ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 38 :: up! 2-10-63} #หน้า 8 ( ตอนจบ )
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 38 :: up! 2-10-63} #หน้า 8 ( ตอนจบ )  (อ่าน 43926 ครั้ง)

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
 เราเข็นตามกันมาจนถึงด้านหน้า แวะหยิบเอาข้าวหน้าปลาไหลชิ้นใหญ่ที่ดูหน้ากินกันคนละกล่อง แล้วก็เพิ่มไก่คาราเกะที่เพิ่งทอดร้อนๆ ใส่ลงรถเข็นมาด้วย ก่อนจะเข็นมาที่แคชเชียร์คิดเงินที่อยู่คนละล็อค ที่ก็เสร็จทุกอย่างในเวลาที่ไล่เรี่ยกัน

อาร์มสะพายกระเป๋าผ้าสีดำของตัวเองขึ้นบ่า มันยืนรอผมที่ก็จัดของใส่ลงไปในกระเป๋าผ้าของตัวเองที่เตรียมมาก่อนหน้านี้

“ กลับบ้านกัน ” ร่างสูงยิ้มบอกกันในตอนที่ผมเสร็จสิ้นการเก็บกระเป๋าเงินแล้วเงยหน้าขึ้นมองมันพอดี

“ เรา รู้จักกันด้วยเหรอครับ ” ทำทีเป็นพูดกับมันด้วยสายตาแบบคนที่ไม่รู้จัก ผมเหลือบมองซ้ายขวา “ ทักคนผิดเปล่าครับ ”

“ กวนตีนแล้วไอ้สัด ” มันว่าแบบนั้น ก่อนจะก้าวเข้ามาหาแต่เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ ใบหน้าคมก็เลยหันมามองกันแบบตาโต “ แล้วคุณชื่ออะไรเหรอครับ ผมชื่ออาร์มนะ มีแฟนยังไงครับ ”

“ ไม่มีครับ ขนาดไปชอบคนอื่น เค้ายังมีเจ้าของอยู่แล้วเลย ” หันไปตอบมันที่หน้าเจื่อนลงทันที แต่ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมยิ้มกว้าง “ เป็นไงไอ้สัด ดราม่าซีนเลยมั้ย ”

“ ไว้สักวันนะ ” อาร์มหันมาบอกในตอนที่เราเดินออกไปจากห้างพร้อมกัน “ กูจะเลิกรักเค้าจนหมดใจ แล้วก็จะรักแค่มึง ”

“ อะไรของมึง ” ถามออกไปแบบตาโต อีกคนก็หลุดขำ แต่ในตอนนั้นผมกลับพูดออกไปแบบเสียงเบา “ ประสาท อินหนังเหรอไอ้เหี้ย ”

“ ครับๆ อินหนังก็อินหนัง แต่อยากบอกมึงไว้ก่อน ว่ากูจะทำสำเร็จแน่นอน ” อาร์มว่าแบบนั้น แบบที่สายตามุ่งตรงไปข้างหน้า มันเหมือนคนมีความหวัง “ ถึงตอนนี้มันจะยังออกไปไม่หมด แต่สักวันมันจะต้องหมดแน่นอน ”

“ แล้วตอนนี้ออกไปเท่าไหร่แล้ว ” ผมถามอาร์มก็หันมามองกันนิ่งๆ มันยิ้มกว้าง

“ ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะสักห้าสิบ หกสิบ หรือเจ็ดสิบแล้วก็ได้ เป็นไง กูเก่งมั้ย ”

“ ใช่เรื่องที่กูต้องมาชมเหรอ ” ผมว่าก่อนจะทำทีเป็นมองไปรอบๆ อย่างเก็บความรู้สึกที่ตอนนี้หัวใจกำลังเต้นแรงเพราะคำพูดที่ฟังแล้วดูน่ารักเหมือนเด็กๆอย่างงั้นของอีกฝ่าย  “ เรื่องนั้น มึงจะตัดใจได้ไม่ได้ก็เรื่องของมึง ส่วนกูเองจะชอบมึงอยู่ หรือจะไปชอบคนอื่น นั่นมันก็เรื่องของกู ”

ลมหายใจที่ผ่อนออกมา มันน่ารำคาญซะจริง ไม่รู้ทำไมแต่มันดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นใจหมดเลย อากาศก็ดี แบบไม่ร้อนเกินไป ขนาดทางเท้าที่ปกติจะวุ่นวายกว่านี้ ตอนนี้มันกลับเงียบสงบขึ้นมาเสียอย่างงั้น แถมยังมีลมพัดให้พอได้ยินใบไม้เสียดสีบางเบา ทุกอย่างดูสบายใจไปหมด จนเผลอคิดว่า ถ้าเราเป็นแฟนกัน บรรยากาศตอนนี้มันคงจะดีกว่านี้มาก แต่ก็นั่นแหละ 

 “ ก็รู้แล้วครับ แต่ผมก็จะพยายามของผมไป ”

“ แล้วอย่างงั้นวันนี้มึงจะเหม่อทำไม ” ผมถาม “ กูนะเห็นมึงยืนเหม่อจนกูคิดว่าเป็นรูปปั้น นี่ถ้าใครมาขโมยของจากกระเป๋าตังค์ มึงจะรู้ตัวเปล่ายังไม่รู้เลย ”

“ กูแค่คิดถึงคนที่ชอบขึ้นมาน่ะ ” อาร์มบอกก่อนจะหันมายกยิ้มให้ผม มันที่ผ่อนลมหายใจออกมาพร้อมกับหันไปมองข้างหน้า ความเสียใจฉายชัดขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ อยู่ๆกูก็คิดขึ้นเค้ามา วันนี้เค้าเห็นแก่ตัวกับกุมากๆเลย จนมันทำให้กูรู้สึกว่า จริงๆแล้ว กูเองก็โง่เหมือนกันนะ ที่หลงรักคนที่เค้าไม่ได้รักกูเลยมาได้ตั้งหลายปี โง่มากๆที่พอเค้าบอกว่าให้รอ กูก็รอเหมือนหมาตัวนึงที่เจ้านายสั่งอะไรก็ทำตามไม่เคยขัด กูที่ทำตัวดีทุกอย่างก็เพื่อเค้า เตรียมทุกอย่างในชีวิต วางแผนไว้  นั่นก็เพื่อเค้า แต่วันนี้ ตอนนี้ กูกลับรู้สึกว่า กูไม่น่าทำแบบนั้นเลย ตลอดเวลาที่ผ่านมาก มันทำให้กูรู้สึก เสียเวลาชิบหาย ”

“ มึงเคยได้ยินคำว่า ทั้งรักทั้งหลงมั้ย ” ผมบอกยิ้มๆ ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าที่วันนี้ดูสดใสเป็นพิเศษ “ มึงก็แค่เป็นแบบนั้น ไม่เห็นจะต้องบอกว่า ไม่น่าทำแบบนั้น ไม่น่าโง่เป็นแบบนี้เลย แล้วถึงมันจะเป็นเรื่องที่มึงรู้สึกแย่ แต่นั่นก็คือช่วงชีวิตนึงของมึงนะ ที่แม้มันจะเหี้ยแค่ไหนแต่มันก็ยังปะปนไปด้วยความสุขอยู่ดีนั่นแหละ ไม่งั้นมึงคงไม่รักมันมาจนถึงตอนนี้หรอก ”

อาร์มหยุดฝ่าเท้าที่เดินอยู่ข้างกันลงทันทีในตอนที่ผมพูดจบ มันหยุดยืนนิ่งอย่างงั้น จนผมที่เดินอยู่ต้องหยุดเดินบ้างก่อนจะหันไปมองมัน

“ อะไร ”

“ มีความคิดแบบนี้ด้วยเหรอมึงน่ะ ” อาร์มถามยิ้มๆ

“ ทำไม กูดูไร้สมองเหรอไอ้สัด ”

“ ก็เปล่าหรอก แต่ไม่คิดว่ามึงจะคิดได้แบบนั้น ” เผลอจิ๊ปากในตอนที่ได้ยิน อาร์มมันหลุดหัวเราะในคอ เราเริ่มเดินต่อ

“ จริงๆเรื่องนาเดียกูก็เคยมองว่ามันเป็นเรื่องแย่ๆเหมือนกันนะ ถึงกูจะรู้ว่าเธอก็แค่คบกูแก้ขัดไป แต่กูก็ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดีที่ความรักของกูต้องกลายเป็นอะไรแค่นั้น แต่นั่นมันก็เพราะเธออีกนั่นแหละ ที่ทำให้ช่วงชีวิตกูก่อนจบม.ปลายของกูไม่เหงา ว่ากันตามตรง เธอก็เป็นความสุขในช่วงเวลานึงของกูเหมือนกัน เลยไม่รู้จะเสียใจ เสียดายไปทำไม เวลามันผ่านไปแล้วด้วย ถึงแม้ว่ามันจะสร้างความชิบหายมาให้กูจนถึงตอนนี้กูเถอะ ” ท้ายประโยคนั้นผมพูดเบาๆ แต่คนข้างกันกลับแค่ยังคงยิ้มกว้าง

“ หึ ”

“ มองไปในอดีต มองยังไง เสียดายยังไง มันก็ช่วยอะไรมึงไม่ได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับปัจจุบัน ว่ามึงจะเลือกอะไร ”

“ เลือกมึง ” เหลือบมองคนที่อยู่ข้างกัน ก่อนจะกลืนน้ำลายแบบที่พูดอะไรต่อไปอีกไม่ได้แล้วในตอนนั้น ลมหายใจของผมผ่อนออกมา คล้ายกับเครื่องระบายความร้อนของใบหน้า “ สักวันนะเมี่ยง เราจะเดินข้างกันแบบนี้แล้วจับมือกันกลับบ้าน สักวันของที่กูซื้อ จะเป็นของของเรา ไม่ใช่แค่ของของกูคนเดียว ”

“ มึงชอบอ่านนิยายเหรอวะ ” ผมหันไปถาม อาร์มขมวดคิ้ว

“ ทำไม ”

“ คำพูดน้ำเน่ามากไอ้สัด ถ้าหยุดอ่านได้ก็คือหยุดนะ ถือว่าขอ ”

“ กูก็แค่รู้สึกแบบนั้น ” คนข้างๆหันมายิ้มให้กัน แล้วหลังจากนั้นทุกอย่างก็กลายเป็นเพียงความเงียบเชียบ แต่นั่นกลับรู้สึกอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก เราเดินเข้าตึกมาพร้อมกัน ขึ้นลิฟต์ที่อยู่ๆก็เหมือนจะเป็นใจรอรับอยู่ด้านล่าง ก่อนที่เท้าผมจะมาหยุดอยู่ที่ประตูด้านห้องตัวเอง “ นี่ ”

“ อะไร ”

“ ของที่ตุนไม่ใช่หมดวันนี้นะ ” อาร์มมันเย้า ก่อนจะมองหน้าผมที่ก็พูดแบบไม่ออกเสียงไป

“ ไอ้สัด ” หันมาก้มควานหากุญแจที่อยู่ในกระเป๋า เสียงปลดล็อคดังขึ้นจากประตูของห้องข้างๆ แต่เหมือนมันจะนิ่งไปทั้งอย่างงั้น ไม่ยอมเข้าห้องไปเสียที อาร์มเหมือนคิดอะไรอยู่

“ เมี่ยง ”

“ อะไรอีก ” ผมถาม

“ ขอกอดหน่อยได้มั้ย ” เสียงทุ้มที่ค่อนข้างเรียบว่าอย่างงั้น แต่ในตอนที่หันไปมองรอยยิ้มนั้นกลับรู้สึกเศร้าหมองลงอย่างน่าประหลาด

ก็คงเก็บอะไรไว้มากมายในใจนั้น ทั้งความทุกข์ และความเจ็บปวด ในแววตาที่มองกันนั้นบอก ผมรู้สึกอย่างงั้น ก็เลยทำได้แค่หยุดยืนนิ่งจนขายาวนั้นเดินตรงเข้ามาใกล้กัน และอย่างไม่ทันได้อนุญาตอะไร มือหนาคู่นั้นดึงก็ตัวเองเข้ามากอดกันไว้ ก่อนจะที่ใบหน้าคมจะซบลงบนไหล่ อาร์มทิ้งตัวลง

“ อย่าทิ้งตัวลงใส่กูขนาดนั้นสิ มันหนักนะ ” ว่าแบบนั้นแต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะดึงตัวเองขึ้นไปแต่อย่างใด กลับกันมันแค่ทิ้งตัวลงอย่างงั้น “ ไอ้สัดอาร์ม ”

“ วันนี้กูเหนื่อยมากเลย เหนื่อยจนไม่มีอะไรที่อยากจะทำอะไรทั้งนั้น ยกเว้นอยากจะกอดมึงไว้อย่างนี้ ”

“ ถามกูหน่อยมั้ย ว่าอยากจะให้กอดมึงมั้ย ” ยิ้มแห้งๆในตอนที่บอก แต่ถึงอย่างงั้นผมก็ไม่ได้ผลักไสมันไปไหน ก็วันนี้มันดูเศร้ามากจริงๆ ตั้งแต่รู้จักกันมา นอกจากวันที่มันตะโกนใส่กันว่ารู้สึกยังไง ก็มีวันนี้ที่อีกคนนั่งเหม่อ แล้วดูท่าทางเหนื่อยหน่ายขนาดนี้

“ ลูบหลังกูหน่อยได้มั้ย ”

“ ต้องการการปลอบโยนขนาดนั้นเลย เป็นเด็กเล็กเหรอมึงน่ะ ” ถามแบบนั้นแต่มือก็ดึงขึ้นวางบนแผ่นหลังหนานั้น ผมถอนหายใจพลางลูบเบาๆ ซ้ำๆเหมือนโอ๋เด็กตัวน้อยที่กำลังเสียใจอยู่มากมาย “ โอมมมม  ความเจ็บปวดจงหายไป ”

 มีเพียงรอยยิ้มกว้างของอาร์มในตอนที่ได้ยินคำนั้น กับอ้อมกอดที่กอดรัดกันแรงขึ้น มันไม่มีคำพูดอะไรอีก แต่ผมรู้สึกได้ ว่าความเจ็บปวดของอีกคนในตอนนั้น  มันได้หายไป

แม้จะเป็นเพียงแค่นาทีสั้นๆ แต่นั่นก็ยังดี

..................................................................


บรรยากาศในเช้าวันที่มีเรียนค่อนข้างอึมครึม ฝนที่ตกมาตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ทำให้ไม่แม้แต่จะอยากลุกขึ้นจากที่นอนและผ้านวมหนาที่พันตัวไว้ ยังไม่นับเจ้าตัวลายที่ก็ทำตัวเป็นของเหลวแบบชนิดที่ไม่ว่าจะจับไปทางไหนก็เหมือนกันยินยอมพร้อมใจไปหมด ไม่มีงอแง

“ อากาศโคตรเหี้ย ” ผมพูดกับตัวเองแบบนั้นในตอนที่เดินจากตึกจอดรถมาจนถึงโรงอาหาร โชคดีที่ฝนไม่ตก แค่เมฆลอยดำทะมึนก้อนใหญ่ที่คิดว่า คงจะโปรยปรายสายฝนลงมาในอีกไม่เกินสามชั่วโมงนี้

โรงอาหารไม่ค่อยมีผู้คนเท่าไหร่ อาจเพราะยังเช้ามาก ผมปรายตาไปตามร้านต่างๆ ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่โต๊ะของคนที่ตอนนี้กำลังมองมาทางผม อาร์มนั่งอยู่ตรงนั้นวันนี้มันมีเรียนเช้า แน่นอนว่าอีกคนออกมาก่อนผมเสียอีก และตอนนี้ก็กำลังนั่งอยู่กับไอ้โฮมเพื่อนของมันที่ก็ยกยิ้มมองมาผม แบบที่ต้องเบือนหน้าไปทางอื่น

“ จะยิ้มทำเหี้ยอะไรวะ ขนลุก ” ลูบแขนตัวเองไปมา ผมส่ายหน้าไปมาก่อนจะเดินที่ร้านข้าวไก่กรอบที่ตั้งใจอยากจะกินตั้งแต่เช้า

“ โย่ว! ” โดนถีบเข้าที่ข้อพับขาจนแทบจะล้ม แต่คนทักกับแค่หัวเราะลั่นด้วยความสะใจ ไอ้สัดเจ้ยกอดคอกัน “ เพื่อนเมี่ยงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง ”

“ ไอ้สัด ” หันไปด่ามันที่ก็เม้มริมฝีปากแถมยังปิดปากด้วยทีท่ากวนตีน

“ ป้าครับ ผมสั่งเหมือนเพื่อนหนึ่งจาน ” หันไปบอกป้าคนขายอย่างงั้น เธอก็พยักหน้ารับยิ้มๆ ส่วนไอ้คนกวนตีนมันก็หันมามองผม “ ไม่คิดว่าวันนี้มึงจะมาเร็ว คิดว่าต้องแดกข้าวคนเดียวแล้วกู ”

“ แล้วไอ้เบสยังไม่มาเหรอวะ ”

“ โทรไปยังไม่รับเลยจ้ะ สงสัยเมื่อวานจะเมา ”

“ ปกติมันไม่ใช่พวกเมาในคืนที่รุ่งเช้าจะมีเรียนไม่ใช่เหรอวะ ” คำถามนั้นไร้ซึ่งคำตอบไอ้เจ้ยยักไหล่ให้กัน ก่อนที่เราจะยกถาดอาหารที่ได้มาหาโต๊ะนั่ง

“ โต๊ะนี่แล้วกัน ” ผมบอกในตอนที่เชิดหน้าไปที่โต๊ะหน้าสุดที่ว่างอยู่ แต่ตอนนั้นไอ้เจ้ยมันก็แค่ส่ายหน้า

“ ไม่เอาน่า มึงไม่อยากจะนั่งตรงนี้หรอกกูรู้ นู้นๆ นู้นดีกว่า ” สายตาที่บอกถึงโต๊ะที่เยื้องกับโต๊ะของอาร์มนิดหน่อย มันเป็นโต๊ะแบบที่ว่าอีกฝั่งก็มองมาเห็นผมได้ชัด ส่วนผมถ้าจะมองไปหาอีกฝ่ายนั่นก็ชัดเช่นกัน

“ กูไม่ได้อยากจะนั่ง ” หันไปเถียงอีกคนที่แค่เดินนำไปอย่างไม่สนใจอะไร “ กูจะไปอยากนั่งเยื้องกับไอ้เหี้ยนั่นทำไม ”

“ เอาน่า คิดซะว่ากูอยากนั่ง ” เจ้ยมันบอก ผมก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างจำยอม

“ มึงนี่มัน ”

“ นั่งๆ ” เชิดหน้าไปที่อีกฝั่งให้ผม ซึ่งแน่นอนว่าเป็นฝั่งที่ตรงข้ามกับไอ้อาร์มที่อีกฝ่ายก็กำลังเท้าคางมองกันอยู่แบบที่เหมือนจะบอกให้ทั้งมหาลัยรู้เลยว่า มันชอบผม

“ มองทำเหี้ยอะไร ” พูดแบบไม่ออกเสียงถามอีกฝ่ายในตอนที่ไอ้เจ้ยวางข้าวของตัวเองแล้วเดินออกไปซื้อน้ำ แต่อาร์มก็ไม่ได้ตอบอะไร หนำซ้ำมันยังทำหน้างงเลิกคิ้วเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรด้วยซ้ำ

 “ หงุดหงิดเหี้ยอะไรอย่างงั้น ” เจ้ยนั่งลงตรงข้ามผมก่อนจะยื่นน้ำเปล่าขวดเล็กมาให้

“ ก็มึงแม่ง ที่ว่างทั้งโรงอาหาร เลือกโลเคชั่นได้เหี้ยชิบหาย เสือกต้องมานั่งตรงข้ามกับไอ้สัดนั่น ”

“ ไม่เอาน่า ปล่อยให้ไอ้เบสมันเป็นอริกับไอ้ดีนไปคนเดียวพอ ส่วนพวกเราก็เพื่อนๆกันไว้ ” ผ่อนลมหายใจออกมาในตอนที่คนตรงหน้ายักคิ้วให้ ผมก้มหน้าลงตักข้าวของตัวเองขึ้นกิน “ ว่าแต่นะ ”

“ อะไร ”

“ เรื่องของมึงกับไอ้อาร์มนามสมมุติที่เล่าวันก่อนไปถึงแล้ววะ ” แทบจะพ่นข้าวที่เคี้ยวออกไปในตอนที่ได้ยิน แต่เจ้ยมันก็แค่ยิ้มพลางคลุกข้าวกับน้ำจิ้มที่ราดๆมา “ ไม่อัพเดทกูเลยไอ้สัด เป็นแฟนกันแล้วยัง ”

“ แฟนเหี้ยอะไรละ ” ผมตอบ ก่อนจะเหลือบคนโต๊ะตรงข้าม แล้วผ่อนลมหายใจออกมา “ มันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ”

“ อ้าว ”

“ อื้ม มึงอย่าถามมากเลย แต่ตอนนี้มันเหมือนจะตัดใจอยู่ มันบอกกูอย่างงั้น แต่กูก็ไม่รู้หรอกว่าตัดไปกี่เปอร์เซ็นแล้ว ไมได้ใส่ใจ ”

“ เหรออออ ” เสียงลากยาวแบบที่เหมือนจะบอกว่า ตอแหลไอ้สัด จากอีกฝ่าย ทำให้ผมผ่อนลมหายใจออกมา “ แล้วตอนนี้มึงกับมันก็คือ ยังคุยกันอยู่ ”

“ ก็แบบเพื่อน ” เพื่อนมากเลย เมื่อวานยังยืนกอดกันกลมอยู่ที่หน้าห้อง แบบที่ถ้าป้าแม่บ้านไม่เดินเข้ามาถามว่าเป็นอะไร ก็คงยืนกอดกันแบบนั้นอยู่อีกนานด้วยซ้ำ

“ แบบเพื่อนเติมเอสเปล่าไอ้สัด เพราะมากกว่าเพื่อน ”

“ เหี้ย ” พูดแบบไม่ออกเสียงอีกฝ่ายก็หลุดหัวเราะ “ แต่ว่านะ...”

“ อะไร ”

“ กูเล่ามึงแล้วใช่มั้ย ว่ากูอยากจะให้มันตกหลุมรักกู เวลาเกิดอะไรขึ้นมันจะได้ช่วยกู ” เจ้ยพยักหน้ารับ “ เมื่อวานเหมือนจะเป็นแบบที่กูเคยวางแผนไว้เลย แต่เหมือนจะไม่ได้รู้สึกชนะเหมือนที่เคยคิดว่าต้องรู้สึกเลย งงเหมือนกันวะ ไม่รู้ทำไม ”

“ ไม่เห็นจะแปลก ก็มันไม่ใช่ความรู้สึกแบบที่เคยคิดไว้แล้วไง ” คนตรงหน้าว่า “ ตอนแรกมึงคิดไว้ว่ามันจะชอบมึง แต่มึงไม่ได้ชอบมัน มึงแค่จะเอามาเป็นไม้กันหมาเท่านั้น มึงก็เลยคิดไปาต้อง มันต้องรู้สึกสะใจมากแน่ๆที่อริของมึงมาปกป้องมึงแบบนี้ แต่พอมึงชอบมันจริงๆ ความคิดมันก็เปลี่ยนไป กลายเป็นความรู้สึกดี ไม่ใช่ความสะใจ แล้วนั่นแหละที่เค้าเรียกมันว่า ความรัก ” ท้ายที่เสียงที่ย้ำกันแบบนุ่มๆ ผมเผลอแบะปาก

“ จะอ้วก ”

“ หรือว่าไม่จริง ” ไม่ได้ตอบอะไรคนที่ถามกันแบบหาเรื่องอย่างงั้น แน่นอนว่าเพราะมันจริงอย่างงั้นผมก็เลยไม่ได้เถียง

“ ว่าแต่คนเรา มันจะรู้ได้ยังไงวะ ว่าเราหมดรักคนคนนี้หมดใจแล้ว ”

“ ไม่เห็นยากเลยไอ้สัด  ไม่รักแล้ว ก็คือไม่สนใจแล้วไง วันไหนที่เราไม่สนใจคนที่เคยสนใจมากๆ วันที่เรารู้สึกว่า มันจะเป็นมันจะตายก็เรื่องของมัน นั่นแหละ คือตอนที่เราหมดรักเค้าแล้ว ”

“ ซึ่งจะมาเมื่อไหร่กูก็ไม่รู้ ”

“ กูว่ารู้ ” เจ้ยตักข้าวเข้าปากไปคำโตในตอนที่พูดแบบนั้น “ ก็วันนั้นมันจะหันมาสนใจมึงมากๆแทน มึงจะไม่รู้ได้ยังไงละ จริงมั้ย ”

“ เมี่ยง! ” เสียงเรียกชื่อที่ดังลั่นโรงอาหารเอ่ยขัดผมที่กำลังจะตอบคำถามคนตรงหน้าให้หันไปมองต้นเสียงนั้นเสียก่อน แล้วภาพที่เห็น ก็ทำให้ผมต้องเบิกตากว้างกับคนที่วิ่งมาด้วยรอยยิ้มที่เรียกได้เลยว่ามีความสุขสุดๆ

ผู้ชายที่ผมไม่เห็นมันมานานนับปีหลังจากที่ส่งมันไปเรียนไกลถึงอเมริกาเมื่อต้นปีก่อน แต่ตอนนี้มันยืนอยู่ตรงนี้ อยู่ที่นี่ ร่างสูงหน้าตาหล่อเหลาที่มาพร้อมกับผมทองสีเจ็บแบบที่ผมเคยบอกมันนับล้านครั้งว่า ‘ ขอร้อง มึงอย่าทำเลย ’ แต่มันก็ไม่เคยฟังเลย 

“ ไอ้สัด คิดถึง!! ” พุ่งเข้ากอดกันด้วยความพูดนั้นแบบเต็มแรงแบบชนิดที่เกือบตกเก้าอี้ แต่ผมก็ยังนิ่งอยู่ด้วยความช็อคอย่างงั้น เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอเพื่อนสนิทที่สุดสมัยเรียนอยู่มัธยมปลายอย่าง ไอ้เต ที่ก็กอดกันแน่นแบบที่แทบจะสิงร่างกันอยู่แล้วในตอนนี้

................................................................


พี่อาร์มไม่รู้เหรอว่าตัดใจไปได้แล้วมากแค่ไหน
มาค่ะ น้องหนมจะช่วยพี่อาร์มเองนะ

ตอนนี้ชอบความน่ารัก และความคิดของน้องเมี่ยง มันช่างน่ารักเหลือเกิน

ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์ค่ะ

หนมมี่  :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
 :ling1: อึดอัด ๆ เมี่ยงยอมได้ไงเนี่ย

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เอ้อออมาเลยเพื่อนเต มาดึงเมี่ยงให้หนีจากความสนใจในตัวอาร์มหน่อย ให้เมินไปยาวๆ แอบลำไยเบาๆ รอเขาอยู่ดีนี้เอง  :เฮ้อ: 55555 สนุกๆ รอตอนต่อไปเลยจ้า ขอบคุณนะที่แต่งมาอัพต่อ  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เพื่อนเต   เคยออกอากาศแล้วหรือยังหว่า?

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
ตัวกระตุ้นมาละ อิอิ

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ตอนที่ 21


“ เหี้ยอะไรเนี้ย ” ไม่ใช่เสียงของผม แต่มันคือเสียงของไอ้เจ้ยที่นั่งกันอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางงุนงงที่ก็บอกเลยว่าไม่ต่างอะไรมากนัก แค่ของผมควรเรียกว่า สติยังไม่เข้าร่าง น่าจะเหมาะกว่ากับสภาพตอนนี้ที่ก็นิ่งคล้ายถูกสาป

“ สัดเมี่ยง มีสติหน่อยลูก ” มือหนาดึงขึ้นจูนสมองกันตรงขมับ รอยยิ้มกว้างของคนตรงหน้า พร้อมกับนิ้วที่สัมผัสบอกกับผมอย่างแน่ชัดว่านี่ไม่ใช่ความฝันแต่อย่างใด

“ เดี๋ยวสิไอ้สัด คือ..” ผมเอียงหน้าถาม ทั้งๆที่ก็ยังงงอยู่ “ นี่มึงมาได้ยังไง ”

“ การเรียนหนังสือเค้าก็มีเปิดเทอม ปิดเทอมอะนะ แล้วกูก็คือต้องกลับบ้านบ้างอะไรบ้างแหละ ” บอกแบบนั้นพร้อมทั้งที่ก็พยักหน้ารับไปแบบปากก็อ้าออกด้วยความยังคงงุนงงอยู่

“ อ่า ”

“ คือจะไม่ดีใจหน่อยเหรอ นี่เพื่อนไง เพื่อนเต ที่เพื่อนเมี่ยงคำรักมากๆ ”

“ จะอ้วกไอ้ห่า แล้วปล่อยกูสักทีขนลุก ” ขืนตัวเองออกจากการกอดรัดอย่างไร้ยางอายของอีกคน ผมตีหน้ารังเกียจทั้งๆที่ในใจก็เต้นโครมครามไม่มีหยุด กับความรู้สึกยินดีมากมายที่เห็นอีกฝ่ายมาอยู่ตรงหน้า มันคล้ายกับทุ่งดอกมัมสีขาวที่แข่งกันบานชูช่อ สดใสยังกับการ์ตูนที่ชอบดูยังไงอย่างงั้น

“ แหมมมมมมมมมมมมม ทำเป็นรังเกียจ พี่รักหนู พี่ก็แค่กอดหนูไง ไม่ได้เหรอ รักอะ รักๆ ”

“ หึยยยยยยยย พอที ไอ้สัด ขนลุก ”

“ อะไรกันวะ เดี๋ยวนี้คนเราสามารถพลอดรักกันได้แบบไม่อายฟ้าอายดินขนาดนี้แล้วเหรอ” เสียงคุ้นเคยที่เอ่ยทักเราในตอนนั้น ผมเหลือบมองคนที่เหมือนจะดีแต่ปาก ดีนยกยิ้มให้กัน

“ ทำไมคนเราแม่งขี้เสือกจังวะ ” ผมหันไปถามไอ้เจ้ยแบบขอความคิดแต่อีกคนก็แค่ยักไหล่

“ ไม่รู้สิ อยากมีส่วนร่วมมั้ง ”

“ ใครวะ ” เตหันมากระซิบผม ที่ก็ส่ายหน้าบอกปัดไปก่อนในตอนนั้นอย่างไม่อยากจะเล่าเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างงั้นสายตาของเราก็ยังมองตามแผ่นหลังนั้นไป จนดีนนั่งลงที่โต๊ะของกลุ่มตัวเอง แล้วตอนนั้นแหละ ที่ผมเองก็ได้รู้ ว่าเหตุการณ์ทุกอย่างนั้น มันอยู่ในสายตาของอาร์มมาตลอดเลย “ อ้าว แล้วนี่มึงเป็นอะไรอีก ถอยห่างกูทำไม ”

“ เปล่า ” ผมส่ายหน้า พลางเหลือบไปมองสายตาคมที่มองกันอย่างไม่กล้าสู้หน้าเท่าไหร่นัก  “ ไม่มีอะไรไอ้สัด แต่มึงจะมากอดกูอยู่ทำไมละไอ้เหี้ย นั่งให้มันดีๆ หน่อย ”

ก็น่าแปลกดีเหมือนกัน
ทำไมอยู่ๆ ถึงรู้สึกว่ากลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดขึ้นมาก็ไม่รู้

“ อะไรของมึง ” สายตาที่มองกับแบบแปลกใจอยู่ไม่น้อยนั้น อาจเพราะปกติสำหรับเราแล้ว การแสดงเป็นคู่รักแบบกวนตีนต่อกันอย่างนี้ ก็หยอกล้อกันมาตั้งแต่สมัยชั้นประถมด้วยซ้ำ

“ ไม่แปลกหรอก ” เจ้ยมันว่ายิ้มๆ ทั้งที่สายตากลับหันไปมองที่โต๊ะของดีนอยู่อย่างงั้น ก่อนจะหันมามองไอ้เตเพื่อนผม “ บางทีมันคงไม่สบายใจที่ใครบางคน อาจจะเข้าใจผิด ”

“ ใครวะ ” คนข้างกันเผลอถามออกไปอย่างอยากรู้ “ มันมีแฟนเหรอ ”

“ ไอ้อาร์ม ” ผมเบิกตาขึ้นในตอนที่ได้ยิน แต่ในตอนที่กำลังจะเถียงกลับ เจ้ยก็บอกยิ้มๆ “ นามสมมุติน่ะ ”

“ ไอ้สัด ” สบถด่าออกไปแบบไม่ออกเสียง อีกคนก็หุบยิ้มก่อนจะทำทีเป็นเลิ่กลั่กหันไปซ้ายทีขวาทีแบบกวนตีนกัน

“ อะไรวะ ”

“ มึงแม่ง โง่จัง เพื่อนกูก็บอกอยู่ว่า นามสมมุติ แสดงว่าไม่มีจริงๆไง มันก็พูดไปงั้นๆอะ ” อธิบายแบบที่ไม่อยากให้อีกฝ่ายสนใจอีก แต่เตไม่ใช่คนที่หลอกกันได้ง่ายๆอย่างงั้น

“ ดูมึงแปลกๆนะ อย่าบอกนะ ” สายตาคมจ้องมองกันอย่างจับผิด

“ อะไร ”

“ มึงมีผัวยังเนี้ย ”

“ มีผัวแม่มึงสิ!! ” เถียงออกเสียงหลงด้วยความเลิ่กลั่ก อีกคนก็ยกยิ้มพลางยกมือขึ้นลูบคางไปมาอย่างครุ่นคิด “ เลิกสนใจกูเลยไอ้สัดเต นี่เข้ามานั่ง มึงแนะนำตัวกับเพื่อนกูยัง ”

“ เออ ยังเลย ” ส่ายหน้าไปมาด้วยท่าทางเหลอหลา เตมันยืนขึ้นก่อนจะก้มหน้าลงทักอย่างไอ้เจ้ยแบบเป็นทางการ พร้อมกับเสียงดังที่ชวนให้คนที่อยู่ใกล้หันมามอง

“ ขอโทษด้วยนะครับ แต่ผมชื่อ เต เตชิน ยินดีที่ได้รู้จักครับ แล้วก็ขอขอบคุณที่ดูแลน้องเมี่ยงคำของผมเป็นอย่างดี โอ๊ย!! ” ยันตีนเข้าใส่อีกฝ่ายแบบที่อดไม่ได้ ผมผ่อนลมหายใจออกมาพลางยกมือขึ้นบังหน้าแบบที่ไม่อยากจะให้ใครจำได้ เว่อร์ตลอด เว่อร์ชิบหาย เว่อร์แบบไม่มีใครเกิน

“ เว่อร์เหี้ย ไอ้หน้าสัด กูอยากจะตาย ”

“ เออ กูชื่อเจ้ย ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกันนะ ” อีกฝ่ายยกมือขึ้นทักยิ้มๆ พลางเหลือบมองผมที่ในสายตานั้นเหมือนจะบอกกันว่า ‘ เออ เพื่อนมึงแม่ง ตลกดีว่ะ ’

“ แล้วทำไมมึงมาอยู่ที่นี่ กลับมาก็ไม่บอกกันสักคำนะ ” หันมองเพื่อนสนิทตัวเองที่ก็แค่ยิ้มพลางดึงตัวเองเข้ามาซบกันลงลนไหล่

“ ก็เค้าอยากเซอร์ไฟส์น้องเมี่ยงคำของเค้า ”

“ ตอแหลไอ้สัด ” ตอบไปแบบนั้นอีกคนก็ยิ้มเกร็ง ก่อนจะค่อยๆดึงตัวเองออกจากตัวผม เตพูดเสียงเบา ท่าทีของมันดูเครียดขึ้นมากระทันหันจนแม้แต่ไอ้เจ้ยยังเหลือบมองผม

“ ไว้ค่อยเล่า ”

“ อื้ม แล้วนี่มึงมาที่นี่ได้ไง ” ผมถามอีกคนก็ถอนหายใจ พลางเชิดหน้าไปที่ตึกฝั่งที่อยู่ติดกับโรงอาหาร

“ มากับไอ้สัดเต้ กูเขี้เกียจอยู่บ้าน เบื่อ ” พูดถึงพี่ชายตัวเองที่เรียนอยู่ที่นี่แบบหน่ายๆ ไอ้เตมีพี่ชายที่อายุห่างกันไม่มาเรียนอยู่ที่นี่ และถ้าไม่จำไม่ผิด พี่ชายมันเรียนคณะเดียวกับผม แต่ว่าตอนนี้เรียนชั้นปีที่ 4 เค้าเป็นคนสุภาพ แน่นอนว่าต่างกับมันลิบลับ “ ตอนแรกก็ว่าจะโทรหามึงนั่นแหละ แต่เสือกเจอก่อน ก็เลยเข้ามาเซอร์ไพร์สเลยไงจ้ะ ”

“ เซอร์ไพร์สมากไอ้สัด กูไม่ตกใจจนตายก็บุญแล้วหน้าเหี้ย ” ผมว่าอีกคนก็หัวเราะถูกใจ ไอ้เตมันกอดรัดคอผม เหมือนพวกมันเขี้ยวเด็กตัวเล็กๆที่น่ารักเอามากๆ แบบชนิดแก้มแนบแก้ม

“ พี่รักหนู พี่คิดถึงหนูเหลือเกินจ้า ”

“ อย่าทำให้ไอ้เจ้ยมันคิดว่า กูมีเพื่อนเป็นบ้าได้มั้ยไอ้สัด ”

“ เมี่ยง ” เสียงที่เปลี่ยนไปกระทันกันของอีกฝ่าย ผมหันไปมองเพื่อนเสียงขานในคอ

“ หื้ม ? ”

“ ไอ้เหี้ยนั่น ทำไมมันมองเราขนาดนั้นวะ ” มองไปตามสายตาของคนที่กอดกัน แล้วก็ต้องพบเข้ากับคนที่ทำให้ผมถึงกับนิ่งไป

เพราะตอนนี้ ‘ อาร์มกำลังมองกันอยู่ ’ เหมือนหัวใจของผมอยู่ๆก็ชาขึ้นมาราวกับมีใครมาฉุดให้จมลงไปในเหวลึก ปลายมือปลายเท้าไร้ความรู้สึกฉับพลัน สายตาที่มองมาอย่างไม่สบอารมณ์นั้น ผมหันเหไปทางอย่างอื่นแบบที่หายใจไม่ทั่วท้องสักเท่าไหร่

เอาจริงๆ ก็ไม่เห็นจะต้องแคร์เลยเปล่าวะ
เราไม่ใช่แฟนกัน แล้วต่อให้ไอ้เตเป็นอะไรกับผม ก็ไม่เกี่ยวกับมันสักหน่อย
แต่ทำไมรู้สึกผิดขนาดนี้

“ เมี่ยง ” เสียงของคนที่นั่งข้างกันเรียกซ้ำ ผมก็หันไปมองแล้วยกคิ้วถามด้วยท่าทางกับอีกคนก็ยังขมวดคิ้วอยู่ “ เหม่อเหี้ยอะไรขนาดนั้น ถามก็ไม่ตอบ ตกลงไอ้สัดนั่นใคร แล้วมันมองเราทำไม ”

“ อย่าไปสนใจเลยมึง ” ยกไหล่ตอบไปแบบบอกปัด ก่อนจะยิ้ม แต่เหมือนว่าทุกอย่างจะไม่ง่ายอย่างงั้น อาร์มลุกขึ้นด้วยท่าทางหงุดหงิดมันเหมือนอ่านปากของผมออกว่าพูดอะไรออกมา

ท่ามกลางความงุนงงของกลุ่มเพื่อนมัน ที่แม้แต่ดีนเองก็ยังขมวดคิ้ว กับคนที่อยู่ๆก็ยืนขึ้นมาด้วยอารมณ์หงุดหงิด อาร์มผ่อนลมหายใจออกมาใส่กันในตอนนั้น มันเบือนหน้าหนีและยังไม่ทันได้ฟังหรือตอบอะไรความสงสัยของดีนที่เอ่ยถามว่าเป็นอะไร ร่างสูงก็เดินออกไปจากกลุ่ม

“ อะไรวะ ” เสียงของดีนที่เอ่ยตามไล่หลังไป ส่วนผมเองก็มองตามแผ่นหลังนั้นเดินออกไปจากโรงอาหารอย่างไม่ละสายตา อาร์มตรงไปที่พื้นที่สูบบุหรี่ที่อยู่ตรงหลังตึกอีกฝั่งของโรงอาหาร  ก่อนจะหันไปกลับมาแล้วสบตากับดีนที่ขมวดคิ้วมองกันอยู่

“ มองเหี้ยอะไร ” หลุดปากถามออกไป แต่ดีนก็แค่จ้องผมอยู่แบบนั้น นานนับนาที ก่อนจะหันกลับไปกินอาหารที่อยู่ในจานของตัวเองต่อ

“ ทำไมกูรู้สึกแปลกๆ ” เตบอกแบบนั้น เจ้ยมันก็ยกยิ้ม

“ มึงเพิ่งรู้สึกเหรอ นี่กูรู้สึกว่าตลอดเลยนะ ”

“ สัดเมี่ยง ”

“ อะไร ”

“  มึงเป็นอะไรกับคนที่เดินออกไปคนนั้นเปล่าวะ ” หันขวับไปทางคนพูด ผมเบิกตาขึ้นก่อนจะส่ายหน้า

“ พูดเหี้ยอะไรขนลุก ” เถียงออกไปแบบตาตั้ง  แต่เจ้ยก็แค่ยกยิ้ม  “ ยิ้มเหี้ยอะไรของมึงสัดเจ้ย ”

“ เปล๊า ” ตอบไปแบบเสียงสูง แต่เหมือนไอ้เตจะยังสงสัยไม่เลิก มันจ้องหน้าผม ในสมองที่เหมือนจะตั้งคำถาม แต่ยังไม่ทันจะถามอะไร เสียงทักทายของคนมาใหม่ก็ดังขึ้นมาก่อน

“ ดีครับ เพื่อนฝูงงงงงง ” ไอ้เบสที่เดินเข้ามามันขมวดคิ้วนิดหน่อยในตอนที่ไอ้เตหันไปมอง แต่ตอนนั้นมันก็แค่ยิ้มแล้วก็ก้มหน้าลงทัก

“ นี่เพื่อนกู มาจากเมืองนอก ชื่อเต ” ผมเอ่ยแนะนำกับร่างสูงที่เลิกคิ้วขึ้นพลางพยักหน้ารับ “ แล้วสัดเต นี่ไอ้เบสเพื่อนกูเหมือนกัน ” คนโดนแนะนำพยักหน้ารับลง “ แล้วนี่มึงจะกินอะไรก่อนมั้ย ”

“ ดูเวลาด้วยจ้าเมี่ยงคำ ” ไอ้เบสว่าพลางยกข้อมือตัวเองฝั่งสวมนาฬิกาอยู่ขึ้นมาให้ผมดู “ อีกสิบนาทีเข้าเรียนเนอะ”

“ งั้นก็ไปกันเลยมั้ย ” เจ้ยลุกขึ้นจากที่นั่ง ขวดน้ำที่กินเหลือครึ่งนึง ถูกดึงขึ้นมาพร้อมกับกระเป๋าผ้าสีขาวตุ่นที่มันหยิบขึ้นมาสะพาย

“ ก็ถ้ามึงจะเตรียมตัวขนาดนั้นแล้ว ก็ไม่ต้องถามเพื่อนแล้วมั้งไอ้สัด ” เบสมันแซว แต่อีกคนก็แค่ยกยิ้มกลางให้เป็นคำตอบเท่านั้น

“ แล้วมึงจะไปพร้อมพวกกูมั้ยเมี่ยง หรือว่าจะคุยกับเพื่อนก่อน ”

“ มึงไปเรียนก่อนเถอะ ” เตมันบอกผม “ เดี๋ยวกูไปนั่งกินอะไรรอ ”

“ งั้นมึงไปนั่งที่คาเฟ่มั้ย มหาลัยกูมีคาเฟ่ของมหาลัยอยู่ มึงไปนั่งตรงนั้นก็ได้ ”

“ เหรอ ”

“ แต่ทำใจกับรสชาติหน่อยนะสัด ” เบสมันเตือนยิ้มๆ “ เพราะค่อนข้างเหี้ยมากเลยละ ”

“ เหรอวะ ” เตมันหันมาถามผม แบบขอความเห็น

“ เออ รสชาติพอแดกได้อะสัด ก็คิดว่าไปนั่งเล่นเกมส์ในห้องแอร์ อย่าคิดเยอะ ”

“ เออ กูเอานิวเทนโด้มาพอดี ” เตมันว่า “ งั้นเจอกัน ”

“ เดี๋ยวกูเรียนเสร็จแล้วจะเดินไปหา ” ยักคิ้วให้กันเป็นการตอบรับ เราแยกจากกันตรงนั้น เตเดินไปลงที่บันไดอีกด้าน ส่วนผมเองก็เดินไปลงอีกทาง ทางที่ก่อนหน้านี้อาร์มเดินลงไป

สายตาที่อดไม่ได้จนต้องหันไปมอง ขาของผมหยุดนิ่งอย่างอยากจะเดินเข้าไปหาตรงซอกหลังตึกที่มีไว้สำหรับสูบบุหรี่ ไม่รู้ทำไมแต่รู้สึกอยากจะอธิบายอะไรหลายๆอย่างขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุและเหตุผล ทั้งๆที่ก็รู้ว่าไม่มีความจำเป็นอะไรทั้งนั้น

เหมือนในใจแค่อยากจะบอกให้มันรู้ ว่าเตคือเพื่อนผม มันไมได้มีอะไรมากกว่านั้น

“ สัดเมี่ยง ” เบสเอ่ยเรียกกัน ตอนที่เห็นว่าผมหยุดนิ่งไป “ เสี้ยนบุหรี่เหรอไอ้สัด ”

“ หรือว่าอยากจะไปหาใครที่สูบหรี่อยู่ ” ไอ้เจ้ยว่ายิ้มๆผมก็หันไปมองมันพวกมันนิ่งๆ

“ เปล่าสักหน่อย ”

ความสนใจถูกพรากออกไปจากการศึกษาที่เป็นส่วนที่ต้องสนใจมากที่สุดในตอนนี้ สไลค์ที่ผ่านไปสไลค์แล้วสไลค์เล่า เสียงอาจารย์ประจำภาควิชาที่กำลังสอนไม่ได้เข้าหูผมสักเท่าไหร่ สายตาที่ควรจะจดจ้องกับเนื้อหา ตอนนี้มันกับมองหน้าจอสลับกับหน้าจอมือถือราวกับว่า กำลังรอคอยอะไรบางอย่าง

บางทีอาจจะเป็นข้อความมั้ง ?
ใจความที่มันอาจจะออกมาประมานว่า ‘ ขอคุยด้วยหน่อย ’ หรือไม่ก็ ‘ คนคนนั้นคือใครวะ ’

“ รออะไรอยู่หรือเปล่าน้า ” ไอ้เจ้ยที่เอียงตัวมาถามเบาๆ ผมก็ทำได้แค่เหลือบมองมันก่อนจะถอนหายใจ แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป “ หรือว่าเป็นห่วงไอ้เตเหรอ ”

“ อย่าทำเป็นโง่ได้มั้ยไอ้สัด ” สวนกลับไปแบบนั้นอีกคนอีกคนก็เม้มริมฝีปากพลางเบิกตาอย่างไม่คาดคิดว่าผมจะได้ยินผมตอบรับอย่างไม่บอกปัดแบบปกติ

“ ก็คือเปิดตัวกับกูแล้วเนอะ ”

“ รู้แล้วจะให้ปิดเหี้ยอะไรอีกละ ” ถอนหายใจออกมาก่อนจะฟุบลงกับโต๊ะอย่างไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้จะด่าตัวเองว่า โง่มาก หรือโง่มากๆกันแน่  แล้วผมก็เป็นแบบนี้มาตลอดเลย นิสัยโกหกไม่เก่ง และถ้าโกหกก็คือจะจับได้เลยทันที เหมือนเด็กเล็ก ที่พอแม่ถามว่าทำไมถึงทำของเล่นหาย ก็จะบอกว่า มีสัตว์ประหลาดเข้ามาในห้องแหละคุณแม่แล้วมันก็เอาของของหนูไป

ดูออกง่ายประมานนั้นเลย
ทุกครั้งที่โกหก ทั้งแววตา ท่าทาง ทุกอย่างออกมาหมดว่ากำลังประหม่ามากแค่ไหน

 “ แต่กูไม่บอกใครหรอก ไม่ต้องห่วง ” เจ้ยว่าแบบนั้นด้วยเสียงเรียบๆ ที่ติดจริงจังของมัน “ ไม่อยากจะให้ใครรู้ใช่มั้ยละ ”

“ อื้ม ”

“ แต่กูก็เข้าใจอยู่ เพราะถ้าไอ้เหี้ยข้างๆกูรู้ ก็คือเท่ากับ หายนะ ” เราไม่ได้หันมองกันด้วยซ้ำในตอนที่พูดประโยคนั้น สายตาที่มองตรงไปข้างหน้า มือของเจ้ยที่กำลังจดข้อความที่ควรจำลงไปในแผ่นกระดาษตรบนโต๊ะ

“ มึง..” ผมเรียกคนข้างกันเสียงเบา

“ ว่า ”

“ รู้สึกเหี้ยจังเลยวะ ” เจ้ยหันมามองกันในตอนที่ผมพูดแบบนั้น “ ทำไมกูต้องรู้สึกคาดหวังว่ามันจะส่งข้อความมาถามอะไรสักอย่างกับกูด้วยวะ ”

“ ก็มึงสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันนะ ” คนข้างกันว่าอย่างงั้น “ การที่มันไม่ถามไม่ได้หมายความว่ามันไม่ชอบ การแสดงออกของมัน มึงก็เห็นอยู่ว่ามันไม่พอใจ แต่ที่มันไม่ถาม บางทีอาจจะแค่เพราะ มันคิดว่า มันไม่ได้เป็นอะไรกันกับมึง การที่ไอ้เตเป็นใคร ทำไมใกล้ชิดมึงขนาดนั้น ก็อาจจะไม่ใช่สิทธิ์ที่คนอย่างมันจะถามก็ได้ ”

“ เหรอ ”

“ แต่การที่มึงอยากตอบ มันเป็นเพราะมึงรักมันมากขึ้นหรือเปล่าวะ ถึงไม่อยากจะให้มันเข้าใจผิดไปเป็นอย่างอื่น ”

ผมไม่ได้ตอบว่ามันใช่ หรือว่าไม่ใช่ แต่คำตอบของคำถามนั้น ผมคิดว่าคนถามเองก็คงรู้คำตอบอยู่แล้ว

เอาจริงๆมันก็น่าหงุดงหงิดเหมือนกัน ทั้งๆที่สมองสั่งให้หยุดนิ่งไปแล้วแต่ แต่หัวใจก็เหมือนจะไม่ฟังอะไรทั้งนั้น มันยังคงดำดิ่งและจมลึก ลงสู่ความรู้สึกดีที่มีให้ใครอีกคนนั้นอย่างไม่ยอมถอดถอนออกมา

เหมือนหลงระเริงอยู่กับความสุขในช่วงเวลาต่างๆตรงนั้น
แล้วมองข้ามมันไปหมด ถึงความทุกข์เคยที่มี

“ กูเกลียดตัวเองชิบหายเลย ยิ่งพยายามอวดดีแค่ไหน กูก็ค้นพบว่าตัวเองแม่ง ก็แค่ลูกแมวตัวนึง ที่วิ่งตามคนที่อยากจะให้เค้ารับเลี้ยง ”

“ แต่อย่างน้อยมึงก็ยังอวดดี ที่ไม่ยอมส่งข้อความไปบอกมัน แต่รอให้มันส่งข้อความมาหาเอง อย่างน้อยมึงก็ทำให้มันงุ่นง่านได้ ก็แสดงว่า มันก็สนใจในตัวลูกแมวของมันมากเลยแหละ ” เจ้ยหันมาท้าวคางพลางยิ้มให้ผม “ ก็แสดงว่ามันรักลูกแมวตัวนี้มากเลยไม่ใช่เหรอวะ ”

‘ นั่นก็จริง ’ เสียงในใจของผมตอบรับ ประโยคนั้นเปลี่ยนความคิดของผมไปในชั่วขณะนึงนั้น

..............................................................

เสียงกริ่งบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้นในวินาทีที่ผมเขียนสรุปจบเสร็จสิ้นพอดี ปากกาถูกปิดผมหย่อนมันลงไปในกระเป๋าผ้า รวมถึงเอกสารการเรียนทั้งหมด

“ งั้นกูกลับก่อนนะ ” บอกสองเพื่อนซี้อย่างงั้นทั้งไอ้เบสไอ้เจ้ยที่ยังคงนั่งหมดอาลัยตายอยากแบบชนิดที่หลังพิงพนักเก้าอี้ ราวกับถูกสูบวิญญาณออกไป “ ไว้เจอกันพวกเหี้ย ”

“ ไว้ไปกินเหล้ากันสิ ” เบสมันพูด ผมก็หยุดขาที่กำลังจะก้าวเดินไป “ ชวนไอ้เตเพื่อนมึงไปกินเหล้าด้วยกันสิ จะได้สนิทกัน ”

“ เพราะทุกคนย่อมสนิทกันขึ้นเมื่อเหล้าเข้าปาก ” เจ้ยมันเสริม ผมก็พยักหน้ารับ

“ จัดไป ” ยกมือโบกลา ก่อนจะเดินออกมาจากห้อง

ก็โชคดีที่ตึกที่เรียนอยู่เป็นตึกด้านหน้าที่อยู่ไม่ไกลจากคาเฟ่เท่าไหร่ ผมเดินตรงมาข้างหน้าที่ผู้คนน้อยกว่าทางลงที่ใกล้กับโรงอาหาร แต่ยังไม่ทันได้ก้าวถึงบันได ขาที่เดินอยู่ก็ถึงกับต้องชะงัก กับคนที่กำลังยืนค้ำราวระเบียงแล้วมองออกไปนอนตึกเรียนนั้น

เสียงรองเท้าเสียดสีกับพื้นอาคารของผม เรียกคนที่ยืนนิ่งอยู่นั้นให้หันมามองกัน อาร์มดูตกใจไม่น้อย ไม่ต่างจากผมที่สายตาก็สั่นไหวไปหมด เป็นความตกประหม่าที่แม้แต่ริมฝีปากก็เม้มเข้าหากันทั้งๆที่ก็ไม่เข้าใจเลย ว่าทำไมต้องมีอาการเช่นนั้น

ตื่นเต้น ทั้งๆที่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะตื่นเต้นด้วยซ้ำไป

“ เอ่อ...” เสียงที่เอ่ยออกไปอย่างงั้น มือเงอะงะของผมยกขึ้นทักทายมัน “ ว่าไง มายืนทำอะไรตรงนี้คนเดียว ”

“ แค่เบื่อๆ ” มันว่าแบบนั้นก่อนจะพลิกตัวมันมามองกันแทน ด้วยสายตาที่เหมือนจะถามอะไรสักอย่าง “ คือ.. เลิกเรียนแล้วเหรอ ”

“ ก็อื้ม มึงอะ ”

“ เลิกแล้วเหมือนกัน แต่อีก 20 นาทีมีนัดคุยกับอาจารย์ ” ว่าแบบนั้น แต่ก็ยังชวนคุยต่อ “ แล้วมึงจะไปไหน กลับบ้าน ? ”

“ เปล่า กูจะไปหาเพื่อนก่อน ”

“ คนนั้นสินะ ” พยักหน้ารับกับคำถามนั้นแบบที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยชื่อก็รู้ว่าหมายถึง ไอ้เต เพื่อนของผม

“ งั้นกูไปนะ ไว้เจอกัน ” ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่อยู่ตรงกันข้าม ไม่มีแม้แต่ท่าทางตอบรับ

อาร์มแค่นิ่งไปพร้อมกับท่าที่ที่เหมือนยังคงอยากจะพูดอะไรต่อ ราวกับภายใต้ความคิดนั้นยังคงรบรากันในสมอง คงเป็นคำถามที่มีฝั่งนึงบอกให้ถาม ส่วนอีกฝั่งก็คงบอกว่า อย่าถามเลย

“ เมี่ยง ” แต่ในที่สุดมันก็เอ่ยเรียก เป็นจังหวะที่เพียงก้าวเดียวเท่านั้น ผมก็จะเดินลงบันไดนั้นไป

“ ว่า ” หันกลับไปมองมัน อีกฝ่ายก็ไม่รอช้า

“ ไอ้คนคนนั้นแค่เพื่อนมึงจริงๆใช่มั้ย คือ กู..แค่อยากรู้ ยังไงดีวะ มันอาจจะไม่ควรถาม แต่กู อยากมั่นใจ ไม่สิ มันดูเห็นแก่ตัวไป กู คือยังไงดี ” ปลายประโยคนั้นค่อนข้างเบา มันเบาจนผมขมวดคิ้วเพราะได้ยินไม่ค่อยชัดเท่าไหร่

“ ห๊ะ ? ”

“ คนคนนั้นเพื่อนมึงจริงๆใช่มั้ย ” อาร์มที่พูดเสียงดังมากขึ้น

จะว่าไป ก็ไม่เคยเห็นท่าทางประหม่าขนาดนี้ของมันมาก่อนเลย เป็นความรู้สึกเหมือนกับว่าอีกฝ่ายกำลังคิด ว่ามันไม่ควรถามอะไรแบบนี้กับผมเพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกัน สิทธิ์ที่จะชอบใครคนอื่น ก็เป็นเรื่องที่มันก็ห้ามกันไม่ได้

แต่ถึงอย่างงั้น หัวใจที่สงบลงไปไม่ได้ ก็มีทางออกเดียวคือ แค่ถามออกไป

“ ไม่ควรถามเปล่าวะ ” อาจเพราะเห็นผมเงียบไป มันเลยถามออกมาอย่างงั้น ด้วยสายตาหวั่นวิตกของคนที่มั่นใจมากตลอดอย่างมัน

“ แค่เพื่อน ” ย้ำออกไปอย่างงั้น ก่อนจะยิ้ม “ กูกับมันแค่ไม่ได้เจอกันนาน ก็เลยกอดกันกลมไปหน่อย ”

“ เหรอ ” อีกฝ่ายตอบรับยิ้มๆ ในแววตานั้นดูโล่งใจขึ้นหนึ่งระดับ แบบที่สัมผัสกันได้

“ งั้นกูไปนะ ” ยกมือบอกลามันอีกครั้ง

ผมหันหลังเดินลงบันไดมาแบบที่ยิ้มกว้างออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ อัตราหัวใจเต้นแรงมากขึ้นตามจังหวะก้าวเดิน ทุกอย่างดูโลดเต้นไปหมดด้วยความดีใจ ราวกับดอกไม้บานในทุ่งกว้าง ทุกอย่างดูสดใสไปหมด เหมือนว่าทั้งโลกมีแค่สีชมพู

ในที่สุดมันก็ถาม และถ้าถาม ก็มีเหตุผลเดียวก็คือต้องอยากรู้ ไม่นับว่าท่าทางนั้น ดูทั้งตกประหม่าแล้วก็กังวล และถ้าไม่เข้าข้างตัวเองมากเกินไป ผมว่า อาร์มก็คงหึงผมแหละ .. แบบที่ไม่มากก็น้อย


ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
“ บ้าบอ ” พูดกับตัวเองแบบที่หุบยิ้มไม่ได้ ทั้งๆที่ขาก็เดินตรงไปนั่งลงตรงหน้าเพื่อนสนิทที่ก็ขมวดคิ้วมองกันอยู่

“ เป็นเหี้ยอะไรอีก ”

“ อะไร ” ผมถามมันกลับ

“ ก็เห็นเดินยิ้มบ้าเข้ามาคนเดียว มึงอัดมากี่เม็ดเนี้ยเมี่ยง ”

“ พ่อมึงสิ ” ด่าออกไปแบบนั้นก่อนจะเบิกตาดูอาหารตรงหน้าที่เพื่อนตัวเองสั่งมากินราวกับจะอดอยากเสียมากมาย น้ำสองแก้ว แซนวิช เค้ก เต็มไปหมดทั้งโต๊ะ “ นี่มึงแดกเหี้ยอะไรขนาดนี้ไอ้สัด ”

“ ก็กูหิว ” ว่าแบบนั้นก่อนจะลุกขึ้นยืดเส้นสายของตัวเอง “ ไป กลับบ้านกัน ”

“ กูว่าจะพามึงไปหากินะไรสักหน่อย แต่ดูทรงคงไม่ต้องแล้วมั้งไอ้สัด ”

“ ไม่ต้องเสียใจ เพราะต้องพาไปกินอยู่แล้ว ” เตมันว่าพลางลูบท้องตัวเองแล้วเดินเข้ามากอดคอกัน “ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้  ไว้ตอนเย็นสั่งอะไรมากินกัน กูอยากกินแบบ ปูไข่ดองและยำต่างๆ ”

“ เมนส์จะมาเหรอ ” ผมเอียงหน้าถาม แต่นั่นก็ต้องโดนตบหัวจากคนที่กอดคอกันอยู่แบบอย่างแรง “ โอ๊ย ไอ้สัด เจ็บนะไอ้เหี้ย ”

“ ก็ปากนี่น้า ”  มือที่บีบแก้มผม ในระหว่างที่เราเดินไปยังทางจอดรถ แต่อยู่ๆไอ้เตมันก็หยุดนิ่ง

“ อะไร ”

“ เหมือนมีใครมองเราอยู่ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปบนตึก แล้วตอนนั้นเราก็สบสายตาเข้ากับอาร์มอีกครั้ง “ ไอ้สัดนั่นอีกละ ”

“ ไปเถอะน่า ” ดันเพื่อนตัวเองให้เดินไป แต่ไอ้เตก็ดูเหมือนจะยังใส่ใจไม่เลิก

“นี่มึงแน่ใจใช่มั้ย ว่ามันไม่ได้เป็นอริ หรือว่าผัวของมึง ” ไม่ได้ตอบอะไรในตอนนั้น ผมแค่ถอนหายใจออกมา

“ ไว้ถึงห้อง กูค่อยเล่าให้ฟัง ”

เปิดประตูห้องต้อนรับแขกที่อยู่ๆจะคิดมานอนค้างด้วยกันก็บอกกันแบบไม่ถามความสมัครใจอะไร ในตอนที่เรากำลังเดินทาง ราวกับมัดมือชก จนผมได้แต่ส่ายหน้าไปมาปลงๆ ในตอนที่ขับรถ

“ เชิญครับไอ้สัด ” ผมว่าแต่ขาของเตกลับชะงักไปนิดหน่อยในตอนที่จะเดินเข้าในห้องผม อาจเพราะมันดันไปสบสายตาเข้ากับไอ้นายท่านที่ก็หันมามองพอดี “ กลับมาแล้วครับผม ”

“ สรุปมึงได้เลี้ยงแมวจริงๆสินะ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ “ สวยซะด้วย เลี้ยงมากี่เดือนละ ”

“ ไม่นานเท่าไหร่เอง มันโดนทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลสัตว์ของพี่เขยกูอะ กูเลยได้มาเลี้ยง ”

“ เหรอ เออดีนะ แล้วชื่ออะไร ”

“ นายท่าน ” ผมบอกอีกคนก็เลิกคิ้วยิ้มๆ

“ ชื่อสมเป็นทาสแมว ”

“ แล้วนี่มึงจะนอนบ้านกู ไม่คิดจะเตรียมอะไรมาเลยเหรอ ” ผมถามคนที่เดินมานั่งบนโซฟาพร้อมกับถอนหายใจหน่ายๆ คล้ายกับเหนื่อยเสียมากมายกับการมีชีวิต

“ ไม่ใช่เด็กแล้วมั้ยอะเมี่ยงคำ กูใช้ของมึงก็ได้ ”

“ เตใส่กางเกงใส่แล้วของเมี่ยงได้เหรอ ” ผมถามเสียงอ่อน “ เมี่ยงไม่ได้ซักเลยอะ ที่ใส่อยู่ก็ตัวสุดท้ายนะ ”

“ กูไม่ใส่ก็ได้ไอ้สัด ”

“ ต๊าย ว้าวซ่าส์มากนะหล่อน จะไม่โอบอุ้มน้องเลยเหรอ” บอกมันแบบนั้นก่อนจะเดินมานั่งลงบนโซฟาคนละฝั่งกับอีกฝ่าย

“ นี่มึงไม่ปล่อยให้มันเป็นอิสระบ้างเลยเหรอ ”

“ ก็ให้โลดเล่นได้ในตอนกลางคืน ”

“ แล้วก็ทำมาเป็นพูด ” อีกคนว่าพลางถอนหายใจ

“ แล้วยังไง ที่มึงกลับมานี่เพราะแค่ปิดเทอมแค่นั้นเหรอ ไหนใครบอกกูว่า ว่าถ้าปิดเทอมก็จะอยู่ไปเที่ยวคุ้ม ไม่กลับมา ”

“ ก็พอไปอยู่มันไม่ได้สนุกอย่างที่กูดูในซีรี่ส์นี่ไอ้ห่า ” อีกฝ่ายว่า “ กูก็มีเพื่อน แต่มันก็ไม่ได้ดั่งใจกูเท่าไหร่ คือมันก็โอเค แต่ไม่ใช่เพื่อนแบบมึงอะ ที่แบบ สบายใจ ไปเที่ยวด้วยได้ ”

“ กูก็บอกอยู่ว่าอย่างอินความเป็นเพื่อนซีรี่ส์เยอะเกินไป  เพราะบางทีภาพฝัน ก็แต่โคตรแตกต่างกับความจริง ”

“ อื้ม” 

“ แต่มึงไม่ได้โดนแกล้งใช่มั้ย ”

“ ไม่อะ ” เตมันส่ายหน้า “ แต่มึง กูแค่รู้สึกไม่ได้เอ็นจอยกับชีวิตขนาดที่คิด พอกลับมาแค่เกริ่นกับแม่กับพ่อว่าจะขอกลับมาเรียนไทยได้มั้ย เค้าก็ด่ากุใหญ่เหมือนกูไม่ใช่ลูก ลากไปหมด ทั้งเรื่องความอดทน ทั้งสอนกูมาผิดๆ ตามใจเกินไป สารพัด จนออกไปถึงเรื่อง กูคิดอะไรเป็นเด็กๆ เค้าเสียเงินไปตั้งเยอะ ทำไมมาเปลี่ยนใจ ”

“ ก็จริงของเค้า ” ผมว่า

“ ไม่เข้าข้างกูหน่อยอะ ”

“ มึงก็ลองอดทนหน่อย มันไม่ใช่มึงไม่มีเพื่อนเลยใช่มั้ยละ เรื่องแบบนี้บางทีมันก็อาจจะต้องใช้เวลา ต้องปรับเข้าหา แล้วอีกฝ่ายวัยรุ่นฝรั่งไม่ได้ซีเรียสอะไรขนาดนั้นไม่ใช่เหรอวะ เพราะงั้นมึงก็อย่าไปยึดติดว่ามึงจะได้เพื่อนสนิทมากๆ แบบกู ก็สนุกกับชีวิต จอยให้มันได้ทุกอย่าง ไม่ดีกว่าเหรอหน้าเหี้ย เดี๋ยวก็เสนิทกันเองแหละ ”

“ มึงพูดเหมือนแม่กูเลย ”

“ ก็นะ ” ผมยักไหล่

เต ที่ผมรู้จักไม่เคยเปลี่ยนไปเลย มันยังคงเป็นแบบนั้น เป็นคนที่ชอบวาดฝัน แล้วพอไม่ได้ดั่งใจก็งอแง  แถมยังมั่นใจในความคิดของตัวเอง และต่อให้เห็นด้วยยังไงกับความคิดผม มันก็ยังดื้อเถียงเพื่อความคิดของตัวเอง ส่วนคำเตือน ทำจะตามไม่ทำตาม ก็แล้วแต่อารมณ์ในช่วงเวลานั้นอีกที

อย่างเรื่องไปเรียนเมืองนอก ผมบอกมันแล้วว่าไม่น่าจะใช่ไลฟ์สไตส์มัน แต่มันก็ยังจะไป แล้วสุดท้าย ก็ตามที่เห็น

“ เอาเถอะไอ้สัด กูรู้ว่ามึงมีคำตอบอยู่แล้ว ว่าจะกลับไปเรียนต่อ หรือว่าเปลี่ยนที่เรียนจริงมั้ย แล้วต่อให้เป็นยังไง พ่อแม่ขัดมึงไม่ได้หรอก ไอ้ลูกเหี้ย ”

“ เนี้ย สมเป็นที่รักของกู ” ชี้นิ้วเข้ามาหากัน ก่อนจะกระพริบตาให้กัน

“ คนอย่างมึงห้ามไป มึงก็ไม่ฟังหรอกไอ้สัด ”

“ กูนะ อยากมีเพื่อนที่มันสนิทๆแบบมึงมี กับไอ้เจ้ย แล้วก็ใครอีกคนนะ ตัวสูงๆ ”

“ ไอ้เบส ”

“ เออ ดูสนิทกันดี ” อีกฝ่ายว่าแบบนั้นก่อนถอนหายใจ

“ ภาพลวงตาทั้งนั้นอะสัด ” ผมตอบอีกคนก็ขมวดคิ้ว

“ ไม่ได้สนิทกันหรอกเหรอวะ ”

“ สนิท แต่ว่ามันก็มาพร้อมกับเรื่องเหี้ยๆ คือมึงเห็นไอ้ดีนใช่มั้ย ” เตพยักหน้ารับ “ ไอ้สัดนั่นเป็นเป็นอริกับไอ้เชี้ยเบส ซึ่งแม่งทะเลาะกันทุกครั้งที่เห็นหน้า แล้วกูก็คือถูกรวมพวกเข้าไปด้วย เพราะว่าอยู่กลุ่มเดียวกัน ก็เลยกลายเป็นว่า กูก็ต้องไปเป็นอริกับมันด้วย ซึ่งกูไม่ได้มีส่วนร่วมเหี้ยอะไร หรือเกี่ยวพันกับพวกมันเลย ”

“ ไอ้สัด ” คนฟังหัวเราะ “ แล้วไอ้คนที่มองเรา คนที่ตาดุๆ เหมือนจะเข้ามาฆ่ากูคนนั้น ก็คือที่มันมองมึง  ก็เพราะมันเองก็เป็นอริกับมึงใช่มั้ย ”

“ คนนั้นเค้า..” ผมเว้นช่วงไปในตอนที่พูด จะบอกว่า เพราะเค้าชอบกู ก็เลยหึง แต่ครั้นว่าดูจะมั่นใจเกินไปหน่อย “ จะพูดยังไงดีวะ  กูกับมันแบบว่า กิ๊กๆกันอยู่ มั้ง ”

“ ห๊ะ! ” ไม่เคยเห็นสภาพอ้าปากค้างแบบไปไม่เป็นของคนตรงหน้ามานานแล้ว ผมที่ได้แต่ยิ้มแห้งนั้น ไอ้เตมันก็ยิ้ม “ กูถามจริงนะ ไม่ตอแหลนะ ”

“ เออ แต่คือเรื่องมันยาว ”

“ เอาแบบย่อ ”

“ ไอ้สัด ” ผมสบถแต่ถึงอย่างงั้นก็ยอมมันแต่โดยดี “ มันชื่อไอ้อาร์ม มันเป็นเพื่อนกับไอ้ดีน แต่เสือกมาอยู่ข้างห้องกู แล้วก็เสือกรู้ความลับของกู ”

“ ความลับของมึง ความลับที่มึงชอบนอนไม่ใส่กางเกงใน แถมตอนอนุบาลหนึ่งก็เคยฉี่รดที่นอน ”

“ K ความลับที่ว่า คือ จริงๆแล้ว นาเดียสาวที่ทำให้ไอ้ดีนกับไอ้เบสเป็นอริกันมาจนถึงทุกวันนี้ ก็คือนาเดียแฟนกู ”

“ คือนาเดียทิ้งไอ้สองตัวนั้นมาเอามึง ”

“ เออ ”

“ แล้วมึงผิดยังไง ก็มึงหล่ออะไอ้สัด สาวไม่เอามัน มันจะมาโกรธมึงก็ไม่ถูกเปล่าวะ หน้าตาไม่ดีเอง มาโทษคนหน้าดี คือได้เหรอ ”

“ ก็ไมได้หรอก แต่เอาเถอะไอ้สัด สาเหตุที่มันโกรธแค้นเรื่องมันมีรายละเอียดกว่านั้นมาก เอาเป็นว่าไอ้สัดอาร์มรู้เรื่องนี้ของกู แล้วมันก็เอามาขู่กูในตอนแรก แล้วกูก็เลยทำทีเป็นจีบมันภายใต้ความคิด ถ้ามันชอบกู มันก็ต้องช่วยกูปกปิดความผิด  และรักษาความลับ ” เตยกมือขึ้นห้ามผมในตอนที่กำลังจะพูดต่อ

“ แล้วสุดท้าย มึงก็เสือกหลงรักมันซะเอง จบ ”

“ ไม่จบ เพราะตอนสารภาพรัก แบบที่คิดว่ามันก้คงชอบกูแหละ ไอ้สัดนั่นดันบอกกูว่า มันก็ชอบกูแหละนะ แต่มันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว แล้วก็กำลังจะเลิกชอบ ”

“ แล้ว ? ”

“ กูเลยบอกให้มันไปเลิกชอบคนนั้นก่อนแล้วค่อยมาจีบกู แต่ก็นั่นแหละ ตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันลืมคนที่ชอบไปได้แล้วเท่าไหร่ ”

“ แล้วถ้ามันลืม มึงกับมันจะรักกันเหรอ เป็นอริกันนี่ ”

“ ก็นะ..”

บอกเลยว่ายังไม่ได้คิดอะไรไปถึงขั้นนั้นเท่าไหร่ ว่าถ้าอาร์มลืมคนที่ชอบได้จริงๆ เราจะแสดงความรักกันแบบเปิดเผยได้มั้ย ถ้าในเมื่อดีนเองก็เป็นเพื่อนรักของอาร์ม ผมเองก็มีความสุขกับการมีเพื่อนกลุ่มนี้ แบบที่ก็ไมได้อยากจะเลิกคบ ทิศทางหลังจากนั้นจะเป็นยังไง ผมไม่รู้สักอย่าง ก็เลยวางมันไว้ก่อน เหมือนว่า ก็ค่อยคิดแล้วกัน

“ แล้วมึงอยากรู้มั้ยละ ว่ามันชอบมึงมากแค่ไหน แบบว่า หมดรักคนเก่ายัง ”

“ ก็อยากรู้สิไอ้สัด แต่มันก็ไม่มีอะไรมาวัดเปล่าวะ ”

“ แต่มีตัวกระตุ้นนะ ” เตมันว่ายิ้มๆ “ ก็ถ้ามันเห็นกูกับมึง จนหึงแบบออกนอกหน้านอกตาจนไม่สนใจเพื่อนมัน ทั้งๆที่ก็รู้ว่ากลุ่มมันกลุ่มมึงไม่ถูกกัน แบบนั้นก็แสดงว่ามันต้องชอบมึงมากเลยนะ ถึงขั้นกับไม่แคร์อะไรแล้ว แม้แต่ความสัมพันธ์ทุกอย่าง จริงมั้ย ”

“ นั่นก็จริง ” ผมตอบเสียงเบา “ แต่ว่า แม่ง ไร้สาระเกินไปเปล่าวะ ทำไมกูต้องทำอะไรแบบนี้ด้วยอะไอ้สัด  เหมือนแบบว่ากูอยากได้มันมาเป็นแฟนจนตัวสั่นไปหมดแล้ว ”

“ แล้วที่มึงนั่งรอมันไปเรื่อยๆ มึงมีความสุขเหรอ แล้วมึงคิดว่า มึงจะมั่นใจได้เหรอกับคำพูดที่มันเดินมาบอกมึงว่า เมี่ยงกูเลิกชอบคนที่ชอบชอบได้หมดใจแล้วนะ แค่เค้าบอกจะเชื่อเค้าเลย ”

“ ก็จริง แต่กูแค่คิดไม่ออกว่า ถ้ากูเห็นว่ามันมูฟออนจากคนที่ชอบได้จริงๆ แล้วกูกับมันจะเอายังไงต่อ จะคบกันเหรอวะ แล้วเพื่อนอีกอะ ”

“ พอมันถึงตอนนั้นมึงกับมันค่อยช่วยกันคิดยังได้ ” เตมันว่า “ แต่ตอนนี้สิ่งมึงควรรู้ตัวก่อนว่า มันมูฟออนไปถึงไหนแล้ว หรือว่าจริงๆ เห็นมึงเป็นแค่ขอนไม้ที่ลอยมากับน้ำตอนเรือมันล่ม ที่พอเรือมันพลิกกลับมาได้ มันก็เทขอนไม้อย่างมึงแล้วกลับขึ้นเรือไปเหมือนเดิม แบบนั้นน่ะ มึงก็เสียเวลา เสียความรู้สึกนะ สมมุติรอมาเป็นปีแล้วเงี้ย  ”

“ คือมึงดูกระตือรือร้นมากเลยนะไอ้สัด ทำไมอะเต มึงอยากเป็นผัวจำลองของกูขนาดนั้นเลยอะ ”

“ บ้า ” พูดออกมาด้วยท่าทางปฎิเสธ “ อยากเป็นเมีย ”

“ ไอ้สัด ”

“ ว่าแต่คนที่มันชอบคือใครวะ มึงรู้มั้ย ” เตพิงตัวเองกับโซฟาในตอนที่ถาม “ เพราะถ้าเรารู้ว่ามันชอบใครอยู่ แล้วถ้าเราเห็นว่ามันไม่แคร์คนคนนั้นแล้ว มันก็ยิ่งมั่นใจได้เลยนะ ว่ามันก็คงไม่รักเค้าแล้วจริงๆ ”

“ กูไม่เคยถามเลยว่ะ ” ก็รู้แค่ว่ามีคนที่ชอบอยู่แล้ว และคนคนนั้นก็ไม่ใช่ผม แต่แค่นั้นมันก็เจ็บมากพออยู่แล้วเปล่าวะ ไม่จำเป็นต้องถามเลยว่าใคร เพราะสุดท้าย ยังไงผมก็เจ็บเหมือนเดิมอยู่ดี

“ ไม่ใช่ว่าคนที่มันชอบคือ เพื่อนมันนะ คนที่ชื่อ ดีนอะ ”

“ ตลก ” ส่ายหน้าไปมาอีกคน ในตอนนั้น ผมคิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้หรอกอยู่ในสมอง “ แล้วถ้าเป็นดีนจริง คือกูควรพักนะ ไอ้เหี้ยนั่นสนิทกันขนาดนั้น กูคงเข้าไปแทรกไม่ได้หรอก ไม่ต้องหวังเลยว่ามันจะลืม ”

“ ทำไมวะ ”

“ ก็มันสนิทกันมาก ประมานว่าตายแทนกันได้ ”

“ ไม่เกี่ยวหรอกไอ้สัด ความรู้สึกของหัวใจเป็นสิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงได้เสมอ ”

“ ก็จริง ” นั่นก็ไม่เถียงหรอก

“ ว่าแต่นะ แผนของเราคือยังไง ” คนตรงหน้าดึงตัวเองเข้ามาถาม

“ เอาธรรมดาก็พอนะไอ้สัด ไม่ต้องเอาแบบวันนี้ ถือซะว่าสงสารกู อายเค้า ”

“ งั้นเอาแบบเพื่อนชอบเพื่อนดีมั้ย ” เท้าคางมองกันยิ้มๆ ก่อนจะยักคิ้วให้ “ เพราะกูน่าจะทำได้อย่างสมบทบาทนะ ”

“ บ้า คิดอะไรกับกูเปล่าวะ ” ยกมือขึ้นป้องปาก อีกคนก็ยกยิ้ม

“ โทษนะไอ้สัด จะอ้วก ” เสียงหัวเราะดังลั่นของเราในตอนนั้น ผมรู้สึกว่าลึกๆ มันก็เป็นอย่างงั้นนั่นแหละ แต่ก็แค่ เตไม่เคยพูดมันออกมาเลยสักครั้ง ว่ารู้สึกยังไงต่อกัน ซึ่งสำหรับผม นั่นก็ดีแล้ว

เพราะการปฎิเสธที่อาจจะต้องเสียเพื่อนสนิทแบบมันไป
ก็เป็นอะไรที่ทำใจยากเหลือเกิน

............................................................

ในที่สุด ก็มาตรงเวลาจนได้ หลังจากที่ไม่ตรงมาหลายอาทิตย์
ตอนหน้าจะเจาะลึกความรู้สึกของพี่อาร์มมากกว่านี้
เจอกันตอนหน้าค่ะ
#นายท่านของแก้มหอม 

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ผัวจำลอง คือไรอ่ะ แบบเดียวกับ ผัวสำรองอ่ะป่าว  :hao4:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ผัวจำลอง คือไรอ่ะ แบบเดียวกับ ผัวสำรองอ่ะป่าว  :hao4:

ผัวจำลองคือไม่เอากัน แต่ผัวสำรองเอากันได้ ถ้าผัวจำลองเอากันเมื่อไหร่ก็จะกลายมาเป็นผัวสำรอง 5555555555555

ว่าแต่ เมี่ยงพูดเอาฮาป่ะ "...แล้วถ้าเป็นดีนจริง คือกูควรพักนะ" นี่อยากจะเห็นหน้าเลยวันรู้ความจริง ไม่ใจนี่ว๊า 555555 แล้วก็คิดถูกแล้วนี่ว่าอยากจะได้เขามาเป็นแฟนมากๆ แหมมเพื่อนหยอกเหมือนแต่ก่อนสมัยเด็ก แต่พอเห็นเขาจ้องเท่านั่นละ ลนลานทันทีรู้สึกผิดไปอีก ถถถถ คำเมี่ยงเจ้าทาสนายท่าน 5555 เพื่อนๆก็เตือนสติดีนะ พูดมาก็โอเลย มันก็นะเรื่องของหัวใจไม่เข้าใครออกใคร ว่ากันต่อไปยาวๆในตอนหน้า รออ่านค่าาา สนุกดี ขอบคุณนะคะที่แต่งมาอัพต่อ  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
เฟรนด์โซนอีก1

ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1090
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
เรื่องนี้มี่แต่เฟรนด์โซน แอบสงสารเหมือนกันนะเนี่ย
พูดไม่ออก แต่ก็เหมือนรู้ๆแก่ใจกันอยู่
ขอให้ก้าวข้ามปัญหานี้ไปได้กันทั้งหมดก็แล้วกัน

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
 
ตอนที่ 22


ความรู้สึกนี้ ช่างเป็นอะไรที่ น่าอึดอัด  มันคล้ายกับว่ามีลมก้อนใหญ่ถูกดันขึ้นมาแล้วค้างนิ่งอยู่อย่างงั้น ผมหายใจไม่ออกไปชั่วขณะ และไร้ทางออกขึ้นมาอย่างฉับพลัน กับภาพตรงหน้าที่เห็น และแม้แต่รอยยิ้มก็ยังละลายให้ไป

“ อะไรวะนั่น ” แม้แต่ไอ้โฮมยังพูดออกมา

ผู้ชายร่างสูงคนนั้นวิ่งตรงเข้ามากอดเมี่ยง ผมสีทองของเจ้าตัวบ่งบอกถึงความแนบชิดในวินาทีที่กอดแบบที่แทบจะรวมร่างเป็นคนคนเดียวกัน ท่าทางที่ฉุดดึงให้ผมลุกจากเก้าอี้ตัวที่นั่ง มันเป็นทั้งความอยากรู้ในบทสนทนาและความสัมพันธ์แบบที่ห้ามใจไว้ไม่อยู่ แต่ก็เป็นคนข้างๆที่ดึงแขนรั้งกันไว้

“ มานู้นแล้ว..” เชิดหน้าไปที่ทางเข้า ผมก็มองตาม คนคุ้นตาเดินเข้ามาในโรงอาหาร ปะปนมากับคนอื่นที่ไม่รู้จักแล้วนั่นก็คือ ดีน ที่ก็หยุดทักพวกมันทันทีในตอนที่เห็นตามประสาอริที่ก็เห็นอะไรขัดตาไม่ได้

“ อะไรกันวะ เดี๋ยวนี้คนเราสามารถพลอดรักกันได้แบบไม่อายฟ้าอายดินขนาดนี้แล้วเหรอ ”  แต่ในตอนนั้น เมี่ยงมันก็ยกยิ้มกลับไป พร้อมกับตอบกลับตามประสาอย่างคนที่ไม่ยอมใคร

“ ทำไมคนเราแม่งขี้เสือกจังวะ ” ใบหน้าน่ารักนั่นหันไปถามเจ้ยในตอนที่พูด แต่เหมือนคนที่เริ่มก่อนก็แค่มองกลับยิ้มๆ แบบที่ไมได้พูดอะไร ดีนเดินมานั่งลงตรงหน้าผมที่ตอนนั้น ก็เผลอสบเข้าสายตาเรียวที่มองตามมาพอดี

วินาทีแห่งความเงียบเชียบนั้นเกิดขึ้น หัวใจของผมรู้สึกเช่นนั้นอย่างไม่ปิดบัง ความสั่นไหวในแววตา ร่างขาวค่อนๆดึงตัวเองออกห่างไปจากใครคนนั้นที่กำลังกอดรัดตัวเองอยู่ แม้ว่าอีกฝ่ายจะดูงงๆ และเหมือนจะเอ่ยถามถึงความแปลกไปนั้น แต่เมี่ยงก็เหมือนจะแค่บอกปัดปฎิเสธ

“ เป็นอะไรไปวะ นั่งนิ่งไม่ทักทายกันเลย ” คนที่อยู่ตรงหน้าเอ่ยทักผม ดีนโบกมือไปมาตรงหน้ายิ้มๆ “ ฮัลโหล กู๊ดมอนิ่งจ้า เพื่อนอาร์ม มายฮันนี่ ดาร์ลิ่ง จุ๊บๆ ”

“ เออ ” ผมบอกปัดอีกฝ่ายก็ยกยิ้ม

“ หงุดหงิดอะไรตั้งแต่เช้าขนาดนั้น ” อีกฝ่ายว่าก่อนจะลุกขึ้น “ กูไปหาอะไรกินหน่อยนะ ”

“ อื้ม ” กลายเป็นไอ้โฮมที่ตอบแทนผม แต่เหมือนจะไม่ใช่คำตอบอีกคนต้องการสักเท่าไหร่ ดีนเลยยังจ้องมองกันอยู่สักพัก จนมันหันมองไปทางเมี่ยงที่ผมมองอยู่ จนผมต้องดึงสายตาขึ้นมองมัน

“ มีอะไร ”

“ มึงอะมีอะไร สนใจอะไรไอ้สัดนั่นขนาดนั้นวะ ” หันไปมองกลุ่มอริของตัวเองในตอนที่พูดอย่างงั้น ดีนแค่นยิ้ม ก่อนจะค่อยๆหุบมันลงในตอนที่ผมตอบกลับ

“ ก็แค่สนใจ ” สายตาเล็กคู่นั้นหันหลับมามองผมอย่างไม่เข้าใจ

“ แต่กูก็สนใจนะ ” โฮมมันพูดเสริมแบบยิ้มๆ “ อยากรู้ว่าไอ้สัดนั่นเป็นใคร มึงต้องเห็นตอนที่มันวิ่งเข้ามาพุ่งใส่ไอ้สัดเมี่ยง เหมือนแม่งจะรักกันมาก ”

“ ก็ผัวไง คิดมากเหี้ยอะไรวะ ” ดีนว่า “ ดูจากดาวอังคารยังรู้เลย แล้วเดี๋ยวคอยดู กูจะคอยมองน้ำหน้าไอ้สัดเบส ชอบล้อกูนักเรื่องเป็นแฟนไอ้สัดอาร์ม ”

“ แล้วมึงแคร์เหรอ ” คนข้างผมถาม พร้อมกับยกแก้วน้ำตรงหน้าขึ้นมาดื่ม “ เรื่องไม่จริงจะแคร์ทำไมนักวะ พวกมึงไม่ได้เป็นอย่างงั้นสักหน่อย ” ดีนหันมองโฮมที่ก็เท้าคางมองกันแบบยิ้มๆ

“ มึงไปหาอะไรกินเถอะไป ” บอกปัดเชิงไล่อีกคน ที่ก็เดินออกไปด้วยอารมณ์หงุดหงิดอยู่ไม่น้อย  ผมหันไปมองเหลือบไอ้โฮมที่ก็ยักไหล่ให้กัน

“ กูไม่ได้พูดอะไรผิดนะ จริงมั้ย ”

“ กวนตีน ” พูดแบบนั้นยิ้มๆ ก่อนเสียงนึงที่ดังลั่นจะชวนให้หันไปมอง คนที่มาใหม่ตรงโต๊ะของเมี่ยงนั้นยืนขึ้น มันที่ก้มหน้าลงทักไอ้เจ้ยด้วยเสียงดัง ไม่ต่างกับเด็กประถมมาใหม่ที่ต้องยืนแนะนำตัวกับเพื่อนร่วมชั้น

“ ผมชื่อ เต เตชิน ยินดีที่ได้รู้จักครับ แล้วก็ขอขอบคุณที่ดูแลน้องเมี่ยงคำของผมเป็นอย่างดี โอ๊ย!!
“ เสียงร้องเจ็บผสานมากับเสียงหัวเราะลั่นอย่างถูกใจ เมี่ยงยกเท้าถีบคนนั้นก่อนจะยกมือขึ้นปิดหน้าด้วยความอายแต่ถึงอย่างงั้น ผมก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มอยู่

“ ส่งข้อความไปถามไอ้เจ้ยดีมั้ยวะ ” ผมพูดขึ้นเสียงเบา มือถือที่อยู่ตรงหน้าก็ไวยิ่งกว่าอะไร มันถูกดึงขึ้นมาจากโต๊ะ นิ้วที่กำลังจะกดเข้าโปรแกรมแต่วินาทีนั้นไอ้โฮมก็แค่ยิ้ม

“ อยากรู้มันก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคำตอบมันจะทำให้มึงรู้สึกดีนะ ” ผ่อนลมหายใจออกมา นิ้วมือเองก็เหมือนจะหยุดชะงักไปด้วยเช่นกัน “ แต่ว่ามันก็ไม่แปลกนะ ถ้าไอ้เตคนนั้นจะเป็นแฟน หรือว่าแฟนเก่าของเมี่ยง เค้าก็มีสิทธิเต็มที่ที่จะแสดงความรักกัน แล้วมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับมึงด้วย เพราะมึงก็ไม่ได้เป็นอะไรกับเค้าไม่ใช่เหรอ ”

“ คือมึงคิดว่า พอพูดจบแล้ว กูก็คือตายไปได้เลยใข่มั้ยไอ้สัด ” เสียงหัวเราะลั่นถูกใจของคนนั่งข้างกัน ผมไม่เคยเห็นไอ้โฮมหัวเราะถูกใจขนาดนี้มาก่อน  มันจับไหล่ผมไว้แน่นแล้วหัวเราะออกมาแบบเอาเป็นเอาตาย ก่อนจะถอนหายใจแล้วเช็ดน้ำตาที่ไหลออกจากหางตา

“ แล้วไม่ดีเหรอ มึงจะได้ตัดใจจากคนที่มันไม่รักมึงสักทีไง ”

ก็ไม่ได้ตอบคำถามอะไรเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างกัน ผมแค่มองตรงไปข้างหน้าอย่างไม่อยากจะผละสายตาไปไหนอีก เป็นความรู้สึกหวงแหน ที่อยากจะลุกขึ้นไป แล้วจัดการดึงอีกคนออกจากการกอดรัดที่แสนสนิทสนมนั้น ผมอยากจะตะโกนถามออกไปให้เสียงดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

‘ เป็นะไรกัน ’ ‘ทำไมมานั่งกอดกันอยู่แบบนี้’ ‘ ถอยห่างออกไปได้มั้ย’ ‘ อย่ามากอดเมี่ยงอย่างงั้นนะไอ้สัด ’ แต่คำพวกนั้นก็ถูกกลืนเข้าไปในความรู้สึกอย่างไม่สามารถพูดออกไปได้ ก็อย่างที่ไอ้โฮมพูด

 ไม่ได้เป็นอะไรกัน อีกคนจะมีความสัมพันธ์กับใคร ก็ไม่ใช่สิทธิ์ที่ผมต้องรู้

 “ จะจ้องเกินไปแล้วไอ้สัด ” โฮมกระซิบแต่ผมกลับไม่ได้ผละสายตาไปไหน ยังคงจดจ้องคนตรงหน้าอยู่แบบนั้นอย่างรู้สึกหัวใจมันอัดแน่นไปทั้งหมดกับความรู้สึกเดิมๆที่ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่สามารถคิดได้แบบที่ควรคิด

แล้วแน่นอนว่าถ้านั่งอยู่ตรงนี้ต่อไป มันต้องมีสักวินาทีที่ผมทนไม่ไหว แล้วเดินออกไปถามอีกฝ่ายให้รู้เรื่องแน่นอน

“ จะไปไหนวะ ” ดีนที่เดินเข้ามานั่งอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เอ่ยถามกัน มันเคี้ยวข้าวในจานพลางมองผมสลับกับไอ้โฮมที่ก็เงยหน้ามองกันอยู่ ด้วยสายตาที่อยากจะห้ามปรามแต่ถึงอย่างงั้น มันเองก็คงเดาไม่ออกว่าผมจะทำอะไร

“ สัดอาร์ม ” เสียงเรียกที่เบาหวิวนั้นไร้ความน่าสนใจ ผมเดินออกไปจากโต๊ะ จากภาพพวกนั้นที่มันกำลังทิ่มแทง

ผมเกลียดความไม่รู้ แต่ไม่มีสิทธิ์ถาม ผมเกลียดความต้องการที่อยากจะแสดงออก แต่กลับทำมันไม่ได้ทำ เพราะผมรักใครสักคนอยู่ จนอยากจะกระชากมันออกไปให้มันพ้นๆ ผมเกลียดทุกอย่างที่มันกำลังทำให้ผมอึดอัดใจอยู่ตรงนี้

เกลียด ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องที่อยากทำมากที่สุด แต่สุดท้าย กลับทำอะไรมันไม่ได้เลย และต้องจำยอมมันไปทั้งอย่างงั้น

............................................................

ควันสีขาวลอยฟุ้งอยู่เหนือตัว ภายในซอกตึกที่ทางมหาลัยจัดไว้ให้สำหรับสูบหรี่ ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวที่ว่าง แบบที่ไม่มีใครเข้ามาวุ่นวาย เช้าๆแบบนี้ส่วนใหญ่จะยังไม่ค่อยมีคนเข้ามาสูบเท่าไหร่ ขี้บุหรี่จากส่วนปลายผมเคาะออกพลางมองไปยังปากทางเข้า แล้วตอนนั้นก็เหมือนจะเผลอคิดถึงช่วงเวลานึงนั้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

เท่าที่จำได้มันช่วงเวลาที่ก็เช้าแบบนี้เหมือนกัน เมี่ยงที่เดินเข้ามาคุยกับผมในวันนั้น จำได้ว่าแค่เสี้ยววินาทีที่เห็นหน้ามัน ก็มองออกแล้วว่าคนที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางที่เหมือนจะเก่งนั้น ไม่ได้เก่งอย่างที่คิด ปากที่พูดเหมือนไม่กลัว แต่ก็ตัวสั่นไปหมด ไม่ต่างอะไรกับลูกแมวที่ขู่ฟ่อแต่กลับเดินถอยหลัง

อย่างที่ไม่รู้เลยว่า วันนึงลูกแมวตัวนั้นที่ผมเคยคิดว่า มันจะจัดการได้ง่ายๆ นั้น
จะข่วนกันเจ็บได้ขนาดนี้ในวันนี้

“ มานั่งทำมิวสิคอะไรอยู่ตรงนี้ไอ้สัด ขึ้นเรียน ” ดีนที่เดินเข้ามาหากัน มันเชิดหน้าไปที่ตึก ผมก็พยักหน้ารับ

“ ไปก่อน ” บอกปัดมันสั้นๆ พร้อมกับยกบุหรี่ในมือที่ถืออยู่เพื่อบอกให้รู้ว่า ขอหมดมวนนี้ก่อนแล้วถึงจะไป แต่ดีนก็เหมือนจะไม่ยอมให้มันเป็นอย่างงั้น อีกคนเดินเข้ามาใกล้กัน ก่อนจะดึงบุหรี่มวนนั้นออกจากมือผม มันยกขึ้นมาสูบ

“ กูช่วย ”

“ ไม่ใช่เรื่องเลยไอ้สัด ” ว่าแบบนั้นก่อนจะดึงบุหรี่มวนนั้นจากมือของอีกคนมาดับไฟบนดินใต้โคนต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ แล้วทิ้งมันลงไปในขยะแถวนั้น ดีนดูอึ้งไปเล็กน้อย เพราะปกติผมจะสูบต่อ แต่ตอนนั้นอีกคนก็แค่ยิ้ม แบบที่ไม่ถามอะไร

“ คราวนี้หมดแล้ว ก็ไปได้แล้วเนอะ ”

“ ยุ่งจังไอ้สัด ” อดว่ามันไม่ได้แต่เหมือนอีกฝ่ายจะแค่เบิกตาแล้วทำทีเป็นเล่นอย่างทุกทีก็เท่านั้น

“ แล้วมึงอะเป็นเหี้ยอะไร ทำไมกูจะสนใจไม่ได้ไอ้สัด ขนาดมึงยังสนใจไอ้เมี่ยงได้เลย ทั้งๆที่ไม่ควรสนใจด้วยซ้ำ ” เหลือบมองคนที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาแบบนั้น ผมทำทีเป็นเอียงหน้าถาม

“ ทำไม หึงกูเหรอ ” คราวนี้กลายเป็นดีนที่นิ่งไป ในแววตาที่ดูเหมือนจะตกใจนั้นผมยิ้ม ก่อนจะเดินออกมาจากโซนสูบหรี่ “ แต่จะว่าไป ” ผมหันไปมองดีนอีกครั้งในตอนที่เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ “ บางทีเรื่องเหี้ยๆ ที่เกิดขึ้น มันอาจจะดีก็ได้นะ ”

“ อะไร เรื่องเหี้ยอะไรอีก ”

“ เปล่า ” ผมส่ายหน้า เพราะไม่ว่ายังไงก็พูดความจริงออกไปไม่ได้อยู่แล้ว ทั้งเรื่องที่ว่า มันก็ดีที่มีใครสักคนเข้ามาอยู่ข้างๆเมี่ยง ถึงผมจะรู้สึกเหี้ยขนาดนี้ แต่มันก็ทำให้ได้รู้ว่า ดีนในตอนนี้แทบไม่ได้อยู่ในสายตาของผมแล้ว มันที่ไร้ตัวตนลงเรื่อยๆ อย่างไม่เคยรู้ตัวเลยว่า หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ “ ไปเรียนเถอะ เดี๋ยวสาย ”

“ พูดเหี้ยอะไรไม่เคยเข้าใจ แล้วอยู่ๆก็ตัดจบ แบบที่กูก็ยังไม่ทันเข้าใจเหี้ยอะไรเลยนี่แหละ ”

“ ไว้สักวันมึงก็คงเข้าใจเองนั่นแหละ ” บอกแบบนั้นก่อนจะยักคิ้ว แล้วเดินนำอีกคนขึ้นตึกไป


บรรยากาศในห้องเรียนค่อนข้างเงียบ วิชาปฎิบัติการของภาควิชาออกแบบกราฟฟิค หนึ่งในวิชาที่ผมชอบมากที่สุด แม้จะเหนื่อยกับการแบกอุปกรณ์ทางการเรียนเล็กน้อย เพราะชอบที่จะยกโน็ตบุ๊คของตัวเองมาเรียนมากกว่าจะพึ่งคอมพิมเตอร์ของมหาลัยเพราะรู้สึกว่าชินมือมากกว่า แถมยังหาอะไรได้คล่องแบบที่มีทั้งหมดที่ต้องการ

“ น่ารัก ” คนที่นั่งข้างกันอย่างไอ้โฮมเอ่ยทัก มันทักทุกครั้งที่เห็นภาพหน้าจอของผม ภาพแก้มหอมที่อยู่บนนั้น นอนเหยียดยาวมองกล้องแบบที่ชวนให้ยิ้มทุกครั้งที่เห็น แววตากลมแสนขี้อ้อนนั้น ผมอดไมได้เลยที่จะเอื้อมมือไปเขี่ยจมูกสีชมพูนั่นเบาๆ ก่อนจะหันไปถามเพื่อนที่นั่งข้างกัน

“ มึงว่า ไอ้เมี่ยงเหมือนแก้มหอมปะ ” เอยถามอีกคนเสียงเบา โฮมมันก็ส่ายหน้า
 
“ เหมือนแก้มก้อนมากกว่า ”

“ ไอ้สัด ” สบถใส่อีกฝ่ายก่อนจะถอนหายใจออกมาในตอนที่หน้าจอเด้งบ็อปอัพหน้าจอขอโปรแกรมแชทขึ้นมา ความรู้สึกหงุดหงิดเหมือนถูกปลุกอีกครั้ง ไม่ว่ายังไงผมก็ยังอยากถาม ต่อให้รู้ว่าไม่ควรถามยังไง นั่นก็ยังอยากจะถามอยู่ดี

“ ปิดไลน์มึงลงเถอะ ” โฮมมันดึงตัวเข้ามาใกล้ก่อนจะพูดเสียงเบาๆ “ ไอ้ดีนนั่งอยู่ข้างหลัง เดี๋ยวก็โป๊ะแตกเรื่องไอ้แก้มก้อนหรอก ”

“ แต่กูอยากจะส่งข้อความไปถามมันวะ ” ว่าแบบนั้นมือก็กดปิดหน้าจอของโปรแกรมนั้นลง

“ เรื่องไอ้เตน่ะเหรอ ”

“ อื้ม ” ยักคิ้วให้อีกคน ก่อนจะหันไปยกยิ้มให้ ผมพิงตัวเองลงกับเก้าอี้ที่นั่ง “ กูแค่อยากจะฟังจากปากมัน อยากมองตา ตอนที่มันตอบ เรื่องของไอ้เหี้ยนั่น ”

“ ถ้าเป็นแฟนเก่า หรือว่า คนที่มันแอบชอบอยู่แล้วก็กำลังจะกลับมาคบกัน ก็คือจะรับได้ใช่มั้ย ”

“ ไอ้สัด ” สถบออกไปแบบนั้น ไอ้โฮมก็ยิ้ม

“ ถ้ามึงอยากจะถามก็แค่ถาม แต่ก็แค่ต้องรับให้ได้ ไม่ว่ามันจะตอบอะไร เหมือนมึงอะ ตอนที่โง่ตอบมันไปว่ามีคนที่ชอบอยู่แล้วแบบที่ คนดีๆมันไม่ตอบอะไอ้สัด ”

“ ย้ำกูเข้าไปไอ้ห่า ” ก้มหน้าลงอย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อกับตราบาปในชีวิต แต่อีกคนกลับไม่เป็นแบบนั้น

“ ถ้ามันตอบมึงตรงคำถามก็ไม่มีอะไรหรอก กูว่าก็ถามได้ แต่ที่กูไม่อยากจะให้ถาม เพราะกลัวมันสวนมึงว่า แล้วมึงจะอยากรู้ไปทำไม เราอยู่ในสถานะอะไรกัน  แล้วพอมึงเงียบ มันก็บอกอีกว่า ไม่ได้เป็นอะไรกันเนอะ มึงเองก็มีคนที่ชอบอยู่ ยังไม่เลิกชอบ เพราะงั้นก็ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก แล้วกลายเป็นว่า สุดท้ายก็พูดไม่ออกกันอีก ”

“ อื้มมมมมมมม ” ลากเสียงยาวพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะพูดอะไรออกมาต่อ ก็จริงอย่างที่อีกคนพูด ถ้าถามแล้วจบก็คือจบไป แต่ถ้าไม่จบก็กลายเป็นว่า ผมจะทำเมี่ยงเสียใจอีก เรื่องที่ยังไม่เลิกชอบดีน

“ เหนื่อยเนอะ ” โฮมมันว่า “ แต่ก็คิดดีๆ ด้วยความหัวใจ ” นิ้วมินิฮาร์ทถูกยกขึ้นมา ทำเอาผมจำใจต้องเบือนหน้าหนี

“ ไว้ก่อนก็ได้ไอ้สัด ”

............................................................

   หน้าห้องพักอาจารย์ประจำภาควิชาที่ผมต้องการจะพบ แต่ทว่ายังมาไม่ถึงมหาลัย ทำให้ผมต้องมายืนรอท่านอยู่ที่ด้านหน้าห้องพักอย่างไม่มีตัวเลือกอื่น เพราะเป็นคนเดียวที่ยังไม่ได้รับหัวข้อรายงานที่หยุดเรียนไปเมื่อวันก่อน มือผมค้ำลงกับระเบียงของตึก ก่อนจะมองไปที่อาคารโรงอาหารชั้นล่างแบบที่ไม่รู้จะทำอะไร

แล้วสุดท้าย สมองก็เหมือนสั่งการให้คิดเรื่องนั้นอีกครั้ง

ภาพทั้งหมดนั้น เหมือนวิดีโอที่ฉายซ้ำอยู่สมอง แล้วตอนนี้ก็ดูเหมือนจะผสมปนเปไปกับคำพูดของไอ้โฮมที่พูดไว้ก่อนเริ่มเรียน เอาเข้าจริงก็ไม่ได้กลัวที่จะถามหรอก แต่กลัวว่าคำถามนั้น สุดท้ายมันจะกลายเป็นความเจ็บปวดของอีกคนมากกว่า

ตอนนี้อะไรๆมันดีขึ้นบ้างแล้ว ก็ไม่อยากจะกลับไปแย่แบบนั้นตอนนั้นอีก
ตอนที่อะไรๆก็ไม่ได้ มีแค่คำสั่งให้ถอยห่างอย่างเดียว แล้วก็ห้ามมายุ่งกันอีก

‘ เอี๊ยด ’ เสียงของรองเท้าเสียดสีกับพื้นอาคารคล้ายกับว่าหยุดเดินลงกระทันหัน ผมหันไปมองเจ้าของเสียงนั้นก่อนจะเบิกตาขึ้นด้วยความตกใจกับคนอยากเจอที่อยู่ๆก็มาให้เจอแบบไม่ทันตั้งตัวตรงหน้า

“ เอ่อ..” เมี่ยงที่มาคนเดียวพูดแบบนั้นด้วยท่าทางประหม่า มือที่ดูเงอะงะนั้น ยกขึ้นทักกันแบบนั้นงุนงง “ ว่าไง มายืนทำอะไรตรงนี้คนเดียว ” พูดแบบนั้นด้วยท่าทางที่เหมือนว่าก็ไม่รู้ว่าจะทักอะไร แต่ก็ต้องทักออกมาอย่างเสียไม่ได้

“ แค่เบื่อๆ ” ตอบออกไปก่อนจะดึงตัวเองเผชิญหน้ากับอีกคน ผมจ้องเมี่ยงด้วยความรู้สึกที่อึดอัดอย่างไม่เคยเป็น คำถามมากมายเกี่ยวกับคนคนนั้นผุดขึ้นมากมายในสมอง จนผมต้องผ่อนลมหายใจควบคุมสติ “ คือ เลิกเรียนแล้วเหรอ ”

“ ก็ อื้ม มึงอะ ”

“ เลิกแล้วเหมือนกัน แต่อีก 20 นาทีมีนัดคุยกับอาจารย์ ” ผมบอกก่อนจะเชิดหน้าไปที่ห้องพักอาจารย์ ด้านหน้า “ แล้วมึงจะไปไหน กลับบ้าน ? ”

“ เปล่า กูจะไปหาเพื่อนก่อน ”

“ คนนั้นสินะ ” พยักหน้ารับออกไปแบบไม่รู้จะพูดอะไรต่อ คนตรงหน้าที่ยิ้มให้กันนั้น ต่อให้เหตุผลอะไรเอ่ยอะไรออกมาก็เหมือนว่าสมองจะไม่ทำการรับรู้อีก สายตาที่เอาแต่จดจ้องไปข้างหน้า ราวกับมีทั้งคนที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยปรากฏกายขึ้น ฝั่งหนึ่งเอ่ยบอกกันว่า ถามเลย ว่าเค้าคนคนนั้นเป็นใคร ส่วนอีกฝั่งก็เหมือนจะคอยห้ามปรามกันว่าอย่าทำเลย เดี๋ยวก็เหมือนกับที่โฮมบอก แล้วทุกอย่างมันจะแย่ไปอีก

แต่วินาทีต่อมานั่นแหละ ที่อีกฝั่งก็บอก
ไม่ว่ายังไง ก็แค่ถามออกไป ทุกอย่างที่ค้างคาใจมันจะได้จบ

“ เมี่ยง ” ในที่สุดปากของผมก็เอ่ยเรียกอีกฝ่ายออกไป เพิ่งรู้ว่าอีกคนจะเดินลงบันไดไปแล้วด้วยซ้ำในตอนนั้น และถ้าช้ากว่านั้นเพียงเสี้ยววินาทีเดียวก็คงรั้งกันไม่ได้แล้ว

“ ว่า ” อีกฝ่ายที่หันมาถามกัน

“ ไอ้คนคนนั้นแค่เพื่อนมึงจริงๆใช่มั้ย ” โพล่งถามออกไปด้วยใจที่อยากรู้ ก่อนจะนิ่งไปกับประโยคตรงตัวนั้นถึงขั้นต้องเปลี่ยนมันแบบแก้เก้อ “ คือ กู แค่อยากรู้ มันอาจจะไม่ควรถาม ” ผมผ่อนลมหายใจที่หัวใจตอนนี้เร่งอัตราเร็วขึ้นอย่างไม่เคยเป็น ‘ ก็แค่ถามเอง ใจเย็นๆ ’ ผมพยายามปลอบตัวเองอย่างงั้น “ แต่กู อยากมั่นใจ ไม่สิ มันดูเห็นแก่ตัวไป กู ยังไงดีละ ”

“ ห๊ะ ? ” เหมือนความไม่มั่นใจนั้นถูกดับลงด้วยท่าทางงุนงงนั้น ผมรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี แบบที่ไม่เคยเป็น

เอาจริงๆก็ไม่คิดหรอก ว่าตัวเองต้องมาถามอะไร งุ่นง่านอย่างงนี้ ครั้งแรกเหมือนกันที่รู้สึกไปไม่เป็นตัวเองได้ถึงขนาดนี้

“ คนคนนั้นเพื่อนมึงจริงๆใช่มั้ย ”  แต่เหมือนว่า คำถามนั้นจะไม่ควรถาม เมี่ยงเงียบไป มันเอาแต่จ้องมองผม “ ไม่ควรถามเปล่าวะ ”

“ แค่เพื่อน ” อีกฝ่ายย้ำพร้อมกับรอยยิ้ม รอยยิ้มที่เหมือนดวงตะวันตอนเช้าที่ทั้งอบอุ่นและสบายใจ “ กูกับมันแค่ไม่ได้เจอกันนาน ก็เลยกอดกันกลมไปหน่อย ”

“ เหรอ” สุดท้ายก็ตอบออกไปได้แค่นั้น ด้วยรอยยิ้มที่ถูกปลดล็อคความไม่สบายใจที่อัดแน่นมาหลายชั่วโมง

“ งั้นกูไปนะ ” มือที่ยกขึ้นโบกให้กัน ผมยักคิ้วตอบไปตามนิสัย ยิ้มที่กลั้นไว้อยากจะฉีกให้กว้างกว่านั้นด้วยซ้ำ แต่ก็เขินเสียจนต้องก้มหน้าลงมองพื้นแบบที่ต้องหลบความดีใจนั้นเอาไว้ 

ผมผ่อนลมหายใจโล่งๆออกมา พิงร่างลงกับระเบียงนั้น แล้ววินาทีทีเงยหน้าขึ้นมองบรรยากาศโดยรอบนั้น เปลี่ยนไปอย่างทันตาเห็น ต้นไม้ใบหญ้าดุสดใสกว่าที่เคย อาจเพราะความโล่งใจแบบชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนี้ ทุกอย่างดูสดใสขึ้นอย่างฉับพลัน มันเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้

“ มึง ” ไอ้โฮมเดินเข้ามาใกล้ในตอนที่หันไปมองต้นเสียงนั้น “ วันนี้อาจารย์ยกเลิกคาบบ่าย ”

“ เหรอ ” พยักหน้ารับแบบนั้นก่อนจะก้มลงไปมองบนพื้นด้านล่างอาคาร แล้วก็พบกับเมี่ยงที่เดินมากับเพื่อนของมันที่ก็เงยหน้ามองกันอยู่ไม่นาน ก่อนจะถูกดันให้เดินออกไปโดยคนที่ยืนอยู่ข้างกายนั้น

“ แล้วมึงคุยกับอาจารย์ยัง ” ฝีเท้าที่เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างกันนั้นเอ่ยถาม ผมก็ถอนหายใจอย่างจำใจผละสายตาออกจากภาพนั้น แล้วส่ายหน้าไปมาเป็นคำตอบให้อีกคน

“ ก็เค้ายกเลิกคลาส ก็คงไม่มาแล้วละมั้ง ” 

“ ลองส่งเข้าเมล์มั้ย ” โฮมมันบอกก่อนจะพิงตัวลงกับระเบียง

“ ก็คิดว่าจะอย่างงั้น ” ผมตอบ “ นี่ เมื่อกี้กูได้คุยกับเมี่ยงแล้วนะ ”

“ เหรอ ” อีกฝ่ายตอบรับยิ้มๆ “ จนได้สินะไอ้สัด แล้วยังไง ตกลงไอ้สัดนั้นมันเป็นอะไรกับเมี่ยง ”

“ แค่เพื่อน เห็นบอกว่าไม่เจอกันนานก็เลยตื่นเต้นดีใจที่เจอกันไปหน่อย ” ยิ้มกว้างออกมาในตอนที่ตอบจนอีกฝ่ายยิ้มตาม รอยยิ้มกว้างที่ห้ามไม่อยู่นั้น ผมหลุดหัวเราะจนต้องก้มหน้าลงจนเกือบจะถึงมือที่ค้ำอยู่กับระเบียง ทำเอาคนข้างๆถึงกับหลุดหัวเราะเสียงดังในท่าทาง

“ เป็นเอามากนะไอ้สัด ”
 
“ บอกเลยว่า โคตรโล่ง โคตรมีความสุข ” ผมบอก

“ ดูออกไอ้สัด ต่างกับเมื่อกี้ที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตานั่งหน้าเครียดยังกับคนละคน ”

“ อื้ม ” ยักคิ้วตอบรับ ก่อนจะมองไปยังระเบียงที่ว่างเปล่าตอนนี้ มันแทบไม่มีใครเดินผ่าน “ แล้วนี่ไอ้ดีนไอ้จุ้นไปไหน ”

“ คิดว่าจะไม่ถามแล้ว ” โฮมมันนิ่งไปสักพักก่อนจะพูดออกมาอย่างงั้น “ ไปซื้อน้ำปั่นที่หน้ามหาลัยด้วยกันน่ะ ”

“ อื้ม ”

“ มึงจะกินอะไร ก็โทรไปสั่งมันแล้วกัน มันฝากบอกมา ”

“ ไม่ล่ะ ” ผมส่ายหน้าไปมาก่อนจะถอนหายใจแล้วมองออกตรงวิวเบื้องหน้า ความรู้สึกตอนนี้ผ่อนคลายยิ่งกว่าออะไรทั้งหมด แม้แต่ใบไม้ที่เสียดสีกันยังทำให้รู้สึกดี

“ ถามจริง มึงไม่คิดว่าไอ้ดีนจะรู้บ้างเหรอวะ รู้ตัวใช่มั้ย มึงแสดงออกเรื่องเมี่ยงมากเลยนะวันนี้น่ะ  ”

“ แล้วทำไมกูต้องกลัวไอ้ดีนขนาดนั้นด้วยละ  “ ผมถามกลับอีกคนก็นิ่ง “ ถ้ามึงจะบอกว่า จะดีนเสียใจที่โดนไอ้บินหักหน้า เรื่องที่ว่ากูชอบเมี่ยง แล้วสุดท้ายก็กลายเป็นว่ากูกับมันมีปัญหากัน กูบอกเลยตรงนี้ว่า กูไม่แคร์เรื่องนั้นหรอก กูไม่ได้อยากจะคบกับเมี่ยงเพื่อแอบไว้ข้างหลังอยู่แล้ว ”

“ ถ้าได้คบก็คือจะประกาศเลยว่างั้น ” โฮมมันแซว ผมก็ยิ้ม

“ กูไม่ได้กลัวดีน แล้วกูก็ไม่จำเป็นที่จะต้องปกป้องความรู้สึกของมัน แบบที่ตัวกูเองจะต้องเจ็บด้วย ถ้าเป็นเมี่ยงก็ว่าไปอย่าง ”

“ เช่นนั้น ”

“ ที่กูพยายามไม่ให้ดีนรู้ กูไม่ได้รักษาน้ำใจมัน เพราะกูไม่จำเป็นที่ต้องรักษาหัวใจ คนที่ไม่เคยรักษาหัวใจกู จริงมั้ย ” ผมหันไปถามเพื่อน ที่ก็แค่ยิ้ม อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร “ แต่ที่กูไม่ยอมบอกมันตอนนี้ เพราะกูไม่อยากจะทำให้เมี่ยงลำบากใจมากกว่า เรื่องบางเรื่อง บางทีเค้าอาจจะไม่ได้คิดเหมือนกู ”

“ อยากคบกันก่อน แล้วค่อยคุยกันว่าจะเอายังไง ว่างั้น ”

“ อื้ม ” ไอ้โฮมเอาแต่ยิ้มในตอนที่ตอบแบบนั้น จนผมต้องหันไปมอง “ ยิ้มเหี้ยอะไรไอ้สัด คิดว่ากูโกหกเหรอ ”

“ เปล่าเลย ” อีกคนส่ายหน้า “ เท่าที่กูเห็นวันนี้กูก็เชื่อแล้วว่ามึงพูดจริง แต่แค่ไม่คิดมากกว่า ว่าวันนี้มันจะมาถึง กูยังจำวันที่มึงคบกับผู้หญิงคนนั้นได้เลย ถึงจะจำชื่อเธอไม่ได้แล้วก็เถอะ แต่ยังจำได้ว่า เค้านิสัยน่ารักมากเลย ทุกอย่างระหว่างมึงกับเค้าตอนนั้น มันดูดีไปหมด จนกูคิดว่ามึงคงจะหลุดออกมาจากไอ้ดีนได้ ”

“ แต่ก็หลุดออกไม่ได้อยู่ดี ” ผมยกยิ้มตอบ พลางคิดถึงเธอคนนั้น

โฮมคงหมายถึง เฟิร์ส สาวคณะศิลปกรรมคนนั้นที่ผมคบด้วยช่วงนึง สาวน่ารักที่ทำให้ช่วงชีวิตนึงของผมสดใส เจ้าของความคิดบวก และมีเหตุผล ที่สุดท้ายเราก็เลิกกัน เพราะวันที่ผมตัดสินใจยกเลิกนัดเธอไปหาดีนแทนเพราะอีกคนแค่บอกว่า อยากเจอ ทั้งๆที่เราก็นัดกันไว้ และรอคอยกับการไปเที่ยวหนนี้มานานมาแล้ว

ความรู้สึกตอนนั้น มันบอกกันว่า ท้ายที่สุดเมื่อผมยังเห็นใครสำคัญกว่าเธอ และรู้สึกมีความสุขในการอยู่กับคนอื่นมากกว่าเธอ ก็ไม่สมควรอยู่กับเธอ

บทบอกเลิกในวันนั้นระหว่างเรา ไม่ได้น่าเศร้าเหมือนที่คิด เฟิร์สพูดแค่ว่า ‘ เรารู้ว่าแกรักเค้า แต่ไม่เป็นไร เราไมได้คิดว่าแกเอาเรามาเป็นตัวแทนใครหรอก เรารู้ว่าตลอดมาแกรู้สึกกับเรายังไง แกชอบเรา แกไม่ได้โกหก เรารู้ว่าแกพยายามแล้ว แต่นั่นแหละ เราแค่ยังไม่ใช่สำหรับแก มันเลยไม่มากพอจะดึงแกออกมาจากเค้า ’

“ ถามจริง ไม่เสียใจเหรอวะ ชีวิตเสียคนดีๆไปเยอะชิบหายเลยนะ เพราะรักมันเนี้ย ”

“ เมื่อวานมั้ง ที่กูคิดเสียดายเหมือนกัน แต่มีคนคนนึงบอกกูว่า ทุกอย่างก็เป็นแค่ช่วงชีวิตนึง ถึงมันจะเหี้ยแค่ไหน แต่ครั้งนึงมันก็ยังประกอบไปด้วยความสุขของเราเหมือนกัน ”

“ ใครวะ ”

“ ก็คนที่กูกำลังชอบอยู่ตอนนี้ไง ” หันไปพูดพร้อมกับยักคิ้ว ไอ้โฮมมันก็ยิ้มมันที่ส่ายหน้าไปมา ในตอนนั้นผมก็เดินออกมา “ ถ้าไม่มีเรียน งั้นกูก็ขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะ ”

“ ไม่กินข้าวด้วยกันหน่อยเหรอวะ ไอ้ดีนฝากชวน ว่ามึงจะไปดูหนังที่ห้างด้วยกันมั้ย ”

“ ไม่อะ ” ผมบอกปัด “ อยากกลับบ้านมากกว่า พอดีคนที่กูอยากอยู่ด้วย มันไม่ใช่พวกมึงน่ะนะ ”

“ คลั่งรักชิบหายไอ้สัด ”

ก็จริงอย่างงั้น ผมไม่เถียงหรอก

................................................

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27


หยุดฝีเท้าที่หน้าห้องของตัวเองในตอนที่มาถึง ผมมองบานประตูของคนห้องข้างๆที่ปิดสนิทอยู่นั้น ด้วยความรู้สึกอยากรู้ที่ผุดขึ้นมาทันทีในทันที ไม่รู้ว่าเมี่ยงตอนนี้จะอยู่ในห้องคนเดียว ไปเที่ยวกับเพื่อน หรือว่าจะอยู่ในห้องกับเพื่อนกันแน่

“ กลับมาแล้วค่ะ ” เอ่ยพูดออกไปในตอนที่เปิดประตูห้องเข้าไป  เจ้าตัวขนนุ่มเงยหน้าขึ้นจากคอนโดตัวสูง ก่อนจะล้มตัวลงนอนเหยียดยาวอีกครั้งด้วยความขี้เกียจ ผมวางกระเป๋าของตัวเองลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินตรงไปหาไป ยื่นหน้าเข้าไปใกล้เจ้าตัวสวย แต่ในตอนที่กำลังจะก้มลงหอม เท้าหน้าของเจ้าตัวกลมขี้หวงตัวก็ยื่นมาห้ามกันไว้ “ หวงเนื้อหวงตัวกับป๊าจังเลยนะคะ ” ดึงหน้าตัวเองออกก่อนจะก้มลงไปหอมอีกตัวแบบเร็วๆ ยิ่งขัดขืนก็ยิ่งมันเขี้ยว “ แก้มหอมขา ”

“ เมี๊ยว ” เจ้าของตาสีฟ้าร้องตอบกัน ผมยังคิดถึงวันแรกที่เจอแก้มหอมได้อยู่เลย เจ้าลูกแมวตัวสีขาวนัยน์ตาสีฟ้านอนอยู่ในตะกร้าฝาปิด แต่คนที่ถือมันอยู่ในตอนนั้นกลับมีแววตากล่ำจนผมที่เปิดประตูห้องค้างไว้ถึงกับนิ่งไป

ดีนร้องไห้มาแบบตาแดง มันบอกกันว่า แม่มันไม่ให้เลี้ยงแมว แถมยังบอกปัดอีกว่าไม่ให้เอาเข้าบ้านเด็ดขาด แล้วก็ให้จัดการเรื่องแมวตัวนี้เอาเองว่าสุดท้ายจะเอาไปทิ้งที่ไหน แล้วตอนนั้นมันเองก็คิดถึงผม เลยหอบมันมาหากัน ที่ในที่สุด ผมก็ต้องยื่นมือเข้าไปช่วย แล้วก็จัดการซื้อเจ้าก้อนขนตัวนี้มาเลี้ยงแทน

‘ แก้มหอม ’ เป็นชื่อที่ผมตั้ง แล้วเหตุผลที่เป็นแบบนั้น ก็เพราะสำหรับผมแก้มของดีนมันน่าหอม แล้วก็ตั้งใจเอาไว้ว่า สักวันนึงที่เราตกลงใจคบกัน เราก็คงจะมีความสุขในพื้นที่เล็กๆของเราแห่งนี้ กับแมวน่ารักๆแบบที่จะขานรับทุกครั้งที่ดีนเอ่ยเรียก แล้วก็อยากได้มาตลอด

“ แก้มหอม เราชอบพี่เมี่ยงมั้ย ” เอ่ยถามเจ้าตัวกลมออกไปยิ้มๆ ผมเผลอหลุดหัวเราะกับความปัญญาอ่อนของตัวเอง มันดูตลกดีเหมือนกัน คล้ายว่า พ่อคนที่กำลังชอบพอใครสักคน ก็เลยต้องถามลูกสาวก่อน ว่าคิดยังไงกับคนที่เราชอบ “ ชอบแหละ หน้าตาเหมือนกันนี่ครับ ” ขยี้หัวกลมไปด้วยความมันเขี้ยว ผมเดินไปเปิดประตูระเบียง ก่อนจะหยุดนิ่งไปในตอนที่ได้ยินเสียงสนทนาของคนที่อยู่ข้างห้อง

“ ไม่อยากกินไก่แล้วอะ กินมึงได้ปะ ” ไม่ใช่เสียงของเมี่ยง และคิดว่าคงเป็นเสียงของเพื่อนสนิทคนที่ไม่เจอกันนานนั้นมากกว่า

“ พูดเหี้ยอะไรของมึง ”  เสียงหัวเราะที่ดังมาจากประโยคนั้น เริ่มชวนให้ผมขมวดคิ้ว ก่อนที่เจ้าตัวน่ารักจะเดินมาพันแข้งพันขาแล้วหย่อนตัวลงนั่งจุ้มปุ๊กที่ข้างเท้า

“ เมี๊ยว เมี๊ยว ”

“ เมี๊ยว ” เจ้าตัวลายของห้องข้างๆ ที่เดินออกมาพลางนั่งลงตรงข้ามกันนั้น ชวนให้คนที่อยู่ในห้องนั้นแตกตื่นอยู่ไม่น้อย

“ อาร์มกลับมาแล้วเหรอวะ ” เสียงของเมี่ยงที่เอ่ยพูดขึ้น สลับกับเสียงเพื่อนร่วมห้องที่เอ่ยถาม ก่อนที่ร่างขาวจะโผล่หน้าออกมาให้เห็นกัน “ อ้าวมึง ”

“ อื้ม ”

“ ทำไมวันนี้กลับเร็วจัง ไม่ใช่มีเรียนต่อตอนเย็นเหรอวะ ”

“ ยกเลิกคราส ” ผมว่าก่อนจะอุ้มเจ้าตัวกลมของตัวเองขึ้นมา และอย่างไม่ทันถามถึงความต้องการของแมวใดๆ ผมชิงถามเมี่ยงก่อน แบบที่รู้สึกว่าต้องเข้าไปให้ได้เลยในห้องเมี่ยง “ แก้มหอมอยากเจอไอ้นายท่าน ขอเข้าไปที่ห้องหน่อยได้มั้ย ”

“ เอ่อ..” ท่าทางครุ่นคิดนั้นมาพร้อมกับสายตาเรียวที่มองเข้าไปในห้องของตัวเอง อย่างครุ่นคิด เหมือนมันช่างใจ ไม่ค่อยอยากจะให้ผมเจอเท่าไหร่ กับใครคนนั้น

“ แก้มหอมขา ”

“ เมี๊ยว ” เจ้าก้อนขนขานรับ

“ แก้มหอมขา  อยากเจอนายท่านใช่มั้ยคะ ”

“ เมี๊ยว ”

“ ไม่ต้องเอาลูกมาอ้างเลย มันก็ขานรับทุกครั้งที่มึงเรียกมันว่า แก้มหอมขานั่นแหละไอ้สัด ” พูดออกมาแบบกลั้นยิ้มกว้างเอาไว้ไม่อยู่ เมี่ยงถอนหายใจ “ เออ จะมาก็มา ”

“ โอเค ” ตอบรับคำอนุญาตนั้นก่อนจะจัดการปิดประตูแล้วเดินมาเคาะประตูของห้องข้างๆ ที่ไม่กี่นาทีต่อมานั้น มันก็ถูกเปิดออก

“ เชิญครับ ” เมี่ยงว่าแบบนั้น ก่อนที่ผมจะปล่อยให้เจ้าตัวสวยกระโดดลงไปจากตัว แล้วตรงไปหาเจ้าตัวลายที่พอเจอกัน ก็แค่ดมๆกันนิดหน่อย แล้วจาดกนั้น ต่างฝ่ายก็แค่ล้มตัวลงนอนข้างๆกัน

“ หวัดดีครับ ” เพื่อนของเมี่ยงเป็นคนเอ่ยทักผม

“ หวัดดีครับ ”

“ นี่เต เพื่อนสนิทกู มันเพิ่งกลับจากเมกา ส่วนมึงนี่ อาร์ม จริงๆเป็นอริเพื่อนกูด้วย แต่เพื่อนกูอีกคน ก็บอกว่า ดีๆกันไว้ อย่าบ้าให้มาก กูเลยดีกับมัน อีกอย่างแมวมันก็กิ๊กกับแมวกูอยู่  ”

“ ประวัติยาวดีนะไอ้สัด ” เตหันบอกเมี่ยงก่อนจะยิ้มให้ผม

“ อ้อ แล้วมึงอย่าไปเผลอทักมันที่มหาลัยกูนะ ที่มหาลัยไม่มีใครรู้ว่ากูกับมันอยู่ห้องข้างกัน ”

“ เหรอ ”

“ เออ สงบปากสงบคำหน่อยแล้วกัน ไว้ชีวิตกูด้วย ”

“ ก็ว่าทำไม มันมองมึงจัง ตอนที่กูเข้าไปกอดมึง ” เพื่อนของอีกคนว่ายิ้ม “ ตอนแรกกูคิดว่ามันเป็นผัวมึงซะอีก ” เมี่ยงที่ถลึงตาใส่คนพูด ก่อนจะทำทีเป็นต่อย

“ พูดเหี้ยอะไรของมึง ”

“ ก็พูดความจริงอะ แต่ถ้าไม่ใช่แฟนมึง กูก็ค่อยโล่งใจหน่อย ”

“ หมายความว่าไง ”

“ ไม่บอกกกกกกกก ไว้ถึงเวลาก่อนนะจ้ะ ” ยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีกคนที่ถึงขั้นดึงตัวเองเพื่อออกห่างก่อนจะหลุดหัวเราะ ท่าทางที่ดูเหมือนว่ากำลังเล่น แต่ผมรู้สึกว่าเหมือนมันจะไม่ใช่แค่นั้น สายตาของไอ้สัดนั่นที่มองเมี่ยง ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้มีแค่นั้น

“ แต่กูก็ชอบเมี่ยงนะ ” ผมพูดออกไป ในตอนนั้นทุกอย่างในห้องก็เงียบไป มันไม่ต่างกับเครื่องหยุดเวลา แม้แต่เมี่ยงเองยังไม่คิดว่าผมจะพูดมันออกมา แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยอย่างงั้น

“ พูดอะไรของมึง ” ร่างขาวว่ายิ้มๆ แบบแก้เก้อ แต่ผมก็แค่ย้ำ

“ กูชอบเมี่ยง ชอบแบบที่ใครสักคนนึง จะมีใจชอบใครสักนึงได้ ชอบแบบเป็นแฟน เป็นคนรัก หรือว่ามึงจะเถียง ว่ามึงไม่รู้ เรื่องที่กูชอบมึง “ หันไปถามเจ้าของห้องที่ก็ได้แต่นิ่งไป ในตอนนั้นเตก็พูด

“ อ๋อ คนนี้เองน่ะเหรอ ” มันว่าแบบนั้นก่อนจะหันไปถามเพื่อนตัวเอง “ ที่มึงเล่าให้กูฟังว่า มึงเองก็ชอบเค้า แต่ว่าเค้ามีเจ้าของอยู่แล้วน่ะ ”

“ ก็นะ..” เมื่อเถียงไม่ออก เมี่ยงก็ต้องตอบรับเพื่อนสนิทตัวเองไป แต่ในตอนนั้นเตที่ก็แค่พยักหน้ารับยิ้มๆ มันหันมามองหน้าผม

“ แต่ก็ไม่ใช่แฟนอยู่ดีจริงมั้ย เพราะงั้นกูก็ถือว่ามึงโสดอยู่ ” เตหันไปหาเมี่ยงก่อนจะยิ้มให้ แม้ว่าจะไม่มีคำตอบจากอีกคน แต่ในสายตานั้นก็แทบจะมองออกทั้งหมดแล้ว เตชอบเมี่ยง แล้วเมี่ยงเองก็เหมือนจะรู้เรื่องนี้อยู่

“ กินไก่กันมั้ย เพิ่งมาร้อนๆเลย ” คนตัวขาวชี้ไปที่ไก่ทอดเกาหลีร้านดังที่วางอยู่ในกล่องบนโต๊ะ “ กูสั่งมาเยอะเลย มึงกินด้วยกันมั้ยอาร์ม ”

“ กินสิ ” พยักหน้ารับกับคำชวน แต่เหมือนเตจะไม่คาดคิดถึงคำตอบนั้นเท่าไหร่ มันหันไปหาเมี่ยง แบบที่อยากจะบอกกับอีกฝ่ายว่า อยากจะกินกันสองคนมากว่าแล้วจะมาชวนผมทำไม

“ เอาน่า ” แต่คนตัวขาวก็แค่บอกปัดไปอย่างงั้น แบบที่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกัน มันก็คงไม่คิดหรอก ว่าผมจะตอบรับ

ไก่ทอดหน้าตาน่าทานถูกวางอยู่ตรงหน้าเรา น้ำอัดลม หรือแม้แต่อาหารเกาหลีต่างๆก็เหมือนจะเหมากันมาแบบหมดร้าน ในทุกเมนูที่อยากกิน และไม่เหมือนกับว่าจะกินกันแค่สองคน ผมนั่งลงตรงข้ามกับเมี่ยง ส่วนเตเพื่อนของอีกคนนั่งอยู่ข้างกันกับเมี่ยง ที่ก็เยี้องกับผม

“ น้องเมี่ยงตักให้พี่หน่อย ”

“ อย่าเยอะได้มั้ยมึงอะ ” พูดนั้นแต่ก็ยอมหยิบไก่ในกล่องส่งให้เพื่อนอยู่ดี “ มึงจะเอาอะไรมั้ย กูหยิบให้ ”

“ ไม่เป็นไร กูมีมือ หยิบเองได้ ” บอกแบบนั้นก่อนจะหยิบส่วนบนของปีกมาไว้บนจานของตัวเอง ผมกินมันแบบไม่อยากจะกินเท่าไหร่แล้วดูเหมือนเมี่ยงจะสังเกตกันได้

“ ไม่ค่อยชอบกินเปล่าวะ ”

“ ถ้าได้กินสองคนกับมึง คงดีกว่านี้ ”

“ เหมือนกันเลยยยยยย ” ไม่ใช่เสียงเมี่ยง แต่เป็นเสี่ยงของเตที่เอ่ยขึ้นมา ในตอนนั้นเมี่ยงก็ถอนหายใจ

“ พวกมึงแม่งเลิกพูดเรื่องปัญญาอ่อนเหี้ยนี่ได้ม่ะ  เอาจริงๆ กูชักจะรำคาญแล้วนะ ”

“ งั้นมาพูดเรื่องน้องเมี่ยงคำกัน ” เตเสนอ “ มึงก็ยังเป็นเหมือนเดิมเลยนะ ”

“ อะไรอีกอะ ” เมี่ยงถามเพื่อนตัวเอง ด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยน่าไว้วางใจ

“ ก็พวกชอบกินอะไรแบบที่มันไม่มีประโยชน์ไง ไก่ทอด พิซซ่า ของโปรดดดดดดด ” เมี่ยงที่ยิ้มขึ้นมามันพยักหน้ารับแบบยอมรับในสิ่งที่เพื่อนตัวเองพูด “ แล้วทุกวันนี้ยังเชื่ออยู่มั้ยเรื่องแบททีเรียในช่องปาก ” เตหันมามองผม “ กูจะเล่าอะไรให้ฟัง ไอ้สัดเมี่ยงตอนเด็กๆนะ กลัวแบททีเรียในช่องปากมากกกกก พอมันรู้ว่า คนเราพอตื่นจากที่นอนจะมีแบททีเรียนะ ทุกวันพอมันตื่นมันจะรีบวิ่งพุ่งไปที่ห้องน้ำแล้วก็บ้วนปาก แปรงฟันก่อนเลย เพราะกลัวว่าแบททีเรียจะเข้าไปในท้องแล้วก็กัดกินล้ำไส้ของมันจนหมดไป แล้วมันก็จะตายในที่สุด ”

“ ไอ้สัด เล่าทำไมเนี้ย ” เมี่ยงหันไปตะโกนใส่เพื่อนตัวเองในตอนนั้นผมก็หลุดยิ้ม

“ ยังไม่หมดแค่นั้น พีคสุดคือมีครั้งนึง ตอนค่ายลูกเสือช่วงประถม ไอ้เหี้ยนี่ตื่นเช้ามานั่งร้องไห้ เพราะไม่ได้แปรงฟันแล้วครูให้กินน้ำเข้าไปก่อน ท่าตอนนั้นคือกอดเข่าร้องไห้ตาแดงแล้วบอก ตายแน่ๆเลย ต้องแน่ๆเลย ไม่ได้แปรงฟันแล้วก็กินน้ำเข้าไปแบบนี้ แบททีเรียต้องไปกัดกินทุกๆอย่างให้ร่างของเมี่ยง จนเมี่ยงตายแน่ๆเลย เมี่ยงไม่อยากตายนี่น่า เมี่ยงอยากอยู่กับคุณพ่อคุณแม่แล้วก็พี่พลูตลอดไป ”

“ ไอ้ควายยยยยยยยยยยยยยยยย  อยากตายมากใช่มั้ยมึงอะ ” เสียงหัวเราะลั่นของคนที่เล่า ทำเอาผมหัวเราะตามเหมือนกันเมื่อคิดภาพไอ้เด็กตัวเล็กๆที่ทำทีท่าอย่างงั้น แต่เหมือนเมี่ยงจะไม่ได้ชอบใจเท่าไหร่ มันหันมามองผมแบบหาเรื่อง “ ยิ้มทำไมมึงอะ อย่าไปฟังไอ้สัดนี่ให้มันมากจะได้มั้ย ”

“ ก็น่ารักดี ”

“ กูพูดเรื่องจริงทั้งนั้นแหละครับ ” มือที่เอื้อมมือมาหยิกแก้มอีกคน เตยิ้มก่อนจะพูดล้อๆ “ ใครจะน่ารักเท่าน้องเมี่ยงของพี่เต ไม่มีหรอกกครับ ”

“ จะอ้วกไอ้ห่า ” หันหน้าตัวเองออกแบบยิ้มๆ ก่อนที่เตจะหันมาถามผม

“ แล้วมึงละ ชอบกัน มีเรื่องอะไรตลกๆ หรือว่า เรื่องน่ารักๆของเมี่ยง มาเล่าให้กูฟังบ้างมั้ย ” ได้แต่มองมันนิ่งๆแบบที่ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา ก็อยากจะมีเหมือนกันนะ เรื่องพูดอวดในความสัมพันธ์อย่างงั้น ผมก็อยากจะตอบกลับไปให้หน้าหงายเหมือนกัน แต่ติดที่มันไม่มีเลยนี่สิ “ ไม่มีเลยเหรอ ”

“ กูไม่มีเรื่องอะไรอย่างงั้นหรอก ” ผมตอบ “ แต่เค้าก็น่ารักของเค้าในทุกวันอยู่แล้ว เลยไม่มีอะไรพิเศษ อย่างเรื่องวันก่อนที่เราเดินไปซื้อของด้วยกัน แล้วมันก็ปลอบกู อันนั้นก็น่ารักดี ตอนที่รู้ว่ากูอยู่ข้างห้อง แล้วมันตกใจจนตาค้าง วันนั้นก็ยังยิ้มได้อยู่เลยตอนที่คิดถึง ไม่รู้จะยกตัวอย่างเรื่องไหนเหมือนกัน ไว้ให้คบกันแล้ว มึงมาถามอีกแล้วกัน กูจะตอบให้ยาวเลย ”

“ แล้วไงอะ ” เตมันถาม “ ยังไงตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันเปล่าวะ ก็แค่ความประทับใจแบบนั้น ใครๆมันก็มี ไอ้เมี่ยงมันน่ารักขนาดนี้ แค่ใครได้คุยด้วยก็พูดได้แล้วเปล่าวะ ”

“ มึงจะเอายังไงกันแน่ ” ผมถามอีกคนไปตรงๆด้วยเสียงเรียบ เพราะคำพูดคำจาของอีกฝ่าย แค่ฟังก็รู้แล้วว่า พยายามหาเรื่องกัน แล้วแน่นอนว่าก่อนหน้านั้นมันก็พูดข่มผม เพื่อแสดงความเหนือกว่าในความสนิทสนมก็แค่นั้น

“ พอเถอะ ไอ้สัด ต้องให้พูดอีกกี่รอบ ” เมี่ยงพูดขัด แต่เหมือนว่าตอนนั้นเราจะไม่ได้สนใจอีกคนสักเท่าไหร่ ผมยังคงมองแค่เต แล้วเตเองก็เหมือนจะมองแค่ผม มันยิ้ม

“ อย่ามาทำทีเป็นว่า เพื่อนกูพิเศษกับมึงขนาดนั้น ทั้งๆที่มึงก็มีคนที่ชอบอยู่แล้ว แล้วก็คนนั้นตังหากที่มันพิเศษในใจมึง ไม่ใช่เพื่อนกู หรือว่าต้องให้กูถาเรื่องความน่ารักของคนคนนั้น มึงถึงจะเล่าได้ยาว  ”

“ แล้วมึงมารู้ถึงความรู้สึกของกูได้ยังไง ว่าจริงๆกูคิดอะไรอยู่ แล้วตอนนี้กูรู้สึกยังไงกับเพื่อนมึง  ” ผมถาม

“ ไม่รู้หรอก กูก็แค่พูดเตือนๆมึงไป ว่าทางที่ดี อย่ามายุ่งกับเมี่ยงของกู น่าจะดีกว่า ”

“ เต ”

“ แล้วเมี่ยงไปเป็นของมึงตั้งแต่เมื่อไหร่ ” ผมถาม ในตอนนั้นเตมันยิ้ม

“ แต่มึงก็ไม่ได้เป็นอะไรกับเมี่ยงเหมือนกัน เพราะงั้น เค้าก็มีสิทธิ์เป็นของกู  แล้วกูจะบอกอะไรให้มึงฟังนะเมี่ยง ” อีกคนหันไปมองเพื่อนตัวเอง มือข้างนึงนั้นมันจับมือเมี่ยง “ ที่กูกลับมาครั้งนี้ ก็จริงอยู่ที่กูเบื่อๆ แต่อีกเหตุผลนึงเลยก็คือ  กูอยากจะกลับมาอยู่กับมึง ขาดมึงแล้วอยู่ไม่ไหวจริงๆ ”

“ ไปเอามาจากเพลงไหนอีกอีสัด ” เมี่ยงถาม เพื่อให้มันดูตลก แต่ตอนนั้นมันดูเหมือนว่าจะไม่มีใครขำ เราต่างรู้ ว่าเตไม่ได้พูดเล่น มันรู้สึกแบบนั้น ตามที่พูดจริงๆ

“ ขอตัวกลับบ้านก่อนแล้วกัน ” ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ด้วยความรู้สึกหงุดหงิด มันเหมือนว่าถ้าผมยังฝืนนั่งอยู่ตรงนี้ต่อไป เห็นที่ว่าคงอดไม่ไหว อัดหมัดซัดเข้าใส่หน้าอีกฝ่ายแบบเต็มเหนี่ยวแน่นอน แล้วแบบนั้นก็คงไม่ดีกับความรู้สึกของเมี่ยงเท่าไหร่

“ ไม่กินแล้วเหรอ ” เตถาม “ แต่ก็ดีนะ กูก็อยากจะนั่งกินกับเมี่ยงสองคนเหมือนกัน แล้วก็คุยถึงเรื่องที่เราอยากจะคุยกัน แบบที่ เป็นเรื่องของคนสองคน ไม่เกียวกับคนอื่น ”

“ พอได้แล้ว มึงแม่ง.. ” เมี่ยงมันลุกขึ้นตามผม ที่ก็แค่เดินไปอุ้มเจ้าแก้มหอมที่กำลังนอนอุตุอยู่กับไอ้นายท่านขึ้นมา ก็รู้ดีว่าสถานะตอนนี้มันไม่มีสิทธิ์แต่ยิ่งคิดว่า เพราะอยู่ในสถานะนั้นก็เลยเป็นแบบนี้มันก็ยิ่งหงุดหงิด แล้วก็แทบอยากจะระเบิดเต็มทน

“ กลับก่อนแล้วกันนะ ” ผมหันไปบอกเจ้าของห้อง ที่เหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา แต่เมี่ยงก็เหมือนจะเรียบเรียงมันออกมาไม่ได้เลย “ กูเข้าใจ ก็ถูกของเพื่อนมึง สถานะอย่างกูตอนนี้มันไม่มีสิทธิ์ แต่ว่า อย่าให้กูมีสิทธิขึ้นมาก็แล้วกัน เพราะมันจะไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้นหรอก ” เหลือบมองเตในตอนที่พูดประโยคสุดท้ายนั้น แต่อีกคนก็แค่ยกยิ้มด้วยแววตาที่บอกถึงการอยู่เหนือกันทุกอย่าง แม้มันจะไม่ได้พูดอะไร

...............................................................

ภายในห้องสี่เหลี่ยมดูอึดอัด แม้แต่แก้มหอมยังอยู่ไกลจากผมไปในระยะที่ไม่สามารถเอื้อมมาถึงกันได้ ความสว่างจากภายนอกก่อนหน้าถูกกลืนกินด้วยความมืดช้าๆ บ่งบอกกันว่า ผมนั่งตอนนี้มานานมากแค่ไหนแล้ว ตั้งแต่ออกจากข้างห้องนั้น

ถ้าทำได้ก็อยากจะดึงเข้ามากอด หรือแม้แต่อยากจะจูบแสดงความเป็นเจ้าของ มันหงุดหงิดที่สุด ที่เห็นว่าอีกคนอยู่กับใคร แล้วก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นอีก เมื่อเห็นว่า ตัวเองกลับทำอะไรไมได้ทั้งๆที่อยากจะทำ

“ เชี้ยเอ้ย ” กัดหมัดทุบโซฟาตัวที่นั่งอย่างไม่รู้จะระบายความรู้สึกไปทางไหน ผมผ่อนลมหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนที่มือถือในกระเป๋ากางกงจะสั่นขึ้นมา อย่างเรียกความสนใจ


ครืน ครืน ครืน


เสียงโทรศัพท์ดังอยู่ในกระเป๋า ผมผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะดึงมันขึ้นมาดู แล้วก็พบว่า สายเรียกเข้านั้นก็คือ ดีน ที่โทรเข้ามา

ผมก็กดปิดมันอย่างไม่มีอารมณ์จะคุยอะไรด้วยในตอนนี้ แต่มันก็เหมือนจะไม่ละความพยายาม อีกฝ่ายยังโทรเข้ามาหากันเรื่อยๆ อย่างไม่มียอมแก้

“ เห้ออออ ” ถอนหายใจออกมาแบบรำคาญอย่างที่สุด ผมหยิบมือถือขึ้นมากดรับ “ ว่าไง ”

“ ทำไมต้องหงุดหงิดขนาดนั้น ทำอะไรอยู่อะค้าบ ”

“ ไม่ได้ทำอะไร ”

“ กินเหล้าเปล่า หรือว่าอยากจะกินอะไรมั้ย ” ปลายสายถาม แต่บรรยากาศรอบข้างของมันกลับเงียบเชียบผิดปกติ “ กูกำลังจะขับรถไปรับมึงที่คอนโดนะ ไปเมากัน ”

“ ไม่ต้องมาหรอก ” ผมลุกขึ้นเต็มความสูงในตอนที่บอก ร่างกายเหมือนจะอยากหนีออกไปจากตรงนนี้เสียเต็มทน เหมือนว่าอยากจะกินแอลกฮอล์สักแก้วสองแก้ว แต่แบบคนเดียวไม่ใช่ไปกับใครคนอื่น แล้วก็ขึ้นไปนั่งมองฟ้าที่สวนของคอนโดให้สมองมันโล่สักหน่อย   “ กูไม่ได้อยากจะไปไหน ”

“ อย่าทำตัวห่างเหินกับกูขนาดนั้นจะได้มั้ยไอ้สัด มึงชอบคนอื่นก็ชอบไป แต่กูก็เป็นเพื่อนมึงนะ หรือว่าจะไม่คบกูเป็นเพื่อนแล้ว ว่างั้นเถอะ ” ผมเงียบไปได้ตอบอะไร มือหยิบกุญแจล็อคห้องก่อนจะเดินออกมา ทั้งๆที่อยากจะวางสายที่คุยอยู่เต็มทน

มันไม่อยากจะฟังอะไรจากคนที่ไม่ได้อยากคุย หรืออยากฟังในตอนนี้ ผมแค่อยากอยู่เงียบๆ  แต่ทว่าเหมือนลายจะรู้ เมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจที่ติดจะรำคาญนั้น  ดีนเอ่ยห้าม

“ อย่าวางสายกูนะไอ้สัด พูดให้มันรู้เรื่องก่อน เป็นอะไรของมึงนักหนา ทำไม ? มึงคิดจะบีบกูเพื่อให้กูตอบรับรักมึงเร็วๆงั้นเหรอ ทนไม่ไหวแล้วว่างั้นอะ ”

“ เลิกพูดอะไรเข้าข้างตัวเองสักทีเถอะสัด เพราะทุกครั้งที่ฟัง กูแม่งสมเพชมึงจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว ” เอ่ยบอกประโยคที่ไม่คิดเหมือนกันว่าจะพูด ผมถอนหายใจทิ้ง “ ได้โปรดรู้ไว้ด้วยว่า ทุกความรู้สึกของกูตอนนี้ ไมได้ขึ้นอยู่กับมึงอีกต่อไปแล้ว ”

“ ไอ้อาร์ม ” ปลายสายเอ่ยเรียก ก่อนจะได้ยินเสียงลิฟต์ที่เปิดออก “ แล้วนั่นจะไปไหน ”

“ ไปหาอะไรกิน ”

“ ก็ไปกับกู ” อีกฝ่ายบอก “ กำลังจะถึง ”

“ กูไม่ได้อยากไปกับมึงไงดีน  ต้องให้พูดอีกกี่ครั้งวะ “ ผมย้ำ “ แล้วที่กูบอกว่า อย่ามา ก็คืออย่ามา กูไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะคุย หรือจะอยากจะกินเหล้ากับมึง กูแค่อยากจะอยู่คนเดียว อยากคิดคนเดียว ว่ากูจะทำยังไงดี เพราะกูอยากจะคุยกับคนที่กูรัก อยากพูดกับเค้า อยากกูอยู่ใกล้เค้า แต่กูทำไมได้  เข้าใจยัง ” ปลายสายเงียบไป ผมก็ได้แต่ขยี้หัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด “ มึงรู้มั้ย กูแค่อยากจะเดินออกไปบอกเค้า ว่ากูไม่ได้รักมึงแล้ว อยากเดินไปกอดเค้าไว้แล้วพูดคำนั้น แต่กูยังไม่กล้าเลย กูกลัวว่าเค้าจะไม่เชื่อกู ทั้งๆที่จะลงแดงตายอยู่แล้วเนี้ย  แล้วตอนนี้คือมึงเลิกเซ้าซี้จะได้มั้ย  ”

“ เรื่องแบบนี้ มึงต้องเชื่อใจในตัวเองนะ ” ปลายสายบอกกันแบบนั้น ลิฟต์ที่โดยสารก็ลงถึงชั้นล่างพอดี แล้ววินาทีที่มันเปิดออก ขาผมที่เดินออกไปข้างนอกนั้น สายตามันก็เจอเข้าพอดี กับคนที่อยากเจอที่สุดตอนนี้ เมี่ยงอยู่ข้างล่าง ท่าทางเหมือนเพิ่งกลับจากซุปเปอร์เพราะอีกฝ่ายสะพายถุงผ้าแบบที่คราวก่อนเราอยู่ด้วยกัน " อาร์ม "

“ ฟังอยู่ ”

“ ไม่ได้ฟังหรอกสัด มึงเหม่อไปถึงไหนแล้ว ” ผมถอนหายใจ แต่คราวนี้อีกฝ่ายเหมือนจะไม่ยอมกัน ดีนเองก็ถอนหายใจออกมา “ รู้มั้ยว่าที่กูเองก็พยายามมากเลยนะ ที่จะรั้งมึงไว้ไม่ให้ไปไหน แต่ทำไมทั้งๆที่กูกำลังจะเดินเข้าไปหามึง แต่วันนี้มึงกลับจะทิ้งกูไปแบบนี้วะ มึงที่กำลังผลักกูออกแบบนี้ เหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรกับกูเลยสักนิด มันเจ็บนะเว้ย ” ดีนเงียบ ก่อนจะพูดเสียงเบา “  เรื่องของเรามันจบง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ ถามจริงๆ ไม่รักกูแล้วเหรอ ทั้งๆที่วันนี้กูคิดว่าจะชวนมึงออกมา แล้วสารภาพรักกับมึงน่ะนะ ”

“ ถ้าตอนนี้กูวางสายมึง กูไม่แคร์ และไม่อยากได้ในสิ่งที่มึงพูดมาสักคำ นั่นหมายความว่ากู หมดรักมึงแล้วถูกมั้ย ”

“ ไอ้อาร์ม..”

“ มันไม่ง่ายหรอก การตัดใจจากมึงน่ะดีน แต่มันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นเหมือนกัน ”

สายโทรศัพท์นั้นถูกตัดลง ผมไม่ได้ต้องการอะไรจากดีนอีก นี่คือสิ่งที่ผมรู้สึกอยู่ในใจขณะนี้ เพราะสิ่งที่ผมอยากจะได้ตอนนี้ มันอยู่ข้างหน้าผมแล้ว และมันก็แน่ชัดแล้วว่า ผมจะไม่ปล่อยมันไปไหน หรือปล่อยให้เป็นของใครเด็ดขาด

“ อ้าว ” เสียงที่ทักกัน สายตาเรียวค่อนข้างตกประหม่าในตอนที่เจอหน้าผม เมี่ยงคงคิดถึงคำพูดที่เตพูด จนถึงขั้นกัดปากเบาๆ แบบที่กังวลอยู่ไม่น้อย ในตอนที่เราสบตากัน “ คือเรื่องของเต กูขอโทษแทนมันด้วยนะ กูด่ามันไปแล้ว ตอนนี้มันสำนึกอยู่ด้วยการเข้ามุมห้อง แล้วกูก็..”

“ กูรักมึง ” ผมพูดออกมาในตอนที่ดึงอีกคนเข้ามากอดไว้

“ ห๊ะ ? ” 

ท่ามกลางความงุนงงนั้น ผมลดใบหน้าลงจูบลงบนริมฝีปากนั้น ด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มีแบบที่ห้ามหัวใจเอาไว้ไม่อยู่  ทุกอย่างเหมือนน้ำ วันนึงเมื่อมันเต็มแก้ว ทุกอย่างก็ล้นทะลัก มันเป็นทั้งความรู้สึกรัก หวงแหน และต้องการ ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอกพวกนั้น ผมรู้แค่ว่าจะไม่ให้ใครมาพรากมันไปไหนอีก

“ เมี่ยง กูรักมึง ” ผมย้ำกับร่างในอ้อมกอดที่เหมือนจะแน่นิ่งไปนั้น แม้แต่แววตาเรียวก็ยังไม่กระพริบ วิญญาณมันคล้ายกับหลุดออกจากร่าง แต่ถึงอย่างงั้นมันก็เป็นท่าทางที่ชวนให้ผมยิ้ม ก่อนจะก้มลงจูบมันอีกครั้งในตอนที่ถาม

“ ลืมหมดแล้วเหรอ คนคนนั้น ”

“ ลืมไปหมดใจแล้ว ” ย้ำคำตอบนั้นด้วยความมั่นใจ ผมจูบลงไปบนริมฝีปากสีสวยนั้นอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกสุขมากกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยมี อย่างที่ไม่ได้สนใจสายตาที่มองมาเลย  “ ต่อไปนี้กูจะมีแค่มึง ”


.......................................................................
ตอนนี้ถ่ายทอดอารมณ์ของพี่อาร์มในหลายๆช่วง
หนมอยากจะเขียนให้รู้สึกถึง ความรู้สึกของอาร์มที่มีให้ดีนกับให้เมี่ยงแบบชัดๆ
เหมือนน้ำที่เดือดในหม้อ ความรู้สึกกับเมี่ยงเป็นแบบนั้น ส่วนความรู้สึกของดีนคือน้ำอุ่น ที่ค่อยๆเย็นไป ไม่รู้สึกอะไรแล้ว
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์ ขอโทษทีที่ช้าค่ะ
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ด้วยนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
อารมณ์แต่ละคนเดือด  ๆ กันทั้งนั้น พอดีเลยกำลังอยากกินมาม่าอยู่พอดี แต่ขาดน้ำร้อน ขอคนละแก้วซิ ได้ป่ะ  o11

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เต : บรู๊วววววววว โฮ่งๆ 5555555555 เห็นมานักต่อนักแล้ว นี่ก็เคยเป็นจนเลิกเสือกเรื่องของคนอื่น แล้วแต่มึงเถอะ 5555 เมี่ยงตัวเขาเองไหมอะที่ควรจะรู้ว่าถอยห่าง เป็นเขาเองที่ไม่ยอมเอาตัวเองออกมา ความหวังดีของเตมันส่งไม่ถึง ทั้งหวังดีกับเพื่อนและเพื่อหัวใจตัวเองสินะ ไม่อยากให้เขามาวอแวแต่เพื่อนตัวเองก็คือยอมเอง แล้วนี้คงดีใจใหญ่เลยสิ เขาบอกรัก ถถถ รอมานาน อะจ้าาาา รักกันๆ 55555 อยากให้อาร์มเจ็บไปอีกหน่อยให้สมกับที่เมี่ยงรอไง แต่ก็อย่างว่านี่เองก็รักเขา ยอมแทบทุกอย่าง หึหึ!! เอาเถอะ รักกันละดีแล้ว อิอิ สนุกก ขอบคุณที่มาต่อยาวๆนะคะ รอตอนหน้า ตกลงเป็นแฟนกันละสิ 55555  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เหมือนว่าที่เตทำไปทั้งหมด  ก็เพื่อกระตุ้นให้ไอ้อาร์มมันรู้ใจตัวเองและตัดสินใจอย่างเด็ดขาดสักที

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
ที่ดีนบอกว่าจะหาอาร์มแล้วจะบอกรักนี่จริงมั้ยเนี่ย เหมือนแค่พูดเพื่อรั้งให้อาร์มยังรักดีนอยู่เลยอ่ะ
แต่อาร์มก็คือเฉียบมากนะ พาร์ทนี้ทำดี ตัดเป็นตัด 55555

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
                               
     ตอนที่ 23

   ภายในลิฟต์โดยสารที่มีแต่ความเงียบ ลำตัวของผมแข็งทื่อ ร่างกายดูไร้ชีวิตชีวาอย่างไม่เคยเป็น และเหมือนจะมีเพียงแค่หัวใจเต้นรัวเท่านั้นที่บ่งบอกต่อกันถึงการมีชีวิตอยู่ ผมก้มลงมองฝ่ามือที่กำลังกอบกุมกัน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองที่คนยืนอยู่ข้างกัน

   ‘ นี่มัน เรื่องเหี้ยอะไรกันวะ ’ ถามตัวเองแบบนั้นในใจ แต่ก็อดประชับฝ่ามือที่กุมกันอยู่ไว้ไม่ได้
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นยังคงชัดอยู่ในความรู้สึก ภาพของร่างสูงที่กำลังยืนหงุดหงิดอยู่ตรงด้านล่างของคอนโด ท่าทางหัวเสียของมันชวนให้ผมขมวดคิ้วก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ แล้วในตอนนั้น ตอนที่ยังไม่ทันจบประโยคยืดยาวที่ผมพูด ฝีเท้านั้นกลับเดินเข้ามาหากัน อาร์มเอียงหน้าลงจูบลงบนริมฝีปากผมจนได้แต่แน่นิ่งไป

   ความว่างเปล่าของร่างกายในตอนนั้น เหมือนมีลมมวลใหญ่มหาศาลวนอยู่ในท้อง ยามที่ริมฝีปากนั้นผละออก แววตาคมที่จ้องกันนั้นสัมผัสได้ถึงเรื่องราวดีใจที่คล้ายว่า คนที่กำลังพูดนั้น ห้ามใจตัวเองเอาไว้ไม่อยู่แล้ว ในแบบที่อยากจะบอกกันเสียมากมาย

   “ กูรักมึง ” คำพูดของเสียงที่หนักแน่นถ่วงหัวใจของผมในจมลึก รอยยิ้มที่ยิ้มให้กันนั้น ทุกอย่างพล่ามมัวลงด้วยความรู้สึกที่กำลังเติบโต เหมือนทุ่งหญ้าเขียวที่แปรเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีสดใสนานาพรรณอย่างกระทันหัน อ้อมกอดนั้น กอดรัดกันแน่น อาร์มย้ำ “ เมี่ยง กูรักมึง ”

“ ลืมหมดแล้วเหรอ คนคนนั้น ” คำถามนั้นของผมถูกถามออกไป แต่อาร์มก็แค่ยิ้มด้วยความสุข คำตอบนั้นถูกย้ำด้วยความมั่นใจ

“ ลืมไปหมดใจแล้ว ต่อไปนี้กูจะมีแค่มึง ”

“ มึง เราถึงแล้ว ” เอ่ยบอกคนที่ไม่ยอมปล่อยมือกันเลยแม้ว่าจะยืนอยู่ที่หน้าห้อง  เราที่ต่างคนต่างเงียบมาตลอดทางตั้งแต่ชั้นล่างจนถึงหน้าห้องของตัวเองในตอนนี้นั้น ผมเอ่ยทัก “ มึง..”

“ ยังไม่อยากจะปล่อยเลย ” อาร์มพูดแบบนั้นทั้งๆที่ไม่ได้หันมามองกัน มันที่มองประตูห้องของตัวเอง แล้วผ่อนลมหายใจออกมา ก่อนจะปล่อยมือผมแต่โดยดี “ กูยังมีเรื่องที่อยากจะคุยกับมึงนิดหน่อย แต่ไม่อยากจะให้มึงอึดอัด อีกอย่าง มึงเองก็มีแขก ”

“ แล้วถ้าไม่ได้พูด มึงจะเป็นยังไง จะอึดอัดมั้ย ” ผมหันไปถาม คนตรงหน้าก็ยิ้ม

“ แค่ไม่สบายใจ ”

“ งั้นก็พูดมา ” ผมบอกก่อนจะพิงตัวเองลงกับกำแพงที่กั้นระหว่างห้องตัวเองกับห้องของอีกคน “ ถ้าปล่อยไป มึงเองก็คงนอนไม่หลับถูกมั้ย เพราะงั้นก็พูดมา เอาเรื่องที่ไม่สบายใจก่อน กูจะฟัง ”

รอยยิ้มของคนตรงหน้าผุดขึ้นมาในตอนที่มองหน้ากัน อาร์มก้มหน้าลงเพื่อหลบยิ้มกว้างนั้นอยู่นานในตอนที่เห้นท่าทีนั้นของผม มันเงียบจนต้องเอ่ยท้วงขึ้นมา

“ จะเอาแต่ยิ้มทำไมละไอ้สัด พูดมาสิ ”

“ ก็มึงน่ารัก ” พูดแค่นั้นผมก็ได้แต่นิ่ง ท่าทางที่เหมือนจะยังไม่หยุดยิ้มง่ายๆ  ชวนให้ถอนหายใจก่อนจะหันไปทางอื่น แบบที่อดคาดโทษมันไม่ได้เลย

“ อะไรของมึง ”

“ ก็มึงน่ารักไง ไม่เข้าใจเหรอ ”

“ หยุดเลยนะ ไอ้สัด ” สบถออกไปเพราะอีกฝ่ายไม่ยอมหยุด “ ถามจริงนะอาร์ม ที่บอกกับกูเมื่อกี้ ไม่ใช่เพราะว่า แค่หึงกูจากคำพูดของไอ้สัดเตหรอกนะ ” เกริ่นพูดออกไปพลางหันไปมองทางอื่น มือที่ไขว้หลังอยู่เริ่มจับเข้าหากันอย่างไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกยังไง

เอาจริงๆ ทุกอย่างเมื่อครู่มันเกิดขึ้นเร็วมาก จนผมไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าต้องรู้สึกยังไง ผมไม่รู้ว่าอาร์มเผชิญอะไรมามากกว่านั้นมั้ย ไม่รู้เลยว่าเหตุผลที่บอกคืออะไร แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่า มันจะเป็นความจริงเช่นนั้นมั้ย แต่ก็ยอมรับว่า มันเชื่อว่าไปแล้วทั้งใจ เชื่อแบบ อยากเชื่ออย่างไม่มีเงื่อนไขใดทั้งนั้นมารองรับ

เหมือนแค่อยากรัก ผมก็แค่รักมันไป  จบแค่เท่านั้น

“ นั่นแหละที่อยากคุย ” อาร์มบอก “ กูกลัวมึงจะคิด ว่ากูโกหก กลัวมึงจะคิด ว่าเพราะกูโดนเพื่อนมึงปั่นหัว กูก็เลยทนไม่ไหว แล้วรวบรัดกับความรู้สึกของตัวเองบอกมึงไป ”

“ แล้วมันเป็นแบบนั้นมั้ยละ ” ผมถาม แต่คนตรงหน้าก็แค่ส่ายหน้า

“ กูรู้ตัวว่ากูอยู่ในฐานะอะไร แล้วก็รู้ว่าต้องทำตัวยังไง แต่ที่ไม่รู้คือไม่รู้ว่าจริงๆ กูรู้สึกกับมึงไปถึงไหนแล้ว และตอนนั้นเค้าก็โทรเข้ามาพอดี ”

“ หมายถึง คนที่มึงชอบน่ะเหรอ ”

“ อื้ม ” หัวใจราวกับถูกกระชากลง ผมรู้สึกเหมือนว่ามันว่างเปล่าลงอย่างอัตโนมัติในตอนที่ได้ยินอีกคนพูดถึงใครคนนั้น ที่ผมไม่แม้แต่จะรู้จัก ในตอนนั้นผมทำได้แค่พยักหน้ารับไป “ เค้าโทรมาพอดี เมื่อก่อนกูไม่เคยแม้จะไม่รับสายเค้า ถ้าไม่ได้รับ ก็จะโทรกลับทันที ไม่เคยเลยสักครั้งที่ขัดความต้องการของเค้า แต่มึงรู้มั้ยว่า ตั้งแต่เจอมึง สายโทรศัพท์ที่กูเคยรอรับมันอยู่ตลอด กูไม่ได้รอรับมันอีกแล้ว เมื่อกี้ก็เหมือนกัน เค้าไม่ใช่คนที่กูจะคอยอีกต่อไปแล้ว ต่อให้เค้าจะพูดว่า รัก และขอคบกับกู กูก็ไม่ได้อยากจะได้แบบนั้นจากเค้าอีกแล้ว แต่กลับกันกับมึงนะ เพราะกูอยากทำแบบนั้นกับมึง ”

“ นี่คือ คำสารภาพรักเหรอวะ ” ถามเหมือนไม่ชัวร์ อาร์มยิ้มให้ผม

“ กูกลัวมึงไม่เชื่อ เพราะกูก็รู้ ว่ามันยากที่จะเชื่อ งั้นขอโอกาสแสดงให้ดูหน่อยได้มั้ยวะ กูจะทำให้มึงเห็นว่าสิ่งที่กุรู้สึกกับมึง คือเรื่องจริงทั้งหมด ” คนตรงหน้าว่าแบบนั้น ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอด้วยความตกประหม่า มือข้างที่นิ่งอยู่โดนถูเข้ากับกางเกงตัวเองที่ใส่อย่างแรง คงมีเม็ดเหงื่อคงชุ่มบนมือข้างนั้นไปหมด ทั้งๆที่มันไม่ใช่คนแบบนั้น ออกจะเป็นคนที่ทั้งมั่นใจในตัวเองสูงด้วยซ้ำไป   “ เมี่ยง ”

“ เออ รอฟังอยู่ ” พยักหน้ารับอย่างรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร

“ คบกับกูนะ ”

“ ทำไมรู้สึกดีจัง ” พูดออกไปแบบนั้นอย่างหุบยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ แต่มันก็คงเป็นความรู้สึกที่ก็คงไม่ต่างอะไรกับคนตรงหน้าเท่าไหร่นัก อาร์มผ่อนลมหายใจออกมา ในแววตาที่เหมือนโล่งใจในระดับนึงของมันนั้น ร่างสูงดึงตัวเองเข้ามากอดกันไว้ “ บอกไว้ก่อนว่ากูไม่ได้เชื่อมึงร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกนะไอ้สัด ต้องดูกันอีกยาว ในฐานะ.. แฟน โอเค๊ ? ”

อ้อมกอดนั้นรัดกันแรงมากขึ้น ผมที่ได้นิ่งไปเพราะสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มกว้างที่ซบลงกับไหล่ ราวกับว่ามันเป็นทั้งความโล่งใจและความสุขปะปนกันจนมันเอ่อล้นอกของอีกคน

“ จูบได้มั้ย ”

“ ไม่ได้ ” บอกปัดพลางมองซ้ายขวาในตอนที่ดึงตัวเองออกจากอ้อมกอดนั้นอย่างกลัวมีใครเข้ามาเห็น มือที่ปิดปากตัวเองไว้ แต่พอมองตาคนตรงหน้าก็เหมือนกับว่า จะไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ เลยต้องยกอีกมือขึ้นปิดอีกข้างจนชวนให้อีกฝ่ายหลุดยิ้มมุมปาก

“ แต่เมื่อกี้ยังได้เลย ” อาร์มท้วง

“ ก็เมื่อกี้กูยังไม่ทันตั้งตัวไอ้สัด ” ผมบอก แต่ถึงอย่างงั้นคนตรงหน้าก็เหมือนจะยังไม่เข้าใจอะไรเท่าไหร่ อาร์มเดินตรงเข้ามาหาผม “ เข้ามาใกล้ทำไม กูจะแจ้งนะ ”

“ แจ้งว่าอะไร โดนแฟนจูบเหรอ ”

“ งั้นกูจะตะโกนให้คนมาช่วย ”

“ ช่วยจากอะไร ”

“ จากมึงไงไอ้สัด มึงคุกคามกู ถึงจะเป็นแฟนก็เถอะ แต่ก็ต้องให้กูสมยอมนะ ตรงนี้มันไม่ได้ไงมึงเข้าใจมั้ย มันเป็นพื้นที่สาธารณะ ”

“ งั้นก็เข้าไปในห้องกู ”

“ K ไม่เข้าเว้ย ” ผมตะโกนลั่นแต่เหมือนว่านั่นจะไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้เลย อาร์มที่เดินเข้ามาใกล้ผมด้วยรอยยิ้ม แล้วจูบแผ่วเบาลงบนฝ่ามือที่กำลังปิดปากตัวเองอยู่นั้นพร้อมกับคำพูด

“ ผมไปก็ได้ครับ คุณแฟน.. ” พูดจบก่อนจะเดินเข้าห้องนอนตัวเองไปด้วยความเงียบเชียบ แล้วปล่อยให้ผมยืนนิ่งอยู่อย่างงั้นแบบที่ไม่รู้ว่าต้องจัดการหัวใจตัวเองที่เต้นโครมครามนี้ยังไง

“ ร้ายกาจนักนะ ไอ้คุณแฟน  ”

.........................................................

เปิดประตูเข้าห้องของตัวเองหลังจากสงบสติอารมณ์เพราะอาการเขินของสถานะมีแฟนแล้วอยู่ตรงหน้าห้องแบบสักพักใหญ่ ผมถอนหายใจออกมาในตอนที่เปิดประตูห้องของตัวเองเข้าไปด้วยท่าทางยิ้มกว้างราวกับแมวที่นอนกอดหมอนแคทนิปยังไงอย่างงั้น

และถ้าไม่เกรงใจเพื่อนร่วมห้องที่อยู่ด้วยกันตอนนี้นั้น ว่ามันจะต้องมาเป็นคนจัดการธุระให้ ก็คิดว่าคงจะล้มตัวลงนอนบนพื้นนี้แล้วดิ้นไปดิ้นมา แบบระบายออกมาให้หมดเลย กับความสุขทั้งหมดที่กำลังล้นอกอยู่ ณ ขณะนี้

“ กูสำนึกผิดแล้วนะ ให้กูออกจากมุมได้ยังอะ ” หันไปมองต้นเสียงที่พูดออกมาจากมุมห้อง จนผมต้องหลุดยิ้ม

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่อาร์มออกไปจากห้องเรา ตอนแรกก็เข้าใจอยู่ว่ามันคือแผน เราตกลงกันไว้อย่างงั้น แต่ก็มีบางส่วนเหมือนกันที่อีกฝ่ายทำเกินกว่าเหตุไปมาก แล้วพอผมไม่ยอมด้วยเข้าหน่อย ไอ้สัดนั่นก็ทำทีเป็นเดินคอตกไปที่มุมห้อง เหมือนเด็กเล็กเวลาพ่อแม่ทำโทษ อย่างที่ไม่ได้ดูเลยว่า ‘ ก็ไม่ได้น่ารักเลยสักนิด ’

“ ถามจริง นี่ไม่ได้เดินออกมาจากตรงนั้นเลยเหรอ ”

“ แล้วคุณคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่!! ” ร่างสูงที่ผุดลุกขึ้นยืนพร้อมกับกางมือออกด้วยท่าทางราวกับประกาศรางวัลใหญ่ในงานดนตรีอะไรสักงาน ผมถอนหายใจกับท่าทางนั้น และแบบที่ไม่ต้องเดา

“ ตอแหลไอ้สัด ”

“ ถูกต้องนะค้าบบบบบบบบบบบบบบบบบ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะเดินมากอดคอกัน เตมองเข้าไปในถุงผ้าที่ผมสะพายอยู่ก่อนจะดึงมันลงจากไหล่แล้วเอามาเปิดออกกว้าง “ ว้าว เบียร์สิงห์ที่กูรักของกู มึงซื้อกี่ป๋อง ”

“ ห้า ” คนฟังเบิกตาในตอนที่ผมพูด “ ทำไม ไม่พอ ”

“ ถามแปลกไอ้สัด มันจะไม่พอได้ยังไง สองคนนะเว้ย ”

“ กูไม่กิน ” ผมบอกปัด ” เดี๋ยวกินนั่งกินโค้กเป็นเพื่อน ”

“ ไม่ใจ ”

“ งั้นก็ไม่แดก ” ทำทีเป็นหันหลังเตรียมจะเข้าห้องนอน แต่คนไหวตัวทันก็แค่หันมากอดคอกันไว้แน่นด้วยหน้าตาตื่นแบบที่กลัวว่าผมจะเดินเข้าไปด้านในจริงๆ

“ แหมมมมม ใจร้อนไปได้ โค้กก็ได้จ้ะเมี่ยงคำ ขอแค่มีหนูนั่งดริ้งเป็นเพื่อนพี่ ยังไงก็ได้แหละ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะยิ้มให้กัน แล้วผายมือไปที่ระเบียงห้องของผม “ แต่นแต๊น!! กูเตรียมที่ไว้ให้แล้ว ”  เก้าอี้ตรงโต๊ะกินข้าวถูกวางอยู่ด้านนอกตรงนั้น รวมถึงโต๊ะตัวเล็กที่เคยอยู่ตรงมุมโซฟาก็เหมือนจะอยู่จัดไว้ตรงกลางแบบชนิดไม่ต้องร้องขอ

“ ไม่เข้าใจเลยว่ามึงจะไปนั่งตากยุงทำไมไอ้สัด แอร์เย็นๆมีก็ไม่นั่ง ”

“ คือน้องเมี่ยงคำไม่เข้าใจคำว่าบรรยากาศเหรอครับ ” อีกคนถาม พลางเดินตรงไปที่ระเบียงที่ว่านั้น เบียร์ถูกโยนลงในกล่องโฟมที่เราใส่น้ำแข็งไว้แล้วก่อนหน้านี้  เตหย่อนตัวนั่งบนเก้าอี้ก่อนจะเปิดกระป๋องเบียร์ยี่ห้อโปรดแล้วดื่มเข้าไป “ อ๊าห์ นี่แหละรสชาติเห่งชีวิต มันชื่นใจจริงๆ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะหันมามองกันแล้วยกคิ้วให้ มือเรียวตบเข้าที่นั่งตรงหน้า ที่ก็เตรียมไว้ให้ผม “ มานั่งมาเร็ว แล้วอันนี้ของหนูจ้ะ พี่เตรียมไว้ให้แล้ว ” กระป๋องน้ำอัดลมถูกโยนมาให้แบบที่รับแทบไม่ค่อยทัน

“ จ้า ไอ้สัด ” ตอบรับพร้อมกับถอนหายใจยิ้มๆ แล้วเดินตรงไปนั่งตรงข้ามกับอีกฝั่ง ผมเปิดกระป๋องน้ำอัดลมในมือตอนที่นั่งได้ที่ พลางออกไปนอกระเบียงที่ตอนนี้มีเพียงแค่แสงไฟจากตึกสูงที่เห็นอยู่ไกลลิบๆ

“ เอาจริงๆ คอนโดมึง บรรยากาศดีมากเลยนะ ถ้าไม่ติดว่ามีไอ้กรงเหี้ยนี่บังอยู่ ยังกับอยู่ในห้องขัง ” อีกฝ่ายว่าพลางเชิดหน้าไปที่ตะแกรงกันตกของเจ้าเหมียวที่ทางเจ้าของคอนโดติดมันไว้

“ ก็ไม่เถียงหรอกไอ้สัด แต่มันก็เพื่อความปลอดภัยอะนะ ”

“ ถามจริง คอนโดนี้เลี้ยงสัตว์กันทั้งคอนโดเลยมั้ย ”

“ ก็มีบางห้องที่ไม่ได้เลี้ยงนะ ” ผมว่า “ บางคนมันอยู่ใกล้ที่ทำงานเค้าก็มาอยู่ อีกอย่างห้องแบบนี้มีแค่ไม่กี่ห้อง มันเรียกว่าห้องสำหรับเลี้ยงแมว ”

“ งั้นตอนกลางวันมึงก็เปิดระเบียงไว้แบบนี้เหรอ ”

“ อื้ม ” พยักหน้ารับก่อนจะหันมองเข้าไปในห้อง ตอนนั้นไอ้นายท่านที่นั่งมองกันอยู่ก่อนลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนจะเดินนวยนาดเข้ามาใกล้ มันกระโดดขึ้นมานั่งตักผม “ วันนี้อ้อนเว้ย ”

“ แล้วปกติไม่อ้อนเหรอวะ ”

“ ไม่ค่อยอะ อยู่ที่อารมณ์ในช่วงเวลานั้นๆอีกที พอดี พี่เค้าอินดี้น่ะ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะเกาคอเจ้าตัวดีไปพลางยกเครื่องดื่มในมือขึ้นกินไปพลาง

“ แล้วแมวมึง ตัวเมียเหรอ ”

“ หล่อขนาดนี้ ตัวผู้สิครับ ”

“ แล้วทำไมปล่อยให้เล่นกับแมวตัวเมียของไอ้ข้างห้องอะ ” เตมันเชิดหน้าถาม “ ไม่กลัวมันได้กันเหรอ หายนะเลยนะไอ้สัด ถ้าเป็นงั้นอะ ”

“ เออว่ะ ” ผละกระป๋องออกจากปากในตอนที่ตอบรับ ผมก้มลงมองไอ้นายท่านก่อนจะเขย่าขาที่อีกตัวนั่งอยู่แล้วถาม “ นี่มึงได้กับแก้มหอมยังวะนายท่าน ”

“ ถ้ามันตอบกูวิ่งนะเมี่ยง บอกมึงไว้ก่อนเลย ”

“ ฮ่าๆ ไอ้สัด ” หลุดหัวเราะออกมาเสียงดังกับคำพูดนั้น ผมส่ายหน้าไปมา “ ไม่หรอก กูยังไม่เคยเห็นมันมีท่าทางติดสัตว์เลย ”

“ ระวังไว้น้า มึงจะได้ดองกับคนห้องข้างๆแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว แล้วก้ในฐานะคุณปู่คุณตาด้วย ” ผ่อนแผ่นหลังพิงกับเก้าอี้ในตอนที่ได้ยินอย่างงั้น ผมยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ในตอนที่คิดถึงคนที่อีกฝ่ายพูดถึง ก่อนจะค่อยๆหุบยิ้มลงในตอนที่เห็นว่าคนข้างๆมองกันอยู่

“ พูดเรื่องอื่นมั้ยไอ้สัด ไร้สาระ ”

“ ทั้งๆที่เรื่องนี้ คือเรื่องที่มึงมีความสุขอะนะ ” คนตรงหน้าที่ยักคิ้วให้กัน เตมันถอนหายใจหายออกมาก่อนจะยกเบียร์ในมือขึ้นกิน “ นี่ กูเห็นนะ ที่หน้าห้องเมื่อกี้ มึงกับมันเดินมาด้วยกัน แล้วก็ได้ยินแล้วด้วย เรื่องที่พวกมึงคุยกันที่หน้าห้อง ”

“ เหรอ ”

“ คือมึงเล่นบิดเป็นเลขแปดขนาดนั้น ก่อนจะเข้าห้อง แต่ก็คือไม่คิดจะบอกกูเลย ”

“ ก็.. จะให้พูดยังไงดีละไอ้สัด ” ยกมือเกาหัวตัวเองแบบที่ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกนั้นยังไง

เอาเข้าจริง ผมไม่กล้าจะหันไปมองคนที่นั่งข้างกันด้วยซ้ำในตอนนี้ สายตาที่เอาแต่ก้มลงด้านล่าง ผมถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะได้ยินเสียงวางประป๋องลงกับพื้นเรียบ แล้ววินาทีต่อมานั้น เตก็จับแก้มผมด้วยมือทั้งสองข้างก่อนจะดึงขึ้นมาให้เผชิญหน้ากัน อีกฝ่ายยิ้มกว้าง

“ มองกูนี่ แล้วพูดมันออกมา ว่าไง หรือจะให้กูบู้บี้แก้มมึงให้เจ็บมากกว่านี้ ห๊า! ” แรงกดของมือที่บีบเข้ามาจนปากผมจู๋ไปหมด เตปั้นหน้าจริงจัง “ ว่ายังไงไอ้เมี่ยง ”

“ เออ ไอ้สัด ” ดึงหน้าตัวเองออกจากการจับกุมนั้น ก่อนจะย้ำ “ มึงอยากฟังเองนะ ” ผมถอนหายใจ  “ กูคบกับอาร์มแล้ว โอเคยังไอ้หน้าเหี้ย”

“ แล้วก็ทำเป็นเงียบ เรื่องแบบนี้มันต้องฉลองมั้ยเมี่ยงคำ คิดหน่อย ” กระป๋องเบียร์ที่วางอยู่ถูกดึงขึ้นมาก่อนที่อีกคนจะชนเข้ากับกระป๋องน้ำอัดลมของผม “ ยินดีด้วยครับไอ้สัด ”

“ อื้ม ” ตอบได้สั้นๆแค่นั้นอย่างที่รู้สึกว่ารอบข้างมันอึดอัดไปหมด อาจเพราะแม้จะมีรอยยิ้มที่ดูมีความสุข แต่แววตานั้นกลับเศร้าลงจนรู้สึกใจหาย

ตลอดเวลา เราไม่เคยพูดกันเรื่องนี้หรอก เราไม่เคยพูดเลยว่า เรารู้สึกยังไงต่อกัน แม้ว่าเราจะรู้ และรู้มาตลอด ผมรู้ว่าเตรู้สึกยังไงกับผม เหมือนกับที่เตเองก็รู้ว่าผมรู้สึกยังไงกับเต มันคงคล้ายกับกล่องสักใบที่ถูกหินถ่วงไว้ในน้ำ ทุกอย่างถูกกดไว้ ด้วยความรู้สึกอะไรบางอย่าง เหมือนกล่องดำที่ต่างฝ่ายก็รู้ว่ามันมีอยู่ แต่ไม่คิดจะเปิดขึ้นมา ความสัมพันธ์ของเราเป็นอะไรแบบนั้น

“ ทำไมทำหน้าเศร้าอย่างงั้น มีผัวแล้วไม่ดีใจเหรอ ” คำพูดนั้นชวนให้ผมถอนหายใจ มันต่างกับเตนิดหน่อยที่หันมามองกันยิ้มๆ “ ถ้ากูเป็นมึง กูจะเปิดป๋องเบียร์แล้วกินฉลอง พร้อมทั้งตะโกนออกไปให้สุดเสียง ว่าในที่สุดกูก็มีผัวแล้วโว้ยยยยยย ”

“ เชี้ย อย่าเสียงดัง ” ห้ามอีกคนก่อนจะเหลือบมองห้องของคนข้างๆที่คาดว่าอาจจะได้ยินมันทั้งหมดด้วยซ้ำ ถ้าเกิดว่าเปิดประตูระเบียงทิ้งไว้ “ เดี๋ยวมันก็ได้ยินหมดหรอก ”

“ กลัวมันรู้เหรอ ว่ามึงดีใจแค่ไหนที่ได้มันเป็นผัว ” ถอนหายใจออกมาผมพิงหลังกับเก้าอี้แบบคนที่เหนื่อยหน่ายในการห้ามปรามใดๆ “ นี่..”

“ อะไร ”

“ กูรักมึงนะ ” คำพูดเรียบๆที่พูดออกมานั้น ชวนให้ผมนิ่งไป “ จริงๆกูรู้ว่ามึงรู้มาตลอดนั่นแหละ แล้วก็แม้แต่ตอนนี้ก็ยังรู้  แต่ว่า มึงไม่จำเป็นที่จะต้องปิดบังความรู้สึกมีความสุขของตัวเองเพื่อกูก็ได้นะเมี่ยง  มันไม่จำเป็นเลย ”

“ แต่ว่า..” ผมพูดขัด

“ กูชอบมึงด้วยหัวใจของกูเอง เพราะงั้นกูจะรับผิดชอบมันเอง มึงไม่ต้องมารู้สึกผิดอะไรหรอก การที่มึงไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับกู ไม่ใช่ความผิดของมึงสักหน่อย ” พูดแบบนั้นเบียร์ที่อยู่ในมือก็ถูกยกดื่มขึ้นไป “ ถามจริง เคยสงสัยมั้ยว่าทำไม กูถึงไม่คิดจะสารภาพรักกับมึงเลย ”

“ ก็...”

จะพูดยังไงดีละ ผมถามตัวเองในใจอย่างงั้น มันก็ดีแล้วนะ ที่ไม่ได้ยิน ผมไม่ได้อยากจะได้ยิน ไม่ได้อยากฟัง เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าคงไม่ตอบรับ และไม่คิดจะตอบรับด้วย ถึงมันจะฟังแล้วดูใจร้าย แต่มันก็มีแค่ความรู้สึกพวกนี้เท่านั้นที่วนเวียนอยู่มันสมอง

ผมไม่ได้ชอบเตในแบบนั้น ไม่ได้ชอบในแบบที่เตชอบผม แต่ในอีกด้าน ผมก็หวงความเป็นเพื่อนของเราเหมือนกัน ความเป็นเพื่อนที่ดี ผมไม่อยากจะเสียมันไป มันเลยกลายเป็นความโล่งใจมากถึงมากที่สุด ที่ความรู้สึกพวกนั้นจะไม่ถูกพูดออกมา

แต่ก็นั่นแหละ.. สุดท้ายแล้ว เตก็ต้องแบกรับความอึดอัดนั่นอยู่คนเดียว
เพื่อผม คนที่เป็นแค่คนเห็นแก่ตัว คนนึง

 “ มึงคิดว่า ดีแล้วใช่มั้ยที่กูไม่บอก ” คนข้างกันพูดในสิ่งที่ผมคิดขึ้นมา แต่ถึงอย่างงั้นผมก็แค่ยังนั่งนิ่ง ไมได้พูดอะไร “ ตอบอะไรกูหน่อยได้มั้ยไอ้สัด กูไมได้นั่งคุยกับรูปปั้นนะหน้าเหี้ย ”

“ กูไม่อยากจะให้มึงเสียใจ ” ผมบอก “ กูรู้สึก ต่อให้กูพูดอะไรออกไปมึงก็เสียใจอยู่ดี กูเลยไม่อยากพูด ”

“ เด็กน้อยเอ้ย ” ว่าแบบนั้นมือหนาก็เอื้อมมือมาจับที่หัวก่อนจะเริ่มขยี้เบาๆ “ ความรู้สึกของกูเป็นสิ่งที่กูต้องแบกรับมันเอง มันไม่ใช่เรื่องที่มึงจะต้องเอาไปแบกรับสักหน่อย แล้วเรื่องแบบนี้ ไม่ใช่ความสงสาร หรือเห็นใจอะไร กูเข้าใจมึงอยู่แล้ว แต่เอาจริงๆ ตอนนั้นกูแค่ทำใจไม่ได้ต่างหาก เลยตัดสินใจที่จะไม่บอก ”

“ ที่ต้องห่างกับกูน่ะเหรอ แบบว่า ทำใจไม่ได้ กูที่อาจจะมองมึงไม่เหมือนเดิม ”

“ เปล่าเลย ” เจ้าของผมสีทองส่ายหน้าไปมา เตยิ้ม “ ตอนนั้นกูตั้งใจว่าจะบอก แล้วก็จะบอกมึงด้วยว่า ถ้าไม่รู้สึกอะไร ก็อย่าเปลี่ยนไปนะ ช่วยเป็นเพื่อนกูเหมือนเดิมเถอะ ”

“ อื้ม ”

“ กูเปลี่ยนใจเพราะกูรับไม่ได้ต่างหาก ที่ความรักของกูมันจะถูกมึงสะบัดทิ้งไป กูคงรับไม่ได้ที่ทุกอย่างที่กุรู้สึกอยู่ จะถูกทำให้หายไปแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันเหมือนความรู้สึกของกูจะกลายเป็นแค่ลม แค่ของที่ไม่มีตัวตน กูรับอะไรแบบนั้นไม่ได้ เพราะรู้ว่าต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ก็เลยไม่บอก ”

หัวใจของผมมันหนักอึ้ง หินถ่วงพร้อมเชือกขนาดใหญ่เหมือนถูกดึงเข้ามามัดหัวใจของผมไว้ มันเจ็บปวด เพราะผมรู้ว่าเตกำลังเจ็บปวด สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็เป็นเช่นนั้น คือ ไม่ว่าจะทำยังไงก็ตาม แต่ถ้าความต้องการของหัวใจไม่ถูกตอบรับ สุดท้ายมันก็เจ็บปวดอยู่ดี

ไม่มีหรอก ที่บอกว่าจะไม่เจ็บปวด มันไม่มีทางเลย
ไม่ถูกรัก จากคนที่รัก ใครมันจะไม่เจ็บปวดกัน

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27

   “ นี่ ” แก้มถูกดึงให้ยืดออกจากคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมที่หันไปมองเต อีกคนในตอนนั้นกำลังยิ้มให้กันอย่างใจดี เหมือนในทุกๆครั้งที่เราผมหันไปมองมันที่นั่งเรียนอยู่โต๊ะข้างกันในวันเก่าก่อน “ กูไมได้เสียใจที่มึงไม่รักเลยนะรู้มั้ย มึงจะเศร้าอะไรขนาดนั้น ”

“ ก็มัน..”

“ ทุกความสัมพันธ์มันมีสิ่งที่ควรเป็นอยู่ แล้วกูกับมึงเป็นอะไรแบบนี้แหละ มันก็ดีอยู่แล้ว ” เตยิ้ม “ กูไม่ได้คิดอยากจะบอกมึง เพื่อให้มึงตอบรับรักอยู่แล้ว เพราะกุรู้ว่ามึงรู้สึกยังไง อีกอย่างกูรู้สึกว่าเป็นแบบนี้มันดีกว่า ”

“ แบบนี้เหรอ ” ผมทวนคำพูดนั้น

“ ก็แบบที่กูกับมึงเป็นเพื่อนกันไง ” คนข้างกันยิ้ม “ กูโอเคกับการที่อยู่ตรงนี้นะ มึงอย่ารู้สึกแย่เลย เอาจริงๆ พอหวนย้อนกลับไป กูก็แค่คนคนนึงที่รู้สึกดีกับการได้รักมึง ส่วนตอนนี้กูก็ยินดีกับความสุขของมึง อย่างที่ไม่ได้รู้สึกเสียใจเลยว่า เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยปลงตก กลับกันที่ว่า กูรู้สึกโอเคมาก ที่เห็นมึงมีความสุข ได้รักกับคนที่มึงรัก แล้วก็ได้อยู่เป็นคนที่มึงจะแชร์ทุกเรื่องให้ในฐานะเพื่อนให้ฟัง สุขแบบที่ไม่จำเป็นต้องครอบครองน่ะเข้าใจม่ะ ”

“ เหรอ ” ผมถอนหายใจพลางเหลือบคนพูดที่ในใจตอนนี้ยังไม่มั่นใจเท่าไหร่ ก็บางทีที่พูดออกมามันแค่เพื่ออความสบายใจของผมเพียงเท่านั้นหรือเปล่า

“ หันมามองหน้ากูนี่ ” มือที่เอื้อมมาจับตรงปลายคาง สายตาที่สบเข้ากับสายตาของอีกฝ่ายที่กำลังยกยิ้ม “ ไม่ต้องห่วง กูพูดจริงๆ กูโอเคกับสถานะนี้ แล้วก็ไม่ได้คิดอยากจะล้ำเส้นมึงมากไปกว่านี้ เข้าใจไว้ด้วย ”

“ ไม่ต้องตอแหลกูก็ได้นะ ” ผมย้ำแต่เตในตอนนั้นก็แค่ยิ้ม

“ อย่าคิดว่าพอมันเป็นความรักแล้วต้องได้อีกฝ่ายมาครอบครองอย่างเดียวสิ อย่าคิดว่าถ้าไม่ได้รักแล้วจะเสียใจ ความรู้สึกรักมันมีหลายแบบ กูรักมึงก็จริง แต่ความรู้สึกที่อยากจะได้มึงมีครอบครองมันไม่มีแล้ว  กูแค่อยากให้มึงมีความสุข ไม่งั้นจะยื่นมือเข้าไปช่วยมึงทำไมละ หน้าตากูดูเป็นคนกระเสือกกระสนหาความเจ็บปวดมากเหรอเมี่ยงคำ ”

“ ใครจะรู้ ก็เห็นตอนพูดกับไอ้อาร์มละอย่างอิน แม่งโคตรเข้าถึงบทบาท กูนี่ก็คิดเลย ความรู้สึกแบบเหมือนนางเอกสวยๆที่กำลังถูกแย่งชิง ”

“ แต่มึงก็สวยนน้าเมี่ยงๆ ” โดนหยิกแก้มไปอีกทีผมก็ทำหน้าแย่ใส่แบบที่ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่นัก “ หน้าตามึงน่ารัก ไม่งั้นคนข้างห้องมึง เค้าจะตกหลุมรักมึงเหรอ ”

“ บ้า ” บอกปัดอีกฝ่ายด้วยใบหน้าแดงๆ เตมันก็ยกยิ้ม

“ หมั่นไส้นักไอ้ห่า ไว้กูมีแฟน กูจะหาให้น่ารักกว่ามึงเป็นสิบเท่าเลย ” เบิกตาขึ้นคล้ายจะบอกว่าไม่ที่ทางว่าจะเป็นแบบนั้นหรอก ก่อนที่เราจะหลุดยิ้มให้กัน แล้วเตยกเบียร์ในมือขึ้นดื่ม “ สบายใจแล้วใช่มั้ย ”

“ อื้ม ”

“ ดีแล้วละ ” เตว่า ก่อนจะดึงแขนขึ้นบิดขี้เกียจ “ กูว่า กูกลับดีกว่า ”

“ อ้าว ไหนบอกจะนอนที่นี่กับกูไง ”

“ เปลี่ยนใจ ” ว่าแบบนั้นคนที่นั่งข้างกันก็ลุกขึ้นเต็มความสูง ส่วนผมเองก็เช่นกัน ไอ้นายท่านถูกอุ้มขึ้นจากตัก แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ค่อยอยากจะให้อุ้มกันเท่าไหร่ มันเลยชิงกระโดดลงไปก่อน แล้วบิดขี้เกียจอยู่บนพื้นกลางห้อง “ แล้วอีกอย่างนะ ”

“ อะไร ”

“ เผื่อมึงจะอยากทำอะไร กุ๊กกิ๊กน่ารักๆ กับแฟนหมาดๆของมึงไง มีกูอยู่อาจจะไม่สะดวกเท่าไหร่ ” ว่าแบบนั้นพร้อมกับคิ้วที่ก็ยักให้กันพร้อมด้วยสายตาที่มองกันแบบมีเลศนัย อย่างที่ชวนให้คิดถึงเรื่องดีๆไม่ได้เลย

“ ไปตายซะไอ้ห่า กูไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก เพิ่งคบกันนะ ”

“ อะไรเมี่ยง กูหมายถึงนั่งจับมือ ดูทีวีต่าง ” เตหันมองกันแบบล้อๆ “ น้องเมี่ยงคิดอะไรอยู่เหรอออออออ เรื่องอย่างว่าเลยปะ ลามกจังนะ ”

“ มึงไปเลยนะ ” ชี้ไปที่ประตูอีกคนก็หัวเราะใหญ่

“ งั้นกูไปแล้วนะ ไว้เจอกัน ” มันว่า แต่ในความรู้สึกของผมก็รู้สึกว่า เหมือนว่าคงจะไม่ใช่เร็วๆนี่หรอก ถึงเตจะบอกว่าไม่ได้เสียใจ ไม่ได้รู้สึกอยากจะได้ผมมาครอบครองแบบเมื่อก่อนแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า มันจะไม่เสียใจสักหน่อย เพราะมันยังรักกันอยู่ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ความเสียใจก็คือความเสียใจอยู่ดี

“ ไว้เจอกันนะ อย่าหายไปละไอ้สัด ” ผมย้ำ

“ จ้า แต่ก็ให้กูไปพบปะเพื่อนฝูงคนอื่นบ้างเนอะ เพราะชีวิตกูไม่ได้มีแค่มึงไงเมี่ยง เข้าใจด้วยน้า ”

“ จ้า ” ผมตอบรับพลางมองมันก็ใส่รองเท้าผ้าใบคู่เก่งแล้วเตรียมตัวจะเดินออกไป “ ให้เรียกแท็กซี่ให้มั้ย ”

“ กูเรียกได้จ้า ไม่ต้องห่วง กูมาจากเมืองนอก ไม่ได้เพิ่งออกมาจากในท้องแม่ ” ยักคิ้วให้กันอีกครั้ง มันที่ยกมือขึ้นบอกลา ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ “ ไม่ต้องคิดแทนกู แล้วก็ไม่ต้องแบกรับความรู้สึกของกู มีความสุขให้มากๆ แต่ขอบอกไว้ก่อนเลบนะ ”

“ อะไร ”

“ ถ้ามันทำให้มึงเสียใจ กูจะต่อยมัน ในฐานะที่มันบังอาจมันทำให้คนที่กูรกต้องเสียใจ  ”

“ ว้าวซ่าส์มากเลยไอ้สัด ” บอกแบบนั้นอีกคนก็หัวเราะ แล้วก็เดินออกไปจากห้องของผม ที่อยู่ๆก็เหมือนจะมีแต่เพียงความเงียบขึ้นมาฉับพลันหลังจากที่ประตูนั้นถูกปิดลงไป

เก้าอี้ที่อยู่ด้านนอกระเบียงยังวางอยู่ที่เดิม ผมที่ยืนนิ่งมองอยู่สักพักก่อนจะเดินไปจัดการอะไรๆให้มันเข้าที่ กระป๋องเบียร์ที่ถูกกินหมดแล้วถูกทิ้งลงในถังขยะ ส่วนของที่เหลือก็ถูกย้ายเข้าไปในตู้เย็น ความเศร้าไม่ได้กัดกินหัวใจผม เป็นแค่ความรู้สึกโล่งที่คล้ายกับลมเบาๆมากกว่า

มันทั้งสบายใจและรู้สึกสงบ
อย่างที่ไม่ต้องรู้สึกอึดอัดกับอะไรอีกแล้ว

ครืน ครืน ครืน


เสียงโทรศัพท์ที่สั่นอยู่บนโต๊ะหน้าทีวี ผมหันไปมองดูมันก่อนจะหยิบขึ้นมาดูในตอนที่เห็นว่า มันเป็นวิดีโอคอลที่โทรเข้ามาไม่ได้มีเพียงแค่สายโทรเข้าแต่อย่างใด แล้วสายนั้นก็คือสายที่ชวนให้ความรู้สึกมันแปรเปลี่ยนฉับพลัน  ‘ ARM ’ โทรเข้ามา

เลือดทั้งร่างขึ้นมากองกันรวมที่หน้า ผมหันซ้ายดูขวาก่อนจะเดินเข้าไปจดจ้องทีวีที่ตอนนี้กำลังฉายเงาสะท้อนของตัวเองอยู่ มือที่ยกขึ้นจัดทรงที่คิดว่าดูดี ผมจับหน้าตัวเองแบบที่เช็คว่ามันยังดีอยู่มั้ย ไมได้ดูแย่ใช่มั้ย ก่อนจะทำทีเป็นนั่งลงบนโซฟา แต่ก็เหมือนจะคิดขึ้นมาได้

“ กูดูจริงจังไปเปล่าวะ แม่งต้องรู้แน่เลยว่าอยากจะคุยมาก แล้วก็ทำตัวดูดีเต็มที่ ” ว่าแบบนั้นมือที่ว่างก็ขยี้หัวตัวเองจนยุ่ง แล้วทำท่าทีไม่ใส่ใจอะไร ผมกดรับ ก่อนที่สายนั้นจะดับไป “ ว่าไง ”

“ ไมได้อยู่ข้างนอกเหรอ ” ปลายสายที่ถามแบบนั้น อาร์มเองจากเท่าที่ดูก็กำลังนั่งอยู่บนเตียงในห้องนอน “ ได้ยินเสียงเปิดประตู เลยคิดว่ามึงออกไปไหนกับเพื่อน ”

“ ก็เลยจะวิดีโอคอลมาเช็คเหรอ ” ผมถาม “ เป็นคนขี้หึงเหรอมึงน่ะ ” อีกฝ่ายก็ส่ายหน้า

“ แค่อยากเห็นหน้ามึงก่อนนอน เพราะรู้ว่า อีกเดี๋ยวน่าจะเมา แล้วก็ไม่น่าจะคุยกันรู้เรื่องเท่าไหร่ “ กลายเป็นผมที่ใบ้กินไปชั่วขณะในตอนนั้น “ แล้วก็จะบอกด้วยว่าอย่างซ่าส์ให้มันมากนัก เป็นห่วง ”

‘ พลังทำลายล้างนี้ ช่างรุนแรงเสียเหลือเกิน ’ มันเล่นเอาผมนิ่งไปเลยในตอนที่ได้ยิน หูที่เหมือนจะขาดการติดต่อ แต่เหมือนคนตรงหน้าจะรู้ อาร์มมันเลยยิ้มพลางเท้าคางมองกัน

“ ท่ามึงน่าหมั่นไส้มาก จนกูอยากจะวิ่งไปต่อยมึงเลยในตอนนี้ ”

“ มาสิ เดี๋ยวเปิดประตูให้ แต่บอกไว้ก่อนนะ ว่าถ้ามาแล้ว ไม่ได้กลับแล้วนะ ”

“ ไม่ไปเฟ้ย ” ถลึงตาใส่มันที่ก็ยิ้มแบบไม่ไว้วางใจ “ ไม่ต้องมามองกูแบบนั้นเลย กูไม่ไปหรอก ”

“ มองแบบไหน ”

“ ก็แบบที่ถ้ากูเข้าไปนอนด้วย มึงก็ต้องกอด ต้องจูบ ” ผมว่า “ คือมึงไม่ต้องคิดเลยนะ ยังไงกูก็ไม่ไปเด็ดขาด มึงฝันไปเลย ขาอ่อนกูน่ะ ยังไงมึงก็ไม่มีทางได้เห็น ” คนที่ฟังยิ้มกว้างออกมา อาร์มจ้องมองผมผ่านหน้าจอมือถือ

“ ถามจริงนะ ”

“ อะไร ”

“ นั่นไม่ใช่สิ่งที่มึงคิดอยู่หรอกเหรอ กูยังไมได้คิดอะไรเลยนะ ” อีกฝ่ายยกยิ้ม “ แหม แฟนกูหื่นจัง ”

“ ไอ้สัด ” สถบออกไปแบบไม่ออกเสียง อีกฝ่ายก็หัวเราะเสียงดังแบบถูกใจ “ ไม่คุยกับมึงแล้ว หงุดหงิด หัวกูนี่นะ ปวดตุ๊บๆเลยบอกไว้ก่อน ”

“ คุยหน่อย ” มันว่าเสียงอ่อน คล้ายกับว่าจะอ้อน “ ผมอยากคุยกับคุณนะ ”

“ จะอ้วก ” พูดแบบจริงจังแต่ก็หน้าแดงไปหมด ผมหลุดยิ้มกว้างแบบที่เขินเสียมากมายจนต้องหลบออกจากหน้ากล้องแล้วผ่อนลมหายใจออกมาแบบอยากจะยอมแพ้ “ แล้วมีอะไรจะพูดอีก แค่นี้เหรอ ”

“ พรุ่งนี้เรียนเช้าใช่มั้ย ”

“ ก็ใช่ ” ผมพยักหน้ารับ “ แล้วถามทำไมอะ ”

“ ไปด้วยกันนะ พรุ่งนี้ไปมหาลัยด้วยกัน ” ไมได้ตอบคำถามนั้นออกไปในทันที ผมได้แต่คิดพลางเหลือบมองรอบตัวแบบที่ดูออกทั้งหมดว่ากำลังหาข้ออ้าง

มันไมได้ ไม่อยากไปด้วยกันหรอก เห็นแบบนี้ผมก็มีความต้องการที่อยากจะจู๋จี๋กับคนที่ได้ชื่อว่าแฟนเช่นเดียวกัน อยากมีโมเม้นท์แบบที่จับมือถือแขน แล้วก็นั่งกินข้าวด้วยกัน แต่นั่นแหละ เรื่องของเราตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ ถ้าไม่นับไอ้เจ้ยแล้ว ผมก็ยังเดาไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่า ว่าสถานการณ์ตอนที่เบส หรือแม้แต่ดีนรู้เรื่องของเรา มันจะออกมาเป็นแบบไหน

ผมยังไมได้เตรียมใจมากับการหาเพื่อนใหม่ เตรียมใจมาแค่การมีแฟนเป็นคนตรงหน้าเท่านั้น

“ เผื่อกูตื่นสาย ค่อยว่ากันแล้วกันเนอะ ” ก็ไม่อยากจะให้มันเสียความรู้สึกหรอก ผมไม่อยากจะให้อาร์มคิดว่า ผมคิดจะปิดบังเรื่องมันกับเพื่อน แม้มันจะรู้ว่าเพื่อนของเราต่างฝ่ายต่างประสาทแดกกันมากแค่ไหนก็เถอะ แต่สุดท้ายแล้วเหตุผลพวกนั้น มันก็ยังดูงี่เง่ามากอยู่ดี

“ ไว้เจอกันพรุ่งนี้แล้วกัน ” อีกฝ่ายบอกย้ำกันแค่นั้น “ คืนนี้ก็อาบน้ำแล้วก็เข้านอนเร็วๆ ”

“ อะเค ” ได้แต่บอกไปแบบนั้นด้วยเสียงเบาๆ ในตอนนั้นอาร์มที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ หน้าจอแบบเกินไปก็เอ่ยถาม

“ ดูอะไรนี่สิ ”

“ อะไร ” เพราะไม่เห็นความผิดปกติอะไร ในใบหน้าหล่อเหลานั้นก็เลยถามย้ำ “ ไม่เห็นมีอะไรเลย ”

“ เข้ามาใกล้อีก ” ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะแค่จุ๊บลงหน้าจอนั้นอย่างรวดเร็วแบบที่ผมตกใจจนเด้งตัวออกแทบไม่ทัน

“ ไอ้สัด เล่นทีเผลอนี่หว่า ”

“ ฝันดีนะครับ คุณแฟน ” ว่าแบบนั้นยิ้มๆ ผมก็ได้แต่ผ่อนลหมายใจพลางตอบกลับไปอย่างที่ไม่รู้ว่าจะตอบกลับอะไรได้อีก

“ เออ ”

“ เอออะไร ”

“ ก็เออไง ฝันดีเหมือนกันน่ะ ”  ผมบอก แต่เหมือนนั่นจะไม่ใช่คำพูดที่อาร์มอยากจะได้ยิน

“ แล้วมึงบอกใครอะ ”

“ คือมึงเห็นมั้ยว่ากูหน้าแดงเนี้ย ยังจะไม่หยุดเหรอ ยังจะแกล้งกูอีกเหรอ อย่ามาร้ายได้ปะ ” พูดกับมันด้วยเสียงจริงจังแต่อีกฝ่ายก็แค่หัวเราะ “ ไม่รู้จะมีความสุขอะไรนักหนา น่าหงุดหงิดไอ้สัด ”

“ ก็มันไม่มีอะไรให้กูรู้สึกทุกข์ ” อาร์มพูดยิ้มๆ “ แฟนกูน่ารักมากขนาดนี้ จะให้กูหงุดหงิดเรื่องอะไรละ ”

“ หงุดหงิดเพราะกูน่ารักมากๆก็ได้อะ ”

“ อันนั้นไว้หงุดหงิดตอนที่มึงไปน่ารักใส่คนอื่นที่ไม่ใช่กูแล้วกัน ”

“ คือ.. นี่มึงคิดจะฆ่ากูเหรอ ” ผมถาม ก่อนที่จะถอนหายใจออกมา “ ฝันดีเหมือนกันนะ คุณแฟน ”

“ ครับผม ฝันดีครับ ” สายสนทนาที่พอพูดจบก็ถูกวางไปนั้น หลงเหลือไว้แค่ผมที่ผ่อนตัวลงนอนยาวกับโซฟาราวกับคนที่ไร้แล้วซึ่งเรี่ยวแรงใดๆ

เพิ่งรู้ก็วันนี้เองว่าหัวใจที่เคยคิดว่ามันเต้นแรงจนเจ็บเวลามีความสุข แต่วันนี้มันกลับเต้นแรงได้มากกว่านั้นอีก เมื่อมีความรัก

“ คงประมานนี้มั้ง ความสุขจากความรักที่ใครเค้าพูดถึงกัน ”  แล้วในที่สุดผมก็ได้รู้จักมันสักที

.....................................................................
มีแมวแล้ว มีแฟนแล้วด้วย
ก็เลยต้องหวานๆกันหน่อย
ตั้งใจเขียนฉากของเตกับเมี่ยงให้ออกมาในเชิงอบอุ่น เรามองว่ามันมีแหละ เพื่อนที่อยู่ในจุดที่ไม่ได้รู้สึกอย่างจะได้เรามาครอบครอง และแค่ความสุข ในวันที่เค้ามีความสุข อยากเขียนให้ออกมาแบบ เข้าใจในมุมมองของเพื่อนรักเพื่อนอีกรูปแบบ ไม่ใช่แบบของน้องดีนน่ะนะ

ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์จ้า

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อืมมมมมม   โมเมนต์ความรักเพื่อนของเมี่ยงที่มีต่อเต   มันก็คงเหมือนความรักเพื่อนที่ดีนมีให้กับอาร์ม 

มันคงไม่สามารถพัฒนาเป็นแฟนได้หรอก   เพียงแต่ดีนจะมีอารมณ์อยากเก็บเพื่อนไว้ในฮาเร็มตลอดไปมากกว่าเมี่ยง

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
อ่านแล้ว อยากเป็นเพื่อนเตจังเลย  :mew2:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
หึหึ!! เคลียร์ เหลือแต่ฝั่งอาร์มสินะ ถึงจะได้เชิดหน้าเปิดเผยว่าคบกันอีกรอบ 5555 สนุกกค่า มาต่อยาวเลย ดีๆ ขอบคุณนะที่มาอัพ รอตอนต่อไปเลย  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ตอนที่ 24

ภายในห้องสี่เหลี่ยมของเช้าวันที่มีเรียนและมีแฟนแล้วนั้น ค่อนข้างวุ่นวายมากเป็นพิเศษ ความประหม่าของผมเกิดขึ้นตั้งแต่ลืมตื่นตายันอาบน้ำ มันมีความไม่มั่นใจในสักสิ่งอย่างที่กำลังทำอยู่

สบู่ถูกฟอกตั้งสามรอบในเช้าวันนี้เพราะรู้สึกว่ายังหอมไม่พอ ไม่นับว่าเสื้อนักศึกษาที่วันนี้เรียบกริบกว่าทุกวัน แน่นอนว่าห้ามมีใครเดินผ่าน ไม่งั้นอาจจะเกิดบาดแผลจากความคมของกลีบเสื้อได้ 

“ นายท่าน ” เอ่ยเรื่องเจ้าตัวลายที่กำลังนอนเหยียดยาวอยู่กับเตียงของผม แววตาเรียวสีเหลืองที่เหลือบมองกันนั้น สีหน้าไม่สบายใจของผมมองดูมันพลางลูบไปตามเนื้อตัว “ มึงว่า กูหล่อยัง”

ก็รู้อยู่หรอก ว่าแมว มันพูดไม่ได้ แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังถามออกไปแบบที่ไม่รู้จะเสริมความมั่นใจให้กับตัวเองยังไงดี

“ คือ ช่วยอย่ามองกูด้วยสายตาที่มันว่างเปล่าขนาดนั้นได้มั้ยอะ ” แววตาที่ดูไม่รับรู้อะไรคล้ายกับว่าในสมองเล็กๆนั้นจะพูดประมานว่า

‘ เป็นเหี้ยอะไรเอ่ย ถามกูทำไมจ้ะ ’

“ ขอสักเมี๊ยวนึงให้ชื่อใจ พี่เมี่ยงดูน่ารักกว่าแก้มหอมมั้ยครับ ” กระพริบตาปริบๆมองเจ้าหน้าขนที่ลุกขึ้นนั่งก่อนจะลงเลียขนขนตัวเอง นายท่านกระโดดลงจากเตียง มันสะบัดตูดเดินไปด้านนอกอย่างที่ไม่มีความสนใจในตัวผมสักนิด แต่บางทีนั่นอาจจะเป็นคำตอบ

‘ ไม่น่ารักจ้ะเมี่ยง ’

“ มึงนี่ไม่คิดจะมุ้งมิ้งกับกูแบบบ้านนู้นเค้าหน่อยเหรอ บ้านนู้นเค้ามุ้งมิ้งกันมากเลยนะ เค้ามีความขานรับต่างๆ นายท่านค้าบบ ” นอกจากจะไม่มุ้งมิ้งตอนนั้นมันจะยังหันมองผมแบบเหลือบตาด้วยความรู้สึกราวกับว่า ‘ มึงเป็นอะไรของมึงเนี้ย ผีเข้าเหรอเมี่ยง ’ “ เมี๊ยวหน่อยสิมึง อย่าเฉยเมยได้ปะละ ”

ขยี้หัวไอ้ตัวป่วนด้วยความมันเขี้ยวก่อนจะโดนอีกฝ่ายงับใส่เบาๆ ผมยิ้มกว้างพลางถอนหายใจออกมาด้วยความสุขแบบที่ไม่ว่าจะมองอะไรก็คล้ายว่ามันจะกลายเป็นสีชมพูไปเสียทั้งหมดเลยในตอนนี้ ทุกอย่างดูสดใส พาสเทล อารมณ์ดีแม้จะโดนแมวตัวเองเมินก็ตาม


ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูทำให้ผมหยุดมือที่กำลังเทอาหารของนายท่านลงแทบจะทันที รอยยิ้มที่หุบไม่ลงผมเดินตรงไปที่ประตูพลางมองดูคนมาใหม่ผ่านตาแมว แล้วก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างไม่รู้ว่าต้องเก็บความรู้สึกยังไง

หัวใจของผมนั้น มันกำลังกระพือปีก แล้วตอนนี้มันก็กำลังบินออกไปนอกห้องตรงนั้น อย่างที่ควบคุมอะไรไว้ไม่ได้

“ มาแล้วเหรอ ” แง้มประตูให้อีกฝ่ายเห็นแค่ตาในตอนที่ถาม แต่คนที่มายืนอยู่ข้างหน้าห้องก็แค่หลุดยิ้มก่อนจะก้มตัวลงมาสบตากันใกล้ๆ

“ เป็นอะไรครับคุณ ”

“ แล้วมึงจะเข้ามาใกล้กูทำไมเนี้ย ” ดึงตัวเองออกห่าง ประตูนั้นก็เปิดออกกว้างขึ้น คนร่างสูงยิ้ม

“ ก็คิดว่ายังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าซะอีก เห็นโผล่มาแค่ตา ” ว่าแบบนั้นพลางถอนหายใจเสียงดัง “ เสียใจเลยอะ ว่าจะมาช่วยแต่งตัวให้แฟนสักหน่อย ”

“ ตลกละไอ้สัด ” ผมว่าอีกคนก็เดินเข้ามาด้านใน อาร์มมองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดสายตาอยู่ที่ไอ้ตัวลายของผมที่ตอนนี้กำลังนั่งสงบเสงี่ยมอยู่บนพื้น พลางเงยหน้ามองอาหารที่อยู่บนโต๊ะอย่างรอคอยความหวัง

“ ว่าไงมึง ยังไม่ได้กินอะไรอีกเหรอ ” ย่อตัวลงเกาคออีกฝ่ายที่ก็หลับตาพริ้ม แต่พอหยุดมือกลับแยกเขี้ยวใส่กันเฉย ตามสไตส์ของคู่กัด  “ แก้มหอมกินเสร็จ แล้วก็เดินตัวกลมไปนอนกลิ้งบนหอคอยเค้าแล้วนะจะบอกให้ ”

“ ก็นี่ไงกูกำลังทำให้ ” ผมว่าพลางเดินกลับมาเทอาหารเม็ดต่อจนถึงปริมานที่ให้กินเป็นประจำ ผสมเข้ากับอาหารเปียกคลุกเคล้ามันจนเข้ากัน ก่อนจะสะดุ้งตัวอยู่ไม่น้อยกับร่างสูงที่คิดว่านั่งเล่นกับแมวอยู่กลับลุกขึ้นเต็มสูงแล้วเดินมากอดคอกันไว้แบบที่พิงร่างทั้งร่างลงมาใส่กัน

ท่าทางที่ชวนให้หัวใจทั้งดวงของผมหนักไปหมด หนำซ้ำยังเต้นแรงจนแทบจะไม่เป็นจังหวะกับความใกล้ชิดที่ไม่ทันตั้งตัว

“ กูหนักนะไอ้สัด มึงคิดว่าตัวเองสองขวบหรือไง ” บอกแบบนั้นอีกคนก็หลุดยิ้ม แต่เหมือนว่าคำท้วงนั้นจะไม่ได้มีผลอะไรสักเท่าไหร่ แถมซ้ำคนที่กอดกันยังดึงหน้าตัวเองลงมาตั้งลงบนไหล่อีก

“ ว่าแต่ทำไมตัวคุณแฟนหอมจังเลยละครับ ”

“ ปกติ ” ตอบออกไปแบบนั้นสั้นๆ ทั้งๆที่อยากจะบอกว่า ‘ตอแหลไอ้สัด มึงเล่นถูสบู่ตั้งสามรอบทำไมมันจะไม่หอม ไหนจะน้ำหอมที่มึงฉีดลงไปอีก ’

“ คือหอมจนอยากอยู่ด้วยทั้งวันเลย ”

“ เอาเชือกมามัดตัวกูไว้กับมึงเลยมั้ย ” เหลือบมองเสี้ยวใบหน้าคมของคนที่ทำให้ใจเต้นแรงไม่หยุดหย่นนั้น แต่เหมือนว่าอาร์มจะไม่ได้รับรู้อะไรถึงคำประชดประชัน

“ ได้เหรอ ”

“ K ” สบถไปแบบไม่ออกเสียง ผมดึงตัวเองออกห่างก่อนจะหยิบจานอาหารของเจ้าตัวลายมาวางไว้ตรงที่เดิม “ เชิญครับ นายท่าน ”

“ จะว่าไปมันก็เชื่องดีนะ ” ร่างสูงบอกพลางมองอีกตัวที่กำลังกินอาหารอยู่ “ ตอนมึงทำอาหารให้กิน ไม่เห็นมันจะกระโดดขึ้นมาเลย ”

“ ตั้งไว้ก็ไม่มีกระโดดมาแอบกินก่อนนะ ” ผมบอก ก่อนจะย่อตัวลงลูบหัวกลมๆนั้น “ สงสัยจะถูกฝึกมาอย่างงั้นจากเจ้าของเก่า ”

“ แล้วเดทแรกวันนี้เรากินอะไรกันดี ” อาร์มพูดพลางนั่งพิงกับโต๊ะก่อนจะยิ้มมองผมที่ทำได้แค่เบือนหน้าหนีอย่างไม่รู้จะตอบว่าอะไร แม้เมนูอาหารจะมีมากมายในสมองเพราะเป็นคนที่ชอบกิน แต่พอสถานการณ์แบบนี้มันกลับถูกกลืนหายไปหมด ไม่มีอะไรเหลืออยู่ให้เป็นข้อมูลแม้สักอย่างเดียวในตอนนั้น ผมเหลือบมองอาร์ม “ ว่าไง ”

“ ตอบว่าอะไรก็ได้ ได้มั้ย ” ว่าแบบนั้นอีกคนก้มหน้าลงพลางยิ้มกว้าง ก่อนจะเงยหน้ามองกันอีกครั้งด้วยสายตาเอ็นดู “ ปกติกูชอบคิดของกินมากเลยนะ แต่ตอนนี้ก็คือสมองกูว่างเปล่าสุดๆ ”

“ เหรอ ”

“ อื้ม ” ยักคิ้วตอบรับอีกฝ่ายก่อนจะหันไปหยิบกระเป๋าผ้าของตัวเองขึ้นสะพายไหล่ สายตาของผมตรวจเช็คไปรอบๆห้อง ว่าไม่มีอะไรที่ลืมทิ้งไว้แบบที่อาจจะเสี่ยงตกแตก “ งั้นเมี่ยงไปแล้วนะนายท่าน ” บอกเจ้าตัวลายที่เอาแต่กินข้าว ในตอนนั้นอาร์มมันก็ยกยิ้ม

“ แล้วสรุปกินอะไรดี ”

“ ก็บอกว่าไม่มีอะไรที่อยากจะกินเป็นพิเศษไง ” ผมย้ำพลางมองอีกคนที่ก็เอื้อมมือมากอดคอกันไว้ เราเดินตรงไปที่ลิฟต์

“ น่าแปลกที่คนช่างกินอย่างมึงจะไม่มีอะไรที่อยากกิน ” เหลือบมองร่างสูงที่ขยับมือที่ตั้งอยู่บนไหล่มาจับแก้มกัน แต่ถึงอย่างงั้นผมก็พยักหน้ารับอย่างจำยอม นั่นก็จริงอยู่แหละ เพราะปกติก็คือคิดตั้งแต่ตื่นนอนแล้วว่าเช้า เที่ยง เย็น จะกินอะไรดี พื้นที่ในสมองคือคิดเรื่องกินมากกว่า 60% เป็นเรื่องใหญ่และจริงจังที่สุดในชีวิตแล้ว

“ ก็บางที อาจจะเป็นเพราะมึงมั้ง ” หยุดเท้าลงหน้าลิฟต์ที่ปิดสนิท ผมกดเรียกลิฟต์ก่อนจะถอนหายใจใส่ภาพสะท้อนเบื้องหน้าของเรา

“ ยังไง ” อาร์มก้มลงถาม

“ ก็เพราะมีมึงอยู่ไง ” หันไปบอกอีกคนพลางยักคิ้วให้ “ กูนะ แค่มีมึงอยู่ กินอะไรก็ได้ทั้งนั้นแล้วละตอนนี้ ความอยากอาหารลดลงฉับพลับ คล้ายๆว่ากูจะมีความสุขกับทุกอย่างเลย ”
 
แววตาเบิกกว้างขึ้นฉับพลันในตอนนั้น ริมฝีปากบางของอีกฝ่ายก้มลงแนบจูบลงบนอวัยวะเดียวกันนั้นของผม อย่างไม่ทันให้ได้ตั้งตัวใด ก่อนที่ลิฟต์จะถูกเปิดออกพร้อมทั้งกับอีกคนที่ดึงตัวเองกลับยืนข้างกันเหมือนเดิม ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ บางทีกูอาจจะต้องหาวิธีเอาไว้จัดการกับความน่ารักของมึงแล้วมั้ง ”  โดนดันเข้าไปในลิฟต์แบบที่ไม่รู้ว่าต้องแสดงความรู้สึกยังไง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ทั้งจูบ หรือแม้แต่คำพูดนั้น ใบหน้าของผมร้อนผ่าว ถ้าอยู่ในการ์ตูนสักเรื่องที่ชอบดู ก็คงมีควันอ่อนๆลอยขึ้นมา ความรู้สึกแบบน็อคไปแล้ว อย่างไม่มีทางไปต่อได้อีก

แม้ว่าในสมองจะมีคำถาม
แล้วกูละ ควรมีอะไรเอาไว้จัดการกับมึงที่ทำให้กูหัวใจเต้นแรงขนาดนี้บ้างมั้ยนะ


มันกลายเป็นความเงียบตลอดทาง ผมที่นั่งเบลออยู่ข้างเบาะที่นั่งคนขับทั้งๆที่คิดเอาไว้ตั้งแต่ก่อนนอนว่าจะแค่กินอะไรกันแถวคอนโดแล้วก็ขับรถกันออกมาคนละคันเพื่อปกป้องกันพบเห็นของเพื่อนในกลุ่ม แล้วเราก็จะพูดเรื่องที่อาจจะทำให้ประสาทแดกนั่นก่อนเพื่อทำการตกลง

แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ยกเว้นเข้าไปนั่งนิ่งๆในรถคันหรูนั่นแล้วปล่อยให้อีกคนพาไปกินอาหารเช้า จนสุดท้ายรถก็มาจอดลงอยู่ที่ร้านโจ๊กที่อยู่ไม่ไกลจากคอนโดเราเท่าไหร่ 

“ มึงเคยมากินโจ๊กร้านนี้มั้ย ” อาร์มถามในตอนที่ดึงเบรคมือขึ้น แล้วหันมองเข้าไปในร้าน ที่ตอนนี้มีคนนั่งอยู่แค่ไม่กี่ที่ในนั้น

“ เพิ่งรู้ด้วยซ้ำว่ามันมีร้านขายโจ๊กตรงนี้ ”

“ อร่อยนะ จะบอกให้ ” ร่างสูงว่างั้นก่อนจะดับปิดเครื่องยนต์ของตัวรถ โดยรอบร้านเป็นตึกแถวที่ค่อนข้างเก่า แถมคูหาที่ขนาบข้างทั้งซ้ายขวาก็ไม่มีคนเช่า ง่ายๆว่าถ้าดูจากสภาพแววดล้อมก็ไม่น่าอร่อยเลย คนขายก็แก่มากแล้ว ส่วนคนที่ยังแข็งแรงก็น่าจะเป็นเด็กน้อยที่ท่าทางว่าน่าจะเป็นหลาน อายุสัก 10 ขวบได้

“ พี่อาร์มมมมม ” ผมเบิกตาขึ้นน้อยๆในตอนที่เด็กผู้ชายคนนั้น เบิกตากว้างด้วยท่าทางดีใจในตอนที่เจอคนที่เดินตามมาด้านหลัง

“ ยังไม่ไปโรงเรียนอีกเหรอ ” คำพูดที่ดูเหมือนสนิทสนมนั้นยังดูน้อยไปในตอนที่เด็กคนนั้นวิ่งเข้ามากอดอีกฝ่ายไว้ด้วยท่าทางยินดี ใบหน้าน่ารักของเด็กน้อยนั้นยิ้มแป้น

“ วันนี้หยุดครับ หยุดเพราะเป็นวันเกิดของโรงเรียน ”

“ น่าจะเรียกว่าวันสถาปนาโรงเรียนมั้ย ” คนที่โดนกอดอยู่ว่าอย่างงั้นก่อนจะขยี้หัวเด็กน้อยไปด้วยสายตาเอ็นดู อาร์มหันไปก้มลงไหว้คนที่อยู่หลังหม้อโจ๊กใบใหญ่นั้นที่ก็พยักหน้ารับกลับมาให้ด้วยรอยยิ้มเอ็นดู “ คุณลุงสวัสดีครับ ”

“ ไม่ได้มานานเลยนะ แล้ววันนี้พอใครมาด้วยละ ” สายตาที่หันมามองกัน ผมยกมือไหว้ท่าน

“ สวัสดีครับ ผมเมี่ยงครับ เป็นเพื่อนกับอาร์ม ”

“ แฟน ” ร่างสูงว่างั้นพลางมองผมด้วยสายตาจริงจัง “ มึงเป็นแฟนกูนะ พูดได้ยังไงว่าเป็นเพื่อน ไม่ใช่เพื่อนสักหน่อย ”

“ แล้วคือทำไมมึงต้องจริงจังกันเบอร์นี้”

“ ก็มึงไม่ใช่เพื่อนอะ ” อาร์มมันย้ำอย่างงั้น ผมก็ได้แต่หันไปมองเจ้าของร้านโจ๊กที่ยิ้ม ต่างจากเด็กน้อยที่ก็มองเราด้วยสายตาสับสนอยู่ไม่น้อย แต่นั่นก็คงไม่แปลกอะไร สังคมเราก้าวไปไกลก็จริง แต่การที่ผู้ชายสองคนบอกว่าเป็นแฟนกันมันก็เป็นเรื่องแปลกอยู่ดี ในสายตาของเด็ก

“ อ๋ออออออออ พี่คนนี้เหรอ ที่พี่อาร์มบอกว่าจะพามาแนะนำ คนนี้น่ะเหรอ คนที่พี่อาร์มชอบอยู่ ” ผมหันมองอาร์มในตอนที่เด็กน้อยคนนั้นพูด แต่อีกคนก็แค่ยิ้ม อาร์มส่ายหน้าไปมา

“ คนนั้นเค้าไม่มาด้วยแล้วละ เพราะพี่ไม่ได้ชอบเค้าแล้ว พี่ชอบพี่เมี่ยง พี่ก็เลยพาพี่เมี่ยงมาไง ก็สัญญากับปู่ไว้ ”

“ อ๋ออออออออออ พามาแทนพี่คนนั้นเหรอ ”

‘ เด็กเปรต มึงพูดเหี้ยอะไรของมึงเนี้ย ’ พูดแทนอาร์มมันในใจเพราะคิดว่ามันน่าจะคิดอย่างงั้นแน่นอน มีอย่างที่ไหนพูดให้กระอักกระอ่วมกันตั้งแต่วันแรกและเดทแรกเลย

“ พูดอะไรแบบนั้น ” คุณลุงที่ขายโจ๊กพูดขัด “ เรื่องแบบนี้มันไม่มีใครมาแทนใครได้หรอก ยกเว้นแค่จะเปลี่ยนใจแล้ว ”

“ พี่อาร์มเปลี่ยนใจแล้วเหรอ เปลี่ยนใจก็คือไม่ชอบแล้วเหรอ ”

“ แน่นอนสิ ”

“ แต่ว่าพี่อาร์ม พี่อาร์มห้ามเปลี่ยนใจไปจากโจ๊กของปู่นะ ” เด็กผู้ชายตัวผอมว่าด้วยรอยยิ้มกว้างแบบที่ตาปิดไปหมด แต่อีกฝ่ายก็แค่หัวเราะ

“ ไม่เปลี่ยนใจหรอก จากคนนี้ก็จะไม่เปลี่ยนเหมือนกัน ” ชี้มาทางผมที่ก็ได้แต่ตีมันแบบที่ไม่รู้จะต้องทำตัวยังไง

“ แล้ววันนี้พี่อาร์ม กับพี่.. เอ่อ พี่ พี่ที่เป็นแฟนของพี่อาร์ม พี่ชื่ออะไรเหรอครับ ” คำถามของแววตากลมนั้นทำให้ผมผ่อนลมหายใจออกมา อยู่ๆภายในร้านก็เหมือนจะร้อนขึ้นมากระทันหัน  ผมยิ้มแห้งแบบที่ไม่รู้ต้องทำหน้ายังไงต่อหน้าเด็ก แล้วก็ต้องตอบออกไปอย่างไม่มีทางเลือก

“ ชื่อเมี่ยงครับ ”

“ พี่อาร์มกับพี่เมี่ยงจะกินอะไรครับวันนี้ ”

“ โจ๊กหมูใส่ทุกอย่าง ไม่ใส่ขิงครับ ”

“ เหมือนเดิมนะ ” เด็กน้อยบอกอีกคนก็พยักหน้ารับ ก่อนที่แววตากลมนั้นจะหันมามองกัน “ แล้วแฟนพี่อาร์มจะกินอะไรครับ ”

“ พี่เมี่ยงดีมั้ย สั้นกว่าเยอะเลยนะ ” ผมว่าแต่เจ้าเด็กน้อยตัวแสบก็ทำทีเป็นเบลอใส่กัน “ เอาโจ๊กหมูเหมือนกันครับ แต่ของพี่ใส่ขิงนะ ”

“ มึงกินขิงด้วยเหรอ ” สีหน้าแย่ที่หันมาถาม เป็นสีหน้าที่เหมือนจะถามกันว่า มึงกินมันเข้าไปได้ยังไง

“ ก็กูไม่ใช่เด็กน้อยสักหน่อย ” ผมว่าอีกคนก็แค่หันไปบอกกคนรับออเดอร์

“ ขอหมูกรอบเพิ่มจานนึงด้วยนะ ”

“ ครับ เชิญนั่งเลย แต่ว่าก็รอสักครู่นะ ” หลุดยิ้มกับความช่างพูดนั้น ผมกับอาร์มนั่งลงตรงโต๊ะที่ว่างก่อนที่ผมจะเอ่ยถามอีกคน

“ มึงดูสนิทกับเด็กคนนั้นแล้วก็ คุณลุงเจ้าของร้านมากเลยนะ ”

“ อื้ม ” อีกฝ่ายยอมรับ “ กูชอบกินโจ๊กตอนเช้าๆ ก็เลยมาบ่อย ”

“ แล้วเค้าอยู่ด้วยกันสองคนเหรอ ”

“ ใช่ พ่อแม่เด็กทำงานอยู่ต่างจังหวัดน่ะ เป็นข้าราชการทั้งคู่ ”

“ ก็แปลก ทำไมไม่เอาลูกไปด้วยวะ ”

“ เคยถามเหมือนกัน แต่เค้าบอกว่า อยากอยู่กับปู่ เค้าติดปู่เค้าน่ะ ”

“ มึงดูสนิทกับน้องเค้านะ ” เชิดหน้าไปที่คุณผู้ช่วยตัวจิ๋วอีกฝ่ายก็ยิ้มในตอนที่หันมองตามไป
 
“ พฤษน่ะเหรอ ” เด็กคนนั้น ชื่อน้องพฤษสินะ ผมหันไปมองตาม “ ถ้ามึงออกไปนอกร้าน จะเห็นว่ามันมีร้านเหล้าอยู่ร้านนึงที่อยู่ไกลไปหน่อยสักหน่อย เมื่อก่อนกูเคยมาเมาแล้วมานั่งไม่ได้สติอยู่หน้าร้าน ลุงก็เลยหาน้ำให้กิน จนหายแฮงค์ พอเช้าวันต่อมากูเลยมาอุดหนุนโจ๊กเค้า แล้วกูก็มาสอนการบ้านให้พฤษบ่อยๆ จะได้ไม่ต้องเสียตังค์ไปเรียนพิเศษ ”

“ เหรอ ” หลุดพูดออกมาเพราไม่คิดว่าอีกคนจะมีไลฟ์สไตส์ที่อบอุ่นอะไรขนาดนี้ด้วย แต่เหมือนตอนนั้นอาร์มจะจับผิดจากในแววตาของผมได้เสียก่อน มันเลยยิ้ม ก่อนจะยื่นมือมาเคาะลงบนหน้าผากผม

“ ทำไม หน้าตากูมันไม่เหมาะกับการทำอะไรแบบนี้เหรอ ”

“ ถ้ากูบอกใช่ ”

“ กวนตีน ”

“ โจ๊กอร่อยๆ มาแล้วครับ ” พนักงานเสิร์ฟค่อยๆว่าถาดเสิร์ฟลงบนโต๊ะ กลิ่นโจ๊กหอมๆโชยขึ้นแตะจมูกเรา ผมที่สูดกลิ่นความน่ากินนั้นก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบาๆ

“ น่ากินจัง ”

“ อร่อยด้วยครับ ” พฤษว่า เราก็ยิ้มกว้างก่อนจะต่างคนต่างลงมือกินอาหารที่ก็ไม่ได้เกินจริงไปเลยกับคำกล่าวของเด็กน้อย

โจ๊กรสชาติดีทุกอย่างดูเข้ากัน แม้แต่หมูกรอบที่วางอยู่เป็นจานกลางก็กรอบอร่อย ชนิดที่ต้องเบรคเสียงเคี้ยวเพื่อไม่ให้มันดูดังจนเกินไป ผมยังอยากจะรักษามันไว้อยู่ สำหรับความน่าจดจำในเดทแรกของเรา

“ มึงไม่ต้องตั้งท่าเคี้ยวขนาดนั้นก็ได้ มันกรอบ เคี้ยวยังไงก็เสียงดัง ” ไม่พูดเปล่าร่างสูงยกตะเกียบคีบเอาหมูกรอบเข้าปากก่อนจะเคี้ยวเสียงดัง “ อร่อย ”

“ แล้วทำไมมึงไม่กินขิง ”

“ มันอร่อยตรงไหนละ ” อีกฝ่ายตอบผมก็ได้แต่หลุดยิ้ม เรานั่งกินกันไปเงียบๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกจัดการเสียเกลี้ยงจานถึงได้เวลาลุก

“ อร่อยมากเลยครับ ” ผมบอกคุณลุงคนทำเค้าก็ยิ้ม แต่ในตอนที่จะหยิบเงินจ่าย อาร์มก็เป็นคนตัดหน้าจ่ายไปให้ก่อน

“ กูเลี้ยง ” มันว่าแบบนั้น ผมก็พยักหน้ารับ

“ แต่รอบหน้ากูเลี้ยงนะ ” ไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย และก่อนที่ผมจะท้วงคำตอบตลงคุณลุงก็พูดขัดขึ้นก่อน

“ ถ้าอร่อยก็พามากินกันบ่อยๆนะ ” ยิ้มอ่อนโยนที่ส่งให้เรา ผมสัมผัสได้ถึงความเอ็นดูในตัวร่างสูงคนที่ยืนข้างกันจากที่มองในแววตานั้น อย่างที่ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นอย่างงั้น

“ ผมไปแล้วนะ ” อาร์มบอก ก่อนกวักมือเรียกเด็กน้อยที่ก็หันมามองเราพอดีให้เข้ามาหา แบงค์ร้อยถูกล้วงออกจากกระเป๋าเสื้อ แล้วยื่นไปให้ “ เอาไว้กินหนม ”

“ ขอบคุณครับพี่อาร์ม ” ยิ้มกว้างในตอนที่ได้เงินพร้อมกับก้มลงไหว้ด้วยท่าทางดีใจแบบกลั้นไว้ไม่อยู่ เจ้าตัวเล็กถึงขั้นบิดไปมา

“ แล้วให้อาร์มพามาอีกนะ ” คุณเจ้าของร้านบอกอีกคนก็ยิ้ม

“ เดี๋ยวจะพามาบ่อยๆเลยครับ เอาให้เบื่อโจ๊กร้านลุงไปเลย ” เสียงหัวเราะที่ดังลั่นในตอนนั้น เราเดินกลับมาขึ้นรถด้วยรอยิ้มของความสุข ก่อนรถที่ขับออกไปเพลงที่ได้ยินเบาๆจากหน้าปัดวิทยุ มันไม่มีอะไรที่ต้องรู้สึกกังวลเลย เวลาก่อนเข้าเรียนก็มีเหลือเฝือ ผมผ่อนหลังลงกับเบาะที่นั่งก่อนจะหันไปถามอีกฝ่าย

“ ถามจริง ทำไมสนิทกับคุณลุงที่ร้านนั่นจังวะ ” อาจเพราะรู้สึกว่า สายตานั้นที่มองมีความรู้สึกมากกว่าจะเป็นแค่เรื่องราวที่อีกคนเล่า ในตอนนั้นอาร์มหันมองผม

“ วันนั้นจำได้ว่าก็เหมือนหลายๆครั้งที่กูเสียใจเรื่องคนที่กูเคยแอบชอบนั่นแหละ กูเมา เลยเดินโซซัดโซเซมานั่งหน้าร้านเค้า แล้วก็ด้วยความเมาก็เลยพิงหลังลงกับประตู ประตูมันเป็นแบบประตูม้วนเหล็กใช่มั้ยละ ”

“ อื้ม ”

“ กูนั่งโขกหัวตัวเองกับประตูเหมือนอยากจะลืม จนเค้าออกมาดู แล้วก็เอาน้ำให้กิน แล้วเราก็ได้คุยกัน ไม่รู้เพราะเมาหรืออะไร กูเล่าเรื่องของกูให้เค้าฟัง ตอนนั้นจำได้ที่เค้าพูดว่า สักวันกูจะออกจากวังวนตรงนี้ได้เอง เมื่อตอนที่กูได้เจอคนที่ใช่จริงๆ แล้วเค้าก็บอกกันไว้ว่า เจอเมื่อไหร่ก็พามาแนะนำให้รู้จักด้วยแล้วกัน กูก็เลยพามึงมาไง ”

“ เหรอ ”

ก็ว่าทำไมสายตานั้นถึงได้รู้สึกโล่งนัก เรื่องราวมันเป็นแบบนี้นี่เอง และจะว่าไป มันก็น่าสงสารเหมือนกันนะ แม้ผมจะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นแบนั้นก็เถอะ

ชีวิตนี้ผมไม่เคยทุ่มเทรักให้ใครมากๆอย่างมันมาก่อน แต่ก็รับรู้ได้ถึงความทรมาน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง

“ สงสารกูเหรอ ” อาร์มพูดเหมือนจะเดาได้ว่าผมรู้สึกยังไงจากในแววตา มือหนาเอื้อมมือที่เคยวางอยู่ตรงเกียร์เข้ามาจับมือกัน “ แต่บางทีที่กูต้องเจ็บมากๆ อาจเป็นเพราะ พอตอนที่เจอมึง กูจะได้ตัดใจง่ายๆก็ได้ ”

“ คิดว่างั้น ”

“ อื้ม ” มันว่ายิ้มๆ ในตอนนั้นผมก็กระชับมือของอาร์มไว้แน่น ด้วยความรู้สึกแบบที่ไม่อยากจะให้มันเป็นความสงสารหรืออะไร ทุกเรื่องผ่านมาแล้ว และผมก็ไม่อยากจะปลอบมันด้วยว่า เรื่องไหนผ่านไปแล้วเรื่องนั้นดีเสมอ เพราะมันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น บางทีไม่ควรเกิดเลยน่าจะดีกว่า

“ แต่ว่าถ้ากูเป็นมึง กูจะไม่ให้นะ ร้อยนึงอะ ”

“ ทำไม ” ร่างสูงหันมาถามพลางขมวดคิ้ว

“ ก็น้องถามออกมาได้ยังไง ว่ากูมาแทนพี่คนนั้นเหรอ ไม่ได้ปะ นี่เดทแรกไง ไม่ควรกระอักกระอ่วมนะครับ ”

“ ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ” อาร์มว่าพลางยักคิ้วให้กัน “ ยังไงกูก็มั่นใจในตัวเองอยู่แล้ว ว่าความรู้สึกที่กูมีให้มึง มันคือเรื่องจริง ”

“ จีบเก่งชิบหาย ” เผลอพูดออกไปอย่างงั้นด้วยสายตาคาดโทษที่มองอีกคนแต่เหมือนว่านั่นจะไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอะไร อาร์มมันยักคิ้วให้กันก่อนจะยิ้ม

“ ไม่ได้จีบเก่ง จีบมึง ”

“ พอเถอะ ” หันออกมองนอกหน้าต่างรถที่เคลื่อนตรงไปด้วยความเร็วคงที่อย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ มือที่ถูกกระชับอยู่ในตอนนั้น นิ้วโป้งที่ค่อยๆเกลี่ยเบาๆอยู่ตรงหลังฝ่ามือของผม ราวกับว่ากำลังเรียนหลักสูตร
ความรักเบื้องต้น เนื้อหาวิชา ศึกษาดูใจ 101

ส่วนสิ่งที่ได้เรียนรู้ในชั่วโมงแรกนี้ ก็เหมือนจะมีอยู่ สามอย่างด้วยกัน  ข้อแรก อาร์มเป็นคนอบอุ่นมากกว่าที่ผมคิดเยอะเลย แถมยังเป็นคนใส่ใจอีก ข้อสอง อาร์มไม่กินขิง ส่วนข้อสุดท้ายก็คือ มันทำให้ผมหัวใจเต้นแรงเก่งชิบหาย และแม้แต่ตอนนี้หัวใจก็ยังเต้นแรงอยู่ หนำซ้ำยังเหมือนจะพองโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะความสุขแบบที่สามารถลอยออกไปจากรถได้

ฉะนั้น มือของผมเลยจึงต้องกระชับมือหนาข้างนั้นไว้  เพื่อไม่ให้ตัวเอง ลอยหลุดหายไปไหนจากอีกฝ่าย

‘ ทั้งที่จริงๆ ก็ไม่ได้อยากจะจับสักเท่าไหร่หรอก ’   

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
รถขับวนลานจอดขึ้นไปจนถึงชั้นบน ผมเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรนั่งอยู่ตรงนี้ก็ตอนที่รถจอดลงที่ช่องจอด แล้วภายในรถนั้นอยู่ๆก็เงียบขึ้นมาอย่างฉับพลันเพราะเพลงที่จบลง สายตาของผมมองซ้ายดูขวาราวกับจะมองหาคนรู้จัก

“ เป็นอะไร ”

“ เปล่า ” ปากบอกงั้นแต่หน้ากับซีดลง ผมรับรู้ถึงเหงื่อที่ชื้นอยู่ในขณะนี้ถึงขั้นถ้าดึงมันมาถูเข้ากับกางเกงตัวที่ใส่ และก่อนที่คนข้างกันจะหันมาถามอะไร สายตาผมก็หันไปเห็นเข้าเสียก่อน กับผู้ชายรูปร่างสันทัดที่เดินลงมาจากรถ คันที่จอดอยู่ตรงข้ามกันกับเรา “ นั่นมัน เพื่อนมึงนิ ”

“ ไอ้โฮม ” ผมเงียบในตอนที่อาร์มพูด ไม่ใช่ว่าไม่รู้ชื่อหรอก ผมรู้ แต่ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไปมากกว่า

ลองคิดสถานการณ์ที่ถ้ามันเห็นเราสองคนเดินลงมาจากรถก็รู้สึกขนลุกแล้ว  มันจะว่ายังไงก็ไม่รู้ มันจะเอาไปบอกดีนมั้ย อาร์มจะโดนอะไรมั้ย แล้วผมละ เรื่องราวต่อจากนั้นของเราละ มันจะเป็นยังไงต่อ

“ ไปหาเพื่อนกูกัน ”

“ ให้เพื่อนมึงไปก่อนได้มั้ย ”

ประโยคที่เราต่างคนต่างพูดนั้น มันต่างกันไปทั้งความหมาย และความรู้สึก สีหน้าของอาร์มที่ดูตื่นเต้นดีใจนั้นค่อยๆลดความรู้สึกพวกนั้นลง จนกลายเป็นนิ่งให้กัน ปากที่เหมือนจะพูดอะไรต่อ ถึงขั้นหยุดค้างไป แบบที่ไม่คาดคิดว่า ผมจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา

“ ขอโทษ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะถอนหายใจออกมา แล้วหลบสายตาที่จ้องมองนั้นอย่างไม่กล้าสู้หน้า “ ไว้ก่อนได้มั้ย กูอยากบอกเพื่อนกูก่อน หมายถึงเรื่องของเรา แล้วพอกูบอกเพื่อนกูแล้ว มึงก็ค่อยบอกเพื่อนของมึง ได้มั้ย ”

“ ทำไมวะ ” คำถามสั้นๆนั้น มีทั้งความผิดหวังอยู่ในแววตาอย่างที่ไม่คาดคิดว่า เรื่องราวนี้จะเกินขึ้นด้วยซ้ำ อาร์มเหมือนตั้งใจมาตั้งแต่บอกรักกันแล้วว่าวันนี้จะพาผมมาแนะนำกับทุกคน เหมือนมันต้องการเปิดเผยต่อทุกอย่าง แบบที่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น “ มึงไม่ได้อยากจะบอกใครๆหรอกเหรอ ว่าคบกับกู ”

“ ไม่ใช่อย่างงั้นนะ ” ได้แต่ส่ายหน้าไปมา อยู่ๆเหตุผลมากมายที่อยู่ในสมองก็คล้ายจะหายไปอย่างฉับพลัน

ก็ทั้งๆที่รู้ว่าความรักในแบบที่อีกฝ่ายอยากมีมาตลอด ก็คือความรักแบบที่จะได้แสดงความรักต่อคนที่รักอย่างเปิดเผย และซื่อตรงต่อความรู้สึก มันที่ต้องเจ็บปวดกับการแอบรักใครบางคนมาตลอด มันที่ถูกขังอยู่ในที่มืดตลอด แต่วันนี้พอตัดใจลงได้ ทุกอย่างกลับวนมาตรงจุดเดิม

จุดที่เหมือนจะต้องกลับไปอยู่ในความมืดนั้น

“ กูไม่อยากจะมีปัญหากับเพื่อน ไอ้เบสไอ้เจ้ยสำหรับกู มันก็เป็นเพื่อนที่ดีนะมึง เราต่างคนก็ต่างรู้ว่า กลุ่มเราไม่ถูกกัน ถ้ากูกับมึงเดินควงกันเข้าไป มันจะดูเหมือนหักหน้าเปล่าวะ มันดูเหมือนเราไมได้ให้ความสำคัญกับเพื่อนเลย  เราคบกัน เราไม่บอกไม่กล่าวอะไร เหมือนเราไม่แคร์มันแล้วอะ ” อาร์มเงียบไปในตอนที่ผมอธิบาย ในแววตานั้นที่เหมือนจะทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจซ่อนอยู่

“ เชื่อกูหน่อยนะ กูไมได้อยากปิดบังเลย แต่กูก็ไม่อยากจะทำเหมือนมันไม่มีค่าอะไรในชีวิตกูอีกแล้ว เพราะพวกมันก็ดีกับกู กูเลยไม่อยากทำร้ายความรู้สึกของพวกมัน ถึงมึงจะมองว่ามันปัญญาอ่อนก็เถอะ ”

ท้ายประโยคที่เสียงค่อยๆอ่อนลง ผมหวังว่าอาร์มจะเข้าในสิ่งที่ผมกำลังรู้สึก มันก็จริงอยู่ ที่ผมกลัวเรื่องวุ่นวายและไม่อยากให้มันเกิดขึ้นกับตัวเอง แต่ในอีกมุมนึงผมก็คิดถึงเรื่องของเพื่อนตัวเองเหมือนกัน  ผมไม่อยากจะทำเหมือนไม่แคร์แล้วซึ่งสิ่งใด

“ ไม่ใช่ว่ากูไม่แคร์มึง ไม่ใช่ไม่บอก เราบอกอยู่แล้ว แต่ขอให้กูได้บอกพวกมันก่อนได้มั้ย ให้พวกมันได้รู้จากปากกู ก่อนที่จะเห็นว่าเราเดินอยู่ข้างๆกัน ” ร่างสูงพิงตัวเองกับเบาะที่นั่ง อาร์มไม่ได้พูดอะไรออกมา “ กูเองก็ไม่อยากจะให้มึงมีปัญหากับดีนนะ เราเป็นแฟนกัน มันคือความสุขจริงมั้ย มันไม่ควรมีใครต้องมารู้สึกหงุดหงิดกับเรื่องเพื่อน เพราะงั้นมึงไปบอกดีน แล้วกูก็จะไปบอกเบสดีมั้ย ”

“ เอาจริงๆ กูไม่คิดที่จะแคร์อะไรไอ้ดีนอยู่แล้ว ต่อให้วันนี้มันบอกว่า ถ้ากูคบมึง มันจะไม่คบกูเป็นเพื่อนอีก กูก็พร้อมที่จะเลือกมึง แล้วก็ไม่คบมันเป็นเพื่อน ”

“ อาร์ม..”

“ เพื่อนกันมันไม่ต้องเห็นด้วยกันทุกเรื่อง  เรื่องไหนผิดต้องเตือน แต่เพื่อนกันก็ไม่มีสิทธิ์มาสั่งให้เพื่อน รัก หรือไม่รักใคร เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่กูต้องตัดสินใจด้วยตัวเองหรอกเหรอ เรื่องแบนี้ต้องให้เพื่อนมามีส่วนร่วมเหรอ ไม่ต้องหรอกมั้ง กูรักมึงอะ กูไม่ได้อยากจะให้ใครมารักมึงของกูอยู่แล้วปะ ”

กลายเป็นผมที่เงียบไปในตอนนั้น ก็จริง ผมอยากจะตอบมันแบบนี้ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่อยากจะทำอยู่ดี ก็ผมยังอยากจะบอก เบสกับเจ้ยก่อน ผมแค่อยากจะบอกพวกมันว่า ผมกำลังคบหากับอาร์ม ถึงไม่ได้หวังคำยินดี แต่อย่างน้อยก็ไม่อยากให้มันเห็นในสถานการณ์ที่คล้ายกับการโดนหักหน้า

“ แต่มึงกับกู คงไม่เหมือนกัน ” คนที่นั่งอยู่ข้างกันว่าอย่างงั้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วมองออกไปข้างหน้า

“ อย่าพูดแบบนั้นสิวะ มึงพูดเหมือน กูไม่ได้รู้สึกรักมึง เหมือนที่มึงรู้สึกรักกู ”

“ ไม่ใช่ ” อาร์มหันมาบอกกัน มันที่แนบหน้ากับพวงมาลัยนั้น ก่อนจะเอื้อมมือมาจับแก้มกัน “ กูหมายความว่าเราแค่คิดถึงเรื่องนี้ไม่เหมือนกัน กูที่อยากจะป่าวประกาศ  อยากจะเดินไปไหนมาไหนกับมึงในมหาลัย อยากจะนั่งกินข้าว ซื้อน้ำ กินขนม ไปนั่งอ่านหนังสือที่หอสมุด กูที่อยากจะไปยืนรอมึงหลังเลิกเรียนแล้วเราก็กลับบ้านด้วยกัน ”

“ กูก็อยากทำแบบนั้น แต่มึงเข้าใจมั้ยว่า ตอนนี้ถ้าเราเดินเข้าไปแล้วทุกคนเห็น มันจะมีแต่ความอึ้งเท่านั้น แบบอะไร ไม่เห็นเคยบอกมาก่อนเลยว่าคบกัน มึงไปรู้จักกันตอนไหน แล้วตามนิสัยไอ้เบสไอ้ดีนอะ กูไม่อยากให้มึง แล้วก็ให้ตัวเองมีปัญหา เลยอยากจะให้เราแยกย้ายไปบอกเพื่อนเราก่อน ”

“ อื้ม ”

“ กูไม่ได้แคร์ผลลัพธ์ ถ้ามันไม่โอเค กูก็คงปล่อยพวกมันไป เพราะกูก็บอกแล้ว กูไม่ใช่คนที่เอาตัวเองไปแคร์กับอะไรแบบนั้น ไม่ใช่ว่าเพื่อนบอกว่าห้ามคบ กูจะทำตาม ทั้งๆที่ความสุขของกูอยู่ตรงนี้ เข้าใจใช่มั้ย เราแค่บอก เพื่อไม่ให้เพื่อนรู้สึกว่า โดนหักหน้าที่เราสองคนเป็นอริกันแต่มาคบกัน  ”

“ ก็เข้าใจ ” ถึงจะพูดออกมาแบบนั้นแต่ดูเหมือนอีกคนก็ยังจะหงุดหงิดอยู่ดี อาร์มมันถอนหายใจ “ กูเข้าใจมึงจริงๆนะ ”

“ อย่าทำแบบนี้สิว่ะ  เข้าใจกูหน่อย นี่แฟนไง ”

“ ก็เข้าใจแล้วไง แต่กูเซ็งไมได้เหรอ ก็มันไมได้เป็นอย่างที่กูคิดอะ ” พูดแบบนั้นอีกจะถอนหายใจ อาร์มมันมองไปข้างหน้า “ งั้นมึงก็ลงไปก่อนแล้วกัน ถึงห้องแล้วก็ค่อยส่งข้อความมาบอกกู แล้วเดี๋ยวกูเดินตามลงไป ”

“ งั้นมึงอย่าทำหน้ากร่อยแบบนั้นสิวะ มึงทำหน้าแบบนี้ กูจะลงรถไปแบบสบายใจได้ไงละไอ้สัด ”

“ ก็มึงไม่ตามใจ ” คำพูดเหมือนเด็กเอาแต่ใจขึ้นมากระทันหัน เป็นท่าทีที่บอกกันว่า เข้าใจแล้วละ แต่ก็อยากจะให้เอาใจกันหน่อย “ คนเรามันไม่ได้ทำอะไรที่อยากทำ ย่อมหงุดหงิดเป็นธรรมดา ”

“ แล้วมึงจะให้กูทำยังไง มึงถึงจะหายหงุดหงิด ” ถามออกไปแบบนั้นอีกฝ่ายก็เลิกคิ้ว ก่อนจะถอนหายใจแล้วนิ่งคิด อาร์มมองหน้าผม ที่ก็กำลังมองหน้ามัน “ ว่าไง ”

“ จูบกูหน่อย ” พูดแบบนั้นด้วยเสียงเรียบนิ่ง ผมก็ได้แต่นิ่ง พร้อมกับสมองที่ตั้งคำถาม

 ‘ เอาไงดีละไอ้สัด ’ คือมันก็จริงอยู่ ที่เราก็จูบกันแล้ว มันก็ไมได้จะอยู่ในขั้นที่เร็วไปหรือช้าไป แต่ครั้นจะให้ดึงตัวเองเข้าไปจูบอีกฝ่าย แบบนั้นผมก็ยังไม่กล้าเท่าไหร่เหมือนกัน

“ ไม่เอา กูไม่กล้าหรอก ” บอกออกไปตามตรง ก่อนจะค่อยๆหลับตาแล้วยื่นหน้าเข้าไปหาอีกคนเล็กน้อย ผมส่งเสียงในคอ “ อื้ออออ ”

“ อะไร ” อาร์มถามยิ้มๆ ในตอนที่ผมหรี่ตาข้างนึงขึ้นมอง

“ มึงเริ่มสิ ” พูดเหมือนเอาแต่ใจ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้คนนั่งข้างอีกครั้ง “ อื้มมมมม เริ่มเลย เริ่ม ”

“ แล้วมึงน่ารักขนาดนี้ ก็คือ ยังไงก็จะไม่ยอมให้กูบอกใคร หรือพูดกับใครก่อนเหรอวะ ว่าเราคบกัน ใจร้ายชิบหายเลยนะ ” ลืมตามองอีกคนที่ก็ดึงตัวเองเข้ามาใกล้ อาร์มจูบลงบนริมฝีปากของผม ก่อนจะเอียงหน้าหอมที่ข้างแก้มในวินาทีต่อมา แล้วตอนนั้น ในตอนที่เราผละกันสบตา มันก็พูดย้ำ “ ใจร้าย ”

“ กูให้สัญญาว่า ถ้าวันนี้มีคนมาจีบกู กูจะบอกเค้าว่า กูมีแฟนแล้ว ” นิ้วก้อยที่ถูกส่งไปให้ ผมเกี่ยวเข้ากับนิ้วของอีกคน “ เพราะงั้นกูบอกเบสเมื่อไหร่ว่าเป็นแฟนกัน มึงก็บอกดีนได้เลยนะ ”

“ ก็คือต้องรอมึงบอกไอ้เบสก่อน ”

“ แน่นอนสิ ขืนมึงบอกดีนแล้ว กูยังไม่บอก เรื่องก็โป๊ะแตกสิ ” ถอนหายใจออกมาก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น  ในตอนนั้นผมก็ได้แค่ยิ้ม

“ เอาน่า กูรู้ว่ากูน่ารักมากๆมึงเลยอยากจะแสดงความเป็นเจ้าของกูไวๆ แต่พี่อาร์มก็ช่วยอดทนหน่อยเถอะนะครับ ” ฉีกยิ้มให้คนที่นั่งอยู่ อาร์มไม่ได้บอกว่าผมหลงตัวเองหรืออะไร มันดึงตัวเองเข้ามาจูบกันในตอนที่ผมกำลังจะเปิดประตูแล้วก้าวลงไปจากรถ “ ตอนเย็นเจอกัน  แล้วเดี๋ยวกูให้มึงหอมหนึ่งฟอด เพื่อลดความคิดถึง โอเคมั้ย ”

“ ไม่โอเค เพราะกูจะหอมมึงสองฟอด แล้วกูก็จะนั่งกินข้าวกับมึง พาไอ้ตัวแสบออกไปเดินเล่นด้วยกัน แล้วก็ไปซื้อขนม กลับมาก็นั่งดูหนังด้วยกันสองคน ”

“ น่าสนใจ ” ว่าแบบนั้นด้วยความรู้สึกอบอุ่นแบบที่เพียงแค่คิดถึงช่วงเวลานั้นก็อยากจะให้มันมาถึงเร็วๆ ด้วยความรู้สึกสุขราวกับใครมาสูบหัวใจให้พองโตอยู่ในอก 

.........................................................

.
บนตึกเรียนที่ผู้คนค่อนข้างบางตา ผมดึงนาฬิกามาดูเวลาก่อนจะพบว่าอีกตั้ง 20 นาทีกว่าจะเข้าเรียน ประตูลิฟต์ถูกเปิดออกในตนที่ถึงขั้นเรียน เสียงเอะอะโวยวายเริ่มดังมาจากตรงนี้ ห้องเรียนที่อยู่ด้านในสุด ผมเปิดมันก่อนจะยกยิ้มมองกลุ่มเพื่อนที่ก็แยกย้ายไปตามความถนัด ไอ้จุ้นนั่งคุยกับเพื่อนคนละกลุ่มเรื่องเกมส์ ส่วนไอ้โฮมก็น่าจะไถมือถือเรื่อยเปื่อยตามสไตส์ของมัน

“ ดี ” เอ่ยทักพวกมันสองคนก่อนจะดึงเก้าอี้ออกแล้วหย่อนตัวลงนั่ง คนที่ไถมือถืออยู่ก็เหลือบตามามอง

“ มีข่าวดีใช่มั้ย ” พูดเหมือนว่าหน้าตาผม มันดูออกทั้งหมดว่ากำลังมีความสุขแค่ไหน แต่อาจจะเพราะรอยยิ้มที่ก็หุบมันไม่ลงเลยแม้จะแค่คิดถึงหน้าของคนที่เมื่อเช้าได้นั่งจับมือกันมาตลอดทาง “ หมั่นไส้ไอ้สัด ”

“ กูมีแฟนแล้วนะ ” ยักคิ้วให้คนฟัง ที่ก็พยักหน้ารับแบบที่ส่ายหน้าไปมา

“ เออไอ้สัด ดีใจด้วย แต่หุบยิ้มหน่อยได้มั้ย ”

“ ยาก ” พูดสั้นๆแบบนั้นก่อนจะนั่งลง โฮมมันก็เหลือบมอง

“ แล้วมึงบอกดีนยัง ” ผมมองหาคนที่อีกคนพูดถึง แต่เหมือนว่ามันจะไม่ได้อยู่ที่นี่ “ นี่มันยังไม่มาอีกเหรอวะ ”

“ อื้ม ” ได้คำตอบรับนั้นก่อนจะผ่อนหลังลงกับเก้าอี้ที่นั่ง ผมนึกถึงคำพูดของเมี่ยงในตอนที่หันไปมองคนข้างกัน

“ เมี่ยงบอกว่า มันอยากจะบอกไอ้เบสก่อน แล้วพอมันบอกเบสแล้ว ก็ค่อยให้กูบอกดีน ”

“ เหรอ ” คนฟังตอบรับสั้นๆ

“ จริงๆวันนี้กูตั้งใจจะเดินเข้ามาด้วยกัน แต่เมี่ยงบอกว่าไม่อยากจะทำแบบนั้น มันบอกว่าไม่อยากจะหักหน้าไอ้เบส ”

“ ก็จริงของมัน ทำถูกแล้ว ”

“ เหรอวะ ”

“ แล้วมึงมีความสุขเหรอวะ ตลอดเวลาที่ไอ้ดีนทะเลาะกับไอ้เบส กูแม่งโคตรไม่มีความสุขเลย แต่เพราะเวลาที่เราอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มมันก็สนุกดี ดีนมันก็เป็นเพื่อนที่ดี กูเลยมองว่า นั่นมันก็เรื่องส่วนตัว ”

“ ส่วนตัวมากเลย เวลามันทะเลาะกับไอ้เบส กูเห็นก็ลากเราเข้าไปด้วยตลอด ” คนฟังยกยิ้ม

“ มันเหมือนโดนหักหน้านะ ถ้ากูไม่รู้แล้วเห็นมึงเดินเข้ามากับเมี่ยง มันดูเหมือน มึงแม่ง ไม่ใช่เพื่อนกันเหรอวะ ทำไมไม่เล่า ทำไมไม่บอก เหมือนมึงไม่ได้แคร์แล้วอะ ว่าใครต้องรู้สึกยังไง ไม่ได้แคร์ที่เราเป็นเพื่อนกันเลย ”

“ บางทีตอนนี้กูอาจจะเป็นอย่างงั้นก็ได้นะ ” ผมบอกก่อนจะยกคิ้วให้อีกฝ่าย “ เพราะกูรู้สึกว่า ไม่จำเป็นต้องแคร์มันแล้วจริงๆนั่นแหละ กูไม่สนเลยด้วยซ้ำ ว่ามันจะรู้สึกยังไง ”

“ พอหลุดออกไป ก็ไปซะไกลเลยนะไอ้สัด ” โฮมมันว่าแล้วนั่นก็อาจจะหมายถึงหัวใจของผม “ แล้วนี่มึงเข้าใจใช่มั้ย หรือว่าโกรธกันไปแล้ว ”

“เข้าใจสิไอ้สัด ”

“ ก็ดี เพราะความรักที่ดีคือการเอาใจเค้ามาใส่ใจเราอะนะ ” สองนิ้วที่ขยับขึ้นลง เป็นเครื่องหมายคำพูดที่ผมก็แค่ยักคิ้วไปให้ไม่ได้ตอบอะไร โฮมมันก็ถามต่อ “ แล้วไง เช้าไปเดทกันมาละสิ ”

“ อื้ม กูพาเค้าไปหาคนสำคัญมา ”

“ สีชมพูเหลือเกิน ” ประโยคที่เหมือนจะอดหมั่นไส้กันไม่ได้นั้น ผมหลุดยิ้มก่อนที่ห้องทั้งห้องนั้นจะเงียบไป เพราะประตูห้องเรียนที่ถูกเปิดออก กับท่าทางของคนที่เข้ามาใหม่

“ ทำไมสภาพไอ้ดีนมันเป็นแบบนั้นวะ ” เสียงไอ้จุ้นที่หันมากระซิบเรา ทำเอาทั้งผมทั้งโฮมหันมามองหน้ากันแบบที่ไม่ได้นัดหมาย ดีนมาในสภาพที่ทำให้ทั้งห้องเงียบกริบ มันดูโทรมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเรียน ท่าทางก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่ได้นอนมาตลอดคืน บางทีอาจจะเพิ่งสร่างเมาแล้วได้สติก็เลยตัดสินใจมาเรียน

“ สภาพมึง กลิ่นเหล้าหึ่งเลยไอ้สัด ” ผมเอ่ยทักมันไปอีกคนก็ยกยิ้มก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ

“ ทำไม สนใจด้วยเหรอ ”

“ เมื่อคืนมึงไปเมาที่ไหนมาวะเนี้ย ” ไอ้จุ้นที่ดึงตัวเองขึ้นมานั่งบนโต๊ะแล้วเอ่ยถามคนมาใหม่ที่ก็แค่หันมามอง “ ไม่ชวนเลยน้า ”

“ กูไม่ได้ตั้งใจไปกิน แค่ไม่มีอะไรทำ เลยไปกิน ” ว่าแบบนั้นยิ้มๆคล้ายกับคนที่ยังคงเมาอยู่ ในตอนนั้นโฮมที่ก้มลงดูเวลาตรงหน้าจอมือถือ ก่อนจะหันมาสะกิดผม

“ มึงพามันออกไปเถอะ ถ้าให้อาจารย์มาเห็นมันในสภาพแบบนี้ ไม่น่าจะดีนะ ” คนที่นั่งอยู่เงยหน้ามองกันในตอนที่ได้ยิน ดีนที่ยกยิ้มในตอนนั้น

“ ไอ้อาร์มคงไม่ได้อยากไปหรอก กูไปคนเดียวก็ได้จ้า ถ้ากูจะน่ารังเกียจขนาดนั้นแล้วละก็นะ ” มันลุกขึ้นเต็มสูงทั้งๆที่ยังนั่งลงได้ไม่ถึงห้านาที ท่าทางที่ดูหมดอาลัยตายอยากนั้น ชวนให้ผมถอนหายใจแล้วเดินนำมันออกไป แบบที่ไม่ได้พูดอะไรต่อให้ยืดยาว

  เราเดินข้างกันมาจนถึงลิฟต์แบบที่ไม่พูดอะไร ผมกดลิฟต์ให้เราลงไปถึงชั้นล่างเพราะถ้ายังวนเวียนอยู่ในตึก อาจารย์ก็อาจจะเห็น แม้ว่าเค้าจะไม่ได้สนใจอะไร แต่ผมก็มองว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่ที่เค้าจะมาเห็นรักศึกษาสักคนในสภาพแบบนี้

“ อยากสูบบุหรี่ ” คนที่เดินอยู่ข้างหลังว่าแบบนั้นก่อนจะเชิดหน้าเข้าไปที่ด้านหลังตึก ผมก็พยักหน้ารับก่อนจะเชิดหน้าไปที่โรงอาหาร

“ งั้นกูไปซื้อน้ำให้แล้วกัน ”

“ อะเค ” ว่าแบบนั้นพร้อมกับนิ้วที่ยกมือขึ้นทำท่าทางตามที่พูด เราแยกย้ายกันตรงนั้น ผมเดินตรงไปซื้อน้ำเปล่าตามที่บอก ก่อนจะเดินเข้าไปหลังตึกตรงโซนสูบหบรี่ แล้วในตอนนั้นก็เห็นว่าดีนก็กำลังนั่งสูบหบุหรี่อยู่เงียบๆในพื้นที่ที่ไม่มีใครเลยสักคน ควันสีเทาที่ถูกพ่นออกจากปาก มันหันมายกยิ้มให้กัน ก่อนจะส่ายบุหรี่ในมือไปมา  “ สักหน่อยมั้ย แต่มีอันเดียวนะ จะกล้าสูบต่อจากปากกูหรือเปล่าน้า ”

“ เป็นเหี้ยอะไร มึงกินเหล้าเข้าไปขนาดไหน ทำไมสภาพถึงได้เหี้ยขนาดนี้ ”

“ ก็เท่ากับความเสียใจที่โดนคุณปฎิเสธความรักนั่นแหละครับ ” ผมถอนหายใจออกมาตอนที่อีกคนพูด แต่ดีนกลับแค่ยิ้ม “ ไม่ต้องสนใจกูหรอกน่า มาคุยเรื่องมึงกันดีกว่า แฟนมึงอะ เมื่อไหร่จะพามาแนะนำให้กูรู้จัก ”

“ เร็วๆนี่แหละ รอเค้าพร้อม ”

“ แล้วกูจะตั้งตาคอยนะ ”

“ แล้วนี่ได้กลับบ้านหรือเปล่า ” ผมถาม อีกคนก็หลุดยิ้ม

“ กลับสิ แล้วก็โดนไล่ให้ออกจากบ้านเรียบร้อยแล้วด้วย แม่บอกว่าถ้าไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองให้มันดีกว่านี้ ก็ไม่ต้องกลับมาละ ” ดีนว่าอยย่างงั้นก่อนจะพิงหลังลงกับกำแพงตึก “ ช่างไม่ได้ดูบรรยากาศรอบตัวเลยแม่กู แทนที่จะถามว่า กูเป็นอะไร ทำไมถึงได้มีสภาพแบบนี้ ไม่ได้ถามเลย ว่าสภาพหัวใจกูตอนนี้มันเป็นยังไงบ้าง ”

“ วันนี้กลับไปก็ไปขอโทษแม่ซะ ”

“ อาร์ม กูขอไปอยู่กับมึงสักพักได้มั้ย ” ประโยคที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมานั้นทำให้ผมขมวดคิ้ว “ แม่ไม่ให้กูเข้าบ้าน บัตรก็โดนอายัติไปแล้ว มีติดตัวแค่ห้าพันเอง ขอกูไปอยู่กับมึงสักพัก จนกว่าแม่หายโกรธได้มั้ยวะ ” สายตานั้นที่หันมามองกันอย่างขอร้อง “ ไม่มีที่พึ่งแล้วจริงๆมึง ขอกูอยู่ด้วยคนนะ ”

..........................................................

ไม่รู้จะเอ่ยออกมาว่าอย่างไรดี มันยังดีละ

แล้วพี่อาร์มจะตัดสินใจอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกับคอมเม้นท์

 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อิดีน  เมิงคิดว่าอาร์มเป็นของตายสินะเลยไม่ได้สนใจเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมา 

แต่พอเขาปฏิเสธ  ก็เลยรู้สึกเสียหน้าใช่ป่ะ? 

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
พอจะหลุดมือ เลยเสียดายหรือเปล่า ดีน

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เอาแล้ว ๆ ๆ  มีเรื่องแล้ววววววว  :hao3:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ความลับแตกแน่นอน ไม่ใช่ดีนจะจับได้นะ อาร์มเองนี้แหละจะไม่ทน ถ้าไม่ได้ไปหาเมี่ยง 555 เออพูดมากะเข้าใจนะเรื่องเปิดเผยความสัมพันธ์กับเพื่อน กะอย่างว่าแหละ เป็นเราเองก็คงอะไร ยังไง แต่สุดท้ายก็โอเคอยู่ดี มาต่อยาวเลย หวานขึ้นตา พอจะได้รักนี่คือบับ แหวะ เลี่ยนว่ะอาร์ม 555555 สนุก  :pig4: :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด