- จีบที่19 -
[อ๋อง]
“ถามจริงๆ นะพี่เซียนแม่งจิ้มจุ่มมึงยังวะ”
คำถามสัปดนจากปากไอ้โต้งหลุดออกมาตอนที่ผมกำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆ ส่วนคนโดนถามอย่างไอ้เปียวทำหน้าตื่นเลิกลักไปไม่เป็นเลย ดีว่าไอ้โต้งมันใช้ศัพท์แสงที่ดูซอฟท์ลงสักหน่อยเลยลดความหยาบคายไปได้มากพอสมควร แต่รูปประโยครวมถึงความหมายก็ทำให้คิดไปในทางเสื่อมอย่างไม่ต้องสงสัย
ไอ้เปียวไอค่อกๆ แค่กๆ เพราะเมื่อกี้ปากมันคาบขนมอยู่ เห็นสภาพมันตอนนี้แล้วนึกเวทนา ผมเลยยื่นน้ำให้มันก็รีบคว้าไปดื่มีเลย พอหายสำลักแล้วไอ้เพื่อนตัวขาวเลยชูกำปั้นซัดไปที่บ่าไอ้โต้งเต็มแรง
“ถามเหี้ยอะไรเนี่ย”
ไอ้ห่าโต้งยักไหล่ขำๆ
“ก็เรื่องปกติของคนที่คบกันมาระยะหนึ่งแล้วรึเปล่าวะ”
“ยังไม่ครบเดือนเลยไอ้ห่า”
“มึงอย่าบอกนะ ว่าพี่เซียนยังไม่ได้ทำอะไรมึงเลย”
ไอ้เปียวอ้าปากพะงาบๆ ก่อนจะส่ายหัวไปมาทำหน้าแดง กิริยานั้นก็เพียงพอสำหรับการตอบคำถามนี้แล้ว ผมส่ายหัวให้เพื่อนทั้งสอง คนหนึ่งคนขี้แกล้งอีกคนก็เก็บอาการไม่เก่ง รู้ทั้งรู้ว่าไอ้โต้งมันชอบหยอกชอบแซวแต่ไอ้เปียวก็ไม่เคยทันเหลี่ยมมันสักครั้ง
“เลิกแกล้งมันได้แล้วไอ้ห่า”
ผมพูดขึ้น
“ระวังตัวให้ดีเหอะไอ้เปียว พี่เซียนไม่ปล่อยมึงไว้นานหรอก”
พี่โต้งยังคงปั่นประสาทเพื่อนไม่เลิก
“ไอ้เพื่อนเวร”
ไอ้เปียวทำปากขมุบขมิบด่าเพื่อนตัวเองที่ถูกรุ่นพี่คทากรเรียกไปวิ่งรอบสนามแล้ว มันทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนมีเรื่องให้ขบคิด ถ้าให้เดาคงไม่พ้นเรื่องที่ถูกไอ้โต้งเป่าหูมาเมื่อกี้แน่นอน
“มึงก็รู้ว่ามันชอบแหย่”
“กูก็อดคิดตามที่มันพูดไม่ได้นี่หว่า”
ผมขยี้หัวอีกฝ่ายอย่างมันเขี้ยว
“ก็เท่าที่มึงรู้จักพี่มันมา พี่เซียนเป็นยังไงล่ะ แฟนมึงเอง มึงจะไม่รู้เลยเหรอว่าเขามีนิสัยยังไง”
มันพนักหน้าหงึกหงักก่อนจะยิ้มเขินๆ ให้ผม
“งั้นก็เลิกทำหน้านิ่วได้แล้ว”
“ขอบใจมากมึง”
“งั้นกูไปก่อนนะ”
ผมโบกมือลามัน หลังจากหอบข้าวมาส่งแถวสนามกีฬาช่วยรุ่นพี่เสร็จเรียบร้อยแล้ว เกือบห้าโมงเย็นตอนที่มาถึงคาเฟ่ที่ผมทำงานพิเศษอยู่ พี่โชคเจ้าของร้านกำลังสนใจไอแพดในมือเงยหน้าขึ้นมายิ้มทักทาย ผมยกมือไหว้ฝ่ายนั้นเสร็จแล้วจึงเดินหายไปเปลี่ยนชุดหลังร้าน
ช่วงเย็นๆ ในวันธรรมดาลูกค้าค่อนข้างบางตา ยกเว้นสุดสัปดาห์ วันนี้จึงมีเพียงผมและพนักงานผู้หญิงอีกคนรับหน้าที่เสิร์ฟเท่านั้น ผมทำงานไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรู้สึกว่าบรรยากาศข้างนอกค่อนข้างมืดแล้ว เมื่อเหลือบตามองนาฬิกาที่บอกเวลาทุ่มกว่าๆ แล้ว ปกติเวลาแบบนี้มักจะเห็นใครบางคนเยี่ยมหน้ามาที่ร้าน บางวันก็หอบงานมานั่งทำที่โต๊ะประจำมุมหนึ่ง บางวันหากลูกค้าเยอะก็มีน้ำใจช่วยเสิร์ฟเล่นเอาลูกค้าสาวๆ มองกันตากลับ และบางวันยังใจดีสั่งไก่ทอดมาเลี้ยงอีกด้วยซ้ำ
ผมเหลือบตาไปมองประตูอีกครั้งและเบือนหน้าไปยังโต๊ะมุมหนึ่งที่ว่างเปล่า
“มองหาใครเหรอ”
พี่โชคถามยิ้มๆ
“เอ่อ เปล่าครับ”
ผมรีบหันไปล้างแก้วี
“วันนี้เจ้าดลมันไม่ว่าง”
พี่โชคขยับมาใกล้
“เห็นบอกว่าไปส่งแม่มันที่สนามบิน คงไม่ได้แวะมาหรอกมั้ง”
“บอกผมทำไมครับ”
ผมแย้งขึ้น
“อ้าว”
พี่โชคทำหน้าเหมือนตกใจก่อนที่จะยกมือปิดปากตัวเองแล้วไหวไหล่ ทั้งที่แววตานั้นกำลังล้อเลียนผม
“ก็นึกว่ารอมัน”
“ผมเปล่า”
ผมส่ายหัวไปมาก่อนจะหันไปสนใจงานตรงหน้า นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่เพื่อนพนักงานอีกคนเดินมาหยุดมองหน้าผมแล้วขมวดคิ้ว
“อ๋องล้างแก้วที่ยังไม่ได้ใช้งานทำไมอ่ะ”
มือที่ประคองแก้วในมือซึ่งเปรอะไปด้วยคราบน้ำยาชะงักไปทันที ผมแค่ยักไหล่ให้อีกฝ่ายแบบคำตอบ ก่อนจะยิ้มแหยเมื่อหันไปเห็นพี่โชคยืนกอดอกมองผมยิ้มๆ
“ผมไปเก็บขยะหลังร้านนะครับ”
บอกกับพนักงานอีกคนแล้วเดินดุ่ยๆ ออกไปทันที ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเจ้าของร้าน
แม่งเอ้ย
เป็นห่าอะไรวะ
ผมถอนหายใจแรงๆ ตอนที่ทรุดตัวนั่งตรงเก้าอี้ไม้หลังร้าน ผมนั่งเงียบใช้ความคิด เพราะความเคยชินหรืออะไรก็ตามที่ทำให้ผมรู้สึกว่าวันนี้มันไม่เหมือนทุกวัน มันว่างเปล่าชอบกล
ว่างเปล่าเพราะใครบางคนไม่มางั้นหรือ
ผมขยี้หัวตัวเองแรงๆ
‘พี่เป็นห่วง’ ผมเม้มปากแน่นเมื่อนึกถึงคำพูดของคนที่ไม่มาวันนี้
ห่วงเก่ง
ห่วงอะไรนักหนากับผู้ชายตัวควายๆ อย่างผม ห่วงจนทำให้ผมเคยชินกับการเป็นผู้รับความห่วงใย เวลาที่เขาหายไป ถึงทำให้ห่วงนั้นเลยย้อนกลับมาเป็นบ่วงให้ผมนึกถึงแต่เรื่องราวของอีกฝ่าย
ความรู้สึกแบบนี้ โคตรไม่ชอบเลย
การยอมให้ใครคนอื่นมามีอิทธิพลต่อใจเรา ทำให้ไว้ใจและรู้สึกดีหรือปลอดภัย ถ้าวันไหนคนที่เคยให้ไม่เหลือความรู้สึกนั้นไว้ให้แล้ว คนที่เคยรับจนชินแล้วคงจะเจ็บไม่น้อย ผมแค่นยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องของตัวเอง ตั้งแต่เล็กจนโตผมเคยเข้าใจว่าครอบครัวอบอุ่นและเป็นเซฟโซนของผม เหมือนกำแพงป้องกันภัยจากความยุ่งยากของสังคมภายนอก
แต่วันนี้ผมรู้แล้วว่า สำหรับบางคนครอบครัวไม่ใช่เซฟโซนเสมอไปหรอก
วันก่อนที่ผมกลับบ้าน เพราะจะกลับไปเอาหนังสือเรียนที่ต้องใช้ วันนั้นพ่อและภรรยาใหม่กำลังฉลองวันเกิดให้กับน้องชายผม เชื่อมั้ยว่าวันนั้นผมเห็นอะไรได้ชัดขึ้นมาก การไปของเขาครั้งนี้ ผมมองไม่เห็นพื้นที่ของตัวเองที่บ้านหลังนั้นเลย
ที่นั่นไม่มีที่สำหรับผมอีกแล้ว
เอาจริงๆ ผมรู้มานานแล้วว่าทุกอย่างไม่มีทางย้อนกลับไปเหมือนเดิม พ่อมีครอบครัวใหม่ ขณะที่แม่ตัดสินใจแต่งงานใหม่และคงไม่หวนคืนกลับมาบ้านเกิด
ทุกคนมีหนทางเป็นของตัวเอง
เมื่อก่อนผมนึกน้อยใจว่าเพราะเหตุใดครอบครัวสุขสันต์ในวันวานจึงเป็นแค่ภาพฝันในตอนนี้ แต่พอโตขึ้นถึงได้เข้าใจ พ่อกับแม่หมดรักกันแล้ว มันเป็นเรื่องของคนสองคน แต่แค่สงสัยว่าทำไมรอยร้าวนั้นถึงเป็นบาดแผลใหญ่ในใจของผมตอนนี้
‘เด็กบ้านแตก’ คือคำพูดลอยๆ ของใครก็ไม่รู้ในวันวาน แต่คนพูดจะรู้มั้ยว่ามันได้สร้างสะเก็ดแผลที่ตกผลึกในใจของคนฟัง ผมผ่านคืนวันเหล่านั้นมาอย่างเจ็บปวด ทั้งเคยต่อยตีกับคนที่พูดจาแบบนั้นกับผม แต่ต่อให้ชกต่อยแล้วตัวเองชนะอีกกี่รอบก็ตาม สุดท้ายผมก็หนีคำว่าเด็กบ้านแตกไม่พ้นจริงๆ
มันคือความจริงเพราะผมคือเด็กบ้านแตก ซ้ำยังความเกเรจนเกือบไม่จบม.ปลาย หากไม่ได้เปียวกับโต้งดึงสติกลับมา สองคนนั่นเคี่ยวเข็ญและบังคับให้ผมอ่านหนังสือเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยจนได้ ผมโชคดีที่มีพวกมันเพราะชีวิตในรั้วหมาวิทยาลัยทำให้ผมเป็นอิสระจากความรู้สึกอึดอัดใจมาตลอดหลายปี
ผมปล่อยความคิดตัวเองไปในความเงียบจนกระทั่งพี่โชคเดินมาเรียก
“ถึงตัวจะไม่มา แต่มันมันสั่งไก่เกาหลีมาให้กินนะ”
พี่โชคชูกล่องบรรจุอาหารขึ้นชื่อแล้วยิ้มตามหยี ผมเลยขยับเข้าไปใกล้เห็นบรรจุภัณฑ์สกรีนโล้โกไก่ทอดยี่ห้อหนึ่งที่ผมชอบกินมาก ผมยืนอึ้งทันทีที่เห็นของในมือพี่โชค
“เมื่อกี้แกร็บเพิ่งขับมาส่ง”
“...”
“เขาบอกมีคนสั่งแล้วแจ้งให้มาส่งที่นี่ ที่สำคัญชำระเงินผ่านบัตรเครดิตให้เรียบร้อยแล้ว”
พี่โชคชูของในมือขึ้นลงเหมือนกำลังอวดของกิน
“มื้อนี้กินฟรีอีกแล้ว”
ผมเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะเผลอยิ้มออกมาเมื่อเห็นพี่แกทำหน้าปลาบปลื้มของกินในมือ
“วันนี้ปิดร้านเร็วหน่อยนะ ตอนนี้ลูกค้าก็ซาแล้ว ปาร์ตี้ไก่ทอดกันน้องอ๋อง”
ผมยิ้มน้อยๆ ทั้งที่ในใจอิ่มฟูบอกไม่ถูกตอนที่จ้องของกินในกล่อง
“ชอบจริงๆ ผู้ชายนิสัยรวยเนี่ย”
พี่โชคหัวเราะกับคำพูดของพนักงานอีกคนซึ่งทำหน้าปลาบปลื้มกับลาภปากมื้อนี้
“รวยและแสนดีมากด้วย”
“...”
“สนใจมั้ย”
อยู่ๆ พี่โชคก็หันมาพูดกับผมแล้วขยิบตาให้ทีหนึ่งเล่นเอาผมวางหน้าไม่ถูกเลย
.
.
เกือบสามทุ่มหลังจากช่วยพี่โชคปิดร้านแล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน ผมเดินกำลังเดินท่อมๆ ไปหน้าปากซอยหลังจากปฏิเสธไม่ขึ้นรถไปกับพี่โชคเพราะอยากจะแวะซื้อของหน้าปากซอยสักหน่อย ส่วนพนักงานหญิงอีกคนติดรถพี่แกกลับไปแล้ว ช่วงกลางซอยค่อนข้างมืดแต่ก็ไม่ถึงกับเปลี่ยวเพราะแถวนั้นมีออฟฟิศและร้านอาหารค่อนข้างเยอะ
ผมหยุดเดินเมื่อรู้สึกแปลกๆ ราวกับถูกจับจ้องอยู่ ยิ่งได้ยินเสียงมอ’ไซค์คันหนึ่งขับมาใกล้ๆ ก่อนที่คนขับจะเลี้ยวตัดหน้าอย่างจงใจ
ผมยืนนิ่งเมื่อเห็นใบหน้าคนขับตอนที่มันเปิดกระจกหมวกกันน็อกขึ้น
มันแสยะยิ้ม ขณะที่ผมไม่สบายใจกับรอยยิ้มเหี้ยๆ นี่เลย
คงจำกันได้ว่าครั้งหนึ่งผมเคยปากแตกไปทำงานที่ร้านพี่โชค สาเหตุเพราะมันนี่แหละ ตอนที่ผมทำงานเสิร์ฟที่ร้านเหล้า ผมมีโอกาสได้คุยกับแขกผู้หญิงคนหนึ่งที่เข้ามาทัก ผมคุยกับเธอปกติเพราะเห็นเป็นลูกค้าและปฏิเสธทุกครั้งเวลาเธอผมไปต่อข้างนอก ใครจะไปคิดว่าการที่เธอแสดงออกนอกหน้าว่าสนใจผมจะทำให้แฟนหนุ่มของเธอไม่พอใจจนตามมาหาเรื่องผมที่ร้าน
พอดีกับที่พี่ดลบังคับให้ผมลาออกจากร้าน ผมเลยถือโอกาสออกมาเพราะไม่อยากมีปัญหา ผมคิดว่าปัญหาจะจบแค่นั้นถ้าหากว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่บังเอิญปรากฏที่ร้านพี่โชค ผมคงเป็นคนดวงซวย การโผล่มาของเธอพร้อมกับแฟนหนุ่มที่ยังอาฆาตแค้นผมไม่เลิก
วันนั้นผมโดนดักทำร้าย แน่นอนผมสู้สุดใจจนทำให้ฝ่ายนั้นบาดเจ็บไปไม่น้อย ผมคิดว่าเรื่องคงจบแค่นั้นเพราะเราได้แลกหมัดกันจนสมใจแล้ว แต่ผมคิดผิดเมื่อมันมาทำหน้าเอาเรื่องอยู่ตรงหน้า
“ไม่ทักทายกันหน่อยเหรอ”
“กูไม่รู้จักมึง”
ผมพูดเสียงเรียบ
“แต่มึงรู้จักแฟนกู”
ผมจ้องหน้ามันแล้วแค่นยิ้ม
“แฟนมึงชื่ออะไร”
มันทำหน้างง
“ถามเหี้ยอะไร”
“ก็กูไม่รู้จักชื่อแฟนมึงด้วยซ้ำ แล้วจะอ้างว่ากูรู้จักแฟนมึงได้ยังไงวะ”
เป็นความจริงที่ผมไม่รู้จักชื่อแฟนไอ้หมอนี่ด้วยซ้ำ เคยคุยด้วยเพราะเธอเข้ามาคุยแค่ครั้งเดียวและผมไม่ได้มีทางที่จะจีบเธอด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนแฟนหนุ่มเลือดร้อนนี่จะไม่ได้เข้าใจแบบเดียวกับผม มันถึงขยับมาด้วยท่าทางคุกคามแบบนั้นน
“กูไม่เชื่อ”
มันกระชากคอเสื้อผมอย่างแรงก่อนจะปล่อยหมัดกระแทกหน้าผม ดีว่าผมหลบทันก่อนจะสวนหมัดคืนมัน ครั้งนี้ผมไม่พลาดเหมือนมัน หมัดผมจึงกระทบคางฝ่ายนั้นเต็มแรง
“มึง”
มันทำหน้าแค้นเคืองทั้งที่เลือดกลบปาก ก่อนจะเดินสู้ไม่ออมแรง เราผลัดกันอีกคนละหมัด ผมคิดว่าผมคงสู้มันได้แน่ๆ ถ้าหากพวกมันจะไม่โผล่มาอีกสองคน พวกมันจับล็อกผมคนละข้าง
“กูจะเอาให้มึงหน้าเละนอนหยอดน้ำข้าวต้มแน่”
มันพูดแค้นๆ
ผมโดนมันชกที่ท้องก่อนจะทรุดตัวลงพื้นเพราะเจ็บจนจุก แข้งขาอ่อนแรงไปหมดนึกอยากเอาคืนแต่ถูกล็อคแขนเอาไว้ แวบหนึ่งในหัวผมนึกถึงใครคนหนึ่งขึ้นมาทันที
‘พี่เต็มใจช่วยเราทุกอย่าง เพราะพี่เป็นห่วงเรา’ “พี่ดล”
ผมครางชื่อนั้นเบาๆ
“โอ้ย”
คู่อริผมร้องลั่นเมื่อถูกหมัดปริศนากระแทกหน้าเต็มแรง มันหันไปหมายจะเอาคืนแต่ฝีมือฝ่ายดีไม่น้อย สวนมาทางไหนอีกฝ่ายก็รับมือได้ ผมหรี่ตามองพลเมืองดีที่เข้ามาช่วยเพราะรู้สึกตาพร่าคล้ายจะหมดสติ ตอนนี้ไอ้สองตัวที่เคยล็อกตัวผมอยู่วิ่งไปช่วยเพื่อนมันแล้ว
ผมทรุดไปกับพื้นนั่งกุมท้อง หูก็ได้ยินเสียงหมัดดังรัวๆ พร้อมเสียงสบถไม่ขาดระยะ ผมพยายามลุกขึ้นยืนเพื่อมองภาพการต่อสู้นั้น แล้วพิจารณาพลเมืองดีให้ชัดๆ
“พี่ดล”
ผู้ชายคนเดียวที่กำลังต่อสู้กับอันธพาลสามคน ผมหน้าตื่นมองภาพตรงหน้าอย่างคาดไม่ถึง ผู้ชายท่าทางสุภาพและดูนิ่งเงียบๆ ทำไมถึงแววตาดุดันแบบนั้น พี่รหัสคนดีของไอ้เปียวทำไมถึงต่อยตีเก่งขนาดนั้น ทักษะและการเคลื่อนไหวร่างกายเหมือนคนเป็นมวย ไม่นานสามคนนั้นถึงกับร่วง
“ไสหัวไป”
พี่ดลไม่ได้ตะคอกแค่พูดเสียงเรียบก่อนจะกวาดตามองพวกมันที่พากันหอบสังขารไปรวมกันแบบนั้น ท่าทางพวกมันดูกลัวพี่ดลไม่น้อย ยิ่งพี่แกก้าวช้าๆ ไปใกล้แล้วกวาดตามองพวกมันเหมือนจะฆ่าให้ตายแบบนั้น
แววตาพี่ดลโคตรน่ากลัว
“อย่ายุ่งกับอ๋องอีก”
“...”
“ผมจะพูดแค่ครั้งเดียว”
สันกรามพี่มันขึ้นรูปเหมือนโกรธจัด หมัดข้างหนึ่งกำแน่นและเปื้อนเลือดจากใครสักคนในสามคนนั้น ท่าทางแบบนั้นทำเอาผมนึกกลัวขึ้นมาดื้อๆ
“พี่”
ผมขยับลุกขึ้นแล้วค่อยๆ เดินกระย่องกระแย่งไปคว้ามือพี่มันเอาไว้ เพราะจังหวะนั้นผมกลัวใจพี่มันเหลือเกิน หากไม่ห้ามปรามผมคิดว่าพี่มันอาจจะเอาพวกนั้นจนถึงตายแน่ๆ
ความรู้สึกรุนแรงที่แผ่ออกมาจากตัวพี่ดลทำผมเอาอึดอัดไปด้วย อันตรายและเต็มไปด้วยความน่ากลัว
น่ากลัวมากๆ ใบหน้าเรียบเฉยดุดัน แววตาคมปราบเหมือนสัตว์ร้ายน่ากลัวเกินไปแล้ว
“พี่ดล”
ผมกุมมือพี่มันเขย่าเบาๆ คนที่กำหมัดอยู่จึงคลายลงก่อนจะถอนหายใจ ไอ้สามตัวนั้นเลยรีบผละออกไปทันที ผมบีบมันแรงๆ เหมือนพี่มันจะรู้ตัวจึงบีบมือผมตอบ
“ผมไม่เป็นไรแล้ว”
พี่มันกวาดตามองผมแล้วถอนหายใจอีกครั้ง
“ไปโรง’บาลกันเถอะ”
พี่มันฉุดมือผมไปกุมไว้ก่อนจะพาออกเดิน ผมลอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างอีกฝ่ายเงียบๆ ตอนที่ค่อยๆ เดินตามพี่มันไปเงียบๆ
“พี่ไม่ได้ไปส่งแม่ที่สนามบินเหรอ”
“ไป”
ฝ่ายนั้นปลดล็อครถที่จอดอยู่มุมหนึ่งแล้วช่วยประคองผมเข้าไปนั่ง
“แต่ขากลับผ่านทางนี้พอดี เลยแวะมาดูสักหน่อย”
“แวะมาดู?”
ผมทวนคำพูดนั้น อยากจะถามออกไปเหมือนว่าดูอะไร หรือดูใคร แต่กลัวคำตอบจึงเปลี่ยนเรื่องพูดไป
“วันนี้ร้านปิดเร็วครับ”
พี่ดลสตาร์ทรถแล้วหันมามองผมนิ่งๆ
“อย่าพูดเยอะ”
พี่มันทำหน้าดุใส่
“ปากเราแตก อยากเพิ่งพูด”
ระหว่างมีแต่ความเงียบจนกระทั่ง
“ขอบคุณ”
ผมนิ่งไปก่อนจะพูดคำๆ หนึ่งเสียงแผ่ว ห้องโดยสารที่เงียบอยู่แล้วจึงไม่แปลกหากคำพูดนั้นพี่ดลจะได้ยินเต็มสองหู พี่รหัสไอ้เปียวหันมามองผม
“ขอบคุณที่ช่วยผม”
“...”
“ขอบคุณครับพี่ดล”
มันกระดากปากไม่น้อยที่พูดกับอีกฝ่ายสุภาพแบบนั้น แต่ความมีน้ำใจช่วยเหลือจากอีกฝ่ายทำให้ไม่รู้สึกขัดเขินเลยที่จะพูดออกไป
“ไม่เป็นไร”
พี่ดลยิ้มน้อยๆ แววตาที่มองผมดูอบอุ่น
“แค่เราไม่เป็นอะไรมาก พี่ก็ดีใจแล้ว”
ผมเพิ่งรู้ว่ารอยยิ้มผู้ชายตรงหน้ามีรอยยิ้มที่โคตรอบอุ่น
พี่รหัสไอ้เปียวคือผู้ชายสองบุคลิก ปกติคือสุภาพบุรุษดูอ่อนโยน แต่บทจะโกรธขึ้นมาภาพที่พี่มันสวนหมัดใส่พวกนั้นยังติดตาผมอยู่เลย
“อีกอย่าง ที่บอกแวะมาดู คือมาดูว่ามีคนได้กินไก่ทอดมั้ย”
อันตราย
อันตรายต่อหัวใจผมมากๆ
- J E E B -
ผมงัวเงียตื่นเต็มตาหลังจากที่เผลองีบหลับไปช่วงหัวค่ำ คงจะนานพอดูเพราะพอลืมตาตื่นขึ้นมาท้องฟ้าเปลี่ยนสีแล้ว
“ตื่นแล้วเหรอ”
ไอ้โต้งนั่งอยู่ข้างๆ พูดขึ้น ดูสภาพแล้วเหมือนเพิ่งซ้อมเสร็จ เพราะใบหน้าเปียกโชคไปด้วยน้ำคิดว่ามันคงเพิ่งไปล้างหน้ามาแน่นอน
“หลับสบายมั้ยมึง”
หลังจากไอ้อ๋องกลับไป ผมก็มานั่งทำงานรอพี่เซียนแถวอัฒจันทร์นี่แหละ วันนี้พี่มันบอกจะพาไปเลี้ยงข้าว แต่ยังไงไม่รู้ผมเผลอหลับไปเฉย
“อืม”
“ไม่หลับสบายได้ไงอ่ะ พี่เซียนเล่นมาพัดมาวีให้อยู่เกือบชั่วโมงเพราะกลัวมึงโดนยุงกัดเนี่ย”
“ถามจริง”
ผมทำหน้าตื่นถามไอ้โต้งเสียงหลง
“เออ”
พี่โต้งลงเสียงหนักๆ แล้วยักคิ้วเป็นการสำทับ ผมทำหน้าไม่ถูกเลยกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อมองหาคนในหัวข้อสนทนา ตอนนี้พวกคทากรคงเลิกซ้อมกันแล้ว เพราะพี่เลี้ยงกำลังเก็บอุปกรณ์กลับ พี่เซียนที่เดินหัวเปียกมาแต่ไกลยิ้มน้อยๆ ให้ ในมือถือถุงอะไรสักอย่างมาด้วย
“หิวรึยัง”
“นิดหน่อยครับ”
“งั้นกินขนมรองท้องไปก่อน วันนี้คาเฟ่หน้าสนามกีฬาทำบราวนี่มิ้นท์”
ผมยิ้มตาหยีตอนที่ยื่นมือไปรับขนม ท่าทางนั้นทำเอาแฟนหนุ่มรุ่นพี่ถึงกับส่ายหัวมือหนาเอื้อมมาขยี้ศีรษะผมอย่างมันเขี้ยว
“มึงนี่เลี้ยงง่ายดีเนอะ”
พี่มันคว้าเอากระเป๋าเป้ของตัวเองและของผมขึ้นสะพาย และฉุดแขนผมให้ลุกขึ้น เพราะตอนนี้พวกพี่มันเริ่มทยอยออกจากสนามกีฬาแล้ว ้ผมกับไอ้โต้งเดินตามพี่เซียนกับพี่เดี่ยวไปยังตลาดสามย่านที่อยู่ไม่ไกลจากสนามบอลของมหาวิทยาลัย และบริเวณชั้นสองของตลาดยังเป็นร้านอาหารแบบโอเพ่นแอร์เรียงรายกันหลายร้าน มีโต๊ะนั่งเต็มพื้นที่คล้ายๆ โรงอาหารคณะแต่กว้างกว่าหลายเท่า แถวนี้เป็นถิ่นเด็กมหาลัยผมเลยเพราะมีร้านอาหารขึ้นชื่ออย่างร้านสเต๊กที่นิสิตพากันมาลิ้มลอง ตอนที่พวกเราไปถึงกลุ่มเพื่อนวิศวะฯ ของพี่เซียนนั่งรอกันอยู่แล้ว
“สวัสดีครับพี่”
เพื่อนพี่เซียนหันมารับไหว้ผม
“พวกกูรอจนรากงอกแล้วไอ้เซียน ไอ้เดี่ยว”
พี่เดี่ยวหันมามองหน้าผมนิดนึงก่อนจะหันไปคุยกับเพื่อนตัวเอง
“กูรอไอ้เซียนอยู่ มันนั่งเฝ้าเด็กหลับ”
ผมทำหน้าเหวอก่อนจะไปกระซิบถามไอ้โต้งที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน
“พี่เซียนนั่งรอกูตื่นเหรอวะ”
“เออ”
ผมหน้าเสียเลยรีบหันไปยิ้มแหยให้เพื่อนพี่มัน ซึ่งแต่ละคนก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร แต่ผมอดรู้สึกอายไม่ได้เลยถลึงตาใส่คนต้นเรื่องที่ไม่ยอมปลุกให้ผมตื่น แต่ดันนั่งเฝ้ารอให้ผมตื่นเอง ไม่รู้ว่าเพื่อนพี่มันมานั่งรอนานแค่ไหนแล้ว
โคตรรู้สึกแย่เลย
“พวกมันเพิ่งมา”
พี่เซียนหันมาพูดกับผม
“ไอ้น้องเปียวไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้น พวกพี่เพิ่งเสร็จงานที่คณะ เพิ่งมาถึงก่อนหน้ามันเมื่อกี้นี้แหละ เมื่อกี้พวกพี่แซวเล่น”
เพื่อนพี่มันคนหนึ่งโบกไม้โบกมือไม่ให้ผมคิดมาก
“ค่อยยังชั่ว”
ผมพ่นลมหายใจแรงๆ เพราะนึกเกรงใจพวกพี่มัน พี่เซียนหัวเราะน้อยๆ ตอนที่โยกหัวเล่น
“ผมเสียทรงแล้วโว้ย”
“ผมมึงนิ่มว่ะ”
พี่มันเกลี่ยศีรษะผมเล่น
“น้อยๆ ไอ้ห่าเซียน พวกกูอิจฉา”
พี่มันแค่ยักไหล่ท่าทางกวนๆ จนเพื่อนพี่มันโห่ใส่ ผมเลยเบี่ยงตัวหนีเพราะทนปั้นหน้านิ่งท่ามกลางเสียงโห่แซวไม่ไหว จะหันไปขอความช่วยเหลือไอ้โต้ง มันก็ติดโทรศัพท์เหลือเกิน นั่งกดยิกๆ ตั้งแต่อยู่ในสนามกีฬาเมื่อนี้แล้ว ธุระเยอะจริงไอ้ห่านี่
“เอาหน่อยมั้ยน้องเปียว”
รุ่นพี่คนหนึ่งยื่นแก้วเหล้าที่ผสมแล้วมาให้ แต่พี่เซียนไวกว่าดันออกไป แล้วสั่งให้เพื่อนมันรินโค้กใส่แก้วใหม่ให้แทน
“อย่างมึงกินโค้กก็เมาแล้ว”
“ดูถูกว่ะ”
ปากดีไปงั้นแหละเพราะผมอ่ะคออ่อน ไปร้านเหล้ากับสายรหัสทีไรพี่ดลไม่ก็พี่อุ้มจะคอยช่วยตลอด ทั้งช่วยกินและช่วยเททิ้งเวลามีแก้วจากรุ่นพี่ยื่นมาให้ สุดท้ายผมเลยรับแก้วโค้กจากมือพี่เซียนมาดื่ม ไม่รู้ผมรู้สึกไปเองรึเปล่าที่เห็นสายตาของพวกพี่มันมองผมสลับกับไอ้เซียนแล้วขำออกมา
“หวงแฟนเหรอไอ้ห่า”
“มันคออ่อน”
พี่เซียนพูดขึ้น
“รู้แล้วก็อย่าเสือกยื่นเหล้าให้มันอีก”
พี่มันไปสั่งเพื่อนตัวเอง คราวนี้เลยได้เสียงโห่หนักกว่าเดิมอีก ผมเลยต้องก้มหน้างุดๆ หยิบเฟรนฟรายซ์ทอดบนโต๊ะมากินเงียบๆ ไม่มีใครเห็นว่าใต้โต๊ะนั่นมือข้างขวาพี่เซียนกุมทับมือข้างซ้ายของอยู่ พี่มันหันไปคุยกับเพื่อนตัวเองดูปกติ แต่ขณะเดียวกันมือคู่นั้นบีบมือผมเบาๆ
“ลืมถาม”
“ว่า”
“กูกินลำบากป่ะ”
ผมทำหน้างงใส่พี่เซียน
“ก็กินมือเดียว”
“ถ้าบอกว่าลำบาก จะปล่อยเหรอ”
ผมถามกลับไป
“ไม่ปล่อย”
“...”
“ไม่มีทาง”
.
.
แม่งเอ้ย
กินลำบากฉิบหาย แต่ใจฟูสัดๆ
- J E E B -
สัปดาห์หน้ามีคนเมาแล้วเปรี้ยวนะคะ 5555
หวีดในทวิตติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยนะคะ ขอบคุณที่อ่านแล้วเมนต์ล่วงหน้าค่ะ