ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 38 :: up! 2-10-63} #หน้า 8 ( ตอนจบ )
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 38 :: up! 2-10-63} #หน้า 8 ( ตอนจบ )  (อ่าน 43899 ครั้ง)

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27

ตารางเรียนถูกส่งเข้ามาในมือถือตั้งแต่เมื่อคืนตามคำขอ ผมเผลอผ่อนลมหายใจเพราะความใกล้เคียงกันของเวลาที่แทบจะเป็นไปได้ยากเหลือเกิน กับการหลีกเลี่ยงที่ไม่ให้เจอหน้าอีกฝ่าย เพราะห้าวันที่มีเรียน เราเรียนคล้ายกันหมด มีแค่บางวันเท่านั้นที่มันมีเรียนเย็น แต่ผมไม่มี

ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมไอ้ดีนไอ้เบสทะเลาะกันชิบหาย

“ K ” สถบออกมาในตอนเช้าที่ต้องตื่นให้เร็วกว่าปกติ เพราะไม่อยากจะเจอกันที่มหาลัย ลิฟต์ของคอนโด หรือแม้จลานจอดรถ “ กูไปเรียนก่อนนะ เจอกันตอนเย็น ” พูดเสียงเบาราวกระซิบกับเจ้าแมวตัวที่ยืนกินข้าวอยู่ตรงมุมห้อง ไอ้นายท่านดึงหัวขึ้นมามองกัน มันผละอาหารแสนอร่อยที่กินอยู่ก่อนจะเดินตามกันมาที่ประตู “ ไปไหน ไม่ไป กูจะไปเรียน ”

“ ม๊าวว ”

“ ไม่ต้องมาม๊าว มึงจะไปไหน ไปกินข้าว ”เชิดหน้าไปที่จานอาหาร แต่มันก็ไม่มีท่าทางที่จะหันกลับไปมองแต่อย่างใด “ เร็วๆ เดี๋ยวกูสาย ”

“ ม๊าววว ” ยังคงร้องเรียกกันอยู่แบบนั้นพร้อมทั้งจะเดินออกมาจากห้อง

“ ไม่ๆ วันนี้ออกไปจากห้องไม่ได้ มึงต้องอยู่ที่นี่ โอเค๊ ” ยกนิ้วทำมือโอเคตามที่พูดใส่อีกฝ่าย เพราะปกติแล้วก่อนจะออกไปเรียน ไม่นายท่านก็แก้มหอมที่จะต้องย้ายไปอยู่ที่บ้านของใครคนใดคนนึง ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากนี้ไปก็คงทำอะไรแบบนั้นไม่ได้แล้ว “ เดี๋ยววันนี้ตอนเย็นกูจะพามึงออกไปเดินเล่นที่สวนนะ เราจะได้เจ๊ากันไง ”

“ ม๊าวววววววววววว ”

“ เอาน่า ช่วยๆหน่อย กูมูฟออนอยู่ เข้าใจมั้ย ” เบียดตัวเองออกมาจากห้องด้วยช่องทางที่เล็กกว่าปกติเพราะกลัวว่าเจ้าตัวร้ายมันจะเดินตามออกมา ก่อนจะผ่อนลมหายใจในตอนที่รอดพ้นออกมา ผมล็อคประตูของตัวเองเรียบร้อย ก่อนจะก้มหน้าดูเวลาที่อยู่บนหน้าจอมือถือ เวลาเจ็ดโมงเช้าที่ประตูของคนข้างกันยังคงปิดสนิท “ ไม่เอาน่า ” พูดกับตัวเองอย่างงั้นก่อนจะเบือนหน้าหนีภาพของประตูห้องที่ใจอยากจะเดินเข้าไปหาแล้วเคาะให้มันเปิดออกอย่างเช่นทุกวัน “ มึงต้องมูฟออนเว้ยเมี่ยง ต้องออกมาจากตรงนั้น เพราะมันไม่มีพื้นที่ให้มึง  ใช่ ท่องไว้ มันไม่มีพื้นที่ให้มึง ”

“ บ่นเหี้ยอะไรงุ้งงิ้ง ” ผมเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตกใจในตอนที่ห้องที่คิดว่าปิดสนิทอยู่เปิดออกมาพร้อมกับร่างสูงที่อยู่ในชุดนักศึกษาเรียบร้อย

“ เชี้ย!! ” เผลอสบถออกมาเสียงดัง ก่อนจะหันมองซ้ายทีขวาทีแล้วได้แต่นิ่งไป ผมทำทีเป็นเดินตรงไปที่ลิฟต์แบบที่ไม่พูดอะไรกับอีกฝ่ายสักคำ มือที่กดปุ่มเลิฟต์ให้เปิด ผมกดมันซ้ำๆ แต่เหมือนว่ามันจะช้ากว่าร่างสูงที่ก็เดินมายืนข้างกันพอดี

“ หนีกูทำไม แล้วนี่มีเรียนเช้าเหมือนกันเหรอ ” ถามออกมาแต่ผมก็ยังคงทำนิ่ง ก่อนที่จะได้ยินเสียงถอนหายใจของอีกฝ่าย “  ถาม ว่า มี เรียน เช้า เหมือน กัน เหรอ!!! ”

“ แล้วจะตะโกนทีละคำทำเหี้ยอะไรของมึง ” หันไปตวาดถาม อีกคนก็นิ่งมอง

“ แล้วกูถามปกติมึงตอบมั้ย ” แล้วก็กลายเป็นว่าผมที่ต้องถอนหายใจออกมาแทน ทั้งๆที่ไม่อยากจะพูดเลย แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นอยู่ดี

“ เออ มีเรียนเช้า ” ไม่รู้จะโทษใครดีเลย ตัวเองที่ออกจากห้องช้าไป หรือว่าตัวเองอีกนั่นแหละ ที่ยืนบ่นงุบงิบอยู่นั่นแทนที่จะรีบออกไปเรียน “ เห้ออออออ ”

“ เป็นอะไร ”

“ เปล่า ” พิงตัวเองเข้ากับกำแพงลิฟต์ในตอนที่เดินเข้าไปอย่างหมดแรง ผมผ่อนลมหายใจ

“ แล้วกินข้าวเช้ายัง ”

“ ยัง ”

“ แล้ววันนี้มีเรียนตอนเย็นมั้ย ”

“ ไม่มี ”

“ แล้ว..”

“ นี่ อย่าถามมากได้มั้ยไอ้สัด กูแม่งไม่อยากจะตอบ ” หันไปบอกอีกคนที่ก็นิ่งไป อาร์มเบือนหน้าหนีผมหลังวินาทีนั้น มันไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก จนลิฟต์เลื่อนลงสู่ชั้นล่างสุด ซึ่งในตอนนั้นคุณป้าแม่บ้านที่เคยเจอแมวของเราก็ยืนทำความสะอาดพื้นที่ส่วนกลางอยู่พอดี

“ สวัสดีครับคุณป้า ” ผมเอ่ยทักเธอที่ก็หันมามองกัน ก่อนจะก้มหน้าลงแล้วยิ้มให้ พร้อมทั้งกับอึ้งไปนิดหน่อยในตอนที่เหมือนจะเอ่ยทักอะไรเราสักอย่าง

“ เอ่อ..”

“ คุณป้ากินข้าวยังครับ ” ถามออกไปอีกครั้ง เธอก็พยักหน้ารับ

“ กินแล้วค่ะ แต่เอ่อ คือ ”

“ ครับ ? ” เอียงหน้ามองคนที่ต้องมีอะไรอยากจะพูดแน่นอน เพราะสีหน้าเธอดูกระอักกระอ่วม “ คุณป้ามีอะไรเปล่าครับ ”

“ คือ ขอโทษนะคะ แต่ว่า คุณเมี่ยง ” สายตาของเธอเหลือบมองลงต่ำ “ คุณเมี่ยงยังไม่ได้รูดซิปกางเกงเลยค่ะ ”

“ เชี้ย! ” ก้มลงมองเป้ากางเกงตัวเองทันทีในตอนนั้น ผมที่เบิกตากว้าง พร้อมกับหันหลังไปรูดซิปของตัวเองทันทีก่อนจะหันมายิ้มเขินให้เธอที่ก็ยิ้มกว้างออกมาแบบเอ็นดู

“ ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องอายป้าหรอก แต่ท่าทางเช้านี้จะรีบมากเลยนะคะ ”

“ ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ” บอกเธอแบบอายๆ ก่อนจะหันไปมองร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างกัน “ มึงนี่แม่งก็ไม่บอกกันเลยนะไอ้สัด ”

“ มึงบอกเองว่าอย่าถามให้มันมาก มึงไม่อยากตอบ ” สายตาคมเหลือบมองกันก่อนจะเดินนำออกไป ผมที่ได้แต่นิ่งพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างระงับอารมณ์ ผมกัดฟันพูดกับมันในตอนที่เดินตามไป

“ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องนี้มั้ย เรื่องนี้มันควรบอก ”

“ กูต้องพูดกับคนที่ไม่อยากจะพูดกับกูด้วยเหรอ ” คิ้วเข้มที่ยักให้กัน “ แต่กางเกงในลายโพกาดอทแบบขาวดำ ก็คาดไม่ถึงเหมือนกันอะ ว่าคนอย่างมึงจะใส่ ”

“ มันแค่ใส่สบายเว้ย! ” เถียงออกไปแบบนั้นก่อนจะยืนกำมือตัวเองแน่นอย่างไม่รู้จะโต้ตอบอะไร ในตอนนั้นใบหน้าคมยกยิ้ม มันพยักหน้ารับ

“ ครับๆ ก็น่ารักดี ” ยกยิ้มเดินออกไปหลังจากที่พูดคำนั้น อย่างที่ไม่สนใจเลยว่าจะทำให้หัวใจผมเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง

“ หนอยยยยยยย ” ได้แต่ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างสิ้นหนทาง แล้วเดินตามหลังมันออกไป ในใจที่หวังเอาไว้แค่ว่า นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ต้องเจอแล้วก็ต้องคุยกัน

เพราะหลังจากนี้ กูจะมูฟออนจริงๆละ

 ผ่อนลมหายใจออกมาอีกครั้ง และอีกครั้งอย่างนับไม่ถ้วน เพราะหลังจากนั้นเราก็ดันจอดรถข้างกันที่ชั้นจอดรถเดียวกัน ลงลิฟต์ตัวเดียวกัน เดินไปโรงอาหารที่เดียวกัน กินข้าวร้านเดียวกัน แถมยังเดินขึ้นตึกมาพร้อมกัน

เอาจริงๆ มันน่าหงุดหงิดชิบหายที่ร้อยวันพันปีไม่เคยเจอมันอยู่คนเดียว แต่วันนี้เสือกมีมันอยู่คนเดียว ทั้งที่ผมก็พยายามอย่างที่สุดในการออกห่าง แต่มันก็ยังมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เหมือนรู้ว่า กำลังพยายามลืมมันอยู่

ไม่ต่างอะไรกับไอ้นายท่านเลยไอ้สัด
พอไม่อยากจะยุ่งก็เข้ามาวุ่นวายตลอด 

“ เป็นเหี้ยอะไรของมึง ถอนหายใจโคตรดัง ” ไอ้เบสที่นั่งอยู่ข้างกันดึงศอกมาชนก่อนจะทัก ผมก็หันไปเหลือบมองมัน แล้วได้แต่ยิ้มแห้งๆ

พูดยังไงดีละไอ้สัด จะบอกว่ากูไปตกหลุมรักอริของมึงเข้าแต่ตอนนี้กำลังพยายามมูฟออนอยู่ แล้วมันก็คล้ายว่าจะเปล่าประโยชน์ด้วย เพราะแค่เช้าที่ผ่านมา มันก็ตามกันเหมือนผีเจ้ากรรมนายเวรที่ก็แทบ ไม่ห่างกันไปไหน

“ ขี้เกียจอะไอ้สัด อยากนอน ”

“ อดทนไว้ อีกห้านาทีก็เลิกแล้ว เพราะงั้นก็อย่าถอนหายใจเหมือนจะตาย ”

“ เออ รู้แล้ว ”

“ คืนนี้กินเหล้ากันหน่อยมั้ย ” ไอ้เจ้ยดึงตัวเองเอียงเข้ามาหาผม มือของมันกอดคอ ก่อนจะยักคิ้วให้กัน “ แฟนกูไม่อยู่ ”

“ หนูร่าเริงเลยสินะไอ้สัด ”

“ กูไม่ว่างว่ะ ” ผมบอกปัด “ ต้องไปกินข้าวกับที่บ้าน วันนี้มีนัดคุยกัน ระหว่างครอบครัวกู แล้วก็ครอบครัวว่าพี่เขย ”

“ มึงมีพี่สาวด้วยเหรอวะ ” ไอ้เบสถามอย่างสนใจ ราวกับเป็นความรู้ใหม่ของมัน

“ มีสิครับ ถึงหน้าตาผมจะดูไม่มีญาติ แต่ผมมีญาตินะครับ ”

“ ไอ้ห่า ” ตีเข้าที่ไหล่ด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนอาจารย์ที่สอนอยู่ด้านหน้าจะปิดเอกสารการสอนทั้งหมดลง เป้นสัญญาณให้นักศึกษาทุกคนก็เริ่มขยับตัวเก็บเอกสารแล้วก็ของใช้ส่วนตัว ผมเองก็เช่นกัน ของทุกอย่างถูกรวบไว้เป็นกองเดียวกันด้วยความรีบร้อน

“ อะไรจะรีบขนาดนั้นวะ ”

“ เออน่า ” บอกปัดอย่างไม่รู้จะตอบอะไร ผมคว้าทุกอย่างขึ้นมา แน่นอนว่าผมเลิกเรียนเวลาเดียวกันกันกับไอ้อาร์มเป๊ะ แล้วห้องที่มันเรียนก็อยู่ตึกเดียวกันอีก เพราะฉะนั้นออกก่อน ก็มีเปอร์เซ็นต์เป็นไปได้ว่าจะไม่ต้องเจอกัน มันมีสูง  “ ไว้เจอกันนะ กูไปก่อน กูรีบ ”

“ เออ ขับรถดีๆ ” ไอ้เจ้ยยกมือบอกผมที่ก็ยกมือกลับก่อนจะวิ่งออกไปจากห้องทันทีด้วยความรวดเร็ว แล้วก็พุ่งออกมาอย่างรวดเร็วเช่นกันในตอนที่ลิฟต์เปิดออกตรงประตูลิฟต์ชั้นที่ผมจอดรถไว้ ก่อนจะหยุดนิ่งไปในตอนที่เห็นคนที่ไม่อยากเจอหน้า ยืนนิ่งอยู่ที่รถของตัวเอง และเหมือนกำลังจะจัดอะไรอยู่

“ K ” ได้แต่สบถออกมาเสียงเบา “ เอาจริงๆนะ สวรรค์มึงแม่งเกลียดอะไรกูมากมั้ยวะ ” ผมทำทีเป็นเดินไปเหมือนไม่เห็นมัน ผมปลดล็อครถของตัวเองแล้วในตอนที่กำลังจะเปิดประตูเสียงทุ้มก็เอ่ยทัก

“ เลิกเรียนแล้วเหรอ ”

“ ยังมั้ง ” บอกไปแบบไม่หันมองหน้า

“ นิสัยแย่ชิบหาย พูดด้วยก็ไม่หันมามาพูดด้วย ”  หันไปเหลือบมองมันก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา

“ มึงจะเอายังไง หาเรื่องกันชิบหาย ”

“ ไม่หาเรื่องแล้วมึงจะหันมาให้เห็นหน้าเหรอ ” ยิ้มบอกกันอย่างงั้น ผมก็ได้แต่นิ่งก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาแล้วหันไปมองทางอื่น หัวใจที่เต้นตุ๊บๆอย่างมีเหตุผล แล้วนั่นก็คือคนตรงหน้า ผมพยายามสงบมันลง

 มันคล้ายกับผมเดินงุนงงอยู่ในสนามกีฬาแล้วอยู่ๆลูกบอลที่ไม่รู้ลอยมาจากไหน ก็อัดเข้าใส่หน้า ผิดก็ตรงนี้ว่า ประโยคนั้น  มันอัดเข้าใส่ใจ

“ สัด ” เพราะแพ้อีกแล้ว ก็เลยได้แต่สบถออกไปอย่างงั้น ก่อนจะเบือนหน้าหนีรอยยิ้มของคนที่ยังคงยิ้มให้กัน ผมเปิดประตูรถก่อนจะเดินเข้าไปนั่งพลางเหลือบมองอีกฝ่ายที่ก็ถอนหายใจออกมาไม่ต่างกัน ท่าทางที่กำลังรู้สึกแย่ของอาร์ม ดึงให้ผมเศร้าจนอยากจะเปิดกระจกไปพูดอะไรด้วยสักอย่าง แต่ก็ทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าไปมา “ ไม่ๆ อย่านะ มึงต้องห้ามใจอ่อนเลย ”

แต่ก็นั่นแหละ แค่เพียงเหลือบสายตาไปมองมันอีกครั้ง
สุดท้ายก็ทนไม่ไหว

“ มึง ” เปิดกระจกออกไปก่อนจะเอ่ยทัก อาร์มที่เงยหน้ามองกันมันยิ้มดีใจจนชวนให้ผมนิ่ง “ กลับบ้านได้แล้วไอ้สัด ยืนนิ่งอยู่ได้ เดี๋ยวใครเค้าก็คิดว่าผีหลอก ”

“ เป็นห่วงเหรอ ” ผ่อนลมหายใจออกมาในตอนที่ฟัง ผมบอกตัวเองแค่ว่า เอาว่ะ ครั้งสุดท้ายจริงๆละ

“ เออ ไอ้หน้าเหี้ย ”

ขับรถออกมาพร้อมกับมองอีกคนที่ยิ้มกว้างออกมาอย่างงั้น แล้วนั่นก็ทำให้ผมยิ้มตามไปด้วยอย่างห้ามใจไว้ไม่อยู่ ก่อนจะรีบสลัดความคิดอะไรแบบนั้นออกไปจากสมองแล้วตั้งสติกับตัวเองอีกครั้ง แบบที่เรียกว่าถามเองตอบเอง

‘ มูฟออนเมี่ยง มูฟออน ต่อไปนี้มึงต้องมูฟออนออกจากความรู้สึกพวกนั้น อย่าหันกลับไปอีก โอเค๊ ? โอเค กูจะมูฟออนตั้งแต่วินาทีนี้เลย ’

เสียงเพลงที่ดังอยู่ในรถไม่ได้กลบความสนใจของรถคันคุ้นตาที่ขับตามอยู่ด้านหลัง และเหมือนว่าจะตามมาตั้งแต่อยู่ที่มหาลัย ป้ายทะเบียนคุ้นตา ผมมั่นใจมากกว่าร้อยเปอร์เซ็นด้วยซ้ำ ว่ามันคือคนที่ผมเพิ่งพูดออกไปเมื่อครู่ ว่าจะมูฟออน

“ ตามมาทำไมวะ ” เอ่ยถามตัวเองแบบนั้น แต่ก็ไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองเกินไป บางทีมันอาจจะแค่มีธุระแถวนี้เหมือนกันก็เป็นไปได้ ผมกดไฟเลี้ยวเข้าโรงแรมในตอนที่เดินทางมาถึงแต่เหมือนคันหลังเองก็เป็นเช่นนั้น  อาร์มเลี้ยวรถเข้ามาตามมา แล้วแน่นอนว่ามันเองก็จอดลงข้างกันกับรถของผมอีกครั้ง “ มึงตามกูมาทำไม ”

“ ทำไมกูต้องตามมึงด้วย ” อีกคนถามยิ้มๆ

“ ไม่เนียนเลยไอ้สัด ”

“ ไม่เนียนอะไร กูมีนัดกินข้าวกับครอบครัวที่นี่ ” ได้แต่นิ่งไปในตอนที่ฟัง ผมหลุดปากพูดออกไป

“ เหมือนกันเลย ” รู้สึกว่าอาร์มเองก็เลิกคิ้วนิดหน่อยในตอนนั้น เราที่ต่างคนก็ต่างนิ่ง ผมรู้สึกว่าเรามีคำถามที่อยากจะถามต่ออยู่ในใจนั่นแหละ  แต่ต่างฝ่ายก็ต่างไม่ได้พูดอะไรออกมา และทำเพียงแค่เดินตรงไปที่ลิฟต์ กดขึ้นไปชั้นบนที่เป็นส่วนของห้องอาหารตามที่ถูกนัดไว้

มือถือที่ถืออยู่ผมกำมันไว้แน่นในตอนนั้น ในใจที่เอาแต่ภาวนาว่าคงไม่เป็นอย่างที่คิด แต่ยังไม่ทันจะได้กดโทรออกหรือทำอะไรที่ทำให้ความสงสัยมันคลายออกไป ประตูลิฟต์ก็เปิดออก พร้อมกับคนที่คิดว่าจะโทรไปหาก็โผล่หน้ามาให้เห็นกันทันที พี่สาวผมยืนอยู่ข้างว่าที่สามีของเธอ หมอไอซ์ที่วันนี้อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสบายๆ ส่วนพี่สาวผมก็อยู่ในเดรสสีน้ำเงินที่ดูสวยเป็นพิเศษ พวกเค้ายืนรอต้อนรับเรากันที่หน้าลิฟต์

“ อ้าว เมี่ยงมาแล้วเหรอ ”

“ มาพร้อมกันเลยนะ ” ขมวดคิ้วให้คำพูดของหมอไอซ์ในตอนที่เค้ายิ้มให้คนข้างกัน และในตอนที่เค้าหันมาเห็นใบหน้างุนงงของผม คนที่เจ้าดีใจคนนั้นก็ยิ้มกว้างขึ้นกว่าเก่า “ คงยังไม่รู้จักสินะ งั้นแนะนำเลยแล้วกัน  นี่อาร์มน้องชายพี่เอง ส่วนมึง นี่ก็เมี่ยง น้องชายของพลูเค้า รู้จักกันไว้สิ ”

“ ครับ ” เสียงตอบรับสั้นๆของร่างสูงที่หันมายิ้มให้กันในตอนนั้น ผมทำได้แค่ถอนหายใจออกมาอย่างสิ้นหวังและ เข้าใจคำว่ามูฟออนเป็นวงกลม อย่างถ่องแท้


..........................................................................

ขอโทษที่หายไปนานร่วมสองอาทิตย์
อาทิตย์แรก ไปจบจอยลอดาเรื่องณลินมาค่ะ ส่วนอาทิตย์ต่อมา เกิดสภาวะต้องย้ายสถานที่ในการเขียนนิยาย
เพราะว่าที่บ้านใช้เป็นสถานที่กักตัวของญาติที่ซึ่งกลับมาจากตก่างประเทศ ซึ่งพอต้องเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนโต๊ะ สมองเหมอนสั่งปิดพื้นที่ไปด้วยเลย ขอโทษด้วยนะคะ
แต่ตอนนี้กลับมาแล้วฮับ
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์
ป.ล. ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะทุกคน ทั้งสุขภาพใจและกายเลยนะ
หนมมี่
 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
หนูเมี่ยงมาละ หึหึหึ จะรอดมั้ยเนี่ย เล่นตัวหน่อยลูก ให้บทเรียนอาร์มมันบ้าง ปล.รักษาสุขภาพเช่นกันนะคับ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ mister

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • https://www.facebook.com/JJSonkFanclub
สุ้ๆนะเมี่ยง

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
รีบ ๆ กลับห้องเลย สัญญากับไผไว้ ว่าจะพาไปเดินเล่น  :katai3:

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
ดีนนี่มันคนประเภทไหนวะ แย่งจีบผู้หญิงคนเดียวกับเพื่อน กักเพื่อนที่ชอบตัวเองเอาไว้ให้อยู่กับตัว มั่นใจในตัวเองสูงมาก เอาจริงก็คือไม่น่ารักเลยอ่ะ อาร์มชอบเพราะอะไรถามจริง ละอาร์มก็แย่พอกันอ่ะ รู้ทั้งรู้ว่าชอบดีนอยู่ แต่ก็ยังทำให้เมี่ยงหวั่นไหวด้วย พอเมี่ยงรู้ละก็ยังจะวุ่นวายกะเค้าไม่หยุดอีก ปสดมากเอาจริง สงสารเมี่ยงสุดละ
ส่วนการเขียนของไรท์นี่ชอบมากนะคะ มีความเรียล และความต่อปากต่อคำเก่งมาก5555555 บรรยายดีค่ะ อ่านลื่นๆเลยอ่ะ รอตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ตอนที่ 17


ภายในห้องอาหารหรู หนึ่งในสถานที่ที่ผมเคยใฝ่ฝันว่าสักครั้งในชีวิต อยากจะได้มากินข้าวกับครอบครัว หลังจากที่นั่งดูรีวิวของเหล่ายูทูปเบอร์หลายคนที่ผลัดกันมารีวิวเมนูน่ากินต่างๆ โดยเฉพาะเป็ดปักกิ่งที่ตอนนี้ ณ วินาทีนี้ แม้มันจะวางอยู่ตรงหน้า ก็ยังรู้สึกเลยว่า กระเดือกแทบไม่ลง

“ นิ่งเลยเมี่ยง ไม่อร่อยเหรอลูก ” คำถามของแม่ผมที่เอ่ยถามกัน ทำได้แค่เหลือบไปมองเธอพลางส่ายหน้าไปมาอย่างไม่รู้จะตอบอะไรได้อีก อาจจะเพราะว่าปกติ ความช่างกินของผมนั้นเป็นที่ประจักษ์ต่อครอบครัว และมันคงจะดูแปลกไม่น้อยเลยที่คนชอบกินคนนั้น จะนิ่งไปแบบนี้

แต่จะให้พูดยังไงดีละครับคุณแม่ ก็ยอมรับเลยว่าอาหารตรงหน้า มันหน้าตาน่ากินทุกอย่าง แต่การจัดที่นั่งเรียกได้ว่าโคตรย่ำแย่เข้าขั้นวิกฤต

ตอนที่รู้ว่ามันเป็นน้องหมอไอซ์ก็ว่าแย่แล้ว แต่มีอย่างที่ไหนให้ผมกับไอ้อาร์มนั่งข้างกัน ด้วยเหตุผล เด็กๆนั่งด้วยกันจะได้คุยกันอายุก็เท่ากัน แถมน่าจะเป็นเพื่อนกันได้  คือแม่จะรู้มั้ย

ว่าไม่ได้อยากจะเป็นเพื่อนเลย
แล้วแฟน ก็ไม่ได้เป็นด้วย เพราะหัวใจมันไม่ว่าง

“ ส้นตีน ” พูดกับตัวเองเบาๆ แม่ก็ได้แต่ขมวดคิ้ว

“ ว่าไงนะลูก ” ส่ายหน้าไปมาในตอนที่เธอเอียงหน้าเข้ามาใกล้กัน “ จะเอาอะไรเปล่า ทำไมวันนี้เราดูกินน้อย เกร็งเหรอ ”

“ เปล่าสักหน่อย ” ว่าแบบนั้นก่อนจะตักอาหารตรงหน้ามากิน พลางเหลือบมองคนนั่งข้างกัน  ที่ก็กินอาหารทุกอย่างด้วยรอยยิ้มและความเอร็ดอร่อย คล้ายกับว่าจะอารมณ์ดีเสียเหลือเกิน

“ แล้วน้องเมี่ยงตอนนี้เรียนอยู่ปีไหนแล้วครับ ” คุณแม่ของหมอไอซ์และของไอ้สัดอาร์มชวนผมคุย รอยยิ้มใจดีที่ยิ้มให้กันนั้น เธอเป็นผู้หญิงที่ผมรู้สึกได้ว่า นี่คือหมอในอุดมคติ หมอในแบบที่พอนึกภาพไป ก็จะมีคนลักษณะแบบนี้อยู่ในภาพความทรงจำของคำว่า หมอ

ท่าทางเรียบร้อย รอยยิ้มใจดี สวมแว่นเข้ากับใบหน้า พูดจาเนิบนาม เบาๆ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีเรียบและเรียบร้อย ซึ่งก็ไม่ต่างกับคุณพ่อ ที่ก็เป็นหมอเช่นเดียวกัน ท่าทางท่านทั้งสองเหมือนกันไม่มีผิด “ ตอนนี้ปีสองใช่มั้ย เท่ากับเจ้าอาร์ม ”

“ ครับ ”


“ แล้วเรียนคณะอะไรอยู่เหรอตอนนี้  ”

“ บริหารธุรกิจครับ ” ตอบแบบนั้น เธอก็พยักหน้ารับ ผมรู้สึกหมอไอซ์ให้ความรู้สึกเหมือนคุณแม่มากเลย ผู้ชายที่ดูเรียบร้อย น่าเข้าหา ต่างกับไอ้คนที่นั่งข้างกันแบบสุดๆ หน้าตาไม่รู้ได้ใครมา แล้วท่าทางไม่คบใครนั่นอีก บอกว่าโดนเก็บมาเลี้ยงยังเชื่อเลย

“ ส่วนเจ้าอาร์มเรียนออกแบบกราฟฟิค แบบนี้ได้เจอกันบ้างมั้ย อยู่มหาลัยเดียวกันด้วยนี่”

 “ เจอสิครับ ” กลายเป็นคนที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยพูดขัดขึ้น อาร์มมันหันมายิ้มให้แม่ผมอย่างกับทำความสนิทสนม แบบที่ไม่คิดว่าคนแบบนี้จะเป็น “ สนิทด้วยนะครับคุณน้า ผมกับเมี่ยงน่ะ ”

‘ ไอ้สัด ’ สบถอยู่ในใจตอนที่หันไปมองคนที่อยู่ๆก็พูดออกมาอย่างงั้น ตาที่ถลึงเข้าใส่คนพูดด้วยคำถามที่อยากจะด่าออกไปว่า ‘พูดเหี้ยอะไรออกมาอย่างงั้น’

“ เหรอครับ ” แม่ผมหันไปมองมันด้วยสายตาที่ดูตกใจไม่น้อย “ ดีจังเลย ว่าแต่อยู่คนละคณะกันไม่ใช่เหรอลูก แล้วแบบนี้เจอกันได้ยังไงละ  ”

“ เราอยู่คอนโดเดียวกันน่ะครับ อยู่ห้องข้างกัน ”

“ แค่ก! ” เสียงสำลักกระทันหันของพี่สาวผมที่อยู่ๆเหมือนจะพ่นน้ำที่กินเข้าไปออกมาเพราะประโยคที่ไม่คาดคิดนั้น “ เเค่กๆ ” เธอไอเบาๆ พลางทุบอกตัวเองจนเรียกความสนใจจากคนทั้งโต๊ะให้หันไปมอง โดยเฉพาะหมอไอซ์ที่ก็ยกมือขึ้นลูบหลังให้ทันทีด้วยความเป็นห่วง

“ เป็นอะไรหรือเปล่าพลู ” เค้าถาม

“ เปล่าค่ะ เปล่า เปล่าๆ ” ส่ายหน้าไปมาแบบนั้นก่อนจะยิ้ม แล้วหันมาเหลือบมองผมด้วยสายตาที่เหมือนจะถาม ‘ นี่ มึงอย่าบอกนะ ว่าอาร์มคือคนที่มึงพูดถึง คนที่มึงตกหลุมรัก คนข้างห้องคนนั้น ’

พยักหน้ารับแววตานั้น เธอถอนหายใจแบบคนสิ้นแรงไม่ต่างอะไรกับผม ที่ก็เอื้อมมือไปหยิบน้ำในแก้วขึ้นมากิน

มีแต่ความรู้สึก สิ้นหวัง อย่างบอกไม่ถูก มันเหมือนทุกอย่างจบสิ้นแล้ว สำหรับความลับที่พยายามไม่เอ่ยบอกอีกฝ่ายมาตลอด

‘ จบแล้วสินะกู จบแม่งทุกอย่างเลย ’ ผ่อนลมหายใจออกมาแก้วน้ำถูกวางลงที่เดิม ผมเหลือบมองอาร์มที่ก็มองกันอยู่ ด้วยความรู้สึกที่อยากจะพูดออกไปว่า ‘ เอาเลยไอ้สัด อยากจะพูดอะไร มึงก็พูดเลย เพราะกูแม่งจบแล้วละ ไม่มีเหี้ยอะไรที่ไม่อยากให้มึงพูดแล้ว  ’

“ เดี๋ยวนะ แล้วแบบนี้คือห้องที่พี่แนะนำเมี่ยง ก็คือข้างห้องอาร์มหรอกเหรอ ” พี่หมอไอซ์พูดทักขึ้นมาบ้างแบบยิ้มๆ เค้าดูดีใจที่ผมกับอาร์มสนิทกัน จนมันออกมาทางแววตานั้นอย่างปิดไม่มิด“ โลกกลมดีจัง กลายเป็นว่าคอนโดที่พี่แนะนำเรา ห้องที่เราอยู่ ก็คืออยู่ข้างๆห้องของอาร์มมันเฉยเลยสินะ ”

“ ฮ่าๆ ก็ครับ ” ได้แต่หัวเราะแห้งๆอย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ก็คือโลกกลมชิบหายเลยจริงๆนั่นแหละ แล้วไม่ใช่กลมธรรมดานะ กลมแบบ กลมเหี้ยๆเลยด้วยไอ้สัด 

ผมต่อคำตอบพวกนั้นในใจ ก่อนจะหันไปมองพี่สาวที่ก็ยิ้มให้กันอย่างสังเวทในแววตานั้น แน่นอนว่าถ้าเจ้พลูมันพูดได้คงบอกกันแค่ว่า ‘ ไอ้เมี่ยงเอ้ยย โธ่ น้องชายพี่ นี่เหรอ คือคนที่มันบอกกูว่าเป็นอริกัน แล้วมึงก็เสือกไปตกหลุมรักมันแล้วด้วย คนที่มึงบอกว่า พยายามจะหนีห่าง ก็คือคนที่โลกมันเหวี่ยงให้มานั่งใกล้มึงอยู่ที่นี่สินะ ’

“ อร่อย ” เสียงทุ้มที่พูดสั้นๆ มาพร้อมชิ้นปลาเก๋าที่วางลงบนจานของผมด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร คล้ายๆว่าเราอยู่ในวันรับน้องใหม่แล้วต้องหาเพื่อน ท่าทางใสซื่อพวกนั้นผมจัดการเขี่ยชิ้นปลานั้นออกไปที่ขอบจานอย่างไม่ใยดี ก่อนจะเหลือบไปบนโต๊ะเพื่อจะคีบชิ้นใหม่ แต่กลับพบว่าจานปลาเก๋าผัดซอสอะไรสักอย่างที่ว่านั้น กลับไม่มีสักชิ้นเหลืออยู่แล้ว

“ K ” สถบออกไปอย่างงั้นก่อนจะหันกลับมามองไอ้ชิ้นปลาเก๋านั้น ที่อยู่ในจานตัวเองอย่างรู้สึกเสียดายอยู่ลึกๆ แต่ก็นั่นแหละ เสียชีพอย่าเสียสัจ

“ ศักดิ์ศรีแม่งกินไม่ได้นะ แต่ปลาเก๋ากินได้ และอร่อยด้วย ” ไอ้อาร์มกระซิบผม ก่อนจะพูดแบบไม่ออกเสียง ด้วยท่าทางยียวในตอนที่เคี้ยวปลาเก๋าของตัวเอง ‘ อร่อยมากกกกก ’

“ ไม่ ” ผมตอบ อีกคนก็แบะปาก พลางยักไหล่

“ ก็เรื่องของมึง ”

“ อ้าว แล้วทำไมไม่กินละเมี่ยง อาร์มเค้าอุตส่าห์ตักให้แหน่ะ ” แม่หันมาถามกันก่อนจะเชิดหน้าไปที่ปลาเก๋าชิ้นนั้น

“ น้องเมี่ยงไม่ชอบกินปลาเหรอครับ ” คราวนี้แม่ของหมอไอซ์ก็ถามกันบ้าง เธอที่ยิ้มให้อย่างใจดี แต่ก่อนอื่นเลยนะครับ คือ เป็นอะไรเอ่ย ทำไมอยู่ๆถึงต้องมาสนใจชิ้นปลาเก๋าในจานกูกันขนาดนี้

“ แค่ไม่ค่อยชอบกินน่ะครับ ” ผมตอบ แต่เหมือนว่าเรื่องปลาเก๋าชิ้นนี้นั้น จะไม่จบลงง่ายๆอย่างที่คิด

“ เค้าไม่กินหรอกครับ เพราะผมเป็นคนตักให้ ” คนที่อยากจะให้เงียบปากที่สุดเอ่ยพูดขึ้นมา พร้อมกับลมหายใจที่ผ่อนออกเบาๆอย่างรู้สึกแย่ และแน่นอนว่าท่าทางแบบนั้น มันสร้างความสนใจให้กับคนทั้งโต๊ะ จนผมต้องหันไปถาม

“ พูดอะไรของมึง ”

“ ก็มึงโกรธกูอยู่ไม่ใช่เหรอ ก็เลยไม่กินของที่กูตักให้น่ะ ” ยิ้มให้กันแล้วตีหน้าเศร้ามากกว่าเก่า ต่างจากคำที่บอกว่า เรื่องของมึงและท่าทางกวนตีนเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง  มันไม่ต่างอะไรกับละครหลังข่าว อาร์มก้มหน้าลงด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนผิดหวังแบบเกินจริง

เป็นการแสดงของมันทำให้ผมได้แต่อ้าปากค้าง แต่นั่นก็คงต่างจากแม่ผม

“ โกรธอะไรเค้า กินเข้าไปเลยนะ ” เธอหันมากระซิบบอกแบบนั้นด้วยท่าทางจริงจัง “ อย่าทำให้บรรยากาศภายในโต๊ะอาหารเสียสิลูก ”

 ‘ แม่!!! ’ ในใจผมตะโกนออกไปแทบจะลั่นห้อง สายตาที่หันไปมองแม่ตัวเอง แต่ก็พูดอะไรแบบที่อยากจะพูดไม่ได้  ‘ ใครทำมันกัน ใช่เมี่ยงนี่ไหน ไอ้เหี้ยนี่มันแสดงทั้งนั้น มันกวนตีน ไม่ใช่เมี่ยงเลย มันมากกว่าที่ทำเมี่ยงด้วยซ้ำ ’

“ ยังไม่กินเข้าไปอีก ” เธอย้ำกันแบบนั้นด้วยแววตาที่จ้องเขม็ง ผมก็ได้แต่จำยอมจิ้มปลาชิ้นนั้นเข้ามากินก่อนจะหันไปมองคนที่แสดงละครจนทุกคนเข้าข้างไปหมด ริมฝีปากผมเคี้ยวด้วยความหงุดหงิดในตอนนั้นอาร์มมันถามยิ้มๆ

“ อร่อยปะ ”

“ ไม่ แล้วนั่นก็เพราะมึงเป็นคนตักมาให้กูกิน ไม่ใช่อาหาร ” ปากที่เคี้ยวหนุบหนับพร้อมกับแววตาหาเรื่อง ชวนให้คนในโต๊ะหลุดยิ้มออกมา

“ ขี้งอนจริงๆเลยเรา ” แม่ผมพูดแบบนั้นพลางส่ายหน้ายิ้มให้กับพ่อแม่ของฝ่ายหมอไอซ์ ที่พวกเค้าก็ยิ้มกว้างออกมาก่อนจะส่ายหน้าด้วยความรู้สึกประมานว่า ‘ ไม่เป็นไรหรอก ก็แค่เด็กๆทะเลาะกัน ’

“ แล้วทะเลาะเรื่องอะไรกันละ ” คราวนี้เป็นพ่อผมที่ถามออกมา แล้วก็เพราะปลาที่เคี้ยวอยู่อีกนั่นแหละ  ไอ้อาร์มก็เลยเอียงหน้ายิ้มแล้วทำทีเป็นจะตอบแทน แต่โชคยังดีที่คราวนี้ ผมยกมือขึ้นปิดปากมันได้ทัน

‘ จะพูดเหี้ยอะไร ’ ผมถลึงตาใส่ คนที่กำลังจะพูดก็หลุดยิ้มออกมา

“ ท่าทางดุมีพิรุธกันนะ ” หมอไอซ์ว่าผมก็หันขวับไปมอง ก่อนจะส่ายหน้าไปมาแบบรวดเร็ว

“ ไม่มี๊!! ” เสียงที่สูงเกินไป และดูออกมากเลยว่าตอแหล เรียกรอยยิ้มกว้างและดับความอึดอัดภายในโต๊ะอาหารได้อย่างฉับพลัน ทุกคนยิ้มให้กับท่าทางของผม ก่อนที่พ่อจะพูดขึ้น

“ ก็ท่าแบบนั้นแหละ ที่บอกเค้าหมดแล้ว ว่ามันมี ”

“ ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย ” พูดออกไปเสียงเซ็ง ผมลดมือที่ปิดปากอีกคนลงด้วยสีหน้าติดงอน แล้วนั่นก็เหมือนว่ามันจะเรียกเสียงหัวเราะให้กับทุกคนอีกครั้ง ‘ ก็เหี้ยดี อยู่ๆความเสียใจของกู กลายเป็นเรื่องตลกซะงั้น ’

“ น้องเมี่ยงน่ารักจังเลยครับลูก ” แม่ของอาร์มชมกันแบบที่อดไม่ได้  ส่วนผมก็ทำได้แค่ยิ้มตอบรับเธอไปอย่างไม่รู้จะพูดอะไรอีก 

อาหารคาวตรงหน้าหมดไปตามความครื้นเครง พนักงานยกจานเปลี่ยนชุดอาหาร ตอนนี้เริ่มเข้าสู่ช่วงเมนูของหวาน พร้อมกับเรื่องราวที่ก็เปลี่ยนไปด้วย แล้วหัวข้อที่ว่านั่น ก็คือการแต่งงานระหว่างพี่สาวผมและหมอไอซ์ที่กำลังจะจัดขึ้นเร็วๆนี้ ซึ่งแน่นอนว่าน่าเบื่อเสียจนต้องดึงมือถือขึ้นมาเล่นฆ่าเวลาที่อยากจะให้มันจบลงเร็วๆ

Arm:
นั่งหน้าเป็นตูดเลย


ข้อความในโปรแกรมแชทที่โชว์ขึ้นมา ผมเหลือบมองคนนั่งข้างกันที่ส่งมาให้ ก่อนผ่อนลมหายใจ แล้วปิดมันไปโดยไม่ตอบอะไร

Arm:
นั่งหน้าเป็นตูดเลย
นั่งหน้าเป็นตูดเลย
นั่งหน้าเป็นตูดเลย
นั่งหน้าเป็นตูดเลย


Mieng:
เสือก
แล้วจะส่งมาทำไมตั้งหลายที

Arm:
ก็เห็นไม่ตอบ
Mieng:
ไม่อยากจะคุยกับคนอย่างมึง

Arm:
เราจะเป็นญาติกันแล้วนะ

Mieng:
กูไม่นับญาติกับมึง

Arm:
ก็ดี
เพราะกูก็ไม่อยากจะเป็นเหมือนกันอะ

Mieng:
เออ

Arm:
เพราะอยากเป็นอย่างอื่นมากกว่า

      
ผมได้แต่นิ่งไปในตอนที่อ่านประโยคนั้น รอยยิ้มของคนนั่งข้างที่ยกยิ้มขึ้นจากเสี้ยวใบหน้าที่เหลือบมองเห็น ก็ยังคงมีความสุขกับการพูดอะไรแบบนี้ให้ผมฟัง ทั้งๆที่เรื่องของเรามันควรจบไปแล้ว จนบางทีก็อยากจะถามมันออกไปเหมือนกัน

กูยังเจ็บไปพอเหรอ หรือกูแสดงออกให้มึงเห็น ว่ากูยังเจ็บไม่พอ มันน้อยไปเหรอ กับความเสียใจของกู มึงเลยยังทำกันอยู่แบบนี้ แล้วก็ยังถามกันอยู่แบบนี้ ‘อยากเป็นอย่างอื่นมากกว่าเหรอ แล้วอยากจะเป็นอะไรละ ก็หัวใจมึงไม่ว่างสักที่แล้วจะให้กูเป็นอะไร กับมึง กูเป็นอะไรไม่ได้เลยสักอย่างด้วยซ้ำไป’

“ K ” สถบออกมาเบาๆ ผมปิดหน้าจอมือถือก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะ

“ เมี่ยง ” เสียงของแม่ที่เอ่ยเรียกผม ก่อนจะเอื้อมมือเข้ามาจับ ผมเพิ่งสังเกตว่าตอนนี้คนรอบโต๊ะต่างพากันลุกขึ้นหมดแล้ว ท่าทางที่บ่งบอกกันว่ามื้ออาหารนี้จบลงแล้ว และนั่นมันก็เป็นอะไรที่ดีที่สุดเลย เพราะผมโคตรอยากจะกลับบ้าน

อยากเอาหัวใจ เอาร่างกาย เข้าไปนั่งพักในห้องของตัวเองแบบเงียบๆ แล้วหลุดออกจากความอึดอัดที่เหมือนกับห้องคับแคบนี้ ผมอยากอาบน้ำให้สดชื่น ล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มๆ พร้อมกับกอดไอ้นายเท่านที่ก็คงทำตัวนุ่มนิ่มให้กอดอย่างใจดีเป็นพิเศษในช่วงนี้

“ เออ เมี่ยง พ่อจะคุยกับเราหน่อย ”

“ ครับ ” เอียงหน้ามองพ่อตัวเองที่ก็เดินเข้ามาหาก่อนจะกอดคอกันอย่างที่ชอบทำ “ จะให้เงินเหรอครับ พร้อมรับนะ  ” แบมือออกกไปแบบทีเล่นทีจริง ก่อนจะโดนเขกหัวเข้าให้

“ ใช่ที่ไหน พ่อจะยืมรถเราหน่อยต่างหาก ได้มั้ย พอดีพ่อจะเอารถเข้าศูนย์ซ่อมน่ะ แล้วมันต้องใช้เวลาสักหน่อย พ่อต้องใช้รถด้วย จะยืมของพี่เรา รายนั้นช่วงนี้ก็วุ่นๆกับงานแต่ง  ”

“ ได้อยู่แล้ว ทำไมจะไม่ได้ละ ” ผมพยักหน้ารับ “ แต่พ่อกับแม่ต้องไปส่งเมี่ยงที่หอด้วยนะ เมี่ยงไม่อยากนั่งแท็กซี่กลับ ”

“ ได้สิ ”

“ พ่อจะเอาไปซ่อมเหรอคะ ” พี่สาวผมที่ยืนอยู่กับพ่อแม่หมอไอซ์หันมาถาม “ แล้วรถพ่อเป็นอะไร ”

“ เอาไปจูบเสาไฟฟ้ามาน่ะสิ ” แม่ผมบอกก่อนจะส่ายหน้าไปมา “ แม่ก็บอกแล้วนะ มันจะชนแล้ว มันจะชนแล้ว แต่ทางนั้นก็เอาแต่บอก ไม่หรอกน่า ไว้ใจผม ไว้ใจผม แล้วสุดท้ายก็โครม จุ๊บไปเต็มแรงเลยละ ” หลุดยิ้มออกมากับภาพที่คิดตามอยู่ในหัวจากคำพูดของแม่

“ แล้วจะเล่าทำไม อายเค้าคุณ ” พ่อหันไปมองทางฝั่งครอบครัวหมอไอซ์ที่หลุดหัวเราะออกมาตามกัน เค้ามือที่ยกขึ้นเกาหัวตัวเองเหมือนแก้เก้อ

“ แต่คอนโดเมี่ยงกับบ้านเรามันไปคนละทางกันเลยนะคะ พลูว่า เดี๋ยวพลูไปส่งเมี่ยงเองดีกว่า ” พี่สาวผมบอก “ พ่อกับแม่ขับรถกลับบ้านจะได้ไม่ดึกมากไง ”

“ เราก็ใช่ว่าจะทางเดียว อีกอย่างทำงานเช้าด้วยไม่ใช่เหรอ พ่อไปเองนั่นแหละ ดีแล้ว ”

“  ให้เมี่ยงไปกับผมก็ได้ครับ ยังไงผมก็อยู่คอนโดเดียวกับเมี่ยงอยู่แล้ว ” คนที่ผมไม่อยากจะให้เข้ามายุ่งที่สุด พูดขึ้นอย่างที่ไม่มีใครร้องขอ ผมเหลือบมองอาร์มที่ยิ้มให้พ่อกับแม่ของผมแล้วก็เจ้พลูที่ก็นิ่งไปสักพัก ก่อนจะเหลือบมองผมราวกับจะถามว่าจะเอายังไง แต่ตอนนั้นผมก็แค่ส่ายหน้า

 “ ไม่เป็นไร ” ผมบอกปัด “ กูอยากให้เจ้พลูไปส่งกูมากกว่า เกรงใจด้วยครับ ” หันไปพูดกับพ่อแม่ของอีกฝ่ายในประโยคหลัง ที่ก็ส่ายหน้าไปมาอย่างรู้สึกไร้สาระเหลือเกินกับความคิดนั้น

“ ไม่ต้องเกรงใจหรอกน้องเมี่ยง ตอนนี้ยังไงเราก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว กลับกับอาร์มเค้าดีแล้ว  ยังไงก็อยู่คอนโดเดียวกัน น้องพลูก็ไม่ได้ขับรถไปมาด้วย อันตรายนะ  ”

“ แต่ว่า..” หันไปมองพี่สาวตัวเองที่ก็เหลือบมองกัน เจ้พลูยิ้มให้พ่อแม่หมอไอซ์

“ เดี๋ยวพลูไปส่งน้องเองดีกว่าค่ะคุณพ่อคุณแม่ พอดีว่ามีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อย ”

“ ใช่ๆ ” พยักหน้ารับคำพูดของพี่สาวตัวเอง ผมยิ้มกว้างออกมาอย่างมีความหวัง “ พอดีเมี่ยงมีเรื่องจะคุยกับเจ้พลูเยอะแยะเลย เนอะๆ ”

“ งั้นก็คุยกันก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมรอ ” ไอ้อาร์มบอกก่อนจะยิ้มให้เราสองคน ที่ก็ใบ้กินไป “ พี่พลูจะได้ไม่ต้องขับรถวนไปวนมาด้วย ทำงานเช้า ถ้านอนไม่พออันตรายนะครับ ”

“ นั่นน่ะสิพลู ” หมอไอซ์พูดเสริม “ ให้อาร์มไปส่งเจ้าเมี่ยงก็ได้ ยังไงก็คอนโดเดียวกัน ”

“ อีกอย่างพรุ่งนี้เช้าผมก็ไม่มีเรียนอยู่แล้ว ผมรอได้ครับ พี่พลูกับเมี่ยงคุยกันได้ตามสบายเลย จะลงไปนั่งคุยที่ร้านของโรงแรม ก็น่าจะมีอยู่นะครับ ”

‘ ไอ้ชิบหาย เสือกจริงๆ หน้าเหี้ย ’ กร่อนด่าอยู่ในใจตอนมองหน้าคนที่ยังยิ้มให้กัน ส่วนพี่สาวผมก็คล้ายกับว่าจะหมดหนทางช่วยชีวิตกันไปเสียอย่างงั้น เธอได้แต่นิ่งแบบใบ้กิน

“ เอ่อ..”

“ แล้วเราจะมาคุยอะไรกันวันนี้ ค่อยโทรคุยกันก็ได้นี่ ” แม่ผมบอกก่อนจะส่ายหน้าไปมา “ ไอ้พี่น้องคู่นี้ก็นะ เราเองทำงานเช้าพลู รีบกลับบ้านไปพักผ่อนได้แล้วไม่ใช่ห่วงแต่พ่อแม่ ส่วนเมี่ยงก็กลับกับอาร์มเค้านะ สานสัมพันธ์กันไว้  อีกอย่างกลับดึกอันตรายด้วย ขับรถกันดีๆเข้าใจมั้ย  ส่วนน้องอาร์ม แม่ฝากเมี่ยงด้วยนะครับ ” ประโยคท้ายที่หันไปยิ้มกว้างให้อีกฝ่าย หมอไอซ์ก็เสริม

“ แบบนี้ก็ดีครับ งอนๆกันอยู่ เดินทางกลับด้วยกัน จะได้คืนดีกันไง ”

“ คืนดีอะไร ไมได้งอนสักหน่อย ” ตอบกลับอีกฝ่ายไปแบบนั้นด้วยท่าทางหาเรื่อง แต่เหมือนจะจบในรูปแบบเดิมอีกครั้ง ทุกคนหัวเราะกับท่าทางของผม ที่ก็ดูเหมือนเด็กคนนึงเท่านั้น

อย่างไม่รู้เลยว่า หัวใจผมเผชิญอะไรมา

..........................................................

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
“ โคตรเหี้ยเลย ” ผ่อนลมหายใจพลางพิงร่างลงกับเบาะรถที่นั่งด้วยสภาพจำยอมในที่สุด ผมพลิกร่างตัวเองหันไปมองนอกหน้าต่างที่ตอนนี้รถติดยาวเหยียดจนมองไม่เห็นสัญญาณไฟจราจรที่อยู่ด้านหน้า เป็นความน่าเบื่อ และอึดอัดที่กัดกินจนไม่รู้จะทำอะไร แล้วก็ได้แต่รับสภาพชีวิตฮวงซวยแบบไร้ที่ตินี้ อย่างจำยอม

ทั้งๆที่แค่อยากจะพักสักหน่อยก็เท่านั้นเอง
ก็แค่ไม่อยากจะเสียใจไปมากกว่านี้ ก็เท่านั้นเอง
แต่ยังทำไม่ได้เลย

“ บัดซบชิบหาย ”

“ บ่นเหี้ยอะไร ” เหลือบไปมองคนขับที่พูดขึ้นมาแบบนั้น แต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไร “ พูดให้ฟังหน่อย อยากฟัง เมี่ยง ” ท้ายคำนั้นที่เรียกผมหันไปมองหน้ามันที่ก็ยังยิ้มให้กัน

“ อย่าเสือกได้มั้ย ” ผมถาม “ อยากเสือกเรื่องของกู อย่าเข้ามายุ่งเรื่องของกู มึงอยู่ของมึงไปเถอะ ส่วนกูก็จะอยู่ของกู ”

“ เมี่ยง..” อีกฝ่ายพูดขัด แต่ผมก็ไม่หยุดแค่นั้น

“  จบกันแค่นี้ไม่ได้เหรอ ทำไมมึงต้องเข้ามาวอแว วุ่นวาย แล้วพยายามดึงกูเข้าไปอยู่ใกล้มึงขนาดนี้ ให้กูพักบ้างไม่ได้เหรอ เห็นใจกูบ้างสิไอ้สัด ..”

“ ก็กูอยากอยู่กับมึง ” ประโยคนั้นทำให้นิ่งไปได้สักพัก เหมือนถูกหยุด

“ แต่กูไม่อยากอยู่ ” พิงหลังลงกับเบาะที่นั่ง ผมถอนหายใจ ก่อนจะรีบพูดปัดอย่างไม่ใยดี “ กูไม่ได้อยากจะอยู่กับมึง กูไม่ได้อยากคอยมึงที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ แล้วก็กูไม่ได้อยากจะอยู่ใกล้มึงด้วยรู้ไว้ซะ ”

“ แต่กูอยาก ” อาร์มยังคงย้ำแบบนั้นด้วยคำพูดที่ทำให้ใจทั้งใจมันบีบรัดไปหมด  แม้ว่าสายตามันจะไม่ได้หันมามองกันเลยด้วยซ้ำ “ กูอยากอยู่กับมึง ”

“ ในฐานะ ” ผมถามกลับ “ อยากจะอยู่กับกูในฐานะอะไรไม่ทราบ ”

“ กูชอบมึง ”

“ แต่มึงมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ” หันไปมองนอกหน้าต่างในตอนที่พูดคำนั้น ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “ คือยังไง ชอบกูด้วยเหรอ แล้วก็ชอบเค้าด้วยน่ะเหรอ หรือว่า ชอบเค้าลดลงแล้วและก็ชอบกูเพิ่มมากขึ้น ก็เลยต้องรั้งไว้ ”

“ อย่างหลัง ”

“ แต่มึงก็ยังชอบเค้าอยู่ดี ชอบแบบที่ตอนนี้ ก็ชอบกูด้วย เหี้ยมากนะรู้ใช่มั้ย คนจับปลาสองมือน่ะ ” อาร์มนิ่งไป ผมเองก็ด้วย

เอาจริงๆ ก็ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย ความรู้สึกที่เหงาแบบนี้ ความรู้สึกที่ต้องเจ็บปวดแบบนี้ แบบที่ขนาดไฟประดับหน้าห้างที่ชอบก็ยังดูเหงา เป็นอะไรที่โคตรเกลียด แล้วก็ยิ่งเกลียดมากขึ้นไปอีก เมื่อตัวเองต้องจมอยู่กับอะไรแบบนี้

“ ปล่อยกูไปเถอะ หายหน้าหายตาไปจากชีวิตกูได้แล้ว กูจะไปมีชีวิตของกู ส่วนมึงถ้าเลิกชอบเค้าได้เมื่อไหร่ ก็ค่อยมาจีบกู ถ้าตอนนั้นกูไม่มีใคร ก็ค่อยว่ากัน เพราะกูคงไม่อยู่หรอก ในความสัมพันธ์แบบที่ คนที่กูชอบ เค้าไม่ได้ชอบกูแค่คนเดียว ”

“ กูไม่อยากจะปล่อยมึงไปเลย” ร่างสูงพิงหลังกับเบาะรถตรง มือที่กำพวงมาลัยรถตัวเองไว้แน่นนั้น “ ด่ากูแทนได้มั้ย ด่ากู ว่ากูเห็นแก่ตัว ด่ากู ว่ากูเหี้ย ด่ามาเลย จะบอกว่าเลวก็ได้ แต่ไม่ว่ายังไง ก็จะไม่ปล่อย กูไม่อยากจะปล่อยมึงไป ก็กูชอบมึง แล้วจะให้กูปล่อยคนที่ชอบไปทำไม กูไม่มีทางปล่อยหรอก ”

“ อื้ม เหี้ยดี ”

ทุกอย่างนั้นกลายเป็นแค่ความเงียบในที่สุด ผมก้มหน้าลงอย่างไม่รู้จะเถียงอะไรออกไป เพราะเหมือนพูดไปมันก็วนอยู่แค่ตรงนี้ ตรงที่ผมอยากออก แต่มันก็แค่บอกว่าไม่ให้ไป

“ จะไปไหน ” หันไปถามตอนที่รถสี้ยวเข้าไปในซอยที่ดูเหมือนจะไม่ใช่คอนโดของเรา และแน่นอนว่ามันไม่ใช่ทางลัด ยังไม่ถึงจุดที่ต้องเลี้ยวด้วยซ้ำ

“ อยากกินเหล้า ไปกินเป็นเพื่อนหน่อยสิ ”

“ แต่กูไม่อยากกิน ” พูดเสียงจริงจังใส่อีกคนที่ก็แค่ปรายตามามองกัน แต่ก็ไม่ได้ฟังกันสักเท่าไหร่ “ กูบอกว่ากูไม่อยากกินไง ”

“ แต่กูอยากกิน ” มันเถียง

“ ก็กูบอกว่า กูไม่อยากกิน ”

“ เดี๋ยวเลี้ยง ”

“ ไม่กิน! ” กลายเป็นผมที่ตวาดใส่มัน “ งั้นเดี๋ยวกูเรียกแท็กซี่กลับเอง ” แต่นั่นก็เท่านั้น  อาร์มเร่งเครื่องยนต์เข้าไปในซอยด้วยความเร็วแบบที่ไม่ตอบอะไรอีก ก่อนจะหยุดจอดลงที่ลานของผับแห่งนึงอย่างกระทันหัน

เกียร์ถูกปรับให้หยุดนิ่ง ท่ามกลางความเงียบที่แสนอึดอัดนั้น มือหนาข้างนึงนั้น เอื้อมมาจับมือผมในตอนที่จะเปิดประตูหนีออกไป

“ อยู่กับกูหน่อยได้มั้ย ” อีกคนหันมามองกัน พร้อมกับน้ำเสียงราบเรียบ แต่นั่นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกขอร้อง “ กูอยากอยู่กับมึง ”

 เหลือบมองป้ายไฟด้านบนที่เขียนว่า throw up ในตอนที่เดินลงจากรถอย่างจำยอมและพ่ายแพ้ให้กับคำพูดของคนตรงหน้าอีกครั้ง ผมถอนหายใจพลางมองไปรอบๆอย่างไม่รู้จะด่าตัวเองว่าอะไรดี จนสุดท้ายก็ได้แต่พูดปลงๆออกไป ‘ ไอ้เมี่ยงหน้าเหี้ย แต่ก็เอาเถอะ ’ ท้ายประโยคนั้นผมปลอบใจตัวเอง ถ้าคนเรามันมูฟออนกันได้ง่ายๆอย่างงั้น  ในโลกนี้ก็คงไม่มีคนโง่เพราะความรักหรอก

“ มึงเคยมาที่นี่มั้ย ” คนที่เดินนำไปเอ่ยถาม ผมก็ส่ายหน้าพลางถอนหายใจเบื่อหน่ายใส่

“ ไม่เคย ” แต่ถ้าถามว่าเคยได้ยินชื่อมันมาบ้างมั้ย ก็บอกเลยว่า บ่อย เพราะไอ้เบสพูดให้ฟังตลอด และกรอกหูแทบทุกวัน ว่าเป็นผับดีอันดับหนึ่งที่โคตรน่าไป และต้องไปสักครั้งในชีวิตนักศึกษา เป็นการอวยแบบเกินจริง อย่างที่ถ้าไม่รู้จักกับเจ้าของผับ ก็คงเป็นหุ้นส่วนยังไงอย่างงั้น

“ สวัสดีครับ ” คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าเอ่ยทักเรา ใบหน้าจริงจังที่แม้จะยิ้มแต่ยังให้ความรู้สึกน่ากลัว ท่าทางที่ก็ชวนให้นิ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่คนเดินนำยื่นบัตรประชาชนไปให้อีกฝ่าย แล้วนั่นก็ทำให้ผมถอนหายใจโล่งออกมา เพราะมันก็แค่การตรวจบัตรประชาชนเท่านั้น

“ นี่ครับ ” ยื่นบัตรประชาชนของตัวเองให้อีกฝ่ายที่ก็ยิ้มใจดี ก่อนจะเปิดประตูให้เรา แล้วนั้นก็ทำให้ผมถึงกับต้องผงะไปด้านหลังกับเสียงดังภายในที่ดังกระหึ่มพร้อมทั้งผู้คนที่ดูหนาตาแบบชนิดที่ว่าไม่มีมุมว่างในตอนที่มองแบบผ่านๆเลย “ คนเยอะชิบหาย ”

“ นี่น้อยแล้วนะ ” อาร์มหันมาบอกกัน ก่อนจะคว้ามือของผมแล้วกุมจับมันไว้แน่นพร้อมทั้งออกแรงดึงจนต้องก้าวตามมันไป เราหยุดยืนกันที่มุมบาร์ ตรงที่นั่งด้านหน้า มันว่างอยู่สองที่พอดี “ นั่งสิ ”

“ รู้แล้วละน่า ” หย่อนตัวลงนั่งด้วยสีหน้างหงุดหงิดก่อนจะหันไปมองบาร์เทนเดอร์ที่ก็ยิ้มให้กัน พร้อมกับพยักหน้ารับ

“ สวัสดีครับ ”

“ สวัสดีครับ ” ตอบรับกลับไปอย่างเสียไม่ได้ ผมยิ้มให้คนตรงหน้าที่ก็บอกเลยว่า โคตรหล่อ ขนาดเป็นผู้ชายด้วยกันเองยังใจเต้น ชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวดูดีสวมทับด้วยเสื้อกักสีดำ ผู้ชายหน้าตาเท่ตรงหน้า ยิ้มให้กันจนเห็นฟันเขี้ยว เค้าเลิกคิ้วให้ผมแบบคนมีเสน่ห์ ตามฉบับที่สาวคนไหนมาเห็น ก็คงตกหลุมรักกันได้ง่ายๆ

“ รับอะไรดีครับ ”

“ เอ่อ..” หันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างกัน เพราะผมไม่ใช่พวกชอบกินอะไรแบบนี้อยู่แล้ว และเรียกได้ว่าตอบไม่ได้เลย เพราะไม่รู้จักสักชื่อ

“ scotch and soda ”

“ ครับ แล้วอีกท่าน ” มือถูกผายมาให้ผมอีกครั้งที่ก็ส่ายหน้าไปมา เป็นการปฎิเสธ

“ สั่งสักหน่อย มึงจะมานั่งชิงที่คนอื่นทำไม ”

“ แล้วใครมันใช้ให้กูมา ก็บอกอยู่ว่าไม่มา ไม่มา ไม่อยากกิน ”ผมเถียงอีกฝ่ายออกไปอาร์มมันก็ถอนหายใจก่อนจะมองไปทางอื่น “ แล้วอีกอย่างกูสั่งเป็นที่ไหนละไอ้สัด ปกติก็น้ำแข็ง โซดา เหล้า โค้ก จบ แค่นั้นมั้ยละ ”

“ ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย ” คนฟังหันมาบอกกัน มันเหลือบมองบาร์เทนเดอร์ที่ยังคงรอรับเมนูของผม อารร์มหลุดหัวเราะออกมา “ โทษทีนะครับ พอดีเค้าเคยเข้าแต่ผับธรรมดา ”

“ ไอ้..” ยังด่าไม่ทันจบคำ พนักงานคนเดิมก็ขัดขึ้นมาก่อน

“ แนะนำให้มั้ยครับ ปกติเป็นคนกินเหล้าจัดมั้ย ”

“ ไม่อะครับ ” ผมส่ายหน้า  “ กินได้แบบเข้าสังคม ”

“ margarita มั้ยครับ ผมว่ามันน่าจะเหมาะกับคุณนะ ”

“ ก็ได้ครับ ” ตอบส่งๆออกไปเพราะไม่รู้อยู่แล้วว่ามันคืออะไร  ผมยิ้ม ก่อนจะหันไปมองคนนั่งข้างกัน อาร์มยังคงยิ้มอารมณ์ดี

“ ถ้าเมากูไม่รู้ด้วยนะ ”

“ กูไม่เมาหรอกไอ้สัด สั่งไปงั้นๆอะ ไม่ได้อยากกินเลย ” คนฟังไม่ได้ตอบอะไร แต่สายตาคมแค่มองไปรอบๆไม่ต่างอะไรกับผมที่ก็มองไปรอบๆเหมือนกัน ซึ่งแน่นอนว่าบรรยากาศก็ต่างจากผับทั่วไปที่ผมชอบไปอยู่มากจริงๆนั่นแหละ และอาจเพราะที่นี่มีคนเยอะกว่ามาก มันเต็มทั้งชั้นล่าง ชั้นบน เพลงก็จัดว่าเพราะ แต่ถึงอย่างงั้นก็ไม่สไตส์ที่ชอบอยู่ดี

“ แล้วปกติชอบที่นั่งกินเหล้าแบบไหน ”

“ ถามทำไม ”

“ อยากชวนคุย ”

“ แต่กูไม่อยากคุยกับมึง ” ว่าแบบนั้นก่อนจะเท้าคางลงกับโต๊ะแล้วมองดูคุณบาร์เทนเดอร์ที่จัดการเครื่องดื่มของเราด้วยท่าทางเชี่ยวชาญ แต่เหมือนจะมองมากเกินไป เค้าก็เลยทำไปแบบยิ้มไปแล้วหันมามองกันแบบอดไม่ได้

“ รอสักครู่นะครับ ”

“ ไม่ได้กดดันนะครับ ” โบกมือไปมาให้เค้าก่อนจะหันไปมองทางอื่นบ้าง แล้วนั่นก็ต้องนิ่งไปเพราะเผลอไปสบตากับคนที่นั่งเท้าคางมองกันอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“ มองเหี้ยอะไรไอ้สัด ”

“ ก็บอกว่าอยากอยู่ด้วย พามาแล้วไม่นั่งมองหน้ามึง แล้วจะให้กูไปมองอะไร ” เบือนหน้าหนีไปอีกฝั่งในตอนที่ถอนหายใจออกมา ผมยกมือข้างที่ว่างบังหน้าตัวเองไว้ แล้วนั่นก็เป็นท่าทางที่คุณบาร์เทนเดอร์ที่หันมาเห็นพอดี ต้องหลุดยิ้ม

 “  scotch and soda แล้วก็ margarita ครับผม ” ค็อกเทลหน้าตาดีถูกวางลงตรงหน้า ผมเหลือบมองของไอ้อาร์มอย่างอดไม่ได้แบบเด็กอยากรู้อยากเห็น แต่นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับเหล้าเพียวๆ ใส่น้ำแข็งเลยสักนิดในความรู้สึก  แค่สีเข้มกว่า อารมณ์บรั่นดี ส่วนของผมก็ดูสดชื่นสุดๆ เครื่องดื่มที่มาในแบบแก้วทรงสูงยาว คล้ายจะเป็นน้ำมะนาวมากกว่าค็อกเทลด้วยซ้ำ

“ ชนแก้วหน่อย ” ร่างสูงดึงแก้วเข้ามาชนกับแก้วของผม ที่ก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะยกแก้วของตัวเองขึ้นดื่มอย่างช่วยไม่ได้  แล้วนั่นก็เป็นช่วงวินาทีที่ต้องหลับตาปี๊นิดหน่อย กับรสชาติเปรี้ยวผสมขมที่ปนอยู่ในคอ “ อร่อยมั้ย ”

“ ไม่ใช่ทางอะ ” ผมว่าก่อนจะวางมันลงตรงหน้า แม้ว่าจริงๆจะไม่ได้แย่ ติดจะอร่อยด้วยซ้ำ แต่เพราะไม่อยากจะพูดอะไรกับอีกคนให้มากก็เลยบอกปัดไป

แต่ทว่ามันก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เวลา

บาร์เทนเดอร์คนชงเหล้าให้กันนั้น ได้ยินเต็มสองหู เค้ายิ้มให้ผม “ เปลี่ยนให้มั้ยครับ ”

“ ไม่ครับ ไม่ คือ ” โบกมือไปมาตรงหน้าอีกคนก่อนจะยิ้มแห้งๆให้ไป พร้อมกับกร่อนด่ากับตัวเอง ‘ ชิบหายอีกแล้วไอ้สัดเมี่ยง ’  “ คือ มันก็อร่อยครับ ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก ”

“ แล้วเมื่อกี้บอกไม่ใช่ทาง ” อาร์มมันถาม พลางกับเลิกคิ้วกวนตีนใส่ คือจะว่ายังไงดี จะพูดว่า นั่นมันคำตอบสำหรับมึง และมึงคนเดียวเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับคนอื่น

 “ อย่าไปสนใจมันเลยนะครับ ” หันไปบอกบาร์เดนเดอร์คนนั้น ผมยิ้มให้เค้า ที่ก็พยักหน้ารับกันก่อนจะยื่นเอาแก้วเหล้าใบเล็กๆ ส่งมาให้ผม

“ ลองชิมอันนี้ดูหน่อยมั้ยครับ ” เขาบอก แต่คงเพราะสายตาที่ดูลังเลไม่น้อยของผม อีกฝ่ายเลยอธิบายเพิ่ม “ มันเป็นค็อกเทลสูตรพิเศษของทางร้านน่ะครับ แฟนคุณเจ้าของผับ เป็นคนไม่ชอบดื่มเหล้าเหมือนกัน แต่ว่าบางทีเวลามาทำงานก็อยากจะนั่งดื่มบ้างใช่มั้ยครับ แบบนั้นทางเจ้าของผับเค้าก็เลยคิดสูตรเหล้าตัวนี้ให้แฟนเค้าน่ะ ลองชิมดูสิครับ คุณเองก็น่าจะชอบเหมือนกัน ”

“ ขอบคุณนะครับ ” ยกแก้วเหล้าใบเล็กที่บรรจุสิ่งที่คล้ายกับเหล้าปั่นนั่นเข้าไปในปากเพื่อชิม รสชาติเปรี้ยวขมที่ตัดด้วยรสเค็ม แน่นอนว่าดีกว่าอันก่อนอยู่มาก จนผมเบิกตาขึ้นมาอย่างอัตโนมิตกับความอร่อยนั่น

“ อร่อยใช่มั้ยครับ ”

“ ครับ อร่อยมากเลย ” ซัดเข้าไปแบบหมดแก้วก่อนจะวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะ

“ งั้นเดี๋ยวผมชงให้นะครับ ”

“ ได้เหรอครับ ” คำถามของผมทำให้คนเป็นบาร์เทนเดอร์ถึงกับหยุดยิ้ม แล้วเอียงหน้าถามกัน

“ แล้วทำไมจะไม่ได้ละครับ ”


“ ก็แบบว่า มันน่าจะเป็นเมนูพิเศษที่เจ้าของผับ เค้าทำให้แฟนเค้าน่ะครับ ผมว่าเค้าน่าจะอยากให้ แฟนเค้ากินคนเดียว ”

“ ไม่หรอกครับ ” คนตอบส่ายหน้าไปมายิ้มๆ พร้อมกับทำทีเป็นดึงตัวเองข้ามเค้าท์เตอร์ที่กั้นระหว่างเราอยู่มาเล็กน้อยนั้นมา  ท่าทางดูคล้ายราวกับกระซิบ “ ที่นี่ไม่มีความโรแมนติกอะไรแบบนั้นหรอกครับ ถ้าได้เงินเค้าก็ขาย ”

“ เหรอครับ ” ยิ้มแห้งๆ ตอบรับอีกฝ่ายไปแบบที่ไม่รู้เลยว่าต้องรู้สึกยังไงดี

“ พอดีแฟนเจ้าของผับ แล้วก็เจ้าของผับของเรา เป็นพวกสนใจในเม็ดเงินมากกว่าน่ะครับ ”

“ ฮ่าๆ ” หลุดหัวเราะออกมาทั้งๆที่ก็ไม่ค่อยตลก แล้วคือ ถ้ากูเป็นเจ้าของผับ กับแฟนเจ้าของผับ กูไล่มึงออกไปแล้ว กล้ามากเลย นินทาเจ้านายได้ไง

“ คราวนี้อร่อยแล้วใช่มั้ย ” คนนั่งข้างกันถามในตอนที่เห็นผมยกเครื่องดื่มแก้วใหม่ขึ้นแบบไม่วาง แต่ถึงอย่างงั้น ผมก็แค่ตอบออกไปแบบไม่ออกเสียง

“ เสือก ”

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27

เป็นการจบบทสนทนาของเราโดยสมบูรณ์แบบที่ผมกับอาร์มไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกเลยหลังจากนั้น และมีเพียงแค่ร่างสูงตรงหน้าที่ก็พูดคุยกับบาร์เทนเดอร์คนที่ดูแลเราบ้าง แต่นั่นก็ไม่บ่อยเท่าไหร่ อารมณ์ถามมาตอบไป ตามประสาของคนพูดน้อย โดยส่วนใหญ่ก็เอาแต่นั่งมองผมแบบที่ไม่พูดอะไรเหมือนกัน

ค็อกเทลในมือที่กิน จากหนึ่งแก้ว ผมเริ่มสั่งเพิ่มขึ้นจากความเบื่อหน่ายแทบไม่รู้ตัว ปากที่เอ่ยสั่งตามคนนั้นคนนี้ที่สลับผลัดเปลี่ยนมานั่งข้างกันในอีกฝั่ง เพราะเห็นหน้าตาที่ดูน่ากิน  แบบอดไม่ได้

“ ขอแบบนี้ แก้วนึงครับ ” บาร์เทนเดอร์ที่เสิร์ฟค็อกเทลให้กันนิ่งไปในตอนที่ผมพูดแบบนั้น  เค้าเหลือบมองลูกค้าที่เค้าเสิร์ฟ ก่อนที่ใครคนนั้นจะแค่ยิ้มอย่างใจดี

“ ได้ครับ รอสักครู่นะครับ ”

“ ครับผม ” พยักหน้ารับก่อนจะฟุบลงกับโต๊ะที่นั่งในจังหวะที่ทุกอย่างเงียบลงไปอีกครั้ง

น่าแปลกอยู่เหมือนกัน ทั้งๆที่เพลงที่เปิดก็ค่อนข้างเสียงดัง แต่ทำไมบรรยากาศรอบตัวถึงได้ดูเหงาขนาดนี้ แค่เพราะไม่ได้พูดคุยกับใครเหรอวะ

“ ได้แล้วครับ B52 แล้วนี่ก็หลอดครับ ”

“ ขอบคุณครับ ” ดึงตัวเองขึ้นมาจากเค้าท์เตอร์ที่นั่ง แล้วยิ้มให้อีกฝ่าย

“ ขอจุดไฟนะครับ ”

“ ว้าว จุดไฟด้วยเหรอ ” ปรบมือด้วยความประหลาดในสิ่งที่ได้ยิน อย่างห้ามใจไว้ไม่อยู่ “ แต่ เดี๋ยวนะ ผมขอถ่ายรูปไว้หน่อย ขอหามือถือหน่อย ห้าวินาที ” ตบไปตามเสื้อผ้าแบบควานหา “ อยู่ไหนน้า จำได้ว่าใส่มาในกางเกง ”

“ อยู่บนโต๊ะครับ คุณลูกค้า ” หันไปตามที่บาร์เทนเดอร์บอก ผมก็หลุดยิ้มออกมาก่อนจะจับมัน

“ ฮ่าๆ จริงๆ ด้วย โอเค จะถ่ายแล้วนะครับ หนึ่ง สอง สาม เริ่มได้เลย ”

“ ฟังก่อนนะครับ วิธีการกินก็คือ จุ่มหลอดลงไปให้ถึงก้นแก้ว แล้วก็ดูดขึ้นมาเลยนะครับ แบบรัวเดียวหมด ”

“ โอเค๊ ” ยกนิ้วโอเคบอก เป็นอันว่ารู้เรื่อง มือข้างนึงของผมถือหลอดพลางจ้องมองที่แก้วตรงหน้า เปลวไฟเล็กๆถูกจุดขึ้นมา แล้วในวินาทีหลังจากนั้นผมก็ปักหลอดลงไปในแก้ว ก้มหน้าลงดูดขึ้นมาแบบรัวเดียวหมดตามที่สั่ง “ ฮ้า อร่อย ”

“ น้ำหน่อยมั้ยนะครับ ” น้ำเปล่าในแก้วถูกยื่นมาให้ ผมก็ยิ้มรับมันมาแบบตาปิด

“ คุณบาร์เทนเดอร์ผับนี้ใจดีจังน้า ”

“ ขอบคุณครับ ”

“ แล้วคุณชื่ออะไรเหรอครับ ผมชื่อเมี่ยงนะ ” เอียงหน้าบอกอีกฝ่ายไป เค้าก็ยิ้มใจดีให้กัน

“ ชื่ออัยย์ครับผม ”

“ คุณมีแฟนมั้ยครับ ” คำถามที่ไม่คิดว่าจะถาม ถูกหลุดปากถามออกไป อย่างคุมไว้ไม่อยู่

“ ไม่มีครับ คุณละ มีแฟนหรือยังครับ ”

“ ไม่มี ” ส่ายหน้าไปมาด้วยท่าทางเพื่อบอกอีกฝ่าย “ แต่ว่าก็มีคนชอบอยู่นะ  แล้วก็ คนที่ชอบอยู่คนนั้น มีคนที่ชอบอยู่แล้วอีกนึง ซึ่งก็ไม่ใช่ผมหรอกครับ ” ไม่มีเสียงตอบรับอะไรจากคนฟังคำตอบ ในแววตาที่ดูภาพตรงหน้าไม่ชัดและเลือนรางลงทุกที ผมเห็นคุณบาร์เทนเดอร์คนนั้น นั่งมองคนที่นั่งอยู่ข้างกัน “ คงคิดใช่มั้นละ ว่ามันคือไอ้คนที่นั่งเงียบๆ อยู่ข้างผมหรือเปล่า แล้วถ้าคุณคิดแบบนั้น ผมบอกเลยนะครับว่า ถูกต้องนะค้าบ!!! ” ตะโกนออกมาเสียงดังก่อนจะยื่นมือนิ้วถูกต้องไปให้คนตรงหน้าที่ก็หลุดหัวเราะออกมาแทบจะทันที

“ นี่ ” คนข้างกันคว้าเข้าที่แขนอย่างรวดเร็วจนผมเสียหลักล้มลงไปพิงเข้ากับตัวของร่างสูงที่ก็ถอนหายใจออกมา “ ดูไม่ได้เลยนะมึง ”

“ แล้วเสือกอะไรกับมึง ดูไม่ได้ก็ไม่ต้องดูสิ ” ถามแบบนั้นพลางดึงตัวเองขึ้นมาด้วยท่าทางโซซัดโซเซ จนต้องจับไหล่อีกฝ่ายไว้ ผมถอนหายใจ “ ปวดหัวไปหมดเลยไอ้สัด ”

“ ก็ใครใช้ให้มึงแดกเข้าไปขนาดนั้น ” อาร์มพูดก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูง มือหนาข้างนึงกอดเข้ากับเอวผม กระชับร่างที่แม้แต่ยืนยังไม่อยู่ มันถามคนตรงหน้า “ ทั้งหมดเท่าไหร่ครับ ”

“ สักครู่นะครับ ” คำพูดที่ผมได้ยินนั้น มือก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงตัวเองที่ใส่ ผมคว้าเอาอะไรสักอย่างที่คิดว่าจะเป็นกระเป๋าเงินขึ้นมา แต่ก็รู้สึกว่ามันแบนเหลือเกิน “ ทำไมเปิดกระเป๋าตังค์ไม่ออกวะ ”

“ นั่นมันมือถือ ” เสียงทุ้มว่าแบบนั้นก่อนจะหยิบของในมือผมไป “ อยู่นิ่งๆ ได้มั้ย ”

“ นี่ครับ ” เสียงที่ค่อยได้ยินนั้น ผมยืนนิ่งอยู่แบบนั้นนานมากในความรู้สึก ก่อนจะถูกบอกให้เดิน ด้วยฝีมือของคนที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมปล่อยมือออกจากเอวของผม

อยู่ๆ ขาก็รู้สึกหนัก มันเหมือนมีอะไรมายึดรองเท้าไว้กับพื้นที่เดินผ่าน คล้ายกับพื้นเป็นแม่เหล็ก แล้วใต้เท้าผมก็มีแม่เหล็กนั่นก็อยู่ มันก็เลยดูดกัน  และก่อนที่สติหมดไป ผมจะถูกยัดใส่ลงไปในอะไรสักอย่าง พร้อมกับเสียงหายใจหอบเหนื่อย

“ กว่าจะถึงรถ หนักจริงๆเลย ไอ้แก้มอ้วน ” รู้สึกเจ็บที่แก้มอย่างจังในตอนนั้น แต่ร่างกายทั้งหมดกับชาแบบที่ไม่อยากเคลื่อนไหว ภายในสมองเหมือนม้าหมุนในสวนของหมู่บ้านที่ชอบเล่นตอนเด็กๆ ร่างกายที่นั่งอยู่บนนั้นถูกเหวี่ยงเร็วๆ ด้วยฝีมือของพ่อ และทั้งๆที่ผมพยายามลืมตา แต่นั่นก็หนักไปหมด

“ ปวดหัว ” ความอุ่นของฝ่ามือแนบลงบนหน้าผากในตอนที่ผมพูดแบบนั้น ความอุ่นที่ผมเผลอสะบัดหน้าไปมาแล้วเบือนหน้าหนี " จะอ้วก "

“ อย่านะไอ้สัด ”

“ จะอ้วก ” ย้ำออกไปซ้ำครั้งที่สอง

“ เมี่ยง ”

“ จะอ้วก ” ลมในช่องทางที่เหมือนจะตีขึ้นมา  เป็นจังหวะเดียวกัน กับที่ผมจะได้ยินเสียงเหมือนประตูเปิด พร้อมกับแรงดันจากฝั่งคนขับ ที่เหมือนจะผลักตัวผมออกไปในอีกทาง  ก่อนมวลน้ำและอาหารที่เคยกินจะถูกพ่นออกมาจากทางที่มันเข้าไป

“ ทุเรศจริงๆเลยไอ้สัด ” เสียงเบาๆกำลังยิ้มที่ได้ยินนั้น ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ผมอยู่ในท่าทางแบบไหนถึงเรียกหัวเราะให้อีกฝ่ายได้  แต่ที่รู้คือไม่น่าจะอยู่บนรถ หรือว่าอยู่ก็ไม่แน่ใจ “ หนังเป็ดเป็นหนังเป็ดเลยนะมึง เคี้ยวไม่ละเอียดเลย ” มืออุ่นลูบเข้าที่หลังตอนที่พูดคำนั้น ผมไม่แรงแม้จะตอบโต้ หรือหายใจ แต่ที่แน่ๆเลยคือ ผมรู้สึกดีขึ้นมาก แบบชนิดที่ว่า มากชิบหายเลย “ อ้วกออกมาให้หม จะอ้วกอีกมั้ย ” 

“ น้ำ ขอน้ำกินหน่อย ”

“ ไหวมั้ย ” มือที่ดึงผมให้พิงกับสิ่งที่เรียกว่าเบาะ ฝืนพยักหน้ารับลงก่อนจะลืมตาขึ้นมาก็เห็นคนไม่อยากจะเห็นอยู่ตรงหน้ากัน “ อ้วกแล้วดีขึ้นบ้างมั้ย ”

“ อื้มมมมม ” ผมลากเสียงยาวก่อนจะย้ำ  “ แต่หิวน้ำ ขอน้ำหน่อย ”

“ รู้แล้ว เพราะงั้นมึงนั่งนิ่งๆ ตรงนี้อย่าไปไหน เดี๋ยวกูมา ” ไม่ได้ตอบกลับอะไรอีกฝ่ายไป ผมแค่พยักหน้ารับก่อนที่จะโดนขยี้หัวจนยุ่ง

เสียงฝีเท้าบนพื้นคอนกรีตไกลออกไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นเสียงที่ไม่ได้ยินอีกหลังจากนั้น ก่อนจะกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับความเย็นที่กระทบลงบนหน้าผม

“ เย็น ”

“ ก็น้ำเย็น ” อีกฝ่ายว่าก่อนปากขวดน้ำจะถูกเอามาจ่อที่ปาก” กินซะ ”

จับขวดที่ว่านั้นด้วยความทุลังทุเล น้ำหกไหลออกจากขอบปากกว่าจะจับให้นิ่งได้ ผมกินมันเข้าไปอึกใหญ่ก่อนจะบรือตามองคนที่เอามาให้ ในตอนนั้นอาร์มกำลังแกะอะไรในถุงอยู่ แล้วมันก็คือผ้าเย็น

ในตอนที่เราสบตากัน อีกคนก็กางมันออกแล้วก็เช็ดไปบนหน้าผมด้วยความเบามืออย่างที่ใครคนนึงจะทำให้ใครอีกคนนึงได้ อาร์มๆเช็ดไปบนหน้าบน ด้วยรอยยิ้มใจดีแบบที่ไม่ค่อยเห็น ยิ้มมุมปากที่ดูเหมือนเอ็นดูกันมากๆ

“ เหมือนไอ้แก้มหอมตอนอาบน้ำเสร็จใหม่ๆเลยนะ หูลู่ไปหมด ” อาร์มถอนหายใจ “ เป็นไง ดีขึ้นบ้างมั้ย ” คำถามอ่อนโยนนั้นถามกันในตอนที่ผมมองสบสายตาอีกฝ่าย อยู่ๆความรู้สึกที่อยู่ภายในอกมันก็ค่อยๆตีรื้นขึ้นมา แต่คราวนี้ไม่ได้อ้วก แต่มันกับเป็นสิ่งที่ ผมไม่อยากจะให้มันออกมามากที่สุด

น้ำตาของผม ไหลอาบสองแก้ม 

“ ปวดหัวมากเหรอ ” มันถามย้ำอย่างงั้นอย่างไม่รู้ถึงความรู้สึกของผม “ งั้นกูไปขอยาเค้ามาให้มั้ย ”

“ ไม่ต้องหรอก ” ผมบอกปัดไปแบบนั้นก่อนจะเบือนหน้าอีกคนที่ยังคงมองกันด้วยสายตาห่วงใย

“ นี่ ไม่ไหวก็อย่าฝืน ไม่ใช่เวลาที่มึงจะมาเก่ง ”

“ กูจะกลับบ้านเองนะ ” พยายามดึงตัวองลุกขึ้น เป็นความรู้สึกในใจที่อยากตะโกนกึกก้องว่าไม่อยากจะอยู่ที่นี่แล้ว แม้ขาที่ยังยืนให้ตรงด้วยตัวเองแทบไม่ได้  แม้โลกมันหมุนไปหมด แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังไม่อยากจะอยู่ตรงนี้อยู่ดี

กลั้นอะไรไว้ไม่อยู่แล้ว
แม้แต่ความรู้สึกที่อยากจะให้มันอยู่ ก็เพิ่มขึ้นจนอยากจะดึงมากอดไว้
และแบบนั้นแหละ ที่ไม่ได้

“ นี่ กูบอกว่ามันไม่ใช่เวลาที่มึงจะอวดเก่งไง ยืนยังไม่ตรงเลย แล้วมึงจะกลับเองได้ไง เข้าไปนั่งในรถ ” มือที่คว้ากันไว้ แรงของอีกฝ่ายที่มีพยายามดันผมที่พยายามขืนตัวให้เข้าไปด้านในตามเดิม “ เมี่ยง ”

“ กูบอกว่าให้ปล่อยกูไปไง!! ” ตวาดออกไปด้วยเสียงทั้งหมดที่มีก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา ผมพูดเสียงเบา “ ไม่ได้ยินเหรอ กูบอกว่าให้ปล่อยกูไปไง กูไม่ไหวแล้วจริงๆนะ กูไม่ไหวแล้วมึง จะรั้งไปจนถึงเมื่อไหร่วะ ” ลืมตามองคนตรงหน้าที่มองกันแบบที่ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ผมพิงร่างลงกับเบาะที่นั่งแล้วปล่อยให้น้ำตาน่าอายพวกนั้น ไหลออกมา

“ มึงคิดว่ากูไม่ทรมานเหรอ คิดว่ากูไม่อยากจะอยู่ใกล้ๆมึงเหรอ เปล่าเลย ผิดแล้ว กูอยากอยู่ใกล้มึงมากรู้มั้ย อยากอยู่ใกล้มากๆ มากจนกูอยากให้ความจริงที่กูรู้ ความจริงทุกๆอย่างที่กูได้ยิน เรื่องที่มึงมีคนที่ชอบอยู่แล้ว มันเป็นแค่ฝันของร้ายของกู ที่พอกูตื่นมา ทุกอย่างก็จะหายไป ”

“ เมี่ยง ”

“ ไม่มีใครอยากเป็นคนโง่หรอก ไม่มีใครอยากเป็นคนโง่ในสายตาคนอื่นทั้งนั้น กูเลยพยายามที่วิ่งออกไปอยู่นี่ไง พยายามที่จะวิ่งออกไปให้ไกลจากมึง ” ผมยกยิ้ม ความรู้สึกสมเพชตัวเองกัดกินอยู่ภายในใจ “ แต่สุดท้าย ก็เหมือนกับว่าที่กูวิ่งอยู่ จะเป็นแค่บนลู่วิ่งโง่ๆที่ไม่ได้ไปไหนไกลจากมึงเลยสักนิดเดียวเลย มันไม่ได้เคลื่อนที่ไหนด้วยซ้ำ หนำซ้ำมันยังจมอยู่ตรงนี้เหมือนเดิม ตรงที่ที่มึงยังอยู่กับกู ยังดีกับกู ยังมองกู แล้วก็ยังเป็นห่วงกู ที่ที่กูไม่อยากจะสนใจว่ามึงจะชอบใครอยู่ แต่กูก็ยังอยากจะรักมึงไปแบบนี้ เป็นที่ที่กูอยากบอกตัวเองว่า เอามึงมาให้ได้ ทำให้มึงรัก ทำให้มึงชอบ ชอบจนเลิกชอบใครคนนั้นไปให้ได้ ที่ที่กูไม่อยากจะสนใจคำพูดของคนอื่นที่ด่าว่ากูโง่ มึงมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ออกมาสิ โง่อยู่ทำไม แต่กูชอบนี่ กูชอบมึง ชอบ เข้าใจคำว่าชอบมั้ย ใครมันจะอยากไปจากคนที่ชอบ ไม่มีหรอก ”

“ ก็ไม่ต้องไปสิ ” อาร์มที่พูดคำนั้น ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง

“ แต่กูไม่อยากเป็นคนโง่ คนนั้นไง คนที่ใครๆบอกว่า ไม่รักตัวเองเลย ทำไมถึงทำแบบนี้ กูไม่อยากเป็นคนแบบนั้น กูไม่อยากเป้นของตายในความรู้สึกของมึง ของที่อยู่บนชั้นวาง ของที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ มึงจะหยิบไปเล่น ของที่ต้องรอ ต้องภาวนาให้ของเล่นที่มึงชอบ พังไป หรือไม่ก็ตายๆไปสักที มึงเข้าใจมั้ย  กูไม่อยากเป็นแบบนั้น เพราะงั้นปล่อยกูไปเถอะ ” ปลายเสียงของผมเบาหวิว “ อย่าดีกับกูอีกเลย  ปล่อยกูไปเถอะนะอาร์ม ขอร้อง ”

“ ไม่ปล่อย ” เสียงทุ้มของคนตรงหน้าพูดแบบนั้น มือสองข้างที่ถูกจับไว้แน่นของผม มันถูกดึงให้เผชิญหน้ากับสายตาที่มองกันอย่างจริงจัง จนไม่สามารถหันเหไปทางไหนได้อีก “ กูจะไม่มีวันปล่อยคนที่กูชอบไปไหนอีกแล้ว ต่อให้ใครจะว่ายังไง ต่อใครจะจะด่ากูยังไง กูก็จะไม่ปล่อยมึงเด็ดขาด จำไว้ ”

ราวกับคำสัญญาของซาตาน ริมฝีปากบางแนบชิดลงบนริมฝีปากของผม ด้วยความหนักแน่นดั่งคำพูดที่เอ่ยออกมาอย่างเห็นแก่ตัว แม้แต่เสียงที่จะเอียเถียงยังถูกริดรอด อาร์มไม่ปล่อยกัน แม้แต่มือที่พยายามดึงและผลักให้อีกฝ่ายไกลออกไปก็ถูกหยุดให้เคลื่อนไหวลงทั้งอย่างงั้น

มือหนาเลื่อนขึ้นมาจับใบหน้าของผม อาร์มไม่ยอมให้ริมฝีปากระหว่างเรานั้นผละออกไปไหน ดั่งคำที่มันพูดอย่างไม่มีบิดพลิ้ว

นอกจากตัวมันเองที่เป็นคนกำหนด

“ ต่อให้ร้องไห้มากกว่านี้ หรือขอร้องมากกว่านี้ ต่อให้กูต้องกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวในสายตามึงมากกว่านี้ กูก็จะไม่ปล่อยมึงไปไหน แล้วต่อให้จะมึงเกลียดกู กูก็จะไม่ปล่อยมึงไปอยู่ดี ไม่ว่ามึงจะอยู่ไหนกูก้จะตามไป จะตามไปดูแล ไปอยู่ใกล้ กูจะไม่ปล่อยมึงไปไหนอีก ”

“ ต่อให้กูเกลียดมึง ”

“ ก็เชิญเกลียดกูได้ตามสบาย เกลียดให้มากๆ มากแบบที่ต้องคิดถึงทุกวัน ทุกคืนก็ยิ่งดี เพราะไม่ว่ายังไง กูก็จะอยู่ข้างมึงไปแบบนี้ ไม่ปล่อยมึงไปไหนเด็ดขาด”

“ รู้มั้ย กูไม่น่ามากับมึงเลย ” แววตาสั่นไหวของผมพูดกับอีกคนอย่างงั้น “ กูไม่น่าเริ่มเล่นเกมส์นี้ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ”

ใบหน้าคมที่ก้มลงต่ำนั้น ไม่มีคำตอบอะไรตอบกลับมาอีก อาร์มแค่กอดผมไว้แน่นแม้จะไมได้รับการกอดรับกลับ  แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ยังไม่ยอมผละตัวออกห่างจากกันไปไหน แล้วนั่นก็ดูเหมือนจะเป็นคำตอบของความรู้สึกทั้งหมดที่มันมี

‘ แต่กูไม่เคยเสียใจ ที่ร่วมเล่นเกมส์นี้กับมึง ’  ราวกับว่า อ้อมกอดนี้ จะเป็นเหมือนดั่งคำนั้น

..............................................................
ไม่อุดหนุน ผับสามี ( พี่อาฟเตอร์อารยะ ) แล้วเราจะไปอุดหนุนใคร
ธุรกิจในเครือ ช่วยๆกันนะคะ
ท้ายนี้ รองเท้าใครมาเก็บกลับไปด้วยค้า
อาร์มก็รักเมี่ยง เมี่ยงก็รักอาร์ม แต่นั่นแหละ
ในเมื่อมันไม่พร้อม ก็ต้องเดินออกมา แม้จะไม่อยากออก แต่ก็ต้องออก ไม่มีใครอยากจะเป็นคนโง่หรอก
คนเราทุกคน แท้จริงก็พยายามเข้มแข็ง เพื่อตัวเองกันทั้งนั้น น้องเมี่ยงก็เช่นกัน 
พี่อาร์มเองก็ด้วย เราอาจจะดูเห็นแก่ตัว แต่เราก็รัก รักแบบที่ไม่อยากจะให้ใครเจ็บหรอก แต่เพราะเรื่องของความรักของคนสองคน มันมีที่นั่งแค่สองที่ไง เบื้องต้นคนที่เข้ามาใหม่ แล้วไม่มีที่นั่ง ถึงเราจะบอกว่า มานั่งบนตักเราก็ได้นะ แต่นั่นก็ไม่ใช่อยู่ดี

จากใจคนเขียน อึดอัดชิบหาย ตอนนี้

ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ในทวิตด้วยน้า
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์
หนมมี่

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
นายท่าน หนูอยู่ไหนลูก มาลากเจ้านายหนูกลับห้องที เมาสุด ๆ เลยตอนนี้  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
เอาให้สุดเลยอาร์ม ไปให้สุด... :z6:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
เออ จ๊ะ ไม่หยุดจ๊ะ ยังไงก็ไม่ยอมจ๊ะ เข้าใจไหมเมี่ยง
อาร์มจะไปต่อ อาร์มไม่ยอมไปไหนแน่ เกลียดก็ยอม

เอ็นดูเมี่ยงมาก รักแล้วแหละ ไม่ได้แค่ชอบแล้วไง
อาการออกขนาดนี้ ต้องให้อาฟเตอร์มาเทรนละนะ
คนมีประสบการณ์ หรือปรึกษาอัยย์ไปก่อนก็ได้

ชอบความชัดเจนของทั้งคู่นะคะ แต่ในเวลานี้ มันเจ็บไปหมดแล้ว

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ตอนที่ 18

ลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงพร้อมกับความรู้สึกในหัวที่หนักอึ้ง ผมถอนหายใจออกมากับร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรง ราวกับโดนถ่วงไว้ด้วยหินหนัก เพดานว่างเปล่า บรรยากาศและกลิ่นของหมอนค่อนข้างคุ้นชิน มั่นใจมากกว่าครึ่ง แบบที่ต่อให้ไม่หันไปมองโดยรอบ ก็พอรู้ว่าผมอยู่ในห้องนอนของตัวเอง ไม่ใช่สถานที่อื่นใด

“ เห้อ ” ถอนหายใจออกมาเป็นอย่างแรกในตอนที่ดึงตัวเองขึ้นนั่ง สวิตซ์ของความทรงจำถูกเปิดออกมาเป็นภาพของเมื่อวานที่ไหลย้อนเข้ามาในหัวเป็นลำดับ

ตั้งแต่ตอนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ แล้วก็ตอนที่เราคุยกันที่ด้านหน้าของผับ น้ำตาที่ไหลนองหน้าของผมเมื่อคืนนั้น อาร์มที่พยายามเช็ดให้กันหลังจากนั้น ผมจำได้ว่าตัวเองดึงมือนั่นออก แถมยังโวยวายว่าอย่าเข้ามายุ่งแบบใหญ่โต จนสุดท้ายก็สงบลงได้ในตอนที่อีกคนปล่อยให้ผมนิ่งไป แล้วไม่ยุ่งวุ่ยวายอะไรด้วยอีก

เราเดินทางกลับบ้านกันด้วยความเงียบเชียบ และโซซัดโซเซขึ้นตึกมาจนถึงห้องนอนที่ผมเองก็ล้มตัวลงบนเตียงทันทีในตอนที่ถึง ก่อนจะถอดเสื้อแขนยาวของอีกคนออก แล้วโยนมันไปที่ไหนสักที่ พร้อมกับคำพูดที่ว่า ‘ เอาของมึงคืนไปเลย ’

และหลังจากนั้น สติก็วูบดับไป ราวกับภาพตัด 

ยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาของตัวเองอีกครั้ง ผมเกาคอด้วยความคันและเหนียวตัวไปหมด รวมถึงความรู้สึกแปลกในปาก ที่รับรู้ได้เลยว่าเมื่อคืนไม่ได้ผ่านการทำความสะอาดมาแต่ใด แม้ว่าจะชุดที่ใส่อยู่จะเป็นชุดนอน

“ แต่เดี๋ยวนไอ้สัด ชุดนอนเหรอวะ ” ขมวดคิ้วกับตัวเองในตอนที่ขบคิด ผมลุกขึ้นยืนบนเตียงทันทีราวกับต้องของร้อน ชุดบอลที่ใส่อยู่ ไม่มีอยู่ในความทรงจำเมื่อคืนเลยว่าตัวเองเป็นคนผลัดเปลี่ยน และความเป็นไปได้ที่พอจะเกิดขึ้นนั่นก็คือ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก 

หันสายตาไปที่ประตูห้องนอนในตอนที่ได้ยิน แต่ผมทำได้แค่นิ่งอยู่แบบนั้นไม่ได้เดินออกไปเปิดมันแต่อย่างใด หัวใจวูบหล่นลงไปที่ตาตุ่มแบบอัตโนมัติ เอาจริงๆก็ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะภาวนาให้เป็นคนอื่นได้เลยด้วยซ้ำต่อให้ทบทวนยังไง ก็ต้องเป็นมัน คนที่ไม่อยากจะเจอมากที่สุด

แล้วในตอนนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก

“ อ้าว ตื่นอยู่เหรอ แล้วกูเคาะ ทำไมไม่เปิดประตู  ” ผู้ชายคนที่เป็นทั้งน้องเขยของพี่สาวผม และก็เป็นทั้งคนในเรื่องราวเฮงซวยที่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะจบสิ้นปรากกฏขึ้นตรงหน้าด้วยท่าทีสบายๆตามฉบับ

“ ไอ้สัด ” เผลอสบถออกไปแบบนั้นก่อนจะถอนหายใจ อาร์มเลิกคิ้วมองกัน มันที่ก็ยกยิ้ม “ ยิ้มเหี้ยอะไร ”

“ ชุดนอนถูกใจมั้ย ” ก้มลงมองชุดบอลที่ใส่อยู่ผมไม่ได้พูดอะไร “ ทีมโปรดกูเลยนะ ตอนเค้นตู้เสื้อผ้ามึง ไม่ยักรู้ว่าเราเชียร์บอลทีมเดียวกัน ”

“ มึงชอบมาดริด ”

“ แน่นอน ”

“ งั้นต่อไปกูจะเชียร์บาร์ซ่า ” เชิดหน้าบอกอย่างงั้นก่อนจะก้มหน้าลงมาเสื้อสีบอลสีขาวทีมโปรดที่ใส่อยู่ ผมเดินลงไปยืนประชันหน้ากับร่างสูงด้านล่าง “ แล้วเดี๋ยวกูอาบน้ำเสร็จ จะโยนชุดเหี้ยนี่ลงถังขยะไปเลย ”

“ นิสัยไม่ดี ไอ้แก้มอ้วน ” มันว่าเสียงเบาๆ ก่อนจะเหลือบมองกัน

“ ห๊ะ ? ” เอื้อมมือขึ้นจับแก้มตัวเองอัตโนมัติ แต่อีกคนก็แค่เลิกคิ้วติกันด้วยใบหน้าแบบที่เสียความรู้สึกจากคำพูดของผม

 “ คนเค้าอุตส่าห์เปลี่ยนชุดนอนให้มันสบายๆ แทนที่จะขอบคุณกันสักคำ ก็ไม่มี  รู้แบบนี้น่าจะปล่อยให้นอนจมเสื้อเหม็นอ้วก ”

“ เออ ทีหลังก็ปล่อยให้กูนอนจมกองอ้วกอย่างงั้นแหละ แล้วมึงมาเสือกเรื่องกูทำไม ” ผมถามกลับ “ ก็เสือกทำให้เองมั้ย แล้วจะมาขอคำขอบคุณเพื่อ ? ”

ไม่มีเสียงตอบรับจากคนตรงหน้า สายตาคมที่จ้องมองกันนิ่งๆอย่างงั้น อาร์มคงไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนั้นจากปากของผม คนที่ปกติ จะขอบคุณออกมาถึงแม้จะเป็นมันคนที่ไม่อยากจะขอบคุณยังไงก็ตาม

แต่ทว่าถึงอย่างงั้นอาร์มก็แค่ถอนหายใจราวกับทิ้งขวางความรู้สึกไม่ดีพวกนั้นอย่างจำยอม แล้วดึงมือหนาขึ้นจับแก้มของผมแล้วบีบแน่น

“ โอ๊ย ”

“ ปากนี่นะ ” เสียงทุ้มที่เอ่ยบอกกันเรียบๆในตอนที่จ้องหน้า แต่ผมเองก็ไม่ได้ผละสายตาออกไปไหนเช่นกัน ยังคงจ้องอีกฝ่ายอยู่แบบนั้น อย่างข่มใจไว้แบบที่ไม่ให้มันสั่นไหว อย่างที่เคยเป็นมา

เพราะไม่อยากจะเป็นแล้ว กับคนใจอ่อนคนนั้น ที่มันคล้ายกับลูกแมวอยากมีเจ้าของ จนต้องคอยวิ่งไล่ตามอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา

“ ปล่อยไอ้สัด ” ดึงหน้าตัวเองออกจากฝ่ามือหนาข้างนั้น ก่อนจะเดินผ่านอีกฝ่ายออกไปอย่างไม่ใส่ใจอะไรอีก

สายตาผมกวาดไปทั่วส่วนกลางของห้องที่มีแต่ความเงียบเชียบ ค้นพบว่าสิ่งมีชีวิตที่ปกติจะนั่งกระดิกหางอยู่บนโซฟาแบบสบายอารมณ์ตอนนี้มันไม่อยู่แม้แต่ตรงที่กินอาหาร หรือว่าคอนโดประจำตัว “ นายท่านไปไหนวะ ” พูดกับตัวเองเสียงเบาๆก่อนจะมองไปตามใต้โซฟา หรือแม้แต่ในครัว “ นายท่าน เมี๊ยวๆ อยู่ไหนวะ ออกมาก ”

“ อยู่ห้องกู ” คนที่เดินตามออกมาว่าแบบนั้น ผมก็ได้แต่ถอนหายใจพลางเหลือบมองอย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

คำถามที่ว่า ทำไมต้องพยายามทำให้กูเข้าไปพัวพันกับทุกเรื่องของมึง ถูกกลืนลงคอไปเพราะเป็นอะไรที่เหมือนจะรู้คำตอบอยู่แล้ว คนตรงหน้าก็บอกกันอยู่เมื่อคืน ไม่ว่ายังไงก็จะไม่มีวันปล่อยไป

ก็คล้ายกันเส้นไหมพรม ถ้าไม่เอามันไปเกี่ยวพันกันอะไรสักอย่างจนยุ่งเหยิง ให้ต้องนั่งแก้ มันก็จะเป็นแค่ไหมพรมธรรมดาที่อยู่ในม้วนของมันอย่างงั้น แต่บางทีอาร์มคงลืมคิดไปอย่าง

เส้นไหมพรมในความรู้สึก บางทีถ้ามันแก้ยากนัก
คนบางคนจะจัดการมันง่ายๆด้วยการตัดส่วนที่ยุ่งเหยิงนั้นออกไป
ถ้าไม่สำคัญอะไร ไม่มีใครเสียเวลานั่งแก้มันหรอก
และมันก็ไม่ควรมั่นใจ ว่าตัวเองจะสำคัญมากพอ จนผมต้องเสียเวลามานั่งแก้

“ ไอ้นายท่านมันอยากจะไปอยู่ห้องกู ” ร่างสูงว่าแบบนั้น “ เมื่อเช้ามันมายืนร้องเหมี๊ยวๆอยู่ที่หน้าห้อง ข่วนอยู่ตรงประตู กูเลยคิดว่ามันน่าจะคิดถึงแก้มหอมเลยอุ้มพาไปหาแก้มหอม ”

“ นั่นมันปกติอยู่แล้ว ” ผมบอกก่อนจะเดินตรงไปที่ตู้เย็น อย่างพยายามพูดและข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ ปกติตอนเช้าไอ้นายท่านมันจะข่วนประตูแล้วก็ร้องให้กูเปิดประตูให้ เพราะมันจะขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกัน ”

“ เหรอ ”

“ ห้องมึงล็อคมั้ยตอนนี้ ”

“ ถามทำไม ”

“ กูจะไปเอาแมวกูคืนมาสิ จะไปอยู่ทำไมห้องคนอื่น ห้องตัวเองก็มี ” ว่าแบบนั้นก่อนจะวางแก้วน้ำที่กินหมดลงที่เค้าท์เตอร์ที่ว่าง แต่ยังไม่ทันได้หมุนตัวเดินไปทางประตู สายตาผมก็เผลอไปเห็นเสียก่อน กับโจ๊กร้อนๆหน้าตาน่ากินที่กำลังโชยกลิ่นหอมอยู่บนโต๊ะในครัว

“ กินโจ๊ก แล้วกูจะให้ไป ”

“ คือมึงมีสิทธิ์อะไรมาสั่งกูก่อน ” หันไปถามมันยิ้มๆ อีกคนก็แค่มองกันแบบเหนื่อยใจ

“ แล้วทำไมวันนี้มึงดื้อนัก ” ร่างสูงเลิกคิ้วถาม “ เป็นอะไร ”

“ เป็นอะไร ? ” ผมทวนคำพูดนั้นก่อนจะยิ้ม “ มึงถามออกมาได้ยังไงว่าเป็นอะไร คือมึงก็น่าจะรู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอวะ ต้องพูดซ้ำอีกเหรอ ” อาร์มถอนหายใจพลางเหลือบไปมองทางอื่นในตอนที่ผมถามแบบนั้น “ กูก็บอกอยู่เมื่อคืน ว่าอย่าเข้ามายุ่งเรื่องของกูอีก ถ้ามึงยังชอบใครคนนั้นอยู่ก็ชอบไป เลิกชอบเมื่อไหร่ก็ค่อยมาคุยกันอีกที เพราะงั้นหน้าที่ของกูก็ผลักมึงออกไปมันก็ถูกต้องแล้วนี่ ต่อให้มึงเดินเข้ามาหาเท่าไหร่ ก็ต้องผลักออกไปเท่านั้นไง ”

“ กินข้าวก่อนเถอะ แล้วกินยาแก้แฮงค์สักหน่อย ” อีกฝ่ายพยายามเปลี่ยนเรื่อง “ มึงยังปวดหัวอยู่มั้ย ”

“ กูถามว่าห้องล็อคอยู่มั้ย ”

“ กินก่อนแล้วจะบอก ” อีกฝ่ายว่าแบบนั้นก่อนจะเดินเข้ามาในครัวของผม อาร์มเปิดลิ้นชักด้าน
บนที่ใส่ช้อนเอาไว้ มันหยิบช้อนกลางสำหรับกินโจ๊กที่ว่ามายื่นให้กัน

“ แค่กูกินเข้าไปให้หมดใช่มั้ย ”

“ อื้ม ” ร่างสูงพยักหน้ารับ ผมก็เดินไปที่โต๊ะแบบที่ไม่ได้รับช้อนมาจากมือของคนยื่นมาให้ แต่คว้าเอาถ้วยใส่โจ๊กที่อุ่นพอดีกินนั่นขึ้นมาแทน

ก้มลงมองหน้าตาอาหารที่โคตรน่ากินนั่นอยู่สักพัก กลิ่นหอมที่โชยเข้าจมูก ถ้าเป็นปกติผมคงนั่งลงแต่โดยดี รับช้อนที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ก่อนจะซัดมันไปจนเกลี้ยงถ้วย แบบที่ยกยอดทุกอารมณ์ของตัวเองทั้งหมดไปไว้คราวหน้า

‘ แต่ครั้งนี้มันจะไม่เป็นแบบหรอก ’  บอกกับตัวเองในใจ ก่อนเดินกลับเข้ามาในครัวพร้อมถ้วยใบนั้น แล้วจัดการเทมันทิ้งไปในถังขยะสำหรับใส่เศษอาหารต่อหน้าต่อตาคนที่ทำมันมาให้ ถ้วยเปล่านั้นวางลงในซิงค์น้ำ ก่อนจะเงยมองอีกฝ่าย

“ หมดแล้ว คราวนี้ก็โอเคแล้วใช่มั้ย ” ไม่มีเสียงตอบรับอะไรจากคนตรงหน้า แต่รับรู้ได้ถึงความเสียใจที่ฉายออกมาผ่านแววตานั้นที่จ้องมองกันแบบไม่มีปิดบัง อาร์มผ่อนลมหายใจออกมา มันยกมือขึ้นเสยผมของตัวเองอย่างไม่รู้จะพูดอะไร ทุกอย่างเงียบไปสักพัก

ก็รู้อยู่หรอกว่ามันไม่น่ารัก กับท่าทาง และการกระทำทั้งหมดนั้น ผมเองก็รู้สึก ความว่างเปล่าในใจที่คล้ายกับหลุมลึกพวกนั้น เจ็บไปหมดเหมือนกัน แล้วก็เสียใจเหมือนกันที่ต้องทำแบบนั้นลงไป ทั้งๆที่ก็รู้ดีอยู่ ว่าโจ๊กนั้นอีกฝ่ายคงลงมือทำด้วยตัวเองตั้งแต่เช้าเพราะความเป็นห่วง

อาร์มคงรู้สึกเสียใจ ผมรู้ มันคงอยากจะพูดอะไรออกมา คำพูดที่บอกว่าตัวเองก็พยายามในแบบของตัวเองอยู่ พยายามบอกกันทุกอย่างแล้วจากทั้งการกระทำและคำพูด  แต่นั้นก็คงเป็นแค่คำซ้ำๆเดิมๆที่สุดท้ายมันก็วกไปวนมา เหมือนอย่างคำพูดที่มันพูดเมื่อคืน

เป็นคำพูดที่มีแค่ไม่กี่ประโยค แต่ความหมายก็คือ ผมเจ็บเหมือนเดิม
เพราะงั้นก็คงต้องพอแล้วเมี่ยง สงสารหัวใจมึงบ้าง

“ ตกลงที่ห้องล็อคกุญแจมั้ย ” ผมถามซ้ำแต่อีกฝ่ายก็ยังนิ่ง อาร์มยังคงมองหน้าผมด้วยความรู้สึกที่คล้ายกับว่าอยากจะพูดอะไรสักอย่างอยู่เหมือนกัน แต่ก็นั่นแหละ “ กูไม่ได้อยากฟังนะ ถ้ามึงคิดจะพูดอะไร กูไม่ได้อยากฟังแล้ว และกูจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งเมื่อวาน ทั้งเมื่อคืน พอได้แล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว เพราะพูดไปมันก็เหมือนเดิม ”

“ งั้นกูขอแค่กอดมึงได้มั้ย ” อย่างไม่ได้ทันได้อนุญาตอะไร ร่างสูงดึงตัวเองเข้ามากอดผมไว้แน่น ใบหน้าคมที่ซบลงกับไหล่ สัมผัสถึงลมหายใจที่ค่อยๆผ่อนออกมาอย่างเศร้าสร้อยจนไม่รู้จะพูดอะไร “ กูไม่รู้จะทำยังไงแล้ว กูไม่อยากจะเสียมึงไป แต่กูก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้วให้มึงอยู่ เมี่ยง ” อาร์มเรียกผมตรงท้ายประโยคนั้น “ ถึงมันจะเห็นแก่ชิบหาย แต่มีอะไรรับประกันได้บ้าง ว่าถ้ากูปล่อย มึงจะไม่หายไป ”

“ ไม่มี ” ผมตอบตามความจริง ก่อนจะยิ้มทั้งๆที่ก็ไม่ได้ดึงตัวเองออกห่างจากอีกฝ่ายไปไหน “ แล้วอาร์ม ทำไมมึงไม่คิดบ้างละ ว่าถ้าคนที่มึงชอบเค้าตอบรับรักมึงขึ้นมา บางทีมึงอาจจะไม่อยากจะหันกลับมาหากูแล้วก็ได้นะ แล้วแบบนั้นกูจะเป็นยังไงต่อไป ไม่สงสารกูเหรอวะ ”
 
อาร์มเงียบไปอีกครั้ง ผมไม่รู้ว่ามันอยากจะตอบอะไรบ้างมั้ย แต่ในตอนที่อีกฝ่ายค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมาอ้อมกอดที่ถูกผละออกในตอนนั้น สายตาที่มองกัน มันปฎิเสธด้วยแววตาที่ดูออกได้แค่ว่า ‘ เรื่องแบบนั้นคงไม่มีทางเกิด เรื่องที่คนที่มันชอบ จะหันมาชอบกัน ’ 

สำหรับอาร์มกับใครคนนั้น
เรื่องราวทุกอย่างดูสิ้นหวังเกินกว่าที่ผมจะเอ่ยถามออกไปด้วยซ้ำว่ามันเป็นมายังไง

“ คือกูชอบเค้ามานาน มันนานพอที่กูมั่นใจได้ว่า ที่เค้าพูดว่าให้กูรอ เพราะแค่อยากจะให้กูอยู่กับเค้าตรงนั้น แต่เพราะกูทนอยู่ตรงนั้นมานานอีกนั่นแหละ จะบอกให้กูเลิกชอบตอนนี้ และภายในวินาทีนี้ ”

“ มันไม่ได้ อื้ม กูรู้ ”

“ แล้วต่อให้กูพูดกับมึงไป ว่าเลิกชอบแล้ว มึงก็ไม่เชื่อกูอยู่ดี แล้วกูก็ไม่อยากจะโกหกมึงด้วยคำพูดแบบนั้น ”

“ ดีแล้ว เพราะเหี้ยหลายเรื่องไม่ดีหรอก ”

“ เมี่ยง..” อาร์มถอนหายใจออกมา

ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจหรอก ผมเข้าใจมันทุกอย่างเลยด้วยซ้ำ มันไม่มีใครเลิกชอบคนที่ชอบอยู่ได้ ผมเองก็ทำไม่ได้เหมือนกันถ้าให้เลิกชอบมันตอนนี้ และวินาทีนี้ ทุกอย่างต้องใช้เวลาทั้งนั้น

“ กูรู้ แต่ถึงอย่างงั้น มันก็ไม่ควรมีใครอยู่ในสถานะที่เป็นของตายของใครไง ไม่ควรมีใครอยู่ในสถานะน่าสมเพชที่ต้องรอเค้าเลิกรักคนของเค้า แล้วเค้าก็จะมารักเรา” ผมถอนหายใจออกมา “ กูไม่ใช่ตุ๊กตานะที่มึงจะทำยังไงกับมันก็ได้ ไม่ใช่ตุ๊กตาที่ยังยิ้มกับการที่เห็นเจ้าของพึงพอใจกับของเล่นของคนอื่น กูไม่ใช่อะไรแบบนั้น ”

“ เมี่ยง ”

“ มึงเอาแต่พูดเข้าข้างตัวเองตลอดเลย มึงเอาแต่ถามว่ามีอะไรรับประกันได้บ้างว่ามึงจะไม่เสียกูไป แล้วงั้นกูถามได้มั้ย ว่ามันมีอะไรรับประกันได้บ้างว่ามึงจะหมดรักคนที่ชอบ แล้วมาชอบกูจริงๆ จะรักกูหมดหัวใจจริงๆ ไม่ใช่ว่าพอเค้ากลับมาชอบมึง มึงก็ไป มีอะไรรับประกันกับกูได้บ้างว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้น ”

คนตรงหน้าไม่ได้พูดอะไร อาร์มแค่มองกันนิ่งๆไปสักพัก “ แล้วกูตอบอะไรได้บ้าง ถ้าพูดว่าตอนนี้กูไม่อยากเสียมึงไปเลย มึงจะเชื่อมั้ย ถ้าพูดว่ากูไม่คิดถึงคนที่เคยคิดถึงทุกวัน เพราะเอาแต่คิดถึงมึง มึงจะเชื่อมั้ย ใจกูเอาแต่พะวงถึงแต่มึงแทบจะทุกวินาที

กูที่เอาแต่คิดว่าจะทำยังไงดีกับเรื่องของเรา กูที่ดีใจแม้แต่เรื่องเล็กๆเพราะมึงแค่ยิ้มให้ ดีใจกับแค่เพราะรู้ว่ามึงเป็นน้องชายของพี่สะใภ้กู  กูดีใจกับทุกเรื่องที่มีมึงอยู่ข้างกัน แต่กูก็ไม่รู้ว่ากูพูดได้มั้ย  กูไม่รู้ว่ากูต้องทำยังไง มึงบอกให้เลิกรักคนเก่าก่อน แล้วกูต้องทำอะไรมันถึงจะพิสูจน์ได้ว่ากูเลิกรักเค้าแล้ว มันไม่ใช่ว่ามึงต้องมาเห็นเองเหรอ  ให้กูแค่บอก แล้วมึงจะเชื่อกูเหรอ  ”

“ อาร์ม..”

“ คือทำไมทุกคนต้องคอยเอาแต่บอกว่าให้กูหยุด ให้กูรอ รอก่อนนะ รอก่อน ปล่อยกูไปนะ พอได้แล้ว ทั้งๆที่กูแค่รักมึงเอง แต่ทำไมกูไม่เคยได้รักใครเลย ทำไมพอกูรักใคร มันถึงมีแต่คำพูดพวกนี้ ทำไมไม่มีใครบอกกูสักคนว่ากูจะต้องทำยังไงต่อไปกับความรักของกูที่แค่อยากจะให้ใครสักคนไป ” ร่างสูงผ่อนลมหายใจออกมา

“ มึงเอาแต่บอกให้ปล่อย คือจะปล่อยไปได้ยังไง  ปล่อยคนที่กูรักไป กูจะได้คืนมึงมามั้ยก็ไม่รู้  แล้วจะให้กูปล่อยเหรอ งั้นถ้ากูปล่อย กูถามกลับว่า กูจะได้มึงกลับมามั้ย ก็บอกอีกว่า เห็นแก่ตัว ทำไมถามแบบนิ้ แล้วพูดอะไรได้อีกวะ ” สายตาคมนั้นมองกัน “ กูควรพูดแบบไหน ควรถามว่าอะไร ควรยืนอยู่ตรงไหน มึงบอกกูสิ มึงบอกกูมาเลย แล้วกูจะปล่อยมึงไป แต่อย่ามาเอาแต่บอกว่า ปล่อยกูๆอยู่แบบนี้ ” สองมือข้างนั้นเอื้อมมือมาจับแขนผม “ ว่าไง ตอบกูสิ จุดที่กูยืนได้คือต้องห่างจากมึงแค่ไหน แล้วกูต้องทำยังไง มึงถึงจะมั่นใจว่ากูชอบมึงคนเดียว กูต้องทำมากแค่ไหน ต้องแสดงออกยังไงบ้าง มึงบอกกูสิกุจะทำให้หมดเลย  ”

“ ไม่รู้ ”  ตอบออกไปแบบนั้นคนฟังก็ก้มหน้าลง พร้อมกับสองมือที่ปล่อยแขนผม

“ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ตลอดเลยวะ คนคนนึงบอกให้กูรอ กูก็รออย่างมีความหวัง แต่พอวันนึงกูมาเจอมึง คนที่ทำให้กูไม่อยากจะรออะไรอีกแล้ว แต่กูก็เข้าไปใกล้มึงไม่ได้อีกเพราะกูยังรักอีกคนอยู่ ” รอยยิ้มนั้นราวกับสมเพชตัวเอง “  เออ กูเข้าใจนะ มันไม่มีใครอยากรักคนที่หัวใจมันคาราคาซังแบบนี้ แต่ขอเถอะอย่าไล่กูอย่างเดียวได้มั้ย มึงบอกสิเมี่ยง กูต้องทำยังไง ต้องแสดงออกยังไง มึงถึงจะเชื่อว่ากูรักมึงคนดียว อย่าเอาแต่ไล่กูแบบนี้ เพราะกูเองก็มีหัวใจ อยากให้มึงรักเหมือนกัน ไม่ใช่แค่มึงที่รู้วึกอย่างงั้น ” คนตรงหน้าถอนหายใจ อาร์มยังมือขยี้หัวตัวเองจนยุ่งราวกับจะระบายอารมณ์

“ ความรักของกูแม่งน่ารังเกียจขนาดนี้เลยเหรอวะ ทำไมแม่ง ไม่มีใครอยากได้เลย ทำไมชีวิตกูมันถึงเป็นแบบนี้ ทำไมจังหวะชีวิตมันถึงนรกแบบนี้ มันเพราะอะไร กูแม่งต้องทำยังไงวะ ต้องปล่อยไปอีกแล้วเหรอ ทั้งๆที่กูแค่อยากจะรักมึงนี่อะนะ  ไม่มีทางให้กูไปบ้างเลยหรือไง ต้องปล่อยมึงอย่างเดียวเลยเหรอ มันถึงจะโอเคสำหรับมึง ปล่อยคนที่กูรักไปนี่อะนะ ”

นั่นมันก็จริง เอาแต่บอกให้ปล่อย แต่ทำไมไม่บอกกันบ้างว่าต้องทำยังไง ต้องพิสูจน์ยังไง ที่ผลสุดท้ายผมจะยังอยู่

สุดท้ายก็ได้แต่นิ่งค้าง ปากใบ้กินไปจนพูดอะไรไม่ออก ความรู้สึกรักเพราะมันเป็นเรื่องของคนสองคน ก็เลยมีสองความรู้สึก จริงอยู่ที่เราไม่ควรมองแค่ความรู้สึกของตัวเอง แล้วในตอนนี้ก็เหมือนผมได้รู้ ถึงความรู้สึกของคนตรงหน้าที่มันไหลออกมาจากใจที่ก็คงกดไว้อยู่นาน

อาร์มที่พยายามสงบสติกับความรู้สึกพวกนั้น มันเหมือนคนที่เดินถึงจุดสูงสุดของความอดทนที่พยายามจะดื้อดึงมาตลอด จนมันตรอกแล้ว และไม่มีอะไรจะเสียอีก

“ มึง..”

“ นี่กุญแจ ” อาร์มโยนมันมาให้ผมที่ก็คว้ารับไว้มัน “ เอานายท่านออกมาเสร็จ ก็ปิดประตูได้เลย กุญแจก็วางไว้ห้อง”

“ แล้วมึงจะเข้าห้องยังไง ”

“ กูมีกุญแจสำรองอยู่ในรถ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะดึงกุญแจรถของตัวเองขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงตัวที่สวมอยู่ แต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินออกไปอาร์มหยุดอยู่ที่หน้าประตูตรงนั้น มือที่กำลังจะเปิดประตูออกไป แต่อีกฝ่ายก็แค่ปล่อยมันลง “ กูขอโทษ กูไม่น่าพูดอย่างงั้น ทั้งๆที่กูเองก็รู้ดีกว่าใคร ว่าการที่โดนบอกให้รอ มันเจ็บแค่ไหน แต่กูก็ยังเห็นแก่ตัว รั้งมึงให้อยู่กับกู ” อาร์มถอนหายใจมันหันมามองหน้าผม

“ อะไร ” ถามออกไปแบบนั้นเพราะเหมือนในแววตามันมีอะไรที่ยังอยากจะพูดต่อ บางทีอาจจะเป็นเรื่องนั้น   เรื่องที่มันอยากรู้ว่ามันต้องยืนอยู่จุดไหน หรือไม่ก็อาจจะเรื่อง ที่ต้องทำยังไง ผมถึงรู้สึกว่าตอนนี้มันรักแค่ผมคนเดียว

“ โทษที ” ย้ำกันแบบนั้น ใบหน้าคมส่ายหน้าไปมาอย่างสลัดความคิดทิ้งไป อาร์มเดินออกจากห้องผมไปในท้ายที่สุด

.........................................................


ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27

ภายในรถค่อนข้างเงียบเชียบ เครื่องยนต์ที่ถูกสตาร์ททิ้งไว้ แอร์เย็นไม่ได้ทำให้ผ่อนคลายลง และแม้แต่เพลงที่ดังขึ้นมาอัตโนมัตินั่น ผมก็ปิดมันทิ้งไป ร่างกายหยุดนิ่งไปหมด แม้แต่ความรู้สึกก็ด้วย ผมหวนนึกถึงคำพูดที่ผมพูดทั้งเมื่อคืน และเมื่อครู่ ก่อนจะหลับตาลงอย่างไม่รู้เลยว่าต้องพาตัวเองไปอยู่ตรงไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทำยังไงต่อไป

‘ แค่อยากจะรักเอง ยากขนาดนี้เลยเหรอวะ ’ ถอนหายใจออกมาในตอนที่หยิบมือถือขึ้นมา แจ้งเตือนมากมายปรากฏอยู่บนนั้น ดีนส่งข้อความมาหากันตั้งแต่หลังเลิกเรียน เรื่องที่มันยังคงคิดว่าทำไมผมถึงงอนมันไม่เลิก แล้วก็สายโทรเข้าที่มาจากดีนอีกนั่นแหละ แต่ผมก็ไม่ได้กดรับแต่อย่างใด

“ ไอ้โฮมก็โทรมาเหรอวะ ” เบอร์ที่ไม่คิดจะโทรเข้ามาหากันถ้าไม่เรื่องด่วนปรากฏขึ้นมา โฮมที่ผมรู้จักถือคติ ถ้าเรื่องด่วนมันจะโทร แต่ถ้าเรื่องไม่ด่วนก็จะแค่ไลน์ฝากข้อความไว้ แล้วด้วยนิสัยนั้นทำให้ผมกดโทรออก

“ ไม่โทรกลับคืนนี้เลยละไอ้สัด ” ปลายสายที่รอไม่นานกดรับแล้วทักกันมาอย่างงั้น “ เมื่อคืนไอ้ดีนโทรมาหากูเป็นสิบสาย ถามว่ามึงเป็นอะไร โกรธมันเรื่องอะไร ”

“ เหรอ ” เรื่องแปลกอีกเรื่องเกิดขึ้นแล้ว เพราะปกติดีนไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ มันชอบคิดว่าผมงอน ปล่อยไปเดี๋ยวก็หาย และแน่นอนผมก็เป็นอย่างที่มันว่ามาตลอด

“ กูตอบว่าไม่ได้เป็นอะไร มันก็ไม่เชื่อ มันบอกช่วงนี้มึงดูมีความลับกับมัน”

“ เราดูสนิทกันเหรอ มันถึงไปถามมึง ”

“ ไม่ ” ปลายสายว่าอย่างงั้น “ แต่เพราะไอ้สัดจุ้นไม่น่าช่วยมันได้ไง ” ผมหลุดยิ้มออกมา เมื่อนึกถึงคนที่วันๆเอาแต่ร่าเริงอย่างเดียว ไม่ต่างอะไรกับเด็กเล็กแบบไอ้สัดนั่น “ กูบอกมันไปว่าไม่มีอะไรหรอก แต่มันก็บอกว่า กูแม่งน่าจะรู้อะไร เพราะการที่มึงไม่คุยกับมัน เป็นเรื่องแปลก แต่กูที่ดูไม่แปลกใจ ก็น่าจะรู้อะไรอยู่ก่อนแล้ว ”

“ อื้ม แล้วมึงรู้อะไรบ้างมั้ย ” ผมถาม อีกคนก็นิ่ง

“ รู้ว่ามึงแอบไอ้ดีนมานานมากแล้ว แต่ไม่ได้คบกัน ส่วนเหตุผลอะไรนั่นกูก็ไม่รู้ แล้วตอนนี้ที่มึงห่างจากมัน จริงๆไม่ควรเรียกว่าห่าง ควรจะบอกว่ามึงแค่มีเรื่องที่สนใจมากกว่า แล้วนั่นก็คือเรื่องของไอ้แก้มก้อน ”

“ ไอ้แก้มก้อน ” หลุดพูดออกมาในตอนที่ใบหน้าของคนที่แค่ได้ยินชื่อเรียกก็นึกเห็นเป็นภาพขึ้นมาได้ทันที อย่างไม่ต้องสงสัยนานว่า อีกฝ่ายหมายถึงใคร “ ไอ้สัด ”

“ ก็หน้ามันเหมาะกับคำนั้น ” ไอ้โฮมมันย้ำ “ เวลายิ้มแล้วแก้มกลมสัด จนต้องเรียกว่าไอ้แก้มก้อน ”

“ น่ารักดี ”

“ หมายถึงกู ” อีกฝ่ายถามแบบไม่คิด

“ เค้าสิ ”

“ แล้วนี่มึงโทรกลับหาไอ้ดีนยัง ”

“ ยัง ขี้เกียจ ไม่มีอารมณ์ด้วย ” ผมตอบไปตามตรงก่อนจะพิงหลังกับเบาะที่นั่ง “ พูดไปมันก็ไม่เชื่อ มั่นใจอยู่นั่นว่ากูงอนมัน กูแม่งไม่อยากจะพูดเดิมๆแล้ว เหนื่อย แค่นี้ก็เหนื่อยชิบหายอยู่แล้ว อะไรที่ไร้สาระไม่อยากสนใจก่อน ”

“ เหรอ ไร้สาระเหรอ ”

“ อื้ม ”

“ แล้วเรื่องไปถึงไหนแล้ว ” เงียบไปสักพัก ปลายสายก็เอ่ยถามขึ้น “ หมายถึงไอ้แก้มก้อนอะ ”

“ คงต้องหยุดแล้วมั้ง ไม่รู้ว่ะ ไม่รู้ต้องทำยังไงดีแล้วเหมือนกัน ”

“ หมายความว่ายังไง ”

“ ก็ตามที่พูด ” ผมตอบไปตามความจริงที่รู้สึก “ กูไม่มีทางให้เดินแล้ว คงต้องหยุด ”

“ ยังไงวะ ขอเสือกหน่อย ”

“ ขี้เสือก เหมือนกันเหรอวะ ” ได้ยินเสียงหัวเราะตอบกลับมา “ กูแค่บอกเค้าไปตามจริง ว่ากูมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ”

“ แล้วมึงจะไปบอกทำไม ” ปลายสายถาม “ เป็นกู กูจะไม่บอก กูจะจัดการชีวิตของกูเงียบๆ ไม่ได้จับปลาสองมือนะ แค่ปล่อยอีกตัวไปอย่างที่ไม่ให้อีกตัวรู้  ”

“ เห็นแก่ตัว ”

“ แล้วคนที่มันไม่เห็นแก่ตัว ตอนนี้มันเป็นยังไงบ้าง ” ผมเงียบ “ ก็ไม่ได้ดีนี่ ”

“ กูบอกเค้าไปว่ากูมีคนที่ชอบอยู่แล้ว และกำลังจะเลิกชอบ กูขอโทษเค้าที่ทำให้เค้าชอบ ทั้งๆที่กูมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ”

“ ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามึงจะไปบอกทำไม แก้ยากเลยไอ้สัด ” โฮมถอนหายใจ “ มันเป็นความจริงก็จริง แต่เรื่องบางเรื่อง ความจริงมันก็ไม่ได้ดีเสมอไปหรอกจริงมั้ย ”

“ จริงมั้ง อย่างน้อยตอนนี้มันก็ไมได้ดีกับกูสักเท่าไหร่ ” ผมบอก “ เมี่ยงบอกให้กูปล่อยมันไป ไปเลิกรักดีนก่อน แล้วค่อยกลับมาคุยกับมัน แต่กูไม่อยากปล่อยไปเลย กูไม่รู้ว่าถ้าปล่อยไป มันจะเป็นเหมือนดีนมั้ย ที่สุดท้ายก็ไมได้อะไรกลับมา กูไม่อยากจะเสียอะไรแล้ว แต่ก็นั่นแหละ ”

“ อะไร ”

“ เห็นแก่ตัวชิบหายเลยไง รั้งเค้าไว้ เค้าก็เจ็บ เค้าคิดว่าตัวเองเป็นแค่ตัวสำรอง เป็นของตาย ตอนแรกกูว่าจะฝืน แต่ฝืนไปก็ดูเหมือนเค้าจะไม่มีความสุข ก็เลิกเถอะ ”

“ ลองแล้วเหรอ ”

“ ลองแล้ว ” ผมบอกพลางกลับตาลงอย่างรู้สึกเหนื่อยไปหมดทั้งใจ สมองที่เอาแต่คิดถึงเรื่องเมื่อคืน แล้วก็คิดถึงเรื่องเมื่อครู่  “ บางทีกูคงไม่เหมาะกับความรักสักเท่าไหร่ อาจจะเหมาะกับการอยู่คนเดียวมากกว่า ”

“ สิ้นหวังอะไรขนาดนั้น ” ปลายสายว่ายิ้มๆ ผมเองก็ยกยิ้มตาม “ รู้มั้ยว่าบางที มึงรักไอ้ดีนมานานมากเกินไปแล้วนะ มันนานจนทำให้มึงกลายเป็นคนที่กดขี่ชีวิตตัวเองลงต่ำชิบหาย จนมันดูไม่มีค่าอะไรแล้ว เหมือนมึงทำตามความต้องการของมันมาตลอดจนชิน ดีนซ้าย มึงซ้าย ดีนขวา มึงขวา ทนทุกอย่างเพื่อให้เค้าหันกลับมารักมึงบ้าง มึงไม่เรียกร้องกับมันว่ามึงรู้สึกยังไง  จนตอนนี้ตัวมึงเองก็ดูไม่มีค่าอะไรเลยในสายตาตัวเอง ซึ่งมันไม่ใช่นะสัดอาร์ม ชีวิตเป็นของมึงนะ ”

“ อื้ม ” ผมขานรับแค่นั้น เพราะไม่รู้จะตอบอะไรมากไปกว่านั้น

“ อย่าเอาไอ้แก้มก้อนไปเปรียบเทียบกับดีน มันคนละคนกัน อย่าเอาประสบการณ์แย่ๆมาคิด แล้วตัดสินไปว่า มันจะเหมือนเดิม มึงจะต้องรอเหมือนเดิม เพราะมันไม่เหมือนกัน มึงต้องทำอะไรสักอย่าง ”

“ กูไม่รู้ว่ากูต้องทำยังไง เค้าบอกให้กูปล่อยเค้า อย่ามายุ่งกับเค้า เค้าบอกให้กูไปไกลๆ แต่กูแค่อยากอยู่กับเค้า อยากใช้ชีวิตกับเค้า เค้าบอกให้กูเลิกรักดีนก่อน แล้วกูต้องทำยังไงมันถึงจะแสดงให้เค้าเห็นได้ว่า กูเลิกรักดีนแล้ว เค้าจะรู้ได้ยังไง แล้วมันต้องใช้เวลานานมากมั้ย เป็นปี สองปี หรือสิบปี ”

“ ใจเย็นก่อนไอ้สัด ทุกอย่างมันไม่ได้เป๊ะขนาดนั้น แต่ถ้าว่าเมื่อไหร่ที่เค้าจะรู้ กูว่าเค้าจะสัมผัสมันได้เอง แต่ตอนนี้ปล่อยเค้าไปเถอะ เข้าใจคำว่าห่างๆอย่างห่วงๆมั้ย ”

“ ไม่ ”

“ ก็คอยดูอยู่ห่างๆ ถ้าเค้ามีอะไรให้ช่วย ก็ช่วยอย่างห่วงๆ ”

“ แบบที่กูทำกับดีนน่ะเหรอ ” หลุดยิ้มในตอนที่ถาม อีกฝ่ายก็เงียบ “ เหนื่อยแล้วว่ะ พอคิดว่าต้องทำอะไรแบบที่เคยทำ แล้วมันเคยไม่สำเร็จมาก่อน กูก็ท้อนจนไม่อยากจะทำแล้ว เหมือนมันก็วนอยู่ที่เดิม เจ็บเหมือนกัน กูเคยรอแบบไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงจุดหมาย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีมั้ย ความรักที่ว่า จนกุคิดบางทีระหว่างทางเมี่ยงอาจจะไปเจอใคร แล้วมันโอเคกว่ากู โดยที่ไม่สนด้วยซ้ำที่กูกำลังทำ หรือพยายามแสดงให้เห็นอยู่ว่ารักมันมากแค่ไหน ”

“ ไอ้สัดอาร์ม ” อีกฝ่ายเรียกผม “ หยุดคิดก่อน ตอนนี้มึงกำลังเสียใจ ถ้ามัวแต่คิดอยู่แบบนี้ มันก็วนอยู่แค่ตรงนี้ ไม่มีทางออกหรอก เพราะงั้นต้องหยุดก่อน ”

“ ความรักไม่ใช่เรื่องที่ต้องแสดงออกให้เห็นเหรอวะ  แล้วถ้ากูหยุด กูจะแสดงให้เค้าเห็นได้ยังไง ว่าตอนนี้กูรู้สึกยังไงกับเค้า คือเค้าจะมาสนใจกูอยู่ตลอดเวลาเหรอ ว่ากูมีพัฒนาการยังไง ก็ไม่เปล่าวะ เค้าก็แค่ใช้ชีวิตของเค้า แต่พอกูเข้าไปยุ่ง ไปแสดงออกว่ารู้สึกยังไง ก็บอกว่าถอยไป ปล่อยมันไป  แล้วแบบนี้คือกูต้องทำยังไงต่อ ถ้ากูอยู่เฉยๆ มันจะตัดสินกูหรือเปล่า ว่ากูไม่ได้สนใจมันเลย งั้นก็แสดงว่าไม่รัก ”

“ มึงชอบไอ้แก้มก้อนขนาดนี้เลยเหรอวะ ” ประโยคที่ถามกลับมานั้นทำให้ผมนิ่ง “ ปกติมึงไม่ใช่คนที่แสดงอารมณ์ขนาดนี้ หมายถึงกับเรื่องที่มึงไม่สนใจ ตั้งแต่รู้จักกับมึงมา มึงแสดงอาการกับแค่สองเรื่อง คือหนึ่งเรื่องไอ้ดีน ที่ตอนนี้มึงแทบไม่มองหน้ามันเลย เพราะเอาแต่มองไปทางอื่น แล้วนั่นก็คือทางที่มีไอ้แก้มก้อนอยู่ ที่ตอนนี้แทบจะเป็นบ้าไปแล้ว ”

“ กูอยากมีเค้า แล้วกูก็ไม่อยากจะนั่งรอแล้ว กูแค่อยากตื่นมาแล้วมีเค้า อยู่ในทุกวันของกู เป็นภาพที่กูไม่อยากจะแค่ฝันแล้วมีความสุข กูอยากมีมันจริงๆ แต่ก็นั่นแหละ..”

“ แล้วตอนนี้มึงก็รู้สึกยังไงกับดีน ถ้าดีนมันกลับมาละ ถ้ามันบอกมึงว่า เรามารักกันมั้ย มึงจะทำยังไง”

“ มันไม่มีทางหรอก ” ผมบอกปัด แต่โฮมมันก็ยังย้ำ

“ กูถามว่าถ้ามันกลับมาละ วันนั้นจะแคร์คนที่อยู่กับมึง แล้วไม่สนใจใยดีไอ้ดีนมันเลยสักนิด ทำได้ใช่มั้ย ” คำถามนั้น ผมเงียบไป ในใจที่ตอบว่า อย่างน้อยมันก็เพื่อน จะไม่ใยดีอะไรมันเลย ก็คงจะไมได้ “ ถ้ามึงยังลังเลนะสัดอาร์ม แสดงว่ามึงยังห่วงมันอยู่ ”

“ ก็มันเพื่อน ”

“ ในมุมของมึงคือเพื่อน แต่ในมุมของไอ้แก้มก้อน ดีนคือคนที่มึงเคยชอบมากๆ คนรักอะ มึงมีความสุขเหรอ เห็นแฟนตัวเองยังห่วงคนที่เคยชอบอยู่ มันก็ไม่เปล่าวะ ต่อให้เป็นเพื่อนก็เถอะ เพราะงั้นมึงต้องชัดเจนกับจุดนี้ก่อน ” ปลายสายถอนหายใจ “ กูเข้าใจ อย่างที่มึงพูดมันก็ถูก แต่ในสถานการณ์แบบนี้ อยู่ใกล้เค้า เค้าก็อึดอัด ถอยออกมาดีกว่าเปล่าวะ ความรักมันเหมือนแม่เหล็ก ถ้ามึงชอบกัน ยังไงมันก็ดูดเข้าหากันอยู่ดี ”

“ แล้วถ้าไม่ ”

“ ก็ไม่ไง ” โฮมพูดยิ้มๆ ก่อนถอนหายใจออกมา “ แต่ไอ้อาร์ม มึงไม่จำเป็นที่ต้องกลับมารอไอ้สัดดีนนะ ต่อให้มึงไม่มีใคร มึงก็ไม่จำเป็นต้องรอ มีความสุขได้แล้ว ปล่อยมันไปเถอะ มันไม่ได้ต้องการมึงหรอก เพราะถ้ามันต้องการมึงจริงๆ มันจะทำแบบที่มึงกำลังทำทุกอย่าง เพื่อดึงไอ้แก้มก้อนมันเอาไว้ เข้าใจใช่มั้ย ”

“ จริงของมึง ” เสียงตอบรับที่แสนเบาหวิว ผมพิงลงกับเบาะที่นั่งอย่างรู้สึกเจ็บเข้าไปในอก ความอึดอัดที่แน่นอยู่ภายในนั้น ทำให้ผมยิ้มสมเพชตัวเองออกมา

“ ความรักไม่ใช่ขนมที่มึงอยากได้แล้วเอาเงินไปซื้อมา ไม่ใช่ของเล่นที่มึงจะลงไปนอนดิ้นๆกับพื้อ บอกพ่อแม่ว่าจะเอาๆ แล้วเค้าก็ซื้อให้ แต่มันคือการซื้อใจ ที่ต้องใช้ใจและใจ แล้วมันก็ต้องใช้เวลาปรับตัว ” ปลายสายว่าเสียงเรียบ “ ถอยออกมาก่อน ดึงดันไปตอนนี้ก็ไม่มีอะไรดีหรอก ”

“ อื้ม ” เพราะไม่รู้จะตอบอะไร ใจผมไม่ได้อยากปล่อยมันไปหรอก แต่ก็อย่างที่โฮมบอก มันไม่มีทางอื่นแล้ว ยิ่งยื้อก็ยิ่งเหนื่อย แล้วสุดท้ายก็ไม่ได้มีอะไรดี โดยเฉพาะกับความรู้สึกของเมี่ยง แล้วก็ผม  “ มันจะไม่หายไปใช่มั้ยวะ ”

“ มึงหมายถึงไอ้แก้มก้อน ”

“ อื้ม ” ผมตอบรับ

“ ไม่หรอก เพราะถ้ามึงชอบเค้ามากพอ เค้าจะอยู่สายตาของมึงตลอดนั่นแหละ แล้วมึงก็จะพาตัวเองเข้าไปอยู่ใกล้เค้าเอง แล้วเค้าเองถ้าเค้าชอบมึง เค้าก็จะพามึงมาอยู่ใกล้ๆเค้าเหมือนกัน แบบที่ระยะห่าง รอดูมึงอยู่ ว่ามึงรู้สึกยังไงกับเค้า ”

“ แต่ก็ไมใช่ตอนนี้ หมายถึงที่กุต้องเข้าไปใกล้เค้า”

“ เออ ไปพักสักหน่อยเถอะมึงน่ะ ” ผมถอนหายใจออกมา “ ว่าแต่มึงอยู่ไหน ทำไมเงียบชิบหายแบบนี้ ”

“ ในรถ ”

“ แล้วจะไปไหน ”

“ ตอนแรกคิดว่าจะกลับบ้าน แต่กลับบ้านไปก็เบื่อ เลยว่าจะไปทะเล ” บอกอีกฝ่ายไปตามตรง “ กูรู้สึกอยากฟังเสียงคลื่น ”

“ เหตุผล สมเป็นมึง ”

“ กูแค่คิดว่า กูควรออกจากตรงนี้สักพัก เพราะไม่งั้นกูก็ยังจะเป็นอยู่แบบนี้ ยังอยากจะให้มันเข้าใจ แล้วยังอยากจะหาทางสักทาง ให้กูกับมันไปต่อ ไม่อยากรอแล้ว”

“ งั้นก็ไปเถอะ ” ปลายสายว่างั้นแต่ยังไม่ทันที่ผมจะตอบรับ เสียงเตือนว่ามีคนโทรซ้อนเข้ามาก็แทรกขึ้น จนผมต้องดึงมาออกห่างจากหูเพื่อดู แล้วเบอร์ของเมี่ยงก็ปรากฏอยู่บนหน้าจอ

“ ไว้คุยกัน ”

“ ถ้าอยากกินเหล้าก็โทรมา ”

“ อื้ม ” กดวางสายไอ้โฮมไปทันที ผมกดรับสายของเมี่ยง “ ว่าไง ”

“ คือกูจะโทรมาบอก ว่ากูเอาแก้มหอมมาไว้ที่ห้องนะ กลับมาแล้วก็เคาะประตูมารับกลับไปแล้วกัน ” ประโยคเรียบๆ เมี่ยงถอนหายใจ คล้ายกับจะบอกว่า มันเองก็ไม่ได้อยากจะคุยกับผมสักเท่าไหร่ แต่แค่จำเป็นต้องโทรมา “ มันเอาแต่ร้องตลอดเลย ตอนกูไปเอานายท่านออกมาจากห้อง กูก็เลย เอามันมาไว้ที่ห้องด้วยก็แค่นั้น ไม่ได้คิดอะไรอย่างงั้นนะ แบบว่า ใอ่อน คือหมายถึงว่า ถ้ามึงจะเข้าข้างตัวเอง ”

“ กูไม่ได้คิดอะไรอย่างงั้นเลย ”

“ ก็ดี ”

“ แล้วนั่นจะไปไหน ”

“ ถามทำไม ” ถามกลับอีกฝ่ายก็เงียบไปสักพัก จนคิดว่ามันวางสายไป ผมดึงมือขึ้นขึ้นมาดู แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างงั้น “ เมี่ยง ”

“ อย่าขับรถเร็ว ต่อให้มึงหงุดหงิดแค่ก็อย่าขับรถเร็วนะ แค่นี้แหละ ” สายนั้นถูกตัดไปทันที พร้อมกันกับผมที่ก็นิ่งไปไม่ต่างกัน มือที่ดึงสายหูฟังออก ผมยิ้มกว้างออกมากับความรู้สึกที่ชวนให้หัวใจพองโต จนต้องตอบออกไป แม้ว่าปลายสายจะไม่ได้ยิน

“ ครับผม ”

...........................................................


เราคิดนานมาก ว่าเราจะถ่ายทอดตอนนี้ออกมายังไง
คือเรามองว่า อาร์มก็มีแผล และมีเหตุผลเป็นของตัวเอง เมี่ยงเองก็เช่นกัน
แต่เราก็อยากจะให้มองในมุมของอาร์มบ้าง ซึ่งมันยากมากที่จะเขียนออกมา กับบทที่คนไม่ดีก็มีหัวใจ
เพราะอาร์มคือคนที่มีแผล แต่มันไม่น่ารักหรอก กับการเอาแผลนั้นมาทำให้คนอื่นเป็นแผลด้วย
แต่ในอีกมุมนึง เค้าก็แค่ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไง อาร์มไม่เคยมีของรัก ไม่เคยได้ของรัก พอมาเจอเมี่ยงที่รักเค้า แต่เค้ามีแผล เมี่ยงเลยผลักเค้า ในแบบที่เค้าเจอมาตลอด มันเลยออกมาให้รูปแบบที่ไม่น่ารักเอาซะเลย
เปิดใจให้พี่อาร์มนิดนึงนะคะ 
และท้ายนี้ ขอโทษที่อัพช้าไปมาก ต้องขออภัยจริงๆ
ประกาศนิดนึงนะคะ
วันศุกร์ที่ 17 นี้ หนมจะไม่อัพนิยายค่ะ เจอกันวันศุกร์ที่ 24 นะคะ ขอไปชาร์ตแบตแปปนึงค่ะ
#นายท่านของแก้มหอม คือแท็กของเรื่องนี้ ฝากแท็กในทวิตด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์ค่ะ

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ fahdekkom

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
สงสารทั้งคู่เลย แต่ถ้าอาร์มไม่พยามห่างจากดีนมากกว่านี้ก็สงสารเมี่ยงจริงๆ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ทั่นศิราณีโฮม  เก่งมากมาย

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เลิก หรือ ไม่เลิกดี  :hao4:

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
เข้ามาคอมเมนท์ชมครับ ว่าการถ่ายทอดแผลของเมี่ยงและอาร์มทำออกมาได้ดีแล้ว ปกติผมจะอ่านเรื่องนี้เงียบๆ แต่เห็นตอนล่าสุดแล้วก็ถือว่าค่อนข้างประทับใจครับ เลยจะเข้ามาชมหน่อย

เราเริ่มกันที่เมี่ยงก่อน เมี่ยงเป็นตัวละครที่ตอนแรกผมอ่านแล้วเฉยๆ อาจจะเพราะว่าเมี่ยงนิยมคำหยาบมากไปหน่อย ไม่ค่อยละเว้นกับใครเลย (หัวเราะ) ผมเลยไม่ค่อยตรงจริต แต่พออ่านมาเรื่อยๆก็พอเข้าใจได้ว่ามันเป็นนิสัยสบายๆของเขา ไม่ค่อยคิดมาก เฟรนด์ลี่และชอบเข้ากับคนอื่น แต่ไม่ได้แปลว่าห่าม เมี่ยงยังมีมุมอ่อนละมุนน่ารักๆอยู่ อย่างเช่นตอนที่ทำแมวหาย ก็ร้องห่มร้องไห้สำนึกผิด ตอนไปกินข้าวก็ยังพอจะสุภาพก๊องๆบ้างให้น่ารัก หรือตอนที่ทิ้งโจ๊กอาร์ม ก็ยังรู้สึกได้ว่ามันเจ็บโหวงๆเหมือนหลุมลึก (ซึ่งมันคือความรู้สึกผิด) หรือแม้แต่ตอนที่อาร์มไม่อยู่ด้วย จะโกรธก็โกรธไม่สุด ยังมีโทรมาบอกว่าอย่าขับรถเร็ว นิสัยเมี่ยงดูออกจะซึนๆหน่อย ซึ่งนั่นแปลว่าเขายังมี Soft Mental ที่น่ารักอยู่

สำหรับเรื่องความรัก เมี่ยงเป็นคนที่เด็ดขาดใช้ได้เลยนะครับ หลายๆความคิดของเมี่ยงทำให้ผมถือว่าตัวนางคนนี้ใจแข็งทีเดียว และคิดอะไรค่อนข้างสมเหตุสมผล เมี่ยงบอกตัวเองตลอดว่าไม่อยากจะเป็นคนใจอ่อน ไม่ควรจะมีใครเป็นของตายของอีกคน ไม่อยากจะเป็นคนที่ไล่ตามอีกฝ่ายแบบไม่มีหวัง เพราะมันจะทำให้หัวใจตัวเองเจ็บปวดซ้ำๆ เมี่ยงรู้ดีว่าตัวเองไม่อยากจะเป็นแบบนั้น ซึ่งอันนี้เป็นความเมคเซนส์ที่ดี ซึ่งทัศนคติพวกนี้แสดงออกผ่านประโยคหลายประโยคที่ผมชอบมากเลยนะครับ

“กูรู้ แต่ถึงอย่างงั้น มันก็ไม่ควรมีใครอยู่ในสถานะที่เป็นของตายของใครไง ไม่ควรมีใครอยู่ในสถานะน่าสมเพชที่ต้องรอเค้าเลิกรักคนของเค้า แล้วเค้าก็จะมารักเรา”
“กูไม่ใช่ตุ๊กตานะที่มึงจะทำยังไงกับมันก็ได้ ไม่ใช่ตุ๊กตาที่ยังยิ้มกับการที่เห็นเจ้าของพึงพอใจกับของเล่นของคนอื่น กูไม่ใช่อะไรแบบนั้น”
“มึงเอาแต่พูดเข้าข้างตัวเองตลอดเลย มึงเอาแต่ถามว่ามีอะไรรับประกันได้บ้างว่ามึงจะไม่เสียกูไป แล้วงั้นกูถามได้มั้ย ว่ามันมีอะไรรับประกันได้บ้างว่ามึงจะหมดรักคนที่ชอบ แล้วมาชอบกูจริงๆ จะรักกูหมดหัวใจจริงๆ ไม่ใช่ว่าพอเค้ากลับมาชอบมึง มึงก็ไป มีอะไรรับประกันกับกูได้บ้างว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้น”


สิ่งที่เมี่ยงแสดงออกมามีเยอะ (ตั้งแต่ตอนที่ 14 จนมาถึงตอน 18) มันทำให้เราเห็นคาแรกเตอร์เมี่ยงได้ชัดมาก (ดีไม่ดีคือชัดกว่า 10 กว่าตอนที่ปูเรื่องตอนแรกด้วยซ้ำ) แต่เช่นเดียวกัน ปัญหาของความรักสำหรับเมี่ยงเป็นปัญหาคลาสสิคสำหรับคนที่มารักกันโดยที่ไม่รู้จักกันเลย นั่นคือการขาดความมั่นใจ ในมุมมองบุคคลที่สาม เรารู้ว่าดีนกับอาร์มไม่น่าจะเกิดการสปาร์คกันแน่ๆ แต่เมี่ยง ‘ไม่รู้’ เมี่ยงไม่รู้จักนิสัยจริงๆของอาร์ม เมี่ยงไม่รู้ว่าเมื่อเจออะไรแบบนี้นานๆ อาร์มจะคิดยังไง อาร์มจะเหนื่อยไหม นี่เป็นเรื่องปกติของคนที่คิดจะคบกันแต่ไม่มั่นใจในปมและการจัดการกับบาดแผลของอีกฝ่าย ดังนั้นวิธีการจัดการแบบคลาสสิคก็คือการถอยออกมา

มันเป็นการแก้ปัญหาที่ง่าย แต่มันไม่ได้มีความสร้างสรรค์อะไรเลยครับ มันทำให้ทั้งสองฝ่ายเจ็บด้วยกันทั้งคู่ (กรณีนี้ถ้าฝ่ายอาร์มก็ยอมให้เมี่ยงถอยเพราะว่ารักเมี่ยงจริงๆ และรู้ดีว่ายิ่งยื้อก็จะทำให้เจ็บ ซึ่งก็คล้ายๆกับในเรื่อง) ในชีวิตจริง เมื่อมันมาถึงสถานการณ์แบบนี้ เพื่อนของทั้งสองฝ่ายจะสำคัญมาก เพื่อนสนิทของทั้งสองฝ่ายต้องมานั่งคุยกันว่าในคู่นั้นน่ะแต่ละคนกำลังคิดอะไรรู้สึกยังไง การเป็นเพื่อนสนิทกันมานานจะทำให้รู้ถึงนิสัยและระบบความคิดของอีกฝ่าย เพื่อทำให้ไม่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดไปใหญ่

ทีนี้เรามาว่าถึงอาร์ม เราเห็นว่าอาร์มพยายามจะมูฟออนจากดีนแบบอ่อนแรงตั้งแต่ปลายตอนที่ 15 และมาเห็นอีกทีในปลายตอนที่ 17 ว่ายังไงก็ไม่อยากจะปล่อยเมี่ยง แต่เราไม่รู้ความรู้สึกข้างในของอาร์มเลย ไม่รู้ว่าทำไม ไม่รู้ว่าเพราะอะไร มีบท 18 นี่แหละครับที่ผมว่าเขียนได้ดีมาก ต้องชม หลายประโยคของอาร์มคือ Hit the point แผลของอาร์มเลย ไม่ต้องตีความเยอะ ทุกคำแสดงความรู้สึกล้วนๆ นี่เป็นการแสดงแผลและผลลัพธ์ความรู้สึกของตัวละครที่ดีมาก

"ทำไมทุกคนต้องคอยเอาแต่บอกว่าให้กูหยุด ให้กูรอ รอก่อนนะ รอก่อน ปล่อยกูไปนะ พอได้แล้ว ทั้งๆที่กูแค่รักมึงเอง แต่ทำไมกูไม่เคยได้รักใครเลย ทำไมพอกูรักใคร มันถึงมีแต่คำพูดพวกนี้ ทำไมไม่มีใครบอกกูสักคนว่ากูจะต้องทำยังไงต่อไปกับความรักของกูที่แค่อยากจะให้ใครสักคนไป"
“ปล่อยคนที่กูรักไป กูจะได้คืนมึงมามั้ยก็ไม่รู้  แล้วจะให้กูปล่อยเหรอ งั้นถ้ากูปล่อย กูถามกลับว่า กูจะได้มึงกลับมามั้ย ก็บอกอีกว่า เห็นแก่ตัว ทำไมถามแบบนิ้ แล้วพูดอะไรได้อีกวะ”
“กูควรพูดแบบไหน ควรถามว่าอะไร ควรยืนอยู่ตรงไหน มึงบอกกูสิ มึงบอกกูมาเลย แล้วกูจะปล่อยมึงไป”
“จุดที่กูยืนได้คือต้องห่างจากมึงแค่ไหน แล้วกูต้องทำยังไง มึงถึงจะมั่นใจว่ากูชอบมึงคนเดียว กูต้องทำมากแค่ไหน ต้องแสดงออกยังไงบ้าง มึงบอกกูสิ”
“มึงบอกสิเมี่ยง กูต้องทำยังไง ต้องแสดงออกยังไง มึงถึงจะเชื่อว่ากูรักมึงคนดียว อย่าเอาแต่ไล่กูแบบนี้ เพราะกูเองก็มีหัวใจ อยากให้มึงรักเหมือนกัน ไม่ใช่แค่มึงที่รู้สึกอย่างงั้น”
“ความรักของกูแม่งน่ารังเกียจขนาดนี้เลยเหรอวะ ทำไมแม่ง ไม่มีใครอยากได้เลย ทำไมชีวิตกูมันถึงเป็นแบบนี้ ทำไมจังหวะชีวิตมันถึงนรกแบบนี้ มันเพราะอะไร กูแม่งต้องทำยังไงวะ ต้องปล่อยไปอีกแล้วเหรอ ทั้งๆที่กูแค่อยากจะรักมึงนี่อะนะ  ไม่มีทางให้กูไปบ้างเลยหรือไง ต้องปล่อยมึงอย่างเดียวเลยเหรอ”


แค่นี้คือจบเลยครับ แสดงปมและแผลของอาร์มครบถ้วน ชัดเจน ไม่ต้องมีบทบรรยายหรืออีเวนต์ยิ่งใหญ่ แค่เป็นคำพูดที่แสดงความรู้สึกของตัวละครเองก็เพียงพอแล้ว ทำออกมาได้ดีมากครับ

ทีนี้ปัญหาเรื่องความรักคู่นี้ในฝั่งของอาร์ม มันเพราะอาร์มเคยพยายามแต่ไม่สำเร็จมาก่อนครับ ก็เลยคิดว่าทำแบบเดิมกับเมี่ยง แล้วผลจะเป็นแบบเดิม ซึ่งจากนิสัยของเมี่ยงกับดีน ผมกล้าพูดเลยว่าไม่ใช่ แต่อาร์มไม่รู้ และไม่กล้า เพราะว่าการ ‘รอ’ มันทำให้อาร์มรู้สึกกลัว อาร์มกลัวว่าถ้าไม่อยู่ใกล้ ถ้าไม่แสดงออก อาร์มจะเสียเมี่ยงไปแน่ๆ ซึ่งนี่คือความกลัวจากการที่ถูกดีนทิ้งให้รอแบบไม่มีจุดหมายมาก่อน อาร์มอยากรู้ว่าต้องไกลขนาดไหนที่อาร์มจะไม่เสียเมี่ยงไป อยากรู้ว่าต้องทำยังไงเมี่ยงถึงจะยังรับรู้ว่าเขายังสนใจเมี่ยงอยู่

ซึ่งบางอย่างน่ะไม่ใช่ การแก้ปัญหาของคู่นี้มันต้องรวบยอดเข้าด้วยกันครับ อย่างที่ผมบอกว่าปัญหามันเกิดจากการขาดความมั่นใจในการรู้จักกัน ดังนั้นทั้งสองคนต้องอยู่ใกล้ๆแต่ไม่ใกล้มาก เพื่อทำให้ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน เมี่ยงเองถ้าชอบอาร์มก็จะคอยมองหาอาร์มอยู่เหมือนกัน แต่ไม่อยากให้อาร์มเข้ามาใกล้มาก ส่วนอาร์มเองถ้าชอบเมี่ยงก็ต้องพยายามเอาตัวเองไปให้ใกล้เขาในระดับหนึ่ง คอยดูแลเทคแคร์จากระยะไกล แล้วก็สร้างความมั่นใจให้เมี่ยงจากระยะไกลๆ ซึ่งถ้าเมี่ยงเริ่มมั่นใจมากขึ้น ระยะห่างระหว่างกันมันจะค่อยๆลดลงเรื่อยๆจากการยอมของเมี่ยง (ซึ่งดูจากการที่น้องก็แคร์มากถึงขั้นโทรมาบอกว่าอย่าขับรถเร็วแม้จะบอกว่าให้ห่างกัน ก็ไม่น่านานหรอกครับ)

ขณะที่ทั้งสองคนคอยเทคแคร์กัน อาร์มอยากจะแสดงออกว่าหยุดชอบดีนได้แล้วให้เมี่ยงแน่ใจ แม้ดีนจะเป็นเพื่อน มันก็ทำได้ไม่ยากครับ หากิจกรรมทำ เช่น ฝึกทำอาหาร (จำได้ว่าอาร์มมีสกิลทำอาหาร) ออกกำลังกาย (บรรยายตอนแรกบอกว่าอาร์มดูจะผอมที่สุดในกลุ่มของดีน) หรือไปเป็นจิตอาสาช่วยเหลือแมวอะไรก็ว่าไป มันมีอะไรหลายอย่างที่เป็นงานอดิเรกทำคนเดียวได้และแยกตัวบ้าง ถ้าเพื่อนที่เป็นเพื่อนกันจริง ตอนที่อีกฝ่ายยุ่งกับกิจกรรมที่มันชอบหรือเป็นการพัฒนาตัวเอง ก็จะไม่มีใครไปตื๊อหรอกครับ ถ้าเมี่ยงเห็นว่าดีนไม่ได้มายุ่งบ่อยๆ และอาร์มก็ไม่ได้ยุ่งกับดีนเกินขอบเขตเพื่อน ความมั่นใจมันสร้างมาได้แน่ๆครับ

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เมี่ยงเองก็คิดได้ดีนะ อะไรจะรับประกันถ้าดีนตอบรับรักมา พูดว่าจะมูฟออนๆ มูฟจริงๆเถอะ ไม่ต้องสนใจว่าเขาจะมาวอแวอะไรยังไง ถ้าจะตัดใจซะอย่าง ส่วนอาร์มตอนนี้ยังมองออกแค่ว่าอยากได้เมี่ยงเป็นเพื่อนชอบที่จะพูดคุยด้วย เลยพยายามรั้งไว้ถ้าเสียไปตัวเองคงเหงาปากแค่นั้น แต่ไอ้ความรักที่ว่ามานั่นยังมองไม่เห็นในแววตานายเลย มันยังสะท้อนภาพลางๆอีกคนอยู่ เร็วไปที่จะพูดมันออกมา ทั้งที่อีกคนยังใส่แหวนตัวเองอยู่เลย ฮอลลลล!! โอ้ยยยสนุกกดีค่ะ อ่านรวดเดียว ช่วงกลางๆเรื่อยผ่านๆ เพราะเราชอบดราม่า 5555 รอตอนต่อไปเลยค่ะ แต่ละคนจะทำยังไง  :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 508
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ตอนที่ 19

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

สุดท้ายก็กลับขึ้นมาบนห้องอย่างไม่อยากจะไปไหนอีกแบบฉับพลัน แท้จริงแล้วก็ไม่ได้อยากฟังเสียงคลื่นหรอก ผมอยากฟังเสียงเมี่ยงที่ยอมใจดีด้วยมากกว่า แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของห้องจะตกใจไม่น้อย กับเหตุการณ์ที่อยู่ๆเจ้าของสายที่โทรเข้าไปหาเมื่อครู่ และยังวางไปไม่ถึงสิบนาที จะมายืนอยู่ที่หน้าห้อง ด้วยรอยยิ้มทั้งแบบนี้

“ ไม่ได้ไปไหนหรอกเหรอไอ้สัด ” ประตูเปิดออกพร้อมกับประโยคนั้นที่เอ่ยต่อกันตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้า เมี่ยงไม่ได้มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะทำทีเป็นเหลือบมองไปทางอื่น อาจเพราะเพิ่งเผลอแสดงความห่วงใยออกไปอย่างที่เจ้าตัวรู้สึกว่าไม่ควรกระทำต่อกัน “ แก้มหอมอยู่นั่นอะ ” เชิดหน้าไปที่คอนโดแมว ประตูนั้นก็ถูกเปิดออกกว้างขึ้น “ เข้ามาอุ้มเองนะ กูไม่บริการ ”

“ ครับผม ” ตอบรับไปทั้งๆที่ไม่ได้ผละสายตาไปมองแมวตัวเองด้วยซ้ำ ผมก็แค่อยากจะมองหน้าเมี่ยงแบบนี้ไปนานๆ สีหน้าบึ้งตึงที่แม้จะทำทีท่าว่าไม่พอใจยังไง แต่มันก็ยังดูน่ารัก เหมือนอย่างที่ไอ้โฮมบอกนั่นแหละ ‘ แก้มก้อนมากจริงๆ ’

“ อะไร ” สายตาเรียวหันมาถามแบบหาเรื่อง ผมเองก็ได้แค่ยักไหล่ก่อนจะส่ายหน้า ส่วนเมี่ยงเองก็ได้แต่เชิดหน้าไปที่คอนโดแมว “ เร็วๆสิ นั่นอะแมวมึง ไปเอาลงมาแล้วกลับห้องของมึงไปได้แล้วไป ”

“ โอเคครับ ” เดินตรงไปที่คอนโดแมว เจ้าก้อนขนของผมกำลังนอนกระดิกหางสบายใจอยู่บนคอนโดแมวบ้านคนอื่นแบบหลับตาพริ้ม แต่ทว่าพอผมเอื้อมมือไปจับที่ท้องหมายจะอุ้มอีกฝ่ายกลับดึงตัวเองขึ้นแล้วงับที่มือทันที ราวกับจะบอกกันว่าไม่ต้องมายุ่งเลยนะ “ แล้วกัดป๊าทำไมละคะแก้มหอม ป๊ามารับหนูกลับบ้านนะ ”

“ เมี๊ยว ” มันส่งเสียงร้องขัดใจ ก่อนจะนอนลงที่เดิมพร้อมกับหางที่ขยับขึ้นลงไปมาแบบสบายใจ แล้วในตอนนั้นเองที่ไอ้ตัวลายเจ้าของห้องตัวจริงจะเดินมานอนลงข้างๆ

นายท่านเลียไปบนตัวของแก้มหอม มันที่มองผมตาขวางราวกับหวงแหนเหลือเกิน และไม่อยากจะให้เจ้าตัวขาวในอ้อมกอดนั้นหนีหายไปไหน

“ ม๊าว ”

“ ม๊าวอะไรของมึง พ่อมึงไล่ขนาดนี้ จะให้แก้มหอมอยู่ได้ยังไง ” เชิดหน้าบอกมันแบบหาเรื่อง ก่อนจะเหลือบมองเจ้าของห้องที่มองอยู่ เมี่ยงเบิกตาขึ้นตอนที่ได้ยินอย่างงั้น มันเดินเข้ามาใกล้กัน อย่างตั้งท่าเถียง

“ กูไม่ได้ไล่สักหน่อยไอ้สัด ”

“ ก็เมื่อกี้มึงบอก ไปเอาแมวมึงลงมาแล้วก็กลับห้องมึงไปได้แล้วไป ” คนฟังที่ได้แต่อ้าปากค้าง เมี่ยงมองหน้าแมวตัวเองสลับกับผม คล้ายกับจะบอกว่า อย่าเข้าใจผิดไปหมดแล้ว เพราะในใจจริงๆมันไม่ได้หมายความอะไรแบบนั้นเลย

“ ไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้นนะเว้ย ” มันเบิกตาบอกแมวตัวเองที่ก็จ้องมองกันด้วยสายตาหาเรื่องอยู่ไม่น้อย “ ก็เค้ามีบ้าน เค้าก็ต้องกลับบ้านเปล่าวะ มึงจะมาทำหน้าไม่พอใจใส่กูแบบนี้มันได้เหรอ ห๊ะๆ ”

เดินเข้ามาหาเรื่องแมวตัวเองราวกับเป็นพวกเดียวกัน มือขาวขยี้หัวไอ้นายท่าน ที่ก็พยายามงับเจ้านายตัวเองเช่นกันอย่างไม่ยอมแพ้ ดูแทบไม่ออกเลยว่าจริงๆ คนเลี้ยงแมว หรือแมวเลี้ยงแมว ผมหลุดยิ้ม

“ ยิ้มอะไร ” มือที่เล่นกับไอ้นายท่านนั้นหยุดลง เมี่ยงหันมามองหน้ากัน “ มึงคิดว่าพอกูใจอ่อนแล้ว กูจะตกลงกับสิ่งที่มึงพูด หรือว่าต้องการเหรอ ไอ้คำพูดที่มึงพูดออกมาแบบสวยๆ แต่สุดท้ายก็คือ ให้กูอยู่เป็นตัวสำรอง ”

“ ดูถูกหัวใจกูอะไรขนาดนั้น ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลย แล้วก็ไม่ได้คิดว่าจะเอามึงมาเป็นตัวสำรองอะไรด้วย ” ผมหันไปบอก “ กูรู้แล้วว่ากูควรอยู่จุดไหน แล้วก็รู้แล้ว ว่าระหว่างเรา ตัวกูต้องทำตัวยังไง ”

“ แล้วต้องทำตัวยังไง ” มันถามแบบอยากรู้ ผมก็แค่ยกยิ้ม ก่อนจะดึงตัวเองเข้าไปใกล้ สายตาที่เราสบกันในตอนนั้น ผมมองเมี่ยงอย่างจริงจัง

“ ไม่บอก ”

“ ไอ้สัด ” อีกฝ่ายสถบออกมาแบบนั้นอย่างอดไม่ได้ ผมหันไปยิ้มให้กับเจ้าก้อนขนของตัวเองก่อนจะสอดมือเข้าไปอุ้มใต้พุงกลมแล้วดึงเข้ามาแนบตัว แต่ถึงอย่างงั้นแก้มหอมก็ยังขืนตัวแบบไม่อยากกลับเท่าไหร่ มันงับมือผมเบาๆให้ปล่อยกันลง

“ กลับบ้านกันค่ะแก้มหอม ไม่ดื้อกับป๊านะคะ ”

“ เออ กลับไปเลยไป ” เมี่ยงพูดด้วยสีหน้าหงุดหงิด ก่อนที่ผมจะหันไปมองไอ้ตัวลายแล้วฟ้องมัน

“ เห็นมั้ย พ่อมึงไล่พวกกู ไม่ใช่ว่าพวกกูไม่อยากจะอยู่นะ แต่กูอยู่ไม่ได้ต่างหาก ”

“ ม๊าววว ” เสียงครางเบาๆแบบขัดใจใส่เจ้าของ ที่ก็เท้าสะเอวเตรียมสู้กลับทันที เมี่ยงมันถอนหายใจใส่แมวตัวเอง

“ ม๊าวๆ มาม๊าวอะไร คนเค้ากลับบ้านเค้าอะ อย่ามาไม่พอใจนะเว้ย ”

หันหลังเดินกลับมาที่ประตูด้วยรอยยิ้ม คนบางคนทำให้อยากจะบ้าจริงๆ ผมยิ้มแบบที่ไม่รู้ว่าจะยิ้มยังไง ยิ้มจนต้องตั้งคำถามว่ามันต้องเติบโตมาแบบไหน  ทำไมถึงได้นิสัยน่ารักชิบหาย และเหมือนจะไม่มีอะไรมาล้มล้างได้เลยขนาดนี้

“ อ้อ ลืมบอก ” หยุดที่ประตูในตอนที่จะเดินออกไป ผมเอียงหน้ามองเจ้าของคนที่ตั้งหน้าตั้งตาเถียงกับแมวตัวเองอยู่แบบนั้น เมี่ยงมันหันมามองผม

“ อะไร ”

“ ก็ที่เมื่อกี้มึงถามไง ว่ากูยิ้มทำไม ” อีกฝ่ายเลิกคิ้ว ในตอนนั้นผมยิ้ม “ แค่เพราะมึงน่ารักมากๆ กูก็เลยยิ้ม ไม่มีอะไรมากหรอก ”   

“ K ” เสียงสบถนั้นไล่มาตามหลัง “ อย่าคิดว่ากูจะใจเต้นแรงกับคำพูดที่มึงพูดนะเว้ย ไม่ได้รู้สึกอะไรสักนิด บอกไว้เลย ”

“ กูเองก็แค่อยากบอก อยากให้มึงรู้ไว้ ว่าชอบ เผื่อมึงจะลืมแล้วไปน่ารักเรี่ยราดใส่คนอื่นไง ” ปิดประตูห้องของอีกฝ่ายลง ผมไม่ได้ยืนมองใบหน้าหงุดหงิดที่พยายามจะเถียงอะไรออกมาสักคำแต่สมองนิ่งไปอย่างไม่สั่งการ และหลงเหลือไว้เพียงใบหน้าน่ารักที่ก็เหวออยู่อย่างงั้น

.............................................


ดึงกุญแจที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา ผมไขประตูห้องของตัวเองพลางก้มลงไปหอมเจ้าตัวนุ่มที่ก็ยื่นเท้าหน้าขึ้นมาผลักไว้ราวกับรังเกียจ แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ยังน่ารักมากกว่าอยู่ดี “ รังเกียจป๊าเหรอคะ หอมหน่อยไมได้เหรอ ป๊ารักหนูนะแก้มหอม ”

“ เมี๊ยว ” ร้องเสียงเบาๆบอกกันแบบนั้น ผมส่ายหน้าไปบนขนนุ่มสีขาวที่ยังคงมีเสียงครางขัดใจตามออกมาแบบเล็กๆ  ห้องถูกปลดล็อค ในตอนที่เดินเข้ามาเจ้าตัวขนก็กระโดดลงไปจากตัวทันที แก้มหอมตรงไปที่น้ำพุของตัวเองก่อนจะก้มลงกินมันอยู่นาน


ครืน ครืน ครืน

สายโทรศัพท์สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงตอนที่ผมกำลังเกี่ยวพวงกุญแจสำรองไว้กับกุญแจรถเพื่อไม่ให้ลืมว่าต้องเอาไปไว้ในจุดเดิม หน้าจอมือถือที่ชวนให้ขมวดคิ้วในตอนที่ดึงขึ้นมาดู สายโทรเข้านั้นเป็นเบอร์ของดีน ที่โทรเข้ามา

“ เห้อ “ อดไม่ได้ที่จะผ่อนลมหายใจออกมาในตอนที่เห็นอย่างงั้น เพราะรู้ตั้งแต่ยังไม่ได้กดรับด้วยซ้ำ ว่าอีกฝ่ายจะพูดเรื่องอะไร

“ ว่าไง ” ตอบกลับปลายสายไปในตอนที่กดรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เหมือนคนฟังจะแค่เงียบไป ผมได้ยินเสียงถอนหายใจของดีนตอบกลับมา

“ ขอบคุณที่ยังรับกูสายกูนะไอ้สัด ”

“ ขอโทษ ” ตอบกลับไปแค่นั้น ดีนก็ได้แต่เงียบ “ กูลืมโทรกลับ พอดีช่วงนี้ยุ่งๆ ”

“ ไม่ใช่โกรธกู จนไม่อยากจะโทรกลับ แล้วตอนนี้ก็คือ มันยื้อไม่ไหวแล้วเหรอวะ ถึงจำใจต้องรับ ” ถ้อยเสียงประชดว่าอย่างงั้น “ หรือว่าไอ้โฮมโทรมาเล่าอะไรมึง จนทำให้มึงต้องรับสายกู แบบที่ช่วยไม่ได้แล้ว ”

“ ดีน กูไม่ได้โกรธมึง ไม่ได้งอน ไม่ได้อะไรทั้งนั้น ”

“ แล้วทำไมมึงไม่โทรกลับ ทำไมมึงไม่รับสาย ” มันว่าแบบนั้นอย่างใส่อารมณ์ “ มึงไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะ ปกติถ้ากูโทรไปหา มึงก็ต้องโทรกลับ มึงไม่เคยปล่อยสายที่ไม่ได้รับของกูไว้ข้ามวันแบบนี้เปล่าวะ แล้วยังบอกว่า ไม่ได้งอนกู ทั้งๆที่มึงก็เป็นแบบนี้ หลังจากวันเกิดกูที่เราทะเลาะกัน ”

“ ดีน ” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงเรียบ “ จะพูดครั้งสุดท้าย จะเชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่ กูไม่ได้โกรธมึง ไม่ได้งอน โอเคนะ ”

“ แล้วทำไมมึงทำตัวห่างเหินกูแบบนี้ มึงตอบได้มั้ยละ ” ปลายสายที่ยังคงรั้น “ มึงไม่เคยเป็นแบบนี้นะ ”

“ ดีน ”

“ อะไร ”

“ ตอนนี้กูมีคนที่ชอบอยู่คนนึง แล้วที่กูไม่ได้ใส่ใจมึง มันไม่ได้เป็นเพราะกูโกรธ หรืองอนมึง กูแค่สนใจคนที่กูชอบมากกว่ามึง คนที่กูเคยชอบ เข้าใจมั้ย ”

สุดท้ายก็ตัดสินใจบอกอีกฝ่ายไปตรงๆ ผมถอนหายใจออกมาทั้งๆที่คิดไว้ว่าจะไม่บอก เพราะไม่อยากจะให้มันถามว่าใคร จนเป็นต้นเหตุให้สาวทางหรือจับสังเกตได้ว่า คนที่ผมรู้สึกดีด้วยตอนนี้ก็คือ เมี่ยง

อริเบอร์สองของมัน ที่มันเองก็โคตรจะเกลียดในความยียวนกวนประสาทของอีกฝ่าย และที่สำคัญเลย ก็คือ ผมไม่อยากจะให้เมี่ยงต้องมาโดนพูดจาไม่ดีใส่ หรือทำให้หงุดหงิด ด้วยนิสัยเด็กๆที่ไม่ทางยอมลงให้แน่ๆของดีน

“ ดีน ” เรียกอีกฝ่ายในตอนที่เห็นว่ามันเงียบไปนาน

“ สาวคนไหนอีกละ ” มันถามแบบไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ “ แล้วเมื่อไหร่จะแนะนำให้กูรู้จัก ”

“ ไว้ให้อะไรๆ มันแน่ชัดกว่านี้ กูจะพาไปแนะนำให้มึงรู้จัก ”

“ หมายความว่าไงวะ อะไรที่มันแน่ชัดอย่างที่มึงว่า ”

“ ความรู้สึกกูไง ” ผมบอกยิ้มๆ “ กูเลิกชอบมึงได้หมดใจเมื่อไหร่ กูจะพามันไปแนะนำให้มึงรู้จักทันทีเลย ”

“ ปัญญาอ่อน ” ปลายสายว่าอย่างงั้น ดีนยิ้ม “ งั้นก็คงไม่ได้แนะนำให้กูรู้จักแล้วละ บอกมาเลยดีกว่า ว่าใคร สาวคณะไหนอีกไอ้ห่า ไม่ต้องมาลีลา ”

“ บริหาร ” บอกไปแบบนั้น “ แต่คราวนี้ไม่ใช่สาวนะ เค้าเป็นผู้ชาย ”

“ เปลี่ยนแนวเหรอวะ ”

“ เปลี่ยนแนวเหี้ยอะไร ” สวนกลับไปพลางขมวดคิ้ว “ มึงเป็นผู้หญิงเหรอไอ้สัด ”

“ ก็เปล่า แต่ปกติมึงชอบคบผู้หญิงมากกว่า  ถ้าจะคบเล่นๆขั้นเวลาแบบนี้ ”

“ ดีน ” ผมเรียกอีกฝ่าย “ กูไม่เคยคบกับผู้หญิงคนไหนเล่นๆ แล้วก็เอาเค้ามาขั้นเวลารอมึงมารักอย่างที่มึงเข้าใจนะ ” กลายเป็นปลายสายที่เงียบไปบ้าง ในตอนที่ผมพูดแบบนั้น “ กูคบทุกคน กูจริงจังกับเค้า แต่ที่กูต้องเลิก เพราะว่ากูรู้ดี ว่าถึงจะคบเค้าต่อไป กูก็ไม่ได้รักเค้า กูยังรักมึง กูเลยไม่อยากให้เค้าต้องมาเสียเวลากับคนกู เข้าใจไว้ด้วย ”

“ ก็ไม่เห็นต้องจริงจังขนาดนั้นเลยไอ้สัด ”

“ อย่าดูถูกกูขนาดนั้นดีน ” สูดลมหายใจเข้าปอดในตอนที่พูด ผมผ่อนมันออกมา “ การที่กูไปไหนจากมึงไม่ได้ แม้ว่าจะคบใครสักกี่คน ไม่ได้หมายความว่า กูแค่ชอบเค้าเพราะอยากจะประชดมึง หรือเอาเค้ามาขั้นเวลา กูแค่ไม่อยากจะรักมึงแล้ว  และอยากจากชีวิตที่มันรักแค่มึงต่างหาก ”

“ แล้วคิดว่าคนนี้เป็นยังไง ” มันถามเสียงเรียบ “ คนที่มึงวุ่นวายกับเค้าจนไม่ได้รับสายกู ไม่โทรกลับ คิดว่ามันจะจบเหมือนเดิมมั้ย ”

“ ไว้รอดูแล้วกัน ” ตอบออกไปแค่นั้น ปลายสายก็เงียบไปสักพัก

“ จะเที่ยงแล้ว มึงกินอะไรยัง ไปหาอะไรกินกันมั้ย ” เงยหน้ามองนาฬิกาที่แขวนอยู่กับฝาผนังในห้องเหนือโซฟาตัวที่ตอนนี้เจ้าแก้มหอมขึ้นไปนอนเหยียดยาว ตอนที่ได้ฟังประโยคนั้น

“ ขี้เกียจ ” บอกปัดไปแค่นั้น แต่อีกฝ่ายก็เหมือนจะไม่ยอมแพ้ ดีนคงอยากจะเจอกันให้ได้

“ งั้นเดี๋ยวกูไปหา มึงอยู่ที่คอนโดใช่มั้ย ”

“ กูออกไปเองแล้วกัน จะไปกินที่ไหน ” รีบบอกออกไปแบบนั้น ปลายสายก็นิ่ง “ ว่าไง ”

“ ไหนบอกขี้เกียจ แต่พอกูจะไปหา ขยันขึ้นมาทันทีเลยนะไอ้สัด ” ดีนว่ายิ้มๆ “ ทำไม รังเกียจกูขนาดนั้นเลย หรือว่า มึงแอบซุกใครไว้ในห้อง ”

“ จะซุกใครไว้ละไอ้สัด ” ผมบอกปัดก่อนจะเหลือบมองไปข้างห้อง

ปัญหาคือไม่ได้ซุกหรอกแต่ถ้าดีนมาแล้วเจอเข้ากับเมี่ยง ผมคิดว่ามันน่าจะชิบหายกว่าเดิม เพราะไม่ใช่แค่เรื่องที่ผมชอบเมี่ยง แต่มันคือเรื่องของ นาเดีย อดีตคนรักเก่าของอีกฝ่ายที่แม้แต่ตอนนี้ยังเป็นชนวนให้ทั้งมันทั้งไอ้เบสทะเลาะกัน แล้วถ้ามันรู้ว่า สุดท้าย ไอ้เมี่ยงได้เธอไป ทั้งไอ้เบสไอ้ดีน อาจจะเบนเข็มมาหาเรื่องมันก็ได้   

เพราะแค่ถามว่า ทำไมไม่บอกว่าเมี่ยงอยู่ข้างๆห้องผม มันก็ดูไม่มีประตูไหนเลยที่พอปฎิเสธแล้ว จะฟังดูเข้าท่า สำหรับเหตุผลที่ผมปกป้องเมี่ยงไว้ 

“ ก็ใครจะไปรู้ บางทีมึงอาจจะซุกคนที่ตอนนี้มึงบอกว่ากำลังสนใจอยู่ก็ได้ ”

“ ไร้สาระ ” ผมบอกปัด

“ งั้นกูจะไปนะ คิดถึงแก้มหอมด้วย จะไปเล่นกันมันหน่อย ” หันไปมองเจ้าตัวขนนุ่มที่ปลายสายพูดถึง “ มึงจะกินอะไร ให้กูซื้อเข้าไปหรือว่าจะทำให้กูกิน ”

“ มึงซื้อมาแล้วกัน ” ถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะบอกปัดยังไง ก็เลยได้แต่ถ่วงเวลาไว้ก่อน

“ แล้วจะกินอะไร ข้าวหน้าเนื้อได้มั้ย ”

“ ก็ได้นะ ”

“ ในห้องมีเบียร์ใช่มั้ย กูจะได้ไม่ต้องซื้อไป ” เดินไปที่ตู้เย็นในตอนที่อีกคนถาม ผมเปิดมันออกก่อนจะพยักหน้ารับ

“ มีประมานโหลนึงได้มั้ง ”

“ โอเค เจอกันนะ แล้วก็... ” ปลายสายเว้นเสียงยิ้มๆ “ ถ้าซุกใครไว้ ก็อย่าลืมเอาไปซ่อนนะครับ เอามันไปให้ไกลๆเลยก็ดี ”

“ ก็บอกว่าไม่มีไงไอ้สัด ” ถอนหายใจออกมาในตอนที่พูดย้ำอย่างงั้น ดีนก็เอาแต่หัวเราะ

“ เหมือนในหัวใจมึงนั่นแหละ ไม่ว่าจะพยายามยังไง สุดท้ายก็มีแค่กู จำไว้ ”

สายโทรศัพท์นั้นถูกวางลงก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรกลับไป ดีนก็ยังคงเป็นดีน ที่มีความมั่นใจสูงให้กับหัวใจของผมว่ายังคงรู้สึกกับมันอย่างมั่นคงไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าไหร่ หรือไม่ว่าจะพบเจอใครก็จะไม่เปลี่ยนแปลง

ก็อย่างที่ไอ้โฮมบอก ผมรักดีนมานานเกินไปแล้ว มันนานจนผมกลายเป็นแค่คนโง่คนนึงที่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะสั่งให้รู้สึกยังไง ก็จะรู้สึกมันไปอย่างงั้น จะขวาก็ขวา จะซ้ายก็ซ้าย เป็นไปตามคำสั่ง อย่างคนคนนึงที่รักใครสักคนหมดหัวใจ

“ ก็คือไอ้โง่คนนึงนั่นแหละ ” พูดแบบนั้น ก่อนจะคว้ามือถือขึ้นมาอีกครั้ง ผมกดโทรออกไปหาคนที่อยู่ข้างกัน หลังจากที่สะบัดความไร้สาระที่คิดอยู่ในหัวออกไป

เสียงรอสายดังอยู่ไม่นานนั้น เมี่ยงกดรับ พร้อมด้วยเสียงงัวเงียที่คล้ายกับว่าเพิ่งตื่น “ ว่าไง ”

“ หลับอยู่ ? ” ถามออกไป เสียงครางเบาๆก็ดังขึ้นเป็นคำตอบ

“ อื้อออ ”

“ ดีนจะมาหากูที่นี่นะ ” ผมบอกก่อนจะยกยิ้ม ในตอนนั้นปลายสายก็สบถออกมา

“ เหี้ย ”

“ เพราะงั้นถ้ามึงอยากจะให้ความลับแตก ว่ามึงเป็นเพื่อนบ้านกู แถมยังเป็นแฟนเก่าคุณนาเดีย ก็เชิญมาห้องกูได้ มันคงถึงภายในสามสิบนาทีนี้แหละ แต่ถ้ามึงไม่อยากจะให้ความลับแตก ก็อย่าส่งเสียงจนมันมีพิรุธ เข้าใจมั้ย ”

“ แล้วมันจะมาภายในสามสิบนาทีนี้เหรอ แต่กูยังไม่ได้กินอะไรเลยนะ กูคิดว่าจะสั่งข้าวกินอะ แล้วแบบนั้นถ้าคนส่งข้าวมา มึงจะให้กูออกไปเอายังไง ถ้าออกไปแล้วเจอมันละ  ”

“ ก็ออกไปที่ระเบียงแล้วให้เค้าโยนขึ้นมาให้จากด้านล่างสิ ” ผมบอกแบบทีเล่นทีจริง อย่างแกล้งเย้าอีกฝ่าย “ แล้วก่อนที่จะโยนก็ให้เค้าพูดด้วยว่า รับน้า ”

“ รับน้า พ่อมึงสิไอ้สัด ” หลุดหัวเราะออกมาเสียงดังกับประโยคหัวเสียนั่น เมี่ยงก็ยังเป็นเมี่ยง คนที่ตื่นเต้นตกใจเกินเบอร์กับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นใหญ่หรือเล็ก “ มึงงง ไม่เล่น ช่วยคิดหน่อย ทำไงดี ”

“ ทำไมกูต้องช่วยคนที่เมื่อเช้าเทโจ๊กกูลงถังขยะ ทั้งๆที่กูตื่นขึ้นมาหั่นหมูให้ตั้งแต่ตีห้า ”

“ ก็ตอนนั้นมัน...” ปลายสายเงียบไป มันคงกำลังคิดถึงเหตุผลสักข้อที่พูดออกมาให้ฟังแล้วผมจะไม่ถือโทษโกรธมัน หนำซ้ำต้องเป็นอะไรที่ดูน่าเห็นใจสักหน่อย เพื่อที่ว่า ผมจะได้ช่วยมันคิด “ ก็ตอนนั้นกูต้องเข้มแข็งไง กูก็ต้องปกป้องหัวใจตัวเองเปล่าวะ ไม่งั้นมึงก็ไม่ถอยอะอาร์ม ”

หลุดยิ้มกว้างออกมากับเสียงติดงอแงของอีกฝ่าย ผมเผลอคิดใบหน้าของคนข้างห้องที่ก็คงขมวดคิ้ว แล้วทำปากแบะน้อยๆตามนิสัย นิ้วเล็กๆของมันคงเขี่ยไปตามผ้าห่มอย่างไม่รู้จะเอาไปตั้งตรงไหน ในตอนที่อ้างอะไรแบบนั้นออกมา

“ ห้องกูมีมาม่า เอาไปแดกก่อนมั้ย ”

“ อยากกินข้าว ”

“ ช่วงเวลาแบบนี้ยังเรื่องมากได้อีกนะมึงน่ะ ” ผมว่า

“ อยากกินข้าวหน้าเนื้อของ โยชิโนยะ แล้วก็โป๊ะไข่ออนเซ็น ”

 “ ไอ้ดีนจะซื้อมาให้กูพอดี เอามั้ย เดี๋ยวสั่งให้ ”

“ K ได้ที่ไหนละ ” เมี่ยงบอก “ แบบนี้ได้มั้ย กูจะสั่งตอนที่ดีนถึงที่ห้องมึงแล้ว แล้วพอเค้ามาส่งกู มึงก็รั้งดีนไว้ให้อยู่ในห้องของมึง ส่วนกูก็จะวิ่งจู๊ดลงไปเอาข้าวแล้วก็กลับขึ้นมา หลังจากนั้นมึงก็ปล่อยดีนได้เลย กูจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ”

“ แล้วถ้ากูทำตามที่มึงขอ กูจะได้อะไร ” ผมถามกลับ “ ดูหนังด้วยกันสักเรื่องได้มั้ย แบบว่ากินมื้อเย็นด้วยกัน ดูหนังสักเรื่อง ”

“ ทำให้ด้วยใจไม่ได้เหรอสัด คนที่มึงชอบกำลังตกที่นั่งลำบากเลยนะ ”  ได้แต่ยิ้มออกมากับคำพูดนั้นของอีกฝ่าย เมี่ยงมันถอนหายใจ “ ทำไมไม่ช่วยเหลือ”

“ รู้ครับ แต่ผมก็อยากอยู่ใกล้ๆคุณไง ขอหน่อยไม่ได้เหรอ ” ผมพูดเสียงอ้อนอีกฝ่าย “ มึงบอกไม่อยากจะให้กูเข้าไปใกล้ กูก็จะไม่เข้าไปถ้าไม่ขอมึงก่อน โอเคมั้ย มึงจะได้ไม่ต้องอึดอัด ”

“ งั้นให้เลือกอย่างเดียว ” ปลายว่าแบบนั้น “ มึงจะเอากินข้าวเย็น หรือว่าจะดูหนัง เลือกมาสักอย่าง ”

“ ดูหนังแล้วกัน ”

“ โอเค ดีล ” เมี่ยงว่างั้น ผมก็หลุดหัวเราะ “ เพราะงั้นเรามาช่วยกัน มึงห้ามให้ดีนรู้ว่ากูอยู่ข้างๆห้องมึง โอเคนะ ”

“ อื้ม ”

“ แล้วก็ถ้าดีนถึงห้องมึงแล้ว มึงก็ส่งข้อความมาบอกกูด้วย กูจะได้โทรสั่งข้าว แล้วพอคนส่งมาส่ง กูก็จะส่งข้อความไปบอกกมึงเหมือนกัน มึงจะได้รั้งไอ้ดีนไว้อยู่แต่ในห้อง ห้ามให้มันออกมาเพ่นพ่าน ”

“ ครับผม รู้แล้วครับ ” ตอบรับแบบลากเสียง แต่เหมือนคู่สนทนาจะแค่เงียบไป ก่อนที่จะเอ่ยถาม

“ แล้วนั่นกินข้าวยัง ”

“ ยัง ”

“ รอกินพร้อมดีนเหรอ ”

“ อื้ม ” ตอบกลับไป แต่ปลายสายนั้นก็เงียบไปอีกครั้ง “ ทำไมอะ เป็นห่วงเหรอ ”

“ ถามไปงั้นๆแหละไอ้สัด ไม่รู้จะพูดอะไร ”

“ อยากชวนคุย ? ” ผมเย้า

“ ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละสัด  แค่นี้แหละ ไม่คุยด้วยแล้ว ” มันว่าติดงอนก่อนจะวางสายกันไปแบบดื้อๆ เสียอย่างงั้น ส่วนผมก็ได้แต่ดึงมือถือออกจากหู มองดูหน้าจอที่เพิ่งวางไปด้วยรอยยิ้มก่อนจะถอนหายใจออกมา มันเหมือนความน่ารักถูกอัดเข้ามาในอก มันหยุดยิ้มไม่ได้ แค่เพราะคิดถึงสีหน้าที่ท่าทางจะงอง้ำน่าดู อย่างงั้น

“ น่ารักไอ้สัด ”

................................................................


ครืน ครืน ครืน

เสียงโทรศัพท์ลั่นเบาๆอยู่ตรงโต๊ะตรงหน้าโซฟาตัวที่กำลังนั่ง เจ้าแก้มหอมที่กำลังเบียดตัวเองกับขา ผมชะงักมือที่กำลังเกาคอให้อีกฝ่ายลงก่อนจะดึงตัวเองไปดูแจ้งเตือนบนหน้าจอ ที่ก็ฉายชื่อของคนที่บอกว่าจะมาหากัน

Deen:
ถึงแล้วนะ
ขอรหัสเข้าตึกด้วย

Arm:
เดี๋ยวส่งเข้าไปให้ในข้อความ

Deen:
โอเค


ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้นหลังจากที่ผมส่งรหัสเข้าไปในเครื่องของคนมาถึงไม่นานเท่าไหร่ ตอนที่ประตูเปิดออกถุงของข้าวหน้าเนื้อนั้นก็ถูกชูขึ้นตรงหน้า ดีนยิ้มกว้างพร้อมด้วยแววตาสดใสในแบบที่ผมชอบที่สุด

“ หิวยัง ” มันถาม “ ในห้างคนเยอะชิบหาย กว่ากูจะได้ที่จอด กว่าจะได้เข้าไปซื้อ ”

“ ยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ ” บอกแบบนั้นก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบถุงที่อีกฝ่ายถืออยู่มาถือเอง ผมเดินเอามันไปวางที่โต๊ะ ในตอนนั้นดีนก็เดินเข้าไปหาแก้มหอมที่ก็ยังคงนอนอยู่ที่เดิม ตรงโซฟาตัวที่ที่ผมนั่งดูทีวีเมื่อครู่ เป็นจังหวะเหมาะสมพอดี ที่ผมดึงมือถือขึ้นมาจากในกระเป๋า แล้วกดส่งข้อความไปหาคนที่ก็สั่งกันไว้ ให้ช่วยปกป้องกันหน่อย

‘ ดีนถึงแล้วนะ ’ ส่งข้อความสั้นๆนั้นไปหาเมี่ยง ก่อนที่อีกฝ่ายจะส่งสติกเกอร์ไลน์แทนความรู้สึกมาให้กัน มันเป็นภาพตัวมูนสีขาวที่กำลังดึงขอบตาล่างลง ท่าทางดูคล้ายหวั่นวิตกนั้น ชวนให้ผมหลุดยิ้ม ‘ มึงก็สั่งข้าวกินซะ เดี๋ยวปวดท้อง ’

“ ยิ้มอะไร ”

“ เปล่า ” เงยหน้าตอบคนถามไปแบบนั้น ผมยัดมือถือใส่ลงในกระเป๋ากางเกง พลางมองอีกฝ่ายที่ก็มองกันอย่างจับผิด

“ คุยกับเค้าคนนั้นเหรอ ” ดีนถามผม “ คนที่มึงบอกว่า กำลังชอบอยู่ ”

“ อื้ม ” ผมตอบรับอีกคนอย่างตรงไปตรงมา แต่คนฟังก็ไม่ได้พูดตอบอะไร ดีนแค่หันหน้าไปหาแก้มหอม ก่อนจะลูบหัวอีกฝ่ายยิ้มๆ

“ ประชดกูใหญ่แล้วนะ พ่อมึงอะ ”

“ จะกินข้าวเลยมั้ย ” เดินเข้าไปในครัวอย่างไม่ได้รอฟังคำตอบอะไรจากปากของอีกฝ่าย ผมหยิบเอาถ้วยใส่ข้าวขึ้นมา พร้อมกับช้อนส้อม ก่อนจะเดินตรงมาที่โต๊ะแล้วหันไปมองอีกฝ่ายที่ก็พยักหน้ารับก่อนจะเดินมาหยิบถ้วยที่วางไว้ ผมตีมือมัน

“ โอ๊ย แล้วจะมาตีกูทำไมเนี้ย ”

“ ไปล้างมือ จับแมวมา มึงจะมาจับถ้วยแดกข้าวได้ไง ”

“ นั่นลูกของเรานะ ” ดีนชี้ไปที่แก้มหอมพลางเบิกตาขึ้นถามย้ำกับผม “ ลูกสาวของเราที่ป๊าอาร์มรักมากไง ”

“ ไปล้างมือ ” ผมย้ำ

“ คร้าบบบบบบบบบบบบบ ” เสียงลากยาวที่เดินเข้าไปในครัว ผมจัดข้าวใส่จาน ก่อนจะลากเก้าอี้ออกแล้วนั่งลงกินข้าวที่โต๊ะ แต่ทว่ายังไม่ทันได้ตักคำแรก คนที่ล้างมือเสร็จก็คว้าเอาถ้วยข้าวของตัวเองขึ้นมาก่อนจะบอก “ ไปนั่งกินข้าวหน้าทีวีกันดีกว่า มันมีการ์ตูนเรื่องที่กูอยากดูอยู่ ดูด้วยกันนะ ”

“ แล้วเมื่อไหร่จะเลิกสักที ไอ้นิสัยแดกข้าวไป ดูทีวีไป เสียนิสัย ” ว่าแบบนั้นผมตักข้าวเข้าปากพลางเคี้ยว อย่างไม่สนใจอีกฝ่ายที่ก็กำลังมุ่งมั่นเหลือเกินกับการค้นหาการ์ตูนที่อยากดูระหว่างมื้ออาหาร

“ บ่นเป็นพ่อไปได้น่าไอ้สัด ยังไงเราก็ไม่มีลูกอยู่แล้ว ไอ้แก้มหอมมันก็ไม่เสียนิสัยตามเราหรอกน่า ”

“ ในอนาคตมึงอาจจะมีก็ได้ ถ้ามันไม่มีกูอยู่ในนั้น ” มือที่กดรีโมตอยู่นั้นชะงักไป “ ไม่ดีกว่าเหรอ ฝึกไว้จะได้ชิน ”   

ดีนไม่ได้ตอบรับ มันแค่นั่งลงตรงหน้าทีวีตรงนั้น พร้อมกับดูการ์ตูนเรื่องที่อยากจะดู ความอึดอัดเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบภายในห้องเรา ผมเองก็ทำได้แค่ตักข้าวตรงหน้าขึ้นกิน ก่อนจะหยิบมือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดู แล้วกดส่งข้อความไปหาคนที่ตอนนี้กำลังเป็นห่วง


Arm:
สั่งข้าวยัง

Mieng:
แล้วสิ
แต่ยังไม่มาส่งเลย


Arm:
มาแล้วก็บอก
ท่าทางไอ้ดีนเหมือนจะออกไปข้างนอก

Mieng:
เพ่นพ่านจังนะเพื่อนมึงน่ะ
ไม่ใส่สายจูงไว้หน่อยเหรอ
มึงไม่กลัวมันไปกัดใครเข้าเหรอไง

Arm:
ปากดีจังนะ
จนอยากรู้เลยว่า
ถ้าดีนเจอหน้ามึงจะปากดีแบบนี้มั้ย

Mieng:
ก็ลองดูได้


Arm:
แน่ใจ

Mieng:
ใช่ที่ไหนละไอ้สัด
อย่านะเว้ย

ไม่ต่างอะไรกับลูกแมวที่ถูกอุ้มโดนเจ้าของเลย เมี่ยงตอนนี้มันเหมือนอะไรแบบนั้น ลูกแมวที่ขู่ฟ่อๆกับศัตรูฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่มีกลัว เพราะเจ้าของอย่างผมอุ้มอยู่ และมันก็มั่นใจอย่างแน่นอนว่า ผมไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายมาทำอะไรมันแน่นอน 

ผมว่า บางทีนี่อาจจะเป็นแผนจริงๆของอีกฝ่ายก็ได้
แผนที่เข้ามาจีบผม ที่ก็สุดท้าย จะทำให้ผมรัก และต้องปกป้องมัน

“ ร้ายจริงๆเลยไอ้สัด ” พูดกับตัวเองแบบนั้นก่อนจะตักข้าวในจานขึ้นกิน  แต่ทว่าในระหว่างที่กำลังเคี้ยว เสียงร้องเรียกน่ารักก็เหมือนจะดังขึ้นมาจากฝั่งของระเบียง

“ เมี๊ยว ” ไม่ใช่เสียงของแก้มหอม ทั้งผมทั้งดีนหันไปมองเจ้าก้อนขนที่ก็นิ่งไปเช่นกัน ก่อนที่มันจะหันหน้าไปทางระเบียงแล้วกระโดดลงไปที่ประตู พลางใช้เท้าหน้าเริ่มออกแรงเขี่ยเบาๆ

“ ไอ้สัดนายท่าน ” ผมพูดกับตัวเอง ดีนมันก็หันมามอง

“ เมื่อกี้มึงได้ยินมั้ย เสียงแมวร้อง แต่ไม่ใช่เสียงของแก้มหอม ”

“ ได้ยิน ” แน่นอนว่าจะบอกว่าไม่ได้ยินก็คงจะไม่ได้ ผมทำทีเป็นไม่ใส่ใจหันมาตักข้าวในจานของตัวเองกินแต่ดีนก็เหมือนจะไม่หายสงสัย

“ มันดังมาจากไหนวะ ” พูดแบบนั้นก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูงไปที่ระเบียงที่ตรงที่เจ้าตัวแสบกำลังตะกายประตูอยากจะออกไปทักทายไอ้ตัวลายห้องข้างๆแบบสุดหัวใจ “ แก้มหอม จะออกไปเหรอ ”

“ เมี๊ยว เมี๊ยว เมี๊ยว ” คลอเคลียที่ขาของดีนแบบสุดฤทธิ์ ดีนก้มลงยิ้มก่อนจะทำทีเป็นเปิดให้อย่างใจดีแต่ผมเหมือนจะเร็วกว่า ที่ลุกจากที่นิ่งแล้วตรงไปดันประตูที่กำลังจะเปิดนั้นเอาไว้

“ อย่าเปิดนะ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะเหลือบมองคนข้างกันที่ก็ขมวดคิ้วงงไม่น้อย ไอ้แก้มหอมก็เช่นนั้นมันนั่งลงจุ้มปุ๊กแบบขัดใจ

“ ม๊าววว ”

“ ทำไม ปกติมันก็ออกไปได้นี่ ไหนมึงบอก ชอบให้มันได้ชมนกชมไม้ ไม่ชอบให้อยู่แบบอึดอัด ” คนสงสัยหันมาถามกัน ก่อนจะหลุดยิ้มออกมา ในตอนที่เอื้ออมือมาจับอะไรสักอย่างที่ติดอยู่บนปากผม “ มึงนี่นะ กินยังไง ”

เศษข้าวถูกดึงออกมา ก่อนที่นิ้วเล็กนั่นจะยัดมันใส่ปากกลับไปให้กัน ผมเคี้ยวมันไปตามระเบียบ แล้วจัดการล็อคประตู ปิดม่านนั่นลงในจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอ ผมก้มลงบอกเจ้าตัวดีที่เกือบจะทำให้แผนแตก

“ วันนี้เราไม่ออกไปข้างนอกนะคะแก้มหอม เล่นแค่ในห้องนะ ”

“ เมี๋ยวๆ เมี๊ยวๆ ” เจ้าตัวร้ายแสดงท่าทางเอาแต่ใจสุดๆ แก้มหอมมุดตัวเองเข้าไปในม่านอย่างไม่มียอม มันข่วนประตูอยู่แบบนั้น

“ ปล่อยมันไปก็ได้ มันจะมีอะไรวะ ข้างนอกนั่น ” ดันหันไปมองประตูอีกครั้ง มันที่ทำทีจะเอื้อมมือไปเปิดแต่ผมก็แค่กัน แบบที่จับมือมันแน่นแบบรั้งกันไว้

“ อย่าเปิด รั้วมันมีรูอยู่ เดี่ยวไอ้แก้มหอมมันมุดแล้วจะตกลงไป ” ผมว่า “ มึงอย่าไปเปิดให้มันเห็นน่าจะดีกว่า ปล่อยมันไปสักพักเดี๋ยวมันก็เงียบ ”

“ เหรอ ”

“ อื้ม ” ขานรับอีกฝ่าย มือที่ผมกุมจับห้ามไว้นั้น ค่อยๆเปลี่ยนมาจับมือผมไว้แทนบ้าง ดีนพลิกตัวมามองหน้ากัน แล้วตอนนั้นผมเพิ่งรู้ตัวว่า ท่าทางที่เรากำลังยืนเผชิญหน้ากันอยู่ตอนนี้ ค่อนข้างล่อแหลมมากเป็นพิเศษ 

ดีนที่อยู่วงแขนของผมที่กำลังค้ำประตูระเบียงเพื่อไม่ให้อีกคนเปิดออกไปได้ ที่ซึ่งตอนนี้อีกฝ่ายก็หันมาเผชิญหน้ากัน  สายตาเรียวชวนหลงใหลนั้นจ้องมองผม

“ นี่ ” เสียงเรียกเบาหวิวที่มาพร้อมกับริมฝีปากที่จูบลงบนริมฝีปากของผม ดีนกอดกันไว้ในตอนที่ผละริมฝีปากนั้นออก มันซบลงตรงไหล่และกระชับกอดไว้แน่น “ ไม่รู้ทำไม แต่ตอนนี้หัวใจกูตอนนี้ มันรู้สึกเจ็บมากเลยวะ มึงโกรธกูขนาดนั้นเลยเหรอ ”

“ ไม่ได้โกรธ ” ผมยังคงย้ำความรู้สึกเดิม พร้อมกับดึงมือตัวเองลงจากประตูระเบียงนั้น “ ปล่อยกูได้แล้วดีน จะกอดทำไม ”

“ มึงอย่าทำตัวเป็นเด็กๆแบบนี้ได้มั้ยวะ กูก็แค่พูดความจริง แล้วกูผิดตรงไหน ” ผมเหลือบมองคนที่ยังคงมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคิด “ กูยังไม่พร้อมที่จะคบกับมึง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะกูจะไม่คบกับมึงสักหน่อย ขอเวลากูหน่อยได้มั้ย กูยังสนุกกับชีวิตที่มันไม่มีอะไรมาผูกมัดแบบนี้มันก็เท่านั้นเอง ”

“ กูเคยว่ามึงเหรอ มึงจะทำตัวยังไง ” ผมถาม “ ไม่เคยว่าเลย จะทำตัวยังไงก็เรื่องของมึง แต่มึงมากกว่าหรือเปล่า ที่กำลังเดือดร้อน เพราะรู้ว่ากำลังมีใครสักคนที่ชอบอยู่ ถึงได้มาหาถึงเนี้ย ทั้งๆที่ปกติก็ไม่ค่อยชอบมา ”

“ ก็กูอยากให้มึงสนใจกูคนเดียว ” อีกฝ่ายพูดแบบนั้น สายตาเรียวนั้นสั่นไหวไปหมด แต่ผมก็แค่เงียบไป กับความเอาแต่ใจและเห็นแก่ตัวอย่างที่ไม่รู้ว่าต้องเอ่ยอะไรออกมา “ มึงจะสนใจคนอื่นก็ได้ จะชอบใครคนอื่นก็ได้ แต่ต้องสนใจกูที่สุดได้มั้ยวะ มึงรักกูที่สุดไม่ใช่เหรอ แล้วสุดท้ายก็ยังต้องเป็นกูไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมทำเป็นแบบนี้วะ แค่มึงงอนกู ถึงขั้นที่ต้องไปเอาคนอื่นมาสำคัญกว่ากูเลยเหรอ ”

“ กูไม่ใช่กระดูกของมึงดีน ” ผมพูดสั้นๆแค่นั้น ก่อนจะดึงมือที่กอดกันอยู่นั้นให้ห่างออกไป “ แล้วกูก็ไม่ใช่ของเล่น กูคือคนคนนึงที่รักมึง แล้วกูก็คือคนคนนึง ที่เมื่อมึงไม่รัก กูก็แค่ต้องรักตัวเอง ”

“ แล้วใครบอกว่าไม่รัก ” อีกฝ่ายเถียงผมก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะมองไปทางอื่นอย่างไม่รู้จะพูดอะไร เริ่มเข้าใจความรู้สึกของเมี่ยงขึ้นมาแล้ว ตอนที่ผมเอาแต่ความคิดตัวเองแล้วไม่ฟังอะไรเลย มันน่ารำคาญแบบนี้นี่เอง

“ กลับไปนั่งกินข้าวให้หมดไป กูจะได้ล้างถ้วย ” เชิดหน้าไปที่ถ้วยข้าวของอีกฝ่ายที่เหมือนว่าอีกฝ่ายยังกินเข้าไปแค่ไม่กี่คำ ผมเดินมาหยิบมือถือของตัวเองที่วางอยู่บนหน้าจอนั้นมีข้อความแจ้งเตือนมากมายจากเมี่ยง ทั้งขอโทษเรื่องที่ลืมเปิดระเบียง แล้วก็ล่าสุด คือเรื่องขอที่ให้ช่วยรั้งอีกฝ่ายหน่อย เพราะมันกำลังจะรับอาหารที่มาส่งที่ด้านล่าง

“ งั้นกูกลับละ ” ดีนว่าแบบนั้นพลางถอนหายใจออกมา ในตอนที่เห็นว่าผมเงียบไป “ อยู่ไปก็เกะกะสายตาเปล่าๆ ”

“ เดี๋ยว ” หันไปคว้าข้อมือของอีกคนเอาไว้ ผมเห็นดีนยิ้มเล็กๆกับการกระทำของผมที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยในความรู้สึกของมัน

ความสัมพันธ์ของเราก็เป็นแบบนี้มาตลอด ถ้าผมงอน ดีนก็จะง้อด้วยการมาหา แล้วถ้าไม่งอนหายงอนมันก็จะทำทีเป็นโกรธกันแล้วก็ขอตัวกลับ และสุดท้ายก็จะเป็นผมที่รั้งมันไว้ ไม่อยากให้มันกลับ

แต่ครั้งนี้ มันไม่ใช่อย่างงั้น ผมไมได้รู้สึกอะไรอย่างงั้น
แต่ผมแค่ต้องรั้งมัน เพื่อถ่วงเวลาไว้ก่อน

“ ทำไม ” มันหันมาถามแบบที่เก็บรอยยิ้มอารมณ์ดีนั้นไว้ไม่อยู่

“ ถ้าไม่กินแล้ว ก็ล้างถ้วยก่อน ” เชิดหน้าไปที่ถ้วยของอีกฝ่ายที่ยังคงตั้งกองไว้อย่างงั้นที่หน้าทีวี “ กูไม่ใช่คนใช้บ้านมึง ที่จะคอยตามเก็บให้ ”

“ ไอ้สัด ” อีกฝ่ายถอนหายใจพลางหันไปมองทางอื่น ส่วนผมที่จ้องหน้ามันนิ่งๆ

ในสมองที่ก็เอาแต่คิดว่าจะทำยังไงดี ถ้าอีกฝ่ายยังดึงดันที่จะเดินออกไป เพราะตราบใดที่ยังไม่มีเสียงเตือนจากข้อความของเมี่ยง ก็เหมือนว่าจะปล่อยดีนไปไหนไม่ได้เลย ไม่งั้นเมี่ยงก็เสี่ยงโดนจับได้

“ จัดการด้วยนะ แล้วก็ล้างให้มันสะอาดๆ ” ผมย้ำ

“ พูดมากจังนะไอ้สัด ” มือขาวยกขึ้นแนบแก้มกัน ก่อนจะโดนดึงลงไปให้ริมฝีปากของเรานั้นแนบสนิทกัน

ดีนจูบผมที่ก็ได้แต่นิ่งไปทั้งอย่างงั้น จูบที่ย้ำซ้ำแบบซ้ำเล่า มาพร้อมกับมือที่เลื่อนมากอดคอกันไว้ ริมฝีปากสวยไล่ออกไปที่ข้างแก้ม คาง ก่อนจะวนกลับมาจูบซ้ำย้ำอีกครั้งที่ริมฝีปาก จูบที่ค่อยๆผ่อนแรงหายใจลงช้าๆ ด้วยความรู้สึกอ่อนใจ และอ่อนแรง   

“ จะรั้งกูหน่อยก็ไม่ได้เหรอ ” เสียงเรียบที่เอ่ยบอกแบบนั้นพร้อมกับแววตาที่จ้องมองกัน มันคงต่างจากทุกทีที่ที่ผมจะตอบรับ แต่ทว่าตอนนี้กลับแค่นิ่งไป ผมไม่ได้เอ่ยขอร้องให้มันอยู่ด้วยกันอีก ผมไม่ได้ทำอะ หรือพูดอะไรอีก ที่ขอให้มันอยู่ด้วยกันตรงนี้ อย่างที่เคยทำมาตลอด “พูดเหมือนอย่างที่เคยพูดหน่อยก็ไม่ได้เหรอ ”

“ แล้วจะให้พูดอะไร ”

“ ไม่ว่ายังไงมึงก็จะไม่ทิ้งกูไปไหนไง  คำที่มึงชอบพูด ว่าไม่ว่ายังไงมึงก็ยังรอกูเสมอ ไม่ว่ายังไง มึงจะรักกูตลอดไป ” คนตรงหน้าก้มหน้าลง ดีนซบลงกับอกผมที่ไม่แม้แจะกอดอีกฝ่ายไว้ “ ทำไมมันเหมือนมึงจะทิ้งกูไปจริงๆเลยวะ ทำไมมันเหมือนมึงจะไม่รักกูแล้วเลย ”

“ เพราะมันอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้วไง ” ผมบอกเสียงเรียบ “ กูถึงไม่พูดมันออกมา คำที่ว่า ไม่ว่ายังไงก็จะรักและรอมึงไปตลอด ”


.........................................................

ชอบตอนนี้มาก อย่างไม่มีเงื่อนไขใด
ขอโทษที่ช้ามาหนึ่งวัน หนมกำลังมีความคิดจะเปลี่ยนวันอัพนิยายมาวันเสาร์
แต่ขอพยายามอีก หนึ่งอาทิตย์ ถ้าอาทิตย์หน้ายังช้าแบบนี้ อาจจะคิดจริงๆ เปลี่ยนวันอัพมาวันเสาร์
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ในทวิตด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์ค่ะ
หนมมี่

 :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ดีนแม่ง  ทำไมตั่วเฮียแบบเน้

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
แก้มหอม กับ นายท่าน ปิดตาบัดเดี๋ยวนี้  :pigangry2:

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
 :katai1: :katai1: :katai1:
ความคิดมะนุดช่างซับซ้อน

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 508
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
เหมือนเดิม

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
เห็นดีนเป็นแบบนี้แล้วหงุดหงิดแทนเลยค่ะ
ทำตัวเป็นคนเรียกร้องความรักที่ตอบกลับไม่ได้ เพื่ออ 
อาร์มดูแข็งขึ้น ดูตัดใจได้มากขึ้น ชัดเจนขึ้นเยอะด้วย คงไม่หลงกลับไปวังวนเดิมอีกนะ

เอ็นดูเมี่ยง คนอะไร ไหนว่าไม่อยากใกล้ไง เดี๋ยวโทรหา เดี๋ยวงอแง เดี๋ยวอ้อน
เอออ คนไม่อยากใกล้กัน เค้าทำกันแบบนี้เนาะ

ซีนนี้ดีมากค่ะ อาร์มก็คนคนหนึ่งที่อยากมีรัก เมี่ยงก็เป็นอีกคนที่อยากรัก



ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ดีนให้ทำตัวแบบนี้ต่อไปนะ เพราะยิ่งทำอาร์มอาจจะคิดได้บ้าง กูรักคนแบบนี้ไปได้ไงวะ 5555 ยิ่งทำ อีกคนยิ่งหมดใจจะกลายเป็นรำคาญแทน อิอิ ส่วนเมี่ยงอะไรวะ ปากบอกจะทำให้ใจแข็งแรง ตัดใจๆ แล้วดูทำ ตัดได้หรอกนะ ถถถ เราพูดไปงั้นแหล่ะ แต่จริงๆก็เอาเถอะ ตามเมี่ยงเลย 555555555 สนุกกกก รอตอนต่อไปเลยค่ะ   :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ตอนที่ 20


ภายในห้องตอนนี้หลงเหลือไว้เพียงแค่ความเงียบ ทีวีถูกปิด แม้แต่เพลย์ลิตต์โปรดในมือถือที่เคยชอบฟัง ตอนนี้ก็ยังถูกปิดไว้ ผมเอาแต่มองหน้าจอมือถือที่มีเพียงความมืดสนิท มันไม่มีเสียงเตือน หรือสายโทรเข้ามาเลยสักสาย

“ เงียบไปเลยนะไอ้สัด ” พูดกับตัวเองอย่างงั้นแบบอดไม่ได้ก่อนจะหยือบมือถือขึ้นมากดดูอีกครั้ง ที่ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว

บนหน้าจอนั้นยังมีเพียงแต่ข้อความของผมที่ส่งออกไป แม้มันจะขึ้นว่าอีกฝ่ายอ่านแล้ว  แต่กลับไม่ส่งข้อความอะไรมาเลย ทุกอย่างหายเงียบไปราวกับไร้ตัวตนเสียด้วยซ้ำ

 “ พ่อแม่มึงไม่สอนเหรอไอ้สัด ว่าเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ มันต้องส่งข้อความตอบกลับคนที่เค้าเป็นห่วงบ้าง ”

สิ้นสุดประโยคนั้น ผมก็ได้แต่นิ่งไป ปากที่เม้มเข้ากันอย่างอัตโนมัติ ค่อยๆเหลือบมองไอ้นายท่านที่ก็นั่งมองกันอยู่ข้างๆ ตรงโซฟาตัวที่นั่งอยู่ ราวกับเมื่อครู่มันเหมือนผมจะเผลอพูดอะไรออกไปสักอย่าง แบบที่ไม่ควรพูด โดยเฉพาะประโยคที่ว่า ‘ มันต้องส่งข้อความตอบกลับคนที่เค้าเป็นห่วงบ้าง ’

“ ม๊าว ”

“ ม๊าวอะไร กูไม่ได้เป็นห่วงมัน กูเป็นห่วงตัวเองต่างหาก ” หันไปเถียงกับไอ้นายท่านทั้งๆที่มันเองกลับไม่ได้ถาม และไม่พูดอะไรออกมาแบบนั้นเลย ก็แน่นอนแมวมันพูดไมได้สักหน่อย

แต่ก็นี่แหละ อาการของวัวสันหลงแหวะ

 “ มึงนั่นแหละทำให้กูต้องเป็นห่วงมัน มีอย่างที่ไหน ไปยืนม๊าวๆ เรียกแก้มหอมเค้าที่ระเบียงความลับกูเกือบแตกเลยรู้มั้ย แล้วถ้าความลับกูแตกเพราะมึง มึงจะทำยังไง จะรับผิดชอบยังไง ”

“ ม๊าว ”

“ อย่ามาทำเป็นไม่ใส่ใจนะเว้ย ” หันไปเถียงท่าทางเบื่อหน่ายของไอ้ตัวลายที่นอกจากจะไม่สนใจอะไรแล้ว มันยังแผ่ตัวลงนอนบนโซฟาด้วยท่าทีสบายแบบที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งนั้น “ มึงรู้มั้ยว่าตอนนี้ที่ไอ้อาร์มเงียบไป บางทันอาจจะโดนไอ้ดีนเคล้นเอาความลับเรื่องของกูอยู่ก็ได้ เรื่องที่ทำไมข้างห้องนี้ถึงมีแมว แล้วเจ้าของแมวคือใคร ทำไมมายืนร้องเรียกแก้มหอมด้วยท่าทางสนิทสนม หึยยยย ”

ผมลุกขึ้นอย่างุ่นง่านในท้ายประโยคที่สบถออกมาเช่นนั้น ขาที่เดินไปมาระหว่างหน้าประตูกับโซฟาวนไปมาอย่างงั้น แบบที่ไม่รู้ว่าต้องสงบยังไง

ปัง!

“ มึงได้ยินเสียงมั้ย ” หันไปถามนายท่านที่ก็มองหน้ากันด้วยสายตานิ่งเฉย หางที่กระดิกไปมานั้น หนำซ้ำมันยังอ้าปากหาวใส่ผม “ อะไรวะ กระตือรือร้นหน่อยไอ้สัด นี่ถ้าไอ้ดีนออกไปจากห้องไอ้อาร์มแล้ว กูก็จะเปิดระเบียงให้มึงออกไปหาแก้มหอมขาได้นะ ”

ไม่มีเสียงตอบรับอะไรจากคุณแมวที่ล้มตัวลงนอนแผ่ มันไม่ได้หันมองผมด้วยซ้ำ จนเรียกได้ว่าไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกันเลย

“ เลี้ยงแบบเสียตังค์ฟรีจริงๆเลยมึง ไม่อินอะไรกับกูทั้งนั้น ” เผลอถอนหายใจออกมาในตอนนั้น ผมหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาดู เพราะคิดว่าน่าจะมีข้อความอะไรตอบกลับมาบ้าง แต่ในนั้นไม่มีข้อความตอบกลับมาเช่นเดิม “ หรือว่าดีนจะออกไปข้างนอกพร้อมกับมันวะ ”

“ เมี๊ยว ” เสียงร้องที่ชวนให้ผมหันไปมอง จับใจความได้อย่างเข้าข้างตัวเองประมานว่า ‘ ก็ส่งข้อความไปหาเค้าสิเมี่ยง จะได้รู้ ’

“ งั้นกูจะส่งไปว่า ออกไปข้างนอกกันเหรอวะ หรือว่าดีนออกไปแล้วเหรอ แล้วกูออกไปข้างนอกได้ยังไง แบบนั้นละกันดีมั้ย ” ดึงมือถือของตัวเองขึ้นมาก่อนจะพิมพ์เข้าไปแต่ยังไม่ทันจะจบประโยคที่คิด ข้อความจากปลายทางก็ส่งกลับมาให้กันก่อน


Arm:
ดีนออกไปแล้วนะ
อีกสัก 20 นาที
มึงก็คงออกมาจากห้องได้
Mieng:
โอเค


ไม่มีข้อความตอบกลับมาอีกหลังจากที่ข้อความนั้นของผมขึ้นว่าอ่านแล้ว ก็น่าแปลกอยู่เหมือนกันทั้งๆที่ข้อความนั้นไม่มีเสียง และไม่แม้แต่สิ่งที่มันจะแสดงถึงหน้าตาของผู้ที่กำลังสนทนา แต่ถึงอย่างงั้นผมก็ยังรู้สึก ว่ามันเหมือนกับว่าปลายฝั่งนั้น กำลังเศร้าสร้อย แปลกๆ

“ แค่เพราะมันไม่ได้กวนตีนกันเหมือนอย่างปกติเหรอวะ ” เอ่ยถามตัวเองแบบนั้น ก่อนจะผ่อนลมหายใจแล้วสะบัดหน้าไปมาเพื่อทิ้งความคิด ที่คล้ายจะห่วงใยอีกฝ่ายนั้นทิ้ง “ แล้วกูจะไปสนใจอะไรมัน ไอ้ดีนกลับไปแล้ว ทุกอย่างก็คือ จบแล้วเปล่าวะ ใช่มั้ย นายท่าน ”

หันไปถามแมวตัวเองอย่างอยากจะให้ขานรับออกมาสักหน แต่ถึงอย่างงั้นมันก็แค่นิ่ง พลางมองไปทางอื่น นายท่านกระโดดลงจากโซฟามันตรงไปที่ประตูเบียง แล้วนั่งลงตรงนั้น

“ เมี๊ยว ”

“ จะออกไปข้างนอกเหรอ ” ผมเดินเข้าไปหา ก่อนจะเปิดประตูให้นายท่านที่ก็เดินออกไป มันกระโดดขึ้นไปบนชั้นว่าง ฝั่งที่จะเห็นระเบียงของห้องข้างๆได้ในมุมสูง “ โอเค มึงพอใจแล้วนะ งั้นกูจะออกไปซื้อของหน่อย ”

ไม่แม้จะหันมามองหน้า หรือแม้แต่เสียงร้องเล็กๆที่จะเอ่ยออกมาว่า ‘เมี๊ยว’ เพื่อแทนคำพูดที่ว่า ‘ไปดีมาดีน้าเมี่ยงน้า ’ ให้พอชื่นอกชื่นใจ แบบที่อยากจะซื้อขนมแมวเลียกลับมาให้สักหน่อย ไอ้นายท่านมันเอาแต่มองประตูระเบียงฝั่งห้องไอ้แก้มหอมอย่างเดียวเท่านั้น

“ รักเค้าจริงๆเลยนะมึงน่ะ ” อดแซวท่าทางจริงจังนั้นไม่ได้เลย ผมพูดออกมาอย่างงั้น “ นี่ ถ้าสมมุตินะ สมมุติว่าวันนึงอยู่ๆแฟนของแก้มหอมเค้าปรากฎตัวขึ้นมา มึงจะทำยังไง จะเสียใจมั้ย ”

ขยี้หัวไอ้ตัวเอาแต่ใจไปยิ้มๆ ก่อนที่ภาพในวันนั้นมันจะค่อยๆฉายขึ้นมาในความทรงจำ วันที่ผมจูบกับอาร์มครั้งแรก แล้วก็ตอนนั้นเองที่มันก็บอกกัน ว่ามันมีใครสักคนที่ชอบอยู่แล้ว “ จะว่าไป กูก็ไม่น่าถามเนอะ ” ผมว่าแบบนั้นก่อนจะเดินออกมาจากระเบียง “ ชอบคนที่เค้ามีเจ้าของอยู่ ยังไงมันก็ต้องเจ็บอยู่แล้ว ”

คว้าเอากระเป๋าผ้าที่แขวนอยู่ตรงที่แขวนขึ้นมาม้วนให้ขนาดพอดีจับ ผมหยิบกุญแจห้องของตัวเองขึ้นมาพร้อมทั้งโทรศัพท์มือถือยัดใส่กระเป๋า

“ ออกไปซื้ออะไรกินนะ ” แต่ก็เหมือนเดิม ถ้าไม่ใช่แก้มหอมก็เหมือนจะยากหน่อยนะเมี่ยง ที่แมวอย่างไอ้นายท่านจะหันมาสนใจ

ไม่ไกลจากคอนโดเท่าไหร่นัก มีห้างเล็กๆที่ผมสามารถซื้อได้ทั้งสินค้าอุปโภคและบริโภคตั้งอยู่ แล้วนี่ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ผมชอบมากที่สุด สำหรับการพักอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่นับสวนสาธารณะที่ก็อยู่ไม่ไกลกัน แถมทั้งนี้ทั้งนั้น คนก็ยังไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่อาศัยอยู่ที่คอนโด รอบๆนี้

 หยิบเอารถเข็นก่อนจะใส่ตะกร้าผ้าที่ถือมาลงไป ผมหยิบขนมปังที่อยู่ด้านหน้าเป็นอย่างแรก สำหรับมื้อเช้าที่ก็กินได้แทบทุกวัน ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่อาหารปรุงสุก ซึ่งวันนี้ ก็มีทั้งข้าวหน้าปลาไหลที่ชอบ แล้วก็ข้าวหน้าหมูที่เพิ่งกินไป

“ โคตรน่ากิน ซื้อไปเก็บไว้ได้มั้ยวะ ” ถามตัวเองแบบนั้น แต่ก็ลังเลอยู่นานจนต้องเดินเข้าไปซื้อของที่คิดว่าต้องซื้อก่อน วันนี้ตั้งใจจะมาซื้อขนมโดยเฉพาะ ผมอยากจะกินช็อกโกเล็ตแล้วก็ขนมขบเคี้ยวสักหน่อย มีการ์ตูนเรื่องที่อยากจะดูอยู่ในโปรแกรม “ แต่ดูหนัง ยังไงก็ต้องบ็อปคอร์นเปล่าวะ ”

เอื้อมมือไปหยิบบ็อปคอร์นที่อยู่บนชั้นขาย ผมหยิบมันมาสองสามรสก่อนจะก้มลงอ่านรสชาติที่คิดว่าน่าสนใจ แต่สุดท้ายก็ตัดใจเอามาทั้งสองสามรสที่มีขาย เพราะไม่รู้ว่าอันไหนอร่อย

“ แล้วคราวนี้ก็ต้องซื้อถุงยังชีพไว้หน่อย ” เพราะจากเรื่องเมื่อเช้าทำให้ได้รู้เลยว่า คนมันจะตายมันตายได้ง่ายมาก และคนที่ถึงความจะซวยก็เช่นกัน  มันซวยได้ง่ายมากด้วย แล้วตัวอย่างก็เช่น การมาของไอ้สัดดีนในวันนี้

ชีวิตในห้องก็ยังไม่มีอะไรให้กิน แถมตอนที่เดินออกไปจากห้องก็คล้ายกับคนย่องเบา ผมยังจำท่าทางตัวเองที่ต้องมองซ้ายดูขวาให้ดี แถมยังเลิ่กลั่กสุดๆ ในตอนที่มีคนมองมา ไม่นับตอนที่กว่าจะกลับเข้าห้องมาได้ ก็ถอนหหายใจโล่งเหมือนกับคนที่หลุดพ้นออกมาจากความตายยังไงอย่างงั้น

จนไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าดีนออกมาจ๊ะเอ๋กับไอ้นายท่านที่ก็ดันออกไปร้องเรียกเจ้าแก้มหอมแบบไม่เป็นเวลา หรือไม่ก็อาจจะเห็นหน้าผมเข้าโดยบังเอิญ ไอ้อาร์มจะตอบคำตอบกับอีกฝ่ายยังไง

‘ ทำไมไอ้เมี่ยงถึงมาอยู่ข้างห้องมึง ’ ‘ แล้วทำไมมึงถึงไม่บอกกูว่ามันอยู่ที่นี่ ’ ‘ ทำไมมึงต้องปิดบัง ’ และโดยเฉพาะคำถามที่ว่า ‘ ทำไมมึงต้องปิดบัง ’ ก็เหมือนจะตอบอะไร ในแง่ไหนที่มันดูดีไม่ได้เลย ยิ่งกับคำตอบแบบที่เราไม่ได้เกี่ยวข้องกันหรอก แต่ที่ต้องมาช่วยกันแบบนี้ นั่นมันเป็นเพราะอะไร

“ หึยย ” ส่ายหัวไปมากับความสยองที่แค่คิดก็อยากจะเป็นลม

ผมเข็นรถไปที่โซนของสำเร็จรูป ของที่ซื้อไม่มีอะไรมาก หนักไปทางบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ก่อนจะแวะเข้าไปที่โซนของสด หยิบไข่มาหนึ่งแพ็ค รวมถึงเบคอน แล้วก็ไส้กรอกที่พอจะใส่ลงไปได้ แต่ก่อนจะเข็นรถกลับไปทางฝั่งตู้แช่เพราะจะหยิบนม ขาของผมมันก็หยุดชะงักลง เมื่อเจอเข้ากับคนข้างห้องที่ก็หายเงียบไปเลยหลังจากบนสนทนานั้นของเรา

“ มาซื้ออะไรของมันวะ ” ถามกับตัวเองแบบนั้น แต่ภาพที่เห็นนั้นกลับนิ่งไปอย่างไร้การเคลื่อนไหว ผมรู้สึกว่าเหมือนอาร์มแค่ยืนเฉยๆอย่างงั้นตรงหน้าชั้นในล็อคขายของเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง ราวกับคิดอะไรอยู่ มันยืนเหม่อออกไปไกล แทบไม่มีสติเหลืออยู่เลยด้วยซ้ำ

ปัง!

“ โทษที ” เข็นรถเข้าไปชนมันอย่างตั้งใจ จนคนที่ยืนนิ่งอยู่ถึงกับสะดุ้งราวกับโดนดึงให้หลุดออกจากความฝัน อาร์มยิ้มกว้างออกมาทันทีในตอนที่เห็นหน้าผม

“ อ้าว มาซื้ออะไร ” ถามออกมาแบบนั้นก่อนจะมองลงไปที่รถเข็น แล้วนั่นก็ทำให้มันยิ่งกว้างกว่าเก่า

“ ยิ้มเหี้ยอะไรขนาดนั้น ทำไม ? กูแดกมาม่าไม่ได้เหรอ ”

“ ก็ได้ แต่มันก็แปลกนะที่พอไอ้ดีนกลับมึงก็ลงมาซื้อของพวกที่เก็บไว้ได้นานๆทันทีเลย ไม่ใช่กลัวว่าไอ้ดีนจะกลับมาอีกเหรอ ”

“ ใครจะไปกลัวคนอย่างมัน ” ผมเชิดหน้าถามอีกฝ่ายแบบหาเรื่องแต่ตอนนั้น อาร์มมันไม่ได้พูดอะไร อีกฝ่ายก็แค่ยกยิ้ม ก่อนจะหันไปทักคนที่เหมือนจะมาใหม่จากด้านหลัง

“ อ้าว ดีน..”

“ เชี้ย ” สบถก่อนจะหันไปทันทีแต่นั่นก็มีเพียงแค่ความว่างเปล่า ผมถอนหายใจหายโล่งพลางหันมามองมันแบบหาเรื่อง “ ไอ้สัด ”

“ ไม่ได้กลัวเนอะ ” อาร์มย้ำแบบเย้าๆ

“ หน้าเหี้ย ” ทิ้งท้ายไว้อย่างงั้น ก่อนจะหันไปหยิบขนาดแมวเลียสองสามแพ็คใส่ลงไปในรถเข็นตัวเอง “ ไม่น่าเข้ามาทักเลยกู น่าจะปล่อยให้มึงยืนเหม่ออยู่คนเดียว จนคนเดินผ่านไปมาเข้าใจว่าเป็นบ้า ก็น่าจะดี ”

“ อย่าใจร้ายขนาดนั้นน่า ” มันหันมาบอกก่อนจะชูขนมแมวเลียแบบแพ็คอีกยี่ห้อที่ให้ผมดู “ สนใจมั้ย ขนมแมวเลียอันนี้ แก้มหอมชอบมากเลยนะ เผื่อนายท่านของมึงจะชอบด้วย ”

“ เหรอ ”

“ ลองดู ” ขนมแมวเลียสองแพคถูกโยนลงไปในรถเข็นของผมที่ก็หยิบมันเอามาอ่านคร่าวๆ ก็พบว่ามันคือยี่ห้อดังจากฝั่งญี่ปุ่น ที่ราคาก็โหดอยู่ไม่ใช่น้อย

“ สมเป็นคุณหนูแก้มหอมจริงๆ ของกินยังพรีเมี่ยม ”

“ แล้วมึงมาซื้อแค่นั้นเหรอ ”

“ ขาดนม ชีส แล้วก็แป้งสำเร็จที่ใช้ทำพิซซ่า ” คนข้างกันขมวดคิ้วในตอนที่ผมบอก ในตอนนั้นผมก็ยิ้มก่อนจะชูนิ้วชี้ส่ายหน้าไปมาตรงหน้ามัน “ ไม่รู้จักอะดิ ”

“ เออ ไม่ค่อยเข้าใจวิถีคนทำกับข้าวไม่เป็น แล้วก็พึ่งพาแต่ของไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ ”

“ มึงนี่ไม่รู้อะไรบ้างเลย ” รถเข็นของผมเข็นออกมาตรงโซนของแช่แข็ง ที่มีแป้งพิซซ่าสำเร็จวางขายอยู่ ผมเอื้อมมือหยิบขึ้นมาโชว์มัน “ นี่คือแป้งพิซซ่าสำเร็จ เวลาที่มึงอยากจะกิน มึงก็แค่เอามาขึ้นมา ทาซอสพิซซ่า แล้วก็โรยของที่ชอบลงไป ชีส ไส้กรอก แฮม ต่างๆ กูนะเวลากินก็จะใส่ผักสามสีแช่แซ็งลงไปด้วย ให้ประโยชน์เน้นๆ ”

“ เน้นมากเลย กับของแช่แข็งอย่างงั้น ” ผมหยิบผักสามสีที่ว่าใส่ลงไปในรถเข็นของตัวเอง รวมถึงของแช่แข็งอื่นๆที่สามารถโรยหน้าพิซซ่าได้ โดยเฉพาะของทะเลต่างๆ

“ เอาน่า ผักสดอยู่ห้องกูไปมันก็เน่า กินแบบนี้แหละสะดวกดี ค่อยกินวิตามินผักรวมตามเข้าไปก็จบ ” ยักคิ้วยิ้มๆให้อีกคน อาร์มมันส่ายหน้าไปมา “ ซึ่งมึงรู้มั้ยว่า อาหารทะเลแช่แข็งใส่ลงไปกินกับมาม่าอร่อยมากเลยนะ ”

“ กูทำเองอร่อยกว่า ” อาร์มบอก ผมก็ได้แต่แบะปาก ก็เถียงอะไรไม่ได้หรอก ต้องยอมรับจริงๆว่าอีกคนทำอาหารอร่อย และไม่ใช่แค่อร่อยธรรมดา บอกเลยว่าอร่อยมาก แบบที่ไปเปิดร้านอาหารก็คงได้ “ แล้วนั่นวันนี้มึงจะทำอะไร สปาเก็ตตี้ ” เดาว่าอย่างงั้นเหมื่อเห็นของจากในรถเข็นของอีกคน

“ ก็ไม่อะ วันนี้คงซื้อข้าวหน้าปลาไหลที่ขายตรงหน้าซูปเปอร์ไปกิน ของพวกนี้แค่เก็บๆไว้ เผื่อทำวันอื่น ”

“ เช่นนั้น ” ผมพยักหน้ารับพลางถอนหายใจ

ก็นะ ผู้ชายชอบทำอาหาร หนึ่งในไทป์ที่คนส่วนใหญ่ใฝ่ฝันถึง พอมองดูรถเข็นของมันแล้วก็พบแต่ของสดนานาประโยชน์ ที่ก็คงรังสรรค์เมนูแสนอร่อยได้หลายมื้อ แซลม่อนชิ้นใหญ่สองสามชิ้น กุ้งตัวเบอเริ่ม ไม่นับส่วนต่างๆของเนื้อหมู

“ แล้วมึงต้องซื้อหมูเยอะแยะขนาดนั้นเลยเหรอ ”

“ กูชอบกินหมูมากกว่าไก่ แล้วก็เนื้อวัว ” อาร์มหันมาบอกผม “ หมูสับไว้ทำสปาเก็ตตี้ แฮมเบิร์ก หรือไม่ก็ใส่ลงไปในยำ จะทำมาม่าต้มยำก็ได้ ส่วนสันคอ กูเอาไว้ทำสเต๊ก ส่วนสันในก็แล้วแต่ เอาไว้ทำเมนูปกติทั่วไป ”

“ สุดยอด ” เผลอชมออกไปอย่างงั้น ก่อนจะกลืนคำว่า ‘อยากเป็นเมีย’ ลงคอไป  ผมเชิดหน้าไปที่หมูสไลค์ “ แล้วนั่นอะ ”

“ เอาไว้ทำข้าวหน้าหมู กูชอบกินข้าวหน้าหมู ”

“ เหรอออ ” พยักหน้ารับเข้าใจก่อนจะเข็นรถเข็นออกไป “ ไม่น่าละ วันนี้ไอ้ดีนก็เลยซื้อข้าวหน้าหมูมาให้มึง เพราะมึงชอบกินนี่เองสินะ ”

“ อื้ม ” เสียงตอบกลับเบาๆ เหมือนอีกฝ่ายจะหยุดชะงักไปนิดหน่อย ในตอนนั้นผมก็หยุดรถเข็น อีกฝ่ายก็เช่นกัน

“ เดี๋ยวนะ นี่ไม่ใช่ว่าที่มึงมายืนเหม่ออยู่แบบนี้ เพราะรู้สึกผิด ที่ทำความกูแตกหรอกนะ ” หันไปถามอีกฝ่ายเสียงจริงจัง หัวใจผมมันเหมือนหลุดลงไปอยู่ตรงตาตุ่มในตอนนั้น ก่อนที่อาร์มจะแค่ยิ้ม มันส่ายหน้าไปมาพลางถอนหายใจ

“ ประสาท ” มันว่าก่อนจะยกมือขึ้นดีดที่หน้าผากผมเบาๆ “ คิดหน่อยไอ้สัด ถ้าตอนนี้ความลับมึงแตก ดีนจะยอมกลับไปมั้ย คนอย่างมันน่าจะเคาะประตูเรียกให้มึงออกมา เพื่อสมน้ำหน้าที่แผนแตกแล้วละ ”

“ นั่นก็จริง ”

“ แล้วดีนก็ต้องขู่มึง ว่ามันจะบอกไอ้เบส เรื่องที่สุดท้ายมึงได้นาเดียไป ไม่นับเรื่องที่เรากำลังจะดองกัน แล้วก็เรื่องที่กูกำลังชอบมึง ”  เผลอกลืนน้ำลายลงคอไปในตอนที่เผลอคิดภาพเหล่านั้นตาม  ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าดีนรู้เรื่องราวทั้งหมด ผลจะออกมาเป็นรูปแบบไหน ผมส่ายหน้าไปมา

“ สยองไอ้สัด เลิกพูดได้มั้ย ” ผมว่า “ ก็ใครจะไปรู้ เห็นมึงยืนเหม่อแบบนี้ คิดว่าทำอะไรผิดมา ”

“ กูไม่ได้ทำอะไรผิดมาหรอกน่า ” อาร์มว่ายิ้มๆ “ กูแค่ทำในสิ่งที่กูควรทำมาตลอดต่างหาก ”

“ ยังไง ” แต่คำถามนั้นอาร์มกับไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีก ในตอนนั้น มันแค่มองผมยิ้มๆ ด้วยสายตาเศร้าสร้อยราวกับว่าเพียงแค่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ก็ทำให้มันเจ็บไปหมดทั้งใจ

“ ไว้จบเรื่องเมื่อไหร่กูจะบอกมึงนะ ” ทิ้งท้ายประโยคไว้อย่างงั้นก่อนที่รถเข็นคันนั้นจะถูกเข็นออกไป


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด