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาเที่ยงกว่าๆ แล้ว ตอนนี้นิสิตนักศึกษาเริ่มทยอยมาจนเต็มพื้นที่โดยรอบของสนามกีฬา


“ตั้งขบวนแล้ว”


ใครบอกคนพูดขึ้น ผมเลยผุดลุกขึ้นเดินตามเพื่อนบางส่วนไปยังประตูใหญ่ของสนามกีฬา บริเวณนั้นเต็มไปด้วยผู้คน ทั้งคนทั่วไป และนิสิตที่ยืนถ่ายรูปกันเต็ม ในกลุ่มคนเหล่านั้น ผมเห็นพี่เซียนและไอ้โต้งรวมถึงรุ่นพี่คทากรยืนอยู่ในขบวน นอกจากกลุ่มคทากรแล้วยังมีผู้นำเชียร์ ผู้นำนิสิต และกลุ่มนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์กลุ่มใหญ่ในชุดนิสิตเรียบร้อยกำลังแบกเสลี่ยงอัญเชิญตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย


ผมแอบตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า กลุ่มมากมายมารวมกันอยู่ที่เดียวกัน งานบอลที่นิสิตทั้งมหาลัยเตรียมงานกันมาตลอดหลายเดือนเพื่อวันนี้วันเดียว คณะผมที่ส่งข้าวส่งน้ำมาตลอดหลายเดือน วันนี้ก็จะได้ทำหน้าที่สวัสดิการวันสุดท้ายแล้ว 


ไอ้โต้งหันมาทางนี้พอดีผมเลยโป้งมือให้ วันนี้เพื่อนผมแม่งโคตรหล่อ มันเซ็ตผมและแต่งหน้าอ่อนๆ อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเนื้อ มือข้างหนึ่งควงคทาอยู่ มันยิ้มให้ผมเสียกว้างก่อนจะขยับปากถาม ผมเดารูปปากที่ขยับของมันได้ว่า อีกฝ่ายคงถามถึงพี่อุ้ม ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบแรงสะกิดที่หัวไหล่เบาๆ ทำให้หันกลับไปมอง ผมทำตาปริบๆ เมื่อเห็นพี่เซียนมาหยุดอยู่เบื้องหน้า 


ไม่อยากสบตาเลยว่ะ


วันนี้พี่เซียนแม่ง...หล่อเกินไป


อีกอย่างคือการที่พี่มันเดินแหวกกลุ่มคนมาหาผมเนี่ยแหละ ผมหันซ้ายหันขวาคว้าข้อมืออีกฝ่ายพาเดินไปมุมที่คนบางตาสักหน่อย เอาจริงตรงนี้คนก็ไม่น้อยลงหรอก เพราะมีกลุ่มนิสิตยืนถ่ายรูปพวกคทากรกันเต็ม ผมมองสำรวจร่างกายของคนรักรุ่นพี่ในชุดเสื้อเชิ้ตที่ดำคาดชมพู เครื่องแบบต่างจากไอ้โต้งเพราะเป็นรุ่นพี่คทากร ใบหน้าพี่เซียนเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ยิ่งใส่เสื้อผ้าหนาแบบนี้ด้วย ผมเลยควักผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่ออีกฝ่ายให้


พี่เซียนยิ้มกว้างจนตาหยี


“ขอบคุณครับ”


“อื้อ”


“ไปกับกูมั้ย” พี่มันปุ้ยปากยังกลุ่มรุ่นพี่คทากรรุ่นก่อนๆ  ที่มาร่วมงานนี้ด้วยเหมือนกัน “ไปอยู่กับรุ่นพี่กู”


“ไม่เอาหรอก”


พี่ส่ายหน้ายิ้มๆ ผมมองหน้าคนที่แสดงออกว่างอแงเต็มแก่ เพราะพี่เซียนรู้ว่าผมต้องไปอยู่ใกล้พี่ปั๊บ พี่เซียนบ่นๆ ในตอนแรกแต่พอพี่มันรู้ว่าพี่อุ้มเองก็อยู่ด้วยเลยเบาใจลงหน่อย


“วันนี้สู้ๆ นะ”


ผมเห็นแววตาเป็นประกายของอีกฝ่าย ทั้งที่สีหน้าดูเหนื่อยล้าคงเพราะเมื่อคืนแทบไม่ได้นอน วันนี้ก็ตื่นแต่เช้า จบงานนี้ผมว่าพี่มันสลบแน่


“มึงเองก็ด้วย”


พี่เซียนโยกศีรษะผมไปมา เพราะรู้ดีว่าเราต่างคน ต่างไปทำหน้าที่ของตัวเอง


“เลิกงานแล้วมีคอนเสิร์ตหน้าแสตนเชียร์ด้วยนะ”


“คอนเสิร์ตเหรอครับ”


“อือ”


“ไปนั่งฟังเพลงด้วยกันนะ”


“ครับ”


ผมยิ้มรับก่อนจะตัดใจผละออกมาจากอีกฝ่าย เพราะพี่อุ้มโทรตามแล้ว ผมหันกลับไปมองพี่เซียนอีกครั้งแล้วยิ้มน้อยๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าวันหนึ่งจากคนรู้จัก เราจะผูกผันจน้กลายเป็นคนรู้ใจ พี่เซียนตอนอยู่ท่ามกลางผู้คนโคตรโดดเด่น เด่นจนไม่กล้าคิดเลยว่าพี่มันจะสนใจคนอย่างผมได้


แต่สุดท้ายเราก็จับมือกันมาได้ถึงทุกวันนี้


ขอบคุณมาก...ที่พี่มันกล้าพอจะมือผมท่ามกลางสายตาคนไม่น้อย ผมยิ้มน้อยๆ  แตะข้อมือตัวเองข้างที่พี่มันกุมทับเมื่อกี้


การจับมือกันในที่สาธารณะ มันคือการบอกกลายๆ แล้วว่าเราสำคัญต่อกันแค่ไหน


“ขอบคุณมาก...ไอ้พี่ยักษ์”


ผมโบกมือให้พี่มันที่หันมาทางนี้พอดี พี่เซียนโบกมือตอบผมพร้อมรอยยิ้มท่ามกลางเสียงโห่แซวจากคนรอบทิศ แน่นอนว่ามันทำให้คนหน้าบางอย่างผมหน้าแดงวาบจนต้องหันหลังเดินหนี


เขินโว้ย




.


.




“Baka...”


กลุ่มนักบอลมหาลัยกอดคอบูมมหาลัยเสียงดังลั่นเพื่อปลุกขวัญกำลังใจไม่ต่างจากพวกผู้จัดการทีม และกลุ่มนักวิทยาศาสตร์การกีฬา นักกายภาพ และกลุ่มวิชาชีพอื่นๆ ที่มีส่วนร่วมในการดูแลนักกีฬา ผมเห็นความฮึกเหิมในแววตาของกลุ่มคนเหล่านั้นแล้วรู้สึกตื่นเต้นไปด้วย


ไม่รู้หรอกว่าผลจะออกมาแพ้หรือชนะ


อย่างน้อยตอนนี้ก็ถือเป็นกำลังใจสำหรับคนทำงานเบื้องหลังทั้งหมดแล้ว การกระตุ้นด้วยเสียงหรือคำพูดดีๆ เป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่ให้ผลดีแก่นักกีฬาซึ่งมีความตึงเครียดในเกมการแข่งขันอยู่แล้วว 


“นวดกระตุ้นเลย ใกล้แข่งแล้ว”


รุ่นพี่ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์การกีฬาเดินมาบอกว่าพวกผมให้ไปนวดนักบอล เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อโดยเฉพาะส่วนขาให้เกิดความตื่นตัวเพื่อรับความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวจะถูกใช้งาน ไม่นานหลังจากนั้นก็มีคนมาเรียกนักบอลไปรวมตัวกันเพราะใกล้ถึงพิธีเปิดแล้ว 


จังหวะนั้นผมยกนิ้วโป้งให้พี่ปั๊บทีนึง พี่มันเลยเดินมาตบบ่าผมเบาๆ ก็จะเดินรวมกลุ่มกับเพื่อนนักบอลออกไป ตอนที่ออกมาจากห้องพักเดินเข้าสู่สนาม ผมมองไปรอบๆ อัฒจันทร์ตอนนี้แสตนเชียร์ทั้งสองมหาลัยเต็มหมดแล้ว ส่วนแสตนผู้นั่งชมที่เป็นศิษย์เก่าก็ไม่มีพื้นที่ว่างเลย


งานที่เตรียมตัวมาเกือบทั้งเทอมกำลังจะสิ้นสุดแล้ว


หลังพิธีเปิดและแนะนำตัวนักกีฬารวมถึงผู้จัดการทีมทั้งหมดแล้ว กรรมการก็เสี่ยงทายในการเปิดบอล


เกมเริ่มแล้ว


ผมกับพี่อุ้มแทบนั่งไม่ติด สายตาของพวกเรามองไปยังสนามกีฬาที่ฝั่งหนึ่งผู้เล่มสวมใส่ชุดสีชมพู อีกฝั่งเป็นชุดสีแดงเหลือง ภาวนาว่าอย่าให้มีการบาดเจ็บในทีมเราเพราะการเล่นสูสีและน่าหวาดเสียวซะเหลือเกิน


“กรี๊ดดดด”


เสียงโห่ร้องดีใจของคนทั้งสนามดังขึ้นเมื่อทีมหนึ่งทำประตูได้ ผมเองก็กระโดดจนตัวลอยหลังจากพี่ปั๊บเกี่ยวบอลไปหน้ากรอบเขตโทษแล้วซัดบอลทำประตูได้สำเร็จ จังหวะนั้นพวกผู้นำเชียร์และคทากรที่อยู่ไหนก็ตามต้องวิ่งไปประจำที่แสตนเชียร์มหาลัยตัวเองเพื่อบูมมหาลัย เอาเป็นว่าจังหวะนี้ผมนึกเห็นใจกลุ่มคนเหล่านั้นมาก เพราะต้องวิ่งทุลักทุเลมาแต่ไกล สภาพที่เห็นนั่นอดขำไม่ได้ ผมเองซึ่งเห็นแผ่นหลังพี่เซียนจากที่ไกลๆ ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้เหมือนกัน


พี่เซียนก็ยังเป็นพี่เซียน คนที่ทำหน้าตัวเองให้ดีที่สุด ผมนึกถึงตอนที่มันช่วยงานดรออิ้งอาจารย์ตอนประกวดออกแบบยานยนต์ที่ฝ่ายนั้นอดหลับอดนอนจนกว่างานจะเสร็จสมบูรณ์


“กรี๊ดดดด”


พวกผมดีใจได้ไม่นานหรอก ดูเหมือนมหาลัยคู่แข่งก็ตีเสมอได้แล้ว ผมภาพบรรยากาศความสนุกตรงหน้าแล้วรู้สึกดีบอกไม่ถูก โคตรชอบบรรยากาศการเชียร์แบบนี้เลย 


“นั่นรุ่นพี่คทากรนี่”


ผมมองตามนิ้วชี้พี่อุ้มที่ชี้ไปยังรุ่นพี่คนหนึ่งที่เดินมาตรงหน่วยปฐมพยาบาล


“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าวะ”


“เหมือนมีคนบาดเจ็บ”


“ใครอ่ะ”


กลุ่มนิสิตนักกายภาพกำลังจับกลุ่มสนทนา


“ได้ยินว่าบอร์ดล้มทับคทากรคนหนึ่ง”


“หา”


“โดนขาเต็มๆ เลย คงเจ็บน่าดู”


ผมใจหายวาบ เพราะนึกกระหวัดถึงคนรักรุ่นพี่ ถ้าผมมองไม่ผิดเหมือนตอนที่พี่เซียนวิ่งมาบูมที่แสตนก่อนหน้านี้ ผมเห็นพี่มันขากระเผลก


“ใครวะ”


“คนที่ดังๆ มีเพจทวงคืนอะไรนั่นน่ะเหรอ”


ผมหูตั้งเลยทีนี้


“แล้วเขาเป็นอะไรมากรึเปล่าล่ะ”


“คงปวดแหละ เพราะมีรุ่นพี่มาขอยากับพวกน้ำแข็งไปประคบ”


“...”


“แต่อีกนานกว่างานจะจบ จะทนไหวมั้ย”


ผมเม้มปากแน่น ทั้งที่ใจสั่นไหว ตอนนั้นไม่ทันได้คิดอะไร เลยบอกพี่อุ้มว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แต่จริงๆ ผมวิ่งฉิวไปทางกลุ่มคทากรโน่นเลย ภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอาผมใจหายวาบ พี่เซียนนั่งแปะอยู่กับพื้นมีน้ำแข็งประคบอยู่ตรงหัวเข่า ท่าทางดูเจ็บไม่น้อย 


“พี่...”


“เปียว”


“เจ็บมากมั้ย”


ผมตรงมานั่งทรุดตัวใกล้อีกฝ่าย


“นิดหน่อยน่ะ”


“แล้วมันเกิดอะไรขึ้น”


“มีบอร์ดล้มมาพอดีเกือบโดนเด็กปีหนึ่ง ไอ้เซียนมันตาไวเห็นทัน มันเลยเจ็บแทน”


รุ่นพี่คนหนึ่งเล่าให้ฟัง


“กูไม่เป็นอะไรหรอกเปียว”


“...”


“ประคบน้ำแข็งแล้วน่าจะดีขึ้น”


ต่อให้พูดยังไง ผมก็ไม่สบายใจอยู่ดีนั่นแหละ 


“แน่ใจนะ”


“ครับ”


พี่เซียนบีบมือผมเบาๆ


“อีกซักพักกูก็วิ่งได้แล้ว”


พี่เซียนโกหก


อีกสักพักตรงที่เจ็บจะบวมและอักเสบอย่างแน่นอน และที่สำคัญพี่มันพักไม่ได้ด้วย เพราะงานยังไม่เลิก ถ้าถอนตัวไปแล้วที่ซ้อมมาตลอดคงสูญเปล่า


“กูไหวเปียว”


“ยังไงประคบน้ำแข็งบ่อยๆ นะ”


ผมจำใจพูด เพราะพี่อุ้มโทรตามแล้ว ผมต้องกลับไปช่วยทีมบอลต่อ


“ไม่ต้องห่วง กูไหว”


“...”


“กูรู้ว่ามึงห่วง แต่ถ้าไม่ไหว กูสัญญาว่าจะไม่ฝืนตัวเองเด็ดขาด”


พี่เซียนพูดเสียงหนักแน่น ผมเลยพยักหน้าหงึกหงักบีบมืออีกฝ่ายแรงๆ ก่อนจะตัดสินใจผละออกมา




.


.




เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะความสนใจของผมไม่ได้จดจ่ออยู่ที่เกมการแข่งขันแล้ว การที่บอลผลัดกันทำประตูทำให้พวกคทากรกับผู้นำเชียร์ต้องวิ่งมาบูมที่หน้าแสตนเชียร์บ่อยมากจนผมนึกกังวลอาการบาดเจ็บของพี่เซียน


“มึงเหม่ออะไรวะเปียว”


พี่อุ้มถามขึ้นเมื่อเห็นผมชะเง้อชะแง้ไปทางอื่นไม่หยุด


“ขอน้ำแข็งหน่อย”


รุ่นพี่คนหนึ่งก็ตะโกนขอน้ำแข็ง ผมเลยขยับลุกขึ้นเพราะอยู่ใกล้ลังน้ำแข็ง พี่อุ้มถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเห็นสีหน้าผมก่อนจะช่วยผมเทน้ำแข็งใส่ถุง สีหน้าผมคงไม่สู้ดีนักเพราะมีเรื่องราวในใจให้ขบคิด ผมฝืนยิ้มให้ลุงรหัสตัวเองก่อนจะเดินหิ้วถุงใส่น้ำแข็งไปยื่นให้รุ่นพี่


“ฝากประคบให้ไอ้ปั๊บที”


พี่แกปุ้ยปากไปยังนักบอลที่นั่งเจ็บอยู่ข้างสนาม พี่ปั๊บพี่ชายข้างบ้านผมยิ้มให้ผมนิดๆ ก่อนจะชี้จุดให้ผมเอาน้ำแข็งประคอง พี่แกถูกเปลี่ยนตัวออกแล้วเพราะอีกไม่กี่นาทีจะหมดเวลาการแข่งขัน ผมเลยดันแกให้นอนราบไปกับพื้นก่อนจะจับยกเท้าขึ้นเล็กน้อยแล้วเอาน้ำแข็งประคบบริเวณที่เจ็บ ซึ่งหลักการปฐมพยาบาลข้อเท้าพลิกมีสี่ขั้นตอนง่ายๆ คือ พัก เย็น พัน และยก ตามหลักแล้วหากเกิดการบาดเจ็บคือขั้นแรกควรพักบริเวณที่เจ็บ ต่อมาคือใช้ความเย็นจากน้ำแข็งประคบบริเวณนั้นเพื่อลดอาการบวมช้ำและทำให้เส้นเลือดที่ขยายจากการฉีดขาดหดตัวลง หลังจากนั้นให้พันน้ำแข็งกับบริเวณที่เจ็บเป็นการรัดให้เพื่อลดบวม สุดท้ายคือการยกบริเวณส่วนที่เจ็บขึ้นสูงให้เลือดได้ไหลเวียนสะดวก


เนื้อหาวิชาเหล่านี้เป็นพื้นที่คณะผมต้องเรียนรู้ตั้งแต่แรกๆ เพราะเป็นพื้นฐานการปฐมพยาบาลของกีฬาแทบจะทุกประเภท คิดถึงตรงนี้แล้วผมอดห่วงใครบางคนไม่ได้ ป่านนี้ยังไม่ได้พักเลยมั้ง


ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่


“ได้ข่าวว่าพวกคทากรบาดเจ็บเหรอ”


ผมพยักหน้าหงึกหงัก


“อย่าบอกนะว่าคือไอ้เซียน”


“ครับ”


ผมรับคำด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนะ


ปี๊ดดดด


เสียงนกหวีดเป่าหมดเวลาการแข่งขันแล้ว หัวใจผมสั่นไหวขึ้นมาทันที


“ไปสิ”


พี่ปั๊บปุ้ยปากไปยังหน้าแสตนเชียร์ที่พวกคทากรรวมกลุ่มกันอยู่


“แต่ว่า...”


“ใจมึงไม่อยู่ตรงนี้แล้ว ไปเถอะ”


“ขอบคุณนะพี่”


คราวนี้ผมวิ่งฉิวสวนพี่อุ้มพี่เดินมาทางนี้พอดี ผมไม่รู้ว่าสีหน้าตัวเองในตอนนี้เป็นยังไง แต่การที่เห็นพี่เซียนยืนยิ้มรอท่าผมอยู่ตรงนั้นแล้วโคตรรู้สึกดีเลย


“กำลังรอเลย”


“รออะไร”


“รอให้มึงมาพันแผลให้”


ผมหลุดยิ้มออกมาก่อนจะกระตุกแขนให้พี่มันนั่งลง 


“เจ็บมากมั้ย”


“ไม่แล้ว”


“...”


“ห่วงกูมากเหรอ”


“ผมวิ่งหน้าตั้งมาขนาดนี้ คงไม่ต้องตอบแล้วมั้งครับ”


พี่เซียนหัวเราะร่วน แววตาที่มองกันแบบนี้ ทำให้ผมรับรู้ได้ว่าโคตรพิเศษจริงๆ 




 


- J E E B -


 




หลังพิธีปิดงานบอลนั้นตรงแสตนเชียร์มีเวทีเล็กๆ ถูกจัดเตรียมขึ้น ไม่นานหลังจากนั้นวงดนตรีมหาวิทยาลัยก็ขึ้นแสดงเพื่อเป็นของขวัญให้กับนิสิตที่นั่งแสตนเชียร์ของมหาวิทยาลัย และเปิดให้ศิษย์เก่าศิษย์ปัจจุบันมาร่วมสนุกด้วยกันหน้าเวที ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดมิดจนสปอร์ตไลท์ถูกจุดขึ้นจนสว่างไสวไปทั่วสนาม ตรงมุมหนึ่งนั่นผมเห็นพี่ปั๊บเดินจับมือไอ้อ๋องมาแต่ไกล 


ส่วนไอ้เพื่อนข้างห้องผมนั่นมันเห็นผมแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นมันยังไม่ปล่อยมือที่จับกุมกับพี่รหัสผมออกเลย จนกระทั่งทั้งสองเดินมาหยุดอยู่ใกล้ๆ กันผมเลยอดที่จะกระแซะถามมันไม่ได้


“ยังไงๆ”


ไอ้อ๋องทำหน้ายิ้มๆ


“ก็อย่างที่เห็น”


“กูดีใจที่มึงเปิดใจให้พี่รหัสกูนะอ๋อง” ผมกระซิบบอกมันเบาๆ “พี่กูเป็นคนดี กูรับรองว่าเขาจะทำให้มึงพบเจอแต่สิ่งดีๆ”


“กูก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่อยู่กับพี่เขาแล้วกูรู้สึกดี”


“...”


“ดีมากๆ”


มันแอบเหลือบตามองคนข้างกายที่ติดพันจากการถูกรุ่นน้องผู้หญิงกลุ่มหนึ่งขอถ่ายรูปอยู่


“ดีจนไม่อยากเสียไปเลย”


“งั้นก็รักษาเอาไว้”


ผมตั้งตัวเป็นกูรูทันที


“ถ้ารู้สึกดีกับใคร อย่าปล่อยให้เป็นแค่ความรู้สึก มึงทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะได้ไม่เสียเขาไป”


ไอ้อ๋องยิ้มเขินๆ ให้ผม เพราะตอนนั้นพี่ดลเดินมาสมทบแล้วมือข้างหนึ่งแตะหลังมัน เลเวลการแตะเนื้อต้องเนื้อที่บ่งบอกสถานะกัน ทำให้ผมต้องกลั้นยิ้มตามเพื่อนสนิทตัวเอง


“ปล่อยสิวะ”


เสียงโวยวายของพี่อุ้มดังขึ้น พอเอี้ยวตัวไปดูจึงเห็นไอ้โต้งยืนคล้องคอพี่มันอยู่ ท่าทางแนบชิดกันจนมองออกถึงสถานะระหว่างกัน


ไอ้โต้งก็ยังเป็นไอ้โต้งที่ชัดเจนกับความรู้สึกตัวเอง ส่วนพี่อุ้มก็ยังขี้โวยวายเช่นเดิม แต่ผมรู้ดีว่าภายใต้เสียงบ่นนั่นแววตาพี่มันเต็มไปด้วยความสุขมากแค่ไหน ความรักมีวิธีการแสดงออกหลายรูปแบบจริงๆ อยู่ที่ว่าใครเป็นเจ้าของความรักนั้น แล้วเราแสดงความรักนั้นกับใคร


แต่ความรักทุกรูปแบบที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี...มันสวยงามเสมอ


 


‘รักใช่หรือเปล่า ใช่รักหรือเปล่า รักใช่หรือเปล่า ใช่รักหรือเปล่า โอ โอะ โอ โอ’


 


เพลงนั่น


ผมหันไปสบตากับพี่ปืน


 


‘บอกฉันที ให้มั่นใจ บอกฉันสิ ว่าไม่ใช่แค่ฝัน’


 


เพลงโปรดของผม เพลงที่พี่เซียนร้องให้ฟัง ในวันที่เราเปิดใจให้กัน


“คำตอบผม...คือท่อนฮุกของเพลงนี้...ไอ้พี่ยักษ์”


 


‘เธอเอาใจฉันไป เธอกุมมันเอาไว้ เธอเอาใจฉันไป โอ๊ะ โอ๊ะ โอ โอ โอ’


 


“พี่”


ผมน้ำตารื้อเลย


“รู้ไงได้ว่าวงจะเล่นเพลงนี้”


พี่มันขยิบตาให้ผมทีหนึ่ง


“มึงอาจจะไม่มั่นใจตัวเอง ชอบคิดว่าตัวเองด้อยกว่ากู จริงๆ แล้วกูต่างหากที่ควรคิดแบบนั้น มึงคงไม่รู้ตัวนะเปียว มึงน่ารักมากนะ กูเคยเห็นมึงชอบซื้อข้าวไปให้พี่แดงหมาที่คณะมึงบ่อยๆ มึงตั้งใจมากตอนที่ดูแลกู ตอนที่กูมาเทรนช่วยไอ้อุ้ม มีเสนอตัวช่วยเหลือเพื่อนมึงตลอด เพราะมึงเป็นแบบนี้ไง”


“...”


“มึงน่ารักแบบนี้ แล้วจะไม่ให้กูรักมึงได้ยังไง”


“...”


“เพราะกูชอบมึงเปียว ชอบมากถึงได้ขอจีบ”


“...”


“กูจะไม่จีบคนที่ไม่ได้ชอบ” 


“...”


“กูรู้สึกกับมึงมากกว่าความชอบ ถึงไม่อยากปล่อยโอกาสนี้ไป จะทำทุกวิธีทางเพื่อให้มึงเปิดใจ เพราะมึงเอาใจกูไปแล้ว”


 


‘เธอเอาใจฉันไป เธอกุมมันเอาไว้ เธอเอาใจฉันไป โอ๊ะ โอ๊ะ โอ โอ โอ’


 


“เป็นแฟนพี่นานๆ นะ ไอ้ตัวกินมิ้นท์”


ผมพยักหน้าหงึกหงักตอนที่พี่เซียนเลื่อนปลายนิ้วมาปาดน้ำตาให้อย่างเอ็นดูไม่พอยังเนียนหอมหัวไปทีนึง


“ห้ามทิ้งผมเหมือนกันนะ ไอ้พี่ยักษ์”


วันวานของเราอาจจะเป็นความผูกพันเพราะความใกล้ชิด แต่เมื่อโตขึ้นความรู้สึกระหว่างเราชัดเจนขึ้น ความรักก็เช่นกัน หากเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสมมันย่อมทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน ผมมองไปที่พี่ดลกับไอ้อ๋อง และไอ้โต้งกับพี่อุ้ม ทุกคนมีเรื่องราวมากมายระหว่างทางกว่าจะจับมือกันได้ในทุกวันนี้ ผมนึกถึงคำสอนของคุณตาคุณยายที่สวนสาธารณะนั่น


คนที่ใช่ เวลาที่เหมาะสม ความเข้าใจ การให้อภัย


ทั้งหมดเป็นองค์ประกอบความรักที่ขับเคลื่อนสิ่งสวยงามบนโลกใบนี้


ผมหันมายิ้มให้พี่เซียนอีกครั้ง ขณะที่ฝ่ายนั้นรวบบ่าผมไปกอดเอาไว้ พวกเรานิ่งฟังเพลงนั้นและร้องคลอตามเนื้อเพลงไปด้วยกัน


ขอให้ทุกคนบนโลกใบนี้...พบเจอกับความรักดีๆ 


 


‘เธอเอาใจฉันไป เธอกุมมันเอาไว้ เธอเอาใจฉันไป โอ๊ะ โอ๊ะ โอ โอ โอ’


 


[EnD]




__________________________________
เพลงเธอเอาใจฉันไป - 25hours



ชอบก็Jeeb เดินทางมาถึงบทสรุปแล้วค่ะ

ขอบคุณนักอ่านทุกคนมากๆ ที่คอยเม้นท์ให้กำลังใจและสนับสนุนผลงานเรามาตลอดนะคะ

ชอบก็jeeb เขียนตอนที่เรากำลังเหนื่อยล้ากับอะไรบางอย่าง ทำให้หลายครั้งเราเกเรหายไปบ่อยๆ ถี่บ้าง น้อยบ้างแล้วแต่อารมณ์ในตอนนั้น ซึ่งมันส่งผลต่องานเขียน เรายอมรับว่ามันอาจจะไม่สนุกหรือสมูทเหมือนเรื่องอื่นๆ แต่เราคิดว่าเราทำมันดีที่สุดแล้ว ณ ตอนนี้ที่เรากำลังแบกรับความคาดหวังบางอย่าง เราเต็มที่กับมันแล้วค่ะ เราหวังว่าคนอ่านคงได้ยิ้มและหัวเราะไปกับชอบก็Jeeb ไม่มากก็น้อย ขอบคุณนะคะที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้ ขอบคุณที่พิมพ์ข้อความดีๆ ให้กำลังใจกัน มันมากค่ากับเรามากนะคะ ในช่วงเวลาที่หมดเรี่ยวแรง หรือหมดไฟในการทำงาน ข้อความเหล่านั้นช่วยเราได้มากเลยค่ะ

พบเจอกันใหม่เรื่องหน้านะคะ ช่วงนี้ขอหยุดพักไปหาแรงบันดาลใจก่อน

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 687
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
มันดีมากๆเลยค่ะ รู้สึกผูกพันธ์กับทั้งสอง ไม่อยากให้จบเลยยย :o12:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
ก็ชอบถึงได้จีบไง
ชอบความน่ารักของหลายๆคู่ในเรื่องนี้
 :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ pkjoe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ชอบมากครับ

ออฟไลน์ Freezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เป็นเรื่องที่น่ารักมากครับ  อ่านรอบเดียวจบเลย
*ละแมะ ละแมะ 555

ออฟไลน์ phai

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 406
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1

ออฟไลน์ cass-meyz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
น่ารักมากกกกก เค้าจีบกันเขินไปหมดเลยยยย
ขอบคุณคนเขียนนะคะ สำหรับนิยายดีๆอีกเรื่องนึง  :mew1:

ออฟไลน์ บีเวอร์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ BaGgYsOdA

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 87
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ขอบคุณคนเขียนมาก ๆ ครับ

ออฟไลน์ kungverrycool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 292
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :katai2-1: ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆและอบอุ่นเรื่องนี้นะคะ
ตามมาเก็บช่วงงโค้งสุดท้ายทันแล้ว หลังจากไปติดซีรี่ย์มาพักนึง
รอติดตามผลงานเรื่องต่อๆไปตลอดนะคะ

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เป็นแฟนพี่เซียนน่าอิจฉาที่สุดจริงๆด้วย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด