ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]  (อ่าน 64679 ครั้ง)

ออฟไลน์ [Karnsaii]

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +523/-17
- จีบที่ 13 -

 


อากาศวันนี้ร้อนมากๆ โดยเฉพาะช่วงบ่ายแก่ๆ แบบนี้ ผมขยับคอเสื้อไปมาเพื่อคลายความร้อน มือข้างหนึ่งยกขึ้นป้องตา ความร้อนที่สาดส่องมาถึงสนามหญ้าราวกับมีไอความร้อนพวยพุ่งเข้าสู่ตัวจนแสบร้อนไปหมด ผมกวาดสายตามองไปรอบสนามหญ้าขนาดใหญ่หรือสนามฟุตบอลของมหาวิทยาลัยที่ขณะนี้พื้นที่ในสนามเต็มไปด้วยเพื่อนร่วมชั้นปีของผมฝ่ายละสิบเอ็ดคนแบ่งเป็นสองทีมกำลังวิ่งไล่บอลลูกกลมๆ ใครคนหนึ่งในทีมเสื้อสีแดงสังเกตจากการมีผ้าแดงผูกข้อมือกำลังเลี้ยงลูกพลิกตัวหลบการไล่ต้อนจากทีมสีน้ำเงินที่มีผ้าผูกข้อมือสีน้ำเงิน เพราะทุกคนในสนามอยู่ในชุดกีฬาคณะสีขาวปกสีส้มหมีพูร์กับกางเกงวอร์มขาสั้น ดังนั้นจึงต้องมีสัญลักษณ์ผ้าผูกข้อมือเพื่อเป็นการแบ่งแยกให้ชัดเจนว่าเป็นของทีมไหน

จังหวะที่ทีมบุกแปบอลส่งเข้าข้อเท้าผู้เล่นในทีมแล้วเลี้ยงส่งต่อให้เพื่อนในทีมนั่น ผมได้ยินเสียงนกหวีดดังขึ้นพร้อมๆ กับที่สายตาเหลือบเห็นความผิดปกติบางอย่างจนต้องชูธงในมือขึ้นสูงก่อนจะลดมือชูธงไปเบื้องหน้าในตำแแหน่งต่างๆ สามจังหวะคือเหนือศีรษะ เบื้องหน้าและชี้ลงพื้นเป็นสัญญาณว่ามีการล้ำหน้าในเกม ตามหน้าที่ของไลน์แมนหรือผู้ช่วยผู้ตัดสินที่ทำหน้าที่ดูแลกำกับเส้นสนาม จังหวะที่เล่นทุกคนหยุดชะงักไปนั่นพอดีกับที่อาจารย์ผู้สอนเป่านกหวีดหมดเวลาการแข่งขันนั่นทำให้ทุกคนในสนามไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นเอง หรือกรรมการอย่างไลน์แมนที่วิ่งระนาบไปกับเส้นสนามอย่างผม และเพื่อนอีกคนที่ทำหน้าที่ผู้ตัดสินใจพากันถอนหายใจเฮือกใหญ่่

หลังจากสอบภาคทฤษฎีในเนื้อหาวิชาพื้นฐานนิสิตปีหนึ่งที่คณะผ่านพ้นไปสัปดาห์ที่ผ่านมา สัปดาห์นี้เป็นการสอบภาคปฏิบัติ ในเนื้อหาวิชาบังคับของคณะ ปกติแล้วคณะผมจะต้องวิชากีฬาพื้นฐานสิบชนิดกีฬา และต้องเลือกเรียนวิชากีฬาเสรีซึ่งไม่มีในวิชาบังคับอีกสี่ตัวตลอดการเรียนทั้งหมดสี่ปี แต่สำหรับปีหนึ่งนั้นวิชากีฬาที่บังคับเรียนคือว่ายน้ำ ฟุตบอลและวอลเล่ย์บอล โดยการสอนจะเริ่มตั้งแต่พื้นฐานกติกาการเล่น วิธีการเล่น รวมถึงการปฐมพยาบาลการบาดเจ็บของแต่ละชนิดกีฬาในภาคทฤษฎี นอกจากนี้ยังมีสอบปฏิบัติอย่างการสอบวันนี้ในวิชาฟุตบอลคือมีการเล่นจริงเป็นเวลาเก้าสิบนาทีตามเวลาที่ใช้แข่งขันนจริงๆ มีสอบเป็นผู้ตัดสินในสนาม สอบผู้ตัดสินไลน์แมนโดยทุกคนจะต้องวนเวียนไปสอบทุกตำแหน่งทั้งหมด ซึ่งจะมีอาจารย์ผู้สอนจับเวลาและตัดสินผลจากการสังเกตการณ์

แน่นอนว่าอยู่ท่ามกลางสนามหญ้ากลางแดดในช่วงบ่ายแก่ๆ เป็นเวลาชั่วโมงกว่าๆ นั่นทำให้สภาพแต่ละคนดูเหนื่อยหอบไม่น้อย พอสิ้นเสียงเป่านกหวีดของอาจารย์ผูู้สอน พวกเราเลยต่างโห่ร้องดีใจก่อนจะกอดคอพากันวิ่งไปหลบแดดนอนแผ่หลา ท่ามกลางเสียงหัวเราะของอาจารย์ผู้สอน

“ถ้าอีกห้านาทีจารย์ไม่เป่าหมดเวลาพวกผมจะเป็นลมให้ดู”

แกหัวเราะเสียงดังลั่น

“เอาน่า พวกเธอจะเป็นนักวิทยาศาสตร์การกีฬาได้ยังไง ถ้าร่างกายไม่แข็งแรง”

“วิ่งกลางแดดบ่ายสามก็ไม่ไหวนะครับจารย์”

“อาจารย์รู้ว่าพวกเธอเก่ง วันนี้ทำดีมาก”

แกยกนิ้วโป้งให้ก่อนจะทยอยแจกน้ำให้นิสิต สำหรับวิชากีฬาแต่ละคลาสจะมีคนเรียนคลาสเล็กๆ ไม่เกินสามสิบคนให้พอฝึกและเรียนรู้กันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“เดี๋ยวคูลดาวน์แล้วเตรียมแยกย้ายกันได้เลยนะ จะมีทีมอื่นมาใช้สนามต่อ”

พวกเราพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะผุดลุกขึ้นแล้วทำการคูลดาวน์หรือการผ่อนหยุดจากการออกกำลังกายหนักๆ ที่เป็นสิ่งสำคัญมากๆ หลังจากการออกกำลังกาย เพราะช่วงเวลาที่ออกกำลังเป็นช่วงที่ร่างกายทำงานหนักไม่ว่าจะเป็นระบบไหลเวียนเลือดหรือปอดที่ทำงานสูงเกินกว่าปกติ ฉะนั้นหากไม่คูลดาวน์จะมีกรดชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “กรดแลกติก” สะสมอยู่ในกล้ามเนื้อจนอาจทำให้กล้ามเนื้อบอบช้ำและเมื่อยล้า แต่หากได้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วยการคูลดาวน์จะทำให้เรารู้สึกว่าอาการเมื่อยล้าน้อยลง

หลังจากวิ่งเหยาะๆ สักราวๆ สิบนาทีแล้วทุกคนต่างไปเช็คชื่อแล้วพากันแยกย้ายไปล้างหน้าล้างตา ระหว่างนั้นไอ้อ๋องเดินโขยงเขยกเข้ามาช่วยถือสัมภาระเพราะมันยังเดินเหินไม่สะดวก อาจารย์แกเลยใจดีไปวิ่งตัดสินอยู่ราวๆ สิบห้านาทีก่อนจะให้มันพักข้างสนามและทำรายงานเพิ่มแทน

“ไปล้างหน้าก่อนมั้ยมึง”

“อือ”

ผมพยักหน้าหงึกหงักรับผ้าขนหนูมาซับเหงื่อให้ตัวเอง

“กูว่าจะกลับไปอาบน้ำที่คณะว่ะ”

มันทำหน้าเห็นด้วยเพราะที่คณะผมมีห้องน้ำสำหรับการอาบน้ำหลังออกกำลังกาย

“เหงื่อกูชุ่มเต็มเสื้อเลยเนี่ย”

“เสื้อมึงเปียกมากไอ้เปียว”

มันชะโงกหน้าเข้ามาใกล้

“เหม็นด้วย”

“ไอ้ห่าแล้วมึงจะดมเพื่อ”

มันหัวเราะหึๆ ก่อนจะพาดแขนไปที่ไหล่ผมแล้วกระตุ้นให้ออกเดิน ระหว่างนั้นมีเพื่อนที่คณะสองสามคนเดินไปเก็บกรวยที่ห้องเก็บของใกล้ๆ ห้องน้ำ

“มีอะไรให้ช่วยเปล่าวะ”

“ไม่มีอ่ะ ที่เหลือพวกที่ใช้สนามต่อเขาจะเก็บกันเอง”

ผมมุ่นหัวคิ้วทันทีเพราะได้ยินมาก่อนหน้านี้ว่าจะมีการใช้สนามต่อ ทั้งๆ ที่ช่วงนี้เพิ่งพ้นฤดูกาลสอบฉะนั้นคงไม่มีชมรมหรือทีมกีฬาไหนมาซ้อมกันหรอก

“ใครวะที่ขอใช้สนาม”

“พวกนักบอลมหาลัยอ่ะ”

ผมพยักหน้าหงึกหงัก

“ซ้อมไวจัง เพิ่งผ่านพ้นช่วงสอบไปเอง”

“อีกไม่กี่เดือนก็จะมีงานบอลประเพณีแล้ว เราคงหวังแชมป์”

“ปีก่อนที่แพ้ข่าวว่านักบอลโดนทาเล็บแดงเดือนหนึ่งเป็นการทำโทษด้วยนะ”

มันกระซิบกระซาบบอก เอาจริงเรื่องนี้ก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าบทลงโทษที่แพ้ปีก่อนนั้นต้องถูกทาเล็บสีแดงทั้งทีม มันออกจะเป็นบทลงโทษที่ดูไม่ซีเรียสนักแต่คงทำเอาผู้ชายตัวโตๆ เขินอายไม่น้อยที่เล็บมือทั้งสิบนิ้วเป็นสีแดงฉูดฉาดเรียกสายตาล้อเลียนจากคนทั่วไปไม่น้อย

เป็นบทลงโทษที่โคตรแสบ

เอาจริงๆ ผมว่าผลแพ้ชนะไม่สำคัญเท่ากับการได้ทำกิจกรรมร่วมกันระหว่างสองมหาวิทยาลัยหรอก ถึงแม้ผลปีนี้จะออกเป็นอย่างไรก็ตาม ปีหน้าเราก็ต้องมาร่วมฟาดแข้งกันเหมือนทุกๆ ปี 

“พวกกูไปก่อนนะ”

เพื่อนผละไปแล้วพวกผมเลยเดินไปล้างหน้าล้างตาสักหน่อย

“หัวเปียกหมดแล้วไอ้ห่า”

ไอ้อ๋องร้องโวยวายตอนที่ผมสะบัดผมที่เปียกน้ำไปมาจนกระเด็นไปโดนตัวมัน

“จะได้เย็นๆ”

“เลิกเล่นได้แล้ว กูหิวน้ำ”

“งั้นมึงไปรอกูที่คาเฟ่หน้าสนามกีฬาเลย เดี๋ยวกูไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึง”

“เออ”

มันผละออกไปแล้ว ขณะเดินออกมาจากห้องน้ำคนกลุ่มหนึ่งเดินสวนเข้าประตูสนามกีฬามาพอดี กลุ่มผู้ชายสี่หน้าคนในชุดกีฬาแทบทุกคนถือรองเท้าสตั๊ดมาพร้อมกับเป้แบบสะพายข้างเดาได้ไม่ยากว่ากลุ่มนี้คงเป็นพวกนักบอลมหาวิทยาลัย ผมคงละความสนใจไปแล้ว หากหนึ่งในนั้นจะไม่ใช่คนคุ้นเคย ร่างสูงโปร่งผิวสีเข้มเพราะเล่นกีฬากลางแจ้ง แต่แววตายังขี้เล่นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

“พี่ปั๊บ”

เจ้าของชื่อยิ้มน้อยๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเป็นเชิงทักทายแล้วผละจากกลุ่มนักบอลมาหยุดอยู่ตรงหน้า ส่วนสูงที่ต่างกันนั่นทำให้ผมต้องแหงนหน้าคุยกับอีกฝ่าย

“เห็นพ่อแม่เราบอกว่าสอบติดที่นี่ แต่ไม่เคยเจอกันสักที”

ผมพยักหน้าหงึกหงักให้ ‘พี่ชายข้างบ้าน’ จำได้ว่าตอนที่พ่อย้ายจากเชียงใหม่มาอยู่แถวปริมณฑลนั่นทำให้ผมได้รู้จักกับเพื่อนบ้านซึ่งเป็นครอบครัวนักธุรกิจขนาดกลางมีลูกสามคนในวัยไล่เลี่ยกันเลยทำให้พวกเราสนิทสนมกันพอสมควร โดยเฉพาะกับคนตรงหน้าที่เป็นรุ่นพี่เพียงสองปี ระยะห่างของช่วงวัยที่ใกล้เคียงกันซ้ำยังเติบโตมาด้วยกันเลยทำให้เราเข้ากันได้ดี จนกระทั่งพี่มันสอบติดมหาวิทยาลัยแล้วย้ายมาอยู่หอเพื่อความสะดวกในการไปเรียน ตั้งแต่นั้นมาผมเองก็ไม่ค่อยเจออีกฝ่ายเท่าไหร่ อีกประเด็นคือนานๆ พี่ปั๊บมาจะกลับบ้านด้วยข่าวว่าฝ่ายนั้นทำกิจกรรมที่มหาลัยและเรียนหนักเลยไม่ค่อยว่างเท่าไหร่

“ไม่เจอแค่ไม่กี่เดือนสูงขึ้นรึเปล่าวะ”

พี่มันเหลือบตามอง่ศีรษะผมที่อยู่ระดับไหล่ของอีกฝ่าย

“จะล้อว่าผมเตี้ยก็พูดตรงๆ เหอะ”

นักบอลมหาลัยทำเสียงขำในลำคอ มือข้างหนึ่งยื่นมาโยกศีรษะผมแบบที่ชอบทำเป็นประจำ

“แล้วนี่อยู่หอแถวไหนอ่ะ อาทิตย์ที่แล้วพี่กลับบ้านเห็นแม่เราบอกว่าย้ายมาอยู่หอ”

“แถวพญาไทครับ”

ฝ่ายนั้นพยักหน้าหงึกหงัก

“วันไหนว่างๆ จะพาไปเลี้ยงข้าวฉลองที่สอบติด”

“ผมเรียนจนจะจบเทอมแล้วเพิ่งฉลองสอบติดเนี่ยนะ”

“เอาน่า”

พี่มันยิ้มน้อยๆ

“เลี้ยงช้าดีกว่าไม่เลี้ยง”

“อาทิตย์นี้มีซ้อมที่สนามกีฬาที่คณะเรา กะว่าจะโผล่ไปหาวันนั้นแหละ นักบอลเฟรชชี่ปีนี้มีเด็กคณะเราด้วยนี่”

เนื่องจากคณะผมเป็นคณะเกี่ยวกับกีฬาฉะนั้นพื้นที่ของคณะนอกจากตึกฟิตเนสแล้วยังมีสนามบาส สนามบอลและสนามเทนนิสให้ได้ทำกิจกรรม อีกอย่างนิสิตปีหนึ่งที่คณะผมมีการรับเข้าเรียนสองแบบคือการสอบเข้าตามปกติและการรับตรงซึ่งส่วนนี้จะต้องมีคุณสมบัติคือเป็นนักกีฬาในประเภทต่างๆ ที่คณะเปิดรับเพื่อมาสัมภาษณ์และทดสอบวิชาเฉพาะ ดังนั้นนิสิตที่รับตรงของคณะส่วนใหญ่จึงเป็นพวกนักกีฬาที่ต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวลงแข่งขันในรายกายต่างๆ เพื่อเป็นตัวแทนนักกีฬาของมหาวิทยาลัย อย่างงานฟุตบอลประเพณีนี้ผมได้ยินว่าเพื่อนๆ ปีหนึ่งประเภทรับตรงกีฬาฟุตบอลต้องเข้าร่วมซ้อมและคัดตัวในช่วงใกล้แข่งขัน เลยไม่น่าแปลกใจหากทีมบอลมหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่งจะมาจากนิสิตคณะผมเป็นส่วนใหญ่

“จ่ายไม่ถึงสองพันผมไม่ออกจากร้านนะพี่”

“กะเอาให้กูหมดตัวเลยรึไง”

พี่ปั๊บส่ายหัว

“เอาสิ ถ้าสั่งมาแล้วกินไม่หมดกูจะยัดใส่ปากให้มึงอ้วกแน่”

“โหด”

ผมเบะปากให้อีกฝ่าย

“อ่ะนี้”

มายมิ้นท์ถูกยื่นมาตรงหน้า

“มัดจำไปก่อน”

ของโปรดที่ผมชอบนักหนาซึ่งอีกฝ่ายรู้ดีเพราะซื้อให้ผมกินประจำ นิสิยพี่ปั๊บช่างสังเกตและช่างจดจำสมกับเป็นพี่ชายคนโตของบ้านที่มีน้องชายและน้องสาว เห็นแมนๆ เป็นเป็นกีฬาแบบนี้พี่มันเลี้ยงน้องๆ เก่งไม่เบาขนาดที่ว่าน้องๆ ติดพี่มันน่าดู

ผมโบกมือลาพี่มันตอนที่แก๊งนักบอลเรียกพี่ปั๊บไปซ้อมแล้ว

“ใครอ่ะ”

เสียงกระซิบจากด้านหลังทำเอาผมสะดุ้งโหยง

“ไอ้เชี่ยโต้ง”

ร่างสูงของเพื่อนสนิทปรากฏอยู่เบื้องหน้าสีหน้ามันดูสงสัยไม่น้อย

“มึงนอกใจพี่เซียนเหรอ”

“นอกใจเชี่ยไร”

ผมส่ายหน้าหวือ

“กูกับพี่มันไม่เป็นได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”

“แน่ใจ๊”

ไอ้เวรนี่หรี่ตามองผมอย่างจับผิด

“เออ” ผมทำเสียงเข้ม “อีกอย่างนะเมื่อกี้พี่ปั๊บพี่ข้างบ้านกูไง มึงเองก็เคยเจอ”

มันทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะร้องอ๋อออกมา

“ที่ตอนนั้นเขาเอามายมิ้นท์มาขอหมั้นมึงอ่ะเหรอ”

ผมแยกเขี้ยวใส่มันทันที พลันนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้หยิบยกมาล้อเลียนทุกวันนี้ จำได้ว่าช่วงประมาณมัธยมต้นผมเป็นเด็กติดเกมอย่างหนักจนการเรียนตกนั่นแหละพ่อกับแม่เลยตัดค่าขนมผมจนเป็นเหตุให้พี่ชายข้างบ้านซื้อขนมมาแบ่งเป็นประจำไปๆ มาๆ เลยถูกเพื่อนล้อเลียนกันว่าพี่มันเอาขนมมาหมั้นผม เล่นเอาผมถูกสาวๆ แฟนคลับพี่มันเขม่นไปพักหนึ่งเลยล่ะ

“มึงก็พูดไปเรื่อย”

ผมส่ายหน้าไปมา

“ว่าแต่มึงมาโผล่ที่นี่ได้ยังวะ”

“กูมาเล่นบาสที่สนามกีฬาในร่ม เห็นไอ้อ๋องเช็คอินที่คาเฟ่หน้าสนามกีฬากูเลยแวะมาหา””

ผมหรี่ตามองมันทันที

“มาหาพวกกูเพื่อ”

“พี่เซียนฝากของมาให้พี่อุ้ม”

“แล้วพี่คณะมึงไปไหนล่ะ”

แปลก!

พี่เซียนเนี่ยนะจะฝากไอ้โต้งเอาของไปให้พี่อุ้ม รู้ทั้งรู้ว่าเพื่อนผมกับพี่อุ้มแง่งๆ ใส่กันขนาดนี้

“สอบเสร็จเมื่อเช้าก็กลับไปนอนมั้ง ท่าทางไม่ค่อยดี”

“พี่มันไม่สบายเหรอ”

ไอ้โต้งขยับรอยยิ้มทันทีที่ผมโพล่งถามออกไป

“คงงั้นมั้ง วันก่อนก็เห็นอยู่คณะทั้งคืนตอนที่กูไปโรงฝึกของภาคยานยนต์ยังเห็นพี่มันนั่งประกอบเครื่องยนต์รถอยู่เลย”

“ไม่ได้นอนเลยเหรอ”

ผมพึมพำได้ยินมาจากพี่อุ้มเหมือนกันว่าช่วงนี้พี่เซียนทั้งสอบทั้งต้องไปช่วยรุ่นพี่กับอาจารยซึ่งฟอร์มทีมลงแข่งขันเกี่ยวกับการออกแบบและการสร้างยานยนต์ ช่วงนี้ี่ผมเลยไม่ต้องให้ไปช่วยพี่อุ้มเทรนพี่เซียนที่เข้าร่วมฝึกในวิชาบอดี้คอนเพราะกลุ่มตัวติดภารกิจช่วงนี้ ทำให้การเทรนต้องเลื่อนออกไปก่อน

หลังจากนั้นผมไปกินข้าวเย็นเพื่อนสนิททั้งสองคน ก่อนที่ไอ้โต้งจะแยกไปหาพี่อุ้ม ส่วนอ๋องมันไปทำงานพิเศษที่คาเฟ่  ขณะที่ผมมีสอนพิเศษ

ผมกระชับสายสะพานให้แน่นขึ้นตอนที่เงยหน้ามองคอนโดใกล้ๆ บีทีเอส ตั้งแต่น้องซอแอบโดนเรียนพิเศษไปโดยที่ผมรู้เห็นครั้งนั้น สาวน้อยก็ถูกบิดามารดาสั่งกักบริเวณเป็นการทำโทษ ดังนั้นสถานที่ที่ใช้เรียนพิเศษจึงถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ที่อยู่สายตาคนในครอบครัว คอนโดพี่เซียนจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเพราะอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยและใกล้กับโรงเรียนของน้องๆ รวมถึงอยู่ในสายตาพี่เซียนที่เป็นตัวแทนของทั้งบ้าน 

เกือบห้าโมงตอนที่มาหยุดที่ใต้คอนโดพี่เซียน รอไม่นานสาวน้อยในชุดเครื่องแบบนักเรียนม.ปลาย มัดผมหางม้าผูู้กโบว์สีขาวก็ยิ้มเผล่มาแต่ไกล ในมือมีถุงผ้าด้านในมีของกินไม่น้อย

“พี่เซียน”

สาวน้อยยิ้มกว้างรีบถลามากอดแขนเขา

“เพื่อนๆ ไปไหนหมดครับวันนี้”

เพราะเหลียวมองไปด้านหลังของเด็กสาวแล้วไม่ใครนอกจากคนตรงหน้า

“วันนี้สองคนนั้นติดธุระค่ะ”

“แล้วนี่หิ้วอะไรมาเต็มถุงครับเนี่ย”

“เมื่อกี้คุณแม่แวะเอาขนมมาให้ทานแก้ง่วงค่ะ”

“วันนี้เราค้างที่คอนโดหรือ”

สาวน้อยส่ายหน้าหวือจนผมสะบัด

“เดี๋ยวค่ำๆ คุณแม่จะมารับกลับบ้านค่ะ พอดีวันนี้ต้องแวะไปรับญาติที่สนามบินค่ะ”

น้องซอเดินคล้องแขนผมแล้วดึงให้ออกเดิน จนกระทั่งโดยสารลิฟต์มาถึงชั้นที่เป็นห้องพักพี่เซียน น้องซอแตะคีย์การ์ดแล้วเปิดประตูเข้าไปเจอความเย็นจากแอร์พุ่งมาปะทะใบหน้าผมทันที สภาพด้านในค่อนข้างเย็นฉ่ำแต่ทุกอย่างกลับดำมืดเพราะไม่ได้เปิดไฟ

ผมกวาดตามองไปรอบๆ ตอนที่น้องซอเดินไปเปิดไฟให้สว่าง ทุกอย่างเงียบเชียบราวกับว่าเจ้าของห้องไม่อยู่ ขณะที่นั่งลงคุ้ยเอาชีทที่จะใช้สอนเด็กสาวออกมา เสียงเปิดประตูห้องนอนก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่เดินลากขายาวๆ มาใกล้

“มากันแล้วเหรอ”

สภาพพี่เซียนดูอิดโรยไม่น้อย ขอบตาดำคล้ำ ผมยุ่งๆ ไม่เป็นทรง เจ้าตัวอยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงวอร์มขายาว ใบหน้าคมคายซีดเซียวเพราะพิษไข้เล็กน้อย

“พี่เซียนไม่สบายหรือคะ”

เด็กสาวถลาไปแตะหลังมือ่กับหน้าผากของพี่ชาย

“ตัวรุมๆ ด้วย”

“เดี๋ยวนอนสักตื่นก็คงดี พี่ไปงีบแป๊บนึงนะ” ฝ่ายนั้นโยกศีรษะน้องสาวก่อนจะเหลือบสายตามาทางผม “ตามสบายนะ ถ้าหิวสั่งอะไรขึ้นมากินก็ได้ เบอร์ร้านข้าวอยู่ตรงเคาน์เตอร์ครัว”

ฝ่ายนั้นพูดจบก็เดินผละกลับเข้าไปในห้อง ผมมองตามแผ่นหลังพี่มันไปจนลับตาแล้วให้สะดุ้งโหยงเมื่อหางตาเหลือบไปเห็นน้องซอนั่งยิ้มกริ่มอยู่เบื้องหน้า

“เอ่อ เรามาติวกันดีกว่าเนอะ”

เด็กน้อยไม่พูดอะไรต่อนอกจากพยักหน้าหงึกหงักด้วยรอยยิ้มกว้าง หลังจากนั้นเราทั้งคู่ก็หันมาสนใจชีทตรงหน้า ถึงแม้ทุกครั้งที่ปล่อยให้น้องซอทำแบบฝึกหัดนั่นผมจะเผลอมองไปที่ประตูห้องของพี่เซียนก็ตาม เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้จนกระทั่งสาวน้อยเริ่มไม่มีสมาธิและโอดครวญอยากพักนั่นแหละ ผมเลยยุติการเรียนในวันนี้แล้วให้การบ้านเด็กสาวกลับไปทำแบบฝึกหัด

“หิวจังเลยค่ะ”

น้องซอบ่นหลังจากเพิ่งกินขนมที่มารดาฝากมาให้ไปตั้งครึ่งค่อนแล้ว สาวน้อยเหมือนจะรู้ตัวตอนที่ผมเหล่ตามองกองขนมแล้วยิ้มน้อยๆ สาวเจ้าเลยยิ้มปอเหลาะให้เขาทีหนึ่ง

“เดี๋ยวไปดูในตู้เย็นก่อนว่ามีวัตดุดิบอะไรที่พอทำกับข้าวง่ายๆ ได้บ้าง””

โชคดีว่าครั้งนี้ของในตู้เย็นมีทั้งเนื้อสัตว์และผักสองสามชนิด ผมเลยถือวิสาวะทำข้าวผัดง่ายๆ และต้มจืดให้น้องซอ เสร็จแล้วก็ตั้งหม้อต้มข้าวต้มให้คนป่วยสักหน่อย พอปิดแก๊สไปได้พักเดียวเจ้าของห้องก็เดินสะโหลสะเหลอออกมานั่งอึนๆ อยู่ตรงโซฟาห้องนั่งเล่น ผมเลยตักข้าวต้มใส่ถ้วยยกไปเสิร์ฟให้อีกฝ่าย เวลาเกือบสองทุ่มแล้วถ้าให้เดาพี่มันคงยังไม่ได้กินข้าวเย็น 

“อะไร”

พี่เซียนเลิ่กคิ้วมองชามข้าวต้ม

“ข้าวเย็นพี่”

คนป่วยทำหน้าแหย

“ไม่หิวเลยว่ะ”

“ไม่หิวก็ต้องกิน ถ้าให้เดาพี่คงยังไม่ได้กินยาใช่มั้ย”

“แค่นอนก็ดีขึ้นแล้ว”

ผมถอนหายใจแรงๆ ให้อีกฝ่าย บทจะดื้อรั้นขึ้นมาพี่เซียนไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใครเลยจริงๆ เป็นคนป่วยที่น่าฟาดสักที แต่เพราะเห็นใบหน้าเซื่องๆ ซึมๆ หมดสภาพนั่นแล้วผมทำไม่ลงจริงๆ

“น้องซอ พี่ชายน้องซอไม่ยอมกินข้าว มานั่งเฝ้าพี่ให้เขากินที”

สาวน้อยคว้าจานข้าวผัดและต้มจืดมานั่งกินที่ห้องนั่งเล่นทันที เท่านั้นไม่พอเด็กสาวยังขู่ฟอดๆ ว่าจะโทรฟ้องแม่ นั่นแหละพี่มันถึงได้ยอมกินข้าวแต่โดยดี พอกินข้าวเสร็จได้ไม่นานโทรศัพท์น้องซอก็ดังขึ้น 

“คุณแม่มารับแล้วค่ะ แต่คงไม่ได้ขึ้นมาเพราะเห็นว่าจะรีบไปคุณป้าที่สนามบินต่อ”

พี่เซียนถอนหายใจโล่ง

“อย่าบอกแม่นะว่าพี่ป่วย”

น้องซอย่นจมูกแต่ก็ยอมพยักหน้าหงึกหงัก 

“ได้แค่ แต่พี่เซียนต้องสัญญานะว่าจะกินยาแล้วพักผ่อนเยอะๆ เดี๋ยวหนูถึงบ้านแล้วจะโทรมาหา”

“ไปเถอะ เดี๋ยวแม่รอนาน”

เจ้าของห้องเดินส่งน้องสาวพักหนึ่ง ตอนที่พี่มันขึ้นมาผมเก็บของใส่เป้ ตอนนั้นผมเอื้อมมือไปหยิบถุงกระดาษในเป้ที่มีบางอย่างถูกซักและรีดมาอย่างดีวางพับอยู่ในนั้น 

แกรก

เสียงเปิดประตูห้องพี่มันดัง ผมกระชับเป้ที่สะพายแน่นเตรียมตัวกลับแต่ตอนที่ไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายผมสังเกตเห็นสีหน้าของพี่มันแดงขึ้น เท่านั้นไม่พอความร้อนที่แผ่ออกมาจากตัวนั่นทำให้มุ่นหัวคิ้วทันที

“อะไร”

พี่เซียนบุ้ยปากไปยังถุงกระดาษในมือผม

“อ๋อ”

ผมยื่นถุงกระดาษที่บรรจุเสื้อช๊อปของอีกฝ่ายที่ซักรีดเรียบร้อยอย่างดีแล้วมาคืนให้อีกฝ่าย เจ้าของห้องชะโงกหน้าดูของในถุงก่อนจะคลี่ยิ้มน้อยๆ

“ผมซักมาคืน”

คนป่วยกระตุกยิ้มมุมปาก แน่นอนว่ามันทำให้ใบหน้าผมร้อนวูบวาบอย่างบอกไม่ถูกยิ่งนึกถึงวลีในวงเหล้าเกี่ยวกับเสื้อช๊อปที่ทำเอาผมนอนคิดไม่ตกมาหลายคืน

“ขอบคุณพี่ด้วยที่ให้ยืมใส่วันนั้น”

ผมเกาจมูกแก้เก้อ

“มึงใส่จริงๆ เหรอ”

อดพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้

“ใส่ดิ ใส่จนถูกเพื่อนแซว”

“แซวว่าอะไรล่ะ”

เกลียดชะมัด

เกลียดใบหน้ารู้ทัน แต่ทำเป็นไม่รู้อะไรเลย ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอก

“พี่แม่ง”

“เสื้อช๊อปไม่ถอดให้ใครง่ายๆ...”

ผมผวาเลื่อนมือไปปิดปากอีกฝ่ายทันทีกลัวพี่มันพูดจนจบประโยค นั่นแหละมือผมสัมผัสลมหายใจพี่เซียนเต็มๆ

ลมหายใจโคตรร้อนเลย

“พี่กำลังไข้ขึ้น”

“ถึงว่าปวดหัวฉิบหาย”

“งั้นกินข้าวเสร็จแล้วกินยานนอนเลย”

พี่เซียนส่ายหัว

“ไม่มี”

“อะไรไม่มี”

“ห้องกูไม่มียาติดอยู่เลย”

ว่าแล้วเชียว ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะปลดเป้แล้วรูดซิปเปิดกระเป๋าเอายาแก้ไข้ที่แวะซื้อจากร้านขายยาก่อนถึงคอนโดออกมา

“มึงพกยาแก้ไข้ด้วย”

ผมเม้มปากแน่นตอนที่ยื่นถุงยาให้พี่มัน

“เพิ่งพกวันนี้แหละ”

พี่เซียนยิ้มพอใจก่อนจะคว้าเอาไปกิน

“พกถูกวันซะด้วย”

เสียงหัวเราะน้อยๆ ในลำคอนั่นน่าหมั่นไส้จนต้องแยกเขี้ยวใส่ ยิ่งฝ่ายนั้นหยิบเม็ดยาใส่ปากแล้วกลืนน้ำตาม ท่าทางดูชอบใจเม็ดยาขอผมไม่เบา

“กินแล้วก็ไปนอนซะ”

“มึงไม่กลัวกูไข้ขึ้นเหรอ”

หูฝาดเปล่าววะ เหมือนได้ยินเสียงสองจากพี่มัน 

“กูอยู่คนเดียวนะ เกิดไข้ขึ้นตอนดึกทำไง”

“1669 สายด่วนแจ้งเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉิน แป๊บเดียวรถพยาบาลก็มาถึง”

ผมตอบเสียงเรียบขณะที่ฝ่ายนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ถ้าแบตมือถือหมดก่อนล่ะ”

“ตอนนี้ก็ชาร์ตใให้เต็มสิครับ”

“เกิดกูหมดสติก่อนจะได้โทรล่ะ”

“...”

“มึงไม่ห่วงกูเหรอ”

ผมเม้มปากแน่นไม่ใช่อะไรกำลังกลั้นขำเสียงสองของผู้ชายตัวโตๆ อย่างพี่เซียน

“ถ้ากูป่วยตายมึงไม่รู้สึกผิดไปทั้งชีวิตรึไง”

“รู้สึก”

“ดี”

คนป่วยขยับรอยยิ้ม

“รู้สึกว่าพี่เป็นคนป่วยที่เจ้าเล่ห์จัง”

เจ้าของห้องยักไหล่ก่อนจะเดินไปล้มตัวลงนอนที่โซฟา

“ผ้าขนหนูอยู่ที่เดิม ส่วนชุดนอนเลือกใส่ได้ตามสบายเลย”

“เดี๋ยวๆ ผมไม่ได้บอกว่าจะนอนค้างกับพี่”

“งั้นตอบคำถามกูข้อหนึ่ง”

ผมพยักหน้าหงึกหงัก ขณะที่ฝ่ายนั้นผุดลุกขึ้น

“ถ้ามึงกลับห้องไป มึงจะนอนหลับมั้ย”

พี่เซียนจ้องหน้าผมผมตรงๆ 

แย่แล้ว

หัวใจผมเต้นรุนแรงมาก

“มึงจะนอนหลับมั้ยคืนนี้”

ไม่หลับ ยังไงก็นอนไม่หลับ

เพราะอะไรน่ะเหรอ...ก็เพราะห่วงคนตรงหน้านี้ไง

ผมกับพี่มันจ้องตากันอยู่นานจนฝ่ายหลังถอนหายใจแล้วบุ้ยปากไปด้านหลัง

“เอาคีย์การ์ดสำรองห้องกูไปได้เลย ตอนลงลิฟต์มึงต้องใช้คีย์การ์ด เดี๋ยววันหลังค่อยเอามาคืน วันนี้กูไม่มีแรงไปส่ง แต่มึงรอแป๊บนึงเดี๋ยวกูโทรเรียกไอ้เดี่ยวไปส่งมึงที่หอ มันมืดแล้วกูไม่อยากให้มึงกลับเอง”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะขยับไปอีกทาง...ทางที่เป็นห้องนอนพี่มัน ผมหันหลังให้พี่เซียน ไม่รู้หรอกว่าตอนนี้สีหน้าพี่เซียนเป็นยังไง แต่ที่รู้ก็คือตอนนี้ผมรู้สึกว่าควบคุมร่างกายตัวเองได้ยากลำบากเหลือเกิน

“ถ้ามึงกลับ กูก็คงนอนไม่หลับ”

เสียงนั้นดังมาจากข้างหลัง

“กูป่วย”

“รู้แล้ว”

ผมยืนนิ่งเมื่อรู้สึกว่าใครบางคนมาหยุดอยู่เบื้องหลัง

“ปวดหัวและเจ็บคอมากๆ”

“รู้แล้ว”

“แล้วมึงรู้มั้ยว่าเวลาป่วย คนป่วยต้องการคนดูแล”

“รู้สิ”

“กูไม่ต้องการให้ใครดูแล”

ผมพยักหน้ารับหงึกหงัก

“กูต้องการแค่มึง”

“...”

“มึงคนเดียว”

ผมยืนอึ้งก่อนที่หันกลับไปเห็นพี่เซียนเดินกลับไปนอนเอามือรองศีรษะแล้วทำท่าหลับไปทั้งที่ใบหน้าคมคายนั่นเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม


.


.


ตอนที่ผมผละไปอาบน้ำสักพักหนึ่ง กลับมาอีกทีเจ้าของห้องก็นอนหลับสนิทไปแล้ว ผมมาหยุดยืนอยู่เหนือศีรษะพี่มันแล้วเอื้อมมือไปแตะหน้าหน้าผากอีกฝ่าย ตัวมันยังรุมๆ เพราะพิษไข้แต่สีหน้าที่แดงก่ำตอนนี้ดีขึ้นมาก เจ้าของใบหน้าคมคายที่นอนหลับสนิทชวนยิ้มไม่น้อย ข้างๆ กันนั่นเสื้อช๊อปที่ซักรีดมาคืนถูกพี่เซียนคลี่มาคลุมร่างกายตอนนี้ 

“รู้ว่าสำคัญก็อย่าถอดให้ใครง่ายๆ ก็แล้วกัน”

ผมพึมพำเสียงแผ่วแล้วขยับเสื้อตัวนั้นให้อีกฝ่ายเพื่อปกปิดร่างกายคลายความหนาว  ก่อนจะเดินไปเอาผ้าห่มผืนหนามาห่มคลุมให้อีกชั้น ตอนที่ขยับคลี่ผ้าห่มเปลือกตาของคนป่วยก็ขยับเปิดขึ้น

“ไม่เคยถอด”

“อะไร”

“ไม่เคยถอดให้”

เสียงแหบพร่าเพราะพิษไข้เอ่ยออกมา

“มึงคนแรก”

พี่เซียนค่อยๆ ปิดเปลือกตาไปอย่างรวดเร็วหลังจากฝืนมองหน้าผมไปไม่นาน พิษไข้คงกำลังเล่นงานคนตัวโตเข้าให้แล้วล่ะ

“มึงใส่คนแรก...หมูอวกาศ”

ปลายนิ้วที่ขยับผ้าห่มของผมชะงักกึก 

เมื่อกี้...ผมไม่ได้หูฝาด

‘หมูอวกาศ’

มีคนเดียว คนเดียวเท่านั้นที่เรียกผมด้วยชื่อนี้

‘ไอ้หมูอวกาศ ชื่อนี้กูเรียกได้คนเดียวเท่านั้น ห้ามใครเรียกนอกจากกู’’

“พี่ยักษ์”

ผมหวนนึกถึงเพื่อนในวัยเด็ก 

‘กูชื่อยักษ์’

‘คนอะไรชื่อยักษ์’

‘ชื่อจริงๆ ของพี่เซียนก็มาจากคำว่าทศกัณฐ์ค่ะ’

เพื่อนรุ่นพี่ที่ไม่ได้เจอกันมาสิบๆ ปี บัดนี้คนในอดีตอยู่ตรงหน้าผมแล้ว

“ยักษ์ทศกัณฐ์”

ผมพึมพำ

‘หายไวๆ แล้วกูจะพาไปกินไอศกรีมมิ้นท์ของโปรดมึง’

“ไอ้พี่ยักษ์”

ใบหน้าคมคายเพราะพิษไข้มีไรหนวดตามสันกรามนั่นจะเขียวครึ้มเล็กน้อย โครงหน้าราวรูปสลักทั้งที่หลับสนิทแต่ยังดูดุดันสมชื่อเจ้าเมืองยักษ์เหนือหัวกรุงลงกา

“หายไวๆ นะ ผมรู้ว่าพี่เกลียดมินท์”

 “...”

“ฉะนั้นผมจะบังคับพี่กินมิ้นท์ โทษฐานที่ปิดปากเงียบมาตั้งนาน”

ผมเบะปากให้อีกฝ่ายทั้งที่ในใจรู้สึกฟูฟ่องเมื่อนึกถึงวันวานที่งดงาม




- J E E B -

พบคนเสียงสองแถวนี้ 55555
หวีดในทวิตรบกวนติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่อ่านแล้วเมนต์ให้เรานะคะ

ออฟไลน์ rainiefonnie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
น่ารักกกกกกกกกก

ออฟไลน์ tuek

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +214/-3

ออฟไลน์ minenat

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1678
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
งูยยยยว ในที่สุดดด :katai5:

ออฟไลน์ mister

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • https://www.facebook.com/JJSonkFanclub
น่าย๊ากกกกก :mew3:

ออฟไลน์ kenghan

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-2
พี่เซียนเปิดตัวขนาดนี้  อยากคบน้องแล้วดิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-03-2020 23:47:06 โดย kenghan »

ออฟไลน์ Plakhem

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :mew1: ตื่นมาคงหายไข้เลยซินะพี่ยักษ์ 

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ขนาดป่วยก็ยังไม่หยุดจีบน้อง

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
ทำคะแนนไม่หยุดไม่หย่อนเลย,,,

ออฟไลน์ mysun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
จีบไม่หยุดดด หยอดมันลงไป อิฉันอิจจจจ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ monoo

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1960
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +101/-4

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
วี้ดวิ้ว... พี่เขาป่วยดูแลดี ๆ นะน้องเปียว

ออฟไลน์ [Karnsaii]

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +523/-17
- จีบที่14 -




มันเป็นเช้าที่ไม่สดใสนักสำหรับผม

เตียงนอนห้าฟุตซึ่งคลุมด้วยผ้าเนื้อดีสีน้ำเงินเข้าชุดกับปลอกหมอนและผ้าห่มเหมาะกับสภาพห้องปูนเปลือย ทุกอย่างในห้องยังคงเรียบร้อยเป็นเหมือนที่เคยเห็นมาก่อน ปลายนิ้วเรียวคลึงขมับเพื่อลำดับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ จำได้ลางๆ ว่าเมื่อคืนเจ้าของห้องไข้ขึ้นจนต้องรองน้ำมาเช็ดตัวเพื่อให้ไข้ลด แน่นอนว่าเหตุการณ์เมื่อคืนเกิดขึ้นที่โซฟาห้องนั่งเล่นแต่น่าประหลาดว่าเมื่อตื่นมาผมนอนอยู่กลางเตียงใหญ่ในห้องนอนพี่มัน ส่วนคนป่วยที่ไข้ขึ้นเมื่อคืนบัดนี้ลับหายไปที่ใดก็ไม่รู้ได้ 

‘พยายามไม่ฝันไปไกล ไม่อยากจะกลับไปวันร้ายร้าย’

ทำนองเพลงคุ้นหูดังมาจากห้องนอนซึ่งประตูกระจกปิดไม่สนิท เสียงฮัมเพลงคลอเสียงเกลากีต้าร์เบาๆ นั่นเรียกให้ผมขยับปลายเท้าลงจากเตียงแล้วเดินตามเสียงนั่นไปเงียบๆ 

‘ไม่อยากจะกลับไปวันร้ายร้าย’

จนกระทั่งไปหยุดตรงมุมผ้าม่านที่เปิดออกเพียงเล็กน้อย ภาพที่มองผ่านกระจกใสออกไปนั่นคือเจ้าของห้องที่เปลือยกายท่อนบนเห็นเพียงแผ่นหลังกว้าง ช่วงล่างสวมใส่กางเกงวอร์มสีดำยืนพิงสะโพกกับขอบโต๊ะโดยที่เจ้าตัวมีกีต้าร์อันหนึ่งเป็นเหมือนอาวุธคู่กาย 

‘รักใช่หรือเปล่า ใช่รักหรือเปล่า

รักใช่หรือเปล่า ใช่รักหรือเปล่า (โอ้โอ โอ้โอ โอ)’


ผมขยับโยกศีรษะไปตามจังหวะเพลงที่ฝ่ายนั้นร้องฮัมเบาๆ ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่อากาศข้างนอกคงจะเย็นสบายไม่น้อยสังเกตว่าพระอาทิตย์ยามเช้ากำลังจะขยับขึ้นขอบฟ้า คนเคยป่วยที่บัดนี้คงจะดีขึ้นตามลำดับแล้วจึงได้เปิดเปลือยร่างกายท่อนบนท้าอากาศเย็นอย่างไม่สนใจว่าตัวเองเพิ่งก้าวข้ามอาการไข้เมื่อคืนมาหมาดๆ 

คงแข็งแรงอยู่หรอกไม่อย่างนั้นคงไม่มีอารมณ์สุนทรีย์ร้องเพลงดีดกีต้าร์รับอรุณแบบนี้

ผมย่นจมูกให้ร่างสูงใหญ่นั่นเผื่อว่าเจ้าตัวจะรู้ตัวว่าอาการเจ็บป่วยค่ำคืนที่ผ่านมานั่นทำให้ผมนอนไม่หลับทั้งคืน เพราะฝ่ายนั้นตัวร้อนพาลให้ผมต้องหลับๆ ตื่นๆ มาเช็ดตัวให้ พอเช้าเข้าคนเคยป่วยดันสดใสร้องเพลงสบายใจเฉิบ ขณะที่ผมรู้สึกปวดหัวตุบๆ 

‘กลัวจะปีนจนสูงเกินไป จนกลับลงมาที่เดิมไม่ไหว’

ท่าทางพี่เซียนดูจะชอบเล่นกีต้าร์จริงๆ สังเกตว่าฝ่ายนั้นดูผ่อนคลายไม่น้อยเมื่อได้จับเครื่องดนตรีชนิดเครื่องสายนี้

.

.

“ต้องกลับแล้วนะ”

“ทำไมรีบกลับอ่ะ”

ฝ่ายนั้นทำหน้าเบื่อหน่ายกรอกตาไปมา

“ต้องไปเรียนกีต้าร์”

“โห น่าสนุกจัง”

“น่าเบื่อจะตาย”

เด็กคนนั้นพูดอย่างเบื่อหน่าย

“แล้วทำไมพี่ต้องเรียนด้วยล่ะ”

“พ่ออยากให้เรียนดนตรีสากล”

“อ๋อ”

“พี่ชายกูเลือกเรียนกลองคนนึง อีกคนเรียนคีย์บอร์ด กูเลยต้องเรียนกีต้าร์ สงสัยพ่ออยากเปิดคอนเสิร์ตมั้ง”

“พี่ยักษ์พูดกูอีกแล้ว เดี๋ยวหนูตีปากเลย”

ว่าแต่ก็ยื่นมือไปแตะปากคนพูดเบาๆ

“คำหยาบนะ พูดแล้วไม่น่ารัก ครูที่โรงเรียนหนูบอกมา”

ฝ่ายนั้นเบะปากทันที

“ระคายหูก็ไม่ต้องฟัง”

“ไม่นะ”

เด็กน้อยจับหูตัวเอง

“หูหนูก็ปกตินะ ไม่เจ็บเลย”

ฝ่ายนั้นดีดหน้าผากจ้อยอย่างหมั่นไส้

“กวนตีน”

“พี่ยักษ์พูดหยาบอีกแล้ว”

เด็กแก้มกลมบ่นอุบ แต่ก็ยังชวนอีกฝ่ายคุยไปเรื่อยราวกับว่าเรื่องก่อนหน้านี้เพียงแค่ผ่านลมไป และไม่ว่าคนที่ตัวโตกว่าจะหลุดพูดจาหยาบบ่อยครั้งแค่ไหน แต่เด็กแก้มกลมก็ยังติดสอยห้อยตามพี่ชายคนนั้นไม่ยอมห่าง

คนที่พูดว่าการเล่นกีต้าร์น่าเบื่อหน่ายวันนั้น กลับผ่อนคลายตอนที่ประคองเครื่องดนตรีชนิดนั้นอยู่ พูดไม่จริงนี่หว่า ไอ้พี่ยักษ์ขี้โกหกจริงๆ ผมยิ้มน้อยๆ เมื่อหวนนึกถึงวันวานที่ผ่านมา ตั้งแต่มั่นใจอีกฝ่ายคือพี่ชายในอดีตนั่นดูเหมือนความทรงจำที่เคยลืมเลือนไปตามกาลเวลาจะสว่างวาบขึ้นในหัวอีกครั้ง

เรื่องบางเรื่องแม้จะผ่านไปนานแค่ไหนแต่ฝังแน่นอยู่ในใจไม่เลือน

‘เธอเอาใจฉันไป เธอกุมมันเอาไว้’

ท่อนฮุกของเพลงนั้นชวนให้ต้องฮัมตามเบาๆ มันคือเพลงโปรดของผม ช่วงที่เพลงนี้เป็นกระแสนั่นผมถึงขนาดไว้หนวดเคราและหาแว่นอันใหญ่มาใส่ตามภาพลักษณ์ของนักร้องนำ แน่นอนว่าสภาพที่ออกมาคงดูไม่จืดจนไอ้โต้งถึงได้พูดสั้นๆ ว่า ‘กูขอร้องล่ะเปียว มึงอย่าทำอะไรเกินตัว’

พอจบประโยคนั้นไอ้อ๋องดันหัวเราะผสมโรงไปด้วยจนผมเสียความมั่นใจต้องพับเก็บแว่นอันนั้นเข้ากรุแล้วสัญญากับตัวเองว่าจะไม่หยิบออกมาให้โลกได้เห็นอีก รวมถึงการตัดใจไม่ไว้หนวดที่ทนอุตส่าห์เลี้ยงมาเกือบเทอมต้องถูกโกนเกลี้ยงเพราะไอ้ห่าโต้งอีกนี่แหละที่พูดว่าหนวดผมยังบางเบากว่าขนสาวแรกรุ่น

เลวร้าย เลวร้ายจนผมแทบจะกินหัวมัน

‘เธอเอาใจฉันไป (โอ้โอ้โอ โอ้ โอ้)’

ผมขยับตัวโยกศีรษะแล้วหลับตาจินตนาการถึงการเปล่งเสียงเนื้อเพลงท่อนนี้ร่วมกับคนนับร้อยในงานคอนเสิร์ตหรืองานเทศกาลดนตรี มันคงสนุกและทำให้หัวใจผมพองโตอย่างมาก ผมนิ่งฟังพี่เซียนเล่นเพลงนั้นจนจบพอดีกับที่พระอาทิตย์ขยับเคลื่อนสู่ท้องฟ้า ภาพความสว่างไสวจากแสงแดดที่ค่อยๆ ไล่อาบไปทั่วบริเวณโดยรอบ แสงแรกของวันเปรียบเสมือนการเริ่มต้นวันใหม่ที่สดใส

พี่เซียนขยับตัวถือกีต้าร์เดินมาทางนี้เป็นจังหวะที่ผมหันรีหันขวางด้วยกลัวว่าจะถูกอีกฝ่ายจับได้ว่าแอบดูพี่มันอยู่ตั้งนาน ผมเลยกระโจนขึ้นเตียงและทำเนียนหลับไปทั้งที่ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เสียงรองเท้าสลิปเปอร์แตะกับพื้นเป็นเสียงจังหวะบ่งบอกว่าพี่มันขยับเข้ามาใกล้แล้ว

เอาจริงมันไม่กลัวที่ถูกจับได้ แต่ผมรู้ตัวดีว่าคงทำตัวไม่ถูกกับการพูดคุยกับอีกฝ่ายตอนที่รู้ว่าพี่ชายในความทรงจำในอดีตคือพี่เซียน 

“ตื่นแล้วก็ลุก”

เกิดแรงขยับที่เตียงเพราะพี่เซียนทรุดตัวนั่งลง 

“มึงนอนยังไงแข็งทื่อขนาดนี้”

“...”

“เกร็งขนาดนั้นก็ตื่นเถอะ เมื่อยเปล่าๆ”

ผมขยับเปลือกตายิ้มแหยให้เจ้าของห้องที่นั่งขัดสมาธิเท้าแขนทั้งสองข้างไปด้านหลัง องศานั้นเห็นกล้ามเนื้อทั้งหกลูกกระแทกตาเต็มๆ จนต้องรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

“พี่รู้ได้ไงว่าผมตื่นแล้ว”

“ชอบเพลงเมื่อกี้เหรอ”

นอกจากจะไม่ตอบคำถามแล้วยังเปลี่ยนมาถามผมกลับอีก 

“ก็ชอบ”

แต่เดี๋ยวนะ...พี่มันรู้ว่าผมแอบยืนฟังเหรอวะ

“พี่รู้?”

ฝ่ายนั้นโคลงศีรษะ

“ตั้งแต่ตอนไหนวะ”

อุตส่าห์เดินเบาขนาดนั้นยังได้ยิน

“ระเบียงข้างนอกมีกระจกบานเล็กๆ”

มิน่าเล่าฝ่ายนั้นคงมองเห็นผมจากกระจกนั้นแหละ

“ขอบคุณ”

หือ?

“เมื่อคืนมึงเฝ้าไข้กูไม่ใช่เหรอ”

“อืม”

สีหน้าพี่มันดูดีขึ้นมากแล้วจากเมื่อคืนที่ใบหน้าแดงก่ำ ส่วนริมฝีปากก็ขาวซีดแห้งแตกเป็นขุยแต่ผ่านพ้นไปวันเดียวทุกอย่างกลับมาปกติจนน่าทึ่ง 

“แล้วพี่ดีขึ้นแล้วเหรอถึงไม่ใส่เสื้อไปนั่งเล่นกีต้าร์แบบนั้น”

ผมพยายามเลี่ยงไม่มองแผ่นอกขาวกระจ่างเบื้องหน้า

“มึงคุยกับผ้าปูเหรอ”

ฝ่ายนั้นพูดยิ้มๆ

“คุยกับกูก็มองหน้ากูสิ”

“ไปใส่เสื้อก่อนได้มั้ยเล่า”

การสบสายตากับพี่มันยังไงก็ตามมันต้องกวาดสายตาไปตรงแผ่นอกนั่นด้วย พาลให้ต้องขยับยุกยิกอยู่ไม่สุกต้องขยับถอยหลังจนแผ่นหลังไปชนกับหัวเตียง ฝ่ายนั้นก็เหมือนจะแกล้งถึงทำท่าขยับเข้ามาใกล้กัน

“ทำอะไรวะ”

“มึงหนีกูทำไมล่ะ”

“พี่เซียน ผมไม่เล่นนะเว้ย”

เพราะหลังชนแล้วจึงไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้อีก อีกฝ่ายก็ยังไม่หยุดแกล้งด้วยการขยับมาใกล้ไม่พอยังคร่อมตัวเหนือร่างกายผม

ทำคุณบูชาโทษชัดๆ พอหายป่วยมีเรี่ยวมีแรงแล้วกลับแกล้งผมเป็นการตอบแทนหรือวะ

“ไอ้พี่เซียน”

ไม่เรียกพี่แล้วโว้ย

“พูดดีๆ”

แยกเขี้ยวใส่อีกฝ่ายแม่ง

“ถอยออกไปเลยนะเว้ย นมพี่จะกระแทกหน้าผมอยู่แล้ว”

ฟังไม่ผิดหรอก นมพี่เซียนแม่งเป็นลูกเลย นมแน่นๆ ด้วยสัดเอ้ย หมั่นไส้นึกอย่างบีบสักที

“พูดจาน่าเกลียดจังวะไอ้เด็กลามก กว่าจะเล่นให้มีกล้ามได้เนี่ย มึงดันเรียกแผ่นอกกูว่านมซะได้”

ผมย่นคอหันหน้าหนี

“ไอ้เด็กแสบ”

“ผมเช็ดตัวให้พี่ทั้งคืนนะเว้ย”

ดันแผ่นอกพี่มันไว้เต็มแรง

“สำนึกบุญคุณผมบ้างเหอะ”

ฝ่ายนั้นพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะโน้มตัวลงมาใกล้แล้วกระซิบข้างใบหูจนขนอ่อนบริเวณพากันลุกเกรียว

“ขอบคุณ”

“...”

“ขอบคุณครับ”

“หน้าพี่แม่งไม่สำนึกในบุญคุณผมเลย”

“เปียว”

ปลายนิ้วเรียวยาวเกลี่ยแก้มผมเบาๆ

“อะไรวะ”

“อย่าบีบนมกู”

ผมอ้าปากพะงาบๆ ตวัดสายตามองมือตัวเองที่ดันออกพี่มันอยู่ ไอ้สัดดันไม่พอเสือกบีบเต็มไม้เต็มมืออย่างที่พี่มันบอกเลย

“เดี๋ยวก็บีบคืนซะหรอก”

“ห้ามเลย”

ผมถลึงตาใส่อีกฝ่ายผวายกมือปิดหน้าอกตัวเอง

“พี่แม่งสัปดนว่ะ พูดโต้งๆ ว่าจะบีบนมคนอื่นได้ยังไงวะ”

“กูพูดตอนไหนว่าจะบีบนมมึง”

“ก็เมื่อกี้...”

ผมหุบปากฉับ เมื่อเจอสายตาล้อเลียนของอีกฝ่าย

“กูพูดว่าจะบีบคืน แต่ไม่ได้พูดว่าจะบีบส่วนไหน”

“ส่วนไหนก็ไม่ให้บีบโว้ย”

ผมหาจังหวะมุดลอดวงแขนพี่มันออกไปแล้วถลาลงจากเตียงโดยไว ขณะที่ฝ่ายนั้นเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะนอนแผ่ไปกับเตียงแล้วประสานมือกับท้ายทอยท่าทางโคตรกวนตีน

“มึงชอบเพลงเดียวกับกูนะรู้มั้ย”

“...”

“มันเป็นเพลงที่กูเล่นบ่อยมาก”

ผมยืนอึ้งในหัวนึกถึงเนื้อเพลงนั้นทันที สายตาของพี่เซียนตอนนี้ไม่มีแววล้อเล่นต่างจากเมื่อกี้อย่างสิ้นเชิง ภาพใบหน้าขี้เล่นถูกแทนที่ด้วยความจริงจัง

“ผมถามอะไรพี่สักอย่างได้มั้ย”

“เอาสิ”

“ทำไมพี่ถึงขอเบอร์ผมวันนั้น”

‘โทรศัพท์กูมีปัญหา...ปัญหาคือไม่มีเบอร์มึงอยู่ในนี้’

“พี่ขอเบอร์ผมทำไม”

ขอ...แล้วโทรมาแค่ครั้งเดียวตอนที่น้องซอโดดเรียน

พี่เซียนผุดลุกนั่งแล้วมองตรงมาทางผม

“มึงไม่อยากให้กูโทรหาเหรอ”

“ก็พี่โทรมาแค่ครั้งเดียว”

ฝ่ายนั้นโคลงศีรษะไปมา

“แล้วกูโทรหามึงได้มั้ย” พี่เซียนขยับลุกแล้วเดินมาหยุดตรงหน้าผม “ถ้าไม่มีธุระกูโทรหาได้มั้ยล่ะ”

ผมรู้สึกว่าใบหน้าตัวเองร้อนผ่าวมากๆ

“พี่ยังไม่ตอบคำถามผม”

พี่เซียนถือวิสาสะเอื้อมมือไปคลึงขอบริมฝีปากผมโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว

“พี่ขอเบอร์ผมทำไม”

“ชอบ”

เสียงทุ้มนั่นเปล่งออกมาอย่างหนักแน่น

“กูชอบ...ก็เลยอยากจีบ”

ตรงมาก

ตรงสุดๆ

เหมือนหมัดน็อกกลางอากาศ หมัดนี้กระแทกใจผมเต็มๆ

“กูจีบได้มั้ย”

ปลายนิ้วนั่นยังคลึงนิ้วกับขอบปากผมอยู่อย่างนั้น

“พี่ชอบเพลงเดียวกับผมไม่ใช่เหรอ”

พี่เซียนเลิกคิ้วมองผม

“ถ้าชอบก็ต้องเคยทั้งฟังและเล่นเพลงนี้บ่อยๆ”

“...”

“ถ้าชอบก็ต้องรู้ว่ามันร้องยังไง”

“คำตอบมึงล่ะ”

“คำตอบผม...”

ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเงยหน้าสบตาพี่มัน

“คือท่อนฮุกของเพลงนี้...ไอ้พี่ยักษ์”

ผมยักคิ้วสองทีขณะที่ฝ่ายนั้นเลิกคิ้วน้อยๆ ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างดัง

“หมูอวกาศเอ้ย”

พูดไม่พอยังโยกศีรษะ เหมือนภาพนั้นในอดีตที่ผ่านมา

‘มึงชอบมายมิ้นท์ของพี่ยักษ์ที่สุด’

ผมยิ้มตาหยีเมื่อนึกถึงเจ้าของคำถามที่โยกหัวกลมๆ ของเจ้าของฉายาหมูอวกาศในวันวาน

ความรักก็เหมือนดนตรี

บางเพลงฟังครั้งแรกแล้วกลับไม่ชอบใจ แต่บางเพลงแค่ทำนองขึ้นไม่เท่าไหร่ก็ทำให้เราตกหลุมรักได้ทันที

 

‘เธอเอาใจฉันไป เธอกุมมันเอาไว้ 

เธอเอาใจฉันไป โอ๊ะ โอ๊ะ โอ โอ โอ’




Loading 60%
เครดิตเพลง "เธอเอาใจฉันไป" - 25 hours
__________________

ขออนุญาตอัพ 60% ก่อนน้า ยังรีไรท์ไม่เสร็จ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะอัพเพิ่มให้ครบ 100% นะคะ
ใครหวีดในทวิตฝากติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยน้า
และขอบคุณทุกความคิดเห็นที่เมนต์เป็นกำลังใจให้เรานะคะ ช่วงนี้ไวรัสระบาดดูและสุขภาพกันด้วยน้า ออกจากบ้านใส่หน้ากากกันด้วย หวังว่าพี่เซียนน้องเปียวจะทำให้คนอ่านได้ยิ้มกันเยอะๆ ในช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบนี้น้า



ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
หมูอวกาศ กับ พี่ยักษ์,,,

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
จีบมาตั้งนานยังต้องขออีกเหรอ

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
พี่เซียนรุกหนักรุกแรงมาก

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ kenghan

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-2
ที่อ่อยๆไปนี่คือยังไม่จีบแค่ขุดหลุมให้ตกเหรอ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-03-2020 00:34:28 โดย kenghan »

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
น้องจำพี่ได้แล้ววว  :katai2-1:

ออฟไลน์ [Karnsaii]

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +523/-17
-  J E E B -

(ต่อ) 40%


[อ๋อง]

 

คาเฟ่สไตล์สวนแบบอังกฤษตั้งอยู่ใจกลางเมืองมีการตบแต่งสไตล์วินเทจการ์เด้นท์ดูร่มรื่นไม่น้อย เพราะตกแต่งด้วยการนำไม้ดอกและไม้ใบมาจัดตกแต่งเข้ากันอย่างกลมกลืน บริเวณหน้าร้านมีน้ำพุเป็นจุดเด่น ตรงมุมๆ หนึ่งมีรูปปั้นของเทพเจ้าแห่งความรักตั้งอยู่ท่ามกลางไม้พุ่มหลากสี ด้านหลังนั่นเป็นทุ่งดอกไม้มีรั้วขาวเรียงรายเป็นแนวคล้ายกำแพงมองโดยรวมแล้ว้เสมือนภาพสวนอังกฤษแบบชนบท ผมเดินผ่านลานน้ำพุนั่นมาจนถึงประตูไม้บานกระจกแล้วผลักที่จับประตูเข้าไปพบกับความเย็นจากแอร์คอนดิชั่นวิ่งเข้ามาปะทะใบหน้า

เจ้าของร้านที่กำลังก้มๆ เงยๆ ตรงหน้าเคาน์เตอร์เงยหน้าขึ้นมาร้องสวัสดีตอนที่โมบายซึ่งแขวนอยู่ตรงประตูร้านดังขึ้น ผมเลยยกมือไหว้อีกฝ่ายเป็นเชิงทักทาย ตอนที่วาดมือลงนั่นแหละเจ้าของร้านถึงกับร้องอุทานออกมาก่อนจะกระวีกระวาดสาวเท้าตรงเข้ามาหา

“ทำไมหน้าถึงเป็นแบบนั้นล่ะอ๋อง”

น้ำเสียงทุ้มติดแหบแบบผู้ชายแต่ท่าทางตุ้งติ้งบ่งบอกว่าไม่ใคร่จะแมนนักบ่งบอกว่าเป็นผู้ชายหัวใจสาว มือเรียวที่ตกแต่งอย่างดีแตะที่หัวไหล่แล้วถามสีหน้าติดกังวลไม่น้อย ความห่วงใยที่อีกฝ่ายมีให้ทำให้ผมนึกละอายใจเพราะวันนี้เข้างานเลทพอสมควรจากปกติสิบโมงเช้า แต่ผมดันโผล่มาที่ร้านซึ่งทำพาร์ทไทม์เป็นพนักงานเสิร์ฟและชงกาแฟตอนบ่ายโมงกว่า

“อุบัติเหตุนิดหน่อยครับ”

ผมโกหก

“โกหกพี่หรือเปล่า ทำไมทั้งคิ้วทั้งปากถึงได้แตกยับแบบนี้”

สภาพใบหน้าของผมเป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูดนั่นแหละหัวคิ้วด้านขวาบวมช้ำดีกว่าไม่ไม่ใช่แผลใหญ่ถึงสามารถใช้พลาสเตอร์ปิดแผลปิดทับร่องรอยนั่นได้บางส่วน ส่วนมุมปากนั่นก่อนหน้านี้มีเลือดซึมจนต้องถ่มน้ำลายทิ้งไปหลายรอบดีว่าตอนนี้เลือดในปาดหยุดไหลไปแล้ว แต่อารามรีบร้อนกลัวจะเลทมากไปกว่านี้ถึงได้ละความสนใจด้วยการปล่อยไว้แบบนั้นแล้วหอบเอาใบหน้ายับเยินนี่มาทำงาน

“ผมหกล้มน่ะพี่”

“พี่โชค” เจ้าของร้านทำหน้าไม่เชื่อนักหรอกแต่เพราะผมปิดปากเงียบพี่แกถึงได้เอาแต่ถอนหายใจ

“ผมขอโทษที่เข้างานช้านะครับ”

พูดพลางยกมือไหว้อีกฝ่าย

“ช่างเถอะ ยังไงไปทำแผลปิดพลาสเตอร์ที่ปากสักหน่อยแล้วกันค่อยมาทำงาน ไปเดี๋ยวพี่ทำแผลให้”

“เดี๋ยวผมทำแผลให้อ๋องเองพี่โชค”

เสียงทุ้มที่ดังมาจากข้างหลังเล่นเอาผมสะดุ้งโหยง เพราะมัวแต่มุ่งความสนใจไปที่เจ้าของร้านโดยไม่ได้กวาดสายตามองโดยรอบเลยไม่เห็นว่าลูกพี่ลูกน้องของพี่โชคคนที่ฝากงานให้ผมมาทำงานพิเศษที่นี่นั่งอยู่มุมนั้น พี่ดลในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงสแล็คสีน้ำเงินดูสุภาพ แต่การแต่งกายแบบนั้นในความคิดของผมมันดูติดสำอางราวกับคุณชายจากวังเจ้าวังนายก็ไม่ปาน

“มาสิ”

ฝ่ายนั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าก่อนจะแตะศอกเป็นการเรียกสติแล้วพยักพเยิดใบหน้าไปยังโต๊ะที่เจ้าตัวจับจองอยู่ก่อนหน้านี้ สีหน้าท่าทางของลูกชายเพื่อนแม่ทำให้ผมต้องหลุบตามองพื้น ยอมรับเลยว่าไม่กล้าสบตากับอีกฝ่ายตรงๆ แววตาที่มองนิ่งๆ แต่ความนิ่งนั่นเหมือนมองทุกอย่างออกอย่างทะลุปรุโปร่ง 

พี่ดลเดินไปหลังร้านก่อนจะกลับมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาล ใบหน้าเรียบเฉยนั่นดูน่ากริ่งเกรงไม่น้อยขนาดว่าพี่โชคที่พูดเก่งและชอบชวนลูกพี่ลูกน้องหน้านิ่งนี่คุยอย่างสนุกสนานครั้งนี้ยังหุบปากฉับทำเนียนไปรับออเดอร์ลูกค้าใหม่ที่เข้ามาในร้าน ทิ้งให้ผมนั่งนิ่งอยู่กับความอึดอัด 

คนตรงหน้าไม่พูดอะไรสักคำตอนที่แกะพลาสเตอร์ตรงหัวคิ้วข้างหนึ่งออก สภาพมันคงดูไม่จืดเท่าไหร่ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงไม่ทำหน้านิ่ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมหลุดปากพูดอะไรออกมาสักคำ มือใหญ่แต่การกระทำแผ่วเบาเหลือเกินตอนที่แตะสำลีชุบแอลกอฮอล์ทาวนรอบแผลอย่างใจเย็น

“เจ็บเหรอ”

คงเพราะผมหลุดสะดุ้งถึงทำให้ฝ่ายนั้นละมือออก

“นิดหน่อยครับ”

“อืม”

พี่ดลทำแผลต่อไปโดยไม่พูดออก แน่นอนว่าบรรยากาศแบบนี้โคตรอึดอัดจนผมทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายที่เริ่มบทสนทนา

“แค่หกล้ม”

ผมเม้มปากแน่น

“ไม่ได้เจ็บมากหรอก”

“เหรอ”

พี่ดลจ้องหน้าผมนิ่ง

“แค่หกล้มงั้นเหรอ”

แววตาราบเรียบที่แฝงไปด้วยความจริงใจจนผมต้องเบือนหน้าหนี

“ทำไมไม่ถามผมล่ะ”

“ถามอะไร”

“ถามว่าผมกำลังโกหกพี่อยู่หรือเปล่า”

“ไม่จำเป็น”

คราวนี้อีกฝ่ายเอาสำลีชุบเบตาดีนแล้วแตะที่บริเวณแผลเบาๆ 

“ถ้าเราอยากเล่า...เราคงเล่าให้พี่ฟังเอง”

ผมถอนหายใจแล้วเหลือบตามองอีกฝ่าย

“ผมหกล้ม”

“งั้นคราวหน้าก็เดินระวังหน่อย”

พี่ดลรู้ว่าผมโกหก สีหน้าแบบนั้นเหมือนจะรู้ทันผมไปหมดซะทุกอย่าง

“ถ้าล้มแรงๆ แบบนี้มันคงเจ็บไม่น้อย”

เจ็บสิ

โคตรเจ็บเลย

ผมเม้มปากแน่นตอนที่ฝ่ายนั้นเลื่อนปลายนิ้วมาเกลี่ยแผลที่มุมปาก

“ข้างในเป็นแผลรึเปล่า

“...”

“ฟันยังอยู่ดีใช่มั้ย”

“...”

“ท่าทางจะล้มถูกมุมไปหน่อยนะ มันถึงเป็นแผลรุนแรงขนาดนี้ รอยเหมือนหมัดคนชัดๆ”

พี่ดลสบตาผมนิ่ง

“เจ็บมั้ย”

ผมพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้

“ถ้ารู้ว่าล้มแล้วมันจะเจ็บ ก็อย่าทำตัวเองให้ต้องล้มอีก”

“พอเถอะ”

ผมเบือนหน้าหนี

“ทั้งๆ ที่รู้ว่าผมโกหก”

ผมกลืนน้ำลายลงคอ

“แต่ทำไมพี่”

“เพราะพี่เชื่อใจ”

ผมกำหมัดแน่น

“พี่บอกเราเสมออ๋องว่าพี่กับแม่เป็นห่วงและหวังดีกับเรา ขอแค่อ๋องเชื่อใจและไว้ใจพี่ก็พอ”

โคตรแย่เลย

ความรู้สึกแบบนี้โคตรแย่ มันทำให้ผมใจสั่นและหวั่นไหวไปพร้อมๆ กัน ผมกลัวความรู้สึกแบบนี้ที่สุด การมีใครอีกคนก้าวเข้ามาในเซฟโซนที่คิดว่ามันเคยปลอดภัยมาตลอด มันทำให้กำแพงในใจผมสั่นไหว

คนตรงหน้าให้ความรู้สึกปลอดภัย

คนๆ นี้ใส่ใจผมมากเกินไป

เกินไปแล้วที่จะรับไหว...เกินต้านทานหรือเกิน

ใจคนเรามันเป็นแค่ก้อนเนื้อไม่ใช่หินผาต่อให้บังคับให้มันแข็งแกร่งเท่าไหร่มันก็แค่ก่อนเนื้อ การได้รับความรู้สึกดีๆ และการเอาใจใส่มันย่อมให้คนเราหวั่นไหวได้อย่างง่ายดายแบบผมในตอนนี้


- J E E B -

40% ที่เหลือนะคะวันนี้มาต่อให้จบ + ตอนที่ 15 ด้วย
หวีดในทวิตแล้วติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยน้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ [Karnsaii]

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +523/-17
- จีบที่15 -

 

“ทำไมพี่ถึงรู้ว่าเป็นผมล่ะ”

ผมถามอีกฝ่ายตอนที่กำลังตอกไข่ใส่โถชามเพื่อทำออมเล็ตก่อนจะหยิบเอาพริกหยวก หอมใหญ่และมะเขือเทศสับหยาบๆ แฮมหั่นลูกเต๋าอีกหยิบมือนึงมาตีผสมกัน ก่อนจะปรุงรสนิดหน่อยแล้วเติมนมจืดผสมเข้าไปอีกเล็กน้อย หลังจากนั้นตั้งกระทะเอาเนยลงไปละลาย พอกระทะร้อนจนเนยละลายแล้วก็เทไข่ที่ผสมเรียบร้อยแล้วลงกระทะจนเกิดเสียงดังฉ่าเมื่อเนื้อไข่สัมผัสกับผิวของกระทะ

ระหว่างนั้นคนถูกถามก็สาวเท้าเดินมายืนใกล้ๆ กัน จนรู้สึกได้ความร้อนที่แผ่ออกมาจากแผ่นอกเปล่าเปลือยของอีกฝ่าย จนป่านนี้แล้วไอ้พี่เซียนก็ยังไม่ยอมไปหาเสื้อมาใส่ ดูเหมือนพี่มันจะพออกพอใจที่ได้โชว์เนื้อหนังมังสา อวดลายกล้ามเนื้อสวยๆ ให้ผมได้มองจริงๆ 

“ออกไปไกลๆ ผมเลยมันร้อน”

ผมบ่นให้เจ้าของห้องก่อนจะหันไปใส่หยิบขนมปังใส่เตาปิ้งแล้วปรับเวลากดปุ่มให้มันเริ่มต้นการทำงานก่อนจะหันมาสนใจออมเล็ตในกระทะที่เริ่มสุกและสีสวย

“สายผูกเอวผ้ากันเปื้อนมันหลุด”

“อย่ามาเนียนยืนซ้อนหลังแล้วผูกผ้ากันเปื้อนให้ผมนะเว้ย”

ผมหันมาค้อนให้พี่มัน

“มุกโบราณมาก”

เจ้าของห้องหัวเราะร่วนก่อนจะยักไหล่

“เพราะอย่างนี้ไง ถึงรู้ว่าเป็นมึง”

พี่เซียนขยับถอยห่างไปยืนกอดอกเท้าเอวกับขอบเคาน์เตอร์ไม่ไกลจากเตาไฟ ผมชะงักมือที่กำลังใช้ไม้พายม้วนไข่เป็นทรงรีทันที

“ยังไงนะ”

“หน้าตาตื่นๆ น่าแกล้งมาตั้งแต่ไหนแต่ไรไม่เคยเปลี่ยน”

“เอาดีๆ ดิพี่”

แยกเขี้ยวให้แม่งเลย “พี่รู้ป่ะผมยังอดคิดไม่ได้เลยนะ ป่านนี้ได้พี่ยักษ์แม่งคงแต่งงานมีลูกมีเมียไปแล้ว ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี ไม่นึกว่าพี่จะมายืนเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่แบบนี้”

พี่มันยักไหล่

“ปิดเทอมหลังจากนั้นกูไปบ้านปู่อีกครั้ง แต่มันไม่ทันแล้ว เพราะปู่บอกว่าครอบครัวมึงย้ายไปแล้ว”

พี่เซียนพูดยิ้มๆ รอยยิ้มนั่นทำให้ผมยิ้มตาม ยังจำได้ไม่ลืมว่าตัวเองร้องไห้หนักขนาดไหนตอนที่รับรู้จากแม่ว่าจำต้องย้ายบ้าน ย้ายโรงเรียนเพื่อติดตามพ่อซึ่งถูกย้ายไปที่ทำงานใหม่

ผมประท้วงด้วยการไม่กินข้าวเป็นอาทิตย์ (ถึงแม้จะแอบกินขนมก็เถอะ) ความเอาแต่ใจแบบเด็กๆ นั่นไม่เป็นผลสุดท้ายหรอก เพราะสุดท้ายผมต้องละทิ้งความทรงจำในวันวานเพื่อติดตามบิดาไปในที่สุด

“ถามคนแถวนั้นก็รู้แต่ว่าพ่อมึงย้ายไปรับตำแหน่งที่อื่น ไม่มีที่อยู่ติดต่อเลย”

“แน่สิ ตอนนั้นยังเด็ก เบอร์มีก็ทำหาย เขียนจดหมายก็ไม่เป็น”

ผมพูดถึงความหลัง

“เดี๋ยวนะ แสดงว่าพี่ก็พยายามตามหาผมน่ะสิ”

ผมยิ้มจนตาหยี

“กูยังติดค้างเด็กอ้วนนั่นนี่หว่า”

“...”

“กูสัญญาว่าเจอกันครั้งหน้าจะซื้อมายมิ้นท์มาให้ เด็กอะไรกินจนตัวบวมแล้วยังร่ำร้องหาแต่ลูกอมรสยาสีฟัน”

“ตอนนี้ก็เจอแล้วนี่”

ผมแบมือยื่นไปตรงหน้าพี่มัน

“ไหนล่ะมายมิ้นท์”

“วันนี้ไม่มี”

พี่เซียนส่ายหัว

“จะมีของแบบนั้นในห้องกูได้ยังไง เกลียดขนาดนั้น”

“แต่ผมชอบนะ”

นึกถึงลูกอมรสมิ้นท์รสชาติเย็นๆ อบอวลในปากไปด้วยกลิ่นนมผสมกลิ่นมิ้นท์แล้วรู้สึกดีบอกไม่ถูก

“ชอบลูกอมหรือชอบกู”

ผมเบะปากให้ทันที

“ชอบลูกอมดิ”

“เหรอ”

ผมแกล้งหันกลับไปสนใจไข่ในกระทะต่อ

“กูก็หลงดีใจ”

“...”

“นึกว่ามึงชอบกู”

บ้าเอ้ย

เผลอกัดริมฝีปากตัวเองจนเจ็บ

ผมพยายามประคองไม้พายในมือไม่ให้สั่นทั้งที่รู้สึกว่ามันบังคับได้ยากเต็มที ไม่ต้องพูดถึงใบหน้าตัวเองที่กำลังเกร็งไม่ให้ขยับรอยยิ้มมากเกินไป...เดี๋ยวใครบางคนแถวนี้จะได้ใจ

.

.

มื้อเช้านั้นจบลงแล้วได้ไม่นานเสียงกดออดที่หน้าประตูห้องก็ดังขึ้น พี่เซียนเดินไปคว้าเอาเสื้อกล้ามที่ตกอยู่บนโซฟาขึ้นมาสวมใส่ขณะที่ผมยืนล้างจานอยู่ ไม่รู้ว่าแขกยามสายเป็นใคร แต่หลังจากเปิดประตูนั้นไม่นานเสียงฝีเท้าคนมากกว่าหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับเสียงดังโหวกเหวก ผมทำหน้าไม่ถูกตอนที่หันไปเผชิญหน้ากับพี่เดี่ยวและพี่อุ้มที่ต่างก็ทำหน้าประหลาดใจไม่น้อยที่เห็นผมปรากฏตัวอยู่ในห้องเพื่อนสนิทของตัวเอง

“ไอ้ห่าเซียน”

พี่เดี่ยวพูดขึ้นก่อนจะหันมาขยิบตาให้ผม

“มึงไปล่อลวงเด็กปีหนึ่งที่ไหนมายืนล้างจานให้วะ”

ผมยิ้มแหยทันที ยิ่งพี่อุ้มลุงรหัสดูจะสนใจประเด็นนี้เหมือนกันเลยหันมาเลิกคิ้วมองผมเป็นเชิงถาม

“เอ่อ”

“อย่าปฏิเสธว่าเพิ่งมานะเว้ย”           

ผมเกาหัวแกรกๆ ก้มมองตัวเองที่ยังอยู่ในชุดนอนของพี่มันแล้ววางหน้าไม่ถูก

“เสื้อตัวที่มึงใส่อยู่อ่ะ เสื้อไอ้เซียนชัดๆ เพราะกูเป็นคนซื้อให้มันเอง”

“ผม”

ขณะที่กำลังยืนอ้ำอึ้งหาข้อแก้ตัวไม่ถูก เจ้าของห้องก็เดินลากขามาอยู่ด้านหลังเพื่อนสนิทก่อนจะเหนี่ยวรั้งคอสองคนนั้นให้ขยับตรงโซฟาแทน

“เชี่ยไรเนี่ยไอ้เซียน น้องมันยังไม่ตอบคำถามกูเลย”

“มึงสงสัยอะไรมาถามกูนี่”

“ดี”

พี่เดี่ยวปัดมือพี่เซียนออกก่อนจะหันมามองหน้าผมสลับกับหน้าเพื่อนตัวเอง

“พวกมึงสองคนเป็นอะไรกัน”

“อย่าตอบว่าพี่น้องนะ คำตอบไม่สร้างสรรค์ ดูก็รู้ว่าเป็นเรื่องเท็จและค่อนข้างตอแหลมาก”

พี่อุ้มแม่ง

“ไม่ใช่”

“ไม่ใช่อะไร”

“ไม่ใช่พี่น้อง”

พี่เซียนตอบด้วยท่าทีสบายๆ

“กูเป็นอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่แค่พี่น้องกับมัน”

พี่เซียนโว้ย พูดเหี้ยอะไรแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นวะ

“คบกันแล้วเหรอวะ”

“เพิ่งขอมันจีบ”

ผมอ้าปากพะงาบๆ ตอนที่ไอ้ห่าพี่เซียนหันมายักคิ้วให้ผมสองที

“เล่นตัวจังวะไอ้น้องเปียว”

พี่เดี่ยวลูบคางตัวเองอย่างใช้ความคิดตอนที่หันมาพิจารณาผมอย่างถี่ถ้วน

“มองเหี้ยไร”

แน่นอนว่าผมไม่ใช่คนพูดประโยคนั้นแต่เป็นเจ้าของห้องที่พูดขึ้นมาลอยๆ

“ไอ้ห่ากูแค่มอง จะหวงอะไรนักหนา”

“มันขี้อาย”

ผมหน้าแดงสลับซีดบอกตรงๆ ว่าไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงในสถานการณ์แบบนี้ควรอายหรือควรโกรธตัวตนเหตุอย่างพี่เซียนดีที่ดันพูดคุยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่มันได้อย่างเปิดเผยแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น

“หวงก็บอกว่าหวง”

ผมกัดริมฝีปากตัวเองจนเจ็บ ยิ่งตอนที่พี่เซียนส่ายหัวแล้วเหลือบตามาทางผมแวบหนึ่งแล้วหันไปสนใจหน้าจอโน๊ตบุ๊คที่เปิดค้างไว้

“เด็กมันก็น่ารักสมกับที่มึงหวงจริงๆ นั่นแหละ”

“กูพูดตอนไหนว่าหวง”

“ไอ้สัตว์ กูเป็นเพื่อนมึงมากี่ปี”

พี่อุ้มส่ายหัวทันที

“เบาๆ หน่อยพวกมึง น้องมันยืนฟังอยู่”

ใช่ ฟังจนรู้สึกว่าตัวเองลีบเล็กเหมือนจะหดหายไปกับอากาศ ผมรู้ตัวเองดีว่าปฏิกิริยาร่างกายของตัวเองมันกำลังทำให้ผมขายหน้า

“ตอนหน้าแดงยิ่งน่ารัก”

ไอ้พี่เดี่ยวโดนพี่เซียนสะกิดที่หัวทีหนึ่งถึงจะไม่แรงนักแต่ก็ทำฝ่ายนั้นบ่นอุบ

“ขี้หวงไอ้สัด”

“เออ”

หือ?

ผมยืนอึ้งทันที

“เอออะไรวะ”

“เออ”

“...”

“กูหวง”

พี่เซียนไม่ได้หันมาพูดกับผมหรอก แต่อากัปกิริยานั่นเรียกรอยยิ้มจากเพื่อนทั้งสองของเพื่อนเซียน ผมเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะก้มหน้าเดินงุดๆ ออกไปที่ระเบียงห้อง

แม่งเอ้ย

จะห้ามใจได้ยังไง...ห้ามยังไงไม่ให้สั่นไหวกับเซียน ศกัณฐ์วะ

ผมยืนอยู่สักพักกำลังจะกลับเข้าไปพอดีกับที่พี่อุ้มเดินมาหยุดเท้าแขนกับขอบระเบียง

“บอกตรงๆ ว่ากูไม่คิดว่ามึงกับไอ้เซียนจะมีวันนี้ ก็เล่นกัดกันตลอดทุกทีที่เจอหน้านี่หว่า”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่

“อย่าว่าแต่พี่เลย ผมเองก็ยังไม่นึกด้วยซ้ำี้”

ผมคลึงขมับตัวเองแรงๆ

“มึงเริ่มหวั่นไหวกับมันใช่มั้ย”

เพราะพี่อุ้มเป็นรุ่นพี่ที่สนิท ผมเลยอดที่จะยอมรับไม่ได้

“โคตรๆ เลยพี่”

ผมพูดอย่างหมดแรง ขณะที่อีกฝ่ายขำออกมาเบาๆ ฝ่ายนั้นโยกศีรษะผมไปมาอย่างเอ็นดู

“ในฐานะที่กูเป็นเพื่อนสนิทมัน กูรับรองได้ว่ามันรู้สึกดีๆ กับมึงจริงๆ มันดูจริงใจกับมึงนะเปียว กูรับรองว่าเพื่อนกูไม่ใช่คนเจ้าชู้ มึงอาจจะคิดว่ากูพูดเข้าข้างเพื่อนตัวเอง แต่กูรับรองว่าเพื่อนกูไม่ใช่คนเลวร้าย ถึงมันดูไม่แยแสใครแต่การกระทำของมันให้เกียรติคนอื่นเสมอ”   

“ก็พอรู้”

“แต่ในฐานะที่มึงเป็นน้องสายรหัสกู กูเข้าข้างมึงเต็มที่เหมือนกัน มึงหวั่นไหวได้นะ แต่หากกลัวจะเผลอใจไปแล้วเจ็บ มึงมีสิทธิ์ปกป้องหัวใจตัวเอง ถ้าคิดว่าไม่ใช่หรือไม่แน่ใจในตัวเพื่อนกู มึงจะถอยหลังกลับไปเป็นแค่พี่น้องกับมันก็ได้ ไม่ว่ามึงจะอยู่ในฐานะอะไรกับมัน แต่มึงก็ยังน้องกูไอ้เปียว”

“เฮ้อ”

“ว่าแต่เพื่อนกูพอมีหวังบ้างมั้ย”

พี่อุ้มถามยิ้มๆ

“พูดตรงๆ นะพี่”

ลุงรหัสผมโคลงศีรษะไปมา

“ตอดเป็นปลาขนาดนี้ จะใจแข็งยังไงไหว”

ผมเบะปากทันทีเมื่อนึกถึงเจ้าของห้องที่ดูเหมือนจะมีอิทธิพลกับใจผมมากขึ้นทุกวัน

“ถ้ามันได้ยินคงดีใจนะ”

“เพื่อนพี่ไม่ได้ยินเร็วๆ นี้หรอก”

ผมส่ายหน้าหวือ

“ทำไมวะ”

“เพื่อนพี่อ่ะเจ้าเล่ห์ หลอกผมและแกล้งเนียนปกปิดเรื่องในอดีตมาตั้งนาน ผมไม่ยอมใจอ่อนให้ง่ายๆ หรอก”

“ขนาดไม่ใจอ่อน ยังถ่อมาเฝ้าไข้มันถึงนี่”

พี่อุ้มแซวผมหน้าตาย

“มันเป็นเหตุสุดวิสัยเหอะ”

“เอาที่มึงสบายใจเลย”

พี่อุ้มส่ายหัว

“พี่เซียนเหมือนหลุมพราง”

“แล้ว”

“ผมก้าวขาลงหลุมไปแล้วข้างหนึ่ง”

ผมถอนหายใจแรงๆ

“ส่วนอีกข้างกำลังจะตกลงไปในไม่ช้า”

พี่อุ้มหัวเราะทันทีกับสีหน้าปลกตกของผม

“เพื่อนพี่อ่ะตัวร้าย”

“...”

“ทำให้หวั่นไหว รู้อีกทีผมก็เผลอใจไปแล้ว”

ประโยคนี้นะรับรองเลยว่าถ้าพี่เซียนได้ยินคงยิ้มกว้างๆ นั่นคงทำให้หัวใจผมคันยุบยิบแน่ๆ แต่ผมจะไม่พูดออกไปให้ใครบางคนได้ใจหรอก

.

.

“อยู่กินข้างเที่ยวด้วยกันก่อนสิ กูฝากรุ่นน้องที่จะมาช่วยงานมันซื้อมาให้ อีกเดี๋ยวคงถึงแล้ว”

เพราะเห็นว่าพวกๆ พี่ๆ มารวมตัวกันอยู่ที่ห้องพี่เซียนเพื่อทำรายงานผมเลยกะว่าจะขอตัวกลับ แต่พี่เดี่ยวซึ่งผมเพิ่งรู้ว่าพี่มันอยู่คอนโดเดียวกับพี่เซียนเป็นคนเอ่ยท้วงขึ้นมาก่อน อีกทั้งพี่เซียนยังบอกว่าช่วงเย็นๆ จะไปส่งผมกลับหอเอง สุดท้ายผมเลยนั่งเล่นเกมกับพี่อุ้มที่ปากบอกว่ามาช่วยเพื่อนทำรายงานแต่ผมเห็นพี่แกนอนเล่นเกมเฉย จนประมาณเที่ยงกว่าๆ รุ่นน้องพี่้เดี่ยวที่นัดมาช่วยงานมาถึงแล้ว ฝ่ายนั้นเลยลงไปรับ

“อยากกินเฟรนช์ฟรายทอดว่ะ”

พี่อุ้มเปรยออกมาแล้วผุดลุกขึ้นเดินไปโซนครัวทันที ผมจำได้ว่าก่อนหน้านี้พี่แกหิ้วเฟรนช์ฟรายถุงใหญ่แบบสำรวจรูปที่หาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตมาด้วย เดาได้ไม่ยากว่าฝ่ายนั้นคงเตรียมมากินเล่นระหว่างวันแน่ๆ ตอนที่โผล่เข้าไปพี่อุ้มกำลังเทเฟรนช์ฟรายที่ฟรีซมาอย่างดีในถุงเทใส่หม้อทอดไร้น้ำมันก่อนจะเลื่อนปุ่มตั้งเวลาทอดและอุณหภูมิที่ใช้ในการทอด ดูเหมือนว่าพี่อุ้มจะหยิบจับอุปกรณ์ที่เคาน์เตอร์นี้ได้อย่างคล่องแคล่วราวกับว่าคุ้นชินกับการใช้อุปกรณ์ดังกล่าว เหมือนฝ่ายนั้นจะรู้ทันว่าผมคิดอะไรอยู่เลยพูดขึ้นมา

“กูอ่ะเป็นเบ้พวกมันประจำ”

พี่แกยักไหล่

“เวลามาเล่นเกมหรือทำงานที่ห้องไอ้เซียน พวกมันชอบโยนภาระให้กูหาข้าวหาน้ำให้พวกเวรนั่นกิน”

ดูแล้วคงจะเป็นแบบที่พี่แกว่านั่นแหละเพราะผมนึกภาพพี่เดี่ยวกับพี่เซียนทำกับข้าวไม่ออกเลยให้ตายสิ

“ไอ้เดี่ยวมันไม่ค่อยชอบกับข้าวแห้งๆ หรือไม่ร้อนเวลากิน ส่วนไอ้เซียนมันไม่ชอบกินเผ็ด เอ่อ อันนี้มึงน่าจะรู้อยู่แล้วเนอะ”

ฝ่ายนั้นเอ่ยแซว

“พวกพี่สนิทกันมากี่ปีแล้วอ่ะ”

“ตั้งแต่มัธยม อยู่ห้องเดียวกันมาตลอดจนถึงม.ปลาย จริงๆ ไม่อยากสนิทกับพวกแม่งหรอก แต่คบๆ กันไปสักพัก พอมองไปรอบๆ ตัวไม่มีใครคบแล้ว เลยจำใจต้องเป็นเพื่อนพวกมัน”

ผมยิ้มตามจนตาหยี

“กูเคยเล่าให้มึงฟังรึยังว่ากูเคยหนีไปเวิร์คแอนด์เทรเวลช่วงปิดเทอมโดยไม่บอกพวกแม่ง พอกลับมาไอ้สองตัวนั่นพากันดัดหลังทิ้งให้กูกินข้าวคนเดียวเเกือบเดือน มันบอกว่าโทษฐานที่กูทิ้งมันไปไม่บอก มันเลยเอาคืนด้วยการทิ้งให้กูกินข้าวคนเดียว”

“แล้วพี่ไม่โกรธหรือ”

“ไม่อ่ะ”

พี่แกยักไหล่

“เพราะสุดท้ายพวกมันก็มานั่งกินข้าวด้วยกันอยู่ดี”

มันคือมิตรภาพไง

ความสัมพันธ์แบบเพื่อน...มันงดงามเสมอนั่นแหละ

ผมละความสนใจจากพี่อุ้มทันทีตอนที่ได้ยินเสียงคุ้นหูดังขึ้นที่ห้องนั่งเล่น ตอนที่ชะโงกหน้าออกไปผมถึงกับชะงักเมื่อเห็นไอ้โต้งหิ้วอะไรไม่รู้เต็มมือเดินมาพร้อมกับพี่เดี่ยว

ไหนว่าพี่เดี่ยวลงไปรับรุ่นน้อง

หรือว่า

“ไอ้เปียว”

ไอ้โต้งร้องทักผมสายตามันหรี่มองผมแล้วกดยิ้มมุมปากเหมือนเจอเรื่องสนุกๆ แน่นอนว่าการที่ผมปรากฏตัวอยู่ในห้องของพี่เซียนตอนนี้ทำให้มันแคลงใจไม่น้อย 

“มาได้ไงวะ”

“เพื่อนมึงมันมาเฝ้าไข้ไอ้เซียนตั้งแต่เมื่อคืน”

คนตอบคือพี่เดี่ยว

“อ๋อ”

ไอ้เปรตนี่ยิ้มน้อยๆ มันก่อนจะมองเลยไหล่ผมไปแล้วยิ้มกว้าง นั่นทำให้ผมต้องเอี้ยวตัวหันหลังไปเห็นพี่อุ้มที่กำลังทำหน้าเหม็นเบื่อเพื่อนสนิทของผมแล้วเดินผละกลับไปสนใจเฟรนช์ฟรายทอดทันที 

“ผมเอาของไปเก็บที่ครัวก่อนนะพี่”

ไอ้โต้งหันไปพูดกับเจ้าของห้องก่อนจะเดินตามพี่อุ้มไปติดๆ ถึงแม้ระหว่างทางที่เดินผ่านผมไปมันยังทำปากขมุบขมิบเดาได้ว่า ‘เดี๋ยวกูมาซักเรื่องของมึงกับพี่เซียน’

ผมเบะปากหายใจไม่ทั่วท้องเท่าไหร่กับสายตาล้อเลียนของมัน ผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นพักหนึ่งก่อนจะเดินตามสองคนก่อนหน้านี้ไปยังโซนครัว ยังไม่ทันจะพ้นมุมห้องเสียงบทสนทนาของสองคนนั้นก็เรียกให้ผมหยุดนิ่งเหมือนมีใครมาตอกหมุดให้ติดกับพื้น

“เลิกยุ่งกับกูเถอะ”

“ใจร้ายว่ะ”

“กูพูดจริงๆ นะไอ้โต้ง”

น้ำเสียงพี่อุ้มเรียบราบแต่ดูจริงจัง ถึงมองไม่เห็นสีหน้าพี่แกเพราะถูกแผ่นหลังกว้างของไอ้โต้งบดบังจนมิดแต่ผมเดาได้ไม่ยากว่าลุงรหัสผมคงกำลังมุ่นหัวคิ้วแล้วจ้องใบหน้าคู่สนทนาอยู่

“ไหนพี่บอกว่าให้โอกาสผมไง”

“ไม่มีประโยชน์หรอก”

“ทำไม”

“เรื่องของกูกับมึงมันก็เหมือนกลับไปอ่านหนังสือเล่มเก่านั้นแหละ ผลลัพธ์มันคงจบเหมือนเดิม บทสรุปเรื่องราวแบบเดิมๆ”

หือ?

สองคนนั่น

“ผมขอจีบพี่อีกครั้ง”

“มันจบไปเป็นปีแล้ว กูไม่อยากรื้อฟืนอีก”

เดี๋ยวนะ

ทำไมบทสนทนานั่นมันเหมือนว่าสองคนนั้นเคยคบกันมาก่อน ผมเผลอขยับถอยหลังก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อไปชนเข้ากับกำแพงมนุษย์ ขณะที่เผลออุทานออกมานั่นฝ่ามือใหญ่ก็เลื่อนมาปิดปากผมเอาไว้ ผมยืนใจสั่นตอนที่หันไปเห็นว่าคนที่ยืนซ้อนหลังกันอยู่คือพี่เซียน

“พี่...”

ผมทำหน้าสับสนเพราะยอมรับว่าคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินบทสนทนาทำนองว่าทั้งคู่เคยคบหากัน

“พี่เซียน สองคนนั่น”

“เรื่องของเขา”

พี่เซียนพูดเบาๆ ก่อนจะแตะไหล่ผมให้ออกเดิน ตอนที่กลับมาตรงห้องนั่งเล่นดูเหมือนว่าพี่เดี่ยวจะไม่อยู่แล้ว

“มันไปเอาชีทที่ห้องน่ะ”

พี่เซียนพูดขึ้นตอนที่เห็นผมมองไปรอบๆ

“พี่”

“หือ”

“เมื่อกี้คือ”

ผมลังเลใจที่จะพูดไป

“สองคนนั่นเคยคบกัน”

พี่เซียนพูดเสียงเรียบแต่แววตาไม่มีแววล้อเล่นเลย

“แล้ว...”

“ไม่ใช่เรื่องของกูกับมึง”

“แต่ว่า”

“จะรักหรือจะเลิกเป็นเรื่องของคนสองคน นอกจากนั้นคือคนอื่น เหมือนเรื่องของกูกับมึงจะคบไปต่อหรือพอแค่นี้ก็เป็นเรื่องของเรา”

ผมหน้าแดงวาบขึ้นมาทันที

“พูดเรื่องไอ้โต้งกับพี่อุ้มแล้วทำไมอยู่ๆ วนมาเรื่องผมวะ”

“กูไม่สนใจเรื่องคนอื่น แต่สนใจแค่เรื่องของกูกับมึงเท่านั้น”

“พี่”

ผมทำหน้าไม่ถูก ขณะที่พี่เซียนสีหน้าดูสบายๆ

“เคยคิดเรื่องจะเป็นแฟนกูมั้ย”

เหี้ย

หน้าผมตอนนี้คงเหี้ยมากๆ ว่ะ เล่นอ้าปากหวอขนาดนี้

“มะ ไม่เคย”

“งั้นคิดซะ”

“...”

“อีกไม่นานหรอก”

“ทำไม”

“จะขอเป็นแฟน”

พี่เซียนพูดหน้าตาย แต่ผมคิดว่าตัวเองอาจจะตายไปแล้วเพราะช๊อกไม่น้อยกับคำพูดตรงๆ ของอีกฝ่าย และที่ยังนั่งหายใจเป็นสากเบืออยู่นี่คงเป็นกายหยาบ ยิ่งตอนที่พี่มันเอื้อมมือข้างหนึ่งมากุมมือผมเอาไว้แบบนี้

.

.

“เป็นแฟนกูมั้ย”

“พี่เซียน”

ผมครางเสียงแผ่ว

ตึก

ตึก

ตึก

“กูซ้อมพูดไว้ พูดจริงเมื่อไหร่จะได้คล่องๆ”

ไม่ไหวแล้วโว้ย

กลั้นยิ้มจนปวดแก้มแล้ว



- J E E B -
วันนี้ใจดีอัพเพิ่มให้อีกตอน หึหึ
หวีดในทวิตติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยนะคะ

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
ซ้อมขอเป็นแฟน,,,

ออฟไลน์ kenghan

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-2
ตายตั้งแต่ประโยค “เคยคิดเรื่องจะเป็นแฟนกูมั้ย”
มาเจอประโยคซ้อมขอเป็นแฟนอีก เปียวไม่รอดแน่ๆ

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
รับไม่ไหวๆอิพี่รุกแรงมาก

ออฟไลน์ mysun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
่รุกแรงมากกก แค่ซ้อมพูด ก้อเขินจนตัวบิดละ

ออฟไลน์ [Karnsaii]

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +523/-17
 

- จีบที่16 -

 

 

“เอาซูชิเซ็ทนี้ครับ”

พนักงานร้านอาหารญี่ปุ่นก้มหน้าจิ้มไปที่แท็ปเล็ตในมือทันที ก่อนที่เธอจะเงยหน้ายิ้มแย้มคอยท่ารอรับออเดอร์ต่อไป

“ทงคัตสึก็น่ากิน งั้นเอาที่หนึ่งครับ เออพี่เทมปุระของโปรดผมเลย ผมสั่งนะ”

ยังไม่ทันรอให้เจ้ามือเอ่ยปากอนุญาต ผมก็ถือวิสาสะหันไปสั่งเมนูดังกล่าวกับพนักงานทันที

“ฮือซาบะย่างซีอิ๊วแค่ได้ยินชื่อก็ได้กลิ่นหอมแล้วอ่ะ”

“ตะกละ”

ฝ่ายที่นั่งเงียบอยู่นานพูดขึ้น

“งั้นเอาซาชิมิของโปรดพี่อีกอย่างก็พอเนอะ”

ผมยิ้มตาหยี

“มันควรพอได้แล้วไอ้เปียว ก่อนหน้านี้มึงเพิ่งสั่งข้าวหน้าเนื้อกับราเมงไป”

“โห่ ไหนบอกจะเลี้ยงข้าวผมไง”

“ไอ้เลี้ยงน่ะเลี้ยงอยู่แล้ว แต่ถ้ามึงสั่งมาแล้วกินไม่หมด กูจะให้มึงล้วงคออ้วกแล้วยัดให้หมดนะ”

ผมเบะปากให้อีกฝ่ายทันทีเล่นเอาพนักงานที่รับออเดอร์ต้องกลั้นยิ้มก่อนจะผละออกไป ส่วนเจ้ามือที่เคยรับปากว่าจะเลี้ยงข้าวผมก่อนหน้านี้เพียงแค่ยักไหล่ตามสไตล์ พี่ชายข้างบ้านคนนี้รู้นิสัยผมดีว่าการนั่งยิ้มเงียบๆ แล้วมองผมทำท่ากระฟัดกระเฟียดสักพักหนึ่งผมก็จะหายเอง ยิ่งถ้ามีขนมของโปรดอย่างของกินประเภทที่มีมิ้นท์เป็นส่วนผสมด้วยแล้วล่ะก็ ผมมึนตึงได้ไม่นานหรอก

นั่นไงพอนึกถึงมิ้นท์ ์ห่อลูกอมมายมิ้นท์ถุงใหญ่ก็ถูกยื่นมาตรงหน้า

“อ่ะ”

พี่ปั๊บพยักพเยิดไปที่ของในมือตัวเอง

“กินแล้วจะได้อารมณ์ดีเหมือนหน้าตากู”

ผมส่ายหัวทันที

“พูดไปนั่น”

ถึงอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยืนมือไปรับของดังกล่าว

“แต่ยังไงก็ขอบคุณนะพี่ที่อุตส่าห์ซื้อมาให้”

พี่มันส่ายหัวไปมาทันที

“วันก่อนกลับบ้านน้องกูฝากมาให้”

น้องสาวพี่ปั๊บก็รุ่นเดียวกับผมนี่แหละ แต่ฝ่ายนั้นสอบติดมหาวิทยาลัยแถวศาลายาเลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ ผมกับเธอเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ตัวกระเปี๊ยกหลังจากที่ผมย้ายมาจากเชียงใหม่นั่นแหละ 

“แม่มึงบ่นด้วยว่าพักหลัง มึงไม่ค่อยกลับบ้านเลย”

ผมยิ้มแหยทันทีเพราะช่วงเทอมแรกของการเรียนในระดับอุดมศึกษามันดูใหม่ไปหมดสำหรับผม ถึงพยายามปรับตัวให้เข้ากับสังคมและการเรียนแล้วแต่ยังก็จัดแบ่งเวลาไม่ได้อยู่ดี ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าปีหนึ่งมีกิจกรรมเยอะขนาดไหน ถึงแม่จะชอบบ่นว่าผมไม่ค่อยกลับบ้าน แต่ฝ่ายนั้นอีกนั่นแหละที่สนับสนุนให้ผมอยู่หอหลังจากที่เห็นผมเหน็ดเหนื่อยต้องเดินทางไปกลับระหว่างบ้านและมหาวิทยาลัยเกือบสัปดาห์ช่วงเปิดเทอมใหม่ๆ 

“เด็กเที่ยวเหรอวะไม่ค่อยกับบ้านเนี่ย”

“ก็เหมือนพี่ตอนปีหนึ่งแหละ”

ผมเบะปากใส่อีกฝ่าย

“ตอนพี่ปีหนึ่ง แม่พี่ก็มาบ่นให้แม่ผมฟังว่าพี่ไม่ค่อยกลับบ้าน”

“ก็กูมีซ้อมบอลแทบทุกเย็นที่หว่า”

“ข้ออ้างว่ะ”

ผมโยกศีรษะหลบฝ่ามือหนาของอีกฝ่ายที่หมายจะจับ

“อีกอย่างนะ ผมคุยกับแม่ทุกวัน ถึงแม่จะชอบส่งไลน์สวัสดีวันจันทร์เป็นรูปดอกไม้มาให้ก็เถอะ”

คราวนี้พี่ปั๊บขำใหญ่

“เหมือนแม่กูเลย”

ไม่เหมือนได้ยังไงก็เพิ่งหัดเล่นโปรแกรมไลน์เป็นกันได้ไม่นาน ดังนั้นจะให้พิมพ์ข้อความยาวๆ คงจะยากเกินไป การส่งรูปสวัสดีวันต่างๆ ดูจะง่ายกว่าตั้งเยอะ ผมนึกถึงคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ที่ยังใช้งานโปรแกรมแชทนั่นยังไม่คล่องเท่าไหร่ ทุกๆ วันเลยมีเรื่องขบขำจากการพิมพ์ตกพิมพ์ผิดให้ต้องเดาความหมายของคำนั้นๆ ถือว่าเป็นสีสันในแต่ละวันของคนอายุวัยเกษียณที่ทำให้รู้สึกเอ็นดูไปแล้วกัน

ระหว่างที่หวนนึกถึงเรื่องของพ่อแม่นั่นสายตาผมเหลือบไปเห็นอีกฝ่าย วันนี้ผมเห็นพี่ปั๊บมีเสื้อช๊อปสวมทับเสื้อนิสิตอีกชั้นดูแปลกตาไป เพราะทุกครั้งผมจะเจอพี่มันใส่ชุดไปรเวทไม่ก็ชุดกีฬาเป็นประจำ ยิ่งเวลากลับบ้านแต่ละทีผมไม่เคยเห็นพี่มันใส่ชุดนิสิตเลยด้วยซ้ำ เสื้อกีฬากับกางเกงบอลและรองเท้าสตั๊ดดูจะเป็นภาพที่ชินตามากกว่า มันชินจนผมลืมนึกไปว่าจริงๆ แล้วพี่มันเรียนวิศวะฯ 

เป็นไปได้ว่าน่าจะอยู่ชั้นปีเดียวกับพี่เซียนด้วยซ้ำ

ส่วนภาควิชานั่นผมไม่แน่ใจ

“มองหน้ากูทำไมวะ”

“พี่ปั๊บเรียนวิศวะฯ ภาคอะไรอ่ะ”

“ไฟฟ้า”

“คนละภาคกัน”

ผมงึมงำในลำคอจนฝ่ายนั้นมุ่นหัวคิ้ว

“อะไรคนละภาคกัน”

“คนรู้จักผมน่ะพี่ เค้าเรียนวิศวะฯ เหมือนกัน น่าจะรุ่นเดียวกับพี่”

“ใครวะ”

ผมยิ้มแหย

แค่คนรู้จักงั้นเหรอ

ถ้าไอ้พี่เซียนมาได้ยินจะถูกมันโกรธมั้ยวะเนี่ย ผมเกาหัวแกรกๆ นึกถึงภาพเหตุการณ์วันก่อนที่ถูกพี่มันซ้อมพูดขอเป็นแฟน เฮ้อ ความสัมพันธ์ของคนรู้จักกันประสาอะไรซ้อมขอกันเป็นแฟนวะ

“ไม่มีอะไรหรอก”

พี่มันทำหน้าไม่เชื่อเท่าไหร่แต่ก็ยอมปล่อยผ่านมันไปเพราะอาหารที่สั่งเริ่มทยอยมาเสิร์ฟที่โต๊ะ หลังจากนั้นหัวข้อสนทนาของพวกเราก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องอาหารทันที

“ไม่ลองกินหน่อยเหรอวะ”

ซาชิมิที่ถูกเลื่อนไปตรงหน้าเจ้ามือเป็นเมนูเดียวที่ผมไม่แตะเลย เพราะผมไม่ชอบกินของดิบ มันหยึยๆ ยังไงไม่รู้จนทำใจกลืนลงคอไม่ได้ ผมมักมีอาการพะอืดพะอมกับเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุกมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นตอนที่พี่ปั๊บคีบเนื้อปลาแซลมอนชิ้นพอดีคำสภาพสีชมพูดูสดใหม่นั่นไม่ได้ทำให้ผมนึกพิศสวาทขึ้นมาเลย

“ลองดู”

ผมส่ายหน้าหวือทันที

“มึงนี่ไม่รู้จักของดี”

“งั้นพี่ก็กินของดีที่ว่านั่นให้หมดเลย อ๊ะ”

ระหว่างเปิดปากเถียงนั่นแหละพี่ปั๊บยื่นเนื้อแซลมอนเข้าปากผมทันที เท่านั้นไม่พอยังปิดปากผมไม่ให้คายเมนูดังกล่าวทิ้งด้วย

“อื้อ”

ผมยื้อยุดกับพี่มัน แต่อีกฝ่ายกลับแกล้งด้วยการขยับมาใกล้ ยื้อกันไปอีที่ไหนไม่รู้พี่ปั๊บถึงโอบบ่าผมไว้แล้วยื่นทิชชู่มารองตรงมือให้ผมคายของในปากทิ้ง

“พี่แม่ง”

“กูขอโทษ”

พี่มันพูดไปหัวเราะไปก่อนจะยื่นน้ำให้ผมดื่มล้างปากตัวเอง ผมเลยมองอีกฝ่ายตาขวางและแอบด่าพี่มันในใจ พี่ปั๊บแม่งรู้ว่าผมไม่ชอบกินก็ชอบแกล้งยื่นใส่ปาก ไม่ก็ผสมกับอาหารเพื่อแกล้งผมตั้งแต่เด็กแล้ว 

“มึงนี่น่าแกล้งไม่เปลี่ยนเลย”

“มึงแกล้งอะไรเปียว”

ผมนิ่งไปเมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคยดังอยู่เหนือศีรษะผม และยิ่งน่าตกใจไปกันใหญ่เมื่อเงยหน้าขึ้นไปเห็นสีหน้าบึ้งตึงของพี่เซียน แววตาดุดันเข้มขึ้น ยิ่งตอนที่มองเลยผมไปสบสายตากับไอ้พี่ปั๊บ

เหมือนสองคนนี้รู้จักกันมาก่อน

“ปล่อย”

ปล่อยอะไรวะ

ผมจับต้นชนปลายไม่ถูกก่อนจะเข้าใจเมื่อมือข้างหนึ่งของพี่ปั๊บที่โอบบ่าผมอยู่กระชับขึ้น อีกทั้งแววตาพี่เซียนเข้มขึ้นดูน่ากลัวไม่น้อยย

“เลิกเล่นเถอะน่าไอ้ปั๊บ”

พี่เดี่ยวซึ่งยืนอยู่ข้างหลังพี่เซียนพูดขึ้นอย่างอ่อนใจ

“มึงก็รู้ว่ามันพูดถึงอะไร”

“กูไม่รู้”

พี่ปั๊บยักไหล่ดูยังไงก็กวนตีน 

“ปล่อยมือจากไหล่คนของกู”

พูดไม่พอพี่เซียนยังปัดมือพี่ปั๊บออกจากไหล่ผมทันที หลังจากที่เป็นอิสระแล้วผมเลยผุดลุกขึ้นทันที

“ใครคนของมึง”

พี่ปั๊บถามยิ้มๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่จงใจกวนประสาทพี่เซียนเต็มๆ

“มึงโง่เหรอ ถึงดูไม่ออก”

ผมมองคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างสับสน พี่เซียนกับพี่ปั๊บรู้จักกันแน่ๆ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเรียนปีเดียวกันแน่นอน ซึ่งมันไม่น่าแปลกหรอกในเมื่อทั้งคู่เรียนคณะเดียวกัน 

“พอเลยพวกมึง เจอหน้ากันทีไรแง่งๆ ใส่กันเป็นเด็กๆ ไปได้”

พี่เดี่ยวเป็นคนกลางห้ามทัพ ก่อนจะดันไหล่ที่เซียนให้ถอยหลังออกไป

“ไอ้เปียว มึงพาไอ้เซียนไปข้างนอกก่อนไป ส่วนมึงพอได้แล้ว เลิกกวนไอ้เซียนสักที อาการมันชัดขนาดนี้มึงยังดูไม่ออกเหรอว่าน้องข้างบ้านมึงน่ะ ไอ้เซียนมันเล็งอยู่”

ชัดกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

ผมทำหน้าไม่ถูก แต่เพราะพี่เดี่ยวส่งสายตามาขอร้องให้พาคนดังภาคยานยนต์ที่มีสีหน้าหงุดหงิดเต็มที่แล้วออกไป ผมเลยสะกิดไหล่พี่เซียนแล้วคว้ามายมิ้นท์ถุงใหญ่เดินนำอีกฝ่ายออกมา ตอนแรกก็เดินนำมาดีๆ นี่แหละ แต่ยังไงไม่รู้สุดท้ายพี่เซียนขยับมาเดินตีคู่ผมก่อนจะคว้ามือพาผมเดินดุ่มๆ ออกมาจากร้านทันที

พี่เซียนตอนนี้แม่งโคตรน่ากลัว 

พี่มันไม่พูดอะไรเลยนอกจากจับมือผมเดินไปเรื่อยๆ นึกอยากทักท้วงอยู่หรอกว่าอีกฝ่ายจะพาผมไปไหนกันแน่ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่กล้าเปิดปากสักที จากร้านอาหารแถวสามย่านมิดทาวน์มาจนถึงสนามกีฬา ตอนนี้บ่ายๆ กว่าแล้วในสนามไม่มีคน คงเพราะวิชากีฬาส่วนใหญ่เรียนเสร็จกันแล้ว อีกไม่นานพวกคทากรก็จะเข้ามาใช้พื้นที่ในการซ้อมเหมือนทุกๆ วัน

“พี่”

ไอ้พี่เซียนดันผมไปชิดกำแพงที่เป็นทางขึ้นอัฒจันทร์ก่อนจะโน้มใบหน้าลงในระยะประชิด แล้วคว้าเอามายมิ้นท์ถุงใหญ่ที่ถือติดมือโยนข้ามศีรษะผมไปนอนกองอยู่ในถังขยะมุมหนึ่งของอัฒจันทร์

ฮือ โคตรเสียดาย

“อ๊ะ”

เสร็จแล้วกดริมฝีปากลงมาราวกับงูฉก แน่นอนว่าผมไม่ทนตั้งตัวหรอกถึงได้ยืนตะลึงอยู่แบบนั้น จนกระทั่งกลีบปากสีชมพูอมส้มของพี่มันแนบริมฝีปากผมแล้วกดคลึงเบาๆ อยู่สักสองสามที อีกฝ่ายคล้ายจะย่ามใจที่ผมไม่ปฏิเสธถึงได้งับขอบปากเบาๆ ทำให้ต้องเปิดปากออกเป็นโอกาสให้ลิ้นร้อนๆ แทรกตัวเข้ามาราวกับรอจังหวะ

“อื้อ”

ไอ้พี่เซียนแม่งใช้ลิ้นเก่งมาก

ผมแทบทรุดไปกองกับพื้นแต่ดีว่าเกาะบ่าพี่มันไว้ ซ้ำอีกฝ่ายยังประคองเอวผมอยู่ 

“รสเหมือนแซลมอน”

ผมแทบร้องไห้ไม่ใช่เสียใจ แต่อายมากกว่าเพราะก่อนหน้านี้เพิ่งกินแซลมอนอาหารที่ผมเกลียดที่สุดลงไปป

จูบแรกเป็นรสแซลมอน

โคตรไม่โอเคเลย ฮือออ

ตอนที่พี่เซียนจูบจนพอใจแล้วผละออกไปนั่นผมรีบยกมือปิดปากตัวเองทันที

“ไม่ทันแล้วมั้ง”

“ใครใช้ให้จูบโดยไม่บอกก่อนเล่า”

ผมพูดอายๆ

“เพิ่งกินแซลมอนดิบไปเอง”

“ใช่เหรอ”

ผมพยักหน้าหงึกหงัก

แต่อีกฝ่ายเล่นแง่เหมือนทำท่าไม่เชื่อเท่าไหร่แล้วโน้มใบหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

“จะจูบอีกเหรอ”

พี่เซียนยื่นมือข้างหนึ่งไปยันกำแพงด้านหลังเอาไว้ ทำให้ผมเหมือนตกอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายกลายๆ

“กูจูบอีกได้มั้ยล่ะ”

“พี่จูบไปแล้ว”

ผมมองตามลูกอมมายมิ้นท์ที่ถูกโยนทิ้งตาละห้อย 

“อีกอย่างพี่แม่งทิ้งลูกอมผมแบบนี้ได้ไงวะ เพื่อนผมอุตส่าห์ฝากมาให้” 

“เดี๋ยวซื้อให้ใหม่”

“รวยจริงนะ”

ค่อนขอดใส่แม่งเลย

“ก็พอตัว” พี่เซียนยักไหล่ “แล้วเมื่อกี้ก็ไม่ใช่จูบ”

“อะไรไม่ใช่จูบวะ”

ผมทำปากยื่นใส่อีกฝ่าย ไม่ใช่จูบอะไรล่ะลิ้นพันกันจนจะถักเปียไดอยู่แล้ว “มันคือการทำโทษ”

พี่มันกระซิบข้างหู เสียงทุ้มๆ นั่นชวนจักจี้จนต้องหันหนี

“เรื่องอะไรเล่า”

“ยังไม่รู้ความผิดตัวเองอีกเหรอ”

“จะไปรู้ได้ไง อยู่ๆ พี่ก็โผล่มาทำท่าเหมือนจะชกกับพี่ปั๊บ แล้วก็ลากผมมาเนี่ย”

“มันเตะไหล่มึง”

“ฮะ”

ผมตาเหลือกทันที

“ไม่ชอบ”

“...”

“อย่าให้เห็นอีก”

“พี่ปั๊บเป็นพี่ชายข้างบ้านผมนะเว้ย”

“เป็นแค่พี่ ไม่ใช่พ่อ”

พี่เซียนพูดเสียงเรียบ

“ไม่ต้องถึงเนื้อถึงตัวกันก็ได้มั้ง”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่

“แต่เรื่องนี้ผมไม่ผิด พี่ปั๊บเองก็คงไม่ได้ตั้งใจ โอ๊ย”

ผมร้องโวยวายเมื่อถูกอีกฝ่ายบีบปากผม

“อื้อ”

แม่งบีบจนปากจู๋พูดไม่เป็นเสียงเลย พอเห็นว่าผมร้องโวยวายมือหนาเลยยอมปล่อยมือออก

“กูไม่อยากได้ยินชื่อคนอื่นจากปากมึง”

“พี่ปั๊บ”

“เปียว”

คนตรงหน้าขึงตาใส่ผมทันที

“พี่ปั๊บ”

“...”

“พี่ปั๊บ”

“พูดมากว่ะ”

พี่เซียนลดใบหน้าลงมาอยู่ในระดับเดียวกัน

“กูจะทำให้มึงเลิกพูดสักที””

“ยังไง”

“มึงรู้มั้ยว่าทำไมปากถึงบวม”

ผมทำหน้าไม่เข้าใจ เมื่อพี่เซียนแตะขอบปากผมเบาๆ ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อพี่มันกระตุกยิ้มมุมปากแล้วพูดว่า

“เพราะมึงถูกกูจูบ จนกว่ากูจะพอใจไง”



Load 60%
____________________

จันทร์หน้าลง 40% ที่เหลือ + ตอนที่ 17 น้า
หวีดในทวิตติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยนะคะ





ออฟไลน์ Plakhem

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
หึงโหดมาก o13

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เสียทั้งขึ้นทั้งร่อง 555

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
โอ๊ยพี่เซียนนนนน เบาได้เบาาาาาาาาาา  :heaven

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
เบาๆๆ พี่เซียน  น้องเปียวปากบวมหมด

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด