พิมพ์หน้านี้ - ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: [Karnsaii] ที่ 24-12-2019 12:21:24

หัวข้อ: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 24-12-2019 12:21:24
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

---------------------------------------------------

                                                   ผลงานในเล้าเป็ดเรื่องอื่นๆ
                                                    นิยาย  
                                                   1.  บ้านไร่ปรายรัก [Complete]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41713.0)                                                                   
                                                   2. ● รักข้างเดียว ● [ One-side love] [Complete]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42065.msg2702144#msg2702144)
                                                   3. ll เล่นเพื่อน ll [Complete]  (https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44015.0)
                                                   4. หลงกาว(น์) [Complete]   (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52332.0)
                                                   5. ❤ค่ายสร้างรัก❤ [Complete]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58387.0)
                                                   6. พราน ‘ล่อ’ เนื้อ [Complete]  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56929.msg3534807#msg3534807)
                                                   7. ▲▼Return To Love ▲▼ [Complete]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63551.0)
                                                   8. ✪ You're my sky : #จุดหมายคือท้องฟ้า ✪ [Complete]  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67604.msg3851216#msg3851216)
                                                   9. ☘ ป่าห่มรัก ☘ [Complete]  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69353.0)
                                                    เรื่องสั้น                                                                                                     
                                                   1.  เรื่องสั้น .... - [ แสนชัง ] - [Complete]  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42518.0)
                                                   2. [เพราะอกหัก...รักจึงบังเกิด] [Complete]  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51014.0)
                                                   3.   ҉    วันวานยังหวานอยู่    ҉   [Pause]  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51622.0)

---------------------------------------------------


#ชอบก็Jeeb
                                                 
(https://uppic.cc/d/5apT) (https://uppic.cc/v/5apT)

‘ศกัณฐ์ เตชะวรลักษณ์’
ปี3  วิศวเครื่องกล สาขายานยนต์

'มึงไม่รู้เหรอว่าวิศวะฯ นอกจากมีเกียร์ก็มีพี่เซียนนี่แหละ'

'รู้แต่ว่า มะเขือยาวยังดูดีกว่าหน้าพี่มึง'

'กูพนันได้เลย สักวันหนึ่งมึงแพ้ทางเซียน ศกัณฐ์แน่นอน'

'ไม่มีทาง'

---------------------------------------------------


**เราลงนิยายทุกวันจันทร์นะคะ**
ติดตามพูดคุยกันได้ที่นี่นะคะ
Fanpage :Karnsaii (https://www.facebook.com/karnsaii/)
Twitter:  Karnsaii_Novel (https://twitter.com/Karnsaii)

หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l Intro l 24/12/62 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: zenesty ที่ 24-12-2019 16:16:26
หายไปไหน
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่1 l 24/12/62 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 24-12-2019 18:41:29
‡ ชอบก็ ‘JEEB’ ‡

- จีบที่1 -




ฝันดี

ผมขอนิยามความรู้สึกอุ่นๆ ในอกที่อยู่ในห้วงแห่งความฝันนี่ว่า “ฝันดี” โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ารู้สึกว่าความฝันนั้นเป็นความทรงจำพิเศษที่ติดอยู่ในห้วงความทรงจำมาตลอด ใครกันเล่าอยากจะตื่นจากความฝันที่ว่า และฝันดีของผมคือการที่เห็นภาพความทรงจำในวันวาน

ภาพเด็กน้อยร่างเล็กแกรนคนหนึ่งกำลังนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นมือทั้งสองยกขึ้นปาดน้ำตาที่อาบเต็มร่องแก้ม สีหน้าเหยเกเพราะรู้สึกเจ็บแผลตรงหัวเข่าที่ตัวเองวิ่งหกล้มจนหัวเข่าครูดไปกับพื้นถนน

แน่นอนว่าบาดแผลเลือดไหลซิบนั่นทำให้เด็กน้อยขวัญเสียจนร้องไห้ จนกระทั่งร่างของเด็กอีกคนเดินมาหยุดยืนเบื้องหน้า ร่างของเด็กหนุ่มวัยกำลังโตนั่นสูงพอจะยืนบังแดดให้กับคนเสียขวัญ ผู้มาใหม่ทำหน้ายุ่งยากใจกอดอกเลียนแบบกิริยาของผู้ใหญ่ก่อนถอนหายใจออกมา

“หยุดร้อง”

มือที่เพียรปาดน้ำตาให้ตัวเองของร่างเล็กแกรนหยุดชะงักก่อนจะเงยหน้าหยีตาเมื่อแสงแดดส่วนหนึ่งสาดมากระทบดวงตา คนตัวโตกว่าจึงขยับเบี่ยงตัวไปอีกทางเพื่อบังแสงแดดนั่น

“เป็นผู้ชายอะไรร้องไห้”

“ก็หนูเจ็บ”

เด็กน้อยขี้แงเบะปากทันที

“ตัวขนาดนี้ไม่หนูแล้ว”

เด็กที่ยืนอยู่โน้มตัวลงมาจนใกล้

“แบบนี้เรียกหมู”

“ฮือออ”

พูดจบคนถูกแหย่ก็ร้องไห้โฮจนอีกฝ่ายเกาหัวแกรกๆ ทำหน้าไม่ถูก สุดท้ายคนที่โตกว่าจึงทรุดตัวนั่งข้างกับเด็กขี้แงนั่น

“ร้อนตูดชะมัด”

คนตัวโตบ่นพึมพำก่อนจะล้วงเข้าไปในกางเกงเนื้อดีแล้วควักเอาบางอย่างมายื่นให้คนที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น

“อ่ะ”

เด็กขี้แงทำหน้างงไม่เข้าใจ

“ให้”

คนตัวโตกว่าทำหน้าหงุดหงิด

“พี่ให้หนูเหรอ”

“เออ”

“รับไปสิ มานี่เดี๋ยวแกะให้เลย กินแล้วต้องหยุดร้องไห้นะ”

คนที่ถูกล่อด้วยของกินพยักหน้าหงึกหงัก

“หยีน้ำมูกไหล”

ฝ่ายที่แกะซองห่อลูกอมให้ทำหน้าขยะแขยงแต่ถึงอย่างนั้นก็ยื่นชายเสื้อตัวเองให้อีกฝ่ายเช็ดน้ำมูก

“อร่อยฮะ”

หลังจากถูกป้อนด้วยลูกอมรสมินท์ สีหน้าคนงอแงก็ดีขึ้น ดวงตาคู่นั้นมองพี่ชายแปลกหน้าที่ใจดีกับตัวเองอย่างชอบใจ

“ย้ายที่นั่งเหอะ นั่งกลางแดดมันร้อน”

แต่อีกฝ่ายดูเหมือนไม่ได้ให้ความสนใจ ผุดลุกขึ้นฉุดแขนร่างแกรนให้ลุกขึ้นเดิน

“พี่ชายลูกอมอร่อยจัง มีอีกมั้ยฮะ”

ฝ่ายนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะจูงแขนอีกฝ่ายให้เดินเคียงข้างกัน

“บ้านอยู่ไหนเดี๋ยวไปส่ง”

“ตรงซอยข้างหน้าฮะ”

“เดี๋ยวถึงบ้านจะให้ลูกอมที่เหลือ”

ดวงตาคู่เล็กเป็นประกายทันที จนกระทั่งทั้งคู่เดินมาถึงรั้วบ้านไม้สีฟ้าตัดกับตัวบ้านสีขาวสะอาดตา

“นี่บ้านหนู”

“อืม”

คนตัวโตกว่ายื่นลูกอมรสมินท์ที่เหลือให้อีกฝ่าย

“นี่เรียกว่าลูกอมมายมินท์ แต่รสชาติเหมือนยาสีฟันเนี่ยนะอร่อย” คนให้บอกก่อนจะยักไหล่ “ถ้าชอบก็เอาไปให้หมดเลย อันนี้ของน้องสาวมันติดกระเป๋ามา”

“ขอบคุณฮะพี่ชายใจดี”

“รีบเข้าไปได้ทำแผลได้แล้ว เดี๋ยวเลือดก็หมดตัวซะก่อนหรอก”

“ฮะ”

คนได้ของกินพยักหน้ารับอย่างแข็งขันก่อนจะรีบวิ่งเข้าบ้าน แต่จังหวะนั้นนึกอะไรออกจึงหันไปตะโกนถามแผ่นหลังที่กำลังจะผละออกไป

“พี่ชายใจดีชื่ออะไรฮะ”

ฝ่ายนั้นชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะกดยิ้มมุมปากก่อนจะตอบ

“ยักษ์”

“คนอะไรชื่อยักษ์”

คนน้อยเกาหัวแกรกๆ มองเจ้าของชื่อประหลาดอย่างไม่เข้าใจ

“พี่ชายไม่ได้มีเขี้ยวเหมือนยักษ์ทศกัณฐ์สักหน่อย”

เจ้าของชื่อยักไหล่อีกครั้งก่อนจะผละออกไป เด็กน้อยมองตามแผ่นหลังนั่นไปจนลับตาก่อนจะทำหน้าเสียดาย

“ถามแต่ชื่อพี่ยักษ์ ยังไม่ได้บอกชื่อตัวเองเลย”

เด็กน้อยพึมพำเหม่อไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้าแล้วถอนหายใจออกมา

“ผมชื่อเปียวนะฮะ”

“...”

“เปียว ปัณณกิตชอบกินลูกอมมายมิ้นท์ของพี่ยักษ์มากเลยฮะ”

.

.

.

ผมสะดุ้งตื่นตอนที่แสงแดดยามเช้าซึ่งลอดผ่านม่านหน้าต่างที่ไม่ได้รูดปิดเมื่อคืนเข้ามา ผมลูบหน้าตัวเองแรงๆ ก่อนจะผ่อนลมหายใจเมื่อรู้สึกว่าหัวใจตัวเองเต้นรัว

ฝันถึงเรื่องตอนเด็กอีกแล้ว ผมยิ้มน้อยๆ เหลือบตามองไปยังโต๊ะที่วางโคมไฟข้างเตียงซึ่งมีลูกอมยี่ห้อหนึ่งวางอยู่ตรงนั้น

ลูกอมมายมิ้นท์

“อยู่ๆ ทำไมถึงฝันเรื่องนี้วะ”

“...”

“ป่านนี้ไอ้พี่ยักษ์มีลูก มีเมียไปแล้วมั้ง”

คนที่หวนนึกถึงอดีตพูดขำๆ จำได้ว่าตอนเด็กๆ ย้ายตามพ่อไปอยู่เชียงใหม่ช่วงหนึ่ง ช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอมเลยบังเอิญได้รู้จักไอ้พี่ยักษ์ซึ่งมาเยี่ยมปู่ย่ากับครอบครัวที่บ้านอยู่ระแวกเดียวกัน ตอนเด็กนั้นมาก ความทรงจำถึงได้เลือนๆ ลางๆ  แต่ที่จำไม่ลืมก็เรื่องที่ผมร้องไห้งอแงหนักตอนที่พ่อกับแม่บอกว่าจะย้ายบ้าน เพราะมีคำสั่งให้พ่อไปรับตำแหน่งที่จังหวัดอื่น

ผมจำได้ดีว่าร้องไห้เสียใจมากเพราะจะไม่ได้เจอไอ้พี่ยักษ์อีก

เฮ้อ กี่ปีแล้วนะที่ไม่ได้เจอกัน

คิดถึงตอนนั้นชะมัด

ผมยักไหล่ก่อนจะปัดความทรงจำวัยเยาว์ทิ้งไปแล้วผุดลุกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ดังขึ้น แล้วเดินดิ่งไปคว้าเอาผ้าเช็ดตัวที่ตากไว้ตรงระเบียงหอพัก จังหวะที่เลื่อนประตูกระจกตรงระเบียงออกกลิ่นฉุนกึกก็ลอยมาประทะจมูกทันที

ไม่ต้องเดาให้ยาก

ผมหันขวับไปตามกลิ่นนั้นทันเห็นเพื่อนข้างห้องที่ระเบียงติดกันเหลือบตามองมาทางนี้พอดี ก่อนที่มันจะดับบุหรี่ในมือด้วยการทิ่มไปกับกระถางทรายแถวนั้น

“สูดมะเร็งแต่เช้าเลยนะ”

มันโคลงศีรษะก่อนจะทำเสียงจิ๊ปาก

“เรื่องอะไรมาแช่งกูไอ้เปียว”

ไอ้เวรที่เป็นทั้งเพื่อนข้างห้องและเพื่อนสนิทของผมยักไหล่ทันที พูดตรงๆ นะ ผมว่ามันเป็นผู้ชายที่หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูไม่น้อย แต่คำพูดที่พ่นออกจากปากมันนี่ทำให้ความน่ารักของมันหายวับเลย

“เพลาๆ บ้างเหอะอ๋อง”

“...”

“กูเห็นมึงสูบบ่อยมากนะช่วงนี้ มีเรื่องเครียดอะไรนักหนาวะ”

มันยักไหล่อีกครั้ง

“อีกอย่างนะเว้ยมันเหม็น”

ไอ้อ๋องชะงักไปแล้วถอนหายใจแรงๆ เพราะมันรู้ดีว่าผมไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ ถ้าดมมากๆ เข้าก็จะแพ้ผื่นขึ้นในบางครั้ง

“โทษทีว่ะ”

“...”

“กูจะพยายามเพลาๆ กูลืมไปว่ามึงแพ้กลิ่นมัน”

มันว่าพร้อมกับคว้าผ้าเช็ดตัวพาดไหล่เดินเข้าห้องตัวเองไป

“เลิกได้ก็ดี”

ผมตะโกนตามหลังมันไปแล้วส่ายหัวเพราะพอจะรู้มาบ้างว่าเพื่อนสนิทมีปัญหาเรื่องที่บ้านแต่มันไม่ค่อยปริปากเล่าอะไรให้ฟังหรอก คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วคว้าเอาผ้าเช็ดตัวไปอาบน้ำบ้าง ทุกเช้าๆ ผมจะอาศัยซ้อมซูซูกิสีดำของไอ้อ๋องไปเรียนทุกวัน หลังจากสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองในชุดนิสิตแล้วผมก็รีบคว้ากระเป๋าแล้วปิดประตูห้องทันทีเมื่อได้ยินเสียงห้องข้างๆ เปิดประตู

ไอ้อ๋องโยนหมวกกันน็อคให้ผมตอนที่เปิดประตูออกไปเจอมัน

“สายแล้ว เมื่อกี้ไอ้ห่าโต้งไลน์มาว่ามันถึงคณะแล้ว”

มันทำหน้าแปลกใจ

“รอคณะเราเหรอวะ”

“อือ”

ผมเองก็ประหลาดใจไม่แพ้มันหรอก เพราะ ‘ไอ้โต้ง’ เพื่อนสนิทอีกคนมันเรียนคนละคณะกับพวกผม ซึ่งคณะของมันอยู่ตั้งฝั่งใหญ่โน่น แต่ดันถ่อมากินข้าวที่คณะผมซึ่งอีกฝั่งได้เกือบทุกวัน

“มันเรียนวิศวะฯ ไม่ใช่เหรอ ทำไมถ่อมากินซะไกล”

ผมโคลงศีรษะไปมา

“สงสัยมันติดใจไก่ทอดป้าสมศรีรึเปล่าวะ”

ป้าสมศรีที่ว่าเป็นเจ้าของร้านขายไก่ทอดขึ้นชื่อที่คณะของผม ทั้งผมและไอ้อ๋องต่างพากันยักไหล่เพราะไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เดือนปีหนึ่งคณะวิศวะฯ หอบสังขารมากินข้าวเช้าที่คณะผมบ่อยๆ



- J E E B -



โรงอาหารที่คณะผมยามเช้าคนเยอะจนแทบไม่มีที่นั่งเนื่องจากเป็นโรงอาหารรวมของสามคณะซึ่งไปประกอบไปด้วยคณะจิตวิทยา คณะสหเวชฯ และคณะผม (วิทยาศาสตร์การกีฬา) บรรยากาศหนาตาเต็มไปด้วยผู้คนจนมองไม่เห็นโต๊ะที่นั่งว่างเลย ผมหันซ้ายหันขวาอยู่พักหนึ่งก่อนที่สายตาจะเหลือบไปปะทะกับร่างสูงของเพื่อนสนิทที่นั่งเด่นเป็นสง่าอยู่โต๊ะๆ หนึ่ง ผมคงมองหามันไม่ง่ายขนาดนี้หากไม่ใช่เพราะหมอนั่นตัวสูงตั้งร้อยแปดสิบกว่าขนาดเวลามันนั่งยังเห็นเด่นชัด ซ้ำโต๊ะที่มันนั่งนั่นมีแต่สาวๆ แวะเวียนมาทักและขอถ่ายรูปกันไม่ขาดสาย

“หล่อนักนะไอ้ห่าโต้ง”

ผมทักมันพอดีกับที่โอ้โต้งถ่ายเซฟฟี่กับสาวๆ กลุ่มหนึ่งเสร็จ ไม่แปลกหรอกหากไอ้เวรนี่จะเป็นคนดังที่ใครๆ ต่างก็รู้จักเพราะมันเป็นเดือนคณะวิศวะฯ ซ้ำยังเป็นหนึ่งใน ‘คทากร’ ที่จะทำหน้าที่ถือคทาเดินนำขบวนพาเหรดในงานฟุตบอลประเพณีระหว่างมหาลัยผมและมหาวิทยาลัยแถวรังสิตที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้

แน่นอนว่าหนังหน้าอย่างมันโผล่มาแถวคณะผมย่อมเป็นที่สนใจของสาวๆ ไม่มากก็น้อย

“พวกมึงมาช้า กูจะเดินไปสั่งข้าวจานที่สองแล้ว”

ผมเหลือบตามองข้าวในจานมันที่พร่องไปกว่าครึ่งแล้ว

“ระวังพุงมึงออกแล้วสาวไม่กรี๊ดนะ”

ไอ้อ๋องเอ่ยแซว

“ให้กินกูเถอะ ซ้อมคทากรแต่ละวันกูเหนื่อยจะตาย”

ผมพยักหน้ารับหงึกหงักเพราะได้ยินมันบ่นเรื่องซ้อมคทากรในช่วงเย็นของแต่ละวันหนักหน่วงพอสมควร

“เหนื่อยขนาดนี้ก็ยังถ่อมากูข้าวที่คณะกูได้เนอะ”

ผมหันไปพยักพเยิดกับไอ้อ๋อง

“ติดใจอะไรกับข้าวที่คณะกูนักหนาว่า วิศวะฯ กับวิทย์กีฬาห่างกันคนละโยชน์เลยนะ”

คนถูกถามไม่ตอบในทันทีมันแค่ยักไหล่ ท่าทางแบบนั้นทำให้หรี่ตามองด้วยความสงสัยแต่ยังไม่ทันจะได้คาดคั้นเอาคำตอบจากเพื่อนสนิทหรอก พอดีร่างคุ้นตาของลุงรหัสผมเดินถือจานข้าวมาแต่ไกล แต่เพราะตอนเช้าที่คับคั่งไปด้วยประชากรนิสิตสามคณะ โต๊ะว่างจึงหาได้ยากจนพี่แกทำหน้าเซ็งๆ

“พี่อุ้มทางนี้”

คนถูกเรียกผินใบหน้ามาทางนี้ก่อนจะขยับรอยยิ้ม คนในเสื้อกีฬาปกสีส้มสวมกางเกงบอล ไหล่ข้างหนึ่งสะพายกระเป๋ากีฬาเลยเดินตรงมาทางผม จังหวะที่ผมขยับที่นั่งเพื่อให้เพิ่มพื้นที่ให้ลุงรหัส แวบหนึ่งผมเห็นไอ้ห่าโต้งขยับรอยยิ้มที่มุมปาก

“โรงอาหารตอนเช้าคนโคตรเยอะ”

พี่แกพูดขึ้นหลังจากรับไหว้พวกผมก่อนจะทำหน้าเหม็นเบื่อเมื่อเห็นไอ้โต้งซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยักคิ้วให้

“โรงอาหารคณะมึงไม่มีข้าวกินเหรอ”

ลุงรหัสผมพูดขึ้น ขณะที่ไอ้เพื่อนเวรแค่ยักไหล่ ผมมองภาพตรงหน้าก่อนจะส่ายหัวเพราะมันเป็นภาพที่ชินตาซะแล้วเวลาที่พี่แกเห็นไอ้เดือนวิศวะฯ นี่โผล่หัวมาที่คณะผมทีไร สองคนนี่ไม่ค่อยจะกินเส้นกันเท่าไหร่ ถ้าให้พูดตรงๆ คือมีแต่สายรหัสปีสามของผมฝ่ายเดียวที่ไม่ชอบขี้หน้าไอ้โต้ง เพราะไอ้เวรนั่นเคยแซวส่วนสูงของพี่อุ้ม แน่นอนว่ามันทำให้ลุงรหัสผมโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ขณะที่คนชอบแหย่อย่างเพื่อนผมดันชอบใจซะอย่างนั้น

“มีพี่ แต่คณะผมกะเพราเนื้อไม่อร่อย”

ผมเหลือบตามองจานข้าวผัดกะเพราของพี่อุ้มทันที ก่อนคลึงขมับเพราะเห็นแววต่อล้อต่อเถียงกันระหว่างคนคู่นี้

“ทำไมของคณะมึงเป็นเนื้อหมาเหรอ”

ผมกับไอ้อ๋องหัวเราะทันที

“เปล่าพี่”

ไอ้โต้งยิ้มตาพราว มันจ้องใบหน้าขาวของพี่อุ้มก่อนกดยิ้มมุมปาก

“ผมว่าเนื้อคณะพี่น่าจะอร่อยที่สุด”

เดี๋ยวนะ! ที่มึงพูดถึงนี่เนื้อสัตว์หรือเนื้อคน ผมหรี่ตามองเพื่อนสนิทที่จ้องใบหน้าลุงรหัสผมไม่วางตา

สายตามันมองพี่อุ้มเหมือน...กำลังจ้องอาหาร

“ไอ้สัตว์”

พูดไม่พอพี่อุ้มแม่งยังชูนิ้วกลางให้อีกฝ่ายเป็นของแถม ขณะที่ไอ้เพื่อนเวรดันหัวเราะชอบใจจนไอ้อ๋องส่ายหัวแล้วผละออกไปซื้อข้าว

“เพื่อนมึงแม่งประสาทแดกว่ะเปียว”

พี่อุ้มส่ายหัวก่อนจะหันมาคุยกับผม

“มันมีได้แค่หน้าตาเท่านั้นแหล่ะพี่”

ผมเหน็บเพื่อนสนิทซึ่งๆ หน้าจนมันเบะปากให้ ระหว่างนั้นมีสาวๆ กลุ่มหนึ่งเดินมาขอไอ้โต้งถ่ายรูปผมเลยทันได้เห็นพี่อุ้มเบะปากใส่แผ่นหลังมันไป

“หมั่นไส้เพื่อนผมขนาดนั้นเลย”

“ถามจริงนะ”

พีรหัสปีสามเจ้าของส่วนสูงตามาตรฐานชายไทยพอดิบพอดีหันมาถามผม

“มึงคบไอ้เวรนี่ไปได้ยังวะ กวนตีนฉิบหาย”

ผมยิ้มน้อยๆ

“จริงๆ มันนิสัยดีนะพี่ แต่มันชอบหยอกชอบแซวเท่านั้นเอง”

พี่แกส่ายหัวแรงๆ

“ปากแบบนี้อ้อนตีนน่ะสิ” พี่แกเบะปาก “เออว่าแต่เย็นนี้อย่าลืมที่นัดนะ”

ผมพยักหน้าหงึกหงักเพราะเย็นนี้สายรหัสผมนัดเลี้ยงกันที่ร้านอาหารกึ่งผับใกล้ๆ มหาวิทยาลัยนี่แหละ เพราะตอนเปิดสายวันนั้นสายรหัสปีสี่ดันติดธุระมาไม่ได้ ฉะนั้นวันนี้พี่แกเลยจะเลี้ยงสายให้พวกผมอีกที

“มายมิ้นท์อีกแล้วเหรอวะ”

พี่อุ้มบุ้ยปากไปที่ลูกอมในมือที่ผมล้วงออกมาจากกระเป๋าเป้

“ของโปรดผมนี่พี่”

หยิบเข้าปากแล้วเคี้ยวรสมิ้นท์ที่สัมผัสได้ทำให้รู้สึกตื่นตัวและเย็นสบาย ที่สำคัญกินทีไรนึกถึงคนให้ครั้งวัยเยาว์ทุกที

“ชอบอะไรขนาดนั้นวะ”

“กินแล้วนึกถึงตอนเด็กๆ พี่”

คิดถึงคนให้ที่ใจดีพาเด็กขี้แงไปส่งถึงบ้าน และหลังจากนั้นยังอุตส่าห์แวะเวียนมาเล่นด้วย และทุกครั้งที่มามักจะมีลูกอมมายมิ้นท์ติดมือมาฝาก ไอ้พี่ยักษ์คงไม่รู้ว่านอกจากลูกอมรสนี้แล้วผลข้างเคียงจากความชอบนั่นทำให้ผมคลั่งไคล้ของกินแทบจะทุกชนิดที่เกี่ยวกับมิ้นท์ เรียกว่าเป็นสายมิ้นท์เข้าเส้นเลือดเลยก็ว่าได้

“ชอบเหมือนน้องสาวเพื่อนกู”

ผมทำหน้าสนใจ

“เพื่อนกูนะต้องซื้อของกินเกี่ยวกับมิ้นท์ไปให้น้องสาวมันประจำ กูว่าน้องสาวเพื่อนกูคงคลั่งมิ้นท์พอๆ กับมึงเนี่ยแหละ”

“...”

“แต่มึงรู้มั้ยว่าเพื่อนกูแม่งเกลียดมิ้นท์ฉิบหาย”

จังหวะที่กำลังนิ่งฟังพี่อุ้มเล่าอย่างตั้งใจผมรู้สึกผมว่าบรรยากาศในโรงอาหารพลันเงียบสงบไปชั่วพริบตา เสียงเซ็งแซ่จอแจหายไปราวกับหยุดเวลา ความสงสัยนั่นทำให้ผมกวาดสายตามองไปรอบโรงอาหารทันที

“พูดถึงไม่ได้เลยนะไอ้ห่า”

พี่อุ้มส่ายหัว

“โผล่หัวมาทำให้คณะกูวุ่นวายจริงไอ้ห่าเซียน”

หือ?

ผมมุ่นหัวคิ้วทันทีเมื่อได้ยินชื่อใครสักคนหลุดออกมาจากปากพี่แก แล้วความสงสัยของผมก็ได้คำตอบเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อช๊อปคณะวิศวะฯ สองคนเดินเด่นปะปนกับคนอื่นมาแต่ไกล

หนึ่งในสองเป็นคือคนดังของภาคยานยนต์ที่ใครๆ ก็รู้จัก

“ไอ้เซียน ไอ้เดี่ยวทางนี้”

พี่อุ้มโบกมือเรียกสองคนนั่น แน่สิ ก็สองคนนั้นคือเพื่อนสนิทของลุงรหัสผม

“โต๊ะโน้นว่างพอดี เดี๋ยวกูย้ายไปนั่งโน้นนะ ตรงนี้คงนั่งไม่พอตัวควายๆ ของพวกมันคงเบียดเบียนที่นั่งของพวกมึงน่าดู”

ผมพยักหน้าหงึกหงักเอาจริงๆ ก็เคยเห็นเพื่อนสองคนนั้นของพี่อุ้มแวะมาที่คณะบ่อยๆ วันนี้คงแวะมากินข้าวเหมือนที่เห็นบ่อยๆ มั้ง ผมสรุปในใจก่อนจะผุดลุกขึ้นผละออกไปต่อแถวซื้อข้าว

“พี่เซียน”

สองสาวข้างหน้าที่ผมกำลังต่ออยู่ซุบซิบกันเสียงไม่เบาก่อนจะชี้ไม้ชี้มือไปที่ยังคนในหัวข้อสนทนา

“พี่เซียนจริงๆ ด้วย”

“ตัวจริงหล่อมาก”

“จริงแก ขนาดหน้าไม่ค่อยยิ้มยังดูดีขนาดนั้น”

ผมโคลงศีรษะแล้วอดคิดตามสองสาวข้างหน้านี้ไม่ได้ แวบหนึ่งผมเหลือบตามองไปยังคนในชุดเสื้อช๊อปที่ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะเดียวกับพี่อุ้ม ขนาดเห็นไกลๆ ยังรู้สึกว่าฝ่ายนั้นดูดีไม่น้อย

“แต่เสียดายมาก พี่เซียนมีเจ้าของแล้ว”

สองสาวตรงหน้าบ่นขึ้นอีกครั้ง

“จริงเหรอ”

“ก็ไอ้เพจนั่นไง”

ผมกดยิ้มมุมปากเพราะก่อนหน้านี้ตัวเองก็ไปกดไลท์เพจดังกล่าวมาแล้ว

ตึ้ง!

จังหวะนั้นเสียงแจ้งเตือนเพจซึ่งผมกดติดตามเอาไว้ก็เด้งขึ้น ผมจึงไม่รอช้ากดเข้าไปอ่านโพสซึ่งลงรูปชายหญิงยืนเคียงกันพร้อมข้อความ



เพจทวงคืนเหมียวมาริสาสมบัติสาธารณะจากเซียนศกัณฐ์

 ช่วงนี้คนเลิกกันเยอะนะ ไม่สนใจแยกกันบ้างหรือครับ



Comment

รักน้องเหมียวคนเดียว เหมือนน้องเหมียวถ่ายกับพ่อว่ะ

Sitt.Sita โฉมงามกับอสูรชัดๆ

โอชิน้องเหมียวคนเดียวในใจ ทุกคนอย่าตกใจไป จริงๆ น้องเหมียวกับผมคบกันสักพักแล้ว เซียนมันก็แค่ตัวหลอก

Arm❤Meow หยี! น้องเหมียวไปล้างมือให้สะอาดนะครับ

FCพี่เซียน หล่อเยี่ยวเล็ด

แมนวังหินซิ่งเบาะปลิว พลาดจากเซียนยังมีเพี้ยนรออยู่นะครับ

Onlyพี่เซียนวิศวะฯ พร้อมเป็นเมียพี่เซียนค่ะ

Tichob_tichob คสพ.คู่นี้ก้าวแรกไม่เป็นอะไร ก้าวต่อไปคือเลิกรา

จะชงจนกว่าจะได้พี่เซียน @FCพี่เซียน ข้ามศพฉันไปก่อน!

คอมเมนต์แม่งโคตรจี้!

ผมขำจนไหล่สั่นตอนที่อ่านความคิดเห็นใต้โพสซึ่งไหลเป็นน้ำ ทั้งๆ ที่โพสดังกล่าวถูกโพสไปแค่ไม่กี่นาที ความเห็นส่วนใหญ่เป็นไปที่ทางแซะผู้ชายในภาพที่ยืนเคียงคู่อยู่กับ ‘เหมียว มาริสา’ นักแสดงสาววัยรุ่นที่แจ้งเกิดจากบทสาวน้อยที่มีปัญหาครอบครัวจนเลือกทางผิดในซีรีย์เกี่ยวกับวัยรุ่นสะท้อนสังคมเมื่อสองปีกว่า แน่นอนว่าบทนั้นทำให้นักแสดงหน้าใหม่แจ้งเกิดชั่วข้ามคืน บวกกับหน้าตาที่น่ารักเกินห้ามใจ และรอยยิ้มหวานๆ ที่กระชากใจบุรุษเพศ เพียงออกอากาศไม่นานชื่อของเธอก็ถูกค้นหามากมาย แน่นอนว่าผมก็เป็นหนึ่งในแฟนคลับที่แอบปลื้มเธออยู่เงียบๆ

เหมียว มาริสาคือสมบัติสาธารณะของหนุ่มๆ ภาพจำของเธอคือหญิงสาวเจ้าของรอยยิ้มที่บอบบางบริสุทธิ์ จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนแอบถ่ายรูปเธอกับชายแปลกหน้า แต่หน้าไม่แปลกซ้ำยังหน้าหล่อบรรลัยคนหนึ่งได้ในอิริยาบถดูสนิทสนม แม้จะไม่เคยยอมรับตรงๆ ว่าทั้งคู่คบหากันแต่การที่เหมียวมาริสาไม่เคยออกมาปฏิเสธก็ทำให้ข้อสันนิษฐานที่ว่าทั้งคู่เป็นแฟนกันมีเค้าลางเป็นจริง จนทำให้บรรดาชายไทยที่หลงปักใจกับเหมียวมาริสาจึงพาลพาโลตั้งไอ้เพจนี้ขึ้น

หนุ่มๆ ต่างหลงรักเหมียว มาริสาและในทางตรงกันข้ามหนุ่มๆ ต่างก็หมั่นไส้เซียน ศกัณฐ์

ผมหวนนึกถึงช่วงที่คลั่งพี่เหมียวมากๆ เคยไปแอบสืบประวัติเพื่อนสนิทของพี่อุ้ม

‘ศกัณฐ์ เตชะวรลักษณ์’

ปี3  วิศวเครื่องกล สาขายานยนต์

หน้าตาไม่ต้องพูดถึงแค่ความสามารถรอบด้านตั้งแต่กีฬาไปจนถึงดนตรีทำให้พี่เซียนได้รับความสนใจพอๆ กับเน็ตไอดอลยุคนี้ เสียแต่เจ้าตัวเป็นคนค่อนข้างเก็บตัวเลยไม่ค่อยมีข้อมูลส่วนตัวหลุดออกมามากนัก

ผมส่ายหัวก่อนจะปล่อยให้ความคิดนั่นผ่านไปเมื่อถึงคิวที่ตัวเองต้องสั่งอาหาร

.

.

“กินข้าวที่คณะกูเสร็จมึงก็กลับไปได้แล้ว”

ผมเอ่ยปากไล่ไอ้โต้งทันทีหลังจากที่มันนั่งเอ้อระเหยอยู่นานจนกระทั่งผมต้องแวะมาเข้าห้องน้ำก่อนจะขึ้นเรียนในคาบเช้า

“ไล่กูจังวะ”

ผมส่ายหัวทันที

“ได้กินกะเพราะเนื้อสมใจมึงแล้วนี่ กินแล้วก็กลับไปได้แล้ว”

ผมหรี่ตามองมัน

“มองอะไร”

“อย่านึกว่ากูไม่รู้ทันมึงนะไอ้โต้ง”

มันแกล้งทำหน้าไม่เข้าใจแต่นี่แหละมันคืออาการของเสือซ่อนเล็บชัดๆ ไม่ใช่เสือธรรมดาด้วยแต่เป็นเสือที่พร้อมจะตะปบเหยื่อ และถ้าผมเดาไม่ผิดผมมองออกแล้วว่าเหยื่อที่ว่านั่นคือใคร

“ห้ามยุ่งกับพี่กู”

“ขอปฏิเสธ”

มันตอบแทบจะทันที

“ไอ้โต้ง”

ผมทำมุ่นหัวคิ้วทันทีขณะที่มันกดยิ้มมุมปากให้

“เอาน่า คนนี้กูชอบจริง”

“ให้ตาย มึงก็จีบลุงรหัสกูไม่ติดหรอก”

“ถึงกูจะหล่อไม่เท่าพี่เซียน แต่กูก็น้องๆ พี่มันเลยนะเว้ย”

มันอวยรุ่นพี่ที่คณะมันไม่พอยังอวยตัวเองไปด้วย

“รุ่นพี่มึงเนี่ยนะหล่อ”

ผมแกล้งบลั๊ฟรุ่นพี่มัน เพราะนอกจากเซียน ศกัณฐ์จะเป็นเพื่อนสนิทพี่อุ้มแล้วหมอนั่นยังเป็นรุ่นพี่คณะที่ไอ้โต้งมันสนิทสนมด้วยพอสมควร แหงล่ะสิ ก็พี่เซียนเคยถูกคัดเลือกเป็นคทากรตอนปีหนึ่ง ข่าวว่าไม่เต็มใจนักหรอกแต่ถูกบังคับให้ลงสมัครจนได้รับคัดเลือก ด้วยเหตุผลนี้ไอ้โต้งมันถึงสนิทกับพี่มัน

“ไอ้ห่าอย่าดูถูกของดีภาคยานยนต์”

ผมยักไหล่

“มึงไม่รู้เหรอว่าวิศวะฯ นอกจากมีเกียร์แล้วก็มีพี่เซียนนี่แหละ”

“ไม่รู้”

ผมลอยหน้าลอยตาตอบ

“รู้แต่ว่า มะเขือยาวยังดูดีกว่าหน้าพี่มึง”

“ไอ้สัตว์”

มันสบถขึ้นก่อนจะส่ายหัวราวกับว่ายุติการต่อล้อต่อเถียงระหว่างกัน เพราะมันรู้ดีว่าผมแกล้งพูดไปอย่างนั้นแหละ เห็นเพื่อนชื่นชมยกย่องใครเข้าหน่อยมันเลยอดหมั่นไส้ไม่ได้ โดยเฉพาะคนๆ นั้นดูจะมีซัมธิงกับเหมียวมาริสาที่ผมแอบปลื้มอยู่เงียบๆ

ไอ้โต้งผละกลับคณะมันไปแล้ว หลังจากล้างไม้ล้างมือเสร็จเหลือเพียงผมคนเดียวที่ยังอยู่ในห้องน้ำ

แกรก

ผมหันขวับไปตามเสียงนั้นทันที

เข้าใจผิด ผมเข้าใจผิดมาตลอดว่าในห้องน้ำนั่นเหลือผมเพียงคนเดียว เมื่อประตูห้องน้ำห้องหนึ่งถูกเปิดออกมาก่อนที่เสียงฝีเท้าของใครสักคนจะก้าวมาหยุดอยู่เบื้องหน้า

“หน้ากูแย่กว่ามะเขือยาวอีกเหรอ”

ผมยืนอึ้งอ้าปากค้างทันที

“พะ พี่”

เซียน ศกัณฐ์ตัวเป็นๆ ยืนอยู่เบื้องหน้าเขา

ผมรู้สึกเหมือนหายใจติดขัดราวกับมีมือที่มองไม่เห็นบีบคั้นลำคอไม่ให้หายใจ ยิ่งฝ่ายนั้นขยับเหยียดยิ้มด้วยท่าทางสบายๆ แต่แววตาที่จ้องมองกันราวกับเปลวไฟที่พร้อมจะเผาไหม้ทุกอย่างที่ขวางหน้า

ร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อช๊อปยืนกอดอกมองหน้ากันในระยะประชิด นั่นทำให้ผมสังเกตว่าพี่มันตัดผมรองทรงสูงเปิดท้ายทอยเข้ากับผมสีดำสนิท หน้าคมคายมีไรหนวดตามสันกรามส่งเสริมให้ดูดิบเถื่อนไม่น้อย บุคลิกของคนตรงหน้าทำเอาผมแอบกลืนน้ำลายทันที

“พี่เซียน”

ฝ่ายนั้นขยับเคลื่อนกายมาใกล้ท่าทางคุกคามนั่นทำเอาผมถอยหลังอย่างตกใจ

“ขะ ขอโทษครับ”

“กลัวกูเหรอ”

ผมเม้มปากแน่นก่อนจะเบือนหน้าหนีเมื่อพี่มันโน้มใบหน้ามาใกล้ มันใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย ไหนจะฝ่ามือทั้งสองข้างกางกั้นผมเอาไว้ไม่ให้ขยับหนี

“ผมขอโทษครับที่พูดแบบนั้น”

ตอนนี้แทบจะยกไหว้ขอโทษอีกฝ่ายที่พูดไม่คิดแบบนั้น แต่ใครจะรู้ว่าผมจะโชคร้ายขนาดนี้ นี่ไงเขาถึงบอกให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว ว่าร้ายใครผลก็ย้อนเข้าตัวเองจนได้

“มองหน้ากูสิ”

“...”

“มองให้ชัดๆ”

ลมหายใจร้อนผ่าวกระซิบที่ข้างหู

“หน้ากูเหมือนมะเขือยาวจริงเหรอ”

ไม่เหมือนเลย

ไม่มีตรงไหนที่เหมือนเลย

ผมส่ายหน้าหวือ

“ขอโทษครับพี่ ผมแค่พูดแซวเล่นกับเพื่อน ผมไม่ได้ตั้งใจจะว่าพี่จริงๆ ขอโทษครับ”

พูดไปก็ยกมือไหว้อีกฝ่ายปลกๆ

“อือ”

พี่มันขยับถอยห่างนั่นทำให้หายใจสะดวกขึ้น แต่ประโยคที่หลุดจากปากพี่มันต่อจากนั้นสิที่ทำให้ผมอึ้ง

“หน้ากูไม่เหมือนมะเขือยาวหรอก แต่กูว่าอวัยวะอย่างอื่นของกูเหมือนมะเขือยาวมากกว่า อาจจะยาวยิ่งกว่ามะเขือยาวด้วยซ้ำ”

เชี่ยยยยยยยยยย

ผมตาเหลือกทำหน้าไม่ถูก สายตาสัปดนก้มต่ำทันที ฝ่ายนั้นกระตุกยิ้มมุมปากแววตาดูไม่น่าไว้วางใจจนผมรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงวาบ

“กูหมายถึงข้อศอก”

ฝ่ายนั้นกระซิบข้างหู

“ไอ้เด็กลามก”

แม่งงงงงงงงงง

ผมทึ้งศีรษะตัวเองแรงๆ ตอนที่ฝ่ายนั้นกระตุกยิ้มมุมปากแล้วผละออกไป


- J E E B -



กลับมาแล้วค่ะ พยายามปรับปรุงเนื้อหาให้มันน่าสนใจมากขึ้น
ชอบไม่ชอบยังไงเมนต์บอกเป็นกำลังใจให้กันบ้างนะคะ
หวีดในทวิตติด #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยน้า
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่1 l 24/12/62 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 24-12-2019 20:02:54
พี่เซียนมีแฟนแล้วจะมาเที่ยวกระซิบข้างหูชาวบ้านให้เขาหน้าแดงทำไมละเนี่ย
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่2 l 24/12/62 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 24-12-2019 20:42:07
- จีบที่2 -



“รถโคตรสวย”

ผมหยุดชะงักปลายเท้าตามเพื่อนสนิทตอนที่มันยืนจดๆ จ้องๆ ดูคาติสีแดงเพลิงที่จอดเด่นเป็นสง่าอยู่ที่ลานจอดรถหน้าร้านอาหารกึ่งบาร์มีชื่อแถวมหาวิทยาลัยของผม ไอ้อ๋องทำตาเป็นประกายประสาคนคลั่งไคล้มอ’ไซค์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มันยิ้มกว้างตอนที่เดินวนไปวนมารอบรถ ท่าทางมันอยากจะลูบๆ คลำๆ รถตรงหน้าแต่ต้องหักห้ามใจด้วยการเดินชื่นชมความงามวนไปมาชวนเวียนหัว

“ก็แค่มอ’ไซค์หรือเปล่าวะ”

ผมพูดขึ้น

“รุ่นนี้มีไม่กี่คันทั่วโลก มึงคิดดูว่าคนที่ได้ครอบครองมันได้แม่งต้องขนาดไหน”

มันพูดขึ้นสายตายังจับจ้องไปที่รถเจ้าปัญหาไม่เลิก เอาจริงมันก็สวยอยู่หรอก แต่ผมดันไม่อินกับเครื่องยนต์สองล้อเท่าไหร่ อีกอย่างผมขับรถมอเตอร์ไซค์ไม่เป็นเลยไม่ได้สนใจรถตรงหน้า นี่ก็เพิ่งทำใบขับขี่รถยนต์ได้ไม่นานเพราะพ่อบังคับให้ไปเรียน ผมมันรักความสบายเลยไม่ชอบขับรถเอง ทุกวันนี้ก็อาศัยซ้อนไอ้อ๋องไปมหาลัยแทบทุกวันเอา

“สวยฉิบหาย”

ผมส่ายหัวก่อนจะเดินนำมันเข้าไปในร้าน บรรยากาศช่วงหัวค่ำคนเริ่มหนาตาแล้ว บริเวณด้านในแบ่งโซนอย่างชัดเจนในส่วนของร้านอาหารและอีกส่วนเป็นบาร์สำหรับนักดื่มซึ่งช่วงดึกๆ มักจะมีวงดนตรีเจ้าประจำขึ้นร้อง ระหว่างนั้นมองซ้ายมองขวาทันเห็นพี่อุ้มกวักมือเรียกผมไหวๆ  นอกจากพี่อุ้มแล้วที่นั่นยังมีสายรหัสคนอื่นๆ ของผมนั่งกันหน้าสลอน

“มึงมาช้า”

พี่อุ้มพูดขึ้นก่อนจะยื่นน้ำโค้กให้ผม ระหว่างนั้นไอ้อ๋องที่ผละไปเปลี่ยนชุดเสิร์ฟของร้านก็เดินมาสมทบพอดี

“ก็ว่าจะทักว่าชุดคุ้นๆ ลืมไปว่ามึงที่เด็กเสิร์ฟค่าตัวแพงนี่หว่า”

พี่อุ้มหันไปแซวไอ้อ๋องซึ่งช่วงนี้มันรับจ๊อบพิเศษมาเสิร์ฟอาหารที่ร้านหารายได้เสริม แน่นอนว่าตั้งแต่มันมาทำงานที่นี่สาวๆ ติดกันเป็นพรวนจนเจ้าของร้านชอบอกชอบใจไม่น้อย

“ก็เกินไปพี่”

มันส่ายหัวก่อนจะหันมาคุยกับผม

“รอกลับพร้อมกูนะเปียว”

“เออ”

ผมพยักหน้าหงึกหงักตอนที่ผละออกไปทำงานแล้ว

“เอาจริงนะถ้าไม่บอกว่าเป็นเพื่อน กูนึกว่าพวกมึงคบกัน”

“แค่กๆ”

ผมสำลักทันที กิริยานั่นทำให้คนอื่นๆ ที่โต๊ะยิ้มน้อยๆ

“เพื่อนกันพี่”

ผมส่ายหัวแรงๆ แล้วเหลือบตามองรุ่นพี่สายรหัสตัวเองก่อนจะเลิกคิ้วทันที ทั้งโต๊ะมีพี่ปีสาม ปีสี่ พี่บัณฑิตแต่ไร้วี่แววพี่รหัสของผม

“อ้าวพี่รหัสผมยังไม่มาอีกเหรอพี่”

พี่อุ้มลุงรหัสผมพยักหน้า

“ไลน์ไปก็ไม่ตอบ พี่มึงนี่มันมีโทรศัพท์ไว้ทำสากเบืออะไรก็ไม่รู้”

พี่แกบ่นน้องตัวเอง

“ก็มีไว้ให้พี่โทรด่าไงครับ”

เสียงนั่นดังมาจากด้านหลังของผม ตอนที่หันกลับไปจึงเห็นร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสวมแว่นตาท่าทางดูใจดี รอยยิ้มละมุนตรงมุมปากนั่นดูสุภาพจนผมไม่กล้าเอ่ยแซว

“มาแล้วเหรอมหา”

พี่ปีสี่เอ่ยแซว

“กูนึกว่าค่ำขนาดนี้มึงจะสวดมนต์นอนแล้วซะอีก”

ผมขำก๊ากทันทีเพราะพี่รหัสผมขึ้นชื่อเรื่องความเป็นเด็กอนามัย บุคลิกสุภาพเกินตัวเหมือนผู้ใหญ่นั่นทำให้ผมไม่กล้าเล่นหัวมากนัก ใครๆ ก็บอกว่าพี่แกเป็นผู้ชายกินพืช เพราะวันๆ เห็นทานแต่มังสวิรัติ ไม่ชอบเที่ยวและผมไม่เคยได้ยินคำพูดหยาบๆ หลุดออกมาจากปากพี่แกสักครั้ง

เอาจริงเห็นสุภาพบุรุษแบบนี้ไม่แปลกใจหรอกที่เห็นสาวๆ กรี๊ดพี่แกไม่น้อย

“ไม่ขนาดนั้นหรอกพี่”

‘พี่ดล’ พี่ปีสองสายรหัสผมพูดยิ้มๆ ก่อนจะยื่นอะไรบางอย่างมาให้

“มาช้าเพราะแวะซื้อบราวนี่มิ้นท์มาฝากเราน่ะ”

“ขอบคุณครับ”

ผมยิ้มตาหยีเพราะได้ลาภปากวันนี้แล้ว

“โหไอ้พี่ดีเด่น มึงเล่นซื้อขนมมาเซ่นไอ้เปียวแบบนี้ ทำให้กูกลายเป็นคนชั่วไปเลยที่ชวนมันมาเลี้ยงสายที่ร้านเหล้าเนี่ย”

พี่ปีสี่บ่นอุบ

“อาหารร้านอาการกึ่งผับ”

พี่บัณฑิตแก้ให้แต่ประโยคนั้นทำให้ทั้งโต๊ะฮาครืน เพราะสุดท้ายก็หนีไม่พ้นความจริงที่ว่าพี่มันพาพวกผมมาเลี้ยงเหล้าอยู่ดี

“ไอ้เปียวมึงทำไมแดกแต่โค้กวะ”

ผมยิ้มแหยให้พี่บัณฑิต

“ผมคออ่อนพี่”

คว้าแก้วในมือขึ้นมาชู

“ขอเมาน้ำอัดลมแล้วกัน”

“ได้ไงวะ พวกกูอุตส่าห์พามาเลี้ยงเหล้าทั้งที เชี่ยอุ้มจัดให้เปียวสักแก้วดิ”

พี่อุ้มส่ายหัวแต่ถึงอย่างนั้นก็ลงมือชงเหล้าให้ผม

“พวกพี่แม่ง”

“เออว่าแต่มึงมีชื่อภาครึยังวะ เปิดสายครั้งที่แล้วกูไม่ว่าง มีใครตั้งชื่อภาคให้มึงรึยังเปียว”

ผมส่ายหัว

“ไม่ตั้งไม่ได้เหรอพี่”

ผมเบะปาก เพราะไอ้ชื่อภาคที่ว่าเป็นชื่อที่รุ่นพี่จะตั้งให้ปีหนึ่งทุกคน โดยให้เหตุผลว่าชื่อดังกล่าวนั้นตั้งขึ้นเพื่อให้ปีหนึ่งน้องใหม่ลืมอัตตาที่ติดตัวมาแล้วเรียนรู้สิ่งใหม่และรับเอาสิ่งใหม่ๆ พร้อมๆ เพื่อนทั้งรุ่น นั่นคือพูดสวยหรูเว้ยเพราะไอ้ชื่อภาคที่ว่านั่นแม่ง

คนไหนดวงซวยคนนั้นก็ได้ชื่อน่าอับอายและเป็นที่จดจำไปทั้งรุ่น

พี่ปีสี่และพี่บัณฑิตลอบสบตากันก่อนจะมองหน้าผมอย่างใช้ความผิด

“เลี้ยงสายวันนี้มึงต้องมีชื่อภาคแล้วล่ะไอ้เปียว”

ฉิบหายแน่นอน

ผมกุมขมับท่ามกลางเสียงหัวเราะของพี่อุ้มและพี่ดล ระหว่างที่รุ่นพี่กำลังสุ่มหัวกันคิดหาชื่อให้ผมอยู่ พี่อุ้มก็ยื่นแก้วน้ำสีอำพันมาให้ซึ่งก่อนหน้านั้นผมเห็นพี่แกเติมน้ำเปล่าลงไปอย่างน้อยสามในสี่เพื่อทำให้แอลกอฮอล์เจือจางลงไปมากโข

“ขอบคุณครับพี่”

พี่อุ้มยักคิ้วให้ให้สองที

“กินไหวมั้ย” พี่ดลทีนั่งอยู่ข้างๆ กันพูดขึ้น “ถ้าไม่ไหวเดี๋ยวพี่กินให้”

โปรดอย่าอิจฉาที่ผมมีพี่รหัสแสนดีและลุงรหัสที่โคตรฉลาดแบบนี้

“ไหวพี่”

พี่อุ้มแม่งเติมน้ำไปขนาดนั้นกินไปแทบไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่พี่ดลคนดีคงไม่เห็นภาพนั้นถึงได้แสดงสีหน้าห่วงใยผมแบบนี้

“ขืนให้พี่กินให้ ผมกลัวพี่ศีลแตก”

พี่ดลเคาะหัวผมเบาๆ แล้วส่ายหัว

“ไอ้เปียว”

พี่ปีสี่หรี่ตามองผมนิ่ง ทำเอาผมรีบกระดกแก้วในมืออย่างว่องไว

“พวกกูตั้งชื่อภาคให้มึงได้แล้ว”

“ผมไม่เอาได้มั้ยพี่”

น้ำเสียงผมทั้งท้อแท้และสิ้นหวัง

“พวกกูขอตั้งชื่อภาคให้มึงว่า...”


.


.



โคตรเหี้ย!

ผมเบะปากทันที ขณะที่พี่อุ้มขำลั่นจนไหล่สั่น ส่วนพี่ดลแค่ยิ้มน้อยๆ สีหน้าพี่แกดูเห็นอกเห็นใจผมไม่น้อยทีเดียว ส่วนตัวต้นเรื่องทั้งสองตรงหน้าคือยิ้มกว้างไม่เกรงใจกันเลยนะแม่ง

“มีชื่อภาคแล้วก็ต้องแนะนำตัวเองให้คนอื่นรู้จัก”

“ไม่มีใครอยากรู้จักชื่อผมหรอกพี่”

ผมส่ายหน้าหวือ

“มีดิ”

ผมเบาะปากทำหน้าอ้อนอีกฝ่ายทันทีซึ่งมันไม่ได้ผลอะไรเลยเมื่อพวกพี่มันบอกว่า

“ยืนแนะนำตัวให้พวกพี่รู้จักหน่อย”

ลาออกจากสายรหัสตอนนี้ยังทันมั้ยวะ

“ให้ผมทำอย่างอื่นแทนได้มั้ยพี่”

พี่มันทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะมองไปรอบๆ แล้วขยับรอยยิ้มที่มุมปาก แต่ท่าทางแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าจะมีเรื่องฉิบหายเกิดขึ้นในไม่ช้าอย่างแน่นอน

“ได้”

“อะ อะไรพี่”

“ไปขอเบอร์ไอ้เซียน”

“หา”

ผมร้องลั่นก่อนจะมองตาปลายนิ้วของพี่มันที่ชี้ไปยังโต๊ะมุมๆ หนึ่งที่มีคนกลุ่มนั่งกันอยู่ หนึ่งในนั้นมีเพื่อนสนิทผมนั่งอยู่ด้วย

ความบังเอิญแม่งโคตรเป็นเรื่องตลกร้าย

ผมระลึกได้ทันทีว่าไอ้โต้งมันเคยบอกว่าวันนี้แก๊งคทากรมีนัดเลี้ยงกันที่นี่เหมือนกัน

“เบอร์คนอื่นไม่ได้เหรอพี่”

ผมงอแงเพราะรู้ดีว่าเซียน ศกัณฐ์รักความเป็นส่วนตัวขนาดไหน จะให้เดินไปขอเบอร์โต้งๆ แบบนี้ยังไงฝ่ายนั้นก็ไม่มีทางให้ผมอย่างแน่นอน และข้อนี้แหละที่ดูเหมือนรุ่นพี่สายรหัสผมก็รู้ดีเหมือนกันถึงได้ยื่นข้อเสนอแบบนี้ให้ เพราะยังไงผมก็ไม่มีทางได้เบอร์ไอ้พี่เซียน และสุดท้ายก็ต้องแนะนำตัวด้วยชื่อภาคกลางร้านอย่างไม่ต้องสงสัย

พี่อุ้มส่ายหัวไปมาทันทีก่อนจะบุ้ยปากบอกผมไปทางที่โต๊ะคทากรกำลังสังสรรค์กันอยู่

“เดี๋ยวกูพาไป”

สุดท้ายผมจำใจเดินตามลุงรหัสไปจนถึงโต๊ะนั่น ไอ้โต้งทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นผมเดินตามพี่อุ้มมาก่อนที่มันจะหันไปยิ้มหน้าระรื่นให้ลุงรหัสผม

“ว่าไงอุ้ม”

พี่เดี่ยวเป็นฝ่ายร้องทักก่อน ขณะที่ต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องถ่อมาถึงนี่กำลังยุ่งกับโทรศัพท์ในมือ

“มีเรื่องให้ช่วย”

“เรื่องอะไรครับ”

ไอ้โต้งสอดปากขึ้นมาเพราะมันคงแปลกใจไม่น้อยที่เห็นผมโผล่มาที่โต๊ะ พี่อุ้มกรอกสายตาไปมาไม่ยอมเปิดปากคุยกับไอ้โต้งแต่เอื้อมมือไปสะกิดไหล่เพื่อนตัวเอง

“เซียน”

คนถูกเรียกเงยหน้าจากโทรศัพท์ก่อนจะมุ่นหัวคิ้วเมื่อมองเลยไหล่พี่อุ้มมาเห็นผมยืนซ้อนอยู่

“มีอะไรวะ”

พี่อุ้มดันผมมายืนตรงหน้าเซียน ศกัณฐ์ขณะที่ฝ่ายนั้นนั่งกอดอกมองผมนิ่งๆ

“น้องรหัสกูอยากคุยกับมึง”

ผมหันขวับไปมองหน้าพี่อุ้มทันที ก่อนจะหลุบตามองพื้นเพราะรู้สึกได้ถึงสายตาของคนต้นเรื่องที่มองกันอยู่

“ไม่จริงมั้ง หน้ากูน้องมึงยังไม่มองเลย”

ไอ้พี่เซียนพูดขึ้น

“เอ่อ”

“สงสัยหน้ากูคงเหมือนมะเขือยาวมั้ง”

เชี่ย

ผมอ้าปากพะงาบๆ

แน่นอนคำพูดนั้นทำให้ทั้งโต๊ะขยับตัวอย่างสนใจ แทบจะทุกสายจับจับจ้องมาที่ผมทันที ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่าที่รู้สึกว่าสายตาพี่เดี่ยวกับไอ้โต้งมองหน้าผมสลับกับหน้าพี่เซียนแล้วยิ้มแปลกๆ

“มะเขือยาวอะไรวะ”

คนบางคนโพล่งขึ้นนั่นทำให้คนมีชนักแบบผมเสียวสันหลังวาบๆ ตอนที่เหลือบสายตาไปทางคู่กรณีฝ่ายนั้นเองก็กดยิ้มมุมปากรอท่า...เป็นท่าทางที่ทำให้หายใจไม่ทั่วท้องเลย

“ไม่มีอะไรหรอก”

“...”

“ว่าแต่น้องมึงมีธุระอะไรกับกู”

พี่เซียนจ้องหน้าผมแต่หันไปพูดกับเพื่อนสนิทตัวเอง

“นิ่งขนาดนี้ไม่เอาปากมาด้วยเหรอ”

ผมทำหน้าไม่ถูก

“ปกติพูดเก่งนี่”

แค่พูดว่าหน้าพี่เหมือนมะเขือยาวเอง ไม่ใช่พูดเก่งสักหน่อย

พี่มันพูดยิ้มๆ แต่เป็นยิ้มที่อันตรายมาก ผมเบาะปากก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

“ผมมาขอเบอร์พี่ครับ”

“หือ?”

ทั้งโต๊ะทำหน้ามึนงงก่อนที่จะหลุดยิ้มออกมา

“ใครแกล้งน้องวะ”

รุ่นพี่คทากรคนหนึ่งในโต๊ะพูดขึ้น คำพูดนั่นทำเอาผมทำหน้าเหยเกก่อนจะบุ้ยปากไปทางโต๊ะที่พี่ปีสี่และพี่บัณฑิตโบกมือไหวๆ อยู่

“พี่กรด”

พี่เซียนเรียกชื่อรุ่นพี่ปีสี่สายผมราวกับคุ้นเคยกันดี ก่อนที่มันจะส่ายหัวไปมาแล้วเหลือบตามาทางผม

“เอาชื่อภาคมาแลก”

อะไรนะ

ผมทำหน้าไม่ถูก นึกเอะใจว่าวิศวะฯ จะรู้จักธรรมเนียมการตั้งชื่อภาคคณะผมได้ยังไง พี่เซียนเหมือนนกรู้ว่าผมได้ชื่ออุบาทว์นั่นมาสดๆ ร้อนๆ

ห่าเอ้ย

“ชื่อภาคมึงแลกกับเบอร์กู”

“ไม่เอาก็ได้”

ผมส่ายหน้าหวือเบะปากใส่ไอ้พี่เซียนที่ขยับยิ้มเหมือนจะขำกัน ให้ตายยังไงผมก็ไม่มีวันบอกชื่อภาคตัวเองให้พี่มันรู้หรอก

ไม่มีทาง

ผมเบือนหน้าหนีก่อนจะผละเดินกลับโต๊ะตัวเองทันที

“พวกพี่แม่ง”

ผมแยกเขี้ยวใส่พี่ปีสี่และพี่บัณฑิตที่พากันหัวเราะร่วนหลังจากที่ผมเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่โต๊ะคทากรให้พวกนั้นฟัง

“ไอ้เซียนแม่งใจป้ำว่ะ อุตส่าห์ขอชื่อภาคแลกกับเบอร์”

ผมทำหน้าง้ำ

“มึงรู้ป่ะ ปกติมันให้เบอร์ใครที่ไหน”

“ถามจริง”

“เออดิ เคยมีรุ่นน้องโดนแกล้งให้ไปขอเบอร์ มึงรู้มั้ยมันตอบว่าอะไร”

ผมยักไหล่

“มันตอบเบอร์รองเท้า”

“โคตรกวนตีน”

ผมพึมพำในคอและหลังจากนั้นพวกพี่ๆ คงนึกเห็นใจผมเลยไม่คะยั้นคะยอให้ผมต้องแนะนำชื่อภาคตัวเองกลางร้าน จังหวะนั้นไอ้อ๋องเอากับแกล้มมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ มันทำท่าสะดุ้งโหยงเล็กน้อยตอนที่เห็นพี่ดลมองมันอยู่ ไม่รู้ผมคิดไปเองรึเปล่าเห็นปฏิกิริยาแปลกๆ ของคนทั้งคู่ เอาจริงๆ ผมเก็บความสงสัยมานานแล้ว ทั้งคู่เหมือนรู้จักกันมาก่อนแต่เพื่อนผมดันไม่ปริปากเล่าอะไรให้ฟังสักอย่างนี่สิ

“คุณน้าทราบมั้ยว่าเรามาทำงานในร้านเหล้า”

ผมหายสงสัยทันทีที่พี่รหัสผมหันไปพูดกับไอ้อ๋อง ขณะที่มันชักสีหน้าใส่

“อย่าเสือก”

“อ๋อง”

ผมเอ่ยปรามเพื่อนตัวเอง พี่ดลนิ่งไปถึงสีหน้าพี่มันจะเรียบเฉยแต่แววตาคู่นั้นเข้มขึ้นทันที เพื่อนสนิทผมเม้มปากแน่นก่อนจะผละออกไปทันที ทิ้งให้พี่ดลถอนหายใจเฮือกใหญ่อยู่อย่างนั้น โชคดีว่าตอนนี้รุ่นพี่คนอื่นกำลังหันไปสนใจดนตรีสดตรงหน้าเลยไม่ได้สังเกตเหตุการณ์เมื่อกี้นี้

“เอ่อพี่”

พี่ดลยิ้มอ่อนๆ ให้ผม

“สงสัยล่ะสิ”

“ครับ”

ผมยอมรับอย่างเสียไม่ได้

“อยากรู้อะไรล่ะ”

“พี่ดลรู้จักไอ้อ๋องมาก่อนเหรอครับ”

“อ๋องเป็นลูกน้าดุจเพื่อนแม่พี่”

“อ๋อ”

ผมพยักหน้าหงึกหงัก

“มันเอ่อเหมือนมีปัญหากับที่บ้าน”

“ใช่”

พี่ดลพูดเสียงเรียบ

“ยังไงเราก็ช่วยดูๆ เพื่อนเราด้วยนะ พี่ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ที่จะทำงานกลางคืนแบบนี้ ถึงจะแค่เสิร์ฟก็เถอะ เพราะยังไงงานแบบนี้มันเลิกดึก ปีหนึ่งมีเรียนเช้าแทบทุกวันไม่ใช่เหรอ”

“ครับ”

เอาจริงฐานะทางบ้านอ๋องมันไม่ได้ขัดสนขนาดต้องมาทำงานพิเศษแบบนี้หรอก แต่ปัญหาภายในที่มันไม่ปริปากบอกกันนี่สิที่ทำให้ผมสงสัยว่ามันคงเกี่ยวพันกับการที่เพื่อนสนิทผมมารับจ๊อบหารายได้พิเศษแบบนี้

พี่ดลไม่พูดอะไรต่อ แค่มองไปยังทางที่อ๋องมันเดินไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด



J E E B



ผมไม่ชอบกลิ่นบุหรี่

ทั้งที่ในร้านเหล้าที่นี่จัดพื้นที่เฉพาะให้สิงห์รมควันแต่ถึงยังไงกลิ่นพวกนั้นก็ยังเล็ดลอดเข้ามาถึงจมูกของผมจนได้ สุดท้ายหลังจากทนได้พักใหญ่ๆ ผมจึงขอตัวกับรุ่นพี่ออกมาสูดอาการบริสุทธิ์ภายนอกร้าน ตอนนี้บรรยากาศโดยรอบมืดสนิทแต่โชคดีที่มีแสงไฟดวงใหญ่หลายๆ ดวงติดตามเสาให้ความรู้สึกสว่างไสวและไม่น่ากลัวมากนัก ตอนที่มาทรุดตังลงนั่งที่ม้าหินอ่อนใกล้ๆ ลานจอดรถนั่นผมสังเกตเห็นดูคาติสีแดงเพลิงเด่นชัดมาก

“รถใครวะ”

ผมพึมพำก่อนจะพิจารณารถคันนั้นชัดๆ อีกครั้ง

“ก็สวยจริงๆ อย่างที่ไอ้อ๋องมันพูดนั่นแหละ”

ผมยักไหล่จังหวะนั้นเหมือนได้ยินเสียงฝีเท้าของคนเดินมาทางนี้

“เซียนเดี๋ยว”

หือ?

“มีอะไรวะ”

ผมรีบหันรีหันขวางกะจะหลบไปอีกทางแต่ไม่ทันเสียแล้วตอนที่ร่างสูงใหญ่เดินพ้นหัวมุมมาจนหน้าร้านและพี่มันก็เห็นผมเต็มๆ พี่เซียนชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปยังผู้ชายอีกคนที่วิ่งตามพี่มันมาด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ

“รอกูด้วย”

“พูดธุระมึงมา” พี่มันพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญ “อย่านานมีคนรอกูอยู่”

พูดจบพี่มันก็บุ้ยปากมาทางผมเล่นเอาผมทำหน้าไม่ถูกยิ่งผู้ชายที่ตามพี่มันหันมาจ้องผมเต็มตาขนาดนั้น

“เรื่องแข่งน่ะ”

“กูขอปฏิเสธ”

“มึงไม่คิดสักนิดเลยเหรอวะ”

“ไม่คิดเพราะกูไม่แข่ง”

“แต่ว่า...”

“กูรีบ”

พี่เซียนหันหลังกลับทันทีก่อนจะคว้าไหล่ผมให้ออกเดินไปพร้อมกัน

“พะ พี่”

“เดินตามกูมาก่อน”

“แต่ว่า”

ฝ่ายนั้นหันมาจ้องหน้าผมนิ่ง

“ไปก็ได้ครับ”

สุดท้ายผมก็เดินตามแรงจูงมาจนถึงหลังร้าน สีหน้าพี่เซียนดูหงุดหงิดไม่น้อยขนาดว่ายืนกอดอกหันหลังอยู่ผมยังสัมผัสได้ถึงรังสีความคุกรุ่นของอารมณ์

“พี่”

“...”

“เอ่อ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวนะครับ”

ฝ่ายนั้นยังยืนนิ่งจังหวะนั้นผมนึกอะไรบางอย่างออกจึงควักเอาของบางอย่างในกระเป๋ากางเกงออกมาแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าพี่มัน

“อะไร”

พี่เซียนมุ่นหัวคิ้วทันทีที่เห็นผมยื่นของบางอย่างให้

“กินมายมิ้นท์แล้วทำให้อารมณ์ดี”

พี่มันชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะจ้องลูกอมในมือและสลับกับมองใบหน้าผมนิ่ง

“มึงรู้ได้ยังไง”

ผมยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงที่มาของคำพูดนั้น

“ใครบางคนเคยบอกผม”

ผมยื่นลูกอมให้พี่มัน

“อ่ะ ผมให้”

“...”

“พี่จะได้หยุดทำหน้าบึ้งสักที รู้ป่ะหน้าพี่ตอนนี้แม่งโคตรน่ากลัว”

พี่เซียนไม่พูดอะไรนอกจากจ้องหน้าผมอยู่อย่างนั้นแล้วกดยิ้มมุมปาก

“หน้ากูมันเป็นยังไง”

“ถ้ามีเขี้ยวคงเหมือนยักษ์”

‘ไอ้พี่ยักษ์ หน้าบึ้งเหมือนยักษ์ หนูกลัวนะ’

ผมนิ่งไปเมื่อภาพเหตุการณ์บางอย่างแวบเข้ามาในหัว

“แล้วมึงกลัวมั้ย”

‘กลัวกูเหรอไอ้เด็กขี้แย’

ผมส่ายหน้าหวือก่อนจะเผลอขำออกมาเมื่อจำได้ว่าครั้งนั้นตัวเองก็เคยปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่กลัวไอ้พี่ยักษ์ที่กำลังทำท่าโมโหกับอะไรสักอย่าง

“มึงชอบกินมิ้นท์เหรอ”

“ของโปรดผมเลย”

พี่เซียนกดยิ้มราวกับพอใจ

“08-xxx-xxxxx”

“อะไร”

ผมทำหน้ามึนงงเมื่ออยู่ๆ อีกฝ่ายบอกเบอร์โทรศัพท์

“เบอร์กูไง”

ผมทำหน้าไม่เข้าใจ

“ไหนบอกขอแลกกับชื่อภาคผมไง”

พี่เซียนคว้าเอามายมิ้นท์ในมือผมไปทันที

“กูรู้แล้ว”

“รู้อะไร”

ผมทำหน้าระแวง

“มิ้นท์ติดหลอย”

พ่องง

ผมอ้าปากค้างขณะที่อีกฝ่ายขยับรอยยิ้มคล้ายกับขบขันกัน

“กินเยอะเหรอ...มันถึงติดลิ้นน่ะ”

ไอ้พี่เซียน

อะไรคือแซวชื่อภาคผมหน้าตายแบบนี้วะ

แม่ง

ผมขยี้ศีรษะตัวเองแรงๆ ตอนที่พี่มันผละจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะน้อยๆ ในลำคอ



-J E E B -

พี่เซียนคือบับ ทำไมขี้แกล้งแบบนี้
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่2 l 24/12/62 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 24-12-2019 20:42:47
 :m16:รอจันต่อไป
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่2 l 24/12/62 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 24-12-2019 21:19:39
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่2 l 24/12/62 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: nongou ที่ 25-12-2019 08:43:05
 ฝดีใจจังเลยค่ะ กลับมาแล้ว รอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่2 l 24/12/62 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 25-12-2019 15:32:49
พี่ :o8: ความแซวหน้าตาเฉย
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่2 l 24/12/62 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Plakhem ที่ 25-12-2019 19:52:05
 :really2: รอตอนต่อปายยยยย  :ling2:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่2 l 24/12/62 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 25-12-2019 22:23:39
เอ็นดูน้องทุกครั้งที่เจอเลยน้าพี่เซียน
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่2 l 24/12/62 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 26-12-2019 01:33:47
น่ารักกกกกกก
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่2 l 24/12/62 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 28-12-2019 19:11:59
ต้อนรับการกลับมา :กอด1:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่2 l 24/12/62 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 28-12-2019 21:31:50
จะรออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่3 l 30/12/62 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 30-12-2019 20:50:47
- จีบที่3 -




“มีอะไรให้ผมช่วยบ้างพี่”

บ่ายแก่ๆ วันนั้นผมโผล่ที่ไปฟิตเนสของคณะเพื่อไปช่วยพี่อุ้ม เนื่องจากช่วงนี้ปีสามกำลังจัดเตรียมโปรแกรมการเทรนกล้ามเนื้อซึ่งเป็นกิจกรรมเก็บคะแนนส่วนหนึ่งของวิชา Body conditioning ( วิชาเกี่ยวกับหลักการสร้างสมรรถภาพทางกาย) โดยนิสิตที่ลงทะเบียนเรียนต้องจัดโปรแกรมการฝึกให้กับกลุ่มตัวอย่างและทดลองเทรนจริงๆ เป็นเวลาหนึ่งเดือนเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น จึงจะสรุปผลและทำรายงานส่งอาจารย์ ตอนนี้จึงเห็นพวกปีสามวิ่งวุ่นหากลุ่มตัวอย่างและมาสุมหัวจัดเตรียมโปรแกรมกันที่ฟิตเนสคณะ เนื่องจากสถานที่แห่งนี้มีอุปกรณ์เกี่ยวกับการออกกำลังกายครบวงจรตั้งแต่ห้องฟิตเนสที่มีเครื่องเล่น เครื่องออกกำลังกายสารพัดซึ่งสามารถฝึกกล้ามเนื้อได้ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า รวมถึงมีห้องเต้นแอโรบิค ห้องโยคะและสระว่ายน้ำพร้อมสรรพ

ตอนที่ผมโผล่ไปที่นั่นจึงเห็นพวกพี่ๆ กำลังนั่งคิดโปรแกรมกันหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่ต่างจากลุงรหัสผมที่นั่งกัดเล็บอย่างใช้ความคิด

“มึงมาพอดีเลยเปียว”

พี่แกเงยหน้าจากชีทเรียนตรงหน้าทันที

“อาทิตย์จะเริ่มเทรนแล้วว่ะ ต้องขอแรงมึงมาวัดความดันให้หน่อย”

ผมพยักหน้าหงึกหงักเพราะวิชานี้ถือเป็นโปรเจ็กต์ใหญ่เนื่องจากวิชาดังกล่าวเป็นวิชาสำคัญของพวกปีสาม ดังนั้นบรรดาปีหนึ่งที่ว่างๆ จึงมาช่วยกันวัดความดันรวมถึงอัตราการเต้นของหัวใจของกลุ่มตัวเอง ซึ่งการวัดสัญญาณชีพพื้นฐานก่อนการฝึกตั้งละครั้งจะนำมาเปรียบเทียบเพื่อดูการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากข้อมูลเหล่านั้นมีผลต่อการจัดโปรแกรมการเทรนให้มีความหนักเบาตามแต่ละบุคคล โดยอุปกรณ์การวัดก็เป็นพวกเครื่องวัดความดันโลหิตอัตโนมัติซึ่งสามารถขอเบิกใช้กับทางคณะได้เพราะอุปกรณ์เหล่านั้นคณะมีพร้อมให้ใช้งานอย่างเพียงพอ

“พี่ได้คนที่จะมาเทรนแล้วเหรอ”

พี่อุ้มยักคิ้วสองจึก

“กูไปลากคอไอ้พวกวิศวะฯ มาช่วยน่ะ”

“อ๋อ”

การหากลุ่มตัวอย่างที่จะมาเข้าร่วมโปรแกรมการฝึกมันค่อนข้างหายากพอสมควรเนื่องจากกลุ่มคนเหล่านั้นต้องเข้าร่วมการฝึกอย่างน้อย2-3ครั้งต่อสัปดาห์ แน่นอนว่ามันกินเวลาไปโขยิ่งระยะการเทรนร่วมเดือนนั่นยิ่งทำให้หลายคนปฏิเสธไม่ให้ความร่วมมือ

“ทำไมเพื่อนพี่ยอมง่ายจัง”

“สัญญาว่าจะพาพวกมันไปเลี้ยงเหล้า”

ผมส่ายหัวไปมา

“แล้วมึงล่ะเป็นยังไงบ้าง เห็นปีหนึ่งบอกช่วงนี้ควิชอนาโตมีบ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ”

“ถ้าไม่ได้ชีทพี่ผมคงแย่”

ผมโคลงศีรษะเพราะอนาโตมีเป็นวิชาปราบเซียนของปีหนึ่งดีว่าผมได้อานิสงค์จากชีทเก่าๆ ของพี่อุ้ม ไหนจะเนื้อหาเก็งข้อสอบที่พี่ดลเก็บเอาไว้ให้อย่างดีไม่อย่างนั้นผมคงไม่พ้นมีนมาได้อย่างราบรื่นนัก เอาจริงๆ มีหลายคนสงสัยว่าทำไมคณะผมถึงเรียนกายวิภาคซึ่งเป็นวิชาเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ ทั้งๆ ที่คณะผมเรียนเกี่ยวกับกีฬา น้อยคนจะรู้ว่าพวกเราจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับกล้ามเนื้อและร่างกายของมนุษย์ เพราะนักกีฬาแต่ละประเภทมีการใช้กล้ามเนื้อที่แตกต่างกัน ดังนั้นเป็นหน้าที่ของนักวิทยาศาสตร์กีฬาที่ต้องใช้ความรู้พื้นฐานเรื่องกายวิภาคในการดูแลและพัฒนากล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ซึ่งจะแตกต่างไปตามแต่ละประเภทชนิดกีฬา

“มีอะไรไม่เข้าใจมาให้กูติวได้นะ ไม่อย่างงั้นก็ให้ไอ้ดลมันช่วยได้ พี่รหัสมึงมันเคยท๊อปเสคจนเป็นที่เลื่องลือมาแล้ว”

ผมทำหน้าสนใจเพราะเคยได้ยินมาเหมือนกันว่าพี่รหัสคนดีของผมแม่งโคตรหัวกะทิ โปรไฟล์ดีทั้งหน้าตาดีและฐานะ เสียแต่พี่ดลเป็นประเภทผู้ชายกินพืชที่ดูไม่มีอะไรหวือหวาซ้ำยังชอบอะไรที่เป็นดูเป็นวัยใหญ่เกินวัยคล้ายคนหัวโบราณ สาวๆ จึงบ่นเสียดายถึงอย่างผมก็เห็นพี่แกเป็นที่สนใจของสาวๆ อยู่ดีนั่นแหละ

“ผมเกือบลืมไปแล้วนะเนี่ย เดี๋ยวสอบครั้งหน้าไปอ้อนให้พี่ดลช่วยติวดีกว่า”

ผมคิดตาม

“ใครอ้อนใครเหรอ”

บุคคลในหัวข้อสนทนาปรากฏขึ้นที่เบื้องหลัง พี่อุ้มหันไปพยักหน้าให้ฝ่ายนั้นตอนที่พี่รหัสผมเดินมาทรุดตัวนั่งลงนั่งใกล้ๆ กัน

“มันพูดถึงมึงนั่นแหละ”

พี่อุ้มพยักพเยิดมาทางผม

“มีอะไรให้พี่ช่วยงั้นเหรอ”

“ผมจะให้พี่ดลติวอนาโตมีให้ครับ”

พี่แกพยักหน้าหงึกหงัก

“เอาสิ เมื่อไหร่ล่ะ” พี่ดลพูดแล้วยื่นขนมในมือให้

“อะไรครับเนี่ย”

“ช๊อกโกแลตมิ้นท์” พี่ดลยื่นอีกกล่องซึ่งเป็นรสชาเขียวให้พี่อุ้ม “พอดีแม่ผมไปเที่ยวต่างประเทศกับเพื่อน ผมเลยฝากซื้อครับ”

“เกรงใจมึงว่ะดล”

พี่อุ้มพูดขำๆ แต่ก็รีบยื่นมือไปรับอย่างว่องไวเพราะพี่แกเป็นสาวกชาเขียวอย่างแท้จริง

“พี่ดลแม่งโคตรคนดี”

ผมยิ้มตาหยี

“ตลกบริโภคเหรอไอ้เปียว”

“ผมก็เหมือนกับพี่นั่นแหละ”

“เออ”

พี่อุ้มหัวเราะชอบใจทั้งๆ ที่โดนผมแซว จังหวะที่พี่แกขยับตัวไปมานั่นปกเสื้อด้านหนึ่งขยับลงจนเห็นรอยจ้ำสีคล้ำตรงลำคอ

“อะไรกัดน่ะพี่”

ผมร้องทักจนพี่ดลหันมองตามนั่นทำเอาพี่อุ้มทำหน้าตื่นรีบคว้าคอเสื้อตัวเอง สีหน้าตื่นตระหนกนั่นทำให้ผมนึกประหลาดใจ

“ยะ ยุ่งกัดน่ะ”

“รอยใหญ่จัง”

พี่อุ้มเม้มปากแน่น ขณะที่พี่ดลไม่พูดอะไรแต่แววตาคู่นั้นเหมือนรู้อะไรบางอย่างจนผมนึกสงสัย

“กูไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”

“เอ่อ ครับ”

พี่อุ้มผุดลุกขึ้น อาการลุกลี้ลุกลนชวนสงสัย

“พี่ดล”

“หือ?”

“พี่ว่าพี่อุ้มแปลกๆ ป่ะ”

พี่รหัสส่ายหัวแล้วยิ้มน้อยๆ ตามสไตล์

“ไม่นี่”

“ผมว่าแปลก”

พี่ดลเคาะหัวผมเบาๆ

“เรื่องของเค้า”

“พี่ด่าว่าผมเสือกยังไม่เจ็บเท่าคำพูดเมื่อกี้เลย”

พี่รหัสผมหลุดเสียงขำก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นไอ้อ๋องที่ปลีกตัวไปช่วยพี่ปีสามสายมันทำโปรแกรมเทรนกำลังเดินหาผม ฝ่ายนั้นเองก็ชะงักไปเหมือนกันที่เห็นพี่รหัสผมนั่งอยู่ สุดท้ายเพื่อนสนิทผมจึงตัดสินใจเดินเบี่ยงไปอีกทางทันที

“เพื่อนเรานี่หัวรั้นจริงๆ”

พี่ดลพูดขึ้นตอนที่มองตามแผ่นหลังเพื่อนผมไป

“พี่กับมันมีปัญหาอะไรกันหรือครับ”

พี่ดลส่ายหัว

“พี่ไม่มี แต่เพื่อนเราเหมือนจะมี”

“ครับ?”

“ทำยังไงอ๋องก็ไม่ยอมเลิกทำงานเสิร์ฟที่ร้านเหล้า”

ผมหันขวับมองหน้ารุ่นพี่ทันที

“พี่ไปคุยกับมันเหรอครับ”

“ก็ไม่เชิงหรอก”

ผมพยักหน้าหงึกหงักเพราะพอจะรู้ดีว่าเพื่อนตัวเองหัวแข็งขนาดไหน มันไม่มีทางยอมทำตามคำสั่งของคนอื่นพอๆ กับที่ตัดสินใจออกมาอยู่หอแล้วไม่หวนกลับบ้านนั่นแหละ ผมส่ายหัวพอดีกับที่พี่ดลผุดลุกขึ้นแล้วเดินไปทางที่เพื่อนสนิทผมเดินจากไป

แปลกๆ นะคู่นี้

ผมส่ายหัวไปมาก่อนจะหันไปสนใจโทรศัพท์ในมือ




เพจทวงคืนเหมียวมาริสาสมบัติสาธารณะจากเซียนศกัณฐ์

[โพสรูป - เซียนศกัณฐ์ใส่เสื้อคู่กันเหมียวมาริสา]

Statue : เบื่อพวกชอบแสดงความเป็นเจ้าของว่ะ #พาลเว้ยพาล


Comment

Ninetynine ภาพแม่งโคตรแสลงใจ

รักน้องเหมียวคนเดียว กลัวไม่รู้เหรอว่าเป็นเพื่อนกันอ่ะ

แมนวังหินซิ่งเบาะปลิว น้ำมันกัญชาสรรพคุณครอบจักรวาล หยดแรกไม่เป็นไร หยดต่อไปขึ้นเมรุ

โอชิน้องเหมียวคนเดียวในใจ เสื้อคู่ของผมเองไอ้เซียนมันยืมไปใส่ แฟนผมสวยขนาดนี้ใครๆ ก็อยากจีบครับ

FCพี่เซียน หมั่นไส้ค่ะ หนูจะแจ้ง จะแจ้งเดี๋ยวนี้

กานซายอยากเป็นเมียพี่เซียน ชอบพี่เซียนค่ะ อยากได้

Tichob_tichob กินเหล้าย้อมใจแม่ง

หญิงหมีสีทันดร เห็นพี่เซียนมุมเสยแล้วใจบ่ดี

ผมเขียบครับ...เขียบทรงตะกวย เลิกกันเมื่อไหร่ ผมรอเสียบทันทีนะครับ

Aun996 พี่น้องกันแหละ ผมดูออก



คอมเมนต์ไหลเป็นน้ำจากโพสไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ชวนหัวไม่น้อย ผมนั่งพิจารณาภาพที่เพจนี่โพสแล้วเพิ่งสังเกตว่าทรงผมของเซียน ศกัณฐ์ดูแปลกไป คนในรูปเซ็ทผมซึ่งปกติไอ้พี่เซียนคนที่มาหาพี่อุ้มที่คณะบ่อยๆ ไม่เคยเซ็ทผมด้วยซ้ำ

“ไปทำสีผมมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”

จำได้ว่าที่ร้านเหล้าวันนั้นพี่เซียนมันผมดำสนิท แต่คนในรูปดันผมสีน้ำตาล หรือจะจำผิดวะ ผมส่ายหัวให้ตัวเองจังหวะนั้นพี่อุ้มที่กลับมาจากห้องน้ำชะโงกมาดูหน้าจอโทรศัพท์ของผม

“ดูอะไรวะ”

“เพื่อนพี่กับพี่เหมียวนี่โคตรคนดังเลยอ่ะ ขยับตัวทำอะไรก็มีคนวาปภาพมาให้ดูแล้ว”

พี่อุ้มส่ายหัวตอนที่เห็นภาพในมือถือ

“ไร้สาระ”

“...”

“ไอ้เซียนมันโลกส่วนตัวสูงจะตาย ไม่มีใครถ่ายรูปมันได้ง่ายๆ หรอก”

แล้วคนในรูปนี่คือใครล่ะ

ผมขยับปากจะถามก็พอดีกับที่พี่อุ้มมีสายเข้าเลยผละออกไป ทิ้งความสงสัยไว้ในใจผมจนต้องก้มดูพิจารณารูปในมือถือนั่นอีกครั้ง

ภาพตรงหน้าคือเซียน ศกัณฐ์ชัดๆ ไม่มีทางเป็นคนอื่นไปได้หรอก



- J E E B -



เกือบห้าโมงเย็นตอนที่ผมหอบหิ้วข้าวกล่องถุงใหญ่มาถึงสนามกีฬาของมหาวิทยาลัย ช่วงนี้ที่มหาลัยมีการซ้อมคทากร หลีดมหาลัย เตรียมความพร้อมด้านอื่นๆ ในการเตรียมตัวสำหรับงานฟุตบอลประเพณีที่จัดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ดังนั้นคณะผมซึ่งอยู่ฝ่ายสวัสดิการจึงต้องทำหน้าที่ส่งข้าวส่งน้ำให้กับส่วนอื่นๆ และปีหนึ่งมักถูกพี่ๆ เรียกมาใช้งานเป็นเบ้ในการส่งข้าวครั้งนี้ด้วย

“ไหวมั้ย”

พี่อุ้มที่เดินตีคู่หอบของกินเต็มมือพูดขึ้นแล้วยื่นมือมาเกี่ยวถุงหิ้วข้าวในมือผมไปถุงหนึ่งเพื่อช่วยถือ

“ไหวพี่ นี่ก็ที่สุดท้ายแล้ว”

ผมพูดยิ้มๆ เพราะจุดหมายต่อไปคือสนามกีฬาของมหาลัยซึ่งเป็นสถานที่ฝึกของเหล่าคทากรหรือผู้นำสัญญาณที่จะนำพาเหรดเข้าสู่สนาม พี่อุ้มเบะปากทันทีที่ผมพูดถึงที่หมายนั่น

“จริงๆ เรียกพวกไอ้เซียนมาเอาเองก็ได้นะ”

“แต่เราเดินมาถึงหน้าประตูสนามแล้วไงพี่”

พี่อุ้มทำหน้าเซ็งทันที

สนามกีฬาด้านในตอนนี้มีบรรดาคทากรปีนี้และรุ่นพี่กำลังนั่งพักการซ้อมอยู่ ไอ้โต้งที่นั่งกระพือเสื้ออยู่แถวนั้นหันมามองทางนี้พอดีมันเลยขยับลุกมาหาพวกผมอย่างว่องไว สีหน้ายิ้มระรื่นนั่นโคตรน่าหมั่นไส้ยิ่งตอนที่มันหันไปทำตาพราวระยับใส่ลุงรหัสผมด้วยแล้ว ไม่แปลกหรอกถ้าพี่อุ้มจะทำท่าทำทางเหมือนอยากจิ้มตามันให้บอดแบบนี้

“หนักมั้ย”

“...”

“ผมช่วย”

ไอ้เพื่อนเวรเดินเลยผมไปช่วยพี่อุ้มถือข้าวหน้าตาเฉย ผมหันไปถลึงตาใส่มันพอดีกับที่พี่ๆ คทากรสองสามคนมาช่วยกันถือของในมือให้

“วันนี้มีกะเพราะหมูกับไข่ดาวครับ”

พี่อุ้มที่เดินตัวปลิวเพราะไอ้โต้งหอบไปถือคนเดียวมาสมทบก่อนจะมุ่นหัวคิ้วเหมือนนึกอะไรขึ้นได้

“ลืมไปเลยว่ามันมีพริก”

“ทำไมเหรอครับ”

“ไอ้เซียนมันไม่กินเผ็ด”

ผมทำหน้าสนใจนึกภาพผู้ชายตัวโตเท่าควายนั่นไม่กินเผ็ดแล้วเผลอขำออกมา

“จริงดิพี่”

“ปกติมันก็กินได้นะ แต่มันไม่ชอบของเผ็ดเท่าไหร่”

“งั้นเอาไงดีอ่ะ”

ผมคิดตามเพราะเข้าใจดีว่าบางคนมีต่อมรับรสที่แตกต่างกัน บ้างก็ชอบกินเผ็ด บางก็ชอบกินเค็ม เหมือนอย่างที่ผมชอบกินมิ้นท์เป็นชีวิตจิตใจ

“กูเห็นว่าเมนูวันนี้มีกะเพรากับหมูทอดกระเทียมนะ เมื่อกี้ไปส่งข้าวที่ศูนย์กีฬาในร่มมาเห็นมีสี่ห้ากล่อง เดี๋ยวเอาไปขอเปลี่ยนก็ได้”

“เพื่อนพี่เรื่องมากชะมัด”

พี่อุ้มหัวเราะทันที

“คนอะไรไม่กินเผ็ด เกลียดมิ้นท์ โคตรเรื่องมากเรื่องกินอ่ะ”

“มึงนี่มันนินทาเพื่อนให้เพื่อนเขาฟังเหรอวะ”

“ก็มันจริง”

ผมบ่นไปเรื่อยถึงอย่างนั้นก็อาสาเอากะเพราไปแลกกับข้าวหมูกระเทียมเพราะหากจะให้พี่อุ้มเดินไปเองก็ยังไงอยู่ ถึงแม้ว่าศูนย์กีฬาในร่มจะไม่ไกลจากสนามกีฬาแต่เมื่อกี้ลุงรหัสผมอุตส่าห์มีน้ำใจหิ้วช่วย เพราะความเกรงใจนี่แหละที่ทำให้ผมแสดงน้ำใจด้วยการเดินดุ่มๆ ไปยังศูนย์กีฬาในร่ม

“เซียน”

หือ?

ผมชะงักปลายเท้าทันทีที่กำลังจะเลี้ยวเข้าสนามกีฬาแล้วได้ยินเสียงบทสนทนาของคนคู่หนึ่ง แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือเพื่อนสนิทพี่อุ้ม ส่วนหญิงสาวในชุดนิสิตเรียบร้อยนั่นคือเหมียว มาริสาที่ผมแอบปลื้มอยู่เงียบๆ

“ไม่รับรู้”

ไม่รู้ว่าสองคนนั้นพูดคุยอะไรกัน สีหน้าพี่เซียนถึงแสดงออกว่าเบื่อหน่ายเต็มแก่แบบนั้น

“ช่วยพูดกับเซนต์ให้เราหน่อยดิ”

“ไม่รู้โว้ยไปคุยกันเอาเอง”

ไอ้พี่เซียนแม่งพูดกับแฟนไม่เพราะเลยว่ะ ว่าแต่เมื่อกี้พูดถึงใครกันนะ

“เซียนอ่ะ”

พี่เหมียวทำหน้าหงอยเกาะแขนไอ้พี่เซียนก่อนจะทำเสียงออดอ้อน ให้ตายเถอะ พี่เซียนทนปั้นหน้านิ่งแบบนี้ได้ไงวะ โคตรใจแข็งเลย

“ไปเคลียร์กันเอาเองยัยแสบ”

พี่เซียนโบกมือไล่

“แล้วคุยกันให้จบด้วย เพราะเซียนรำคาญที่ไอ้เวรนั่นโทรมาถามเรื่องไร้สาระอยู่ได้ทุกวัน”

บทสนทนานั่นชวนสงสัยไม่น้อย

“งอนเราเหรอ”

พี่เหมียวหัวเราะเสียงใสตอนที่ยื่นมือไปเกาคางพี่เซียนราวกับจะแกล้ง

“น้อยๆ หน่อยยัยแสบ ถ้ามันรู้เธอโดนมันบ่นหูชาแน่”

“ถ้าเซียนไม่พูด เขาก็ไม่รู้หรอก”

พี่เซียนแสยะยิ้มทันทีก่อนจะดีดหน้าผากอีกฝ่ายแรงๆ

“มันรู้แน่เพราะเซียนจะบอก”

“ไอ้คุณเซียน”

พี่เซียนโคลงหัวไปมาก่อนจะผละออกมาท่ามกลางสีหน้ากระเง้ากระงอดของพี่เหมียว แน่นอนว่าการที่พี่เซียนผละออกมาจังหวะนั้นทำให้ผมที่แอบฟังอยู่หลบไม่ทันจึงได้แต่ยิ้มเก้ๆ กังๆ เมื่อฝ่ายนั้นมุ่นหัวคิ้วทันทีที่เห็นผม

“เอ่อ ผมไปเอาข้าวมาให้พี่”

พี่เซียนหรี่ตามองข้าวกล่องในมือผม

“เห็นพี่อุ้มบอกว่าพี่ไม่เกินเผ็ด ผมเลยไปแลกเป็นหมูกระเทียมมาให้”

ผมรีบละล้ำละลักบอกอีกฝ่ายเสียยืดยาวเพราะกลัวพี่มันจับได้ว่าผมแอบฟังบทสนทนาระหว่างพี่มันกับพี่เหมียวเมื่อกี้นี้ แน่นอนว่าอาการลุกลี้ลุกลนนั่นทำให้คนตรงหน้ากดยิ้มมุมปากทันที

“มีคนบอกว่าคนมีชนักมักพูดเก่ง”

“เปล๊า”

ผมทำตาลอกแลก

“มึงไม่มีพิรุธเลยนะ”

“...”

“แอบฟังตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ”

ฝ่ายนั้นกอดอกมองหน้าผมนิ่ง

“ขอโทษครับ”

ผมทำหน้าลุแก่โทษ พี่เซียนไม่พูดอะไรแต่แบมือมาตรงหน้า

“ข้าวกู”

ผมยื่นข้าวกล่องให้อีกฝ่ายเสร็จแล้วพี่มันก็ยื่นอะไรบางอย่างมาให้

“มายมิ้นท์”

ผมเงยหน้ามองจ้องอีกฝ่ายทันที

“ชอบไม่ใช่เหรอ”

“พี่รู้ได้ไง”

“มึงเคยบอกกูที่ร้านเหล้าไง”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะแวบหนึ่งผมว่าผมเห็นแววตาที่คุ้นเคย เหมือนว่าเคยสบสายตากับดวงตาคู่นี้ที่ไหนมาก่อน แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อผมไม่รู้จักกับพี่มันมาก่อนด้วยซ้ำ

“ตอบแทนที่อุตส่าห์เดินไปเปลี่ยนข้าวกล่องให้กู”

“เพราะพี่อุ้มขอร้องเหอะ”

ผมเบะปาก

“ถ้าให้ไปเอง ผมไม่ไปหรอก”

“งั้นเหรอ”

พี่เซียนมองหน้าผมนิ่ง

“ยังไงก็ขอบใจ”

“งั้นไม่มีอะไรแล้วผมขอตัว”

“เดี๋ยว”

“อะ อะไร”

“มึงยังไม่ได้ตอบคำถามกู”

ผมทำหน้าตื่น

“มึงได้ยินกูคุยกับเหมียวตั้งแต่เมื่อไหร่”

ผมเม้มปากแน่น

“ก็ตั้งแต่พี่พูดไม่เพราะกับแฟนตัวเองนั่นแหละ”

พี่เซียนชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะกดยิ้มมุมปาก

“แฟน?”

“...”

“มึงหมายถึงกูกับเหมียวงั้นเหรอ”

ผมพยักหน้าหงึกหงักนึกประหลาดใจที่พี่มันทำแบบนั้น แล้วยิ่งทำอะไรไม่ถูกเมื่อฝ่ายนั้นสาวเท้าเข้ามาใกล้ก่อนจะโน้มใบหน้ามากระซิบที่ข้างหูผมเบาๆ ว่า

“กูไม่เคยพูดว่ากูเป็นแฟนกับเหมียว”

ผมยืนอึ้งสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่เป่ารดใบหูในระยะประชิดขนาดนั้น

แล้วไอ้เพจนั่นล่ะ

ผมทำหน้ามึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกจนพี่มันผละถอยหลังออกไป

“พี่โสดงั้นเหรอ”

สัตว์เอ้ย ผมพูดอะไรออกไปวะ

พี่เซียนกดยิ้มมุมปากแล้วมองผมตรงๆ

“ทำไม”

“...”

“จะจีบกูเหรอ”

พ่องง

ผมอ้าปากพะงาบๆ รับรู้ได้ถึงความรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้าและลามไปถึงใบหู ยิ่งตอนที่ไอ้พี่เซียนมันขยับรอยยิ้มแบบนั้น

ผมยืนอึ้งทันที...ไอ้เหี้ยยิ้มแล้วหล่อฉิบหาย

ไม่ดีแล้วไอ้เปียว ไม่ดีแน่ๆ

ไม่ดีเลยที่มึงรู้สึกคันยุบยิบในใจเพียงแค่ ‘ผู้ชาย’ ยิ้มให้


- J E E B -


สวัสดีวันปีใหม่ล่วงหน้านะคะ ขอให้คนอ่านมีความสุขและสมหวังทุกสิ่งอย่าง
ขอบคุณที่เป็นกำลังใจและสนับสนุนผลงานกันมาตลอดปีที่ผ่านมานะคะ ร้ากกกกก

ใครหวีดในทวิตติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่3 l 30/12/62 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: tae1234 ที่ 30-12-2019 22:48:14
ชอบมาก รอติดตามนะครับ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่3 l 30/12/62 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 31-12-2019 02:26:10
แฝดรึเปล่านะ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่3 l 30/12/62 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 31-12-2019 12:29:17
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่3 l 30/12/62 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 01-01-2020 12:04:59
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่3 l 30/12/62 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 01-01-2020 23:14:00
รออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่3 l 30/12/62 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 02-01-2020 21:49:38
วาปมาจีบ 4 เลยย
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่3 l 30/12/62 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 04-01-2020 00:58:56
ใครจีบก่อนทางนี้ก็ยินดีทั้งนั้น
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่3 l 30/12/62 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 05-01-2020 17:31:53
เปียวทำตัวเองเยอะนะ คือไม่ได้ตั้งใจหรอก
แต่ความบังเอิญนี้ ทำร้ายเปียวเหลือเกิน เอ็นดู 5555

เซียนแกล้งเก่ง และดูเฮฮาดี

อ๋อง ดล อุ้ม โต้ง ดูมีเงื่อนงำ  :mew2:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่3 l 30/12/62 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 07-01-2020 00:56:59
 :mew4:วันนี้  มาไหมมม
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่4 l 7/1/63 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 07-01-2020 19:03:07
- จีบที่ 4 -




“ยากจังเลยค่ะพี่เปียว”

สาวน้อยในชุดนักเรียนมัธยมปลายมัดผมหางม้าผูกโบว์สีขาวทำหน้ามุ่ยแล้วเบะปากใส่แบบฝึกหัดวิชาภาษาอังกฤษตรงหน้าก่อนจะทำเนียนฟุบใบหน้าไปกับโต๊ะ ท่าทางแบบนั้นไม่ต่างจากเพื่อนสาววัยเดียวกันอีกสองคนที่ทำตาปรือปรอยให้กับชีทแบบฝึกหัดดังกล่าว

“งั้นพักก่อนมั้ยครับ”

ผมพูดขึ้นเพราะนี่ก็ติวมาเป็นชั่วโมงแล้ว ระยะเวลานานพอสมควรคงทำให้สมาธิความสนใจต่างๆ หลุดหายไปแล้ว

“งั้นซอขอไปซื้อขนมก่อนนะคะพี่เปียว พี่เปียวอยากกินอะไรมั้ย เดี๋ยวซอซื้อมาฝาก”

สาวน้อยเจ้าของชื่อ “ซอ” เอ่ยปากขออนุญาตก่อนจะผุดลุกขึ้นพร้อมกับเพื่อนสาวอีกสองคน

“พี่ขอน้ำเปล่าสักขวดแล้วกันครับ”

ผมยื่นธนบัตรสีแดงให้เด็กสาวตรงหน้า

“ที่เหลือเอาไปซื้อขนมกันนะ พี่ให้รางวัลที่วันนี้ทำแบบฝึกหัดถูกทุกข้อ”

สาวๆ ยกมือไหว้ขอบคุณผมกันใหญ่ ช่วงนี้ผมรับสอนพิเศษเพื่อหารายได้เสริม จริงๆ ตอนแรกที่รับสอนเพราะหลวมตัวไปช่วยสอนคอร์สๆ นึงชั่วคราวในสถาบันกวดวิชาที่พี่บัณฑิตเป็นเจ้าของเท่านั้นเลยทำให้ได้รู้จักกับสาวน้อยทั้งสามที่เป็นเด็กมัธยมโรงเรียนแถบมหาลัยผมนี่แหละ พอผมเลิกสอนเพราะกิจกรรมหลังเลิกเรียนที่เยอะจนปลีกตัวไปสอนพิเศษไม่ได้ แต่น้องๆ ดันขอร้องให้มาสอนแบบตัวต่อตัวก่อนที่น้องๆ จะเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย สุดท้ายผมเลยตกกระไดพลอยโจรต้องรับสอนสาวๆ แบบนี้

ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ โรงอาหารใกล้ๆ กับหอสมุดหรือที่บรรดานิสิตมหาลัยเรียกกันติดปากว่า ‘หอกลาง’ ซึ่งใช้เป็นสถานที่สำหรับสอนพิเศษให้กับน้องๆ สังเกตว่าทั้งสามถึงจะอิดออดบ้างแต่ก็ตั้งใจเรียนกันทุกวัน โดยเฉพาะน้องซอซึ่งมีน้ำใจหอบหิ้วขนมเกี่ยวกับมิ้นท์มาฝากผมบ่อยๆ นั่นทำให้รู้ว่าน้องเองก็เป็นสายคลั่งมิ้นท์เหมือนกัน

“พี่เปียว”

น้องซอที่เดินดูดน้ำปั่นมาแต่ไกล ก่อนจะยื่นขวดน้ำให้ผม

“ขอบคุณครับ”

ผมยิ้มให้น้อง

“ท่าทางเราจะชอบมิ้นท์จริงๆ นะเนี่ย”

ผมพูดยิ้มๆ จ้องตอนที่เหลือบตามองช๊อกโกแลตมิ้นท์ปั่นในมือน้องจนเจ้าของใบหน้าอ่อนหวานยิ้มตาหยี

“ชอบกินมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ ตอนเด็กๆ เวลาร้องไห้พวกพี่ชายชอบเอาขนมมาล่อให้หนูหายงอแง”

สาวน้อยเล่าไปยิ้มไป

“ซอๆ”

พี่สาวคนหนึ่งของน้องสะกิดเรียก

“หือ”

“ไอ้เพจนี่ลงรูปพี่ชายแก”

น้องซอส่ายหัวทันที

“ไม่มีอะไรหรอก”

“ตกลง...”

Rrrrrr

“เป็นแฟนกันรึเปล่า”

เสียงโทรศัพท์มือถือของน้องดังขึ้นทำให้ประโยคนั้นผมได้ยินไม่ชัดเท่าไหร่ น้องซอคว้ามือถือขึ้นมาดูก่อนจะยิ้มกริ่มแล้วกดรับสายทันทีนั่นทำให้ผมหันไปสนใจแบบฝึกหัดที่เตรียมมาสอน

“ว่าไงคะพี่ชาย”

น้องซอรับสายเสียงใส

“วันนี้จะมารับหนูเหรอคะ”

เพื่อนสาวทั้งสองทำหน้าตื่นก่อนจะยิ้มด้วยกิริยาขัดเขินจนผมนึกแปลกใจ สองสาวนี่ดูปลื้มพี่ชายเพื่อนน่าดูจนผมเผลอยิ้มตาม

“โธ่ หนูนึกว่าจะได้ซ้อนมอ’ไซค์”

น้องซอทำหน้าง้ำตอนที่พูดกับปลายสาย

“รับทราบค่ะ เดี๋ยวเรียนเสร็จหนูจะโทรหาพี่นะคะ”

“พี่ชายจะมารับเหรอซอ”

พอวางสายเสร็จเพื่อนๆ รีบไถ่ถามน้ำเสียงดูตื่นเต้น

“พี่ซันหรือพี่...”

“คนที่พวกแกอยากเจอนั่นแหละ”

“กรี๊ดดด”

สาวๆ ปิดปากทำตาโตจนผมขำตาม

“ดีใจอะไรกันขนาดนั้นครับสาวๆ”

“หูยพี่เปียวไม่รู้อะไร นานๆ จะได้เจอพี่ชายคนนี้ของซอ”

“ขนาดนั้นเชียว”

ผมทำหน้าสนใจเพราะปกติเวลาเลิกเรียนเสร็จ เขาจะรอส่งน้องๆ ขึ้นรถกลับบ้านและทุกครั้งมักจะเห็นรถคันโตมารอรับน้องซอเป็นประจำ แต่ทุกครั้งเหมือนจะเป็นคนขับรถที่บ้านนั่นแหละที่มารับจะว่าไปเขาเองก็ไม่เคยเจอคนในครอบครัวน้องสักคน เหมือนจะเคยได้ยินน้องซอพูดว่าตัวเองเป็นลูกคนสุดท้ายและมีพี่ชายถึงสามคน

หลังจากจบเรื่องพี่ชายของน้องซอดูเหมือนสาวๆ จะกระตือรือร้นตั้งใจเรียนจนกระทั่งเป็นเวลาพลบค่ำ ผมสังเกตว่าวันนี้มันอึมครึมตั้งแต่ช่วงเย็นพอใกล้ถึงเวลาเลิกเรียนสายฝนก็ร่วงหล่นลงมาไม่ขาดสายจนได้

“อยู่ๆ ฝนก็ตก แย่จัง”

สาวๆ บ่นขึ้น

“วันนี้ไม่ได้เอาร่มมาด้วย”

ผมล้วงไปในเป้าก่อนจะยื่นร่มคันเล็กให้พวกน้องๆ

“เอาของพี่ใช้ก่อน”

“แล้วพี่เปียวล่ะคะ”

“วันนี้เพื่อนพี่มารับ”

ผมนึกถึงไอ้โต้งที่วันนี้มันอาสามารับเพราะมันซ้อมคทากรอยู่ที่สนามกีฬาไม่ไกลจากที่นี่

“พวกเราเอาไปใช้เถอะ ว่าแต่พี่ชายเราจอดรถที่ไหนล่ะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

“โน่นค่ะ”

ผมมองตามปลายนิ้วของน้องซอไปเห็นรถพอร์ชสีซิลเวอร์เกรย์จอดตีไฟอยู่ตรงถนนใกล้ๆ โรงอาหารดีว่าตรงนี้มีทางเชื่อมอาคารที่พอหลบฝนได้ แต่ทางเดินริมฟุตบาทไปถึงตัวรถเป็นพื้นที่โล่งดีว่าน้องๆ มีร่มของผมกันฝนจึงสามารถเดินเข้าไปในรถได้โดยไม่เปียก ผมยืนรอส่งน้องๆ จนทุกคนเข้าไปในรถคันนั้นแล้ว จังหวะที่เตรียมผละไปรอไอ้โต้งอีกทางนั่นน้องซอเปิดประตูรถออกมาแล้วเดินดุ่มๆ กางร่มมาหาผม

“อะไรครับ”

ผมทำหน้างงเมื่อเห็นของที่น้องยื่นมาให้ตรงหน้า

“มายมิ้นท์ค่ะ”

น้องซอยิ้มจนตาหยี

“พี่ชายซอฝากมาให้”

ผมทำหน้างงในหัวรู้สึกอื้ออึงด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก

“ให้ทำไมครับ”

“แทนคำขอบคุณที่พี่เปียวเดินมาส่งพวกหนูถึงรถ”

“...”

“พี่ชายฝากบอกว่ากินให้อร่อยนะคะพี่เปียว”

บังเอิญเกินไปหากจะมีใครรู้ว่าผมชอบกินมายมิ้นท์

ผมมองตามแผ่นหลังน้องไปจนกระทั่งน้องขึ้นรถแล้วรถคันนั้นค่อยๆ ขับออกไป แต่จังหวะนั้นเหมือนผมเห็นว่ากระจกข้างคนขับเลื่อนลงเล็กน้อยนั่นทำให้ผมเห็นเงาของใครบางคนที่คุ้นตาเหลือเกิน



- J E E B -



Rrrrrr

เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นในช่วงสายๆ ของวันหยุดสุดสัปดาห์ปลุกให้ผมค่อยๆ ขยับเปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างยากลำบากเพราะความรู้สึกหนักหัวและไม่สบายตัว จำได้ว่าเมื่อวานผมโดนฝนปรอยๆ เพราะดึงดันเดินตากฝนไปรอไอ้โต้งที่สนามกีฬา

ผมผุดลุกขึ้นกุมขมับตัวเองรู้สึกเวียนหัวชะมัด ร่างกายขยับได้อย่างเชื่องช้าเหมือนโดนพิษไข้เล่นงาน เสียงโทรศัพท์ที่แผดร้องอย่างต่อเนื่องทำให้ต้องคว้าขึ้นมารับสายในที่สุด

“ครับ”

[ไอ้เปียว?]

ปลายสายทำเสียงสงสัย

[ทำไมเสียงแหบเป็นเป็ดขนาดนั้นวะ]

“เหมือนจะเป็นหวัดพี่”

เสียงนั่นแหบพร่าจนผมนึกรำคาญตัวเอง

[แล้วนี่กินข้าวกินยารึยังวะ]

“ยังเลยพี่”

ผมกุมขมับตัวเองก่อนจะเหลือบยังนาฬิกาที่ติดอยู่ตรงฝาผนังห้อง บ่ายแก่ๆ แล้วยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเพราะนอนยาวตั้งแต่เมื่อคืน

[มึงลุกไหวมั้ย ลงมากินสุกี้ที่ห้องกูมั้ย มีข้าวด้วย]

ผมนิ่งคิดก่อนจะพยักหน้าหงึกหงัก เพราะตอนนี้ท้องว่างมากครันจะออกไปหาอะไรกินข้างนอกสังขารตอนนี้คงไปไม่ไหว การฝากท้องที่ห้องพี่อุ้มจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

“ไหวพี่”

[เออถ้าไหวลงมาห้องกูเลย มากินอะไรสักหน่อยค่อยขึ้นไปกินยานอน ชวนไอ้อ๋องลงมากินด้วยนะ]

“มันไม่อยู่พี่ กลับบ้านไปตั้งแต่เมื่อวาน”

[เออๆ]

พี่อุ้มวางสายไปแล้วตอนที่ผุดลุกจากที่นอนไปล้างหน้าล้างตา เป็นความบังเอิญที่ลุงรหัสผมเช่าหออยู่ที่เดียวกันถึงจะคนละชั้นกันก็ตาม หลังจากทำธุระส่วนตัวแล้วผมก็เปลี่ยนชุดนอนเป็นเสื้อยืดสีซีดกับกางเกงบอลแล้วลากแตะหนีบไปห้องพี่อุ้ม ระหว่างนั้นก็ตอบไลน์ไอ้โต้งที่ไลน์มาหาตั้งแต่เช้า พอผมบอกว่าไม่สบาย หมอนั่นเลยตอบมาว่าเดี๋ยวเย็นๆ มันจะแวะมาหา

“มาเข้ามา”

ผมเคาะประตูไม่กี่ทีเจ้าของห้องก็รีบเดินมาเปิดประตู

“หน้ามึงซีดจังวะ”

“โคตรปวดหัวเลยพี่”

ผมเบะปากตอนที่พี่แกยื่นหลังมือมาแตะที่หน้าผาก

“ตัวมึงร้อนนะเปียว มาๆ มากินข้าวก่อนจะได้กินยา”

ผมยิ้มแหยๆ เพราะที่ห้องไม่มียาสามัญอะไรติดห้องไว้เลย และเหมือนพี่อุ้มจะรู้พี่มันเลยพูดขึ้นว่า

“เดี๋ยวเพื่อนกูซื้อยามาให้”

“ครับ?”

“วันนี้ไอ้เซียนกับไอ้เดี่ยวมันจะมาเล่นเกมที่ห้อง กูฝากมันซื้อยาแล้ว”

ผมพยักหน้าหงึกหงักทั้งที่โคตรหนักหัว พี่อุ้มคะยั้นคะยอให้ผมกินอะไรองท้องสักหน่อยเพราะตอนนี้ผมรู้สึกอ่อนเพลียจนตาแทบจะปิด สุดท้ายผมฝืนข้าวไปได้นิดหน่อย ตอนแรกกะว่าจะขอตัวกลับห้องเลยเพราะอยากนอนเต็มแก่แต่พี่อุ้มไม่ยอม

“มึงนอนห้องกูเนี่ยแหละ กลับห้องไปก็อยู่คนเดียว ถ้ามึงไข้ขึ้นตอนอยู่คนเดียวจะลำบาก”

สุดท้ายผมก็ค่อยๆ คลานขึ้นเตียงพี่อุ้มไปอย่างในที่สุด ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปนอนแค่ไหนตอนที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะแรงสะกิด

“ตื่นมากินยาก่อน”

“อืม”

ผมตอบเสียงงึมงำก่อนจะค่อยเปิดเปลือกตากขึ้นมาแล้วมุ่นหัวคิ้วทันทีที่ภาพตรงหน้าคือใบหน้าคมคายของเพื่อนสนิทพี่อุ้ม

“ลุกขึ้นมากินยาก่อน”

ผมจับต้นชนปลายไม่ถูกเพราะมึนงงที่ตื่นขึ้นอีกครั้งแล้วไม่เห็นใครเลยนอกจากคนตรงหน้า

“ไอ้อุ้มกับไอ้เดี่ยวลงไปซื้อของที่เซเว่น”

ผมพยักหน้ารับรู้

“กินยาก่อน”

ยาเม็ดที่ยื่นมาตรงหน้าทำให้ผมนึกขยาดเพราะตัวเองไม่ถูกโรคกับยาเม็ดเท่าไหร่ เอาจริงๆ ผมเป็นคนกินยายากมาก ฉะนั้นเวลาป่วยไข้แต่ละทีจึงหายยากเพราะชอบแอบป้วนยาทิ้งเป็นประจำ

“ไม่กินได้มั้ยพี่”

“ไม่กินแล้วมึงจะหายเหรอ”

พี่เซียนทำหน้าดุ

“อ้าปาก”

ผมเม้มปากแน่น

“เปียว”

“...”

“กินยาแล้วจะได้นอน”

ผมนั่งเงียบแน่นอนว่าความเงียบนั่นทำให้พี่เซียนกดดันผมทางสายตา ดวงตาสีดำสนิทจ้องหน้าผมนิ่งไม่พูดไม่จาแต่นั่นทำให้ผมเสียวสันหลังไม่น้อย

“อย่างอแงเหมือนเด็ก”

“ผมเปล่า”

น้ำเสียงราบเรียบนั่นทำให้ผมใจเสียอาจจะเพราะกำลังป่วยไข้หรืออะไรก็ตามที่ทำให้ผมรู้สึกอ่อนแอกว่าปกติ ยิ่งสีหน้านิ่งเฉยของคนตรงหน้ายิ่งทำให้ผมนึกน้อยใจ

“ถ้ามึงไม่ได้ทำตัวอย่างนั้นก็กินยาซะ”

“...”

“อย่าเนียนแกล้งหลับ”

“...”

“เปียว”

“รู้แล้ว”

ผมตอบเสียงอู้อี้

“ผมรู้ว่าผมชื่อเปียว”

พี่เซียนถอนหายใจเฮือกใหญ่

“มึงนี่มันกินยายากไม่เคยเปลี่ยน”

ผมหันขวับมองอีกฝ่ายอย่างเต็มตา

“พี่ว่าไงนะ”

“ยาแค่เม็ดเดียว” พี่เซียนยื่นเม็ดยามาตรงหน้าอีกครั้ง “ถ้ามึงกินแล้วกูจะปล่อยให้มึงนอน ถ้ามึงไม่กินมึงก็ไม่หาย แล้วก็จะเป็นภาระเพื่อนกูแบบนี้”

“ไม่อยากกิน”

“...”

“อย่าบังคับผม”

“...”

“ผมไม่เป็นภาระพี่อุ้มก็ได้ ผมจะกลับห้อง”

ผมพูดเสียงสั่นเมื่อสบสายตาจริงจังคู่นั้นและผุดลุกขึ้นทันที พี่เซียนชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่ฝ่ายนั้นจะถอนหายใจแรงๆ แล้วคว้าแขนผมให้ทรุดตัวลงนั่งเช่นเดิม

“ผมจะกลับห้อง”

“โกรธกูเหรอ”

ผมเบือนหน้าหนีเจ้าของใบหน้าเปื้อนยิ้มนั่น

“ผมเปล่า”

“เหรอ”

พี่เซียนกดยิ้มมุมปาก

“คนที่ปากไม่ตรงกับใจมักชอบทำปากคว่ำแบบที่มึงทำอยู่ตอนนี้”

ผมหน้าตื่นรีบตะปบปากตัวเองทันที

“อุ้มมันสั่งกูไว้ว่าให้ปลุกมึงกินยาก่อนที่มันจะกลับมา”

พี่เซียนพูดเสียงทุ้ม

“กินยาเถอะ”

ผมเม้มปากแน่น

“มึงไม่รู้เหรอมีหลายคนเป็นห่วงที่มึงไม่สบาย”

ผมสบตากับคนตรงหน้านิ่ง

“อยากรู้มั้ยว่ามีใครห่วงมึงบ้าง”

“มะ ไม่อยากรู้”

“แต่กูอยากบอก”

ผมทำหน้าตื่นรีบคว้าเอายาในมือคนตรงหน้าใส่ปากแล้วกรอกน้ำแก้วใหญ่ตามทันที หลังจากทำหน้าเหยเกกลืนยาลงคอแล้วผมรีบตะแคงตัวนอนคลุมโปงทันที

“ผมจะนอนแล้ว”

“แล้วกัน”

พี่เซียนพูดขำๆ

“กูยังไม่ได้บอกเลยว่าใครเป็นห่วงมึงบ้าง”

“...”

“ไอ้อุ้มลุงรหัสมึงไง มันห่วงถึงขนาดลงไปเซเว่นเพื่อซื้อแผ่นแปะลดไข้ให้”

“...”

“ไอ้โต้งเพื่อนมึง เมื่อกี้มันโทรเข้ามือถือมึง กูเลยถือวิสาสะรับ พอมันรู้มึงนอนป่วยอยู่ มันก็บอกจะรีบมา”

“...”

“ไอ้เดี่ยวเพื่อนกูมันก็อุตส่าห์แวะซื้อข้าวต้มมาให้มึง”

ผมเม้มปากนอนกอดผ้าห่มแน่น ความรู้สึกร้อนวูบวาบไหลวนไปทั่วร่างกาย ขณะซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาผมยังรู้สึกหนาวสั่นบอกไม่ถูก อาการประหลาดที่ว่านั่นเป็นเพราะพิษไข้แน่ๆ

ร่างกายเจ็บป่วยจนมีปฏิกิริยาประหลาดอย่างการรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า

ผมนอนนิ่งจนรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของใครบางคนที่ขยับขึ้นเตียง แรงขยับนั่นทำให้รู้ว่าใครคนนั้นขยับมาใกล้ ผมหลับตาปี๋เมื่อรู้สึกเงาดำทะมึนอยู่เหนือศีรษะ นอกจากนั้นยังรู้สึกถึงลมหายใจของพี่มันอยู่ใกล้กับใบหู

“กูก็ด้วย”

เชี่ยยย

มาด้วยอะไรล่ะ

“กูก็ห่วงมึง”

ตึก

ตึก

ตึก

“กลัวมึงตายคาห้องเพื่อนกู”

พ่องงง

ผมโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่มก่อนจะถลึงตาใส่คนขี้แกล้ง โดยไม่รู้เลยว่าฝ่ายนั้นกอดอกยิ้มรอท่าอยู่

แม่ง

จังหวะที่สบสายตาคู่นั้น

สัตว์เอ้ย

ตึก

ตึก

ตึก

ใจเต้นแรงมาก

ผมป่วยแน่ๆ ป่วยเพราะพิษไข้เล่นงาน

มันคืออาการของคนเป็นไข้จนหัวใจเต้นแรงก็เท่านั้นเอง



- J E E B -

เมื่อวานไม่ได้ลงขออภัยน้าเราติดธุระค่ะ มาชดเชยให้วันนี้นะคะ
หวีดในทวิตติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยน้า
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่4 l 7/1/63 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Plakhem ที่ 07-01-2020 19:38:42
 :-[ เขินแทน อิอิ :mew3:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่4 l 7/1/63 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 07-01-2020 20:16:53
พี่เซียนจำเปียวได้แน่ๆ  พี่ยักษ์ พี่ยักษ์
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่4 l 7/1/63 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 07-01-2020 21:17:52
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่4 l 7/1/63 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 07-01-2020 22:27:26
แหม...อิจฉาคนป่วยดีไหม มีคนหล่อดูแล
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่4 l 7/1/63 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 08-01-2020 00:40:07
อิจฉาอ่า,,,
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่5 l 13/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 13-01-2020 20:28:38
- จีบที่ 5 -




[อ๋อง]

เคยรู้สึกมั้ยว่าการมีอยู่ของตัวเองมันดูไม่เข้ากับอะไรเลยสักอย่าง

ผมรู้สึกแบบนั้นตอนอายุสิบหก

ตั้งแต่เล็กจนโตผมเข้าใจมาตลอดว่าตัวเองเกิดมาในครอบครัวอบอุ่นที่พรั่งพร้อมไปด้วยพ่อและแม่ซึ่งรักผมมากกว่าใครๆ จนกระทั่งตอนที่ขึ้นมัธยมปลายนั่นแหละ ผมถึงสัมผัสได้ว่าบรรยากาศในบ้านเปลี่ยนไป พ่อกับแม่เริ่มคุยกันน้อยลง ต่างฝ่ายต่างเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากันตรงๆ การกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ทุกๆ เช้าก่อนไปโรงเรียนผมต้องกินข้าวกับแม่เพียงลำพัง มีโอกาสได้คุยกับพ่อตอนดึกหลังจากแม่นอนไปแล้วก็เท่านั้น

ผมทนอึดอัดกับความรู้สึกนั้นเป็นเวลาหนึ่งปีเต็มๆ จนกระทั่งวันหนึ่งทั้งคู่เดินเข้ามาคุยกับผมว่าทั้งคู่ตัดสินใจแยกทางกัน เมื่อนั้นผมถึงรู้สึกว่าความสุขที่ผมได้รับมาตั้งแต่เกิดหายวับไปกับตา เหมือนว่าโลกแห่งความสุขที่ผมเป็นเจ้าของได้ถล่มลงตรงหน้า ยิ่งไปกว่านั้นผมได้รับข่าวร้ายเพิ่มเติมว่าผมไม่ใช่ลูกคนเดียวของพ่อ เหมือนฟ้าฟาดลงกลางใจว่าความจริงที่ซุกซ่อนอยู่เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้น

พ่อลอบมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเพื่อนร่วมงานหลายปีจนกระทั่งมีลูกด้วยกัน เด็กนั่นอายุสิบกว่าขวบเป็นหนุ่มน้อยแล้ว ความจริงที่ซัดกระแทกเต็มๆ นั่นทำให้ผมเจ็บปวดที่สุด เมื่อนั้นผมถึงเข้าใจว่าตลอดเวลาหนึ่งปีหลังจากที่แม่ทราบเรื่อง แม่พยายามรักษาครอบครัวเราอย่างเต็มที่ แต่แก้วที่มันร้าวแล้วยากที่จะประสานกันได้

แม่พูดกับผมว่าเธอยอมอดทนทุกอย่างเพื่อผม แต่เธอไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้ชายใจร้ายที่ทำให้เธอเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสได้ ผมยอมรับการตัดสินใจของแม่หลังจากหย่ากันแม่จะพาผมไปเมืองนอกด้วย เพราะพี่สาวแม่เปิดร้านอาหารอยู่ที่ต่างประเทศ แต่พ่อไม่ยอมให้ผมไป สุดท้ายแม่ต้องจำใจยอมให้ผมอยู่กับพ่อด้วยเหตุผลที่ว่าพ่อเป็นผู้ปกครองที่มีกำลังทรัพย์มากพอจะให้การศึกษากับผมได้ แม่บอกให้ผมอดทนเพื่อรอวันที่แม่จะกลับมารับผมไปอยู่ด้วย

แต่นั่นคือคำสัญญาที่ไม่เป็นจริงเพราะสุดท้ายแม่พบรักกับชาวต่างชาติและตกลงแต่งงานกัน ขณะที่พ่อรับเอาภรรยาอีกคนและลูกชายเข้ามาอยู่ในบ้านอย่างเปิดเผย เมื่อนั้นแหละผมถึงรู้สึกว่าการมีอยู่ของผมมันไม่เหมาะกับตรงไหนทั้งนั้น ไม่ว่าจะมองไปทางใด ผมมองไม่เห็นที่ว่างที่เป็นพื้นที่ของตัวเองเลย

จนกระทั่งผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั่นทำให้ความอดทนอยู่บ้านหลังเดียวกับพ่อสิ้นสุด ผมมองหาอิสระที่ตัวเองต้องการและปีกกล้าขาแข็งออกมาอยู่ตามลำพัง โชคดีว่ามีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่งแต่ถึงอย่างนั้นผมก็มองหางานพิเศษเพื่อหารายได้เลี้ยงชีพ

การออกมาอยู่หอในช่วงแรกนั้นพ่อเข้าใจว่ามันสะดวกกับการเรียนของผม แต่เพราะผมไม่เคยกลับบ้านอีกเลยนั่นทำให้พ่อไม่พอใจจนพยายามโน้มน้าวใจทุกวิธีทางเพื่อให้ผมกลับบ้าน ไม่ต่างจากแม่ที่พอทราบข่าวว่าผมออกมาอยู่ข้างนอกก็ตกอกตกใจกับการกระทำของผม

แม่จึงฝากฝังผมกับเพื่อนสนิทของแม่ให้ช่วยดูแลผมอยู่ห่างๆ แน่นอนว่าเพื่อนสนิทของแม่ที่ผมรู้จักตั้งแต่เด็กเข้ามาให้ความช่วยเหลือผมสารพัดจนกระทั่งทำให้ผมได้รู้จัก “ลูกชาย” เพื่อนสนิทของแม่ ผู้ชายหน้านิ่งเจ้าของใบหน้าคมคายที่ชอบผมมองราวกับเด็กน้อย

ผมเกลียดแววตาคู่นั้น

แววตาที่เต็มไปด้วยความสงสาร มองผมราวกับเด็กขาดความอบอุ่น หรือเด็กมีปัญหาบ้านแตก ผมเกลียดความเวทนาที่ฝ่ายนั้นมีให้ ผมเกลียดที่ฝ่ายนั้นชอบมองผมนิ่งๆ โดยไม่พูดอะไรเลย ถึงแม้ว่าการกระทำของผมจะเลวร้ายสักแค่ไหน

ผมเกลียดความอ่อนโยนที่ฝ่ายนั้นชอบแสดงต่อกันเหมือนที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้

“พี่มีข้อเสนอให้”

เจ้าของใบหน้าคมคายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของพูดขึ้น สีหน้าท่าทางดูสุภาพตามบุคลิกนั่นทำให้ผมนึกรำคาญลูกตา แน่นอนว่าสีหน้าที่แสดงออกถึงความเบื่อหน่ายของผมทำให้ฝ่ายนั้นถอนหายใจเงียบๆ

“น้าดุจกับแม่พี่เห็นตรงกันแล้ว”

“เหอะ”

ผมเบะปากทันที

“เลิกทำงานเสิร์ฟอาหารที่ร้านเหล้าเถอะ”

“มึงฟ้องแม่กูเหรอ”

ฝ่ายนั้นมองหน้าผมนิ่ง

“พี่อายุมากกว่าอ๋องหลายปี”

ผมเม้มปากแน่นก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น

“ไม่ต้องสุภาพกับพี่ก็ได้ แต่พี่ไม่ชอบให้เราแทนตัวเองกับพี่ว่ามึงกู”

“อ่อนไหวจังนะ”

ฝ่ายนั้นยิ้มน้อยๆ ให้

“ก้านบัวบอกลึกตื้นชลธาร ส่วนมารยาทก็ส่อสันดานชาติเชื้อ พี่ไม่อยากให้เราเสพติดคำหยาบคาย เมื่อก่อนอ๋องเป็นเด็กน่ารักมากนะ”

“หุบปาก”

ผมตบโต๊ะเสียงดังความพูดของอีกฝ่ายเสียดแทงเข้าไปในจิตใจ น่ารักเรียบร้อยแล้วยังไง สุดท้ายเด็กอ่อนต่อโลกคนนั้นก็ถูกครอบครัวที่บิดเบี้ยวหล่อหลอมให้แบบนี้ไม่ใช่หรือ ฝ่ายนั้นเอื้อมมือมาคว้าข้อมือผมแล้วยื้อเอาไว้

“เจ็บมั้ย”

น้ำเสียงอ่อนโยนถามขึ้นตอนที่พิจารณารอยแดงเถือกตรงฝ่ามือ

“อย่าโมโหนัก เห็นมั้ยมือแดงหมดแล้ว”

“ปล่อย”

มันสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายแรงๆ จนสุดท้ายไอ้พี่ดลยอมปล่อยผม

“เจ็บมั้ย”

“อย่าเสือก”

ผมพูดเสียงห้วน

“อ๋อง”

พี่ดลพูดเสียงเรียบ

“แม่ง”

ผมขยี้หัวตัวเองแรงๆ เพราะดันรู้สึกกริ่งเกรงกับท่าทางแบบนี้ของไอ้พี่ดล ผู้ชายที่พูดน้อยแต่แววตาบอกชัดทุกอย่างว่าหากเขายังดื้อรั้นพูดจาแบบนี้กับอีกฝ่ายรับรองได้ว่าผู้ชายท่าทางสุภาพนี่ต้องมีวิธีจัดการเขาในแบบฉบับของตัวเองนั่นแหละ

“ไม่เจ็บ”

“ความรุนแรงไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างหรอกนะ”

“...”

“เหมือนกับการที่เราดึงดันออกมาอยู่หอแล้วคิดว่านี่คืออิสระที่ตัวเองโหยหา พี่ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่เราทำมันผิด แต่พี่อยากให้เราทบทวนสักหน่อย ว่าสิ่งที่ทำอยู่นี่ไม่ได้ทำเพราะประชดประชันใคร”

ผมสะอึกตอนที่หน้าอีกฝ่ายตรงๆ

“ผมเปล่า”

ไม่จริงเลย

ผมโกหกเพราะส่วนหนึ่งที่ทำงานแบบนี้เพราะอยากทำให้พ่อและแม่หันมาสนใจเขาบ้างก็เท่านั้น มันคือการเรียกร้องความสนใจแบบเด็กๆ เป็นการประชดประชันที่ไม่เข้าท่าเอาซะเลย

ผมเผลอกัดริมฝีปากจนเจ็บ

“ถ้าอยากหางานพิเศษทำ พี่ช่วยเราได้ แต่ขออย่างเดียวลาออกจากการเสิร์ฟอาหารที่ร้านเหล้าเถอะนะ”

“...”

“แม่พี่กับน้าดุจห่วงเรามากนะอ๋อง”

ผมส่ายหัว

ถ้าแม่ห่วงจริงๆ ทำไมป่านนี้ถึงไม่มารับผมไปอยู่ด้วย ทำไมใจร้ายปล่อยให้ผมอยู่เพียงลำพังแบบนี้ ผมกระพริบตาถี่ๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่นจนกระทั่งรู้สึกถึงเงาของใครบางคนยืนคร่อมอยู่เหนือศีรษะ

“เราไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกนะอ๋อง ลองหันไปรอบๆ สิมีคนอีกตั้งมากมายเป็นห่วงเรา”

มือหนาของพี่ดลแตะที่ศีรษะผมเบาๆ นั่นทำเอาสะดุ้งโหยงผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ผมจะกลับแล้ว”

“อ๋อง”

“...”

“ถ้าคิดว่าตัวเองไม่ไหว ขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเถอะ มันไม่น่าอายหรอกนะ”

“ผมดูแลตัวเองได้”

พี่ดลยิ้มอ่อนๆ ให้ผม รอยยิ้มนั้นอบอุ่นดูจริงใจจนผมต้องเบือนหน้าหนี

“แต่พี่อยากช่วยเรา”

“ผมไม่รับ”

“รับเถอะ”

ฝ่ายนั้นพูดขึ้น

“พี่เต็มใจช่วยเราทุกอย่าง”

ผมกัดริมฝีปากจนเจ็บ

“เพราะพี่เองก็เป็นห่วงเรา”

ผมหันหลังเดินออกมาโดยไม่คิดว่าหันกลับไปมอง เพราะไม่อยากให้ตัวเองแสดงออกทางสีหน้ามากเกินไป ผมไม่อยากอ่อนแอให้ใครเห็นใจ โดยเฉพาะคนๆ นั้นคือพี่ดล ลูกชายเพื่อนแม่ผู้แสนดี


- J E E B -




“เปียว”

“...”

“เชี่ยเปียว”

“...”

“ไอ้ห่าเปียว”

เสียงตะโกนเรียกผมในระยะประชิดเรียกให้สติที่หลุดลอยไปไกลหวนคืนมา ผมกระพริบตาถี่ๆ ตอนที่เห็นไอ้โต้งยืนทำหน้าฉงนอยู่ตรงหน้า

“เหม่ออะไรวะ”

ผมส่ายหน้าหวือท่ามกลางความแปลกใจของมัน แต่ความสนใจก็ถูกเบี่ยงเบนไปเมื่อลุงรหัสผมเดินสะพายเป้มาแต่ไกล

นี่ก็แปลก

ไม่รู้ว่าผมตาฝาดหรือมองพลาดไปเพราะเมื่อเช้าที่ผ่านมาผมเห็นพี่อุ้มลงมาจากรถไอ้โต้ง เอาจริงเห็นแล้วผมยังนึกประหลาดใจไม่น้อย ความสัมพันธ์ทั้งคู่ไม่น่าจะสนิทกันถึงขนาดมาด้วยกันได้

มันต้องมีซัมธิงอะไรบางอย่างระหว่างคนทั้งคู่แน่นอน

แต่ช่างเถอะ ถึงอยากจะรู้มากแค่ไหนแต่ผมก็เคารพความเป็นส่วนตัวของทั้งคู่ อีกอย่างคือแค่เรื่องตัวเองก็ปวดหัวไม่น้อยแล้ว ฉะนั้นผมไม่นึกอยากรู้เรื่องของคนอื่นนักหรอก

“เปล่าอะไรวะ กูเห็นมึงเหม่อมาวันสองวันแล้วนะ หายไข้แล้วเป็นบ้าเหรอวะเพื่อนกู”

ผมทำปากยื่นใส่มันแล้วหวนนึกถึงวันที่ไข้ขึ้นจนไปเผลอหลับที่ห้องพี่อุ้ม วันนั้นผมจำได้ว่าต่อปากต่อคำเพราะไม่ยอมกินยากับไอ้พี่เซียนจนเผลอหลับไปในที่สุด แต่ผมจำได้เลือนรางตอนที่สะลึกสะลือตื่นขึ้นมากลางดึกคืนนั้นว่าผมเห็นไอ้พี่ยักษ์

เพื่อนต่างวัยในครั้งอดีตมาหาผม

‘หายป่วยเถอะไอ้เด็กขี้แย’

‘...’

‘หายไวๆ แล้วกูจะพาไปกินไอศกรีมมิ้นท์ของโปรดมึง’


ไอศกรีมมิ้นท์ที่ไอ้พี่ยักษ์เคยเอามาล่อให้ผมกินข้าวกินยาตอนที่นอนซมเพราะพิษไข้หลังจากไปเล่นซนว่ายน้ำทั้งวันตอนป่วยไข้ สุดท้ายก็โดนพ่อแม่ดุและโดยไอ้ยักษ์หัวเราะเยอะใส่แต่ถึงอย่างนั้นไอ้พี่ยักษ์ก็แวะเวียนมาเยี่ยมถึงจะหลอกล่อให้ผมกลั้นใจกินยาด้วยการเอาไอศกรีมมาล่อก็ตาม

ผมเข้าใจว่าตัวเองหลงละเมอไปเพราะพิษไข้แต่ให้ตายเถอะตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งผมเห็นแผ่นหลังของพี่เซียนกำลังเดินผละออกไป นั่นหมายความว่าคนที่ปลอบประโลมผมคืนนั้นไม่ใช่ไอ้พี่ยักษ์ในจินตนาการแต่คือพี่เซียน

พี่เซียนที่บังเอิญผมอุปทานไปว่าคล้ายคลึงกับเพื่อนต่างวัยในอดีตเหลือเกิน

“เฮ้อ”

คิดอะไรเหลวไหลแบบนั้นวะ ผมส่ายหัวแรงๆ แล้วเท้าคางมองไอ้โต้งที่เดินดุ่มๆ ไปช่วยพี่อุ้มซึ่งหอบหิ้วของพะรุงพะรังแต่พี่ลงรหัสผมแยกเขี้ยวทำหน้ายักษ์ใส่อีกฝ่ายทันที

“อย่ามายุ่งกับกู”

พี่อุ้มทำหน้าหงุดหงิด

“พี่เป็นคนพูดเองว่าให้ทำตัวเหมือนเดิม”

“ไอ้ห่าโต้ง”

ลุงรหัสผมทำตาลอกแลกหันซ้ายหันขวาก่อนจะพ่นลมหายใจแรงๆ เมื่อเห็นว่าผมทำตาแป๊วหูตั้งลอบฟังบทสนทนาของทั้งคู่อย่างตั้งใจ เมื่อถูกจับได้พี่แกเลยมองหน้าผมอย่างคาดโทษแล้วหันไปทำหน้าดุใส่เพื่อนสนิทผมที่สุดท้ายมันจำใจยอมแพ้ไม่เซ้าซี้อีกฝ่ายต่อ ไอ้โต้งผละจากไปพร้อมรอยยิ้มเปื้อนใบหน้าขณะที่ลุงรหัสผมทำท่าค้อนลมค้อนแล้งไปเรื่อย

“แหะ”

ผมเกาหัวแกรกๆ แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่นตอนที่พี่แกเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า

“ทะเลาะอะไรกันครับ”

“เพื่อนมึงแม่งน่ารำคาญ”

รำคาญกันอีท่าไหนวะถึงลงจากรถเพื่อนผมเมื่อเช้า อันนี้ผมคิดในใจนะเพราะขืนพูดไปผมโดนพี่อุ้มแหกอกแน่นอน แน่นอนว่าบทสนทนาหลังจากนั้นผมพยายามไม่พูดถึงไอ้เพื่อนตัวต้นเหตุก่อนจะช่วยพี่อุ้มถือของไปที่ฟิตเนสคณะเนื่องจากวันนี้เป็นวันแรกที่จะเริ่มเทรนในวิชาบอดี้คอนดิชันนิ่ง

เกือบห้าโมงเย็นบรรยากาศที่ฟิตเนสค่อนข้างคึกคักเป็นพิเศษเนื่องจากวันนี้มีกลุ่มตัวอย่างมาเทสต์ร่างกายก่อนการฝึกจริง ขณะที่ผมกำลังเตรียมอุปกรณ์วัดความดันโลหิตแบบอัตโนมัติระหว่างนั้นเสียงรอบกายพร้อมใจกันเงียบลงทันทีนั่นทำให้ผมนึกสงสัย

ชายเสื้อช๊อปที่ปรากฏขึ้นตรงขอบโต๊ะทำให้ผมต้องเงยหน้าจากงานตรงหน้าทันที ไม่แปลกเลย ที่เสียงจอกแจกจอแจเมื่อกี้พลันเงียบลงเมื่อคนดังของภาคยานยนต์มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า

“อ้าวไอ้เซียน ไอ้เดี่ยว”

พี่อุ้มร้องทักเพื่อนแก

“มาพอดีเลยเดี๋ยวมึงวัดความดันกันก่อนนะ”

ทั้งสองพยักหน้าหงึกหงัก

“กูไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึง”

พี่เดี่ยวพูดขึ้นก่อนจะผละออกไป ดังนั้นตอนนี้จึงมีเพียงผมกับเพื่อนอีกคนและพี่เซียนที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงหน้า ส่วนพี่อุ้มวิ่งไปเช็ตอุปกรณ์ในห้องฟิตเนส

“ขออนุญาตนะครับ”

ผมก้มหน้าก้มตาถลกแขนเสื้อพี่เซียนขึ้น ไม่พยายามไม่สนใจเจ้าของใบหน้าคมคายที่กำลังมองผมอยู่

“วัดความดันไปทำไมอ่ะ”

ฝ่ายนั้นถามขึ้น

“เพื่อดูอัตราการเต้นของหัวใจครับ”

“เต้นเร็วกับเต้นช้านี่มันบอกอะไร”

“อัตราการเต้นหัวใจสำหรับคนอายุรุ่นเรา ถ้าอยู่ขณะพักมันควรอยู่ที่ 70-90 ครั้งต่อนาที แต่ถ้าออกกำลังกายหัวใจจะเต้นถี่ขึ้นอยู่ที่ประมาณ 100-135 ครั้งต่อนาทีครับ สำหรับการเทรนครั้งนี้ต้องให้หัวใจเต้นให้ถึง 70% ของเป้าหมาย แน่นอนว่ามันมีผลกับโปรแกรมฝึก อีกอย่างผลที่ได้ทำให้สามารถออกแบบโปรแกรมการฝึกให้อัตราการเต้นของหัวใจไม่หนักเกินไป จะได้ปลอดภัยตลอดการเทรนน่ะครับ”

ผมอธิบาย

“แล้วคนเราจะหัวใจเต้นเร็วได้นอกจากออกกำลังกายมั้ย”

พี่เซียนแม่งขี้สงสัยจังวะ ผมแอบเบะปากใส่อีกฝ่ายตอนที่เตรียมสวมเครื่องวัดพันที่แขน

“ก็ตื่นเต้น ตกใจหรือหวาดกลัวอะไรมากๆ”

“เหรอ”

พี่เซียนเท้าคางมองผมอย่างสนใจ

“แบบอยู่ใกล้คนที่ชอบแล้วหัวใจเต้นแรงก็เป็นไปได้นะพี่”

เพื่อนผมที่ช่วยเตรียมอุปกรณ์วัดความดันอยู่พูดขึ้นขำๆ

“อ้าวชิป เครื่องไม่ติดว่ะ”

“มึงได้สลับถ่านรึเปล่า”

ผมทำหน้ายุ่งก่อนจะถอดผ้าพันจากแขนพี่เซียนแล้วเช็คความผิดปกติ

“แป๊บนึงนะพี่ ขอผมเทสต์กับตัวเองก่อน”

หลังจากเช็คถ่านที่ใส่ด้านหลังเครื่องและหาความผิดปกติแบบอื่นแล้ว ผมก่อนลองวัดความดันตัวเองดูก่อนเพื่อเป็นการทดสอบ ระหว่างนั้นเพื่อนผมก็ผละไปช่วยคนอื่นเช็ทอุปกรณ์ จังหวะที่กำลังก้มๆ เงยๆ ผมรู้สึกว่ามีสายตาของใครบางคนมองผมอยู่เงียบๆ

“มองอะไรเล่า”

พี่เซียนเท้าคางแล้วกดยิ้มมุมปาก

“บทมึงจะจริงจังก็น่าดูพิลึกนะ”


ตึก

ตึก

ตึก


พ่องตาย....ยิ้มนี้โคตรทำลายล้าง

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เบือนหน้าหนีสายตาของไอ้พี่เซียน ก่อนจะทำหน้าตื่นเมื่อมองไปยังหน้าจอเครื่องวัดความดันโลหิตอัตโนมัติที่ปรากฏตัวเลขอัตราการเต้นของหัวใจที่ขยับเลขขึ้นเรื่อยๆ


78....89....101

พี่เซียนเหลือบตามองไปที่หน้าจอนั่นเช่นกัน ฝ่ายนั้นสงสัยกับท่าทางประหลาดของผม ก่อนจะกดยิ้มมุมปากแล้วเท้าคางมองตัวเลขนั่นราวกับกำลังชมการแสดงอะไรสักอย่างที่น่าสนใจ

สุดท้ายตัวเลขที่ปรากฏหยุดที่หมายเลข 110

“มึงตื่นเต้นอะไรวะไอ้เปียว”

เพื่อนร่วมคณะคนเดิมเดินกลับมาอีกครั้งตอนที่เครื่องวัดความดันโลหิตแสดงผลทุกอย่างที่หน้าจอ

“จะว่าตกใจหรือหวาดกลัวก็ไม่น่าใช่เปล่าวะ”

ผมกุมขมับตัวเองก่อนจะแยกเขี้ยวใส่เพื่อน ก่อนจะรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วใบหน้าตอนที่ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของพี่เซียน

แม่ง

พี่เซียนเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าผมแยกเขี้ยวใส่พี่มันทำไม

สัตว์เอ๊ย!

ไอ้เพื่อนเวรนั่นทำหน้างงที่เห็นพี่เซียนหัวเราะ แต่ผมรู้ดีว่าคนดังภาคยานยนต์ขบขันในเรื่องอะไร หัวใจผมเต้นแรงไม่ใช่เพราะตื่นเต้น ตกใจหรือหวาดกลัวอะไรก็ตาม

แน่นอนว่าพี่เซียนต้องเข้าใจว่าหวยคงไปออกข้อสุดท้ายที่ว่า

‘แบบอยู่ใกล้คนที่ชอบแล้วหัวใจเต้นแรงก็เป็นไปได้นะพี่’

ไม่ใช่โว้ย

ไม่มีทาง ผมไม่ได้หัวใจเต้นแรงเพราะชอบพี่มัน กูแค่สตั้นไปกับรอยยิ้มทำลายล้างเมื่อกี้นี้เท่านั้นเอง

“เครื่องวัดแม่งมั่ว”

ผมบอกกับเพื่อนตัวเอง

“อะไรกันวะ เครื่องนี้คณะเพิ่งไปถอยมาใหม่ แล้วลุงรหัสมึงเพิ่งไปเบิกใช้งานคนแรก ไม่มีทางที่มันจะเสีย”

“ก็ไม่แน่นะ”

ผมเถียงข้างๆ คูๆ รีบถอดผ้าที่พันอยู่ออกทันทีท่ามกลางสายตาคู่คมที่จับจ้องกันอยู่

“มึงก็รู้ว่าปฏิกิริยาภายนอกของคนเรามันปกปิดอาการดีใจ เสียใจหรือ หวาดกลัวได้ แต่สำหรับหัวใจมันไม่มีทางโกหกข้อเท็จเหล่านั้นได้เลย”

พ่องงง

ผมตาเหลือกรีบถลึกตาใส่เพื่อนตัวเองให้หุบปากทันที

“อะไรวะกูพูดเรื่องจริง”

“หุบปากไปเลย”

ผมกระซิบเสียงรอดไรฟัน

“หัวใจไม่เคยโกหกงั้นหรือ”

ไอ้พี่เซียนที่นั่งไร้บทบาทอยู่นานพูดขึ้น

“จริงพี่ อัตราการเต้นของหัวใจมันไม่โกหก มันจะบอกข้อเท็จจริงพื้นฐานของร่างกายคนๆ นั้นเสมอ”

ผมอ้าปากพะงาบๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีตอนที่พี่มันหันมามองกัน

“กูไปเยี่ยวนะ”

อยู่ตรงนี้ไม่ได้แล้วโว้ย

“นั่นไงมึงตื่นเต้นจนปวดฉี่สินะ หัวใจถึงเต้นแรงขนาดนั้น”

“อืม”

เออออไปเลยแม่ง

“พี่ว่าไม่ใช่”

ไม่ใช่อะไรวะ ไอ้พี่เซียนแม่งอย่ามาทำรู้ดีกว่าตัวกูได้ป่ะ

“หัวใจมึงคงทำงานหนัก”

พี่เซียนพูดยิ้มๆ

“ยังไง”

“เจ้าของหัวใจมันคงบังคับตัวเองไม่ให้หวั่นไหว ทั้งที่ใจเต้นแรง”

พ่องงง

ผมผลุนผลันออกมาท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนตัวเอง ผมกุมหน้าอกด้านที่หัวใจกำลังเต้นรั่วๆ เพื่อปลอบประโลม

“อย่าเต้นแรงได้มั้ย”

“...”

“แค่นี้ก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว”

ผมเม้มปากแน่นหวนนึกถึงสีหน้าและแววตาตัวต้นเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองประหลาดเข้าไปทุกวัน แววตาคู่คมที่ทอดมองกันนิ่งๆ

‘หายไวๆ แล้วกูจะพาไปกินไอศกรีมมิ้นท์ของโปรดมึง’

คืนนั้นไม่ใช่เสียงในฝันของไอ้พี่ยักษ์ แต่มันคือเสียงของพี่เซียนที่กระซิบข้างหูกัน


- J E E B -



เอาแล้ววววว นุ้งเปียว หัวใจหนูไม่สามัคคีกะตัวหนูเลยลูก 5555555
หวีดในทวิตแท็ค #ชอบก็Jeeb ด้วยเด้อ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่5 l 13/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 13-01-2020 22:18:12
พี่เซียนนี่ได้โอกาสเมื่อไหร่ก็จีบน้องได้ตลอดเลยนะ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่5 l 13/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 13-01-2020 22:23:50
พี่เซียนนิสัยไม่ดี แกล้งเด็ก

สงสารอ๋อง ใครไม่ตกอยู่ในสถานการณ์นั้นไม่รู้หรอก
พ่อไปทางแม่ไปทาง แล้วเด็กก็เคว้ง ไม่เชื่อใจใคร
ต้องคนที่เข้าใจและจริงใจถึงจะรับมือได้
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่5 l 13/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: chompoo1997 ที่ 14-01-2020 02:46:52
เขินนชอบสร้างโลกส่วนตัวกัน2คนตลอดดด
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่5 l 13/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: davil01 ที่ 14-01-2020 18:35:38
ติดตามครับ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่5 l 13/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 14-01-2020 20:03:07
สงสารอ๋อง เหมือนอ๋องแอบน้อยใจพี่ข้างบ้าน
ส่วนอิพี่เซียน กวนๆๆใส่น้องตลอด
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่5 l 13/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 14-01-2020 20:40:42
กอดอ๋องแน่ๆ เป็นกำลังใจให้สู้ๆ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่5 l 13/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 14-01-2020 23:55:40
เป็นกำลังใจให้อ๋องนะครับ,,,
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่5 l 13/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Plakhem ที่ 15-01-2020 21:09:31
 :z3: มานิดเดียวแต่ก็เขินนะ :-[
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่5 l 13/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 16-01-2020 14:17:01
พี่เซียนขี้แกล้งอ่ะ

เห็นใจอ๋องเลย ฃ
จากเด็กสดใสกลายเป็นเด็กมืดมน
เพียงเพราะการกระทำของพ่อที่มักมาก
และแม่ที่ไม่รักษาสัญญา
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่6 l 20/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 20-01-2020 20:24:39
- จีบที่ 6 -




เกือบชั่วโมงหลังจากวัดความดันโลหิตแล้วให้กลุ่มตัวอย่างไปเปลี่ยนเป็นชุดออกกำลังกายมาเทรนตามโปรแกรมการฝึก ระหว่างนั้นผมก็นั่งสังเกตการณ์กลุ่มตัวอย่างไปพลาง นั่นแหละผมถึงได้มีโอกาสสังเกตคนดังของภาคยานยนต์ในชุดเสื้อกล้ามแบบกีฬา กล้ามเนื้อตรงแขนเป็นรูปสวยงามจนน่าอิจฉา ช่วงล่างอยู่ในกางเกงกีฬาผ้าลื่นนั่นยิ่งส่งเสริมคนๆ นั้นเหมือนผู้ชายสายสปอร์ต ปกติผมมักเห็นพี่มันอยู่ในเสื้อนิสิตสวมทับอยู่เสื้อช๊อปสีกรมมีตราพระเกี้ยวปักอยู่ตรงกระเป๋าที่หน้าอกข้างซ้ายท่าทางดูดิบเถื่อน ต่างจากวันนี้ราวกับคนละคนแต่ถึงอย่างนั้นความนิยมของพี่มันก็ไม่ได้ลดลงเลยด้วยซ้ำ

ผมสังเกตว่าวันนี้ฟิตเนสคณะคึกคักกว่าปกติมากโดยเฉพาะบริเวณร้านกาแฟเล็กๆ ที่ตั้งอยู่หน้าฟิตเนสซึ่งนิสิตสาวๆ และกลุ่มเจ่ๆ หรือรุ่นพี่ผู้ชายหัวใจสาวนั่งจับจองโต๊ะกันจนไม่มีที่ว่าง ไม่ต้องเดาให้ยากหรอกว่าคนพวกนั้นมาเฝ้าดูใครหากไม่ใช่คนดังของภาคยานยนต์

ตั้งแต่เซียน ศกัณฐ์แวะมาที่คณะผมบ่อยๆ นั่นทำให้คณะผมคึกคักไม่น้อย เพราะมีคนเล่ากันปากต่อปากว่าคนดังวิศวะฯ มักแวะมากินข้าวกับเพื่อนสนิทที่นี่ แน่นอนว่านั่นทำให้ใครก็ตามที่ตามติดชีวิตของไอ้พี่เซียนต่างพากันมาปักหลักเพื่ออัพเดตชีวิตส่วนตัวของเพื่อนรักพี่อุ้ม จริงๆ มีคนเคยไปตามที่สนามกีฬาที่เป็นสถานที่ฝึกซ้อมคทากรแต่หมอนั่นมาบ้างไม่มาบ้างคงเพราะเป็นรุ่นพี่คทากรจึงไม่ได้ซ้อมหนักเหมือนไอ้โต้งที่ช่วงหลังเรียนทุกวันมันต้องถูกจิกหัวให้ไปซ้อมทุกวัน

“วันนี้สาวๆ มาฟิตเนสกันเยอะจังวะ”

ไอ้อ๋องซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ กันพูดขึ้น

“วันนี้มีคลาสแอโรบิคเหรอวะ”

ผมส่ายหัวทันที

“แอโรบิคมีวันศุกร์”

“อ้าวแล้วเขามากันทำไมเยอะแยะวะ”

“มาดูคนมั้ง”

ผมยักไหล่

“ดูใครวะ”

ผมบุ้ยปากไปยังคนในหัวข้อสนทนาที่เทรนเสร็จแล้วกำลังผละไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

“มิน่า”

ไอ้อ๋องพูดยิ้มๆ เพราะมันเองก็เป็นสาวกของเซียน ศกัณฐ์ตามที่ไอ้โต้งกรอกหูให้ฟังบ่อยๆ ถึงรุ่นพี่ที่มันเคารพเหมือนกัน

“โคตรสร้างความวุ่นวายให้คณะเลย”

“มึงบ่นใครวะ”

พี่อุ้มที่เดินมาหยุดตรงหน้าเอ่ยถาม

“เปล่าพี่”

“เปล่าอะไร เมื่อกี้มันเพิ่งนินทาเพื่อนสนิทพี่อยู่เลย”

“ปากมากไอ้ห่าอ๋อง”

ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่เพื่อน

“หมั่นไส้อะไรเพื่อนกูนักหนาวะ” พี่อุ้มถามยิ้มๆ “แค่เรื่องที่มึงเคยว่ามันหน้าเหมือนมะเขือยาว แล้วโดนมาแกล้งกลับทำให้มึงแค้นฝังหุ่นเลยเหรอวะ”

“พี่รู้”

ผมอ้าปากพะงาบๆ ขณะลุงรหัสผมยักคิ้วพร้อมกันทั้งสองข้าง

“มะเขือยาวอะไรวะ”

พี่เดี่ยวที่เดินมาสมทบเอ่ยขึ้นแต่การที่มองผมแล้วยิ้มแบบนั้นหมายความว่ายังไงวะ

“ว่าไงคู่ปรับไอ้เซียน”

“ไม่ขนาดนั้นมั้งพี่”

ผมส่ายหน้าหวือ

“มึงรู้มั้ยไม่เคยมีใครคุยกับมันได้เป็นครั้งที่สองหรอก”

“ทำไมอ่ะ”

ผมทำหน้าสงสัย

“เพื่อนพี่มนุษย์สัมพันธ์แย่เหรอ”

พี่เดี่ยวส่ายหัวไปมา

“ปกติมันสนใจใครที่ไหน เรื่องแค่นี้มันไม่เก็บมาคิดให้รกสมองหรอก แต่กูแค่แปลกใจที่มันดันต่อปากต่อคำกับมึงนี่แหละ”

“...”

“ไอ้ห่าเซียนมันโลกส่วนตัวสูงจะตาย นอกจากเพื่อนในกลุ่ม กูไม่เห็นมันคุยกับใครเลย แต่นี่”

พี่เดี่ยวเดินวนรอบตัวผมไม่พอ สายคู่นั้นยังมองผมตั้งแต่หัวจรดศีรษะ

“เมื่อกี้ก่อนเทรน กูเห็นมันคุยกับมึงตั้งนานสองนาน”

ผมทำตาโตท่ามกลางเสียงหัวเราะของพี่เดี่ยวและพี่อุ้ม

ฉิบหาย

ไม่คุยธรรมดาด้วยสิ ผมเม้มปากแน่นเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ชวนขายหน้าก่อนหน้านี้

แม่งเอ๊ย

เครื่องวัดเฮงซวย

“กูถึงบอกไงว่ามึงคือคู่ปรับของมัน”

“...”

“ดูท่าจะเป็นคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อด้วยสิ”

“ปากมากไอ้เดี่ยว”

ไอ้พี่เซียนมาหยุดยืนอยู่หลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่เสียงทุ้มนั่นดังข้ามหัวผมไป นั่นทำเอาผมสะดุ้งโหยงรีบเอี้ยวตัวไปด้านหลัง

“กูพูดเรื่องจริงเถอะ”

พี่เดี่ยวยักไหล่ไม่แคร์ใบหน้านิ่งของเพื่อนตัวเอง

“เรื่องจริงอะไร”

“...”

“มึงก็รู้อยู่แก่ใจไอ้ห่าเซียน”

พี่เซียนไม่ตอบเพียงแค่เหลือบตามองมาทางผมแวบหนึ่งก่อนจะหันไปสบตาเพื่อนตัวเอง ขณะที่พี่เดี่ยวกดยิ้มมุมปากก่อนจะทำเสียงขำในลำคอ

“สู่รู้”

บรรยากาศมันแปลกๆ ว่ะ

อยู่ตรงนี้ไม่ได้แล้วโว้ย

ผมผุดลุกขึ้นทันทีก่อนจะผละออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นผมยังอุตส่าห์มองกลับไปยังกลุ่มของพี่อุ้มแล้วเห็นสามคนนั่นพร้อมใจกันมองมาที่ผม พี่อุ้มมองเหมือนจะเอ็นดู พี่เดี่ยวยิ้มเจ้าเล่ห์คล้ายจะแซว

ส่วนคนสุดท้ายแค่กดยิ้มมุมปาก

ไอ้เหี้ย...ยิ้มมุมนี้แม่งโคตรดาเมจ



- J E E B -



“กูกลับก่อนนะ”

ไอ้อ๋องที่มาช่วยเก็บอุปกรณ์การเทรนเอ่ยกับผมก่อนที่มันจะเอื้อมมือไปคว้าเป้ขึ้นสะพาย

“ไม่อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันเหรอ”

ปกติหลังเลิกเรียนผมจะไปกินข้าวกับมันก่อนที่จะซื้อขนมสารพัดไปฝากไอ้โต้งที่ซ้อมคทากรอยู่ที่สนามกีฬา

“กูเปลี่ยนงานพิเศษ”

มันพูดเสียงงึมงำ

“วันนี้ทำงานวันแรกกูไม่อยากไปสาย”

“มึงเปลี่ยนงาน?”

“อืม”

ไอ้อ๋องถอนหายใจแรงๆ

“หมายความว่ามึงไม่ได้เสิร์ฟที่ร้านเหล้าแล้ว”

“เออ”

“ก็ดีแล้วเพราะงานนั่นเลิกโคตรดึก แต่ว่ามึงบอกเองนี่ว่าทิปร้านนั้นโคตรเยอะ มึงไม่เสียดายเหรอ”

“เสียดายสิ”

มันทำเสียงหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย ท่าทางแบบนั้นทำให้นึกสงสัยบวกกับเมื่อวันก่อนที่ผมไม่สบายแล้วมันบอกว่ากลับไปนอนบ้าน สุดท้ายไอ้อ๋องมันยอมเปิดปากเล่าว่าคืนนั้นมันนอนค้างที่ร้านเหล้าที่มันทำงานพิเศษอยู่เพราะกลับหอไม่ไหว และยังไงไม่รู้วันนี้ดันมาบอกว่าได้งานใหม่แล้ว

“เพราะพี่รหัสมึงเลยไอ้เปียว”

ผมมุ่นหัวคิ้วทันที

“เกี่ยวอะไรกับพี่ดลวะ”

“พี่มึงนั่นแหละเกี่ยวเต็มๆ”

มันทำหน้าเจ็บใจ

“เสือกปากโป้งไปบอกแม่กู เขาเลยโทรมาจากเมืองนอกขอร้องให้กูเลิกเสิร์ฟอาหารร้านเหล้า”

“แม่มึงเขาคงเป็นห่วง”

“เหรอ”

น้ำเสียงเย้ยหยันของมันทำให้ผมขยับไปใกล้แล้วตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ

“มึงยังมีกู มีไอ้โต้งนะอ๋อง”

“...”

“มีเรื่องอะไรทำไมไม่บอกพวกูบ้างวะ”

“กูขอโทษ”

มันทำสีหน้าอึดอัดใจ

“เรื่องของกูมันไม่น่าฟังนักหรอกเปียว กูถึงไม่อยากให้มึงกับไอ้โต้งต้องฟังเรื่องไร้สาระ”

“สำหรับกู เรื่องของเพื่อนไม่ไร้สาระนะอ๋อง ถ้าเพื่อนกูต้องการความช่วยเหลือ กูพร้อมช่วยเสมอ”

ไอ้อ๋องเม้มปากมันตบหลังมือผมเบาๆ

“ถ้ามึงไม่เบื่อที่จะฟังเรื่องน้ำเน่าจากกู ไว้ว่างๆ กูจะเล่าให้พวกมึงฟัง”

ผมขยับรอยยิ้มทันที ส่วนมันแค่ยิ้มน้อยๆ

“ว่าแต่งานใหม่ของมึงนี่ทำอะไรวะ”

“งานเสิร์ฟเหมือนกัน”

“หือ?”

ผมหูผึ่งเลย ก็ไหนว่าพี่ดลมีส่วนทำให้เพื่อนผมออกจากงานเก่าแล้วไหงถึงยอมให้ไอ้อ๋องมันกลับไปเสิร์ฟอีกวะ

“ร้านกาแฟ พวกคาเฟ่ขนมน่ะ”

ผมหัวเราะออกมาทันที

“พี่ดลนี่แม่ง”

ผมหวนนึกถึงขนมอร่อยๆ ที่อีกฝ่ายชอบเอามาฝากจำได้ลางๆ ว่าแกมีลูกพี่ลูกน้องเปิดคาเฟ่อยู่แถวมหาวิทยาลัย ไม่อยากเชื่อว่าพี่รหัสผมจะกล่อมให้คนหัวดื้ออย่างอ๋องทำงานร้านคาเฟ่ได้

ให้ตายเถอะเล่นดึงไอ้อ๋องให้ไปทำงานที่อยู่ในสายตาและเช็คได้ทุกเวลาได้นี่โคตรไม่ธรรมดา

สงสัยผมต้องมองผู้ชายกินพืชแบบพี่ดลใหม่ซะแล้ว

“มึงยิ้มอะไร”

เพื่อนผมพูดเสียงห้วน

“อะไรของมึงเนี่ย”

“มึงยิ้มล้อเลียนกู”

ไอ้อ๋องทำท่าฮึดฮัดจนอดหมั่นไส้ไม่ได้เลยตบศีรษะมันไปเบาๆ สักที

“กูเปล่า แล้วมึงอ่ะ ได้งานใหม่ก็ทำตัวดีๆ ตั้งใจทำงานล่ะ”

“ให้ตายเถอะ กูแทบอยากรีบไปลาออกวันนี้ด้วยซ้ำ เพราะพี่รหัสมึงคนเดียวเลยไอ้เปียว”

“ไม่ทันแล้วมั้ง”

ผมเอ่ยแซว

“ถึงมึงจะลาออก มึงก็หนีพี่กูไม่พ้นหรอก ขนาดเขาสามารถทำให้คนหัวแข็งอย่างมึงไปทำงานที่ร้านนั่นได้ มึงไม่คิดเหรอว่าเขาจะต้องทำให้มึงกลับมาทำงานจนได้”

ไอ้อ๋องขยี้ศีรษะตัวเองแรงๆ ก่อนจะเดินตึงตังผละไปโน่น ผมยืนหัวเราะมองตามแผ่นหลังมันไปจนกระทั่งเพื่อนร่วมคณะคนที่เซ็ทเครื่องวัดความโลหิตก่อนการเทรนเดินมาสะกิด

“พี่เซียนกลับยังวะ”

ฝ่ายนั้นถาม

“ไม่รู้ว่ะ เมื่อกี้เห็นคุยกับพี่อุ้มอยู่”

“อยู่ไหนอ่ะ”

“คาเฟ่หน้าฟิตเนส”

“งั้นฝากมึงเอาอันนี้ให้พี่มันเซ็นหน่อย”

“อะไรวะ”

“แบบฟอร์มที่เข้าร่วมการเทรน”

ผมชะโงกดูเอกสารที่มีรายละเอียดในกระดาษเอสี่ยาวเป็นพรืดตรงหน้าก่อนจะสะดุดตากับความผิดปกติบางอย่าง

“นามสกุลผิดนี่หว่า”

ผมพูดขึ้นแต่จังหวะนั้นเพื่อนผมผละไปทางอื่นแล้ว สุดท้ายผมเลยต้องจำใจถือกระดาษแผ่นนั้นไปหาพี่เซียนเอง

“จังหวะนรกสัด”

ผมเบะปากเพราะคาเฟ่นั้นมีพี่เซียนนั่งอยู่คนเดียวบนโต๊ะ ไม่รู้พี่อุ้มกับพี่เดี่ยวไปไหนกันแล้ว

“เอ่อพี่”

พี่เซียนเงยหน้าจากโทรศัพท์ในมือแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ฟอร์มเข้าร่วมการเทรนครับ ยังไงพี่ช่วยเซ็นหน่อย เพราะปีหนึ่งต้องรวบรวมเอาไปทำสถิติ”

พี่มันจ้องหน้าผมเหมือนตั้งใจฟัง แต่ผมดันไม่ชอบสายตาคู่คมที่จ้องกันตรงๆ แบบนี้เลย

“เอ่อ...แต่นามสกุลพี่มันพิมพ์ผิดนะ”

ผมชี้ไปที่ชื่อสกุลอีกฝ่ายในบรรทัดสุดท้าย

‘ศกัณฐ์ เตชวรลักษณ์’

“จริงๆ หลังช.ช้างมันต้องมีสระอะ แต่เพื่อนผมคงพิมพ์ตก”

พี่เซียนกระตุกยิ้มที่มุมปากทันที

“มึงจำเก่งเนอะ”

ซู่!

เดี๋ยวนะทำไมรู้สึกร้อนๆ ตรงใบหน้าวะ ผมเม้มปากแน่นเพราะยอมรับเลยว่าที่จำนามสกุลอีกฝ่ายได้แม่นยำเนื่องจากส่องไอ้เพจนั่นจนจำได้ จำได้ไม่พอยังเสือกจำแม่นทุกตัวอักษรด้วยสิ ผมตีหน้าเซ่อทำเป็นหยิบปากกาขึ้นมาแล้วใส่ปีกกาไปที่หลังช.ช้างแล้วเติมสระอะลงไป

“ปกติเวลาเทรน ทำไมถึงไม่เทรนหนักๆ ทีเดียวให้เห็นผลเลย”

ฝ่ายนั้นชวนคุย

“มันอันตรายเกินไป”

ผมตอบ

“ในฐานะนักวิทยาศาสตร์การกีฬา การฝึกกล้ามเนื้อต้องค่อยเป็นค่อยไปอย่างเป็นระบบ ป้องกันการบาดเจ็บ ถึงอยากให้นักกีฬาพัฒนาส่วนนั้นไวๆ เพื่อปิดจ๊อบงานตัวเอง แต่เราต้องคำนึงผลข้างเคียงด้วย นักกีฬาต้องมีร่างกายที่สมบูรณ์ไปพร้อมกับการมีสมรรถภาพร่างกายที่ดี อีกอย่าง...”

ผมอธิบายไปเรื่อยจนกระทั่งเห็นแววตากึ่งเอ็นดูจากฝ่ายนั้นแหละ ถึงได้หุบปากฉับทันที

“อนาคตมึงคงเป็นนักวิทยาศาสตร์การกีฬาที่ดี”

“...”

“แต่ปัจจุบัน”

“อะ อะไร”

“ปัจจุบันเป็นนักจำที่ดี”

พี่เซียนเหลือบตามองรอยปากกาที่เพิ่งใส่ปีกกาเพิ่มสระลงไปแล้วกดยิ้มมุมปาก

“ใครๆ ก็จำนามสกุลพี่ได้เถอะ”

“...”

“จำง่ายจะตาย”

พี่เซียนชะโงกใบหน้ามาใกล้แล้วกระซิบถามว่า

“แล้วน่าใช้มั้ย”

พ่องง

ใบหูผมร้อนวูบวาบอย่างไม่ทราบสาเหตุเลยแม่ง ยิ่งเห็นสีหน้าคล้ายจะเย้าของคนตรงหน้าแล้วยิ่งนึกหมั่นไส้เลยตั้งใจขีดทับสระที่ตัวเองเพิ่งเติมไปก่อนหน้านี้

“ผมจำนามสกุลพี่ไม่ได้แล้ว”

พี่เซียนยิ้มน้อยๆ

“งั้นจำใหม่”

ผมเม้มปากแน่น

“เตชะวรลักษณ์”

“...”

“นามสกุลกู...เตชะวรลักษณ์”

“...”

พี่เซียนขยับป้ายชื่อผมที่ห้อยคอผมเบาๆ  ป้ายชื่อที่ปีหนึ่งทุกคนต้องห้อยซึ่งจะบอกชื่อเล่นและชื่อจริงที่พิมพ์เป็นตัวเล็กๆ มุมหนึ่งเพื่ออำนวยความสะดวกให้กลุ่มตัวอย่างที่อาจขอความช่วยเหลือปีหนึ่งที่มาเป็นอาสาสมัคร

“จำไว้ปัณณกิต”

“ไม่จำโว้ย”

พูดจบผมก็วิ่งปรู๊ดออกมาทันที

แม่ง ไม่จำห่าอะไรทั้งนั้นแหละ


.


.


ผมพ่นลมหายใจแรงๆ ตอนที่เดินหิ้วข้าวกล่องไปส่งที่สนามกีฬา วันนี้ต้องฉายเดี่ยวเพราะพี่อุ้มติดธุระ ส่วนไอ้อ๋องมันรีบไปทำงานเหมือนทุกวัน

“อุ้ย ขอโทษค่ะ”

นิสิตสาวสองคนตรงหน้าทำสีหน้าลุแก่โทษตอนที่พวกเธอเดินไม่ระวังมาชนผม

“ไม่เป็นไรครับ”                                                                                             

“บอกแล้วว่าอย่ารีบ พี่เซียนไม่ไปไหนหรอก”

สาวคนหนึ่งพูดขึ้นก่อนจะส่ายหัวไปมา

“ก็กลัวพี่เซียนกลับไวอ่ะ ปกติผลุบๆ โผล่ๆ ตลอด นานๆ จะมีคนเจอที่นี่”

บทสนทนาของทั้งคู่ทำให้ผมเดาได้ไม่ยากว่าทั้งสองมีธุระอะไรที่สนามกีฬาแห่งนี้

“ขอโทษนะคะ เดี๋ยวเราช่วยเก็บ”

สาวๆ ช่วยกันเก็บกล่องข้าวที่นอนอยู่กับพื้น โชคดีว่ามันถูกแพ็คมาอย่างดีไม่บุบสลาย

“ขอโทษอีกครั้งน้า พอดีเรารีบ”

หลังจากช่วยผมเก็บแล้วสองคนนั่นก็เดินลิ่วไปโน่น ทิ้งให้ผมส่ายหัวอยู่อย่างนั้น แฟนคลับเยอะจริงนะไอ้พี่เซียน ผมเบะปากแล้วนึกนึกถึงการพบเจอกับเซียน ศกัณฐ์ครั้งล่าสุด

‘นามสกุลกู...เตชะวรลักษณ์’

แม่ง

ผมสะบัดศีรษะตัวเองแรงเพื่อให้ความทรงจำเมื่อเย็นที่ผ่านมาให้หลุดออกจากหัวก่อนจะถอนหายใจอย่างเซ็งๆ ที่สุดท้ายตัวเองมายืนอยู่หน้าสนามกีฬา ตอนที่ไปถึงเห็นไอ้โต้งกำลังวิ่งรอบสนามอยู่ พอถามรุ่นพี่แถวนั้นก็ได้คำตอบว่ามันทำคทาตกพื้นจึงถูกรุ่นพี่สั่งทำโทษวิ่งรอบสนามให้เท่าจำนวนที่มันทำไม้คทาร่วง

ผมมองไปรอบๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้อัฒจันทร์ หลังๆ มาผมต้องรอกลับหอพร้อมไอ้โต้งซึ่งมันจะแวะไปส่งทุกวัน เพราะช่วงนี้ไอ้อ๋องมันต้องทำงานพิเศษช่วงเย็น ไอ้โต้งวิ่งรอบสนามได้ครบสามรอบแล้วมันก็เดินสะโหลสะเหลมาทรุดตัวเอาศีรษะวางตรงตักผม

“เช็ดหน้าให้กูหน่อย”

“หือ เหงื่อชุ่มขนาดนี้”

“โคตรเหนื่อย”

มันพูดไปหอบไป

“กูแม่งไม่น่าหลวมตัวมาเป็นคทากรเลยว่ะ”

ผมยิ้มขำเพราะจำได้ว่าที่มันตกกระไดพลอยโจรมาคัดเลือกคทากรเพราะโดนรุ่นพี่สายมันไซโคว่าจะตัดสายมัน หากมันไม่ลงสมัครคัดเลือก มันเลยลงสมัครแล้วสุดท้ายหวยมาลงที่เพื่อนรักผมดันได้รับคัดเลือกเป็นตัวจริงของคทากรในปีนี้ แน่นอนว่าช่วงแรกมันบ่นอยากลาออกแทบทุกวัน

ผมคว้าเอาทิชชู่มาซับเหงื่อให้มัน ขณะที่ไอ้เพื่อนตัวดีนอนแผ่ไม่เกรงใจกันเลย

“เป้ากู”

ผมดันหัวมันให้ไกลจากจุดยุทธศาสตร์ของตัวเอง

“มึงมีด้วยเหรอเปียว กูนอนทับไปนึกว่ามันรวมไปกับขา”

ไอ้ห่าโต้งแซวขำๆ

“ไอ้เพื่อนเวร”

ตบกะโหลกแม่งสักทีดิ ไอ้โต้งรองโอดโอยแล้วแกล้งคืนด้วยการจักจี้เอวผมเพราะมันรู้ดีว่าผมบ้าจี้ ผมหัวเราะจนน้ำตาไหลก่อนจะชะงักเมื่อเห็นเซียน ศกัณฐ์มาหยุดอยู่เบื้องหน้า

“อ้าวพี่เซียน”

ไอ้โต้งทักรุ่นพี่มัน

“ได้เวลาซ้อมต่อแล้ว”

“โธ่พี่”

มันโอดโอย

“เร็วๆ ก่อนที่เพื่อนกูจะกินหัวมึง”

พี่เซียนพูดจบแล้วเตรียมผละออกไป แต่จังหวะนั้นพี่แกพยายามจะเก็บมือถือที่ถืออยู่เข้ากระเป๋าแต่กางเกงที่มันมันใส่วันนี้เป็นกางเกงบอลไม่มีกระเป๋า

ท่าทางพี่เซียนดูหงุดหงิดใจไม่น้อย

“เอาฝากไว้ที่เพื่อนผมก่อนก็ได้พี่”

พี่เซียนเหลือบตามองผมทันที

“เอ่อ”

ผมเกาหัวแกรกๆ

“ฝากไว้ที่ผมก่อนก็ได้ครับ”

พี่มันพยักหน้าหงึกหงัก

“งั้นฝากแป๊บ กูลืมเอาเป้ลงมาจากรถ”

หลังจากฝากโทรศัพท์มือถือกับผมแล้วพี่มันกับไอ้โต้งก็เดินกลับไปที่สนามเพื่อซ้อมกันต่อ ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เพราะเผลอหลับไปจนกระทั่งไอ้โต้งมาสะกิดปลุกนั่นแหละ

“เสร็จแล้วมึง กูไปล้างหน้าแป๊บนึงนะ”

ผมพยักหน้าหงึกหงัก จังหวะที่กำลังสะลึมสะลือนั่นร่างสูงใหญ่ของใครบางคนก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้า พี่เซียนแบมือมาตรงหน้าเป็นสัญญาณขอของที่ฝากเอาไว้ ผมเลยรีบควานหามือถือให้อีกฝ่ายแล้วยื่นส่งให้ พี่เซียนรับไปแล้วกดยิ้มๆ ก่อนจะมุ่นหัวคิ้ว

“โทรศัพท์กูมีปัญหา”

ผมทำหน้าตื่นทันที

“ผมไม่ได้ยุ่งกับมือถือพี่เลยนะเว้ย”

“โทรศัพท์กูมีปัญหา”

พี่เซียนหรี่ตามองผมแล้วพูดซ้ำอีกรอบ

“ปัญหาอะไรวะ”

ผมขึ้นเสียงใส่อีกฝ่าย อุตส่าห์ดูแลโทรศัพท์ให้ แทนที่จะขอบคุณดันกล่าวหาว่าผมเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้โทรศัพท์พี่มันมีปัญหาซะอย่างนั้น

“ปัญหาน่ะเหรอ”

พี่เซียนกดยิ้มมุมปากแล้วพูดว่า

“ปัญหาคือไม่มีเบอร์มึงอยู่ในนี้ไง”

ตึก

ตึก

ตึก

พ่องตาย

หัวใจเต้นแรงมาก



- J E E B -




จ่ะ ปัญหาคือไม่มีเบอร์น้องโน๊ะ?? งืมๆ เข้าใจๆ 55555555
หวีดในทวิตรบกวนติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้กันด้วยน้า
ปล. อ่านแล้วเมนต์บอกหน่อยนะคะว่าเป็นยังไง เราอยากรู้ว่าเรื่องนี้ยังมีคนอ่านอยู่มั้ย ฮือๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่6 l 20/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 20-01-2020 21:05:15
แหมะ ก็ขอดี ๆ น้องมันก็คงไม่มีปัญหามั้งพี่เซียน
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่6 l 20/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 20-01-2020 23:27:57
คือ แบบ จีบได้ใจมาก,,,
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่6 l 20/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Plakhem ที่ 20-01-2020 23:29:13
 :laugh: ตอดเก่งเน๊าะ ตัวพี่อ่ะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่6 l 20/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 21-01-2020 20:51:25
เนียนมากๆ :hao7:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่6 l 20/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 23-01-2020 09:21:56
โอ้โหหหหห พี่เซียนคิดมุขนี้นานไหม
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่6 l 20/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: bowlove ที่ 23-01-2020 21:06:08
 :o8:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่6 l 20/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 25-01-2020 02:52:46
พี่เขาเต๊าะแรงมาก!!!
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่7 l 27/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 27-01-2020 20:46:47
-  จีบที่ 7 -



เพจทวงคืนเหมียวมาริสาสมบัติสาธารณะจากเซียนศกัณฐ์

หรือไอ้เซียนนอกใจน้องเหมียว [แนบรูป]

R.I.P มึงล่วงหน้าเลยเซียน




หือ?

ผมทำหน้าสนใจก่อนจะจิ้มไปที่ภาพดังกล่าว

เดี๋ยวนะ!

ทำไมรูปมันคุ้นๆ วะ ผมขยายภาพที่ถูกโพสเพื่อขยายภาพก่อนจะทำตาโตเมื่อเห็นภาพที่ความละเอียดโคตรเบลอ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มองออกว่าคนในรูปเป็นใคร

“นี่มัน”

“...”

“ใครแอบถ่ายวะ”

ผมกุมภาพขมับเพราะดังกล่าวคือภาพที่ผมกำลังก้มหน้าลงไปพันอุปกรณ์วัดความดันโลหิตที่ต้นแขนพี่เซียน ถึงแม้จะถูกแอบถ่ายในระยะไกลเห็นเพียงแผ่นหลังและเสี้ยวหน้าด้านข้างเท่านั้น มองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนในรูปเป็นใครแต่ผมเป็นคนในภาพนั้นไงล่ะ ถึงมองออกตั้งแต่แวบแรกที่เห็น ผมเบะปากใส่ภาพนั้นที่ดูเหมือนมุมภาพมันจะพอเหมาะพอดีช่วยให้เข้าใจผิด ไอ้พี่เซียนเงยหน้ามองผมซึ่งมองก้มหน้าสนใจอยู่ที่จอแสดงผลของเครื่องวัดความดัน แต่แววตาคู่นั้นของเพื่อนสนิทพี่อุ้มนี่แม่ง

มองอะไรผมขนาดนั้นวะ

ผมเม้มปากแน่นหวนนึกถึงบทสนทนาวันก่อน

‘ปัญหาคือไม่มีเบอร์มึงอยู่ในนี้ไง’

ปัญหาของพี่แต่มันส่งผลทำให้ผมเกิดปัญหาตามมา...ปัญหาของผมคือวันนั้นนอนตาค้างทั้งคืนและทำให้อีกหลายคืนนอนครุ่นคิดถึงแต่เรื่องนั้น

แม่ง



Comment

แมนวังหินซิ่งเบาะปลิว R I P แปลว่าอะไรวะ

FCพี่เซียน @ แมนวังหินซิ่งเบาะปลิว หลับให้สบายค่ะ

แมนวังหินซิ่งเบาะปลิว @ FC พี่เซียน  ผมยังไม่ง่วงครับ

Sitt.Sita หรือเซียนจะเปลี่ยนแนว

Tichob_tichob เกมแล้วเซียน

รักน้องเหมียวคนเดียว พูดเป็นเล่นไป คนในรูปกับเซียน ศกัณฐ์แม่งดูๆ ไปน่ารักนะเฮ้ย

Aun996 เธอจะมีใจหรือเปล่า

Arm❤Meow เธอเคยมองมาที่ฉันหรือเปล่า

แมนวังหินซิ่งเบาะปลิว ที่เราเป็นอยู่นั้น คืออะไร (ฮือออ) กูใส่เสียงฮึมให้ด้วยอ่ะ

กานซายอยากเป็นเมียพี่เซียน ฉันชิปคู่เน้!

โลกสวยด้วยมือกู ผมโสดครับน้องเหมียว

Alisa.nana วันนั้นเจอตัวจริงพี่เซียนที่วิทย์กีฬาฯ ด้วย หล่อมาก



หลังจากนั่งอ่านคอมเมนต์ที่ไหลเป็นน้ำแล้วผมก็เผลอยิ้มออกมาไม่ได้ สังคมโซเชียลเป็นสังคมที่บันเทิงจริงๆ  ผมนั่งเลื่อนอ่านความคิดเห็นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสายตาไปสะดุดกับความคิดหนึ่ง



Preme Pittaya วงในบอกคู่จริง มีคนเห็นว่าเมื่อวานพี่เซียนขอเบอร์น้องผู้ชายในรูปตอนซ้อมคทากรด้วย



หน้าผมร้อนวูบทันที

ผมมองเห็นเค้าลางของความฉิบหายแล้วแม่งเอ๊ย



“พี่เปียว”

ผมสะดุ้งแทบจะทำมือถือหลุดมือตอนที่สามสาวโผล่มาไม่ให้ซุ่มมให้เสียงไม่พอยังแกล้งสะกิดไหล่ผมราวกับจะแกล้งด้วย

“ขอโทษค่ะ”

น้องซอทำหน้าลุแก่โทษแต่แววตายังพราวระยับเหมือนเด็กซน ไม่ต่างจากเพื่อนสาวอีกสองคนที่หัวเราะน้อยๆ ที่เห็นผมสะดุ้งโหยงขนาดนั้น

“ขวัญมานะคะพี่เปียว”

ผมส่ายหัวให้สาวๆ ทันที

“อย่าโกรธพวกหนูนะคะ ก็พวกเราเรียกพี่เปียวตั้งนานไม่เห็นตอบอะไรสักที”

“พี่ไม่โกรธครับ”

ผมยิ้มน้อยๆ

“แต่คราวหลังไม่เอาแบบนี้แล้วนะ เกิดพี่ช็อกไปใครจะสอนพิเศษพวกเราล่ะ”

“จริงด้วย”

สาวๆ ทำหน้าตื่นร้องโวยวายกันใหญ่

“นี่ค่ะ”

น้องซอยื่นของบางอย่างมาตรงหน้า

“อะไรครับเนี่ย”

“ของฝากจากเชียงใหม่ค่ะ”

ผมทำหน้าสนใจเพราะได้กลิ่นเหมือนไส้อั่ว กลิ่นคุ้นจมูกเพราะช่วงที่เคยตามพ่อแม่ไปอยู่ที่นั่น ผมชอบกินอาหารพื้นเมืองอย่างไส้อั่วมากๆ แทบทุกมื้อต้องมีอยู่ในสำรับกับข้าว แต่พอย้ายตามพ่อแม่จากที่นั่นแล้วผมก็ไม่เคยได้ลิ้มลองมันอีกเลย

“สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาหนูไปเยี่ยมคุณปู่คุณย่าที่เชียงใหม่ค่ะ เลยถือโอกาสซื้อไส้อั่วมาฝากพี่เปียวด้วย”

“หือ น้องซอมีบ้านอยู่เชียงใหม่ด้วยเหรอ”

น้องยิ้มกว้างพยักหน้าหงึกหงัก

“ทุกปีเทอมที่บ้านจะส่งเราสี่พี่น้องไปอยู่กับคุณปู่คุณย่าที่เชียงใหม่ค่ะ”

“...”

“เมื่อก่อนไปทุกปิดเทอม ได้เพื่อนใหม่เยอะเลยค่ะ โดยเฉพาะพวกพี่ๆ ซอนี่ได้เพื่อนเป็นเด็กในซอยแถวบ้านตรึม”

ผมนิ่งฟังก่อนจะหวนนึกถึงช่วงเวลาหนึ่งที่เคยอยู่เชียงใหม่

“เพื่อนใหม่งั้นเหรอ”

ผมพึมพำ

“ใช่ค่ะ”

“โดยเฉพาะพี่ชายคนที่สามของซอนะ สนิทกับเด็กแถวบ้านมาก หายไปพร้อมกับขนมแทบทุกวัน”

ผมนิ่งไป


‘วันนี้มีขนมอะไรมาฝากหนูบ้างพี่ยักษ์’

‘เจอหน้ากูทีไรถามถึงแต่ของกินนะไอ้เด็กตะกละ’

‘ก็พี่ยักษ์ใจดีมีขนมมาฝากหนูทุกวัน’

‘ตลกบริโภคแล้วไอ้หมู’

‘หนูไม่ได้ชื่อหมูนะ หนูมีชื่อด้วย หนูชื่อ...’

‘ไม่ต้องบอกหรอก กูพอใจจะเรียกมึงว่าหมู’

‘พี่ยักษ์อ่ะ’




“พี่ยักษ์”

ผมพึมพำจนอีกฝ่ายทำหน้าฉงนใจ

“พี่เปียวพูดว่าอะไรนะคะ”

ผมส่ายหน้าหวือ

“ไม่มีอะไรหรอก” ผมทำหน้าครุ่นคิดเมื่อรู้สึกคุ้นเคยกับเหตุการณ์ที่น้องซอพูดถึงก่อนหน้านี้เอามากๆ “ว่าแต่พี่ได้ยินน้องซอพูดถึงพี่ชาย”

สาวน้อยพยักหน้าหงึกหงัก

“ใช่ค่ะ ซอมีพี่ชายสามคน”

“ซอน้องสาวคนสุดท้องของบ้านค่ะ”

เพื่อนสาวน้องซอพูดแล้วแกล้งทำสีหน้าอิจฉาเพื่อนตัวเอง

“เป็นน้องคนเล็กไม่เห็นสนุกเลย คุยกับพวกพี่ๆ ไม่รู้เรื่อง พี่ซันก็ห่างจากซอตั้งสิบกว่าปี พี่เซนต์พอจะสนิทหน่อยก็เรียนอยู่ต่างประเทศ”

“แล้วอีกคนล่ะ”

เพื่อนของน้องทำตาเป็นประกาย

“คนนี้โลกส่วนตัวสูง ไม่มีทางจะรู้เรื่องพี่เขาได้ง่ายๆ หรอก”

น้องซอทำหน้าล้อเลียนเพื่อน

“โธ่ซอ”

สาวๆ พากันโอดครวญจนผมเผลอขำตาม หลังจากนั้นดูเหมือบทสนทนาจะเปลี่ยนไปเรื่องอื่น

“เอ่อพี่เปียวคะ”

“ว่าไงครับ”

“สุดสัปดาห์นี้ของดเรียนหนึ่งวันนะคะ”

ผมหรี่ตามองสาวๆ ที่ทำท่าอึกอักต่างฝ่ายต่างพยักพเยิดแล้วสะกิดกันไปมา

“มีอะไรเหรอครับ”

“คือพวกหนูจะไปงานมีทศิลปินกันค่ะ” น้องซอพูดขึ้น “งานเลิกประมาณเกือบสามทุ่ม พอๆ กับที่เลิกเรียนกับพี่เปียว”

“แล้ว...”

ผมว่าสาวๆ มีบางอย่างปิดบังผมอยู่

“คือ”

“อย่าบอกนะว่าพวกเราไม่ได้บอกที่บ้าน”

ทั้งสามยิ้มแหย

“นี่พวกเรา”

“พี่เปียว”

น้องซอทำเสียงอ้อน

“พวกเราขอโทษที่โกหกที่บ้านว่ามาเรียนพิเศษค่ะ แต่สัญญาว่าไม่ได้ไปเถลไถลที่ไหนจริงๆ นะคะ แค่ไปงานมีทที่พารากอนเอง งานเลิกไม่ดึกด้วย พอเลิกเรียนแล้วมีรถที่บ้านมารับ เพื่อนก็ไปนอนบ้านหนู”

สาวน้อยรีบละล้ำละลักบอก

“ถึงยังไงก็ตามพวกเรากำลังโกหกที่บ้านนะ ยังไงเรื่องนี้พี่คงต้องคุยกับพี่บ้านเรา”

“งื้อ”

น้องซอทำหน้ายู่

“แต่หนูจองบัตรไปแล้วนะคะ ไม่ได้ไปเสียดายแย่ นานๆ เขาจะจัดด้วย”

แต่ละคนทำเสียงอ้อน

“พี่เปียวอย่าบอกที่บ้านนะคะ เอาอย่างนี้ได้มั้ยคะ ไปพี่เปียวส่งพวกหนูที่หน้าฮอลล์แสดงก็ได้ค่ะ”

“ถึงพี่ไม่อนุญาตยังไงพวกเราก็จะไปกันอยู่ดีสินะ”

“แหะ”

แต่ละคนยิ้มแหยเป็นการสารภาพกลายๆ

“พี่เปียวใจดี ให้พวกเราไปนะคะ สัญญาว่าจะเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียนไม่ดื้อไม่ซนค่ะ”

ผมส่ายหัวสบตากับแต่ละคนแล้วให้อ่อนใจ

“พี่เปียว”

“ก็ได้”

ผมถอนหายใจ

“แต่สัปดาห์หน้าต้องเรียนชดเชยเพิ่มนะครับ พวกเราใกล้สอบแล้ว อีกอย่างวันนั้นพี่จะส่งไปที่หน้าฮอลล์แสดงแล้วจะอยู่รอรับตอนเลิกงานแล้วพาไปส่งที่รถด้วย”

“ได้ค่ะ”

สาวๆ พากันยิ้มแก้มปริขณะที่ผมถอนหายใจแรงๆ วัยอย่างนี้ห้ามปรามอย่างไรก็ไม่ฟังหรอก ต้องพบกันคนละครึ่งทางให้ได้ทำที่ใจปรารถนา แต่ทั้งหมดนั่นต้องอยู่ในกฎกติกาที่ยอมรับได้

หวังว่าคงไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันตามมาหรอกมั้ง

หวังว่านะ...



- J E E B -



สุดสัปดาห์นั้นผมต้องไปทำหน้าที่ผู้ปกครองชั่วคราวไปส่งสาวๆ ที่ฮอลล์แสดงตอนหกโมงเย็น สาวๆ อยู่ในชุดไปรเวทสุภาพเรียบร้อย ใบหน้าแต่ละคนยิ้มแย้มจนเขานึกเอ็นดู ผมรอส่งสาวๆ แล้วไปนั่งรอที่ร้านกาแฟแถวนั้น จนกระทั่งมีเสียงเรียกเข้าจากเบอร์คุ้นตา

“ว่าไงวะอ๋อง”

[มึงว่างมั้ยวะ]

ปลายสายถามขึ้น น้ำเสียงดูกังวลใจไม่น้อยจนผมสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ

“มีอะไรรึเปล่ามึง”

[กูเกิดอุบัติเหตุว่ะ]

“ฮะ”

ผมร้องลั่นผุดลุกขึ้นแทบจะทันที

“แล้วมึงเป็นอะไรมากรึเปล่า”

[ได้แผลนิดหน่อยว่ะ โชคดีกูเบรกทันตอนที่มีรถขับตัดหน้า]

“มึงอยู่ไหนเดี๋ยวกูไปหา”

มันบอกชื่อโรงพยาบาลจังหวะนั้นผมเหลือบตามองนาฬิกาข้อมือ ยังเหลือเวลาอีกชั่วโมงกว่าๆ จนกว่างานจะเลิก อีกอย่างโรงพยาบาลนั่นอยู่ไม่ไกลคงจะกลับมาทันตอนที่สาวๆ ออกมาแน่นอน ผมเร่งฝีเท้าจากเดินเปลี่ยนเป็นวิ่งทันทีเพราะนึกห่วงเพื่อนตัวเอง ไม่รู้ป่านนี้มันจะเป็นยังไงบ้าง

ตอนที่ไปถึงโรงพยาบาลผมหลุดอุทานออกมาทันทีที่เห็นสภาพไอ้อ๋องนั่งรถเข็นเพราะหัวเข่ามันกระแทกพื้นจนได้แผลใหญ่ ไม่พอเนื้อตัวยังช้ำไปหมด สภาพนั่นไปไกลมากกว่าคำว่าได้แผลนิดหน่อยของมันมาก

“กูไม่เป็นอะไร”

มันยักไหล่ทันทีที่ผมเห็นหน้าเสีย

“ยังจะยิ้มอีก”

ผมดุมันก่อนจะเดินไปเคลียร์เรื่องค่าใช้จ่ายโชคดีมันมีประกับอุบัติเหตุที่ไม่ต้องสำรองจ่าย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ต้องวิ่งวุ่นอยู่จนกระทั่งตอนที่เหลือบมองนาฬิกาอีกครั้งจึงเห็นว่าใกล้เวลาเลิกงานของสาวๆ แล้ว ผมจึงตัดสินใจส่งข้อความไปบอกน้องๆ ให้รออยู่แถวนั้นก่อน ผมคงไปเลทสักหน่อยเพราะกว่าจะไปส่งไอ้อ๋องที่หอแล้วนกลับไปหาสาวๆ ได้คงใช้เวลาพอสมควร

“กูลืมกระเป๋าตังไว้ที่ห้องน้ำว่ะ”

ไอ้อ๋องทำหน้าตื่นพูดขึ้น นั่นทำให้ผมต้องวิ่งกลับไปที่ห้องน้ำอีกครั้ง จังหวะนั่นแหละโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น เบอร์แปลกๆ แต่รู้สึกคุ้นตานั่นทำให้ยืนพิจารณาอยู่พักหนึ่งจนมันดับไป หลังจากนั้นก็มีข้อความจากเบอร์นั้นส่งเข้ามาว่า

‘รับสายกูเดี๋ยวนี้...เซียน’

“เชี่ย”

ว่าแล้วทำไมเบอร์คุ้นๆ คงจำกันได้ว่าครั้งหนึ่งผมเคยได้เบอร์จากพี่เซียนตอนที่อยู่ร้านเหล้าแต่ไม่ได้เมมไว้หรอก ขณะที่ยืนงงสับสนว่าทำไมอยู่ดีๆ พี่มันถึงโทรหาได้ มือถือในมือผมก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“คะ ครับ”

[มึงอยู่ไหน]

ปลายสายทำเสียงเข้มจนเผลอจินตนาการถึงสีหน้าดุดันของเจ้าตัวไม่ได้

“พี่มีอะไรรึเปล่า”

[กูถามว่ามึงอยู่ไหน]

“เอ่อ”

[กูติดต่อน้องสาวกูไม่ได้]

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมวะ

“น้องสาวพี่?”

[ซอ...]

หือ

[น้องสาวกู]

ฉิบหายแล้ว

“กูอยู่ที่พารากอนตอนนี้ กูให้เวลามึงสิบนาที มึงต้องมาถึงหน้าฮอลล์ที่มึงแอบพาพวกเจ้าซอมาส่ง”

ตายห่า

กูตายแน่ๆ

ผมวิ่งหน้าตั้งทันทีระหว่างนั้นก็โทรหาพี่ดลเพื่อขอความช่วยเหลือให้ฝ่ายนั้นมาพาไอ้อ๋องกลับหอ หลังจากนั้นก็วิ่งขึ้นแท็กซี่แต่เพราะการจราจรช่วงสุดสัปดาห์ที่ติดขัดทำให้ระยะทางจากโรงพยาบาลมาห้างไม่ถึงหนึ่งกิโลใช้เวลาไปกว่าครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้นผมโทรหาน้องซอจนสายแทบไหม้ก็ไม่มีท่าทีว่าอีกฝ่ายจะรับสายจนผมเองนึกกังวลใจขึ้นมาทันที

“ช้า”

ผมวิ่งมาหยุดหอบอยู่ตรงหน้าพี่เซียนที่ยืนกอดอกทำหน้านิ่งอยู่ สีหน้าของคนตรงหน้าทำให้ผมแอบกลืนน้ำลายเพราะผมเองก็มีส่วนผิดกับเรื่องนี้ด้วย เอาจริงๆ พูดว่าผิดเต็มๆ เลยก็ได้ในเมื่ออนุญาตให้น้องโดดเรียน

“ขอโทษครับ”

ผมยกมือไหว้อีกฝ่ายเพราะรู้สึกผิดจริงๆ

“เรื่องของมึง เดี๋ยวค่อยเคลียร์ตอนนี้หาซอกับเพื่อนๆ ยัยแสบก่อน”

“ครับ”

ผมรู้สึกแย่ไปด้วยตอนที่พี่เซียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ถึงอย่างนั้นก็ลองเดินไปที่ประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประกาศหาคน ระหว่างนั้นก็สอบถามพนักงานรักษาความปลอดภัยในห้างตามจุดต่างๆ จนผ่านไปครึ่งชั่วโมงผมกลับมาที่หน้าฮอลล์แสดงอีกครั้ง

“พี่เซียน”

ผมสะกิดหัวไหล่อีกฝ่ายก่อนชี้มือไปตรงประตูทางออกที่เห็นสาวๆ กำลังเดินออกมา น้องซอชะงักกึกหน้าเสียทันทีที่เห็นพี่เซียนยืนกอดอกมองอยู่ตรงนี้ ก่อนที่สาวๆ จะพากันเดินตัวลีบมาหยุดตรงหน้า

“พี่เซียน”

น้องซอพูดเสียงอ่อย

“มาได้ยังไงคะ”

“ซอบอกเองนี่ว่ามางานมีทที่นี่”

“หนูบอกเหรอ”

พี่เซียนยื่นมือถือตัวเองให้น้อง

“เราพิมพ์บอกในแชทครอบครัว”

“หนูจะบอกพี่เปียวต่างหาก”

น้องครางอย่างหมดแรง ความแตกก็เพราะเจ้าตัวดันส่งข้อความให้ผิดคนนี่แหละ ผมหน้าเสียตามเพราะน้องคงพิมพ์ข้อความนั่นหมายจะตอบผมแน่นอนหลังจากที่ผมส่งข้อความมาบอกว่าจะมารับเลทสักหน่อย

“ตอนนี้...”

น้องพึมพำหน้าเสีย

“ทุกคนที่บ้านรู้กันหมดแล้ว”

พี่เซียนทำหน้าดุใส่

“หนูขอโทษ”

“เรื่องนั้นไปคุยกันที่บ้าน”

“แต่ว่า...”

สาวน้อยพยายามจะอธิบาย

“วันนี้เราดื้อพอสมควรแล้วนะซอ อย่าให้พี่ต้องดุเราแรงๆ”

เชี่ย พี่เซียนพูดนิ่งๆ แล้วโคตรน่ากลัวเล่นเอาน้องซอตาแดงก่ำเหมือนจะอยู่ร้องไห้มะรอมมะร่อ

“ไปคุยที่บ้าน รับรองว่าพี่จะคุยกับเราจนกว่าจะรู้เรื่อง ถ้าไม่เคลียร์คืนนี้ไม่ต้องนอน”

พี่เซียนเหลือบตามองมาทางผม

“มึงด้วย”

ผมทำหน้าเหรอหราชี้นิ้วใส่ตัวเอง

“มึงนี่แหละเกี่ยวเต็มๆ”

ทำไมรู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ วะ

ผมถอนหายใจแรงๆ สุดท้ายก็หลวมตัวมานั่งอยู่ในห้องโดยสารของรถคันหรูหลังจากพี่เซียนแวะส่งเพื่อนๆ ของน้องตามบ้านแล้ว บรรยากาศในรถที่เงียบอยู่แล้วยิ่งเงียบไปกันใหญ่ จนผมสังเกตว่าน้องซอก้มหน้ากุมมือตัวเองแน่น จนกระทั่งรถมียี่ห้อเลี้ยวเข้าเขตคอนโดส่วนตัวมหาวิทยาลัย

“พี่เซียนไม่กลับบ้านเหรอคะ”

น้องซอถามเสียงแผ่ว

“วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน คืนนี้นอนคอนโดพี่แล้วกัน”

น้องพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่พี่เซียนดุนหลังให้ออกเดินตอนที่พวกเราเข้ามาในห้องชุดส่วนตัวของพี่เซียนแล้ว

“หนูขอโทษ”

“ไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน”

น้องซอผละไปแล้วจึงเหลือผมที่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่กลางห้อง

“นั่งสิ”

เจ้าของห้องพูดขึ้นผมเลยค่อยๆ สาวเท้าเข้าไปทรุดตัวที่โซฟาตัวหนึ่ง

“พี่เซียน”

ผมยกมือไหว้อีกฝ่ายอีกครั้ง

“ขอโทษครับ”

“เรื่อง”

ฝ่ายนั้นพาดแขนไปตามความยาวของเบาะโซฟาจนปลายนิ้วเกือบถึงหัวไหล่ผม

“ที่ผมรู้เห็นเป็นใจเรื่องที่ให้น้องโดดเรียนแล้วแอบไปงานมีท”

“อืม”

“...”

“ผมขอรู้สึกผิดจริงๆ นะพี่”

“หิวข้าว”

“ครับ?”

ผมทำงงทันทีที่อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องคุย

“ยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย”

พี่มันมองหน้าผมตรงๆ

“ทำอะไรให้กินหน่อย”

พี่แกบุ้ยปากที่ยังโซนครัว สุดท้ายผมเลยเดินงงๆ ไปเดินตู้เย็นสำรวจวัตถุดิบประกอบอาหาร

“มีแต่ไข่อ่ะ”

ผมมองไปรอบๆ เห็นข้าวสารในภาชนะปิดฝาสนิทวางอยู่มุมหนึ่ง

“ไข่เจียวกับข้าวได้มั้ยครับ”

“อืม”

พี่มันหันไปสนใจมือถือในมือ ผมเลยหันหลังกลับไปเจียวไข่และหุงข้าวทันที ระหว่างนั้นผมตั้งกระทะรอให้น้ำมันที่เทลงไปเดือดแล้วเทไข่ลงไปเจียว จังหวะที่เตรียมพลิกไข่กลับด้านผมสัมผัสได้ถึงความร้อนจากแผ่นหลัง

“หอมดี”

ไอ้พี่เซียนยืนซ้อนหลังผมอยู่ ผมยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูกก่อนที่พี่ขยับตัวเลื่อนใบหน้าเฉียดปลายจมูกผมไปนิดเดียวเพื่อเอื้อมมือปิดเตาแก๊ส

“ไข่ไหม้แล้วมั้ง”

แม่ง

ผมรู้สึกหน้าร้อนวูบวาบยิ่งตอนที่พี่มันหัวเราะเบาๆ ใกล้ใบหูกันขนาดนี้ ผมเอี้ยวตัวหันกลับไปเบะปากใส่อีกฝ่ายก่อนจะยื่นไข่เจียวที่ตัดใส่จานแล้วให้อีกฝ่าย

“ถึงจะไหม้แต่ก็อร่อยเหอะ”

พี่เซียนกอดอกพิจารณาไข่ในจานที่สีสวยกรอบตรงข้ามกับที่ที่พี่มันแกล้งหยอกเมื่อกี้

“ใช้ได้”

“ต้องบอกว่าอร่อยด้วย”

ผมทึกทักเอาเอง

“ยังไม่ได้ชิมเลยจะรู้ได้ไงว่าอร่อย”

ผมยักไหล่ทันที

“ไม่น่าเชื่อว่ามึงจะทอดไข่รอดและน่ากินแบบนี้”

“อย่าดูถูกนะเว้ย ตอนเด็กๆ ผมเข้าครัวไปเป็นลูกมือแม่อยู่บ่อย”

“จะบอกว่ามึงทำกับข้าวเก่ง”

ผมยักไหล่กวนๆ ขณะที่พี่เซียนมองหน้าผมแล้วกดยิ้มมุมปากแล้วพูดว่า

“กูชอบไข่เจียวใส่หอม”

“...”

“ไม่ชอบกินเค็ม”

“...”

“กินเผ็ดได้นิดหน่อย”

ผมเม้มปากแน่นรู้สึกว่าแปลกๆ ที่พี่มันจ้องหน้าผมตรงๆ แบบนี้

“กูเกลียดมิ้นท์”

“...”

“แต่ชอบมองคนกินมิ้นท์”

“บอกผมทำไม”

ผมอ้าปากพะงาบๆ

.

.

.

“มึงชอบกินมิ้นท์มั้ยล่ะ”

ไอ้สัด

ชอบดิ ชอบมากกก

แต่ไม่ตอบหรอกเว้ย ไม่ตอบเด็ดขาด

“ไอ้ตัวกินมิ้นท์”

พ่องงง



- J  E  E  B -


ไหนๆ ใครชอบกินมิ้นท์ยกมือขึ้น 555555555
ฝากเมนต์บอกหน่อยนะคะว่าสนุกมั้ย
หวีดในทวิตติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยเด้อ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่7 l 27/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: fammykiki ที่ 27-01-2020 21:28:24
 :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่7 l 27/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 28-01-2020 00:45:30
สนุกมากครับ,,,
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่7 l 27/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 28-01-2020 06:36:20
เขิลแทนเลยโว๊ย :-[
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่7 l 27/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 28-01-2020 21:16:21
พี่เซียนคะ ขยันหยอดจังเลย
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่7 l 27/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: pkjoe ที่ 28-01-2020 23:38:42
ตายๆๆ เขินหนักมาก
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่7 l 27/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: มาดามพีพี ที่ 29-01-2020 13:30:51
ขยันหยอดจ๊างงงง พ่อเอ๊ยยยย :-[
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่7 l 27/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: tae1234 ที่ 29-01-2020 20:50:03
“มึงชอบกินมิ้นท์มั้ยล่ะ”
เขิลแทน 5555
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่7 l 27/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 29-01-2020 22:11:48
จีบน้องเค้าหยอดน้องเค้าตลอดเลยนะพี่ หัวใจน้องมันจะวายก่อนรุ้ความจริงมั้ยยยย
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่7 l 27/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 30-01-2020 09:30:11
เพิ่งเข้ามาอ่านสนุกมากๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่7 l 27/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: fammykiki ที่ 30-01-2020 10:55:24
 :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่7 l 27/1/63 l P.2 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 31-01-2020 20:15:04
สงสารเปียว พี่เซียนหยอดหนักมาก
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่8 l 3/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 03-02-2020 20:24:54
- จีบที่ 8 -



มื้อดึกวันนั้นไอ้พี่เซียนซัดข้าวไข่เจียวไปสองจานระหว่างนั้นสาวน้อยที่อาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดนอนเรียบร้อยแล้วก็เดินกระมิดกระเมี้ยนมาทรุดตัวนั่งลงที่โซฟาแล้วนั่งเงียบกริบ

“กินอะไรหรือยัง หิวมั้ย”

น้องซอเงยหน้าสบตาพี่ชายก่อนจะเหลือบตามาทางผมที่ส่งยิ้มให้กำลังใจนั่นทำให้สีหน้าน้องผ่อนคลายมากขึ้น

“กลัวพี่ขนาดนั้นเลยเหรอ”

น้องยิ้มแหยก่อนที่คนตัวโตจะขยับไปใกล้แล้วแตะมือที่ศีรษะเด็กสาวก่อนจะโยกเบาๆ

“ตัวแสบ”

“...”

“รู้มั้ยที่เราทำวันนี้ทำให้ทุกคนที่บ้านเป็นห่วงมากนะ”

ผมสะดุดใจกับน้ำเสียงที่อ่อนโยนของพี่มันทันที

“หนูขอโทษ”

น้องพูดเสียงสั่นก่อนจะผวากอดพี่ชายตัวเองเสียแน่น ไม่ต่างจากคนถูกกอดที่ลูบแผ่นหลังสาวน้อยเบาๆ หลังจากนั้นผมก็ได้ยินสูดน้ำมูกอยู่พักหนึ่งก่อนจะเงียบไป

“หนูจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”

“ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว”

พี่เซียนส่ายหัวไปมาจังหวะนั้นเหมือนโปรแกรมสื่อสารจากไอแพดที่นอนนิ่งอยู่ตรงโซฟาดังขึ้น พี่เซียนกดยิกๆ ที่ไอแพดก่อนจะปรากฏภาพวีดีโอคอล

“ไงเจอน้องมั้ย”

ปลายสายทางไกลจากใครคนหนึ่งพูดขึ้น ภาพที่ปรากฏนั่นทำเอาผมต้องอุทานทันที ใบหน้าคมคายของผู้ชายคนหนึ่งไม่บอกก็รู้ว่ามีส่วนเกี่ยวกับไอ้พี่เซียนแน่ๆ ก็โขลกมาพิมพ์เดียวกัน แต่ฝ่ายนั้นมีความเป็นผู้ใหญ่และบุคลิกดูสุภาพมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่อยู่ในชุดสูทเต็มยศแบบนี้

“พี่ซัน”

น้องซอร้องทักคนในจอนั่นทำให้ผมเดาไม่ยากว่าผู้ชายเจ้าของใบหน้าหล่อเหลานั่นคือพี่ชายคนโตที่น้องเคยพูดถึง

“ไงยัยตัวดี งานมีทสนุกมั้ย”

น้องซอทำหน้างอค้อนให้พี่ชายตัวเองจนฝ่ายนั้นขำเล็กน้อย

“ไอ้เซียนรับศึกหนักเลยนะ อยู่ไทยคนเดียวคงวิ่งพล่านหาเราแทบแย่”

“งั้นพี่กลับมาก็มาทำหน้าที่รับส่งน้องแล้วกัน”

พี่เซียนพูดกับคนในจอ

“เออๆ อีกสองสามวันก็กลับแล้ว อยากได้อะไรเป็นของฝากมั้ย”

พี่เซียนส่ายหัว

“แล้วพ่อกับแม่ล่ะ”

“ตอนแรกว่าจะกลับพร้อมกันนะ แต่พอเจอน้องแล้วเห็นว่าจะไปทำธุระที่สวิตฯ กันต่อ”

ผมฟังบทสนทนานั่นไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก จนกระทั่งที่หน้าจอไอแพดมีสัญญาณว่ามีใครอีกคนที่กำลังเข้าร่วมการแชทครั้งนี้ด้วย

นั่น

นั่นมัน

ผมยืนอึ้งตอนที่เห็นภาพคนในจอชัดๆ

เหมือนมาก

ผมอ้าปากพะงาบๆ ตอนที่เห็นใบหน้าผู้ชายคนนั้นแล้วสลับไปมองหน้าพี่เซียน ใบหน้าที่เหมือนกันราวกับส่องกระจกอยู่ก็ไม่ปาน

ฝาแฝดที่เหมือนกันราวกับแกะ เพียงแค่ฝ่ายนั้นทำผมสีน้ำตาลเท่านั้นเอง ผมทำหน้าตื่นไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอขยับปลายเท้าไปยืนอยู่เบื้องหลังน้องซอเพื่อที่จะได้พิจารณาใบหน้านั้นให้ชัดเจนขึ้น

“นั่นใครอ่ะ”

คนในจอพยักพเยิดมาทางผม พี่เซียนเลยเหลือบตามองผมก่อนจะหันกลับไปคุยกับแฝดตัวเอง

“ไม่เสือกดิ”

“ฮั่นแน่”

ฝ่ายนั้นหรี่ตามองก่อนจะหัวเราะน้อยๆ

“ไอ้เซนต์”

“หยาบคายว่ะเซียน”

“หุบปาก”

พี่เซียนทำเสียงหงุดหงิด

“พอเลยทั้งคู่”

พี่ซันไร้บทสนทนาอยู่นานเอ่ยปรามทั้งคู่อย่างไม่จริงจัง สีหน้าเหนื่อยอ่อนนั่นเหมือนจะคุ้นชินกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน

“พวกมึงเป็นแฝดกันประสาอะไร ตั้งแต่เกิดมาไม่เห็นสามัคคีกันสักเรื่อง”

คำพูดของพี่ซันทำเอาน้องซอที่ทำหน้าหงอยอยู่ตั้งนานเผลอขำออกมา

“จริงค่ะพี่ซัน ตั้งแต่จำความได้พี่เซียนกับพี่เซนต์ตีกันเป็นประจำ”

“น้อยๆ หน่อยยัยแสบ”

พี่เซียนแกล้งเคาะศีรษะน้องสาวจนร้องโอดโอย

“ก็จริงนี่ค่ะ พี่เซนต์เป็นพี่ชายแท้ๆ ชอบเอาชนะพี่เซียน ส่วนอีกคนก็โดนปั่นประสาทไม่ได้ ต้องเอาคืนตลอด”

“มันเกิดก่อนพี่แค่2วิเอง ไม่ต้องนับเป็นพี่หรอก”

“ยังไงกูก็เกิดก่อนมึงเซียน”

พี่เซียนดูหัวเสียไม่น้อย ขณะที่พี่น้องคนอื่นๆ พากันหัวเราะร่วน

“ไม่ต้องขำพวกพี่เลยน้องซอ”

พี่ชายคนที่สองของน้องซอหรี่ตามองน้องสาวคนสุดท้ายที่ทำเนียนลืมเลือนความผิดของตัวเองจนสาวน้อยสะดุ้งโหยง

“ถ้าพี่อยู่ใกล้ๆ รับรองมะเหงกลงหัวแน่”

“งั้นพี่เซนต์ก็รีบกลับมาจากอังกฤษไวๆ สิคะ”

“ต้องโทษไอ้เซียนแล้วงานนี้”

“เกี่ยวอะไรกับกูวะ”

พี่เซียนไหวไหล่

“ก็มึงไม่ยอมเรียนบริหาร ดื้อด้านจะเข้าวิศวะฯ ให้ได้กูถึงต้องถ่อมาเรียนถึงนี่”

ผมหูผึ่งทันที

“ช่วยไม่ได้”

คนในจอที่อยู่อีกซีกโลกทำหน้าเอือมระอาอย่างไม่จริงจังนัก

“นี่ไงเพราะมึงอยู่ไทย ฉะนั้นหน้าที่ดูแลน้องซอเป็นของมึงเต็มๆ”

“ไอ้เซนต์มันบอกพี่อ่ะพี่ซัน”

พี่เซียนโบ้ยให้พี่ชายคนโต

“กูมาประชุมที่ต่างประเทศ งานนี้มึงรับผิดชอบเต็มๆ ว่ะเซียน”

คนดังของภาคยานยนต์ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“พี่ๆ พูดเหมือนรักหนูมากเลยนะคะ เกี่ยงกันรับผิดชอบเนี่ย”

น้องซอพูดขึ้นน้ำเสียงดูน้อยอกน้อยใจเกินจริงไปโข

“ไม่ต้องทำเสียงอย่างนั้นยัยแสบวันนี้เราผิดเต็มๆ นะ” พี่ซันทำเสียงดุ “เดี๋ยวพ่อกับแม่กลับมาคงต้องคุยกันสักหน่อย”

“ทราบแล้วค่ะ”

“ไม่ต้องทำหน้าหงอยเลย ครั้งนี้เราผิดจริงๆ ผิดก็ว่าไปตามผิด”

“หนูขอโทษพวกพี่ๆ ทุกคนค่ะ สัญญาว่าจะไม่มีครั้งต่อไปอีก”

“คำไหนคำนั้นนะซอ”

พี่ชายคนที่สองทำหน้าจริงจัง

“อย่ารับปากส่งๆ เหมือนให้เรื่องพ้นตัว หากวันนี้เกิดอันตรายกับเราจริงๆ แล้วพวกพี่ติดต่อไม่ได้หรือไปช่วยไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น”

น้องซอทำตาซึมจนผมต้องเอื้อมมือไปลูบบ่าอีกฝ่าย

“โตแล้วนะทำอะไรก็คิดให้มากๆ เราเคยสัญญากันไว้ว่าจะไม่มีความลับต่อกันไง คราวหลังมีอะไรน้องต้องบอกพวกพี่นะ ถ้าเราอธิบายด้วยเหตุผลมีหรือพวกพี่จะไม่รับฟัง พวกพี่เคยใจร้ายกับซอด้วยเหรอ”

น้องส่ายหน้าน้ำตาคลอ

“ไม่ต้องร้องยัยแสบ”

พี่เซียนลูบหัวน้องเบาๆ

“แล้วก็แล้วไป จำไว้เป็นบทเรียนก็พอว่าครั้งหน้าอย่าทำแบบนี้อีก แม่ตกใจมากนะซอ ตกใจเกือบจองตั๋วกลับวันนี้แล้ว ส่วนพ่อคงไม่ต้องบอกว่าหวงลูกสาวสุดที่รักมากแค่ไหน ซอจะทำอะไรคิดให้มากๆ นอกจากพวกพี่ๆ แล้วพ่อกับแม่จะเสียขนาดไหนถ้าเราเป็นอะไรไป”

“หนูผิดไปแล้ว”

น้องสะอึกสะอื้นจนผมต้องลูบหัวไหล่นั่นเบาๆ

“ไม่เอาไม่ร้อง ไหนยิ้มหวานๆ ให้พี่ดูหน่อย”

ฝาแฝดของเซียน ศกัณฐ์พูดเสียงอ่อนโยน หลังจากนั้นพวกพี่ชายของน้องซอก็ดุกึ่งปลอบก่อนที่จะวางสายไป ยกเว้นเพียงฝาแฝดของไอ้พี่เซียนก็หันมามองผมอีกครั้ง

“ว่าแต่คนของมึงแต่ชื่ออะไรวะ น่ารักดี”

“เสือก”

นอกจากจะไม่ตอบแล้วพี่เซียนยังสบถใส่ฝ่ายนั้นก่อนจะปิดหน้าจอไอแพดตัดขาดบทสนทนา

“ไปล้างหน้าล้างตาแล้วเข้านอนได้แล้วเรา ดึกแล้ว”

พี่เซียนดุนหลังน้องสาวให้เข้าไปนอนที่ห้องพักห้องหนึ่ง ผมจึงเพิ่งได้สังเกตว่าคอนโดพี่เซียนมีสองห้องนอน พูดถึงห้องนอนผมก็ชักเพลียๆ เพราะวันนี้ลุ้นระทึกทั้งวันไม่รู้ป่านนี้พี่ดลไปส่งเพื่อนสนิทผมถึงหอรึยัง หลังจากไอ้พี่เซียนเดินไปส่งน้องสาวที่ห้องๆ หนึ่ง ตอนนั้นแอบเห็นพี่มันลูบศีรษะน้องซอเบาๆ

ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายแบบพี่เซียนจะทำอะไรที่อ่อนโยนแบบนั้น

ผมมองภาพนั้นแล้วเผลอยิ้มก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อฝ่ายนั้นผินใบหน้ามองทางนี้แล้วสาวเท้าออกมาจากห้องน้องซอมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมกลับก่อนนะพี่”

“มึงนอนนี่แหละ”

“หือ”

พี่มันบุ้ยปากไปที่นาฬิกาตรงฝาผนัง

“ตีหนึ่งแล้ว”

“แต่ว่า..”

“กูเหนื่อย ไม่มีแรงขับรถไปส่งมึงที่หอหรอกนะ”

“ผมเรียกแท็กซี่กลับเองก็ได้พี่”

“ผ้าเช็ดตัวผืนใหม่มีในห้องน้ำ ส่วนชุดนอนใส่ของกูไปก่อน”

พี่เซียนไม่ได้สนใจในสิ่งที่ผมพูดเลยแม่ง

“ทำไม”

ผมยังนั่งนิ่งเพราะทำตัวไม่ถูก

“ถ้ามึงยังไม่ง่วง คุยกันหน่อยมั้ย”

ผมพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะเดินไปทรุดตัวนั่งที่โซฟาแล้วแอบเหลือบตามองพี่มัน

“สงสัยอะไร”

ผมทำหน้าเหวอทันทีเพราะในใจมีคำถามมากมายเกี่ยวกับฝาแฝดของพี่มัน

“ถ้าสงสัยก็ถามมาเลย”

“ผมไม่รู้ว่าพี่มีฝาแฝดด้วย”

“ไม่แปลก”

พี่มันยักไหล่

“เพื่อนที่ภาคกูบางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำ”

สมกับเป็นคนโลกส่วนสูงชะมัด มิน่า เรื่องส่วนตัวพี่มันไม่มีเล็ดลอดออกมาให้รู้เลยนอกจากเรื่องที่คบหากับเหมียว มาริสา

คบกับพี่เหมียวงั้นเหรอ

‘กูไม่เคยพูดว่ากูเป็นแฟนกับเหมียว’

ถ้าพี่มันไม่ได้เป็นอะไรกับพี่เหมียว นั่นหมายความว่า

“พี่ไม่ได้คบกับพี่เหมียว”

ผมพูดเสียงแผ่ว

“งั้นพี่เซนต์กับพี่เหมียว”

“มึงคิดว่าไงล่ะ”

พี่มันยักไหล่ท่าทางกวนๆ แบบนั้นเป็นคำตอบของทุกอย่าง

“มิน่า”

ผมพึมพำ

“มิน่าอะไร”

“ก็รูปที่โพสในเพจนั่น ผมสีน้ำตาลไม่ใช่สีดำ”

พี่เซียนกอดอกกดยิ้มมุมปากทันที

“มึงสังเกตขนาดนั้นเลยเหรอ”

อีกแล้ว

สายตาแบบนี้อีกแล้ว แม่ง หยุดมองผมแบบนี้เลยนะเว้ย

“ขี้เสือกใช่เล่นนะเนี่ย”

ผมเบะปากใส่อีกทันที

“แล้วทำไมถึงไม่ปฏิเสธตรงๆ ล่ะครับว่าพี่กับพี่เหมียวไม่ได้คบกัน”

ไม่รู้รึไงว่าคนเข้าใจผิดไปทั่วจะสร้างเพจนั่นขึ้นมา

“จำเป็นด้วย”

พี่มันถามขึ้น

“ใครจะพูดหรือเข้าใจอะไรมันก็เรื่องของเขา ขืนกูออกมาพูดความจริงทุกเรื่องก็ประสาทแดกตายพอดี ข่าวลือหรือเรื่องไม่จริงแม่งเกิดขึ้นทุกวัน อย่างนั้นกูคงไม่ต้องทำอะไรแล้ว วันๆ คงต้องมานั่งเคลียร์เรื่องไร้สาระ กูรู้ตัวกูเองดีว่าเป็นใครและเคยทำหรือไม่เคยทำอะไร กูคิดเสมอว่าถ้าสิ่งที่กูทำอยู่ถ้ามันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนทำไมกูต้องใส่ใจเรื่องที่ไม่จริง”

ผมมองอีกฝ่ายเหมือนไม่เคยรู้สึกคนตรงหน้ามาก่อน ผู้ชายปากร้ายดูกวนตีนในบ้างครั้งและรักความเป็นส่วนตัวนี่คือภาพลักษณ์ภายนอกที่ทำให้คนทั่วไปนิยมชมชอบ แต่ใครจะรู้ว่าภายในของอีกฝ่ายจะมีทัศนคติและวิธีที่เป็นข้อเท็จจริงโดยในสังคมปัจจุบันจริงๆ

เป็นความจริงของโลกใบนี้

ให้ตายเถอะ ผมต้องมองพี่มันใหม่แล้วจริงๆ ว่ะ

“ปากกูย้ายไปอยู่บนหน้าผากเหรอ”

พี่หรี่ตามองนั่นทำให้ผมรู้สึกตัวว่าเผลอจ้องมองอีกฝ่าย

“แบบนั้นก็ไม่ใช่คนแล้ว”

“แล้วเป็นอะไร”

ฝ่ายนั้นถามยิ้มๆ

“ตัวประหลาด”

“งั้นคงเป็นตัวประหลาดที่ทำให้มึงเสียอาการ”

“พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่อง”

“มึงรู้”

พี่เซียนจ้องหน้าผมนิ่ง

“เพราะมึงหน้าแดง”

“มันร้อน”

“กูเปิดแอร์แค่ 20”

ไอ้สัดเอ้ย เกลียดมึงว่ะพี่เซียน

“ผมจะไปอาบน้ำ”

“นั่นประตูทางออก”

ไอ้เหี้ยเอ๊ย หลงทิศหลงทางไปหมด

“ผมแค่อยากเดินออกกำลังกาย”

คำตอบของผมทำให้พี่มันขำพรืด ตอนที่ผมผละไปทางห้องน้ำเสียงพี่เซียนก็ดังตามหลังมา

“ขอบใจที่ไปส่งและจะรอรับซอกลับนะ”

“...”

“ซอบอกกูแล้วว่าจริงๆ แล้วมึงไม่เห็นด้วยที่น้องโดดเรียน”

“...”

“ถึงมึงจะมีส่วนผิดที่รู้เห็นเป็นใจกับน้อง แต่เพราะมีเหตุผลที่ทำให้มึงจำใจยอม ขอบใจที่อย่างน้อยไม่ปล่อยให้สาวๆ ไปกันตามลำพัง”

“ถึงน้องซอจะไม่ใช่น้องแท้ๆ ของผม ผมก็เป็นห่วงน้องพี่เหมือนน้องผม”

ผมสาวเท้ามาหยุดตรงหน้าอีกฝ่าย

“ขอโทษพี่จริงๆ ที่ปิดบังแล้วยังอนุญาตให้น้องโดดเรียน”

ผมเม้มปากแน่น

“และต้องขอบคุณพี่ด้วยที่ไม่ดุน้องอย่างไม่มีเหตุผล อย่างน้อยซอก็รู้ความผิดตัวเองแล้ว ตอนแรกผมนึกว่าพี่จะโหดกว่านี้ซะอีก ที่ไหนได้เป็นใจดีกว่าที่ผมคิดซะอีก”

พี่เซียนกดยิ้มมุมปากแล้วพูดว่า

“มึงไม่รู้เหรอว่า...”

พี่มันกอดอกผมผมตรงๆ

“ผู้ชายดีๆ ถ้าไม่เรียนเครื่องกลก็เรียนยานยนต์นี่แหละ”

พูดจบก็ยักคิ้วให้มองทีหนึ่ง

ฉิบหายแล้ว

หัวใจผมสั่นระรัวเลยว่ะ


.


.


“กูเรียนวิศวะฯ เครื่องกล สาขายานยนต์นะ”

“...”

“เผื่อมึงไม่รู้”

รู้แล้ว

ไอ้สัดรู้แล้ว

อย่าพูดเยอะ ผมเกร็งหน้ากลั้นยิ้มจนเจ็บหน้าแล้วเนี่ย



- J E E B -


กลั้นยิ้มเป็นเพื่อนน้อง อิอิ

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเราไม่สบายค่ะ แพ้ฝุ่นกับเป็นหวัด (ตอนนี้หายแล้ว) ช่วงที่ป่วยเราทำงานไม่ได้
ช่วงนั้นเลยดาวน์นิดๆ เพราะรู้สึกยังว่ายังเขียนไม่ดีพอจนแอบคิดว่าจะมีคนสนับสนุนผลงานเรามั้ย ต้องขอบคุณความคิดเห็นดีๆ ใต้เมนต์นิยายนะคะ อยากให้คนอ่านรู้ไว้ว่าเราอ่านทุกความคิดเห็น ในทุกแฟลตฟอร์มที่ลงนิยาย แม้จะไม่ได้ตอบ แต่เราเห็นค่ะ ขอบคุณมากๆ มันสำคัญกับใจเราจริงๆ ในวันที่แย่ๆ เรากลับไปอ่านแล้วมีกำลังใจทำงานเขียนให้ดีขึ้นค่ะ

หวีดในทวิตติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยนะคะ

หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่8 l 3/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 03-02-2020 20:51:06
ยังฟินเลยอ่าา จบชะงั้น รีบมาต่อเลยไม 5555
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่8 l 3/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Plakhem ที่ 03-02-2020 21:40:41
 :katai2-1: สั้นแต่ฟินนะ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่8 l 3/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 03-02-2020 21:42:52
พี่คะ พูดซะขนาดนี้ก็ประกาศคบกันไปเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่8 l 3/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 03-02-2020 23:48:57
ผู้ชายดีๆ พี่เซียนอบอุ่นมาก,,,
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่8 l 3/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 04-02-2020 22:07:30
จ้าพ่อคนดี หล่อมาเลยพาร์ทนี้
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่8 l 3/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 05-02-2020 01:53:40
แหม พี่เซียน อ่อยแรงนะ   
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่8 l 3/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 05-02-2020 19:51:13
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่8 l 3/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 06-02-2020 10:19:17
มาถึงขนาดนี้แล้วเหลือแค่ขอเป็นแฟนแล้วล่ะมั้ง
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่8 l 3/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 09-02-2020 02:43:44
หยอดเก่งมากกกก
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่8 l 3/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 09-02-2020 12:31:12
พบคนขี้อ่อยหนึ่งอัตตา
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่9 l 10/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 10-02-2020 20:48:26
- จีบที่ 9 -




[อ๋อง]

ผมนั่งหันซ้ายหันขวาแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อมองหาเพื่อนสนิทที่ก่อนหน้านี้หน้าตื่นรับโทรศัพท์แล้วหันมาบอกผมอย่างรีบร้อนว่า

‘เดี๋ยวกูมา’

เดี๋ยวของไอ้เปียวกินเวลาไปเกือบชั่วโมงแล้วตอนนี้ พอโทรหามันก็ดันไม่รับโทรศัพท์ สุดท้ายผมจึงตัดสินใจเดินกะเผลกๆ มาเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นร่างสูงใหญ่คุ้นตาของใครบางคนเดินกึ่งวิ่งมาทางนี้พอดี ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วกรอกตาไปมาเมื่อใครคนนั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้า

“รอพี่นานมั้ย”

“ใครรอมึง”

ผมขมวดคิ้วทันที

“เมื่อกี้เราพูดว่ายังไงนะ”

ผมชะงักไปทันทีที่ฝ่ายนั้นกอดอกมองสำรวจผมตั้งแต่หัวศีรษะจรดปลายเท้า นั่นทำให้ผมเม้มปากแน่นเพราะจำได้ดีว่าพี่มันไม่ชอบให้ผมเรียกแทนตัวเองว่ามึงกู

“มาทำไม”

ผมเปลี่ยนเรื่องทันทีเมื่อเจอสายตากดดันจากอีกฝ่าย ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมเดาได้ไม่ยากว่าพี่มันกำลังรอให้ผมเปลี่ยนสรรพนามแทนตัว

“น้องเปียวโทรไปบอกพี่ว่าเรารถล้ม”

ผมสบถในลำคอทันทีนึกโทษเพื่อนสนิทที่ปากมากไปบอกคนตรงหน้า

“...”

“เปียวมีธุระต้องรีบไปทำ เลยโทรให้พี่มาดูเรา”

“ดูทำไมวะ...”

ผมเงียบปากทันทีหลังจากลงหางเสียงที่ไม่รื่นหูนัก

“ผมก็มีตา จมูก ปากเหมือนคนอื่น ไม่ใช่ตัวประหลาดให้พี่...”

ไอ้พี่ดลหลุดยิ้มน้อยๆ

“เรียกพี่ให้ชิน”

ผมเบะปากทันที

“เราไม่ใช่ตัวประหลาดหรอก ถึงแม้สภาพตอนนี้จะดูไม่ต่างจากที่ว่าก็ตาม”

ผมเม้มปากแน่นทำท่าฮึดฮัดเพราะสภาพตัวเองซึ่งถูกใส่พันผ้ายืดบริเวณข้อเท้าด้านซ้าย ส่วนหัวเข่าซึ่งเป็นแผลฉกรรจ์หมอทำความสะอาดและเย็บแผลให้เรียบร้อยแล้ว ไม่ต่างจากข้อศอกด้านขวาที่เจ็บทุกครั้งที่ขยับเคลื่อนไหวจนต้องใส่เฝือกอ่อนประคองไม่ให้บาดเจ็บกว่าเดิม แน่นอนว่าสภาพผมตอนนี้คงดูไม่จืดเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นฝ่ายนั้นคงไม่มองสำรวจผมอย่างนี้หรอก

“กลับเถอะเดี๋ยวพี่ไปส่ง”

“ผมกลับเองได้”

“พี่ไม่อยากดูถูกเรานะ แต่สภาพเราตอนนี้ พี่ไม่คิดว่าเราจะกลับเองได้”

ผมสบถในลำคอทันที

“อ๋อ ส่วนรถมอ’ไซค์เราที่จอดอยู่โรงพัก พี่ให้คนลากไปซ่อมที่อู่แล้ว”

ผมหันขวับมามองหน้าอีกฝ่ายทันที เพราะก่อนหน้าที่ผมจะถ่อมาโรงพยาบาลนั้น ผมกับคู่กรณีที่ขับรถตัดหน้าจนทำให้เสียหลักหักหลบแล้วพลิกคว่ำลงข้างทางนั้นไปเจรจาความกับที่โรงพัก ดีว่าคู่กรณียอมรับผิดและขอรับผิดชอบค่าเสียหาย จบการเจรจาคู่กรณีก็มาส่งที่โรงพยาบาลก่อนจะขอกลับไปก่อนเพราะมีธุระต่อ ส่วนมอ’ไซค์ผมได้รับความเสียหายก็ถูกจอดทิ้งอยู่ที่โรงพักนั่นแหละ

“ยุ่งอะไรด้วยวะ”

ผมทำหน้ายุ่งยากใจเพราะดูเหมือนว่าไอ้พี่ดลมันจะจัดการเรื่องต่างๆ ให้ผมจนเสร็จสรรพ แม่งโคตรน่ารำคาญ

“นี่กุญแจรถ”

ร่างสูงชูกุญแจมอ’ไซค์ขึ้นมาตรงหน้าผม ผมทำหน้าตื่นก่อนจะรีบคว้ากุญแจคืนแต่อีกฝ่ายโยกหลบอย่างรวดเร็ว

“พี่คงต้องยึดเอาไว้ก่อน”

“อะไรวะ”

ผมทำหน้าไม่พอใจ

“จนกว่าแผลเราจะหาย”

พี่ดลกอดอกมองหน้าผมนิ่ง

“พี่ไม่อนุญาตให้เราขับรถ”

“แล้วพี่เสือกอะไรด้วยวะ”

“ความจริงพี่ไม่อยากให้เรากลับไปขับมอ’ไซค์ด้วยซ้ำ”

“มากเกินแล้วนะเว้ย”

“เลือกเอา ว่าช่วงนี้จะหยุดขับรถหรืออยากให้เรื่องนี้ถึงหูแม่เรา”

ผมกำหมัดแน่นถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง

“ทำไมพี่ถึงชอบยุ่งเรื่องของผมนักวะ”

“น้าดุจฝากฝังเรากับพี่ไว้ แล้วพี่ก็รับปากแม่เราแล้วว่าจะดูแลเราให้ดี”

“เหอะ”

ผมแค่นยิ้ม

“แม่จะห่วงผมทำไม”

“...”

“ห่วงผมหรือผลักภาระให้คนอื่นกันแน่”

“อ๋อง”

พี่ดลขยับมาใกล้หมายจะแตะหัวไหล่แต่ผมขยับถอยหลัง อารามรีบร้อนถอยหลังมันถึงสะเทือนแผลจนเผลอนิ่วหน้าเพราะรู้สึกเจ็บ

“เป็นยังไงบ้าง”

สุดท้ายพี่มันก็ขยับมาประคองผมเอาไว้อยู่ดี ผมยืนอึ้งก่อนจะขยับตัวหนี

“อย่าขยับ ไม่เจ็บแผลรึไง”

“อย่ามายุ่ง”

พี่ดลถอนหายใจเฮือกใหญ่

“กลับเถอะเดี๋ยวพี่ไปส่ง”

“...”

“พี่เคยบอกเราแล้วไง ว่าถ้าไม่ไหวให้ขอความช่วยเหลือ”

“...”

“พี่กับแม่พี่ยินดีช่วยเหลือเราเสมอ”

“หุบปาก”

ผมเม้มปากแน่นก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

“น้าดุจเองก็ห่วงเรามากนะอ๋อง พี่ไม่รู้หรอกว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้แม่เราต้องไปไกล แต่เขาห่วงเราเสมอ และจำเอาไว้นะ ว่าเราไม่ใช่ภาระของพี่”

พี่ดลพูดไปก็ดุนแผ่นหลังผมให้ออกเดินอย่างช้าๆ แม้ว่าผมจะขัดขืนแต่สุดท้ายเพราะทนเจ็บข้อเท้าไม่ไหวผมจึงหยุดยื้อยุดกับพี่มันแล้วจำใจเดินตามแรงจูงของอีกฝ่าย สุดท้ายผมเข้ามานั่งอยู่ในห้องโดยสารภายในรถของพี่มัน พี่ดลหันมามองผมก่อนจะเอื้อมมือมาดึงที่คาดเข็มขัดหมายจะเสียบเข้าล็อกให้ แต่ผมยื้อเอาไว้แล้วคว้ามาเสียบเข้าล็อกเอง

“ทำเองได้”

พี่ดลส่ายหัวก่อนจะผละถอยหลังไปสตาร์ทรถแล้วหันไปสนใจถนนเบื้องหน้า

“หิวมั้ย”

ผมไม่ตอบทำทีเป็นสนใจบรรยากาศภายนอกตัวรถ

“ห้องพี่ไม่มีอะไรติดเลย แวะซื้ออะไรเข้าไปกินสักหน่อยเถอะ เราจะได้กินข้าวและกินยา”

ผมหรี่ตามองอีกฝ่ายเขม็ง

“เกี่ยวอะไรกับห้องพี่”

ผมพอจะรู้ว่าพี่มันอาศัยอยู่คอนโดหรูติดบีทีเอสแถวๆ หอผมนั่นแหละ

“คืนนี้เราต้องนอนห้องพี่”

“เรื่องอะไรวะ”

ผมร้องโวยวาย

“เราเป็นแบบนี้ คืนนี้อยู่คนเดียวไม่ได้หรอก”

“ผมอยู่ได้ อีกอย่างไอ้เปียวก็อยู่ข้างๆ ห้องผม”

“น้องเปียวโทรบอกพี่ว่าคืนนี้ไม่ได้กลับมานอนหอ ฉะนั้นคืนนี้เราต้องไปนอนกับพี่ก่อน”

“ไม่มีทาง”

พี่ดลไม่พูดอะไรนอกจากหันกลับไปสนใจถนนเบื้องหน้า การที่อีกฝ่ายเงียบเหมือนตัดบทไปทำให้ผมนึกโมโหไม่น้อย ยิ่งตอนที่ฝ่ายนั้นจอดแวะข้างทางที่เป็นบริเวณตลาดแล้วบอกให้ผมรออยู่บนรถก่อนจะผละออกไป

“รอให้โง่น่ะสิ”

ผมตาขวางพูดเสียงลอดไรฟัน จังหวะที่ฝ่ายนั้นหันหลังนั่นแหละผมจึงมาดหมายว่าจะหนีลงจากรถให้ได้ แต่เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเอาซะเลย

“แม่งเอ้ย”

ผมสบถเสียงดังลั่นเพราะรถมันโดนล็อกจากข้างนอกแน่นอนว่าคนล๊อกเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าของรถยุโรปคันนี้ ผมทนนั่งฮึดฮัดอยู่พักนึงก่อนที่เจ้าของรถจะเดินถือของกินพะรุงพะรังเต็มมือเข้ามา พี่ดลเลิกคิ้วมองผมเป็นเชิงถามเมื่อเห็นผมทำตาเขียวใส่ ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะพูดเสียงเรียบขึ้นว่า

“โทษทีลืมบอกว่าพี่ล๊อกรถเอาไว้”

สีหน้าของคนขอโทษคือขยับรอยยิ้มตรงมุมปากแบบนี้เหรอวะ

“ผมโคตรเกลียดพี่เลย”

“เอาน่า ถือว่าไปเปลี่ยนบรรยากาศนอนห้องพี่สักคืนแล้วกัน”

ฝ่ายนั้นพูดด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนขยับเข้าเกียร์รถแล้วหันไปสนใจถนนเบื้องหน้าทันที แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากนั่งกำหมัดสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อกดกลั้นอารมณ์ที่อยากตะบันหน้าใครสักคนเพื่อระบายอารมณ์ขัดข้องในใจของตัวเองตอนนี้

ผมว่าไอ้พี่ดลเป็นคนที่มีความอดทนสูงมากเพราะตลอดการเดินทางในห้องโดยสารที่ไร้บทสนทนาจนกระทั่งมาถึงคอนโดของพี่มัน ผมยังนิ่งเงียบถึงแม้จะอารยะขัดขืนด้วยการไม่ยอมออกจากรถ พี่มันก็นั่งติดเครื่องยนต์อยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเป็นผมเองที่หมดความอดทน

“นึกว่าวันนี้จะได้นอนในรถซะอีก”

ฝ่ายนั้นพูดขึ้นตอนที่ผมขยับตัวออกจากรถ แต่เพราะไม่ระวังถึงได้รู้สึกเจ็บแผลไม่น้อย

“ระวังหน่อย เดี๋ยวแผลก็อักเสบหรอก”

พี่ดลดับเครื่องยนต์ก่อนจะเดินมาเปิดประตูรถให้ผมแล้วยื่นมือมาช่วยประคองให้ผมลุกขึ้น แต่ผมยังดื้อแพ่งเบี่ยงตัวจากการเกาะกุม

“อย่าดื้อ”

พี่ดลพูดเสียงเรียบ ผมนิ่วหน้าเพราะรู้สึกเจ็บเหมือนพี่มันจะรู้ถึงได้แตะบ่าแล้วค่อยดุนหลังให้ออกเดิน

“พักรบกันสักวันเถอะ”

ฝ่ายนั้นพูดยิ้มๆ

“หายเจ็บแล้วค่อยมาทะเลาะกับพี่ต่อก็ได้ แต่วันนี้เหนื่อยมามากแล้ว ขึ้นไปกินข้าวอาบน้ำพักผ่อนเถอะ”

ผมหลับตานิ่ง

ไม่อยากได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนแบบนั้น

ไม่อยากได้ยินเพราะมันทำให้ผมรู้สึกอ่อนแอ

ผมเหลือบตามองคนข้างๆ ที่ถือของกินสารพัดและถุงยาเดินเคียงข้างผมมาแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผมจะถือว่าเพราะพิษไข้และอาการบาดเจ็บที่เป็นอยู่นี่ ถึงทำให้ผมอ่อนไหวเดินขึ้นคอนโดของพี่มัน

“คืนเดียวเท่านั้น”

ผมพึมพำบอกตัวเองอย่างหนักแน่น

“ค้างอีกหลายคืนพี่ก็ไม่ว่าหรอก”

ฝ่ายนั้นก็ช่างหูดีเหลือเกิน

“ไม่มีทาง”

พี่ดลโคลงศีรษะแล้วยิ้มบางๆ มองผมคล้ายจะกวน

“ตามใจเราเถอะ”

“เหอะ”



- J E E B -

[เปียว]



“ทำไมเหมือนขโมยชุดพ่อมาใส่วะ”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะที่สำรวจร่างกายตัวเองในกระจกหลังจากอาบน้ำ ผมอยู่ในสภาพเสื้อยืดตัวโคร่งขณะที่ว่าความกว้างของคอเสื้อทำให้ไหล่ตกไปไกล ยังดีว่าท่อนล่างที่เป็นกางกางบอลนั่นเป็นยางยืดแต่ความยาวของขากางเกงก็ยาวเลยเข่าทั้งๆ ที่หากเจ้าของที่แท้จริงใส่คงเป็นแค่กางเกงขาสั้นธรรมดา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าขนาดตัวของผมกับไอ้พี่เซียนเจ้าของชุดนอนบนตัวผมต่างกันลิบลับ

ผมใช้เวลาสำรวจร่างกายตัวเองสักพักก่อนจะออกมาจากห้องน้ำ คอนโดของพี่เซียนมีห้องน้ำสองห้อง ห้องหนึ่งอยู่ในห้องนอนพี่มัน ส่วนอีกห้องอยู่ด้านนอกใกล้ๆ เคาน์เตอร์โซนครัว ก่อนหน้านี้เราแยกย้ายกันไปอาบน้ำแต่ผมต้องสะดุ้งโหยงตอนที่เปิดประตูออกมาเห็นเจ้าของห้องในสภาพเปลือยท่อนบนมีผ้าเช็ดตัวพาดบ่าอยู่ ขณะที่ท่อนล่างเป็นกางเกงวอร์มสีดำสนิท คาดว่าก่อนหน้าอีกฝ่ายน่าจะซิทอัพหรือออกกำลังกายมาอย่างแน่นอนสังเกตจากเม็ดเหงื่อที่เกาะพราวบริเวณแผงคอเลื่อยมาจนถึงแผ่นอก

จังหวะที่สายตาเผลอกวาดไปทั่วร่างกายส่วนบนนั่นผมรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นทันที เจ้าของห้องหรี่ตามองแล้วขยับเข้ามาใกล้เล่นเอาผมทำหน้าตื่น

“เป็นอะไร”

“เอ่อ”

ผมทำหน้ายุ่งๆ รู้สึกว่ามือไม้เกะกะไปหมดตอนที่กล้ามเนื้อหกลูกเน้นๆ ตรงหน้าท้องมาหยุดอยู่เบื้องหน้าในระยะเผาขน

ลายกล้ามเนื้อแม่งโคตรสวย

ผมเม้มปากแน่นแล้วเบือนหน้าไปทางอื่นทันที

“ทำไมพี่ยังไม่อาบน้ำอีกอ่ะ”

ตั้งครึ่งชั่วโมงตอนที่ผมและพี่มันแยกย้ายกันไปอาบน้ำ

ครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ที่เด็กวิศวะฯ ภาคยานยนต์อวยตัวเองจนผมเผลอใจสั่น

“ห้องน้ำในห้องกูเสีย”

“หือ?”

ก่อนหน้านี้น้องซอเข้าไปอาบน้ำยังไม่เห็นพูดอะไรเลย

“อาบเสร็จแล้วก็ไปนอนได้แล้ว กูเปิดแอร์ในห้องไว้แล้ว จะนอนมุมไหนก็เรื่องของมึง หมอนอีกใบอยู่ในชั้นเก็บของบนสุด ส่วนผ้าห่มมึงห่มกับกูก็ได้ กูขี้ร้อนปกติไม่ติดผ้าห่มหรอก”

“ผมนอนที่โซฟาห้องนั่งเล่นก็ได้พี่”

ผมพูดรัวๆ เพราะประโยคก่อนหน้านี้ของพี่เซียนไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพี่มันคงให้ผมนอนห้องพี่มัน แน่นอนว่าผมไม่มีทางนอนเตียงเดียวกับพี่เซียนแน่ๆ

ไม่มีทาง

ยิ่งรู้สึกว่าตอนนี้ผมมีปฏิกิริยาแปลกๆ เวลาอยู่ใกล้พี่เซียน ไม่มีทางที่ผมจะหาภาระให้หัวใจต้องทำงานหนักมากไปกว่านี้หรอก

“ทำไม”

ฝ่ายนั้นกอดอกถาม

“ก็..” ผมเกาหัวแกรกๆ “ผมไม่ชินเวลานอนกับคนอื่น”

“แล้ว”

“อีกอย่างผมนอนดิ้น กลัวจะรบกวนพี่”

พี่เซียนพยักหน้ารับ

“แล้วแต่มึงแล้วกัน”

ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ตอนที่พี่มันผละออกไปแล้วหยุดก่อนจะหันมาทางผมทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้

“วันนี้มึงได้ใส่พระมามั้ย”

“หา”

พี่เซียนลูบคางตัวเองอย่างใช้ความคิด

“ไอ้เดี่ยวมันเคยนอนที่โซฟา มันบอกว่าตอนกลางคืนเหมือนมีคนมาเขย่าโซฟาทั้งคืนเลย อีกอย่างมันเห็นผู้หญิงมานอนกับมันด้วย”

ฉิบหาย

ผมทำตาโตอ้าปากเคืองก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่

“พะ พี่พูดเล่นใช่มั้ย”

พี่เซียนกดยิ้มมุมปากทันที

“อืม”

ค่อยยังชั่ว

“จริงๆ มันเห็นผู้หญิงมากกว่าหนึ่ง”

ไอ้สัด

ผีสาวแอนด์เดอะแก๊งเหรอวะ มาคนเดียวก็ผวาจะแย่แล้วเสือกมีน้ำใจชักชวนเพื่อนมาอีกรึไง

“มึงคงไม่กลัวเนอะ”

ฝ่ายนั้นถามเสียงเหมือนห่วงใยแต่เปล่าเลยแววตาคู่นั้นมีประกายล้อเลียน

“มะ ไม่กลัว”

ผมพูดเสียงสั่นก่อนจะมองไปรอบๆ ห้องอย่างหวาดระแวง

“ดี”

พี่เซียนมองเลยไหล่ผมไปแล้วโคลงศีรษะกดยิ้มมุมปากนั่นทำให้ผมนึกผวาแล้วกลั้นใจหันหลังกลับไปมองโซฟาที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางห้อง

ผมผุดลุกผุดนั่งอยู่นานทั้งๆ ที่ปรับโซฟาเบดเป็นที่นอนพร้อมกับถือวิสาสะไปขนหมอนกับผ้าห่มในห้องนอนพี่มันออกมาแล้ว ผ่านไปเกือบครั่งชั่วโมงผมเงี่ยหูฟังเสียงน้ำไหลด้วยใจไม่เป็นสุขเท่าไหร่ ก่อนนี้พยายามข่มตาให้หลับแต่จนแล้วจนรอดเรื่องที่ไอ้พี่เซียนเล่าให้ฟังเมื่อกี้ยังสลัดให้ออกจากหัวไม่ได้เลย

ผมยอมรับว่ากลัวสิ่งลี้ลับ ตอนที่มาอยู่หอคนเดียวยังแอบกังวลไม่น้อยดีว่าไอ้อ๋องมันมาอยู่ห้องข้างๆ และตั้งแต่อยู่หอมาผมยังไม่เคยเจอเหตุการณ์ประหลาดอะไร มันเลยทำให้ผมลืมเลือนเรื่องนี้ไปจนกระทั่งถูกไอ้พี่เซียนแกล้งเล่าเรื่องผีให้ฟังเมื่อกี้นี้แหละ

แม่ง

ยอมรับแบบแมนๆ เลยว่าผมโคตรระแวงทุกครั้งที่เอนตัวลงนอน ทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องที่พี่มันเล่าเป็นเรื่องจริงหรือกะจะแกล้งผมกันแน่ แต่คนตาขาวแบบผมแอบเชื่อไปไม่น้อยแล้ว

“ยังไม่นอนอีกเหรอ”

พี่เซียนที่เดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำเอ่ยถามขึ้น

“ก็กำลังจะนอน”

“นอนไม่หลับ?”

“...”

“หรือกลัวผี”

ฝ่ายนั้นเลิกคิ้วถาม

“พี่แม่งถามจะย้ำทำไมวะ”

“ก็มึงบอกไม่กลัว”

“เออไม่กลัว”

ผมเม้มปากแน่น

“งั้นก็ราตรีสวัสดิ์”

“เดี๋ยวพี่”

ผมผุดลุกขึ้น

“ผมเปิดไฟนอนได้ป่ะ”

พี่เซียนกอดอกมองผมนิ่ง

“เพื่อ?”

“ก็ผมไม่ชินอ่ะ”

“กลัวก็บอกว่ากลัว”

ผมเม้มปากแน่นสุดท้ายแล้วอดพยักหน้าขึ้นลงไปมาไม่ได้

“กลัวกูกับกลัวผี มึงกลัวอะไรมากกว่ากัน”

“ใครกลัวพี่”

“ทำไม”

พี่เซียนขยับเข้ามาใกล้

“อะ อะไร”

“ทำไมถึงไม่กล้านอนกับกู”

ผมหน้าแดงวาบทันที

“นอนบนเตียงเดียวกันกับพี่ พูดให้ครบด้วย นอนกับพี่อะไรเล่า”

พี่เซียนยักไหล่

“ก็นอนเหมือนกัน”

“ไม่เหมือน”

ผมเอ่ยท้วงจนฝ่ายนั้นทำตาวาวระยับ

“แล้วมันต่างกันยังไง”

ผมยืนอึ้ง

“ต่างยังไง ไหนอธิบายมาสิ”

“ทำไมผมเหมือนถูกพี่ไล่ต้อนแบบนี้วะ”

ผมขยี้ศีรษะตัวเองแรงๆ

“สรุปไม่ยอมตอบ”

“...”

“ถ้าไม่ตอบงั้นกูไปนอนก่อนนะ ง่วงจนตาจะปิดแล้ว”

พี่เซียนบุ้ยปากที่ห้องตัวเอง ผมมองตามแผ่นหลังกว้างไปจนลับตาก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินหงอยๆ ไปข่มตานอนที่โซฟา แต่จนแล้วจนรอดก็นอนไม่หลับอยู่ดี ผ่านไปพักใหญ่ๆ ผมรู้สึกว่าถึงฝีเท้าของใครสักคนก้าวหนักๆ มาใกล้จะถึงตัว ผมหรี่ตามองอย่างใจสั่นก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นพี่เซียนหอบหมอนกับผ้าห่มมาปูนอนกับพื้นติดกับโซฟาเบดที่ผมนอนอยู่

“พี่ทำอะไร”

“มึงกลัวผีไม่ใช่เหรอ”

ผมยิ้มแหย

“มึงกลัวนอนเตียงเดียวกับกูด้วย”

ผมส่ายหน้าหวือ

“ไม่ใช่สักหน่อย”

พี่เซียนยักไหล่ก่อนจะทรุดตัวนอนบนผ้าห่มที่ปูกับพื้น ฝ่ายนั้นนอนหลับตานิ่งเหมือนตัดบทสนทนาแต่นั่นทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก เพราะผมรู้ดีว่าพี่มันทำแบบนี้ทำไม

ไอ้เซียนมานอนเป็นเพื่อนผม

“ถ้ามึงจะนอนแล้วลุกไปปิดไฟด้วย แสงมันแยงตากู”

ฝ่ายนั้นพูดทั้งที่ตาปิดสนิท ผมถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะเดินไปปิดไฟแล้วมาทรุดตัวนอน ในอกเกิดความรู้สึกประหลาดที่บอกไม่ได้เหมือนกันว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร

“ผมไม่ได้กลัวที่จะนอนเตียงเดียวกับพี่”

“...”

“แต่ผมกลัวใจตัวเอง”

“ทำไม”

เสียงทุ้มดังขึ้นในความเงียบ

“ไม่รู้เหมือนกัน”

ผมส่ายหัวไปมาตอนที่ซุกใบหน้าไปกับผ้าห่ม

“งั้นตอบคำถามกูหน่อย”

“...”

“มึงไม่อยากอยู่ใกล้ชิดกู เพราะมึงกลัวหัวใจทำงานหนักหรือเพราะมึงกลัวหวั่นไหวกับกูกันแน่”

 ผมทำอะไรไม่ถูกตอนที่พี่มันเอื้อมมือมาคว้าข้อมือข้างหนึ่งแล้วใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางกดไปที่ข้อมือคลำหาชีพจร

“หัวใจมึงเต้นแรง”

“พี่รู้ได้ไง”

“แม่กูเป็นพยาบาลเก่า”

ผมนอนนิ่งปล่อยให้พี่มันจับชีพจรอยู่อย่างนั้น

“เขาเคยสอนกูจับชีพจรง่ายๆ แต่จริงๆ กูไม่อยากใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางจับชีพจรเลย”

พี่มันพูดแล้วขยับเปลี่ยนเป็นเอานิ้วนางแตะที่ข้อมือผม

“กูกำลังใช้นิ้วนางจับชีพจรมึง”

ผมส่ายหัวเพราะนั่นเป็นวิธีการที่ผิดอย่างแน่นอน

“รู้มั้ยเพราะอะไร”

“...”

“เพราะเส้นเลือดดำที่นิ้วนางโดยเฉพาะข้างซ้ายมันเชื่อมต่อโดยตรงเข้าหัวใจ”

ผมกลั้นยิ้มทันที

“งั้นพี่คงได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง”

การใช้นิ้วนางจับชีพจรคนอื่นอาจเป็นไปได้ว่าคนที่จับชีพอาจได้ยินเสียงหัวใจตัวเองและมันคงทำให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้เพราะนั่นคือวิธีที่ผิด

“จับนิ้วนางกูสิ”

“...”

“มึงได้ยินเสียงหัวใจกูมั้ยล่ะ”

ไม่ได้ยิน...แต่หัวใจผมเต้นแรงมากๆ

ตึก

ตึก

ตึก

เพราะผมกำลังจับนิ้วนางข้างซ้ายของพี่มัน

“คำตอบล่ะ”

“อะไร”

“ข้อแรกมึงกลัวหัวใจตัวเองทำงานหนัก ข้อสองมึงกลัวหวั่นไหวกับกู”

“ผมตอบข้อสาม”

ผมพูดเสียงแผ่ว

“ข้อสามคืออะไร”

“พี่ไม่ได้ยินเหรอ”

“จะได้ยินยังไงในเมื่อมึงไม่ได้พูด”

“ก็ผมตอบในใจ”

พี่เซียนหลุดเสียงหัวเราะในลำคอ ผมเลยแกล้งสะบัดมือจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายแต่พี่มันคว้าข้อมือผมเอาไว้แล้วเริ่มจับชีพจรที่ข้อมือผมอีกครั้ง

“ขอฟังคำตอบมึงก่อน”

พี่เซียนพูดขึ้น

“ผมตอบแล้วจริงๆ นะพี่”

“อื้ม”

“...”

“กูว่ากูได้ยินแล้ว”

ผมหลุดยิ้มน้อยๆ ในความมืดนั่นผมไม่รู้หรอกว่าพี่มันมีสีหน้ายังไงตอนที่ได้ยินคำตอบของผม เหอะ พี่เซียนไม่มีทางรู้คำตอบที่แท้จริงของผมหรอก

คำตอบของคนอ่อนไหว

คำตอบข้อที่สามคือ ‘ถูกทุกข้อ’




- J E E  B -

ดึกดื่นไม่หลับไม่นอน มานอนจับชีพจรกันอยู่ได้ ก๊ากกก
หวีดในทวิตติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยเด้อ

หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่9 l 10/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 10-02-2020 21:03:02
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่9 l 10/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 10-02-2020 21:55:16
แหนนนน มานอนจับข้อมงข้อมือกัน นังเด็กพวกนี้
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่9 l 10/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 10-02-2020 22:18:49
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่9 l 10/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 10-02-2020 22:51:45
พี่เซียนนี้ของจริงง
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่9 l 10/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 11-02-2020 00:05:27
นอนจับชีพจรกันก็ได้หรอ,,,
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่9 l 10/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: kenghan ที่ 11-02-2020 09:53:25
หลงรักเรื่องเรื่องอ่านรวดเดียว จบ
ไม่ได้อ่านนิยายมานานเรื่องนี้เรื่องแรกที่กลับมาเลย
เลิฟๆๆๆๆ (เมื่อไหร่เขาจะคบกัน)
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่9 l 10/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 11-02-2020 20:03:43
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่9 l 10/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 11-02-2020 23:50:47
อิคู่สองนี่จะมานอนจับนอนจีบอะไรกันนัก เหม็นฟามรักไปหมดแล้ว

ส่วนคู่แรกเจอหน้ากันต้องตีกันตลอด

หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่9 l 10/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 14-02-2020 00:40:20
อ่ยยยย ขนาดนี้แล้วอ่ะน้องงงง คือไม่ต้องรู้ว่าเป็นพี่ที่เคยรู้จักน้องก็ชอบเขา  :hao5:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่9 l 10/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 16-02-2020 08:21:12
อะไรกันเด็กพวกนี้นี่
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่9 l 10/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 16-02-2020 16:44:36
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่9 l 10/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Plakhem ที่ 16-02-2020 18:17:58
 :katai2-1:  เขิลกันไปมา รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่9 l 10/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 17-02-2020 20:58:13
่น่ารักกกก
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่9 l 10/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: ราเมง(^3^) ที่ 19-02-2020 19:57:15
น่ารัก เริ่มรุกหนักล่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่10 l 24/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 24-02-2020 20:32:59
- จีบที่ 10 -

 

เสียงแจ้งเตือนจากแอพพลิเคชั่นในมือถือดังขึ้นติดๆ กันปลุกให้คนที่เพิ่งข่มตาหลับสนิทไปช่วงใกล้รุ่งสางเช่นผมงัวเงียตื่นมาควานหาต้นกำเนิดของเสียง ภาพข้อความจากโปรแกรมแชทปรากฏตรงหน้าจอโทรศัพท์เรียกความสนใจจากผมได้ทันที

ไอ้โต้งไลน์หาผมแต่เช้า

มันส่งภาพเงาคนกับทะเลยามเช้ามาให้ดูก่อนจะพิมพ์มาบอกว่าช่วงเย็นๆ วันนี้มันจะแวะมาหาผมที่หอเพื่อนำของฝากมาให้ จำได้ลางๆ ว่าเมื่อวานเห็นมันพูดอยู่ว่าจะไปทะเลแต่ไปทำไม หรือไปกับใครอันนี้ผมก็ไม่ได้ถามเพราะปกติมันมักจะมีทริปปุบปับแบบนี้กับครอบครัวเป็นประจำ

ผมคงจะผ่านเลยความสงสัยนั่นไป ถ้าหากว่าในเงาแสงแดดยามเช้าในภาพนั่นไม่ใช่มีแค่มันคนเดียวนี่สิ ผมซูมภาพถ่ายนั่นอย่างข้องใจแล้วเห็นเหมือนปกเสื้อกีฬา แน่นอนว่ามันคุ้นตาผมมากในเมื่อรูปแบบและปกเสื้อสีส้มอ่อนๆ นั่นคือแบบฟอร์มชุดกีฬาคณะของผมชัดๆ

ปกติชุดกีฬาของทางมหาวิทยาลัยจะมีปกสีชมพูตามสีประจำมหาวิทยาลัย ต่างจากคณะของผมจะมีแบบฟอร์มชุดกีฬาที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองคือสีปกเสื้อจะเป็นสีส้มอ่อนๆ หรือส้มหมีพูร์ตามสีประจำคณะ แน่นอนว่าโดยทั่วไปหากไม่ใช่นิสิตคณะผมไม่มีทางที่จะใส่เสื้อกีฬาแบบนั้น เพราะเสื้อดังกล่าวมีขายที่คณะที่เดียวไม่ได้วางขายตามสหกรณ์ทั่วไป ดังนั้นคนที่จะซื้อหาและสวมใส่เนื้อกีฬาแบบนี้ต้องเด็กนิสิตคณะผมอย่างไม่ต้องสงสัย

แล้วทำไมเสื้อกีฬาคณะผมถึงอยู่ในเฟรมเดียวกับเด็กคณะวิศวะฯ อย่างไอ้โต้งได้

ผมเก็บความสงสัยนั่นเอาไว้ก่อนเพราะคิดหัวแทบแตกก็คิดไม่ออกว่าตัวเองเคยไปลืมเสื้อกีฬาไว้ที่ไอ้โต้งตอนไหน หลังจากนั่งครุ่นคิดแล้วไม่ได้คำตอบสักทีผมเลยผุดลุกขึ้นพับผ้าห่มและเก็บหมอน ระหว่างนั้นระลึกขึ้นได้ว่าบนพื้นใกล้ๆ กับโซฟานั้นเจ้าของห้องมาปูผ้านอนอยู่ แต่บัดนี้ทั้งหมอนและผ้าห่มถูกพับเก็บวางอยู่ชิดกับโซฟา ส่วนคนนอนนั้นไม่รู้หายไปไหนแต่เช้า

พอกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วผมก็ไม่เห็นคนที่ทำให้ผมนอนไม่หลับเกือบทั้งคืน ทั้งที่เหนื่อยและเพลียมากๆ แต่ข่มตายังไงก็ไม่สามารถหลับได้จนกระทั่งเกือบรุ่งสางที่เผลอม่อยหลับไปเพราะความอ่อนเพลีย

‘มึงกลัวหัวใจทำงานหนักหรือมึงกลัวหวั่นไหวกับกูกันแน่่’

เจ้าของคำพูดนั้นที่หลับสนิทจนน่าหมั่นไส้

ผมรู้ได้ไงน่ะเหรอ ก็แอบชะโงกดูหน้าพี่มันทั้งคืนน่ะสิ

แม่งเอ๊ย

ผมเบะปากก่อนคว้าเอาหมอนแล้วผ้าห่มเดินลากเท้าไปยังห้องนอนของพี่เซียนเพื่อเก็บอุปกรณ์การนอนให้เรียบร้อย ไหนๆ ก็มาอาศัยห้องพี่มันนอนทั้งคืนแล้ว ถึงจะนอนไม่หลับก็เถอะ ยังไงในฐานะคนอาศัยผมควรเก็บข้าวของเหล่านี้ให้เป็นระเบียบเหมือนเดิม

ตอนที่เข้าไปในห้องพี่มันผมเพิ่งสังเกตว่าห้องชายโสดนั่นมันตกแต่งได้ดิบเถื่อนจริงๆ ผนังเป็นปูนเปลือย เฟอร์นิเจอร์แทบทุกชนิดเป็นโทนสีดำไม่ก็น้ำเงินเข้ม ผนังติดโปสเตอร์มือกีต้าร์ระดับโลกอย่าง Eric Clapton บนพื้นมุมห้องมีกีต้าร์โปร่งตั้งอยู่ ข้างๆ กันนั้นมีตู้กระจกเล็กๆ ด้านในโชว์โมเดลกีต้าร์หลายๆ แบบ บ่งบอกว่าเจ้าของห้องคงชื่นชอบกีต้าร์ไม่น้อยเลยทีเดียว

ไม่น่าเชื่อว่าห้องพี่เซียนเป็นระเบียบขนาดนี้ ไม่มีของวางระเกะระกะ เห็นเพียงกองหนังสือที่มุมหัวเตียงนั่นแหละที่ดูไม่เป็นระเบียบสักเท่าไหร่ ผมยักไหล่ก่อนจะเดินไปเปิดตู้ฝั่งหนึ่งเพื่อเก็บพวกผ้าห่มและหมอนเสริม จังหวะนั้นผมเห็นกรอบภาพอันหนึ่งซึ่งถูกวางคว่ำหน้าอย่างหมิ่นเหมกลัวว่าจะร่วงตกผมเลยหยิบขึ้นมาหมายจะวางไว้ในจุดที่ปลอดภัยกว่านี้ ตอนที่พลิกกรอบรูปนั่นขึ้นมาผมอดยิ้มกับภาพตรงหน้าไม่ได้

พี่เซียนและพี่เดี่ยวในชุดนักเรียนมัธยมชายล้วนชื่อดังนั่งอยู่บนเก้าอี้ม้าหินอ่อน ระหว่างคนทั้งคู่มีผู้หญิงหน้าตาสะสวยสวมเสื้อช๊อปที่หน้าอกด้านหนึ่งมีตราพระเกี้ยว เดาได้ว่าไม่ยากว่าเจ้าของรอยยิ้มสดใสในรูปนั่นคงเรียกวิศวะฯ อย่างไม่ต้องสงสัย

ถ้าให้เดาอีกคาดว่าภาพนั้นคงถ่ายไว้หลายปี ตอนนั้นทั้งพี่เซียนและพี่เดี่ยวยังหัวเกรียนๆ กันอยู่เลย 

“หล่อมาตั้งแต่เด็กเลยเหรอวะ”

ผมแลบลิ้นให้คนในรูปอย่างหมั่นไส้ ดูเอาเถอะว่าขนาดหัวเกรียนยังดูดีใช่ย่อย คาดว่าสมัยเรียนคงจะดังน่าดู ว่าแต่ผู้หญิงในรูปเป็นใครกันนะ คงสนิทไม่ใช่เล่นไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถแตะบ่าพี่เซียนอย่างสนิทสนมขนาดนั้นได้

“พี่เปียว”

“หวา”

ผมสะดุ้งโหยงจนเผลอปล่อยกรอบรูปนั่นตกพื้น 

“เชี่ย” ดีว่าไม่ใช่กรอบกระจกไม่อย่างนั้นมันคงเสียหายจากการความประมาทของผมแน่ๆ

“ขอโทษค่ะพี่เปียว”

น้องซอทำหน้าแหยรีบยกมือไหว้ขอโทษขอโพยผมทันที ก่อนจะรีบกุรีกุจอช่วยเก็บกรอบรูปนั่นขึ้นมา เด็กสาวมุ่นหัวคิ้วก่อนขยับรูปยิ้มน้อยๆ กับกรอบรูปในมือ

“พี่เซียนตอนม.5นี่คะ”

“หือ”

“หนูจำได้ค่ะ”

น้องชี้ไปที่รูป

“ช่วงนี้พี่เซียนหนีไปนอนบ้านพี่เดียวแทบทุกวัน”

“ทำไมเหรอ”

ผมทำหน้าสนใจ

“ก็ทะเลาะกับคุณพ่อบ้านแทบแตก พี่เซียนเลยหนีไปนอนบ้านพี่เดี่ยว จริงๆ ก็ไม่เชิงหนีหรอกค่ะ ช่วงนั้นพี่เซียนฟอร์มวงไปแข่งดนตรีเลยถือโอกาสหลบหน้าคุณพ่อไปด้วย”

“แล้วพี่ชายน้องซอทะเลาะกับพ่อเรื่องอะไรเหรอครับ”

ผมเลียบๆ เคียงๆ ถาม

“อ๋อ”

น้องซอยิ้มตาหยี

“พี่เซียนอยากเรียนวิศวะฯ แต่คุณพ่อไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ เพราะอยากให้เรียนบริหารหรือไม่ก็ไปเรียน Business ที่ต่างประเทศเหมือนพี่ซัน”

ถ้าจำไม่ผิดเมื่อคืนนี้ผมได้ยินฝาแฝดพี่เซียนพูดถึงประเด็นนี้

“แล้วอีท่าไหนไม่รู้พี่เซนต์ขอไปเรียนต่างประเทศแทนแลกกับการที่พี่เซียนได้เรียนวิศวะฯ”

ผมพยักหน้าหงึกหงัก

ทำไมพี่เซียนถึงอยากเรียนวิศวะฯ ขนาดนั้นกันนะ 

คงเพราะมีแรงบันดาลใจอะไรสักอย่างซะละมั้ง

“อีกอย่างนะคะถึงพี่เซนต์ไม่ยอมไปเรียนต่างประเทศ ยังไงพี่เซียนก็ต้องดึงดันจะสอบเข้าวิศวะฯ ให้ได้อยู่ดี คุณแม่บอกว่าพี่เซียนน่ะดื้อเงียบ ตั้งแต่เล็กจนโตไม่มีใครบังคับให้ทำอะไรได้หรอก คุณพ่อเองก็ทราบดีพอเห็นพี่เซียนยืนยันจะเรียนให้ได้เลยปล่อยเลยตามเลย” น้องซอยิ้มตาหยี 

“ทั้งดื้อทั้งขี้หงุดหงิดมาตั้งแต่เด็ก คุณปู่เลยชอบเรียกว่าเจ้ายักษ์ทศกัณฐ์”

ทศกัณฐ์งั้นหรือ

ผมนิ่งไปทันที

‘คนอะไรชื่อยักษ์’

‘พี่ชายไม่ได้มีเขี้ยวเหมือนยักษ์ทศกัณฐ์สักหน่อย’


“ชื่อจริงๆ ของพี่เซียนก็มาจากคำว่าทศกัณฐ์ค่ะ”

บังเอิญมาก

บังเอิญเกินรึเปล่า

ผมเม้มปากแน่น

“แต่ตอนไปแจ้งเกิดเขียนตก ท. ไป สุดท้ายเลยได้แต่คำว่าศกัณฐ์ แต่คุณปู่ก็ชอบใจใหญ่นะคะเพราะหลานๆ มีชื่อจริงขึ้นต้นด้วยศ. กันทุกคน”

“ชื่อเล่นก็ขึ้นต้นด้วยซ. ส่วนชื่อจริงก็ขึ้นต้นด้วยศ.งั้นหรือ”

ผมถามน้อง

“ใช่ค่ะ ศรุต ศรัณย์ ศกัณฐ์ และศริญค่ะ”

“ศกัณฐ์”

ผมทวนชื่อไอ้พี่เซียนแล้วเผลอขำออกมาเมื่อรู้ที่ไปที่มาของชื่อฝ่ายนั้น

ยักษ์ทศกัณฐ์ ชื่อสมตัวจริงๆ นั่นแหละภายนอกดูเงียบๆ ดื้อดึงใช่เล่นนั่นแหละ แต่บทจะแพรวพราวก็ร้ายสมชื่อเจ้าแห่งยักษ์นั่นแหละ

“ไอ้พี่ยักษ์”

ผมยืนนิ่งไปเมื่อพูดคำนั้นออกมา

“เมื่อกี้พี่เปียวพูดว่าอะไรนะคะ”

‘ไอ้พี่ยักษ์ หน้าบึ้งเหมือนยักษ์ หนูกลัวนะ’

ไม่จริงหรอกน่า

ผมขบริมฝีปากตัวเองแรงๆ

ไม่มีทางที่พีเซียนจะเป็นคนๆ เดียวกับไอ้พี่ยักษ์

‘หายไวๆ แล้วกูจะพาไปกินไอศกรีมมิ้นท์ของโปรดมึง’

ไม่มีทาง 


.


.


ผมเดินเหม่อลอยออกมาจากห้องนอนพี่มันมาหยุดที่เคาน์เตอร์ครัวแล้วเห็นโน้ตแผ่นหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะพร้อมธนบัตรสีเทาหนึ่งใบ

“สงสัยพี่เซียนไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสคอนโดแน่เลยค่ะ”

น้องซอยื่นหน้ามาอ่านโน้ตแผ่นนั้น จริงอย่างที่น้องว่าพี่เซียนเขียนบอกไว้ว่าพี่มันลงไปวิ่งถ้าหากพวกผมหิวข้าวให้ไปหาซื้ออะไรที่ตลาดเช้าตรงซอยใกล้ๆ คอนโด สงสัยคงต้องฝากท้องกับตลาดนั่นแหละเพราะเช็คของในตู้เย็นคงไม่พอสำหรับมื้อเช้าของสามคน หลังจากนั้นผมก็แยกกับน้องไปทำธุระส่วนตัว 

ตลาดเช้าตอนนี้คนเริ่มบางตาเพราะเกือบจะแปดโมงแล้ว ผมสังเกตว่ามีคนไปยืนรอคิวที่ร้านโจ๊กแล้วนึกสนใจไม่น้อย แต่เพราะผมไม่ค่อยอาหารที่ค่อนข้างเหลวหรืออาหารอ่อนเท่าไหร่ ผมเป็นคนคอแข็งตั้งแต่เด็กเวลากินอาหารพวกนี้มักจะอาเจียนเพราะมันหยึยๆ ยังไงก็ไม่รู้ แต่เพราะน้องซอทำหน้าสนใจผมเลยไปชวนน้องไปต่อแถวซื้อ

“โจ๊กพิเศษสองถุงครับ”

ผมหันไปสั่งอาแปะเจ้าของร้าน 

“ทำไมสั่งแค่สองล่ะคะ พวกเรามีกันตั้งสาม”

ผมส่ายหน้าหวือก่อนจะป้องปากบอกน้อง

“พี่ไม่ค่อยถูกโรคกับโจ๊กเท่าไหร่”

“แล้วพี่เปียวชอบกินอะไรคะ ห้ามตอบว่ามิ้นท์นะคะ”

“จริงๆ ก็กินได้เกือบทุกอย่างนะยกเว้นพวกอาหารอ่อนๆ หรืออาหารเหลว”

“เวลาป่วยที่ทำยังไงคะเนี่ย”

“ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ขอเป็นข้าวต้มที่เป็นเม็ดๆ สักหน่อย ไอ้พวกที่เละจนไม่เห็นว่าเป็นเม็ดข้าวมาก่อนนี่พี่คงต้องขอบายจริงๆ”

น้องยิ้มขำ

“พี่เปียวชอบกินข้าวต้มแบบเป็นเม็ดๆ เหมือนพี่เซียนเลยค่ะ”

“พี่กินง่ายกว่าพี่ชายน้องซอเยอะ”

ผมยักไหล่แล้วหวนนึกถึงครั้งหนึ่งที่พี่มันเคยพูดเอาไว้

“พี่ชายซอน่ะข้อจำกัดเยอะ”

“...”

“ชอบไข่เจียวใส่หอม ไม่ชอบกินเค็ม กินเผ็ดได้นิดหน่อย และเกลียดมิ้นท์สุดๆ”

“พี่เปียวรู้เรื่องพวกนี้ด้วยเหรอคะ”

ผมชะงักกึกรีบหุบปากฉับทันทีเมื่อเจอสายตาสงสัยของน้องเข้าไป สงสัยอย่างเดียวไม่เท่าไหร่แต่เล่นมองกันตรงๆ แบบนี้ด้วยสายตาแปลกๆ เล่นเอาผมวางหน้าไม่ถูก

“โจ๊กได้แล้วพ่อหนุ่ม”

เสียงอาแปะเหมือนระฆังช่วยชีวิตให้ผมออกจากสถานการณ์ชวนอึดอัดตรงหน้าผมทำทีเป็นแก้เก้อด้วยการสอดส่ายสายตามองหาร้านอื่นๆ ท่ามกลางรอยยิ้มแปลกๆ ของน้องซอ สุดท้ายเลยได้ข้าวเหนียวหมูปิ้งกับน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋เกลียวติดมือมาด้วยอีกถุง

“พี่เปียวกินเก่งเหมือนกันเนี่ย”

ผมยิ้มแก้เก้อเพราะสัมผัสได้ถึงความนัยของประโยคนี้จากน้องซอ เด็กสาวพูดยิ้มๆ แต่ประโยคนี้คล้ายกับเอ่ยแซวผมที่กลบเกลื่อนอาการประหลาดของตัวเองด้วยการซื้อของกินสารพัด

“แหะ”

“จริงๆ ตอนเช้าพี่เซียนชอบกินข้าวสวยกับอาหารทั่วไปเพราะติดกินแบบนี้มาจากที่บ้าน” สาวน้อยเอ่ยปากเล่า “บ้านเราชอบทำกับข้าว คุณแม่บอกว่าเพราะตอนเย็นต่างคนต่างมีภารกิจส่วนตัว ทำให้บางครั้งไม่มีโอกาสทานข้าวร่วมกัน คุณแม่เลยชอบจัดมื้อเช้าหนักท้องซะหน่อย อีกอย่างทุกเช้าเป็นช่วงเวลาที่คนในครอบครัวจะมีโอกาสพูดคุยกัน”

“...”

“แต่ตั้งแต่พี่เซียนย้ายมาอยู่คอนโด พี่เซนต์ไปเรียนต่อต่างประเทศ ส่วนพี่ซันก็งานยุ่งๆ หลังๆ คุณแม่จะทำแค่ข้าวต้มง่ายๆ และแอบบ่นทุกครั้งว่าพวกพี่ๆ ไม่อยู่ติดบ้านกันสักคน”

ผมฟังแล้วอดยิ้มตามไม่ได้ ความสัมพันธ์ของครอบครัวนี้คงจะอบอุ่นและสนิทสนมกันไม่น้อย มันทำให้ลูกคนเดียวแบบผมอดอิจฉาไม่ได้

“งั้นเวลาที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันบ้านน้องซอคงคึกครื้นไม่น้อยเลยนะ”

“วุ่นวายมากกว่าค่ะ”

สาวน้อยส่ายหน้าหวือ

“พวกพี่ๆ ชอบเล่มเกม รวมตัวกันทีเสียงดังโหวกเหวกโวยวาย เนี่ยนะหนูจำได้ว่าตอนเด็กๆ ของเล่นชิ้นแรกที่พวกพี่ๆ ซื้อให้คือรถบังคับ ไอ้พวกตุ๊กตาหรือของเล่นน่ารักๆ ไม่มีหรอกค่ะ”

นึกภาพไอ้พี่เซียนเลี้ยงน้องแล้วนึกขำ

ผู้ชายกวนๆ แบบนั้นเวลาอยู่กับน้องสาวตัวเล็กคงจะพิลึกน่าดู

ไม่สิ

คงจะน่าดูไม่น้อย

ผมไพล่นึกถึงตอนที่พี่เซียนปลอบน้องสาวเมื่อคืน ผู้ชายตัวโตๆ อบอุ่นและอ่อนโยนกับน้องสาวจนเผลอยิ้ม

“อาจจะดูไม่ใส่ใจเพราะไม่เคยซื้อของเล่นหรือตามใจอะไร แต่เวลามีใครมารังแกหนู สามคนนั้นก็ทำหน้าที่พี่ชายดีได้มากๆ ดีชนิดที่เข้าห้องปกครองจนอาจารย์จำหน้าได้”

น้องซอหัวเราะน้อยๆ

“โดยเฉพาะพี่เซียนที่เคยตีกับเด็กที่มารังแกจนฝ่ายนั้นฟันหลุดมาแล้ว”

“โหด”

ผมทำหน้าสยอง

“โหดจริงๆ ค่ะพี่เปียว”

สาวน้อยยิ้มกว้างหรี่ตามองผม

“แต่พี่เซียนเป็นคนดีนะคะ”

“หือ?”

“โสดด้วย”

เดี๋ยวนะ!

ผมเกาหัวแกรกๆ ทำหน้าไม่ถูกเลยทีนี้เลยตัดสินใจจ้ำอ้าวกลับคอนโดท่ามกลางเสียงหัวเราะน้อยๆ ที่ดังตามติดๆ  ตอนที่เปิดประตูเข้าไปในห้องพี่เซียนกำลังซิทอัพโดยการถอดเสื้อเปลือยแผ่นอก ท่อนล่างมีเพียงกางเกงวอร์มที่เข้มที่สวมใส่ 

“เอ่อ”

ผมทำหน้าไม่ถูก

“ผมซื้อข้าวมาฝากครับ”

พี่มันพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะเดินไปคว้าเสื้อยืดแถวนั้นมาสวมแล้วเดินตามพวกผมไปยังโซนครัว

“มึงซ้อนมอ’ไซค์เป็นป่ะ”

“ทำไมครับ”

ผมทำหน้าสงสัยตอนที่เทโจ๊กใส่ชามแล้วเลื่อนไปตรงหน้าเจ้าของห้อง

“วันนี้กูลืมไปว่าต้องเอามอ’ ไซค์เข้าศูนย์ คงต้องเอามอ’ไซค์ไปส่งมึงที่หอก่อน””

“ผมกลับเองก็ได้พี่”

“กูไม่ได้ถามว่ากลับเองได้มั้ย”

“ซ้อนได้ครับ”

“ก็เท่านั้น”

ผมเบะปากใส่อีกฝ่ายทันที ก่อนจะหุบปากฉับเมื่อหางตาเหลือบเห็นน้องซอแอบมองอยู่ มื้อนั้นจึงจบไปอย่างรวดเร็วเพราะผมรีบกินรีบอาบน้ำเตรียมตัวกลับ น้องซอเดินมาโบกมือลาถึงหน้าห้องก่อนที่ประตูจะปิดลงนั่นผมเห็นแววตาน้องซอแล้วเสียวสันหลังแปลกๆ

“อ่ะ”

ตอนที่ลงลิฟต์มาถึงชั้นจอดรถพี่เซียนยื่นหมวกกันน็อคในมือให้ผม ส่วนอีกใบนั่นพี่มันสวมใส่ศีรษะตัวเอง

“นี่รถพี่เหรอ”

ผมยืนจ้องดูคาติสีแดงเพลิงไม่วางตา จำได้ว่าผมเคยเห็นรถคันนี้มาก่อน คันที่ว่าก็คันเดียวกับที่ไอ้อ๋องออกปากชมไม่ขาดปากตอนนั้น พูดถึงเพื่อนสนิทข้างห้องป่านนี้ไม่รู้มันเป็นยังไงบ้าง เมื่อคืนเห็นพี่ดลพาไปค้างที่คอนโดพี่แกไม่รู้ป่านนี้ม้าพยศอย่างเพื่อนผมจะออกฤทธิ์ออกเดชขนาดไหน

“อืม”

“ถ้าไอ้อ๋องเพื่อนผมรู้ว่าพี่เป็นเจ้าของรถคันนี้นะ มันคงมาขอลูบๆ คลำๆ เป็นบุญมือ”

พี่เซียนส่ายหัวก่อนจะขยับไปคร่อมทับมอ’ไซค์

“มึงลูบๆ คลำๆ ไปเผื่อเพื่อนมึงสิ”

“ได้เหรอพี่”

ผมตาเป็นประกายก่อนจะยื่นมือไปแตะๆ ตัวถังรถ

“ลูบแต่รถ ไม่เผลอยื่นมือมาลูบเจ้าของรถบ้างเหรอ”

ไอ้สัดพูดหน้าตายมาก

พูดไม่พอจ้องหน้าผมทำซากอะไรวะ

“เอาไว้อ่อยสาวๆ คนอื่นที่ซ้อนท้ายรถพี่เหอะ”

“ไม่มี”

“ไม่มีอะไรวะ”

ผมยักไหล่ก่อนจะสวมหมวกกันน็อคแล้วปีนขึ้นซ้อนท้ายพี่มัน

“ไม่มีใครเคยซ้อน”

“...”

“มึงคนแรก”

โคตรพ่อโคตรแม่อ่อย

แต่ให้ตายเถอะ...ผมใจสั่นว่ะ

“ขี้อ่อย”

ผมงึมงำในลำคอ

“กูได้ยิน”

“หูดีจังวะ”

“กูไม่ได้อ่อย”

“...”

“ไม่ได้อ่อย...แต่ค่อยๆ ทำให้มึงเผลอใจ”


.

.


.


ที่ดันใจเต้นแรงไปกับพี่มัน


 
- J E E B -

 

“นั่งดีๆ”

พี่เซียนหันมาพูดกับผมตอนที่รถติดไฟแดง นั่นทำให้ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะทนนั่งเกร็งมาพอสมควรแล้ว ไม่ต้องพูดถึงมือไม้ที่เกะกะไปหมดไม่รู้ว่าควรจับวางไว้ที่ใด

“เกร็งแบบนั้นเวลาเข้าโค้งเดี๋ยวมึงก็ร่วงหรอก”

“ก็ผมนั่งไม่ถนัด”

“กอดกูสิ”

“อะไรนะ”

ผมทำหน้าเหวอทันที

“การนั่งของคนซ้อนมีผลกับการขับ มึงเกร็งแบบนั้นกูขับยาก”

“งั้นผมจับชายเสื้อพี่ก็ได้”

พี่เซียนยักไหล่ก่อนจะหันไปสนใจถนนเบื้องหน้า ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่าที่รู้สึกว่าความเร็วของรถมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนนึกหวาดเสียว สุดท้ายผมเลยขยับกอดเอวอีกฝ่าย เมื่อรถติดไฟแดงอีกครั้งคราวนี้พี่เซียนเปิดกระจกหมวกกันน็อคหันมามองผม

“นั่งสบายขึ้นมั้ย”

ผมพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้นั่นทำให้พี่มันกดยิ้มมุมปากทันที

“ยิ้มอะไรวะ”

พี่เซียนไม่ตอบแต่ปิดกระจกหมวกกันน็อคลงเพื่อจบบทสนทนา

“บอกไว้เลยนะ”

“...”

“ผมไม่ได้อ่อยพี่”

“...”

“แต่พี่เต๊าะบ่อยๆ ผมก็ใจลอยเป็นนะ”

.

.

.

แรดมาก

มึงแรดมากเปียว


- J E E  B -


ใครอ่อยใครตอบ!!!!!
หายไป 1 อาทิตย์ค่ะ พอดีคุณแม่ไม่ค่อยสบายเราเลยยุ่งๆ
ฝากคอมเมนต์และรบกวนติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยน้า

หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่10 l 24/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 24-02-2020 21:26:47
พอกันแหละคู่นี้ ขยันอ่อย

ปล.ขอให้คุณแม่หายไวไวนะคะ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่10 l 24/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 24-02-2020 21:44:38
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่10 l 24/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 25-02-2020 08:06:57
ชอบๆ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่10 l 24/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 25-02-2020 08:53:15
พอกันแหละดูออกนะว่ามีใจให้กันแหละ :-[
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่10 l 24/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: nongou ที่ 25-02-2020 10:42:55
สนุกค่ะเรื่องนี้ ผลัดกันอ่อย :z1:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่10 l 24/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 25-02-2020 12:08:30
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่10 l 24/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 25-02-2020 20:05:15
ใจละลายหมดแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่10 l 24/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 25-02-2020 21:52:28
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่10 l 24/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: kenghan ที่ 25-02-2020 23:42:58
พลัดกันอ่อยแบบ คบกันเลยเถอะ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่10 l 24/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 26-02-2020 09:52:20
หยอดกันเก่งมากกก
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่10 l 24/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 26-02-2020 23:28:31
อ่อยเก่งทั้งคู่เลย,,,
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่10 l 24/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 27-02-2020 16:31:40
แรงมาก แรงทั้งคู่ อุบร้ะๆๆ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่10 l 24/2/63 l P.3 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: MezoSone9 ที่ 27-02-2020 21:01:42
อ่อยเก่งทั้งคู่เลยเนอะ ชอบอ่ะ ^^ :o8:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่11 l 3/3/63 l P.4 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 03-03-2020 20:47:30
- จีบที่ 11 -

 


“เดี๋ยวนี้แรดนะ”

นาฬิกาข้อมือที่ตามหามาตลอดสัปดาห์อยู่ในมือไอ้โต้งก่อนที่มันจะโยนของดังกล่าวให้จนผมต้องผวาหน้าตื่นแบบมือทั้งสองข้างประกบกันแล้วทำท่าคล้ายชามเพื่อรองรับสมาร์ทวอทซ์มียี่ย้อสีดำให้ตกลงที่ฝ่ามืออย่างพอดิบพอดี

“ใจหายหมดไอ้ห่า โยนมาได้”

ผมตบอกตัวแรงๆ ก่อนจะลูบวัตถุในมืออย่างทะนุถนอม ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาของดังกล่าวทำเอาผมกังวลใจไม่น้อยเพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองไปทำหล่นหายที่ไหน จริงๆ ก็พอจะทำใจได้แล้วเพราะขนาดว่ารื้อทำความสะอาดห้องแทบทุกซอกทุกมุมผมยังหามันไม่เจอ จนกระทั่งวันนี้ที่เพื่อนสนิทโผล่นี่แหละ

“มึงไปเจอที่ไหนวะ กูหาตั้งนานยังหาไม่เจอเลย”

ผมเอ่ยถาม

“หรือว่าตกอยู่ในรถมึง”

ไอ้โต้งไม่ตอบในทันทีมันหรี่ตามองผมอย่างจับผิดไม่พอยังทำหน้าสงสัย มันเดินวนเวียนรอบตัวผมราวกับกำลังจับผิดอะไรบางอย่าง

“ไม่ใช่”

“อะไรไม่ใช่วะ”

“มึงไม่มีเรื่องอะไรจะเล่าให้กูฟังเหรอเปียว”

สุดท้ายไอ้โต้งทรุดตัวลงที่เก้าอีกฝั่งตรงข้ามก่อนจะเท้าคางมองหน้าผม

“เรื่องอะไรวะ”

มันส่ายหัวก่อนจะแสยะยิ้ม

“กูได้มาจากพี่เซียน”

“มึงว่าไงนะ”

ผมทำหน้าตื่น

“พี่เซียนฝากนาฬิกามาคืนมึง”

ผมเม้มปากแน่น

“กูเลยถามว่ามึงไปลืมไว้ที่พี่มันได้ยังไง” 

ไอ้เพื่อนเวรเคาะโต๊ะสองสามทีท่าทางแบบนั้นทำเอาผมเสียวสันหลังวาบเลย เพราะเหตุการณ์ที่ผมพาน้องสาวพี่เซียนโดดเรียนจนทำให้ผมไปค้างที่คอนโดพี่มัน ผมไม่เคยเล่าเรื่องนี้ไอ้โต้งมฟัง หมอนี่มันรู้แต่เพียงว่าผมสอนพิเศษให้กลุ่มเด็กนักเรียนมัธยมปลายเท่านั้น

“เลยได้รู้ว่าศุกร์ที่แล้วมึงไปนอนค้างที่คอนโดพี่เซียน”

ไอ้โต้งแกล้งพูดเสียงดังขึ้นจนต้องรีบตะปบปากมันทันที 

“มันจะพูดเสียงดังทำไมเล่า”

“แล้วมึงไปนอนกับพี่มันได้ไง”

“ไอ้ห่านอนคอนโดพี่มันเว้ย พูดให้มันครบๆ หน่อย มึงจะรวบคำทำพ่อง”

ไอ้ห่าโต้งปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ประโยครวบรัดจาก ‘นอนที่คอนโดพี่มัน’ เหลือแค่ ‘นอนกับพี่มัน’ แม่งฟังแล้วผมรู้สึกจักจี้ไม่พอ ยังทำให้ความหมายประโยคนี้เปลี่ยนไปในทางตรงกันข้ามอีก 

“แล้วยังไงวะ ความหมายก็คือมึงไปนอนค้างกับเฮียกูนั่นแหละ”

“ก็มันมีเรื่องนิดหน่อย”

“เล่ามาสิ วันนี้กูว่างทั้งวัน”

ผมแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย

“มันบังเอิญ มึงจำได้มั้ยว่าช่วงนี้กูรับสอนพิเศษเด็กม.ปลาย หนึ่งในนั้นมีน้องสาวพี่เซียน แล้วศุกร์ที่ผ่านมามันมีเหตุให้กูต้องนอนค้างห้องพี่มันเฉยๆ”

“เฉยจริงเหรอวะ”

“อะไร”

“มึงหน้าแดงเปียว”

ผมทำตาโตรีบตะปบใบหน้าตัวเองทันที

“กูล้อเล่น”

ไอ้เพื่อนเวรยักไหล่กวนๆ

“แต่ถึงกูจะล้อเล่น แต่มึงมีพิรุธว่ะเปียว”

“...”

“ไปค้างห้องผู้ชายไม่พอยังเนียนลืมนาฬิกาไว้ให้เขาตามเอามาคืนอีก แรดไม่เบาเพื่อนกู โอ๊ย”

กำปั้นของผมกระแทกศีรษะไอ้ห่าโต้งไม่เบามือนักจนมันร้องโอดโอย 

“หุบปากไปเลย”

ผมทำหน้าเหม็นเบื่อใส่มันเป็นจังหวะที่ไอ้อ๋องเดินโขยกเขยกในมือถือจานข้าวมาทรุดตัวนั่งใกล้ๆ กัน ตั้งแต่มันประสบอุบัติเหตุมอ’ไซค์ล้มเมื่อสัปดาห์ก่อนช่วงนี้มันเลยเดินเหินไม่สะดวกนัก แต่ถึงจะขยับร่างกายลำบากมันก็ไม่ยอมหยุดเรียนเพราะช่วงนี้เข้าสู่ฤดูการสอบมิดเทอมซึ่งแต่ละวิชาเริ่มมีการเก็บคะแนนควิชกันแล้ว 

“หายไปตั้งนานได้แต่กะเพราหมูกรอบเหรอวะ”

ผมชะโงกหน้าไปดูเมนูในจานมันซึ่งไม่พ้นเมนูโปรดที่มันกินเป็นประจำ ไอ้อ๋องมันชอบกินอะไรเดิมๆ ลองถ้ามันติดใจอะไรแล้วจะกินวนเวียนซ้ำอยู่อย่างนั้น ่สัปดาห์นี้ผมเห็นมันกินกะเพราหมูกรอบเป็นมื้อกลางวันมาสามวันติดกันแล้ว

“คนโคตรเยอะ กูยืนรอจนปวดขาเลย”

“กูบอกจะไปซื้อให้มึงก็ไม่ยอม”

ไอ้โต้งพูดขึ้น เป็นอย่างที่มันบอกนั่นแหละช่วงนี้อ๋องมันเดินเหินลำบากพวกผมเลยจำเป็นต้องบริการมันสักหน่อย แต่เจ้าตัวนี่สิที่ติดนิสัยขี้เกรงใจพอขยับจะทำอะไรให้มันแต่ละทีมันถึงชิงปฏิเสธอยู่รำไป อีกอย่างมันคงเกรงใจไอ้โต้งด้วยเพราะช่วงนี้ที่มันบาดเจ็บไอ้โต้งมารับส่งผมและไอ้อ๋องทุกวัน และผมรู้มาว่าเพื่อนข้างห้องโดนพี่รหัสผมยึดกุญแจมอ’ไซค์ชั่วคราวอีกด้วย

“กูเกรงใจ”

“เกรงใจห่าไร มึงเดี้ยงขนาดนี้จะให้พวกกูดูเพื่อนยักแย่ยักยันไปต่อแถวซื้อข้าวอยู่เหรอวะ”

“งั้นไปซื้อน้ำแดงให้กูเลยไป”

อ๋องมันพยักพเยิดสั่งให้ไอ้โต้งไปซื้อน้ำ

“ตังล่ะ”

“กูให้ซื้อมาฝาก ไม่ได้ฝากซื้อ”

ไอ้อ๋องยักไหล่กวนๆ

“ของกูเอาน้ำเปล่านะ”

ผมได้ทีผสมโรงใช้งานไอ้เปรตนั่นด้วย

“ซื้อมาฝากนะ กูไม่ได้ฝากซื้อเหมือนกัน”

ไอ้ห่าโต้งชูนิ้วกลางให้พวกผม แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ผุดลุกขึ้นไปต่อแถวซื้อน้ำให้พวกผม เอาจริงๆ นอกจากนิสัยขี้แกล้งและกวนตีนมันเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งเลย เพราะทุกครั้งที่มีเรื่องหรือมีปัญหามันจะมาหาพวกผมเป็นคนแรกๆ

“มึง”

ผมสะกิดไหล่ไอ้อ๋องเพราะนึกสงสัยว่าไอ้อ๋องมันเกรงใจไอ้โต้งผิดปกติ ทั้งที่พวกเราเป็นเพื่อนกันมานานมันไม่น่าจะรู้สึกอะไรแบบนี้

“ว่าไง”

“มึงเกรงใจไอ้โต้งจริงเหรอวะ”

มันถอนหายใจเฮือกใหญ่

“หรือไปรู้อะไรมา”

ผมหรี่ตามองมันตรงๆ ระหว่างนั้นก็เบือนหน้าไปยังแผ่นหลังเดือนวิศวะฯ ปีหนึ่งที่ยืนต่อแถวซื้อน้ำอยู่

“กูรู้ว่าอาทิตย์ที่แล้วมึงไปนอนค้างคอนโดพี่เซียน”

“ใช่เรื่องนั้นที่ไหนกันเล่า”

ผมแยกเขี้ยวใส่มันทันที ไอ้อ๋องยักคิ้วกวนๆ ให้ผมทีหนึ่ง

“กูเห็นเสื้อกีฬาคณะตกอยู่บนรถมัน”

“แล้ว”

อ๋องเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“เสื้อนั่นไม่ใช่ไซซ์มึงกับกูแน่นอน”

คราวนี้ไอ้อ๋องถอนหายใจเฮือกใหญ่ทันที

“เรื่องส่วนตัวมันน่าเปียว”

“ถ้าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับลุงรหัสกู รับรองว่ากูไม่ยุ่งหรอก” ผมเบะปาก “กูรู้ว่าเรื่องส่วนตัวมัน ปกติกูเคยยุ่งกับเรื่องแบบนี้ของมันที่ไหน แต่วันก่อนกูเห็นมันไปเดินกับสาวอักษรฯ อยู่เลยนี่หว่า”

ไอ้อ๋องคลึงขมับตัวเองทันที

“วันที่มึงไปนอนกับพี่เซียน...” 

ผมมองมันตาขวางทันที

“เออๆ วันที่มึงไปนอนคอนโดพี่เซียน” มันแก้ให้พร้อมกับรอยยิ้มขบขัน “ตอนที่กูออกจากหอก่อนรถล้มอ่ะ กูเห็นพี่อุ้มขึ้นรถออกไปกับไอ้โต้ง”

ผมตบเข่าฉาดทันที

มิน่าเล่ารูปทะเลที่มันถ่ายส่งมาวันนั้นที่ติดเสื้อกีฬาคณะผมคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ไหนจะเสื้อกีฬาตัวนั้นที่ตกอยู่บนรถของเพื่อนผมอีก

“กูไม่รู้ว่ะว่าไอ้โต้งกับพี่อุ้มนี่ยังไง แต่ช่วงที่มันต้องคอยรับส่งพวกเราเป็นอาทิตย์ กูสังเกตว่ามันไม่ได้เข้าใกล้ลุงรหัสเหมือนที่แล้วมานะ บางทีเพราะมันคอยดูแลพวกเราช่วงนี้รึเปล่ามันถึงไม่ค่อยเวลาไปทำอย่างอื่น”

“มึงก็เลยเกรงใจมันเรื่องนี้”

มันพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้

“นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ไอ้เวรนั่นไปก้อร่อก้อติกพี่อุ้มแล้วไปทำตัวสนิทสนมกับผู้หญิงอื่นแบบนี้”

“มึงเข้าใจผิดรึเปล่า”

“กูเห็นกับตานะเว้ย”

ผมท้วงขึ้น

“งั้นมึงคงตาบอดสี”

ผมกับไอ้อ๋องชะงักกึกก่อนจะพร้อมใจหันไปมองด้านหลังจึงเห็นไอ้เพื่อนตัวดีชูเครื่องดื่มในมือส่ายไปมา

“มายืนฟังตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”

มันยักไหล่ก่อนจะทรุดตัวนั่งข้างผมก่อนจะเลื่อนน้ำแดงให้ไอ้อ๋องและน้ำเปล่าให้ผม ส่วนมันกำลังบิดฝาชาเชียวแล้วยกขึ้นดื่มท่าทางชิลจนคนมองอย่างผมอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมทั้งๆ ที่มันได้ยินผมนินทามันอยู่ ไอ้เปรตนี่ยังเฉยอยู่ได้

“ถามมาสิ”

ไอ้โต้งเท้าคางมองพวกเราหลังจากซัดชาเชียวไปครึ่งขวดแล้ว

“มึงจีบพี่กูเหรอ”

“สาวอักษรฯ ที่มึงเห็นกูเดินด้วยน่ะ ลูกพี่ลูกน้องกูเอง”

“ตอบไม่ตรงคำถามไอ้สัด”

ผมแยกเขี้ยวใส่มันทันที

“มึงคิดว่าไงล่ะ”

มันล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาก่อนจะกดโทรออกแล้วเปิดลำโพงให้พวกผมได้ยิน แน่นอนว่าปลายสายที่ปรากฏชื่อตรงหน้าจอนั่นทำเอาผมตกลุกวาว

เบอร์พี่อุ้มนี่หว่า

[อะไร]

ปลายสายกดรับก่อนจะพูดเสียงห้วน แน่นอนว่านั่นเป็นเสียงของลุงรหัสผมชัดๆ ไอ้โต้งกดยิ้มมุมปากก่อนจะก้มลงไปพูดกับปลายสาย

“เพื่อนผมสงสัยว่าผมจีบพี่รึเปล่า”

ผมกับไอ้อ๋องหันมามองหน้ากันทันที อดทึ่งกับความใจกล้าหน้าด้านของพี่สนิทตัวเองฉิบเป๋ง

[มึงว่าไงนะ]

“ผมจีบพี่อยู่ไม่รู้เหรอ”

[ไปตายซะ ตู้ดๆๆ]

ผมขำก๊ากทันทีที่พี่อุ้มตัดสายไป ขณะที่ไอ้โต้งส่ายหน้าเซ็งๆ 

“ปากแข็งชะมัด”

“...”

“แต่ปากแข็งยังไงก็น่ารักอยู่ดี”

“ไอ้หน้าด้าน”

ยอมรับเลยว่าผมหมั่นไส้รอยยิ้มกว้าๆ งพร้อมกับแววตาพราวระยับของมันจริงๆ ไม่ต่างจากไอ้อ๋องที่ทำหน้าเหมือนจะอ้วกใส่จานข้าว

 

- J E E B - 

 

 

ช่วงนี้เป็นฤดูกาลสอบดังนั้นคงไม่แปลกหากจะเห็นนิสิตส่วนใหญ่พากันมาหมกตัวอยู่แถวอาคารจามจุรี 9 หรือที่นิสิตทั่วไปเรียกว่าจามเก้าซึ่งตั้งแต่ชั้นสามเป็นต้นไปจะเป็นที่อ่านหนังสือโดยแบ่งเป็นห้องที่ใช้เสียงและไม่ใช้เสียง วันนี้พวกผมเลยพากันมาอ่านหนังสือที่นี่ จริงๆ วันนี้นัดพี่ดลมาติวอนาโตมีให้ด้วย ระหว่างที่กำลังท่องจำกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ อย่างเอาเป็นเอาตายนั่นไอ้อ๋องหลับคาชีทไปแล้ว ส่วนเพื่อนในคณะคนอื่นๆ บ้างก็เสียบหูฟังเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง บ้างก็นั่งขมุบขมิบปากเหมือนสื่อสารกับสิ่งไม่มีชีวิต แต่สังเกตได้ว่าขอบตาแทบทุกคนเริ่มหมองคล้ำกันแล้ว คงเพราะช่วงนี้สอบติดๆ กันหลายวัน

ผมนั่งทึ้งหัวตัวเองแรงๆ เพื่อเรียกสติที่กำลังจะหลุดลอยก่อนจะเหลือบตามองที่สมาร์ทวอทซ์ที่ข้อมือที่บอกเวลากว่าสองทุ่มแล้ว วันนี้พี่ดลมีติวกับเพื่อนที่คณะเพราะพี่มันก็มีสอบเหมือนกัน แต่ยังอุตส่าห์จะเจียดเวลามาติวให้ผม เพราะต้องนั่งรอพี่รหัสผมเลยลองทบทวนเนื้อหาด้วยตัวเอง แต่ยิ่งดึกก็ยิ่งหนาวไม่ใช่่เพราะอุณหภูมิในห้อง จามเก้าเป็นที่เลื่องลือถึงแอร์ที่หนาวจัดเหมือนอาณาจักรเมืองหนาว ตอนกลางวันก็พอทนหรอกแต่พอตกดึกผมดันหนาวจนแทบทนไม่ไหว

ไม่น่าลืมเอาเสื้อกันหนาวมาเลย

ผมพ่นลมหายใจแรงๆ ก่อนจะสะกิดแขนไอ้อ๋องเบาๆ จนมันงัวเงียปรือตาตื่นขึ้นมา

“อะไรวะ”

“กูจะไปเซเว่นเอาอะไรป่ะ”

มันส่ายหน้าหวือก่อนจะฟุบหลับลงไปเหมือนเดิมเห็นแบบนั้นผมผุดลุกขึ้น ช่วงสอบบริเวณโดยรอบจามเก้าไม่น่ากลัวเท่าไหร่หรอกเพราะที่นี่เปิดให้เปิดบริการยี่สิบสี่ชั่วโมงสำหรับชั้นที่อ่านหนังสือในช่วงสอบ และไม่ไกลจากที่นี่ก็มีเซเว่นให้ฝากท้อง

ระหว่างที่เดินเรียบตามฟุตบาธนั่นมีนิสิตเดินสวนกันไปมาเป็นระยะ โทรศัพท์มือถือผมสั่นขึ้นเหมือนมีการแจ้งเตือนอะไรบางอย่างจนต้องคว้ามันมาดูก่อนจะกดยิ้มมุมปากเมื่อเห็นเพจที่ตัวเองเป็นแฟนตัวยงมีการแจ้งเตือน

 

เพจทวงคืนเหมียวมาริสาสมบัติสาธารณะจากเซียนศกัณฐ์

ช่วงสอบก็ยังตัวติดกันไม่เลิก นี่ติวไม่วิชาเรียนหรือติววิชารักนะเฮ้ย

[แนบรูป]

 

ผมขยายภาพในจอดูเห็นกลุ่มเพื่อนพี่เซียนและพี่เหมียวกำลังนั่งล้อมโต๊ะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ ไม่แปลกหรอกในเมื่อพวกพี่เขาเรียนวิศวะฯ เหมือนกัน 

มิน่าเล่าช่วงนี้ผมไม่เห็นพี่เซียนแวะมาที่หอพี่อุ้มเลย เอาจริงๆ ตั้งแต่กลับจากคอนโดพี่มัน ผมก็ไม่ได้เจอพี่ชายน้องซออีกเลย ผมลูบนาฬิกาข้อมือของตัวเองเบาๆ 

นาฬิกาที่พี่มันฝากมาให้

“เหอะ”

ผมเบะปากใส่คนในความคิด ถ้าเอามาคืนด้วยตัวเองก็สิ้นเรื่อง นี่ดันฝากไอ้ห่าโต้งมาจนถูกมันซักฟอก แม่ง ผมเม้มปากก่อนจะเลื่อนสายตามองคอมเมนต์ที่ไหลเป็นน้ำ

 

Comment

Tichob_tichob ตั้งใจสอบเพื่ออนาคตของเรานะเหมียว

Sitt.Sita ช่วยแนะนำที่อ่านหนังสือแบบเงียบสงบ ช่วงสอบหน่อยครับ

แมนวิงหินซิ่งเบาะปลิว ป่าช้าครับ

รักน้องเหมียวคนเดียว อยากติวกับน้องเหมียวสองต่อสองครับ

โอชิน้องเหมียวคนเดียวในใจ  อย่าหักโหมนะครับน้องเหมียว

Arm❤Meow  วิชาเรียนมักยาก มาลงเรียนวิชารักกับพี่เถอะ

Fc พี่เซียน หนูติดร.วิชารักค่ะ อยากให้พี่เซียนติวให้

กานเซียนเป็นเมียพี่เซียน @FCพี่เซียน ฝันที่เธอกำลังฝัน ที่คนธรรมดาไม่กล้าฝัน ที่ฉันก็แอบฝัน


 

ผมกลั้นขำตัวโยนจังหวะที่ก้มหน้าก้มตาไม่มองทางนั่นแหละ ผมจึงมองไม่เห็นเงาทะมึนของใครบางคนมาหยุดอยู่เบื้องหน้าจนกระทั่งเดินชนอีกฝ่ายเต็มแรงถึงกับเซแต่ ดีว่าอีกฝ่ายคว้าแขนผมเอาไว้ทัน

“เวลาเดิน ตามองถนนบ้าง”

เสียงคุ้นหูนั่น

พอเงยหน้าจากจอโทรศัพท์จึงเห็นใครบางคนในชุดเสื้อช๊อปอยู่กอดอกอยู่เบื้องหน้า

“ติดโซเชียลเหรอ”

ผมส่ายหน้าหวือรีบปิดหน้าจอโทรศัพท์ทันที

“กูเพิ่งรู้ว่ามึงแอบอ่านไอ้เพจนี่ด้วย”

“มันบังเอิญขึ้นนิวฟีดเหอะ”

ผมรีบแก้ตัวอย่างร้อนตัว

“วันนี้มีข่าวอะไรของกูกับเหมียวอีกล่ะ”

ฝ่ายนั้นถามขึ้นก่อนจะขยับมาเดินขนาบข้าง สงสัยพี่เซียนเองก็มีจุดหมายที่เซเว่นเหมือนกัน ถ้าให้เดาภาพที่ผมเห็นพี่เซียนกับแก๊งติวหนังสือกันคงอยู่ในภายห้องหนึ่งในจามเก้าแน่นอน

“ก็ทั่วๆ ไป”

“เหรอ”

ฝ่ายนั้นหยุดเดินกระทันหันก่อนจะหันมากดยิ้มมุมปากแล้วเดินดุ่ยๆ เข้าเซเว่นไปทิ้งให้ผมหน้าร้อนผ่าวอยู่แบบนั้น พี่เซียนต้องเห็นหน้าจอโทรศัพท์ผมแล้วแน่ๆ 

ก็ผมแอบถ่ายรูปโปสเตอร์ Eric Clapton ที่ผนังห้องนอนพี่มันแล้วตั้งเป็นภาพหน้าจอโทรศัพท์

เหอะ!

ผมก็ชอบมือกีต้าร์ระดับโลกเหมือนกันเว้ย ไม่ใช่ชอบเพราะพี่มันชอบซะหน่อย

ผมเดินวนอยู่ในเซเว่นพักหนึ่งได้ขนมและของกินจนเต็มตะกร้า จังหวะที่เอาของกินมาจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์นั่นพี่เซียนก็ขยับมายืนซ้อนหลัง ผมเอาถุงผ้าที่ถือติดมือมาใส่ของที่ซื้อหลังจากจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว 

“ถุงมึงมีที่ว่างเหลือมั้ย”

ผมพยักหน้าหงึกหงัก

“ฝากใส่ด้วยสิ”

ผมปากเปิดถุงผ้าให้อีกฝ่ายเอาของใส่ ก่อนที่สุดท้ายพี่มันจะคว้าถุงผ้านั่นไปถือไว้เอง

“ผมถือเองได้พี่”

“มันมีของกูด้วย”

“ของพี่มีแค่ไม่กี่อย่างเอง”

“เดินไปเถอะน่า”

พี่เซียนดุนหลังออกให้ออกเดิน

“พี่ชอบ Eric Clapton เหรอ”

“อืม”

“กูเล่นกีต้าร์ได้เพราะเขา”

พี่เซียนตอบ

“แล้วเล่นเพลงอะไรได้บ้างอ่ะ”

ผมใจกล้าชวนพี่มันคุยระหว่างนั้นก็เหลือบตามองถุงผ้าที่พี่มันสะพายข้างให้ 

“อยากฟังเหรอ”

“...”

“ตอนนี้ไม่มีกีต้าร์ด้วยน่ะสิ”

“...”

“แต่ร้องให้ฟังได้”

ผมเม้มปากแน่นตอนที่พวกเราเดินเคียงกันในความมืดอาศัยเพียงแสงไฟสลัวๆ ที่ห่างออกไป

 

It’s late in the evening she’s wondering what clothes to wear

She puts on her make-up and brushes her long blonde hair


เสียงทุ้มที่เปล่งออกมานั่นทำเอาใบหูผมที่อยู่ใกล้ๆ กับริมฝีปากคู่นั้นร้อนผ่าวอย่างไม่ทราบสาเหตุ บวกกับความเงียบสงัดรอบกายเพราะเป็นเวลาค่ำคืนแล้วทำเอาในอกผมสั่นไหวอย่างยากจะควบคุม

 

And then she asks me, “Do I look all right?”

And I say, “Yes, you look wonderful tonight”

 

พี่เซียนร้องเพลงเพราะ

แต่สมาธิผมไม่ได้อยู่ในเสียงในนั่นเลย ในเมื่อความสนใจอยู่ที่เนื้อเพลง

“Wonderful Tonight”

ผมพึมพำชื่อเพลง

“Yes”

พี่เซียนตอบเบาๆ

“You look so cute tonight”

บ้าเอ้ย

นั่นไม่ใช่เนื้อเพลงแน่ๆ

ผมก้มหน้าเดินงุดๆ ทันทีท่ามกลางเสียงขบขับในลำคอของใครบางคน

“สมควรแล้วที่ไอ้เพจนั่นชื่อทวงคืนพี่เหมียวจากพี่”

ผมพึมพำ

พี่เซียนแม่งโคตรเจ้าเล่ห์สมควรแล้วที่จะถูกตั้งชื่อเพจแบบนั้น 

“กูไม่เห็นด้วย”

“...”

“เพจนั่นควรเปลี่ยนชื่อได้แล้ว”

ผมทำหน้างงทันที

“เปลี่ยนเป็น ‘เพจทวงคืนเซียนศกัณฐ์จากเปียวปัณณกิต’ เป็นไง”

.

.

ไม่ไหว

.

.

ไม่ไหวแล้ว

.

.

ใจเต้นแรงเหมือนจะทะลุออกมาจากอกเลย



- J E E B -

อยากแนะนำให้เปิด Wonderful Tonight ของ Eric Clapton ฟังคลอไปด้วยจังค่ะ
เมื่อวานติดภารกิจค่ะเลยเลื่อนมาอัพวันนี้แทนน้า
หวีดในทวิตรบกวนติดแท็ค #ชอบก็Jeeb เป็นกำลังใจให้นักเขียนฮึบๆ บ้างน้า

หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่11 l 3/3/63 l P.4 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 03-03-2020 22:56:11
พี่เซียนอันตรายต่อใจ. ขอบคุณครับ,,,,
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่11 l 3/3/63 l P.4 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 04-03-2020 08:53:40
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่11 l 3/3/63 l P.4 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 04-03-2020 14:05:26
โดนจีบแบบนี้ใครก็เขินนน
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่11 l 3/3/63 l P.4 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: kenghan ที่ 04-03-2020 22:16:37
โอ๊ย​เขิน​ แทน​ ถ้าจะรุกขนาดนี้​ ขอเป็นแฟนไปเถอะ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่11 l 3/3/63 l P.4 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 08-03-2020 01:55:08
คุณเซียนเค้าออกตัวแรงนะคะเนี่ยย
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่11 l 3/3/63 l P.4 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 08-03-2020 03:36:43
ไม่แผ่วเลยนายคนนี้
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่11 l 3/3/63 l P.4 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 08-03-2020 15:22:43
 :-[
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่11 l 3/3/63 l P.4 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: mister ที่ 09-03-2020 01:09:44
มันจะเกินไปแล้วๆ :o8: :-[
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่12 l 10/3/63 l P.4 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 10-03-2020 20:43:07
- จีบที่12 -

 

 

“พักก่อนมั้ย”

สิ้นเสียงนั้นไม่มีใครในโต๊ะส่ายหน้าปฏิเสธ ทุกคนพร้อมใจกันพยักหน้ารับราวกับรอคอยประโยคนี้มานานแสนนานจนทำให้คนพูดถึงกับขยับรอยยิ้มน้อยๆ ผมเหลือบตามองเพื่อนในคณะปีเดียวกันเกือบสิบชีวิตพากันขยับร่างกาย บ้างบิดตัวไล่ความเกียจคร้าน บ้างก็เดินออกไปข้างนอก ขณะที่ผมเอนหลังพิงตัวเอาศีรษะพิงขอบเก้าอี้เพราะอดทนรับเนื้อหาที่จะสอบมาเกือบสองชั่วโมงเต็มๆ อย่างหมดแรง บอกตรงๆ ว่าตอนนี้หัวสมองผมเต็มตื้อไปด้วยเนื้อหาของวิชากายวิภาค ความจำเกี่ยวกับชื่อกล้ามเนื้อในตำแหน่งต่างๆ รวมถึงระบบหายใจและระบบประสาทตีกันวุ่นวายไปหมดเลยต้องอาศัยนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของมือด้านหนึ่งคลึงขมับตัวเองไปมา   

กายวิภาคศาสตร์เป็นวิชาปราบเซียนของเด็กปีหนึ่งแต่รุ่นผมยังโชคดีว่าไม่ได้เรียนรวมและตัดเกรดกับเด็กคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพอย่างคณะจิตวิทยาหรือคณะสหเวชศาสตร์เหมือนรุ่นพี่ปีก่อนๆ ไม่อย่างนั้นงานนี้คงอ่วมกันเป็นทิวแถวเพราะคณะที่ว่ามานั้นถือเป็นคณะหัวกระทิของวิทยาศาสตร์สายสุขภาพ เป็นความโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ถึงแม้จะไม่ได้เรียนและติดเกรดร่วมกันแต่อาจารย์จากคณะแพทย์ฯ ยังอุตส่าห์ใจดีดำเนินการสอนและออกข้อสอบให้เอง ข่าวว่าข้อสอบนั้นเป็นเนื้อหาภาษาอังกฤษล้วนๆ เรียกได้ว่าหนักหน่วงจนทำให้ผมต้องไปร้องขอให้พี่ดลพี่รหัสผมซึ่งขณะนี้นั่งกอดอกมองไอ้อ๋องฟุบหลับไปกับโต๊ะอยู่มาช่วยติวให้

แน่นอนว่าพอเพื่อนๆ รู้ว่าอดีตท็อปเสคกายวิภาคปีที่แล้วมาช่วยติวให้ พวกมันเลยเฮโลกันมานั่งหน้าสลอนไปได้ชั่วโมงเดียวก่อนจะสติหลุดแล้วโอดครวญกับเนื้อหาที่ต้องอาศัยความเข้าใจและความจำอย่างมาก ไปๆ มาๆ เลยพากันปิดปากหาววอดๆ จนพี่ดลต้องเอ่ยปากให้พวกผมพักไปล้างหน้าล้างตากันก่อนหน้านี้

ผมหรี่ตามองไปรอบโต๊ะซึ่งบัดนี้เพื่อนๆ ต่างแยกย้ายไปยืดเส้นยืดสายเรียกสติและความสนใจกลับมาที่เนื้อหา ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว ยิ่งดึกอากาศในห้องนี้ยิ่งเย็น มันเย็นจนทำให้ไอ้อ๋องซึ่งหลับตาฟุบหน้าไปกับโต๊ะขยับตัวยุกยิกไปมากอดตัวเอง ก่อนที่มันจะร้องออกมาเบาๆ เมื่อเผลอตัวกระแทกบริเวณที่เป็นแผลจากรถล้มเมื่อสัปดาห์ก่อนเข้ากับโต๊ะ แม้หลับตาอยู่แต่ใบหน้ามันยังยู่ย่นไม่สบอารมณ์คงเพราะรู้สึกเจ็บ ถึงแม้อาการบาดเจ็บจะเริ่มทุเลาลงบ้างแล้ว บาดแผลเริ่มตกสะเก็ดและเริ่มแห้งแต่คงเพราะรู้สึกตึงๆ เห็นมันบ่นให้ผมได้ยินบ่อยๆ ว่าแผลตึงขึ้นทำให้ผมรู้สึกเจ็บเวลาขยับร่างกาย

เสียงจิ๊ปากในลำคอกึ่งรำคาญนั่นส่งผลให้ใครบางคนขยับร่างกายทันที พี่ดลเคลื่อนไหวร่างกายสูงใหญ่นั่นมาใกล้เพื่อนผมก่อนจะแตะเบาๆ ที่บ่าไอ้อ๋อง

“เจ็บแผลหรือ”

น้ำเสียงนั่นเจือความห่วงใยจนคนฟังอย่างผมยังรู้สึกดีไปด้วย ยกเว้นเพียงคนรับคำพูดนั้นอย่างไอ้อ๋องที่ยกศีรษะขึ้นอย่างเชื่องช้าแล้วทำตาเขียวปั๊ดใส่อีกฝ่าย

“ยุ่ง”

“ก็ยังดีที่ไม่พูดว่าพี่เสือก”

พี่ดลกอดอกพูดยิ้มๆ

“จริงๆ อยากจะพูดอยู่หรอก”

“ดีแล้ว”

พี่รหัสขยับรอยยิ้มน้อยๆ

“พูดบ่อยๆ มันจะติดเป็นนิสัยไปพูดกับคนอื่นที่เราไม่สนิท แบบนั้นจะทำให้คนอื่นมองเราไม่ดี”

“เลิกเทศน์ผมสักทีเหอะ”

ไอ้อ๋องยักไหล่

“แค่เนื้อหาที่ติวให้เมื่อกี้ก็แทบอ้วกแล้ว โคตรเยอะจำไม่ไหวหรอก ถ้าจะเทศน์ก็วันอื่นเหอะ วันนี้เมมผมเต็มแล้ว ไม่อยากจำ”

พี่ดลปล่อยเสียงหัวเราะออกมาทันที

เสียงหัวเราะเหมือนเอ็นดูเพื่อนผมเสียเต็มประดา

มันยังไงกันแน่สองคนนี้

“เนื้อหามันค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าเข้าใจแล้วมันก็ไม่ยากหรอก”

เพื่อนผมทำหน้าแหย

“ได้ชีทสรุปไปแล้วนี่ ถ้าเข้าใจเนื้อหาวันนี้ พอไปอ่านชีทที่พี่ทำให้รับรองว่ายังไงก็สอบผ่าน เผลอๆ จะเต็มด้วยซ้ำ”

“ผมขอแค่ผ่านมีนก็พอแล้ว”

“หวังอะไรน้อยจัง”

พี่ดลส่ายหัว

“ผมรู้ตัวเองดีว่าผมหัวไม่ดี ขอแค่ไม่สอบตกให้ต้องลงเรียนซ้ำแค่นี้ก็พอใจแล้ว ชีวิตผมไม่อยากคาดหวังอะไร”

ไอ้อ๋องพูดเสียงแผ่ว

“แต่พี่คาดหวัง”

“อะไร”

“พี่หวังว่าเราจะสอบผ่านได้ด้วยคะแนนดี เพราะพี่ตั้งใจติวให้พวกเรามาก”

เพื่อนผมเม้มปากแน่นนั่นทำให้รู้สึกลุ้นไปด้วยที่เห็นไอ้อ๋องเงียบไป ปกติมันชอบต่อล้อต่อเถียงพี่รหัสผมจะตายไป แต่ครั้งนี้ผมเห็นมันเงียบเกินไป

“ทำไมต้องทำดีกับผม”

“...”

“โคตรเกลียดความรู้สึกนี้เลยรู้ป่ะ” 

เสียงมันสั่นไปเล็กน้อย 

“ทำไมชอบทำตัวให้ผมรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณพี่วะ”

ไอ้อ๋องทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างไม่สบอารมณ์ 

“ดีขนาดนั้นไม่ไปบวชละทางโลกไปเลยล่ะ”

“เคยอยากทำอย่างนั้น”

พี่ดลตอบยิ้มๆ

“แต่แม่พี่ขอไว้ว่าให้เรียบจบแล้วค่อยไปบวชตลอดชีวิตตามที่ตั้งใจเถอะ ตอนจบม.หกช่วงที่รอประกาศผลการสอบเข้ามหาลัย เวลาตั้งหลายเดือนนั่นพี่บวชจริงๆ ถ้าคุณแม่ไม่ไปขอร้องให้มาสอบสัมภาษณ์พี่คงละทางโลกไปแล้ว พี่ว่าการบวชทำให้ใจพี่สงบดี ตอนที่สึกมาใหม่ๆ ยอมรับว่าปรับตัวกับชีวิตวุ่นวายนี่ไม่ได้เท่าไหร่”

พี่รหัสผมนี่คนดีสมคำรำลือจริงๆ ที่หว่า

“แต่นั่นแหละทุกคนมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ พี่ยังต้องเรียนและใจจริงพี่คงละทางโลกไม่ได้หรอก ถึงตอนที่อยู่ในผ้าเหลืองใจพี่จะสงบจริง แต่ทุกครั้งที่แม่มาหาพี่แม่จะเล่าเรื่องเราให้ฟังตลอดว่าน้าดุจทุกข์ใจและเป็นกังวลเรื่องอ๋องไม่น้อย”

“โคตรบาปเลย”

ไอ้อ๋องพึมพำ

“ผมนี่โคตรคนบาปเลย”

พี่ดลขยับมาใกล้แล้วแตะศีรษะเพื่อนผมเบาๆ

“พี่สึกเพราะอยากเรียนให้จบ อยากดูแลแม่และครอบครัว และอยากทำตามความฝันของตัวเองอีกมากมาย เราไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้พี่อยากสึกหรอก”

เพื่อนผมทำหน้ามุ่นหัวคิ้วทันที

“ผมรู้ว่าผมไม่ได้สำคัญกับใคร”

“ไม่จริงหรอก”

พี่ดลยิ้มน้อยๆ

“มนุษย์น่ะต้องมีความสำคัญกับใครสักคนเสมอ ไม่ว่าจะสำคัญกับพ่อแม่ กับพี่น้อง หรือแม้กระทั่งเพื่อน อ๋องโชคดีที่มีเพื่อนดีๆ อย่างเปียวและโต้งนะ สองคนนั้นพร้อมอยู่ข้างเรา ลองพิจารณาดูสิว่าทุกครั้งที่มีปัญหาสองคนนั้นจะอยู่รอบๆ ตัวเราเสมอ นี่ไงเราคำตอบที่ว่าเราไม่สำคัญกับใครถึงไม่เป็นความจริง เพราะเราเป็นคนสำคัญของเพื่อน”

เพื่อนผมนิ่งไปก่อนที่มันจะพยักหน้าหงึกหงัก

“อีกอย่างเราก็สำคัญกับพี่”

พี่ดลส่งรอยยิ้มจริงใจให้มัน

“พี่อยากได้น้องชายที่น่ารักคนนั้นกลับมา”

ไอ้อ๋องเบี่ยงศีรษะหนีจากปลายนิ้วที่ลูบเส้นผมมันอยู่ แวบหนึ่งผมมองเห็นความหวั่นไหวในแววตาคู่นั้นของมันก่อนที่มันจะผุดลุกขึ้นแล้วเดินหนีไป

“เพื่อนเราี่นี่เข้าใจยากจริงๆ”

พี่ดลพูดขึ้น แน่นอนว่าทั้งโต๊ะไม่มีใครนอกจากผมที่นอนพิงเก้าอี้หรี่ตามองอยู่

“ตื่นได้แล้วมั้งน้องเปียว”

“แหะ”

ผมเปิดเปลือกตาก่อนจะยิ้มแห้งๆ เมื่อถูกพี่รหัสจับได้ว่าเนียนแอบฟังพวกเขาคุยกันได้พักใหญ่ๆ แล้ว

“จริงๆ ไอ้อ๋องมันไม่ได้ซับซ้อนหรือเข้าใจยากอะไรหรอกพี่ มันแค่กลัว”

“กลัวอะไร”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่

“กลัวความรู้สึกดีๆ”

ปฏิกิริยาแบบนั้นของเพื่อนทำให้เข้าใจได้ไม่ยากว่ามันกำลังกลัวอะไรบางอย่างที่กำลังกระทุ้งกำแพงหนาของตัวเองที่เพียรสร้างซึ่งมา มันคือเซฟโซนหรือพื้นที่ปลอดภัยของตัว มันกลายเป็นคนพูดน้อยและปิดกั้นตัวเองตั้งแต่วันที่พ่อกับแม่ตัดสินใจแยกทาง จากคนที่เคยสดใสทุกอย่างกลับตาลปัด ตั้งแต่นั้นมาผมไม่เคยเห็นมันยิ้มกว้างๆ อีกเลย วันวานของมันคงเป็นความทรงจำที่เจ็บปวด มันถึงกลายเป็นคนเข้าถึงยากเพราะกลัวว่าตัวเองจะรู้สึกดีกับคนอื่นและสุดท้ายมันกลัวการถูกหันหลังเหมือนการกระทำในอดีตของพ่อและแม่

ผมยังจำได้ว่าวันที่เปิดปากเล่าให้ผมและโต้งฟัง สีหน้ามันย่ำแย่และเจ็บปวดแค่ไหน

“แล้วพี่ต้องทำยังไง”

พี่ดลทำหน้าเครียดทันที

“ถ้าพี่อยากได้น้องชายที่น่ารักคนเดิมกลับมา”

ผมแกล้งแซวพี่ดลด้วยการพูดประโยคที่ลอกเลียนมาจากอีกฝ่ายจนพี่มันส่ายหัวอย่างระอา

“แค่แสดงออกจริงใจและสม่ำเสมอ ใจคนเราน่ะไม่ได้แข็งเป็นหินหรอกพี่ โดนเอาใจใส่และเห็นความสำคัญบ่อยๆ เข้ายังไงก็ต้องมีวันใจอ่อน”

“ฟังแล้วเหมือนการกระทำของคนที่จีบกันเลย”

พี่ดลมุ่นหัวคิ้ว ผมยิ้มเลยกริ่ม

“พี่ไม่ได้...”

“ห้ามปฏิเสธว่าพี่รู้สึกกับเพื่อนผมแค่น้อง คำตอบดารามาก”

คราวนี้พี่รหัสผมถึงกับหัวเราะออกมา

“ถ้าพี่จะจีบมัน ผมเชียร์เต็มที่ ยังไงสักวันหนึ่งมันต้องใจอ่อนแน่นอน ผมน่ะเชียร์พี่เต็มที่นะ เห็นว่าเป็นพี่ดลหรอก ผมทุ่มแรงเชียร์หมดหน้าตักเลยงานนี้”

ผมทำตัวเป็นพ่อสื่อด้วยการพูดจาอวดอ้างที่ฟังแล้วอีกฝ่ายถึงกับขำหนักกว่าเดิม

“ยังไงสักวันต้องใจอ่อนงั้นเหรอ...”

พี่ดลยิ้มน้อยๆ

“เหมือนเรากับพี่เซียนหรือเปล่า”

เดี๋ยวนะ!

ผมทำหน้าตื่นตอนที่สบสายตากับพี่ดล สายตาคู่นั้นเหมือนรู้อะไรในกอไผ่มากๆ มากจนผมเสียวสันหลัง ทั้งๆ ที่แววตาพี่มันไม่ได้เจ้าเล่ห์ร้ายกาจด้วยซ้ำ แต่แววตาราวกับผู้รู้นี่แหละโคตรน่ากลัว

“ไหนว่าพี่อยากละทางโลกไง เรื่องโกหกชัดๆ”

ผมเบะปากใส่พี่มัน

“ใจคนไม่แข็งเหมือนหิน เราเองก็ระวังใจตัวเองให้ดี” พี่โยกศีรษะผมอย่างเอ็นดู “พี่เซียนยานยนต์น่ะไม่ธรรมดา ถ้าเขาสนใจใครรับรองได้ว่าเขาจะทำยิ่งกว่าให้เราหวั่นไหวแน่ ถ้าให้เดาจากการที่เพื่อนสนิทพี่อุ้มมาวนๆ เวียนๆ อยู่รอบตัวเราช่วงนี้ พี่ว่าสำหรับเรามันเกินคำว่าหวั่นไหวไปไกลแล้วมั้ง”

“พี่ดล”

ผมหน้าแดงวาบเมื่อเห็นสายตาล้อเลียนของพี่ดล

ตอนแรกจะทำตัวเป็นพ่อสื่อไหงสุดท้ายดันถูกพี่รหัสไล่ต้อนจนขัดเขินไปหมดวะเนี่ย 

“ขอบคุณสำหรับการเชียร์หมดหน้าตักนะพ่อสื่อ แต่ระหว่างพี่กับเพื่อนเราไม่มีอะไรในกอไผ่ พี่เอ็นดูอ๋องเหมือนน้องชาย แต่สำหรับเรื่องของเรากับคนดังภาคยานยนต์ อันนี้น่าจะเป็นเรื่องจริงในสักวันหนึ่ง”

ร้ายกาจจริงๆ พี่ดลคนดีพ่วงสโลแกนอยากละทางโลกที่ไม่ธรรมดาจริงๆ เห็นนิ่งๆ ไม่สนใจใครที่ไหนได้ข้อมูลเชิงลึกโคตรแน่น หนำซ้ำยังพูดเปลี่ยนเรื่องราวให้พ้นจากตัวเองได้อย่างชาญฉลาดสมกับท็อปเสคกายวิภาคโดยแท้

 

- J E E B -

 

ผมวักน้ำใส่หน้าตัวเองแรงๆ เพื่อเรียกสติหลังถูกหมัดน็อกจากพี่รหัสเข้าเแรง สมกับที่ทำตัวล่อเป้าอยากเป็นพ่อสื่อให้ฝ่ายนั้น สุดท้ายพี่มันสวนหมัดใส่ไม่ออมมือจนเข้าเป้าเลย นั่นทำให้ผมทำหน้าไม่ถูกรีบชิงออกมาล้างหน้าล้างตาทันที

ประมาทพี่รหัสตัวเองไม่ได้เลยจริงๆ ให้ตายเถอะ

ผมสำรวจใบหน้าตัวเองในกระจกเห็นรูปผู้ชายใบหน้าขาวซีด ศีรษะยุ่งเหยิง ขอบตาลึกโหล หยดน้ำเกาะพราวเต็มใบหน้าจนทำให้เส้นผมตกลงมาตรงหน้าผากเปียกไปด้วย เห็นสภาพตัวเองตอนนี้แล้ว ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าสภาพแบบนี้ไปสะดุดตาพี่เซียนได้ยังไงวะ

ยอมรับตรงๆ ก็ได้ว่าผมเริ่มหวั่นไหวกับพี่มัน ก็จะไม่ให้ใจเขวได้ยังไงในเมื่ออยู่กันเพียงลำพังครั้งใดผมรู้สึกโคตรไม่เป็นตัวของตัวเองเลย โดยเฉพาะการถูกอีกฝ่ายแกล้งหยอกในเชิงจีบเหมือนที่แล้ว ถึงไม่อยากยอมรับตรงๆ ว่าการกระทำของพี่มันที่ปฏิบัติต่อผมมันยังไงอยู่ แต่ก็หนีความจริงไม่พ้นอยู่ดีว่าสิ่งที่พี่มันพูดและทำนั่นมีผลกับใจผมมากๆ 

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปทำธรุะส่วนตัว จังหวะนั้นเหมือนได้ยินเสียงฝีเท้าคนเข้าในห้องน้ำแล้วเสียงก๊อกน้ำก็ดังขึ้น แสงไฟตรงเพดานส่องเห็นปลายเท้าของคนสองคน ตอนที่ขยับตัวหมายจะเปิดประตูออกไปเสียงของใครคนใดคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา

“ไหมหย่าแล้วนะ”

เสียงคุ้นๆ 

“แล้วไง”

ชัดเจนเลยนี่เสียงพี่เซียนชัดๆ และเสียงคุ้นๆ ก่อนหน้านี้ก็คือเสียงพี่เดี่ยวเพื่อนสนิทพี่มันนั่นแหละ

“อีกไม่นานไหมคงกลับไทย”

“จะแปลกอะไรก็บ้านเขาอยู่ที่นี่”

พี่เซียนพูดขึ้น

“มึงพูดเหมือนมึงไม่ดีใจที่พี่สาวมึงจะกลับมาไอ้เดี่ยว”

“เรื่องนั้นกูดีใจอยู่แล้ว”

ผมเสียมารยาทแนบใบหูกับประตู

“แล้วมึงล่ะเซียนดีใจหรือเสียใจ”

“กูไม่มีความคิดเห็น”

“ใจมึงน่ะให้มันแข็งเหมือนปากด้วยไอ้ห่า”

บทสนทนาจบลงแค่นั้นก่อนที่จะได้ยินเสียงก๊อกน้ำอีกครั้งต่อจากนั้นเสียงฝีเท้าทั้งคู่ก็ขยับออกห่างไปเรื่อยๆ จนประตูห้องน้ำด้านนอกถูกเปิดออกแล้วปิดลง

สองคนนั้นออกไปแล้ว ผมจึงโผล่ใบหน้าออกมาจากห้องน้ำแล้วยืนครุ่นคิดถึงบทสนทนาก่อนหน้านี้ เหมือนจะได้ยินชื่อบุคคลที่สาม

ชื่อผู้หญิงที่มีความเกี่ยวข้องกับพี่เดี่ยวและพี่เซียน

“แล้วทำไมพี่เซียนต้องใจแข็งด้วยวะ”

ผมเกาหัวแกรกๆ

“บ่นอะไรคนเดียว”

ไอ้โต้งซึ่งโผล่เข้ามาในห้องน้ำถามขึ้นเล่นเอาผมสะดุ้งโหยงเพราะคิดว่าหนึ่งในสองคนนั้นจะกลับเข้ามาในห้องน้ำอีกครั้ง ถ้าพวกพี่มันเห็นผมในห้องน้ำต้องรู้แน่ๆ ว่าเรื่องที่พูดกันเมื่อกี้ผมแอบได้ยิน

“ตกใจอะไรขนาดนั้น ทำหน้าเหมือนเห็นผี”

“ก็เห็นจริงๆ”

พี่โต้งทำหน้าสงสัยทันที ขณะที่ผมแสยะยิ้มใส่มัน

“ผีเปรตไง”

ผมร้องโวยวายทันทีเพราะมันดีดน้ำใส่หน้าผมจนต้องหลบไปมา แต่ไอ้เวรนี่ดันล๊อกคอผมไว้แล้วแกล้งเอามือข้างที่ว่างไปรองน้ำแล้วมาพรมใส่ผม

“ไอ้เชี่ยพอแล้วกูเย็น”

เย็นจนรู้สึกหนาวจริงๆ ครับไม่ได้แกล้ง ถึงจะออกมาจากห้องที่ติวหนังสือแล้ว แต่พอโดนน้ำผมเองก็รู้สึกขนลุกเพราะน้ำมันเย็นไม่น้อยเลย

แอ๊ด

“หือ?”

เราสองคนชะงักกึกตอนที่ประตูห้องน้ำถูกเปิดอีกครั้ง 

“ทำอะไรกัน”

ไอ้ห่าโต้งรีบปล่อยมือจากคอผมอย่างไว มันยักไหล่ก่อนจะโบกไม้โบกมือพัลวัน

“หาเห็บบนหัวให้ไอ้เปียวครับเฮีย”

“ไอ้สัดกูไม่ใช่หมา”

ผมเตะตัดขาไอ้โต้งไปทีนึงจนมันร้องโอดโอยทำตาเขียวใส่ มันทำท่าจะเอาคืนผมแต่ก็แค่ทำท่าเพราะมันไม่ขยับไปไหนคงเพราะพี่เซียนยืนปักหลักเป็นยักษ์วัดแจ้งอยู่หน้าประตู

“เพื่อนมึงตามหาอยู่”

พี่เซียนหันไปพูดกับไอ้โต้ง

“หาทำไมครับ”

“เห็นว่าจะเริ่มติวแคลคูลัสกันต่อแล้ว”

“ฉิบหาย”

มันทำหน้าตื่นก่อนจะผลุนผลันออกไปอย่างว่องไว เพราะวันนี้ไอ้โต้งมีนัดติวกับเพื่อนที่คณะมันเหมือนกัน เห็นว่าคงเลิกพร้อมๆ กัน ไอ้เวรนั่นเลยอาสาจะไปส่งผมกับอ๋องกลับหอคืนนี้

พอลับหลังไอ้โต้งไปแล้วผมหันไปลูบเส้นผมที่เปียกนิดหน่อย แม่ง โคตรเย็นหัวเลย

“หนาวเหรอ”

“นิดหน่อยครับ”

ผมพยักหน้ารับตอนที่เดินมาจากห้องน้ำแล้วพี่มันเดินตามมาติดๆ

“แอร์ข้างในโคตรเย็น”

ผมพูดขึ้น

“อดทนนั่งอยู่ตั้งนาน ดีว่าได้ออกมาข้างนอกค่อยยังชั่วหน่อย”

ผมตอบแล้วเหลือบตามองเสื้อช๊อปที่อีกฝ่ายสวมใส่อย่างนึกอิจฉาเพราะมันคงจะให้ความอบอุ่นไม่น้อย คิดแล้วก็ก่นด่าตัวเองที่ลืมเสื้อคลุมในวันนี้

“มองเสื้อกูทำไม”

พี่มันก้มมองเสื้อตัวเอง

“ไม่ถอดให้หรอกนะ กูหวง”

ผมเบะปากใส่พี่มันทันที

“ผมไม่ได้บอกว่าอยากได้เสื้อพี่สักหน่อย”

พี่มันยักไหล่กวนๆ

“แล้วนี่ยังติวไม่เสร็จเหรอ”

“ยังอ่ะ”

“อีกเยอะเหรอ”

“คงอีกประมาณชั่วโมงกว่าๆ คงติวเสร็จเที่ยงคืนพอดีมั้ง”

“แล้วมึงกลับยังไง”

พี่เซียนถามขึ้น

“ไอ้โต้งไปส่งครับ แล้วพี่ติวเสร็จแล้วเหรอ”

“อืม”

พี่มันเอี้ยวตัวไปด้านหลังผมจึงมองตามสายตาคนตัวโตไปเห็นกลุ่มผู้ชายใส่เชื้อช๊อปสี่ห้าคนกำลังเดินมาทางนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีพี่เดี่ยวรวมอยู่ด้วย นั่นคงเป็นกลุ่มเพื่อนที่คณะพี่มัน

“จะกลับแล้วเหรอพี่”

“พวกมันว่าจะไปกินข้าวที่สวนหลวงก่อน”

ผมเดาะลิ้นทันที

“กินข้าวหรือกินเหล้าอ่ะ”

ผมแกล้งแซวเพราะรู้ดีว่ายามค่ำคืนแถวสวนหลวงนั่นมีร้านเหล้าขึ้นชื่อของย่านนี้

“มึงคิดว่าไงล่ะ”

ผมยักไหล่

“ก็ช่วงนี้สอบ เดี๋ยวก็ไปสอบไม่ไหวหรอก”

“มึงก็ไปนั่งเฝ้าสิ”

ฮะ!

ผมทำหน้าเหวอทันที

“ไปนั่งเฝ้ากูสิจะได้รู้ว่ากูเข้าร้านข้าวหรือร้านเหล้า”

สัดเอ้ย มองหน้าแบบนี้หมายความว่าไงวะ

“เรื่องอะไรล่ะ”

พี่มันไม่ตอบ

แต่เสือกยิ้มเฉย เล่นเอาผมทำหน้าไม่ถูกจนกระทั่งเพื่อนพี่มันพากันมาหยุดยืนอยู่เบื้องหลังพวกผม แต่ละคนมองผมยิ้มๆ แล้วโคลงศีรษะเป็นเชิงทักทาย หลังจากนั้นก็มีใครคนหนึ่งหันไปพูดกับพี่เซียน

“ข้าวไม่ต้องกินแล้วมั้ง”

“ทำไมวะ”

ใครอีกคนเป็นลูกคู่

“ไอ้เซียนมันคงอิ่มแล้ว”

“มันจะอิ่มยังไงวะ”

“แค่มองหน้าเด็กปีหนึ่งนี่มันคงอิ่มจะแย่แล้ว”

“ฮิ่วๆๆ”

ผมทำตาโตมองซ้ายมองขวาเลิ่กลั่กไปหมด ไอ้เชี่ย อะไรคือมาแซวกูซึ่งๆ หน้าแบบนี้วะ ทำตัวไม่ถูกเว้ย พี่เซียนคงเห็นสีหน้าของผมมันเลยหันไปปรามเพื่อนตัวเอง

“เงียบๆ ไอ้สัด เสียงดังรบกวนคนอื่นเขาอ่านหนังสือกัน”

พวกนั้นเลยเงียบเสียงลงทันที แต่ถึงอย่างนั้นเสียงเมื่อกี้ก็เรียกความสนใจจากนิสิตคนอื่นที่ยืนอยู่นอกห้องติวพอดี และมีไม่น้อยเลยที่เมียงๆ มองๆ มาที่ผมสลับกับมองพี่เซียน

“เอ่อ ผมไปติวต่อก่อนนะ”

ผมเอ่ยเตรียมชิ่งกับสถานการณ์ตรงหน้า

“แล้วไม่ไปกับกูเหรอ”

“ไปไหนวะ”

พี่เดี่ยวสอดปากขึ้นเมื่อเห็นผมอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ยอมตอบคำถามพี่เซียน ยิ่งเห็นสีหน้าของเพื่อนพี่มันแต่ละคนแล้ว ผมยิ่งรู้สึกขัดเขินบอกไม่ถูก

“ไปกินข้าวเถอะ เพื่อนพี่รออยู่”

“รู้ได้ไงว่ากูจะไปกินข้าว”

พี่เซียนถามกวนๆ นั่นทำให้ผมแยกเขี้ยวใส่พี่มันทันที ผมดุนหลังพี่มันให้ออกเดินไปสมทบกับกลุ่มเพื่อน

“ไปเลย”

“...”

“ผมรู้ว่าพี่ไปกินข้าว ไม่ได้ไปกินเหล้า”

“...”

“ไม่ตามไปเฝ้าหรอก”

ผมพูดเบาๆ

“เชื่อใจ”

ไอ้พี่เซียนหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะเดินผละออกไปกับกลุ่มเพื่อนตัวเอง ทิ้งภาระความรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วใบหน้าไว้ที่ผมคนเดียว


.
 

.


ผมเดินใจลอยกลับมาที่ห้องติวอีกครั้งตอนนี้ในห้องยังไม่มีใครกลับมา ระหวางนั้นเลยพยายามตบแก้มตัวเองเรียกสติที่หลุดลอยไปไกลไอ้โต้งก็วิ่งกระหืดกระหอบถืออะไรสักอย่างติดมือมาด้วย

“อ่ะ”

เสื้อช๊อปสีกรมตัวหนึ่งถูกยื่นมาให้ตรงหน้า

“ให้กูทำไม”

“มีคนฝากมาให้”

ผมรับเสื้อตัวนั้นมาอย่างไม่เข้าใจตอนที่ล้วงเข้าไปในกระเป๋าล้วงเอาโน็ตแผ่นเล็กๆ ออกมาอ่านจึงเห็นข้อความสั้นๆ ที่ว่า

‘ใส่ซะ...เดี๋ยวเป็นปอดบวม’

ผมเม้มปากแน่นรู้สึกร้อนผ่าวๆ ที่ใบหน้า 

พี่โต้งหรี่ตามองผมยิ้มๆ แล้วพูดว่า

“เฮียกูถึงขนาดถอดช๊อปให้มึงใส่เลยเหรอวะ ไม่ธรรมดาแล้วมั้ง”

ไอ้เวรนั่นจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะน้อยๆ เป็นจังหวะที่เพื่อนๆ ที่ติวด้วยกันเริ่มทยอยเดินกลับมาที่ห้อง 

“นั่นเสื้อช๊อปนี่”

สาวๆ กลุ่มหนึ่งชี้นิ้วมาที่เสื้อในมือผม เล่นเอาผมทำหน้าไม่ถูกเลย

“เอ่อ ของเพื่อนน่ะ อ่า มันให้ยืนใส่เพราะวันนี้ลืมเอาเสื้อกันหนาวมา”

“แล้วเปียวทำไมไม่ใส่ล่ะ”

“อ๋อ”

ผมยิ้มแหยก่อนคว้าเสื้อเจ้าปัญหามาสวมใส่ทันที เพราะอยากถูกสาวๆ เซ้าซี้ว่าทำไมไม่ยอมใส่

“นี่ๆ จะอะไรจะเล่าให้ฟัง”

สาวๆ สุมหัวซุบซิบกัน

“พูดถึงเสื้อช๊อปนะ พี่ชายเราโคตรหวง มันไม่ยอมให้ใครแตะเลย เห็นบอกว่ามีตัวเดียว รุ่นพี่บอกว่าอย่าถอดให้ใครใส่ง่ายๆ”

“ทำไมอ่ะ สั่งตัดอีกตัวก็ได้นี่ถ้าสกปรก เสื้อตัวนึงไม่เห็นแพงเลย”

“ไม่รู้สิ แต่เห็นมันบอกว่าเป็นวลีในวงเหล้าของเด็กวิดวะ”

“วลีในวงเหล้าเหรอ”

“ใช่”

“แล้วมันว่ายังไงอ่ะ”

“เสื้อช๊อปไม่ถอดให้ใครง่ายๆ แต่จะถอดให้เมียได้”

.

.

‘มองเสื้อกูทำไม’

.

‘ไม่ถอดให้หรอกนะ กูหวง’

 

พ่องตาย

ผมตาค้างก้มมองใส่ช๊อปที่สวมใส่อยู่ราวกับเป็นของร้อน  ยิ่งตอนที่สาวๆ พากันพร้อมใจหันมามองเสื้อช๊อปบนตัวผมแล้วหัวเราะกันคิกคัก

สัดเอ้ย

ไอ้พี่เซียนแม่ง

หน้ากูจะไหม้แล้วโว้ย

.

.

‘รุ่นพี่บอกว่าอย่าถอดให้ใครใส่ง่ายๆ’

 

‘เพราะเสื้อช๊อปไม่ถอดให้ใครง่ายๆ แต่จะถอดให้เมียได้’




- J E E B -


หน้าไหม้ไปพร้อมนุ้งเปียว 55555
เมื่อวานพอดีไปงานแต่งเพื่อนมาเลยยกยอดมาวันนี้แทนค่ะ

หวีดในทวิตรบกวนติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยนะคะ



หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่12 l 10/3/63 l P.4 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 10-03-2020 23:15:19
เขินหนักมาก,,,
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่12 l 10/3/63 l P.4 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 11-03-2020 02:05:25
ไม่ไหม้ตามน้องหรอกนะ
มีเรื่องมาแล้วหนึ่งนะพี่เซียน  :hao3:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่12 l 10/3/63 l P.4 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 11-03-2020 04:57:15
พี่เซียนก็คือพี่เซียนหยอดจนน้องไปไม่ถูกเลย
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่12 l 10/3/63 l P.4 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 11-03-2020 08:34:17
หวี้ดดดดด
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่12 l 10/3/63 l P.4 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 11-03-2020 09:33:16
ยังไงงเหมือนกำลังจะมีตัวปัญหามา :ling3:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่12 l 10/3/63 l P.4 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: kenghan ที่ 11-03-2020 13:41:30
โอ๊ย ถ้าจะอ่อยขนาดนี้ขอเป็นแฟนเถอะอิพี่
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่12 l 10/3/63 l P.4 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 11-03-2020 14:46:23
เขิลตัวแตกแล้วเปียว  :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่12 l 10/3/63 l P.4 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: MezoSone9 ที่ 11-03-2020 20:27:28
บอกได้คำเดียวอ่ะว่า " เขิน "  :o8:

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่12 l 10/3/63 l P.4 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Windtofree ที่ 12-03-2020 00:54:27
เขาจีบกันไม่หยุดแล้ว
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่12 l 10/3/63 l P.4 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 12-03-2020 20:57:05
 :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่13 l 16/3/63 l P.5 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 16-03-2020 21:01:54
- จีบที่ 13 -

 


อากาศวันนี้ร้อนมากๆ โดยเฉพาะช่วงบ่ายแก่ๆ แบบนี้ ผมขยับคอเสื้อไปมาเพื่อคลายความร้อน มือข้างหนึ่งยกขึ้นป้องตา ความร้อนที่สาดส่องมาถึงสนามหญ้าราวกับมีไอความร้อนพวยพุ่งเข้าสู่ตัวจนแสบร้อนไปหมด ผมกวาดสายตามองไปรอบสนามหญ้าขนาดใหญ่หรือสนามฟุตบอลของมหาวิทยาลัยที่ขณะนี้พื้นที่ในสนามเต็มไปด้วยเพื่อนร่วมชั้นปีของผมฝ่ายละสิบเอ็ดคนแบ่งเป็นสองทีมกำลังวิ่งไล่บอลลูกกลมๆ ใครคนหนึ่งในทีมเสื้อสีแดงสังเกตจากการมีผ้าแดงผูกข้อมือกำลังเลี้ยงลูกพลิกตัวหลบการไล่ต้อนจากทีมสีน้ำเงินที่มีผ้าผูกข้อมือสีน้ำเงิน เพราะทุกคนในสนามอยู่ในชุดกีฬาคณะสีขาวปกสีส้มหมีพูร์กับกางเกงวอร์มขาสั้น ดังนั้นจึงต้องมีสัญลักษณ์ผ้าผูกข้อมือเพื่อเป็นการแบ่งแยกให้ชัดเจนว่าเป็นของทีมไหน

จังหวะที่ทีมบุกแปบอลส่งเข้าข้อเท้าผู้เล่นในทีมแล้วเลี้ยงส่งต่อให้เพื่อนในทีมนั่น ผมได้ยินเสียงนกหวีดดังขึ้นพร้อมๆ กับที่สายตาเหลือบเห็นความผิดปกติบางอย่างจนต้องชูธงในมือขึ้นสูงก่อนจะลดมือชูธงไปเบื้องหน้าในตำแแหน่งต่างๆ สามจังหวะคือเหนือศีรษะ เบื้องหน้าและชี้ลงพื้นเป็นสัญญาณว่ามีการล้ำหน้าในเกม ตามหน้าที่ของไลน์แมนหรือผู้ช่วยผู้ตัดสินที่ทำหน้าที่ดูแลกำกับเส้นสนาม จังหวะที่เล่นทุกคนหยุดชะงักไปนั่นพอดีกับที่อาจารย์ผู้สอนเป่านกหวีดหมดเวลาการแข่งขันนั่นทำให้ทุกคนในสนามไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นเอง หรือกรรมการอย่างไลน์แมนที่วิ่งระนาบไปกับเส้นสนามอย่างผม และเพื่อนอีกคนที่ทำหน้าที่ผู้ตัดสินใจพากันถอนหายใจเฮือกใหญ่่

หลังจากสอบภาคทฤษฎีในเนื้อหาวิชาพื้นฐานนิสิตปีหนึ่งที่คณะผ่านพ้นไปสัปดาห์ที่ผ่านมา สัปดาห์นี้เป็นการสอบภาคปฏิบัติ ในเนื้อหาวิชาบังคับของคณะ ปกติแล้วคณะผมจะต้องวิชากีฬาพื้นฐานสิบชนิดกีฬา และต้องเลือกเรียนวิชากีฬาเสรีซึ่งไม่มีในวิชาบังคับอีกสี่ตัวตลอดการเรียนทั้งหมดสี่ปี แต่สำหรับปีหนึ่งนั้นวิชากีฬาที่บังคับเรียนคือว่ายน้ำ ฟุตบอลและวอลเล่ย์บอล โดยการสอนจะเริ่มตั้งแต่พื้นฐานกติกาการเล่น วิธีการเล่น รวมถึงการปฐมพยาบาลการบาดเจ็บของแต่ละชนิดกีฬาในภาคทฤษฎี นอกจากนี้ยังมีสอบปฏิบัติอย่างการสอบวันนี้ในวิชาฟุตบอลคือมีการเล่นจริงเป็นเวลาเก้าสิบนาทีตามเวลาที่ใช้แข่งขันนจริงๆ มีสอบเป็นผู้ตัดสินในสนาม สอบผู้ตัดสินไลน์แมนโดยทุกคนจะต้องวนเวียนไปสอบทุกตำแหน่งทั้งหมด ซึ่งจะมีอาจารย์ผู้สอนจับเวลาและตัดสินผลจากการสังเกตการณ์

แน่นอนว่าอยู่ท่ามกลางสนามหญ้ากลางแดดในช่วงบ่ายแก่ๆ เป็นเวลาชั่วโมงกว่าๆ นั่นทำให้สภาพแต่ละคนดูเหนื่อยหอบไม่น้อย พอสิ้นเสียงเป่านกหวีดของอาจารย์ผูู้สอน พวกเราเลยต่างโห่ร้องดีใจก่อนจะกอดคอพากันวิ่งไปหลบแดดนอนแผ่หลา ท่ามกลางเสียงหัวเราะของอาจารย์ผู้สอน

“ถ้าอีกห้านาทีจารย์ไม่เป่าหมดเวลาพวกผมจะเป็นลมให้ดู”

แกหัวเราะเสียงดังลั่น

“เอาน่า พวกเธอจะเป็นนักวิทยาศาสตร์การกีฬาได้ยังไง ถ้าร่างกายไม่แข็งแรง”

“วิ่งกลางแดดบ่ายสามก็ไม่ไหวนะครับจารย์”

“อาจารย์รู้ว่าพวกเธอเก่ง วันนี้ทำดีมาก”

แกยกนิ้วโป้งให้ก่อนจะทยอยแจกน้ำให้นิสิต สำหรับวิชากีฬาแต่ละคลาสจะมีคนเรียนคลาสเล็กๆ ไม่เกินสามสิบคนให้พอฝึกและเรียนรู้กันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“เดี๋ยวคูลดาวน์แล้วเตรียมแยกย้ายกันได้เลยนะ จะมีทีมอื่นมาใช้สนามต่อ”

พวกเราพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะผุดลุกขึ้นแล้วทำการคูลดาวน์หรือการผ่อนหยุดจากการออกกำลังกายหนักๆ ที่เป็นสิ่งสำคัญมากๆ หลังจากการออกกำลังกาย เพราะช่วงเวลาที่ออกกำลังเป็นช่วงที่ร่างกายทำงานหนักไม่ว่าจะเป็นระบบไหลเวียนเลือดหรือปอดที่ทำงานสูงเกินกว่าปกติ ฉะนั้นหากไม่คูลดาวน์จะมีกรดชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “กรดแลกติก” สะสมอยู่ในกล้ามเนื้อจนอาจทำให้กล้ามเนื้อบอบช้ำและเมื่อยล้า แต่หากได้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วยการคูลดาวน์จะทำให้เรารู้สึกว่าอาการเมื่อยล้าน้อยลง

หลังจากวิ่งเหยาะๆ สักราวๆ สิบนาทีแล้วทุกคนต่างไปเช็คชื่อแล้วพากันแยกย้ายไปล้างหน้าล้างตา ระหว่างนั้นไอ้อ๋องเดินโขยงเขยกเข้ามาช่วยถือสัมภาระเพราะมันยังเดินเหินไม่สะดวก อาจารย์แกเลยใจดีไปวิ่งตัดสินอยู่ราวๆ สิบห้านาทีก่อนจะให้มันพักข้างสนามและทำรายงานเพิ่มแทน

“ไปล้างหน้าก่อนมั้ยมึง”

“อือ”

ผมพยักหน้าหงึกหงักรับผ้าขนหนูมาซับเหงื่อให้ตัวเอง

“กูว่าจะกลับไปอาบน้ำที่คณะว่ะ”

มันทำหน้าเห็นด้วยเพราะที่คณะผมมีห้องน้ำสำหรับการอาบน้ำหลังออกกำลังกาย

“เหงื่อกูชุ่มเต็มเสื้อเลยเนี่ย”

“เสื้อมึงเปียกมากไอ้เปียว”

มันชะโงกหน้าเข้ามาใกล้

“เหม็นด้วย”

“ไอ้ห่าแล้วมึงจะดมเพื่อ”

มันหัวเราะหึๆ ก่อนจะพาดแขนไปที่ไหล่ผมแล้วกระตุ้นให้ออกเดิน ระหว่างนั้นมีเพื่อนที่คณะสองสามคนเดินไปเก็บกรวยที่ห้องเก็บของใกล้ๆ ห้องน้ำ

“มีอะไรให้ช่วยเปล่าวะ”

“ไม่มีอ่ะ ที่เหลือพวกที่ใช้สนามต่อเขาจะเก็บกันเอง”

ผมมุ่นหัวคิ้วทันทีเพราะได้ยินมาก่อนหน้านี้ว่าจะมีการใช้สนามต่อ ทั้งๆ ที่ช่วงนี้เพิ่งพ้นฤดูกาลสอบฉะนั้นคงไม่มีชมรมหรือทีมกีฬาไหนมาซ้อมกันหรอก

“ใครวะที่ขอใช้สนาม”

“พวกนักบอลมหาลัยอ่ะ”

ผมพยักหน้าหงึกหงัก

“ซ้อมไวจัง เพิ่งผ่านพ้นช่วงสอบไปเอง”

“อีกไม่กี่เดือนก็จะมีงานบอลประเพณีแล้ว เราคงหวังแชมป์”

“ปีก่อนที่แพ้ข่าวว่านักบอลโดนทาเล็บแดงเดือนหนึ่งเป็นการทำโทษด้วยนะ”

มันกระซิบกระซาบบอก เอาจริงเรื่องนี้ก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าบทลงโทษที่แพ้ปีก่อนนั้นต้องถูกทาเล็บสีแดงทั้งทีม มันออกจะเป็นบทลงโทษที่ดูไม่ซีเรียสนักแต่คงทำเอาผู้ชายตัวโตๆ เขินอายไม่น้อยที่เล็บมือทั้งสิบนิ้วเป็นสีแดงฉูดฉาดเรียกสายตาล้อเลียนจากคนทั่วไปไม่น้อย

เป็นบทลงโทษที่โคตรแสบ

เอาจริงๆ ผมว่าผลแพ้ชนะไม่สำคัญเท่ากับการได้ทำกิจกรรมร่วมกันระหว่างสองมหาวิทยาลัยหรอก ถึงแม้ผลปีนี้จะออกเป็นอย่างไรก็ตาม ปีหน้าเราก็ต้องมาร่วมฟาดแข้งกันเหมือนทุกๆ ปี 

“พวกกูไปก่อนนะ”

เพื่อนผละไปแล้วพวกผมเลยเดินไปล้างหน้าล้างตาสักหน่อย

“หัวเปียกหมดแล้วไอ้ห่า”

ไอ้อ๋องร้องโวยวายตอนที่ผมสะบัดผมที่เปียกน้ำไปมาจนกระเด็นไปโดนตัวมัน

“จะได้เย็นๆ”

“เลิกเล่นได้แล้ว กูหิวน้ำ”

“งั้นมึงไปรอกูที่คาเฟ่หน้าสนามกีฬาเลย เดี๋ยวกูไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึง”

“เออ”

มันผละออกไปแล้ว ขณะเดินออกมาจากห้องน้ำคนกลุ่มหนึ่งเดินสวนเข้าประตูสนามกีฬามาพอดี กลุ่มผู้ชายสี่หน้าคนในชุดกีฬาแทบทุกคนถือรองเท้าสตั๊ดมาพร้อมกับเป้แบบสะพายข้างเดาได้ไม่ยากว่ากลุ่มนี้คงเป็นพวกนักบอลมหาวิทยาลัย ผมคงละความสนใจไปแล้ว หากหนึ่งในนั้นจะไม่ใช่คนคุ้นเคย ร่างสูงโปร่งผิวสีเข้มเพราะเล่นกีฬากลางแจ้ง แต่แววตายังขี้เล่นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

“พี่ปั๊บ”

เจ้าของชื่อยิ้มน้อยๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเป็นเชิงทักทายแล้วผละจากกลุ่มนักบอลมาหยุดอยู่ตรงหน้า ส่วนสูงที่ต่างกันนั่นทำให้ผมต้องแหงนหน้าคุยกับอีกฝ่าย

“เห็นพ่อแม่เราบอกว่าสอบติดที่นี่ แต่ไม่เคยเจอกันสักที”

ผมพยักหน้าหงึกหงักให้ ‘พี่ชายข้างบ้าน’ จำได้ว่าตอนที่พ่อย้ายจากเชียงใหม่มาอยู่แถวปริมณฑลนั่นทำให้ผมได้รู้จักกับเพื่อนบ้านซึ่งเป็นครอบครัวนักธุรกิจขนาดกลางมีลูกสามคนในวัยไล่เลี่ยกันเลยทำให้พวกเราสนิทสนมกันพอสมควร โดยเฉพาะกับคนตรงหน้าที่เป็นรุ่นพี่เพียงสองปี ระยะห่างของช่วงวัยที่ใกล้เคียงกันซ้ำยังเติบโตมาด้วยกันเลยทำให้เราเข้ากันได้ดี จนกระทั่งพี่มันสอบติดมหาวิทยาลัยแล้วย้ายมาอยู่หอเพื่อความสะดวกในการไปเรียน ตั้งแต่นั้นมาผมเองก็ไม่ค่อยเจออีกฝ่ายเท่าไหร่ อีกประเด็นคือนานๆ พี่ปั๊บมาจะกลับบ้านด้วยข่าวว่าฝ่ายนั้นทำกิจกรรมที่มหาลัยและเรียนหนักเลยไม่ค่อยว่างเท่าไหร่

“ไม่เจอแค่ไม่กี่เดือนสูงขึ้นรึเปล่าวะ”

พี่มันเหลือบตามอง่ศีรษะผมที่อยู่ระดับไหล่ของอีกฝ่าย

“จะล้อว่าผมเตี้ยก็พูดตรงๆ เหอะ”

นักบอลมหาลัยทำเสียงขำในลำคอ มือข้างหนึ่งยื่นมาโยกศีรษะผมแบบที่ชอบทำเป็นประจำ

“แล้วนี่อยู่หอแถวไหนอ่ะ อาทิตย์ที่แล้วพี่กลับบ้านเห็นแม่เราบอกว่าย้ายมาอยู่หอ”

“แถวพญาไทครับ”

ฝ่ายนั้นพยักหน้าหงึกหงัก

“วันไหนว่างๆ จะพาไปเลี้ยงข้าวฉลองที่สอบติด”

“ผมเรียนจนจะจบเทอมแล้วเพิ่งฉลองสอบติดเนี่ยนะ”

“เอาน่า”

พี่มันยิ้มน้อยๆ

“เลี้ยงช้าดีกว่าไม่เลี้ยง”

“อาทิตย์นี้มีซ้อมที่สนามกีฬาที่คณะเรา กะว่าจะโผล่ไปหาวันนั้นแหละ นักบอลเฟรชชี่ปีนี้มีเด็กคณะเราด้วยนี่”

เนื่องจากคณะผมเป็นคณะเกี่ยวกับกีฬาฉะนั้นพื้นที่ของคณะนอกจากตึกฟิตเนสแล้วยังมีสนามบาส สนามบอลและสนามเทนนิสให้ได้ทำกิจกรรม อีกอย่างนิสิตปีหนึ่งที่คณะผมมีการรับเข้าเรียนสองแบบคือการสอบเข้าตามปกติและการรับตรงซึ่งส่วนนี้จะต้องมีคุณสมบัติคือเป็นนักกีฬาในประเภทต่างๆ ที่คณะเปิดรับเพื่อมาสัมภาษณ์และทดสอบวิชาเฉพาะ ดังนั้นนิสิตที่รับตรงของคณะส่วนใหญ่จึงเป็นพวกนักกีฬาที่ต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวลงแข่งขันในรายกายต่างๆ เพื่อเป็นตัวแทนนักกีฬาของมหาวิทยาลัย อย่างงานฟุตบอลประเพณีนี้ผมได้ยินว่าเพื่อนๆ ปีหนึ่งประเภทรับตรงกีฬาฟุตบอลต้องเข้าร่วมซ้อมและคัดตัวในช่วงใกล้แข่งขัน เลยไม่น่าแปลกใจหากทีมบอลมหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่งจะมาจากนิสิตคณะผมเป็นส่วนใหญ่

“จ่ายไม่ถึงสองพันผมไม่ออกจากร้านนะพี่”

“กะเอาให้กูหมดตัวเลยรึไง”

พี่ปั๊บส่ายหัว

“เอาสิ ถ้าสั่งมาแล้วกินไม่หมดกูจะยัดใส่ปากให้มึงอ้วกแน่”

“โหด”

ผมเบะปากให้อีกฝ่าย

“อ่ะนี้”

มายมิ้นท์ถูกยื่นมาตรงหน้า

“มัดจำไปก่อน”

ของโปรดที่ผมชอบนักหนาซึ่งอีกฝ่ายรู้ดีเพราะซื้อให้ผมกินประจำ นิสิยพี่ปั๊บช่างสังเกตและช่างจดจำสมกับเป็นพี่ชายคนโตของบ้านที่มีน้องชายและน้องสาว เห็นแมนๆ เป็นเป็นกีฬาแบบนี้พี่มันเลี้ยงน้องๆ เก่งไม่เบาขนาดที่ว่าน้องๆ ติดพี่มันน่าดู

ผมโบกมือลาพี่มันตอนที่แก๊งนักบอลเรียกพี่ปั๊บไปซ้อมแล้ว

“ใครอ่ะ”

เสียงกระซิบจากด้านหลังทำเอาผมสะดุ้งโหยง

“ไอ้เชี่ยโต้ง”

ร่างสูงของเพื่อนสนิทปรากฏอยู่เบื้องหน้าสีหน้ามันดูสงสัยไม่น้อย

“มึงนอกใจพี่เซียนเหรอ”

“นอกใจเชี่ยไร”

ผมส่ายหน้าหวือ

“กูกับพี่มันไม่เป็นได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”

“แน่ใจ๊”

ไอ้เวรนี่หรี่ตามองผมอย่างจับผิด

“เออ” ผมทำเสียงเข้ม “อีกอย่างนะเมื่อกี้พี่ปั๊บพี่ข้างบ้านกูไง มึงเองก็เคยเจอ”

มันทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะร้องอ๋อออกมา

“ที่ตอนนั้นเขาเอามายมิ้นท์มาขอหมั้นมึงอ่ะเหรอ”

ผมแยกเขี้ยวใส่มันทันที พลันนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้หยิบยกมาล้อเลียนทุกวันนี้ จำได้ว่าช่วงประมาณมัธยมต้นผมเป็นเด็กติดเกมอย่างหนักจนการเรียนตกนั่นแหละพ่อกับแม่เลยตัดค่าขนมผมจนเป็นเหตุให้พี่ชายข้างบ้านซื้อขนมมาแบ่งเป็นประจำไปๆ มาๆ เลยถูกเพื่อนล้อเลียนกันว่าพี่มันเอาขนมมาหมั้นผม เล่นเอาผมถูกสาวๆ แฟนคลับพี่มันเขม่นไปพักหนึ่งเลยล่ะ

“มึงก็พูดไปเรื่อย”

ผมส่ายหน้าไปมา

“ว่าแต่มึงมาโผล่ที่นี่ได้ยังวะ”

“กูมาเล่นบาสที่สนามกีฬาในร่ม เห็นไอ้อ๋องเช็คอินที่คาเฟ่หน้าสนามกีฬากูเลยแวะมาหา””

ผมหรี่ตามองมันทันที

“มาหาพวกกูเพื่อ”

“พี่เซียนฝากของมาให้พี่อุ้ม”

“แล้วพี่คณะมึงไปไหนล่ะ”

แปลก!

พี่เซียนเนี่ยนะจะฝากไอ้โต้งเอาของไปให้พี่อุ้ม รู้ทั้งรู้ว่าเพื่อนผมกับพี่อุ้มแง่งๆ ใส่กันขนาดนี้

“สอบเสร็จเมื่อเช้าก็กลับไปนอนมั้ง ท่าทางไม่ค่อยดี”

“พี่มันไม่สบายเหรอ”

ไอ้โต้งขยับรอยยิ้มทันทีที่ผมโพล่งถามออกไป

“คงงั้นมั้ง วันก่อนก็เห็นอยู่คณะทั้งคืนตอนที่กูไปโรงฝึกของภาคยานยนต์ยังเห็นพี่มันนั่งประกอบเครื่องยนต์รถอยู่เลย”

“ไม่ได้นอนเลยเหรอ”

ผมพึมพำได้ยินมาจากพี่อุ้มเหมือนกันว่าช่วงนี้พี่เซียนทั้งสอบทั้งต้องไปช่วยรุ่นพี่กับอาจารยซึ่งฟอร์มทีมลงแข่งขันเกี่ยวกับการออกแบบและการสร้างยานยนต์ ช่วงนี้ี่ผมเลยไม่ต้องให้ไปช่วยพี่อุ้มเทรนพี่เซียนที่เข้าร่วมฝึกในวิชาบอดี้คอนเพราะกลุ่มตัวติดภารกิจช่วงนี้ ทำให้การเทรนต้องเลื่อนออกไปก่อน

หลังจากนั้นผมไปกินข้าวเย็นเพื่อนสนิททั้งสองคน ก่อนที่ไอ้โต้งจะแยกไปหาพี่อุ้ม ส่วนอ๋องมันไปทำงานพิเศษที่คาเฟ่  ขณะที่ผมมีสอนพิเศษ

ผมกระชับสายสะพานให้แน่นขึ้นตอนที่เงยหน้ามองคอนโดใกล้ๆ บีทีเอส ตั้งแต่น้องซอแอบโดนเรียนพิเศษไปโดยที่ผมรู้เห็นครั้งนั้น สาวน้อยก็ถูกบิดามารดาสั่งกักบริเวณเป็นการทำโทษ ดังนั้นสถานที่ที่ใช้เรียนพิเศษจึงถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ที่อยู่สายตาคนในครอบครัว คอนโดพี่เซียนจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเพราะอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยและใกล้กับโรงเรียนของน้องๆ รวมถึงอยู่ในสายตาพี่เซียนที่เป็นตัวแทนของทั้งบ้าน 

เกือบห้าโมงตอนที่มาหยุดที่ใต้คอนโดพี่เซียน รอไม่นานสาวน้อยในชุดเครื่องแบบนักเรียนม.ปลาย มัดผมหางม้าผูู้กโบว์สีขาวก็ยิ้มเผล่มาแต่ไกล ในมือมีถุงผ้าด้านในมีของกินไม่น้อย

“พี่เซียน”

สาวน้อยยิ้มกว้างรีบถลามากอดแขนเขา

“เพื่อนๆ ไปไหนหมดครับวันนี้”

เพราะเหลียวมองไปด้านหลังของเด็กสาวแล้วไม่ใครนอกจากคนตรงหน้า

“วันนี้สองคนนั้นติดธุระค่ะ”

“แล้วนี่หิ้วอะไรมาเต็มถุงครับเนี่ย”

“เมื่อกี้คุณแม่แวะเอาขนมมาให้ทานแก้ง่วงค่ะ”

“วันนี้เราค้างที่คอนโดหรือ”

สาวน้อยส่ายหน้าหวือจนผมสะบัด

“เดี๋ยวค่ำๆ คุณแม่จะมารับกลับบ้านค่ะ พอดีวันนี้ต้องแวะไปรับญาติที่สนามบินค่ะ”

น้องซอเดินคล้องแขนผมแล้วดึงให้ออกเดิน จนกระทั่งโดยสารลิฟต์มาถึงชั้นที่เป็นห้องพักพี่เซียน น้องซอแตะคีย์การ์ดแล้วเปิดประตูเข้าไปเจอความเย็นจากแอร์พุ่งมาปะทะใบหน้าผมทันที สภาพด้านในค่อนข้างเย็นฉ่ำแต่ทุกอย่างกลับดำมืดเพราะไม่ได้เปิดไฟ

ผมกวาดตามองไปรอบๆ ตอนที่น้องซอเดินไปเปิดไฟให้สว่าง ทุกอย่างเงียบเชียบราวกับว่าเจ้าของห้องไม่อยู่ ขณะที่นั่งลงคุ้ยเอาชีทที่จะใช้สอนเด็กสาวออกมา เสียงเปิดประตูห้องนอนก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่เดินลากขายาวๆ มาใกล้

“มากันแล้วเหรอ”

สภาพพี่เซียนดูอิดโรยไม่น้อย ขอบตาดำคล้ำ ผมยุ่งๆ ไม่เป็นทรง เจ้าตัวอยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงวอร์มขายาว ใบหน้าคมคายซีดเซียวเพราะพิษไข้เล็กน้อย

“พี่เซียนไม่สบายหรือคะ”

เด็กสาวถลาไปแตะหลังมือ่กับหน้าผากของพี่ชาย

“ตัวรุมๆ ด้วย”

“เดี๋ยวนอนสักตื่นก็คงดี พี่ไปงีบแป๊บนึงนะ” ฝ่ายนั้นโยกศีรษะน้องสาวก่อนจะเหลือบสายตามาทางผม “ตามสบายนะ ถ้าหิวสั่งอะไรขึ้นมากินก็ได้ เบอร์ร้านข้าวอยู่ตรงเคาน์เตอร์ครัว”

ฝ่ายนั้นพูดจบก็เดินผละกลับเข้าไปในห้อง ผมมองตามแผ่นหลังพี่มันไปจนลับตาแล้วให้สะดุ้งโหยงเมื่อหางตาเหลือบไปเห็นน้องซอนั่งยิ้มกริ่มอยู่เบื้องหน้า

“เอ่อ เรามาติวกันดีกว่าเนอะ”

เด็กน้อยไม่พูดอะไรต่อนอกจากพยักหน้าหงึกหงักด้วยรอยยิ้มกว้าง หลังจากนั้นเราทั้งคู่ก็หันมาสนใจชีทตรงหน้า ถึงแม้ทุกครั้งที่ปล่อยให้น้องซอทำแบบฝึกหัดนั่นผมจะเผลอมองไปที่ประตูห้องของพี่เซียนก็ตาม เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้จนกระทั่งสาวน้อยเริ่มไม่มีสมาธิและโอดครวญอยากพักนั่นแหละ ผมเลยยุติการเรียนในวันนี้แล้วให้การบ้านเด็กสาวกลับไปทำแบบฝึกหัด

“หิวจังเลยค่ะ”

น้องซอบ่นหลังจากเพิ่งกินขนมที่มารดาฝากมาให้ไปตั้งครึ่งค่อนแล้ว สาวน้อยเหมือนจะรู้ตัวตอนที่ผมเหล่ตามองกองขนมแล้วยิ้มน้อยๆ สาวเจ้าเลยยิ้มปอเหลาะให้เขาทีหนึ่ง

“เดี๋ยวไปดูในตู้เย็นก่อนว่ามีวัตดุดิบอะไรที่พอทำกับข้าวง่ายๆ ได้บ้าง””

โชคดีว่าครั้งนี้ของในตู้เย็นมีทั้งเนื้อสัตว์และผักสองสามชนิด ผมเลยถือวิสาวะทำข้าวผัดง่ายๆ และต้มจืดให้น้องซอ เสร็จแล้วก็ตั้งหม้อต้มข้าวต้มให้คนป่วยสักหน่อย พอปิดแก๊สไปได้พักเดียวเจ้าของห้องก็เดินสะโหลสะเหลอออกมานั่งอึนๆ อยู่ตรงโซฟาห้องนั่งเล่น ผมเลยตักข้าวต้มใส่ถ้วยยกไปเสิร์ฟให้อีกฝ่าย เวลาเกือบสองทุ่มแล้วถ้าให้เดาพี่มันคงยังไม่ได้กินข้าวเย็น 

“อะไร”

พี่เซียนเลิ่กคิ้วมองชามข้าวต้ม

“ข้าวเย็นพี่”

คนป่วยทำหน้าแหย

“ไม่หิวเลยว่ะ”

“ไม่หิวก็ต้องกิน ถ้าให้เดาพี่คงยังไม่ได้กินยาใช่มั้ย”

“แค่นอนก็ดีขึ้นแล้ว”

ผมถอนหายใจแรงๆ ให้อีกฝ่าย บทจะดื้อรั้นขึ้นมาพี่เซียนไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใครเลยจริงๆ เป็นคนป่วยที่น่าฟาดสักที แต่เพราะเห็นใบหน้าเซื่องๆ ซึมๆ หมดสภาพนั่นแล้วผมทำไม่ลงจริงๆ

“น้องซอ พี่ชายน้องซอไม่ยอมกินข้าว มานั่งเฝ้าพี่ให้เขากินที”

สาวน้อยคว้าจานข้าวผัดและต้มจืดมานั่งกินที่ห้องนั่งเล่นทันที เท่านั้นไม่พอเด็กสาวยังขู่ฟอดๆ ว่าจะโทรฟ้องแม่ นั่นแหละพี่มันถึงได้ยอมกินข้าวแต่โดยดี พอกินข้าวเสร็จได้ไม่นานโทรศัพท์น้องซอก็ดังขึ้น 

“คุณแม่มารับแล้วค่ะ แต่คงไม่ได้ขึ้นมาเพราะเห็นว่าจะรีบไปคุณป้าที่สนามบินต่อ”

พี่เซียนถอนหายใจโล่ง

“อย่าบอกแม่นะว่าพี่ป่วย”

น้องซอย่นจมูกแต่ก็ยอมพยักหน้าหงึกหงัก 

“ได้แค่ แต่พี่เซียนต้องสัญญานะว่าจะกินยาแล้วพักผ่อนเยอะๆ เดี๋ยวหนูถึงบ้านแล้วจะโทรมาหา”

“ไปเถอะ เดี๋ยวแม่รอนาน”

เจ้าของห้องเดินส่งน้องสาวพักหนึ่ง ตอนที่พี่มันขึ้นมาผมเก็บของใส่เป้ ตอนนั้นผมเอื้อมมือไปหยิบถุงกระดาษในเป้ที่มีบางอย่างถูกซักและรีดมาอย่างดีวางพับอยู่ในนั้น 

แกรก

เสียงเปิดประตูห้องพี่มันดัง ผมกระชับเป้ที่สะพายแน่นเตรียมตัวกลับแต่ตอนที่ไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายผมสังเกตเห็นสีหน้าของพี่มันแดงขึ้น เท่านั้นไม่พอความร้อนที่แผ่ออกมาจากตัวนั่นทำให้มุ่นหัวคิ้วทันที

“อะไร”

พี่เซียนบุ้ยปากไปยังถุงกระดาษในมือผม

“อ๋อ”

ผมยื่นถุงกระดาษที่บรรจุเสื้อช๊อปของอีกฝ่ายที่ซักรีดเรียบร้อยอย่างดีแล้วมาคืนให้อีกฝ่าย เจ้าของห้องชะโงกหน้าดูของในถุงก่อนจะคลี่ยิ้มน้อยๆ

“ผมซักมาคืน”

คนป่วยกระตุกยิ้มมุมปาก แน่นอนว่ามันทำให้ใบหน้าผมร้อนวูบวาบอย่างบอกไม่ถูกยิ่งนึกถึงวลีในวงเหล้าเกี่ยวกับเสื้อช๊อปที่ทำเอาผมนอนคิดไม่ตกมาหลายคืน

“ขอบคุณพี่ด้วยที่ให้ยืมใส่วันนั้น”

ผมเกาจมูกแก้เก้อ

“มึงใส่จริงๆ เหรอ”

อดพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้

“ใส่ดิ ใส่จนถูกเพื่อนแซว”

“แซวว่าอะไรล่ะ”

เกลียดชะมัด

เกลียดใบหน้ารู้ทัน แต่ทำเป็นไม่รู้อะไรเลย ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอก

“พี่แม่ง”

“เสื้อช๊อปไม่ถอดให้ใครง่ายๆ...”

ผมผวาเลื่อนมือไปปิดปากอีกฝ่ายทันทีกลัวพี่มันพูดจนจบประโยค นั่นแหละมือผมสัมผัสลมหายใจพี่เซียนเต็มๆ

ลมหายใจโคตรร้อนเลย

“พี่กำลังไข้ขึ้น”

“ถึงว่าปวดหัวฉิบหาย”

“งั้นกินข้าวเสร็จแล้วกินยานนอนเลย”

พี่เซียนส่ายหัว

“ไม่มี”

“อะไรไม่มี”

“ห้องกูไม่มียาติดอยู่เลย”

ว่าแล้วเชียว ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะปลดเป้แล้วรูดซิปเปิดกระเป๋าเอายาแก้ไข้ที่แวะซื้อจากร้านขายยาก่อนถึงคอนโดออกมา

“มึงพกยาแก้ไข้ด้วย”

ผมเม้มปากแน่นตอนที่ยื่นถุงยาให้พี่มัน

“เพิ่งพกวันนี้แหละ”

พี่เซียนยิ้มพอใจก่อนจะคว้าเอาไปกิน

“พกถูกวันซะด้วย”

เสียงหัวเราะน้อยๆ ในลำคอนั่นน่าหมั่นไส้จนต้องแยกเขี้ยวใส่ ยิ่งฝ่ายนั้นหยิบเม็ดยาใส่ปากแล้วกลืนน้ำตาม ท่าทางดูชอบใจเม็ดยาขอผมไม่เบา

“กินแล้วก็ไปนอนซะ”

“มึงไม่กลัวกูไข้ขึ้นเหรอ”

หูฝาดเปล่าววะ เหมือนได้ยินเสียงสองจากพี่มัน 

“กูอยู่คนเดียวนะ เกิดไข้ขึ้นตอนดึกทำไง”

“1669 สายด่วนแจ้งเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉิน แป๊บเดียวรถพยาบาลก็มาถึง”

ผมตอบเสียงเรียบขณะที่ฝ่ายนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ถ้าแบตมือถือหมดก่อนล่ะ”

“ตอนนี้ก็ชาร์ตใให้เต็มสิครับ”

“เกิดกูหมดสติก่อนจะได้โทรล่ะ”

“...”

“มึงไม่ห่วงกูเหรอ”

ผมเม้มปากแน่นไม่ใช่อะไรกำลังกลั้นขำเสียงสองของผู้ชายตัวโตๆ อย่างพี่เซียน

“ถ้ากูป่วยตายมึงไม่รู้สึกผิดไปทั้งชีวิตรึไง”

“รู้สึก”

“ดี”

คนป่วยขยับรอยยิ้ม

“รู้สึกว่าพี่เป็นคนป่วยที่เจ้าเล่ห์จัง”

เจ้าของห้องยักไหล่ก่อนจะเดินไปล้มตัวลงนอนที่โซฟา

“ผ้าขนหนูอยู่ที่เดิม ส่วนชุดนอนเลือกใส่ได้ตามสบายเลย”

“เดี๋ยวๆ ผมไม่ได้บอกว่าจะนอนค้างกับพี่”

“งั้นตอบคำถามกูข้อหนึ่ง”

ผมพยักหน้าหงึกหงัก ขณะที่ฝ่ายนั้นผุดลุกขึ้น

“ถ้ามึงกลับห้องไป มึงจะนอนหลับมั้ย”

พี่เซียนจ้องหน้าผมผมตรงๆ 

แย่แล้ว

หัวใจผมเต้นรุนแรงมาก

“มึงจะนอนหลับมั้ยคืนนี้”

ไม่หลับ ยังไงก็นอนไม่หลับ

เพราะอะไรน่ะเหรอ...ก็เพราะห่วงคนตรงหน้านี้ไง

ผมกับพี่มันจ้องตากันอยู่นานจนฝ่ายหลังถอนหายใจแล้วบุ้ยปากไปด้านหลัง

“เอาคีย์การ์ดสำรองห้องกูไปได้เลย ตอนลงลิฟต์มึงต้องใช้คีย์การ์ด เดี๋ยววันหลังค่อยเอามาคืน วันนี้กูไม่มีแรงไปส่ง แต่มึงรอแป๊บนึงเดี๋ยวกูโทรเรียกไอ้เดี่ยวไปส่งมึงที่หอ มันมืดแล้วกูไม่อยากให้มึงกลับเอง”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะขยับไปอีกทาง...ทางที่เป็นห้องนอนพี่มัน ผมหันหลังให้พี่เซียน ไม่รู้หรอกว่าตอนนี้สีหน้าพี่เซียนเป็นยังไง แต่ที่รู้ก็คือตอนนี้ผมรู้สึกว่าควบคุมร่างกายตัวเองได้ยากลำบากเหลือเกิน

“ถ้ามึงกลับ กูก็คงนอนไม่หลับ”

เสียงนั้นดังมาจากข้างหลัง

“กูป่วย”

“รู้แล้ว”

ผมยืนนิ่งเมื่อรู้สึกว่าใครบางคนมาหยุดอยู่เบื้องหลัง

“ปวดหัวและเจ็บคอมากๆ”

“รู้แล้ว”

“แล้วมึงรู้มั้ยว่าเวลาป่วย คนป่วยต้องการคนดูแล”

“รู้สิ”

“กูไม่ต้องการให้ใครดูแล”

ผมพยักหน้ารับหงึกหงัก

“กูต้องการแค่มึง”

“...”

“มึงคนเดียว”

ผมยืนอึ้งก่อนที่หันกลับไปเห็นพี่เซียนเดินกลับไปนอนเอามือรองศีรษะแล้วทำท่าหลับไปทั้งที่ใบหน้าคมคายนั่นเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม


.


.


ตอนที่ผมผละไปอาบน้ำสักพักหนึ่ง กลับมาอีกทีเจ้าของห้องก็นอนหลับสนิทไปแล้ว ผมมาหยุดยืนอยู่เหนือศีรษะพี่มันแล้วเอื้อมมือไปแตะหน้าหน้าผากอีกฝ่าย ตัวมันยังรุมๆ เพราะพิษไข้แต่สีหน้าที่แดงก่ำตอนนี้ดีขึ้นมาก เจ้าของใบหน้าคมคายที่นอนหลับสนิทชวนยิ้มไม่น้อย ข้างๆ กันนั่นเสื้อช๊อปที่ซักรีดมาคืนถูกพี่เซียนคลี่มาคลุมร่างกายตอนนี้ 

“รู้ว่าสำคัญก็อย่าถอดให้ใครง่ายๆ ก็แล้วกัน”

ผมพึมพำเสียงแผ่วแล้วขยับเสื้อตัวนั้นให้อีกฝ่ายเพื่อปกปิดร่างกายคลายความหนาว  ก่อนจะเดินไปเอาผ้าห่มผืนหนามาห่มคลุมให้อีกชั้น ตอนที่ขยับคลี่ผ้าห่มเปลือกตาของคนป่วยก็ขยับเปิดขึ้น

“ไม่เคยถอด”

“อะไร”

“ไม่เคยถอดให้”

เสียงแหบพร่าเพราะพิษไข้เอ่ยออกมา

“มึงคนแรก”

พี่เซียนค่อยๆ ปิดเปลือกตาไปอย่างรวดเร็วหลังจากฝืนมองหน้าผมไปไม่นาน พิษไข้คงกำลังเล่นงานคนตัวโตเข้าให้แล้วล่ะ

“มึงใส่คนแรก...หมูอวกาศ”

ปลายนิ้วที่ขยับผ้าห่มของผมชะงักกึก 

เมื่อกี้...ผมไม่ได้หูฝาด

‘หมูอวกาศ’

มีคนเดียว คนเดียวเท่านั้นที่เรียกผมด้วยชื่อนี้

‘ไอ้หมูอวกาศ ชื่อนี้กูเรียกได้คนเดียวเท่านั้น ห้ามใครเรียกนอกจากกู’’

“พี่ยักษ์”

ผมหวนนึกถึงเพื่อนในวัยเด็ก 

‘กูชื่อยักษ์’

‘คนอะไรชื่อยักษ์’

‘ชื่อจริงๆ ของพี่เซียนก็มาจากคำว่าทศกัณฐ์ค่ะ’

เพื่อนรุ่นพี่ที่ไม่ได้เจอกันมาสิบๆ ปี บัดนี้คนในอดีตอยู่ตรงหน้าผมแล้ว

“ยักษ์ทศกัณฐ์”

ผมพึมพำ

‘หายไวๆ แล้วกูจะพาไปกินไอศกรีมมิ้นท์ของโปรดมึง’

“ไอ้พี่ยักษ์”

ใบหน้าคมคายเพราะพิษไข้มีไรหนวดตามสันกรามนั่นจะเขียวครึ้มเล็กน้อย โครงหน้าราวรูปสลักทั้งที่หลับสนิทแต่ยังดูดุดันสมชื่อเจ้าเมืองยักษ์เหนือหัวกรุงลงกา

“หายไวๆ นะ ผมรู้ว่าพี่เกลียดมินท์”

 “...”

“ฉะนั้นผมจะบังคับพี่กินมิ้นท์ โทษฐานที่ปิดปากเงียบมาตั้งนาน”

ผมเบะปากให้อีกฝ่ายทั้งที่ในใจรู้สึกฟูฟ่องเมื่อนึกถึงวันวานที่งดงาม




- J E E B -

พบคนเสียงสองแถวนี้ 55555
หวีดในทวิตรบกวนติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่อ่านแล้วเมนต์ให้เรานะคะ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่13 l 16/3/63 l P.5 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 16-03-2020 21:59:17
น่ารักกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่13 l 16/3/63 l P.5 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 17-03-2020 08:33:23
 :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่13 l 16/3/63 l P.5 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 17-03-2020 17:44:44
งูยยยยว ในที่สุดดด :katai5:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่13 l 16/3/63 l P.5 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: mister ที่ 17-03-2020 21:17:06
น่าย๊ากกกกก :mew3:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่13 l 16/3/63 l P.5 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: kenghan ที่ 17-03-2020 23:36:41
พี่เซียนเปิดตัวขนาดนี้  อยากคบน้องแล้วดิ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่13 l 16/3/63 l P.5 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Plakhem ที่ 18-03-2020 20:12:51
 :mew1: ตื่นมาคงหายไข้เลยซินะพี่ยักษ์ 
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่13 l 16/3/63 l P.5 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 19-03-2020 18:59:16
ขนาดป่วยก็ยังไม่หยุดจีบน้อง
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่13 l 16/3/63 l P.5 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 19-03-2020 22:34:24
ทำคะแนนไม่หยุดไม่หย่อนเลย,,,
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่13 l 16/3/63 l P.5 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: mysun ที่ 21-03-2020 04:45:50
จีบไม่หยุดดด หยอดมันลงไป อิฉันอิจจจจ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่13 l 16/3/63 l P.5 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 21-03-2020 09:14:02
 :-[
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่13 l 16/3/63 l P.5 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 21-03-2020 22:22:03
วี้ดวิ้ว... พี่เขาป่วยดูแลดี ๆ นะน้องเปียว
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่14.1 l 23/3/63 l P.5 [UP] 60%
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 23-03-2020 21:15:29
- จีบที่14 -




มันเป็นเช้าที่ไม่สดใสนักสำหรับผม

เตียงนอนห้าฟุตซึ่งคลุมด้วยผ้าเนื้อดีสีน้ำเงินเข้าชุดกับปลอกหมอนและผ้าห่มเหมาะกับสภาพห้องปูนเปลือย ทุกอย่างในห้องยังคงเรียบร้อยเป็นเหมือนที่เคยเห็นมาก่อน ปลายนิ้วเรียวคลึงขมับเพื่อลำดับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ จำได้ลางๆ ว่าเมื่อคืนเจ้าของห้องไข้ขึ้นจนต้องรองน้ำมาเช็ดตัวเพื่อให้ไข้ลด แน่นอนว่าเหตุการณ์เมื่อคืนเกิดขึ้นที่โซฟาห้องนั่งเล่นแต่น่าประหลาดว่าเมื่อตื่นมาผมนอนอยู่กลางเตียงใหญ่ในห้องนอนพี่มัน ส่วนคนป่วยที่ไข้ขึ้นเมื่อคืนบัดนี้ลับหายไปที่ใดก็ไม่รู้ได้ 

‘พยายามไม่ฝันไปไกล ไม่อยากจะกลับไปวันร้ายร้าย’

ทำนองเพลงคุ้นหูดังมาจากห้องนอนซึ่งประตูกระจกปิดไม่สนิท เสียงฮัมเพลงคลอเสียงเกลากีต้าร์เบาๆ นั่นเรียกให้ผมขยับปลายเท้าลงจากเตียงแล้วเดินตามเสียงนั่นไปเงียบๆ 

‘ไม่อยากจะกลับไปวันร้ายร้าย’

จนกระทั่งไปหยุดตรงมุมผ้าม่านที่เปิดออกเพียงเล็กน้อย ภาพที่มองผ่านกระจกใสออกไปนั่นคือเจ้าของห้องที่เปลือยกายท่อนบนเห็นเพียงแผ่นหลังกว้าง ช่วงล่างสวมใส่กางเกงวอร์มสีดำยืนพิงสะโพกกับขอบโต๊ะโดยที่เจ้าตัวมีกีต้าร์อันหนึ่งเป็นเหมือนอาวุธคู่กาย 

‘รักใช่หรือเปล่า ใช่รักหรือเปล่า

รักใช่หรือเปล่า ใช่รักหรือเปล่า (โอ้โอ โอ้โอ โอ)’


ผมขยับโยกศีรษะไปตามจังหวะเพลงที่ฝ่ายนั้นร้องฮัมเบาๆ ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่อากาศข้างนอกคงจะเย็นสบายไม่น้อยสังเกตว่าพระอาทิตย์ยามเช้ากำลังจะขยับขึ้นขอบฟ้า คนเคยป่วยที่บัดนี้คงจะดีขึ้นตามลำดับแล้วจึงได้เปิดเปลือยร่างกายท่อนบนท้าอากาศเย็นอย่างไม่สนใจว่าตัวเองเพิ่งก้าวข้ามอาการไข้เมื่อคืนมาหมาดๆ 

คงแข็งแรงอยู่หรอกไม่อย่างนั้นคงไม่มีอารมณ์สุนทรีย์ร้องเพลงดีดกีต้าร์รับอรุณแบบนี้

ผมย่นจมูกให้ร่างสูงใหญ่นั่นเผื่อว่าเจ้าตัวจะรู้ตัวว่าอาการเจ็บป่วยค่ำคืนที่ผ่านมานั่นทำให้ผมนอนไม่หลับทั้งคืน เพราะฝ่ายนั้นตัวร้อนพาลให้ผมต้องหลับๆ ตื่นๆ มาเช็ดตัวให้ พอเช้าเข้าคนเคยป่วยดันสดใสร้องเพลงสบายใจเฉิบ ขณะที่ผมรู้สึกปวดหัวตุบๆ 

‘กลัวจะปีนจนสูงเกินไป จนกลับลงมาที่เดิมไม่ไหว’

ท่าทางพี่เซียนดูจะชอบเล่นกีต้าร์จริงๆ สังเกตว่าฝ่ายนั้นดูผ่อนคลายไม่น้อยเมื่อได้จับเครื่องดนตรีชนิดเครื่องสายนี้

.

.

“ต้องกลับแล้วนะ”

“ทำไมรีบกลับอ่ะ”

ฝ่ายนั้นทำหน้าเบื่อหน่ายกรอกตาไปมา

“ต้องไปเรียนกีต้าร์”

“โห น่าสนุกจัง”

“น่าเบื่อจะตาย”

เด็กคนนั้นพูดอย่างเบื่อหน่าย

“แล้วทำไมพี่ต้องเรียนด้วยล่ะ”

“พ่ออยากให้เรียนดนตรีสากล”

“อ๋อ”

“พี่ชายกูเลือกเรียนกลองคนนึง อีกคนเรียนคีย์บอร์ด กูเลยต้องเรียนกีต้าร์ สงสัยพ่ออยากเปิดคอนเสิร์ตมั้ง”

“พี่ยักษ์พูดกูอีกแล้ว เดี๋ยวหนูตีปากเลย”

ว่าแต่ก็ยื่นมือไปแตะปากคนพูดเบาๆ

“คำหยาบนะ พูดแล้วไม่น่ารัก ครูที่โรงเรียนหนูบอกมา”

ฝ่ายนั้นเบะปากทันที

“ระคายหูก็ไม่ต้องฟัง”

“ไม่นะ”

เด็กน้อยจับหูตัวเอง

“หูหนูก็ปกตินะ ไม่เจ็บเลย”

ฝ่ายนั้นดีดหน้าผากจ้อยอย่างหมั่นไส้

“กวนตีน”

“พี่ยักษ์พูดหยาบอีกแล้ว”

เด็กแก้มกลมบ่นอุบ แต่ก็ยังชวนอีกฝ่ายคุยไปเรื่อยราวกับว่าเรื่องก่อนหน้านี้เพียงแค่ผ่านลมไป และไม่ว่าคนที่ตัวโตกว่าจะหลุดพูดจาหยาบบ่อยครั้งแค่ไหน แต่เด็กแก้มกลมก็ยังติดสอยห้อยตามพี่ชายคนนั้นไม่ยอมห่าง

คนที่พูดว่าการเล่นกีต้าร์น่าเบื่อหน่ายวันนั้น กลับผ่อนคลายตอนที่ประคองเครื่องดนตรีชนิดนั้นอยู่ พูดไม่จริงนี่หว่า ไอ้พี่ยักษ์ขี้โกหกจริงๆ ผมยิ้มน้อยๆ เมื่อหวนนึกถึงวันวานที่ผ่านมา ตั้งแต่มั่นใจอีกฝ่ายคือพี่ชายในอดีตนั่นดูเหมือนความทรงจำที่เคยลืมเลือนไปตามกาลเวลาจะสว่างวาบขึ้นในหัวอีกครั้ง

เรื่องบางเรื่องแม้จะผ่านไปนานแค่ไหนแต่ฝังแน่นอยู่ในใจไม่เลือน

‘เธอเอาใจฉันไป เธอกุมมันเอาไว้’

ท่อนฮุกของเพลงนั้นชวนให้ต้องฮัมตามเบาๆ มันคือเพลงโปรดของผม ช่วงที่เพลงนี้เป็นกระแสนั่นผมถึงขนาดไว้หนวดเคราและหาแว่นอันใหญ่มาใส่ตามภาพลักษณ์ของนักร้องนำ แน่นอนว่าสภาพที่ออกมาคงดูไม่จืดจนไอ้โต้งถึงได้พูดสั้นๆ ว่า ‘กูขอร้องล่ะเปียว มึงอย่าทำอะไรเกินตัว’

พอจบประโยคนั้นไอ้อ๋องดันหัวเราะผสมโรงไปด้วยจนผมเสียความมั่นใจต้องพับเก็บแว่นอันนั้นเข้ากรุแล้วสัญญากับตัวเองว่าจะไม่หยิบออกมาให้โลกได้เห็นอีก รวมถึงการตัดใจไม่ไว้หนวดที่ทนอุตส่าห์เลี้ยงมาเกือบเทอมต้องถูกโกนเกลี้ยงเพราะไอ้ห่าโต้งอีกนี่แหละที่พูดว่าหนวดผมยังบางเบากว่าขนสาวแรกรุ่น

เลวร้าย เลวร้ายจนผมแทบจะกินหัวมัน

‘เธอเอาใจฉันไป (โอ้โอ้โอ โอ้ โอ้)’

ผมขยับตัวโยกศีรษะแล้วหลับตาจินตนาการถึงการเปล่งเสียงเนื้อเพลงท่อนนี้ร่วมกับคนนับร้อยในงานคอนเสิร์ตหรืองานเทศกาลดนตรี มันคงสนุกและทำให้หัวใจผมพองโตอย่างมาก ผมนิ่งฟังพี่เซียนเล่นเพลงนั้นจนจบพอดีกับที่พระอาทิตย์ขยับเคลื่อนสู่ท้องฟ้า ภาพความสว่างไสวจากแสงแดดที่ค่อยๆ ไล่อาบไปทั่วบริเวณโดยรอบ แสงแรกของวันเปรียบเสมือนการเริ่มต้นวันใหม่ที่สดใส

พี่เซียนขยับตัวถือกีต้าร์เดินมาทางนี้เป็นจังหวะที่ผมหันรีหันขวางด้วยกลัวว่าจะถูกอีกฝ่ายจับได้ว่าแอบดูพี่มันอยู่ตั้งนาน ผมเลยกระโจนขึ้นเตียงและทำเนียนหลับไปทั้งที่ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เสียงรองเท้าสลิปเปอร์แตะกับพื้นเป็นเสียงจังหวะบ่งบอกว่าพี่มันขยับเข้ามาใกล้แล้ว

เอาจริงมันไม่กลัวที่ถูกจับได้ แต่ผมรู้ตัวดีว่าคงทำตัวไม่ถูกกับการพูดคุยกับอีกฝ่ายตอนที่รู้ว่าพี่ชายในความทรงจำในอดีตคือพี่เซียน 

“ตื่นแล้วก็ลุก”

เกิดแรงขยับที่เตียงเพราะพี่เซียนทรุดตัวนั่งลง 

“มึงนอนยังไงแข็งทื่อขนาดนี้”

“...”

“เกร็งขนาดนั้นก็ตื่นเถอะ เมื่อยเปล่าๆ”

ผมขยับเปลือกตายิ้มแหยให้เจ้าของห้องที่นั่งขัดสมาธิเท้าแขนทั้งสองข้างไปด้านหลัง องศานั้นเห็นกล้ามเนื้อทั้งหกลูกกระแทกตาเต็มๆ จนต้องรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

“พี่รู้ได้ไงว่าผมตื่นแล้ว”

“ชอบเพลงเมื่อกี้เหรอ”

นอกจากจะไม่ตอบคำถามแล้วยังเปลี่ยนมาถามผมกลับอีก 

“ก็ชอบ”

แต่เดี๋ยวนะ...พี่มันรู้ว่าผมแอบยืนฟังเหรอวะ

“พี่รู้?”

ฝ่ายนั้นโคลงศีรษะ

“ตั้งแต่ตอนไหนวะ”

อุตส่าห์เดินเบาขนาดนั้นยังได้ยิน

“ระเบียงข้างนอกมีกระจกบานเล็กๆ”

มิน่าเล่าฝ่ายนั้นคงมองเห็นผมจากกระจกนั้นแหละ

“ขอบคุณ”

หือ?

“เมื่อคืนมึงเฝ้าไข้กูไม่ใช่เหรอ”

“อืม”

สีหน้าพี่มันดูดีขึ้นมากแล้วจากเมื่อคืนที่ใบหน้าแดงก่ำ ส่วนริมฝีปากก็ขาวซีดแห้งแตกเป็นขุยแต่ผ่านพ้นไปวันเดียวทุกอย่างกลับมาปกติจนน่าทึ่ง 

“แล้วพี่ดีขึ้นแล้วเหรอถึงไม่ใส่เสื้อไปนั่งเล่นกีต้าร์แบบนั้น”

ผมพยายามเลี่ยงไม่มองแผ่นอกขาวกระจ่างเบื้องหน้า

“มึงคุยกับผ้าปูเหรอ”

ฝ่ายนั้นพูดยิ้มๆ

“คุยกับกูก็มองหน้ากูสิ”

“ไปใส่เสื้อก่อนได้มั้ยเล่า”

การสบสายตากับพี่มันยังไงก็ตามมันต้องกวาดสายตาไปตรงแผ่นอกนั่นด้วย พาลให้ต้องขยับยุกยิกอยู่ไม่สุกต้องขยับถอยหลังจนแผ่นหลังไปชนกับหัวเตียง ฝ่ายนั้นก็เหมือนจะแกล้งถึงทำท่าขยับเข้ามาใกล้กัน

“ทำอะไรวะ”

“มึงหนีกูทำไมล่ะ”

“พี่เซียน ผมไม่เล่นนะเว้ย”

เพราะหลังชนแล้วจึงไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้อีก อีกฝ่ายก็ยังไม่หยุดแกล้งด้วยการขยับมาใกล้ไม่พอยังคร่อมตัวเหนือร่างกายผม

ทำคุณบูชาโทษชัดๆ พอหายป่วยมีเรี่ยวมีแรงแล้วกลับแกล้งผมเป็นการตอบแทนหรือวะ

“ไอ้พี่เซียน”

ไม่เรียกพี่แล้วโว้ย

“พูดดีๆ”

แยกเขี้ยวใส่อีกฝ่ายแม่ง

“ถอยออกไปเลยนะเว้ย นมพี่จะกระแทกหน้าผมอยู่แล้ว”

ฟังไม่ผิดหรอก นมพี่เซียนแม่งเป็นลูกเลย นมแน่นๆ ด้วยสัดเอ้ย หมั่นไส้นึกอย่างบีบสักที

“พูดจาน่าเกลียดจังวะไอ้เด็กลามก กว่าจะเล่นให้มีกล้ามได้เนี่ย มึงดันเรียกแผ่นอกกูว่านมซะได้”

ผมย่นคอหันหน้าหนี

“ไอ้เด็กแสบ”

“ผมเช็ดตัวให้พี่ทั้งคืนนะเว้ย”

ดันแผ่นอกพี่มันไว้เต็มแรง

“สำนึกบุญคุณผมบ้างเหอะ”

ฝ่ายนั้นพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะโน้มตัวลงมาใกล้แล้วกระซิบข้างใบหูจนขนอ่อนบริเวณพากันลุกเกรียว

“ขอบคุณ”

“...”

“ขอบคุณครับ”

“หน้าพี่แม่งไม่สำนึกในบุญคุณผมเลย”

“เปียว”

ปลายนิ้วเรียวยาวเกลี่ยแก้มผมเบาๆ

“อะไรวะ”

“อย่าบีบนมกู”

ผมอ้าปากพะงาบๆ ตวัดสายตามองมือตัวเองที่ดันออกพี่มันอยู่ ไอ้สัดดันไม่พอเสือกบีบเต็มไม้เต็มมืออย่างที่พี่มันบอกเลย

“เดี๋ยวก็บีบคืนซะหรอก”

“ห้ามเลย”

ผมถลึงตาใส่อีกฝ่ายผวายกมือปิดหน้าอกตัวเอง

“พี่แม่งสัปดนว่ะ พูดโต้งๆ ว่าจะบีบนมคนอื่นได้ยังไงวะ”

“กูพูดตอนไหนว่าจะบีบนมมึง”

“ก็เมื่อกี้...”

ผมหุบปากฉับ เมื่อเจอสายตาล้อเลียนของอีกฝ่าย

“กูพูดว่าจะบีบคืน แต่ไม่ได้พูดว่าจะบีบส่วนไหน”

“ส่วนไหนก็ไม่ให้บีบโว้ย”

ผมหาจังหวะมุดลอดวงแขนพี่มันออกไปแล้วถลาลงจากเตียงโดยไว ขณะที่ฝ่ายนั้นเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะนอนแผ่ไปกับเตียงแล้วประสานมือกับท้ายทอยท่าทางโคตรกวนตีน

“มึงชอบเพลงเดียวกับกูนะรู้มั้ย”

“...”

“มันเป็นเพลงที่กูเล่นบ่อยมาก”

ผมยืนอึ้งในหัวนึกถึงเนื้อเพลงนั้นทันที สายตาของพี่เซียนตอนนี้ไม่มีแววล้อเล่นต่างจากเมื่อกี้อย่างสิ้นเชิง ภาพใบหน้าขี้เล่นถูกแทนที่ด้วยความจริงจัง

“ผมถามอะไรพี่สักอย่างได้มั้ย”

“เอาสิ”

“ทำไมพี่ถึงขอเบอร์ผมวันนั้น”

‘โทรศัพท์กูมีปัญหา...ปัญหาคือไม่มีเบอร์มึงอยู่ในนี้’

“พี่ขอเบอร์ผมทำไม”

ขอ...แล้วโทรมาแค่ครั้งเดียวตอนที่น้องซอโดดเรียน

พี่เซียนผุดลุกนั่งแล้วมองตรงมาทางผม

“มึงไม่อยากให้กูโทรหาเหรอ”

“ก็พี่โทรมาแค่ครั้งเดียว”

ฝ่ายนั้นโคลงศีรษะไปมา

“แล้วกูโทรหามึงได้มั้ย” พี่เซียนขยับลุกแล้วเดินมาหยุดตรงหน้าผม “ถ้าไม่มีธุระกูโทรหาได้มั้ยล่ะ”

ผมรู้สึกว่าใบหน้าตัวเองร้อนผ่าวมากๆ

“พี่ยังไม่ตอบคำถามผม”

พี่เซียนถือวิสาสะเอื้อมมือไปคลึงขอบริมฝีปากผมโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว

“พี่ขอเบอร์ผมทำไม”

“ชอบ”

เสียงทุ้มนั่นเปล่งออกมาอย่างหนักแน่น

“กูชอบ...ก็เลยอยากจีบ”

ตรงมาก

ตรงสุดๆ

เหมือนหมัดน็อกกลางอากาศ หมัดนี้กระแทกใจผมเต็มๆ

“กูจีบได้มั้ย”

ปลายนิ้วนั่นยังคลึงนิ้วกับขอบปากผมอยู่อย่างนั้น

“พี่ชอบเพลงเดียวกับผมไม่ใช่เหรอ”

พี่เซียนเลิกคิ้วมองผม

“ถ้าชอบก็ต้องเคยทั้งฟังและเล่นเพลงนี้บ่อยๆ”

“...”

“ถ้าชอบก็ต้องรู้ว่ามันร้องยังไง”

“คำตอบมึงล่ะ”

“คำตอบผม...”

ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเงยหน้าสบตาพี่มัน

“คือท่อนฮุกของเพลงนี้...ไอ้พี่ยักษ์”

ผมยักคิ้วสองทีขณะที่ฝ่ายนั้นเลิกคิ้วน้อยๆ ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างดัง

“หมูอวกาศเอ้ย”

พูดไม่พอยังโยกศีรษะ เหมือนภาพนั้นในอดีตที่ผ่านมา

‘มึงชอบมายมิ้นท์ของพี่ยักษ์ที่สุด’

ผมยิ้มตาหยีเมื่อนึกถึงเจ้าของคำถามที่โยกหัวกลมๆ ของเจ้าของฉายาหมูอวกาศในวันวาน

ความรักก็เหมือนดนตรี

บางเพลงฟังครั้งแรกแล้วกลับไม่ชอบใจ แต่บางเพลงแค่ทำนองขึ้นไม่เท่าไหร่ก็ทำให้เราตกหลุมรักได้ทันที

 

‘เธอเอาใจฉันไป เธอกุมมันเอาไว้ 

เธอเอาใจฉันไป โอ๊ะ โอ๊ะ โอ โอ โอ’




Loading 60%
เครดิตเพลง "เธอเอาใจฉันไป" - 25 hours
__________________

ขออนุญาตอัพ 60% ก่อนน้า ยังรีไรท์ไม่เสร็จ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะอัพเพิ่มให้ครบ 100% นะคะ
ใครหวีดในทวิตฝากติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยน้า
และขอบคุณทุกความคิดเห็นที่เมนต์เป็นกำลังใจให้เรานะคะ ช่วงนี้ไวรัสระบาดดูและสุขภาพกันด้วยน้า ออกจากบ้านใส่หน้ากากกันด้วย หวังว่าพี่เซียนน้องเปียวจะทำให้คนอ่านได้ยิ้มกันเยอะๆ ในช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบนี้น้า


หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่14.1 l 23/3/63 l P.5 [UP] 60%
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 23-03-2020 23:39:02
หมูอวกาศ กับ พี่ยักษ์,,,
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่14.1 l 23/3/63 l P.5 [UP] 60%
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 24-03-2020 18:07:32
จีบมาตั้งนานยังต้องขออีกเหรอ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่14.1 l 23/3/63 l P.5 [UP] 60%
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 24-03-2020 19:26:17
พี่เซียนรุกหนักรุกแรงมาก
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่14.1 l 23/3/63 l P.5 [UP] 60%
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 24-03-2020 19:50:13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่14.1 l 23/3/63 l P.5 [UP] 60%
เริ่มหัวข้อโดย: kenghan ที่ 24-03-2020 23:31:24
ที่อ่อยๆไปนี่คือยังไม่จีบแค่ขุดหลุมให้ตกเหรอ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่14.1 l 23/3/63 l P.5 [UP] 60%
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 25-03-2020 01:36:37
น้องจำพี่ได้แล้ววว  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่14.2 l 30/3/63 l P.5 [UP] ครบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 30-03-2020 21:55:55
-  J E E B -

(ต่อ) 40%


[อ๋อง]

 

คาเฟ่สไตล์สวนแบบอังกฤษตั้งอยู่ใจกลางเมืองมีการตบแต่งสไตล์วินเทจการ์เด้นท์ดูร่มรื่นไม่น้อย เพราะตกแต่งด้วยการนำไม้ดอกและไม้ใบมาจัดตกแต่งเข้ากันอย่างกลมกลืน บริเวณหน้าร้านมีน้ำพุเป็นจุดเด่น ตรงมุมๆ หนึ่งมีรูปปั้นของเทพเจ้าแห่งความรักตั้งอยู่ท่ามกลางไม้พุ่มหลากสี ด้านหลังนั่นเป็นทุ่งดอกไม้มีรั้วขาวเรียงรายเป็นแนวคล้ายกำแพงมองโดยรวมแล้ว้เสมือนภาพสวนอังกฤษแบบชนบท ผมเดินผ่านลานน้ำพุนั่นมาจนถึงประตูไม้บานกระจกแล้วผลักที่จับประตูเข้าไปพบกับความเย็นจากแอร์คอนดิชั่นวิ่งเข้ามาปะทะใบหน้า

เจ้าของร้านที่กำลังก้มๆ เงยๆ ตรงหน้าเคาน์เตอร์เงยหน้าขึ้นมาร้องสวัสดีตอนที่โมบายซึ่งแขวนอยู่ตรงประตูร้านดังขึ้น ผมเลยยกมือไหว้อีกฝ่ายเป็นเชิงทักทาย ตอนที่วาดมือลงนั่นแหละเจ้าของร้านถึงกับร้องอุทานออกมาก่อนจะกระวีกระวาดสาวเท้าตรงเข้ามาหา

“ทำไมหน้าถึงเป็นแบบนั้นล่ะอ๋อง”

น้ำเสียงทุ้มติดแหบแบบผู้ชายแต่ท่าทางตุ้งติ้งบ่งบอกว่าไม่ใคร่จะแมนนักบ่งบอกว่าเป็นผู้ชายหัวใจสาว มือเรียวที่ตกแต่งอย่างดีแตะที่หัวไหล่แล้วถามสีหน้าติดกังวลไม่น้อย ความห่วงใยที่อีกฝ่ายมีให้ทำให้ผมนึกละอายใจเพราะวันนี้เข้างานเลทพอสมควรจากปกติสิบโมงเช้า แต่ผมดันโผล่มาที่ร้านซึ่งทำพาร์ทไทม์เป็นพนักงานเสิร์ฟและชงกาแฟตอนบ่ายโมงกว่า

“อุบัติเหตุนิดหน่อยครับ”

ผมโกหก

“โกหกพี่หรือเปล่า ทำไมทั้งคิ้วทั้งปากถึงได้แตกยับแบบนี้”

สภาพใบหน้าของผมเป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูดนั่นแหละหัวคิ้วด้านขวาบวมช้ำดีกว่าไม่ไม่ใช่แผลใหญ่ถึงสามารถใช้พลาสเตอร์ปิดแผลปิดทับร่องรอยนั่นได้บางส่วน ส่วนมุมปากนั่นก่อนหน้านี้มีเลือดซึมจนต้องถ่มน้ำลายทิ้งไปหลายรอบดีว่าตอนนี้เลือดในปาดหยุดไหลไปแล้ว แต่อารามรีบร้อนกลัวจะเลทมากไปกว่านี้ถึงได้ละความสนใจด้วยการปล่อยไว้แบบนั้นแล้วหอบเอาใบหน้ายับเยินนี่มาทำงาน

“ผมหกล้มน่ะพี่”

“พี่โชค” เจ้าของร้านทำหน้าไม่เชื่อนักหรอกแต่เพราะผมปิดปากเงียบพี่แกถึงได้เอาแต่ถอนหายใจ

“ผมขอโทษที่เข้างานช้านะครับ”

พูดพลางยกมือไหว้อีกฝ่าย

“ช่างเถอะ ยังไงไปทำแผลปิดพลาสเตอร์ที่ปากสักหน่อยแล้วกันค่อยมาทำงาน ไปเดี๋ยวพี่ทำแผลให้”

“เดี๋ยวผมทำแผลให้อ๋องเองพี่โชค”

เสียงทุ้มที่ดังมาจากข้างหลังเล่นเอาผมสะดุ้งโหยง เพราะมัวแต่มุ่งความสนใจไปที่เจ้าของร้านโดยไม่ได้กวาดสายตามองโดยรอบเลยไม่เห็นว่าลูกพี่ลูกน้องของพี่โชคคนที่ฝากงานให้ผมมาทำงานพิเศษที่นี่นั่งอยู่มุมนั้น พี่ดลในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงสแล็คสีน้ำเงินดูสุภาพ แต่การแต่งกายแบบนั้นในความคิดของผมมันดูติดสำอางราวกับคุณชายจากวังเจ้าวังนายก็ไม่ปาน

“มาสิ”

ฝ่ายนั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าก่อนจะแตะศอกเป็นการเรียกสติแล้วพยักพเยิดใบหน้าไปยังโต๊ะที่เจ้าตัวจับจองอยู่ก่อนหน้านี้ สีหน้าท่าทางของลูกชายเพื่อนแม่ทำให้ผมต้องหลุบตามองพื้น ยอมรับเลยว่าไม่กล้าสบตากับอีกฝ่ายตรงๆ แววตาที่มองนิ่งๆ แต่ความนิ่งนั่นเหมือนมองทุกอย่างออกอย่างทะลุปรุโปร่ง 

พี่ดลเดินไปหลังร้านก่อนจะกลับมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาล ใบหน้าเรียบเฉยนั่นดูน่ากริ่งเกรงไม่น้อยขนาดว่าพี่โชคที่พูดเก่งและชอบชวนลูกพี่ลูกน้องหน้านิ่งนี่คุยอย่างสนุกสนานครั้งนี้ยังหุบปากฉับทำเนียนไปรับออเดอร์ลูกค้าใหม่ที่เข้ามาในร้าน ทิ้งให้ผมนั่งนิ่งอยู่กับความอึดอัด 

คนตรงหน้าไม่พูดอะไรสักคำตอนที่แกะพลาสเตอร์ตรงหัวคิ้วข้างหนึ่งออก สภาพมันคงดูไม่จืดเท่าไหร่ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงไม่ทำหน้านิ่ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมหลุดปากพูดอะไรออกมาสักคำ มือใหญ่แต่การกระทำแผ่วเบาเหลือเกินตอนที่แตะสำลีชุบแอลกอฮอล์ทาวนรอบแผลอย่างใจเย็น

“เจ็บเหรอ”

คงเพราะผมหลุดสะดุ้งถึงทำให้ฝ่ายนั้นละมือออก

“นิดหน่อยครับ”

“อืม”

พี่ดลทำแผลต่อไปโดยไม่พูดออก แน่นอนว่าบรรยากาศแบบนี้โคตรอึดอัดจนผมทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายที่เริ่มบทสนทนา

“แค่หกล้ม”

ผมเม้มปากแน่น

“ไม่ได้เจ็บมากหรอก”

“เหรอ”

พี่ดลจ้องหน้าผมนิ่ง

“แค่หกล้มงั้นเหรอ”

แววตาราบเรียบที่แฝงไปด้วยความจริงใจจนผมต้องเบือนหน้าหนี

“ทำไมไม่ถามผมล่ะ”

“ถามอะไร”

“ถามว่าผมกำลังโกหกพี่อยู่หรือเปล่า”

“ไม่จำเป็น”

คราวนี้อีกฝ่ายเอาสำลีชุบเบตาดีนแล้วแตะที่บริเวณแผลเบาๆ 

“ถ้าเราอยากเล่า...เราคงเล่าให้พี่ฟังเอง”

ผมถอนหายใจแล้วเหลือบตามองอีกฝ่าย

“ผมหกล้ม”

“งั้นคราวหน้าก็เดินระวังหน่อย”

พี่ดลรู้ว่าผมโกหก สีหน้าแบบนั้นเหมือนจะรู้ทันผมไปหมดซะทุกอย่าง

“ถ้าล้มแรงๆ แบบนี้มันคงเจ็บไม่น้อย”

เจ็บสิ

โคตรเจ็บเลย

ผมเม้มปากแน่นตอนที่ฝ่ายนั้นเลื่อนปลายนิ้วมาเกลี่ยแผลที่มุมปาก

“ข้างในเป็นแผลรึเปล่า

“...”

“ฟันยังอยู่ดีใช่มั้ย”

“...”

“ท่าทางจะล้มถูกมุมไปหน่อยนะ มันถึงเป็นแผลรุนแรงขนาดนี้ รอยเหมือนหมัดคนชัดๆ”

พี่ดลสบตาผมนิ่ง

“เจ็บมั้ย”

ผมพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้

“ถ้ารู้ว่าล้มแล้วมันจะเจ็บ ก็อย่าทำตัวเองให้ต้องล้มอีก”

“พอเถอะ”

ผมเบือนหน้าหนี

“ทั้งๆ ที่รู้ว่าผมโกหก”

ผมกลืนน้ำลายลงคอ

“แต่ทำไมพี่”

“เพราะพี่เชื่อใจ”

ผมกำหมัดแน่น

“พี่บอกเราเสมออ๋องว่าพี่กับแม่เป็นห่วงและหวังดีกับเรา ขอแค่อ๋องเชื่อใจและไว้ใจพี่ก็พอ”

โคตรแย่เลย

ความรู้สึกแบบนี้โคตรแย่ มันทำให้ผมใจสั่นและหวั่นไหวไปพร้อมๆ กัน ผมกลัวความรู้สึกแบบนี้ที่สุด การมีใครอีกคนก้าวเข้ามาในเซฟโซนที่คิดว่ามันเคยปลอดภัยมาตลอด มันทำให้กำแพงในใจผมสั่นไหว

คนตรงหน้าให้ความรู้สึกปลอดภัย

คนๆ นี้ใส่ใจผมมากเกินไป

เกินไปแล้วที่จะรับไหว...เกินต้านทานหรือเกิน

ใจคนเรามันเป็นแค่ก้อนเนื้อไม่ใช่หินผาต่อให้บังคับให้มันแข็งแกร่งเท่าไหร่มันก็แค่ก่อนเนื้อ การได้รับความรู้สึกดีๆ และการเอาใจใส่มันย่อมให้คนเราหวั่นไหวได้อย่างง่ายดายแบบผมในตอนนี้


- J E E B -

40% ที่เหลือนะคะวันนี้มาต่อให้จบ + ตอนที่ 15 ด้วย
หวีดในทวิตแล้วติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยน้า
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่15 l 30/3/63 l P.5 [UP] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 30-03-2020 22:03:00
- จีบที่15 -

 

“ทำไมพี่ถึงรู้ว่าเป็นผมล่ะ”

ผมถามอีกฝ่ายตอนที่กำลังตอกไข่ใส่โถชามเพื่อทำออมเล็ตก่อนจะหยิบเอาพริกหยวก หอมใหญ่และมะเขือเทศสับหยาบๆ แฮมหั่นลูกเต๋าอีกหยิบมือนึงมาตีผสมกัน ก่อนจะปรุงรสนิดหน่อยแล้วเติมนมจืดผสมเข้าไปอีกเล็กน้อย หลังจากนั้นตั้งกระทะเอาเนยลงไปละลาย พอกระทะร้อนจนเนยละลายแล้วก็เทไข่ที่ผสมเรียบร้อยแล้วลงกระทะจนเกิดเสียงดังฉ่าเมื่อเนื้อไข่สัมผัสกับผิวของกระทะ

ระหว่างนั้นคนถูกถามก็สาวเท้าเดินมายืนใกล้ๆ กัน จนรู้สึกได้ความร้อนที่แผ่ออกมาจากแผ่นอกเปล่าเปลือยของอีกฝ่าย จนป่านนี้แล้วไอ้พี่เซียนก็ยังไม่ยอมไปหาเสื้อมาใส่ ดูเหมือนพี่มันจะพออกพอใจที่ได้โชว์เนื้อหนังมังสา อวดลายกล้ามเนื้อสวยๆ ให้ผมได้มองจริงๆ 

“ออกไปไกลๆ ผมเลยมันร้อน”

ผมบ่นให้เจ้าของห้องก่อนจะหันไปใส่หยิบขนมปังใส่เตาปิ้งแล้วปรับเวลากดปุ่มให้มันเริ่มต้นการทำงานก่อนจะหันมาสนใจออมเล็ตในกระทะที่เริ่มสุกและสีสวย

“สายผูกเอวผ้ากันเปื้อนมันหลุด”

“อย่ามาเนียนยืนซ้อนหลังแล้วผูกผ้ากันเปื้อนให้ผมนะเว้ย”

ผมหันมาค้อนให้พี่มัน

“มุกโบราณมาก”

เจ้าของห้องหัวเราะร่วนก่อนจะยักไหล่

“เพราะอย่างนี้ไง ถึงรู้ว่าเป็นมึง”

พี่เซียนขยับถอยห่างไปยืนกอดอกเท้าเอวกับขอบเคาน์เตอร์ไม่ไกลจากเตาไฟ ผมชะงักมือที่กำลังใช้ไม้พายม้วนไข่เป็นทรงรีทันที

“ยังไงนะ”

“หน้าตาตื่นๆ น่าแกล้งมาตั้งแต่ไหนแต่ไรไม่เคยเปลี่ยน”

“เอาดีๆ ดิพี่”

แยกเขี้ยวให้แม่งเลย “พี่รู้ป่ะผมยังอดคิดไม่ได้เลยนะ ป่านนี้ได้พี่ยักษ์แม่งคงแต่งงานมีลูกมีเมียไปแล้ว ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี ไม่นึกว่าพี่จะมายืนเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่แบบนี้”

พี่มันยักไหล่

“ปิดเทอมหลังจากนั้นกูไปบ้านปู่อีกครั้ง แต่มันไม่ทันแล้ว เพราะปู่บอกว่าครอบครัวมึงย้ายไปแล้ว”

พี่เซียนพูดยิ้มๆ รอยยิ้มนั่นทำให้ผมยิ้มตาม ยังจำได้ไม่ลืมว่าตัวเองร้องไห้หนักขนาดไหนตอนที่รับรู้จากแม่ว่าจำต้องย้ายบ้าน ย้ายโรงเรียนเพื่อติดตามพ่อซึ่งถูกย้ายไปที่ทำงานใหม่

ผมประท้วงด้วยการไม่กินข้าวเป็นอาทิตย์ (ถึงแม้จะแอบกินขนมก็เถอะ) ความเอาแต่ใจแบบเด็กๆ นั่นไม่เป็นผลสุดท้ายหรอก เพราะสุดท้ายผมต้องละทิ้งความทรงจำในวันวานเพื่อติดตามบิดาไปในที่สุด

“ถามคนแถวนั้นก็รู้แต่ว่าพ่อมึงย้ายไปรับตำแหน่งที่อื่น ไม่มีที่อยู่ติดต่อเลย”

“แน่สิ ตอนนั้นยังเด็ก เบอร์มีก็ทำหาย เขียนจดหมายก็ไม่เป็น”

ผมพูดถึงความหลัง

“เดี๋ยวนะ แสดงว่าพี่ก็พยายามตามหาผมน่ะสิ”

ผมยิ้มจนตาหยี

“กูยังติดค้างเด็กอ้วนนั่นนี่หว่า”

“...”

“กูสัญญาว่าเจอกันครั้งหน้าจะซื้อมายมิ้นท์มาให้ เด็กอะไรกินจนตัวบวมแล้วยังร่ำร้องหาแต่ลูกอมรสยาสีฟัน”

“ตอนนี้ก็เจอแล้วนี่”

ผมแบมือยื่นไปตรงหน้าพี่มัน

“ไหนล่ะมายมิ้นท์”

“วันนี้ไม่มี”

พี่เซียนส่ายหัว

“จะมีของแบบนั้นในห้องกูได้ยังไง เกลียดขนาดนั้น”

“แต่ผมชอบนะ”

นึกถึงลูกอมรสมิ้นท์รสชาติเย็นๆ อบอวลในปากไปด้วยกลิ่นนมผสมกลิ่นมิ้นท์แล้วรู้สึกดีบอกไม่ถูก

“ชอบลูกอมหรือชอบกู”

ผมเบะปากให้ทันที

“ชอบลูกอมดิ”

“เหรอ”

ผมแกล้งหันกลับไปสนใจไข่ในกระทะต่อ

“กูก็หลงดีใจ”

“...”

“นึกว่ามึงชอบกู”

บ้าเอ้ย

เผลอกัดริมฝีปากตัวเองจนเจ็บ

ผมพยายามประคองไม้พายในมือไม่ให้สั่นทั้งที่รู้สึกว่ามันบังคับได้ยากเต็มที ไม่ต้องพูดถึงใบหน้าตัวเองที่กำลังเกร็งไม่ให้ขยับรอยยิ้มมากเกินไป...เดี๋ยวใครบางคนแถวนี้จะได้ใจ

.

.

มื้อเช้านั้นจบลงแล้วได้ไม่นานเสียงกดออดที่หน้าประตูห้องก็ดังขึ้น พี่เซียนเดินไปคว้าเอาเสื้อกล้ามที่ตกอยู่บนโซฟาขึ้นมาสวมใส่ขณะที่ผมยืนล้างจานอยู่ ไม่รู้ว่าแขกยามสายเป็นใคร แต่หลังจากเปิดประตูนั้นไม่นานเสียงฝีเท้าคนมากกว่าหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับเสียงดังโหวกเหวก ผมทำหน้าไม่ถูกตอนที่หันไปเผชิญหน้ากับพี่เดี่ยวและพี่อุ้มที่ต่างก็ทำหน้าประหลาดใจไม่น้อยที่เห็นผมปรากฏตัวอยู่ในห้องเพื่อนสนิทของตัวเอง

“ไอ้ห่าเซียน”

พี่เดี่ยวพูดขึ้นก่อนจะหันมาขยิบตาให้ผม

“มึงไปล่อลวงเด็กปีหนึ่งที่ไหนมายืนล้างจานให้วะ”

ผมยิ้มแหยทันที ยิ่งพี่อุ้มลุงรหัสดูจะสนใจประเด็นนี้เหมือนกันเลยหันมาเลิกคิ้วมองผมเป็นเชิงถาม

“เอ่อ”

“อย่าปฏิเสธว่าเพิ่งมานะเว้ย”           

ผมเกาหัวแกรกๆ ก้มมองตัวเองที่ยังอยู่ในชุดนอนของพี่มันแล้ววางหน้าไม่ถูก

“เสื้อตัวที่มึงใส่อยู่อ่ะ เสื้อไอ้เซียนชัดๆ เพราะกูเป็นคนซื้อให้มันเอง”

“ผม”

ขณะที่กำลังยืนอ้ำอึ้งหาข้อแก้ตัวไม่ถูก เจ้าของห้องก็เดินลากขามาอยู่ด้านหลังเพื่อนสนิทก่อนจะเหนี่ยวรั้งคอสองคนนั้นให้ขยับตรงโซฟาแทน

“เชี่ยไรเนี่ยไอ้เซียน น้องมันยังไม่ตอบคำถามกูเลย”

“มึงสงสัยอะไรมาถามกูนี่”

“ดี”

พี่เดี่ยวปัดมือพี่เซียนออกก่อนจะหันมามองหน้าผมสลับกับหน้าเพื่อนตัวเอง

“พวกมึงสองคนเป็นอะไรกัน”

“อย่าตอบว่าพี่น้องนะ คำตอบไม่สร้างสรรค์ ดูก็รู้ว่าเป็นเรื่องเท็จและค่อนข้างตอแหลมาก”

พี่อุ้มแม่ง

“ไม่ใช่”

“ไม่ใช่อะไร”

“ไม่ใช่พี่น้อง”

พี่เซียนตอบด้วยท่าทีสบายๆ

“กูเป็นอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่แค่พี่น้องกับมัน”

พี่เซียนโว้ย พูดเหี้ยอะไรแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นวะ

“คบกันแล้วเหรอวะ”

“เพิ่งขอมันจีบ”

ผมอ้าปากพะงาบๆ ตอนที่ไอ้ห่าพี่เซียนหันมายักคิ้วให้ผมสองที

“เล่นตัวจังวะไอ้น้องเปียว”

พี่เดี่ยวลูบคางตัวเองอย่างใช้ความคิดตอนที่หันมาพิจารณาผมอย่างถี่ถ้วน

“มองเหี้ยไร”

แน่นอนว่าผมไม่ใช่คนพูดประโยคนั้นแต่เป็นเจ้าของห้องที่พูดขึ้นมาลอยๆ

“ไอ้ห่ากูแค่มอง จะหวงอะไรนักหนา”

“มันขี้อาย”

ผมหน้าแดงสลับซีดบอกตรงๆ ว่าไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงในสถานการณ์แบบนี้ควรอายหรือควรโกรธตัวตนเหตุอย่างพี่เซียนดีที่ดันพูดคุยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่มันได้อย่างเปิดเผยแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น

“หวงก็บอกว่าหวง”

ผมกัดริมฝีปากตัวเองจนเจ็บ ยิ่งตอนที่พี่เซียนส่ายหัวแล้วเหลือบตามาทางผมแวบหนึ่งแล้วหันไปสนใจหน้าจอโน๊ตบุ๊คที่เปิดค้างไว้

“เด็กมันก็น่ารักสมกับที่มึงหวงจริงๆ นั่นแหละ”

“กูพูดตอนไหนว่าหวง”

“ไอ้สัตว์ กูเป็นเพื่อนมึงมากี่ปี”

พี่อุ้มส่ายหัวทันที

“เบาๆ หน่อยพวกมึง น้องมันยืนฟังอยู่”

ใช่ ฟังจนรู้สึกว่าตัวเองลีบเล็กเหมือนจะหดหายไปกับอากาศ ผมรู้ตัวเองดีว่าปฏิกิริยาร่างกายของตัวเองมันกำลังทำให้ผมขายหน้า

“ตอนหน้าแดงยิ่งน่ารัก”

ไอ้พี่เดี่ยวโดนพี่เซียนสะกิดที่หัวทีหนึ่งถึงจะไม่แรงนักแต่ก็ทำฝ่ายนั้นบ่นอุบ

“ขี้หวงไอ้สัด”

“เออ”

หือ?

ผมยืนอึ้งทันที

“เอออะไรวะ”

“เออ”

“...”

“กูหวง”

พี่เซียนไม่ได้หันมาพูดกับผมหรอก แต่อากัปกิริยานั่นเรียกรอยยิ้มจากเพื่อนทั้งสองของเพื่อนเซียน ผมเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะก้มหน้าเดินงุดๆ ออกไปที่ระเบียงห้อง

แม่งเอ้ย

จะห้ามใจได้ยังไง...ห้ามยังไงไม่ให้สั่นไหวกับเซียน ศกัณฐ์วะ

ผมยืนอยู่สักพักกำลังจะกลับเข้าไปพอดีกับที่พี่อุ้มเดินมาหยุดเท้าแขนกับขอบระเบียง

“บอกตรงๆ ว่ากูไม่คิดว่ามึงกับไอ้เซียนจะมีวันนี้ ก็เล่นกัดกันตลอดทุกทีที่เจอหน้านี่หว่า”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่

“อย่าว่าแต่พี่เลย ผมเองก็ยังไม่นึกด้วยซ้ำี้”

ผมคลึงขมับตัวเองแรงๆ

“มึงเริ่มหวั่นไหวกับมันใช่มั้ย”

เพราะพี่อุ้มเป็นรุ่นพี่ที่สนิท ผมเลยอดที่จะยอมรับไม่ได้

“โคตรๆ เลยพี่”

ผมพูดอย่างหมดแรง ขณะที่อีกฝ่ายขำออกมาเบาๆ ฝ่ายนั้นโยกศีรษะผมไปมาอย่างเอ็นดู

“ในฐานะที่กูเป็นเพื่อนสนิทมัน กูรับรองได้ว่ามันรู้สึกดีๆ กับมึงจริงๆ มันดูจริงใจกับมึงนะเปียว กูรับรองว่าเพื่อนกูไม่ใช่คนเจ้าชู้ มึงอาจจะคิดว่ากูพูดเข้าข้างเพื่อนตัวเอง แต่กูรับรองว่าเพื่อนกูไม่ใช่คนเลวร้าย ถึงมันดูไม่แยแสใครแต่การกระทำของมันให้เกียรติคนอื่นเสมอ”   

“ก็พอรู้”

“แต่ในฐานะที่มึงเป็นน้องสายรหัสกู กูเข้าข้างมึงเต็มที่เหมือนกัน มึงหวั่นไหวได้นะ แต่หากกลัวจะเผลอใจไปแล้วเจ็บ มึงมีสิทธิ์ปกป้องหัวใจตัวเอง ถ้าคิดว่าไม่ใช่หรือไม่แน่ใจในตัวเพื่อนกู มึงจะถอยหลังกลับไปเป็นแค่พี่น้องกับมันก็ได้ ไม่ว่ามึงจะอยู่ในฐานะอะไรกับมัน แต่มึงก็ยังน้องกูไอ้เปียว”

“เฮ้อ”

“ว่าแต่เพื่อนกูพอมีหวังบ้างมั้ย”

พี่อุ้มถามยิ้มๆ

“พูดตรงๆ นะพี่”

ลุงรหัสผมโคลงศีรษะไปมา

“ตอดเป็นปลาขนาดนี้ จะใจแข็งยังไงไหว”

ผมเบะปากทันทีเมื่อนึกถึงเจ้าของห้องที่ดูเหมือนจะมีอิทธิพลกับใจผมมากขึ้นทุกวัน

“ถ้ามันได้ยินคงดีใจนะ”

“เพื่อนพี่ไม่ได้ยินเร็วๆ นี้หรอก”

ผมส่ายหน้าหวือ

“ทำไมวะ”

“เพื่อนพี่อ่ะเจ้าเล่ห์ หลอกผมและแกล้งเนียนปกปิดเรื่องในอดีตมาตั้งนาน ผมไม่ยอมใจอ่อนให้ง่ายๆ หรอก”

“ขนาดไม่ใจอ่อน ยังถ่อมาเฝ้าไข้มันถึงนี่”

พี่อุ้มแซวผมหน้าตาย

“มันเป็นเหตุสุดวิสัยเหอะ”

“เอาที่มึงสบายใจเลย”

พี่อุ้มส่ายหัว

“พี่เซียนเหมือนหลุมพราง”

“แล้ว”

“ผมก้าวขาลงหลุมไปแล้วข้างหนึ่ง”

ผมถอนหายใจแรงๆ

“ส่วนอีกข้างกำลังจะตกลงไปในไม่ช้า”

พี่อุ้มหัวเราะทันทีกับสีหน้าปลกตกของผม

“เพื่อนพี่อ่ะตัวร้าย”

“...”

“ทำให้หวั่นไหว รู้อีกทีผมก็เผลอใจไปแล้ว”

ประโยคนี้นะรับรองเลยว่าถ้าพี่เซียนได้ยินคงยิ้มกว้างๆ นั่นคงทำให้หัวใจผมคันยุบยิบแน่ๆ แต่ผมจะไม่พูดออกไปให้ใครบางคนได้ใจหรอก

.

.

“อยู่กินข้างเที่ยวด้วยกันก่อนสิ กูฝากรุ่นน้องที่จะมาช่วยงานมันซื้อมาให้ อีกเดี๋ยวคงถึงแล้ว”

เพราะเห็นว่าพวกๆ พี่ๆ มารวมตัวกันอยู่ที่ห้องพี่เซียนเพื่อทำรายงานผมเลยกะว่าจะขอตัวกลับ แต่พี่เดี่ยวซึ่งผมเพิ่งรู้ว่าพี่มันอยู่คอนโดเดียวกับพี่เซียนเป็นคนเอ่ยท้วงขึ้นมาก่อน อีกทั้งพี่เซียนยังบอกว่าช่วงเย็นๆ จะไปส่งผมกลับหอเอง สุดท้ายผมเลยนั่งเล่นเกมกับพี่อุ้มที่ปากบอกว่ามาช่วยเพื่อนทำรายงานแต่ผมเห็นพี่แกนอนเล่นเกมเฉย จนประมาณเที่ยงกว่าๆ รุ่นน้องพี่้เดี่ยวที่นัดมาช่วยงานมาถึงแล้ว ฝ่ายนั้นเลยลงไปรับ

“อยากกินเฟรนช์ฟรายทอดว่ะ”

พี่อุ้มเปรยออกมาแล้วผุดลุกขึ้นเดินไปโซนครัวทันที ผมจำได้ว่าก่อนหน้านี้พี่แกหิ้วเฟรนช์ฟรายถุงใหญ่แบบสำรวจรูปที่หาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตมาด้วย เดาได้ไม่ยากว่าฝ่ายนั้นคงเตรียมมากินเล่นระหว่างวันแน่ๆ ตอนที่โผล่เข้าไปพี่อุ้มกำลังเทเฟรนช์ฟรายที่ฟรีซมาอย่างดีในถุงเทใส่หม้อทอดไร้น้ำมันก่อนจะเลื่อนปุ่มตั้งเวลาทอดและอุณหภูมิที่ใช้ในการทอด ดูเหมือนว่าพี่อุ้มจะหยิบจับอุปกรณ์ที่เคาน์เตอร์นี้ได้อย่างคล่องแคล่วราวกับว่าคุ้นชินกับการใช้อุปกรณ์ดังกล่าว เหมือนฝ่ายนั้นจะรู้ทันว่าผมคิดอะไรอยู่เลยพูดขึ้นมา

“กูอ่ะเป็นเบ้พวกมันประจำ”

พี่แกยักไหล่

“เวลามาเล่นเกมหรือทำงานที่ห้องไอ้เซียน พวกมันชอบโยนภาระให้กูหาข้าวหาน้ำให้พวกเวรนั่นกิน”

ดูแล้วคงจะเป็นแบบที่พี่แกว่านั่นแหละเพราะผมนึกภาพพี่เดี่ยวกับพี่เซียนทำกับข้าวไม่ออกเลยให้ตายสิ

“ไอ้เดี่ยวมันไม่ค่อยชอบกับข้าวแห้งๆ หรือไม่ร้อนเวลากิน ส่วนไอ้เซียนมันไม่ชอบกินเผ็ด เอ่อ อันนี้มึงน่าจะรู้อยู่แล้วเนอะ”

ฝ่ายนั้นเอ่ยแซว

“พวกพี่สนิทกันมากี่ปีแล้วอ่ะ”

“ตั้งแต่มัธยม อยู่ห้องเดียวกันมาตลอดจนถึงม.ปลาย จริงๆ ไม่อยากสนิทกับพวกแม่งหรอก แต่คบๆ กันไปสักพัก พอมองไปรอบๆ ตัวไม่มีใครคบแล้ว เลยจำใจต้องเป็นเพื่อนพวกมัน”

ผมยิ้มตามจนตาหยี

“กูเคยเล่าให้มึงฟังรึยังว่ากูเคยหนีไปเวิร์คแอนด์เทรเวลช่วงปิดเทอมโดยไม่บอกพวกแม่ง พอกลับมาไอ้สองตัวนั่นพากันดัดหลังทิ้งให้กูกินข้าวคนเดียวเเกือบเดือน มันบอกว่าโทษฐานที่กูทิ้งมันไปไม่บอก มันเลยเอาคืนด้วยการทิ้งให้กูกินข้าวคนเดียว”

“แล้วพี่ไม่โกรธหรือ”

“ไม่อ่ะ”

พี่แกยักไหล่

“เพราะสุดท้ายพวกมันก็มานั่งกินข้าวด้วยกันอยู่ดี”

มันคือมิตรภาพไง

ความสัมพันธ์แบบเพื่อน...มันงดงามเสมอนั่นแหละ

ผมละความสนใจจากพี่อุ้มทันทีตอนที่ได้ยินเสียงคุ้นหูดังขึ้นที่ห้องนั่งเล่น ตอนที่ชะโงกหน้าออกไปผมถึงกับชะงักเมื่อเห็นไอ้โต้งหิ้วอะไรไม่รู้เต็มมือเดินมาพร้อมกับพี่เดี่ยว

ไหนว่าพี่เดี่ยวลงไปรับรุ่นน้อง

หรือว่า

“ไอ้เปียว”

ไอ้โต้งร้องทักผมสายตามันหรี่มองผมแล้วกดยิ้มมุมปากเหมือนเจอเรื่องสนุกๆ แน่นอนว่าการที่ผมปรากฏตัวอยู่ในห้องของพี่เซียนตอนนี้ทำให้มันแคลงใจไม่น้อย 

“มาได้ไงวะ”

“เพื่อนมึงมันมาเฝ้าไข้ไอ้เซียนตั้งแต่เมื่อคืน”

คนตอบคือพี่เดี่ยว

“อ๋อ”

ไอ้เปรตนี่ยิ้มน้อยๆ มันก่อนจะมองเลยไหล่ผมไปแล้วยิ้มกว้าง นั่นทำให้ผมต้องเอี้ยวตัวหันหลังไปเห็นพี่อุ้มที่กำลังทำหน้าเหม็นเบื่อเพื่อนสนิทของผมแล้วเดินผละกลับไปสนใจเฟรนช์ฟรายทอดทันที 

“ผมเอาของไปเก็บที่ครัวก่อนนะพี่”

ไอ้โต้งหันไปพูดกับเจ้าของห้องก่อนจะเดินตามพี่อุ้มไปติดๆ ถึงแม้ระหว่างทางที่เดินผ่านผมไปมันยังทำปากขมุบขมิบเดาได้ว่า ‘เดี๋ยวกูมาซักเรื่องของมึงกับพี่เซียน’

ผมเบะปากหายใจไม่ทั่วท้องเท่าไหร่กับสายตาล้อเลียนของมัน ผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นพักหนึ่งก่อนจะเดินตามสองคนก่อนหน้านี้ไปยังโซนครัว ยังไม่ทันจะพ้นมุมห้องเสียงบทสนทนาของสองคนนั้นก็เรียกให้ผมหยุดนิ่งเหมือนมีใครมาตอกหมุดให้ติดกับพื้น

“เลิกยุ่งกับกูเถอะ”

“ใจร้ายว่ะ”

“กูพูดจริงๆ นะไอ้โต้ง”

น้ำเสียงพี่อุ้มเรียบราบแต่ดูจริงจัง ถึงมองไม่เห็นสีหน้าพี่แกเพราะถูกแผ่นหลังกว้างของไอ้โต้งบดบังจนมิดแต่ผมเดาได้ไม่ยากว่าลุงรหัสผมคงกำลังมุ่นหัวคิ้วแล้วจ้องใบหน้าคู่สนทนาอยู่

“ไหนพี่บอกว่าให้โอกาสผมไง”

“ไม่มีประโยชน์หรอก”

“ทำไม”

“เรื่องของกูกับมึงมันก็เหมือนกลับไปอ่านหนังสือเล่มเก่านั้นแหละ ผลลัพธ์มันคงจบเหมือนเดิม บทสรุปเรื่องราวแบบเดิมๆ”

หือ?

สองคนนั่น

“ผมขอจีบพี่อีกครั้ง”

“มันจบไปเป็นปีแล้ว กูไม่อยากรื้อฟืนอีก”

เดี๋ยวนะ

ทำไมบทสนทนานั่นมันเหมือนว่าสองคนนั้นเคยคบกันมาก่อน ผมเผลอขยับถอยหลังก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อไปชนเข้ากับกำแพงมนุษย์ ขณะที่เผลออุทานออกมานั่นฝ่ามือใหญ่ก็เลื่อนมาปิดปากผมเอาไว้ ผมยืนใจสั่นตอนที่หันไปเห็นว่าคนที่ยืนซ้อนหลังกันอยู่คือพี่เซียน

“พี่...”

ผมทำหน้าสับสนเพราะยอมรับว่าคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินบทสนทนาทำนองว่าทั้งคู่เคยคบหากัน

“พี่เซียน สองคนนั่น”

“เรื่องของเขา”

พี่เซียนพูดเบาๆ ก่อนจะแตะไหล่ผมให้ออกเดิน ตอนที่กลับมาตรงห้องนั่งเล่นดูเหมือนว่าพี่เดี่ยวจะไม่อยู่แล้ว

“มันไปเอาชีทที่ห้องน่ะ”

พี่เซียนพูดขึ้นตอนที่เห็นผมมองไปรอบๆ

“พี่”

“หือ”

“เมื่อกี้คือ”

ผมลังเลใจที่จะพูดไป

“สองคนนั่นเคยคบกัน”

พี่เซียนพูดเสียงเรียบแต่แววตาไม่มีแววล้อเล่นเลย

“แล้ว...”

“ไม่ใช่เรื่องของกูกับมึง”

“แต่ว่า”

“จะรักหรือจะเลิกเป็นเรื่องของคนสองคน นอกจากนั้นคือคนอื่น เหมือนเรื่องของกูกับมึงจะคบไปต่อหรือพอแค่นี้ก็เป็นเรื่องของเรา”

ผมหน้าแดงวาบขึ้นมาทันที

“พูดเรื่องไอ้โต้งกับพี่อุ้มแล้วทำไมอยู่ๆ วนมาเรื่องผมวะ”

“กูไม่สนใจเรื่องคนอื่น แต่สนใจแค่เรื่องของกูกับมึงเท่านั้น”

“พี่”

ผมทำหน้าไม่ถูก ขณะที่พี่เซียนสีหน้าดูสบายๆ

“เคยคิดเรื่องจะเป็นแฟนกูมั้ย”

เหี้ย

หน้าผมตอนนี้คงเหี้ยมากๆ ว่ะ เล่นอ้าปากหวอขนาดนี้

“มะ ไม่เคย”

“งั้นคิดซะ”

“...”

“อีกไม่นานหรอก”

“ทำไม”

“จะขอเป็นแฟน”

พี่เซียนพูดหน้าตาย แต่ผมคิดว่าตัวเองอาจจะตายไปแล้วเพราะช๊อกไม่น้อยกับคำพูดตรงๆ ของอีกฝ่าย และที่ยังนั่งหายใจเป็นสากเบืออยู่นี่คงเป็นกายหยาบ ยิ่งตอนที่พี่มันเอื้อมมือข้างหนึ่งมากุมมือผมเอาไว้แบบนี้

.

.

“เป็นแฟนกูมั้ย”

“พี่เซียน”

ผมครางเสียงแผ่ว

ตึก

ตึก

ตึก

“กูซ้อมพูดไว้ พูดจริงเมื่อไหร่จะได้คล่องๆ”

ไม่ไหวแล้วโว้ย

กลั้นยิ้มจนปวดแก้มแล้ว



- J E E B -
วันนี้ใจดีอัพเพิ่มให้อีกตอน หึหึ
หวีดในทวิตติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่14.2 + จีบที่15 l 30/3/63 l P.5 [UP] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 30-03-2020 22:51:56
ซ้อมขอเป็นแฟน,,,
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่14.2 + จีบที่15 l 30/3/63 l P.5 [UP] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: kenghan ที่ 31-03-2020 01:00:28
ตายตั้งแต่ประโยค “เคยคิดเรื่องจะเป็นแฟนกูมั้ย”
มาเจอประโยคซ้อมขอเป็นแฟนอีก เปียวไม่รอดแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่14.2 + จีบที่15 l 30/3/63 l P.5 [UP] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 31-03-2020 13:39:16
รับไม่ไหวๆอิพี่รุกแรงมาก
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่14.2 + จีบที่15 l 30/3/63 l P.5 [UP] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: mysun ที่ 04-04-2020 00:37:31
่รุกแรงมากกก แค่ซ้อมพูด ก้อเขินจนตัวบิดละ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่16 l 30/3/63 l P.5 [UP] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 06-04-2020 21:37:02
 

- จีบที่16 -

 

 

“เอาซูชิเซ็ทนี้ครับ”

พนักงานร้านอาหารญี่ปุ่นก้มหน้าจิ้มไปที่แท็ปเล็ตในมือทันที ก่อนที่เธอจะเงยหน้ายิ้มแย้มคอยท่ารอรับออเดอร์ต่อไป

“ทงคัตสึก็น่ากิน งั้นเอาที่หนึ่งครับ เออพี่เทมปุระของโปรดผมเลย ผมสั่งนะ”

ยังไม่ทันรอให้เจ้ามือเอ่ยปากอนุญาต ผมก็ถือวิสาสะหันไปสั่งเมนูดังกล่าวกับพนักงานทันที

“ฮือซาบะย่างซีอิ๊วแค่ได้ยินชื่อก็ได้กลิ่นหอมแล้วอ่ะ”

“ตะกละ”

ฝ่ายที่นั่งเงียบอยู่นานพูดขึ้น

“งั้นเอาซาชิมิของโปรดพี่อีกอย่างก็พอเนอะ”

ผมยิ้มตาหยี

“มันควรพอได้แล้วไอ้เปียว ก่อนหน้านี้มึงเพิ่งสั่งข้าวหน้าเนื้อกับราเมงไป”

“โห่ ไหนบอกจะเลี้ยงข้าวผมไง”

“ไอ้เลี้ยงน่ะเลี้ยงอยู่แล้ว แต่ถ้ามึงสั่งมาแล้วกินไม่หมด กูจะให้มึงล้วงคออ้วกแล้วยัดให้หมดนะ”

ผมเบะปากให้อีกฝ่ายทันทีเล่นเอาพนักงานที่รับออเดอร์ต้องกลั้นยิ้มก่อนจะผละออกไป ส่วนเจ้ามือที่เคยรับปากว่าจะเลี้ยงข้าวผมก่อนหน้านี้เพียงแค่ยักไหล่ตามสไตล์ พี่ชายข้างบ้านคนนี้รู้นิสัยผมดีว่าการนั่งยิ้มเงียบๆ แล้วมองผมทำท่ากระฟัดกระเฟียดสักพักหนึ่งผมก็จะหายเอง ยิ่งถ้ามีขนมของโปรดอย่างของกินประเภทที่มีมิ้นท์เป็นส่วนผสมด้วยแล้วล่ะก็ ผมมึนตึงได้ไม่นานหรอก

นั่นไงพอนึกถึงมิ้นท์ ์ห่อลูกอมมายมิ้นท์ถุงใหญ่ก็ถูกยื่นมาตรงหน้า

“อ่ะ”

พี่ปั๊บพยักพเยิดไปที่ของในมือตัวเอง

“กินแล้วจะได้อารมณ์ดีเหมือนหน้าตากู”

ผมส่ายหัวทันที

“พูดไปนั่น”

ถึงอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยืนมือไปรับของดังกล่าว

“แต่ยังไงก็ขอบคุณนะพี่ที่อุตส่าห์ซื้อมาให้”

พี่มันส่ายหัวไปมาทันที

“วันก่อนกลับบ้านน้องกูฝากมาให้”

น้องสาวพี่ปั๊บก็รุ่นเดียวกับผมนี่แหละ แต่ฝ่ายนั้นสอบติดมหาวิทยาลัยแถวศาลายาเลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ ผมกับเธอเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ตัวกระเปี๊ยกหลังจากที่ผมย้ายมาจากเชียงใหม่นั่นแหละ 

“แม่มึงบ่นด้วยว่าพักหลัง มึงไม่ค่อยกลับบ้านเลย”

ผมยิ้มแหยทันทีเพราะช่วงเทอมแรกของการเรียนในระดับอุดมศึกษามันดูใหม่ไปหมดสำหรับผม ถึงพยายามปรับตัวให้เข้ากับสังคมและการเรียนแล้วแต่ยังก็จัดแบ่งเวลาไม่ได้อยู่ดี ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าปีหนึ่งมีกิจกรรมเยอะขนาดไหน ถึงแม่จะชอบบ่นว่าผมไม่ค่อยกลับบ้าน แต่ฝ่ายนั้นอีกนั่นแหละที่สนับสนุนให้ผมอยู่หอหลังจากที่เห็นผมเหน็ดเหนื่อยต้องเดินทางไปกลับระหว่างบ้านและมหาวิทยาลัยเกือบสัปดาห์ช่วงเปิดเทอมใหม่ๆ 

“เด็กเที่ยวเหรอวะไม่ค่อยกับบ้านเนี่ย”

“ก็เหมือนพี่ตอนปีหนึ่งแหละ”

ผมเบะปากใส่อีกฝ่าย

“ตอนพี่ปีหนึ่ง แม่พี่ก็มาบ่นให้แม่ผมฟังว่าพี่ไม่ค่อยกลับบ้าน”

“ก็กูมีซ้อมบอลแทบทุกเย็นที่หว่า”

“ข้ออ้างว่ะ”

ผมโยกศีรษะหลบฝ่ามือหนาของอีกฝ่ายที่หมายจะจับ

“อีกอย่างนะ ผมคุยกับแม่ทุกวัน ถึงแม่จะชอบส่งไลน์สวัสดีวันจันทร์เป็นรูปดอกไม้มาให้ก็เถอะ”

คราวนี้พี่ปั๊บขำใหญ่

“เหมือนแม่กูเลย”

ไม่เหมือนได้ยังไงก็เพิ่งหัดเล่นโปรแกรมไลน์เป็นกันได้ไม่นาน ดังนั้นจะให้พิมพ์ข้อความยาวๆ คงจะยากเกินไป การส่งรูปสวัสดีวันต่างๆ ดูจะง่ายกว่าตั้งเยอะ ผมนึกถึงคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ที่ยังใช้งานโปรแกรมแชทนั่นยังไม่คล่องเท่าไหร่ ทุกๆ วันเลยมีเรื่องขบขำจากการพิมพ์ตกพิมพ์ผิดให้ต้องเดาความหมายของคำนั้นๆ ถือว่าเป็นสีสันในแต่ละวันของคนอายุวัยเกษียณที่ทำให้รู้สึกเอ็นดูไปแล้วกัน

ระหว่างที่หวนนึกถึงเรื่องของพ่อแม่นั่นสายตาผมเหลือบไปเห็นอีกฝ่าย วันนี้ผมเห็นพี่ปั๊บมีเสื้อช๊อปสวมทับเสื้อนิสิตอีกชั้นดูแปลกตาไป เพราะทุกครั้งผมจะเจอพี่มันใส่ชุดไปรเวทไม่ก็ชุดกีฬาเป็นประจำ ยิ่งเวลากลับบ้านแต่ละทีผมไม่เคยเห็นพี่มันใส่ชุดนิสิตเลยด้วยซ้ำ เสื้อกีฬากับกางเกงบอลและรองเท้าสตั๊ดดูจะเป็นภาพที่ชินตามากกว่า มันชินจนผมลืมนึกไปว่าจริงๆ แล้วพี่มันเรียนวิศวะฯ 

เป็นไปได้ว่าน่าจะอยู่ชั้นปีเดียวกับพี่เซียนด้วยซ้ำ

ส่วนภาควิชานั่นผมไม่แน่ใจ

“มองหน้ากูทำไมวะ”

“พี่ปั๊บเรียนวิศวะฯ ภาคอะไรอ่ะ”

“ไฟฟ้า”

“คนละภาคกัน”

ผมงึมงำในลำคอจนฝ่ายนั้นมุ่นหัวคิ้ว

“อะไรคนละภาคกัน”

“คนรู้จักผมน่ะพี่ เค้าเรียนวิศวะฯ เหมือนกัน น่าจะรุ่นเดียวกับพี่”

“ใครวะ”

ผมยิ้มแหย

แค่คนรู้จักงั้นเหรอ

ถ้าไอ้พี่เซียนมาได้ยินจะถูกมันโกรธมั้ยวะเนี่ย ผมเกาหัวแกรกๆ นึกถึงภาพเหตุการณ์วันก่อนที่ถูกพี่มันซ้อมพูดขอเป็นแฟน เฮ้อ ความสัมพันธ์ของคนรู้จักกันประสาอะไรซ้อมขอกันเป็นแฟนวะ

“ไม่มีอะไรหรอก”

พี่มันทำหน้าไม่เชื่อเท่าไหร่แต่ก็ยอมปล่อยผ่านมันไปเพราะอาหารที่สั่งเริ่มทยอยมาเสิร์ฟที่โต๊ะ หลังจากนั้นหัวข้อสนทนาของพวกเราก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องอาหารทันที

“ไม่ลองกินหน่อยเหรอวะ”

ซาชิมิที่ถูกเลื่อนไปตรงหน้าเจ้ามือเป็นเมนูเดียวที่ผมไม่แตะเลย เพราะผมไม่ชอบกินของดิบ มันหยึยๆ ยังไงไม่รู้จนทำใจกลืนลงคอไม่ได้ ผมมักมีอาการพะอืดพะอมกับเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุกมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นตอนที่พี่ปั๊บคีบเนื้อปลาแซลมอนชิ้นพอดีคำสภาพสีชมพูดูสดใหม่นั่นไม่ได้ทำให้ผมนึกพิศสวาทขึ้นมาเลย

“ลองดู”

ผมส่ายหน้าหวือทันที

“มึงนี่ไม่รู้จักของดี”

“งั้นพี่ก็กินของดีที่ว่านั่นให้หมดเลย อ๊ะ”

ระหว่างเปิดปากเถียงนั่นแหละพี่ปั๊บยื่นเนื้อแซลมอนเข้าปากผมทันที เท่านั้นไม่พอยังปิดปากผมไม่ให้คายเมนูดังกล่าวทิ้งด้วย

“อื้อ”

ผมยื้อยุดกับพี่มัน แต่อีกฝ่ายกลับแกล้งด้วยการขยับมาใกล้ ยื้อกันไปอีที่ไหนไม่รู้พี่ปั๊บถึงโอบบ่าผมไว้แล้วยื่นทิชชู่มารองตรงมือให้ผมคายของในปากทิ้ง

“พี่แม่ง”

“กูขอโทษ”

พี่มันพูดไปหัวเราะไปก่อนจะยื่นน้ำให้ผมดื่มล้างปากตัวเอง ผมเลยมองอีกฝ่ายตาขวางและแอบด่าพี่มันในใจ พี่ปั๊บแม่งรู้ว่าผมไม่ชอบกินก็ชอบแกล้งยื่นใส่ปาก ไม่ก็ผสมกับอาหารเพื่อแกล้งผมตั้งแต่เด็กแล้ว 

“มึงนี่น่าแกล้งไม่เปลี่ยนเลย”

“มึงแกล้งอะไรเปียว”

ผมนิ่งไปเมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคยดังอยู่เหนือศีรษะผม และยิ่งน่าตกใจไปกันใหญ่เมื่อเงยหน้าขึ้นไปเห็นสีหน้าบึ้งตึงของพี่เซียน แววตาดุดันเข้มขึ้น ยิ่งตอนที่มองเลยผมไปสบสายตากับไอ้พี่ปั๊บ

เหมือนสองคนนี้รู้จักกันมาก่อน

“ปล่อย”

ปล่อยอะไรวะ

ผมจับต้นชนปลายไม่ถูกก่อนจะเข้าใจเมื่อมือข้างหนึ่งของพี่ปั๊บที่โอบบ่าผมอยู่กระชับขึ้น อีกทั้งแววตาพี่เซียนเข้มขึ้นดูน่ากลัวไม่น้อยย

“เลิกเล่นเถอะน่าไอ้ปั๊บ”

พี่เดี่ยวซึ่งยืนอยู่ข้างหลังพี่เซียนพูดขึ้นอย่างอ่อนใจ

“มึงก็รู้ว่ามันพูดถึงอะไร”

“กูไม่รู้”

พี่ปั๊บยักไหล่ดูยังไงก็กวนตีน 

“ปล่อยมือจากไหล่คนของกู”

พูดไม่พอพี่เซียนยังปัดมือพี่ปั๊บออกจากไหล่ผมทันที หลังจากที่เป็นอิสระแล้วผมเลยผุดลุกขึ้นทันที

“ใครคนของมึง”

พี่ปั๊บถามยิ้มๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่จงใจกวนประสาทพี่เซียนเต็มๆ

“มึงโง่เหรอ ถึงดูไม่ออก”

ผมมองคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างสับสน พี่เซียนกับพี่ปั๊บรู้จักกันแน่ๆ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเรียนปีเดียวกันแน่นอน ซึ่งมันไม่น่าแปลกหรอกในเมื่อทั้งคู่เรียนคณะเดียวกัน 

“พอเลยพวกมึง เจอหน้ากันทีไรแง่งๆ ใส่กันเป็นเด็กๆ ไปได้”

พี่เดี่ยวเป็นคนกลางห้ามทัพ ก่อนจะดันไหล่ที่เซียนให้ถอยหลังออกไป

“ไอ้เปียว มึงพาไอ้เซียนไปข้างนอกก่อนไป ส่วนมึงพอได้แล้ว เลิกกวนไอ้เซียนสักที อาการมันชัดขนาดนี้มึงยังดูไม่ออกเหรอว่าน้องข้างบ้านมึงน่ะ ไอ้เซียนมันเล็งอยู่”

ชัดกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

ผมทำหน้าไม่ถูก แต่เพราะพี่เดี่ยวส่งสายตามาขอร้องให้พาคนดังภาคยานยนต์ที่มีสีหน้าหงุดหงิดเต็มที่แล้วออกไป ผมเลยสะกิดไหล่พี่เซียนแล้วคว้ามายมิ้นท์ถุงใหญ่เดินนำอีกฝ่ายออกมา ตอนแรกก็เดินนำมาดีๆ นี่แหละ แต่ยังไงไม่รู้สุดท้ายพี่เซียนขยับมาเดินตีคู่ผมก่อนจะคว้ามือพาผมเดินดุ่มๆ ออกมาจากร้านทันที

พี่เซียนตอนนี้แม่งโคตรน่ากลัว 

พี่มันไม่พูดอะไรเลยนอกจากจับมือผมเดินไปเรื่อยๆ นึกอยากทักท้วงอยู่หรอกว่าอีกฝ่ายจะพาผมไปไหนกันแน่ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่กล้าเปิดปากสักที จากร้านอาหารแถวสามย่านมิดทาวน์มาจนถึงสนามกีฬา ตอนนี้บ่ายๆ กว่าแล้วในสนามไม่มีคน คงเพราะวิชากีฬาส่วนใหญ่เรียนเสร็จกันแล้ว อีกไม่นานพวกคทากรก็จะเข้ามาใช้พื้นที่ในการซ้อมเหมือนทุกๆ วัน

“พี่”

ไอ้พี่เซียนดันผมไปชิดกำแพงที่เป็นทางขึ้นอัฒจันทร์ก่อนจะโน้มใบหน้าลงในระยะประชิด แล้วคว้าเอามายมิ้นท์ถุงใหญ่ที่ถือติดมือโยนข้ามศีรษะผมไปนอนกองอยู่ในถังขยะมุมหนึ่งของอัฒจันทร์

ฮือ โคตรเสียดาย

“อ๊ะ”

เสร็จแล้วกดริมฝีปากลงมาราวกับงูฉก แน่นอนว่าผมไม่ทนตั้งตัวหรอกถึงได้ยืนตะลึงอยู่แบบนั้น จนกระทั่งกลีบปากสีชมพูอมส้มของพี่มันแนบริมฝีปากผมแล้วกดคลึงเบาๆ อยู่สักสองสามที อีกฝ่ายคล้ายจะย่ามใจที่ผมไม่ปฏิเสธถึงได้งับขอบปากเบาๆ ทำให้ต้องเปิดปากออกเป็นโอกาสให้ลิ้นร้อนๆ แทรกตัวเข้ามาราวกับรอจังหวะ

“อื้อ”

ไอ้พี่เซียนแม่งใช้ลิ้นเก่งมาก

ผมแทบทรุดไปกองกับพื้นแต่ดีว่าเกาะบ่าพี่มันไว้ ซ้ำอีกฝ่ายยังประคองเอวผมอยู่ 

“รสเหมือนแซลมอน”

ผมแทบร้องไห้ไม่ใช่เสียใจ แต่อายมากกว่าเพราะก่อนหน้านี้เพิ่งกินแซลมอนอาหารที่ผมเกลียดที่สุดลงไปป

จูบแรกเป็นรสแซลมอน

โคตรไม่โอเคเลย ฮือออ

ตอนที่พี่เซียนจูบจนพอใจแล้วผละออกไปนั่นผมรีบยกมือปิดปากตัวเองทันที

“ไม่ทันแล้วมั้ง”

“ใครใช้ให้จูบโดยไม่บอกก่อนเล่า”

ผมพูดอายๆ

“เพิ่งกินแซลมอนดิบไปเอง”

“ใช่เหรอ”

ผมพยักหน้าหงึกหงัก

แต่อีกฝ่ายเล่นแง่เหมือนทำท่าไม่เชื่อเท่าไหร่แล้วโน้มใบหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

“จะจูบอีกเหรอ”

พี่เซียนยื่นมือข้างหนึ่งไปยันกำแพงด้านหลังเอาไว้ ทำให้ผมเหมือนตกอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายกลายๆ

“กูจูบอีกได้มั้ยล่ะ”

“พี่จูบไปแล้ว”

ผมมองตามลูกอมมายมิ้นท์ที่ถูกโยนทิ้งตาละห้อย 

“อีกอย่างพี่แม่งทิ้งลูกอมผมแบบนี้ได้ไงวะ เพื่อนผมอุตส่าห์ฝากมาให้” 

“เดี๋ยวซื้อให้ใหม่”

“รวยจริงนะ”

ค่อนขอดใส่แม่งเลย

“ก็พอตัว” พี่เซียนยักไหล่ “แล้วเมื่อกี้ก็ไม่ใช่จูบ”

“อะไรไม่ใช่จูบวะ”

ผมทำปากยื่นใส่อีกฝ่าย ไม่ใช่จูบอะไรล่ะลิ้นพันกันจนจะถักเปียไดอยู่แล้ว “มันคือการทำโทษ”

พี่มันกระซิบข้างหู เสียงทุ้มๆ นั่นชวนจักจี้จนต้องหันหนี

“เรื่องอะไรเล่า”

“ยังไม่รู้ความผิดตัวเองอีกเหรอ”

“จะไปรู้ได้ไง อยู่ๆ พี่ก็โผล่มาทำท่าเหมือนจะชกกับพี่ปั๊บ แล้วก็ลากผมมาเนี่ย”

“มันเตะไหล่มึง”

“ฮะ”

ผมตาเหลือกทันที

“ไม่ชอบ”

“...”

“อย่าให้เห็นอีก”

“พี่ปั๊บเป็นพี่ชายข้างบ้านผมนะเว้ย”

“เป็นแค่พี่ ไม่ใช่พ่อ”

พี่เซียนพูดเสียงเรียบ

“ไม่ต้องถึงเนื้อถึงตัวกันก็ได้มั้ง”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่

“แต่เรื่องนี้ผมไม่ผิด พี่ปั๊บเองก็คงไม่ได้ตั้งใจ โอ๊ย”

ผมร้องโวยวายเมื่อถูกอีกฝ่ายบีบปากผม

“อื้อ”

แม่งบีบจนปากจู๋พูดไม่เป็นเสียงเลย พอเห็นว่าผมร้องโวยวายมือหนาเลยยอมปล่อยมือออก

“กูไม่อยากได้ยินชื่อคนอื่นจากปากมึง”

“พี่ปั๊บ”

“เปียว”

คนตรงหน้าขึงตาใส่ผมทันที

“พี่ปั๊บ”

“...”

“พี่ปั๊บ”

“พูดมากว่ะ”

พี่เซียนลดใบหน้าลงมาอยู่ในระดับเดียวกัน

“กูจะทำให้มึงเลิกพูดสักที””

“ยังไง”

“มึงรู้มั้ยว่าทำไมปากถึงบวม”

ผมทำหน้าไม่เข้าใจ เมื่อพี่เซียนแตะขอบปากผมเบาๆ ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อพี่มันกระตุกยิ้มมุมปากแล้วพูดว่า

“เพราะมึงถูกกูจูบ จนกว่ากูจะพอใจไง”



Load 60%
____________________

จันทร์หน้าลง 40% ที่เหลือ + ตอนที่ 17 น้า
หวีดในทวิตติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยนะคะ




หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่16 l 6/4/63 l P.5 [UP] 60%
เริ่มหัวข้อโดย: Plakhem ที่ 06-04-2020 22:36:32
หึงโหดมาก o13
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่16 l 6/4/63 l P.5 [UP] 60%
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 06-04-2020 22:52:08
เสียทั้งขึ้นทั้งร่อง 555
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่16 l 6/4/63 l P.5 [UP] 60%
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 07-04-2020 02:36:00
โอ๊ยพี่เซียนนนนน เบาได้เบาาาาาาาาาา  :heaven
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่16 l 6/4/63 l P.5 [UP] 60%
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 07-04-2020 10:55:08
เบาๆๆ พี่เซียน  น้องเปียวปากบวมหมด
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่16 l 6/4/63 l P.5 [UP] 60%
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 07-04-2020 22:28:17
พี่ยักษ์หึงโหด เอ็นดูน้องเปียวจัง
ชอบท้าท้ายพี่เขาอ่ะเนอะ
ปากบวมแน่ๆ  :laugh:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่16 l 6/4/63 l P.5 [UP] 60%
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 07-04-2020 23:40:52
หึงโหด,,,
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่16 l 6/4/63 l P.5 [UP] 60%
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 08-04-2020 19:42:03
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่16 l 6/4/63 l P.5 [UP] 60%
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 09-04-2020 16:49:01
จูบอีก เราชอบงื้อ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่16 l 6/4/63 l P.5 [UP] 60%
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 10-04-2020 08:07:06
พี่ยักษ์หึงโหดอ่ะ เพิ่งบอกว่าจะจีบเอง ยังไม่ได้เป็นแฟนนะ ทำขนาดเน้ได้งัย. น้องปากบวมหมดแล้ว   :laugh:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่16 l 6/4/63 l P.5 [UP] 60%
เริ่มหัวข้อโดย: Noina_Pn ที่ 11-04-2020 15:53:01
โอ้ยยยย :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่16 l 6/4/63 l P.5 [UP] 60%
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 12-04-2020 16:48:27
แง๊งงงงงงงง ได้จุ๊บน้องแล้วก็ตอนที่16ค่ะคุณกิตติ 555555555
เขินไปหมดเลยแม่ น้วยไปหมดดดดด
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่16 l 14/4/63 l P.5 [UP] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 14-04-2020 20:58:01
 
[อ๋อง] 

 


วันหยุดสุดสัปดาห์ช่วงบ่ายๆ มักเป็นช่วงเวลาที่ร้านกาแฟเต็มไปด้วยผู้คน ถึงทุกโต๊ะจะถูกจับจองหมดแล้วแต่บรรยากาศโดยรวมก็ยังเงียบสงบมีบ้างที่บ้างครั้งมีเสียงหัวเราะน้อยๆ ดังขึ้นเป็นครั้งคราวแต่โดยรวมบรรยากาศร้านกาแฟในสวนแห่งนี้ก็ยังให้ความรู้สึกเงียบสงบและเป็นส่วนตัว ผมสูดดมกลิ่นกาแฟจากเครื่องบดก่อนจะเผลอยิ้มออกมา จังหวะนั้นโมบายที่แขวนอยู่ตรงประตูร้านดังขึ้นพอดีกับที่ใครบางคนผลักเข้ามา 

พี่โชคเจ้าของร้านยิ้มกว้างให้ลูกพี่ลูกน้องตัวเอง ขณะที่ผมหลุบตามองพื้นทำทีเป็นสนใจกับการชงกาแฟตรงหน้า ถึงอย่างนั้นหูก็ยังแอบได้ยินบทสนทนาของลูกพี่ลูกน้องสองคนด้านหลัง

“เสียใจด้วยนะ โต๊ะประจำวันนี้ของเราไม่ว่างแล้ว ลูกค้าเยอะมาก”

พี่แกพยักพเยิดไปยังโต๊ะมุมหนึ่งที่เป็นโต๊ะประจำของพี่ดลทุกครั้งที่ฝ่ายนั้นแวะมาที่ร้านด้วยสีหน้าเพลียๆ เพราะเดินไม่หยุดตั้งแต่เช้า

“ไม่เป็นไรครับ”

พี่รหัสไอ้เปียวส่ายหัวยิ้มๆ 

“วันนี้ผมมาช่วยเสิร์ฟที่ร้านครับพี่โชค”

“ถามจริง”

พี่โชคทำตาโตยิ้มกว้าง เนื่องจากวันนี้พนักงานที่ร้านลางานพร้อมกันสองคนทำให้เหลือเพียงผมและพี่ผู้หญิงต้องช่วยกันชงเครื่องดื่มและทำขนมรวมถึงเก็บโต๊ะและล้างแก้ว ขณะที่พี่โชคเองก็หัวหมุนกับการเสิร์ฟและรับออเดอร์ตั้งแต่ร้านเปิด การที่พี่ดลปรากฏตัวในช่วงสายๆ พร้อมกับเสนอตัวมาช่วยงานวันนี้เลยทำให้สีหน้าพี่โชคดูดีขึ้นนมาทันตา

“พ่อพระมาโปรดชัดๆ”

“แต่ขอค่าแรงเป็นกาแฟสักแก้วนะครับ”

พี่โชคหัวเราะชอบใจก่อนทำทีเป็นนวดไหล่ลูกพี่ลูกน้องตัวเองเอาใจใหญ่

“เอสเพรสโซ่ของโปรดดล พี่จำได้ วันนี้พี่จะชงให้สุดฝีมือเลย ดลจะกินกี่แก้วพูดมาเลย”

คราวนี้ร่างสูงใหญ่ที่เดินไปคว้าเอาผ้ากันเปื้อนสกรีนโลโก้ร้านมาใส่หัวเราะน้อยก่อนจะส่ายหน้าหวือ 

“แก้วเดียวพอครับ มากกว่านั้นคืนนี้คงไม่ได้นอนกันพอดี

“เดี๋ยวร้านปิดแล้วจะสั่งบอนชอนมาเลี้ยงกัน โอเคมั้ยน้องอ๋อง” ท้ายประโยคเจ้าของร้านหันมาถามความคิดเห็นจากผม “วันก่อนเห็นเราบ่นว่าอยากกินไม่ใช่เหรอ”

ผมทำหน้าเหรอหราทันทีเพราะจำได้ว่าตัวเองไม่เคยพูดอะไรแบบนั้นออกไปแน่ๆ ขณะที่กำลังอ้าปากจะปฏิเสธเจ้าของร้านก็ขยิบตาให้ทีหนึ่งเป็นสัญญาณว่าให้เออออห่อหมกไปด้วยกัน สุดท้ายก็เลยตามเลย พี่ดลผละออกไปรับออเดอร์โต๊ะหนึ่งที่เข้ามาใหม่นั่นแหละเจ้าของร้านจึงเดินมาใกล้ผมแล้วกระซิบกระซาบเสียงแผ่ว

“เจ้าดลมาทีไรร้านพี่ขายดีทุกที”

เป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูดนั้นแหละ จะเพราะเหตุผลเรื่องใบหน้าคมคายหรือรอยยิ้มอบอุ่นดูสุภาพจนทำให้ลูกค้าสาวๆ ติดออกติดใจหรือไม่ก็ไม่อาจทราบได้ แต่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาการที่พี่ดลโผล่มาช่วยเสิร์ฟหรือรับออเดอร์นั่นทำให้ลูกค้าสาวๆ หนาตามากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ

“ไม่เห็นจะเกี่ยวกับไก่บอนชอนนี่ครับ”

พี่โชคขำคิก

“เราชอบกินไม่ใช่เหรอ”

“ก็ใช่ครับ”

แต่มั่นใจว่าเขาไม่เคยเปรยๆ ว่าอยากกินต่อหน้าพี่โชคแน่ๆ

“ได้ยินแนนเล่าให้ฟังว่าเลิกงานชอบไปต่อกันที่ร้านไก่เกาหลีนี่” พี่โชคปุ้ยปากไปยังพยักหน้าสาวอีกคนที่เป็นรุ่นพี่ผมหลายปีและสนิทสนมกันพอสมควรจนชอบชวนกันไปหาร้านอร่อยๆ ทานตอนเลิกงานประจำรวมถึงสองคนที่ลาหยุดวันนี้ด้วย แน่นอนว่าไก่เกาหลีเป็นร้านโปรดร้านเดียวที่ผมไปเป็นประจำ

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ ไม่เห็นพี่โชคต้องลงทุนเลี้ยงอะไรพวกผมเลย พวกผมรับค่าแรงปกติพี่ยังเลี้ยงข้าวอีก ผมเกรงใจ”

“เอาน่า เลี้ยงเมนูโปรดเราตอนเลิกงานนี่แหละดีแล้ว ไอ้ดลมันถึงจะยอมอยู่จนร้านปิด”

“เกี่ยวอะไรกับพี่ดลครับ”

ผมมุ่นหัวคิ้วทันที

“ตอนที่เราไม่ได้มาทำพาร์ทไทม์ที่นี่ ไอ้ดลไม่มีทางโผล่มาที่ร้านให้เห็นหน้าหรอก หมอนั่นชอบคนเยอะซะทีไหน พี่เคยขอร้องให้มาช่วยเสิร์ฟเรียกลูกค้าซักก่อน เมื่อก่อนก็ไม่เคยสนใจ “

ผมรับฟังไปอย่างงงๆ

“แต่พอเรามาทำงานพิเศษร้านพี่นะ”

คราวนี้พี่โชคยิ้มกริ่ม

“ในหนึ่งอาทิตย์ไอ้ดลแวะมาที่ร้านห้าวัน”

ผมยืนอึ้งไปกับสายตาของคนตรงหน้าก่อนที่พี่โชคจะพูดอะไรต่อเลยทำทีเป็นหันไปล้างแก้ว

“ตอนแรกก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่หรอก บอกตรงๆ ว่าพี่ตามอารมณ์มันไม่ค่อยทัน บทจะนิ่งก็นิ่งจนน่ากลัว บทจะขยับตัวทีก็โคตรว่องไว”

“แล้วไงครับ”

“เรานี่น้า”

พี่โชคส่ายหัว

“มันมาเฝ้าอยู่ ไม่รู้ตัวเลยรึไง”

ผมเผลอกัดริมฝีปากตัวแน่นจนเจ็บ

ไม่อยากเข้าข้างตัวเองจนเกินไป ตั้งแต่วันที่ไปฟัดกับพวกหมาหมู่จนหน้าแตกยับนั่นดูเหมือนพี่ดลจะโผล่มาที่ร้านบ่อยจนน่าตกใจ ฝ่ายนั้นทำเหมือนปกติทั้งที่การกระทำไม่ปกติเอาซะเลย มีอย่างที่ไหน หากวันใดที่มาช่วยงานที่ร้านจนกระทั่งร้านปิดพี่มันต้องรอไปส่งที่หอประจำ หรือไม่หากผมขับรถมาเอง็พี่ดลก็จะขับรถตามไปส่งหอเหมือนระแวดระวังภัยให้ผมแบบเนียนๆ   

ผมรู้ดีว่าพี่ดลไม่เชื่อว่าผมโกหกเรื่องใบหน้าแตกยับเพราะหกล้ม แต่ฝ่ายนั้นก็ไม่ยอมปริปากคัดค้านอะไรนอกจากทำตัวเงียบเชียบเหมือนไม่เคยรู้เรื่องอะไรมาก่อน

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ตอนที่เหลือบตาไปมองแผ่นหลังกว้างที่กำลงยืนรับออเดอร์ลูกค้าอยู่ พี่ดลยืนอยู่โต๊ะนั้นพักหนึ่งแล้วแต่ดูเหมือนสาวๆ กลุ่มใหญ่จะไม่ปลงใจสั่งอะไรสักที ซ้ำยังชวนพี่ดลคุยไม่หยุดด้วยสีหน้าเบิกบานอารมณ์ดีอะไรขนาดนั้น

ผู้ชายหล่อเหลาซ้ำยังดูสุภาพ ใครๆ ก็ชอบกันทั้งนั้น

ไม่ต้องพูดถึงนิสัย การศึกษาหรือฐานะ คุณสมบัติเพียบพร้อมแบบนั้นยิ่งชวนให้หวั่นใจ แต่สำหรับผมคุณสมบัติทั่วไปไม่ได้ทำให้ผมหวั่นไหวอะไรเลย ยกเว้นแววตาที่แสดงออกอย่างความจริงใจนั่นต่างหากที่กำลังสั่นคลอนใจผมทุกครั้งที่ได้รับมันจากอีกฝ่าย

“พี่ฝากชงเอสเพรสโซ่ให้ดลหน่อยสิ”

“หือ”

ผมทำหน้าฉงนเพราะก่อนหน้านี้พี่โชคยังรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะแสดงฝีมือชงกาแฟให้ลูกพี่ลูกน้องตัวเองกินอยู่เลย

“พี่ชงมันก็อร่อยอยู่หรอก”

พี่โชคพูดยิ้มๆ

“แต่เราชงคนกินน่าจะทั้งอร่อยทั้งอิ่มใจ”

“ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลยครับ”

ผมส่ายหน้าหวือ

“พี่ดูดวงเป็นนะ อ๋องเชื่อมั้ยล่ะ”

“จริงเหรอครับ”

ผมขยับตัวสนใจเรื่องที่เจ้าของร้านพูดทันที

“ให้พี่ทำนายนะ สาวๆ กลุ่มนั้นน่ะ รับรองว่าวันนี้จนกว่าจะเช็คบิลต้องเรียกไอ้ดลไปรับออเดอร์อีกแน่ๆ”

พี่แกยิ้มตาพราว ก็แน่ล่ะคนเสิร์ฟเป็นอาหารตาขนาดนี้ใครจะไม่อยากเรียกรับออเดอร์ ผมส่ายหัวให้คนที่อวดอ้างตัวเองเป็นหมอดูก่อนจะยิ้มขำๆ

“ไม่เป็นหมอดูก็ทำนายได้ครับ พี่เล่นส่งของดีไปรับออเดอร์แบบนี้ ใครๆ เขาก็ต้องชอบกันทั้งนั้นแหละครับ”

“แล้วเราชอบมั้ย”

หือ

ผมชะงักไปขณะที่อีกฝ่ายยิ้มตาพราว

“เรื่องนี้ไม่น่าจะเกี่ยวกับผมนะครับพี่โชค”

“โธ่อ๋อง”

พี่โชคส่ายหัวยิ้มๆ

“แต่ว่านะถึงพี่จะดูหมอไม่แม่น แต่เรื่องของอ๋องพี่ว่าพี่ดูไม่พลาดนะ”

ผมทำหน้าระแวงอีกฝ่าย

“เรื่องของผมทำไมครับ”

“สนใจอยากมีแฟนรุ่นพี่มั้ยล่ะ”

ผมหุบปากฉับทันทีเมื่อเห็นแววตาล้อเลียนของอีกฝ่าย

“ทายาทบริษัทนำเข้าอุปกรณ์กีฬาเลยนะ ถ้าเรายังไม่มีใคร ทำไมไม่เปิดใจให้น้องชายบ้างล่ะ เทียวมาเฝ้าจะจนเป็นเดือนแล้ว พี่ว่าลูกพี่ลูกน้องพี่คนนี้คุณสมบัติก็เข้าเค้านะ”

ผมทำตาปริบๆ ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อคนในหัวข้อสนทนามาหยุดอยู่หน้าเคาน์เตอร์

“มีอะไรรึเปล่า”

พี่ดลถามอย่างสงสัยที่เห็นผมทำหน้าตื่นๆ ขณะที่ลูกพี่ลูกน้องตัวเองกำลังยิ้มกว้างแบบนั้น

“ไม่สบายเหรอ ทำไมหน้าซีด”

ผมเอียงใบหน้าหนีฝ่ามือที่ยื่นมาหมายจะแตะหน้าผาก

“เปล่าครับ”

ผมทำทีเป็นสนใจออเดอร์ในใบออเดอร์ที่อีกฝ่ายวางไว้ตรงเคาน์เตอร์แล้วเดินผละออกไปชงกาแฟทันที

“เป็นอะไร”

ผมกัดริมฝีปากตัวเองจนเจ็บเพราะพี่ดลขยับมาใกล้ สีหน้าอีกฝ่ายดูกังวลที่เห็นผมทำหน้าประหลาดๆ แบบที่เป็นอยู่ตอนนี้

“พี่ช่วย”

ผมหน้าร้อนวาบเมื่อได้เสียงหัวเราะน้อยๆ ของพี่โชคที่ยืนอยู่ด้านหลัง

โคตรแย่

ทำไมหัวใจถึงเต้นแปลกๆ วะ 

“ผมทำเองได้”

“พี่ทำอะไรให้เราไม่พอใจรึเปล่า”

เสียงทุ่มเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล ผมถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะเงยหน้าสบตากับอีกฝ่าย แววตาของพี่ดลเหมือนมนต์สะกด เพราะมันทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจไปโดยไม่รู้ตัว

แววตาที่ดูอ่อนโยน

“เปล่า”

โกหกอีกแล้ว

“อืม”

“...”

“นึกว่าไม่พอใจ”

“...”

“ถ้าเรารู้สึกแบบนั้น บอกพี่นะ จะพยายามไม่ให้เราโกรธ”

พูดเหมือนแคร์ แน่นอนว่าทำให้คนอ่อนแอหวั่นไหว

“แล้วถ้าผมโกรธพี่จริงๆ พี่จะทำยังไง”

“ก็คงพูดว่าพี่ขอโทษนะ”


.


.



เพล้ง

“ขอโทษครับพี่โชคผมทำแก้วแตก”

ผมหน้าเสียขณะที่พี่โชคหัวเราะจนไหล่สั่น ส่วนเจ้าของคำขอโทษนั้นยังจับต้นชนปลายไม่ถูกถึงได้ทำหน้างงๆ อยู่ตอนนี้

“แขนอ่อนเลยเหรออ๋อง”

ผมเบะปากให้เจ้าของร้าน

“วันนี้แขนอ่อน ระวังวันหน้าจะใจอ่อนนะ”

 

- J E E B -

 

สัปดาห์หลังจากช่วงสอบแล้วกิจกรรมต่างๆ พากันโหมเข้ามาไม่หยุดหย่อนอีกไม่ถึงเดือนจะถึงกิจกรรมสำคัญอย่างงานฟุตบอลประเพณี แน่นอนว่าช่วงนี้คณะผมที่ทำหน้าที่สวัสดิการต้องวิ่งส่งข้าวส่งน้ำคณะอื่นๆ ซึ่งทำหน้าในส่วนต่างๆ ช่วงนี้ไอ้โต้งซ้อมหนักมากจนแทบไม่เห็นหน้าผมเลยยกเว้นตอนไปส่งข้าวที่สนามกีฬาเท่านั้น ช่วงนี้ปีหนึ่งคนที่ไม่มีกิจกรรมพิเศษอะไรจะถูกรุ่นพี่เกณฑ์ไปส่งข้าวและบางส่วนจะไปช่วยอาจารย์ที่คณะและนักวิทยาศาสตร์การกีฬารุ่นพี่เตรียมทีมนักฟุตบอลนั่นทำให้ผมเจอพี่ปั๊บอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้มีเวลาคุยกันมากหรอกเพราะฝ่ายนั้นเองก็ซ้อมหนัก ส่วนใครอีกคนที่ชอบทำเหมือนเหม็นขี้หน้าพี่ปั๊บทุกครั้งที่พูดถึงก็หายไปเลยช่วงนี้

ผมได้ยินจากไอ้โต้งว่าพี่เซียนเองก็ซ้อมหนักเพราะเคยเป็นคทากรปีที่แล้วทำให้ปีนี้ต้องทำหน้าที่เดินถือคทาอยู่ในขบวนตอนเดินเข้าสู่สนามในพิธีเปิดและปิดด้วย คงจะหนักอยู่หรอกเพราะขนาดว่าช่วงนี้ผมไปติวให้น้องซอและสาวๆ ที่คอนโดพี่มัน ผมยังไม่ค่อยเห็นพี่เซียนกลับมาห้องทันช่วงที่ติวกันเลย วันนี้ก็คงเหมือนทุกๆ ครั้งนั่นแหละ

ผมยักไหล่ตอนที่เหลือบตามองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว สาวๆ กำลังเก็บหนังสือเรียนเตรียมตัวกลับผมเองก็เช่นกัน ระหว่างนั้นผมเดินเช็คอุปกรณ์ไฟฟ้าในห้องเพื่อตรวจดูว่าคงไม่มีเสียบปลั๊กอะไรไว้ ก่อนจะเดินไปรวมกับสาวๆ น้องซอมีกุญแจและคีย์การ์ดห้องพี่ชายผมเลยถือโอกาสเตรียมตัวกลับพร้อมอีกฝ่าย จริงๆ แล้วพี่เซียนเองเคยเอ่ยปากว่าจะให้คีย์การ์ดผมเอาไว้ แต่ผมปฏิเสธไป มันค่อนข้างจะประหลาดไม่น้อยในเมื่อฐานะของผมกับพี่มันตอนนี้ไม่ได้ใกล้ชิดจนสามารถถือครองกุญแจห้องของอีกฝ่ายโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ

แกรก

จังหวะที่กำลังหยิบรีโมทมาปิดแอร์ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกมาพร้อมกับเจ้าของห้องเดินถือเป้ลากเท้าเข้ามาสภาพดูเพลียๆ สาวๆ พากันยกมือไหว้แล้วส่งเสียงทักทายพี่เซียนกันเกรียวกราว 

“จะกลับกันแล้วเหรอ”

“ค่ะพี่เซียน”

น้องซอเป็นคนตอบคำถาม

“คุณลุงคนขับรถบอกว่าใกล้ถึงแล้ว”

พี่เซียนพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะหันมากดยิ้มมุมปากให้ผม

“เดี๋ยวพี่ลงไปส่ง”

“ค่ะ”

ผมเดินตามสาวๆ ออกไป แต่อีกฝ่ายคว้าข้อมือผมเอาไว้แล้วกระตุกเบาๆ

“หือ”

“จะกลับแล้วเหรอ”

“ครับ”

พี่เซียนไม่พูดอะไรแต่ปลดเป้ที่ผมสะพายอยู่โยนไปไว้ที่โซฟาแล้วดุนแผ่นหลังผมให้ออกเดิน

“หิวว่ะหมู”

ผมไม่มีโอกาสขยับไปคว้าเป้คืน เมื่ออีกฝ่ายไม่ปล่อยโอกาสให้ผมได้ทำอย่างที่ตั้งใจ

“ไปกินข้าวเป็นเพื่อนหน่อย”

“เรียกใครหมู”

ผมแยกเขี้ยวให้พี่มัน

“มึงไง”

พี่มันโยกศีรษะผมทีนึงก่อนจะเดินเอาแขนพาดไหล่ แน่นอนว่าการกระทำแบบนั้นทำเอาสาวๆ ตาโตโดยเฉพาะน้องซอที่ฉีกยิ้มด้วยแววตาเหมือนรู้อะไรบางอย่างแบบนั้น

“ปล่อย”

กระซิบบอกพี่มันก่อนจะขยับตัวยุกยิก แต่อีกฝ่ายดันเพิ่มแรงฟาดหนักขึ้น ผมขยับตัวลำบากเพราะน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น

“กูเมื่อยแขน วันนี้ถือคทาค้างอยู่เป็นชั่วโมง โคตรเมื่อยเลย”

“น้องมองอยู่”

พี่เซียนไม่พูดอะไรเพียงไปแต่หันไปยักคิ้วให้น้องสาวตัวเอง แน่นอนว่ากิริยานั้นทำให้อีกสองสาวพากันกลั้นยิ้มจนหน้าดำหน้าแดง

“ยิ้มอะไรกันเด็กพวกนี้”

สาวๆ พากันส่ายหน้าหวือ ผมทนปั้นหน้านิ่งจนกระทั่งเดินมาส่งสาวสามใต้คอนโดที่มีรถคันหนึ่งรอรับอยู่แล้ว ผมสังเกตว่าสาวๆ ดันไหล่กันก่อนจะพยักพเยิดมาทางผมเหมือนพยายามจะดันกันไปมาและสุดท้ายน้องซอเป็นตัวแทน

“พี่เซียน”

“ว่าไงยัยแสบ”

น้องซอทำปากจู๋ใส่พี่ชายทันที

“ถามอะไรก่อนกลับได้มั้ยคะ”

“ว่า”

“พี่เซียนกับพี่เปียวเป็นอะไรกัน”

ผมยืนอึ้งหันขวับมาทางคนข้างกายทันที ขณะที่คนถูกถามยิ้มน้อยๆ โคลงศีรษะไปมา

“กำลังจีบ วันนี้เลยเป็นแค่พี่น้อง”

“แล้วเมื่อไหร่จะจีบติด”

คำถามแก่แดดของน้องซอทำเอาผมหน้าแดงวาบ

“ถามดูสิ”

พี่เซียนปุ้ยปากมาทางผม

“พี่อยากเปลี่ยนสถานะจะแย่แล้ว”

ตายไปเลยครับ


.


.


ผมทำหน้ามุ่ยตอนที่นั่งรออาหารตามสั่งที่ร้านอาหารในซอยใกล้ๆ คอนโด แน่นอนว่าต้นเหตุที่ทำให้ผมทำหน้ายุ่งตอนนี้กำลังนั่งยิ้มจนน่าหมั่นไส้ ไอ้พี่เซียนแม่งพอพูดแบบนั้นออกไปปุ๊บนั่นทำเอาสาวๆ กรี๊ดกร๊าดกันจนผมตกใจ กว่าจะต้อนขึ้นรถได้ทำเอาผมหน้าแดงจนจะสุกอยู่แล้ว

“ขอโทษนะคะ”

ขณะที่กำลังทำปากขมุบขมิบใส่อีกฝ่ายนั่นมีหญิงสาวคนหนึ่งที่จำได้ว่าก่อนหน้านี้มารับออเดอร์เดินมาหยุดตรงหน้าท่าทางนอบน้อม ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นลูกสาวเจ้าของร้านนี่แหละ

“ช่วยทำแบบสอบถามนี่ให้หน่อยค่ะ”

ผมเหลือบตามองกระดาษที่มีข้อความยาวเป็นพรืด

“พอดีสำนักงานเขตจะทำข้อมูลผู้ใช้บริการร้านอาหารแถบนี้ค่ะ เขาเลยเอามาฝากที่ร้านให้ลูกค้าช่วยทำ ขออนุญาตรบกวนหน่อยนะคะ”

ผมพยักหน้าหงึกหงัก ขณะที่เธอเหลือบไปมองพี่เซียนที่สนใจอยู่กับโทรศัพท์ ถ้าให้เดาเธอคงอยากให้ไอ้พี่เซียนช่วยทำแบบสอบถามด้วย แต่คงเกรงใจคนที่มุดเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง ผมเลยยิ้มน้อยๆ ก่อนจะยื่นมือไปขอแบบสอบถามอีกใบ

“พี่เซียน”

ผมสะกิดมืออีกฝ่ายตอนที่หญิงสาวคนนั้นผละออกไปแล้ว

“ช่วยเค้าตอบแบบสอบถามหน่อย”

พี่มันทำหน้าเนือยๆ แต่ก็พยักหน้าหงึกหงัก

“เดี๋ยวผมอ่านให้ฟัง แล้วพี่ตอบนะ ผมจะเขียนตอบให้”

เห็นว่าดูเหนื่อยๆ หรอกถึงอำนวยความสะดวกให้พี่มัน

“อายุ”

“20”

“สถานะ”

“โสด”

พี่มันพูดยิ้มๆ

“แต่อยากมีเจ้าของ”

ผมหน้าแดงวาบทันทีก่อนจะทำปากยื่นใส่อีกฝ่าย

“ชอบกินอาการประเภทใด”

“มึงก็รู้นี่”

ผมพยักหน้าหงึกหงัก

“ชอบกินไข่เจียวใส่หอม กินเผ็ดได้บ้าง ไม่กินเค็ม และเกลียดมิ้นท์”

ผมบรรยายลักษณะนิสัยการกินของอีกฝ่าย

“เก่ง”

ผมหลุบตามองพื้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของอีกฝ่าย

หน้าร้อนเลยสัด

“ส่วนมึง”

“...”

“ชอบกินมิ้นท์”

“...”

“กินทุกอย่าง”

ผมค้อนให้พี่มัน

“แต่ที่เห็นกินบ่อยๆ คือผัดซีอิ๊ว”

นั่นคือเมนูที่ผมเคยเพิ่งสั่งไปเมื่อกี้และเป็นเมนูประจำที่เวลาไปร้านตามสั่ง

“ชอบขนมและของหวานทุกอย่างที่เป็นรสมิ้นท์”

“...”

“ชอบกินผัก”

ถูกหมดทุกอย่าง

ผมนั่งอึ้งเพราะคิดไม่ถึงว่าพี่มันจะสังเกตรายละเอียดของผมได้แม่นยำขนาดนี้

“ส่วนสถานะ”

พี่มันพยักพเยิดให้ผมตอบคำถาม

“โสด”

ผมทำเสียงอุบอิบในลำคอ

“โสดเหมือนกันเลยนี่”

พี่เซียนเท้าคางพูดยิ้มๆ

“ไม่อยากเปลี่ยนสถานะบ้างเหรอ”

“พี่”

หัวสมองผมขาวโพลนทันที

“อย่าเพิ่งนะ”

ผมลูบอกตัวเอง

“เบาๆ หน่อยเหอะ รุกผมจังวะ”

ตอนที่เอามือทาบอกนั่นหัวใจผมเต้นระรัวจนน่ากลัวว่ามันจะหลุดออกมาจากอก พี่เซียนยิ้มพอใจไม่มีใครรู้ว่าใต้โต๊ะนั่นปลายเท้าของพี่มันกำลังเขี่ยปลายเท้าผมเล่นอยู่

“พี่เซียน”

ผมพูดเสียงอ่อยๆ ขยับปลายเท้าหนีแต่อีกเท้าก็ขยับมาแกล้งเขี่ยเล่นเหมือนเดิม

“ครับ”

“ขอสูดลมหายใจแรงๆ สักทีก่อน”

คราวนี้พี่เซียนหัวเราะจนไหล่สั่นมือข้างหนึ่งเอื้อมมาโยกศีรษะผมอย่างมันเขี้ยว

“หมูอวกาศเอ้ย”

ผมยิ้มเขินๆ ขณะที่พี่เซียนนิ่วหน้าไปเล็กน้อย คงเพราะรู้สึกตึงๆ ที่หัวไหล่ล่ะมั้ง 

“ซ้อมหนักมากเหรอพี่”

“อืม ถือคทาเป็นชั่วโมง ดีว่าสวัสดิการส่งข้าวส่งน้ำฟรี พี่เลี้ยงคทาก่อนมีของกินมาเลี้ยงบ่อยๆ เพื่อนมึงเลยซัดเกลี้ยงทุกวัน”

ผมยิ้มน้อยๆ นึกถึงไอ้โต้งที่กระเพาะหลุมยิ่งมันซ้อมหนักแบบนี้คงกินเต็มคราบแน่ๆ

“น่าอิจฉาพวกคทากรเนอะ”

“อิจฉาทำไม”

“เป็นคทากรมีแต่คนเอาใจ ส่งข้าวส่งน้ำ มีสาวๆ ไปนั่งรอให้กำลังใจเต็ม รู้งี้ไปสมัครคัดเลือกแบบคนอื่นบ้างก็ดี”

ผมพูดขำๆ

“ไม่ดีหรอก”

พี่เซียนส่ายหัว

“อะไรไม่ดี”

“เป็นคทากรไม่ดีหรอก”

พี่เซียนมองหน้าผมตรงๆ

“ทำไม”

“เป็นแฟนกูนี่แหละ...ดีที่สุด”

ตายวนไป

ตายไปเลย



- J E E B -


ขอบคุณที่รออ่านและคอมเมนต์ให้กำลังใจเรานะคะ มันมีคุณค่ากับเราจริงๆ
หวีดในทวิตติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยนะคะ






หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่16 l 14/4/63 l P.5 [UP] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 14-04-2020 22:03:56
กรี้ด. มาแล้ว มาเป็นแฟนกูดีกว่า
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่16 l 14/4/63 l P.5 [UP] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 14-04-2020 22:06:53
หยอดได้อีก หยอดเป็นขนมครกเลยพี่จ๋า น้องเปียวก็เขินวนไป  :-[
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่16 l 14/4/63 l P.5 [UP] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 14-04-2020 22:23:51
ร้ายยมากเลยตาเซียนน
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่16 l 14/4/63 l P.5 [UP] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 14-04-2020 23:48:40
หยอดเก่งมากเลย,,,
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่16 l 14/4/63 l P.5 [UP] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 15-04-2020 08:12:46
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่16 l 14/4/63 l P.5 [UP] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: kenghan ที่ 15-04-2020 10:08:43
แต่ล่ะคำพูด อิพี่ เปียว ตกลงได้แล้ว สุดท้ายยังไงก็ต้องป็นแฟน
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่16 l 14/4/63 l P.5 [UP] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: fammykiki ที่ 15-04-2020 15:35:06
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่16 l 14/4/63 l P.5 [UP] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: Plakhem ที่ 16-04-2020 22:18:55
ตอดเก่งมากกกก o22
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่16 l 14/4/63 l P.5 [UP] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 19-04-2020 00:46:42
ไม่มีแผ่วยังคงแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องและแรงขึ้นเรื่อยๆ  :heaven
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่16 l 14/4/63 l P.5 [UP] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 20-04-2020 01:16:03
 :-[
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่16 l 14/4/63 l P.5 [UP] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 20-04-2020 07:40:06
พี่ก็ขยันหยอดเหลือเกิน เห็นใจน้องบ้าง ใจบางไปหมดแล้ว  :laugh:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่17 l 20/4/63 l P.6 [UP] 50%
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 20-04-2020 21:49:45
 

- จีบที่17 -

 

[โต้ง]

 

หลังจากรถป๊อปคันสีชมพูที่ขึ้นมาจากศาลาพระเกี้ยวมาจอดตรงป้ายหยุดรถที่บริเวณคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพหลังห้างสรรพสินค้าชื่อดังฝั่งสนามสุภชลาศัยนั่นแหละบรรดานิสิตชายหญิงที่นั่งโดยสารรถบริการของมหาวิทยาลัยจากฝังใหญ่ก็พากันเฮโลลงจากรถทันที ผมรอให้นิสิตลงก่อนหลังจากนั้นจึงก้าวยาวๆ ไปยังตึกฟิตเนสที่ตั้งอยู่ไม่ไกล

วันศุกร์แบบนี้บริเวณคณะของไอ้เปียวค่อนข้างเงียบเหงา ผมพอรู้จากไอ้เปียวเพื่อนสนิทมาว่าช่วงนี้คณะมันโดยเฉพาะปีหนึ่งต้องไปช่วยรุ่นพี่ปีสูงที่ทำหน้าที่สวัสดิการงานบอลประจำปีส่งข้าวส่งน้ำตามจุดต่างๆ คงมีแต่เฉพาะปีสามที่วันนี้ส่วนใหญ่จะไปรวมตัวกันอยู่ที่ตึกฟิตเนสของคณะ เพราะปีสามมีเทรนกลุ่มตัวอย่างวิชาบอดี้คอนดิท ปกติไอ้เปียวจะต้องมาช่วยลุงรหัสมันทุกครั้ง แต่วันนี้คณะมันคนส่งข้าวไม่พอ มันและไอ้อ๋องจึงต้องไปช่วยรุ่นพี่ฝ่ายสวัสดิ์ก่อน 

ผมเดินขึ้นบันไดไปถึงชั้นสองแล้วเห็นกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยในห้องฟิตเนส แต่ละคนประจำอยู่เครื่องออกกำลังกายประเภทต่างๆ  ตอนที่หยุดอยู่หน้าห้องฟิตเนสนั่นผมเห็นรุ่นพี่คณะที่สนิทอยู่ในชุดออกกำลังกายเดินถือผ้าขนหนูซับหน้ามาแต่ไกล

“ไอ้โต้ง”

พี่เดี่ยวร้องทักตอนที่ผมยกมือไหว้ฝ่ายนั้น

“เทรนเสร็จแล้วเหรอพี่”

“เออ”

ผมพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อหาใครบางคนที่เป็นสาเหตุให้ผมต้องดั้นด้นจากคณะตัวเองมาถึงที่นี่

“ไอ้อุ้มไปเข้าห้องน้ำ”

พี่เซียนพูดขึ้นลอยๆ แต่สีหน้ารู้ทันนั่นทำใหยิ้มเก้อ

“เอ่อครับ”

“มึงมีธุระอะไรกับมันล่ะ”

พี่เดี่ยวถามยิ้มๆ เป็นเชิงล้อเลียนทั้งๆ ที่รู้จุดประสงค์การมาของผมอยู่แล้ว

“ว่าจะมาช่วยพี่อุ้มน่ะพี่ ปกติไอ้เปียวมันจะมาช่วยประจำ แต่วันนี้มันไม่ว่างผมเลยอาสามาแทน”

“แล้วมึงจะช่วยอะไรกูได้”

คำตอบดังมาจากด้านหลังพร้อมกับการปรากฏตัวของพี่อุ้ม

“ช่วยเตรียมอุปกรณ์ไงครับ”

“มึงใช้งานเป็นรึไง”

ลุงรหัสไอ้เปียวปุ้ยปากไปยังเครื่องวัดความดันอัติโนมัติ 

“พี่ก็สอนผมดิ”

“เรื่องสิ”

พี่อุ้มส่ายหน้าหวือเดินผละไปเก็บของ ส่วนเพื่อนสนิทอีกสองคนของพี่มันผละออกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องน้ำซึ่งแบ่งเป็นโซนอยู่ฝั่งโน้น

“ผมช่วย”

มือยาวยื่นไปรวบกองเอกสารมารวมไว้ก่อนจะวางในกล่องที่พี่อุ้มกำลังเรียงเอกสารอยู่

“มาทำไม”

“เอาความจริงหรือเรื่องโกหกล่ะ”

พี่อุ้มเหลือบตามองหน้าผมแวบหนึ่งก่อนจะเม้มปาก

“ถ้าโกหกคืออยากมาช่วย เห็นไอ้เปียวมันบ่นๆ ว่าวันนี้ยุ่ง ไม่ได้มาช่วยพี่”

“แล้วเรื่องจริงล่ะ”

“ผมอยากเห็นหน้าพี่”

พี่อุ้มชะงักมือที่กำลังชุบแอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้วัดความดันทันที

“หยอดเก่ง”

“แต่พี่ก็ไม่ใจอ่อนสักที”

คราวนี้พี่อุ้มยิ้มเยาะใส่ผม

“ก็รู้ว่าไม่มีผลแล้วจะพยายามทำไม”

“ใจแข็งว่ะ”

“...”

“แต่ปากนุ่ม”

“ไอ้สัตว์”

พูดไม่พอฝ่ายนั้นยังซัดหมัดเข้าที่หัวไหล่ผมเต็มๆ

“โอ้ย”

“ถ้ายังพูดจาแบบนี้อีก จากไหล่จะเลยไปถึงปากมึง”

“โคตรดุ”

“แต่มึงก็ไม่เคยกลัวสักครั้ง”

พี่อุ้มส่ายหน้าอย่างระอาก่อนจะรวบเอากล่องใส่อุปกรณ์ทั้งหมดออกเดิน ขณะที่พี่มันเอื้อมมือหมายจะคว้าเป้มาสะพาย ผม็เลยอาศัยความเร็วคว้าเป้ใบนั้นมาถือไว้ซะเอง

“เอาเป้กูคืนมา”

“ผมจะคืนให้ตอนที่ไปส่งพี่ที่หอ”

“ใครบอกว่า กูจะยอมให้มึงไปส่ง”

ผมกดยิ้มมุมปากจนพี่อุ้มหรี่ตามองอย่างขัดใจ

“ยอมผมเถอะพี่ อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ โทรมาก็ไม่ยอมรับ ไลน์ก็ไม่ตอบ”

“แบตกูหมด”

“แบตหมดตอนผมโทรมาทุกวันเลยเหรอครับ”

พี่อุ้มกรอกตามองบนทันที

“มันก็ชัดเจนอยู่แล้วป่าววะ”

ลุงรหัสไอ้เปียวพึมพำ

“ชัดเจนว่าพี่จงใจหลบหน้าผมงั้นเหรอ”

“ตามที่มึงเข้าใจนั่นแหละ”

“พี่ไม่พูดตรงๆ ผมก็เจ็บ ยิ่งพูดตรงๆ ก็ยิ่งเจ็บ”

ผมทำท่าทุบอกตัวเองแรงๆ แบบโอเวอร์สักหน่อย

“อย่าสำออย”

“ก็เผื่อคนแถวนี้จะเห็นใจ”

พี่อุ้มทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ ระหว่างนั้นพี่เซียนและพี่เดี่ยวซึ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเดินมาสมทบกับพวกเรา

“พวกมึงจะไปไหนต่อ ถ้าไม่มีธุระอะไร แดกข้าวกันเดี๋ยวกูเลี้ยง”

พี่อุ้มเอ่ยปากชวนเพื่อนตัวเอง

“โทษทีว่ะ พวกกูมีประชุมรุ่นพี่คทากร”

พี่เซียนปฏิเสธก่อนจะหันมาพูดกับผม “วันนี้ซ้อมหกโมงเย็นๆ นะมึงอย่าไปเลทล่ะ”

“ครับพี่”

พี่เซียน พี่เดี่ยวผละออกไปแล้ว คนที่ผมตามมาเฝ้าถึงที่นี่เลยหันมามองหน้าผมตรงๆ

“แล้วมึง เมื่อไหร่จะไป”

“ผมยังไม่ได้ไปกินข้าวกับพี่เลย”

“หูฝาดเหรอ”

พี่อุ้มถลึงตาใส่

“กูชวนเพื่อนกู ไม่ได้ชวนมึง”

ผมยิ้มเฉยก่อนจะถือกระเป๋าเดินนำอีกฝ่ายไป

“กินแถวๆ นี้แล้วกันนะพี่ อีกชั่วโมงผมต้องกลับไปซ้อม กะว่าจะไปส่งพี่ซะหน่อยวันนี้อดเลย”

“มึงฟังที่กูพูดบ้างมั้ยเนี่ย”

ฝ่ายนั้นดูหัวเสียที่ผมทำเฉยเปลี่ยนเรื่องคุย

“แล้วพี่ล่ะ”

“กูทำไม”

ผมมองหน้าอีกฝ่ายตรงๆ

“ฟังเสียงหัวใจตัวเองบ้างรึเปล่า”

เจ้าของใบหน้าขาวอึ้งไปก่อนหน้าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ไปสวนหลวง”

“ก็เท่านั้น”

ผมยิ้มน้อยๆ ท่ามกลางสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของอีกฝ่าย พี่อุ้มเดินนำผมไปอย่างรวดเร็ซจนต้องซอยเท้าตามไปติดๆ พวกเรามาถึงร้านอาหารในโครงการแถวสามย่าน พี่อุ้มเดินดุ่มๆ เข้าร้านหนึ่งๆ ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าผมสาวเท้าตามมาติดๆ และเพราะผมรีบตามพี่มันจนไม่ทันระวังจึงไม่ทันเห็นว่ามีนิสิตสาวคนหนึ่งเดินสวนออกมา ผมจึงเดินชนเธอจนเซเกือบล้ม

“ขอโทษครับ”

ผมผวาไปประคองอีกฝ่ายเอาไว้อย่างรู้สึกผิด 

“ไม่เป็นค่ะ”

สาวน้อยในอ้อมแขนเอ่ยขึ้น ตอนที่ช้อนสายตาขึ้นมองแก้มสีสวยขึ้นสีแดงก่ำเล็กน้อยดูขัดเขิน ผมเลยรีบปล่อยมือที่โอบประคองเธอเอาไว้

พี่อุ้มที่ได้ยินเสียงอุทานนั่นหันกลับมามองก่อนจะมุ่นหัวคิ้ว

“อ้าว”

“พี่อุ้ม”

หญิงสาวคนนั้นยกมือไหว้ร่างสูงโปร่งก่อนจะทักทายกันนิดหน่อยคาดว่าทั้งคู่คงรู้จักกันแล้วเธอก็ขอตัวผละออกไป ผมปล่อยผ่านเรื่องตรงหน้าไปแล้วเดินไปสมทบกับพี่อุ้มที่เลือกโต๊ะนั่งได้แล้ว

“อ่ะ”

พี่อุ้มเลื่อนเมนูมาให้แล้วหันไปสั่งอาหารกับพนักงานร้านสองสามอย่าง

“สั่งเผื่อผมด้วยสิ”

“มึงจะกินอะไรล่ะ”

“พี่ก็รู้ว่าผมชอบกินอะไร”

ผมเท้าคางมองอีกฝ่าย

“ได้”

พี่อุ้มแค่นยิ้มก่อนจะสั่งอาหารเพิ่มเติม

เมนูที่ว่าเป็นของที่ผมเกลียดทั้งนั้น

“กินได้มั้ย”

“ถ้าพี่สั่งมาผมก็กิน”

การกลั่นแกล้งแบบเด็กๆ ที่ดูจะไม่ได้ผลทำให้ฝ่ายนั้นเบะปาก รอไม่นานอาหารที่สั่งไว้ก็มาเสิร์ฟ พี่อุ้มแอบเหล่ตามองเหมือนลุ้นว่าผมจะกินอาหารที่สั่งมาได้มั้ย ผมส่ายหัวก่อนจะอดทนตักอาหารตรงหน้าเข้าปากสามสี่คำ 

แต่ให้ตายเถอะ รสชาติแม่งโคตรเผ็ด

“ไม่ไหวก็พอเถอะ”

พี่อุ้มพูดอย่างรำคาญใจตอนที่ผมปาดเหงื่อที่ซึมออกมาตามไรผม 

“ห่วงผมเหรอ”

พี่อุ้มเม้มปากแน่นก่อนจะหันไปสนใจอาหารในจานตัวเอง

“งั้นก็แดกให้หมดซะ”

ผมยักไหล่จะตักคำต่อไป แต่ฝ่ายนั้นยื้อข้อมือผมเอาไว้ก่อนจะเลื่อนข้าวผัดมาให้แทน

“ทรมานตัวเองทำไม”

“ก็พี่อยากให้ผมกิน”

“แค่กูสั่ง มึงต้องบ้าทำตามเลยรึไงวะ””

“ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรนี่”

ผมยักไหล่

“มึงพอเถอะโต้ง”

พี่อุ้มที่เงียบไปนานพูดขึ้นท่าทางดูอ่อนใจกับการกระทำของผม มือที่จับช้อนอยู่สั่นเล็กน้อยตอนที่ผมเอื้อมไปจับกุมเอาไว้

“ขอโอกาสผมไม่ได้เหรอ”

พี่อุ้มชักมือถอยห่างก่อนจะหลุบตามองแต่จานข้าวเงียบๆ ท่าทางแบบนั้นทำให้หวนนึกถึงเรื่องราวระหว่างเราเมื่อปีก่อน ใครจะไปคิดว่าวันที่ถูกแม่บังคับให้ไปเรียนพิเศษกับลูกเพื่อนแม่จะทำให้ผมรู้จักกับพี่อุ้ม ตอนม.ห้าผมค่อนข้างเกเรติดเกมและการเรียนตกจนไอ้เปียวไอ้อ๋องพร้อมใจกันไปฟ้องแม่ให้จัดการดัดนิสัยไร้ความรับผิดชอบของผมสักที แน่นอนว่าพอแม่รู้ก็เข้ามาจัดการบีบบังคับให้ผมเรียนพิเศษเพื่อฉุดเกรดที่ต่ำเตี้ยในช่วงนั้นให้สูงขึ้นแลกกับค่าขนมที่ถูกตัดเหลือเพียงครึ่ง หากผมไม่สามารถทำเกรดให้ดีขึ้นได้ค่าขนมผมที่หายไปกว่าครึ่งนั้นไม่มีทางที่ผมจะได้คืนมา คราวแรกผมดึงดันอยากเอาชนะแม่จนแกล้งพี่คนที่มาสอนพิเศษจนไม่โผล่หน้ามาเป็นเดือน แต่ใครจะไปรู้ว่าต่อให้พี่คนนั้นยอมแพ้ไปก็ยังอุตส่าห์ส่งเพื่อนที่คณะมาแทน และคนหลังนี่แหละที่จัดการผมจนอยู่หมัด

พี่อุ้มรับมือกับผมได้ทุกอย่าง ทั้งยังเอาคืนจนผมเจ็บใจอยู่หลายครั้ง ไม่รู้ว่าเพราะเราแกล้งกันไปมาจนเคยชินหรือเปล่า วันหนึ่งความรู้สึกระหว่างเด็กเรียนและรุ่นพี่ที่มาสอนพิเศษจึงขยับขึ้นเปลี่ยนไปในสถานะที่ใกล้ชิดกันมาขึ้น

ตอนที่ผมอยู่ม.ห้าเทอมปลาย ผมขอคบกับพี่อุ้มซึ่งอายุมากกว่าผมถึงสองปี แน่นอนว่าฝ่ายนั้นไม่ได้ยอมตกลงใจในทีแรกหรอก กว่าทำให้คนปากแข็งยอมรับใจตัวเองก็นานพอดู เราแอบคบกัน ที่ต้องใช้คำว่าแอบเพราะพี่อุ้มไม่ยอมให้เปิดเผยสถานะระหว่างเราต่อหน้าคนอื่น อาจจะเพราะมันดูไม่ดีในฐานะครูสอนพิเศษและลูกศิษย์ตัวโข่งหรือเพราะความไว้เนื้อเชื่อใจของแม่ที่มีต่อพี่อุ้มทำให้พี่อุ้มปิดปากเงียบ แรกๆ ผมก็ยอมรับได้แต่นานวันไป กลายเป็นผมที่ร้อนรนกับความสัมพันธ์แบบนี้ เราทะเลาะกันมากขึ้นมั นรุนแรงจนทำให้พี่อุ้มเสียน้ำตา สุดท้ายเพราะความใจร้อนและผลุนผลันตามช่วงวัย ผมเริ่มไม่มีเหตุผลหาเรื่องชวนทะเลาะ ขณะที่ฝ่ายนั้นกลับเงียบลงทุกวัน

กว่าจะรู้ตัวว่ามันสุดยื้อแล้วก็ตอนที่พี่อุ้มพูดขึ้นว่าผมควรตั้งใจเรียนเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย และบอกเหตุผลว่าเราควรถอยห่างจากกันเพื่ออนาคตของผม

ผมคิดไปว่านั่นคือการบอกเลิกอ้อมๆ ทั้งที่เราควรจับเข่าคุยกันอย่างมีเหตุผล แต่เพราะผมอีกนั่นแหละที่หลุดพูดไปว่า การถอยห่างก็เหมือนการเลิกรา ผมยื่นคำขาดว่าถ้าหากเราเว้นระยะให้กันวันนั้น เราควรเลิกกันไปเลยเพื่อให้สถานะมันชัดเจน

ผมพลั้งปากเพราะโมโห

ผมรู้ว่าพี่อุ้มเสียใจ

แฟนหนุ่มรุ่นพี่ยอมรับด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ผมยังแววตาเจ็บปวดของพี่มันได้เสมอ

ผมผิด...ผมยอมรับ

ความสัมพันธ์ง่อนแง่ของพวกเราจบลงแบบไม่ค่อยดีนัก พี่อุ้มหายไปจากผมแบบที่ติดต่อไม่ได้เลย จนกระทั่งมาวันที่มาส่งไอ้เปียวที่คณะตอนเปิดเทอมปีหนึ่ง มันจะเพราะบังเอิญหรืออะไรก็ตาม ผมเจอพี่อุ้มที่นั่นและดูเหมือนโชคจะเข้าข้างที่พี่อุ้มดันกลายเป็นสายรหัสไอ้เปียวเพื่อนสนิทผม เหตุผลที่ทำให้ผมเจอพี่อุ้มบ่อยขึ้น

การกลับมาเจอกันของพวกเราไม่ได้เริ่มจากศูนย์ เแต่มันเริ่มการจากติดลบต่างหาก

พี่อุ้มพยายามหนีห่าง ขณะที่ผมขยับเข้าหา แม้จะพยายามขอโทษอีกฝ่าย ตั้งแต่วันที่ได้พบเจอกันอีกครั้ง แต่พี่อุ้มดูเหมือนจะแค่ยิ้มรับ แล้วทิ้งระยะห่างระหว่างกันให้ห่างเช่นเดิม

“ผมขอโทษ”

“กูอยากเป็นพี่น้องกับมึง”

พี่อุ้มตอบเสียงแผ่ว

“แต่ผมไม่...”

“ผมมีรุ่นพี่มากพอแล้ว เพื่อนผมก็เยอะแยะ”

“...”

“พี่อย่าเป็นพี่ผมเลย”

“มึง”

“เป็นคนสำคัญของผมเถอะ”

“มึงเคยได้ยินป่ะ การอ่านหนังสือเรื่องเดิมน่ะ มันก็มักจะมีตอนจบแบบเดิมๆ  นั่นแหละ”

“พี่ได้ลองอ่านอีกครั้งรึยังล่ะ”

ผมมองหน้าอีกฝ่ายตรงๆ พี่อุ้มดูอึ้งไปแต่ยังอุตส่าห์ถลึงตาใส่

“ไม่อ่านก็เหมือนเดิมนั่นแหละ”

“ไม่เหมือน”

ผมพูดยิ้มๆ

“หนังสือของผมเป็นฉบับรีไรท์”

“ไอ้โต้ง”

พี่อุ้มแยกเขี้ยวใส่ท่าทางแบบนั้นโคตรน่ามองเลย

“เนื้อหามันเปลี่ยนไปแล้ว แต่แก่นของเรื่องยังเหมือนเดิม”

อดีตคนรักรุ่นพี่เม้มปากแน่น

“หนังสือของผมมีแก่นเรื่องคืออยากให้พี่ได้อ่านด้วยกันอีกครั้ง”

ผมสังเกตว่าฝ่ายนั้นทำหน้าตื่นก่อนจะเห็นริ้วสีแดงๆ ที่แก้มทั้งสองข้าง

“อย่าจีบกูเลย”

ฝ่ายนั้นพูดอย่างอ่อนใจ

“ถ้ามึงเหงา กูพอมีรุ่นน้องจะแนะนำให้มึงนะ”

ผมเท้าคางทำหน้าเหมือนตั้งใจฟังอีกฝ่าย

“คนที่มึงเพิ่งเดินชนหน้าร้านน่ะ รุ่นน้องกูเอง”

“ขายเก่ง”

“น่ารักๆ ขาวๆ สเป๊กมึงเลยนะ”

“ที่พี่พูดมานี่มันลักษณะของพี่ชัดๆ เลยนะ”

พี่อุ้มทำแก้มพองดูขัดใจ

“เบื่อจะพูดกับมึง”

“แต่ผมไม่เบื่อจะง้อพี่นะ”

พี่อุ้มถอนหายใจแรงๆ แล้วกอดอกมองผมนิ่ง

“อะไรทำให้มึงมั่นใจว่าเรื่องของเราจะเป็นไปได้”

“เรื่องของเรา”

ผมทวนคำนี้ก่อนยิ้มน้อยๆ

“ฟังแล้วใจฟูบอกไม่ถูก”

“ไอ้โต้ง”

“ครับ”

ผมยืดตัวขึ้นเพราะจะพูดเรื่องสำคัญ

“ผมบอกตรงๆ ว่าไม่มีความมั่นใจเลย พี่แม่งโคตรใจแข็งเลย ป่านนี้ยังไม่หายโกรธผมอีก”

“เปล่าเลย กูไม่ได้โกรธมึง ถ้าย้อนกลับไป ถามหาว่าใครกันที่ผิดเรื่องน่ะ...” พี่อุ้มพูดเสียงเบา 

“เราผิดด้วยกันทั้งคู่ “

“...”

“กูไม่เคยโทษหรือโกรธมึง”

“...”

“แต่วันนี้กูอยากให้มึงตัดสินใจดีๆ โต้ง มึงไม่ใช่เด็กม.ห้าหัวร้อนที่เอาแต่ใจเหมือนเมื่อก่อนแล้ว วันนี้ใครๆ ก็รู้จักและอยากเข้าหามึง ตัวเลือกดาหน้าเข้ามาให้มึงเลือกตั้งเยอะแยะ อย่าปิดโอกาสตัวเองสิวะ มึงมีโอกาสได้เลือกแล้วนะ ทำไมถึงไม่เลือกหนังสือเล่มใหม่ล่ะ บางทีมันอาจจะมีอะไรน่าสนใจกว่าเล่มเดิมๆ ที่มึงอ่านจนจบแล้ว”

ผมกดมุมปากตอนที่ฝ่ายนั้นพูดจบ

“ผมรักหนังสือเล่มนี้ รู้ตอนจบแล้วยังไง พี่ไม่เคยมีหนังสือเล่มที่รักมากๆ เหรอ หนังสือเล่มเดิมที่ชอบหยิบขึ้นมาอ่านน่ะ ต่อให้รู้ตอนจบ ผมก็ยังอยากอ่านอยู่ดี”

พี่อุ้มทำปากขมุบขมิบทั้งที่แก้มขาวๆ นั่นขึ้นสีแดงระเรื่อ พอเห็นผมมองอยู่พี่มันก็ถลึงตาใส่แล้วดันอาหารจานที่เผ็ดจานเดิมกลับมาอยู่ตรงหน้าเป็นการกระทำแก้เขิน


สัตว์เอ้ย

โคตรน่าฟัดเลย



___50%______________





เอาไปครึ่งนึงก่อนนะคะ
หวีดในทวิตติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่อ่านแล้วเมนต์เป็นกำลังใจให้เรานะคะ กราบบบ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่17 l 20/4/63 l P.6 [UP] 50%
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 20-04-2020 23:07:59
พี่อุ้มน่ารักอ่ะ

ตอนนี้น้องเปียวไม่ออกมาเลย สงสัยค่าตัวแพง
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่17 l 20/4/63 l P.6 [UP] 50%
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 20-04-2020 23:28:26
ฉบับรีไรท์ต้องสมบูรณ์กว่าฉบับจริงแน่นอน,,,
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่17 l 20/4/63 l P.6 [UP] 50%
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 21-04-2020 18:08:21
พี่อุ้มน่ารักจัง :กอด1:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่17 l 20/4/63 l P.6 [UP] 50%
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 21-04-2020 23:06:43
ลองอ่านอีกรอบ ก็ไม่น่าเสียหายนาาาา
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่17 l 20/4/63 l P.6 [UP] 50%
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 22-04-2020 01:58:49
มีลุ้นมั้ยน้า
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่17 l 20/4/63 l P.6 [UP] 50%
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 23-04-2020 19:11:37
 :hao6:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่17 l 20/4/63 l P.6 [UP] 50%
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 23-04-2020 20:11:53
ชอบมุขหนังสือ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่17 l 20/4/63 l P.6 [UP] 50%
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 23-04-2020 23:43:12
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่17 l 20/4/63 l P.6 [UP] 50%
เริ่มหัวข้อโดย: Plakhem ที่ 28-04-2020 21:37:09
 :really2: รออีก 50% จ้า   :z13:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่17 l 4/5/63 l P.6 [UP] 100%
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 04-05-2020 21:36:34
 
(ต่อ)


คาเฟ่หน้าสนามกีฬาตอนนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษจนไอ้อ๋องมันสงสัยถึงกับเดินไปถามเจ้าของร้าน วันนี้ผมและไอ้อ๋องมาส่งข้าวช่วยรุ่นพี่สวัสดิ์คณะ เกือบห้าโมงเย็นแล้วตอนนี้ แต่นิสิตยังหนาตา ถ้าไม่ติดว่านัดไอ้โต้งที่นี่พวกผมคงแยกย้ายกันกลับแล้ว แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่  ไอ้โต้งมันซ้อมคทากรหนักจนไม่มีเวลาโผล่หัวไปหาพี่อุ้มที่คณะเลย เนื่องจากช่วงนี้ใกล้โค้งสุดท้ายแล้วสำหรับงานฟุตบอลประเพณี

วันนี้ผมกับไอ้อ๋องเลยกะจะแวะมาดูใจมันสักหน่อย

ไอ้อ๋องเดินถือชาเขียวปั่นกลับหลังจากไปยืนคุยกับเจ้าของร้านอยู่นาน เป็นตอนที่ไอ้โต้งเดินเนือยๆ มาทางนี้พอดี มันทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างๆ สีหน้าดูอ่อนล้าไม่น้อย

“เป็นไงวะ ท่าทางเหมือนไม่ได้นอน”

มันชูสองนิ้วให้

“อะไรอ่ะ”

“ไม่ได้นอนสองวันแล้ว”

“หา”

“อะไรมันจะขนาดนัั้นวะ”

ไอ้อ๋องถามขึ้นอย่างสนใจ

“วิชาดรออิ้งแม่งอาจารย์จบนอกมา ไฟแรงสัดๆ สั่งทำโปรเจ็กต์เยอะฉิบหาย ช่วงนี้็กูยิ่งซ้อมเลิกดึกทุกวันด้วย”

มันเคยเล่าให้ฟังว่าที่คณะรับอาจารย์ใหม่เข้ากลางเทอมเพราะอาจารย์คนเก่าประสบอุบัติเหตุต้องพักรักษาตัวอีกนาน อาจารย์คนใหม่นี่ข่าวว่าเพิ่งกลับมาจากเมืองนอกใหม่ๆ ไม่แปลกหากอาจารย์คนนี้จะไฟแรงสั่งงานมันจนหัวหมุน

“มึงเคยชมว่าเขาสวยโคตรๆ นี่หว่า”

“ความสวยไม่สัมพันธ์กับความโหดเลยครับ”

มันบ่นอุบ

“เพื่อนกูที่คณะจากที่ตื่นเต้นกับอาจารย์สาวๆ มาสอน ตอนนี้โคตรขยาด”

ผมยิ้มก๊ากเลย

“แต่ก็ดีนะ แรกๆ เพื่อนกูไปปีนเกลียวแกเอาไว้เยอะ คงเห็นว่าอาจารย์แกเคยเป็นรุ่นพี่ศิษย์เก่า เล่นกันมากไปเลยโดนเจ้แกจัดโปรเจ็กต์มาจนพวกกูจุกไปเลย””

“สมน้ำหน้า”

ไอ้โต้งเบะปากเซ็งแล้วยื่นมือไปคว้าเอาชาเขียวไอ้อ๋องมากินหน้าตาเฉย

“ของกู”

“กินนิดกินหน่อย”

ไอ้โต้งโยกแขนที่ถือแก้วชาเขียวหลบ

“ไปซื้อเองสิวะ”

“คนเยอะขี้เกียจไปต่อ”

ไอ้โต้งพูดไปดูดน้ำไปด้วย

“เออว่าแต่ทำไมวันนี้คนเยอะจังวะ” ผมหันไปถามเพื่อนข้างห้อง “มีแต่เด็กวิศวะฯ”

นิสิตส่วนใหญ่ที่มาต่อแถวซื้อน้ำส่วนใหญ่ใส่เสื้อช๊อปกันทั้งนั้น 

“วันนี้ร้านมีโปรฯ”

“โปรอะไรวะ”

ไอ้อ๋องยังไม่ทันได้ตอบ แก๊งคทาการรุ่นพี่ก็เดินเฮโลกันเข้ามาในร้านก่อนแล้วผละไปจับจองพื้นที่มุมด้านหนึ่ง

“พี่เซียนไปช่วยอาจารย์ดรออิ้งที่โรงฝึก คงยังไม่มามั้ง”

ไอ้โต้งพูดขึ้นลอยๆ 

“บอกกูทำไมอ่ะ”

“มึงมองหาพี่มันอยู่ไม่ใช่เหรอ”

“รู้ดี”

ถลึงตาใส่แม่ง

ผมค้อนลมค้อนแล้งไปเรื่อยก่อนจะผละออกมาเข้าห้องน้ำหน้าสนามกีฬา ตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียนแล้วสนามกีฬานอกจากจะมีพวกคทากรที่จะมาขอใช้พื้นที่สำหรับการซ้อมแล้ว ยังมีกลุ่มนักฟุตบอลที่ซ้อมกันอยู่กลางสนามโน่น

“อ้าว”

ผมร้องทักพี่ชายข้างบ้านที่หัวเปียกซกออกมาจากห้องน้ำ 

“ไงมึง”

“ผมมาส่งข้าวช่วยสวัสดิ์ครับ”

“อ๋อ”

พี่ปั๊บพยักหน้าหงึกหงัก

“กูเห็นถุงข้าวที่ข้างสนามละ แล้วนี่จะกลับเลยรึเปล่า”

“คงกลับเลยครับ”

“เออ”

พี่มันหรี่ตามองผมนิ่งๆ

“นึกว่าจะอยู่รอพวกคทากรซะอีก”

แววตาของพี่มันทำให้ถึงกับเก้อเขิน เพราะเผลอไปนึกถึงเหตุการณ์วันที่ไปกินข้าวกับพี่มันแล้วโดนพี่เซียนลากออกมาก่อน หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้กลับเข้าไปอีกเลย ไม่รู้ว่าพี่ปั๊บมันจะเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้นไปยังไง แต่แววตาที่มองเมื่อกี้เหมือนจะมองเหตุการณ์ได้ทะลุปรุโปร่งจนผมเสียวสันหลัง

“เกี่ยวอะไรกับผมล่ะ”

“มึงกับไอ้เซียนเป็นอะไรกัน”

เจอคำถามนี้ถึงกับไปไม่ถูกเลย

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ พี่ปั๊บแตะไหล่แล้วดันให้ผมออกเดินเข้าไปบริเวณอัฒจันทร์แถวสนามบอล ผมทรุดตัวลงนั่งแถวนั้น โดยมีพี่มันนั่งข้างๆ 

“อย่าตอบว่าพี่น้องนะ”

ผมแยกเขี้ยวใส่พี่มันทีนึง

“พี่น้องที่ไหนลากถูกันออกไปแบบนั้น”

ผมเกาหัวแกรก เอาจริงๆ ต่อให้ความรู้สึกระหว่างเรามันไปไกลแล้ว แต่สถานะระหว่างกันนั้นมันยังคลุมเครือ

“พี่น้อง”

ผมตอบเสียงแผ่ว

“มึงไม่ได้ยินที่กูพูดเมื่อกี้เหรอ”

พี่ปั๊บผลักหัวผมทีนึง

“ก็ผมไม่รู้จะตอบอะไรอ่ะ”

“...”

“มันก็มากกว่าพี่น้อง แต่ก็ไม่ได้เป็นแฟนกัน”

พี่ปั๊บเหยียดยิ้มให้ผมเ

“มึงรู้มั้ย”

“ไม่รู้”

“กูยังไม่ได้เล่า”

พี่มันขำออกมาทันที

“กวนตีนนะไอ้เปียว เดี๋ยวเรื่องที่มึงโดนไอ้เซียนเต๊าะนี่รู้ถึงหูแม่มึงแน่”

“พี่”

ผมทำหน้าตื่นทันที เอาจริงพ่อกับแม่ผมไม่ใช่คนที่เข้มงวดหรือหัวโบราณอะไรนักหรอก แต่มันคงแปลกไม่น้อย หากจะพูดออกไปโต้งๆ ว่าผมมีผู้ชายมาจีบ

“กูล้อเล่น”

“มึงจะชอบใครก็เรื่องของมึงเถอะ ไอ้เปียว”

“มันแน่อยู่แล้ว”

“แต่กูจะบอกอะไรให้นะ ตอนม.ปลายกูเคยแย่งไอ้เซียนจีบเด็กคอนแวนต์”

ประเด็นมันน่าสนใจจนผมเผลอทำตาโต

“เคยชกกันด้วย”

มิน่า ถึงดูไม่ค่อยถูกชะตากัน และไอ้พี่เซียนเองดูไม่ชอบใจที่เห็นผมสนิทสนมกับพี่ปั๊บเท่าไหร่

“นักเลงว่ะ”

“ก็ตอนนั้นมันวัยรุ่น เอาจริงนะกูกับมันไม่ได้เกลียดกันหรอก ถ้าจะพูดให้ถูกน่าจะเหม็นหน้ากันมากกว่า เด็กคอนแวนต์นั่นแรกรักกูเลย แต่ไอ้ห่าเซียนดันจีบติด คบกันไม่ถึงเดือนก็ดันเลิก ผู้หญิงเสียใจจนกูสงสาร กูเลยตามไปชกมัน”

ผมเบะปากตอนที่เหลือบไปมองสันมืออีกฝ่าย ทั้งใหญ่ทั้งหนาขนาดนั้นคนโดนไม่เจ็บแย่เหรอวะ

“แต่มันก็สวนกูมาหลายหมัดอยู่”

“เพราะอย่างนี้เลยไม่ถูกกันเหรอครับ”

“เปล่า”

“อ้าว”

ผมทำหน้างงทันที

“กูเพิ่งมารู้ทีหลังว่าผู้หญิงไปบอกชอบมันก่อน จริงๆ มันไม่ได้ชอบด้วยซ้ำ แต่ผู้หญิงขอร้องให้ลองคบดู สุดท้ายมันเลยจบแบบนั้น”

ผมเผลอนึกถึงหน้าพี่เซียนทันที 

“กูแค่หมั่นไส้ที่มันทำตัวแมนๆ ไม่ยอมปริปากบอกว่ามันเลิกกับผู้หญิงทำไม ทำให้หลายคนมองมันไม่ดีเพราะผู้หญิงเอาไปพูดว่ามันหลอกให้รัก แม่งโชว์แมนฉิบหาย”

นั่นแหละพี่มัน กว่าจะยอมเปิดปากว่าคือไอ้พี่ยักษ์ก็จนมุมนั่นแหละ ถึงยอมพูดออกมา

“มึงยิ้มอะไรขนาดนั้นวะเปียว”

พี่ปั๊บทำหน้าหมั่นไส้

“ผมยิ้มปกติเหอะ”

“มึงชอบมัน”

“พี่”

ผมทำหน้าตื่นทันที อยากจะอ้าปากคัดค้านแต่สุดท้ายถ้อยคำเหล่านั้นกูติดอยู่ในลำคอ

“รู้ก็ดี”

หือ?

ผมหันขวับไปบนอัฒจันทร์จึงเห็นคนดังของภาคยานยนต์ยืนค้ำหัวกอดอกอยู่ ฉิบหาย พี่มันมายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ผมยิ้มแหยส่วนพี่ปั๊บแค่ทำหน้าเซ็งใส่เพื่อนร่วมคณะก่อนจะผละลุกออกไป แล้วพี่เซียนก็เดินมาทรุดตัวลงนั่งใกล้ผมแทน

“คุยอะไรกัน”

“ได้ยินหมดแล้วไม่ใช่เหรอ”

ผมทำปากยื่นใส่อีกฝ่าย

“ก็ไม่ทั้งหมด”

“แล้วได้ยินอะไรบ้างล่ะ”

“มึงชอบกู”

“หูฝาดรึเปล่า”

ผมเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง

“ใกล้ขนาดนี้มึงคิดว่ากูฟังผิดมั้ยล่ะ”

ผมค้อนให้พี่มัน

“ก็ตามที่ได้ยินนั่นแหละ”

ฝ่ามือเลื่อนมากุมทับหลังมือผมแล้วบีบกระชับ

“มึงอายอะไรล่ะเปียว กูชอบมึง แล้วถ้ามึงจะชอบกู ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร”

“...”

“ใจตรงกันขนาดนี้แล้ว”

“พี่”

ผมทำหน้าไม่ถูกเลยทีนี้

“อยากกินช็อคโกแลตมิ้นท์ปั่นมั้ย”

เกี่ยวอะไรวะ พี่เซียนยิ้มขำก่อนจะฉุดมือผมให้ลุกขึ้น

“วันนี้ที่คาเฟ่หน้าสนามกีฬามีโปรโมชั่น”

“อ๋อ”

ถึงว่าวันนี้นิสิตต่อแถวซื้อกันหนาตาเลย ผมเดินตามแรงจูงของพี่มันกลับมาในร้านอีกครั้ง ตอนนั้นเห็นไอ้โต้งกับไอ้อ๋องหันมาทางนี้แล้วยิ้มแปลกๆ

อะไรกันวะ

ผมยักไหล่ก่อนจะขยับเท้าตามเมื่อคิวด้านหน้าเริ่มขยับเรื่อยๆ โดยที่พี่เซียนยืนต่อแถวซ้อนหลังผมอยู่

“อยากกินอะไร”

ผมชะโงกหน้าไปที่ตู้เค้กแล้วกวาดสายตามองสำรวจ

“วันนี้ไม่มีบราวนี่มิ้นท์อ่ะ”

“งั้นก็กินอย่างอื่น”

“พี่พูดเหมือนพี่จะเลี้ยงผม”

“อยากให้เลี้ยงมั้ยล่ะ”

ผมยักไหล่ ก่อนจะสะดุดสายตากับกระดานอันใหญ่ที่เขียนด้วยลายมือน่ารัก เป็นข้อความโปรโมชั่นที่ถูกกล่าวขวัญถึงก่อนหน้านี้

 

‘แฟนวิศวะฯ ลด50%’

ควงแขนแฟนวิศวะฯ มา ลดทุกเมนูในร้าน

เฉพาะนั่งทานในร้าน เจ้าของร้านอยากนั่งดูความฟิน

 

“รับอะไรดีคะ”

เจ้าของร้านถามเสียงใส

“เอ่อ”

ผมอ้ำๆ อึ้งๆ ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที

“เอาไง”

เสียงกระซิบดังขึ้นที่ข้างหูผม

“อยากกินครึ่งราคามั้ยล่ะ”

ผมเม้มปากแน่น ยิ่งตอนที่สบสายตากับพี่มันตรงๆ แบบนี้

“แล้ว แล้วผมต้องทำยังไง”

“คุณลูกรับอะไรดีคะ”

เจ้าของถามย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นผมยืนซุบซิบกับพี่เซียน

“ช็อคโกแลตมิ้นท์ปั่นครับ”

“70บาทค่ะ”

ผมขยับตัวยุกยิกก่อนจะข่มใจถามคนรับออเดอร์ตรงหน้าว่า

“ไม่ใช่ 35 บาทเหรอครับ”

“เอ๊ะ”

เจ้าของร้านทำหน้าตื่น ก่อนที่ประกายตาของเธอจะวาวระยับมองหน้าผมสลับกับคนที่ยืนซ้อนอยูู่ข้างหลัง

“พี่แม่ง จ่ายให้ผมด้วย”

ผมหันไปแยกเขี้ยวให้คนที่หัวเราะน้อยๆ อยู่ข้างหูก่อนจะก้มหน้าก้มตาเดินไปหาพวกเพื่อนๆ ที่โต๊ะ ไอ้เวรสองตัวนี้เหมือนรอโอกาสอยู่ พวกมันเลยทำหน้าล้อเลียนผมทันที

แม่ง

แค่อยากกินเมนูโปรดในราคาประหยัดเท่านั้นแหละ

จริงๆ นะ

ผมเม้มปากแน่นก่อนจะหันไปมองป้ายกระดานอันนั้นอีกครั้ง

‘แฟนวิศวะฯ ลด50%’

แฟนวิศวะฯ

แฟนวิศวะฯ

ให้ตายเถอะ

นี่กูทำอะไรลงไปวะ ผมนั่งกุมหัวใจตัวเองที่เต้นแรงมาก


- J E E B -


หายไปอาทิตย์นึงค่ะ ช่วงนี้ไม่ค่อยมีสมาธิเลย
หวีดในทวิตติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยนะคะ


หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่17 l 4/5/63 l P.6 [UP] 100% (มาครบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 04-05-2020 22:18:41
แค่อยากได้ส่วนลดค่าน้ำปั่นจริงๆ อ่ะเหรอน้องเปียว เปิดตัวแรงนะจ๊ะ.  :hao3:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่17 l 4/5/63 l P.6 [UP] 100% (มาครบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 05-05-2020 06:32:48
 :serius2:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่17 l 4/5/63 l P.6 [UP] 100% (มาครบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 05-05-2020 09:35:24
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่17 l 4/5/63 l P.6 [UP] 100% (มาครบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 05-05-2020 18:39:20
เขินแทน :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่17 l 4/5/63 l P.6 [UP] 100% (มาครบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: kenghan ที่ 05-05-2020 20:10:40
เปียวเห็นแกของลดราคา รึ เขินไม่กล้าตอบตกลงเป็นแฟนด้วยคำพูด
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่17 l 4/5/63 l P.6 [UP] 100% (มาครบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 06-05-2020 02:18:15
ก้คือตกลงแล้วมั้ยค้าาาา  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่17 l 4/5/63 l P.6 [UP] 100% (มาครบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 12-05-2020 08:36:10
เขิลบ้าบอ อะไรเนี้ย
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่18 l 12/5/63 l P.7 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 12-05-2020 20:13:42
 

- จีบที่18 -

 

 

เพจทวงคืนเหมียวมาริสาสมบัติสาธารณะจากเซียนศกัณฐ์

แว่วๆ ว่ามีคนออกตัวซื้อน้ำปั่นราคาลดจีบเด็กวิทย์กีฬาเหรอวะ?

มันยังไง มันแถวไหนวะ ไหนใครอยู่ในเหตุการณ์เล่าหน่อย

 

Comment

 

แมนวังหินซิ่งเบาะปลิว บ้านคนจีนแถวพรานนกอ่ะ

จะชงจนกว่าจะได้พี่เซียน เป็นเขินมากจ้ะ ฉันอยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้น

FCพี่เซียน @จะชงจนกว่าจะได้พี่เซียน เหลามาค่ะ รอเขินด้วย

Sitt.Sita คาเฟ่หน้าสนามกีฬามีโปรลดสำหรับเด็กวิดวะฯ

Tichob_tichob @Sitt.Sita โปรแฟนวิดวะลด50%

Arm❤Meow @Tichob_tichob @Sitt.Sita เซียนซื้อน้ำให้เด็กวิทย์กีฬาในราคาลด 

รักน้องเหมียวคนเดียว เซียนคือตัวหลอกอ่ะผมว่า ตัวจริงน้องเหมียวข่าวว่าอยู่เมืองนอก

กานซายเป็นเมียพี่เซียน น้องเปียว น้องคณะฉันเอง กรี๊ดดดดด

เพจทวงคืนเซียนศกัณฐ์จากเปียวปัณณกิต ฝากกดไลค์เพจด้วยค่ะ

Onlyพี่เซียนวิศวะฯ @เพจทวงคืนเซียนศกัณฐ์จากเปียวปัณณกิต  กรี๊ดดดด อย่าหาทำ

Sai_darin ส้มหยุดแต่ #เซียนเปียว ไม่หยุดว่ะ


 

ผมเลื่อนอ่านความคิดเห็นที่ไหลเป็นน้ำแล้วรู้สึกเลยว่าใบหน้าตัวเองร้อนเห่อขึ้นมาทันที โดยเฉพาะคอมเมนต์ที่มีการตั้งเพจผมกับไอ้พี่เซียนจริงๆ แล้ว

“ดูอะไร”

ผมสะดุ้งโหยงทำตาลอกแลกก่อนจะรีบเก็บมือถือ แต่ไม่ทันเพราะพี่มันคว้ามือถือผมไปดูอย่างถือวิสาสะ

“พี่”

พี่เซียนเบี่ยงมือถือหนีแม้จะพยายามคว้าคืน แต่ส่วนสูงที่ต่างกันทำให้พี่เซียนได้มือถือผมไปอย่างง่ายดาย ใบหน้าคมคายจ้องมองโทรศัพท์ในมือแล้วกดยิ้มมุมปาก ท่าทางดูจะถูกใจไม่น้อย ผมเลยเสหน้ามองไปทางอื่น ตอนนี้เป็นเวลาค่ำแล้ว หลังจากนี้พี่เซียนซ้อมคทากรเสร็จแล้ว ตอนนี้คนเหล่านั้นแยกย้ายกันไปหมดแล้วรวมถึงไอ้โต้งที่ยิ้มแปลกๆ ตอนที่โบกมือลาผมไปเมื่อกี้นี้

สนามบอลตอนนี้จึงเหลือแต่พวกนักฟุตบอลประปรายมีแสงไฟสปอตไลท์สว่างไสวโดยรอบ ค่ำขนาดนี้แล้วผมยังนั่งอยู่โยงรอพี่เซียนตั้งแต่ช่วงเย็นแล้ว ก็หลังจากเหตุการณ์ซื้อช็อกโกแลตมิ้นท์ปั่นในราคาลดนั่นแหละ

พูดถึงราคาลด อดเหลือบตามองบรรดาขนมและของกินจากร้านคาเฟ่หน้าสนามกีฬาที่วางแอ้งแม้งอยู่ตรงเก้าอี้ข้างๆ หลายชิ้นที่พี่เซียนใช้สิทธิ์แฟนวิศวะฯ ซื้อให้

พี่เซียนยื่นมือถือคืนให้ผมแล้วทรุดตัวนั่งข้างๆ กัน มือข้างหนึ่งของพี่มันคว้าเอาเสื้อช๊อปมาปัดขาให้ผมเพราะค่ำๆ แบบนี้ยุงรำคาญตัวโตกำลังออกบินสร้างความรำคาญ

“เปียว”

“ครับ”

“มึงโอเคมั้ย”

“เรื่อง?”

พี่เซียนฟาดแขนข้างหนึ่งไปกับขอบเก้าอี้นั่นเลยเหมือนว่าพี่มันกำลังโอบผมอยู่

“เรื่องของเรา”

ผมเม้มปากแน่นก่อนจะเหลือบตามองอีกฝ่าย

“...”

“พูดอะไรวะ งึมๆ งำๆ ในคอ”

“เขิน”

“โคตรเขินเลยพี่”

พี่เซียนหัวเราะน้อยๆ ตอนที่เอื้อมมือมาโยกศีรษะผมไปมา

“บอกตรงๆ ตอนนี้มันยังงงๆ อึ้งๆ อ่ะ ทำตัวไม่ถูก”

“ยังไง”

“ก็ผมควรทำยังไงกับสถานะปัจจุบันนี้ดี”

“คนเป็นแฟนกันเค้าทำยังไง มึงก็ทำแบบนั้นแหละ”

คำว่า ‘แฟน’ นั่นทำให้หัวใจผมอุ่นวาบขึ้นมาทันที

“พี่ชอบผมจริงๆ เหรอ”

ผมสบตากับพี่มันตรงๆ

“ทุกอย่างที่กูทำกับมึง กูทำด้วยความตั้งใจ”

“...”

“กูชอบ...กูเลยจีบ”

ผมกลั้นยิ้มจนปวดแก้มและเผลอขยับโยกศีรษะไปตามจังหวะที่ฝ่ามือหนาขยับ

“แล้วมึงล่ะ”

“ผมทำไม”

“ความเป็นส่วนตัวของมึงต่อจากนี้มันจะไม่เหมือนเดิมหรอกนะ”

ผมนิ่งฟัง

“มึงรู้ใช่มั้ยว่าเพราะอะไร”

“ก็พอรู้แหละ”

“อึดอัดหน่อยนะ”

พี่เซียนกุมมือผมแล้วบีบเบาๆ

“ที่เป็นแฟนกู”

ผมชอบคำนี้จัง

“อือ”

“กูจะทำให้ดีที่สุด แต่ที่สุดของมึงกับกูมันคงเทียบกันไม่ได้”

ผมตั้ใจฟัง

“กูไม่รู้อนาคต แต่กูจะเต็มที่ในทุกๆ วัน”

“...”

“มาพยายามด้วยกันนะ”

ผมบีบมือพี่มันเป็นการตอบรับ

“เอ๊ะ”

วัตถุเหมือนโลหะตกอยู่ในมือ ผมหยิบของในมือขึ้นมาพิจารณาเห็นวัตถุทรงกลมแกนยาวคล้ายปากกาเพราะส่วนปลายมนเข้าแต่อันจิ๋วกว่ามาก ส่วนบนมีเกลียววนเป็นวงกลม ระหว่างส่วนปลายและส่วนบนมีวงแหวนคล้ายๆ น็อตกั้นกลาง ของดังกล่าวนั้นชิ้นเล็กมีน้ำหนักเบาคล้ายกับว่าทำจำลองขึ้นมา ถ้าให้เดาคงเป็นชิ้นส่วนของอะไรสักอย่างแน่ๆ

เชือกดิบเส้นไม่ใหญ่ไม่เล็กสอดผ่านวัตถุดังกล่าว จึงเหมือนสร้อยคอที่ห้อยด้วยวัตถุโลหะทรงประหลาด

“อะไรอ่ะ”

“สร้อยไง”

“รูปร่างคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหน”

พี่เซียนแค่ยิ้มน้อยๆ แต่ไม่พูดอะไร

“ให้ผมเหรอ”

“อืม”

“...”

“เก็บไว้ดีๆ นะ”

“...”

“อย่าทำหายล่ะ”

พี่เซียนสวมสร้อยคอนั่นให้ผมแล้วคลึงวัตถุที่ห้อยอยู่ในคอแล้วยิ้ม

“สำคัญมากเหรอครับ”

ผมเอื้อมมือไปคลึงวัตถุดังกล่าว

“สำคัญมาก”

“ผมถามได้มั้ยว่ามันสำคัญยังไง”

พี่เซียนจ้องสร้อยนั้นแล้วตอบ

“มันสำคัญกับเครื่องยนต์”

มิน่าเล่า

“ขาดไปไม่ได้หรอก”

ผมคิดออกแล้ววัตถุที่คล้องเป็นสร้อยอยู่นี่หน้าตาเหมือนชิ้นส่วนของเครื่องยนต์จริงๆ นั่นแหละ

“เหมือนมึงอ่ะ”

“เหมือนผมยังไงเหรอ”

“ขาดมึงไปไม่ได้ไง”

เหี้ยเอ้ย

พี่เซียนยิ้มแล้วหล่อฉิบหาย

“ผมไม่มีอะไรให้พี่เลยอ่ะ”

ผมกลั้นยิ้ม มือก็คลึงวัตถุดังกล่าวนั่นเล่นไปด้วย

“กูไม่ต้องการ”

“แค่เป็นแฟนกูก็พอแล้ว”

“พอจริงเหรอ”

“เป็นแฟนพี่...ก็พอแล้วครับ”

“พี่แม่ง”

ผมก้มหน้างุดๆ ขณะที่อีกฝ่ายโยกศีรษะผมไปมา ผมแอบเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของพี่มันตอนที่พวกเราลุกเดินออกมาจากสนาม มือข้างหนึ่งหิ้วขนมราคาลดที่พี่มันซื้อให้ มืออีกข้างถูกพี่เซียนกอบกุมเอาไว้ 

ระหว่างเรามีเพียงความเงียบ

ผมได้ยินแต่เสียงฝีเท้าดังสลับกันไปมาระหว่างที่เราเดินลัดเลาะไปตามทางฟุตบาธด้านนอกสนามกีฬา

“ขอบคุณนะพี่”

พี่เซียนหันมาเลิกคิ้วทันที

“ไม่ใช่”

“อะไรไม่ใช่”

ผมถามยิ้มๆ

“มึงพูดผิด”

“แล้วผมต้องพูดว่าอะไร”

พี่เซียนเลื่อนมือข้างที่จับกุมกันอยู่มากอดคอผมแล้วกระซิบข้างหูว่า

“ขอบคุณครับแฟน”

สัดเอ้ย

ยิ้มจนเมื่อยแก้มแล้ว

 

- J E E B -


 

 

“่ยิ้มจนปากจะฉีกแล้วมั้ง”

ไอ้อ๋องที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทำหน้าล้อเลียนผมไม่ต่างจากไอ้โต้ง

“กูเปล่า”

“ตอแหล”

ไอ้ห่าโต้งทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายกว่าๆ แล้ว วันนี้พวกผมไม่มีเรียนคาบบ่ายเพราะอาจารย์แกแคนเซินคลาส ส่วนไอ้เดือนวิศวะฯ ตรงหน้านี่มันมาเรียนวิชาเลือกเสรีที่คณะผม เห็นว่าอาจารย์ที่สอนปล่อยเบรกมันถึงมานั่งเสนอหน้าอยู่แบบนี้

“มีผัวอาทิตย์เดียวยิ้มไม่หุบเลยน้า”

ไอ้ห่าโต้งแซะผมจนต้องแยกเขี้ยวใส่ 

“แฟนก็พอมั้ยล่ะ”

“ยอมรับแล้วสิว่าคบกันจริง”

อุตส่าห์ทำเนียนไม่พูดถึงสถานะระหว่างผมกับพี่มันให้ใครฟังมาเป็นอาทิตย์ตั้งแต่ตกลงคบกัน ท่ามกลางสีหน้าอยากรู้อยากเห็นของเพื่อน ไม่รู้เป็นโชคดีหรือร้ายกันแน่เพราะตั้งแต่นั้นมา พี่เซียนก็บังเอิญไม่ค่อยว่างเลยไม่ได้มาหาผมที่คณะ เพราะติดโปรเจ็กต์และซ้อมคทากรหนักด้วย กลายเป็นผมที่ต้องแวะเวียนไปสนามกีฬาช่วงเย็นหลังจากส่งข้าวส่งน้ำช่วยสวัสดิ์เสร็จเพื่อกลับพร้อมพี่เซียนทุกวัน

แน่นอนว่าการกลับด้วยกันทุกวันของพวกผมเป็นที่จับตามองอยู่เงียบๆ ในเมื่อยังไม่มีใครกล้าถาม ผมเลยทำเนียนๆ ไป แม้กระทั่งเพื่อนสนิททั้งสองตรงหน้า เอาจริงๆ นะจะพูดหรือไม่พูดออกมา ผมว่าพวกมันก็พอจะรู้คำตอบกันอยู่แล้ว

“พวกมึงแม่ง”

ผมทำหน้าเหนื่อยใจให้ความปากไวของตัวเอง

“คบก็บอกว่าคบ”

ไอ้โต้งยักคิ้ว

“เออ”

“เอออะไรล่ะ”

“เออคบ”

“ก็แค่นั้น”

พวกมันหัวเราะร่วนจนผมแทบอยากจะเอาหัวมุดใต้โต๊ะ

“เฮ้ยไอ้เปียว”

“อะไรอ่ะ”

“มึงเห็นยังวะ”

ผมส่ายหัวก่อนจะชะโงกหน้าไปดูหน้าจอโทรศัพท์ของไอ้โต้งที่ยื่นมาตรงหน้าผม

“เชี่ย”

 

SakanSian like เพจทวงคืนเซียนศกัณฐ์จากเปียวปัณณกิต

 

“พี่กูนี่ออกตัวแรงฉิบหาย”

ไอ้โต้งพูดขำๆ ทำเอาผมพูดไม่ออก ยังไม่ทันจะได้ตอบโต้อะไรกลับไปสักอย่าง เหมือนว่าเฟซบุ๊คเจ้าปัญหาที่เพิ่งกดไลค์เพจนั่นไปมีการเคลื่อนไหว ไม่นานหลังจากโพสแล้วก็มีใครสักคนแท็คผมมา

 

SakanSian

Statue : อยากกินข้าวที่วิทย์กีฬา

 

 

Diaw_Danupat อยากกินข้าวหรืออยากกินเด็กวิทย์กีฬาเอาดีๆ

AumaumSpsc @SakanSain  น้อยๆ หน่อยโว้ย กูหวงหลานรหัส

Nuch227 กรี๊ดดดด เพ่เซียนไปไลค์เพจทวงคืนเซียนศกัณฐ์จากเปียวปัณณกิต 

เพจทวงคืนเหมียวมาริสาสมบัติสาธารณะจากเซียนศกัณฐ์  กรี๊ดดดดด ทำไมผมเขิน

จะชงจะกว่าจะได้พี่เซียน แรงมากพ่อ ออกตัวแรงมาก

Alisa.nana @Piao.pannakit  เสนอตัวคนส่งข้าวค่ะ

SakanSain @Alisa.nana @Piao.bpannakit  ฝากด้วยครับ

กานเซียนเป็นเมียพี่เซียน พี่เซียนเมนต์ไม่สนใจชื่อเฟซฉันเลย เป็นเศร้าแล้ว

 

 

“เอาแล้ว”

ไอ้อ๋องที่ชะโงกใบหน้ามาดูหน้าจอโทรศัพท์ ยังไม่ทันที่จะได้เมนต์ตอบอะไรแชทข้อความส่วนตัวก็เด้งขึ้นมาทันที

 

SakanSian  แอบส่องกูเหรอ

 

ผมสะดุ้งโหยงทันทีก่อนจะมองซ้ายมองขวาหาพี่มัน ด้วยกลัวว่าอาจจะถูกอีกฝ่ายแอบดููอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแต่มองไปทั่วโรงอาหารช่วงบ่ายแก่ๆ ที่นิสิตบางตาขนาดนี้ มองยังไงก็ไม่เห็นอีกฝ่าย

 

Piao.pannakit  เปล่าซะหน่อย

SakanSian **ส่งภาพ**

 

“เชี่ย”

ภาพตรงหน้าคือภาพที่ผมกำลังอมยิ้มอ่านข้อความในโทรศัพท์จากมุมที่เห็นใบหน้าผมชัดๆ ขนาดนี้คงไม่พ้นฝีมือ

“ไอ้ห่าโต้ง”

เพื่อนเวรยักไหล่ ผมเลยชูนิ้วกลางให้สตอล์คเกอร์จำเป็นอย่างมัน

 

SakanSian อ่านไม่ตอบ เขินเหรอ

Piao.pannakit ชอบแซวว่ะ

SakanSian ว่างรึเปล่า

Piao.pannakit ครับ?

SakanSian หิวข้าว อยากกินไก่ทอดร้านป้าสมศรี

 

ผมชะโงกไปที่ร้านดังกล่าวเห็นว่ายังมีเมนูที่พี่มันบ่นอยากกินมีอยู่ เลยตอบกลับไปว่า

Piao.pannakit เดี๋ยวผมซื้อไปให้

SakanSian พี่จะรอนะครับ

 

ฉิบหาย!

ครับเดียว...ใจเหลวเลยว่ะ

 

“ยิ้มเข้าไป โลกมันสดใสขนาดนั้นเลยหรือวะ”

ไอ้ห่าโต้งเอ่ยแซว แต่ผมเคยชินเสียแล้วเลยยักไหล่กวนๆ กลับไป

“ขี้อิจฉาว่ะ”

ผมข่มความอายแลบลิ้นใส่แม่งเลย

.

.

สุดท้ายผมหิ้วกล่องข้าวพร้อมขนมอื่นๆ อีกนิดหน่อยมาหยุดยืนอยู่ตรงลานเกียร์ของคณะวิศวะฯ จังหวะที่จะคว้าเอาโทรศัพท์มาโทรหาเจ้าถิ่นนั่น ใครสักคนก็สะกิดหัวไหล่ผมเบาๆ พอหันหลังกลับไปจึงเห็นพี่เดี่ยวในชุดเสื้อช๊อปยืนยักคิ้วอยู่ข้างหลัง

“มาส่งข้าวไอ้เซียนเหรอ”

“ครับ”

ผมยอมรับอย่างเสียไม่ได้

“มันอยู่โรงฝึก เดี๋ยวกูพาไป”

พี่มันเดินนำ

“ช่วงนี้พวกพี่งานเยอะเหรอครับ”

ผมถามขึ้นตอนที่เดินตามหลังพี่มันไป เพราะช่วงนี้เห็นพี่เซียนบ่นๆ ว่าไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับผมเลย ส่วนหนึ่งเพราะต้องไปช่วยงานอาจารย

“มีโปรเจ็กต์ออกแบบยานยนต์ส่งประกวดน่ะ ไอ้เซียนมันเก่งดรออิ้ง อาจารย์เลยขอให้มาช่วย มันเป็นงานของคณะน่ะ พักนี้พวกกูเลยไม่ค่อยว่างกัน”

ผมพยักหน้าหงึกหงักดีว่าช่วงนี้พวกพี่มันเทรนกล้ามเนื้อกับพี่อุ้มจนจบคอร์สแล้วไม่อย่างนั้นพี่อุ้มที่ช่วงนี้หัวหมุนทำรายงานสรุปวิชานี้คงจะบ่นน่าดู ระหว่างนั้นผมมองไปรอบๆ เพราะไม่เคยเข้ามาในพื้นที่ของคณะวิศวะสักครั้งเดียว มีบ้างที่เฉียดเข้าใกล้สุดก็บริเวณด้านเกียร์ข้างนอกโน่น แต่ไม่สำหรับภาคเครื่องกลซึ่งอยู่ด้านในคงมีแต่เฉพาะนิสิตคณะนี้เท่านั้น

ผมมองไปรอบๆ อย่างสนใจ ก่อนจะชะงักไปเมื่อพี่เดี่ยวจ้องบริเวณคอผมแล้วมุ่นหัวคิ้ว

“มีอะไรรึเปล่าพี่”

“มึงห้อยอะไรวะ”

ผมล้วงสร้อยคอที่พี่เซียนให้ออกมาแล้วพี่เดียวก็ขยับมาดูใกล้ๆ ฝ่ายนั้นจ้องมันอยู่พักหนึ่งก่อนจะขยับรอยยิ้มน้อยๆ

“หัวเทียนจำลองนี่หว่า”

“อะไรเหรอพี่”

พี่เดี่ยวไม่ตอบในทันที แต่หลุดยิ้มออกมาเหมือนพอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง

“ไอ้เซียนให้มึงมาเหรอ”

“เอ่อ ครับ”

ผมยิ้มเขินๆ

“กูว่าแล้ว”

พี่มันพึมพำ

“มีอะไรเหรอพี่”

“กูเคยเห็นมันนั่งเจียโลหะที่โรงฝึกเมื่อสัปดาห์ก่อนน่ะ ก็นึกว่าทำอะไร”

ผมทำหน้างงๆ จับต้นชนปลายไม่ถูกเพราะไม่เข้าใจศัพท์เฉพาะของเด็กวิศวะฯ นัก

“มันคืออะไรเหรอพี่”

ผมเลียบๆ เคียงๆ ถามอีกฝ่าย เพราะจำได้แม่นว่าของสิ่งนี้พี่เซียนเคยพูดว่าเป็นของสำคัญ

“หัวเทียนน่ะเหรอ”

พี่เดี่ยวยิ้มก่อนจะส่ายหัวไปมาแล้วชี้ไปที่ตัววัตถุซึ่งห้อยลงมาจากเชือกตรงคอ

“มันเรียกว่าหัวเทียน”

“อะไรเหรอครับ”

“สำหรับเด็กภาคเครื่องกล เนื้อหาที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องเรียนคืออะไร มึงรู้มั้ย”

ผมส่ายหน้าหวือ

“การจุดระเบิดเครื่องยนต์”

“...”

“มันเป็นกลไกอย่างหนึ่งที่สำคัญ พูดง่ายๆ ก็คือมันเป็นเนื้อหาสำคัญของหลักการทำงานของเครื่องยนต์”

คงเพราะผมทำหน้างงหนักกว่าเดิม พี่มันเลยหัวเราะออกมา

“หัวเทียนน่ะเป็นหัวใจสำคัญของเครื่องยนต์เบนซิน”

‘มันสำคัญกับเครื่องยนต์’


แวบหนึ่งผมนึกถึงคำพูดของพี่เซียนขึ้นมาทันที

“ถ้าขาดมันไป รถก็วิ่งไม่ได้”

‘ขาดมึงไปไม่ได้ไง’

ผมกุมหัวเทียนจำลองอันจิ๋วเอาไว้แน่นทั้งที่ใจเต้นตึกตัก

“อีกอย่างนะ หัวเทียนมีหน้าที่สำคัญในการจุดระเบิดภายในห้องเครื่อง ซึ่งมันทำให้เครื่องยนต์มีกำลัง”

‘อย่าทำหายล่ะ’

เสียงพี่เซียนผุดขึ้นมาในหัว

“สำคัญมากสินะครับ”

“เออสำคัญ”

พี่เดี่ยวหรี่ตามองผม

“คงเพราะสำคัญมั้ง มันถึงให้มึง”

เพื่อนสนิทพี่เซียนพูดยิ้มๆ ก่อนจะเดินนำไปผมไปอีกครั้ง ทิ้งให้ผมยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยความรู้สึกที่ว่าหัวสมองอื้ออึงไปหมด

“อีกอย่างที่มึงควรรู้ไว้นะ”

พี่เดี่ยวหันมาพูดกับผม

“ไอ้เซียนมันชอบมอ’ไซค์มาก”

ผมเผลอนึกถึงดูคาติสีแดงเพลิงที่เคยซ้อนครั้งหนึ่ง

‘ไม่มีใครเคยซ้อน มึงคนแรก’

“สำหรับมอ’ไซค์ หัวเทียนก็เป็นหัวใจสำคัญของการจุดระเบิดเหมือนกัน”


.

.

‘เก็บไว้ดีๆ นะ’

‘อย่าทำหายล่ะ’


.

.

แม่งเอ้ย

โคตรเขินเลย

 

- J E E B -

 

เหมือนในอกมันฟูๆ บอกไม่ถูก

ผมกุมสร้อยที่คล้องหัวเทียนจิ๋วอันจำลองแน่น กุมจนรู้สึกว่าเหงื่อออกตรงฝ่ามือ แต่ถึงเหงื่อจะออกเต็มฝ่ามือ ผมก็ยังไม่ยอมปล่อยมันสักที จนกระทั่งผมเดินตามพี่เดี่ยวไปถึงโรงฝึก ข้างในนั่นมีกลุ่มเพื่อนพี่เซียนที่คุ้นหน้าคุ้นตากลุ่มใหญ่กำลังยืนล้อมดูสักอย่าง พอเห็นผมพวกพี่ๆ ก็เอ่ยทักกันเกรียวกราวจนผมนึกอายเลยยกมือไหว้แล้วยิ้มแก้เก้ออยู่อย่างนั้น

แต่ในกลุ่มเด็กภาคยานยนต์นั่นผมไม่เห็นพี่เซียนอยู่ในนั้นเลย จังหวะนั้นตรงประตูด้านหลังพี่เซียนเดินเคียงมากับหญิงสาวในชุดสูทคล้ายกับอาจารย์คณะ ถ้าให้ผมเดานั่นคงเป็นอาจารย์แน่ๆ ท่าทางยังสาวจนอดนึกถึงที่ไอ้โต้งเคยพูดไว้ไม่ได้ว่าที่คณะมันรับอาจารย์จบนอกมาใหม่ๆ 

พี่เซียนผละจากอาจารย์ที่เดินไปอีกทางก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเห็นผมยืนรออยู่ แน่นอนว่ากิริยานั้นทำให้เพื่อนพี่มันร้องแซวเลยทันที

“ได้ห่ายิ้มหน้าบานเชียว”

“เมื่อกี้หมาที่ไหนทำหน้าเหม็นเบื่ออยู่วะ”

“เสือก”

พี่เซียนหันไปด่าเพื่อนมันก่อนจะคว้ามือผมไปนั่งโต๊ะไม้แถวนั้น

“รอผมเหรอครับ”

“อืม” พี่มันตอบ “หิวข้าวว่ะ”

“มิน่า”

เพื่อนพี่แกพูดขึ้น

“รอแฟนมาส่งข้าวนี่เอง ถึงว่าอาจารย์มัสลินแกอุตส่าห์ซื้อข้าวมาฝากที่มึงช่วยงาน มึงดันเอาให้พวกกู”

พี่เซียนยักไหล่ก่อนจะหันมาสนใจข้าวกล่องตรงหน้า

“ทำไมไม่หาอะไรรองท้องก่อนอ่ะ”

ผมแกะพลาสติกที่ปิดฝาขวดน้ำออกแล้วบิดเกลียวเปิดฝาพร้อมใส่หลอดดูดน้ำให้อีกฝ่ายเสร็จสรรพ

“กูแก้แบบกับอาจารย์อยู่น่ะ”

“นี่ข้าวมื้อไหนเนี่ย”

“เที่ยง”

ผมเบะปากเพราะเหลือบตามองนาฬิกาปาไปสี่โมงเย็นแล้วข้าวเที่ยงเพิ่งตกถึงท้องอีกฝ่าย

“มันอิ่มทิพย์”

เพื่อนพี่เซียนสอดปากขึ้น

“ทำไมอ่ะ”

เพื่อนอีกคนเป็นลูกคู่

“ก็รู้ว่าแฟนจะมาส่งข้าว”

“ฮิ่วๆๆ”

ผมหน้าแดงวาบเลยทีนี้ยิ่งนึกถึงที่มาของหัวเทียนจิ๋วที่คล้องอยู่ตรงคอ

“หุบปากไอ้สัตว์”

พี่เซียนปรามเพื่อนมัน ซึ่งเป็นการกระทำที่ดีมาก

“ไม่เห็นเหรอว่าแฟนกูขี้อาย”

พ่องงง

คราวนี้เสียงโห่หนักกว่าเดิมอีก แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากยิ้มเขินๆ แล้วแกล้งหยิบเอวพี่มันไปทีนึงหลังจากนั้นผมก็โดนเข้าคืน ใต้โต๊ะไม่มีใครเห็นหรอกว่าปลายเท้าพี่มันกำลังเขี่ยปลายเท้าผมเล่นอยู่ ผมขยับหนีไปเรื่อยสุดท้ายพี่มันเลยใช้ขาหนีบเอาไว้

“พี่”

“กูเมื่อย”

ไม่ชินเลย...ไม่ชินกับเสียงสองของพี่มันจริงๆ

“ขอพักขาหน่อย”

แม่งเอ้ย ยิ้มจนเมื่อยแก้มแล้ว

“นะครับ”

นี่มันวันอะไรวะเนี่ย

นั่นสิวันอะไร...วันที่หัวใจทำงานหนักมากเกินไปแล้ว


- J E E B -


ใครที่ไหนเอาหัวเทียนเครื่องยนต์ไปทำสร้อย อิพี่เซี๊ยน 555555
หวีดในทวิตติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยน้า รออ่านเมนต์อยู่ อิอิ

หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่18 l 12/5/63 l P.7 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 12-05-2020 21:19:14
ใครไม่กรี้ดเรากรี้ด นะครับ คำเดียวจบ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่18 l 12/5/63 l P.7 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 12-05-2020 22:12:01
ส้มหยุด แต่นี่เขินไม่หยุด แงงงงงง
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่18 l 12/5/63 l P.7 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 12-05-2020 22:50:52
รู้แต่ว่าเกียร์คือของสำคัญของวิศวะ ไม่รู้ว่ามีหัวเทียนอีกอย่างด้วย.    :-[
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่18 l 12/5/63 l P.7 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 13-05-2020 00:45:38
อิพี่เซียนขยันหยอดจริงๆ  น้องมันเขินจนตัวจะบิดละ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่18 l 12/5/63 l P.7 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 13-05-2020 09:28:36
น้องเขินไม่ไหวแล้ว
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่18 l 12/5/63 l P.7 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 13-05-2020 09:29:09
 :-[ เขินอะ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่18 l 12/5/63 l P.7 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 13-05-2020 20:17:08
ยิ้มแก้มปริเขินแทน
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่18 l 12/5/63 l P.7 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: kenghan ที่ 13-05-2020 20:19:19
เขินแทนเปียวเลย หยอดตลอด
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่18 l 12/5/63 l P.7 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 14-05-2020 02:14:41
จีบเก่งมากนายคนนี้
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่18 l 12/5/63 l P.7 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 17-05-2020 17:41:55
ตามอ่านทันแล้ววววว เป็น กลจ ให้นะคะ
รอตอนต่อไปจ้า  :o8:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่18 l 12/5/63 l P.7 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Plakhem ที่ 18-05-2020 22:28:16
 :impress3: โหมดหวานน้ำตาลเมืองเพชร ก็มา  :hao7:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่18 l 12/5/63 l P.7 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 18-05-2020 22:56:11
เขินแทนเลย,,,
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่19 l 25/5/63 l P.7 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 25-05-2020 21:18:57
 


- จีบที่19 -



[อ๋อง]

 

“ถามจริงๆ นะพี่เซียนแม่งจิ้มจุ่มมึงยังวะ”

คำถามสัปดนจากปากไอ้โต้งหลุดออกมาตอนที่ผมกำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆ ส่วนคนโดนถามอย่างไอ้เปียวทำหน้าตื่นเลิกลักไปไม่เป็นเลย ดีว่าไอ้โต้งมันใช้ศัพท์แสงที่ดูซอฟท์ลงสักหน่อยเลยลดความหยาบคายไปได้มากพอสมควร แต่รูปประโยครวมถึงความหมายก็ทำให้คิดไปในทางเสื่อมอย่างไม่ต้องสงสัย

ไอ้เปียวไอค่อกๆ แค่กๆ เพราะเมื่อกี้ปากมันคาบขนมอยู่ เห็นสภาพมันตอนนี้แล้วนึกเวทนา ผมเลยยื่นน้ำให้มันก็รีบคว้าไปดื่มีเลย พอหายสำลักแล้วไอ้เพื่อนตัวขาวเลยชูกำปั้นซัดไปที่บ่าไอ้โต้งเต็มแรง

“ถามเหี้ยอะไรเนี่ย”

ไอ้ห่าโต้งยักไหล่ขำๆ 

“ก็เรื่องปกติของคนที่คบกันมาระยะหนึ่งแล้วรึเปล่าวะ”

“ยังไม่ครบเดือนเลยไอ้ห่า”

“มึงอย่าบอกนะ ว่าพี่เซียนยังไม่ได้ทำอะไรมึงเลย”

ไอ้เปียวอ้าปากพะงาบๆ ก่อนจะส่ายหัวไปมาทำหน้าแดง กิริยานั้นก็เพียงพอสำหรับการตอบคำถามนี้แล้ว ผมส่ายหัวให้เพื่อนทั้งสอง คนหนึ่งคนขี้แกล้งอีกคนก็เก็บอาการไม่เก่ง รู้ทั้งรู้ว่าไอ้โต้งมันชอบหยอกชอบแซวแต่ไอ้เปียวก็ไม่เคยทันเหลี่ยมมันสักครั้ง

“เลิกแกล้งมันได้แล้วไอ้ห่า”

ผมพูดขึ้น

“ระวังตัวให้ดีเหอะไอ้เปียว พี่เซียนไม่ปล่อยมึงไว้นานหรอก”

พี่โต้งยังคงปั่นประสาทเพื่อนไม่เลิก

“ไอ้เพื่อนเวร”

ไอ้เปียวทำปากขมุบขมิบด่าเพื่อนตัวเองที่ถูกรุ่นพี่คทากรเรียกไปวิ่งรอบสนามแล้ว มันทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนมีเรื่องให้ขบคิด ถ้าให้เดาคงไม่พ้นเรื่องที่ถูกไอ้โต้งเป่าหูมาเมื่อกี้แน่นอน

“มึงก็รู้ว่ามันชอบแหย่”

“กูก็อดคิดตามที่มันพูดไม่ได้นี่หว่า”

ผมขยี้หัวอีกฝ่ายอย่างมันเขี้ยว

“ก็เท่าที่มึงรู้จักพี่มันมา พี่เซียนเป็นยังไงล่ะ แฟนมึงเอง มึงจะไม่รู้เลยเหรอว่าเขามีนิสัยยังไง”

มันพนักหน้าหงึกหงักก่อนจะยิ้มเขินๆ ให้ผม

“งั้นก็เลิกทำหน้านิ่วได้แล้ว”

“ขอบใจมากมึง”

“งั้นกูไปก่อนนะ”

ผมโบกมือลามัน หลังจากหอบข้าวมาส่งแถวสนามกีฬาช่วยรุ่นพี่เสร็จเรียบร้อยแล้ว เกือบห้าโมงเย็นตอนที่มาถึงคาเฟ่ที่ผมทำงานพิเศษอยู่  พี่โชคเจ้าของร้านกำลังสนใจไอแพดในมือเงยหน้าขึ้นมายิ้มทักทาย ผมยกมือไหว้ฝ่ายนั้นเสร็จแล้วจึงเดินหายไปเปลี่ยนชุดหลังร้าน   

ช่วงเย็นๆ ในวันธรรมดาลูกค้าค่อนข้างบางตา ยกเว้นสุดสัปดาห์ วันนี้จึงมีเพียงผมและพนักงานผู้หญิงอีกคนรับหน้าที่เสิร์ฟเท่านั้น ผมทำงานไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรู้สึกว่าบรรยากาศข้างนอกค่อนข้างมืดแล้ว เมื่อเหลือบตามองนาฬิกาที่บอกเวลาทุ่มกว่าๆ แล้ว ปกติเวลาแบบนี้มักจะเห็นใครบางคนเยี่ยมหน้ามาที่ร้าน บางวันก็หอบงานมานั่งทำที่โต๊ะประจำมุมหนึ่ง บางวันหากลูกค้าเยอะก็มีน้ำใจช่วยเสิร์ฟเล่นเอาลูกค้าสาวๆ มองกันตากลับ และบางวันยังใจดีสั่งไก่ทอดมาเลี้ยงอีกด้วยซ้ำ

ผมเหลือบตาไปมองประตูอีกครั้งและเบือนหน้าไปยังโต๊ะมุมหนึ่งที่ว่างเปล่า

“มองหาใครเหรอ”

พี่โชคถามยิ้มๆ 

“เอ่อ เปล่าครับ”

ผมรีบหันไปล้างแก้วี

“วันนี้เจ้าดลมันไม่ว่าง”

พี่โชคขยับมาใกล้

“เห็นบอกว่าไปส่งแม่มันที่สนามบิน คงไม่ได้แวะมาหรอกมั้ง”

“บอกผมทำไมครับ”

ผมแย้งขึ้น

“อ้าว”

พี่โชคทำหน้าเหมือนตกใจก่อนที่จะยกมือปิดปากตัวเองแล้วไหวไหล่ ทั้งที่แววตานั้นกำลังล้อเลียนผม

“ก็นึกว่ารอมัน”

“ผมเปล่า”

ผมส่ายหัวไปมาก่อนจะหันไปสนใจงานตรงหน้า นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่เพื่อนพนักงานอีกคนเดินมาหยุดมองหน้าผมแล้วขมวดคิ้ว

“อ๋องล้างแก้วที่ยังไม่ได้ใช้งานทำไมอ่ะ”

มือที่ประคองแก้วในมือซึ่งเปรอะไปด้วยคราบน้ำยาชะงักไปทันที ผมแค่ยักไหล่ให้อีกฝ่ายแบบคำตอบ ก่อนจะยิ้มแหยเมื่อหันไปเห็นพี่โชคยืนกอดอกมองผมยิ้มๆ

“ผมไปเก็บขยะหลังร้านนะครับ”

บอกกับพนักงานอีกคนแล้วเดินดุ่ยๆ ออกไปทันที ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเจ้าของร้าน 

แม่งเอ้ย

เป็นห่าอะไรวะ

ผมถอนหายใจแรงๆ ตอนที่ทรุดตัวนั่งตรงเก้าอี้ไม้หลังร้าน ผมนั่งเงียบใช้ความคิด เพราะความเคยชินหรืออะไรก็ตามที่ทำให้ผมรู้สึกว่าวันนี้มันไม่เหมือนทุกวัน มันว่างเปล่าชอบกล

ว่างเปล่าเพราะใครบางคนไม่มางั้นหรือ

ผมขยี้หัวตัวเองแรงๆ

‘พี่เป็นห่วง’

ผมเม้มปากแน่นเมื่อนึกถึงคำพูดของคนที่ไม่มาวันนี้

ห่วงเก่ง

ห่วงอะไรนักหนากับผู้ชายตัวควายๆ อย่างผม ห่วงจนทำให้ผมเคยชินกับการเป็นผู้รับความห่วงใย เวลาที่เขาหายไป ถึงทำให้ห่วงนั้นเลยย้อนกลับมาเป็นบ่วงให้ผมนึกถึงแต่เรื่องราวของอีกฝ่าย

ความรู้สึกแบบนี้ โคตรไม่ชอบเลย

การยอมให้ใครคนอื่นมามีอิทธิพลต่อใจเรา ทำให้ไว้ใจและรู้สึกดีหรือปลอดภัย ถ้าวันไหนคนที่เคยให้ไม่เหลือความรู้สึกนั้นไว้ให้แล้ว คนที่เคยรับจนชินแล้วคงจะเจ็บไม่น้อย ผมแค่นยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องของตัวเอง ตั้งแต่เล็กจนโตผมเคยเข้าใจว่าครอบครัวอบอุ่นและเป็นเซฟโซนของผม เหมือนกำแพงป้องกันภัยจากความยุ่งยากของสังคมภายนอก

แต่วันนี้ผมรู้แล้วว่า สำหรับบางคนครอบครัวไม่ใช่เซฟโซนเสมอไปหรอก

วันก่อนที่ผมกลับบ้าน เพราะจะกลับไปเอาหนังสือเรียนที่ต้องใช้ วันนั้นพ่อและภรรยาใหม่กำลังฉลองวันเกิดให้กับน้องชายผม เชื่อมั้ยว่าวันนั้นผมเห็นอะไรได้ชัดขึ้นมาก การไปของเขาครั้งนี้ ผมมองไม่เห็นพื้นที่ของตัวเองที่บ้านหลังนั้นเลย

ที่นั่นไม่มีที่สำหรับผมอีกแล้ว

เอาจริงๆ ผมรู้มานานแล้วว่าทุกอย่างไม่มีทางย้อนกลับไปเหมือนเดิม พ่อมีครอบครัวใหม่ ขณะที่แม่ตัดสินใจแต่งงานใหม่และคงไม่หวนคืนกลับมาบ้านเกิด

ทุกคนมีหนทางเป็นของตัวเอง

เมื่อก่อนผมนึกน้อยใจว่าเพราะเหตุใดครอบครัวสุขสันต์ในวันวานจึงเป็นแค่ภาพฝันในตอนนี้ แต่พอโตขึ้นถึงได้เข้าใจ พ่อกับแม่หมดรักกันแล้ว มันเป็นเรื่องของคนสองคน แต่แค่สงสัยว่าทำไมรอยร้าวนั้นถึงเป็นบาดแผลใหญ่ในใจของผมตอนนี้

‘เด็กบ้านแตก’ คือคำพูดลอยๆ ของใครก็ไม่รู้ในวันวาน แต่คนพูดจะรู้มั้ยว่ามันได้สร้างสะเก็ดแผลที่ตกผลึกในใจของคนฟัง ผมผ่านคืนวันเหล่านั้นมาอย่างเจ็บปวด ทั้งเคยต่อยตีกับคนที่พูดจาแบบนั้นกับผม แต่ต่อให้ชกต่อยแล้วตัวเองชนะอีกกี่รอบก็ตาม สุดท้ายผมก็หนีคำว่าเด็กบ้านแตกไม่พ้นจริงๆ

มันคือความจริงเพราะผมคือเด็กบ้านแตก ซ้ำยังความเกเรจนเกือบไม่จบม.ปลาย หากไม่ได้เปียวกับโต้งดึงสติกลับมา สองคนนั่นเคี่ยวเข็ญและบังคับให้ผมอ่านหนังสือเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยจนได้ ผมโชคดีที่มีพวกมันเพราะชีวิตในรั้วหมาวิทยาลัยทำให้ผมเป็นอิสระจากความรู้สึกอึดอัดใจมาตลอดหลายปี

ผมปล่อยความคิดตัวเองไปในความเงียบจนกระทั่งพี่โชคเดินมาเรียก

“ถึงตัวจะไม่มา แต่มันมันสั่งไก่เกาหลีมาให้กินนะ”

พี่โชคชูกล่องบรรจุอาหารขึ้นชื่อแล้วยิ้มตามหยี ผมเลยขยับเข้าไปใกล้เห็นบรรจุภัณฑ์สกรีนโล้โกไก่ทอดยี่ห้อหนึ่งที่ผมชอบกินมาก ผมยืนอึ้งทันทีที่เห็นของในมือพี่โชค

“เมื่อกี้แกร็บเพิ่งขับมาส่ง”

“...”

“เขาบอกมีคนสั่งแล้วแจ้งให้มาส่งที่นี่ ที่สำคัญชำระเงินผ่านบัตรเครดิตให้เรียบร้อยแล้ว”

พี่โชคชูของในมือขึ้นลงเหมือนกำลังอวดของกิน

“มื้อนี้กินฟรีอีกแล้ว”

ผมเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะเผลอยิ้มออกมาเมื่อเห็นพี่แกทำหน้าปลาบปลื้มของกินในมือ

“วันนี้ปิดร้านเร็วหน่อยนะ ตอนนี้ลูกค้าก็ซาแล้ว ปาร์ตี้ไก่ทอดกันน้องอ๋อง”

ผมยิ้มน้อยๆ ทั้งที่ในใจอิ่มฟูบอกไม่ถูกตอนที่จ้องของกินในกล่อง

“ชอบจริงๆ ผู้ชายนิสัยรวยเนี่ย”

พี่โชคหัวเราะกับคำพูดของพนักงานอีกคนซึ่งทำหน้าปลาบปลื้มกับลาภปากมื้อนี้

“รวยและแสนดีมากด้วย”

“...”

“สนใจมั้ย”

อยู่ๆ พี่โชคก็หันมาพูดกับผมแล้วขยิบตาให้ทีหนึ่งเล่นเอาผมวางหน้าไม่ถูกเลย

.

.

เกือบสามทุ่มหลังจากช่วยพี่โชคปิดร้านแล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน ผมเดินกำลังเดินท่อมๆ ไปหน้าปากซอยหลังจากปฏิเสธไม่ขึ้นรถไปกับพี่โชคเพราะอยากจะแวะซื้อของหน้าปากซอยสักหน่อย ส่วนพนักงานหญิงอีกคนติดรถพี่แกกลับไปแล้ว ช่วงกลางซอยค่อนข้างมืดแต่ก็ไม่ถึงกับเปลี่ยวเพราะแถวนั้นมีออฟฟิศและร้านอาหารค่อนข้างเยอะ 

ผมหยุดเดินเมื่อรู้สึกแปลกๆ ราวกับถูกจับจ้องอยู่ ยิ่งได้ยินเสียงมอ’ไซค์คันหนึ่งขับมาใกล้ๆ ก่อนที่คนขับจะเลี้ยวตัดหน้าอย่างจงใจ

ผมยืนนิ่งเมื่อเห็นใบหน้าคนขับตอนที่มันเปิดกระจกหมวกกันน็อกขึ้น

มันแสยะยิ้ม ขณะที่ผมไม่สบายใจกับรอยยิ้มเหี้ยๆ นี่เลย

คงจำกันได้ว่าครั้งหนึ่งผมเคยปากแตกไปทำงานที่ร้านพี่โชค สาเหตุเพราะมันนี่แหละ ตอนที่ผมทำงานเสิร์ฟที่ร้านเหล้า ผมมีโอกาสได้คุยกับแขกผู้หญิงคนหนึ่งที่เข้ามาทัก ผมคุยกับเธอปกติเพราะเห็นเป็นลูกค้าและปฏิเสธทุกครั้งเวลาเธอผมไปต่อข้างนอก ใครจะไปคิดว่าการที่เธอแสดงออกนอกหน้าว่าสนใจผมจะทำให้แฟนหนุ่มของเธอไม่พอใจจนตามมาหาเรื่องผมที่ร้าน

พอดีกับที่พี่ดลบังคับให้ผมลาออกจากร้าน ผมเลยถือโอกาสออกมาเพราะไม่อยากมีปัญหา ผมคิดว่าปัญหาจะจบแค่นั้นถ้าหากว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่บังเอิญปรากฏที่ร้านพี่โชค ผมคงเป็นคนดวงซวย การโผล่มาของเธอพร้อมกับแฟนหนุ่มที่ยังอาฆาตแค้นผมไม่เลิก

วันนั้นผมโดนดักทำร้าย แน่นอนผมสู้สุดใจจนทำให้ฝ่ายนั้นบาดเจ็บไปไม่น้อย ผมคิดว่าเรื่องคงจบแค่นั้นเพราะเราได้แลกหมัดกันจนสมใจแล้ว แต่ผมคิดผิดเมื่อมันมาทำหน้าเอาเรื่องอยู่ตรงหน้า

“ไม่ทักทายกันหน่อยเหรอ”

“กูไม่รู้จักมึง”

ผมพูดเสียงเรียบ

“แต่มึงรู้จักแฟนกู”

ผมจ้องหน้ามันแล้วแค่นยิ้ม 

“แฟนมึงชื่ออะไร”

มันทำหน้างง

“ถามเหี้ยอะไร”

“ก็กูไม่รู้จักชื่อแฟนมึงด้วยซ้ำ แล้วจะอ้างว่ากูรู้จักแฟนมึงได้ยังไงวะ”

เป็นความจริงที่ผมไม่รู้จักชื่อแฟนไอ้หมอนี่ด้วยซ้ำ เคยคุยด้วยเพราะเธอเข้ามาคุยแค่ครั้งเดียวและผมไม่ได้มีทางที่จะจีบเธอด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนแฟนหนุ่มเลือดร้อนนี่จะไม่ได้เข้าใจแบบเดียวกับผม มันถึงขยับมาด้วยท่าทางคุกคามแบบนั้นน

“กูไม่เชื่อ”

มันกระชากคอเสื้อผมอย่างแรงก่อนจะปล่อยหมัดกระแทกหน้าผม ดีว่าผมหลบทันก่อนจะสวนหมัดคืนมัน ครั้งนี้ผมไม่พลาดเหมือนมัน หมัดผมจึงกระทบคางฝ่ายนั้นเต็มแรง

“มึง”

มันทำหน้าแค้นเคืองทั้งที่เลือดกลบปาก ก่อนจะเดินสู้ไม่ออมแรง เราผลัดกันอีกคนละหมัด ผมคิดว่าผมคงสู้มันได้แน่ๆ ถ้าหากพวกมันจะไม่โผล่มาอีกสองคน พวกมันจับล็อกผมคนละข้าง

“กูจะเอาให้มึงหน้าเละนอนหยอดน้ำข้าวต้มแน่”

มันพูดแค้นๆ 

ผมโดนมันชกที่ท้องก่อนจะทรุดตัวลงพื้นเพราะเจ็บจนจุก แข้งขาอ่อนแรงไปหมดนึกอยากเอาคืนแต่ถูกล็อคแขนเอาไว้ แวบหนึ่งในหัวผมนึกถึงใครคนหนึ่งขึ้นมาทันที

‘พี่เต็มใจช่วยเราทุกอย่าง เพราะพี่เป็นห่วงเรา’

“พี่ดล”

ผมครางชื่อนั้นเบาๆ

“โอ้ย”

คู่อริผมร้องลั่นเมื่อถูกหมัดปริศนากระแทกหน้าเต็มแรง มันหันไปหมายจะเอาคืนแต่ฝีมือฝ่ายดีไม่น้อย สวนมาทางไหนอีกฝ่ายก็รับมือได้ ผมหรี่ตามองพลเมืองดีที่เข้ามาช่วยเพราะรู้สึกตาพร่าคล้ายจะหมดสติ ตอนนี้ไอ้สองตัวที่เคยล็อกตัวผมอยู่วิ่งไปช่วยเพื่อนมันแล้ว

ผมทรุดไปกับพื้นนั่งกุมท้อง หูก็ได้ยินเสียงหมัดดังรัวๆ พร้อมเสียงสบถไม่ขาดระยะ ผมพยายามลุกขึ้นยืนเพื่อมองภาพการต่อสู้นั้น แล้วพิจารณาพลเมืองดีให้ชัดๆ

“พี่ดล”

ผู้ชายคนเดียวที่กำลังต่อสู้กับอันธพาลสามคน ผมหน้าตื่นมองภาพตรงหน้าอย่างคาดไม่ถึง ผู้ชายท่าทางสุภาพและดูนิ่งเงียบๆ ทำไมถึงแววตาดุดันแบบนั้น พี่รหัสคนดีของไอ้เปียวทำไมถึงต่อยตีเก่งขนาดนั้น ทักษะและการเคลื่อนไหวร่างกายเหมือนคนเป็นมวย ไม่นานสามคนนั้นถึงกับร่วง

“ไสหัวไป”

พี่ดลไม่ได้ตะคอกแค่พูดเสียงเรียบก่อนจะกวาดตามองพวกมันที่พากันหอบสังขารไปรวมกันแบบนั้น ท่าทางพวกมันดูกลัวพี่ดลไม่น้อย ยิ่งพี่แกก้าวช้าๆ ไปใกล้แล้วกวาดตามองพวกมันเหมือนจะฆ่าให้ตายแบบนั้น

แววตาพี่ดลโคตรน่ากลัว

“อย่ายุ่งกับอ๋องอีก”

“...”

“ผมจะพูดแค่ครั้งเดียว”

สันกรามพี่มันขึ้นรูปเหมือนโกรธจัด หมัดข้างหนึ่งกำแน่นและเปื้อนเลือดจากใครสักคนในสามคนนั้น ท่าทางแบบนั้นทำเอาผมนึกกลัวขึ้นมาดื้อๆ

“พี่”

ผมขยับลุกขึ้นแล้วค่อยๆ เดินกระย่องกระแย่งไปคว้ามือพี่มันเอาไว้ เพราะจังหวะนั้นผมกลัวใจพี่มันเหลือเกิน หากไม่ห้ามปรามผมคิดว่าพี่มันอาจจะเอาพวกนั้นจนถึงตายแน่ๆ

ความรู้สึกรุนแรงที่แผ่ออกมาจากตัวพี่ดลทำผมเอาอึดอัดไปด้วย อันตรายและเต็มไปด้วยความน่ากลัว 

น่ากลัวมากๆ ใบหน้าเรียบเฉยดุดัน แววตาคมปราบเหมือนสัตว์ร้ายน่ากลัวเกินไปแล้ว

“พี่ดล”

ผมกุมมือพี่มันเขย่าเบาๆ คนที่กำหมัดอยู่จึงคลายลงก่อนจะถอนหายใจ ไอ้สามตัวนั้นเลยรีบผละออกไปทันที  ผมบีบมันแรงๆ เหมือนพี่มันจะรู้ตัวจึงบีบมือผมตอบ

“ผมไม่เป็นไรแล้ว”

พี่มันกวาดตามองผมแล้วถอนหายใจอีกครั้ง

“ไปโรง’บาลกันเถอะ”

พี่มันฉุดมือผมไปกุมไว้ก่อนจะพาออกเดิน ผมลอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างอีกฝ่ายเงียบๆ ตอนที่ค่อยๆ เดินตามพี่มันไปเงียบๆ

“พี่ไม่ได้ไปส่งแม่ที่สนามบินเหรอ”

“ไป”

ฝ่ายนั้นปลดล็อครถที่จอดอยู่มุมหนึ่งแล้วช่วยประคองผมเข้าไปนั่ง

“แต่ขากลับผ่านทางนี้พอดี เลยแวะมาดูสักหน่อย”

“แวะมาดู?”

ผมทวนคำพูดนั้น อยากจะถามออกไปเหมือนว่าดูอะไร หรือดูใคร แต่กลัวคำตอบจึงเปลี่ยนเรื่องพูดไป

“วันนี้ร้านปิดเร็วครับ”

พี่ดลสตาร์ทรถแล้วหันมามองผมนิ่งๆ

“อย่าพูดเยอะ”

พี่มันทำหน้าดุใส่

“ปากเราแตก อยากเพิ่งพูด”

ระหว่างมีแต่ความเงียบจนกระทั่ง

“ขอบคุณ”

ผมนิ่งไปก่อนจะพูดคำๆ หนึ่งเสียงแผ่ว ห้องโดยสารที่เงียบอยู่แล้วจึงไม่แปลกหากคำพูดนั้นพี่ดลจะได้ยินเต็มสองหู พี่รหัสไอ้เปียวหันมามองผม

“ขอบคุณที่ช่วยผม”

“...”

“ขอบคุณครับพี่ดล”

มันกระดากปากไม่น้อยที่พูดกับอีกฝ่ายสุภาพแบบนั้น แต่ความมีน้ำใจช่วยเหลือจากอีกฝ่ายทำให้ไม่รู้สึกขัดเขินเลยที่จะพูดออกไป

“ไม่เป็นไร”

พี่ดลยิ้มน้อยๆ แววตาที่มองผมดูอบอุ่น

“แค่เราไม่เป็นอะไรมาก พี่ก็ดีใจแล้ว”

ผมเพิ่งรู้ว่ารอยยิ้มผู้ชายตรงหน้ามีรอยยิ้มที่โคตรอบอุ่น 

พี่รหัสไอ้เปียวคือผู้ชายสองบุคลิก ปกติคือสุภาพบุรุษดูอ่อนโยน แต่บทจะโกรธขึ้นมาภาพที่พี่มันสวนหมัดใส่พวกนั้นยังติดตาผมอยู่เลย

“อีกอย่าง ที่บอกแวะมาดู คือมาดูว่ามีคนได้กินไก่ทอดมั้ย”

อันตราย

อันตรายต่อหัวใจผมมากๆ

 

 

- J E E B -

 

ผมงัวเงียตื่นเต็มตาหลังจากที่เผลองีบหลับไปช่วงหัวค่ำ คงจะนานพอดูเพราะพอลืมตาตื่นขึ้นมาท้องฟ้าเปลี่ยนสีแล้ว 

“ตื่นแล้วเหรอ”

ไอ้โต้งนั่งอยู่ข้างๆ พูดขึ้น ดูสภาพแล้วเหมือนเพิ่งซ้อมเสร็จ เพราะใบหน้าเปียกโชคไปด้วยน้ำคิดว่ามันคงเพิ่งไปล้างหน้ามาแน่นอน

“หลับสบายมั้ยมึง”

หลังจากไอ้อ๋องกลับไป ผมก็มานั่งทำงานรอพี่เซียนแถวอัฒจันทร์นี่แหละ วันนี้พี่มันบอกจะพาไปเลี้ยงข้าว แต่ยังไงไม่รู้ผมเผลอหลับไปเฉย

“อืม”

“ไม่หลับสบายได้ไงอ่ะ พี่เซียนเล่นมาพัดมาวีให้อยู่เกือบชั่วโมงเพราะกลัวมึงโดนยุงกัดเนี่ย”

“ถามจริง”

ผมทำหน้าตื่นถามไอ้โต้งเสียงหลง

“เออ”

พี่โต้งลงเสียงหนักๆ แล้วยักคิ้วเป็นการสำทับ ผมทำหน้าไม่ถูกเลยกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อมองหาคนในหัวข้อสนทนา ตอนนี้พวกคทากรคงเลิกซ้อมกันแล้ว เพราะพี่เลี้ยงกำลังเก็บอุปกรณ์กลับ พี่เซียนที่เดินหัวเปียกมาแต่ไกลยิ้มน้อยๆ ให้ ในมือถือถุงอะไรสักอย่างมาด้วย

“หิวรึยัง”

“นิดหน่อยครับ”

“งั้นกินขนมรองท้องไปก่อน วันนี้คาเฟ่หน้าสนามกีฬาทำบราวนี่มิ้นท์”

ผมยิ้มตาหยีตอนที่ยื่นมือไปรับขนม ท่าทางนั้นทำเอาแฟนหนุ่มรุ่นพี่ถึงกับส่ายหัวมือหนาเอื้อมมาขยี้ศีรษะผมอย่างมันเขี้ยว

“มึงนี่เลี้ยงง่ายดีเนอะ”

พี่มันคว้าเอากระเป๋าเป้ของตัวเองและของผมขึ้นสะพาย และฉุดแขนผมให้ลุกขึ้น เพราะตอนนี้พวกพี่มันเริ่มทยอยออกจากสนามกีฬาแล้ว ้ผมกับไอ้โต้งเดินตามพี่เซียนกับพี่เดี่ยวไปยังตลาดสามย่านที่อยู่ไม่ไกลจากสนามบอลของมหาวิทยาลัย และบริเวณชั้นสองของตลาดยังเป็นร้านอาหารแบบโอเพ่นแอร์เรียงรายกันหลายร้าน มีโต๊ะนั่งเต็มพื้นที่คล้ายๆ โรงอาหารคณะแต่กว้างกว่าหลายเท่า แถวนี้เป็นถิ่นเด็กมหาลัยผมเลยเพราะมีร้านอาหารขึ้นชื่ออย่างร้านสเต๊กที่นิสิตพากันมาลิ้มลอง ตอนที่พวกเราไปถึงกลุ่มเพื่อนวิศวะฯ ของพี่เซียนนั่งรอกันอยู่แล้ว

“สวัสดีครับพี่”

เพื่อนพี่เซียนหันมารับไหว้ผม

“พวกกูรอจนรากงอกแล้วไอ้เซียน ไอ้เดี่ยว”

พี่เดี่ยวหันมามองหน้าผมนิดนึงก่อนจะหันไปคุยกับเพื่อนตัวเอง

“กูรอไอ้เซียนอยู่ มันนั่งเฝ้าเด็กหลับ”

ผมทำหน้าเหวอก่อนจะไปกระซิบถามไอ้โต้งที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน

“พี่เซียนนั่งรอกูตื่นเหรอวะ”

“เออ”

ผมหน้าเสียเลยรีบหันไปยิ้มแหยให้เพื่อนพี่มัน ซึ่งแต่ละคนก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร แต่ผมอดรู้สึกอายไม่ได้เลยถลึงตาใส่คนต้นเรื่องที่ไม่ยอมปลุกให้ผมตื่น แต่ดันนั่งเฝ้ารอให้ผมตื่นเอง ไม่รู้ว่าเพื่อนพี่มันมานั่งรอนานแค่ไหนแล้ว

โคตรรู้สึกแย่เลย

“พวกมันเพิ่งมา”

พี่เซียนหันมาพูดกับผม

“ไอ้น้องเปียวไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้น พวกพี่เพิ่งเสร็จงานที่คณะ เพิ่งมาถึงก่อนหน้ามันเมื่อกี้นี้แหละ เมื่อกี้พวกพี่แซวเล่น”

เพื่อนพี่มันคนหนึ่งโบกไม้โบกมือไม่ให้ผมคิดมาก

“ค่อยยังชั่ว”

ผมพ่นลมหายใจแรงๆ เพราะนึกเกรงใจพวกพี่มัน พี่เซียนหัวเราะน้อยๆ ตอนที่โยกหัวเล่น

“ผมเสียทรงแล้วโว้ย”

“ผมมึงนิ่มว่ะ”

พี่มันเกลี่ยศีรษะผมเล่น 

“น้อยๆ ไอ้ห่าเซียน พวกกูอิจฉา”

พี่มันแค่ยักไหล่ท่าทางกวนๆ จนเพื่อนพี่มันโห่ใส่ ผมเลยเบี่ยงตัวหนีเพราะทนปั้นหน้านิ่งท่ามกลางเสียงโห่แซวไม่ไหว จะหันไปขอความช่วยเหลือไอ้โต้ง มันก็ติดโทรศัพท์เหลือเกิน นั่งกดยิกๆ ตั้งแต่อยู่ในสนามกีฬาเมื่อนี้แล้ว ธุระเยอะจริงไอ้ห่านี่

“เอาหน่อยมั้ยน้องเปียว”

รุ่นพี่คนหนึ่งยื่นแก้วเหล้าที่ผสมแล้วมาให้ แต่พี่เซียนไวกว่าดันออกไป แล้วสั่งให้เพื่อนมันรินโค้กใส่แก้วใหม่ให้แทน

“อย่างมึงกินโค้กก็เมาแล้ว”

“ดูถูกว่ะ”

ปากดีไปงั้นแหละเพราะผมอ่ะคออ่อน ไปร้านเหล้ากับสายรหัสทีไรพี่ดลไม่ก็พี่อุ้มจะคอยช่วยตลอด ทั้งช่วยกินและช่วยเททิ้งเวลามีแก้วจากรุ่นพี่ยื่นมาให้ สุดท้ายผมเลยรับแก้วโค้กจากมือพี่เซียนมาดื่ม ไม่รู้ผมรู้สึกไปเองรึเปล่าที่เห็นสายตาของพวกพี่มันมองผมสลับกับไอ้เซียนแล้วขำออกมา

“หวงแฟนเหรอไอ้ห่า”

“มันคออ่อน”

พี่เซียนพูดขึ้น

“รู้แล้วก็อย่าเสือกยื่นเหล้าให้มันอีก”

พี่มันไปสั่งเพื่อนตัวเอง คราวนี้เลยได้เสียงโห่หนักกว่าเดิมอีก ผมเลยต้องก้มหน้างุดๆ หยิบเฟรนฟรายซ์ทอดบนโต๊ะมากินเงียบๆ ไม่มีใครเห็นว่าใต้โต๊ะนั่นมือข้างขวาพี่เซียนกุมทับมือข้างซ้ายของอยู่ พี่มันหันไปคุยกับเพื่อนตัวเองดูปกติ แต่ขณะเดียวกันมือคู่นั้นบีบมือผมเบาๆ

“ลืมถาม”

“ว่า”

“กูกินลำบากป่ะ”

ผมทำหน้างงใส่พี่เซียน

“ก็กินมือเดียว”

“ถ้าบอกว่าลำบาก จะปล่อยเหรอ”

ผมถามกลับไป

“ไม่ปล่อย”

“...”

“ไม่มีทาง”

.

.

แม่งเอ้ย

กินลำบากฉิบหาย แต่ใจฟูสัดๆ




- J E E B -


สัปดาห์หน้ามีคนเมาแล้วเปรี้ยวนะคะ 5555
หวีดในทวิตติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยนะคะ ขอบคุณที่อ่านแล้วเมนต์ล่วงหน้าค่ะ


หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่19 l 25/5/63 l P.7 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: yjm ที่ 25-05-2020 21:48:32
 
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่19 l 25/5/63 l P.7 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-05-2020 22:33:14
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่19 l 25/5/63 l P.7 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 25-05-2020 23:11:53
หวานแบบจริงจังมาก,,,
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่19 l 25/5/63 l P.7 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 26-05-2020 00:39:49
ลำบากกันไหม เราว่างอยากช่วยป้อน555
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่19 l 25/5/63 l P.7 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 26-05-2020 06:18:04
 :hao3:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่19 l 25/5/63 l P.7 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 26-05-2020 07:11:05
ปล่อยมือมั่งก็ได้ม้าง ไหนๆ ก็นั่งตัวติดกันอยู่แล้วเนี่ย
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่19 l 25/5/63 l P.7 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: kenghan ที่ 26-05-2020 10:08:34
สมแล้วที่อิพี่เคยบอก เป็นแฟนมันน่าอิจฉาสุด
อิจมากมาย
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่19 l 25/5/63 l P.7 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 26-05-2020 13:03:18
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่19 l 25/5/63 l P.7 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 26-05-2020 15:21:08
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่19 l 25/5/63 l P.7 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 27-05-2020 20:00:36
 โอ๊ย....อิจฉามากกกกก
เบาหวานขึ้นตาแล้ว...
รอตอนต่อไปจ้า

 :-[
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่19 l 25/5/63 l P.7 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 31-05-2020 02:27:54
ไม่มีใครต้านเขาได้
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่20 l 9/6/63 l P.8 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 09-06-2020 21:07:38
 

- จีบที่20 -

 

ผมผละออกมาเข้าห้องน้ำโดยมีพี่เซียนเดินออกมาติดๆ เพื่อคุยโทรศัพท์กับพี่เซนต์ฝาแฝดตัวเองเห็นว่าก่อนหน้านี้แชทคุยกันผ่านโปรแกรมไลน์แล้วพี่มันบ่นว่าคนที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งพิมพ์ตอบช้าไม่ทันใจ ก่อนที่ผมจะเดินเข้าห้องน้ำทันได้ยินเสียงทุ้มคุยกับปลายสายเป็นสำเนียงภาษาอังกฤษรัวๆ จับใจความว่าพี่มันฝากซื้ออะไรสักอย่าง ผมเองฟังไม่ทันหรอกเพราะเซียนพูดเร็วมากแต่ผมชอบสำเนียงที่หลุดจากปากนั้นมากเลยถือวิสาสะยืนฟัง พอพี่เซียนหันมาเห็นเลยเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม พอถูกจับใจว่าแอบฟังผมจึงส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วบ่ายหน้าเข้าห้องน้ำไป

ผมทำธุระไม่นานหรอกตอนที่เดินออกมาพี่เซียนคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว และนอกจากพี่เซียนแล้วบริเวณนั้นยังมีพี่เดี่ยวกับเพื่อนวิศวะฯอีกคน ทั้งสามกำลังยืนถกอะไรกันสักอย่างท่าทางดูเคร่งเครียด

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”

ผมเห็นสีหน้าพี่เซียนดูหงุดหงิดเลยถามออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ  คนถูกถามชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะปรับสีหน้าให้คลายความเคร่งขรึมลง

“มีด่วนงานที่คณะน่ะ”

พี่เซียนพูดสั้นๆ ก่อนจะพยักพเยิดไปยังเพื่อนวิศวะฯที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน

“เดี๋ยวต้องเอาแฟรชไดรฟ์ที่ไอ้ห่านี่หยิบติดมาไปคืนอาจารย์และกูต้องแวะไปดูแบบที่จะใช้ประกวดกับอาจารย์แป๊บนึง พรุ่งนี้ต้องขึ้นโครงเหล็กจำลองแล้ว”

ผมพยักหน้าหงึกหงัก

“รอกูอยู่ที่นี่แป๊บนึงนะ เดี๋ยวกลับมา” 

พี่เซียนโยกศีรษะผมก่อนจะหันไปพูดไปกับพี่เดี่ยว วันนี้เหมือนพวกพี่มันนัดดูฟุตบอลที่มีถ่ายทอดสดจากช่องฟรีทีวีซึ่งใกล้จะได้เวลาแตะแล้วด้วย ดูทรงว่าจะปักหลักอยู่ที่ร้านนี่จนกว่าจะแข่งจบล่ะมั้ง 

“ฝากดูมันหน่อยนะ”

พี่เซียนหันไปพูดกับพี่เดี่ยวแล้วบุ้ยปากมาที่ผม

“เออ”

เพื่อนพี่มันรับคำยิ้มๆ

“วิศวะฯกับสามย่านห่างกันแค่นี้เอง ห่วงอะไรนักหนาวะ ไอ้โต้งเพื่อนน้องมันก็อยู่”

พี่เซียนถอนหายใจเนือยๆ ก่อนจะผละออกไปพร้อมกับเพื่อนมัน  ผมมองตามหลังพี่มันไปแล้วเดินตามพี่เดี่ยวกลับมาที่โต๊ะ ตอนนี้พวกเพื่อนพี่เซียนกำลังสนใจอยู่ที่จอโทรทัศน์ที่ติดอยู่ตามเสาซึ่งกำลังถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลท่ามกลางเสียงเชียร์ของโต๊ะอื่นๆ ผมเองก็นั่งกินถั่วดูบอลไปเงียบๆ จนพี่เดี่ยวเลื่อนทอดมันกุ้งมาให้ตรงหน้า

“ขอบคุณครับพี่”

ผมยิ้มตาหยี

“มึงอยากกินอะไรสั่งเพิ่มได้นะ”

พี่มันพูดยิ้มแล้วยกแก้วสีอำพันในมือขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว ผมจ้องพี่มันตาปริบๆ เพราะก่อนหน้านี้ผมเห็นพวกพี่แกยกกินไปหลายแก้วแล้วยังไม่มีใครมีอาการเมาสักคน

คอแข็งเป็นบ้า

“อยากลองชิมมั้ย”

ผมส่ายหน้าหวือจำนฝ่ายนั้นขำให้

“ดีแล้ว”

“...”

“หน้าอย่างมึงอย่าข้องเกี่ยวกับของมึนเมาเลย”

“จริงๆ ก็พอกินได้พี่ แต่ผมเมาง่าย”

“เออ ว่าแต่มึงอยากกินอะไรสั่งเลยนะ วันนี้ไอ้เซียนมันเลี้ยง สั่งให้แม่งกระเป๋าฉีกเลย”

พี่เดี่ยวขยิบตาให้ โธ่เอ้ยอาหารแต่ละอย่างแพงสุดแค่หลักร้อยเท่านั้น แค่นี้ไม่ระคายเคืองกระเป๋าเงินไอ้พี่เซียนหรอก พี่แกเล่นสะสมมอ’ไซค์ดูคาติตัวท๊อปราคาหลักล้านไม่ต่ำกว่าห้าคัน ซึ่งความจริงข้อนี้ผมเพิ่งรู้มาไม่นานนี้เองว่านอกจากดูคาติสีแดงเพลิงที่เห็นบ่อยๆ แล้ว พี่เซียนมันเล่าให้ฟังว่ามันมีมอ’ไซค์ยี่ห้อนี้จอดสะสมอยู่โรงรถที่บ้านจำนวนหนึ่ง สมกับที่พี่เดี่ยวเคยพูดว่าพี่เซียนมันชื่นชอบมอ’ไซค์มากๆ

ถามว่าซื้อมาแล้วใช้งานมั้ยก็เห็นใช้อยู่แค่คันเดียว ส่วนคันอื่นๆ นั่นจอดสวยๆ เอาไว้ให้พี่มันสบายใจที่ได้เห็นก็เท่านั้น ก็รู้ว่าชอบแต่บางทีผมมองสิ้นเปลืองโดยใช้เหตุ แต่คิดอีกทีมันไม่ใช่เงินของผมจะให้ไปทุกข์ร้อนแทนเจ้าของเงินก็ยังไงอยู่ เอาเป็นว่าหากมันไม่ได้ทำให้เดือดร้อนใครหรือทำให้ตัวพี่มันเองเดือดร้อน ผมคงทำได้แค่รับรู้ เพราะความชื่นชอบของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน อย่างที่ผมชอบกินมิ้นท์มากๆ หากวันหนึ่งพี่เซียนบอกให้เลิกกินผมคงทำไม่ได้เช่นกัน

จริงๆ แล้วหลังจากเปิดใจคบกันอย่างจริงจังนี่ทำให้รู้ว่าผมกับพี่เซียนยังมีหลายอย่างทีต่างกัน แต่มันเป็นความแตกต่างที่ต่างฝ่ายต่างพยายามที่จะเรียนรู้และเข้าใจกันให้มากขึ้น สถานะที่เปลี่ยนไปทำให้ผมรู้เรื่องส่วนตัวของพี่มันมากขึ้น นอกจากอาหารที่ชื่นชอบหรือความชอบเกี่ยวกับมอ’ไซค์ ผมยังรู้ว่าพี่เซียนคนที่จริงจังกับการงานที่ได้รับมอบหมายมามากๆ ดูได้จากโปรเจ็กต์ออกแบบยานยนต์ของคณะที่จะส่งประกวดซึ่งอาจารย์ขอความร่วมมือมา พี่เซียนทุ่มเทกับมันจริงๆ บางครั้งโทรมาดึกๆ ผมได้ยินว่าอีกฝ่ายนั่งดรออิ้งแก้แบบประจำ ทั้งๆ ที่ช่วงนี้เข้าโค้งสุดท้ายของงานฟุตบอลประเพณีแล้วทำให้ต้องซ้อมคทากรหนักขึ้น 

ถ้าผมเป็นพี่เซียนแค่ซ้อมคทากรอย่างเดียวก็กินเวลาชีวิตไปเกือบหมดแล้ว แต่นี่กว่าจะได้นอนยังต้องนั่งแก้แบบอีก ถ้าเป็นผมคงหมดพลังชีวิตแล้ว ผมรู้ว่าพี่มันยุ่งๆ พักนี้เลยพยายามหาเวลาว่างมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ ทั้งที่ตอนนี้ผมเริ่มง่วงนิดๆ แล้ว แต่เพราะอยากอยู่กับอีกฝ่ายนานขึ้นอีกสักนิดถึงยอมนั่งรออีกฝ่าย 

ความรักนี่ก็แปลกนะ ทำให้เราทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน และบางคนอาจจะยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อรักษาความสัมพันธ์ แต่ผมโชคดีอยู่หน่อยที่ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรมากนัก เวลาอยู่พี่เซียนผมสามารถเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องรักษาภาพพจน์อะไร ไม่ต่างจากพี่มันหรอก ใครจะไปคิดว่าพี่เซียนมีมุมเด็กๆ หากว่างจริงๆ ก็จะนั่งเล่มเกมเป็นบ้าเป็นหลัง บางครั้งก็ร้องโวยวายเพียงเพราะ้เล่นเกมแพ้ และหัวเสียเป็นวันหากวันไหน่พี่เซนต์โทรมาหาแล้วขอคุยกับผมบ้าง รู้ทั้งรู้ว่าโดนแหย่ แต่พี่เซียนก็ทะเลาะกับแฝดตัวเองได้เป็นวรรคเป็นเวร ยิ่งแฝดพี่มันรู้ว่าคบกันแล้วพี่เซียนลงทุนไปนั่งเจียหัวเทียนจำลองให้ผม 

หลังๆ หากพี่เซนต์รู้ว่าผมอยู่ใกล้ๆ พี่เซียนพี่มันจะขอคุยกับผมประจำ จนพี่เซียนทะเลาะกับฝ่ายนั้นทำเอาผมเริ่มชินเสียแล้ว พูดถึงหัวเทียนนั่น ผมจึงเลื่อนมือไปลูบของดังกล่าวที่ผมยังสวมติดตัวอยู่ทุกวัน

“ยิ้มอะไรวะ”

“...”

“นั่งจับสร้อยแล้วก็ยิ้มพิลึกคน”

ประเด็นที่พี่เซียนให้หัวเทียนจำลองกับผมนี่ก็ยังถูกพี่เดี่ยวหยิบยกมาแซวทุกครั้งที่มีโอกาส ครั้งนี้ก็เช่นกันพี่มันพูดยิ้มๆ แน่นอนว่าทุกครั้งมันทำให้ผมเขินไปด้วยจนต้องแสร้งทำเนียนคว้าเอาของใกล้ตัวอย่างน้ำเปล่ามาดื่มแก้เก้อ

แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้งว่ะ

ผมเบะปากทันทีที่เครื่องดื่มในมือไหลลงคอ ความรู้สึกร้อนผ่าวบาดคอแทบขย้อนออกนั่นแหละถึงรู้ตัวว่าหยิบผิดแก้ว ยิ่งตอนที่เจ้าของแก้มตัวจริงทำหน้าตาโตแล้วปล่อยเสียงหัวเราะขบขันผมแบบนั้น ขณะที่ผมไอค่อกๆ แค่กๆ เพราะไม่ทันตั้งตัวนึกว่าเป็นน้ำเปล่าจึงซัดไปเต็มที่   

“เป็นไง”

ผมไม่ถึงกับไม่ถูกโรคกับแอลกอฮอลล์ มันพอกินได้แต่ผมเป็นประเภทคนอ่อนเลยพยายามหลีกเลี่ยงของมึนเมาหากไม่จำเป็น ซ้ำเมื่อกี้ยังไม่ทันตั้งใจ สภาพตอนนี้ถึงได้ไอหน้าดำหน้าแดงจนไอ้โต้งที่ก่อนหน้านี้นั่งลุ้นบอลอยู่ต้องรีบยื่นน้ำเปล่าให้ดื่มกลั้วคอ

“เข้มมาก”

พูดไปก็ไอไป

“เซ่อซ่าคว้าไม่ดูก่อน”

“ก็มันวางอยู่ใกล้ๆ กันนี่หว่า”

ผมทำหน้ายุ่งหลังจากกินน้ำจนเต็มท้อง ไอ้โต้งลูบหลังผมเบาๆ พอดีกับที่มือถือมันสั่นเพราะมีการแจ้งเตือนจากโปรแกรมเฟซบุ๊ค ไอ้โต้งคว้ามือถือมันมาดูก่อนจะยิ้มน้อยๆ แล้วยื่นไปให้พี่เดี่ยวดู

“อะไรวะ”

“สโมฯคณะอัพรูปวันนี้ครับ”

“รูปอะไร”

“โปรเจ็กต์ยานยนต์นั่นแหละพี่”

“อ๋อ”

คราวนี้เพื่อนๆ พี่เซียนเบือนหน้าจากโทรทัศน์หันมาสนใจกับภาพในมือถือไอ้โต้ง

“อาจารย์มัสลินนี่สวยจริงๆ ว่ะ”

ใครคนหนึ่งพูดขึ้น

“จริงพี่”

ไอ้โต้งสำทับ

“แต่โหดโคตรๆ” เพื่อนสนิทผมทำท่าขนลุก “สั่งงานทีพวกผมเกือบตาย”

“แกเป็นศิษย์เก่าคณะเรานี่ สมัยที่เรียนอยู่ ข่าวว่าเป็นหัวกระทิด้วยใช่มั้ยวะไอ้เดี่ยว”

พี่เดี่ยวพยักหน้าหงึกหงัก

“อืม”

“อืมอะไรวะขยายความด้วย นอกเวลาเรียนแล้ว ไหนรีวิวลูกพี่ลูกน้องมึงให้ฟังหน่อยดิ”

ผมหูผึ่งทันทีที่ได้ยินว่าพี่เดี่ยวเป็นญาติกับอาจารย์คนดังกล่าว

“จริงดิพี่”

ไอ้โต้งทำหน้าตื่น

“อาจารย์มัสลินเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพี่เหรอวะ”

“ลูกสาวป้ากูเอง”

“โอ้โห แล้วไม่บอกก่อนวะพี่ เมื่อกี้เผลอนินทาอาจารย์แกไปเยอะเลย”

“กูฟ้องไหมแน่ไอ้โต้ง”

“ทั้งสวยทั้งเก่งสมกับที่ไอ้เซียนมันปลื้มถึงขนาดตามมาเรียนวิศวะฯ”

หือ?

ชื่อของพี่เซียนที่หลุดเข้าไปหัวข้อสนทนานั่นทำให้สนใจขึ้นมาทันที พี่เดี่ยวทำหน้าตื่นหันมามองผมก่อนจะหันไปถลึงตาใส่เพื่อนตัวเองจนฝ่ายหันมามองหน้าผมแล้วยิ้มเจื่อนๆ ให้

“เอ่อ”

คนเปิดประเด็นแทบจะยกมือไหว้ผม

“น้องเปียวคงไม่ได้ยินเนอะ”

“เต็มๆ หูพวกกูเลยสัด”

เพื่อนพี่มันพากันตบกะโหลกเพื่อนปากสว่าง

“ไม่มีอะไรหรอก”

 พี่เดี่ยวยื่นโทรศัพท์ให้ผมดู ในภาพนั้นมีกลุ่มนิสิตวิศวะฯ ไม่ต่ำกว่าสิบคนและหลายๆ คนในรูปนั่นก็คุ้นหน้ากันดีทั้งพี่เซียน พี่เดี่ยวและแก๊งพี่มันรวมถึงไอ้โต้งและกลุ่มเพื่อนที่คณะมันและที่ทำให้ผมสะดุดใจมากที่สุดก็คือภาพใบหน้าของผู้หญิงหนึ่งเดียวในรูป

“วันนี้มีช่วยงานที่คณะน่ะ”

ไอ้โต้งมันคงเห็นผมเงียบไปเลยรีบช่วยอธิบาย

“พวกกูก็ถูกเกณฑ์ไปช่วยปีสาม สโมฯเลยถ่ายรูปรวมมาลงน่ะ”

“อืม”

ผมพยักหน้าหงึกหงักแล้วพิจารณาใบหน้าหญิงหนึ่งเดียวในรูป คุ้นมาก คุ้นเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

“อาจารย์มัสลินเป็นลูกพี่ลูกน้องพี่เอง”

พี่เดี่ยวอธิบาย

“รู้จักกับไอ้เซียนมาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว”

ภาพในห้องนอนพี่เซียนสว่างวาบขึ้นมาในหัวผมทันที

“ไม่มีอะไรหรอก สนิทกันตั้งแต่ผมพี่ยังหัวเกรียนๆ กันโน่น ไหมเอ่อ อาจารย์มัสลินเคยสอนพิเศษให้พี่กับไอ้เซียนตอนม.ปลายน่ะ ไอ้เซียนมันชอบมอ’ไซค์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เคยแอบขี่ตั้งแต่ยังไม่มีใบขับขี่ด้วยซ้ำ มันชอบมันก็เลยเลือกเรียนยานยนต์”

พี่เดี่ยวเหลือบตาไปถลึงตาใส่เพื่อนตัวเอง

“ไม่ได้เกี่ยวกับการตามมาเรียนเพราะใครหรอก ไอ้ห่านี่มันก็พูดไปเรื่อย”

อาจารย์มัสลินคือคนเดียวกับที่อยู่ในรูปนั้น

ภาพนั้นกับภาพตรงหน้าห่างกันหลายปี แต่ใบหน้านั้นยังงดงามเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ไม่เปลี่ยนแปลงเลย

‘ทั้งสวยทั้งเก่งสมกับที่ไอ้เซียนมันปลื้มถึงขนาดตามมาเรียนวิศวะฯ’

แวบหนึ่งทำไมไม่รู้ถึงได้วูบโหวงในอกแปลกๆ

“ไม่มีอะไรหรอกเปียว”

พี่เดี่ยวหันไปชี้นิ้วใส่เพื่อนที่เหลือที่ทำหน้าลุแก่โทษหน้าเสียที่เห็นผมเงียบไป เห็นสีหน้าแต่ละคนแล้วผมเลยแกล้งทำหน้านิ่งไปพักหนึ่ง แต่มันเมื่อยที่ต้องเกร็งใบหน้าสุดท้ายผมเลยหลุดขำออกมา

“เครียดอะไรกันครับ”

“โธ่น้องเปียว”

พวกพี่มันโอดครวญ ไม่ต่างจากไอ้โต้งที่ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วโยกศีรษะผมอย่างมันเขี้ยว พวกพี่มันขอโทษขอโพยผมอีกทีแล้วหันไปสนใจบอลที่แข่งต่อหลังจากผมยิ้มแป้นส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่เป็นไร แต่ไอ้โต้งยังมองผมอยู่

“กูตกใจหมดไอ้ห่า”

ผมยิ้มอ่อนๆแล้วเอื้อมมือไปคว้าแก้วของไอ้โต้งมาดื่มอีก

“เฮ้ย”

“ขอกินหน่อย”

“เปียว”

เสียงไอ้โต้งแปร่งไป มันคงรับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่างของผมเข้าแล้ว ผมเลยขยับไปใกล้มันแล้วเอียงหัวไปถูบ่าอ้อนๆ

“อยากหัวโล่ง”

“เดี๋ยวเมา”

“ไม่เมาหรอก กินนิดเดียว”

ไอ้โต้งส่ายหัว

“กูไม่อยากคิดมากว่ะ”

“...”

“แต่ก็อดคิดไม่ได้จริงๆ”

ผู้หญิงคนนั้นคือคนเดียวกับที่อยู่ในภาพซึ่งวางอยู่ในห้องนอนพี่เซียน

ห้องนอนคือห้องส่วนตัว ฉะนั้นของที่อยู่ในห้องนั่นต้องเป็นของพิเศษ หรือของสำคัญมากๆ สำหรับเจ้าของห้อง ผมนิ่งไปเมื่อนึกถึงโมเดลกีต้าร์อันจิ๋ว โปสเตอร์นักดนตรีคนโปรด กีต้าร์ตัวโปรด โมเดลจำลองรถมอ’ไซค์ ทุกอย่างในห้องคือตัวตนและความชื่นชอบของพี่เซียน

นอกจากนั้นยังมีรูปใบหนึ่งรวมอยู่ในห้องพี่เซียน มันรวมอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของพี่เซียน น่าแปลกที่ความคิดนี้ทำให้ผมรู้สึกปวดหน่วงๆ หายใจลำบากขึ้นมาเฉยเลย

 

- J E E B -

 


[อ๋อง]

 

“เดี๋ยวก่อน”

ผมชะงักกึกตอนที่มือข้างหนึ่งถูกกระตุกให้หยุดเดิน พี่ดลเดินวนรอบกายผมก่อนจะยกมือถือขึ้นมาถ่ายภาพร่างกายที่บาดเจ็บของผม ผมทำสีหน้ามึนงงทันทีแต่ก็ยอมยืนนิ่งๆ ให้พี่มันถ่ายจนพอใจ

“ทำอะไรเหรอครับ”

“เก็บหลักฐาน”

“หลักฐาน?”

“เอาไว้แจ้งความน่ะ”

สีหน้าพี่ดลดูจริงจังกับสิ่งที่พูดมากๆ

“แถวนั้นมีร้านอาหารเยอะ ต้องมีกล้องวงจรปิดบันทึกถาพเหตุการณ์วันนี้ได้แน่ เดี๋ยวพรุ่งนี้หลังแจ้งข่าวแล้วน่าจะเอาใบแจ้งความไปขอให้เจ้าของร้านเปิดกล้องวงจรปิดดูได้”

ผมยืนอึ้งคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรอบคอบขนาดนี้ สีหน้าพี่ดลไม่มีแววล้อเล่นเลย

“แต่พี่”

ผมคว้าแขนพี่มันเอาไว้

“ไม่อยากแจ้งความ?”

พี่ดลคาดเดาความคิดผมได้อย่างแม่นยำ

“ทำร้ายร่างกายมันเป็นคดีอาญานะ โดนทำร้ายขนาดนี้ยังจะปล่อยคู่กรณีไปง่ายๆ อีกเหรอ”

มันก็ไม่เชิงหรอก แต่ผมไม่อยากให้เรื่องมันบานปลาย เพราะมันไม่ใช่แค่ผมที่ได้รับผลกระทบ หากเรื่องนี้เป็นคดีความ แน่นอนว่าเรื่องราวต้องบานปลายรู้ไปถึงหูของพ่อกับแม่ เมื่อนั้นชีวิตอิสระที่ผมโหยหาคงต้องถูกริดรอน ผมเดาได้ไม่ยากว่าพ่อคงบังคับให้ผมกลับไปอยู่บ้าน ส่วนแม่คงจะร้อนรนกังวลใจและสุดท้ายอาจขอร้องให้ผมเลิกใช้ชีวิตอยู่หอเพียงลำพัง

“ผมไม่อยากให้ใครรู้”

พี่ดลเงียบไป

“โดยเฉพาะพ่อ”

“...”

“ผมไม่อยากกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีกแล้ว”

ผมก้มหน้ามองพื้น

“อยู่ที่นั่นผมหายใจไม่ออก มันอึดอัด”

“...”

“ที่นั่นไม่มีพื้นที่สำหรับผมแล้ว”

ผมยืนอึ้งเมื่อมือหนาของฝ่ายตรงข้ามเอื้อมมาโอบบ่าผมเอาแล้วลูบเบาๆ

หัวใจผมอุ่นวาบขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

“ไปหาหมอก่อน”

พี่ดลโอบบ่าผมเอาไว้แล้วดันให้ออกเดิน ผมรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเบาหวิวเดินตามแรงจูงอีกฝ่ายไปอย่างเหม่อลอย ยิ่งสายตาเหลือบไปมองแขนแข็งแรงซึ่งโอบไว้เหมือนกำแพงหนาคอยคุ้มภัย

ผิดมั้ย...ถ้าผมรู้จะสึกปลอดภัย

“เรื่องแจ้งความเอาไว้คุยทีหลัง ไปหมอก่อน”

“...”

“ถ้าอ๋องจะตัดสินใจยังไง พี่จะไม่โต้แย้ง แต่จะเชื่อมั่นในการกระทำของเรา”


.


.


.


ผมเดินออกมาจากห้องตรวจหลังที่หมอเห็นสภาพผมแล้วถึงกับอุทานก่อนจะเรียกให้พยาบาลมาพาผมไปทำแผล นางฟ้าชุดขาวรุมทำแผลให้ผมสี่ห้าคน ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสภาพผมมันบอบช้ำจนน่ากลัว ตอนแรกหมอจะให้ผมแอดมิทดูอาการสักคืน แต่ผมยืนกรานไม่ยอมนอน สุดท้ายหมอเลยจัดยามาให้ผมชุดใหญ่และกำชับให้ผมมาล้างแผลตามนัด ดีว่าผมแค่ฟกช้ำไม่มีส่วนไหนแตกหักหรือเป็นอันตรายถึงชีวิต 

พี่ดลหลุดขำเล็กน้อยตอนที่ผมเดินออกมา ทั่วร่างกายมีผ้าก๊อชพันเต็มไปหมด ถึงอย่างนั้นก็ยังมีน้ำใจเดินมาพยุงผม

“ถ้าจะกลั้นขำขนาดนี้ พี่หัวเราะผมดังๆ ก็ได้ครับ”

ผมเบะใส่อีกฝ่าย

“โทษทีนะ”

พี่ดลพูดยิ้มๆ แล้วเดินไปจัดการค่าใช้จ่ายให้ ไม่นานหลังจากนั้นพี่มันก็หอบถุงยาถุงโตมาให้ผม

“เดี๋ยวผมคืนให้นะ”

ตอนที่เดินกลับมาที่รถผมพูดขึ้น เพราะค่าใช้จ่ายนั้นพี่ดลจ่ายให้โดยไม่ได้พูดถึงเลย แน่นอนว่าหากผมไม่พูดขึ้น พี่มันก็ไม่มีทางเอ่ยทวงซ้ำยังยินดีจ่ายให้ผมฟรีๆ ด้วย นั่นทำให้ผมเกรงใจมากๆ แค่อีกฝ่ายมาให้ความช่วยเหลือและพามาหาหมอนั่นก็มากเกินพอแล้ว

“ค่อยว่ากัน”

“ถ้าผมเนียนไม่คืนให้จะทำยังไงครับ”

พี่ดลยักไหล่

“ก็ไม่เป็นไร”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่

“พี่ทำแบบนี้ยิ่งทำให้ผมเกรงใจมากกว่าเดิม”

“...”

“ห้ามพูดว่าเพราะผมเป็นลูกเพื่อนแม่พี่นะ นั่นยิ่งทำให้รู้สึกไม่ดี เพราะผมรู้สึกเป็นภาระพี่กับคุณป้า เหมือนเอาเปรียบพี่จากความห่วงใย”

“เรานี่ก็เป็นคนคิดมากเหมือนกันนะ”

“ก็มันจริงนี่”

ผมทำหน้ายุ่ง

“อ๋องไม่ใช่ภาระ ถ้าคิดแบบนี้อยู่ พี่อยากให้เราเลิกคิดซะ”

“...”

“พี่ช่วยเราไม่ใช่เพราะเราเป็นลูกน้าดุจ”

“แล้วทำไม”

พี่ดลผละสายตาจากถนนแล้วหันมามองผมแวบหนึ่ง

“ห่วง”

“ห่วงเพราะเห็นผมเป็นน้องใช่มั้ย”

จังหวะนั้นรถจอดติดไฟแดงพอดี พี่ดลหันมามองผมนิ่งๆ

“เมื่อก่อนใช่”

“...”

“พี่”

“รู้มั้ยว่าน้องเปียวเคยเชียร์เรากับพี่ด้วย”

“หา”

ผมทำหน้าตื่นคาดไม่ถึงว่าเพื่อนสนิทจะทำแบบนั้น

“รู้มั้ยว่าพี่ตอบเพื่อนเราไปว่ายังไง”

ผมส่ายหน้าหวือ

“พี่บอกว่าเรื่องระหว่างพี่กับเราไม่มีอะไรในกอไผ่ พี่เอ็นดูอ๋องเหมือนน้องชาย”

ผมเม้มปากแน่นรู้สึกวูบโหวงในอกบอกไม่ถูก

“แต่พี่ผิดคำพูดของตัวเองวันนั้นแล้ว”

ผมหันขวับมาสบตาอีกฝ่าย

“มันไม่ใช่ความห่วงใยในฐานะแค่พี่น้อง”

“...”

“ส่วนฐานะอะไร พี่กำลังหาคำตอบให้ตัวเองอยู่”

พี่ดลยิ้มมุมปาก

ยิ้มนั่นทำให้ผมร้อนวูบวาบขึ้นมาทันที

 

- J E E B -

 

 

ผมเมาแล้ว

ผมรู้สึกมึนเบลอเวลามองไปรอบๆ พอยกหัวขึ้นความรู้สึกโคลงเคลงเหมือนร่างกายทรงตัวไม่ได้จนต้องเอนศีรษะซบบ่าเพื่อนสนิทตัวเองที่บ่นผมไม่หยุด ไอ้โต้งทำเสียงระอาหลังจากยื้อแก้วเหล้าไปจากมือผม ระหว่างนั้นหูได้ยินเสียงเพื่อนๆ พี่เซียนพูดเสียงเครียดทำนองเดียวกันว่า ‘ซวยแล้ว’

ผมหลับตามุ่นหัวคิ้วเพราะหนักหัวมากๆ ถึงอย่างนั้นสติก็ยังรับรู้ว่าเสียงเชียร์บอลเย้วๆ ของกลุ่มเพื่อนพี่เซียนเงียบหายไปแล้ว ความเงียบนั่นทำให้ผมต้องหรี่ตาขึ้นมาก่อนจะขยี้ตาตัวเองเมื่อรู้สึกว่าภาพตรงหน้ามันมัวๆ เหมือนแสงไม่เพียงพอ คล้ายกับมีกำแพงสูงใหญ่ยืนบังแสงอยู่เหนือศีรษะ

“มืดอ่ะ”

ผมงึมงำพยายามเปิดเปลือกตาอีกครั้ง

“เหมือนอ่ะ”

“เหมือนอะไร”

“เหมือนพี่เซียน”

กำแพงที่บังแสงทำให้รู้สึกมัวๆ ขยับเข้ามาใกล้ๆ ก่อนที่กำแพงนั้นจะกลายเป็นใบหน้าคมคายของคนรักรุ่นพี่ที่ทำหน้าบึ้งจ้องหน้าผมอยู่

“ฮือพี่เซียน”

ผมผละออกจากบ่าไอ้โต้งตอนที่พี่เซียนขยับมาใกล้แล้วย่อตัวให้ใบหน้าเราอยู่ระดับเดียวกัน

“ไงเด็กขี้เมา”

“ไม่เมา”

“นั่งยังไม่ตรงแล้ว นี่เหรอไม่เมา”

ผมโอนเอนไปมาดีว่าอีกฝ่ายประคองตัวผมเอาไว้

“พี่ไปแป๊บเดียว ทำไมกลับมาถึงได้แอบกินเหล้าจนเมาฮึ”

“ไม่ได้แอบ กินแก้วไอ้โต้งเลย”

ไอ้โต้งสะดุ้งโหยงตอนที่พี่เซียนเหลือบตาไปมอง มือหนาบีบจมูกผมเหมือนมันเขี้ยว

“หายใจไม่ออก”

“เมาแล้วยังเถียง”

“ยังคุยรู้เรื่องเหอะ”

“ไหนบอกพี่สิ นี่กี่นิ้ว”

ผมหรี่ตามองภาพตรงหน้าเหมือนเห็นนิ้วมือของพี่เซียนขยับหนีไปเรื่อยจนต้องคว้าเอาไว้

“อย่าดิ้นสิ”

“ก็อย่าขยับหนีสิ”

ฝ่ายนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่

“พี่ยังไม่ได้ขยับไปไหนเลย”

“เนี่ยคว้าไปไม่โดนสักที”

“เราไล่จับแสงอยู่ไอ้เด็กขี้เมา”

ไม่จริงอ่ะ

ผมเห็นนิ้วพี่เซียนขยับหนีจริงๆ นะ แต่ดูเหมือนคำตอบของผมจะไม่ถูกใจพี่มันนัก เมื่อพี่เซียนฉุดผมให้ลุกขึ้นแล้วหันไปบอกเพื่อนตัวเองว่าจะพาผมกลับ เหมือนได้ยินเสียงพี่เซียนด่าเพื่อนมันด้วยที่ปล่อยให้ผมกินเหล้า ผมยืนโงนเงนไปมาไม่ยอมขยับตัวตามพี่มันก่อนจะปล่อยให้ตัวทรุดนั่งลงที่เก้าอี้เหมือนเดิมแล้วทำตัวไร้กระดูกไม่ยอมขยับจนพี่เซียนต้องทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ กัน

สีหน้าพี่เซียนดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นั่นทำให้ผมใจวูบโหวง การกระทำของผมคงทำให้อีกฝ่ายเบื่อหน่ายเสียแล้วมั้ง ผมเบะปากทันทีก่อนจะเอื้อมมือไปจับใบหน้าอีกฝ่ายเอาไว้

“นี่”

“ทำไมถึงดื้อแบบนั้น”

แปะ

เอามือตีประกบใบหน้าแม่ง ใบหน้าพี่เซียนยู่ย่นน่าขำแต่อีกฝ่ายก็ยอมให้ผมบี้หน้าอยู่อย่างนั้น

“ตอบมา”

‘ทั้งสวยทั้งเก่งสมกับที่ไอ้เซียนมันปลื้มถึงขนาดตามมาเรียนวิศวะฯ’

“อาจารย์มัสลินสวยมั้ย”

พี่เซียนทำหน้างง ท่ามกลางเสียงอุทานของเพื่อนพี่มัน ผมหันขวับไปมองหน้าแต่ละคนแล้วชี้นิ้วขึ้นมาทำท่าจุ๊ๆ ส่งสัญญาณไม่ให้ใครพูดอะไร

น้ำเมานี่เปลี่ยนนิสัยจริงๆ ผมรู้สึกว่าตัวเองโคตรกล้า ก่อนจะหันมาหรี่ตามองพี่เซียนแล้วทวนคำถามนั้นอีกครั้ง

“ตอบมาเลย”

“สวย”

แปะ

ใช้มือตีหน้าแม่งอีกที 

พี่เซียนคว้ามือที่แปะใบหน้ามันอยู่แล้วบีบเบาๆ 

“แล้วผมอ่ะ”

“มึงทำไม”

“ผมน่ารักป่าว”

พี่เซียนยิ้มน้อยๆ ก่อนจะยื่นมือทั้งสองข้างมาประคองแก้มผมทั้งสองข้าง

“น่ารักครับ”

“จริงป่าว”

“อือฮึ”

“แล้วชอบอันไหนมากกว่า”

“หือ”

“เลือกเลย”

บิดแก้มพี่มันซักทีดิ

“โอ้ย”

“น่ารักหรือสวย”

“...”

“ตอบมา”

“เลือกอะไรดีหือ”

แปะ...ตีอีกสักทีดิ

พี่เซียนส่ายหัวขำๆ

“ตอบเร็ว”

“น่ารัก”

พี่เซียนยื่นหน้ามาใกล้ๆ

“หึงพี่เหรอ”

ผมเบะปากทันที

“หึงน่ารักเกินไปแล้ว”

“พี่แม่ง”

พี่เซียนเกลี่ยแก้มผมเบาๆ

“น่ารัก”

“...”

“ไอ้ตัวน่ารัก”

“ตอบดี”

ผมหัวเราะคิกคัก ทั้งที่รู้สึกว่าหัวโคลงเคลงไปมา ฮือ ปวดหัวว่ะ

“แล้วไม่มีรางวัลที่พี่ตอบดีเหรอ”

“มีๆ”

ผมยิ้มตาหยี

“เอาหัวใจผมไปเล้ย”

เสียงคนทั้งโต๊ะแม่งโห่อะไรกันวะ รำคาญโว้ย เบาเสียงหน่อย ผมหลับตานิ่ง

“พี่อยากได้อย่างอื่น”

“อะไรอ่ะ”

“ขอหอมทีดิ”

พี่เซียนพูดเหมือนจะแหย่

“ได้ๆ”

คนตรงหน้าดูอึ้งไปนิดหน่อยก่อนจะหลุดขำออกมา

“จะเอาแก้มซ้ายหรือแก้มขวา”

“...”

“อ่ะๆ”

ผมเอียงแก้มให้พี่มันไม่พอยังพองลม่แก้มด้านที่ยื่นให้พี่มันหอม คราวนี้ผมได้ยินเสียงไอ้โต้งขำหนักมาก แม่งขำอะไรวะ เสียงดังจังโว้ย หลังจากนั้นผมรู้สึกว่าตัวโคลงเคลงไปมาคล้ายพี่เซียนฉุดให้ผมลุกขึ้นแล้วพาเดินไปไหนไม่รู้ ผมเดินมาได้แป๊บเดียวก็รู้สึกว่าใครบางคนเอาผมขี่หลัง

สบายจัง

ผมกอดคอแล้วซุกใบหน้าไปที่แผ่นหลังของพี่เซียน

“พี่เซียน”

กระซิบข้างหูไปมัน

“ครับ”

“เห็นนั่นป่าว”

ผมชี้มือไปมั่วๆ 

“อะไรครับ”

ผมขำคิกนึกถึงมุกเสี่ยวๆ ของเพื่อนสนิทที่มันเคยเล่นแล้วทำให้ผมขำจนปวดท้อง

“อนาคต”

“หือ?”

“อนาคตของเรา ก้ากกกกก”

ผมหัวเราะอย่างขบขันก่อนจะกุมศีรษะตัวเองเพราะหัวเราะแรงจนปวดขึ้นมา แว่วเสียงได้ยินเสียงพี่มันทำเสียงคล้ายกับกำลังหัวเราะในลำคอ

“กูไม่รู้ว่าพูดไปตอนนี้มึงจะจำได้มั้ย”

“...”

“แต่จำไว้เอานะเด็กขี้เมา”

“...”

“อนาคตกูไม่รู้หรอกว่ามันจะเป็นยังไง”

ฮือ ปวดหัวว่ะ

“แต่อนาคตของกูต้องมีมึง...นะเปียว”

ฮือ

เสียงพี่เซียนละมุนจัง


- J E E B -

กลับมาแล้ววววว
อ่านแล้วฝากเมนต์และติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยนะฮะ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่20 l 9/6/63 l P.8 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: mysun ที่ 10-06-2020 03:00:40
เขินหนักมากกกก อยากซบไหล่พี่เซียนนนนนน
 :o8:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่20 l 9/6/63 l P.8 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 10-06-2020 06:40:04
 :hao3:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่20 l 9/6/63 l P.8 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: kenghan ที่ 10-06-2020 12:28:03
มันมุ้งมิ้ง ละมุน  เขิน  อยากอยู่ในเหตุการณ์
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่20 l 9/6/63 l P.8 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 10-06-2020 19:58:12
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่20 l 9/6/63 l P.8 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 10-06-2020 22:09:00
อิน้องเมารั่วหนักมาก. สร่างเมาเมื่อไหร่จะจำได้ไหมน้า.  :laugh:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่20 l 9/6/63 l P.8 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Plakhem ที่ 12-06-2020 23:47:54
 :hao3: เกือบมีมาม่าซ๊ะแล้ววววว :impress2:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่20 l 9/6/63 l P.8 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 13-06-2020 19:59:19
เมาแล้วหลุดเลยเปียว  น้องมันเมาแล้วน่าฟัด
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่21 l 15/6/63 l P.8 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 15-06-2020 22:54:07
 

- จีบที่21 -

 

[โต้ง]

 

“ทำไมพื้นมันเอียงๆ อ่ะ”

เสียงงุ้งงิ้งข้างๆ ใบหูก่อนที่ศีรษะของเพื่อนสนิทจะเอียงมาซบไหล่ผมแล้วหลับตาพริ้ม สภาพคนเมาแต่ไม่เจียมตัวเพราะมือข้างหนึ่งยังยื่นมายื้อยุดแก้วเหล้าอย่างไม่รู้สังขาร หลังจากคว้าแก้วเหล้าจากมือมันได้สำเร็จนั่นแหละคนที่ผมไม่อยากเจอมากที่สุดตอนนี้ก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า

กลุ่มรุ่นพี่วิศวะฯ ซึ่งก่อนหน้าที่เชียร์บอลเย้วๆ พากันเงียบกริบเมื่อใครบางคนปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้า พี่เซียนไม่พูดพร่ำทำเพลงตรงเข้ามาช้อนตัวเพื่อนสนิทผมซึ่งทำตัวอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แน่นอนว่ารุ่นพี่คทากรที่ทำหน้าไม่สบอารมณ์ตรงหน้าทำให้ผมได้แต่ยิ้มแหย

“น้องเมาเหรอเซียน”

เสียงคุ้นหูนั่นดังขึ้นพอดีกับร่างสูงโปร่งที่ไม่ยอมตอบแชทผมเลยตลอดทั้งวันเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ พี่เซียน  พี่อุ้มมาช่วยประคองไอ้เปียวให้ขี่หลังพี่เซียน หลังจากที่เพื่อนสนิทผมเมาแล้วปากเก่งจนเพื่อนๆ พี่เซียนพากันควักมือถือขึ้นมาอัดคลิปบันทึกภาพ เอาจริงผมว่าเวลาที่เปียวเมา มันจะง้องแง้งเหมือนเด็กแต่นั่นแหละความใสซื่อของมันทำเอาคนมองรู้สึกว่ามันน่ารักโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะกับแฟนหนุ่มอย่างพี่เซียนที่คลายใบหน้าเคร่งขรึมแล้วยิ้มเอ็นดู

พี่เซียนพาไอ้เปียวกลับไปแล้ว ตอนนี้เก้าอี้ข้างๆ ที่เจ้าของเก่าเมาจนถูกลากกลับไปแล้วก่อนหน้านี้มีผู้มาใหม่นั่งแทนที่ พี่อุ้มเลิกคิ้วมองผมเป็นเชิงถามว่าผมมองอะไรตอนที่ฝ่ายนั้นทรุดตัวลงนั่งยึดครองเก้าอี้เดิมของไอ้เปียว ผมยังไม่ทันได้ตอบคำถามคนข้างกายหรอก

“มึงมาได้ไงวะ”

เพราะพี่เดี่ยวชวนเพื่อนตัวเองคุยซะก่อน

“ไอ้เซียนโทรไปชวนมาดูบอล”

ผมนิ่งฟังบทสนทนานั้นก่อนจะแอบสำรวจเสื้อผ้าของพี่อุ้ม คนข้างกายผมแต่งตัวโคตรชิลสังเกตจากเสื้อบอลที่อีกฝ่ายสวมใส่ ส่วนล่างเป็นกางเกงขาสั้นยี่ห้อแบงแบงและลากแตะหนีบช้างดาว แต่ให้ตายเถอะพี่มันรับสายเพื่อนสนิทตัวเอง แต่ไม่ยอมตอบไลน์ผมเลย

พูดแล้วนอยๆ เลยว่ะ   

“มันแวะไปรับกูที่หอมา”

“อ้าวไหนมึงบอกวันนี้มีช่วยงานฝ่ายสวัสดิ์ที่คณะไม่ใช่เหรอ”

“ก็ส่งข้าวเสร็จ กูก็กลับหอไปนอน พอดีหิวข้าวเลยว่าจะไปซื้ออะไรกิน ไอ้เซียนมาโทรมาชวนดูบอล กูเลยกระโดดขึ้นรถมันมา”

พี่อุ้มพูดไปคว้าถั่วทอดในจานใส่ปากเคี้ยวไปด้วย

“พอมาถึงหลานรหัสกูดันเมาซะนี่ ”

“กูว่าไอ้เซียนไม่กลับมาแล้วมั้ง”

“อืม”

ผมเงี่ยหูฟังขณะที่สายตาจับจ้องไปยังโทรทัศน์ซึ่งกำลังถ่ายทอดสดฟุตบอล จังหวะนั้นผู้เล่นทีมหนึ่งกำลังเลี้ยงบอลหลบในกรอบเขตโทษก่อนจะซัดบอลเต็มข้อแต่เฉียดประตูไปนิดเดียว เสียงทั้งโต๊ะเฮลั่นก่อนจะตามด้วยเสียงโห่ เกมสูสีนั่นทำเอาผมนั่งไม่ติดเหมือนกัน สายตาที่จ้องทีวีจอแบนกระพริบถี่เมื่อฝ่ามือของใครบางคนขยับไปมาบังภาพการถ่ายทอดสดตรงหน้า

“หยิบซอสให้หน่อยนะ”

พูดไม่พอยังชี้นิ้วไปยังขวดซอสที่ตั้งอยู่มุมโต๊ะใกล้ผมเลยต้องหยิบขวดซอสส่งให้อีกฝ่าย ก่อนจะหันไปสนใจการถ่ายทอดสดต่อ

“มือถือแบตหมด”

พี่อุ้มพูดเสียงแผ่วตอนที่นั่งหั่นสเต็กในจาน

“เพิ่งชาร์ตตอนกลับหอ”

“...”

“อาบน้ำเสร็จ ไอ้เซียนก็โทรมาพอดี”

ผมเหล่ตามองอีกฝ่าย จังหวะนั้นคนข้างกายที่หันมาพอดีรีบหลุบตามองอาหารในจานแทน

“นึกว่าไม่อยากตอบไลน์ผมซะอีก”

คราวนี้ผมเอี้ยวตัวหันเข้าหาพี่อุ้มแล้วนั่งมองฝ่ายนั้นกินเงียบๆ

“มองอะไรเล่า”

“ซอสเลอะแก้ม”

“ตรงไหนอ่ะ”

พี่อุ้มถามขึ้นก่อนจะคว้าทิชชูมาซับแก้มตัวเอง

“แก้มซ้าย”

“หมดยัง”

“เดี๋ยวผมเช็ดให้”

พี่อุ้มส่ายหน้าหวือก่อนจะหันไปให้พี่เดียวช่วยเช็ดออกให้ ผมมองแล้วส่ายหัวกับความหวงเนื้อหวงตัวของอีกฝ่ายแล้วนึกมันเขี้ยว ตั้งแต่คุยกันมามากสุดก็แค่จับมือ จับทีไรเป็นต้องสะบัดหนีทุกที ขนาดสมัยตอนที่เป็นแฟนกัน ผมมีโอกาสแค่นอนกอดอีกฝ่ายเท่านั้น มีครั้งหนึ่งเคยทำรอยตรงคออีกฝ่ายแน่นอนว่ามันแลกกับการที่โดยพี่มันเอาคืนจนผมจุกกลางท้อง

หมัดแม่งโคตรหนัก

“มองอะไร”

“พี่แม่งโคตรหวงตัวกับผมเลย”

“อย่าเยอะ”

พี่อุ้มเบะปากใส่

“แค่กูยอมคุยด้วยก็มากเกินพอแล้ว”

ฝ่ายนั้นบ่นกระปอดกระแปดเพราะตั้งแต่ผมขอโอกาสวันนั้น ผมเล่นเช้าถึงเย็นถึงซ้ำยังขอร้องแกมบังคับให้อีกฝ่ายตอบไลน์และรับโทรศัพท์ผมเท่าที่โอกาสอำนวย แน่นอนว่าการพาตัวเองมาให้พี่มันเห็นทุกวันทำให้อีกฝ่ายเผลอลดการ์ดที่ตั้งเอาไว้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“ผมก็นึกว่าพี่ให้โอกาสผมแล้วซะอีก”

พี่อุ้มนิ่งไปทันที

“กูรับโทรศัพท์และตอบไลนท์มึงทุกวันยังไม่ใช่คำตอบอีกเหรอ”

“ผมมันโง่”

ผมทำหน้าซื่อแกล้งทำหน้าไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่มันพูด

“ไอ้โต้ง”

“พี่ไม่พูดตรงๆ ผมไม่รู้หรอก”

พี่อุ้มเบะปาก

“ได้ข่าวว่ามึงสอบเข้าวิศวะฯ ด้วยคะแนนอันดับต้นๆ ของคณะไม่ใช่เหรอ อย่าแกล้งโง่”

“รู้ด้วย”

ผมแกล้งถามฝ่ายนั้นเลยทำหน้าหงิกยิ่งกว่าเดิม 

“เก่งวิชาการกับเก่งวิชาใจไม่เหมือนกันหรอก”

พี่อุ้มทำท่าจะขย้อนของกินในท้องออก

“พูดอะไรเกรงใจของดีๆ ที่กูกินลงไปด้วย”

“เขินก็บอกว่าเขิน”

“ขนลุก”

พี่อุ้มลูบแขนตัวแขน

“แต่พี่หน้าแดงนะ”

“กูร้อนเหอะ”

ผมยักไหล่ก่อนจะเนียนขยับมือไปกุมทับมืออีกฝ่ายเอาไว้ พี่อุ้มสะดุ้งโหยงรีบสะบัดหนีตามเคยแต่ครั้งนี้ผมกุมทับมืออีกฝ่ายแน่นขึ้น เท่านั้นไม่พอยังจ้องหน้าพี่มันตรงๆ

“อยากได้ยินจากปาก”

“...”

“พี่ให้โอกาสผมจริงๆ ใช่มั้ย”

“ถามอะไรวะ”

พี่อุ้มใช้มืออีกข้างที่ยังว่างจิ้มไส้กรอกปากแล้วเคี้ยวงับๆ

“พี่อยากอ่านหนังสือเล่มเดียวกับผมป่ะ”

พี่อุ้มถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วแยกเขี้ยวใส่ผม

“มันใช่เวลาป่ะ”

พี่มันกวาดตามองไปรอบๆ โต๊ะ มองเพื่อนตัวเองที่เชียร์บอลกันเสียงดังอย่างระแวง คงกลัวว่าใครจะได้ยินบทสนทนาของพวกเราถึงได้กระซิบกระซาบเสียงเบาขนาดนี้

“คำตอบล่ะครับ”

พี่อุ้มกรอกตาไปมาก่อนจะเหลือบตามองไปยังทีวีจอแบน

“มึงเชียร์ทีมไหน”

“ผมเด็กผี”

คนที่ถูกผมกุมมืออยู่แสยะยิ้มทันที

“กูแฟนหงส์”

พี่มันยักคิ้วให้ผมสองที

“แล้ว?”

“คำตอบกูอยู่ที่ผลนัดนี้”

หลังจากนั้นผมลุ้นผลจนนั่งแทบไม่ติด 


.


.


เกือบเที่ยงคืนวันนั้นผมพาใครบางคนมาส่งที่หอ ดึกมากแล้วถนนแทบจะไร้ผู้คนแต่ไฟตรงถนนยังสว่างไปทั่ว บริเวณหน้าหอมียามนั่งหลับอยู่ ทุกอย่างเงียบไปหมดจนกระทั่งผมบังคับรถจอดที่หน้าหอนั้นแหละ ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ข้างกันปลดเข็มขัดนิรภัยจนได้ยินเสียงตัวล็อกถูกปลดล็อกดังขึ้นชัดเจน

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงผลบอลที่เพิ่งจบไปก่อนหน้านี้

ผลการแข่งขันเสมอในวินาทีสุดท้ายตอนเตะลูกโทษ ไม่มีใครแพ้ ไม่มีใครชนะในเกม

แต่สำหรับเดิมพันของผมมีเพียงแพ้หรือชนะเท่านั้น

ผลที่ออกมาเสมอ ไม่ใช่ชัยชนะนั่นก็คือคำตอบของทุกอย่างแล้ว

“กูไปก่อนนะ”

พี่อุ้มพูดขึ้น ผมไม่เห็นสีหน้าฝ่ายนั้นหรอก แต่เดาสีหน้าตัวเองออกว่าคงกำลังทำหน้าฝืนยิ้มอยู่   

“ให้ผมเดินไปส่งมั้ย”

“ไม่ต้องๆ แค่นี้เอง”

ผมพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะพ่นลมหายใจแรงๆ ตอนที่พี่อุ้มเปิดประตูรถเตรียมลงแล้ว

“มึง”

“ครับ”

“พรุ่งนี้กูมีเรียนสิบโมง”

หือ?

ผมทำหน้าไม่เข้าใจ

“ถ้าว่างมารับด้วย”

พี่อุ้มเสมองไปทางอื่นแต่ผมก็แอบเห็นแก้มสีระเรื่อของฝ่ายนั้นเต็มๆ

“ผลมันเสมอนะพี่”

“แล้วไง”

อดีตคนรักของผมยักไหล่

“ไม่ได้แพ้สักหน่อย”

“...”

“สำหรับกูชนะคือเดินหน้า ส่วนเสมอคือเท่ากัน ก้าวไปพร้อมๆ กัน”

“พี่อุ้ม”

“ไม่ชนะอ่ะดีแล้ว กูไม่อยากให้มึงก้าวกระโดด”

ผมเผลอยิ้มออกมา

“เดินไปพร้อมกัน”

พี่อุ้มชะโงกหน้าเข้ามาใกล้

“หนังสือเล่มเดิมมึงอ่านเร็ว มันถึงจบไว...” เจ้าของใบหน้าขาวเม้มปากน้อยๆ ใบหน้าเหมือนคนกำลังใช้ความคิด ท่าทางรวบรวมความกล้าในการจะพูดอะไรสักอย่าง

“มึงอยากจะเปิดอ่านพร้อมกูมั้ยล่ะ”

ผมกระตุกแขนอีกฝ่ายให้ทรุดตัวลงที่เบาะก่อนจะเอี้ยวตัวมาดึงประตูฝั่งนั้นให้ปิดลง

“จะทำอะไร”

คนในอ้อมแขนผมถามเสียงแผ่ว

“ขอเปิดหน้าแรกหน่อยครับ”

“อ๊ะ”

พี่อุ้มเบี่ยงหน้าหลบตอนที่ริมฝีปากผมกดจูบที่ขมับอีกฝ่าย

“ขอโทษที่เปิดอ่านโดนไม่ได้ขออนุญาตนะครับ”

“...”

“หนังสือเล่มนี้น่าอ่านจนอดใจไม่ไหว”

“พอแล้ว”

“...”

“ยังไม่ได้ให้เปิดอ่านเลยซะหน่อย มือไวไปแล้วนะ”

ผมยิ้มกว้างเมื่อรู้สึกเจ็บที่ท้องเพราะถูกอีกฝ่ายหยิกเอว

มือหนักเหมือนเดิม

แต่เจ็บขนาดนี้ก็ยังยิ้มไม่ยอมหุบ

“ซาดิสม์เหรอ เจ็บแล้วยังยิ้มเป็นคนบ้า”

“ครั้งนี้ผมจะตั้งใจอ่าน จะเก็บรักษาหนังสือเล่มนี้เอาไว้ให้ดี”

พี่อุ้มลูบหลังผมเบาๆ

“หน้าแรกคือการรู้จักกันใหม่”

คนในอ้อมแขนพูดเสียงแผ่ว

“สวัสดีครับพี่อุ้ม ผมชื่อนะโต้ง ยินดีสุดๆ ที่ได้รู้จักกันใหม่”

ผมแกล้งแนะนำตัวเอง

“ยินดีที่ได้รู้จักไอ้โต้ง กูชื่ออุ้ม”

“ขออนุญาตเปิดอ่านหนังสือนะครับ”

“กูอนุญาตให้มึงอ่านหนังสือเล่มนี้ไปพร้อมๆ กัน”

อีกฝ่ายยิ้มเขินๆ

“ขอบคุณที่อนุญาตให้ผมเปิดอ่านนะ”

พี่อุ้มเวลาเขินแม่งโคตรน่ารัก 

น่ารักสุดๆ ตอนที่อีกฝ่ายแกล้งปั้นหน้านิ่งทั้งที่อยากจะยิ้มเต็มแก่

 

- J E E B -

 

 

ความรู้สึกหนักหัวทำให้การผงกศีรษะขึ้นจากหมอนใบโตเป็นไปได้ยากลำบาก สุดท้ายผมอาศัยเรี่ยวแรงฝืนตัวให้ผุดลุกขึ้น ความรู้สึกปวดหัวจี๊ดพุ่งเข้ามาไม่ทันตั้งตัวจนต้องกุมขมับร้องคราง ผมหลับตานิ่งก่อนจะค่อยๆ เปิดเปลือกตาแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ 

ไม่ใช่ห้องผม

ยิ่งมองยิ่งรู้สึกคุ้นตอนที่เหลือบไปเห็นโปสเตอร์นักกีต้าร์ระดับโลกนั่นแหละผมจึงถึงบางอ้อว่าสภาพห้องคุ้นตานี่คือห้องของแฟนหนุ่มรุ่นพี่

แล้วผมมาอยู่ห้องพี่เซียนได้ไงวะ

ผมคลึงขมับตัวเองแรงๆ แล้วภาพเหตุการณ์เมื่อวานก็สว่างวาบขึ้นมาในหัวทันที ถึงแม้จะจำได้ลางๆ เหมือนภาพหน้าจอโทรทัศน์ที่ดับๆ ติดๆ แต่ที่จำได้แม่นยำคือผมเมาเพราะแอบคิดมากเรื่องอาจารย์มัสลินแล้วหลังจากนั้นทุกอย่างก็เหมือนว่างเปล่า 

เมาขนาดนั้นผมคงไม่ได้ทำอะไรประหลาดๆ ออกไปหรอกนะ

ขณะที่พยายามนั่งนึกถึงเหตุการณ์นั่นเสียงโปรแกรมแชทในมือถือก็ดังขึ้น เสียงนั่นมันดังไม่ไกลจากตัวผม พอมองหาจึงเห็นโทรศัพท์ตัวเองวางอยู่ข้างเตียง เสียงข้อความเข้าดังังถี่ๆ จนผมต้องคว้ามาเปิดดู

“เชี่ย”

ผมตาเบิกโพลงแถบถลนออกมาจากเบ้า เมื่อเห็นภาพสภาพเมามายของตัวเองที่ไอ้ห่าโต้งส่งมาให้ดู เท่านั้นยังไม่พอยังมีคลิปภาพตัวเองเมาแล้วเปรี้ยวได้ขนาดนี้

‘ผมน่ารักป่าว’

‘น่ารักครับ’


ผมหน้าร้อนวาบเมื่อเห็นสภาพตัวเองกำลังทำตาปรือพูดเสียงอ้อนใส่พี่เซียนแบบนั้น

ฉิบหายแล้ว

‘เลือกเลยน่ารักหรือสวย’

‘หึงพี่เหรอ’

‘แล้วไม่มีรางวัลที่พี่ตอบดีเหรอ’

‘มีๆ เอาหัวใจผมไปเล้ย’


ฉ่า

ภาพนี้มัน

โคตรแรด...แรดมาก

ผมกุมขมับรู้สึกหน้าร้อนแก้มร้อนไปหมดแล้ว นี่ผมทำอะไรลงไปเนี่ย น้ำเมาคือน้ำเปลี่ยนนิสัยชัดๆ ให้ตายเถอะแล้วจะเอาหน้าที่ไหนคุยกับไอ้พี่เซียนวะ

มิน่าเล่า ผมเมาหนักถึงขนาดที่พี่มันแบกมานอนที่คอนโดด้วยแบบนี้

ขณะที่นั่งคิดไปสาระตะนั่นประตูห้องนอนก็เปิดเข้ามาพร้อมกับเจ้าของห้อง

“ตื่นแล้วเหรอเรา”

ใบหน้าพี่เซียนมีหยดน้ำเกาะอยู่ประปราย เดาว่าพี่มันคงตื่นมาออกกำลังเหมือนที่ทำเป็นประจำ

“ครับ”

“ทำไมทำหน้าแบบนั้น”

ผมยิ้มแหยไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย

“ไม่สบายหรือเปล่า”

“...”

“หรือแฮงค์”

ผมส่ายหน้าหวือรีบซุกเข้าไปผ้าห่มทำเนียนว่าจะนอนต่อ แต่ไม่ทันได้ล้มตัวลงนอนพี่เซียนก็คว้าไหล่ผมเอาไว้ซะก่อน

“แปลกๆ นะเรา”

“ฮือ อย่าดึง”

ผมยื้อผ้าห่มเอาไว้เมื่อพี่มันออกแรงดึง

“ทำไมหน้าแดง หูแดงขนาดนั้น หือ เราไม่สบายหรือเปล่า”

พี่เซียนหงายฝ่ามือแตะมาที่หน้าผากผมเพื่อวัดอุณหภูมิ

“ผมสบายดี”

“แล้วเป็นอะไร”

คราวนี้เสียงไลน์ดังขึ้นมาอีกครั้ง พี่เซียนหรี่ตามองมือถือผมก่อนจะอาศัยความไวคว้าไปดู เห็นเจ้าของใบหน้าคมคายยิ้มกว้างๆ แล้วผมทำตัวไม่ถูกแทบจะมุดลงไปใต้ผ้าห่มอีกครั้ง แต่พี่เซียนดันรู้ทันกระชากผ้าห่มนั่นออกแล้ว กระตุกให้ผมไปทรุดตัวนั่งลงที่ตักอีกฝ่าย

“ฮือ พี่เซียน”

พี่เซียนแม่งเปิดคลิปนั่นอีกครั้ง

‘ขอหอมทีดิ’

‘ได้ๆ’

‘จะเอาแก้มซ้ายหรือแก้มขวา’


เหี้ยมาก

ในคลิปผมทำแก้มป่องยื่นแก้มให้พี่มันท่าทางโคตรเต็มใจ โอ้ย

ฟอด

“อ๊ะ”

ผมสะดุ้งตอนที่พี่เซียนที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลังกดจูบแก้ม

“เอาแก้มซ้าย”

พี่มันพูดยิ้มๆ เหมือนทำล้อเลียนตามคลิป เพราะในคลิปพี่เซียนแค่หัวเราะ ขณะที่ตอนนี้พี่มันตอบคำถามในคลิปด้วยการหอมแก้มผม พอผมเบี่ยงคอหนีพี่มันก็แกล้งดมๆ ตรงซอกคอราวกับจะแกล้งจนผมหลุดหัวเราะออกมา จังหวะนั้นผมเหลือบไปเห็นกรอบรูปที่เป็นประเด็นตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งของโต๊ะหนังสือพี่มัน

ภาพอาจารย์มัสลินและพี่เซียนกับพี่เดี่ยว

พี่เซียนคงพอเดาได้ว่าทำไมผมถึงเงียบไป คนข้างหลังจึงกอดกระชับเอวผมให้แน่นขึ้น

“คุยกันหน่อยมั้ย”

ผมพยักหน้าหงึกหงักแล้วเอี้ยวตัวไปทางพี่มัน

“ครอบครัวกูทำธุรกิจมาตั้งแต่รุ่นปู่ พ่อกูเป็นลูกชายคนเดียวเลยต้องสืบทอดกิจการอย่างช่วยไม่ได้ ใครๆ ก็บอกว่าพ่อกูเย็นชาจนวันนึงเขาประสบอุบัติเหตุแล้วไปเจอพยาบาลที่กล้าต่อกรกับความดื้อด้านของเขา”

“...”

“แม่กูเคยนินทาว่าบุคลิกอย่างพ่อไม่เข้าตาพยาบาลขาโหดประจำวอร์ดศัลยกรรมหรอก แต่นั่นแหละโชคชะตาเป็นเรื่องที่คาดเดายาก ตั้งแต่เล็กจนโตพ่อเลี้ยงพวกกูอย่างเข้มงวดมาก ขณะที่แม่โคตรให้อิสระพวกกูเลย พ่ออยากให้พวกเราเรียนบริหารเพื่อมาสืบทอดกิจการ แต่กูดื้อด้านกว่าใคร ตอนเด็กๆ เคยแอบขโมยมอ’ไซค์พี่เลี้ยงไปขับเล่นรอบหมู่บ้านจนรถล้มถลอกปอกเปิก แต่มึงรู้มั้ยว่าถึงจะเจ็บแต่กูดันชอบมันซะอย่างนั้น”

ผมตั้งใจฟัง

“กูพยายามงัดข้อกับพ่อมาตลอด เรื่องจะไม่ยอมเรียนบริหาร”

“...”

“ไหม...กูหมายถึงอาจารย์มัสลินเป็นลูกพี่ลูกน้องไอ้เดี่ยว เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ สำหรับกู ไหมคือผู้หญิงเก่ง กูชอบเสื้อช๊อปของไหมเวลาที่เขาใส่มาสอนพิเศษพวกกู กูคิดแบบเด็กๆ ว่ามันเท่ดี”

ผมเม้มปากแน่นตอนที่เหลือบตามองภาพในกรอบรูปนั่น แต่เพราะแรงบีบที่มือเบาๆ ของพี่เซียนทำให้ความรู้สึกเหล่านั้นบางเบาลงจนหายไปในที่สุด

“พ่อก็พยายามถามตลอดว่ากูจะเรียนวิศวะฯไปเพื่ออะไร” 

พี่เซียนพูดยิ้มๆ 

“ไหมได้ปลดล็อกคำถามนั้นให้กูในวันนั้น”

“...”

“ทุกคนเคยมีช่วงเวลาดีๆ กับใครสักคนในช่วงเวลาหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป หากนั่นไม่ใช่ความรู้สึกที่แท้จริง สักวันหนึ่งเมื่อมองกลับไป เราจะรู้เองว่ามันคือความรู้สึกในวันวานก็เท่านั้น”

“...”

“เวลามันผ่านไปแล้ว ความรู้สึกก็ผ่านเลยเช่นนั้น ผ่านไปแล้วไม่หวนคืน”

ผมบีบมือพี่เซียน

“สถานะของไหมคืออาจารย์กูในปัจจุบันและเขาเป็นพี่สาว เป็นครูคนแรกที่กูรู้สึกขอบคุณทุกครั้งที่กูได้จับเครื่องยนต์”

คำตอบของพี่มันทำให้ผมเผลอยิ้มออกมา

คำตอบที่ปลดล็อกความรู้สึกมึนๆ ตึงๆ ในอกให้บางเบาอย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งตอนที่พี่เซียนคว่ำภาพใบนั้นไปกับโต๊ะ

“ถ้ามึงไม่อยากเห็น กูอนุญาตให้มึงทำอะไรกับภาพใบนี้ก็ได้”

ผมส่ายหัวก่อนจะเลื่อนมือไปเก็บภาพในใส่ลิ้นชักแล้วปิดล็อกด้วยกุญแจที่เสียบคาเอาไว้

ปิดล็อกก็เหมือนปิดตาย

ผมเหลือบตามองโมเดลจำลองมอ’ไซค์อันจิ๋วที่ตั้งอยู่ในตู้โชว์แล้วนึกถึงประโยคหนึ่งที่พี่เดี่ยวบอกผมเอาไว้

“มีคนบอกว่าพี่รักมอ’ไซค์มากจนใครๆ ก็แซวว่าพี่คงรักมอ’ไซค์มากกว่าเมียแน่ๆ”

ผมพูดขำๆ ก่อนจะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงทุ้มที่กระซิบหู

“อยากรู้มั้ยล่ะ”

“ระ รู้อะไรเล่า”

“มาเป็นเมียกูสิ”

ผมอ้าปากพะงาบๆ

“จะได้รู้ว่ากูจะรักเมียหรือมอ’ไซค์มากกว่ากัน”

แม่งเอ้ยกลั้นยิ้มจนปวดแก้มเลยครับ

ไอ้พี่เซียนแม่ง

ไอ้ตัวร้าย

ยักษ์ทศกัณฑ์ตัวร้าย...ที่ผมดันรักไปเต็มๆ


- J E E B -

หวีดในทวิตติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้เราด้วยน้า
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่21 l 15/6/63 l P.8 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: kenghan ที่ 15-06-2020 23:14:36
พี่เซียนเป็นไอ้ตัวร้าย ที่รักเปียวและเปียวรัก
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่21 l 15/6/63 l P.8 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 15-06-2020 23:15:19
หวาย! เหม็นฟามรัก   :o8:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่21 l 15/6/63 l P.8 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: mysun ที่ 16-06-2020 05:54:51
เขินไม่ไหวววว หยอดตัลหลอดดดดด
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่21 l 15/6/63 l P.8 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 16-06-2020 07:52:22
 :hao3:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่21 l 15/6/63 l P.8 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 17-06-2020 18:17:01
มดมาเต็มเลย
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่21 l 15/6/63 l P.8 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: Plakhem ที่ 17-06-2020 23:49:49
 :katai2-1: ก็ยังคิดว่าจะมีดราม่า มาอีกนั่นแหล่ะ เพราะรักแรกมันลืมยากน้อออออ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่21 l 15/6/63 l P.8 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 20-06-2020 18:55:27
พี่เซียนนนนนนนนนน มันร้าย
เปียวเอาไงดี  ลองไหมจ๊ะ  เมียพี่เซียน :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่21 l 15/6/63 l P.8 [UP]
เริ่มหัวข้อโดย: manami_01 ที่ 21-06-2020 10:06:24
เห็นะเซียนเงียบ ๆ แต่ร้ายไม่เบาเลยนะ :hao7:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่22 l 15/6/63 l P.8 [50%]
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 22-06-2020 22:04:30
- จีบที่22 -

 

[อ๋อง]

 

“อ๋องทางนี้”

เสียงเรียกชื่อผมดังมาจากอีกฝั่งหนึ่งในร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่ง พี่โชคเดินตรงมาคว้าแขนผมแล้วฉุดเข้าไปด้านใน วันนี้วันเกิดพี่โชคครับ ซึ่งเจ้าของวันเกิดเองก็ใจป้ำถึงขนาดที่ว่าปิดโซนหนึ่งของร้านอาหารแห่งนี้เพื่อฉลองวันเกิดเท่านั้นไม่พอพี่แกยังใจดีชวนพนักงานที่ร้านมาร่วมงานด้วย ตอนที่ผมไปถึงผมเห็นกลุ่มเพื่อนพนักงานมากันพร้อมหน้าแล้วนั่งรวมกันอยู่ที่โต๊ะหนึ่ง มองไปรอบๆ นอกจากเพื่อนร่วมงานคุ้นหน้าแล้วผมเห็นกลุ่มคนจำนวนอีกราวยี่สิบกว่าที่คะเนจากสายตาเดาว่าคงเป็นคนสนิทหรือไม่ก็บรรดาเพื่อนฝูงพี่แกทั้งนั้น 

แต่เดาจากอายุของแขกในงานน่าจะรุ่นๆ พี่โชค ไม่มีพวกผู้ใหญ่สักเท่าไหร่คงเพราะมื้อกลางวันพี่โชคแกไปกินข้าวกับครอบครัวมาแล้ว ที่รู้เพราะผมเห็นหน้าเฟซบุ๊คพี่โชคที่ลงรูปกินข้าวกับครอบครัว แน่นอนว่าในรูปนั่นมีภาพพี่ดลที่ถูกแท็คกับเขาด้วย

ผมพอจะทราบมาว่าครอบครัวทางฝั่งบิดาพี่ดลซึ่งเป็นญาติกับพี่โชคค่อนข้างมีฐานะเรียกว่าเศรษฐีได้อย่างเต็มปากด้วยซ้ำเห็นว่าบรรพบุรุษของทั้งคู่เป็นคนจีนที่มาก่อร่างสร้างตัวในไทยแล้วก่อตั้งกิจการโรงงานทำเครื่องประดับจนกระทั่งยิ่งใหญ่อย่างทุกวันนี้ เป็นตัวอย่างครอบครัวคนจีนที่มักผูกพันธ์กันเป็นระบบเครือญาติให้ลูกๆ หลานๆ มาช่วยกันบริหารกิจการ เวลามีวันสำคัญอะไรก็มักจะนัดรวมตัวกันทำกิจกรรม ทานข้าวและพบปะสังสรรค์เวลาถ่ายภาพลงโซเชียลแต่ละทีจึงเห็นจำนวนคนไม่น้อยในภาพนั้นๆ

ครอบครัวของพี่โชคและพี่ดลเป็นครอบครัวใหญ่ ถึงแม้ลูกหลานจะแยกบ้านกันไปอยู่ส่วนตัวแล้ว แต่พอนัดรวมตัวกันถึงดูเยอะจริงๆ เหมือนภาพที่พี่โชคลงไปตอนกลางวันที่ผ่านมา

“นึกว่าจะไม่มางานพี่ซะอีก”

“พอดีช่วงนี้ตอนเลิกเรียนต้องไปช่วยรุ่นพี่สวัสดิ์ที่คณะส่งข้าวครับ วันนี้เลยมาช้า”่”

พี่โชคโบกมือไหวๆ เป็นเชิงปฏิเสธ

“ไม่เป็นไร มาก็ดีแล้ว วันนี้พี่สั่งให้ที่ร้านทำไก่ทอดด้วยนะ”

พี่แกขยิบตาให้ผมหนึ่งที เล่นเอาผมทำหน้าไม่ถูกเพราะพูดถึงประเด็นไก่ทอดนั่นทำให้รู้สึกหน้าร้อนวูบวาบเมื่อนึกถึงเมนูนี้

“ตามสบายเลยนะอ๋อง”

เจ้าของวันเกิดคงเห็นใจที่ผมทำหน้าไม่ถูกจึงปล่อยประเด็นนี้ไป

“ครับ”

ระหว่างนั้นผมเลยแวะไปทักทายเพื่อนร่วมงานที่ก่อนจะผละออกมาเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาแล้วจัดเสื้อผ้าและทรงผมที่ไม่เป็นทรงสักเท่าไหร่เพราะวันนี้ผมขับมอ’ไซค์มา และที่ผมลู่ลงขนาดนี้เพราะสวมหมวกกันน็อคเป็นเวลานานเนื่องจากฝ่ารถติดจากแถวมหาวิทยาลัย ช่วงเย็นๆ มหาลัยผมรถค่อนข้างติดเนื่องจากเป็นมหาลัยใจกลางเมืองอยู่ใกล้ห้างสรรพิสินค้าและสถาบันกวดวิชามากมาย กว่าจะฝ่าจราจรที่คับคั่งในช่วงเย็นมาถึงร้านอาหารนี้ได้ก็กินเวลาไปเกือบชั่วโมง

หลังจากทำธุระส่วนตัวธุระสำรวจร่างกายตัวเองว่าพอไปวัดไปวาได้แล้วผมจึงเดินออกมาออกมา ใกล้ๆ ห้องน้ำนั่นเป็นพื้นที่โอเพ่นโซนสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการนั่งดื่มกินในพื้นที่เปิดโล่งที่ค่อนข้างระบายอากาศได้ดี ตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้วจึงเห็นแสงไฟโทนสีเย็นที่ให้ความรู้สึกสลัวๆ เข้ากับบรรยากาศยามค่ำคืน ตอนนี้บริเวณโต๊ะที่นั่งเริ่มมีนักท่องเที่ยวจับจ้องกันพอสมควรแล้ว

มุมหนึ่งในแสงสลัวนั่นผมมองเห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติและหากผมจำไม่ผิดฝ่ายชายนั่นคือพี่ดลแน่นอน ขนาดมองเห็นเพียงแผ่นหลังผมยังจำได้หัวไหล่กว้างกับส่วนสูงที่สะดุดตานั่นได้ แต่ผู้หญิงที่นั่งข้างๆ กันนั่นค่อนข้างสวยสะดุดตาทีเดียว ขนาดมองเสี้ยวหน้าด้านข้างผมยังสัมผัสได้ว่าเธอคงเป็นเจ้าของใบหน้างดงามจริงๆ

คงจะสนิทกันน่าดู

ผมยืนมองภาพนั้นแล้วยักไหล่ก่อนจะเดินไปยังซุ้มอาหารมากมายโซนด้านในร้านที่เป็นส่วนตัวมากขึ้นเพราะถูกกันเป็นพื้นที่สำหรับงานวันเกิด ตอนที่กำลังเข้ายืนเล็งข้าวผัดเนยหอมฉุยนั่นผมได้ยินบทสนทนาของใครสักคนพูดขึ้น

“ถ่านไฟเก่าคุกรุ่นงั้นหรือ”

“พูดอะไรอย่างนั้น”

พี่โชคหันไปส่ายหัวให้คู่สนทนา

“เอ้า ก็ดลกับน้องวิวเคยหมั้นมาก่อนไม่ใช่เหรอ”

“โอ้ย เรื่องตั้งแต่สมัยไหนแล้ว”

ไม่อยากจะเสียมารยาทยืนแอบฟังหรอกแต่ชื่อของพี่ดลที่อยู่ในหัวข้อสนทนาทำให้อดเสียมารยาทฟัไม่ได้

“คู่นี้ก็เหมาะกันดีนะ”

มือที่จับทัพพีตักข้าวผัดในอ่างอาหารสแตนเลสรู้สึกเกร็งขึ้นมาทันที 

“ไม่น่าเลิกกันเลย”

“...”

“ฐานะสมกันจะตาย ตอนที่เลิกกันพวกผู้ใหญ่ไม่เสียดายเหรอ”

“เสียดายแล้วไง”

พี่โชคยักไหล่

“จะรักกันหรือเลิกกันเป็นเรื่องของสองคน ญาติพี่น้องเกี่ยวอะไรด้วย”

เจ้านายผมทำหน้าเบื่อหน่าย

“คิดถึงเมื่อก่อนคู่นี้คบกันแล้วน่ารักจะตาย”

สายตาของคู่สนทนาพี่โชคมองไปยังพี่ดลและผู้หญิงคนนั้น

อยู่ๆ ก็หายใจไม่ออก

ไม่รู้สึกสิ 

ทำไมความรู้สึกนี้ถึงผุดขึ้นมาก็ไม่รู้

น่าแปลกที่ผมรู้สึกใจหายไม่น้อยเมื่อรู้ว่าพี่ดลมีอดีตคนรักที่สวยน่ารักและเหมาะสมกับพี่มันขนาดนั้น

ใช่เหมาะสม

ขนาดว่ามองจากที่ไกลๆ ตรงนี้ผมยังรู้สึกว่าสองคนนั้นเหมาะกันจริงๆ

ผู้ชายสุภาพกับผู้หญิงอ่อนโยน

นั่นสินะ ผมลืมไปได้ยังไว่าผู้ชายสมควรคู่กับผู้หญิงตามความสัมพันธ์ที่เป็นปกติในสังคม

‘มันไม่ใช่ความห่วงใยในฐานะแค่พี่น้อง ส่วนฐานะอะไร พี่กำลังหาคำตอบให้ตัวเองอยู่’

แวบหนึ่งคำพูดของใครสักคนที่เคยพูดกับผมไว้ก็ดังขึ้นมาในหัว

ไม่รู้ว่าคนพูดจะรู้มั้ยว่าคนฟังหัวใจสั่นไหวและนอนไม่หลับไปหลายคืน

หลายคืนที่นึกถึงภาพใบหน้าคนพูด 

หลายคืนที่ระลึกถึงความห่วงใยที่ฝ่ายนั้นมีให้

แต่คืนนี้ผมคงจะต้องบอกใจให้หยุดคิดได้แล้ว

“ไม่น่าเลิกกันเลย”

ผมแค่นยิ้มก่อนจะหันไปสนใจข้าวเนยตรงหน้า จังหวะนั้นพี่โชคหันมาทางนี้พอดี พี่แกทำหน้าตกใจหน้าตื่นเมื่อเห็นผม

“อ๋องมายืนตรงนี้นานรึไง”

“ก็พักนึงแล้วครับ”

ผมตอบยิ้มๆ แล้วตักข้าวผัดเนยใส่จาน 

“ได้ยินหมดเลยใช่มั้ย”

ผมพยักหน้าหงึกหงักแล้วมองไปทั่วเหมือนหาอะไรสักอย่าง

“ไก่ทอดอยู่ตรงไหนครับพี่โชค”

คนตรงหน้าถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะคว้ามือผมให้ออกเดินมาท่ามกลางสีหน้าสงสัยของคู่สนทนาพี่แกที่อยู่ๆ พี่โชคผละออกมากับผมเฉยเลย

“อย่าคิดมากนะ”

“ครับ?”

ผมทำหน้างง

“ดลน่ะเลิกกับน้องวิวนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนบวชเมื่อหลายปีก่อนด้วยซ้ำ”

สีหน้าพี่โชคดูกังวลใจไม่น้อยจนผมต้องขยับรอยยิ้ม

“มันจริงนะพี่”

“เรื่องอะไร”

“คู่นั้นเค้าเหมาะสมกันจริงๆ”

ผมพยักพเยิดไปยังสองคนนั้น

“อดีตก็คืออดีตนะอ๋อง”

“ไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบัน ผมว่าพี่ดลเหมาะกับสิ่งที่เคยเป็นมาก่อนจริงๆ”

“...”

“ผู้หญิงกับผู้ชายยังไงก็คู่กันเสมอ”

พี่โชคยิ้มเครียด

“คนสุดท้ายที่พูดแบบนี้ต่อหน้าพี่ รู้มั้ยว่าเป็นใคร”

ผมส่ายหัว

“ญาติพี่เอง พอมันพูดจบพี่ก็ซัดมันปากแตกเลย”

คราวนี้ผมตาโตรีบผวากุมปากตัวเองจนอีกฝ่ายหัวเราะร่วน

“มันโพล่งขึ้นตอนที่พี่สารภาพกับครอบครัวว่าพี่เป็นอะไรในเกิดคุณปู่”

พี่แกยักคิ้วให้ผมทีนึง

“เฮ้ย”

“บอกตรงๆ ว่าพี่รำคาญญาติที่ชอบถามว่าเมื่อไหร่จะมีแฟน เมื่อไหร่จะแต่งงาน เมื่อไหร่จะมีลูก คำถามไม่สร้างสรรค์มักเกิดขึ้นเสมอในวันรวมญาติ”

ผมยิ้มขำกับท่าทางไม่สบอารมณ์ของอีก

“พี่เลยบอกตรงๆ กลางวงนั่นแหละว่าชอบผู้ชาย”

“แล้วเป็นยังไงครับ”

“เงียบกันทั้งโต๊ะเลยสิ”

ผมยิ้มแหยเพราะนึกภาพออก

“แล้วไอ้หมอนั่นก็โพล่งขึ้นว่าน่ารังเกียจ ผู้ชายควรคู่กับผู้หญิง ญาติคนอื่นก็ดันเห็นด้วยเลยซัดหน้าแม่งไปทีนึง ยกเว้นคนนึงที่นั่งเงียบตลอด” พี่โชคยักไหล่

“ใครครับ”

“ปู่พี่เอง ปู่พี่มองหน้าพี่เงียบๆ แล้วถามว่าจริงมั้ย แน่นอนว่าพี่ตอบว่าจริง แค่นั้นปู่ก็บอกให้ทุกคนกินข้าวต่อ”

“จริงเหรอพี่”

“อืม”

พี่โชคยิ้มน้อยๆ

“ตั้งแต่นั้นมาไม่มีใครถามเรื่องนี้กับพี่อีกเลย พี่มารู้ทีหลังว่าปู่บอกกับทุกคนว่า พี่จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ยังไงก็เป็นหลานปู่เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไงปู่พี่เท่มั้ย”

ผมยกนิ้วโป้งเลย

“ตั้งแต่นั้นมาพี่เลยตั้งใจทำงานและทำในส่งที่รักให้ดีที่สุดเพื่อเป็นการตอบแทนความเข้าใจของเค้า แต่อ๋องอย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะว่าเพราะเพศสภาพของพี่ที่เป็นแบบนี้หรือเปล่าถึงต้องทำอะไรมากกว่าคนปกติทั่วไป ต้องประสบความสำเร็จ ต้องดูแลตัวเองให้ได้ เอาง่ายๆ คือต้องได้ดี”

ผมพยักหน้าหงึกหงัก

“พี่อาจโชคดีกว่าคนอื่นหน่อยที่ครอบครัวเข้าใจ เพราะจริงๆ แล้วพี่ยังล้มเหลวกับหลายอย่างๆ เลยนะ เรียนก็ธรรมดา ตอนที่มาทำร้านกาแฟแรกๆ ก็ขาดทุนยับ ในวันที่พี่ไม่มีอะไรดี ครอบครัวพี่แค่อยู่ข้างๆ ให้กำลังใจ ปู่พี่เคยพูดว่าคนเราทุกคนเคยผ่านช่วงเวลาที่ล้มเหลวกันทั้งนั้นไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ฉะนั้นเราจึงไม่จำเป็นเลยที่ต้องพิสูจน์อะไรให้ใครสักคนยอมรับตัวตนของเรา นั่นมันเรื่องไร้สาระ”

“...”

“แค่เราทำทุกอย่างเต็มที่และคิดว่ามันดีที่สุดในความรู้สึกเราแล้วก็พอ ถ้ามันจะล้มเหลวก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่าเออมันไม่สำเร็จ หายเหนื่อยวันไหนก็ลุกขึ้นใหม่ อ่อ ถึงบ้านพี่จะมีฐานะ แต่พี่ก็สร้างทุกอย่างด้วยตัวเองไม่ได้ใช้เงินของที่บ้าน และไม่ใช่เพื่อให้ญาติพี่น้องยอมรับในสิ่งที่พี่เป็น พี่ทำเพราะพี่รักที่จะทำร้านกาแฟ ในวันที่เกือบหมดตัวคนพวกนั้นไม่ได้ให้ข้าวพี่กิน ฉะนั้นอย่าไปให้ค่า”

“...”

“อย่าเอาชนะคำพูดคนอื่นหรืออยากทำเพราะอยากได้รับการยอมรับเลย ถ้าเราต้องยึดติดกับปัจจัยภายนอก เราจะไม่มีวันชนะใจตัวเองเลยเพราะอะไรรู้มั้ย”

ผมส่ายหน้าหวือ

“เพราะจะมีคนอีกมากมายผ่านเข้ามาในชีวิต ให้เราต้องพิสูจน์ตัวเองอยู่ไม่จบไม่สิ้นหรอก””

ผมนิ่งคิดตามพี่มัน

“ดลน่ะเป็นหลานรักของปู่ ถึงตอนเด็กๆ จะโคตรเกเรไปหน่อย”

ผมทำหน้าสนใจเพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน

“ทั้งๆ ที่รู้ปู่คาดหวัง แต่เจ้านั่นน่ะแหกกฎเกณฑ์สารพัด มันบอกว่าชีวิตเป็นของมัน มันพอใจจะทำทุกอย่างที่มันอยากทำ ถ้าหากนั่นไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน”

ไม่น่าเชื่อว่าพี่ดลจะหัวแข็งได้ขนาดนั้น

“ตอนเลิกกับน้องวิวใหม่ๆ ญาติๆ ก็บอกว่าเสียดาย อยากให้เป็นทองแผ่นเดียวกัน ก็ตามทำนองเรือล่มในหนองล่ะมั้ง รู้มั้ยมันพูดว่าอะไร”

ผมนิ่งฟัง

“ดลบอกว่า มันจะรักใครหรือเลิกกับใครคือเรื่องส่วนตัว  ไม่ได้มีผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทเลย ฉะนั้นอย่าได้เดือดร้อนกับเรื่องส่วนตัวของมัน”

เชี่ย โคตรร้าย

เห็นเงียบๆ ดูสุภาพนึกไม่ถึงเลยว่าจะชัดเจนขนาดนี้ ผมมองไปที่พี่ดลและอดีตคนรักที่มุมนั้นอีกครั้ง

“แต่ถ้าคบกันถึงทุกวันนี้ คงเป็นคูู่ที่น่าอิจฉา”

ผมพึมพำ

“เสียใจด้วยนะ”

พี่โชคพูดยิ้มๆ

“เพราะปัจจุบัน ดลมันอะไรๆ กับเด็กแถวนี้อยู่”

ผมส่ายหัวกับรอยยิ้มแซวตรงหน้า

“เอาดึงพี่ดลให้มาสับสนกับความรู้สึกแบบนี้เลยพี่”

ผมถอนหายใจ

“ความรักของเพศเดียวกัน หนทางมันไม่สดใสนักหรอก ”

ถึงแม้คุณปู่และครอบครัวพี่โชคจะยอมรับได้ แต่สำหรับพี่ดลผมไม่แน่ใจเลย ให้ตายเถอะ 

“แล้วไง”

พี่โชคมองหน้าผมตรงๆ

“ความรักมีเพศด้วยเหรอ”

ผมอึ้งไป

คำพูดของพี่โชคทำให้นิ่งไป เพราะผมไม่มีคำตอบให้กับคำถามนั้นจริงๆ



.


.


สมองตื้อไปหมด

สงสัยว่าร่างกายจะทำงานรวนไปหมดเพราะเจ้าของมันยังนั่งซึมอยู่ที่มุมหนึ่งของร้านอาหาร หลังจากที่เจ้าของวันเกิดขึ้นไปจับไมค์ร้องเพลงท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนสนิท นั่นจึงทำให้ผมได้โอกาสแวบออกมานั่งสูดอากาศที่ไม่ค่อยบริสุทธิ์เท่าไหร่ตรงสวนหย่อมเล็กๆ ใกล้ลานจอดรถหน้าร้านอาหาร

แว่วเสียงได้ยินเสียงพี่โชคและเพื่อนกำลังแย่งไมค์ร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน จนไม่ทันสังเกตว่ามีเสียงฝีเท้าหนักๆ ขยับมาใกล้ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ม้านั่งตัวเดียวกัน

“เอะ”

ผมสะดุ้งโหยงก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อหันไปเห็นพี่ดล วันนี้ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกง สแล็คน้ำเงินเป็นการแต่งกายที่ดูสุภาพเหมือนที่เคยเห็นจนชินตา

“ถ้าวันไหนพี่ใส่เสื้อยืดกับกางเกงยีนขาดๆ วันนั้นฝนคงตกหนัก”

ฝ่ายนั้นยิ้มน้อยๆ เมื่อผมเอ่ยแซวการแต่งกาย

“อยู่บ้านก็ใส่แบบนั้น”

ผมทำหน้าไม่เชื่อเพราะจำได้ว่าตอนที่ค้างคอนโดพี่มัน อีกฝ่ายยังใส่ชุดนอนที่เข้าชุดกัน ไม่ใช่เสื้อยืดกางเกงบอลแบบผมเลย

“เชื่อยาก”

“เชื่อเถอะ”

พี่ดลมองผมตรงๆ ชักไม่ดีแล้ว เมื่อสบสายตากับพี่มันแบบนี้ ผมจึงเบือนหน้าหนีไปอีกทาง

“ทำไมออกมาข้างนอกล่ะ”

“ออกมานั่งเล่นเฉยๆ ครับ”

“เมาหรือเปล่า”

ผมส่ายหัว

“ไม่ได้กินเลยสักแก้ว”

“ดีแล้ววันนี้ขับมอ’ไซค์มาไม่ใช่เหรอ”

ผมเม้มปากแน่นเพราะคำตอบของพี่มันแสดงว่าคงสังเกตเห็นรถผมที่จอดอยู่

น่าหวั่นใจกับความช่างสังเกตนี้

“เห็นด้วยหรือครับ”

“เห็นตั้งแต่เข้ามาในร้านแล้ว แต่ติดคุยกับเพื่อนอยู่”

เพื่อน?

เพื่อนที่ว่าคงเป็นอดีตคนรักสินะ

“ไม่ใช่แฟนเก่าหรือครับ”

หลุดปากพูดอะไรออกไปวะเนี่ย ผมกุมขมับตัวเอง

“รู้ด้วยเหรอ”

พยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้

“เห็นคุยกับพี่โชคอยู่ตั้งนาน อย่าบอกนะว่าคุยเรื่องนี้กัน”

“พี่โชคบอกว่าเมื่อก่อนพี่เกเร”

ผมพยายามพูดเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น

“พี่เป็นแฟนกับวิวช่วงม.ห้า”

ผมเม้มปากแน่น ไม่ได้อยากรู้ด้วยซ้ำ

“ตอนนั้นก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไปนั่นแหละ มีต่อยตีและทำอะไรไม่ค่อยดีนัก”

“พี่เนี่ยนะเคยต่อยตีกับเค้าด้วย”

ผมทำหน้าไม่ค่อยเชื่อ

“มิน่า”

นึกถึงภาพี่วันนั้นพี่มันต่อกรกับไอ้พวกที่ลอบทำร้ายผม ถึงว่าพี่มันดูมีทักษะต่อยตีเก่งไม่น้อย ไม่คิดจริงๆ ว่าก่อนหน้านี้จะเลือดร้อนเหมือนกัน

“เคยโดนจับมาแล้ว”

“เรื่องจริง?”

“จริง”

พี่มันยิ้มมุมปาก

“ตอนนั้นคุณปู่ส่งทนายไปประกันตัวแทบทุกอาทิตย์เลยล่ะ”

“ไม่อยากจะเชื่อ”

“ตอนนั้นทั้งติดเพื่อน และอยากอวด อยากโชว์ว่าตัวเองเก่ง เท่ เหนือคนอื่น สิ้นคิดมั้ยล่ะ”

“ถ้าไม่ได้ยินจากปากพี่ ผมไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำ แม่ผมชอบเล่าให้ฟังตลอดว่าพี่น่ะเป็นลูกที่ดีของคุณป้าขนาดไหน”

“ทุกคนก็มีมุมที่ไม่น่ารู้จักกันทั้งนั้น”

“...”

“วันนั้นต่อยตีกันจนได้เลือด ฝ่ายนั้นเจ็บหนักเกือบไม่รอด แม่พี่ไม่พูดสักคำ แต่น้ำตาเขาทำให้พี่ละอายใจ ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ยอมหลับยอมนอนนั่งรอลูกกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ทุกวัน คิดถึงตอนนั้นแล้วรู้สึกละอายใจกับสิ่งที่ทำในอดีตไม่ได้”

ผมหันมามองพี่มัน

“ตอนรอผลสอบเข้ามหาลัยก็เลยไปบวช”

“...”

“ตอนนั้นก็เลิกกับวิวแล้ว พี่อยากให้เค้าเจอคนที่ดีกว่า  ก็ตอนนั้นพี่มันเกเรจริงๆ”

“แต่ตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้น”

“ทำไม”

พี่ดลเลิกคิ้วมองผม

“เราพูดเหมือนอยากให้พี่กลับไปคบกัน”

ผมเบือนหนีทันที

“นั่นมันเรื่องของพี่แล้วครับ”

“คำตอบของเราทำให้พี่รู้สึกโหวงๆ”

“พี่ดล”

“นึกว่าเราคิดเหมือนกันซะอีก”

“คิดอะไร”

ผมทำหน้าตื่น ยิ่งทำอะไรไม่ถูกเมื่อฝ่ายนั้นเลื่อนฝ่ามือมากุมข้อมือผมเอาไว้

“ทำอะไรวะ”

“พูดไม่เพราะ”

“ไอ้พี่ดล”

จับมือไม่พอยังบีบเบาๆ อีกต่างหาก

“ปล่อยมือผมนะเว้ย”

“พี่เคยบอกอ๋อง ว่าพี่กำลังหาคำตอบให้ตัวเองอยู่”

“...”

“ตอนนี้พี่ได้คำตอบแล้วนะ”

“อย่าพูด”

ผมสะบัดมือตัวเองอออกจากการเกาะกุมแล้วเลื่อนมาปิดหูทั้งสองข้างของตัวเอง 

ยอมรับว่ากลัว...กลัวคำตอบ

“ความรักไม่น่ากลัวหรอกอ๋อง”

“...”

“อย่ากลัวเลย”

พี่ดลลูบศีรษะผมเบาๆ 

สัมผัสอ่อนโยนนั่นมีผลต่อหัวใจผมจริงๆ

“ผมกลัวเจ็บ”

ผมส่ายหน้าไปมา

“แค่คนในครอบครัวหันหลังให้ มันก็เจ็บเกินพอแล้ว ถ้าหากผมต้องเจ็บอีกครั้ง ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองจะรับไหว”

“อย่ากลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เปิดใจและยอมรับมันเถอะ”

เสียงพี่ดลโคตรอ่อนโยน

“พี่ชอบเราเกินกว่าพี่น้อง พี่ยอมรับความรู้สึกตัวเองแล้ว”

ผมเม้มปากแน่นใจเต้นรุนแรงเหมือนจะทะลุออกมาจากอก ยิ่งสบสายตากับแววตาจริงจังที่อีกฝ่ายทอดมองกันอยู่

“อยู่ใต้ท้องฟ้าอย่ากลัวสายฝน ถ้าฝนมันตกลงมาก็หาร่มมากางไม่ให้ตัวเปียก หรือถ้าไม่มีร่ม ให้เรียนรู้ที่จะเดินท่ามกลางสายฝนให้เป็น”

พี่ดลยิ้มมุมปากให้

“ฝนฟ้าจะตกห้ามไม่ได้ ความรู้สึกเหมือนกัน เกิดขึ้นแล้วห้ามได้เหรอ”

ผมถอนหายใจแรงๆ

“โคตรแพ้”

ผมพูดเสียงแผ่ว

“พี่แม่ง”

“ว่าไง”

“...”

“ว่าไงอะไร”

“ความรู้สึกของเรา”

ห้ามยากจริงๆ

ห้ามไม่ไหวแล้ว

“อย่าให้ผมเปียกฝน”

พี่ดลยิ้มน้อยๆ ตอนที่บีบมือผมให้แน่นขึ้น

“จนหนาวตายนะ”

ผมพูดเสียงแผ่ว

“ยิ้มเยอะเกินไปแล้ว”

“ถ้าเขินให้บีบมือพี่”

ผมทำหน้าไม่ถูกยิ่งตอนที่พี่มันหัวเราะน้อยๆ แบบนี้ ผมทนไม่ไหวเลยเบือนหน้าหนีไปทางอื่นแล้วลอบยิ้ม ขณะที่มือบีบมืออีกฝ่ายเบาๆ

ความรักไม่มีเพศหรอก

นอกจากไม่มีเพศแล้วยังไม่เลือกฐานะ เชื้อชาติ หรือความแตกต่างของสังคมอีกต่างหาก

นี่แหละถึงเรียกว่าความรัก






50%

_______________________________

เอาไปครึงนึงก่อนน้า ใกล้โค้งสุดท้ายแล้ว
หวีดในทวิตติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยน้า




หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่22 l 22/6/63 l P.8 [50%]
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 22-06-2020 22:29:12
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่22 l 22/6/63 l P.8 [50%]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 24-06-2020 07:44:00
ถึงอดีตพี่ดลจะเกเรแค่ไหน แต่ปัจจุบันอบอุ่นมากจ้า.  :o8:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่22 l 22/6/63 l P.8 [50%]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 26-06-2020 19:25:00
 :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่22 l 29/6/63 l P.8 [100%]
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 29-06-2020 20:14:52
 

(ต่อ)

 

หน้าพี่เซียนโคตรเครียด

ใบหน้าคมคายขมวดมุ่นหลังจากเห็นสีหน้าซีดเซียวของน้องสาวที่นอนซมอยู่ในกลางห้อง เรื่องมันมีอยู่ว่าวันนี้น้องซอมีเรียนพิเศษกับผมที่ห้องพี่เซียน แต่สภาพวันนี้ของน้องไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หน้าซีดเซียวเดินกระย่องกระแย่งจนผมต้องบังคับให้นอนพักและขณะที่กำลังจะลงไปซื้อของกินให้เด็กสาวเพื่อจะได้กินยา เจ้าของห้องก็กลับมาถึงพอดีพอเห็นสภาพของน้องสาวแล้วเลยเกิดกังวลใจขึ้นมา ทั้งๆ ที่สาวน้อยบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก หากได้นอนพักคงจะหาย

“พี่เปียว”

“ครับ”

เด็กสาวกวักมือเรียกผมเข้าไปใกล้แล้วกระซิบข้างหูท่าทางดูขัดเขินไม่น้อย ไม่แปลกหรอกหากน้องจะเขินผมในเมื่อเรื่องที่ได้ยินมามันเป็นเรื่องส่วนตัวของผู้หญิง ผมยิ้มเอ็นดูใบหน้าซับสีเลือดที่ซุกอยู่กับหมอนแล้วลูบศีรษะน้องเบาๆ

“ซอเป็นอะไร”

พี่เซียนเอ่ยขึ้นตอนที่น้องซอกระซิบกระซาบกับผมเมื่อกี้ ผมเหลือบไปมองใบหน้าน้องแล้วกระตุกแขนพี่เซียนให้เดินออกมาตรงนั้น เพราะเกรงว่าเด็กสาวจะขัดเขิน

“มีอะไร”

“...”

“น้องเป็นอะไร”

น้ำเสียงคนรักรุ่นพี่ดูร้อนรน เอาจริงผมรู้สึกดีไม่น้อยที่ท่าทางพี่เซียนแสดงออกชัดเจนว่าเป็นห่วงน้องซอขนาดนี้ ถึงแม้ปกติพี่มันจะค่อนข้างดุและเข้มงวดกับน้องสาว

“น้องไม่เป็นอะไรครับ”

พี่เซียนมุ่นหัวคิ้วทันที

“แล้วทำไมถึงนอนซมแบบนั้น”

ผมกระแอมเสียงเบาๆ ก่อนจะขยับไปกระซิบข้างหูเจ้าของห้อง

“น้องเป็นวันนั้นของเดือนครับ”

“อ๋อ”

คนตรงหน้าพ่นลมหายใจแรงๆ แล้วเบือนสายตามองไปยังคนที่นอนซมอยู่ตอนนี้

“คงไม่สบายตัวเท่าไหร่ ไม่รู้ยัยแสบมียาแก้ปวดติดมาด้วยมั้ย”

“ผมกำลังจะลงไปซื้อของกินกับของใช้ให้น้องครับ พอดีพี่มาถึงห้องก่อน”

“ไปสิ”

พี่เซียนบุ้ยปากไปยังประตู

“เดี๋ยวกูลงไปด้วย เวลาไม่สบายตัวยัยแสบชอบกินน้ำเต้าหู้”

พี่มันเดินนำออกไปที่ประตู แล้วจากนั้นพวกเราก็พากันเดินมาจนถึงร้านสะดวกซื้อ

“ว่าแต่มึงจะซื้อของใช้อะไรให้ซอ”

คราวนี้ผมเกาหัวแกรกๆ 

“เอ่อ ผ้าอนามัยครับ”

พี่เซียนชะงักไปตอนที่เหลือบตามองเชลล์ที่วางของใช้จำเป็นสำหรับผู้หญิง แน่นอนว่ามันมีหลายยี่ห้อและมีหลายแบบเพราะลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกันเล่นเอาผมมึนไปเหมือนกัน คนข้างกายผมจึงควักมือถือออกมาแล้วกดโทรออก รอไม่นานปลายสายก็กดรับ พี่มันเลยพูดกรอกไปตามสายทันที

“มึงเคยซื้อผ้าอนามัยให้ยัยแสบมั้ย”

ผมทำตาปริบๆ มองสีหน้ากังวลใจของพี่เซียนแล้วเผลอขำออก ไม่รู้ปลายสายคือใครถ้าให้เดาคงเป็นพี่น้องสักคนหนึ่งของพี่มันแน่ๆ

“ทำไมมันหลายแบบขนาดนี้วะ”

พี่มันพึมพำและสบถด่าปลายทางสองสามคำก่อนจะกดวางสายไป

“ไอ้เซนต์แม่งช่วยห่าอะไรไม่ได้เลย นอกจากบอกว่าซื้อมันทุกแบบไปให้ซอเลือกเอา”

พี่มันพูดอย่างเซ็งๆ ก่อนจะกดโทรออกอีกครั้งและดูครั้งนี้ปลายสายจะให้คำตอบพี่มันได้ คนข้างกายผมถึงได้เดินดุ่ยๆ ไปใกล้ๆ คล้ายกับกำลังพิจารณาของในเชลล์

“วันนี้พี่จะมารับยัยแสบกี่โมงล่ะ”

“...”

“อ่าๆ”

พี่เซียนพูดอยู่สองสามคำแล้วกดวางสาย หลังจากนั้นก็ยืนพิจารณาผ้าอนามัยแต่ละแบบ พี่เซียนแม่งโคตรจริงจังกับการอ่านและพิจารณาโดยการหยิบมาเปรียบเทียบกันด้วยสิให้ตายเถอะ จริงจังจนผมเขินแทนสาวๆ สองสามคนที่กำลังสนใจอาหารกระป๋องอยู่มุมหนึ่งซึ่งเหล่ตามองมาทางนี้พอดี

แต่ให้อายยังไง ผมก็สัมผัสได้ว่าพี่มันดูเอาใจใส่กับเรื่องนี้มากๆ น้องซอโชคดีชะมัดที่มีพี่ชายแบบพี่เซียน

“พี่เซียน”

ผมยื่นมือถือให้อีกฝ่ายเพราะดูเหมือนคนอีกซีกโลกจะโทรไลน์กลับมา คือก่อนหน้านี้พี่มันฝากมือถือไว้กับผม

“พี่เซนต์โทรไลน์มาครับ”

“รับเลย”

ผมพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะกดรับ

[เออกูจะถามว่าของที่มึงฝากซื้ออ่ะ ยังอยากได้อยู่มั้ย]

ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบ อีกฝ่ายก็พูดสวนขึ้นมาก่อน

[ถุงยาง 56 มิลของมึงอ่ะ]

เชี่ยยย

ผมทำหน้าตื่นตาโตซึ่งเป็นกิริยาที่แสดงออกทางสีหน้าชัดเจนเกินไป พี่เซียนจึงหันมามองแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ผมจึงยิ้มแหยเป็นคำตอบแล้วยื่นโทรศัพท์ให้อีกฝ่ายก่อนจะผละหนีไปทางโซนขนมขบเคี้ยว ในหัวยังอื้ออึงกับสิ่งที่ได้ยินมา

ไอ้พี่เซียนฝากซื้อถุงยาง

ผมเม้มปากแน่น ของที่ซื้อมามันก็ต้องถูกใช้งานไง แล้วมันจะไปใช้งานที่ไหน ถ้าหากไม่ใช่...

แค่คิดก็รู้สึกหวิวๆ บอกไม่ถูก เอาจริงตั้งแต่คบกันมาพี่เซียนไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ พี่มันทำเฉยดูไม่มีท่าทีอะไรเลยจนผมวางใจและละเลยความรู้สึกนี้ไป อาจเพราะพี่ัมันไม่เคยแสดงท่าทีว่าต้องการ ทั้งที่คบกันมาสักพักแล้ว มากสุดแค่กอดแค่หอม หากมันเขี้ยวก็ฟัดแรงๆ เหมือนจะแกล้งกันมากกว่า

ผมลืมนึกไปว่าพอคบกันไปสักพักแล้วเรื่องเซ็กส์มันไม่สามารถปฏิเสธได้หรอก ถึงอีกฝ่ายจะไม่เอ่ยปากร้องขอหรือแสดงความต้องการอย่างโจ่งแจ้ง แต่ผมก็ไม่ควรมองห้ามความสัมพันธ์ข้อนี้ไปได้เลย

‘มาเป็นเมียกูสิ จะได้รู้ว่ากูจะรักเมียหรือมอ’ไซค์มากกว่ากัน’

แต่ความจริงพี่เซียนก็เคยพูดทีเล่นทีจริงนี่หว่า

วันนั้นที่พี่เซียนพูดแบบนั้น และสุดท้ายมันจบลงด้วยการที่อีกฝ่ายแค่หอมแก้มแล้วผละไปอาบน้ำ

เฮ้อ

หรือว่านั่นจะเป็นสัญญาณของเรื่องนี้วะ

คิดไม่ตกเลยแม่ง

“ซื้ออะไรเยอะแยะ”

ผมสะดุ้งสัมผัสได้ว่ามีร่างสูงใหญ่ของใครบางคนมายืนซ้อนหลังอยู่ พี่เซียนคว้าลูกอมมายมิ้นท์ที่มันเผลอหยิบมาเต็มไปใส่คืนที่ชั้นตามเดิมส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งหยิบใส่ตะกร้าในมือก่อนจะขยับถอยออกไปทิ้งไว้แต่สัมผัสร้อนๆ ว่าครั้งหนึ่งมีใครบางคนยืนอยู่ตรงนี้ ผมมองตามแผ่นหลังพี่มันไปก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

ไม่ปกติ

ผมใจสั่น...ผิดปกติเลยว่ะ 


.


.


มื้อนั้นได้โจ๊กหมูจากร้านสะดวกซื้อและน้ำเต้าหูร้อนๆ มาให้น้องซอได้ทานก่อนกินยาแก้ปวด เสร็จแล้วสาวน้อยก็ยึดโซฟากลางห้องหลับไป ระหว่างนั้นผมเองก็แชทคุยกับพวกไอ้โต้งที่ช่วงนี้หน้าตาดี๊ด๊าจนน่าหมั่นไส้เพราะพี่อุ้มเปิดใจให้มันแล้ว ส่วนไอ้อ๋องหลังๆ มานี่ผมเห็นพี่รหัสตัวเองชักจะป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ มันบ่อยๆ พอถามไป มันก็ตอบว่าไม่อะไร แต่เชื่อสิ ผมว่าคู่นี้มีอะไรในกอไผ่แน่ๆ

ระหว่างที่คุยไลน์กับพวกมัน พี่เซียนก็จดจ้องอยู่หน้าโน๊ตบุ๊คเพราะช่วงนี้โค้งสุดท้ายที่จะต้องนำเอาผลงานนวัตกรรมเกี่ยวกับยานยนต์ส่งเข้าประกวดแล้ว บรรยากาศตอนนี้เลยค่อนข้างเงียบ ในความเงียบนั้นผมได้ลอบสังเกตใบหน้าคมคายที่ดูมีสมาธิกับงานตรงหน้า ผมชอบมองพี่เซียนทำงานมากๆ ผมว่าสีหน้าจริงจังของอีกฝ่ายดูมีเสน่ห์น่ามองและผมคงมองนานไปหน่อย อีกฝ่ายถึงได้รู้ตัวเลยเงยหันมามองผมแล้วเลิกคิ้วถาม

ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบคำถาม เสียงออดหน้าห้องก็ดังขึ้นก่อน

พี่เซียนเลยเดินไปเปิดประตูก่อนจะเดินนำใครบางคนเข้ามา ผมตาโตตอนที่เงยหน้าไปเห็นพี่ชายคนโตของคนรัก 

พี่ซันตัวจริงโคตรดี ไม่ใช่สิ หล่อมากเลยต่างหาก

ขณะที่พี่เซียนหล่อตามพิมพ์นิยมของสาวๆ แต่พี่ซันจะดูโตเป็นผู้ใหญ่และออกแนวสุภาพ เวลายืนคู่กันแม่งโคตรดูดี

“มองอะไรขนาดนั้น”

พี่เซียนทำหน้าหงิกใส่ ก่อนผมต้องยิ้มแหยแล้วยกมือไหว้พี่ชายคนรัก ฝ่ายนั้นรับไหว้แล้วยิ้มกว้างๆ ให้ออร่าพระเอกหลังข่าวจับจนแสบตา

“หึงเหรอไอ้เซียน น้องแค่มองกูเอง”

ผมยิ้มแหยทันที

“ตัวจริงน่ารักกว่าในรูปที่ไอ้เซนต์ส่งมาให้ดูอีกนะเนี่ย”

พี่ซันหันมาแซวผม

“เดี๋ยวนะ”

คราวนี้คนรักผมเท้าเอวทันที

“ไอ้เซนต์มันไปส่งรูปเปียวให้พี่ดูตอนไหนวะ”

อีกฝ่ายยักไหล่ไม่ตอบคำถาม ก่อนจะเดินผ่านน้องชายตัวและหยุดแวะโยกศีรษะผมเบาๆ คล้ายกับจะแกล้งพี่เซียนก่อนจะเดินเลยไปหาน้องซอที่นอนหลับอยู่

“ถึงเป็นพี่ ผมก็เตะได้นะ”

พี่เซียนถลึงตาใส่อีกฝ่ายแล้วรีบมาลูบศีรษะบริเวณที่พี่ซันแตะ ทำเหมือนลบรอย

อะไรกันก็ไม่รู้ ผมยิ้มเขินๆ ให้พี่ซันที่ทำหน้าระอาใส่เจ้าของห้อง

“ไงตัวแสบ”

น้องซอขยับเปลือกตาเปิดขึ้นแล้วยิ้มน้อยๆ ตอนที่พี่ชายคนโตมาเอื้อมมือไปลูบศีรษะ

“พี่มารับกลับบ้าน”

สาวน้อยพยักหน้าหงึกหงักแล้วขยับตัวลุกขึ้น

“เดินไหวรึเปล่า ให้พี่อุ้มมั้ย”

“ไหวค่ะ”

“งั้นกลับบ้าน เดี๋ยวค่ำมากกว่านี้ เราจะได้พักผ่อน”

สีหน้าน้องซอดูดีขึ้นหลังจากได้หลับไปตื่นหนึ่ง น้องโบกมือลาผมด้วยสีหน้าสดใส ก่อนพี่เซียนจะเดินลงไปส่งน้องสาว ระหว่างนั้นผมเลยเก็บของเตรียมกลับหอเช่นกัน 

รอไม่นานพี่เซียนก็ขึ้นมา

“ไม่ค้างเหรอ”

ผมส่ายหน้าหวือ 

“แปลกๆ นะ”

พี่มันพูดขึ้นตอนที่มาทรุดตัวนั่งที่โซฟาตัวเดียวกัน พอได้อยู่ตามลำพังสองต่อสองแล้วผมดันนึกถึงเรื่องที่ไอ้พี่เซียนฝากซื้อถุงยางเฉยเลยว่ะ

จะว่ากลัวก็ไม่ใช่ จะว่าทำใจ่ได้ก็ไม่เชิง

มันขัดเขินยังไงก็ไม่รู้

“ผมปกติเหอะ”

คราวนี้พี่มันขยับมาใกล้แล้วจ้องหน้าผมตรงๆ

“เวลามึงโกหกจะชอบก้มหน้างุดๆ ทำเสียงสั่นๆ รู้ตัวมั้ย”

“ผมปกติ”

ผมนั่งตัวตรงเชิดหน้ามองสูง

“โอ้ย”

พี่เซียนบีบแก้มเบาๆ

“โกหกไม่เนียน”

“เจ็บนะเว้ย”

“เกินไป กูบีบเบาๆ เอง”

“แดงรึเปล่าก็ไม่รู้”

“ไหนมาดูดิ”

ผมยื่นแก้มข้างนั้นให้พี่มันแล้วตัวแข็งทื่อตอนที่ฝ่ายนั้นเป่าแก้มข้างนั้นเบาๆ ก่อนจะกดจูบอีกที

“หายเจ็บแล้ว”

“ฉวยโอกาสว่ะ”

บ่นพี่มันไปทั้งที่ตัวเองก็ฉีกยิ้มกว้างขนาดนี้

“คนอะไรบอกคนอื่นฉวยโอกาส แต่ตัวเองยิ้มยั่วเฉย””

“...”

“แต่มึงพูดเรื่องนี้ก็ดีแล้ว”

น้ำเสียงพี่เซียนเปลี่ยนไป ท่าทางฝ่ายนั้นเองก็จริงจังขึ้น

“พี่...”

ผมเขย่าแขนอีกฝ่ายเพราะแอบรู้สึกผิดที่ทำให้คนรักรู้สึกไม่ดีกับคำพูดของผม

“กูไม่ได้โกรธ”

พี่เซียนยิ้มให้แล้วเกลี่ยใบหน้าผมเบาๆ

“ใจหายหมดเลย”

“กลัวกูโกรธเหรอ”

“อื้อ”

ผมเอนศีรษะไปตามการลูบของอีกฝ่าย

“ผมไม่ได้หวงตัวอะไรขนาดนั้นนะเว้ย...”

ผมก้มไปซุกใบหน้าไปที่หัวไหล่พี่มัน

“แต่มันเขิน”

พี่เซียนหัวเราะน้อยๆ แล้วคว้าบ่าผมไปกอด

“กูถึงบอกไงว่าพูดเรื่องนี้ก็ดีแล้ว”

“...”

“กูจริงจังนะเปียว”

“...”
“มึงกลัวสัมผัสกูรึเปล่า”

ผมส่ายหน้าหวือ

“ไม่ได้กลัว แต่...”

“กลัวกูรุกมึงเหรอ”

ผมสะดุ้งโหยงก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้

“กูดูเป็นคนหื่นกามขนาดนั้นรึไง”

ตรงกันข้ามเลยเหอะ พี่มันไม่เคยเอ่ยปากขอเรื่องแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ 

“พี่เซียนอย่าเบื่อผมนะ”

“ทำไมกูต้องเบื่อมึงฮึ”

“ก็ผม”

พี่เซียนใช้นิ้วบดคลึงริมฝีปากที่เม้มแน่นของผมเบาๆ ให้คลายลง

“กลัวอะไรพี่ฮึเปียว”

“ถ้าผมไม่ให้พี่เรื่องนั้น พี่จะเบื่อและทิ้งไปป่ะ”

“ทิ้ง”

“ไอ้พี่เซียน”

ทุบอกแม่งเลย 

พี่เซียนยิ้มขำคว้าผมเอาไว้แล้วบีบเบาๆ

“หมูอวกาศ”

“...”

“เมื่อก่อนเด็กอ้วนที่หกล้มนั่งตากแดดร้องไห้ สภาพไม่น่าดูขนาดนั้น กูยังทิ้งให้มึงนั่งร้องไห้แบบนั้นไม่ลงเลย”

ผมยิ้มน้อยๆ นึกถึงเหตุการณ์ในวันวาน

ครั้งแรกที่ได้เจอกับไอ้พี่เซียน

“จากนั้นไอ้หมูนั่นก็ตามกูต้อยๆ ไม่ยอมไปไหน”

“ก็พี่เล่นให้มายมิ้นท์ไว้แทนใจแล้วนี่...ผมจะไปไหนได้ล่ะไอ้พี่ยักษ์”

“กูชอบที่มึงเรียกแบบนี้”

“ไอ้พี่ยักษ์อ่ะเหรอ”

“อื้อ”

“ไอ้พี่ยักษ์”

ผมกระซิบข้างหูพี่มันเบาๆ

“ว่าไงหมูอวกาศ”

“ถามจริงๆ นะ พี่ไม่ต้องการเรื่องแบบนั้นกับผมจริงๆ เหรอ”

“ต้องการสิ”

“...”

“ยิ่งอยู่ใกล้ ยิ่งโคตรต้องการ”

“ก็เห็นพี่เฉยๆ อ่ะ”

“แต่ในใจกูคิดนะ”

พี่เซียนพูดหน้าตาย

“ยอมรับแมนๆ เลยว่าคิดลามกกับมึงแทบจะตลอดเวลาอ่ะ”

“ไอ้ตัวหื่น”

พูดอะไรวะ ผมหน้าแดงวาบเลยเนี่ย

“เซ็กส์มันเป็นเรื่องปกติเปียว เป็นเรื่องธรรมดาของคนรักกัน เพราะมันเป็นการแสดงความรักรูปแบบหนึ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์เหนี่ยวแน่นขึ้น”

ผมนิ่งฟังพี่มัน

“แต่เซ็กส์เป็นเรื่องของคนสองคน ถ้าคนนึงไม่สมัครใจ มันก็ไม่มีความสุขหรอก”

“พี่พูดเรื่องอะไรวะเนี่ย”

มันเขินนะเว้ย

“เปียว ถ้ามึงไม่พร้อมหรือไม่เต็มใจ กูรอได้นะ กูไม่เคยคิดจะบังคับใจมึงเลยสักครั้ง”

“อื้อ”

พี่เซียนจูบขมับผมทีนึง

“ขนาดไม่บังคับ ยังอุตส่าห์ซื้อถุงยางรอแล้ว”

ขอเหน็บสักทีเถอะ

“เขาเรียกว่าเตรียมความพร้อม”

“...”

“เซฟเซ็กส์อ่ะ ไม่เคยได้ยินเหรอ”

“ไม่รู้ไม่ชี้เว้ย”

ผมส่ายหน้าแรงๆ

“กะจะเอาให้ได้สักวันน่ะสิ”

“ถ้ามึงเผลออ่ะน่ะ”

พี่เซียนพูดติดตลก

“ร้ายกาจ”

พี่เซียนแม่งร้ายกาจจริงๆ แต่ผมไม่เคยนึกเลยว่าพี่มันจะแคร์ความรู้สึกผมขนาดนี้ มันเขินนะเว้ยที่ต้องมานั่งคุยกันเรื่องใต้เตียงเนี่ย

“กูอยากให้มึงยอมกู เพราะใจมึงยอม”

“...”

“คิดว่าอีกไม่นานหรอก”

“เข้าข้างตัวเองเก่ง”

ผมรู้สึกหน้าร้อนผ่าวๆ กับสายตาพี่มัน 

สายตาเจ้าชู้กรุ้มกริ่มแบบนี้...หัวใจจะวายโว้ย

“หายกลัวกูรึยัง”

“หายกลัวพี่ แต่ผมกลัวใจตัวเอง”

ผมพูดเสียงแผ่ว

“หือ?”

“กลัวว่าอีกไม่นานจะใจอ่อน”

คราวนี้พี่เซียนหัวเราะร่วน ขณะที่ผมทำหน้าตีหน้ายุ่งใส่

“ไม่แปลกหรอก มึงรักกูนี่”

“ผมไม่รักพี่แล้ว”

“เหรอ”

“...”

“แล้วใครกอดกูอยู่เนี่ย”

ผมทำปากยื่นก่อนจะซุกใบหน้าลงไปที่ซอกคอพี่มัน

“กอดนิดกอดหน่อยทำหวงตัวว่ะ”

“ปากดี เดี๋ยวจะโดน”

“อย่าขยับสิ ผมกอดอยู่นะเว้ย”

“หมูอวกาศเอ้ย”

ถึงพี่เซียนจะบ่นแต่ฝ่ายนั้นก็ยอมนั่งนิ่งๆ ให้ผมกอดอยู่แบบนั้น

“รอหน่อยนะ”

“...”

“ไม่นานหรอก”

“...”

“ผมจะให้พี่กอดคืน”


- J E E B -

ง่อวววว หน่องเปียวทำไมยั่ว ฮ่าๆๆๆๆๆๆ เสพความฟินไปเยอะๆ น้าแล้วรอ.....
หวีดในทวิต #ชอบก็jeeb ให้ด้วยน้า

หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่22 l 29/6/63 l P.8 [100%]
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 29-06-2020 21:28:21
 :heaven
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่22 l 29/6/63 l P.8 [100%]
เริ่มหัวข้อโดย: kenghan ที่ 29-06-2020 22:02:44
เปียวไม่รอดพี่ยักษ์แน่นอน
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่22 l 29/6/63 l P.8 [100%]
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 30-06-2020 12:42:12
น้องเปียวพูดแบบนี้ อิพี่มันก็ได้ใจสิ
จริงๆก็รักแหละดูออก
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่22 l 29/6/63 l P.8 [100%]
เริ่มหัวข้อโดย: lemonyyy ที่ 01-07-2020 14:26:17
ไม่นานเกินรอแน่ๆ
 :hao3:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่22 l 29/6/63 l P.8 [100%]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 02-07-2020 18:22:45
น่ารักจริงคู่นี้
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่22 l 29/6/63 l P.8 [100%]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 03-07-2020 07:05:48
น้องบอกแบบนี้ อิพี่รอเลยจ้า.  :laugh:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่23 l 13/7/63 l P.9 [50%]
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 13-07-2020 21:48:37
 

- จีบที่ 23 - 

 

ไอ้โต้งยิ้มหน้าระรื่นจนน่าหมั่นไส้

ผมมองใบหน้าคมคายที่แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มอยู่ในตอนนี้แล้วได้แต่ส่ายหน้า  ส่วนสาเหตุที่ทำให้ไอ้เปรตตรงหน้ายิ้มไม่หุบขนาดนี้เพราะมันมีนัดกับพี่อุ้ม บ่ายแก่ๆ วันนี้มันถึงเสนอหน้ามารอที่คณะผม

“ยิ้มเก่ง”

ผมแกล้งแซวมัน ก่อนชะโงกไปดูไอ้อ๋องที่นั่งจ้องโทรศัพท์ด้วยท่าทางแปลกๆ ดูขัดๆ เขินๆ ยังไงก็ไม่รู้ พอถือวิสาวะไปชะโงกดูโทรศัพท์ในมือ มันก็โยกโทรศัพท์หนีราวกับคนมีความลับ นั่นยังไม่รวมท่าทางมีลับลมคมในแปลกๆ ช่วงนี้ด้วย

“อ๋อง”

มันสะดุ้งโหยงทำหน้าเลิ่กลั่ก

“มึงมีอะไรปิดบังกู”

“เปล่า”

มันส่ายหน้าหวือ

“รีบตอบ”

“ก็เปล่า”

คราวนี้มันพูดเสียงแผ่วท่าทางประหลาดนั่นไม่หลุดรอดไปจากการสังเกตของผมกับไอ้โต้งไปได้หรอก  ผมเลยแอบส่งซิกกับไอ้โต้งและอาศัยจังหวะที่มันเผลอแกล้งมันซะเลย

“อ้าวไอ้ดลสวัสดีครับ”

ไอ้อ๋องทำหน้าตื่นแล้วหันขวับมองไปด้านหลังแล้วพบแต่ความว่างเปล่ากับเสียงหัวเราะของพวกผม

“พวกมึงแม่ง”

อ๋องมันดูแปลกไปช่วงนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่พี่ดลมาวนเวียนอยู่รอบตัวมันบ่อยๆ รวมถึงการกระทำบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม ผมรู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างสองคนนี้มันดูสีชมพูฟุ้งๆ บอกไม่ถูกว่ะ และยิ่งการที่ไอ้อ๋องสะดุ้งสุดตัว แค่ผมแกล้งเรียกชื่อพี่ดลแค่นี้ มันน่าสงสัย

ผมว่าเรื่องนี้ไม่ปกติซะแล้ว

หรือว่าสองคนนี้

“มึงมีอะไรกับพี่รหัสกู”

“ไอ้ห่าเปียว พูดอะไรวะ”

ผมหัวเราะ หึหึ 

“โทษที กูใช้คำผิด”

“...”

“มึงกับพี่ดลนี่ยังไง”

“คบกันเหรอ”

ไอ้โต้งทะลุกลางปล้อง คำถามของมันทำเอาเพื่อนข้างห้องผมเงียบกริบ

เขาว่ากันว่าความเงียบ บางครั้งอาจคือคำตอบ

“มิน่า ช่วงนี้พี่ดลถึงวนเวียนอยู่รอบตัวมึงแบบนี้”

“เปล่า”

ไอ้อ๋องส่ายหน้าปฏิเสธ

“เปล่าอะไรวะ”

“ไม่ได้คบกัน”

“หือ?”

ผมกับไอ้โต้งหรี่ตามองมันเป็นเชิงถาม คนตรงหน้าอึกๆ อักๆ ยังไม่ทันได้ตอบคำถามหรอก พอดีลุงรหัสและพี่รหัสผมเดินมาถึงก่อน 

“มีอะไรกันรึเปล่าวะ”

พี่อุ้มถามขึ้น คำถามนี้ทำให้ไอ้อ๋องรอดตัวไป เพราะพวกผมไม่อยากคาดคั้นเรื่องส่วนตัวของมันต่อหน้าคนอื่น เอาเป็นว่าถ้ามันยังไม่พร้อมที่จะพูดพวกผมก็จะรอจนกว่ามันจะสบายใจที่จะเล่าให้พวกผมฟัง

เอาเถอะถึงไอ้อ๋องไม่พูด แต่กับพี่อ๋อง พี่รหัสคนดีของผมนั้น

“พี่ดล”

ผมสะกิดไหล่พี่รหัสตัวเอง

“ว่าไง”

“ผมมีเรื่องจะถาม”

“เอาสิ”

ผมยิ้มเผล่เหลือบตามองไอ้อ๋องแวบหนึ่งก่อนจะกระซิบถามคนข้างกาย

“ที่ผมถามวันนั้นอ่ะ”

“...”

“ผมบอกว่าจะเป็นพ่อสื่อให้ พี่บอกว่าพี่เอ็นดูเพื่อนผมเหมือนน้องชาย คำตอบพี่ยังเหมือนเดิมป่ะ”

พี่ดลนิ่งไปก่อนจะยิ้มน้อยๆ มือข้างหนึ่งยื่นมาโยกศีรษะผมคล้ายมันเขี้ยว

“พ่อสื่อไม่จำเป็นแล้ว”

ผมนิ่วหน้าทันที

“เพราะคำตอบพี่เปลี่ยนไป”

ก่อนจะขยับรอยยิ้ม

“เปลี่ยนไปว่าอะไร”

พี่ดลเหลือบตาไปมองเพื่อนผมแล้วยิ้มกว้าง แน่นอนว่านั่นทำให้ไอ้อ๋องทำหน้าตื่นรีบขยับมาใกล้พวกผมทันที เอาจริงถึงมันไม่ได้ยินที่ผมคุยกับพี่ดลคุยกัน แต่ผมว่ามันคงจับท่าทางของพวกผมออกแน่ๆ ว่าคุยกันเรื่องอะไร

“มากกว่าพี่น้อง”

ไอ้อ๋องหน้าแดงแปร๊ด มันได้ยินคำพูดของพี่ดลแน่ๆ มันถึงชะงักกึกแล้วเดินเลยพวกผมไปโน่น 

เขินแล้วแม่งเดินหนีเข้าห้องน้ำ

ผมยิ้มขำยกจะยกนิ้วโป้งให้พี่ดล ท่ามกลางสายตางุนงงของลุงรหัสผม

“อะไรกันวะ”

“เรื่องของคนรักกันพี่”

พี่อุ้มทำหน้าสงสัยก่อนจะมองหน้าพี่ดลแล้วมองไปยังทิศทางที่ไอ้อ๋องเพิ่งเดินลับไปแล้วร้องอ๋อออกมา รุ่นพี่ผมยิ้มน้อยๆ แล้วนิ่วหน้าทันทีที่โปรแกรมแชทไลน์ในมือถือดังขึ้น

“มีอะไรรึเปล่าครับ”

“กูต้องแวะไปซื้อข้าวให้ไอ้เซียนน่ะ”

“หือ”

“มันไม่สบาย”

“ครับ?”

คำตอบนั้นทำเอาผมสะดุดใจ เพราะเมื่อเช้ายังคุยไลน์กับพี่มันปกติอยู่เลย ถึงแม้จะไม่ได้วีดีโอคอลเหมือนทุกทีก็ตาม ถ้าหากพี่มันป่วยยจริงๆ ทำไมถึงไม่ปริปากบอกผมสักคำเลยวะ

“ที่จริงก็ดูหน้าซีดๆ ตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ”

ไอ้โต้งพูดขึ้น

“ว่าไงนะ”

มันยิ้มแหยเหมือนรู้ตัวว่าพลั้งปากพูดออกไป

“ก็เมื่อวานอาจารย์พาพวกพี่เซียนกับเด็กปีหนึ่งที่ไปช่วยงานออกแบบไปเลี้ยงไง เมื่อวานพี่มันก็ท่าทางไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

“ทำไมมึงถึงไม่เล่าให้กูฟังวะ”

ผมแยกเขี้ยวใส่มัน

“ก็นึกว่ามึงรู้แล้ว”

ผมทำหน้านิ่วเลยทีนี้ เมื่อวานนี้ได้แฟนหนุ่มรุ่นพี่เล่าให้ฟังเหมือนกันว่าอาจารย์พาไปเลี้ยงข้าวหลังจากส่งงานออกแบบเข้าประกวดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เกือบตีหนึ่งพี่มันยังไลน์มาบอกว่าเพิ่งถึงห้อง ส่วนเมื่อเช้าก็ไลน์มาหาผมแต่เช้า

ทุกอย่างเป็นปกติจนผมไม่นึกเอะใจเลย

มิน่าเมื่อเช้าพี่เซียนถึงไม่ยอมวีดีโอคอลด้วย

ผมเม้มปากแน่น

“มันคงกลัวมึงเป็นห่วงแหละ”

พี่อุ้มพูดปลอบใจ

“ตอนนี้เห็นว่านอนอยู่คอนโด ถ้ามึงรู้แล้วก็ไปดูใจมันหน่อยเถอะไป”

คอยดูนะถ้าไปถึงแล้วจะบ่นให้หูชาเลย

ผมพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะคว้ากระเป๋ามาสะพายแล้วเดินดุ่ยๆ ออกมา ผมนั่งรถไฟฟ้ามาจนถึงสถานีพญาไทก่อนจะแวะซื้อพวกอาหารอ่อนของกินร้อนๆ แล้วแวะซื้อยาจากร้านขายยาแถวนั้นให้พี่มัน ช่วงนี้พี่เซียนมันโหมงานหนักจริงๆ ไม่ค่อยได้พักผ่อนหรอก เพราะพอเสร็จงานออกแบบนั้นก็ซ้อมคทากรอย่างหนัก ถึงพี่มันจะเป็นรุ่นพี่คทากรปีนี้ แต่ก็ต้องเดินขบวนเข้าสู่สนามตอนพิธีเปิดและพิธีปิด รวมถึงแสดงช่วงระหว่างเกมการแข่งขันที่ต้องไปแสดงตามแสตนต่างๆ 

นั่นคงทำให้พี่เซียนพักผ่อนไม่เพียงพอ อาทิตย์หน้าก็จะถึงวันงานฟุตบอลประเพณีแล้ว ไม่อยากจะคิดเลยว่าพี่มันต้องซ้อมหามรุ่งหามค่ำขนาดไหน เพราะขนาดว่าคณะผมที่เป็นฝ่ายสวัสดิการยังหัวหมุนกับการวิ่งส่งเสบียงให้กับทีมงานฝ่ายต่างๆ งานมันกระชั้นชิดเข้ามาทุกทีแล้ว ทุกฝ่ายถึงได้เร่งเตรียมงานกันสุดแบบนี้ เมื่อสัปดาห์ก่อนผมเห็นพี่ปั๊บและทีมบอลมหาลัยเองก็ซ้อมกันจนดึกดื่นเหมือนกัน

ผมเดินคิดไปพลางๆ ก่อนจะแตะคีย์การ์ดและกดชั้นที่เป็นที่อยู่ของคนรักรุ่นพี่ โชคดีว่าคีย์การ์ดห้องพี่เซียนอันนี้พี่มันให้เก็บไว้เผื่อผมต้องมาสอนพิเศษน้องซอ เอาจริงพี่มันบอกว่าให้มาเผื่อวันไหนผมอยากมาค้างด้วย

ค้างด้วยงั้นหรือ

ผมขนลุก ก็ตั้งแต่วันที่บอกว่าจะให้พี่มันกอดคืน ผมเห็นสายตาของพี่เซียนแล้วเสียวสันหลังแปลกๆ แววตาคู่คมที่จ้องมองกันจนผมนึกหวาดหวั่น

ถ้าวันไหนที่ผมตัดสินใจจะมาค้าง วันนั้นผมคงต้องเตรียมตัวเตรียมใจกับเรื่องของเราแล้ว ถึงพี่เซียนจะไม่พูดตรงๆ แต่ผมพอจะรู้ว่าพี่มันต้องการและหากผมการ์ดตกเมื่อไหร่ผมว่าพี่มันรุกคืบผมแน่ๆ

ฮึ้ย

คิดอะไรลามกแบบนั้นวะ

ผมจ้องหน้าตัวเองกับผนังลิฟต์ที่มีกระจกรอบด้าน ภาพที่สะท้อนออกมาคือเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าแดงก่ำลามเลียไปถึงคอ แววตาดูขัดเขิน แก้มสองข้างขึ้นสีเพราะปฏิกิริยาทางร่างกาย

พระเจ้าคงจะลงโทษผมแน่ๆ เพราะนี่คือสีหน้าของคนที่คิดเรื่องลามก

ผมสะบัดศีรษะตัวเองแรงๆ พอดีกับที่ลิฟต์เปิดออกในชั้นที่เป็นจุดหมาย ผมเดินออกมาจากตัวลิฟต์ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องพี่เซียนแล้วแตะคีย์การ์ดเปิดประตู พอเปิดเข้าไปความเย็นจากแอร์คอนดิชั่นก็พุ่งเข้ามาปะทะใบหน้าทันที

ป่วยแล้วยังชอบเปิดแอร์เย็นๆ อีกแล้วสินะ

ผมส่ายหัวเดินไปวางของที่เคาน์เตอร์ครัว ห้องรับแขกเงียบสงัดเปิดแอร์ทิ้งไว้แสดงว่าเจ้าตัวคงนอนอุตุอยู่ในห้องแน่นอน ผมจัดอาหารที่ซื้อมาใส่จานเอาไว้แล้วสาวเท้าตรงไปยังห้องนอนของอีกฝ่าย ประตูห้องนอนของพี่มันไม่ได้ปิดสนิทยังแง้มๆ เอาไว้ ผมจึงดันประตูนั่นเปิดออกก่อนจะชะงักกึก

ผมบอกไม่ถูกว่าควรรู้สึกยังไงกับภาพตรงหน้านี้ดี

โกรธ เสียใจ หรือน้อยใจ

ความรู้สึกเหล่านั้นผุดขึ้นมาเต็มหัวผมไปหมด 

นอกเหนือจากความรู้สึกเหล่านั้นแล้วผมยังเจ็บแปลบๆ ในอกบอกไม่ถูก มันคล้ายกับจะหายใจไม่ออก เหมือนบางอย่างเสียดแทงใจจนเจ็บ

ผมเผลอก้าวถอยหลังออกมาเป็นจังหวะที่ผู้หญิงคนเดียวกับี่ภาพที่อยู่ในใต้ลิ้นชัก่ซึ่งถูกปิดตายกำลังตั้งใจบิดผ้าเช็ดไปตามใบหน้าและแผ่นอกให้พี่เซียน

ผู้หญิงคนนั้นนั่งตัวเป็นๆ อยู่ที่ขอบเตียง สีหน้าดูเป็นห่วงเป็นใยคนป่วย ขณะที่คนป่วยนอนสะลึมสะลือตาจะหลับไม่หลับแหล่ พี่เซียนหน้าแดงก่ำเพราะพิษไข้ ขณะที่ผมหน้าขาวซีดเพราะพิษรัก

พิษรัก...ที่ทำให้ใจเจ็บจนยอก

ในห้องนอนพี่เซียน พื้นที่ส่วนตัวของคนรักผม กลับมีคนอื่นอยู่ในนี้ด้วย

ผมรู้สึกแย่กับความรู้สึกนี้จริงๆ

“เอะ”

ผู้หญิงคนนั้นหันมาเห็นผมพอดี ใบหน้างดงามทำหน้างวยงงก่อนจะขยับรอยยิ้ม

เธอยิ้มสวยมาก

สวยมากจริงๆ

“มาเยี่ยมเซียนเหรอจ้ะ”

ผมพูดไม่ออกก่อนจะเหลือบตามองคนป่วยที่หรี่ตาขึ้น พี่มันทำหน้างงๆ แต่พอเห็นผมก็ตื่นเต็มตาทันที

“เปียว”

เสียงพี่เซียนแหบพร่าเพราะพิษไข้ 

“ระวัง”

อาจารย์มัสลินพยุงพี่มัน้ที่ขยับลุกลงจากเตียงทันที

“ไอ้เดี่ยวล่ะ”

พี่เซียนทำหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไหร่

“เดี่ยวเอาของไปเก็บที่ห้อง”

คนป่วยทำเสียงจิ๊ปากในลำคอก่อนจะเดินตรงมาหาผม

“เปียว”

“ครับ”

ผมรับคำพี่มันเสียงแผ่ว ขณะที่แววตาหลุบตามองพื้น

“พี่อุ้มบอกว่าพี่ไม่สบาย”

“เปียว”

ผมรู้ว่าตัวเองเสียงสั่นมากๆ 

“ผมซื้อข้าวต้มกับยามาให้น่ะ”

“เปียว”

พี่เซียนดันคางผมให้เงยหน้าขึ้น

น้ำตารื้อเลยว่ะ

พี่เซียนหน้าเสียมากๆ ที่เห็นหน้าผมชัดๆ พี่มันรวบตัวเอาไปกอดแน่นๆ

“ไม่มีอะไร”

“...”

“จริงๆ ไม่มีอะไรแบบที่เราคิดเลย”

ผมพยักหน้าหงึกหงักกับอกพี่มัน 

ผมเชื่อพี่เซียน...แต่ผมก็ยังเจ็บอยู่ดี

เจ็บมากด้วย

ผมปาดน้ำตาให้ตัวเองก่อนจะฝืนยิ้มให้อาจารย์มัสลินที่ทำหน้าไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า เธอพยายามจะพูดอะไรสักอย่าง 

“ไหม นี่น้องเปียวแฟนผมเอง”

หญิงหนึ่งเดียวทำหน้างุงงงก่อนจะส่งยิ้มให้ผม

“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”

“ขอผมคุยกับเปียวตามลำพังนะไหม”

อาจารย์มัสลินพยักหน้าเข้าใจแล้วผละออกไปแล้ว แต่พี่เซียนยังไม่ปล่อยมือจากแขนผมเลย

“ขอโทษที่ถือวิสาสะเข้ามาในห้องนอนนะครับ ผมเห็นว่าพี่เซียนป่วยเลย...”

“ขอโทษทำไมิ์”

พี่เซียนจับมือแล้วบีบเบาๆ

“ตัวพี่ยังร้อน พักผ่อนเยอะๆ นะ”

ผมฝืนยิ้มให้พี่มัน

ถึงจะเข้าใจทุกอย่าง แต่เวลานี้ผมยังทำใจยอมรับไม่ได้อยู่ดี

“เปียว”

“ผมจะกลับก่อน”

“ไม่”

พี่เซียนคว้าแขนเอาไว้ สัมผัสร้อนผ่าวที่ออกมาจากตัวพี่มันเพราะพิษไข้จนผมรู้สึกได้

“พี่ควรจะนอนพัก”

“อยู่กับพี่นะ”

ผมส่ายหน้าหวือ

“ให้ผมกลับเถอะ”

“พี่จะปล่อยเปียวกลับไป โดยที่เรายังเข้าใจผิดไม่ได้”

“ผมเข้าใจ”

“ถ้าเราเข้าใจจริงแล้วหลบตาพี่ทำไม”

พี่เซียนพูดเสียงเครียด

“เราไม่เข้าใจต่างหาก แต่พยายามหลอกตัวเองว่าเข้าใจ”

“ผมเข้าใจสิ”

ผมเบะปากใส่พี่มัน

“เข้าใจ”

“...”

“แต่ยังทำใจไม่ได้”

“...”

“ผมทำใจไม่ได้ที่เห็นรักแรกของพี่ อยู่ในห้องนอนส่วนตัวของพี่”

“...”

“ผมเสียใจที่เวลาพี่ป่วย ผมกลับเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่อง”

มองไม่เห็นหน้าพี่มันแล้ว

เพราะน้ำตากลบรอบดวงตาไปหมดเลย

ผมอาจจะงี่เง่าที่คนรักป่วยแล้วรู้สึกไม่ดีที่อดีตคนในใจเขามาดูแลนั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่ง แต่อีกส่วนคือผมเจ็บแปลบๆ ตรงที่ผมรู้เรื่องพี่มันเป็นคนสุดท้าย ในขณะที่คนอื่นๆ ยื่นมือมาให้ความช่วยเหลือแล้ว

ภาพที่อาจารย์มัสลินเช็ดตัวให้พี่เซียนสว่างวาบขึ้นมาในหัว

ไม่ได้โกรธเลย

แต่เสียใจที่สุด

“ขอโทษ”

“...”

“พี่ขอโทษ”

พี่เซียนเกลี่ยเบาๆ รอบดวงตาให้อย่างเบามือ

“อื้อ”

“ยกโทษให้กับความละเลยของพี่ได้มั้ย”

“อื้อ”

ผมพยักหน้าหงึกหงัก

“ยกโทษให้..” ผมเม้ปากแน่น “แต่วันนี้ผมอยากกลับ”

“เปียว”

พี่เซียนหน้าเสีย

“ให้ผมกลับนะ ขอกลับไปตั้งสติก่อน”

“ไม่”

ผมแกะมือที่กอดรอบเอวตัวเองออกช้าๆ พี่เซียนเองก็ขืนไว้แต่สุดท้ายเพราะผมยังยื้อพี่มันเลยยอมปล่อย

“สัญญากับพี่”

“...”

“ถ้าพี่ปล่อยวันนี้ พรุ่งนี้เราจะเหมือนเดิม พี่ปล่อยวันนี้ไม่ได้หมายความว่าปล่อยตลอดไป เพราะพี่ไม่มีวันปล่อย จะไม่ปล่อยเลย...ตลอดชีวิต”

“...”

“พี่ให้ตามที่เปียวขอได้ เปียวอยากกลับ อยากคิดอะไรเงียบๆ ได้ แต่พี่ไม่ปล่อยมือเปียวแน่ๆ ไม่มีวัน”

พี่เซียนคงรู้ดีว่า...ความเชื่อใจมันต้องใช้เวลา

ความเชื่อใจเมื่อมันเคยถูกสะกิดจนเกิดรอยร้าว มันต้องใช้เวลาผสานรอยแผลนั้น


____________________
50%

ห่างกันสักพ้ากกก ห่างกันสักพ้ากกกก ฮืออออ

อีก2-3 ตอนก็จบแล้วน้า ฝากคอนเมนต์และหวีดติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ชื่นใจหน่อยค่ะ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่23 l 13/6/63 l P.9 [50%]
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 14-07-2020 02:19:07
อิพี่ จนได้    เอาจริงๆ  ถ้าเจอแบบนี้บ้างคงยิ่งกว่าเปียว
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่23 l 13/6/63 l P.9 [50%]
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 14-07-2020 09:21:57
ให้เวลาน้องตั้งสติแป๊บ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่23 l 13/6/63 l P.9 [50%]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 15-07-2020 07:49:16
โอ๊ะโอ ... ตั้งสติคิดให้ดีๆ นะน้องเปียว
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่23 l 13/6/63 l P.9 [50%]
เริ่มหัวข้อโดย: MJTogether ที่ 16-07-2020 19:50:57
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่23 l 13/6/63 l P.9 [50%]
เริ่มหัวข้อโดย: manami_01 ที่ 22-07-2020 01:18:22
โอ๊ยค้างคาค่า :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่23 l 27/6/63 l P.9 [100%]
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 27-07-2020 19:03:31
(ต่อ)

.

.

“เอ่อ น้องเปียว”

พี่เดี่ยวทำหน้าตื่นตอนที่เห็นผมเดินสวนออกมาจากห้องนอนพี่เซียน ฝ่ายนั้นคงพอจับสังเกตบรรยากาศอึมครึมนี้ได้ ผมจึงพยายามฝืนยิ้มให้พี่มันแล้วบอกขอตัวพร้อมกับยกมือไหว้พี่เดี่ยวและอาจารย์มัสลินซึ่งยืนอยู่ข้างๆ กัน มันเป็นเรื่องยากมากๆ ที่ต้องทำใจแข็งไม่หันกลับไปมองสีหน้าของคนรักรุ่นพี่ในตอนนี้ แต่ถึงจะไม่มองผมก็พอจะเดาสีหน้าพี่มันได้ว่าฝ่ายนั้นคงมีสีหน้าย่ำแย่ไม่น้อย

เอาเถอะ จะยังไงก็ตามผมขอออกไปจากความรู้สึกอึดอัดในตอนนี้ก่อน ขอกลับไปตั้งหลักตั้งสติก่อน

การที่ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันแบบนี้ทั้งที่ยังไม่เข้าใจกันดีนักมันไม่ใช่วิธีที่ดีนักหรอก สำหรับคู่รักแล้วเราควรพูดจาปรับความเข้าใจหรือหากอยากมีพื้นที่สำหรับปรับอารมณ์ ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะอยู่ห่างแบบแยกกันไปคนละที่ อย่างน้อยอาจจะอยู่คนละห้อง บริเวณใกล้กันเพื่อให้รับรู้ว่าอีกฝ่ายยังอยู่ในพื้นที่เดียวกัน เมื่อเวลาผ่านไปอารมณ์แต่ละฝ่ายเย็นลงหรือเมื่อได้ใช้เวลาทบทวนอย่างมีสติแล้ว เมื่อนั้นรอยร้าวจะถูกประสานได้ง่ายขึ้น

ผมรู้ดีว่าการแยกกันไปคนละทางทั้งที่เรายังเข้าใจกันไม่ดีนัก มันก่อให้เกิดอารมณ์อ่อนไหว ความอ่อนไหวนั่นอาจทำให้เราคิดฟุ้งซ่าน เคยมีคนพูดไว้ว่าความคิดในหัวเวลาอยู่คนเดียวมันน่ากลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาที่เราต้องห่างกันด้วยความรู้สึกที่ยังไม่เคลียร์สักเท่าไหร่ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินเอื่อยๆ ทอดน่องไปตามถนน กว่าจะรู้ตัวผมก็โผล่ไปนั่งอยู่ที่สวนสาธารณะไม่ไกลจากคอนโดพี่เซียน

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบหกโมงแล้วแต่แสงอาทิตย์ยังเจิดจ้าคงเพราะเป็นฤดูร้อนที่ทำให้ช่วงเวลากลางวันยาวนานกว่ากลางคืน สวนสาธารณะยามเย็นเช่นนี้ผู้คนค่อนข้างหนาตา เนื่องจากเป็นเวลาเลิกงานผู้คนส่วนใหญ่จึงพากันมาออกกำลังกาย บางส่วนก็มีนักเรียนนักศึกษามานั่งรวมกลุ่มทำกิจกรรมต่างๆ ผมมองไปรอบกายอย่างสนใจจนกระทั่งสายตาไปกระทบกับหญิงชราคนหนึ่งในชุดออกกำลังกาย ไม่ต้องเดาให้ยากว่าหญิง้สูงวัยท่านนั้นคงมาออกกำลังกายเหมือนเช่นคนอื่น

แต่ที่ประหลาดจนต้องสะดุดใจคือท่าทางเหนื่อยหอบนั่น

ผมสังเกตเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของคุณยายท่านนั้นเลยรีบปราดเข้าไปใกล้แล้วโอบไหล่เจ้าของร่างเล็กแกรนที่ยืนโงนเงนไปมาคล้ายกับจะเป็นลม

“คุณยาย”

ผมรีบประคองหญิงสูงวัยไปนั่งที่ม้านั่งก่อนจะขยับคอเสื้อแล้วล้วงเอาชีทในกระเป๋าเป้มาพัดให้คลายความร้อน หญิงชราทำตาสะลึมสะลือก่อนจะยกศีรษะขึ้นมองหน้าผมแล้วคลี่ยิ้มน้อยๆ

“ขอบใจมากนะหนู”

แกบีบมือผมเบาๆ

“คุณยายเป็นยังไงบ้างครับ”

ยังไม่ทันที่หญิงชราท่านนี้จะได้ตอบคำถามของผม ชายชราคนหนึ่งก็ปราดเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าตกอกตกใจ

“คุณเป็นยังไงบ้างคุณ”

ท่าทางชายชราท่านนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณยาย ไม่แน่อาจจะเป็นสามี

“หน้ามืดนิดหน่อย โชคดีได้เจ้าหนูนี่ช่วยเอาไว้”

คุณตาหันยิ้มให้ผม

“ขอบใจมากนะหนูที่ช่วยยายเอาไว้ เมื่อกี้ตาเผลอแป๊บเดียว ยายเดินมาซะไกลเลย”

“แหม ก็ตาน่ะมัวแต่แวะถ่ายรูปดอกไม้ ยายก็เลยเดินนำมาก่อน”

“แล้วเป็นไง เป็นลมจนได้”

ถึงคุณตาพูดทำนองบ่นแต่แววตานั่นดูหวงใยคุณยายไม่น้อยเลยทีเดียว

“หน้าซีดมากเลยนะยาย จิบน้ำสักหน่อยมั้ย เดี๋ยวตาไปซื้อให้”

คุณยายพยักหน้าหงึกหงัก ชายชราเลยหันมาฝากฝังคุณยายไว้กับผมแล้วเดินลิ่วไปยังร้านขายของไม่ไกลจากตรงนี้นัก ผมมองตามแผ่นหลังกระฉับกระเฉงของชายชราแล้วทึ่งไม่น้อย คนแก่อายุปูนนี้แล้วดูแข็งแรงอย่างไม่เชื่อเลย

“คุณตาดูแข็งแรงมากเลยนะครับ”

คุณยายยิ้มน้อยๆ ก่อนจะส่ายหัวไปมา

“จริงๆ คุณตาก็เป็นโรคนะ”

“จริงเหรอครับ ดูไม่ออกเลย”

ผมทำหน้าไม่อยากเชื่อ

“มะเร็งน่ะ”

“ครับ?”

ผมอึ้งไปพักหนึ่ง

“เป็นส่วนปอด ระยะที่สี่แล้ว”

คุณยายพูดยิ้มๆ สีหน้าดูไม่มีความเครียดกังวลใดๆ ราวกับผ่านพ้นเรื่องร้ายๆ มาจนสามารถมองชีวิตความเป็นไปได้อย่างปกติแล้ว

“นี่ก็เข้าปีที่ห้าแล้ว”

“แต่คุณตายังดูแข็งแรงอยู่เลยนะครับ คงเพราะออกกำลังกาย”

คุณยายพยักหน้าหงึกหงัก

“ก็มีส่วนนะหนู แรกๆ น่ะ ผอมโซเชียวล่ะ น้ำหนักก็ลดจนยายสงสัย เพราะคุณตาท่านไม่ยอมบอกว่าตัวเองป่วย”

“...”

“อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน เจ็บป่วยอะไรก็ไม่ยอมบอกกันได้”

ผมนิ่งไป แวบหนึ่งผมอดเปรียบเทียบกับเรื่องของตัวเองไม่ได้ สาเหตุที่ทำให้ผมมานั่งอยู่ตรงนี้ก็เพราะรู้สึกน้อยใจที่คนรักปิดบังเรื่องเจ็บป่วย อีกอย่างผมไม่ชอบความรู้สึกที่ต้องมารับรู้เรื่องของคนรักเป็นคนสุดท้าย 

ไม่ชอบเลย

“คุณยายโกรธมั้ยครับที่ตอนแรกคุณตาไม่ยอมบอก”

“จะเหลือเหรอ”

แกหัวเราะชอบใจ

“แต่ก็เข้าใจตาแกนะ ว่าแกคงห่วง กลัวยายจะคิดมาก”

“ห่วงงั้นหรือครับ”

“คนรักกันน่ะ เรื่องแบบนี้มันเรื่องปกติที่จะเข้าใจกันผิดได้ ก็เรามองกันคนละมุม ก็เขาห่วงกลัวเราจะคิดมากไปกับเขา ขณะที่เราเองก็ห่วงกลัวจะไม่ได้ดูแลเขา”

“...”

“ง่ายๆ ก็คือ ต่างฝ่ายต่างห่วงกัน เพียงแต่มองกันคนละมุม”

ผมเม้มปากแน่น

พี่เซียนเองก็คงห่วงกลัวว่าผมจะคิดมากเหมือนกันมั้ง ขณะที่ผมเองก็ห่วงกลัวว่าเขาจะเจ็บป่วยไปโดยไม่มีคนดูแล

เพียงแต่จังหวะที่ผมไปหาอีกฝ่ายเป็นจังหวะนรกที่บังเอิญรักแรกของพี่มันอยู่ด้วย

เฮ้อ

ความรักนี่หนอ น่าปวดหัวชะมัด

“คุณตาน่ะเขารู้ว่ายายโกรธที่เขาไม่ยอมบอก เขาก็มาสารภาพ ตอนนั้นนะ ทั้งน่าสงสารทั้งน่าโกรธจริงๆ”

“แต่สุดท้ายคุณยายก็หายโกรธใช่มั้ยครับ”

“หายสิ ก็รักเขาไปแล้วนี่”

ยายแกยิ้มจนเห็นเหงือก

“พอคุณตามาสารภาพยายเลยบอกแกว่า คนรักกันน่ะความเชื่อใจสำคัญที่สุด ในเมื่อเราเป็นคนๆ เดียวกันแล้ว จะทุกข์จะสุขเราต้องรับรู้และจับมือผ่านมันไปด้วยกัน”

“แล้วถ้าวันหนึ่งความเชื่อใจถูกทำให้สั่นคลอนล่ะครับ”

“จะยากอะไร ก็หันหน้ามาคุยกันสิ คิดคนเดียว แก้คนเดียวมันจะเรียกว่าคู่ชีวิตหรือลูก”

ใช่เราต้องคุยกัน

ในตอนที่อารมณ์หนักหน่วงผ่อนคลายลงเวลานั้นเราคงคุยกันด้วยเหตุผล

ไม่แปลกเลยที่ผู้สูงวัยคู่นี้จะครองรักกันมากว่าชั่วชีวิตแล้ว  ทั้งการกระทำและคำพูดนั่นเป็นเครื่องยืนยัน ดูเอาเถอะขนาดคุณยายจะดื่มน้ำคุณตายังกุรีกุจอไปซื้อมาให้ไม่พอยังแทบจะป้อนให้ถึงปาก พอคุณยายดีขึ้นก็พากันจับมือเดินเคียงกันไปโน่น  ถึงแม้จะยินเสียงบ่นไปตลอดทางแต่ผมสัมผัสได้ว่าเนื้อความนั้นเต็มไปด้วยความรักความห่วงใย

นี่แหละคนรักหรือคู่ชีวิต

มีทั้งทุกข์และสุข สมหวังและผิดหวัง แต่ก็จับมือเดินเคียงกันไป

 

 
- J E E B  -

 

 

“เปียว”

ผมสะดุ้งโหยงเพราะเดินคิดอะไรเพลินๆ อยู่ และไม่ทันสังเกตว่าตรงหน้าหอนั่นไอ้โต้งกับพี่อุ้มกำลังทำสีหน้าร้อนรนกระวนกระวายใจอยู่

“มึงหายไปไหนมาวะ กูโทรไปเป็นสิบรอบก็ไม่รับ”

เหรอวะทำไมไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์เลย ผมทำหน้างงๆ ล้วงไปในกระเป๋าแล้วเพิ่งถึงบางอ้อ

“แบตกูหมดว่ะ”

ยื่นหลักฐานที่หน้าจอดำสนิทไปให้มันดู ไอ้โต้งถอนหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้ามันดูเคร่งเครียดยังไม่ทันที่จะถามอะไรก็ถูกเพื่อนสนิทรวบตัวไปกอด

“มึงโอเคมั้ยเปียว”

ผมพยักหน้าหงึกหงักเข้าใจความห่วงใยของเพื่อนสนิท แต่พอมองเลยไหล่กว้างไปผมเห็นคนรักรุ่นพี่ยืนกอดอกหน้าเครียดอยู่ไม่ไกล ผมตบบ่าไอ้โต้งแล้วผละออก 

“พวกกูเป็นห่วงมึงมากนะเปียว”

พี่อุ้มพูดเสียงเครียดมองตามสายตาผมไป

“มันโทรหากูจนสายแทบไหม้ ถามว่ามึงถึงหอรึยัง”

พี่เซียนขยับเข้ามาใกล้ผมอย่างรวดเร็ว

“หายไปไหนมา”

พี่เซียนถามเสียงเครียด ท่าทางพี่มันดูกังวลใจไม่น้อย สายตาพี่มันมองสำรวจร่างกายผมเต็มไปด้วยความห่วงใย

“พี่เป็นห่วงมาก เปียวติดต่อไม่ได้เลย”

“แบตผมหมดครับ”

“แล้วเราไปไหนมา พี่มารอที่หอตั้งนาน”

“ผมแวะไปนั่งเล่นที่สวนสาธารณะมาครับ”

พี่เซียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะรวบตัวผมไปกอดไว้ เพราะสัมผัสร่างกายกันตรงๆ แบบนี้ผมเลยนิ่วหน้าเนื่องจากรับรู้ได้ถึงไอร้อนผ่าวที่พุ่งออกมาจากตัวพี่มัน

พี่เซียนกำลังไข้ขึ้น

ผมแตะหลังมือที่หน้าผากเพื่อเช็คอุณหภูมิร่างกาย

“กลับไปนอนพักเถอะครับ”

พี่เซียนกอดเอวผมไม่ปล่อย

“พี่กำลังไข้ขึ้นรู้ตั้วมั้ยเนี่ย”

“กูกินยาแล้ว”

ผมส่ายหน้าไปมาก่อนจะปัดแขนที่โอบเอวตัวเองเอาไว้ ก่อนจะหันไปคุยกับพี่อุ้ม

“ฝากพี่พาคนป่วยไปส่งที่คอนโดหน่อยนะครับ”

“กูไม่กลับ”

“แต่วันนี้ผมอยากพักผ่อน”

ผมกอดอกมองหน้าพี่มัน

“ถ้าวันนี้พี่กลับไปกินยานอน พรุ่งนี้ผมจะยอมคุยด้วย”

“เปียว พี่รู้พี่ผิด พี่ขอโทษ”

ผมพยักหน้ารับ

“ผมไม่ได้โกรธแล้ว”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่

“แต่ผมห่วงรู้มั้ย พี่ตัวร้อนมากนะ กลับไปนอนพักก่อนนะ”

“นอนหอมึงไม่ได้หรอ”

ผมส่ายหน้าหวือ

“คนป่วยงอแง ผมไม่คุยด้วยแล้ว”

ผมแข็งใจหันหลังเดินกลับเข้าหอไป แต่มีแวบหนึ่งแอบเอี้ยวตัวมองไปด้านหลังเห็นพี่เซียนทำหน้าเหยเกดูท่าพิษไข้จะเล่นงานไม่น้อยเลยล่ะ

เฮ้อ

ยอมรับว่าห่วงมาก

แต่อีกใจก็อยากอยู่เงียบๆ คนเดียวสักคืนก่อน

.

.

“พี่เซียนไม่ยอมกลับ”

ผมเบะปากทันทีที่อาบน้ำเสร็จแล้วเดินออกมาไอ้โต้งซึ่งเดินตามผมเข้าห้องมาด้วยตอนเข้าหอมาโพล่งขึ้น 

“แล้ว”

“พี่กูนอนอยู่ในรถใต้หอ”

“ว่าไงนะ”

ผมตาเหลือกเพราะนึกว่าอีกฝ่ายจะขึ้นมานอนที่ห้องพี่อุ้มเพื่อนสนิทซะอีก

“พี่อุ้มชวนขึ้นมาแล้ว”

“...”

“แต่พี่เซียนไม่ยอมขึ้นมาว่ะ บอกจะรอมึง”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินไประเบียงพอเปิดประตูออกไป รถของพี่เซียนจอดใต้หอผมจริงๆ ว่ะ

แม่ง

คนป่วยอะไรทำไมดื้อแบบนี้วะ

ผมขยี้หัวตัวเองแรงๆ ก่อนจะทำทีไปเดินคว้าเอาชีทเรียนมาอ่าน ท่ามกลางสายตาฃเอือมระอาของไอ้โต้ง

“พี่มันเป็นไข้นะมึง”

“อือ”

“ไข้กำลังขึ้นด้วย”

“ก็กูบอกให้เขากลับไปพักที่คอนโดแล้วนี่”

“มึงก็รู้ว่าเขามาง้อมึง”

“...”

“จะใจแข็งไปไหนวะ”

“...”

“พี่เซียนไม่ได้อยู่กับอาจารย์มัสลินสองต่อสองนะเว้ย จริงๆ พี่เดียวก็อยู่ด้วย แต่พี่แกกลับไปเก็บหนังสือที่ห้องจังหวะที่มึงมาพอดี อีกอย่างที่อาจารย์มัสลินรู้ว่าพี่เซียนป่วยเพราะบังเอิญวันก่อนมีเลี้ยงข้าว พี่เซียนไม่ได้บอกใครด้วยซ้ำว่าไม่สบาย”

“...”

“เฮียกูอาจจะผิดที่ไม่บอกมึง แต่เขากลัวมึงเป็นห่วงนะเว้ย”

“...”

“ก็ช่วงนี้มึงว่างซะที่ไหน วิ่งวุ่นส่งข้าวช่วยรุ่นพี่แทบไม่มีเวลาว่างเลย พี่มันเลยไม่อยากกวนมึง”

“แต่เรื่องแบบนี้สำหรับคนรักกัน มันไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยว่ารบกวนกันหรอกนะ”

ไอ้โต้งขยี้ศีรษะตัวเองแรงๆ

“เออแล้วแต่มึงแล้วกัน”

“...”

“แล้วโทรศัพท์มึงอ่ะ หัดเช็คซะบ้างนะ”

พูดจบมันก็เปิดประตูเดินออกไป ไม่นานก็ได้ยินเสียงประตูห้องพี่อุ้มเปิดขึ้น ไอ้เพื่อนเวรมันคงเข้าห้องลุงรหัสผมไปแล้ว

ผมถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะนอนแผ่ตรงกลางเตียงอย่างหมดแรง สายตาก็เหลือบมองมือถือที่เสียบชาร์ตไฟที่หัวเตียง เลยเอื้อมมือไปกดเปิดเครื่องไม่นานหลังจากนั้นสารพัดข้อความซึ่งเป็นการแจ้งเตือนจากมือถือก็ดังไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่จะเป็นแจ้งเตือนว่าช่วงเวลาที่มือถือผมดับมีใครโทรเข้ามาบ้าง

และแจ้งเตือนจากเฟซบุ๊ค

หือ?

ผมกดเข้าไปแล้วทำหน้าไม่ถูก

 

SakanSian 

พี่ขอโทษครับ สำนึกผิดแล้ว รับโทรศัพท์พี่หน่อย @Piao.pannakit

 

เพจทวงคืนเซียนศกัณฐ์จากเปียวปัณณกิต น้องเปียวรับสายพี่เซียนหน่อยคนดี

แมนวังหินซิ่งเบาะปลิว ละแมะ ละแมะ ไม่ว่างจริงๆ 

Tichob_tichob อะหรือ อะหรือว่ามีคนอื่น

Sai_darin ฉันเกลียดการต่อเพลงนี้ 

จะชงจนกว่าจะได้พี่เซียน ถ้าน้องเปียวไม่สนใจ มาหาน้องเปรตทางนี้ได้นะคะ

Onlyพี่เซียนวิศวะฯ
  ไม่เอาๆ ไม่งอนกันน้า ดีกันนะคะ

กานซานเป็นเมียพี่เซียน
  รอรับสายพี่ทั้งคืน ไม่มีมิสคอลเลยงองมากแม่ / อุ้ยลืมไป ฉันไม่ได้ชื่อเปียว 

 

 

ผมไล่อ่านความคิดเห็นแล้วเผลอยิ้มออกมา เวลาที่โพสคงเป็นตอนเดียวกับที่ผมนั่งคุยกับคุณตาคุณยายที่สวนสาธารณะแน่ๆ ไม่รู้ว่าช่วงเวลานั้นที่ถูกตัดขาดจากโลกโซเชียลเพราะแบตหมดจะทำให้ใครคนนั้นวิ่งวุ่นสักแค่ไหน พี่อุ้มเล่าว่าพี่เซียนมาหาผมที่หอไม่เจอก็ไปหาที่คณะและสนามบอลอยู่ตั้งหลายรอบ

ป่วยอยู่แท้ๆ ยังไม่ห่วงตัวเองด้วยซ้ำ

ผมเม้มปากแน่นนึกถึงคนป่วยที่ป่านนี้คงนอนซมอยู่ในรถ

แย่มาก

โคตรแย่เลย

ผมห้ามใจตัวเองไม่ไหวผุดลุกขึ้นแล้วลากแตะหนีบวิ่งลงไปใต้หอทันที ตอนที่ไปถึงรถไปพี่เซียนจอดสนิท เปิดกระจกฝั่งคนขับลงเล็กน้อย ผมเกาะกระจกมองใบหน้าคนขับที่คงหลับสนิทเพราะอ่อนเพลียจากพิษไข้

ก๊อกๆ

เคาะกระจกรถพี่มันเบาๆ ไม่กี่ครั้ง พี่เซียนก็สะดุ้งตื่น พอพี่มันเห็นหน้าผมก็ยิ้มกว้างก่อนเปิดประตูออกมา

“ระวัง”

พี่เซียนเซเล็กน้อยจนผมต้องประคอง

“ขึ้นไปนอนห้องผม”

“ครับ”

พี่เซียนเดินตามผมอย่างว่าง่าย พอถึงห้องก็ทำตัวเหลวทิ้งตัวลงนอนที่เตียงผมทันที 

“ถ้าง่วงก็หลับซะ อย่าฝืน”

ผมบิดผ้าเช็ดหน้าเช็ดไปตามใบหน้าอีกฝ่ายเบาๆ

“ตื่นมาแล้วจะเห็นหน้ามึงรึเปล่า”

“...”

“จะไม่หนีหน้ากูแล้วใช่มั้ย”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ

“ขอโทษที่ทำให้มึงเสียใจ”

พี่เซียนเอื้อมมือมาเกลี่ยใบหน้าผมเบาๆ

“แค่น้อยใจนิดหน่อย”

“นั่นแหละ”

“...”

“ที่มึงรู้สึกแย่ๆ วันนี้ความผิดกูทั้งหมด”

“อื้อ”

“กูไม่รู้ว่าอนาคตจะทำให้มึงเสียใจอีกมั้ย มันบอกไม่ได้เลยว่าเราจะมีวันแย่ๆ แบบนี้อีกหรือเปล่า แต่ตอนนี้กูรู้แล้วว่ากูควรใส่ใจและให้เกียรติความรู้สึกมึงมากกว่านี้ เรื่องนี้กูผิดจริงที่คิดน้อย กูขอโทษ”

ผมอมยิ้มแก้มตุ่ย

“ตาจะปิดอยู่แล้ว นอนเถอะ”

“อื้อ”

“สัญญากับผมได้มั้ย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามผมอยากได้ยินจากปากพี่ ผมไม่อยากเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่องของพี่ มันเจ็บนะ”

“หายเจ็บใจ”

พี่เซียนผุดลุกขึ้นแล้วชะโงกตัวเอาริมฝีปากแตะที่หน้าอกด้านซ้ายของผมเบาๆ

ผมยิ้มน้อยๆ นั่งสางผมพี่เซียนที่นอนซุกตักผมเล่นจนพี่มันตาปรือและหลับไป โดยที่มือข้างหนึ่งของพี่เซียนยังจับมือผมอยู่ ใบหน้าคมคายที่หลับสนิททำให้หวนนึกถึงความคิดเห็นหนึ่งในสเตตัสล่าสุดของพี่เซียน

 

 
SakanSian 

พี่ขอโทษครับ สำนึกผิดแล้ว รับโทรศัพท์พี่หน่อย @Piao.pannakit

 

Daranee พี่เซียนกับน้องเปียวคือคู่จริงหรือคู่จิ้นคะ


SakanSian @Daranee
คู่จริงครับ

 


TBC.

ยิ้มส่งท้ายกับอีก 2 ตอนสุดท้ายเด้อ ยังไง ฝากคอนเมนต์และหวีดติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ชื่นใจหน่อยค่ะ

หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่23 l 27/6/63 l P.9 [100%]
เริ่มหัวข้อโดย: manami_01 ที่ 28-07-2020 22:58:29
กรี๊ดหวานเว่อ น้องเปียวพี่เซียนอย่าโกรธกันนานคนอ่านใจไม่ดี  :mew4:
แต่พอเขาหวานเบาหวานจะกิน :o8:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่23 l 27/6/63 l P.9 [100%]
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 30-07-2020 13:56:00
เข้าใจกันดีแล้ว  เย้
ขอหวานๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่24 l 3/6/63 l P.9
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 03-08-2020 21:03:20
 

- จีบที่ 24 -

 

“ตื่นแล้วก็ลุกเถอะครับ”

ฝ่ามือหนาที่กำลังสางผมเล่นอยู่เลื่อนมากระชับหัวไหล่ผมให้แน่นไปอีก นอกจากคนถูกทักท้วงจะไม่ยอมลุกง่ายๆ แล้วพี่มันกลับโอบรัดผมแน่นขึ้นดึงให้เนื้อตัวเราแนบชิดกันมากขึ้น มือหนาเปลี่ยนจากสางผมไปลูบแผ่นหลังผมเล่นแทน ตอนนี้ฟ้ายังไม่สางเลย ผมจึงแนบใบหน้าไปกับแผ่นอกที่ขยับขึ้นลงของพี่มัน เนื้อตัวพี่เซียนคลายความร้อนลงแล้วคาดว่าพิษไข้คงเริ่มคลายลง ใบหน้าคมคายที่ซีดเซียวเมื่อคืนกลับมีสีสันมากขึ้น

ไม่หายไข้ยังไงไหว ก็ผมนั่งเช็ดตัวให้เกือบทั้งคืน เพิ่งจะได้งีบหลับไม่นานนี้เอง ตอนนี้ผมเลยรู้สึกเพลียจนตาแทบปิดเพราะนอนไม่อิ่ม 

“มึงยังง่วงอยู่ไม่ใช่เหรอ”

“อื้อ”

ผมหาววอดๆ แล้วเอียงใบหน้าไปนอนซบที่ซอกคอหามุมที่คิดว่าตัวเองสบายที่สุด พี่เซียนคลายอ้อมกอดที่รัดออกหลวมๆ ทำให้ไม่อึดอัด แต่มือหนายังทำหน้าที่ลูบแผ่นหลังผมอยู่ สัมผัสเบาๆ จากฝ่ามืออุ่นๆ นั่นเหมือนการกล่อมนอน ไม่นานหลังจากนั้นผมก็ผล็อยหลับไปอีกครั้ง

“ขอบคุณที่เช็ดตัวให้กูทั้งคืนนะ”

เสียงทุ้มกระซิบเบาๆ พร้อมกับสัมผัสอบอุ่นที่หน้าผาก


.


.


ผมหลับไปอีกพักนึง ตอนที่ตื่นขึ้นมาม่านตรงระเบียงถูกเปิดออกเล็กน้อย พระอาทิตย์ขึ้นขอบฟ้าแล้วแสงของมันจึงสาดส่องเข้ามาในห้องดูเป็นเช้าที่สดใส ผมคลึงขมับตัวเองแล้วขยับตัวลุกบิดขี้เกียจ คนป่วยที่นอนร่วมเตียงกันมาทั้งคืนไม่อยู่แล้ว พอเงี่ยหูฟังดีๆ ผมได้ยินเสียงจากห้องน้ำจึงเบาใจลง ตอนที่เอื้อมมือไปเช็คโทรศัพท์นั่นแหละคนในห้องน้ำก็โผล่ออกมา

ใบหน้าคมคายเต็มไปด้วยหยาดน้ำ ร่างกายส่วนบนเปล่าเปลือยเห็นมัดกล้ามเนื้อชัดเจน ส่วนล่างมีกางเกงวอร์มเอวต่ำมากจนเห็นขนใต้สะดือที่ไล่ลงไปเรื่อยแล้วหายลับไปในกางเกงพาให้แก้มทั้งสองข้างร้อนวูบวาบ ในอกคันยุบยิบจนต้องเบือนหน้าหนี

“มึงมองนานกว่านี้ กูจะเก็บค่ามองแล้วนะ”

ผมแบะปากใส่พี่มันทันที

“ใส่เสื้อได้แล้ว เดี๋ยวก็เป็นปอดบวมตายหรอก เพิ่งหายไข้แท้ๆ ดันไปอาบน้ำซะนี่”

“มันร้อน”

 ฤทธิ์ยาคงขับให้เหงื่อออกแหละ คาดว่าตอนนี้พี่เซียนคงดีขึ้นมากแล้ว แต่เล่นไปอาบน้ำตอนเช้าขนาดนี้ผมก็อดกังวลว่าพี่มันจะไข้กลับน่ะสิ ผมส่ายหัวก่อนจะเดินลากปลายเท้าไปควานหาเสื้อยืดในตู้มายื่นให้พี่มัน   

“ใส่เสื้อเลย เดี๋ยวไข้กลับ”

พี่มันรับไปใส่ทันที จังหวะนั้นผมได้โอกาสแอบมองพี่เซียนใส่เสื้อยืด เอาจริงวิธีการสวมใส่ของแต่ละคนไม่เหมือนกันบางคนสวมที่แขนก่อนสวมหัว แต่บางคนสวมหัวก่อนแล้วจึงใส่แขน แต่ผมชอบอย่างหลังมากกว่า เพราะจังหวะการเคลื่อนไหวร่างกายแบบสวมหัวก่อนมันยังไงไม่รู้ ดูแล้วรู้สึกว่ามันเท่ดีในสายตาผม  ผมแอบมองอยู่พักหนึ่งก่อนจะแวบไปล้างหน้าแปรงฟัน 

“อ๊ะ”

ผมสะดุ้งโหยงตอนที่เดินผ่านพี่มันแล้วถูกคว้าเอวผมไปกอด

“โอ้ย”

จะหันไปต่อว่าอีกฝ่ายก็ถูกกระตุกให้ทรุดตัวนั่งลงตักอีกฝ่าย

“ทำอะไรเนี่ย”

ฟอด เต็มๆ แก้มซ้ายเลย 

ไรหนวดเหนือริมฝีปากของพี่เซียนซุกไซร้ซอกคอชวนให้จักจี้ไม่น้อย ผมหลุดขำก่อนจะเบือนหน้าหนีเพราะความรู้สึกยุบยับที่กำลังยุ่มย่ามตามใบหน้าตอนี้

“งื้อ”

คนที่ทำตัวต่างเบาะรัดผมแน่นขึ้นก่อนจะไล่ริมฝีปากมาประกบจูบที่ริมฝีปากผม แรกๆ ก็แตะทีเล่นทีจริงคล้ายกับจะแกล้ง แต่พออารมณ์ได้ที่ก็กลายเป็นจูบที่แนบสนิทมากขึ้น

“พะ พี่”

“มึงแม่ง”

พี่เซียนกระซิบชิดริมฝีปาก

“หน้าโคตรยั่ว”

ผมปรือตาหอบฮักๆ เพราะหายใจไม่ทัน 

“Do you know french kiss?”

ผมส่ายหน้าหวือ พี่เซียนยิ้มเอ็นดูมือหนาข้างหนึ่งคลึงขอบปากผมเบาๆ

“Let me teach you”

“อะไร”

อะไรคิสๆ วะ ผมรู้สึกว่าหัวสมองหมุนติ้ว ปลายนิ้วเรียวของพี่เซียนสางไปตามเส้นผมแล้วคลึงศีรษะผมเบาๆ ชวนให้ผ่อนคลาย ใบหน้าคมคายโน้มลงมาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย

“open your mouth”

ผมเผลอเปิดปาก

“good”

“อื้อ”

“good boy”

“อ๊ะ”

ผมสะดุ้งโหยงตอนที่ริมฝีปากพี่เซียนแทรกเข้ามาในปากแล้วดูดดึงเกี่ยวปลายลิ้นเล่นคล้ายจะหยอกกัน ความรู้สึกร้อนวูบวาบแล่นไปทั่วร่างกาย ยิ่งตอนที่แผ่นหลังสัมผัสกับเตียงเพราะถูกดันตัวให้ล้มลงนอนราบโดยที่อีกฝ่ายขยับกายขึ้นมาคล่อมทับ

“เปียว”

“อื้อ”

แววตาของพี่เซียนคล้ายกับหลุมดำที่ดึงดูดให้ผมตกหลุมพลาง ในอกผมวาบหวามบอกไม่ถูกยิ่งสบสายตากับพี่เซียนในระยะประชิดเช่นนี้  ผมเห็นความปรารถนาในแววตาคู่นี้ ความรู้สึกที่ทำให้รู้สึกปวดหน่วงที่ช่องท้อง สติผมคงเตลิดไปไกล จนกระทั่งสัมผัสจากฝ่ามือหนาที่ล้วงเข้ามาในเสื้อนอนแล้วสะกิดตรงยอดอกผมเบาๆ

“อ๊ะ”

มือร้ายกาจขยี้ยอดอกไม่เบามือนัก ขณะเดียวกันริมฝีปากก็ยังทำหน้าที่ได้ดีด้วยการไล่เลาะไปตามใบหน้าและไล่ลงมาที่ซอกคอและหัวไหล่  มือผมปะป่ายไปทั่วจนกระทั่งพี่มันรวมมือผมไปจับเอาไว้ด้วยมือเดียว   

“พี่”

“ครับ”

“ผะ ผม”

ผมไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกตอนนี้มันคืออะไร บอกไม่ถูก ทั้งร้อน ทั้งหวั่นไหว ทั้งกระหายอยากและขัดเขิน ทุกอย่างมันปั่นป่วนไปหมด ชวนให้มึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก พี่เซียนกดยิ้มมุมปากแล้วขยับมาจูบซับที่ขมับอย่างนุ่มนวล ก่อนจะคว้ามือข้างหนึ่งของผมไปแปะที่กึ่งกลางร่างกายของตัวเอง

“พี่เซียน”

ผมหน้าตื่นรีบถอยมือกลับ แต่พี่มันยังจับมือผมไม่ยอมปล่อย ไม่ต้องส่องกระจกผมก็คาดเดาสีหน้าตัวเองได้ว่าใบหน้าคงร้อนผ่าวและแดงก่ำขนาดไหน แทบจะกลั้นลมหายใจเมื่อสัมผัสได้ว่ากึ่งกลางร่างกายพี่มันพองตัวและร้อนผ่าว

ปฏิกิริยานั้นบ่งบอกว่าอีกฝ่ายกำลังต้องการ

พี่เซียนมีอารมณ์

ส่วนผมเอง...

“อ๊ะ”

ก็โคตรมีอารมณ์

“ว่าไงเด็กดี”

“...”

“มึงตัวสั่น”

ไม่ใช่สั่นธรรมดา แต่โคตรสั่นเลย สั่นจนพี่มันต้องกอดเอาไว้เบาๆ 

“พี่”

ผมละล้ำละลักเรียกชื่ออีกฝ่าย

“ชูว์ ใจเย็นๆ”

พี่เซียนหยุดมือข้างที่ระรานร่างกายผมเปลี่ยนเป็นลูบหลังผมคล้ายจะปลอบ

“ไม่เป็นไร”

“อื้อ”

“ถ้ามึงไม่พร้อม...”

ผมส่ายหน้าหวือรีบซุกใบหน้าตัวเองไปที่แผ่นอกพี่มันแล้วถูใบหน้าไปมา

“ผมไม่ได้รังเกียจพี่นะ”

“กูรู้”

พี่เซียนลูบศีรษะผมเบาๆ

“แต่ แต่ร่างกายผมเป็นอะไรไม่รู้”

ผมพูดเสียงสั่น

“ใจเย็นๆ”

“มันสั่นไม่หายเลย”

ผมทำหน้าเหมือนจะร้อง พี่เซียนเลยหัวเราะออกมา

“ไม่เป็นไร”

“...”

“รอให้มึงพร้อม”

“ตอนนี้ก็พร้อมเหอะ”

ผมคว้าปากตัวเองไม่ทันจึงโพล่งออกไปแบบนั้น พอหลุดปากไปแล้วจึงหลับตาปี๋หนีอายด้วยการซุกไปที่อกกว้าง 

พูดได้ไงวะ

ไอ้เปียว มึงพูดไปแล้วว่าอยากเสียตัว ห่าเอ้ย

“มึงนี่มัน”

พี่เซียนทั้งขำทั้งมันเขี้ยวจึงบีบแก้มผมเล่น

“รู้ตัวมั้ยว่าพูดอะไรออกมา”

“แมวพูด”

ผมปฏิเสธรัวๆ

“แมวตัวที่นอนซุกกูนี่อ่ะเหรอ”

ผมแกล้งเงียบ พี่เซียนคลึงไหล่ผมเล่น

“มึงเข้าใจความหมายของคำว่าพร้อมมั้ยเปียว”

“...”

“ไม่ใช่แค่พร้อมทั้งกายและใจนะ”

“...”

“ความหมายตรงๆ คือมึงพร้อม...”

ผมผวาปิดปากพี่เซียน ฝ่ายนั้นเลยจูบฝ่ามือผมทีนึง สายร้อนแรงนั่นทำเอาผมตัวสั่นขึ้นมาอีกครั้ง พี่เซียนยิ้มร้ายๆ ก่อนจะขยับมากระซิบข้างหูต่อท้ายคำพูดนั้นให้สมบูรณ์

“แม่ง”

ผมทำหน้าฮึดฮัดใส่อีกฝ่าย ก่อนจะผวาลุกหนี ท่ามกลางเสียงหัวเราะของพี่เซียนที่ไล่หลังมาติดๆ ผมซอยเท้าหนีเข้ามาในห้องน้ำ ครั้งนี้ผมเห็นสีหน้าที่ปรากฏในกระจกแล้วยืนอึ้ง ใบหน้าแดงก่ำเต็มไปด้วยอารมณ์และความต้องการ ทั้งสีหน้าและแววตา

แม่งเอ้ย

โคตรแรดเลยไอ้เปียว

ผมขยี้ศีรษะตัวเองแรงๆ แล้วหวนนึกถึงคำพูดที่พี่เซียนกระซิบข้างหูเมื่อกี้

‘ความหมายตรงๆ มันคือมึงพร้อมจะเป็นเมียกู’

เมีย

เมีย

เมียพ่องงงงง

ห่าเอ้ย...หัวใจเต้นแรงมาก


.


.


เช้าวันนั้นผมกับพี่เซียนเดินมาหาอะไรกินแถวร้านใกล้หอ ผมเลยพาพี่มันไปกินร้านไข่กระทะร้านโปรดของผม นอกจากขายไข่กระทะแล้วยังมีเมนูข้าวต้มและอาหารง่ายๆ แต่อร่อยสุดๆ ดีว่าวันนี้คนไม่เยอะเท่าไหร่ ปกติผมไม่เคยได้นั่งกินในร้านหรอก เพราะโต๊ะไม่พอนั่ง เช้าๆ อย่างนี้มีลูกค้าค่อนข้างหนาตา เลยต้องซื้อไปกินที่หอประจำ แต่วันนี้ท่าจะฤกษ์ดีถึงมีที่นั่ง

หลังจากสั่งเมนูที่ชอบให้ตัวเองและพี่มันไปแล้ว  รอไม่นานของกินที่ต้องการก็มาเสิร์ฟ ท่าทางพี่เซียนดูจะชอบใจไม่น้อยถึงแม้จะไม่ได้เอ่ยปากอะไรแต่ผมเห็นพี่มันยิ้มพอใจนิดๆ พี่มันคงไม่รู้ตัวว่าขนาดใส่เสื้อบอลกับกางเกงบอลเก่าๆ ผมไม่เซ็ท หน้าก็สดมานั่งกินข้าวเช้าสภาพชิลขนาดนี้ นิสิตสาวโต๊ะข้างๆ กันยังแอบมองขนาดนี้

หมั่นไส้ว่ะ

“ทำหน้าอะไรของมึง”

พี่เซียนเงยหน้าจากจานข้าวมาหรี่ตามองซึ่งผมเพียงแค่ยักไหล่ ก่อนจะมองไปรอบๆ แล้วสะดุดตากับคนคู่หนึ่ง 

“พี่อุ้ม”

ผมโบกมือทักทายพี่อุ้มและหันไปยิ้มแปลกๆ ให้ไอ้โต้งที่เดินเคียงข้างลุงรหัสผมมาด้วย

เดี๋ยวนะ

ผมจำได้ว่าเมื่อคืนไอ้โต้งอยู่ห้องพี่อุ้ม นี่อย่าบอกนะว่า

“เมื่อคืนมึงนอนห้องพี่อุ้มเหรอ”

ผมหันไปกระซิบกระซาบไอ้โต้งตอนที่สองคนนั้นเดินมานั่งร่วมโต๊ะ ไอ้เพื่อนเวรนอกจากจะไม่ตอบคำถามแล้วยังยักไหล่ทำท่ามีลับลมคมใน

“กูไปซื้อน้ำก่อนนะ”

พี่อุ้มลุกไปซื้อน้ำ ขณะที่เพื่อนผมเดินไปสั่งข้าว ผมมองตามทั้งคู่ไปแล้วหันมาสบตากับพี่เซียนที่หันมาทางนี้พอดี

“แปลกๆ”

“ใช่”

“สองคนนั้นต้องมีซัมธิงแน่ๆ”

“กูหมายถึงคอมึง”

“เกี่ยวอะไรกับคอผม”

ผมทำหน้างง

“คอมึง...” พี่เซียนชี้นิ้วไปยังต้นคอผม “มีรอยดูด”

“เชี่ย”

ผมตาเหลือกรีบตะปบต้นคอตัวเอง

“ระ รอยใหญ่มั้ย”

พี่เซียนพยักหน้าหงึกหงัก

“แล้วทำไมไม่บอกผมวะ” ผมทึ้งศีรษะตัวเองแรงๆ คว้าเอาคอเสื้อมาปิดรอยดังกล่าว “พี่แม่ง เพราะพี่คนเดียวเลย”

“แน่สิ”

พี่เซียนรับคำยิ้มๆ

“ใครจะดูดคอมึงได้นอกจากกู”

“โว้ย”

ผมค้อนให้พี่มันแล้วขยุ้มคอเสื้อตัวเองอยู่อย่างนั้นจนไอ้โต้งเดินกลับมา มันมองท่าทางประหลาดของผมแล้วแสยะยิ้ม

“คอมึงเป็นไร”

“กูนอนตกหมอน”

“จริงเปล่า”

ไอ้เพื่อนเวรแกล้งหรี่ตาจับผิด ผมเลยเนียนทำไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะรู้สึกถึงเงาดำขยับมาใกล้แล้วไอ้โต้งก็กระชากมือที่ปิดต้นคอของผมออก

“เชี่ย”

ผมตาเหลือก

“ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่หว่า”

“ฮะ”

ผมหันขวับไปมองหน้าพี่เซียน ซึ่งฝ่ายนั้นเพียงแค่ยักไหล่ให้

“พี่แกล้งผมเหรอ”

พี่มันยิ้มกลายๆ เป็นการยอมรับ

“นิสัยว่ะ”

ผมค้อนให้ทีนึง นึกโล่งใจที่ไม่มีร่องรอยหลักฐานประจานตัวเองต่อหน้าคนอื่น โดยเฉพาะคนอื่นที่ขี้แซวแบบไอ้ห่าโต้งนี่ด้วย

“กลัวกูจะเห็นว่าพี่เซียนทำรอยที่คอมึงเหรอ”

ผมตาโตอ้าปากค้างเลย อิห่าโต้งเดาแม่นเกินไปแล้ว ผมแกล้งทำเนียนไม่ตอบมัน แต่เพราะมันเล่นจ้องเอาจ้องเอาแบบนี้ ใบหน้าผมจึงขึ้นสีแดงก่ำเป็นคำตอบ

“เลิกแกล้งแฟนกูได้แล้วไอ้โต้ง”

พี่เซียนเอ่ยปรามน้องคณะตัวเอง

“โธ่เฮีย แฟนเฮียก็เพื่อนผมเถอะ”

“นั่นแหละ กูแกล้งได้คนเดียว”

ผมหันไปแลบลิ้นใส่ไอ้โต้ง และยิ้มแยะใส่มันด้วย

“ส่วนมึง”

พี่เซียนบีบแก้มผมเบาๆ

“ทำไมอ่ะ”

“อย่ายิ้ม...”

ผมทำหน้างง

“อย่ายิ้มเยอะ...”

“...”

“กูจ้อง’ฟัน’ มึงอยู่”

“ฟันที่เป็นนาม”

ไอ้โต้งสอดปากถาม พี่เซียนหันมามองหน้าผมแล้วพูดยิ้มๆ ว่า

“ฟันที่เป็นกิริยาดิ”

เลว

เลวมาก

ผมเขินจนจะมุดโต๊ะ พอเพราะจังหวะนั้นพี่อุ้มแม่งเดินกลับมาพร้อมน้ำในมือพอดี พี่มันเลยขำก๊ากไม่ต่างจากไอ้โต้งที่ถึงกับยกนิ้วโป้งให้ไอ้พี่เซียน

แม่งเอ้ย

ผมหน้าร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อเช้าที่ทำร่วมกับพี่เซียน

ฟันแบบกิริยาห่าอะไรล่ะ

ผมไม่ยอมง่ายๆ หรอก ฮึ้ยย เมื่อเช้าก็แค่เผลอปากไปว่าพร้อมก็เท่านั้นเอง ผมไม่มีสติเหอะ จริงๆ นะ

 

- J E E B-

 

[โต้ง]

 

ผมไม่รู้ว่าควรนิยามอารมณ์ตอนนี้ของผมว่ายังไงดี

การได้เห็นคนที่รักนั่งละเอียดเมนูที่ชอบ ได้ฟังเขาหัวเราะให้กับรายการตลกทางโทรทัศน์ หรือการที่อีกฝ่ายกำลังพันเทปคิเนซิโอเทป (Kinesio Tape) หรือที่พี่อุ้มอธิบายให้ผมเข้าใจง่ายๆ ว่าเทปบำบัดอาการบาดเจ็บ เพราะก่อนหน้านี้ผมลื่นล้มตรงสนามซ้อมคทากรดีว่าเป็นพื้นสนามหญ้า แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกปวดเข่าตุบๆ จนต้องขอพัก ระหว่างนั้นพี่อุ้มแวะมาหาที่ซ้อมพอดี พี่มันเห็นนั่งประคบน้ำแข็งอยู่อีกฝ่ายเลยคว้าเทปมีลวดลายขึ้นมาจับๆ คลำๆ ตรงหัวเข่าก่อนจะลงมือแปะเทป ผมไม่รู้ว่าวิธีการแปะแบบนี้คืออะไร ถ้าให้เดาคงไปตามลายกล้ามเนื้อที่ได้รับบาดเจ็บล่ะมั้ง

สีหน้าพี่อุ้มตอนที่แปะเทปให้ดูตั้งใจมากๆ อีกอย่างผมเห็นแววตาเป็นห่วงในสายตาคู่นี้ มันทำให้ผมใจฟูมากจริงๆ

“ทำไมชื่อเทปถึงฟังอยู่เหมือนค่ายรถของญี่ปุ่นล่ะครับ”

ผมชวนอีกฝ่ายคุย

“คนคิดค้นเป็นดร.ชาวญี่ปุ่น”

“อ๋อ”

ผมพยักหน้าหงึกหงัก

“แล้วมันต่างจากเทปทั่วไปยังไง หรือมียาช่วยลดอาการปวดในตัว”

พี่อุ้มส่ายหัว

“ไม่มีตัวยาอะไรหรอก”

“อ้าว”

คราวนี้พี่อุ้มเงยหน้าจากเข่าผมแล้วยิ้มน้อยๆ

“ผลลัพธ์มันอยู่ที่การติดเทปอย่างถูกวิธี”

ผมทำหน้างงกว่าเดิม

“ตามทฤษฎีเค้าว่าเทปมันติดเพื่อยกผิวหนังส่วนที่บาดเจ็บขึ้น เป็นการกระตุ้นการไหลเวียนของเหลวใต้ผิวหนังส่วนนั้น อีกอย่างมันพยุงข้อต่อด้วย”

พี่อุ้มพูดไปมือก็ติดเทปให้ผมไปด้วย

 “พูดง่ายๆ คือมันช่วยลดอาการปวด และบำบัดของอาการบาดเจ็บไปในตัว”

“...”

“มึงประคบน้ำแข็งมันก็ดีอยู่หรอก แต่อีกวันสองวันก็งานบอลแล้ว มึงคงพักส่วนที่เจ็บไม่ได้ อีกอย่างรุ่นพี่คทากรคงซ้อมมึงหนักแน่ๆ ช่วงนี้ พันเทปช่วยอีกทางแล้วกัน เทปมันยืดหยุ่นพอสมควร มึงจะได้เคลื่อนไหวร่างกายได้สะดวก”

“พี่ห่วงผมเหรอ”

ปลายนิ้วที่แตะเทปอยู่ชะงักไป เพราะผมไม่ได้คาดหวังกับคำตอบของพี่อุ้ม ผมถึงอึ้งไปเมื่อได้ยินเสียงงึมงำในลำคออีกฝ่าย

“อืม”

“อืมแปลว่าอะไรครับ”

ผมแกล้งถามอีกฝ่าย พี่อุ้มเงยหน้าจากหัวเข่าแล้วสบตาผม พอเห็นสายตาผมจับจ้องอยู่ฝ่ายนั้นก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น

“ถ้าโง่นัก ก็อย่ารู้เลย”

“เปลี่ยนเรื่องเก่ง โอ๊ย”

พี่อุ้มหยิกเนื้อตรงต้นขาผมทีหนึ่งแรงๆ

“เจ็บนะครับเนี่ย”

“มึงอยากโดนอีกข้างมั้ยล่ะ”

พี่อุ้มแบะปากใส่ ก่อนจะชะงักไปเมื่อผมมองอีกฝ่ายนิ่งเหมือนรอคอยคำตอบที่อยากได้ยิน

“เออ”

“...”

“กูห่วง”

ผมเอื้อมมือไปบีบมือพี่อุ้มข้างที่แตะหัวเข่าผมอยู่แล้วบีบเบาๆ ผมขอเข้าข้างตัวเองว่าแววตาสั่นไหวนั่นเป็นเพราะพี่อุ้มเป็นห่วงผม

“ผมดีใจโคตรๆ เลยรู้ป่ะ”

“อย่าทำตัวเองให้เจ็บอีก”

พี่อุ้มพูดเสียงสั่นมือนุ่มนิ่มลูบตรงที่เจ็บอย่างแผ่วเบา

“จะพยายามครับ”

“...”

“แล้วถ้าผมเจ็บอีกล่ะ”

ผมเกลี่ยแก้มขาวอย่างเอ็นดู

“พี่จะติดเทปให้ผมอีกมั้ย”

พี่อุ้มเม้มปากแน่น

“ติดสิ”

“...”

“จะติดจนกว่าจะหาย”

อดใจไม่ไหวแล้ว

ผมขอเอาแต่ใจตัวเองด้วยการโน้มใบหน้าไปใกล้แล้วกดจูบริมฝีปากอีกฝ่ายที่เงยขึ้นมารับพอดี ผมจับปลายคางพี่มันดันขึ้นแล้วบดริมฝีปากไล่เลาะไปตามขอบปากอย่างย่ามใจ นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่อ้อนจนอีกฝ่ายยอมให้ค้างด้วย ถึงแม้ผมจะนอนโซฟาแต่พี่มันนอนเตียงก็เถอะ

ผมคงต้องขอบคุณความยับยั้งช่างใจของตัวเองเมื่อคืนที่ผ่านมา เพราะตอนนี้ผมกำลังได้รับรางวัลที่โคตรคุ้มค่ากับความอดทนตลอดค่ำคืนที่ผ่านมา พี่อุ้มโอนอ่อนไปตามสัมผัสของผมอย่างเต็มใจ ผมได้เรียนรู้แล้วว่าบางสิ่งบางอย่างต้องใช้เวลาถึงจะได้รับมา และเมื่อนั้นมันจะมีคุณค่ามากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้รับมาจากคนที่รักี่ซึ่งให้อย่างเต็มใจ

“หนังสือเล่มนี้หวานจัง”

ผมกระซิบชิดริมฝีปากพี่มัน

“งื้อ”

“...”

“ค่อย”

“...”

“ค่อยๆ เปิดอ่าน”

พี่อุ้มกำคอเสื้อผมพูดเสี้ยงอู้อี้

“ครับ ผมจะทะนุถนอมหนังสือเล่มนี้ให้ดี”



TBC.

แหน่ะ รู้น้าว่ารอฉากอะไรกัน 555555555555

ตอนหน้าก็เป็นบทส่งท้ายแล้วน้า มาลุ้นว่าจะได้อ่านฉากที่ลอยคอ เอ้ย รอคอยมั้ย 55555555555

หวีดในทวิตติดแท็ค #ชอบก็Jeeb เป็นกลจ.ให้เราด้วยน้า

หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่24 l 3/6/63 l P.9
เริ่มหัวข้อโดย: fammykiki ที่ 03-08-2020 21:35:20
 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่24 l 3/6/63 l P.9
เริ่มหัวข้อโดย: MJTogether ที่ 03-08-2020 21:37:27
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่24 l 3/6/63 l P.9
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 04-08-2020 06:18:56
 :hao6:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่24 l 3/6/63 l P.9
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 04-08-2020 07:28:09
พี่เซียนก็ขยันแกล้งน้องเปียวจริง  ส่วนคู่โต้ง-อุ้ม พอปรับความเข้าใจกันแล้วก็หวานเว่อร์
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่24 l 3/6/63 l P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 04-08-2020 09:52:56
รอคอย รอยที่คอ ใครจะมาก่อนกัน
ขอทั้งสองคู่เลย
ชอบๆๆๆ
 :hao7:
 
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่24 l 3/6/63 l P.9
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 06-08-2020 13:18:46
 :z3:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบที่24 l 3/6/63 l P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Plakhem ที่ 09-08-2020 21:50:40
 :katai2-1: รอๆๆๆ รอตอนต่อไป :call:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]
เริ่มหัวข้อโดย: [Karnsaii] ที่ 10-08-2020 21:05:18
จีบสุดท้าย

สนามศุภชลาศัยเช้าวันเสาร์นี้คึกคักเป็นพิเศษ เวลาเกือบสิบโมงเช้าบริเวณบีทีเอสสนามกีฬาแห่งชาติและห้างสรรพสินค้าแถบนี้คราคร่ำไปด้วยผู้คนซึ่งเป็นกลุ่มนิสิตนักศึกษาของสองมหาวิทยาลัย ฝ่ายหนึ่งสวมเสื้อบอลสีชมพู อีกฝ่ายใส่เสื้อที่แดงเหลืองซึ่งเป็นสีประจำของมหาวิทยาลัยทั้งสอง  เสียงกลองสันทนาการดังขึ้นมาเป็นระยะ ทั้งนี้มีทีมสันทนาของมหาลัยหนึ่งที่แต่งตัวเต็มไปด้วยสีสันพากันโห่ร้องและเต้นเพลงสันทนาอย่างสนุกสนานเพื่อเชิญชวนให้ผู้คนที่ผ่านไปมาเข้าร่วมงานฟุตบอลประเพณี


เกือบสิบโมงเช้าผมมายืนอยู่หน้าสนามกีฬาแห่งชาติ ปีนี้มหาวิทยาลัยผมเป็นเจ้าภาพจึงได้แสตนฝั่งร้อนคือบริเวณโซนหน้าสนามกีฬาเลย ส่วนอีกมหาลัยหนึ่งนั้นอยู่อีกฝั่งหนึ่งซึ่งว่ากันว่าเป็นฝั่งร่มเพราะเป็นทีมเยือนในฐานะแขก สายวันนี้ผู้คนค่อนข้างหน้าตาแล้ว บริเวณหน้าสนามกีฬามีบูธสินค้าและบริการที่เป็นสปอนเซอร์งานบอลมาตั้งเต้นท์แจกสินค้าและผลิตภัณฑ์กันเต็ม นอกจากนี้ยังมีพวกถุงยังชีพสำหรับขึ้นแสตน ผมลองไปสำรวจดูแล้วในถุงนั่นมีพวกน้ำ ขนมขบเคี้ยว ครีมกันแดด และพัด นอกนั้นก็เป็นบัตรกำนัลต่างๆ เอาจริงหากวันนี้ไม่ถูกเรียกตัวไปช่วยรุ่นพี่ ผมว่าจะชวนไอ้อ๋องไปขึ้นแสตนเชียร์ซะหน่อย


ผมได้ยินว่าทุกปีใครไปนั่งแสตนเชียร์ตอนจบงานจะมีจับรางวัลใหญ่แจกโทรศัพท์ยี่ห้อดังหรือไม่ก็พวกวอชเชอร์ที่พักโรงแรม โคตรเสียดายเพราะวันนี้รุ่นพี่สายรหัสผมซึ่งเป็นพี่เก่าและเป็นนักวิทยาศาสตร์การกีฬาประจำทีมฟุตบอลมหาลัยมาขอแรงไปช่วยดูเรื่องการบาดเจ็บของนักกีฬา


บริเวณหน้าสนามกีฬาเยื้องไปด้านหนึ่งมีเต็นท์ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นเต็นท์ของมหาลัยซึ่งจะมีบริการน้ำดื่มและพวกขนมขบเคี้ยว โดยคณะผมรับผิดชอบทั้งหมดเนื่องจากเป็นฝ่ายสวัสดิการ ในเต็นท์นั้นจะเห็นพวกปีหนึ่งกับปีสองประจำอยู่ไม่น้อย บางส่วนก็ไปช่วยหิ้วเอากล่องไปแจกจ่ายที่แสตน บางส่วนก็ไปส่งข้าวให้พวกคทากรและผู้นำเชียร์ซึ่งเตรียมตัวอยู่แถวๆ เพื่อรอเวลาพิธีเปิดงานตอนบ่ายโมงกว่า


“ไปไหนวะ”


ผมถามไอ้อ๋องซึ่งเดินสวนมาพอดี ก่อนหน้านี้มันคงไปส่งข้าวช่วยรุ่นพี่


“อาจารย์เรียกไปเก็บบัตรเข้างานว่ะ”


“อ๋อ”


เพราะปีนี้เป็นเจ้าภาพ หน้าที่เก็บบัตรเข้างานจึงเป็นของฝ่ายสวัสดิการคณะผม ทุกประตูที่เปิดให้เข้าชมงานในสนามกีฬาสุภชลาศัยจะต้องมีคนยืนเก็บบัตรและปั้มแขนเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าสามารถเข้าไปในสนามได้ เนื่อง


จากบัตรและที่นั่งชมมักมีจำนวนจำกัดโดยเฉพาะแสตนฝั่งร่มที่คนแห่จับจองกันแน่นขนัด ไฮไลท์ของงานฟุตบอลประเพณีสำหรับผมคือขบวนล้อเลียนการเมืองซึ่งเปิดพื้นที่ให้กลุ่มนิสิตนักศึกษาได้แสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรีภาพ และมันเป็นประเด็นหรือจุดประกายแนวคิดบางอย่างที่ขับเคลื่อนสังคมไม่มากก็น้อย ซึ่งผมชอบมากๆ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมเลือกสอบเข้ามหาวิทยาลัยนี้เพราะอยากเป็นส่วนหนึ่งในการมาร่วมอยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วย อีกอย่างที่สำคัญคือฟุตบอลนัดสำคัญระหว่างมหาลัยผมและมหาวิทยาลัยเก่าแก่แถวท่าพระจันทร์ที่ย้ายบางส่วนไปอยู่แถวรังสิต


การแข่งฟุตบอลถือเป็นไฮไลท์ของงานวันนี้เพราะเป็นคู่ชิงที่ผลัดกันแพ้ชนะกันทุกปี บอลประเพณีสำหรับคณะผมถือนัดแห่งศักดิ์ศรีเลยล่ะ เพราะนักกีฬาส่วนหนึ่งเอาจริงเรียกว่าส่วนใหญ่ก็ได้อยู่ในทีมบอลมหาลัยนี้ด้วย นักบอลส่วนใหญ่ถ้าไม่อยู่คณะผม ก็เรียนคณะครุศาสตร์สาขาพลศึกษา นอกนั้นก็เรียนคณะแถวฝั่งใหญ่ประปราย ซึ่งก่อนการแข่งขันนักบอลมหาลัยจะถูกเรียกมาซ้อมกันอย่างหนักหน่วง ดังนั้นพวกปีหนึ่งและปีสองคณะผมเลยถูกรุ่นพี่เรียกมาช่วยดูแลนักกีฬา   


อีกอย่างคณะผมมีกิจกรรมบังคับสำหรับนิสิตที่จะออกฝึกประสบการณ์วิชาชีพในตอนปีสี่ว่าในช่วงตั้งแต่ปีหนึ่งถึงปีสามต้องเก็บชั่วโมงฝึกงาน  ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมที่สำคัญคือการมาประจำทีมกีฬาและใช้ความรู้ที่เรียนมาดูแลนักกีฬาในเบื้องต้น บางทีก็เป็นผู้ช่วยนักวิทยาศาสตร์ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นรุ่นพี่คณะที่จบไปแล้วดูแลเรื่องการบาดเจ็บของนักกีฬา


พี่อุ้มเองก็ถูกอาจารย์เรียกมาช่วย เพราะผู้ช่วยจัดทีมฟุตบอลมหาลัยนี่ดันเป็นอาจารย์คณบดีที่คณะผมเอง ดังนั้นนิสิตที่คณะจึงถูกเกณฑ์มาช่วย โดยเฉพาะสำหรับใครที่อยากเก็บชั่วโมงฝึกงานด้วย มันเป็นงานที่ไม่ได้ยากลำบากนักหรอก เพราะพวกนิสิตเด็กๆ ยังไม่ได้ทำอะไรจริงจังมากนัก มีบ้างที่รุ่นพี่นักวิทยาศาสตร์การกีฬาเรียกไปดูเคสอย่างการปฐมพยาบาลเวลานักกีฬาบาดเจ็บ


กีฬาแต่ละประเภทมีการใช้กล้ามเนื้อแตกต่าง รวมถึงมีรูปแบบและวิธีการเล่นที่ใช้ทักษะต่างกันไป ดังนั้้นกล้ามเนื้อที่ใช้งานและอาการบาดเจ็บก็จะแตกต่างกันไป ผมสังเกตว่าขาและข้อเท้าเป็นอวัยวะที่สำคัญของนักฟุตบอล เวลาเจ็บมาที่มันส่งผลต่อการเคลื่อนไหวและเป็นอุปสรรคต่อเกมการแข่งขันมากๆ


“ประตูเปิดบ่ายโมงไม่ใช่เหรอ”


“อาจารย์เรียกประชุมน่ะ”


เพื่อนข้างห้องผมตอบ 


“มึงไปเก็บบัตรกับกูมั้ย”


ผมส่ายหน้าไปมา


“ต้องช่วยพี่อุ้มว่ะ”


“พวกนักบอลมาแล้วนี่”


อ๋องมันพยักพเยิดไปในสนามซึ่งด้านในมีห้องพักของนักกีฬา


“คงยืดกล้ามเนื้อกันอยู่”


“เดี๋ยวอีกสักพักพี่อุ้มคงโทรมาเรียก”


“งั้นมึงนั่งแจกน้ำที่ซุ้มไปก่อน”


ไอ้อ๋องบุ้ยปากไปด้านหลังที่เพื่อนๆ ปีหนึ่งกำลังแจกน้ำคนที่มาร่วมงาน


“เดี๋ยวกูไปประชุมก่อน”


“เออ”


ผมลากเท้าเดินไปนั่งแปะในซุ้ม ระหว่างนั้นเพื่อนๆ ก็ส่งขนมสารพัดมาให้กินเนื่องจากเป็นของแจกจากสปอนเซอร์ถือเป็นสวัสดิการให้นิสิตที่มานั่งเฝ้าซุ้มแจกของด้วย ระหว่างนั่นผมนั่งเล่นมือถือไปเรื่อยจนกระทั่งพี่เซียนไลน์มาหา ผมรู้ว่าพี่เซียนมาถึงตั้งแต่เช้าเพราะต้องแต่งตัวและต้องซ้อมอีกรอบ ตอนนั้นผมเหลือบตามองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาเที่ยงกว่าๆ แล้ว ตอนนี้นิสิตนักศึกษาเริ่มทยอยมาจนเต็มพื้นที่โดยรอบของสนามกีฬา


“ตั้งขบวนแล้ว”


ใครบอกคนพูดขึ้น ผมเลยผุดลุกขึ้นเดินตามเพื่อนบางส่วนไปยังประตูใหญ่ของสนามกีฬา บริเวณนั้นเต็มไปด้วยผู้คน ทั้งคนทั่วไป และนิสิตที่ยืนถ่ายรูปกันเต็ม ในกลุ่มคนเหล่านั้น ผมเห็นพี่เซียนและไอ้โต้งรวมถึงรุ่นพี่คทากรยืนอยู่ในขบวน นอกจากกลุ่มคทากรแล้วยังมีผู้นำเชียร์ ผู้นำนิสิต และกลุ่มนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์กลุ่มใหญ่ในชุดนิสิตเรียบร้อยกำลังแบกเสลี่ยงอัญเชิญตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย


ผมแอบตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า กลุ่มมากมายมารวมกันอยู่ที่เดียวกัน งานบอลที่นิสิตทั้งมหาลัยเตรียมงานกันมาตลอดหลายเดือนเพื่อวันนี้วันเดียว คณะผมที่ส่งข้าวส่งน้ำมาตลอดหลายเดือน วันนี้ก็จะได้ทำหน้าที่สวัสดิการวันสุดท้ายแล้ว 


ไอ้โต้งหันมาทางนี้พอดีผมเลยโป้งมือให้ วันนี้เพื่อนผมแม่งโคตรหล่อ มันเซ็ตผมและแต่งหน้าอ่อนๆ อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเนื้อ มือข้างหนึ่งควงคทาอยู่ มันยิ้มให้ผมเสียกว้างก่อนจะขยับปากถาม ผมเดารูปปากที่ขยับของมันได้ว่า อีกฝ่ายคงถามถึงพี่อุ้ม ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบแรงสะกิดที่หัวไหล่เบาๆ ทำให้หันกลับไปมอง ผมทำตาปริบๆ เมื่อเห็นพี่เซียนมาหยุดอยู่เบื้องหน้า 


ไม่อยากสบตาเลยว่ะ


วันนี้พี่เซียนแม่ง...หล่อเกินไป


อีกอย่างคือการที่พี่มันเดินแหวกกลุ่มคนมาหาผมเนี่ยแหละ ผมหันซ้ายหันขวาคว้าข้อมืออีกฝ่ายพาเดินไปมุมที่คนบางตาสักหน่อย เอาจริงตรงนี้คนก็ไม่น้อยลงหรอก เพราะมีกลุ่มนิสิตยืนถ่ายรูปพวกคทากรกันเต็ม ผมมองสำรวจร่างกายของคนรักรุ่นพี่ในชุดเสื้อเชิ้ตที่ดำคาดชมพู เครื่องแบบต่างจากไอ้โต้งเพราะเป็นรุ่นพี่คทากร ใบหน้าพี่เซียนเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ยิ่งใส่เสื้อผ้าหนาแบบนี้ด้วย ผมเลยควักผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่ออีกฝ่ายให้


พี่เซียนยิ้มกว้างจนตาหยี


“ขอบคุณครับ”


“อื้อ”


“ไปกับกูมั้ย” พี่มันปุ้ยปากยังกลุ่มรุ่นพี่คทากรรุ่นก่อนๆ  ที่มาร่วมงานนี้ด้วยเหมือนกัน “ไปอยู่กับรุ่นพี่กู”


“ไม่เอาหรอก”


พี่ส่ายหน้ายิ้มๆ ผมมองหน้าคนที่แสดงออกว่างอแงเต็มแก่ เพราะพี่เซียนรู้ว่าผมต้องไปอยู่ใกล้พี่ปั๊บ พี่เซียนบ่นๆ ในตอนแรกแต่พอพี่มันรู้ว่าพี่อุ้มเองก็อยู่ด้วยเลยเบาใจลงหน่อย


“วันนี้สู้ๆ นะ”


ผมเห็นแววตาเป็นประกายของอีกฝ่าย ทั้งที่สีหน้าดูเหนื่อยล้าคงเพราะเมื่อคืนแทบไม่ได้นอน วันนี้ก็ตื่นแต่เช้า จบงานนี้ผมว่าพี่มันสลบแน่


“มึงเองก็ด้วย”


พี่เซียนโยกศีรษะผมไปมา เพราะรู้ดีว่าเราต่างคน ต่างไปทำหน้าที่ของตัวเอง


“เลิกงานแล้วมีคอนเสิร์ตหน้าแสตนเชียร์ด้วยนะ”


“คอนเสิร์ตเหรอครับ”


“อือ”


“ไปนั่งฟังเพลงด้วยกันนะ”


“ครับ”


ผมยิ้มรับก่อนจะตัดใจผละออกมาจากอีกฝ่าย เพราะพี่อุ้มโทรตามแล้ว ผมหันกลับไปมองพี่เซียนอีกครั้งแล้วยิ้มน้อยๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าวันหนึ่งจากคนรู้จัก เราจะผูกผันจน้กลายเป็นคนรู้ใจ พี่เซียนตอนอยู่ท่ามกลางผู้คนโคตรโดดเด่น เด่นจนไม่กล้าคิดเลยว่าพี่มันจะสนใจคนอย่างผมได้


แต่สุดท้ายเราก็จับมือกันมาได้ถึงทุกวันนี้


ขอบคุณมาก...ที่พี่มันกล้าพอจะมือผมท่ามกลางสายตาคนไม่น้อย ผมยิ้มน้อยๆ  แตะข้อมือตัวเองข้างที่พี่มันกุมทับเมื่อกี้


การจับมือกันในที่สาธารณะ มันคือการบอกกลายๆ แล้วว่าเราสำคัญต่อกันแค่ไหน


“ขอบคุณมาก...ไอ้พี่ยักษ์”


ผมโบกมือให้พี่มันที่หันมาทางนี้พอดี พี่เซียนโบกมือตอบผมพร้อมรอยยิ้มท่ามกลางเสียงโห่แซวจากคนรอบทิศ แน่นอนว่ามันทำให้คนหน้าบางอย่างผมหน้าแดงวาบจนต้องหันหลังเดินหนี


เขินโว้ย




.


.




“Baka...”


กลุ่มนักบอลมหาลัยกอดคอบูมมหาลัยเสียงดังลั่นเพื่อปลุกขวัญกำลังใจไม่ต่างจากพวกผู้จัดการทีม และกลุ่มนักวิทยาศาสตร์การกีฬา นักกายภาพ และกลุ่มวิชาชีพอื่นๆ ที่มีส่วนร่วมในการดูแลนักกีฬา ผมเห็นความฮึกเหิมในแววตาของกลุ่มคนเหล่านั้นแล้วรู้สึกตื่นเต้นไปด้วย


ไม่รู้หรอกว่าผลจะออกมาแพ้หรือชนะ


อย่างน้อยตอนนี้ก็ถือเป็นกำลังใจสำหรับคนทำงานเบื้องหลังทั้งหมดแล้ว การกระตุ้นด้วยเสียงหรือคำพูดดีๆ เป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่ให้ผลดีแก่นักกีฬาซึ่งมีความตึงเครียดในเกมการแข่งขันอยู่แล้วว 


“นวดกระตุ้นเลย ใกล้แข่งแล้ว”


รุ่นพี่ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์การกีฬาเดินมาบอกว่าพวกผมให้ไปนวดนักบอล เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อโดยเฉพาะส่วนขาให้เกิดความตื่นตัวเพื่อรับความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวจะถูกใช้งาน ไม่นานหลังจากนั้นก็มีคนมาเรียกนักบอลไปรวมตัวกันเพราะใกล้ถึงพิธีเปิดแล้ว 


จังหวะนั้นผมยกนิ้วโป้งให้พี่ปั๊บทีนึง พี่มันเลยเดินมาตบบ่าผมเบาๆ ก็จะเดินรวมกลุ่มกับเพื่อนนักบอลออกไป ตอนที่ออกมาจากห้องพักเดินเข้าสู่สนาม ผมมองไปรอบๆ อัฒจันทร์ตอนนี้แสตนเชียร์ทั้งสองมหาลัยเต็มหมดแล้ว ส่วนแสตนผู้นั่งชมที่เป็นศิษย์เก่าก็ไม่มีพื้นที่ว่างเลย


งานที่เตรียมตัวมาเกือบทั้งเทอมกำลังจะสิ้นสุดแล้ว


หลังพิธีเปิดและแนะนำตัวนักกีฬารวมถึงผู้จัดการทีมทั้งหมดแล้ว กรรมการก็เสี่ยงทายในการเปิดบอล


เกมเริ่มแล้ว


ผมกับพี่อุ้มแทบนั่งไม่ติด สายตาของพวกเรามองไปยังสนามกีฬาที่ฝั่งหนึ่งผู้เล่มสวมใส่ชุดสีชมพู อีกฝั่งเป็นชุดสีแดงเหลือง ภาวนาว่าอย่าให้มีการบาดเจ็บในทีมเราเพราะการเล่นสูสีและน่าหวาดเสียวซะเหลือเกิน


“กรี๊ดดดด”


เสียงโห่ร้องดีใจของคนทั้งสนามดังขึ้นเมื่อทีมหนึ่งทำประตูได้ ผมเองก็กระโดดจนตัวลอยหลังจากพี่ปั๊บเกี่ยวบอลไปหน้ากรอบเขตโทษแล้วซัดบอลทำประตูได้สำเร็จ จังหวะนั้นพวกผู้นำเชียร์และคทากรที่อยู่ไหนก็ตามต้องวิ่งไปประจำที่แสตนเชียร์มหาลัยตัวเองเพื่อบูมมหาลัย เอาเป็นว่าจังหวะนี้ผมนึกเห็นใจกลุ่มคนเหล่านั้นมาก เพราะต้องวิ่งทุลักทุเลมาแต่ไกล สภาพที่เห็นนั่นอดขำไม่ได้ ผมเองซึ่งเห็นแผ่นหลังพี่เซียนจากที่ไกลๆ ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้เหมือนกัน


พี่เซียนก็ยังเป็นพี่เซียน คนที่ทำหน้าตัวเองให้ดีที่สุด ผมนึกถึงตอนที่มันช่วยงานดรออิ้งอาจารย์ตอนประกวดออกแบบยานยนต์ที่ฝ่ายนั้นอดหลับอดนอนจนกว่างานจะเสร็จสมบูรณ์


“กรี๊ดดดด”


พวกผมดีใจได้ไม่นานหรอก ดูเหมือนมหาลัยคู่แข่งก็ตีเสมอได้แล้ว ผมภาพบรรยากาศความสนุกตรงหน้าแล้วรู้สึกดีบอกไม่ถูก โคตรชอบบรรยากาศการเชียร์แบบนี้เลย 


“นั่นรุ่นพี่คทากรนี่”


ผมมองตามนิ้วชี้พี่อุ้มที่ชี้ไปยังรุ่นพี่คนหนึ่งที่เดินมาตรงหน่วยปฐมพยาบาล


“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าวะ”


“เหมือนมีคนบาดเจ็บ”


“ใครอ่ะ”


กลุ่มนิสิตนักกายภาพกำลังจับกลุ่มสนทนา


“ได้ยินว่าบอร์ดล้มทับคทากรคนหนึ่ง”


“หา”


“โดนขาเต็มๆ เลย คงเจ็บน่าดู”


ผมใจหายวาบ เพราะนึกกระหวัดถึงคนรักรุ่นพี่ ถ้าผมมองไม่ผิดเหมือนตอนที่พี่เซียนวิ่งมาบูมที่แสตนก่อนหน้านี้ ผมเห็นพี่มันขากระเผลก


“ใครวะ”


“คนที่ดังๆ มีเพจทวงคืนอะไรนั่นน่ะเหรอ”


ผมหูตั้งเลยทีนี้


“แล้วเขาเป็นอะไรมากรึเปล่าล่ะ”


“คงปวดแหละ เพราะมีรุ่นพี่มาขอยากับพวกน้ำแข็งไปประคบ”


“...”


“แต่อีกนานกว่างานจะจบ จะทนไหวมั้ย”


ผมเม้มปากแน่น ทั้งที่ใจสั่นไหว ตอนนั้นไม่ทันได้คิดอะไร เลยบอกพี่อุ้มว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แต่จริงๆ ผมวิ่งฉิวไปทางกลุ่มคทากรโน่นเลย ภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอาผมใจหายวาบ พี่เซียนนั่งแปะอยู่กับพื้นมีน้ำแข็งประคบอยู่ตรงหัวเข่า ท่าทางดูเจ็บไม่น้อย 


“พี่...”


“เปียว”


“เจ็บมากมั้ย”


ผมตรงมานั่งทรุดตัวใกล้อีกฝ่าย


“นิดหน่อยน่ะ”


“แล้วมันเกิดอะไรขึ้น”


“มีบอร์ดล้มมาพอดีเกือบโดนเด็กปีหนึ่ง ไอ้เซียนมันตาไวเห็นทัน มันเลยเจ็บแทน”


รุ่นพี่คนหนึ่งเล่าให้ฟัง


“กูไม่เป็นอะไรหรอกเปียว”


“...”


“ประคบน้ำแข็งแล้วน่าจะดีขึ้น”


ต่อให้พูดยังไง ผมก็ไม่สบายใจอยู่ดีนั่นแหละ 


“แน่ใจนะ”


“ครับ”


พี่เซียนบีบมือผมเบาๆ


“อีกซักพักกูก็วิ่งได้แล้ว”


พี่เซียนโกหก


อีกสักพักตรงที่เจ็บจะบวมและอักเสบอย่างแน่นอน และที่สำคัญพี่มันพักไม่ได้ด้วย เพราะงานยังไม่เลิก ถ้าถอนตัวไปแล้วที่ซ้อมมาตลอดคงสูญเปล่า


“กูไหวเปียว”


“ยังไงประคบน้ำแข็งบ่อยๆ นะ”


ผมจำใจพูด เพราะพี่อุ้มโทรตามแล้ว ผมต้องกลับไปช่วยทีมบอลต่อ


“ไม่ต้องห่วง กูไหว”


“...”


“กูรู้ว่ามึงห่วง แต่ถ้าไม่ไหว กูสัญญาว่าจะไม่ฝืนตัวเองเด็ดขาด”


พี่เซียนพูดเสียงหนักแน่น ผมเลยพยักหน้าหงึกหงักบีบมืออีกฝ่ายแรงๆ ก่อนจะตัดสินใจผละออกมา




.


.




เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะความสนใจของผมไม่ได้จดจ่ออยู่ที่เกมการแข่งขันแล้ว การที่บอลผลัดกันทำประตูทำให้พวกคทากรกับผู้นำเชียร์ต้องวิ่งมาบูมที่หน้าแสตนเชียร์บ่อยมากจนผมนึกกังวลอาการบาดเจ็บของพี่เซียน


“มึงเหม่ออะไรวะเปียว”


พี่อุ้มถามขึ้นเมื่อเห็นผมชะเง้อชะแง้ไปทางอื่นไม่หยุด


“ขอน้ำแข็งหน่อย”


รุ่นพี่คนหนึ่งก็ตะโกนขอน้ำแข็ง ผมเลยขยับลุกขึ้นเพราะอยู่ใกล้ลังน้ำแข็ง พี่อุ้มถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเห็นสีหน้าผมก่อนจะช่วยผมเทน้ำแข็งใส่ถุง สีหน้าผมคงไม่สู้ดีนักเพราะมีเรื่องราวในใจให้ขบคิด ผมฝืนยิ้มให้ลุงรหัสตัวเองก่อนจะเดินหิ้วถุงใส่น้ำแข็งไปยื่นให้รุ่นพี่


“ฝากประคบให้ไอ้ปั๊บที”


พี่แกปุ้ยปากไปยังนักบอลที่นั่งเจ็บอยู่ข้างสนาม พี่ปั๊บพี่ชายข้างบ้านผมยิ้มให้ผมนิดๆ ก่อนจะชี้จุดให้ผมเอาน้ำแข็งประคอง พี่แกถูกเปลี่ยนตัวออกแล้วเพราะอีกไม่กี่นาทีจะหมดเวลาการแข่งขัน ผมเลยดันแกให้นอนราบไปกับพื้นก่อนจะจับยกเท้าขึ้นเล็กน้อยแล้วเอาน้ำแข็งประคบบริเวณที่เจ็บ ซึ่งหลักการปฐมพยาบาลข้อเท้าพลิกมีสี่ขั้นตอนง่ายๆ คือ พัก เย็น พัน และยก ตามหลักแล้วหากเกิดการบาดเจ็บคือขั้นแรกควรพักบริเวณที่เจ็บ ต่อมาคือใช้ความเย็นจากน้ำแข็งประคบบริเวณนั้นเพื่อลดอาการบวมช้ำและทำให้เส้นเลือดที่ขยายจากการฉีดขาดหดตัวลง หลังจากนั้นให้พันน้ำแข็งกับบริเวณที่เจ็บเป็นการรัดให้เพื่อลดบวม สุดท้ายคือการยกบริเวณส่วนที่เจ็บขึ้นสูงให้เลือดได้ไหลเวียนสะดวก


เนื้อหาวิชาเหล่านี้เป็นพื้นที่คณะผมต้องเรียนรู้ตั้งแต่แรกๆ เพราะเป็นพื้นฐานการปฐมพยาบาลของกีฬาแทบจะทุกประเภท คิดถึงตรงนี้แล้วผมอดห่วงใครบางคนไม่ได้ ป่านนี้ยังไม่ได้พักเลยมั้ง


ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่


“ได้ข่าวว่าพวกคทากรบาดเจ็บเหรอ”


ผมพยักหน้าหงึกหงัก


“อย่าบอกนะว่าคือไอ้เซียน”


“ครับ”


ผมรับคำด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนะ


ปี๊ดดดด


เสียงนกหวีดเป่าหมดเวลาการแข่งขันแล้ว หัวใจผมสั่นไหวขึ้นมาทันที


“ไปสิ”


พี่ปั๊บปุ้ยปากไปยังหน้าแสตนเชียร์ที่พวกคทากรรวมกลุ่มกันอยู่


“แต่ว่า...”


“ใจมึงไม่อยู่ตรงนี้แล้ว ไปเถอะ”


“ขอบคุณนะพี่”


คราวนี้ผมวิ่งฉิวสวนพี่อุ้มพี่เดินมาทางนี้พอดี ผมไม่รู้ว่าสีหน้าตัวเองในตอนนี้เป็นยังไง แต่การที่เห็นพี่เซียนยืนยิ้มรอท่าผมอยู่ตรงนั้นแล้วโคตรรู้สึกดีเลย


“กำลังรอเลย”


“รออะไร”


“รอให้มึงมาพันแผลให้”


ผมหลุดยิ้มออกมาก่อนจะกระตุกแขนให้พี่มันนั่งลง 


“เจ็บมากมั้ย”


“ไม่แล้ว”


“...”


“ห่วงกูมากเหรอ”


“ผมวิ่งหน้าตั้งมาขนาดนี้ คงไม่ต้องตอบแล้วมั้งครับ”


พี่เซียนหัวเราะร่วน แววตาที่มองกันแบบนี้ ทำให้ผมรับรู้ได้ว่าโคตรพิเศษจริงๆ 




 


- J E E B -


 




หลังพิธีปิดงานบอลนั้นตรงแสตนเชียร์มีเวทีเล็กๆ ถูกจัดเตรียมขึ้น ไม่นานหลังจากนั้นวงดนตรีมหาวิทยาลัยก็ขึ้นแสดงเพื่อเป็นของขวัญให้กับนิสิตที่นั่งแสตนเชียร์ของมหาวิทยาลัย และเปิดให้ศิษย์เก่าศิษย์ปัจจุบันมาร่วมสนุกด้วยกันหน้าเวที ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดมิดจนสปอร์ตไลท์ถูกจุดขึ้นจนสว่างไสวไปทั่วสนาม ตรงมุมหนึ่งนั่นผมเห็นพี่ปั๊บเดินจับมือไอ้อ๋องมาแต่ไกล 


ส่วนไอ้เพื่อนข้างห้องผมนั่นมันเห็นผมแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นมันยังไม่ปล่อยมือที่จับกุมกับพี่รหัสผมออกเลย จนกระทั่งทั้งสองเดินมาหยุดอยู่ใกล้ๆ กันผมเลยอดที่จะกระแซะถามมันไม่ได้


“ยังไงๆ”


ไอ้อ๋องทำหน้ายิ้มๆ


“ก็อย่างที่เห็น”


“กูดีใจที่มึงเปิดใจให้พี่รหัสกูนะอ๋อง” ผมกระซิบบอกมันเบาๆ “พี่กูเป็นคนดี กูรับรองว่าเขาจะทำให้มึงพบเจอแต่สิ่งดีๆ”


“กูก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่อยู่กับพี่เขาแล้วกูรู้สึกดี”


“...”


“ดีมากๆ”


มันแอบเหลือบตามองคนข้างกายที่ติดพันจากการถูกรุ่นน้องผู้หญิงกลุ่มหนึ่งขอถ่ายรูปอยู่


“ดีจนไม่อยากเสียไปเลย”


“งั้นก็รักษาเอาไว้”


ผมตั้งตัวเป็นกูรูทันที


“ถ้ารู้สึกดีกับใคร อย่าปล่อยให้เป็นแค่ความรู้สึก มึงทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะได้ไม่เสียเขาไป”


ไอ้อ๋องยิ้มเขินๆ ให้ผม เพราะตอนนั้นพี่ดลเดินมาสมทบแล้วมือข้างหนึ่งแตะหลังมัน เลเวลการแตะเนื้อต้องเนื้อที่บ่งบอกสถานะกัน ทำให้ผมต้องกลั้นยิ้มตามเพื่อนสนิทตัวเอง


“ปล่อยสิวะ”


เสียงโวยวายของพี่อุ้มดังขึ้น พอเอี้ยวตัวไปดูจึงเห็นไอ้โต้งยืนคล้องคอพี่มันอยู่ ท่าทางแนบชิดกันจนมองออกถึงสถานะระหว่างกัน


ไอ้โต้งก็ยังเป็นไอ้โต้งที่ชัดเจนกับความรู้สึกตัวเอง ส่วนพี่อุ้มก็ยังขี้โวยวายเช่นเดิม แต่ผมรู้ดีว่าภายใต้เสียงบ่นนั่นแววตาพี่มันเต็มไปด้วยความสุขมากแค่ไหน ความรักมีวิธีการแสดงออกหลายรูปแบบจริงๆ อยู่ที่ว่าใครเป็นเจ้าของความรักนั้น แล้วเราแสดงความรักนั้นกับใคร


แต่ความรักทุกรูปแบบที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี...มันสวยงามเสมอ


 


‘รักใช่หรือเปล่า ใช่รักหรือเปล่า รักใช่หรือเปล่า ใช่รักหรือเปล่า โอ โอะ โอ โอ’


 


เพลงนั่น


ผมหันไปสบตากับพี่ปืน


 


‘บอกฉันที ให้มั่นใจ บอกฉันสิ ว่าไม่ใช่แค่ฝัน’


 


เพลงโปรดของผม เพลงที่พี่เซียนร้องให้ฟัง ในวันที่เราเปิดใจให้กัน


“คำตอบผม...คือท่อนฮุกของเพลงนี้...ไอ้พี่ยักษ์”


 


‘เธอเอาใจฉันไป เธอกุมมันเอาไว้ เธอเอาใจฉันไป โอ๊ะ โอ๊ะ โอ โอ โอ’


 


“พี่”


ผมน้ำตารื้อเลย


“รู้ไงได้ว่าวงจะเล่นเพลงนี้”


พี่มันขยิบตาให้ผมทีหนึ่ง


“มึงอาจจะไม่มั่นใจตัวเอง ชอบคิดว่าตัวเองด้อยกว่ากู จริงๆ แล้วกูต่างหากที่ควรคิดแบบนั้น มึงคงไม่รู้ตัวนะเปียว มึงน่ารักมากนะ กูเคยเห็นมึงชอบซื้อข้าวไปให้พี่แดงหมาที่คณะมึงบ่อยๆ มึงตั้งใจมากตอนที่ดูแลกู ตอนที่กูมาเทรนช่วยไอ้อุ้ม มีเสนอตัวช่วยเหลือเพื่อนมึงตลอด เพราะมึงเป็นแบบนี้ไง”


“...”


“มึงน่ารักแบบนี้ แล้วจะไม่ให้กูรักมึงได้ยังไง”


“...”


“เพราะกูชอบมึงเปียว ชอบมากถึงได้ขอจีบ”


“...”


“กูจะไม่จีบคนที่ไม่ได้ชอบ” 


“...”


“กูรู้สึกกับมึงมากกว่าความชอบ ถึงไม่อยากปล่อยโอกาสนี้ไป จะทำทุกวิธีทางเพื่อให้มึงเปิดใจ เพราะมึงเอาใจกูไปแล้ว”


 


‘เธอเอาใจฉันไป เธอกุมมันเอาไว้ เธอเอาใจฉันไป โอ๊ะ โอ๊ะ โอ โอ โอ’


 


“เป็นแฟนพี่นานๆ นะ ไอ้ตัวกินมิ้นท์”


ผมพยักหน้าหงึกหงักตอนที่พี่เซียนเลื่อนปลายนิ้วมาปาดน้ำตาให้อย่างเอ็นดูไม่พอยังเนียนหอมหัวไปทีนึง


“ห้ามทิ้งผมเหมือนกันนะ ไอ้พี่ยักษ์”


วันวานของเราอาจจะเป็นความผูกพันเพราะความใกล้ชิด แต่เมื่อโตขึ้นความรู้สึกระหว่างเราชัดเจนขึ้น ความรักก็เช่นกัน หากเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสมมันย่อมทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน ผมมองไปที่พี่ดลกับไอ้อ๋อง และไอ้โต้งกับพี่อุ้ม ทุกคนมีเรื่องราวมากมายระหว่างทางกว่าจะจับมือกันได้ในทุกวันนี้ ผมนึกถึงคำสอนของคุณตาคุณยายที่สวนสาธารณะนั่น


คนที่ใช่ เวลาที่เหมาะสม ความเข้าใจ การให้อภัย


ทั้งหมดเป็นองค์ประกอบความรักที่ขับเคลื่อนสิ่งสวยงามบนโลกใบนี้


ผมหันมายิ้มให้พี่เซียนอีกครั้ง ขณะที่ฝ่ายนั้นรวบบ่าผมไปกอดเอาไว้ พวกเรานิ่งฟังเพลงนั้นและร้องคลอตามเนื้อเพลงไปด้วยกัน


ขอให้ทุกคนบนโลกใบนี้...พบเจอกับความรักดีๆ 


 


‘เธอเอาใจฉันไป เธอกุมมันเอาไว้ เธอเอาใจฉันไป โอ๊ะ โอ๊ะ โอ โอ โอ’


 


[EnD]




__________________________________
เพลงเธอเอาใจฉันไป - 25hours



ชอบก็Jeeb เดินทางมาถึงบทสรุปแล้วค่ะ

ขอบคุณนักอ่านทุกคนมากๆ ที่คอยเม้นท์ให้กำลังใจและสนับสนุนผลงานเรามาตลอดนะคะ

ชอบก็jeeb เขียนตอนที่เรากำลังเหนื่อยล้ากับอะไรบางอย่าง ทำให้หลายครั้งเราเกเรหายไปบ่อยๆ ถี่บ้าง น้อยบ้างแล้วแต่อารมณ์ในตอนนั้น ซึ่งมันส่งผลต่องานเขียน เรายอมรับว่ามันอาจจะไม่สนุกหรือสมูทเหมือนเรื่องอื่นๆ แต่เราคิดว่าเราทำมันดีที่สุดแล้ว ณ ตอนนี้ที่เรากำลังแบกรับความคาดหวังบางอย่าง เราเต็มที่กับมันแล้วค่ะ เราหวังว่าคนอ่านคงได้ยิ้มและหัวเราะไปกับชอบก็Jeeb ไม่มากก็น้อย ขอบคุณนะคะที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้ ขอบคุณที่พิมพ์ข้อความดีๆ ให้กำลังใจกัน มันมากค่ากับเรามากนะคะ ในช่วงเวลาที่หมดเรี่ยวแรง หรือหมดไฟในการทำงาน ข้อความเหล่านั้นช่วยเราได้มากเลยค่ะ

พบเจอกันใหม่เรื่องหน้านะคะ ช่วงนี้ขอหยุดพักไปหาแรงบันดาลใจก่อน
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 10-08-2020 23:28:36
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 11-08-2020 15:58:00
มันดีมากๆเลยค่ะ รู้สึกผูกพันธ์กับทั้งสอง ไม่อยากให้จบเลยยย :o12:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 11-08-2020 19:24:16
ก็ชอบถึงได้จีบไง
ชอบความน่ารักของหลายๆคู่ในเรื่องนี้
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 12-08-2020 14:13:13
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]
เริ่มหัวข้อโดย: pkjoe ที่ 16-08-2020 12:44:29
ชอบมากครับ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 19-08-2020 10:09:54
เป็นเรื่องที่น่ารักมากครับ  อ่านรอบเดียวจบเลย
*ละแมะ ละแมะ 555
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]
เริ่มหัวข้อโดย: phai ที่ 22-08-2020 08:15:39
 :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]
เริ่มหัวข้อโดย: cass-meyz ที่ 24-08-2020 10:45:58
น่ารักมากกกกก เค้าจีบกันเขินไปหมดเลยยยย
ขอบคุณคนเขียนนะคะ สำหรับนิยายดีๆอีกเรื่องนึง  :mew1:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 27-08-2020 09:47:11
 :pig2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]
เริ่มหัวข้อโดย: BaGgYsOdA ที่ 07-10-2020 16:37:15
ขอบคุณคนเขียนมาก ๆ ครับ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 08-10-2020 11:46:20
 :katai2-1: ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆและอบอุ่นเรื่องนี้นะคะ
ตามมาเก็บช่วงงโค้งสุดท้ายทันแล้ว หลังจากไปติดซีรี่ย์มาพักนึง
รอติดตามผลงานเรื่องต่อๆไปตลอดนะคะ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 08-10-2020 22:42:13
เป็นแฟนพี่เซียนน่าอิจฉาที่สุดจริงๆด้วย
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]
เริ่มหัวข้อโดย: Pthassa ที่ 28-02-2021 07:47:53
ตามไปเก็บเล่มค่าาาาาา
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 09-03-2021 14:51:23
น่ารักมาก ๆ ...................... ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 10-03-2021 17:18:17
เนื้อเรื่องน่ารักมากเลยค่าาา  :impress2:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]
เริ่มหัวข้อโดย: Nobodylove ที่ 30-03-2021 12:59:02
 :z13:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 16-04-2021 14:14:49
 :pig4: :L2: เรื่องน่ารักดีค่ะ ขอบคุณมาก
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]
เริ่มหัวข้อโดย: habanice ที่ 17-04-2021 16:53:05
ม่วนขนาดอ่านจบภายในวันเดียว ย้อนไปวัยมหาลัย
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 17-04-2021 17:57:05
 :-[
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 05-05-2021 20:50:28
น่ารักมากกกก

ขอบคุณมากนะคะ

 :L2:
หัวข้อ: Re: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 26-05-2021 16:00:47
 :-[