- จีบที่12 -
“พักก่อนมั้ย”
สิ้นเสียงนั้นไม่มีใครในโต๊ะส่ายหน้าปฏิเสธ ทุกคนพร้อมใจกันพยักหน้ารับราวกับรอคอยประโยคนี้มานานแสนนานจนทำให้คนพูดถึงกับขยับรอยยิ้มน้อยๆ ผมเหลือบตามองเพื่อนในคณะปีเดียวกันเกือบสิบชีวิตพากันขยับร่างกาย บ้างบิดตัวไล่ความเกียจคร้าน บ้างก็เดินออกไปข้างนอก ขณะที่ผมเอนหลังพิงตัวเอาศีรษะพิงขอบเก้าอี้เพราะอดทนรับเนื้อหาที่จะสอบมาเกือบสองชั่วโมงเต็มๆ อย่างหมดแรง บอกตรงๆ ว่าตอนนี้หัวสมองผมเต็มตื้อไปด้วยเนื้อหาของวิชากายวิภาค ความจำเกี่ยวกับชื่อกล้ามเนื้อในตำแหน่งต่างๆ รวมถึงระบบหายใจและระบบประสาทตีกันวุ่นวายไปหมดเลยต้องอาศัยนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของมือด้านหนึ่งคลึงขมับตัวเองไปมา
กายวิภาคศาสตร์เป็นวิชาปราบเซียนของเด็กปีหนึ่งแต่รุ่นผมยังโชคดีว่าไม่ได้เรียนรวมและตัดเกรดกับเด็กคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพอย่างคณะจิตวิทยาหรือคณะสหเวชศาสตร์เหมือนรุ่นพี่ปีก่อนๆ ไม่อย่างนั้นงานนี้คงอ่วมกันเป็นทิวแถวเพราะคณะที่ว่ามานั้นถือเป็นคณะหัวกระทิของวิทยาศาสตร์สายสุขภาพ เป็นความโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ถึงแม้จะไม่ได้เรียนและติดเกรดร่วมกันแต่อาจารย์จากคณะแพทย์ฯ ยังอุตส่าห์ใจดีดำเนินการสอนและออกข้อสอบให้เอง ข่าวว่าข้อสอบนั้นเป็นเนื้อหาภาษาอังกฤษล้วนๆ เรียกได้ว่าหนักหน่วงจนทำให้ผมต้องไปร้องขอให้พี่ดลพี่รหัสผมซึ่งขณะนี้นั่งกอดอกมองไอ้อ๋องฟุบหลับไปกับโต๊ะอยู่มาช่วยติวให้
แน่นอนว่าพอเพื่อนๆ รู้ว่าอดีตท็อปเสคกายวิภาคปีที่แล้วมาช่วยติวให้ พวกมันเลยเฮโลกันมานั่งหน้าสลอนไปได้ชั่วโมงเดียวก่อนจะสติหลุดแล้วโอดครวญกับเนื้อหาที่ต้องอาศัยความเข้าใจและความจำอย่างมาก ไปๆ มาๆ เลยพากันปิดปากหาววอดๆ จนพี่ดลต้องเอ่ยปากให้พวกผมพักไปล้างหน้าล้างตากันก่อนหน้านี้
ผมหรี่ตามองไปรอบโต๊ะซึ่งบัดนี้เพื่อนๆ ต่างแยกย้ายไปยืดเส้นยืดสายเรียกสติและความสนใจกลับมาที่เนื้อหา ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว ยิ่งดึกอากาศในห้องนี้ยิ่งเย็น มันเย็นจนทำให้ไอ้อ๋องซึ่งหลับตาฟุบหน้าไปกับโต๊ะขยับตัวยุกยิกไปมากอดตัวเอง ก่อนที่มันจะร้องออกมาเบาๆ เมื่อเผลอตัวกระแทกบริเวณที่เป็นแผลจากรถล้มเมื่อสัปดาห์ก่อนเข้ากับโต๊ะ แม้หลับตาอยู่แต่ใบหน้ามันยังยู่ย่นไม่สบอารมณ์คงเพราะรู้สึกเจ็บ ถึงแม้อาการบาดเจ็บจะเริ่มทุเลาลงบ้างแล้ว บาดแผลเริ่มตกสะเก็ดและเริ่มแห้งแต่คงเพราะรู้สึกตึงๆ เห็นมันบ่นให้ผมได้ยินบ่อยๆ ว่าแผลตึงขึ้นทำให้ผมรู้สึกเจ็บเวลาขยับร่างกาย
เสียงจิ๊ปากในลำคอกึ่งรำคาญนั่นส่งผลให้ใครบางคนขยับร่างกายทันที พี่ดลเคลื่อนไหวร่างกายสูงใหญ่นั่นมาใกล้เพื่อนผมก่อนจะแตะเบาๆ ที่บ่าไอ้อ๋อง
“เจ็บแผลหรือ”
น้ำเสียงนั่นเจือความห่วงใยจนคนฟังอย่างผมยังรู้สึกดีไปด้วย ยกเว้นเพียงคนรับคำพูดนั้นอย่างไอ้อ๋องที่ยกศีรษะขึ้นอย่างเชื่องช้าแล้วทำตาเขียวปั๊ดใส่อีกฝ่าย
“ยุ่ง”
“ก็ยังดีที่ไม่พูดว่าพี่เสือก”
พี่ดลกอดอกพูดยิ้มๆ
“จริงๆ อยากจะพูดอยู่หรอก”
“ดีแล้ว”
พี่รหัสขยับรอยยิ้มน้อยๆ
“พูดบ่อยๆ มันจะติดเป็นนิสัยไปพูดกับคนอื่นที่เราไม่สนิท แบบนั้นจะทำให้คนอื่นมองเราไม่ดี”
“เลิกเทศน์ผมสักทีเหอะ”
ไอ้อ๋องยักไหล่
“แค่เนื้อหาที่ติวให้เมื่อกี้ก็แทบอ้วกแล้ว โคตรเยอะจำไม่ไหวหรอก ถ้าจะเทศน์ก็วันอื่นเหอะ วันนี้เมมผมเต็มแล้ว ไม่อยากจำ”
พี่ดลปล่อยเสียงหัวเราะออกมาทันที
เสียงหัวเราะเหมือนเอ็นดูเพื่อนผมเสียเต็มประดา
มันยังไงกันแน่สองคนนี้
“เนื้อหามันค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าเข้าใจแล้วมันก็ไม่ยากหรอก”
เพื่อนผมทำหน้าแหย
“ได้ชีทสรุปไปแล้วนี่ ถ้าเข้าใจเนื้อหาวันนี้ พอไปอ่านชีทที่พี่ทำให้รับรองว่ายังไงก็สอบผ่าน เผลอๆ จะเต็มด้วยซ้ำ”
“ผมขอแค่ผ่านมีนก็พอแล้ว”
“หวังอะไรน้อยจัง”
พี่ดลส่ายหัว
“ผมรู้ตัวเองดีว่าผมหัวไม่ดี ขอแค่ไม่สอบตกให้ต้องลงเรียนซ้ำแค่นี้ก็พอใจแล้ว ชีวิตผมไม่อยากคาดหวังอะไร”
ไอ้อ๋องพูดเสียงแผ่ว
“แต่พี่คาดหวัง”
“อะไร”
“พี่หวังว่าเราจะสอบผ่านได้ด้วยคะแนนดี เพราะพี่ตั้งใจติวให้พวกเรามาก”
เพื่อนผมเม้มปากแน่นนั่นทำให้รู้สึกลุ้นไปด้วยที่เห็นไอ้อ๋องเงียบไป ปกติมันชอบต่อล้อต่อเถียงพี่รหัสผมจะตายไป แต่ครั้งนี้ผมเห็นมันเงียบเกินไป
“ทำไมต้องทำดีกับผม”
“...”
“โคตรเกลียดความรู้สึกนี้เลยรู้ป่ะ”
เสียงมันสั่นไปเล็กน้อย
“ทำไมชอบทำตัวให้ผมรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณพี่วะ”
ไอ้อ๋องทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างไม่สบอารมณ์
“ดีขนาดนั้นไม่ไปบวชละทางโลกไปเลยล่ะ”
“เคยอยากทำอย่างนั้น”
พี่ดลตอบยิ้มๆ
“แต่แม่พี่ขอไว้ว่าให้เรียบจบแล้วค่อยไปบวชตลอดชีวิตตามที่ตั้งใจเถอะ ตอนจบม.หกช่วงที่รอประกาศผลการสอบเข้ามหาลัย เวลาตั้งหลายเดือนนั่นพี่บวชจริงๆ ถ้าคุณแม่ไม่ไปขอร้องให้มาสอบสัมภาษณ์พี่คงละทางโลกไปแล้ว พี่ว่าการบวชทำให้ใจพี่สงบดี ตอนที่สึกมาใหม่ๆ ยอมรับว่าปรับตัวกับชีวิตวุ่นวายนี่ไม่ได้เท่าไหร่”
พี่รหัสผมนี่คนดีสมคำรำลือจริงๆ ที่หว่า
“แต่นั่นแหละทุกคนมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ พี่ยังต้องเรียนและใจจริงพี่คงละทางโลกไม่ได้หรอก ถึงตอนที่อยู่ในผ้าเหลืองใจพี่จะสงบจริง แต่ทุกครั้งที่แม่มาหาพี่แม่จะเล่าเรื่องเราให้ฟังตลอดว่าน้าดุจทุกข์ใจและเป็นกังวลเรื่องอ๋องไม่น้อย”
“โคตรบาปเลย”
ไอ้อ๋องพึมพำ
“ผมนี่โคตรคนบาปเลย”
พี่ดลขยับมาใกล้แล้วแตะศีรษะเพื่อนผมเบาๆ
“พี่สึกเพราะอยากเรียนให้จบ อยากดูแลแม่และครอบครัว และอยากทำตามความฝันของตัวเองอีกมากมาย เราไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้พี่อยากสึกหรอก”
เพื่อนผมทำหน้ามุ่นหัวคิ้วทันที
“ผมรู้ว่าผมไม่ได้สำคัญกับใคร”
“ไม่จริงหรอก”
พี่ดลยิ้มน้อยๆ
“มนุษย์น่ะต้องมีความสำคัญกับใครสักคนเสมอ ไม่ว่าจะสำคัญกับพ่อแม่ กับพี่น้อง หรือแม้กระทั่งเพื่อน อ๋องโชคดีที่มีเพื่อนดีๆ อย่างเปียวและโต้งนะ สองคนนั้นพร้อมอยู่ข้างเรา ลองพิจารณาดูสิว่าทุกครั้งที่มีปัญหาสองคนนั้นจะอยู่รอบๆ ตัวเราเสมอ นี่ไงเราคำตอบที่ว่าเราไม่สำคัญกับใครถึงไม่เป็นความจริง เพราะเราเป็นคนสำคัญของเพื่อน”
เพื่อนผมนิ่งไปก่อนที่มันจะพยักหน้าหงึกหงัก
“อีกอย่างเราก็สำคัญกับพี่”
พี่ดลส่งรอยยิ้มจริงใจให้มัน
“พี่อยากได้น้องชายที่น่ารักคนนั้นกลับมา”
ไอ้อ๋องเบี่ยงศีรษะหนีจากปลายนิ้วที่ลูบเส้นผมมันอยู่ แวบหนึ่งผมมองเห็นความหวั่นไหวในแววตาคู่นั้นของมันก่อนที่มันจะผุดลุกขึ้นแล้วเดินหนีไป
“เพื่อนเราี่นี่เข้าใจยากจริงๆ”
พี่ดลพูดขึ้น แน่นอนว่าทั้งโต๊ะไม่มีใครนอกจากผมที่นอนพิงเก้าอี้หรี่ตามองอยู่
“ตื่นได้แล้วมั้งน้องเปียว”
“แหะ”
ผมเปิดเปลือกตาก่อนจะยิ้มแห้งๆ เมื่อถูกพี่รหัสจับได้ว่าเนียนแอบฟังพวกเขาคุยกันได้พักใหญ่ๆ แล้ว
“จริงๆ ไอ้อ๋องมันไม่ได้ซับซ้อนหรือเข้าใจยากอะไรหรอกพี่ มันแค่กลัว”
“กลัวอะไร”
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
“กลัวความรู้สึกดีๆ”
ปฏิกิริยาแบบนั้นของเพื่อนทำให้เข้าใจได้ไม่ยากว่ามันกำลังกลัวอะไรบางอย่างที่กำลังกระทุ้งกำแพงหนาของตัวเองที่เพียรสร้างซึ่งมา มันคือเซฟโซนหรือพื้นที่ปลอดภัยของตัว มันกลายเป็นคนพูดน้อยและปิดกั้นตัวเองตั้งแต่วันที่พ่อกับแม่ตัดสินใจแยกทาง จากคนที่เคยสดใสทุกอย่างกลับตาลปัด ตั้งแต่นั้นมาผมไม่เคยเห็นมันยิ้มกว้างๆ อีกเลย วันวานของมันคงเป็นความทรงจำที่เจ็บปวด มันถึงกลายเป็นคนเข้าถึงยากเพราะกลัวว่าตัวเองจะรู้สึกดีกับคนอื่นและสุดท้ายมันกลัวการถูกหันหลังเหมือนการกระทำในอดีตของพ่อและแม่
ผมยังจำได้ว่าวันที่เปิดปากเล่าให้ผมและโต้งฟัง สีหน้ามันย่ำแย่และเจ็บปวดแค่ไหน
“แล้วพี่ต้องทำยังไง”
พี่ดลทำหน้าเครียดทันที
“ถ้าพี่อยากได้น้องชายที่น่ารักคนเดิมกลับมา”
ผมแกล้งแซวพี่ดลด้วยการพูดประโยคที่ลอกเลียนมาจากอีกฝ่ายจนพี่มันส่ายหัวอย่างระอา
“แค่แสดงออกจริงใจและสม่ำเสมอ ใจคนเราน่ะไม่ได้แข็งเป็นหินหรอกพี่ โดนเอาใจใส่และเห็นความสำคัญบ่อยๆ เข้ายังไงก็ต้องมีวันใจอ่อน”
“ฟังแล้วเหมือนการกระทำของคนที่จีบกันเลย”
พี่ดลมุ่นหัวคิ้ว ผมยิ้มเลยกริ่ม
“พี่ไม่ได้...”
“ห้ามปฏิเสธว่าพี่รู้สึกกับเพื่อนผมแค่น้อง คำตอบดารามาก”
คราวนี้พี่รหัสผมถึงกับหัวเราะออกมา
“ถ้าพี่จะจีบมัน ผมเชียร์เต็มที่ ยังไงสักวันหนึ่งมันต้องใจอ่อนแน่นอน ผมน่ะเชียร์พี่เต็มที่นะ เห็นว่าเป็นพี่ดลหรอก ผมทุ่มแรงเชียร์หมดหน้าตักเลยงานนี้”
ผมทำตัวเป็นพ่อสื่อด้วยการพูดจาอวดอ้างที่ฟังแล้วอีกฝ่ายถึงกับขำหนักกว่าเดิม
“ยังไงสักวันต้องใจอ่อนงั้นเหรอ...”
พี่ดลยิ้มน้อยๆ
“เหมือนเรากับพี่เซียนหรือเปล่า”
เดี๋ยวนะ!
ผมทำหน้าตื่นตอนที่สบสายตากับพี่ดล สายตาคู่นั้นเหมือนรู้อะไรในกอไผ่มากๆ มากจนผมเสียวสันหลัง ทั้งๆ ที่แววตาพี่มันไม่ได้เจ้าเล่ห์ร้ายกาจด้วยซ้ำ แต่แววตาราวกับผู้รู้นี่แหละโคตรน่ากลัว
“ไหนว่าพี่อยากละทางโลกไง เรื่องโกหกชัดๆ”
ผมเบะปากใส่พี่มัน
“ใจคนไม่แข็งเหมือนหิน เราเองก็ระวังใจตัวเองให้ดี” พี่โยกศีรษะผมอย่างเอ็นดู “พี่เซียนยานยนต์น่ะไม่ธรรมดา ถ้าเขาสนใจใครรับรองได้ว่าเขาจะทำยิ่งกว่าให้เราหวั่นไหวแน่ ถ้าให้เดาจากการที่เพื่อนสนิทพี่อุ้มมาวนๆ เวียนๆ อยู่รอบตัวเราช่วงนี้ พี่ว่าสำหรับเรามันเกินคำว่าหวั่นไหวไปไกลแล้วมั้ง”
“พี่ดล”
ผมหน้าแดงวาบเมื่อเห็นสายตาล้อเลียนของพี่ดล
ตอนแรกจะทำตัวเป็นพ่อสื่อไหงสุดท้ายดันถูกพี่รหัสไล่ต้อนจนขัดเขินไปหมดวะเนี่ย
“ขอบคุณสำหรับการเชียร์หมดหน้าตักนะพ่อสื่อ แต่ระหว่างพี่กับเพื่อนเราไม่มีอะไรในกอไผ่ พี่เอ็นดูอ๋องเหมือนน้องชาย แต่สำหรับเรื่องของเรากับคนดังภาคยานยนต์ อันนี้น่าจะเป็นเรื่องจริงในสักวันหนึ่ง”
ร้ายกาจจริงๆ พี่ดลคนดีพ่วงสโลแกนอยากละทางโลกที่ไม่ธรรมดาจริงๆ เห็นนิ่งๆ ไม่สนใจใครที่ไหนได้ข้อมูลเชิงลึกโคตรแน่น หนำซ้ำยังพูดเปลี่ยนเรื่องราวให้พ้นจากตัวเองได้อย่างชาญฉลาดสมกับท็อปเสคกายวิภาคโดยแท้
- J E E B -
ผมวักน้ำใส่หน้าตัวเองแรงๆ เพื่อเรียกสติหลังถูกหมัดน็อกจากพี่รหัสเข้าเแรง สมกับที่ทำตัวล่อเป้าอยากเป็นพ่อสื่อให้ฝ่ายนั้น สุดท้ายพี่มันสวนหมัดใส่ไม่ออมมือจนเข้าเป้าเลย นั่นทำให้ผมทำหน้าไม่ถูกรีบชิงออกมาล้างหน้าล้างตาทันที
ประมาทพี่รหัสตัวเองไม่ได้เลยจริงๆ ให้ตายเถอะ
ผมสำรวจใบหน้าตัวเองในกระจกเห็นรูปผู้ชายใบหน้าขาวซีด ศีรษะยุ่งเหยิง ขอบตาลึกโหล หยดน้ำเกาะพราวเต็มใบหน้าจนทำให้เส้นผมตกลงมาตรงหน้าผากเปียกไปด้วย เห็นสภาพตัวเองตอนนี้แล้ว ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าสภาพแบบนี้ไปสะดุดตาพี่เซียนได้ยังไงวะ
ยอมรับตรงๆ ก็ได้ว่าผมเริ่มหวั่นไหวกับพี่มัน ก็จะไม่ให้ใจเขวได้ยังไงในเมื่ออยู่กันเพียงลำพังครั้งใดผมรู้สึกโคตรไม่เป็นตัวของตัวเองเลย โดยเฉพาะการถูกอีกฝ่ายแกล้งหยอกในเชิงจีบเหมือนที่แล้ว ถึงไม่อยากยอมรับตรงๆ ว่าการกระทำของพี่มันที่ปฏิบัติต่อผมมันยังไงอยู่ แต่ก็หนีความจริงไม่พ้นอยู่ดีว่าสิ่งที่พี่มันพูดและทำนั่นมีผลกับใจผมมากๆ
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปทำธรุะส่วนตัว จังหวะนั้นเหมือนได้ยินเสียงฝีเท้าคนเข้าในห้องน้ำแล้วเสียงก๊อกน้ำก็ดังขึ้น แสงไฟตรงเพดานส่องเห็นปลายเท้าของคนสองคน ตอนที่ขยับตัวหมายจะเปิดประตูออกไปเสียงของใครคนใดคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา
“ไหมหย่าแล้วนะ”
เสียงคุ้นๆ
“แล้วไง”
ชัดเจนเลยนี่เสียงพี่เซียนชัดๆ และเสียงคุ้นๆ ก่อนหน้านี้ก็คือเสียงพี่เดี่ยวเพื่อนสนิทพี่มันนั่นแหละ
“อีกไม่นานไหมคงกลับไทย”
“จะแปลกอะไรก็บ้านเขาอยู่ที่นี่”
พี่เซียนพูดขึ้น
“มึงพูดเหมือนมึงไม่ดีใจที่พี่สาวมึงจะกลับมาไอ้เดี่ยว”
“เรื่องนั้นกูดีใจอยู่แล้ว”
ผมเสียมารยาทแนบใบหูกับประตู
“แล้วมึงล่ะเซียนดีใจหรือเสียใจ”
“กูไม่มีความคิดเห็น”
“ใจมึงน่ะให้มันแข็งเหมือนปากด้วยไอ้ห่า”
บทสนทนาจบลงแค่นั้นก่อนที่จะได้ยินเสียงก๊อกน้ำอีกครั้งต่อจากนั้นเสียงฝีเท้าทั้งคู่ก็ขยับออกห่างไปเรื่อยๆ จนประตูห้องน้ำด้านนอกถูกเปิดออกแล้วปิดลง
สองคนนั้นออกไปแล้ว ผมจึงโผล่ใบหน้าออกมาจากห้องน้ำแล้วยืนครุ่นคิดถึงบทสนทนาก่อนหน้านี้ เหมือนจะได้ยินชื่อบุคคลที่สาม
ชื่อผู้หญิงที่มีความเกี่ยวข้องกับพี่เดี่ยวและพี่เซียน
“แล้วทำไมพี่เซียนต้องใจแข็งด้วยวะ”
ผมเกาหัวแกรกๆ
“บ่นอะไรคนเดียว”
ไอ้โต้งซึ่งโผล่เข้ามาในห้องน้ำถามขึ้นเล่นเอาผมสะดุ้งโหยงเพราะคิดว่าหนึ่งในสองคนนั้นจะกลับเข้ามาในห้องน้ำอีกครั้ง ถ้าพวกพี่มันเห็นผมในห้องน้ำต้องรู้แน่ๆ ว่าเรื่องที่พูดกันเมื่อกี้ผมแอบได้ยิน
“ตกใจอะไรขนาดนั้น ทำหน้าเหมือนเห็นผี”
“ก็เห็นจริงๆ”
พี่โต้งทำหน้าสงสัยทันที ขณะที่ผมแสยะยิ้มใส่มัน
“ผีเปรตไง”
ผมร้องโวยวายทันทีเพราะมันดีดน้ำใส่หน้าผมจนต้องหลบไปมา แต่ไอ้เวรนี่ดันล๊อกคอผมไว้แล้วแกล้งเอามือข้างที่ว่างไปรองน้ำแล้วมาพรมใส่ผม
“ไอ้เชี่ยพอแล้วกูเย็น”
เย็นจนรู้สึกหนาวจริงๆ ครับไม่ได้แกล้ง ถึงจะออกมาจากห้องที่ติวหนังสือแล้ว แต่พอโดนน้ำผมเองก็รู้สึกขนลุกเพราะน้ำมันเย็นไม่น้อยเลย
แอ๊ด
“หือ?”
เราสองคนชะงักกึกตอนที่ประตูห้องน้ำถูกเปิดอีกครั้ง
“ทำอะไรกัน”
ไอ้ห่าโต้งรีบปล่อยมือจากคอผมอย่างไว มันยักไหล่ก่อนจะโบกไม้โบกมือพัลวัน
“หาเห็บบนหัวให้ไอ้เปียวครับเฮีย”
“ไอ้สัดกูไม่ใช่หมา”
ผมเตะตัดขาไอ้โต้งไปทีนึงจนมันร้องโอดโอยทำตาเขียวใส่ มันทำท่าจะเอาคืนผมแต่ก็แค่ทำท่าเพราะมันไม่ขยับไปไหนคงเพราะพี่เซียนยืนปักหลักเป็นยักษ์วัดแจ้งอยู่หน้าประตู
“เพื่อนมึงตามหาอยู่”
พี่เซียนหันไปพูดกับไอ้โต้ง
“หาทำไมครับ”
“เห็นว่าจะเริ่มติวแคลคูลัสกันต่อแล้ว”
“ฉิบหาย”
มันทำหน้าตื่นก่อนจะผลุนผลันออกไปอย่างว่องไว เพราะวันนี้ไอ้โต้งมีนัดติวกับเพื่อนที่คณะมันเหมือนกัน เห็นว่าคงเลิกพร้อมๆ กัน ไอ้เวรนั่นเลยอาสาจะไปส่งผมกับอ๋องกลับหอคืนนี้
พอลับหลังไอ้โต้งไปแล้วผมหันไปลูบเส้นผมที่เปียกนิดหน่อย แม่ง โคตรเย็นหัวเลย
“หนาวเหรอ”
“นิดหน่อยครับ”
ผมพยักหน้ารับตอนที่เดินมาจากห้องน้ำแล้วพี่มันเดินตามมาติดๆ
“แอร์ข้างในโคตรเย็น”
ผมพูดขึ้น
“อดทนนั่งอยู่ตั้งนาน ดีว่าได้ออกมาข้างนอกค่อยยังชั่วหน่อย”
ผมตอบแล้วเหลือบตามองเสื้อช๊อปที่อีกฝ่ายสวมใส่อย่างนึกอิจฉาเพราะมันคงจะให้ความอบอุ่นไม่น้อย คิดแล้วก็ก่นด่าตัวเองที่ลืมเสื้อคลุมในวันนี้
“มองเสื้อกูทำไม”
พี่มันก้มมองเสื้อตัวเอง
“ไม่ถอดให้หรอกนะ กูหวง”
ผมเบะปากใส่พี่มันทันที
“ผมไม่ได้บอกว่าอยากได้เสื้อพี่สักหน่อย”
พี่มันยักไหล่กวนๆ
“แล้วนี่ยังติวไม่เสร็จเหรอ”
“ยังอ่ะ”
“อีกเยอะเหรอ”
“คงอีกประมาณชั่วโมงกว่าๆ คงติวเสร็จเที่ยงคืนพอดีมั้ง”
“แล้วมึงกลับยังไง”
พี่เซียนถามขึ้น
“ไอ้โต้งไปส่งครับ แล้วพี่ติวเสร็จแล้วเหรอ”
“อืม”
พี่มันเอี้ยวตัวไปด้านหลังผมจึงมองตามสายตาคนตัวโตไปเห็นกลุ่มผู้ชายใส่เชื้อช๊อปสี่ห้าคนกำลังเดินมาทางนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีพี่เดี่ยวรวมอยู่ด้วย นั่นคงเป็นกลุ่มเพื่อนที่คณะพี่มัน
“จะกลับแล้วเหรอพี่”
“พวกมันว่าจะไปกินข้าวที่สวนหลวงก่อน”
ผมเดาะลิ้นทันที
“กินข้าวหรือกินเหล้าอ่ะ”
ผมแกล้งแซวเพราะรู้ดีว่ายามค่ำคืนแถวสวนหลวงนั่นมีร้านเหล้าขึ้นชื่อของย่านนี้
“มึงคิดว่าไงล่ะ”
ผมยักไหล่
“ก็ช่วงนี้สอบ เดี๋ยวก็ไปสอบไม่ไหวหรอก”
“มึงก็ไปนั่งเฝ้าสิ”
ฮะ!
ผมทำหน้าเหวอทันที
“ไปนั่งเฝ้ากูสิจะได้รู้ว่ากูเข้าร้านข้าวหรือร้านเหล้า”
สัดเอ้ย มองหน้าแบบนี้หมายความว่าไงวะ
“เรื่องอะไรล่ะ”
พี่มันไม่ตอบ
แต่เสือกยิ้มเฉย เล่นเอาผมทำหน้าไม่ถูกจนกระทั่งเพื่อนพี่มันพากันมาหยุดยืนอยู่เบื้องหลังพวกผม แต่ละคนมองผมยิ้มๆ แล้วโคลงศีรษะเป็นเชิงทักทาย หลังจากนั้นก็มีใครคนหนึ่งหันไปพูดกับพี่เซียน
“ข้าวไม่ต้องกินแล้วมั้ง”
“ทำไมวะ”
ใครอีกคนเป็นลูกคู่
“ไอ้เซียนมันคงอิ่มแล้ว”
“มันจะอิ่มยังไงวะ”
“แค่มองหน้าเด็กปีหนึ่งนี่มันคงอิ่มจะแย่แล้ว”
“ฮิ่วๆๆ”
ผมทำตาโตมองซ้ายมองขวาเลิ่กลั่กไปหมด ไอ้เชี่ย อะไรคือมาแซวกูซึ่งๆ หน้าแบบนี้วะ ทำตัวไม่ถูกเว้ย พี่เซียนคงเห็นสีหน้าของผมมันเลยหันไปปรามเพื่อนตัวเอง
“เงียบๆ ไอ้สัด เสียงดังรบกวนคนอื่นเขาอ่านหนังสือกัน”
พวกนั้นเลยเงียบเสียงลงทันที แต่ถึงอย่างนั้นเสียงเมื่อกี้ก็เรียกความสนใจจากนิสิตคนอื่นที่ยืนอยู่นอกห้องติวพอดี และมีไม่น้อยเลยที่เมียงๆ มองๆ มาที่ผมสลับกับมองพี่เซียน
“เอ่อ ผมไปติวต่อก่อนนะ”
ผมเอ่ยเตรียมชิ่งกับสถานการณ์ตรงหน้า
“แล้วไม่ไปกับกูเหรอ”
“ไปไหนวะ”
พี่เดี่ยวสอดปากขึ้นเมื่อเห็นผมอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ยอมตอบคำถามพี่เซียน ยิ่งเห็นสีหน้าของเพื่อนพี่มันแต่ละคนแล้ว ผมยิ่งรู้สึกขัดเขินบอกไม่ถูก
“ไปกินข้าวเถอะ เพื่อนพี่รออยู่”
“รู้ได้ไงว่ากูจะไปกินข้าว”
พี่เซียนถามกวนๆ นั่นทำให้ผมแยกเขี้ยวใส่พี่มันทันที ผมดุนหลังพี่มันให้ออกเดินไปสมทบกับกลุ่มเพื่อน
“ไปเลย”
“...”
“ผมรู้ว่าพี่ไปกินข้าว ไม่ได้ไปกินเหล้า”
“...”
“ไม่ตามไปเฝ้าหรอก”
ผมพูดเบาๆ
“เชื่อใจ” ไอ้พี่เซียนหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะเดินผละออกไปกับกลุ่มเพื่อนตัวเอง ทิ้งภาระความรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วใบหน้าไว้ที่ผมคนเดียว
.
.
ผมเดินใจลอยกลับมาที่ห้องติวอีกครั้งตอนนี้ในห้องยังไม่มีใครกลับมา ระหวางนั้นเลยพยายามตบแก้มตัวเองเรียกสติที่หลุดลอยไปไกลไอ้โต้งก็วิ่งกระหืดกระหอบถืออะไรสักอย่างติดมือมาด้วย
“อ่ะ”
เสื้อช๊อปสีกรมตัวหนึ่งถูกยื่นมาให้ตรงหน้า
“ให้กูทำไม”
“มีคนฝากมาให้”
ผมรับเสื้อตัวนั้นมาอย่างไม่เข้าใจตอนที่ล้วงเข้าไปในกระเป๋าล้วงเอาโน็ตแผ่นเล็กๆ ออกมาอ่านจึงเห็นข้อความสั้นๆ ที่ว่า
‘ใส่ซะ...เดี๋ยวเป็นปอดบวม’
ผมเม้มปากแน่นรู้สึกร้อนผ่าวๆ ที่ใบหน้า
พี่โต้งหรี่ตามองผมยิ้มๆ แล้วพูดว่า
“เฮียกูถึงขนาดถอดช๊อปให้มึงใส่เลยเหรอวะ ไม่ธรรมดาแล้วมั้ง”
ไอ้เวรนั่นจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะน้อยๆ เป็นจังหวะที่เพื่อนๆ ที่ติวด้วยกันเริ่มทยอยเดินกลับมาที่ห้อง
“นั่นเสื้อช๊อปนี่”
สาวๆ กลุ่มหนึ่งชี้นิ้วมาที่เสื้อในมือผม เล่นเอาผมทำหน้าไม่ถูกเลย
“เอ่อ ของเพื่อนน่ะ อ่า มันให้ยืนใส่เพราะวันนี้ลืมเอาเสื้อกันหนาวมา”
“แล้วเปียวทำไมไม่ใส่ล่ะ”
“อ๋อ”
ผมยิ้มแหยก่อนคว้าเสื้อเจ้าปัญหามาสวมใส่ทันที เพราะอยากถูกสาวๆ เซ้าซี้ว่าทำไมไม่ยอมใส่
“นี่ๆ จะอะไรจะเล่าให้ฟัง”
สาวๆ สุมหัวซุบซิบกัน
“พูดถึงเสื้อช๊อปนะ พี่ชายเราโคตรหวง มันไม่ยอมให้ใครแตะเลย เห็นบอกว่ามีตัวเดียว รุ่นพี่บอกว่าอย่าถอดให้ใครใส่ง่ายๆ”
“ทำไมอ่ะ สั่งตัดอีกตัวก็ได้นี่ถ้าสกปรก เสื้อตัวนึงไม่เห็นแพงเลย”
“ไม่รู้สิ แต่เห็นมันบอกว่าเป็นวลีในวงเหล้าของเด็กวิดวะ”
“วลีในวงเหล้าเหรอ”
“ใช่”
“แล้วมันว่ายังไงอ่ะ”
“เสื้อช๊อปไม่ถอดให้ใครง่ายๆ แต่จะถอดให้เมียได้” .
.
‘มองเสื้อกูทำไม’
.
‘ไม่ถอดให้หรอกนะ กูหวง’
พ่องตาย
ผมตาค้างก้มมองใส่ช๊อปที่สวมใส่อยู่ราวกับเป็นของร้อน ยิ่งตอนที่สาวๆ พากันพร้อมใจหันมามองเสื้อช๊อปบนตัวผมแล้วหัวเราะกันคิกคัก
สัดเอ้ย
ไอ้พี่เซียนแม่ง
หน้ากูจะไหม้แล้วโว้ย
.
.
‘รุ่นพี่บอกว่าอย่าถอดให้ใครใส่ง่ายๆ’
‘เพราะเสื้อช๊อปไม่ถอดให้ใครง่ายๆ แต่จะถอดให้เมียได้’
- J E E B -
หน้าไหม้ไปพร้อมนุ้งเปียว 55555
เมื่อวานพอดีไปงานแต่งเพื่อนมาเลยยกยอดมาวันนี้แทนค่ะ
หวีดในทวิตรบกวนติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยนะคะ