จีบสุดท้าย
สนามศุภชลาศัยเช้าวันเสาร์นี้คึกคักเป็นพิเศษ เวลาเกือบสิบโมงเช้าบริเวณบีทีเอสสนามกีฬาแห่งชาติและห้างสรรพสินค้าแถบนี้คราคร่ำไปด้วยผู้คนซึ่งเป็นกลุ่มนิสิตนักศึกษาของสองมหาวิทยาลัย ฝ่ายหนึ่งสวมเสื้อบอลสีชมพู อีกฝ่ายใส่เสื้อที่แดงเหลืองซึ่งเป็นสีประจำของมหาวิทยาลัยทั้งสอง เสียงกลองสันทนาการดังขึ้นมาเป็นระยะ ทั้งนี้มีทีมสันทนาของมหาลัยหนึ่งที่แต่งตัวเต็มไปด้วยสีสันพากันโห่ร้องและเต้นเพลงสันทนาอย่างสนุกสนานเพื่อเชิญชวนให้ผู้คนที่ผ่านไปมาเข้าร่วมงานฟุตบอลประเพณี
เกือบสิบโมงเช้าผมมายืนอยู่หน้าสนามกีฬาแห่งชาติ ปีนี้มหาวิทยาลัยผมเป็นเจ้าภาพจึงได้แสตนฝั่งร้อนคือบริเวณโซนหน้าสนามกีฬาเลย ส่วนอีกมหาลัยหนึ่งนั้นอยู่อีกฝั่งหนึ่งซึ่งว่ากันว่าเป็นฝั่งร่มเพราะเป็นทีมเยือนในฐานะแขก สายวันนี้ผู้คนค่อนข้างหน้าตาแล้ว บริเวณหน้าสนามกีฬามีบูธสินค้าและบริการที่เป็นสปอนเซอร์งานบอลมาตั้งเต้นท์แจกสินค้าและผลิตภัณฑ์กันเต็ม นอกจากนี้ยังมีพวกถุงยังชีพสำหรับขึ้นแสตน ผมลองไปสำรวจดูแล้วในถุงนั่นมีพวกน้ำ ขนมขบเคี้ยว ครีมกันแดด และพัด นอกนั้นก็เป็นบัตรกำนัลต่างๆ เอาจริงหากวันนี้ไม่ถูกเรียกตัวไปช่วยรุ่นพี่ ผมว่าจะชวนไอ้อ๋องไปขึ้นแสตนเชียร์ซะหน่อย
ผมได้ยินว่าทุกปีใครไปนั่งแสตนเชียร์ตอนจบงานจะมีจับรางวัลใหญ่แจกโทรศัพท์ยี่ห้อดังหรือไม่ก็พวกวอชเชอร์ที่พักโรงแรม โคตรเสียดายเพราะวันนี้รุ่นพี่สายรหัสผมซึ่งเป็นพี่เก่าและเป็นนักวิทยาศาสตร์การกีฬาประจำทีมฟุตบอลมหาลัยมาขอแรงไปช่วยดูเรื่องการบาดเจ็บของนักกีฬา
บริเวณหน้าสนามกีฬาเยื้องไปด้านหนึ่งมีเต็นท์ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นเต็นท์ของมหาลัยซึ่งจะมีบริการน้ำดื่มและพวกขนมขบเคี้ยว โดยคณะผมรับผิดชอบทั้งหมดเนื่องจากเป็นฝ่ายสวัสดิการ ในเต็นท์นั้นจะเห็นพวกปีหนึ่งกับปีสองประจำอยู่ไม่น้อย บางส่วนก็ไปช่วยหิ้วเอากล่องไปแจกจ่ายที่แสตน บางส่วนก็ไปส่งข้าวให้พวกคทากรและผู้นำเชียร์ซึ่งเตรียมตัวอยู่แถวๆ เพื่อรอเวลาพิธีเปิดงานตอนบ่ายโมงกว่า
“ไปไหนวะ”
ผมถามไอ้อ๋องซึ่งเดินสวนมาพอดี ก่อนหน้านี้มันคงไปส่งข้าวช่วยรุ่นพี่
“อาจารย์เรียกไปเก็บบัตรเข้างานว่ะ”
“อ๋อ”
เพราะปีนี้เป็นเจ้าภาพ หน้าที่เก็บบัตรเข้างานจึงเป็นของฝ่ายสวัสดิการคณะผม ทุกประตูที่เปิดให้เข้าชมงานในสนามกีฬาสุภชลาศัยจะต้องมีคนยืนเก็บบัตรและปั้มแขนเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าสามารถเข้าไปในสนามได้ เนื่อง
จากบัตรและที่นั่งชมมักมีจำนวนจำกัดโดยเฉพาะแสตนฝั่งร่มที่คนแห่จับจองกันแน่นขนัด ไฮไลท์ของงานฟุตบอลประเพณีสำหรับผมคือขบวนล้อเลียนการเมืองซึ่งเปิดพื้นที่ให้กลุ่มนิสิตนักศึกษาได้แสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรีภาพ และมันเป็นประเด็นหรือจุดประกายแนวคิดบางอย่างที่ขับเคลื่อนสังคมไม่มากก็น้อย ซึ่งผมชอบมากๆ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมเลือกสอบเข้ามหาวิทยาลัยนี้เพราะอยากเป็นส่วนหนึ่งในการมาร่วมอยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วย อีกอย่างที่สำคัญคือฟุตบอลนัดสำคัญระหว่างมหาลัยผมและมหาวิทยาลัยเก่าแก่แถวท่าพระจันทร์ที่ย้ายบางส่วนไปอยู่แถวรังสิต
การแข่งฟุตบอลถือเป็นไฮไลท์ของงานวันนี้เพราะเป็นคู่ชิงที่ผลัดกันแพ้ชนะกันทุกปี บอลประเพณีสำหรับคณะผมถือนัดแห่งศักดิ์ศรีเลยล่ะ เพราะนักกีฬาส่วนหนึ่งเอาจริงเรียกว่าส่วนใหญ่ก็ได้อยู่ในทีมบอลมหาลัยนี้ด้วย นักบอลส่วนใหญ่ถ้าไม่อยู่คณะผม ก็เรียนคณะครุศาสตร์สาขาพลศึกษา นอกนั้นก็เรียนคณะแถวฝั่งใหญ่ประปราย ซึ่งก่อนการแข่งขันนักบอลมหาลัยจะถูกเรียกมาซ้อมกันอย่างหนักหน่วง ดังนั้นพวกปีหนึ่งและปีสองคณะผมเลยถูกรุ่นพี่เรียกมาช่วยดูแลนักกีฬา
อีกอย่างคณะผมมีกิจกรรมบังคับสำหรับนิสิตที่จะออกฝึกประสบการณ์วิชาชีพในตอนปีสี่ว่าในช่วงตั้งแต่ปีหนึ่งถึงปีสามต้องเก็บชั่วโมงฝึกงาน ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมที่สำคัญคือการมาประจำทีมกีฬาและใช้ความรู้ที่เรียนมาดูแลนักกีฬาในเบื้องต้น บางทีก็เป็นผู้ช่วยนักวิทยาศาสตร์ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นรุ่นพี่คณะที่จบไปแล้วดูแลเรื่องการบาดเจ็บของนักกีฬา
พี่อุ้มเองก็ถูกอาจารย์เรียกมาช่วย เพราะผู้ช่วยจัดทีมฟุตบอลมหาลัยนี่ดันเป็นอาจารย์คณบดีที่คณะผมเอง ดังนั้นนิสิตที่คณะจึงถูกเกณฑ์มาช่วย โดยเฉพาะสำหรับใครที่อยากเก็บชั่วโมงฝึกงานด้วย มันเป็นงานที่ไม่ได้ยากลำบากนักหรอก เพราะพวกนิสิตเด็กๆ ยังไม่ได้ทำอะไรจริงจังมากนัก มีบ้างที่รุ่นพี่นักวิทยาศาสตร์การกีฬาเรียกไปดูเคสอย่างการปฐมพยาบาลเวลานักกีฬาบาดเจ็บ
กีฬาแต่ละประเภทมีการใช้กล้ามเนื้อแตกต่าง รวมถึงมีรูปแบบและวิธีการเล่นที่ใช้ทักษะต่างกันไป ดังนั้้นกล้ามเนื้อที่ใช้งานและอาการบาดเจ็บก็จะแตกต่างกันไป ผมสังเกตว่าขาและข้อเท้าเป็นอวัยวะที่สำคัญของนักฟุตบอล เวลาเจ็บมาที่มันส่งผลต่อการเคลื่อนไหวและเป็นอุปสรรคต่อเกมการแข่งขันมากๆ
“ประตูเปิดบ่ายโมงไม่ใช่เหรอ”
“อาจารย์เรียกประชุมน่ะ”
เพื่อนข้างห้องผมตอบ
“มึงไปเก็บบัตรกับกูมั้ย”
ผมส่ายหน้าไปมา
“ต้องช่วยพี่อุ้มว่ะ”
“พวกนักบอลมาแล้วนี่”
อ๋องมันพยักพเยิดไปในสนามซึ่งด้านในมีห้องพักของนักกีฬา
“คงยืดกล้ามเนื้อกันอยู่”
“เดี๋ยวอีกสักพักพี่อุ้มคงโทรมาเรียก”
“งั้นมึงนั่งแจกน้ำที่ซุ้มไปก่อน”
ไอ้อ๋องบุ้ยปากไปด้านหลังที่เพื่อนๆ ปีหนึ่งกำลังแจกน้ำคนที่มาร่วมงาน
“เดี๋ยวกูไปประชุมก่อน”
“เออ”
ผมลากเท้าเดินไปนั่งแปะในซุ้ม ระหว่างนั้นเพื่อนๆ ก็ส่งขนมสารพัดมาให้กินเนื่องจากเป็นของแจกจากสปอนเซอร์ถือเป็นสวัสดิการให้นิสิตที่มานั่งเฝ้าซุ้มแจกของด้วย ระหว่างนั่นผมนั่งเล่นมือถือไปเรื่อยจนกระทั่งพี่เซียนไลน์มาหา ผมรู้ว่าพี่เซียนมาถึงตั้งแต่เช้าเพราะต้องแต่งตัวและต้องซ้อมอีกรอบ ตอนนั้นผมเหลือบตามองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาเที่ยงกว่าๆ แล้ว ตอนนี้นิสิตนักศึกษาเริ่มทยอยมาจนเต็มพื้นที่โดยรอบของสนามกีฬา
“ตั้งขบวนแล้ว”
ใครบอกคนพูดขึ้น ผมเลยผุดลุกขึ้นเดินตามเพื่อนบางส่วนไปยังประตูใหญ่ของสนามกีฬา บริเวณนั้นเต็มไปด้วยผู้คน ทั้งคนทั่วไป และนิสิตที่ยืนถ่ายรูปกันเต็ม ในกลุ่มคนเหล่านั้น ผมเห็นพี่เซียนและไอ้โต้งรวมถึงรุ่นพี่คทากรยืนอยู่ในขบวน นอกจากกลุ่มคทากรแล้วยังมีผู้นำเชียร์ ผู้นำนิสิต และกลุ่มนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์กลุ่มใหญ่ในชุดนิสิตเรียบร้อยกำลังแบกเสลี่ยงอัญเชิญตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย
ผมแอบตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า กลุ่มมากมายมารวมกันอยู่ที่เดียวกัน งานบอลที่นิสิตทั้งมหาลัยเตรียมงานกันมาตลอดหลายเดือนเพื่อวันนี้วันเดียว คณะผมที่ส่งข้าวส่งน้ำมาตลอดหลายเดือน วันนี้ก็จะได้ทำหน้าที่สวัสดิการวันสุดท้ายแล้ว
ไอ้โต้งหันมาทางนี้พอดีผมเลยโป้งมือให้ วันนี้เพื่อนผมแม่งโคตรหล่อ มันเซ็ตผมและแต่งหน้าอ่อนๆ อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเนื้อ มือข้างหนึ่งควงคทาอยู่ มันยิ้มให้ผมเสียกว้างก่อนจะขยับปากถาม ผมเดารูปปากที่ขยับของมันได้ว่า อีกฝ่ายคงถามถึงพี่อุ้ม ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบแรงสะกิดที่หัวไหล่เบาๆ ทำให้หันกลับไปมอง ผมทำตาปริบๆ เมื่อเห็นพี่เซียนมาหยุดอยู่เบื้องหน้า
ไม่อยากสบตาเลยว่ะ
วันนี้พี่เซียนแม่ง...หล่อเกินไป
อีกอย่างคือการที่พี่มันเดินแหวกกลุ่มคนมาหาผมเนี่ยแหละ ผมหันซ้ายหันขวาคว้าข้อมืออีกฝ่ายพาเดินไปมุมที่คนบางตาสักหน่อย เอาจริงตรงนี้คนก็ไม่น้อยลงหรอก เพราะมีกลุ่มนิสิตยืนถ่ายรูปพวกคทากรกันเต็ม ผมมองสำรวจร่างกายของคนรักรุ่นพี่ในชุดเสื้อเชิ้ตที่ดำคาดชมพู เครื่องแบบต่างจากไอ้โต้งเพราะเป็นรุ่นพี่คทากร ใบหน้าพี่เซียนเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ยิ่งใส่เสื้อผ้าหนาแบบนี้ด้วย ผมเลยควักผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่ออีกฝ่ายให้
พี่เซียนยิ้มกว้างจนตาหยี
“ขอบคุณครับ”
“อื้อ”
“ไปกับกูมั้ย” พี่มันปุ้ยปากยังกลุ่มรุ่นพี่คทากรรุ่นก่อนๆ ที่มาร่วมงานนี้ด้วยเหมือนกัน “ไปอยู่กับรุ่นพี่กู”
“ไม่เอาหรอก”
พี่ส่ายหน้ายิ้มๆ ผมมองหน้าคนที่แสดงออกว่างอแงเต็มแก่ เพราะพี่เซียนรู้ว่าผมต้องไปอยู่ใกล้พี่ปั๊บ พี่เซียนบ่นๆ ในตอนแรกแต่พอพี่มันรู้ว่าพี่อุ้มเองก็อยู่ด้วยเลยเบาใจลงหน่อย
“วันนี้สู้ๆ นะ”
ผมเห็นแววตาเป็นประกายของอีกฝ่าย ทั้งที่สีหน้าดูเหนื่อยล้าคงเพราะเมื่อคืนแทบไม่ได้นอน วันนี้ก็ตื่นแต่เช้า จบงานนี้ผมว่าพี่มันสลบแน่
“มึงเองก็ด้วย”
พี่เซียนโยกศีรษะผมไปมา เพราะรู้ดีว่าเราต่างคน ต่างไปทำหน้าที่ของตัวเอง
“เลิกงานแล้วมีคอนเสิร์ตหน้าแสตนเชียร์ด้วยนะ”
“คอนเสิร์ตเหรอครับ”
“อือ”
“ไปนั่งฟังเพลงด้วยกันนะ”
“ครับ”
ผมยิ้มรับก่อนจะตัดใจผละออกมาจากอีกฝ่าย เพราะพี่อุ้มโทรตามแล้ว ผมหันกลับไปมองพี่เซียนอีกครั้งแล้วยิ้มน้อยๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าวันหนึ่งจากคนรู้จัก เราจะผูกผันจน้กลายเป็นคนรู้ใจ พี่เซียนตอนอยู่ท่ามกลางผู้คนโคตรโดดเด่น เด่นจนไม่กล้าคิดเลยว่าพี่มันจะสนใจคนอย่างผมได้
แต่สุดท้ายเราก็จับมือกันมาได้ถึงทุกวันนี้
ขอบคุณมาก...ที่พี่มันกล้าพอจะมือผมท่ามกลางสายตาคนไม่น้อย ผมยิ้มน้อยๆ แตะข้อมือตัวเองข้างที่พี่มันกุมทับเมื่อกี้
การจับมือกันในที่สาธารณะ มันคือการบอกกลายๆ แล้วว่าเราสำคัญต่อกันแค่ไหน
“ขอบคุณมาก...ไอ้พี่ยักษ์”
ผมโบกมือให้พี่มันที่หันมาทางนี้พอดี พี่เซียนโบกมือตอบผมพร้อมรอยยิ้มท่ามกลางเสียงโห่แซวจากคนรอบทิศ แน่นอนว่ามันทำให้คนหน้าบางอย่างผมหน้าแดงวาบจนต้องหันหลังเดินหนี
เขินโว้ย
.
.
“Baka...”
กลุ่มนักบอลมหาลัยกอดคอบูมมหาลัยเสียงดังลั่นเพื่อปลุกขวัญกำลังใจไม่ต่างจากพวกผู้จัดการทีม และกลุ่มนักวิทยาศาสตร์การกีฬา นักกายภาพ และกลุ่มวิชาชีพอื่นๆ ที่มีส่วนร่วมในการดูแลนักกีฬา ผมเห็นความฮึกเหิมในแววตาของกลุ่มคนเหล่านั้นแล้วรู้สึกตื่นเต้นไปด้วย
ไม่รู้หรอกว่าผลจะออกมาแพ้หรือชนะ
อย่างน้อยตอนนี้ก็ถือเป็นกำลังใจสำหรับคนทำงานเบื้องหลังทั้งหมดแล้ว การกระตุ้นด้วยเสียงหรือคำพูดดีๆ เป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่ให้ผลดีแก่นักกีฬาซึ่งมีความตึงเครียดในเกมการแข่งขันอยู่แล้วว
“นวดกระตุ้นเลย ใกล้แข่งแล้ว”
รุ่นพี่ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์การกีฬาเดินมาบอกว่าพวกผมให้ไปนวดนักบอล เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อโดยเฉพาะส่วนขาให้เกิดความตื่นตัวเพื่อรับความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวจะถูกใช้งาน ไม่นานหลังจากนั้นก็มีคนมาเรียกนักบอลไปรวมตัวกันเพราะใกล้ถึงพิธีเปิดแล้ว
จังหวะนั้นผมยกนิ้วโป้งให้พี่ปั๊บทีนึง พี่มันเลยเดินมาตบบ่าผมเบาๆ ก็จะเดินรวมกลุ่มกับเพื่อนนักบอลออกไป ตอนที่ออกมาจากห้องพักเดินเข้าสู่สนาม ผมมองไปรอบๆ อัฒจันทร์ตอนนี้แสตนเชียร์ทั้งสองมหาลัยเต็มหมดแล้ว ส่วนแสตนผู้นั่งชมที่เป็นศิษย์เก่าก็ไม่มีพื้นที่ว่างเลย
งานที่เตรียมตัวมาเกือบทั้งเทอมกำลังจะสิ้นสุดแล้ว
หลังพิธีเปิดและแนะนำตัวนักกีฬารวมถึงผู้จัดการทีมทั้งหมดแล้ว กรรมการก็เสี่ยงทายในการเปิดบอล
เกมเริ่มแล้ว
ผมกับพี่อุ้มแทบนั่งไม่ติด สายตาของพวกเรามองไปยังสนามกีฬาที่ฝั่งหนึ่งผู้เล่มสวมใส่ชุดสีชมพู อีกฝั่งเป็นชุดสีแดงเหลือง ภาวนาว่าอย่าให้มีการบาดเจ็บในทีมเราเพราะการเล่นสูสีและน่าหวาดเสียวซะเหลือเกิน
“กรี๊ดดดด”
เสียงโห่ร้องดีใจของคนทั้งสนามดังขึ้นเมื่อทีมหนึ่งทำประตูได้ ผมเองก็กระโดดจนตัวลอยหลังจากพี่ปั๊บเกี่ยวบอลไปหน้ากรอบเขตโทษแล้วซัดบอลทำประตูได้สำเร็จ จังหวะนั้นพวกผู้นำเชียร์และคทากรที่อยู่ไหนก็ตามต้องวิ่งไปประจำที่แสตนเชียร์มหาลัยตัวเองเพื่อบูมมหาลัย เอาเป็นว่าจังหวะนี้ผมนึกเห็นใจกลุ่มคนเหล่านั้นมาก เพราะต้องวิ่งทุลักทุเลมาแต่ไกล สภาพที่เห็นนั่นอดขำไม่ได้ ผมเองซึ่งเห็นแผ่นหลังพี่เซียนจากที่ไกลๆ ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้เหมือนกัน
พี่เซียนก็ยังเป็นพี่เซียน คนที่ทำหน้าตัวเองให้ดีที่สุด ผมนึกถึงตอนที่มันช่วยงานดรออิ้งอาจารย์ตอนประกวดออกแบบยานยนต์ที่ฝ่ายนั้นอดหลับอดนอนจนกว่างานจะเสร็จสมบูรณ์
“กรี๊ดดดด”
พวกผมดีใจได้ไม่นานหรอก ดูเหมือนมหาลัยคู่แข่งก็ตีเสมอได้แล้ว ผมภาพบรรยากาศความสนุกตรงหน้าแล้วรู้สึกดีบอกไม่ถูก โคตรชอบบรรยากาศการเชียร์แบบนี้เลย
“นั่นรุ่นพี่คทากรนี่”
ผมมองตามนิ้วชี้พี่อุ้มที่ชี้ไปยังรุ่นพี่คนหนึ่งที่เดินมาตรงหน่วยปฐมพยาบาล
“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าวะ”
“เหมือนมีคนบาดเจ็บ”
“ใครอ่ะ”
กลุ่มนิสิตนักกายภาพกำลังจับกลุ่มสนทนา
“ได้ยินว่าบอร์ดล้มทับคทากรคนหนึ่ง”
“หา”
“โดนขาเต็มๆ เลย คงเจ็บน่าดู”
ผมใจหายวาบ เพราะนึกกระหวัดถึงคนรักรุ่นพี่ ถ้าผมมองไม่ผิดเหมือนตอนที่พี่เซียนวิ่งมาบูมที่แสตนก่อนหน้านี้ ผมเห็นพี่มันขากระเผลก
“ใครวะ”
“คนที่ดังๆ มีเพจทวงคืนอะไรนั่นน่ะเหรอ”
ผมหูตั้งเลยทีนี้
“แล้วเขาเป็นอะไรมากรึเปล่าล่ะ”
“คงปวดแหละ เพราะมีรุ่นพี่มาขอยากับพวกน้ำแข็งไปประคบ”
“...”
“แต่อีกนานกว่างานจะจบ จะทนไหวมั้ย”
ผมเม้มปากแน่น ทั้งที่ใจสั่นไหว ตอนนั้นไม่ทันได้คิดอะไร เลยบอกพี่อุ้มว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แต่จริงๆ ผมวิ่งฉิวไปทางกลุ่มคทากรโน่นเลย ภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอาผมใจหายวาบ พี่เซียนนั่งแปะอยู่กับพื้นมีน้ำแข็งประคบอยู่ตรงหัวเข่า ท่าทางดูเจ็บไม่น้อย
“พี่...”
“เปียว”
“เจ็บมากมั้ย”
ผมตรงมานั่งทรุดตัวใกล้อีกฝ่าย
“นิดหน่อยน่ะ”
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้น”
“มีบอร์ดล้มมาพอดีเกือบโดนเด็กปีหนึ่ง ไอ้เซียนมันตาไวเห็นทัน มันเลยเจ็บแทน”
รุ่นพี่คนหนึ่งเล่าให้ฟัง
“กูไม่เป็นอะไรหรอกเปียว”
“...”
“ประคบน้ำแข็งแล้วน่าจะดีขึ้น”
ต่อให้พูดยังไง ผมก็ไม่สบายใจอยู่ดีนั่นแหละ
“แน่ใจนะ”
“ครับ”
พี่เซียนบีบมือผมเบาๆ
“อีกซักพักกูก็วิ่งได้แล้ว”
พี่เซียนโกหก
อีกสักพักตรงที่เจ็บจะบวมและอักเสบอย่างแน่นอน และที่สำคัญพี่มันพักไม่ได้ด้วย เพราะงานยังไม่เลิก ถ้าถอนตัวไปแล้วที่ซ้อมมาตลอดคงสูญเปล่า
“กูไหวเปียว”
“ยังไงประคบน้ำแข็งบ่อยๆ นะ”
ผมจำใจพูด เพราะพี่อุ้มโทรตามแล้ว ผมต้องกลับไปช่วยทีมบอลต่อ
“ไม่ต้องห่วง กูไหว”
“...”
“กูรู้ว่ามึงห่วง แต่ถ้าไม่ไหว กูสัญญาว่าจะไม่ฝืนตัวเองเด็ดขาด”
พี่เซียนพูดเสียงหนักแน่น ผมเลยพยักหน้าหงึกหงักบีบมืออีกฝ่ายแรงๆ ก่อนจะตัดสินใจผละออกมา
.
.
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะความสนใจของผมไม่ได้จดจ่ออยู่ที่เกมการแข่งขันแล้ว การที่บอลผลัดกันทำประตูทำให้พวกคทากรกับผู้นำเชียร์ต้องวิ่งมาบูมที่หน้าแสตนเชียร์บ่อยมากจนผมนึกกังวลอาการบาดเจ็บของพี่เซียน
“มึงเหม่ออะไรวะเปียว”
พี่อุ้มถามขึ้นเมื่อเห็นผมชะเง้อชะแง้ไปทางอื่นไม่หยุด
“ขอน้ำแข็งหน่อย”
รุ่นพี่คนหนึ่งก็ตะโกนขอน้ำแข็ง ผมเลยขยับลุกขึ้นเพราะอยู่ใกล้ลังน้ำแข็ง พี่อุ้มถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเห็นสีหน้าผมก่อนจะช่วยผมเทน้ำแข็งใส่ถุง สีหน้าผมคงไม่สู้ดีนักเพราะมีเรื่องราวในใจให้ขบคิด ผมฝืนยิ้มให้ลุงรหัสตัวเองก่อนจะเดินหิ้วถุงใส่น้ำแข็งไปยื่นให้รุ่นพี่
“ฝากประคบให้ไอ้ปั๊บที”
พี่แกปุ้ยปากไปยังนักบอลที่นั่งเจ็บอยู่ข้างสนาม พี่ปั๊บพี่ชายข้างบ้านผมยิ้มให้ผมนิดๆ ก่อนจะชี้จุดให้ผมเอาน้ำแข็งประคอง พี่แกถูกเปลี่ยนตัวออกแล้วเพราะอีกไม่กี่นาทีจะหมดเวลาการแข่งขัน ผมเลยดันแกให้นอนราบไปกับพื้นก่อนจะจับยกเท้าขึ้นเล็กน้อยแล้วเอาน้ำแข็งประคบบริเวณที่เจ็บ ซึ่งหลักการปฐมพยาบาลข้อเท้าพลิกมีสี่ขั้นตอนง่ายๆ คือ พัก เย็น พัน และยก ตามหลักแล้วหากเกิดการบาดเจ็บคือขั้นแรกควรพักบริเวณที่เจ็บ ต่อมาคือใช้ความเย็นจากน้ำแข็งประคบบริเวณนั้นเพื่อลดอาการบวมช้ำและทำให้เส้นเลือดที่ขยายจากการฉีดขาดหดตัวลง หลังจากนั้นให้พันน้ำแข็งกับบริเวณที่เจ็บเป็นการรัดให้เพื่อลดบวม สุดท้ายคือการยกบริเวณส่วนที่เจ็บขึ้นสูงให้เลือดได้ไหลเวียนสะดวก
เนื้อหาวิชาเหล่านี้เป็นพื้นที่คณะผมต้องเรียนรู้ตั้งแต่แรกๆ เพราะเป็นพื้นฐานการปฐมพยาบาลของกีฬาแทบจะทุกประเภท คิดถึงตรงนี้แล้วผมอดห่วงใครบางคนไม่ได้ ป่านนี้ยังไม่ได้พักเลยมั้ง
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ได้ข่าวว่าพวกคทากรบาดเจ็บเหรอ”
ผมพยักหน้าหงึกหงัก
“อย่าบอกนะว่าคือไอ้เซียน”
“ครับ”
ผมรับคำด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนะ
ปี๊ดดดด
เสียงนกหวีดเป่าหมดเวลาการแข่งขันแล้ว หัวใจผมสั่นไหวขึ้นมาทันที
“ไปสิ”
พี่ปั๊บปุ้ยปากไปยังหน้าแสตนเชียร์ที่พวกคทากรรวมกลุ่มกันอยู่
“แต่ว่า...”
“ใจมึงไม่อยู่ตรงนี้แล้ว ไปเถอะ”
“ขอบคุณนะพี่”
คราวนี้ผมวิ่งฉิวสวนพี่อุ้มพี่เดินมาทางนี้พอดี ผมไม่รู้ว่าสีหน้าตัวเองในตอนนี้เป็นยังไง แต่การที่เห็นพี่เซียนยืนยิ้มรอท่าผมอยู่ตรงนั้นแล้วโคตรรู้สึกดีเลย
“กำลังรอเลย”
“รออะไร”
“รอให้มึงมาพันแผลให้”
ผมหลุดยิ้มออกมาก่อนจะกระตุกแขนให้พี่มันนั่งลง
“เจ็บมากมั้ย”
“ไม่แล้ว”
“...”
“ห่วงกูมากเหรอ”
“ผมวิ่งหน้าตั้งมาขนาดนี้ คงไม่ต้องตอบแล้วมั้งครับ”
พี่เซียนหัวเราะร่วน แววตาที่มองกันแบบนี้ ทำให้ผมรับรู้ได้ว่าโคตรพิเศษจริงๆ
- J E E B -
หลังพิธีปิดงานบอลนั้นตรงแสตนเชียร์มีเวทีเล็กๆ ถูกจัดเตรียมขึ้น ไม่นานหลังจากนั้นวงดนตรีมหาวิทยาลัยก็ขึ้นแสดงเพื่อเป็นของขวัญให้กับนิสิตที่นั่งแสตนเชียร์ของมหาวิทยาลัย และเปิดให้ศิษย์เก่าศิษย์ปัจจุบันมาร่วมสนุกด้วยกันหน้าเวที ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดมิดจนสปอร์ตไลท์ถูกจุดขึ้นจนสว่างไสวไปทั่วสนาม ตรงมุมหนึ่งนั่นผมเห็นพี่ปั๊บเดินจับมือไอ้อ๋องมาแต่ไกล
ส่วนไอ้เพื่อนข้างห้องผมนั่นมันเห็นผมแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นมันยังไม่ปล่อยมือที่จับกุมกับพี่รหัสผมออกเลย จนกระทั่งทั้งสองเดินมาหยุดอยู่ใกล้ๆ กันผมเลยอดที่จะกระแซะถามมันไม่ได้
“ยังไงๆ”
ไอ้อ๋องทำหน้ายิ้มๆ
“ก็อย่างที่เห็น”
“กูดีใจที่มึงเปิดใจให้พี่รหัสกูนะอ๋อง” ผมกระซิบบอกมันเบาๆ “พี่กูเป็นคนดี กูรับรองว่าเขาจะทำให้มึงพบเจอแต่สิ่งดีๆ”
“กูก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่อยู่กับพี่เขาแล้วกูรู้สึกดี”
“...”
“ดีมากๆ”
มันแอบเหลือบตามองคนข้างกายที่ติดพันจากการถูกรุ่นน้องผู้หญิงกลุ่มหนึ่งขอถ่ายรูปอยู่
“ดีจนไม่อยากเสียไปเลย”
“งั้นก็รักษาเอาไว้”
ผมตั้งตัวเป็นกูรูทันที
“ถ้ารู้สึกดีกับใคร อย่าปล่อยให้เป็นแค่ความรู้สึก มึงทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะได้ไม่เสียเขาไป”
ไอ้อ๋องยิ้มเขินๆ ให้ผม เพราะตอนนั้นพี่ดลเดินมาสมทบแล้วมือข้างหนึ่งแตะหลังมัน เลเวลการแตะเนื้อต้องเนื้อที่บ่งบอกสถานะกัน ทำให้ผมต้องกลั้นยิ้มตามเพื่อนสนิทตัวเอง
“ปล่อยสิวะ”
เสียงโวยวายของพี่อุ้มดังขึ้น พอเอี้ยวตัวไปดูจึงเห็นไอ้โต้งยืนคล้องคอพี่มันอยู่ ท่าทางแนบชิดกันจนมองออกถึงสถานะระหว่างกัน
ไอ้โต้งก็ยังเป็นไอ้โต้งที่ชัดเจนกับความรู้สึกตัวเอง ส่วนพี่อุ้มก็ยังขี้โวยวายเช่นเดิม แต่ผมรู้ดีว่าภายใต้เสียงบ่นนั่นแววตาพี่มันเต็มไปด้วยความสุขมากแค่ไหน ความรักมีวิธีการแสดงออกหลายรูปแบบจริงๆ อยู่ที่ว่าใครเป็นเจ้าของความรักนั้น แล้วเราแสดงความรักนั้นกับใคร
แต่ความรักทุกรูปแบบที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี...มันสวยงามเสมอ
‘รักใช่หรือเปล่า ใช่รักหรือเปล่า รักใช่หรือเปล่า ใช่รักหรือเปล่า โอ โอะ โอ โอ’
เพลงนั่น
ผมหันไปสบตากับพี่ปืน
‘บอกฉันที ให้มั่นใจ บอกฉันสิ ว่าไม่ใช่แค่ฝัน’
เพลงโปรดของผม เพลงที่พี่เซียนร้องให้ฟัง ในวันที่เราเปิดใจให้กัน
“คำตอบผม...คือท่อนฮุกของเพลงนี้...ไอ้พี่ยักษ์”
‘เธอเอาใจฉันไป เธอกุมมันเอาไว้ เธอเอาใจฉันไป โอ๊ะ โอ๊ะ โอ โอ โอ’
“พี่”
ผมน้ำตารื้อเลย
“รู้ไงได้ว่าวงจะเล่นเพลงนี้”
พี่มันขยิบตาให้ผมทีหนึ่ง
“มึงอาจจะไม่มั่นใจตัวเอง ชอบคิดว่าตัวเองด้อยกว่ากู จริงๆ แล้วกูต่างหากที่ควรคิดแบบนั้น มึงคงไม่รู้ตัวนะเปียว มึงน่ารักมากนะ กูเคยเห็นมึงชอบซื้อข้าวไปให้พี่แดงหมาที่คณะมึงบ่อยๆ มึงตั้งใจมากตอนที่ดูแลกู ตอนที่กูมาเทรนช่วยไอ้อุ้ม มีเสนอตัวช่วยเหลือเพื่อนมึงตลอด เพราะมึงเป็นแบบนี้ไง”
“...”
“มึงน่ารักแบบนี้ แล้วจะไม่ให้กูรักมึงได้ยังไง”
“...”
“เพราะกูชอบมึงเปียว ชอบมากถึงได้ขอจีบ”
“...”
“กูจะไม่จีบคนที่ไม่ได้ชอบ”
“...”
“กูรู้สึกกับมึงมากกว่าความชอบ ถึงไม่อยากปล่อยโอกาสนี้ไป จะทำทุกวิธีทางเพื่อให้มึงเปิดใจ เพราะมึงเอาใจกูไปแล้ว”
‘เธอเอาใจฉันไป เธอกุมมันเอาไว้ เธอเอาใจฉันไป โอ๊ะ โอ๊ะ โอ โอ โอ’
“เป็นแฟนพี่นานๆ นะ ไอ้ตัวกินมิ้นท์”
ผมพยักหน้าหงึกหงักตอนที่พี่เซียนเลื่อนปลายนิ้วมาปาดน้ำตาให้อย่างเอ็นดูไม่พอยังเนียนหอมหัวไปทีนึง
“ห้ามทิ้งผมเหมือนกันนะ ไอ้พี่ยักษ์”
วันวานของเราอาจจะเป็นความผูกพันเพราะความใกล้ชิด แต่เมื่อโตขึ้นความรู้สึกระหว่างเราชัดเจนขึ้น ความรักก็เช่นกัน หากเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสมมันย่อมทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน ผมมองไปที่พี่ดลกับไอ้อ๋อง และไอ้โต้งกับพี่อุ้ม ทุกคนมีเรื่องราวมากมายระหว่างทางกว่าจะจับมือกันได้ในทุกวันนี้ ผมนึกถึงคำสอนของคุณตาคุณยายที่สวนสาธารณะนั่น
คนที่ใช่ เวลาที่เหมาะสม ความเข้าใจ การให้อภัย
ทั้งหมดเป็นองค์ประกอบความรักที่ขับเคลื่อนสิ่งสวยงามบนโลกใบนี้
ผมหันมายิ้มให้พี่เซียนอีกครั้ง ขณะที่ฝ่ายนั้นรวบบ่าผมไปกอดเอาไว้ พวกเรานิ่งฟังเพลงนั้นและร้องคลอตามเนื้อเพลงไปด้วยกัน
ขอให้ทุกคนบนโลกใบนี้...พบเจอกับความรักดีๆ
‘เธอเอาใจฉันไป เธอกุมมันเอาไว้ เธอเอาใจฉันไป โอ๊ะ โอ๊ะ โอ โอ โอ’
[EnD]
__________________________________
เพลงเธอเอาใจฉันไป - 25hours ชอบก็Jeeb เดินทางมาถึงบทสรุปแล้วค่ะ
ขอบคุณนักอ่านทุกคนมากๆ ที่คอยเม้นท์ให้กำลังใจและสนับสนุนผลงานเรามาตลอดนะคะ
ชอบก็jeeb เขียนตอนที่เรากำลังเหนื่อยล้ากับอะไรบางอย่าง ทำให้หลายครั้งเราเกเรหายไปบ่อยๆ ถี่บ้าง น้อยบ้างแล้วแต่อารมณ์ในตอนนั้น ซึ่งมันส่งผลต่องานเขียน เรายอมรับว่ามันอาจจะไม่สนุกหรือสมูทเหมือนเรื่องอื่นๆ แต่เราคิดว่าเราทำมันดีที่สุดแล้ว ณ ตอนนี้ที่เรากำลังแบกรับความคาดหวังบางอย่าง เราเต็มที่กับมันแล้วค่ะ เราหวังว่าคนอ่านคงได้ยิ้มและหัวเราะไปกับชอบก็Jeeb ไม่มากก็น้อย ขอบคุณนะคะที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้ ขอบคุณที่พิมพ์ข้อความดีๆ ให้กำลังใจกัน มันมากค่ากับเรามากนะคะ ในช่วงเวลาที่หมดเรี่ยวแรง หรือหมดไฟในการทำงาน ข้อความเหล่านั้นช่วยเราได้มากเลยค่ะ
พบเจอกันใหม่เรื่องหน้านะคะ ช่วงนี้ขอหยุดพักไปหาแรงบันดาลใจก่อน