★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะพิเศษ ★ 22/02/63
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะพิเศษ ★ 22/02/63  (อ่าน 8222 ครั้ง)

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************




'สิ่งเดียวที่ผมควรทำมากกว่าการขอพร คือบอกรักคุณ
ในตอนที่มือของเราสองคนยังสามารถเอื้อมถึงกันได้'


Once Again
ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง
by NAVY



---------------------------------------------------------------------------


"โลกที่ไม่มีคุณมันทรมานเหมือนจะตายเลย"
...
"อย่าหายไปอีกได้ไหม"
"ได้โปรด"
...
"ผมทนอยู่บนโลกที่ไม่มีคุณไม่ได้อีกต่อไปแล้ว"




-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



งานดนตรีของนักร้องคนโปรดจัดสามวันสามคืนติด มีหรือเขาจะพลาด
นอกจากจะไม่พลาดสักวัน เขาก็ยังได้พบกับใครอีกคนที่คล้ายจะเป็นความรักของเขาตลอดทั้งสามวันอีกด้วย
แต่ด้วยเวลาที่แสนสั้นเหลือเกิน ทำให้เขาไม่รู้อะไรไปมากกว่าชื่อและความรักในนักร้องคนเดียวกัน
เขาจึงดั้นด้นไปขอพรกับศาลชื่อดังหน้าหอพักตัวเอง ขอให้ได้พบกันอีกครั้งในสถานะที่ต่างออกไป
แต่ใครจะไปรู้ว่าพอลืมตาขึ้นมา เขาจะถึงกับข้ามเวลา ราวกับอยู่อีกโลกกับโลกเดิม
โลกที่เขาไม่มีตัวตนและวันเวลาผ่านไปแล้วถึงหกปี!!


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
#ทิวากับมาวิน



Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-02-2020 13:23:51 โดย KarmaNavy »

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1



.

.

.

.


‘เจ้าดอกแมกโนเลียสีขาวที่แสนงดงาม
ใครเล่าจะรู้ว่ามันซ่อนความเศร้ามากมายของการจากลาและไม่มีวันได้พบกันตลอดกาลเอาไว้
เหมือนกับเราสองคน’


.

.

.



ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1



ฉันเคยคิดว่าฉันนั้นยากเหลือเกินที่จะหวั่นไหว
กับใครสักคน
ฉันคิดว่าฉัน 'ชนะ' คนมามากมายที่ต่างแพ้ให้กับความรู้สึกรักนั้น

ก่อนตกหลุมรัก








‘เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี หอสมุดกลางฯ จึงได้จัดมินิคอนเสิร์ตที่ลานอเนกประสงค์บริเวณหน้าหอสมุด โดยเชิญศิษย์เก่าชื่อดังอย่าง วง WeAre ขึ้นแสดงเป็นเวลาสามวัน นอกจากนี้ยังเชิญนักร้อง นักแสดงท่านอื่น...’




สายตาของเขาเหมือนเบลอไปหมดแล้วหลังจากอ่านประโยคที่บอกว่าวงนักร้องที่เขาชอบมากๆ จะมาแสดงที่ม.จบ ได้แต่กวาดสายตาอ่านซ้ำๆ เหมือนคนย้ำคิดย้ำทำ ก่อนจะโห่ร้องออกมาเสียงดังกับเพื่อนที่เหมือนจะเป็นบ้าไปแล้วด้วยกันทั้งคู่


“เชี่ยย ปีนี้กูใช้โชคดีหมดไปแล้วแน่ๆ วงวีอาร์จะมา วีอาร์เลยนะเว้ย กูฝันไปแน่ๆ”


“ถ้ามึงฝันอยู่กูก็ฝันอยู่เหมือนกัน กูจะไปดู จะไม่พลาดสักวันแน่ๆ”


“กูด้วย ดีนะมีหลังสอบ ไม่งั้นแม่กูเพ่นกบาลแยกแน่ที่ดอดมาดูดนตรีแต่ไม่อ่านหนังสือสอบ”


ทิวาเบ้ปาก “พูดเหมือนทุกวันนี้มึงอ่านหนังสือสอบงั้นแหละ”


“เออน่า ให้แม่กูคิดว่ากูอ่านก็พอแล้ว” เดือนอ้ายพูดพลางปัดมือไม้ของเพื่อนรักที่พยายามจะหยิกแก้มเขาให้ได้ แต่ก็ห้ามไม่ได้ ไม่รู้พวกมันเป็นบ้าอะไร นับตั้งแต่รู้จักกันมา ก็ชอบมาบีบแก้มเขาเหมือนเป็นของเล่น บอกหลายครั้งแล้วแท้ๆ ว่าไม่ชอบให้บีบ แต่พวกมันก็เอาแต่ยิ้มกวนตีนแล้วทำเหมือนเขาไม่ได้พูดอะไรออกมา เป็นแบบนี้มาสามปีแล้ว ถ้าไม่เพราะพวกมันยังมีความดีความชอบตรงที่เป็นแก๊งเรียนดีละก็ อย่าคิดหวังเลยว่าเขาจะคบมานานขนาดนี้
ทิวาหัวเราะร่า อารมณ์ดีโดยไม่สนใจว่าเพื่อนจะหน้าบูดแค่ไหนที่โดนเขาแกล้งบีบแก้ม ช่วยไม่ได้ ตอนนี้เขาดีใจมากๆ มากเสียจนไม่รู้จะทำยังไง เลยได้แต่แสดงออกมาด้วยการแกล้งเพื่อนตัวเองเช่นนี้


“เลิกแกล้งไอ้อ้ายได้แล้วเดย์” ปัณว่าพลางปัดมือของทิวาออก ทำเหมือนจะช่วย แต่แท้จริงแล้วกลับช่วยเพื่อนแกล้งคนที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม คนที่ตกเป็นเป้าหมายมาหลายปีอย่างเดือนอ้าย มีหรือจะมองเจตนาร้ายไม่ออก มันรีบปัดมือของเพื่อนทั้งซ้ายขวาให้พ้นแก้มตัวเอง กุมราวกับเป็นของล้ำค่า ขู่เสียงดัง แต่ในสายตาคนทั้งสามมันกลับเหมือนแมวอารมณ์เสียแล้วขู่จนขนพอง เห็นแล้วน่ารักมากกว่าจะน่ากลัวชัดๆ


“มึงสิตัวดี เลิกยุ่งกับกูทั้งหมดนั่นแหละ หน้าหมา แก้มกูไม่ใช่ของเล่นนะเว้ย”


“ก็แก้มมึงนิ่มที่สุด” ทิวา


“น่าดึงเล่นจะตาย” โรม


“ดึงมาตั้งหลายปี เพิ่งจะมาหวงไม่คิดว่าช้าไปหน่อยหรือไงวะ” ปัณ


“ถามหนังหน้าด้านๆ ของพวกมึงเองดีกว่าไหม กูก็ด่าพวกมึงอยู่ทุกปี ฟังกันที่ไหน หน้าเหี้ย!” ด่าจบแล้วก็วิ่งหนีหายไปอยู่กับกลุ่มผู้หญิงราวกับพวกเธอเป็นปราการอันแข็งแกร่งที่พวกเขาไม่สามารถบุกไปยุ่งได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วแค่ส่งโรมไป พวกนั้นก็ยอมปล่อยเดือนอ้ายกลับมาแล้วก็ได้เสียด้วยซ้ำ แต่ทิวากำลังดีใจเกินกว่าจะตามตอแยต่อ แถมเมื่อกี้ก็แกล้งจนพอใจแล้วด้วย เลยเอาแต่หัวเราะ มองท่าทางไม่พอใจของเดือนอ้ายจากอีกฝั่งของห้องเรียนเท่านั้น


“พวกมึงสองคนจะไปดูดนตรีสามวันติดจริงอ่อวะ คนเยอะจะตาย มึงอะไม่เท่าไหร่นะ แต่ไอ้เดือนอ้ายเนี่ยดิ” ปัณว่าแล้วพยักเพยิดให้มองส่วนสูงที่ยังไม่แตะ 175 ของเดือนอ้าย ก่อนพูดต่อ “ตัวเท่าหมาปั๊ก จะไปสู้แรงแฟนคลับ สู้คนตัวควายๆ คนอื่นไหวเหรอวะ”


“โดนเหยียบตายตั้งแต่สองเมตรแรกที่เหยียบเข้างานแน่ๆ” โรมว่า


“มึงก็เกินไป กูว่ายังไม่ทันเขางานก็โดนเขาเหยียบตายแล้ว” ปิดท้ายด้วยทิวา พูดจบก็หัวเราะอีกครั้ง คราวนี้ดังจนคนโดนนินทาต้องหันมามอง เพราะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนพูดถึง แต่ก็ไม่ได้อะไรนอกจากสายตากวนประสาทจากเพื่อนทั้งสามคนให้หงุดหงิดเล่น


ทิวาปาดน้ำตาที่ล้นจากหางตาเพราะหัวเราะมากไปออก แล้วค่อยพูดขึ้น “กูอะไปแน่อยู่แล้วสามวัน เพราะกูไม่ได้ไปครั้งก่อน แต่ไอ้อ้ายอะไม่แน่ เพราะคอนครั้งที่แล้วมันได้ไป มีหมาแถวนี้บ่นชิบหาย แต่เสือกพาไปเฉย งงเลย”


ปัณยักไหล่ “ของขวัญวันเกิดเฉยๆ ติดมันเมื่อครั้งก่อน เลยยอมตามใจมันเท่านั้นแหละ”


“ก็คือกูก็ชอบอะนะ แต่ไม่มีชงชวน หน้าหมา”


“ไม่อยากชวน เกลียดขี้หน้ามึง”


“เกลียดขี้หน้ากูหรืออยากไปสองต่อสองจ้ะ กิ้วๆๆ”


“กิ้วพ่อมึงดิ กวนตีนจังวะ บอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไรไง”


“อย่าให้กูจับได้นะ” ทิวาหรี่ตาพลางทำท่าปาดคอ แสดงออกว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยไปแน่ หากได้รู้ว่าความจริงแล้วความรู้สึกของปัณที่มีต่อเดือนอ้ายไม่ได้เป็นแค่เพื่อนอย่างปากว่า แต่เหมือนว่าประโยคและท่าทางดังกล่าวมันดันไปกระตุกต่อมโมโห ปัณที่เคยนิ่งขรึมกลับเริ่มแสดงความหงุดหงิดออกมาบ้างแล้ว


“จับอะไร ก็มันไม่มีอะไรจริงๆ มึงเลิกยัดเยียดความคิดอะไรแบบได้ปะ มันน่ารำคาญนะไอ้สัส”


“เอ้อ ก็ปากแข็งให้ได้ตลอดจ้า รอกูมีหลักฐานก่อน ตอนนั้นมากอดขาอ้อนวอนยังไง กูก็ไม่ใจอ่อนหรอกนะบอกไว้ก่อน” ปัณมองท่าทางกวนประสาทของเพื่อนก่อนจะหยิบกระเป๋าปากกาของเดือนอ้ายที่วางเอาไว้ ยกฟาดอีกคนไม่ยั้ง ไม่รู้เพราะว่าเขินหรือรำคาญสิน่า แม้ตอนนี้จะรู้จักกันมาจะสามสี่ปีแล้ว แต่ปัณก็ยังเก็บความรู้สึก ความลับของตัวเองได้เก่งจนเขากับโรมเดาไม่ได้เสียที ว่าไอ้ทีท่าทีเล่นที่จริงที่ชอบทำกับเดือนอ้าย มันแค่เพื่อนกันหรือเพื่อนไม่จริงกันแน่ “ชอบกันก็บอกไปดิว้า กั๊กไว้ทำไม ความรักไม่ใช่ความลับ ทำไมจะต้องปิดละเนอะ”


สีหน้ากวนประสาทและท่าทางที่มองเหมือนมันเป็นเพียงเรื่องที่จัดการได้ง่ายดายของคนที่ไม่รู้จักความรู้สึกรักจริงๆ ทำให้ปัณอดหงุดหงิดไม่ได้ จนหลุดปากพูด “สักวันเถอะไอ้เดย์ วันไหนมึงชอบใครสักคน กูจะแช่งให้เขาเล่นตัว ให้เขาเล่นกับความรู้สึกมึงเสียให้เข็ด จะได้เลิกมาเล่นกับความรู้สึกคนอื่น”


“แช่งกูทำไมอะคร้าบ หรือกูไปแทงใจดำเพราะชอบจริงแล้วกลัวโป๊ะแตกหรอคร้าบ”


“ไอ้สัส กวนตีน”


“แช่งกูไปก็เท่านั้นอะครับ กูไม่ได้ชอบใครง่ายๆ ซะหน่อย”


“กูจะรอดู”


“รอไปถึงชาติหน้าไปเลยจ้าพ่อ”


“ขอให้มึงชอบเขาตั้งแต่แรก ชอบมากจนยอมทำทุกอย่างที่มึงไม่เคยทำมาก่อนเพื่อเขา”


“หูย มาวะ รักแรกพบ”



ปัณผลักหน้ากวนตีนของทิวาออกแล้วพูดต่อ ในแววตาที่แสนคุ้นเคย คล้ายจะมีรอยกระเพื่อมไหวแปลกๆ ที่ทิวาไม่อาจจับได้ว่ามันคืออะไร แต่ชั่วพริบตาที่ปัณพูดจบ เขาก็ราวกับถูกคำพูดของอีกคนพันรัดเอาไว้จนดิ้นไม่หลุด


เหมือนกับว่าคำพูดนั้นเป็นประกาศิตที่เขาไม่อาจขัดขืน


“ต่อให้รักเขามากแค่ไหน ก็ขอให้บอกออกไปไม่ได้ ต่อให้พูดออกไปแล้วก็ขอให้คบกันก็ไม่ได้!”


“ปัณ มึงพูดแรงไปเปล่า...” โรมเริ่มมีสีหน้าที่ไม่ดี เมื่อเรื่องล้อเล่นชักจะไม่น่าใช่เรื่องเล่นๆ อย่างตอนแรกที่แซวกันแล้ว เดือนอ้ายที่เดินกลับมายังโต๊ะเพราะได้ยินเสียงพูดคุยที่ดังกว่าปกติเองก็มีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะไม่บ่อยนักที่ปัณจะหงุดหงิดจนพูดอะไรในเชิงแช่งชักออกมา


ทิวากับโรมที่เพิ่งมารู้จักกันตอนมหาลัยอาจจะไม่รู้ แต่เขาที่รู้จักอีกคนมาค่อนชีวิต ย่อมรู้ดีว่าอีกคนปากศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน เหตุการณ์เก่าๆ ที่ผ่านมาล้วนเป็นเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุด แม้จะมีเพียงเขาที่จำได้ก็ตาม


“ปัณ อย่า พอแล้ว”


“ไม่พอ แค่นี้มันจะไปพออะไร”


“ปัณ!”


“ถึงพวกมึงรักกันจริงๆ ก็ขอให้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน!”


“...”


“จำคำกูไว้ทิวา ความรักครั้งต่อไปของมึง กูขอให้มึงลืมมันไม่ได้ไปทั้งชีวิต! มึงจะได้รู้เสียทีว่าไอ้ความรู้สึกที่มึงพยายามยัดเยียดให้คนอื่นรู้สึก มันไม่ได้จัดการง่ายๆ แบบที่มึงพยายามจะจัดการให้กับคนอื่นเขา”


ความเงียบขนานใหญ่ครอบคลุมกลุ่มของพวกเขา ไม่มีใครพูดออกมาแม้แต่ประโยคเดียว ไม่ว่าจะคนที่ออกปากแช่งเพื่อนตัวเองหรือแม้กระทั่งคนที่โดนแช่ง แม้จะไม่เข้าใจนิดหน่อยว่าทำไมเพื่อนที่มักโดนเขาแซวล้อเล่นเรื่องนี้ประจำอย่างปัณ นึกจะมาโกรธจริงจังเอาตอนนี้ แต่ทิวาก็ไม่ได้นึกเคืองอะไร เพราะรู้ว่าเพื่อนเขาแค่หงุดหงิดที่เขาพูดแบบนั้น อีกทั้งคำแช่งนั้นมันไม่มีวันเป็นผลขึ้นมาได้ง่ายๆ ต่อให้มันสามารถมีโอกาสเกิดขึ้นจริงได้ เขาที่ไม่ได้นึกรักชอบใครง่ายๆ ก็ไม่มีทางจะตกหลุมรักใครได้ในแรกพบอย่างที่มันแช่งหรอก


ปัณเองก็เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรออกมา ครั้นนึกเสียใจก็ไม่ทันแล้ว “ไอ้เดย์ กู...”


“ไม่เป็นไรๆ ครั้งนี้กูแหย่มึงแรงไปจริงๆ นั่นแหละ”

 
“มันไม่เป็นไรได้ไงวะ มึงไม่รู้...”


“เออน่า ต่อให้มันเป็นจริงตามที่มึงแช่งก็ไม่เป็นไร กูก็ใช่ว่าจะชอบใครง่ายๆ อย่าคิดมาก”


“...”


“เพิ่งรู้นะเนี่ยว่ามึงก็เชื่อเรื่องแช่งเชิ่งนี่ด้วย” แม้ทิวาจะพูดและแสดงท่าทางไม่คิดมากแบบนั้น แต่สีหน้าของปัณก็ยังไม่ดีขึ้นสักนิด เดือนอ้ายทุบหลังคนแช่งแรงเสียจนคนโดนทุบไอไม่หยุด ยิ่งเห็นสายตาคาดคั้นแล้ว ปัณก็ได้แต่ยอมทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้สิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกไป เกิดผลลัพธ์แย่น้อยลงมาหน่อย



“กูไม่รู้ว่าพูดตอนนี้มันจะช่วยอะไรมึงได้ไหม แต่เอาเป็นว่า...ถ้ามึงกับเขาเป็นคู่กันจริงๆ ก็ขอให้สุดท้ายได้กลับมาเจอกันอีก”


“...”


“ขอให้เขาเองก็รักมึงมากๆ เหมือนกันก็แล้วกัน”


“มึงจริงจังอะไรเนี่ย ทั้งสองคนเลย” ทิวามองสีหน้าจริงจังของเดือนอ้ายกับปัณด้วยสีหน้างงๆ ส่วนโรมเองแม้จะสีหน้ายังไม่ดีขึ้น แต่ก็ปะปนไปกับความงุนงงแบบเดียวกับเขาเช่นกัน เมื่อได้ยินคำพูดของปัณที่พูดออกมาคล้ายจะพูดให้ผลร้ายที่จะเกิดขึ้นมันลดลง ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ หรือไม่ “ใช่ว่ามึงแช่งแล้วมันจะเกิดขึ้นจริงเสียหน่อย”


“พวกมึงไม่รู้อะไร ปากไอ้ปัณอะแทบจะพูดอะไรได้อย่างนั้นเลยนะ มันถึงไม่ค่อยอยากหลุดปากพูดอะไรไง”


“บ้าแล้ว ศักดิ์สิทธิ์จริง งี้มึงแช่งให้ถูกหวย คนก็ถูกไปค่อนประเทศแล้วดิวะ”


เดือนอ้ายเอียงคอเหมือนคิดอะไรตามแล้วพยักหน้า “เออ ก็เคยมีคนถูกนะ”


“...”


“กูเริ่มกลัวแล้วนะไอ้อ้าย ไม่ล้อเล่นดิวะ แค่เรื่องผีในม.เรากูก็หลอนแล้วนะเว้ย” โรมว่า


“ก็กูพูดจริงๆ อะ มึงจะให้กูทำไง”


“ขอโทษ เมื่อกี้กูแม่งไม่รู้ทำไมคุมปากไม่ได้เลย เลยหลุดปากไปแบบนั้น”


ทิวามองสีหน้าเสียใจของปัณสลับกับสีหน้าของเดือนอ้ายที่ยังจริงจังไม่เลิก เริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมา “อย่า...อย่าทำให้กูกลัวดิวะ บอกกูได้ไหมว่าล้อเล่นไรเงี้ย กูจะไม่โกรธเลยๆ”


“...”


“เดือนอ้าย”


เจ้าของชื่อถอนหายใจ “ก็ขอให้ที่มึงบอกว่าตัวเองไม่เคยชอบใครง่ายๆ เป็นเรื่องจริงก็แล้วกัน”


“...”


“เพราะถ้าไม่เป็นอย่างนั้น คำแช่งของปัณได้เป็นจริงอย่างที่มึงกลัวแน่ๆ เดย์”



จนมาพบกับเธอ
ฉันจึงได้รู้ว่า การยินยอมพ่ายแพ้ต่อใครคนหนึ่งหมดใจ เป็นเช่นไร


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

--------------------------------------------------------------------------
ฝากเอ็นดูเจ้าทิวาด้วยนะคะ :)
NAVY

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
คิดซะว่าให้พรละกัน555

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เอาว่ะถึงจะแช่งไปแล้ว แต่ตอนท้ายก็อวยพรให้นะโว้ย

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1



สิ่งที่แอบซ่อนในแววตาของฉัน เธอจะดูออกไหม?
แต่ไม่รู้ก็ดีเหมือนกัน













ตกหลุมรักระยะที่ 0

 






หนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้น


“ไอ้อ้าย!! ไวหน่อยดิวะ เดี๋ยวก็ไม่มีที่ยืนพอดี คนเยอะนะเว้ย”


“มึงก็ช้าหน่อยดิวะ กูขาสั้น!! ไม่ได้ตัวสูงเป็นเปรตเหมือนมึงนะ” แม้ปากจะด่าไม่หยุด แต่ขาที่เพิ่งว่าตัวเองว่าสั้นกลับสับไว แทรกผ่านกลุ่มคนมากมายที่กำลังก้าวเท้าไปยังลานกิจกรรมที่กำลังจะเริ่มแสดงดนตรีในอีกไม่ช้า จนกระทั่งทันเพื่อนตัวสูงที่แสดงสีหน้าตื่นเต้นไม่เลิกตั้งแต่เช้า จนตอนนี้เป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว ก็ยังมีรอยยิ้มบนใบหน้าไม่จางหาย


“เร็ว วีอาร์จะขึ้นแสดงแล้ว” ว่าแล้วทิวาก็ไม่รอให้เพื่อนตัวเล็กบ่นอะไรอีก รีบคว้าข้อมือของเพื่อนที่ยื่นมาหาแบบไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แล้วลากอีกคนเดินผ่านกลุ่มคนที่ออแถวรั้วกั้นเหล็ก จนกระทั่งไปยืนอยู่แถวกลางๆ ได้พอดี ภาพสมาชิกวงกำลังเตรียมตัวบนเวที ทำให้รอยยิ้มยิ่งขยายกว้างจนใบหน้าที่โดนแสงจากบนเวทีตกกระทบ คล้ายจะเปล่งประกายท่ามกลางความมืดสลัวยามเย็น


“มึงงง นั่นพี่กั๊ป!! ไอ้เหี้ย โคตรเท่! มือกีต้าร์ที่หนึ่งในใจกู”


“...”


“พี่ตูมตามของมึงก็เท่ อยากอัดวิดิโอจังวะ แต่ถ้ากูอัดกูกระโดดไม่ได้แน่ๆ มึงว่างั้นไหม”


“...”


“อ้าย? ไมเงียบไปวะ...”


“ขอโทษนะ แต่กูไม่ได้ชื่ออ้าย”


“...”


“แล้วก็...” เจ้าของเสียงที่ทุ้มกว่าเดือนอ้ายเป็นเท่าตัว ยกมือที่โดนเขาจับเอาไว้แน่นขึ้นมาจนเท่าระดับสายตาของเราทั้งคู่ ใช้แววตานิ่งๆ มองมายังเขาแล้วพูดต่อ “...จะบอกว่ามึงดึงมาผิดคนแล้ว”


“...แล้วเพื่อนกู”


“ไม่รู้ อยู่ด้านหลังมั้ง คงหลงอยู่กับเพื่อนกู”


“...”


“เวลาจะดึงใครอะ ดูหน้ามั้งก็ดีนะ ไม่งั้นก็สังเกตหน่อยว่าเพื่อนมึงไม่ได้ตัวสูงขนาดนั้น”


“...”


“เป็นใบ้กระทันหันหรือไง”


ทิวาเหมือนตัวเองหูดับไปแล้วตอนที่เห็นใบหน้าของอีกคนเต็มตา ด้วยส่วนสูงที่แทบเรียกได้ว่าเท่ากันกับเขา ทำให้เขาสามารถมองรายละเอียดแทบทุกอย่างของคนตรงหน้าได้ทั้งหมด ตั้งแต่เส้นผมหนานุ่มที่ยาวจนแทบจะปรกดวงตา แต่มันไม่อาจปกปิดแววตาของอีกคนได้ หางตาเรียวรีตามแบบฉบับหนุ่มตี๋คล้ายจะเจือไปด้วยความสงสัย เมื่อเขาเอาแต่มองไม่ยอมตอบเสียที ไหนจะจมูกที่เขารูปกับดวงหน้า รวมไปถึงริมฝีปากอิ่ม...


“มองเหี้ยอะไร”


...ที่กำลังด่าเขาอยู่ตอนนี้ด้วย


ทิวาสะดุ้งทันทีที่รู้สึกตัว แต่ก่อนจะได้เอ่ยปากขอโทษและปล่อยมือออกจากข้อมือของอีกคน เสียงกลองและเสียงดนตรีที่ดังกระหึ่มจากบนเวทีก็ดังขึ้นเรียกความสนใจของพวกเขาทั้งสองคนไปเสียก่อน ทิวารีบหันกลับไปให้ความสนใจวงดนตรีที่กำลังเล่นเพลงแรกที่เป็นดั่งเพลงแนะนำตัวของพวกเขา แหกปากร้องด้วยความตื่นเต้น จนลืมคนข้างตัวไปเลยว่า มันไม่ใช่เพื่อนตัวเอง


ราวกับเป็นช่วงเวลาแห่งเวทมนต์อย่างไรอย่างนั้น ทันทีที่เสียงเพลงถูกร้องออกมาจากปากนักร้องคนโปรด ทิวาก็ลืมสิ้นทุกอย่างที่อยู่รอบกาย กลายเป็นเพียงหนึ่งในกลุ่มคนที่บ้าคลั่งและหลงวนเวียนอยู่ในเสียงเพลงของกลุ่มนักร้องคนโปรดของตัวเอง เช่นคนอื่นๆ ที่อยู่รอบตัวเขา ร้องเพลงและกระโดดโลดเต้นแบบไม่คิดอะไรทั้งสิ้น


เนิ่นนานจนถึงเพลงช้าเพลงสุดท้ายนั่นแหละ ทั้งเขาและคนแปลกหน้าคนนั้นที่ยืนฟังและแหกปากร้องเพลงของวงวีอาร์ด้วยกันมาตั้งแต่เพลงแรกจนเพลงสุดท้ายถึงได้หันมามองหน้ากัน ก่อนจะยิ้มโดยไร้ความหมายให้กันและกันแล้วจึงหันกลับไปมองกลุ่มคนบนเวที พร้อมเริ่มร้องเพลงสุดท้ายไปพร้อมกับคนอื่น


ทิวาไม่ได้รู้เลยหรือบางทีอาจจะรู้ เพียงแต่ไม่ได้สนใจ ว่ามือของเขาและคนข้างๆ นั้นยังไม่ได้ปล่อยจากกันแม้แต่วินาทีเดียวตั้งแต่คอนเสิร์ตเริ่มแสดง


มันค่อยๆ ไหลลงจากข้อมือก่อนที่นิ้วจะสอดประสานกุมกันคล้ายว่าจะไม่ปล่อยจากไปไหน


จนเสียงดนตรีหยุดลง กลุ่มคนเริ่มทยอยเดินออกจากพื้นที่หน้าเวที เหลือเพียงพวกเขาที่ยังจับมือและมองไปยังเวทีตรงหน้านั่นแหละ ทิวาถึงได้ค่อยๆ ปล่อยมือตัวเองออกจากมือคนข้างๆ ด้วยท่าทางเก้อกระดาก รู้สึกเลยว่าตอนนี้เขาหน้าแดงเพราะความเขินมากแน่ๆ


ไม่ให้เขินได้ไงวะ จับมือของใครก็ไม่รู้ดูคอนเสิร์ตเป็นนานสองนาน ถึงเขาจะไม่ได้ว่าอะไรก็เถอะ


“ชอบวีอาร์เหรอ”


“ห๊ะ...อ่อ ใช่ ชอบมาก”


“อ้อ”


“...”


แล้วก็เงียบไปทั้งแบบนั้น เพราะไม่มีใครคิดจะพูดต่อบทสนทนาทั้งคู่ ทั้งที่ควรจะแยกย้ายได้แล้ว แต่ทำไมก็ไม่รู้ เหมือนมีอะไรสักอย่างที่รั้งขาของทิวาเอาไว้ มันร้องดังในใจแบบที่ทิวาไม่เคยรู้สึกว่า ไม่อยากไป


ไม่อยากจากไป


แต่ไม่รู้ว่าเพราะวีอาร์ที่เพิ่งแสดงจบไปหรือเพราะคนข้างๆ กันแน่


ในตอนที่ทิวาคิดว่าเขาควรจะบอกลาแล้วไปตามหาเพื่อนที่หายไปได้แล้ว จู่ๆ คนข้างตัวก็พูดขึ้นมา


“พรุ่งนี้จะมาอีกไหม”


“มาดิ”


“...”


“วีอาร์...มาทั้งที จะไม่มาได้ไง”


“งั้นก็เจอกันพรุ่งนี้”


“...”


“ถ้าบังเอิญเจอกันนะ” คนแปลกหน้ายื่นมือมาดีดหน้าผากจนทิวาต้องหยีตาเพราะความเจ็บ ใช้มือที่เพิ่งปล่อยจากมือของอีกคนถูกลางหน้าผาก ภาวนาในใจว่าไม่ให้มันมีร่องรอยอะไร พลางมองตามแผ่นหลังกว้างที่ค่อยถูกกลุ่มคนกลืนหายไปด้วย


มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่ทิวาไม่ชอบความรู้สีกตัวเองตอนนี้เลย


ก็แค่แฟนคลับวงเดียวกันที่บังเอิญมายืนฟังเพลงด้วยกัน


แต่ทำไมตอนที่ต้องแยกย้ายกันไป ทำไมเขารู้สึกแย่แบบนี้วะ


“เดย์...ไอ้เดย์!!!”


“โอ๊ยๆ อย่าตีสิวะ มาตีกูทำไมเนี่ย” ยังไม่ทันได้ปล่อยให้ความคิดได้ตกตะกอนใดๆ ให้นึกถึง เพื่อนที่เขาทำหายไปก่อนการแสดงเริ่มก็วิ่งตรงมาหาพร้อมกับทุบตีสลับกับด่าไปด้วย


“ไอ้เวร มึงทิ้งให้กูยืนกับใครก็ไม่รู้ตั้งนานสองนาน ไม่เอะใจด้วยนะว่าเพื่อนมึงหายไป! ไม่มีการถามหาใดๆ ทั้งสิ้น!! สารเลว”


“ก็...ก็คอนเริ่มพอดีอะ กูก็เลย...”


“ก็เลยอะไร!! ก็เลยทำเป็นลืมเพื่อนมึงงั้นดิ ไอ้เดย์ มึงแม่ง...”


“ขอโทษค่ะ”


“ไม่ต้องมาค่ะกับกู! กูไม่ใช่ผู้หญิงที่ตาบอดมาชอบมึง” ว่าแล้วก็จิ้มเข้าที่กลางหน้าผาก กำลังจะด่าต่อนั่นแหละ แต่ดันไปเห็นรอยแดงบนหน้าผากที่เพิ่งลงไม้ลงมือไปเสียก่อน “อะไร ผิวบางขนาดนั้นเชียว แตะนิดแตะหน่อยผิวแดงเชียวนะ”


“เพ้อละมึง กะอีแค่แง่งขิง คิดว่าจะทำกูสะเทือนได้หรือไง”


“จ้า พอคนนิ้วสวยเป็นลำเทียน งั้นบอกคนนิ้วสั้นหน่อยได้ไหมละว่า ไปโง่ยังไงอะไร ทำไมหน้าผากมึงแดงเป็นตูดลิงแบบนั้น”


แทนที่เขาจะตอบ ทิวากลับไปนึกถึงหน้าคนที่เป็นต้นเหตุแทนเสียได้ จึงเอาแต่เงียบแล้วลูบรอยบนหน้าผากตัวเองไปมา ทำเอาเดือนอ้ายได้แต่มองแล้วก็สงสัยว่าเพื่อนตัวเองเป็นบ้าอะไร


มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ไม่มีทางที่ทิวาจะยอมจบเรื่องง่ายๆ เวลาเถียงกัน


พอนึกมาถึงตรงนี้ คำแช่งที่ปัณเพื่อนรักพูดไปเมื่อสัปดาห์ก่อนก็แว่บเข้ามาในสมองจนอดถามออกไปไม่ได้


“ทำไม เจอเนื้อคู่แล้วหรือไง”


“บ้า!! มึงเพ้ออะไรหลายรอบในวันเดียววะอ้าย เนื้อคงเนื้อคู่อะไรไร้สาระ!”


“...”


“กูเนี่ยนะจะชอบใครตั้งแต่แรกพบอย่างที่ไอ้ปัณแช่ง ฮ่า ฮ่า ฮ่า!!! มึงคิดไปเองกันทั้งนั้นแหละ”


“...”


“...”


“คือ...กูแค่ถาม”


“...”


“มึงล่กมากอะ รู้ตัวป่ะ”


“...หุบตูดไปเลยไอ้อ้าย แล้วไสหน้าขี้เหร่มึงกลับหอไปเลย ไป!” เมื่อรู้ตัวว่าหลุดพูดอะไรที่แสนจะไม่เป็นตัวเขาในยามปกติออกมา ทิวาก็ไม่สามารถจะมองหน้าเพื่อนสนิทได้อีกต่อไป แม้จะรู้แล้วว่ามันไม่สามารถกลบเกลื่อนอะไรได้ แต่อย่างน้อย การที่ไม่ต้องโดนสายตาค้นหาของเพื่อนมองในตอนที่สมองสับสนไปหมดเช่นนี้ มันเป็นเรื่องดีกว่ามากๆ อย่างแน่นอน


แต่เดือนอ้ายมีหรือจะยอมทำตาม เขาไม่ได้สนใจจะล้อเลียนเหมือนกับเพื่อนอีกสองคนในกลุ่ม มีแต่จะเป็นห่วงเสียมากกว่า จึงพยายามยันขาตัวเองให้ยืนที่เดิม แม้จะไม่สามารถสู้แรงของทิวาได้เลยก็ตาม ปากก็พยายามพูดต่อ “เดย์! มึงห้ามไปเจอเขาเลยนะ คนนั้นที่ทำให้มึงล่กแบบนี้อะ! มึงจะได้ไม่เป็นเหมือนคำแช่ง”


“ก็บอกว่าไม่ใช่ไง อีกอย่างมันไม่มีทางจะแช่งแล้วเป็นจริงทุกรอบได้หรอกน่า มึงอะกังวลเกิน”


“เกินไปเหี้ยอะไร นี่กูหวังดีนะไอ้ทิวา! ห้ามไปเจอเขาอีก”


“เออ ไม่เจอหรอกน่า คนเป็นร้อยเป็นพัน จะไปบังเอิญเจออะไร”


แต่เดือนอ้ายไม่ไว้ใจเสียแล้ว จึงหรี่ตาพยายามให้เพื่อนที่หลบตามองตาตัวเองให้ได้ “มองกูเดย์”


“...มองอะไรอี๊ก!”


“พรุ่งนี้ไม่ต้องมาดูแล้ว”


“อะไรเนี่ย มึงมาห้ามทำไม นานๆ ทีกูจะได้เจอวีอาร์นะเว้ย”


“ก็เผื่อเขามาอีก”


“งั้นก็เจอกันพรุ่งนี้”


“...ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมไปเลย เข้าใจไหม”


“ไม่เอา”


“ทิวา!”


“กูชอบวีอาร์มากมึงก็รู้”


“...”


“กูจะมา จบนะ”


“...”


“แล้วก็เรื่องที่มึงกังวล ไม่ต้องคิดมากน่ะ กูบอกแล้วคนเป็นพัน ไม่มีทางบังเอิญเจอกันแน่ๆ” ว่าแล้วทิวาก็ลูบหัวเพื่อนตัวเตี้ยจอมคิดมากไปทีหนึ่ง พยายามแสดงออกเหมือนไม่คิดอะไร ทั้งที่จริงๆ เขากลับนึกถึงประโยคต่อมาที่อีกคนได้พูดทิ้งเอาไว้


ถ้าบังเอิญเจอกันนะ...งั้นเหรอ


ทำไมเขากลับรู้สึกว่าครั้งหน้าหากเขากับอีกคนได้เจอกันมันจะไม่ใช่ความบังเอิญกันวะ?

 





ว่าตั้งแต่ที่สบตากันครานั้น
ฉันก็เฝ้ารอการพบกันครั้งต่อไปของเราตลอดมา

(โปรดติดตามตอนต่อไป)
---------------------------------------------------------
fact about ทิวา

ทิวาเป็นเด็กปากแข็งและไม่ค่อยยอมรับอะไรง่ายๆ จนกระทั่งหมดหนทางจะปฏิเสธจึงจะยอมรับ

เวลาที่ชอบใครสักคนเข้าก็เหมือนกัน

NAVY

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
โถๆๆๆ  คำสาปเป็นจริงแล้ว

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1


ฉันเคยกล่าวอ้อนวอนตอนที่ใจของฉันเริ่มสั่นไหว

อย่าได้เกิดเป็นความรักเลยนะ






ตกหลุมรักระยะที่ 1

 





ช่วงเวลาคาบเกี่ยวระหว่างหกโมงเย็นและหนี่งทุ่มวนมาอีกวันแล้ว ทิวายืนอยู่ท่ามกลางคนหมู่มากเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคงจะเป็นความตื่นเต้นที่ยังคงกรุ่นอยู่ในอก หากมันไม่ได้ตื่นเต้นเพราะวงสุดที่รักขึ้นแสดง แต่กลับเกิดจากการรอคอยว่าในวันนี้จะได้พบกับคนเมื่อวานหรือไม่


แม้ปากจะปฏิเสธแทบตายอย่างไรก็ตาม แต่ในใจลึกๆ ของทิวารู้ดีว่าตัวเองกำลังรออยู่ตลอด


คำพูดของเดือนอ้ายไม้ได้เข้าหัวเขาเลยแม้แต่นิดเดียว รั้งแต่จะทำให้เขารู้สึกว่าคำแช่งนั้นยิ่งไม่มีทางเป็นจริงเข้าไปใหญ่ เขาไม่ได้ชอบคนที่เพิ่งเจอได้แค่วันเดียวสักหน่อย แค่...ชอบที่ได้ยืนดูวงที่ชอบไปกับคนที่ชอบเหมือนๆ กันเท่านั้นแหละ


อืม แค่นั้นจริงๆ


ขณะกำลังมองทีมงานจัดเวทีไปเพลินๆ สัมผัสหนักๆ ก็วางลงบนผมของเขา พร้อมกับที่มีใครมายืนอยู่ที่ว่างข้างตัว ราวกับรู้ว่ามันเว้นว่างไว้เพื่อใครคนหนึ่งและเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือ ก็พบว่าเป็นคนเดิมกับเมื่อวานจริงๆ


ถึงจะไม่รู้สาเหตุแต่เขาก็เผลอยิ้มออกมาจนได้ ซึ่งอีกคนก็ยิ้มออกมาเช่นเดียวกัน แม้จะเป็นรอยยิ้มมุมปากที่ทำให้รู้สึกเหมือนแสยะยิ้มนิดๆ ก็ตาม


“‘บังเอิญ’ เนาะ”


“อือ ‘บังเอิญ’ จริงๆ นั่นแหละ”


พูดจบพวกเขาก็หลุดหัวเราะออกมากันทั้งคู่ ทั้งที่ไม่มีอะไรน่าขำเลยสักนิด ใบหน้าของเราถูกย้อมด้วยแสงสีต่างๆ จากหน้าเวทีพร้อมกับที่การแสดงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง แม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่ายังไงเพลย์ลิสวันนี้ก็คงไม่ต่างจากเมื่อวานมากนัก แต่เขาก็ยังตื่นเต้นและรอคอยอยู่ทุกครั้งที่ได้ยืนดูจากด้านหน้าเวทีเช่นนี้


“ชอบมากเลยเหรอวงนี้น่ะ ถึงได้มาดูซ้ำ”


“ฮะ? ไม่ได้ยิน!”


เพราะเสียงรอบตัวของพวกเขาดังจนเกินไป ทำให้ทิวาเห็นแค่อีกคนขยับปากเป็นคำไปมา แต่ไม่ได้ยินเสียงเลยแม้แต่นิดเดียว คนตรงหน้าขมวดคิ้วนิดหน่อยด้วยความขัดใจ แต่สุดท้ายก็คลายปมบนคิ้วสวยได้รูปนั่น แล้วลดใบหน้าและระยะห่างพวกเขา กระทั่งทิวารับรู้ถึงลมหายใจที่เป่ารดข้างแก้ม แม้จะรู้สึกแปลกๆ ในอก แต่ทิวากลับไม่คิดจะผละออก กลับยังคงยืนนิ่งอยู่แบบนั้น ค่อยๆ ตั้งใจฟังคำพูดที่อีกคนพูดมาทีละคำ แล้วพยักหน้าให้เป็นเชิงบอกอีกคนว่าเข้าใจแล้ว ก่อนจะทำแบบเดียว กระซิบตอบกลับไปทั้งที่ในอกหัวใจเริ่มไม่ภักดี เต้นรัวเป็นจังหวะที่ทิวาไม่เคยเป็น


มันไม่ได้เต้นดังตามจังหวะกลองที่ดังกระหึ่มในงาน แต่ระรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอกเสียให้ได้เสียมากกว่า


“ชอบ! มาก!”


“เอาจริงๆ ก็มีวงอีกเยอะนะที่เล่นได้ดีแบบนี้ ทำไมถึงต้องเจาะจงเป็นวงนี้วะ” โชคดีที่ต่อมาเข้าสู่เพลงช้า ทำให้เสียงเพลงและเสียงตะโกนรอบตัวเริ่มเบาลงหน่อย ระดับเสียงพูดคุยของทิวากับคนข้างๆ จึงไม่ถึงกับต้องกระซิบเช่นเพลงที่แล้ว ทิวาแทบไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำกับคำถามนั้น เขายิ้มแล้วมองนักร้องนำที่กำลังร้องเพลงที่เขาชอบที่สุด พร้อมกับแววตาหลงใหล


โดยที่ไม่ทันสังเกตว่าในตอนนั้น มีใครอีกคนที่มองเขาอยู่ด้วยสายตาเช่นนั้นเหมือนกัน


“ก็จริงที่มีวงอื่นที่เล่นดี ร้องเพลงเพราะ เป็นที่นิยมมากๆ เหมือนวีอาร์ แต่สำหรับนี่มันต้องเป็นวีอาร์เท่านั้นอะ ถึงจะชอบ”


“...”


“ก็คงเหมือนการชอบใครสักคนมั้ง ที่ต่อให้คนอื่นดีสักแค่ไหน แต่เราก็ยังชอบเขาอยู่คนเดียว”


“...มึงเคยชอบใครหรือไงถึงได้พูดเป็นตุเป็นตะได้แบบนี้”


ทิวาหัวเราะร่วน “ก็ไม่ถึงขนาดไม่มี แต่ก็คิดว่าพอรู้อยู่นะ...”


“รู้ว่า...?”


“รู้ว่าเวลาชอบใครแล้วรู้สึกว่าเขาพิเศษกว่าใครมันเป็นยังไง”


จบประโยคนั้นพวกเขาก็ต่างเงียบ ปล่อยให้เสียงเพลงเข้าครอบคลุมบทสนทนาทั้งหมดแทนเสียอย่างนั้น แต่ก็ราวทุกอย่างเป็นใจอย่างไรก็ไม่รู้ เมื่อเพลงที่กำลังเล่นอยู่ตอนนี้เป็นเพลงรักเพลงหนึ่งที่กล่าวถึงความสวยงามของความรู้สึกที่มีต่อใครบางคน ความรู้สึกที่แสนงดงามนั้นที่ทิวาคิดว่ามันกำลังเกิดกับตัวเอง


คิดมาถึงตรงนี้ทิวาก็รีบสะบัดหัวทิ้งความคิดนั้นออกไปแทบไม่ทัน


บ้าไปแล้วจริงๆ


เขากำลัง... ไม่หรอกใช่ไหม


เมื่อแอบมองคนข้างตัวก็พบว่าอีกคนให้ความสนใจกับดนตรีบนเวทีไปแล้ว แต่ทิวากลับยังไม่สามารถดึงตัวเองออกจากการมองเสี้ยวใบหน้าด้านข้างของอีกคนได้เลย










 
มันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่แค่มองไปที่คุณ

ผมก็ยิ้มออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว

หลงใหลคุณจนเหมือนคนบ้าเลย ที่รัก





 

“มองอะไร”


“...”


“นี่...”


“ขอโทษ แต่มันหันไปเองนี่นา”


“...”


ทิวาไม่กล้ามองตาคนข้างๆ เลยแม้แต่นิดเดียว นานแล้วที่ไม่ได้ขัดเขินจนทำอะไรไม่ถูกเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะโกหกอะไร ได้แต่พูดออกไปตามใจตัวเอง เพราะเขารู้ว่าถ้าไม่พูดออกมาตอนนี้คงจะไม่มีโอกาสแล้ว


พวกเขาคงได้เจอกันแค่ตอนนี้ ในช่วงเวลาเช่นนี้เท่านั้น


“ไม่รู้หรือไงว่าเขาไม่ให้มองคนแปลกหน้าด้วยแววตาแบบนั้น”


“แบบไหน”


อีกคนยิ้มแล้วฉวยโอกาสตอนที่คนรอบโยกตัวไปมาในช่วงสุดท้ายของเพลงนี้ขยับเข้ามาใกล้ ใกล้จนปลายจมูกของพวกเขาแทบเฉียดกันไปมา ส่งยิ้มที่ต่างจากตอนแรกมากให้ ยิ้มที่กว้างระบายเต็มแก้ม ดันจนดวงตาเรียวรีนั่นโค้งเป็นเหมือนพระจันทร์แสนน่ารัก “แบบนี้”


“...”


“แววตาแบบเดียวกับที่มองนักร้องคนโปรดบนเวทีนั่นไง”


“ไม่ได้มองแบบนั้นเลยเหอะ”


“ก็มองอยู่นี่ไง”


“รู้ได้ไงว่ามองแบบนั้นอยู่”


“ก็เมื่อกี้...กูมองอยู่ตลอด” คำพูดและนิ้วที่ชี้เขาหาตัวเองราวกับจะบอกใบ้ ทำให้ทิวาอดก้าวถอยหลังออกจากบรรยากาศแบบนั้นไม่ได้ เขาไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าอาการแบบนั้นหมายถึงที่ผ่านมาที่ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยกันเสียนานสองนาน อีกคนกำลังมองเขาด้วยสายตาเช่นนี้มาตลอด โชคดีที่อีกคนไม่ได้คิดจะไล่ต้อนเขาไปมากกว่านี้ จึงผละออกไปยืนมองเวทีเช่นเดิม แต่ยังคงพูดกับเขาอยู่


“อันที่จริงกูไม่ได้ชอบวีอาร์มากขนาดนั้นหรอก เมื่อวานที่มาก็เพราะเพื่อนชวน ตั้งใจว่าจะมาดูแค่วันเดียว”


“อ้าว...”


คนแปลกหน้ายิ้ม แล้วพูดต่อ “แต่เพราะเมื่อวานเจอคนต๊องๆ คนหนึ่งเข้า เลยอยากจะมาดูอีกเผื่อจะได้เจอกันอีก”


“...”


“ไม่คิดว่าจะเจอจริงๆ”


“...ไหนบอกถ้าบังเอิญ”


“ไม่รู้หรือไงว่าความบังเอิญน่ะมันมีแค่ครั้งแรกเท่านั้นแหละ”


“...”


“ครั้งต่อมา...ถ้าได้เจอกันอีก มันก็คือความตั้งใจจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่อยากเจอต่างหาก”


เพลงแล้วเพลงเล่า ทั้งเพลงที่สนุกสนานจนต้องกระโดดโลดเต้นตาม เพลงรักหวานๆ ที่ทำให้ยิ้มกว้างหรือเพลงเศร้าที่ฟังแล้วได้แต่หวนย้อนนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ที่ผ่านไปแล้ว ต่างถูกบรรเลงและขับร้องมาจนถึงเพลงสุดท้ายอีกครั้ง พวกเขายืนฟังเพลงนั้นเงียบๆ ไม่ได้แหกปากร้องเช่นเมื่อวาน เช่นเดียวกับที่วันนี้มือของเขาและอีกคนไม่ได้กุมเข้าหากัน


ในตอนที่คิดว่าน่าเสียดายที่วันนี้จะจบไปเช่นนี้ ทิวาก็พลันรู้สึกถึงแรงสะกิดเบาๆ ที่ปลายนิ้วของมือข้างซ้าย เขารู้ดีว่าแรงที่ว่าเกิดจากใคร เพราะงั้นจึงไม่กล้าจะหันไปมอง ทำได้แต่ขยับและกุมปลายนิ้วอีกคนเอาไว้เบาๆ จนเหมือนไม่ได้จับอยู่ แต่สัมผัสอุ่นบางเบาที่สัมผัสได้นั้น กลับบอกเขาอย่างชัดเจนถึงการก่อตัวของอะไรบางอย่างในใจของเขา


อะไรที่เพื่อนของเขาห้ามปรามและแสนกังวล แต่เขากลับไม่รู้สึกหวาดกลัวใดๆ


หากในอนาคตข้างหน้าจะเสียใจ ก็ไม่เป็นไร


แต่ถ้าหากเขายอมให้จบไปแบบนี้ในวันนี้ ทิวากลับรู้สึกว่าเขาจะเสียใจไปตลอดชีวิต


“ถามชื่อได้ไหม”


“ได้ แต่บอกชื่อแลกกันด้วย”


ทิวาหลุดยิ้มกับคำพูดแสนเอาแต่ใจนั่น แล้วพูดขึ้น “ชื่อเดย์ แต่บางทีเพื่อนก็เรียกว่าทิวา”


“ชื่อวิน”


“...”


“มาจากมาวินชื่อจริงน่ะ” วินว่าพลางยักไหล่ ทำเหมือนไม่ค่อยชอบชื่อตัวเองเสียเท่าไหร่ แต่ทิวากลับรู้สึกว่ามันเหมาะกับอีกคนอย่างบอกไม่ถูก


“มาวิน ก็เหมาะดีออก”


“ยังไง”


“ก็ดูเหมือนเป็นคนแบบนั้น”


“...”


“แบบที่ทำให้ใครหลงชอบได้ง่ายๆ ชนะทั้งที่ยังไม่ต้องทำอะไรเลย แบบนั้น” พูดไปก็เลี่ยงจะสบตาไป ทิวารู้สึกว่าคำพูดตัวเองมันทั้งน้ำเน่าและตลกมากแน่ๆ ไม่งั้นวินคงไม่หัวเราะแบบนี้ แต่เมื่อรู้สึกว่ามือถูกจับแน่นขึ้น เขาก็จำต้องหันไปมองอีกคนอย่างเสียไม่ได้


“ใครว่า ถ้าไม่ต้องทำอะไรแล้วใครชอบง่ายๆ วันนี้ก็คงไม่ยืนอยู่ตรงนี้”


“...”


“จะชอบใครสักคนมันก็ต้องพยายามทั้งนั้นแหละ”


“แล้วครั้งนี้...ต้องพยายามมากไหม”


“ก็ถ้าชอบมากก็อยากจะพยายามมากๆ”


“...”


มาวินยิ้ม “ก็...รู้สึกว่าพยายามมากอยู่นะ ครั้งนี้น่ะ”


“...ก็จบไปแล้วนะครับสำหรับบทเพลงสุดท้ายของวันนี้ แต่ไม่ต้องเศร้าไปนะครับ พรุ่งนี้เราจะยังได้เจอกันอีกอย่างแน่นอน!”


“พรุ่งนี้...จะมาอีกหรือเปล่า”


“ไว้กลับมาเจอกันในช่วงเวลาที่น่าจดจำและแสนงดงามนี้ด้วยกันอีกนะครับ!!! ไว้เจอกันใหม่ครับ”


“มาดิ บอกแล้วว่าชอบวีอาร์มากๆ”


มาวินยิ้ม ทิวาก็ยิ้ม ในตอนที่กลุ่มคนพากันทยอยจากไปเช่นเมื่อวาน พวกเขายังยืนอยู่ตรงนั้นเช่นวันวานแล้วจับมือกัน กล่าวคำพูดที่คล้ายจะเป็นคำสัญญา


“ไว้เจอกัน...วันพรุ่งนี้”


“ได้ เจอกันวันพรุ่งนี้”


ว่าพรุ่งนี้ ตรงนี้ที่เราพบกันครั้งแรก เราจะกลับมาพบกันอีกครั้ง


ด้วยความรู้สึกที่ชัดเจนกว่าเดิมอย่างแน่นอน

 






-------------------------------------------------------------------------------------------------------------












ทิวาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมาถึงหอพักได้ยังไง กว่าจะรู้ตัวอีกทีเขาก็โดนเพื่อนสนิทที่จับกลุ่มกันนั่งกินของว่างมื้อดึกด้วยกันใต้ตึกดึงไปนั่งด้วยแล้ว เดือนอ้ายบ่นเป็นหมีกินผึ้ง เมื่อเห็นว่าเขาแอบขัดคำสั่งแอบไปดูวีอาร์ทั้งที่เจ้าตัวออกปากห้ามแล้วแท้ๆ


ทิวาเบ้ปากแล้วแย่งขนมในมือโรมมากินหน้าตาเฉย ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับการไม่สนใจคำเตือนของเพื่อนในครั้งนี้ “ก็บอกแล้วว่าจะดูให้ครบสามวัน กูชอบวีอาร์มากๆๆๆ เท่าโลกชุบแป้งทอด ทำไมกูจะไปดูไม่ได้”


“ถามตัวเองดีกว่าว่าทำไมกูถึงได้ห้ามมึง มึงรู้ดีที่สุดไอ้เดย์”


“รู้อะไร”


“พูดสิว่ามึงไม่ได้เจอเขา”


“...”


“กล้าสาบานกับกูไหมว่าไม่ได้เจอ”


“...ทำไมมึงชอบเอาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาทำให้ใหญ่โตวะ เจอแล้วไง ไม่เจอแล้วยังไง ไม่เห็นมีอะไรสักหน่อย” เห็นเดือนอ้ายมีท่าทางต่อต้านและคาดคั้นแบบนั้น ในใจทิวายิ่งหงุดหงิด อดประชดประชันออกไปไม่ได้


เดือนอ้ายมองทิวาที่เอาแต่เคี้ยวขนมอย่างเอาเป็นเอาตาย แสดงออกว่าจะไม่ยอมตอบอะไรที่เกี่ยวกับคนคนนั้นอย่างเด็ดขาดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ไม่อยากจะคิดอะไรให้มันดูเป็นลางร้าย แต่คล้ายกับว่าผลของความปากดีของปัณจะเริ่มต้นแล้ว คิดแล้วก็อดหงุดหงิดไม่ได้ มือที่กำลังล้วงไปในถุงถั่วอบจึงกำขึ้นแล้วปาใส่ปัณที่นั่งกินขนมข้างๆ อย่างอดไม่ได้


คนโดนทำร้ายสะดุ้งปัดถั่วที่เลอะตามตัวแทบไม่ทัน มองเพื่อนตัวเล็กที่จู่ๆ ก็หงุดหงิดขึ้นมาด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ถือสาอะไร เพียงแค่ขยับออกไปชิดโรมแทน จำได้ว่าวันนี้ยังไม่ทันจะได้บีบแก้มสักครั้งเลยนะ ทำไมมันของขึ้นวะ


“แม่มึงโมโหไรเนี่ย กูโดนปาถั่วใส่เฉย”


“อยากไล่ยักษป่าว ที่ญี่ปุ่นเขาชอบปาถั่วใส่ยักษนะ”


“ไอ้สัส กูไม่ใช่ว้อย”


“ก็มึงปากศักดิ์สิทธิ์นี่ เผื่อเป็นยักษปลอมตัวมาหลอกแดก”


“เพ้อเจ้อไอ้เหี้ย” ว่าแล้วก็ตบหัวโรมไปหนึ่งที แต่คนโดนตบหัวไม่ได้สนใจ เอาแต่มองใบหน้าเหม่อๆ เหมือนคิดอะไรอยู่ของทิวาแล้วเกิดสงสัยขึ้นมา “แต่วันนี้มึงดูเหม่อๆ นะเดย์ ไปเจออะไรมาวะ”


“จะเจออะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่...”


“ไอ้อ้าย หุบปากไปเลย” ทิวาว่าพร้อมกับโผไปปิดปากเดือนอ้ายแทบไม่ทัน อาการร้อนตัวยิ่งทำให้โรมสงสัยเข้าไปใหญ่ว่ามันมีอะไรกันแน่ “ไม่มีอะไร แค่เสียดายนิดหน่อยที่วีอาร์มาแสดงน้อยไปหน่อย”


“น้อยอะไร สามวันนี่ก็เยอะแล้วนะ มึงแน่ใจว่าหมายถึงวีอาร์” เดือนอ้าย


“อ้าว แล้วมันหมายถึงอะไร” โรม


“มึงไปชอบใครมาหรือไงเดย์” ปัณ


“...”


“อ้าว เงียบทำไมวะ กูสงสัยเหมือนกันเนี่ย” ปัณที่ไม่ได้รู้ตัวว่าหลุดพูดประเด็นสำคัญออกมา มองเพื่อนรอบตัวที่จู่ๆ ก็เงียบไปด้วยความสงสัย เดือนอ้ายถอนหายใจกับความปากไวของมัน แต่ก็รู้สึกขอบคุณมันเหมือนกันที่มันพูดออกมาแทนเขา เพราะทันทีที่มันพูดแบบนั้นออกมา สีหน้าที่พยายามนิ่งเฉยของทิวาก็มีอันเปลี่ยนแปลง


และเพราะสีหน้านั้นคนที่เหลือเลยรู้ทันทีว่าที่เดือนอ้ายเป็นเดือดเป็นร้อนคือเรื่องอะไร


“มึงมีคนที่ชอบแล้วจริงเหรอวะ” โรม


“ไหนว่าชอบคนยากไง” ปัณ


“คิดไปเอง เป็นหมาตั้งแต่วันแรกที่เจอเขาเลยด้วยซ้ำ” เดือนอ้าย


“ไม่ใช่ว้อย ไม่ได้ชอบ”


“ไม่ได้ชอบแล้วทำไมถึงต้องไปยืนดูด้วยกันกับเขาเป็นนานสองนาน”


“มึงไม่ได้เห็นสักหน่อย มั่ว”


“จะมั่วได้ไง กูยืนอยู่ข้างหลังมึงตลอด”


ทิวาถึงกับพูดไม่ออก ยิ่งเห็นว่าปัณและโรมพยักหน้าสนับสนุนคำพูดเขาก็ยิ่งอึ้ง “อันนี้กูเป็นพยานได้ เพราะกูไปรอมันอยู่หน้าทางออก เพิ่งมาถึงเลยมานั่งกินขนมรอมึงเนี่ย”


“...”


“กูเห็นนะ มือพวกมึงอะ”


“...ตั้งแต่แรกเลยเหรอ”


“เออ”


“...”


“ก็รออยู่ว่ามึงจะพูดไหม แต่สุดท้ายก็ปากแข็ง เฉไฉไม่เข้าเรื่อง คนเขาก็ห่วงไปสิ กูเตือนมึงแล้วนะว่าปากไอ้ปัณมันแย่จริง เป็นจริงขึ้นมามึงจะเสียใจเอา”


“ทำไมเหมือนกูโดนด่าเลยวะ” ปัณ


“ก็กูด่ามึงนี่แหละ กี่ครั้งแล้วล่ะที่องค์ลงปากแล้วแช่งคนไปทั่ว ไอ้ตูดหมา”


“มึงทำเหมือนกูแช่งคนเป็นประจำเหมือนปวดขี้อะ คือไม่ใช่ป่ะ”


“ปีนี้รวมกับครั้งไอ้เดย์สี่ครั้งละปะ อันที่จริงมึงไม่ควรพูดออกมาสักครั้งอะ”


“มึงจะตีกันเองแล้วใช่ไหม กูจะได้ขึ้นไปนอน...” ทิวาฉวยโอกาสตอนที่สองเพื่อนรักเริ่มหันไปตีกันหนีขึ้นห้อง จะได้ไม่ต้องโดนอีกคนคาดคั้น ทว่ามีหรือจะรอด


“ไม่ได้! กลับมานั่งเลย กูยังพูดไม่จบ”


“...”


“ทันไหมเดย์”


“...อะไร”


“ตัดใจอะ ยังทันไหม”


“...”


พวกเขาเงียบกันไปนานมาก สุดท้ายทิวาก็ขยับศีรษะไปมาแทนคำปฏิเสธ เพราะถึงแม้ความรู้สึกในตอนนี้จะยังไม่ลึกซึ้งจนเรียกออกมาได้เป็นคำพูด แต่มันก็มากพอที่เขาจะไม่อยากปล่อยให้อีกคนหายไปง่ายๆ


ยังอยากที่จะเจอกันอีก อยากจะรู้จักกันให้มากขึ้นมากกว่านี้


“ไม่ทันแล้ว...ละมั้ง?”


“เฮ้อ”


สามคนที่เหลือมองคนที่เพิ่งตกหลุมรักขั้นแรก ก่อนจะนึกย้อนไปถึงเรื่องราวเมื่ออาทิตย์ก่อนอย่างปลงๆ มาถึงขั้นนี้พวกเขาคงทำอะไรไม่ได้แล้ว ที่ทำได้ก็คงคอยซัพพอร์ตเพื่อนต่อไปไม่ว่าจะจบยังไงแทนเท่านั้น


“ก็อยากพูดว่าเผื่อใจไว้หน่อยเหมือนกัน แต่คงไม่ทันแล้วใช่ไหม”


“...”


“งั้นก็มีความสุขให้มากที่สุดนะเดย์”


“...”


“ไม่ต้องไปคิดถึงคำแช่งของปัณมันแล้ว มึงอยากรักเขาหรือแค่อยากมีเขาในชีวิต ยังไงก็แล้วแต่มึง”


“...”


“แต่ตัวเองไม่เสียใจทีหลังก็พอ”


“อืม รู้แล้ว”


“...”


“อันที่จริง” ทิวามองมือของตัวเองที่วันนี้ถูกมือข้างเดิมจับเอาไว้แล้วยิ้ม “ก็ตั้งใจไว้แบบนั้นตั้งแต่ตอนที่ได้เห็นหน้าเขาอีกครั้งแล้วล่ะ”







 
จนเมื่อมือของเรากอบกุมเข้าหากัน ฉันจึงเริ่มภาวนา

ว่าหากเป็นรัก เป็นความรักอันจริงแท้

ก็ขอให้มันยืนยาวนานจนสิ้นลมหายใจ



(โปรดติดตามตอนต่อไป)

-------------------------------------------------------------

fact about ทิวา

ทิวาเป็นเด็กดื้อ ที่เมื่อปักใจแล้วก็จะเปลี่ยนใจยากอย่างถึงที่สุด

ยึดมั่นยังไง ก็จะไม่เปลี่ยนแปลง

NAVY



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
 



หากเจ้าต้นรักต้นนี้เติบโตอยู่ผิดถิ่น

ฉันจักไถ่ถอนมันออกจากใจ









ตกหลุมรักระยะ 2







วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว



วันนี้ทิวาก็ยังมายืนรออยู่ที่เดิม ท่ามกลางคนมากมายที่คุ้นหน้าบ้าง ไม่คุ้นบ้างรอบตัว แต่ไม่ว่าจะกี่คนที่เดินผ่านเขาไป กลับไม่มีสักคนที่เขารอ จนที่วงโปรดของเขาเริ่มแสดงแล้ว เขาก็ยังไม่เห็น


เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า? หรือจะไม่มาแล้ว


พอคิดแบบนั้น หัวใจที่พองฟูมาทั้งวันก็แฟบลงเหมือนลูกโป่งถูกปล่อยลม แม้เพลงของวงโปรดจะยังเพราะเช่นเดิม แต่เขากลับไม่มีความสุขมากขนาดนั้นอีกแล้วที่ได้ฟัง


ทิวาเลิกมองหาและตัดสินใจหันหลังหมายจะเดินออกจากกลุ่มคนที่อออยู่หน้าเวที วันนี้ที่ไม่มีใครคนนั้นที่เขารอยืนฟังเพลงด้วยกันมันไม่สนุกเอาเสียเลย


และในตอนนั้นเองเขาก็พลันเหลือบไปเห็น ราวกับบนร่างของใครคนนั้นผูกติดกับดวงตาของเขาเอาไว้


ท่ามกลางคนมากมาย แต่เขากลับมองเห็นอีกคนได้เพียงกวาดสายตามองหา


คนที่เขากำลังรอยืนอยู่ในกลุ่มคนที่มาดูคอนเสิร์ตเช่นคนอื่น เพียงแค่วันนี้...คนที่อยู่ข้างกายไม่ใช่เขา เป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่แม้จะมองจากด้านหลังทิวาก็รู้สึกว่าเธอคงจะน่ารักมากแน่ๆ ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมวันนี้ถึงไม่มาอยู่ข้างเขา


ก็นะ...แพ้เห็นๆ

เมื่อมอ
งจนพอใจและรู้สึกแย่มากพอแล้ว ทิวาก็เตรียมถอนสายตาออกจากอีกคน ทั้งเกือบเตรียมจะถอดใจตัวเองที่เอนเอียงให้ออกมาจากหลุมรักที่เพิ่งก้าวลงไปด้วย เพราะสำหรับทิวาแล้ว แม้จะชอบหรือรักแค่ไหน ถ้าหากอีกคนมีเจ้าของแล้ว เขาก็ไม่คิดจะชอบต่อ จะยากแค่ไหนก็จะถอนตัวออกมาให้ได้


แต่คล้ายอีกคนไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนั้น เพราะงั้นตอนที่เขาละสายตาออกห่าง ใบหน้าที่เขาเฝ้ารอที่จะพบก็พลันหันกลับมาจนสบตากันในที่สุด


เหมือนตอนจบของหนังโง่ๆ ที่มีตอนจบห่วยแตกเรื่องหนึ่ง ที่ตัวเอกทำได้แค่มองคนที่ตัวเองชอบอยู่เคียงข้างคนอื่นที่อาจคู่ควรกว่า โดยที่ไม่มีแม้แต่แรงจะเข้าไปห้ามหรือดังรั้งเอาไว้ ได้เพียงแค่ยืนมองและยิ้มออกมาให้ ก่อนเป็นฝ่ายละสายตา เดินจากออกมาจากสถานการณ์นั้น แม้ใจจะไม่เคยยินยอมก็ตาม


มันเพิ่งเริ่มเอง เขาบอกตัวเอง มันเป็นเพียงหน่ออ่อนเล็กจ้อยของความรู้สึกรักที่เขาไม่ค่อยคุ้นเคยนัก แต่ก็พยายามที่จะเรียนรู้มันเมื่อพบอีกคน บางทีมันคงไม่ยากนักหากเขาจะถอนมันออกจากใจ


คงไม่ยาก แต่เขาทำไม่ลง


“ทิวา!”


ทั้งยังไม่อาจทำได้อย่าแท้จริง


ชื่อของตัวเองที่ดังก้องบนทางถนนยามค่ำคืนในมหาลัยทำให้เขาต้องชะงักก้าวเดิน แต่กลับไม่ยอมหันกลับไป ไม่ใช่กลัวว่าจะเป็นเรื่องลี้ลับ แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่กล้าจะหันกลับไปมองมันน่ากลัวกว่าเจอผีเป็นร้อยเท่า


เขากลัวว่าเมื่อหันกลับไป มันจะทำให้ผิดหวังอีกครั้ง ถ้าไม่ใช่อีกคน


“ทิวา...”


“...ทิ้งผู้หญิงเอาไว้ ไม่ใช่สิ่งที่สุภาพบุรุษทำนะรู้ไหม”


เขาก็ยังไม่ยอมหันกลับไปอยู่ดี แม้มาวินจะมาอยู่ข้างตัวทั้งจับไหล่ข้างหนึ่งของเขาเอาไว้ราวกับกลัวจะวิ่งหนีหายไป เอาแต่ยืนทื่อฟังเสียงหัวเราะที่ปะปนไปกับเสียงหอบหายใจเพราะวิ่งตามเขามาของอีกคนเงียบๆ


“ก็ไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นสุภาพบุรุษนะ แล้วก็มันไม่ใช่หน้าที่กูด้วย”


“ได้ยังไง...”


“ได้สิ ก็นั่นมันแฟนของเพื่อน จะต้องไปดูแลอะไรมากมายในเมื่อมันมีคนของมันอยู่แล้ว”


“...”


“สิ่งที่ต้องทำคือดูแลคนของตัวเองมากกว่าคนของเพื่อน มึงคิดว่างั้นไหม”


คลื่นความร้อนขนานใหญ่เข้าจับจองทั้งแก้มทั้งสองข้างและบริเวณที่มือของมาวินจับอยู่ ทิวารู้ถึงขนาดว่าเสียงตัวเองกำลังสั่นตอนที่ตอบกลับไปและมันคงทำให้อีกคนจับได้ว่าเขาแอบคิดไปไกลแค่ไหน ทว่าความสงสัยมันมีมากเกินกว่าจะทนทำเป็นนิ่งเฉย


“คนของตัวเองอะไร ใคร?”


“สักคนที่วิ่งหนีมามั้ง”


“มั่ว”


“ก็ถ้ามั่วจริงๆ ก็ช่วยหันกลับมามองหน้ากันแล้วพูดได้ไหม จะได้รู้ว่ามั่วจริง” มาวินไม่รอให้อีกคนตอบ ออกแรงรั้งไหล่ของอีกคนให้หันหน้ามามองกัน แม้ว่าแสงไฟบนถนนในมหาลัยจะไม่ได้สว่างมากนัก แต่ก็ไม่มืดจนมองไม่เห็นว่า ใบหน้าที่ติดอยู่ในสมองของเขามาสองวันนี้ กำลังแดงจัดเหมือนจะกลายเป็นมะเขือเทศลูกโตๆ ที่เขาชอบไม่มีผิด พอเห็นแบบนั้นเขาก็อดยิ้มไม่ได้ ก่อนจะยื่นมือไปจิ้มเบาๆ ที่แก้มนุ่ม


“รู้ไหมว่าหน้าแดง”


“รู้ ร้อนไปทั้งหน้าเลยด้วยซ้ำ” ทิวาว่าพลางลูบแก้มตัวเอง บ่นอุบอิบในลำคอ แต่เพราะพวกเขาใกล้กันเกินไปและในมหาลัยที่คนไปออแถวคอนเสิร์ต บริเวณที่เขาอยู่จึงเงียบมากพอให้อีกคนได้ยินอย่างชัดเจนถึงคำตัดพ้อจากเขา


“ถามจริง บ้านขายขนมครกป่ะ หยอดเก่งชิบหาย”


“บ้านไม่ได้ขายขนมครก แต่ขายยา”


“...”


เห็นสีหน้าอึ้งๆ คล้ายจะเข้าใจผิด มาวินเลยเขกหน้าผากเนียนไปหนึ่งที “ร้านขายยาถูกกฏหมายครับ รักษาคน”


“พูดซะคนเข้าใจผิด แล้ว...มียาตัวนี้ไหม” ท้ายประโยคเขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วลงเล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่ามันจะเวิร์กไหม หากพูดกับคนคนนี้


“ลองว่ามาดิ แล้วจะพิจารณา”


“ยาที่ทำให้เลิกรู้สึกเหมือนจะชอบใครสักคน...มีขายไหม”


อีกคนฟังแล้วเงียบไปนานมาก จนทิวานึกอยากจะตีตัวเองขึ้นมาที่เกิดอยากจะเล่นมุกบ้าบอนี่ แต่ก่อนจะได้ทำแบบนั้น มาวินก็ตอบกลับมาเสียก่อน


“...อาจจะมีมั้ง แต่ไม่ขาย”


“ทำไม?”


“ใช้ไม่ได้หรอก”


มือที่ใหญ่กว่าเขาไซส์หนึ่งวางแปะลงบนผมของเขาเหมือนครั้งที่สองที่เจอกัน ก่อนจะจับโยกไปมา โดยที่ไม่รู้เลยว่าดวงใจของเขานั้น รู้สึกราวโดนมือข้างนี้จับเอาไว้อยู่หมัดเช่นเดียวกัน


“เคยลองแล้ว แต่ไม่ได้ผลเลย”


“...อันนี้ล้อเล่นหรือเปล่า แยกไม่ออกแล้วนะ” ทิวาเงียบไปพักใหญ่หลังจากที่มาวินพูดประโยคนั้นออกมา อันที่จริงเขาก็พอจะตามทันบ้างไม่ทันบ้าง แต่ด้วยคิดแหละว่าเขาอาจจะเป็นคนเดียวที่หวั่นไหวกับคำพูดทีเล่นทีจริงที่อีกคนเอ่ยปาก ทว่าพอมันมากขึ้นพร้อมกับความรู้สึก เขาก็อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้


ไม่ชอบแบบนี้เลย ไอ้ความรู้สึกที่เหมือนตัวเองกำลังลอยสูงขึ้นไปบนฟ้าเพราะคำพูดของใครบางคน ทั้งที่ไม่รู้ว่ามันหมายถึงตัวเองไหม แต่มันรู้สึกไปแล้วเช่นนี้ แล้วถ้าหากว่าอีกคนไม่ได้หมายถึงเขาจริงๆ เขาก็คงร่วงหล่นไปยังพื้น ทั้งความรู้สึกและหัวใจของเขา


ทิวาเอ๋ยทิวา ใจที่เคยคิดว่าแข็งแรงพอจะต่อต้านและเป็นอย่างนั้นตลอดมาตั้งแต่เริ่มรู้จักสิ่งที่เรียกความรัก แต่ทำไมพอเป็นคนนี้ เขาถึงได้อ่อนไหวได้ง่ายดายแบบนี้กันวะ


ก็เหมือนที่เดือนอ้ายว่าไม่มีผิด เขามันดีแต่ปากจริงๆ อุตส่าห์พูดไปเสียมากมายว่าเขาไม่มีวันเป็นอย่างที่ปัณพูดเอาไว้ เขาจะไม่หวั่นไหวหรือชอบใครง่ายๆ


สุดท้ายก็แพ้คนแปลกหน้าคนนี้ที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามาในชีวิตพร้อมกับเพลงวงโปรดของเขา


คนที่ทำให้สายตาเขาพาลแต่จะจับจ้องอยู่ เหมือนกับเวลาที่เขามองนักร้องที่ชอบไม่มีผิดคนนี้


“คือขอโทษถ้ามันทำให้รู้สึกเหมือนว่าโคตรมั่นหน้าชิบหาย แต่ตอนนี้คิดอะไรไม่ออกแล้ว ถ้ามึงแค่พูดเล่นแบบไม่คิดอะไร เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนใหม่เฉยๆ ก็บอกที”


“...”


“เพราะฝั่งนี้อะ...ที่มารอเจอทั้งสองวันมานี้ ไม่ได้อยากจะเป็นเพื่อนกับมึงนะ”


“...”


“มันน่าขยะแขยงไหม กูไม่รู้เหมือนกันแต่...”


ทิวารวบรวมความกล้าที่เหมือนเก็บมาทั้งชีวิตเพื่อมาใช้ในวันนี้ ช้อนสายตามองสบคนที่สูงเทียบเท่าตัวเองตรงหน้า พยายามบอกตัวเองว่าอย่าค้นหาความจริงอะไรในนั้นให้ใจเสีย แล้วพูดต่อให้จบประโยค


“...มันสั้นมากก็จริง แต่ที่กูรู้สึกมันดีมากๆ เลย”


“...”


“อยากให้ครั้งหน้าที่วีอาร์จัดงานแสดง มีมึงยืนฟังเพลงโปรดด้วยกันอีก”


“...”


“แต่ถ้าไม่รู้สึกเหมือนกัน ก็เอามือออกเถอะ จะได้ตัดใจ...” ยังไม่ทันจะพูดจบอย่างที่ตั้งใจเอาไว้เลย คำพูดกลับหยุดชะงักลงเพราะรอบประทับจางๆ ที่ริมฝีปากจากอวัยวะเดียวกัน มันเป็นเพียงพริบตาเหมือนปีกแมลงปอแตะบนผิวน้ำ แต่กลับสร้างรอยกระเพื่อมไหวในดวงใจของทิวาจนไม่อาจสั่งให้มันสงบลงได้ง่ายๆ


มาวินขยับใบหน้าออกห่างไปแล้ว แต่คราวนี้บนใบหน้าที่ทิวากำลังมองอยู่กลับเปื้อนรอยยิ้มจางๆ ที่ทำให้ใจของเขาสั่น พร้อมกับประโยคต่อมาที่เหมือนจะทำให้เขาล้มลงและพ่ายแพ้อย่างหมดรูป


กระทำและได้ผลเช่นเดียวกับชื่อของอีกคน


“ก็ไม่เคยตามตอแยใครขนาดนี้ ถ้าไม่ได้รู้สึกดีมากจนอยากมีเขาในวันต่อๆ ไปแบบนี้เหมือนกัน”


“...”


“ไม่เป็นเพื่อนก็ไม่เป็นดิ ก็ไม่ได้มางานนี้เพราะจะหาเพื่อนสักหน่อย”


“อ้าว งั้นแสดงว่าถ้าเจอคนอื่นที่ไม่ใช่กู...”


“ก็ไม่สนใจ”


“...”


นิ้วชี้จรดลงที่เหนืออกข้างซ้ายของเขา พร้อมกับรอยยิ้มที่เบ่งบานบนใบหน้าของทิวาในที่สุด “ก็สนใจคนนี้”


“...”


“แค่คนนี้” จู่ๆ มาวินก็หัวเราะ ราวกับนึกถึงเรื่องตลกเรื่องหนึ่งได้ เมื่อพูดมันออกมา คนฟังก็ได้แต่พยายามเก็บสีหน้าเก้อกระดากเอาไว้แทบไม่ทัน “เพราะคงไม่เจอคนเด๋อคนไหนลากคนแปลกหน้ามั่วๆ แบบไม่สังเกตแบบมึงอีกแน่ๆ”


“คือ...จะดีมากถ้าลืมๆ ไป”


“ลืมได้ไง ไม่ลืมหรอก เก็บไว้ล้อ”


“มาวิน!”


“ไม่ดีหรอกเหรอ มีไว้เป็นสตอรี่ไว้เล่าให้คนอื่นฟังไง ว่าเราจับมือกันครั้งแรกได้ยังไง...” ไม่ทันจะได้เขินเพราะคำพูดของอีกคน ทิวาก็ต้องเตรียมรับกับการจู่โจมครั้งต่อมาจากคนตรงหน้าแทบจะในทันที ทั้งมือที่จับกันอีกครั้งและ...ดวงตาที่สะท้อนภาพเขาในนั้น


รวมไปถึงใบหน้าที่ขยับเข้ามาใกล้ คล้ายจะมองหาภาพตัวเองในดวงตาของเขาเช่นกัน


“แล้วก็จูบแรกนี่ มันเกิดยังไง”


“...”


“ฟังดูเป็นไง? ดีไหม”


ทิวาหัวเราะเบาๆ แล้วพยักหน้า ก่อนกระซิบตอบกลับไปแล้วค่อยๆ หลับตารับสัมผัสอ่อนหวานที่ตรงริมฝีปากอีกครั้ง...และอีกครั้ง


“ดี ดีมาก”


เดือนอ้ายจะด่าไหมนะ แต่ช่างเถอะ ไว้ค่อยถึงตอนนั้นแล้วค่อยว่ากันอีกที


ตอนนี้...เขาขอมีความสุขก่อนละกัน








แต่หากมันเกิดถูกถิ่นและแผ่นดินนั้นยินดีจะโอบรับ


ฉันจักดูแลและทะนุถนอมยิ่งกว่าสิ่งใด



(โปรดติดตามตอนต่อไป)

---------------------------------------------------------------------

fact about ทิวา

ทิวาไม่ใช่คนที่มั่นใจในตัวเอง แม้ท่าทางภายนอกจะไม่ใช่แบบนั้นเลยก็ตาม

NAVY



ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
 

เมื่อลืมตาอีกครั้งกลับพบว่าทุกอย่างแปรเปลี่ยน

ไม่มีใครที่คุ้นเคย ไม่มีใครให้อุ่นใจดั่งวันวาน











ตกหลุมรักระยะที่ 3

 







เขาทำเรื่องผิดพลาดไปซะแล้ว

“ชิบหาย...”

เรื่องอะไรน่ะเหรอ

ทิวารีบหันกลับไปมองท้ายรถมอไซต์ที่วิ่งออกจากซอยไปไกลลิบด้วยแววตาละห้อย ทั้งที่เพิ่งกำลังมีความสุขที่มาวินอุตส่าห์มาส่งถึงหอพัก เมื่อมานึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ได้ขออะไรที่สามารถติดต่อกับอีกคนมาเลยสักอย่าง ไม่ว่าจะเบอร์โทร ไลน์ เฟส หรือแม้แต่ชื่อคณะเขาก็ยังไม่รู้ รู้แค่ชื่อมาวิน ชื่อเล่นวิน แค่นั้นเอง

แล้วจะเอาไงต่อวะเนี่ย เขาจะจีบอีกคนได้ยังไง ต้องเริ่มจากตรงไหนวะเนี่ย

“ไอ้ทิวาเอ๊ย ทำไมโง่แบบนี้วะ” ว่าแล้วก็เขกหัวตัวเองรัวไม่ยั้ง ปากเบะออกจนเหมือนจะร้องไห้ ครั้นจะขอความช่วยเหลือจากบรรดาเพื่อนซี้ แต่เวลาที่เกือบตีหนึ่งเช่นนี้เพื่อนของเขาคงหนีไปเฝ้าพระอินทร์กันหมดแล้ว เพราะแม้แต่ยามประจำหอกะดึกที่นั่งอยู่หน้าทางเข้ายังหลับเลย เพื่อนเขาจะแสตนบายรอให้เขาขอความช่วยเหลือได้ยังไง

หลังจากทึ้งหัวตัวเองอยู่พักใหญ่ ทิวาก็พลันสังเกตว่าตอนนี้ตัวเองกำลังนั่งอยู่ต่อหน้าศาลประจำหอพักตัวเองที่ขึ้นชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์สุดๆ ไม่ว่าจะขออะไรท่านก็จะให้ทั้งหมด โดยเฉพาะเด็กในหอพักแห่งนี้ ท่านจะเอ็นดูเป็นพิเศษ

ตอนแรกทิวาก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ไม่เคยแสดงออกอะไรมากนักเพราะไม่อยากหลบหลู่ใดๆ ทว่าหลังจากที่เจออิทธิฤทธิ์ปากของปัณเข้าไป เรื่องเหนือธรรมชาติพวกนี้กลับเริ่มทำให้ความเชื่อของทิวาเอนเอียงไปเป็นเชื่อมากขึ้นจนได้

พอนึกมาถึงตรงนี้ เขาก็พลันเกิดความคิดขึ้นมา

ถ้าขอให้ท่านช่วยเรื่องของมาวิน...จะได้หรือเปล่านะ

ทิวาลุกขึ้นยืนอยู่ต่อหน้าศาลที่ถูกพันระโยงระยางด้วยผ้าสีแสบตาและพวงมาลัยดาวเรือง ลังเลอยู่นานก่อนจะยกมือพนมตรงอกแล้วหลับตา พึมพำด้วยใจคาดหวัง

'ขอให้ได้พบกันอีกครั้งเร็วที่สุด ไปอยู่ไหนก็ขอให้ได้เจอ เอาถึงขนาดเข้าห้องน้ำก็เจอกันเลยด้วยเถอะครับ สาธุ!'

ขอเสร็จปุ๊บก็พลันรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำบ้าอะไรอยู่ในตอนตีหนึ่งเช่นนี้ ดูไม่ใช่ทิวาคนเดิมเลยจริงๆ เพราะทิวาคนนั้นไม่มีทางที่จะนั่งอ้อนวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยตัวเอง แต่จะลงมือด้วยตัวเองจนมันประสบผล

ทว่าตอนนี้เขาไม่มีความมั่นใจอะไรเลย เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะใช่ความสามารถแล้วจะสำเร็จ ไม่ใช่เรื่องที่สามารถจัดการไปผ่านๆ ได้ มันแสนจะละเอียดอ่อน เขาเลยอดกังวลและพยายามหาที่พึ่งทางใจเพิ่มไม่ได้

‘เอาเถอะ ถ้ามันจะไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ถือว่าขอแล้ว หลังจากนี้ก็พยายามด้วยตัวเองละกัน’ ทิวาบอกกับตัวเองเช่นนั้น

ทว่าแม้จะบอกตัวเองไปแบบนั้น ก่อนจะเดินเข้าหอพักไป ทิวายังไม่วายย้อนกลับมามองศาลหน้าหอพักอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้

‘แต่ถ้าช่วยผมได้ ก็ช่วยทีนะครับ’

คนทะเล้นที่เชื่อมากกว่าไม่เชื่อยกมือไหว้ศาลท่วมหัวด้วยท่าทางประหลาดๆ ก่อนจะวิ่งเข้าหอพักไป โดยไม่ทันสังเกตว่าศาลหน้าหอพักที่ไร้แสงไฟเมื่อครู่ ค่อยๆ ส่องแสงเลือนรางชั่วพริบตาก่อนที่ทิวาจะหันหลังจากไป ก่อนจะดับลงเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

กว่าจะรู้ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็สายไปเสียแล้ว

 











------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------















ทั้งที่ตอนนี้เขาน่าจะกำลังนอนหลับสบายบนที่นอนนุ่มในห้องพักตัวเอง แต่ทำไมก็ไม่รู้ เขาถึงได้รู้สึกว่ามันโคลเคลงไปมาชอบกล หัวยังกระแทกกับอะไรแข็งๆ และสั่นอยู่ตลอดเวลาจนไม่เป็นอันนอน จนอดขมวดคิ้วไม่ได้

ฝันเหรอหรือมีใครมาแกล้ง ง่วงนอนจะตายอยู่แล้ว แกล้งอะไรอยู่ได้ ไม่รู้หรือไงว่าแกล้งคนง่วงมันบาปน่ะ!

ขณะที่กำลังพยายามหาท่าที่จะทำให้ตัวเองนอนหลับสบายที่สุด ก็มีมือจากไหนก็ไม่รู้เขย่าที่แขนเบาๆ จนทิวาจำต้องล้มเลิกการนอนหลับแล้วลืมตามองด้วยความหงุดหงิด

ทว่าเมื่อกวาดสายตามองรอบตัวความหงุดหงิดก็พลันสลายหายไปแล้วแทนที่ด้วยความงงแทน เมื่อแทนที่เขาจะต้องนอนอยู่บนเตียงอย่างที่เป็นมาตลอด เขากลับมาโผล่อยู่ในรถเมล์ปรับอากาศแทนเสียอย่างนั้น ตรงหน้าเขาและเจ้าของมือที่ปลุกเขาออกจาห้วงฝันคือ พี่กระเป๋ารถเมล์ชายคนหนึ่งที่คล้ายจะเอือมระอาเขาหน่อยๆ ที่ไม่ยอมตื่นเสียที

“คุณ สุดสายแล้ว ต้องลงแล้วนะครับ”

“...”

“รีบลงเร็วครับ รถจะออกแล้ว”

นี่มันอะไรวะ

แม้ว่าจะงงอยู่ที่ตัวเองจู่ๆ โผล่มานอนบนรถเมล์จนโดนไล่ลงจากรถเพราะสุดสายได้ยังไง แต่ทิวาก็ยอมเดินลงแต่โดยดีและมองรอบตัวเพื่อหาด้วยว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ตรงไหน โชคยังดีที่รถเมล์ที่เพิ่งออกรถไปนั้นคือสายที่เขาค่อนข้างขึ้นประจำไปกลับบาทที่ตั้งอยู่ชานเมือง จึงพอจะเดาได้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ตลาดสดที่แสนคุ้นคนยังเยอะและแดดร้อนจัดเหมือนเคย ผู้คนยังคงเดินวุ่นวายในช่วงบ่ายแก่ๆ ของวัน มีแต่เขาเพียงคนเดียวที่ยืนทื่อเหมือนทำอะไรไม่ถูกอยู่ลำพัง

เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วทำไมถึงได้ขึ้นรถเมล์มาแบบไม่รู้ตัว เขาละเมอแรงขนาดนั้นเลยเหรอวะ

แต่พอก้มมองเสื้อผ้าที่สวมอยู่ก็ตัดความคิดที่ว่าละเมอไปได้เลย เพราะมันไม่ใช่ชุดนอนที่เขาใส่เมื่อคืน เสื้อตัวนี้เป็นเสื้อเอกที่เขาหยิบมาใส่น้อยครั้งเสียด้วยซ้ำ ซุกไว้มุมไหนของตู้เสื้อผ้าก็ยังจำไม่ได้ แต่กลับหยิบมาใส่ในวันเช่นนี้เสียได้ ทั้งเนื้อทั้งตัวของทิวามีเพียงกระเป๋าเงินที่มีเงินอยู่สองร้อยกว่าบาทและบัตรเอทีเอ็มสองใบ แถมด้วยโทรศัพท์คู่ใจหนึ่งเครื่องที่ไม่มีแม้แต่หูฟังติดมาด้วย ทั้งที่ถ้าหากออกมาข้างนอกเขาไม่มีทางที่จะพลาดหยิบหูฟังออกมา

ในหัวสมองเต็มไปด้วยข้อสงสัยที่ทิวาไม่อาจตอบตัวเองได้ แต่ท้องที่เริ่มร้องและแดดที่แรงเหลือเกินทำให้เขาได้แต่เดินหาร้านนั่งพักและหาอะไรเติมท้องเสียหน่อย ได้เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำที่มักจะแวะกินตอนที่ลงตลาดแห่งนี้

ในร้านเก่าๆ ยังคงเหมือนเดิมที่มากิน เพียงแต่พนักงานในร้านกลับเปลี่ยนหน้าไปไม่น้อย ทิวาจึงไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่ แต่ไม่ว่าจะมองยังไงที่นี่ก็ยังเหมือนเดิม จนไม่รู้ว่าอะไรมันแปลกไป ระหว่างที่รอเมนูที่สั่งไปทิวาเลยมองไปยังทีวีจอเล็กที่กำลังฉายข่าวบ่ายไปเงียบๆ

ข่าวยังกล่าวถึงเรื่องเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซา การเมืองน่าเบื่อ เรื่องทะเลาะ อุบัติเหตุทั่วไปเหมือนเดิม ขณะฟังข่าวเพลินๆ ดวงตาที่หรี่ปรือจวนจะหลับอีกรอบกลับเบิกกว้าง เมื่อได้ยินถึงประโยคที่พิธีกรคนสวยในทีวีบอกถึงวันเวลาของวันนี้เข้า

‘ต่อไปเป็นข่าวบันเทิงของวันนี้นะคะ ช่วงเช้าของวันที่ 8 เดือนสิงหาคม พ.ศ. 25xx กลุ่มนักร้องชื่อดังอย่างวง You Are ได้แถลงข่าวเตรียมออกอัลบั้มใหม่ตอนรับทัวร์คอนเสิร์ตที่จะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่...’

“เล็กหมูเปื่อยได้แล้วครับ...”

ทิวายังไม่หันไปมองก๋วยเตี๋ยวที่สั่งเสียด้วยซ้ำ แต่กลับจับแขนของพนักงานร้านแน่น จนพนักงานสะดุ้ง เอ่ยถามปากคอสั่น “พี่...วันนี้ วันที่เท่าไหร่นะ”

“วันที่ 8 สิงหาคมไงครับ”

“แล้วปี”

แม้จะสงสัยว่าลูกค้าคนนี้มันหลงวันหลงคืนมากไปหรือเปล่าที่จำไม่ได้แม้กระทั่งปี แต่ก็ไม่เป็นเรื่องยากอะไรที่จะตอบ จึงตอบกลับไป “ปี 25xx ไงพี่”

“...”

“พี่เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าซีดๆ นะพี่”

“ปะ...เปล่าครับ ขอบคุณครับ” ทิวาส่ายหน้าหวือ ทำเหมือนไม่มีอะไรฉีกยิ้มที่แทบไม่มีความเป็นธรรมชาติเป็นเชิงไล่ในที เพื่อไม่ให้พนักงานนึกสงสัยจนถามอะไรเขาอีก ทั้งที่ในใจของทิวาแทบบ้าและนึกอยากจะตะโกนออกมาว่านี่มันเรื่องเหี้ยอะไรวะเนี่ย!!

ไม่ว่าจะถามอีกกี่คนในร้าน ทุกคนก็ตอบเป็นปีเดียวกันกับที่ทิวาได้ยินจากในทีวีไม่มีผิด ซึ่งปีที่ว่าคือปีที่มากกว่าปีที่ทิวาเคยอยู่มากถึง 6 ปี!!

ทิวากลับมานั่งกินก๋วยเตี๋ยวอืดๆ ของตัวเองท่ามกลางสายตามองมาที่เขาเหมือนคนบ้า รสชาติอาหารในปากไม่ได้ซึมเข้าต่อมประสาทรับรู้ของทิวาเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เขาก็ยังยัดเข้าปากต่อเรื่อยๆ ทั้งเสียดายตังและตอนนี้ทิวาต้องการพลังงานเพื่อมาใช้คิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา แม้จะพยายามคิดในแง่ดีและวันนี้อาจจะเป็นวันโกหก มีคนเล่นตลกกับเขา ทว่าคนทั้งร้านจะมาโกหกเขากันทุกคนไปเพื่ออะไร แต่จะให้ทิวาคิดว่าตัวเองข้ามมาเหมือนนิยายมันก็ออกจะ...

เขาส่ายหน้าแล้วตบแก้มตัวเองแรงๆ หนึ่งทีจนทุกสายตาในร้านหันมามองอีกครั้ง บางคนถึงกลับเลื่อนเก้าอี้หนีเพราะกลัวว่าเขาจะเป็นคนบ้า แต่ตอนนี้ทิวาไม่มีอารมณ์มาสนใจอะไรแล้ว รีบกลืนเส้นก๋วยเตี๋ยวคำสุดท้ายแล้วควักเงินในกระเป๋าจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยวในร้าน พลางหยิบโทรศัพท์ที่ไม่ได้หยิบขึ้นมาเช็กเลยตั้งแต่ตื่น ก็พบว่ามันแจ้งวันเวลาเดียวกัน ทว่าบนหน้าจอของเขาที่เคยตั้งเป็นรูปวงวีอาร์กลับหายไป!!

“เฮ้ย! ใครมาเปลี่ยนวะ” นิ้วของทิวาเลื่อนไปยังอัลบั้มรูปในโทรศัพท์แล้วรีบไล่หารูปวีอาร์ที่ตัวเองเซฟเอาไว้ แต่กลับไม่เจอแม้แต่รูปเดียว ทว่ายิ่งรื้อตามอัลบั้มใบหน้าของทิวาก็ยังยิ่งไร้สีเลือดไปเรื่อยๆ

รูปของเขา...รูปที่เขาถ่ายกับเพื่อนของเขา ไม่มีเลยสักรูป

ทุกรูปหายไปราวกับไม่มีจริง นอกจากรูปวิว หมาแมวที่เคยถ่ายเก็บเอาไว้ นอกจากนั้นแล้วไม่มีรูปอะไรที่เกี่ยวกับเขาหรือคนรอบตัวเขาเลยแม้แต่คนเดียว

หมายความว่ายังไง

ที่นี่ก็ยังเป็นเมืองไทยที่ร้อนนรกแตกเหมือนเดิม รถเมล์ห่วย รถไฟฟ้าแย่ ของราคาแพงเหมือนเดิม

แต่ทำไมเหมือนมีแต่เขาที่แตกต่างออกไป

คล้ายกับว่าในโลกใบนี้ไม่มีเขาอยู่ตั้งแต่แรก

ความรู้สึกคลื่นไส้ตีตื้นขึ้นมาจากกลางอกจนทิวาต้องลูบให้มันย้อนกลับไป ในหัวหมุนเร็วจี๋เหมือนมีลูกข่างเป็นพันลูกวิ่งวนในนั้น แต่กลับคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง ทันทีที่คิดว่าตัวเองอาจจะไม่มีตัวตนบนโลกใบนี้ เขาก็เกิดกลัวขึ้นมาว่าถ้าหากเป็นเช่นนั้น แล้วเขาในตอนนี้คือใครกันแน่

เขายังใช่ทิวา ยังใช่ไอ้เดย์ของเพื่อนๆ คือทิวาลูกรักของแม่หรือเปล่า

ดวงตาของทิวาร้อนจัดแข่งกับอากาศด้านนอก แต่แสนเลือนรางเพราะน้ำตาที่กำลังไหลอาบแก้ม นิ้วมือที่ยังสั่นไม่เลิกไล่หารายชื่อในโทรศัพท์ตัวเอง กดโทรหาทีละคน ทีละคน แต่ราวกับฟ้ากลั่นแกล้ง ถ้าหากไม่เป็นเบอร์ที่ยังไม่เปิดใช้งาน ก็ไม่มีใครรับสาย

พ่อ แม่ ลุงของเขา พี่รหัส ปัณ โรม ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่รับสายเขา

จนกระทั่งมาถึงชื่อสุดท้ายที่กลายเป็นความหวังเดียวของเขาแล้ว

“เดือนอ้าย ขอร้อง...รับสิรับ”

เสียงรอสายยาวนานจนแทบขาดใจ แต่สุดท้ายก็มีเสียงสะท้อนกลับมาในท้ายที่สุด

“เดือนอ้าย!!”

[...]

“เดือนอ้าย นี่เดย์...นี่ทิวาเอง!”

[ทิวา?]

“ใช่ ทิวา...”

[ใครเหรอครับ?]

“...”

ปลายสายยังร้องเรียกเขาอยู่พักใหญ่ แต่ทุกคำถามกลับเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการได้ยินทั้งนั้น ทิวาทรุดตัวนั่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์ร้างผู้คน ปล่อยให้โทรศัพท์มีเสียงก่อกวนที่ไม่สามารถดังเข้าไปในหูของเขาจนสายตัดไปเอง เขาค่อยๆ ขดตัวกอดเข่าแล้วร้องไห้ออกมาเสียงดัง ไม่สนใจว่าใครจะมองยังไง ไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว

ความกลัว ความไม่รู้ ความสับสนรุมโถมเข้าหาเขาในทีเดียวจนทิวาไม่รู้แล้วว่าต้องทำยังไงต่อไปดี

เขาอยากให้นี่เป็นเพียงฝันร้าย เหมือนที่ครั้งหนึ่งเขาเคยฝันว่าแม่ตาย แต่ในที่สุดเขาก็ตื่นแล้วพบว่าแม่ยังอยู่เหมือนเดิม เป็นแค่ฝันร้ายที่สักวันหนึ่งเขาจะต้องตื่นขึ้นมาพบว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม

เขายังมีตัวตนบนโลกใบนี้

ทิวานั่งร้องไห้อยู่แบบนั้นโดยไม่รู้เวลากระทั่งเผลอหลับไป จนเมื่อสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกที จากฟ้าสีส้มก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท มีเพียงแสงไฟรำไรจากเกาะกลางถนนที่แทบไม่ได้ช่วยให้พื้นที่ตรงนี้สว่างขึ้นสักเท่าไหร่เลย ทิวาตรวจดูข้าวของตัวเองเป็นอันดับแรก ก่อนจะโล่งใจเมื่อข้าวของที่มีแค่ไม่กี่อย่างยังอยู่ครบ อาจเพราะท่าทางบ้าๆ บอๆ ที่เขาแสดงออก คนที่เดินผ่านไปมาคงคิดว่าเขาเป็นคนเสียสติคนหนึ่ง จึงไม่มีใครมาค้นของแล้วขโมยไป

เขาปาดคราบน้ำตาที่เลอะเต็มหน้าแล้วถอนหายใจออกมาแรงๆ พลางคิดว่าต่อจากนี้จะเอายังไงต่อไปดี จะนอนที่ไหน จะทำยังไงต่อไป...

หากนี่เป็นโลกหนึ่งจริงๆ และเขาไม่อาจกลับไปได้ สิ่งเดียวที่ทิวาจะทำได้ก็คือมีชีวิตต่อไป

ปัญหาก็คือ ‘ตัวตน’ ของเขาในโลกนี้คือใคร เขายังไม่รู้เลย

ขณะนั้นเองก็มีรถเมล์สายที่รู้จักกำลังขับตรงมายังป้ายที่เขานั่งอยู่ จำได้ว่าสายนี้จะเป็นสายที่ผ่านหน้ามหาลัยและหอพักของเขา คนที่ลงป้ายนี้เยอะพอสมควร จึงทำให้รถต้องจอดนานกว่าปกติ นานพอให้ทิวาได้สังเกตเห็นป้ายโฆษณาที่ติดอยู่บนรถเมล์คันนี้เต็มตา เมื่อกวาดสายตามองจนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทิวาก็ลุกพรวดพราดขึ้นจากที่นั่งแล้วรีบก้าวเข้าไปอยู่ข้างรถเมล์ มองภาพ ‘คน’ บนนั้นทั้งน้ำตา

นั่นคือคนที่เขาไม่คิดว่าจะเจอ

บนป้ายโฆษณาที่ติดอยู่ข้างรถเมล์คือโฆษณาน้ำอัดลมยี่ห้อหนึ่ง มีกลุ่มชายหนุ่มสี่ถึงห้าคนกำลังแสดงท่าทางที่แตกต่างกันไปทั้งเล่นกีต้าร์ เบส กลอง คีย์บอร์ดและกำลังร้องเพลง โดยที่มือของทุกคนมีเครื่องดื่มนั้นอยู่ในมือ มันก็แค่โฆษณาทั่วไปที่ทิวาเห็นบ่อยๆ หากแต่บุคคลที่อยู่ในตำแหน่งมือกีต้าร์นั่นต่างหากที่ทำให้ทิวาต้องร้องไห้ออกมา

“คุณ!! จะขึ้นไหมครับ รถจะออกแล้วนะ”

“ข...ขึ้นครับ!! รอด้วยครับ”

ผู้ชายหน้านิ่งที่ก้มหน้าก้มตาเล่นกีต้าร์คนนั้นคือมาวิน

ผู้ชายที่เขาหลงรักคนนั้น

ทิวาขึ้นไปนั่งข้างผู้หญิงคนหนึ่งบนรถเมล์ เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อย เขาก็เตรียมที่จะค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับมาวินคนนี้ แต่ดันเหลือบไปสังเกตเห็นโปสเตอร์ในมือของผู้หญิงคนข้างๆ เข้าเสียก่อน ซึ่งในนั้นก็มีภาพของมาวินเช่นกัน เขาจึงอดยื่นหน้าไปดูไม่ได้ จนทำให้หญิงสาวเจ้าของโปสเตอร์ตกใจจนเกือบจะร้องออกมา

“ขอ...ขอโทษครับ! คือผมตื่นเต้นไปหน่อย ขอถามได้ไหมครับว่าได้มาจากไหน” ว่าแล้วก็ชี้ไปที่โปสเตอร์ขนาดเอสี่อันนั้น ท่ามกลางสายตาหวาดระแวงของหญิงสาวคนดังกล่าว แต่ยังยอมตอบเสียงอ้อมแอ้ม

“ได้มาจากกิจกรรมเครื่องดื่มที่ยูอาร์เป็นพรีเซนเตอร์ค่ะ”

“ไอ้ที่โฆษณาที่รถนี่ใช่ไหมครับ”

“ใช่ค่ะ”

“แล้วที่ว่าคอนเสิร์ตนี่คือ...” ทิวาว่าพลางชี้ไปที่วันเวลาที่อยู่มุมด้านล่างโปสเตอร์ โดยที่หญิงสาวข้างๆ มองตามแล้วยิ้มกว้าง ในแววตาและรอยยิ้มเจือไปด้วยความตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด ทิวารู้จักรอยยิ้มนั้นดี เหมือนกับตอนที่เขามองวงวีอาร์ของเขาเลย

“วันนี้ยูอาร์มีแสดงสดค่ะที่มหาลัย I นี่ฉันก็จะไปดูนี่แหละ พอดีได้บัตรฟรีมาจากเล่นกิจกรรม นานๆ ทีวงยูอาร์จะจัดแสดงนะคะ ปกติแล้วไม่ค่อยแสดงในงานแบบนี้หรอกค่ะ เลยไม่อยากพลาด”

“ต้องมีบัตรด้วยเหรอครับ” ทิวาถามเสียงอ่อย ถ้าต้องมีบัตรจริง เขาก็เข้าไม่ได้สิ เพราะเขาไม่มี

“เป็นแฟนคลับยูอาร์หรือคะ”

ทิวาลังเลอยู่นิดหน่อย แต่ก็ยอมพยักหน้า เขาไม่รู้จักยูอาร์อะไรนี่หรอก แต่คนที่เขาอยากเจอกลับเป็นมือกีต้าร์เสียนี่ ทำไงได้ ก็ต้องรับสมอ้างล่ะนะ “ครับ แต่คงไม่ทันแล้ว”

“...ถ้าเป็นแฟนคลับจริงๆ ก็พอจะช่วยได้ค่ะ”

“ครับ?”

“ความจริงฉันมีบัตรสองใบค่ะ”

“...”

หญิงสาวแปลกหน้ายิ้มแล้วชูบัตรร่วมงานแสดงดังกล่าวขึ้นมาให้ทิวาดู ก่อนจะยื่นให้เขาหนึ่งใบ “สัญญานะคะว่าจะไม่เอาไปขายต่อ ตอนแรกฉันกะว่าจะเก็บเอาไว้หนึ่งใบ แต่ถ้าเป็นแฟนยูอาร์เหมือนกัน จะยกให้ฟรีๆ ก็ได้”

“ให้ผมจริงๆ หรือครับ”

“จริงสิคะ ต้องไปดูจริงๆ นะ”

“ไปครับ ไปๆๆ” ทิวารับมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง มองบัตรในมือราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า แล้วละล่ำละลั่กขอบคุณหญิงสาวใจดีข้างๆ แทบไม่ทัน “ขอบคุณครับ”

“ยินดีค่ะ งั้นเดี๋ยวเราเข้างานไปพร้อมกันก็ได้ เดี๋ยวฉันพาไปเองค่ะ”

“ผมถามชื่อคุณได้ไหม ผมชื่อเดย์ครับ”

เธอเก็บโปสเตอร์เข้ากระเป๋าผ้าที่สะพายมาแล้วหันมาตอบทิวาพร้อมรอยยิ้มสดใสที่เหมือนมีพระอาทิตย์ประดับอยู่ใบหน้าของเธอตลอดเวลานั่น “ชื่อรินค่ะ”

“...”

“ยินดีที่รู้จักเพื่อนใหม่นะคะ เดย์”









แต่ยังมีเธออยู่

เธอที่กลายเป็นความหวังเดียวของฉันในตอนนี้






(โปรดติดตามตอนต่อไป)

---------------------------------------------------------------------------------------

fact about ทิวา

ทิวาเป็นเด็กขี้กลัว แต่ไม่ค่อยอยากให้ใครรู้เลยชอบทำเป็นนิ่งๆ เวลากลัว

แต่จริงๆ แล้วในใจร้องไห้ไปแล้ว เลยชอบอยู่ติดกับคนรู้จักอยู่ตลอด เพื่อลดความกลัว

NAVY

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1

ทั้งที่ไม่ใช่เธอคนนั้นแล้ว

ไม่ใช่เธอที่ทำให้ฉันหลงรักได้อย่างง่ายดายคนนั้นแล้ว












ตกหลุมรักระยะที่ 4

 






ใช้เวลาเพียงไม่นาน เขาและรินก็มาถึงมหาลัยได้ก่อนงานเริ่มราวๆ สองชั่วโมง ตอนแรกรินชวนให้เขาไปรวมตัวกับเพื่อนๆ ของเธอที่มารอที่งานอยู่แล้ว ทว่าทิวาเลือกที่จะปฏิเสธไปเพราะต้องการจะไปที่หอพักตัวเองก่อน แต่รับปากว่าจะไปหารินและเพื่อนๆ ให้ทันก่อนงานเริ่ม

“รีบมานะเดย์ เดี๋ยวไม่ทันยูอาร์ขึ้นแสดง”

ทิวาโบกมือไหวๆ ให้กับสาวน้อยแสนใจดีคนนั้นที่เขาได้พบและมอบน้ำใจให้เขาคนแรกของวันแย่ๆ เช่นนี้ ก่อนจะรีบวิ่งไปตามทางที่แสนคุ้นเคยเพื่อไปยังหอพัก เผื่อว่าจะเจอใครที่เขารู้จักบ้าง

ทว่าโลกนี้คล้ายกำหนดมาแล้วว่าเขาต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีก

“เขาทุบไปนานแล้วไอ้หนุ่ม”

ภาพที่เขาหวังคือหอพักในความทรงจำ หอพักที่เขาอาศัยอยู่มาถึงสามปี แต่ตอนนี้กลับเป็นพื้นที่ว่างๆ รอการก่อสร้างเป็นตึกอะไรสักอย่างที่เขาไม่สนใจจะฟังจากลุงยามที่ทำหน้าที่เดินยามแถวนั้น

“เอ็งมาหาใครหรือเปล่า”

“...หาเพื่อนครับ”

“เพื่อนเอ็งลืมบอกที่อยู่ใหม่ให้เอ็งหรือเปล่า เพราะไอ้หอตรงนี้เนี้ยเขาทุบตั้งแต่สี่ซ้าห้าปีก่อนแล้ว”

ทิวาชี้ตำแหน่งว่างๆ ตรงบริเวณที่เขาเดาว่ามันคือศาลประจำหอพักเก่าแล้วถาม “ศาลด้วยเหรอครับ”

“ใช่ๆ มันหักตอนช่วงที่เขากำลังรื้อพอดี มหาลัยเขาเลยรื้อแล้วเชิญท่านไปที่อื่นแทน”

แม้จะสงสัยว่าศาลพระภูมิเขาเชิญไปอยู่ที่อื่นได้ด้วยเหรอวะ แต่เพราะยังอึ้งๆ เรื่องหอโดนทุบมากกว่า ทิวาเลยไม่ได้ถามอะไรอีก ลุงยามจึงเดินหายไป ทิ้งให้เขายืนอยู่ตรงนั้น มองพื้นที่ว่างโล่งที่เคยเป็นหอพักด้วยความเศร้าใจ

ขนาดที่เขาเคยอยู่ยังโดนลบทิ้ง โลกนี้จะปฏิเสธการมีอยู่ของเขาไปถึงไหน

อีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็จะถึงเวลาขึ้นแสดงของวงยูอาร์อะไรนั่นแล้ว แต่ทิวากลับไม่อยากไปดูเสียแล้ว ตอนที่มาถึงเขายังพอมีความหวังอยู่บ้าง แต่พอมาเจอเรื่องน่าผิดหวังเช่นนี้ติดต่อกัน เขาก็อดคิดไม่ได้ว่า การที่จะไปพบกับมาวินที่ตอนนี้กลายเป็นนักร้องชื่อดังไปแล้ว มันจะช่วยอะไรหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรือไง

ดีไม่ดี เขาคงได้ร้องไห้โฮแน่ๆ หากพบว่ามาวินเองก็เป็นเช่นคนอื่นที่จำไม่ได้และไม่รู้จักเขา

ทิวาทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นอย่างไม่กลัวสกปรก มองแบตเตอรี่ที่แสดงบนหน้าจอโทรศัพท์ที่จวนเจียนจะหมด ฟังเสียงดนตรีจากลานกิจกรรมที่ดังแว่วมายังที่เขากำลังนั่งอยู่ ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความเหนื่อยล้าโดยไม่คิดจะขยับเขยื้อน

ในตอนนั้นเอง ฝีเท้าคู่หนึ่งพลันชะงักดังขึ้นจากด้านหลังของทิวา จนทิวานึกขอโทษคนๆ นั้นอยู่ในใจ บางทีคนคนนั้นอาจจะตกใจนึกว่าเขาเป็นผีละมั้ง แหงล่ะ มานั่งอยู่คนเดียวดึกดื่นตรงที่มืดๆ เนื้อตัวก็มอมแมม ถ้าแถวนี้แสงไฟน้อยกว่านี้อีกสักดวงสองดวง เขาคงกลายเป็นเรื่องเล่าตำนานผีหลอกของที่ดินหอพักในเก่าไปแล้ว

ทิวาลุกขึ้นยืนแล้วปัดเศษฝุ่นตามเนื้อตัว พูดออกไปเสียงเก้อเขิน “ขอโทษครับ ทำให้ตกใจใช่ไหม...”

“...”

ไม่มีเสียงตอบรับอะไรกลับมาจนทิวาเริ่มนึกสงสัยว่า ไม่ใช่ว่าเขากำลังเจอดีเสียเองหรอกหรือ พอคิดแบบนั้นสารพัดเรื่องเล่าของมหาลัยตามที่ต่างๆ ที่เดือนอ้ายเคยเล่าให้ฟังก็ผุดขึ้นหลอกหลอนในสมองจนทิวาอดขนลุกไม่ได้ แม้จะพยายามปลอบใจตัวเองว่าไม่ใช่ผีหรอก แต่นอกจากเขาที่มาตรงนี้เพราะเหตุผลส่วนตัวกับลุงยามที่เดินตรวจตราพื้นที่ในมหาลัย มันจะมีใครอีกที่เลือกจะเดินผ่านตรงหอพักเก่าที่เป็นเพียงพื้นที่โล่งแบบนี้กัน ถ้าไม่ใช่...

“ไม่ใช่ผี”

ผี

อ้าว...

“...”

“ทำไมไม่เงยหน้าขึ้นมอง” อีกคนว่า

“ก็...กลัวเป็นผี”

แม้จะไม่ได้เงยหน้าขึ้น แต่เสียงถอนหายใจก็มากพอแล้วที่จะทำให้ทิวารู้ว่า เจ้าของเสียงนั้นมีสีหน้าแบบไหน “ถ้าเป็นผีจะทักขึ้นมาทำไมให้คนจับได้ สู้เดินไปนั่งข้างๆ แล้วค่อยสะกิดไม่ดีกว่าหรือไง”

“...”

“เหมือนที่คนนั้นกำลังทำอยู่...”

“เหี้ย! จริงปะ!!! เชี่ยยยยย” ไม่รอให้อีกคนพูดจบ ทิวาก็รีบเงยหน้าโกยอ้าวเข้าไปหาเจ้าของน้ำเสียงนิ่งๆ นั่นแบบไม่สนใจแล้วว่าอีกคนจะเป็นคนหรือผี ทิวาตรงเข้าไปเกาะอยู่ด้านหลังของอีกคนแล้วมองไปยังพื้นที่ที่ตัวเองอยู่อย่างหวาดระแวง เมื่อพบว่ามันว่างเปล่าก็ค่อยๆ ปล่อยมือที่เกาะชายเสื้อของอีกคน แต่ยังเหลือเอาไว้ข้างหนึ่ง ในกรณีที่เกิดมันมีอะไรเกิดขึ้นมาจริงๆ เขาจะได้ไม่ต้องเผชิญไปคนเดียว

“ละ...หลอกกันนี่!!”

“ไม่หลอกมึงจะวิ่งมาไหมละ”

“พูดกันดีๆ ก็ได้...”

“แล้ววิ่งมาเนี่ย มั่นใจแค่ไหนวะว่าจะไม่โดนหลอกซ้ำ”

“ไม่หรอก...ใช่ไหม” เสียงติดจะขำนั่นทำให้ทิวามั่นใจขึ้นอีกหลายเท่าว่าคนที่เขากำลังยืนหลบและใช้อีกคนแทนเกราะป้องกันผีนี้เป็นคนจริงๆ ไม่ใช่สิ่งลี้ลับมาแสดงแทน ครั้นตอนที่เงยหน้าหมายจะสบตากับอีกคน น้ำเสียงที่กำลังเอื้อนเอ่ยพลันแผ่วลงจนหายไปในลำคอ เมื่อพบว่าคนคนนี้คือคนที่เขาตั้งใจมาหา

“มองหน้าทำไมนัก เหมือนผีหรือไง”

“...”

มาวิน

‘มองเหี้ยอะไร’

จะเจอกันอีกกี่ครั้ง คำพูดคำจาก็ไม่เคยจะน่าจดจำเอาเสียเลย

แต่ทว่า

“ร้องไห้ทำไม”

มันกลับทำให้เขาอดร้องไห้ออกมาไม่ได้

“...” ทิวาส่ายหน้าจนผมปลิวสะบัดเหมือนลูกหมาสะบัดขน พยายามที่จะขยับออกและปาดน้ำตาที่วันนี้ไม่รู้ร้องไห้ไปกี่ครั้งแล้ว ไม่ต้องพูดคุยหรือพยายามบอกชื่อของเขา แค่สายตาที่อีกคนมองมาเขาก็รู้แล้วว่ามาวินคนนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับเพื่อนคนอื่นๆ ของเขา นั่นคือไม่รู้จักเขาเช่นเดียวกัน

สุดท้ายการดั้นด้นมาถึงที่นี่ก็ไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง

“ทำไมไม่ตอบ เป็นใบกระทันหันหรือไง”

“ไม่ได้...เป็นใบ้สักหน่อย!” คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นใบ้ กลั้นก้อนสะอื้นตอบกลับด้วยเสียงอันดัง เรียกให้อีกคนหลุดยิ้มด้วยความเอ็นดู แม้จะเป็นเพียงชั่ววินาทีสั้นๆ ก็ตาม

“เออ ก็พูดได้นี่ แล้วร้องไห้ทำไม”

“ยุ่ง”

“จะด่าว่าเสือกก็ได้นะ”

“เสือก”

“สัส รู้จักว่าคำว่าประชดป่ะ” ทิวาแอบหลุดหัวเราะออกมานิดหน่อยกับสีหน้าขัดใจของคนตรงหน้า น้ำตาเริ่มแห้งแล้ว นั่นทำให้เขามองเห็นใบหน้าของมาวินได้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม มาวินคนนี้ต่างจากมาวินที่เขารู้จักทั้งนิสัยและรูปร่างหน้าตา วันเวลาหกปีคนหล่อหลอมและเปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่าง อีกคนสูงขึ้นจนสูงมากกว่าเขาไปแล้ว ไหนจะน้ำเสียงที่ทุ้มลง การแสดงออกทั้งหมด ไม่มีส่วนไหนที่เหมือนมาวินคนนั้นที่เขาชอบเลย

หากจะมีอะไรที่เหมือนเดิม ก็คงเป็นคำพูดละมั้ง

ยังชอบพูดกวนๆ เอาแต่ใจไม่เปลี่ยน

“แล้วสรุปเป็นอะไร จะตอบได้หรือยัง”

“ก็บอกไปแล้วว่ายุ่ง!”

“งั้นมาทำอะไรที่นี่”

“ไม่ตอบ”

“...” คิ้วเรียวของมาวินขมวดเข้าหากันเป็นปม บ่งบอกว่าเจ้าตัวเริ่มหงุดหงิดแล้ว แต่ก่อนที่ทิวาจะได้พูดอะไรออกไป มือของอีกคนก็โผล่มาอยู่ตรงหน้าและดีดหน้าผากของเขาไปหนึ่งทีเสียแล้ว

เขารู้แล้วมีอีกอย่างที่มาวินไม่เปลี่ยน

อีกคนยังดีดหน้าผากได้เจ็บเหมือนเดิม ไอ้ชิบหาย! เจ็บว้อย

“เจ็บนะเว้ย! ดีดมาได้”

“รำคาญ จะตอบก็ไม่ตอบ ลีลา”

“แล้วมึงอะ มาทำไร ล่าท้าผีหรือไง เวทงเวทีทำไมไม่ไปขึ้นแสดง” ทิวาบ่นเสียงดังพลางลูบหน้าผากที่โดนดีดจนชาไปทั้งหน้าผาก เดาได้เลยว่าต้องแดงมากแน่ๆ ไม่งั้นไอ้คนตรงหน้ามันคงไม่ดูอารมณ์ดีขึ้นอย่างนี้หรอก พอเขาพูดถึงเรื่องเวทีก็ราวกับมาวินเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ อีกคนก้มมองนาฬิกาเรือนหรูที่ข้อมือ หลังยึกยักอยู่สองสามที ก็ตัดสินใจก้าวเท้าเพื่อวิ่งกลับไปยังโวนลานกิจกรรมเพื่อขึ้นเวทีอย่างที่ควรจะเป็น

ใช่ มันควรจะเป็นแบบนั้น แต่ไม่รู้ทำไม

“แล้วมึงจะลากกูมาทำไมเนี่ย!!”

“เออน่า วิ่งตามมาเงียบๆ”

แม้จะไม่เข้าใจ แต่เอาจริงๆ ทิวาก็ไม่มีที่ที่อยากไปอีกแล้ว จึงยอมวิ่งเหยาะแหยะตามหลังมาวินไปเงียบๆ ดูจากเส้นทางที่อีกคนกำลังวิ่งอยู่นั้นก็พอจะรู้เจตนาว่ากำลังหาทางอ้อมเพื่อจะไปหลังเวทีให้เร็วที่สุด โดยไม่โดนแฟนคลับหรือใครจับได้ แต่ดูจากการเดินวนไปวนมาในตอนนี้แล้ว ดูท่าทางแล้วกว่าจะไปถึงเวทีก็คงไม่ทันขึ้นแสดงหรอก

“วิน” เขาเรียก “มาคอยเดินตามกูนี่ มัวแต่วนไปวนมาเมื่อไหร่จะถึงเวที”

แม้จะไม่ชอบใจนัก แต่ไม่รู้ทำไมมาวินถึงได้เดินตามไปอยู่ด้านหลังอีกคนอย่างว่าง่าย ถึงปากจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นก็เถอะ “รู้ทางหรือไง”

“เออ ก็รู้ดีกว่ามึงอะ”

“ให้มันจริง”

ทิวายักไหล่ ไม่พูดมากอีกให้เสียเวลา เขารีบพาอีกคนเดินอ้อมตึกคณะทันตะเพื่อไปยังด้านหลังของหอสมุดกลาง ก่อนจะใช้ทางพิเศษเล็กๆ ที่แม่บ้านประจำหอสมุดจะใช้เดินเข้าเดินออกประตูเล็ก พาคนตัวสูงไปยังหลังเวทีได้ในที่สุด ทิวาหันไปเชิดหน้า พลางชี้ไปยังกลุ่มคนที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมงานแสดงใส่มาวินที่ไม่มีแม้แต่คำขอบคุณให้เขา ทั้งยังทิ้งให้เขายืนงงๆ อยู่ท่ามกลางทีมงานทั้งหลายโดยไม่บอกกล่าวอะไรเลย

“ทำไมโตแล้วนิสัยน่าเตะขึ้นอย่างนี้วะ...” พูดออกมาแล้วทิวาก็ได้แต่ถอนหายใจ ทำอย่างกับตัวเองรู้จักอีกคนในตอนนั้นดีนักนี่ เจอกันแค่สามวันก็ใจง่ายไปชอบเขาแล้ว ยังไม่ทันจะได้รู้อะไรสักอย่าง ประโยคที่เพิ่งพูดไปเรียกได้ว่าคนอย่างเขาไม่มีสิทธิจะพูดเลยจริงๆ

อีกไม่ถึงสิบนาทียูอาร์จะขึ้นแสดงแล้วและทิวาก็คิดว่าตัวเองไม่ควรอยู่ตรงหลังเวทีนานนัก ยูอาร์ไม่ใช่แค่วงดนตรีกิ๊กก๊อก ดูจากข่าวเมื่อเช้าที่เขาได้ฟัง ก็พอจะเดาได้ถึงระดับความนิยมของทั้งวงว่ามากแค่ไหน ดังนั้นเขาจึงฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนกำลังเช็กอุปกรณ์ทั้งหลายเป็นรอบสุดท้าย เตรียมจะแอบหนีกลับไปยังหน้าเวที เพื่อไปหารินอย่างที่รับปากเอาไว้ แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวเท้าสักข้าง ทั้งน้ำเสียงและแรงที่รั้งคอเสื้อของเขาก็ดันเกิดขึ้นขัดขวางเขาเอาไว้เสียก่อน

“จะไปไหน”

ทิวาเงยหน้ามองมาวินที่โดนจับแต่งหน้าทำผมแบบลวกๆ แต่ก็ยังหล่อมากอยู่ดี ก่อนหลบตา เพื่อไม่ให้อีกคนรับรู้ถึงความรู้สึกของเขาที่สะท้อนในตาของตัวเอง ตอบอ้อมแอ้มพลางสะบัดตัวเองหวังจะให้หลุดออกจากการกักขังของมาวิน “จะไปหน้าเวทีไง ถามโง่ๆ”

“ไปทำไม ดูหลังเวทีก็ได้”

“คือกูไม่ใช่ทีมงานไหมล่ะ...”

“พี่เต้!” ไม่รอให้เขาพูดจบ มาวินก็ตะโกนลั่น จนเจ้าของชื่อจำต้องเงยหน้าจากที่กำลังคุยกับทีมงานคนอื่น มองตรงมายังมาวินและเขาแทน “จำได้ว่าพี่กำลังหาผู้ช่วยแทนพี่แป๋มที่ลาคลอดใช่ไหมครับ”

“เออ ทำไม ได้ผู้ช่วยผู้จัดการคนใหม่แล้วหรือไง”

“ได้แล้วครับ”

“มึงจะทำอะไร...” ไม่ทันได้ถามจบประโยค (อีกแล้ว) ทิวาก็โดนอีกคนออกแรงกระชากจนไปยืนอยู่ด้านหน้าของมาวิน เผยสีหน้าเหลอหลาท่ามกลางสายตานับสิบคู่ที่มองมาด้วยความสงสัยว่า มาวินไปจับไอ้เด็กมอมแมมนี่จากถังขยะไหนมากัน

“นี่เพื่อนผมเอง ชื่อ...ชื่ออะไรวะ” ท้ายเสียงเบาลงนิดหน่อย ทั้งยังออกแรงเขย่าแขนให้เขาตอบและให้ความร่วมมือแต่โดยดี แต่ทิวาอยากบอกอีกคนเหลือเกินว่าจะทำอะไรช่วยปรึกษากันบ้างไม่ได้หรือไงวะ ทว่า (โดนบังคับ) ขึ้นหลังเสือแล้ว ไอ้ครั้นจะหนีลงกลางคันก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะงั้นจึงได้แต่กระซิบชื่อตัวเองให้อีกคนได้ยินเบาๆ “ชื่อทิวา...เดย์”

เพราะกำลังเหนื่อยใจกับคนเอาแต่ใจ ทิวาจึงไม่ทันสังเกตว่าตอนที่เขาบอกชื่อ มาวินชะงักไปครู่หนึ่ง แต่พอเขาเงยหน้ามองหน้าอีกคน มาวินก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกินขึ้นและหันไปตอบพี่ทีมงานคนนั้นแล้ว

“ชื่อทิวา ชื่อเล่นเดย์ครับ ให้มันมาคอยดูแลผมจนกว่าจะหาคนใหม่ก็ได้ครับพี่”

“เราคุยกับเพื่อนเราคนอื่นแล้วหรือไง”

“ถ้าผมโอเค พวกมันก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ”

“มันก็จริง” พี่เต้อะไรนั่นยอมรับเขาง่ายเสียจนทิวาแอบท้อใจ ไม่คัดค้านสักหน่อยหรือไงวะ ไม่กลัวเขาเป็นแอนตี้แฟนมาวางยาพวกบ้านี่บ้างเหรอ “ตามใจแล้วกัน เพราะยังไงเขาก็ต้องตามดูแลพวกแก”

“ขอบคุณครับ”

“ไปๆ เตรียมขึ้นเวทีได้แล้วไป ให้เพื่อนแกยืนดีๆ ได้แล้ว ไปดึงคอเสื้อแบบนั้น เพื่อนแกหายใจไม่ออกตายพอดี” มาวินพยักหน้าและยอมปล่อยคอเสื้อของเขาแต่โดยดี ทว่าก็ยังไม่ได้ขึ้นเวทีไปสักที จนทิวาได้แต่สงสัยว่ามันจะมายืนจ้องหน้าเขาทำไมวะ มีเลขหวยผุดขึ้นมาหรือไง

“มองทำไม”

“...”

“วิน เขาเรียกมึงไปขึ้นเวทีแล้ว”

“ทิวา”

“เออ ว่า?”

“ทิวา”

“อะไรวะ”

“...”

“เรียกชื่ออยู่นั่นแหละ มีอะไรก็พูด...” เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ที่เสียงของเขาคล้ายจะถูกดูดหายไปในลำคอกระทันหันกับการกระทำที่ไม่อาจคาดเดาได้จากคนตรงหน้า แต่ตั้งแต่เจอกันในโลกเพี้ยนนี่ๆ ทิวาได้แต่ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า การกระทำของมาวินที่กำลังทำต่อเขาในตอนนี้ ทำให้เขาตกใจมากที่สุด

เพราะจู่ๆ อีกคนก็ดึงเขาไปกอด...และกอดแน่นมากซะด้วย

เสียงหายใจไม่เป็นจังหวะทำเอาทิวาเกิดห่วงขึ้นมา แต่ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรออกไป อีกคนก็ผละออกจากตัวเขาออกไปเสียก่อน ทั้งยังรีบวิ่งขึ้นเวทีไปราวกับไม่ต้องการเปิดโอกาสให้เขาได้ถามถึงการกระทำไร้ที่มาที่เพิ่งทำไปแม้แต่คำเดียว

แม้จะสงสัยแค่ไหน แต่คำพูดของพิธีกรประจำงานกลับดังขึ้นเรียกความสนใจของทิวาให้ไปอยู่ที่เวทีแทน เขาเดินออกจากหลังเวที เดินจนกระทั่งสามารถเห็นวงยูอาร์ที่มีแฟนคลับล้นหลามพากันมาหาได้ครบทุกคน รวมไปถึงเจ้าคนที่กำลังตีหน้านิ่งเกากีต้าร์ของตัวเองด้วย

ทำไมมันหล่อจังวะ เขาก็ว่าเขาก็หน้าตาดีในระดับหนึ่งนะ แต่พอเจอมันก็ยอมแพ้อะ ไม่สู้

ราวกับรับรู้ว่าเขากำลังมองอยู่ คนที่ก้มหน้าก้มตาไม่สนโลกพลันเงยหน้าขึ้นมาทางเขา ตอนที่เขากำลังสงสัยว่าอีกคนคิดจะทำอะไรพิเรนทร์หรือเปล่า ก็โดนมาวินแลบลิ้นใส่หนึ่งทีแล้วกลับไปก้มหน้าเหมือนเดิมทำให้งงแทน ท่ามกลางเสียงกรี๊ดกร๊าดของแฟนคลับสาวๆ ที่เห็นฉากนั้นโดยบังเอิญ

“มึงง พี่วินแลบลิ้น น่ารักก”

“เขาทำใส่ใครวะ แม่ง โคตรน่าอิจฉา”

น่าอิจฉาตรงไหน (วะ) ครับ

ไม่นานเสียงกลองและเครื่องดนตรีอื่นดังกระหึ่ม จนเหมือนทิวาได้ย้อนไปยังตอนที่เขาได้ยืนอยู่หน้าเวทียืนดูวงโปรดของเขาแสดงไม่มีผิด หากแต่ตอนนี้บนเวทีไม่ใช่วีอาร์ ไม่มีพี่กั๊ปนักร้องคนโปรดของเขาหรือพี่ตูมตามคนโปรดของเดือนอ้าย เขาไม่สามารถร้องเพลงตามที่แฟนคลับคนอื่นร้องได้ ไม่สามารถอินไปกับบทเพลง เพราะเขาไม่รู้จักอะไรสักอย่างเกี่ยวกับวงดนตรีที่กำลังแสดงอยู่ตรงหน้านี่เลย

แม้กระทั่งคนที่เขารู้จักเพียงคนเดียวที่กำลังยืนเล่นกีต้าร์อยู่บนเวทีตอนนี้ ก็กลายเป็นเพียงคนแปลกหน้าอีกครั้ง ที่เขาต้องเริ่มต้นรู้จักใหม่อีกครั้ง ทั้งที่เขาไม่ต้องการเลยสักนิด

อยากกลับไปหาทุกคน อยากกลับไปฟังวีอาร์...และยืนข้างๆ มาวินคนนั้น ไม่ใช่ที่นี่

ราวกับตัวเขาสร้างขึ้นมาจากน้ำตาไม่มีผิด แตะนิดแตะหน่อยถึงเรื่องราวและสถานที่ที่จากมา น้ำตาก็พาลจะไหลออกมาเหมือนก๊อกรั่ว มันน่ารำคาญมากๆ แต่เขาก็ยังอยากร้องไห้ออกมา บอกตัวเองว่าร้องเสียให้พอ ร้องแค่วันนี้ แล้ววันพรุ่งนี้เขาจะกลับมาสู้และหาทางกลับไปยังที่ที่จากมาให้ได้

เพราะงั้นเขาเลยกลายเป็นอะไรที่แปลกแยกและแสนแตกต่างกับคนรอบตัว ในขณะที่ทุกคนกำลังร้องเพลงอย่างมีความสุข ทิวาก็อาศัยเสียงดังนั่นร้องไห้ออกมาสุดเสียงในมุมหนึ่งที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

มันควรจะเป็นแบบนั้น

แต่ว่า

“...และเพลงนี้ มือกีต้าร์ของเราขอแสดงเป็นพิเศษ ฝากบอกสำหรับใครคนที่กำลังร้องไห้... ไม่ต้องร้องแล้วนะครับ เดี๋ยวมาวินจะร้องเพลงให้ฟังแทน”

มันดันมีคนคนหนึ่งเห็น ราวกับจับตามองเขาอยู่ตลอดเวลา

ทิวาเงยหน้าเปรอะน้ำตาของตัวเองมองบนเวที เห็นมาวินเดินไปสลับที่กับนักร้องนำอยู่ท่ามกลางแสงสปอร์ตไลท์ดวงใหญ่ที่ยิ่งขับเน้นให้ใบหน้าที่ราวสวรรค์สร้างจนน่าอิจฉา เปล่งประกายจนไม่อาจละสายตาได้มากขึ้นไปอีก

“อันที่จริงมันไม่ใช่เพลงของวงเรา เพียงแต่...” พริบตาหนึ่งเขาแอบเห็นว่ามาวินหันมาหาเขา แต่อีกพริบตาอีกคนก็กลับมองตรงไปข้างหน้าเสียแล้ว ทิวาเลยไม่รู้ว่าที่เขาเห็น มันเป็นเพียงการเข้าข้างตัวเองหรือเปล่า “...ผมคิดว่าเพลงนี้ เหมาะกับค่ำคืนนี้ เหมาะกับใครบางคนที่ตอนนี้เอาแต่ร้องไห้...ผมอยากให้ฟังแล้วก็เลิกร้องไห้เสียที”

“...”

คราวนี้เขาไม่ได้คิดไปเองแล้วจริงๆ

เพราะตอนนี้...พวกเขากำลังสบตากันอยู่

เขาไม่ทันฟังหรอกว่าเพลงนี้มันเพลงของใคร อาจจะเป็นสักเพลงที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหกปีที่เขาไม่มีตัวตนอยู่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกคนร้องเพราะแค่ไหน สิ่งที่เขาทำก็คือมอง...แล้วก็มอง ยืนอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางกลุ่มคนที่โยกเอนไปมาตามจังหวะเพลง เขายืนโง่ๆ อยู่แบบนั้นจนเพลงจบ จนแฟนคลับทยอยจากไป จนเหลือแค่ลานกิจกรรมที่มีคนบางตาและใครคนหนึ่งที่มายืนอยู่ต่อหน้าเขา ด้วยสภาพรุงรังจนทิวาหลุดหัวเราะเพราะอึดอัดแทน

คนโดนหัวเราะคงจะหงุดหงิดน่าดู แต่ทำอะไรไม่ได้ นิ้วเรียวที่เพิ่งสร้างบทเพลงให้คนมากมายหลงใหลเกี่ยวมาสก์ปิดหน้าลงมาจนเห็นริมฝีปากขยับไปมาให้พอคลายความอึดอัดบ้าง

“ขำอะไร ไอ้เด็กขี้แย”

“เสือก”

“อะ อนุญาตให้ด่าเข้าหน่อย พูดใหญ่เลยนะ”

ทิวาตบปีกหมวกตรงหน้าจนมันปิดดวงตาของมาวินอย่างนึกสนุก “ทำไมไม่กลับไปพร้อมคนอื่น” ที่พูดแบบนี้เพราะเขาเห็นกลุ่มแฟนคลับวิ่งตามรถตู้คันใหญ่ออกไปจากมหาลัย ตอนแรกเขานึกว่าอีกคนก็อยู่ในนั้น จนมายืนอยู่ตรงหน้าเขาตัวเป็นๆ นี่แหละ ทิวาถึงได้รู้ว่าตัวเองคิดผิด

“ทิ้งเด็กหลงไว้คนหนึ่ง เพิ่งนึกได้เลยขอเขาลงมา”

“ใครเป็นเด็กหลงมิทราบ”

“แถวนี้แหละ” มาวินถอดหมวกออกแล้วใส่ให้กับทิวา แม้ว่าแรงจะไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าอ่อนโยนเลยสักนิด แต่การลูบหัวของเขาเบาๆ หลังจากนั้น กลับนุ่มนวลจนทิวานึกว่าคนละคนกับเสียด้วยซ้ำ “ไปได้แล้ว ยืนเอ๋ออยู่ได้”

“ไปไหน”

“กลับบ้านไง”

“...”

บ้าน

ที่นี่...เขามีที่ให้กลับไปด้วยเหรอ

“ต่อไปนี้ก็มาอยู่ด้วยกัน ว่าไงจะกลับไปด้วยกันไหม”

“อยู่ด้วยได้เหรอ...” ทิวาว่าเสียงอ่อย

“เออดิ ไม่ได้จะขอพี่เต้ให้มาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทำไม”

“มึงเอาอะไรมามั่นใจกับคนที่เพิ่งเจอกันวันเดียววะ”

“แล้วมึงจะทำให้กูผิดหวังปะล่ะ”

“...”

“ถ้าไม่ก็เดินได้แล้ว ง่วงนอนจะตาย” มาวินว่าพลางตบหัวเขาเบาๆ ออกเดินนำข้างหน้า จนรู้สึกว่าเขายังไม่เดินตามไปเสียที อีกคนเลยยื่นมือมาจับข้อมือแล้วลากให้เดินตามไป โดยที่เขาไม่ขัดขืน อันที่จริงก็ไม่มีความคิดงั้นเลย

ก็จริงที่มาวินคนนั้นไม่เหมือนมาวินคนนั้นที่เขาชอบ ไม่มีบรรยากาศที่แสนคุ้นเคยนั่น ไม่มีรอยยิ้มเลย

แต่ว่า

“ฝากตัวด้วยละกัน”

“เออ”

ก็ยังทำให้เขาหลงรักได้เหมือนเดิมอยู่ดี








ทว่าคราที่สบตาและเอื้นเอ่ย

ใจของฉันก็ยังเป็นเช่นเดิม

ยังคงรัก หลงรักเพียงคนนี้ ไม่เปลี่ยนเลย



(โปรดติดตามตอนต่อไป)

----------------------------------------------------------------------------------

fact about ทิวา

ทิวาไม่ใช่เด็กขี้แย แต่ถ้าได้ร้องไห้ขึ้นมาสักครั้ง จะร้องไห้ไม่หยุด ยิ่งมีคนปลอบก็ยิ่งร้อง

NAVY

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
สิ่งละพันอันน้อยที่ค่อยๆ ก่อร่าง

เหมือนหน่ออ่อนที่ค่อยๆ เติบโตในใจฉัน






ตกหลุมรักระยะที่ 5









บ้านที่มาวินพูดถึงไม่ได้ใหญ่โตถึงขนาดคฤหาสน์ แต่ก็ไม่ได้คับแคบเสียจนบรรจุผู้ชายสองคนไม่ได้ อีกคนเล่าว่ามันคือบ้านที่ลงขันกันห้าคน ตอนแรกแค่เอาไว้ซ้อมเล่นดนตรี นัดกินข้าวนู่นนี่ ไม่ก็เป็นที่พักให้กับคนอื่นที่ขี้เกียจอยู่บ้าน จนกระทั่งฟอร์มวงจริงจังและเริ่มเข้าวงการ พวกเขาก็ยึดที่นี่เป็นที่พักรวม ใช้ชีวิตกินนอนด้วยกัน แต่พอหลังๆ ที่เริ่มมีชื่อเสียง บ้านหลังนี้ก็ถูกค้นพบเข้าและสร้างความรำคาญให้ทั้งคนในวงและเพื่อนบ้านไม่น้อย เลยต้องแยกย้ายกันไปอยู่ตามคอนโดแต่ละที นานๆ ทีจึงค่อยกลับมานอนบ้านหลังนี้ ซึ่งในปัจจุบันมีแต่มาวินที่ยังคงอยู่ที่นี่ ไม่ได้ย้ายไปไหน พอเขาถามว่าทำไม เจ้าตัวก็แค่ยักไหล่แล้วตอบกลับมาว่าขี้เกียจย้ายเฉยๆ

ตัวบ้านสองชั้นสามห้องนอน สองห้องน้ำ อีกหนึ่งห้องซ้อม มีที่ว่างมากพอให้เขาได้เลือกว่าจะอยู่ห้องไหน สุดท้ายก็ไปจบที่อดีตห้องพักของมือเบส เป็นห้องที่เล็กที่สุดในบรรดาทั้งสามห้อง แต่โดยรวมสำหรับคนไร้บ้านไร้ที่อยู่อย่างทิวาแล้ว ถือว่าดีกว่านอนข้างถนนเป็นไหนๆ

ปัญหาตอนนี้ก็คือ เขาดันไม่มีเสื้อผ้าสำรองติดตัวเลยเนี่ยสิ

“จะออกไปไหน” มาวินว่าแล้วชี้ไปยังนาฬิกาที่ชี้ไปยังเวลาเกือบเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว สลับกับมองเขาที่กำลังคว้ากระเป๋าเงินเตรียมออกไปข้างนอก ทั้งที่ยังอยู่ในบ้านไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ

“ไม่มีเสื้อ จะไปดูเซเว่นว่ามีพวกเสื้อยืดเสื้อกล้ามไหม” เสื้อตัวนี้สมบุกสมบันกับเขามาทั้งวันแล้ว ครั้นจะให้นอนทั้งแบบนี้ก็เหม็นตัวเองเกินไป “นอนทั้งเสื้อเก่าแบบนี้ไม่ไหวหรอก”

“ก็ยืมกูก็ได้”

“...”

“รังเกียจอะไร” ว่าแล้วก็ปาเสื้อกับกางเกงขายาวหนึ่งตัวมาให้จนทิวารับแทบไม่ทัน ได้แต่บ่นอุบอิบกับเงาหลังอีกคนที่หายไปยังห้องน้ำอีกฝั่งเบาๆ

“ไม่ได้รังเกียจเฟ้ย”

“ได้ยิน” ยังไม่ทันจะได้หนี คนที่เขานึกว่าจะเข้าห้องน้ำไปแล้วกลับโผล่หน้าออกมา จนเขาเป็นฝ่ายหนีไปยังห้องน้ำฝั่งตัวเองแทบไม่ทัน จึงไม่เห็นว่าบนใบหน้าที่นิ่งเฉยปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาบางๆ

ใช้เวลาขัดเนื้อตัวที่เหนียวเหนอะตั้งแต่ช่วงเช้าอยู่พักใหญ่ เขาจึงได้ออกมาจากห้องแล้วโผตัวเข้าไปนอนบนที่นอนนุ่ม แอร์เย็นๆ ทำให้ทิวาเผลอครางออกมาด้วยความสบายตัว อดคิดไม่ได้ว่าแอร์นี่แหละมันการค้นพบของมนุษย์ชาติ ช่วยเหลือมนุษย์โลกเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะกับบ้านเมืองร้อนแดดเผาเช่นนี้

นึกว่าความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันจะทำให้เขาหลับลงได้ทันที แต่ก็คิดผิดเสียอย่างนั้น ทิวาข่มตาอยู่เป็นชั่วโมง สุดท้ายก็ได้แต่ลุกขึ้นนั่งบนที่นอนแล้วยอมก้าวเท้าลงไปข้างล่าง หวังจะหาอะไรอุ่นๆ ใส่ท้อง เผื่อจะหลับกับเขาบ้าง

ทั้งบ้านมืดสนิท มีเพียงแสงไฟรางๆ จากด้านนอกที่ส่อสว่างหลังม่านสีไข่ที่ติดอยู่รอบบ้าน ตอนแรกเขาระมัดระวังสุดๆ ด้วยกลัวว่าจะไปปลุกใครที่นอนอีกห้องตื่นขึ้น แต่พอไปถึงครัวเล็กๆ เขากลับรู้สึกว่าการระวังเมื่อครู่มันเหมือนคนโง่มากแค่ไหน คนที่เขาคิดว่าหลับตอนนี้กลับยืนอยู่ต่อหน้าและกำลังต้มอะไรบางอย่างที่ส่งกลิ่นหอมยั่วใจอยู่

“นึกว่าหลับแล้วซะอีก” ทิวาว่าพร้อมทั้งทิ้งตัวนั่งบนโต๊ะทานข้าวขนาดกลางไม่ไกลจากตรงส่วนครัว มองคนที่ทำแค่เหลือบตามองเขาไม่กี่วินาทีแล้วหันกลับไปให้ความสนใจกับอาหารในหม้อต่อเงียบๆ “หิวเหรอ”

“แล้วคนที่ลงมาตอนนี้หิวเหมือนกันหรือไง”

“นอนไม่หลับ”

“...”

ทิวาหลุบตามองพื้นโต๊ะขาวสะอาด บ่นเสียงอ้อมแอ้ม “เลยว่าจะลงมาหาอะไรอุ่นๆ กิน”

จบประโยคนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรต่อ มีเพียงเสียงเครื่องครัวกระทบไปมาพอไม่ให้มันเงียบจนเกินไป ตอนที่มาวินทำเสร็จและทิวาเตรียมจะลุกขึ้นไปทำส่วนของตัวเองบ้าง ก็โดนคนที่เป็นเจ้าของบ้านกดให้นั่งลงที่เดิม พร้อมกับที่ตรงหน้าตัวเองมีชามมาม่าส่งกลิ่นหอมเพิ่มมาชามหนึ่ง

เขาได้แต่มองอีกคนเซ่อๆ เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเอามันมาวางตรงหน้าเขา ราวกับจะป่าวประกาศว่ามาม่าชามนี้เป็นของเขา แต่ก่อนจะได้ถามอะไรออกไป มือที่กดไหล่ก็วางแปะลงบนหัวออกแรงขยี้เบาๆ แล้วผละออกไป พร้อมกับเงาร่างของอีกคนที่หายไปบนชั้นสอง

ทิ้งไว้เพียงประโยคที่ทำให้คนฟังหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะยามค่ำคืน

“กินเสร็จแล้วอย่าลืมแปรงฟัน รีบกินซะล่ะ จะได้ไปนอน”

ทิวานิ่งอยู่อย่างนั้นอยู่พักใหญ่กว่าจะหยิบตะเกียบขึ้นคีบเส้นมาม่าเข้าปากแบบไม่รู้รส น้ำซุปรสชาติที่คุ้นเคยทำเอาเขาแอบแปลกใจนิดหน่อย มันเป็นมาม่าหมูสับแน่ๆ แต่กลับมีรสของเครื่องปรุงมาม่าต้มยำปนนิดหน่อยแบบที่เขาชอบ แต่อีกคนจะรู้ได้ยังไงว่าเขาชอบกินแบบนี้

อาจจะเป็นแค่ความบังเอิญ

แต่ความบังเอิญนั้นกลับทำให้เขาอมยิ้มและกินเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่น้ำซุปค้างที่ก้นชาม

เมื่อท้องอุ่น ตาเขาก็เริ่มจะปิด หลังจากแปรงฟันตามที่คุณเจ้าบ้านสั่งเรียบร้อย พอหัวตกถึงหมอน ทิวาก็หลับราวกับเรื่องที่นอนไม่หลับตอนตีหนึ่งไม่เคยเกิดขึ้น

 











---------------------------------------------------------------------------------------------------------------











ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับนาฬิกาในร่างกายหรืออาจเพราะเขาไม่อาจไว้วางใจเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ทำให้ความคิดที่คิดว่าจะตื่นขึ้นมาอีกทีตอนเที่ยงวันพลันสลายหายไป แม้จะเป็นเพียงความหวังที่ริบหรี่ แต่ตอนที่ทิวารู้สึกตัวเขาก็ยังภาวนา ขอให้ตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ที่ห้องนอนในหอพักอยู่ดี

แต่เรื่องอะไรมันจะเกิดขึ้นง่ายดายถึงเพียงนั้น สุดท้ายเมื่อลืมตาขึ้นมา เขาก็ยังอยู่ในห้องนอนที่แสนไม่คุ้นตา ในบ้านของเหล่ายูอาร์เหมือนเดิม

ทิวานอนแช่มองเพดานแบบนั้นอยู่พักใหญ่ จนได้ยินเสียงกริ่งแว่วๆ จึงเปิดประตูหมายจะไปแจ้งเจ้าของบ้าน ทว่าไม่คิดว่าตอนที่เปิดประตูออก อีกคนก็ราวกับมีความคิดเดียวกัน จึงมองเขาด้วยตาที่ปิดครึ่งเปิดครึ่งและทรงผมรังนกแสนน่าตลกนั่น มาวินหรี่ตาจนคิ้วขมวด พูดด้วยน้ำเสียงมึนชาปนหงุดหงิดนิดๆ ที่โดนก่อกวนแต่เช้า

อ่าฮะ ถึงจะสิบโมงจะสายมากๆ แล้วสำหรับเขา แต่สำหรับอีกคนดูเหมือนจะยังเช้าไปจริงๆ

“...เอ่อ”

“ไปเปิดประตู”

“...”

“ถ้าเป็นไอ้พวกเวรนั่น ฝากด่าด้วยว่า กวนส้นตีน” ว่าแล้วก็หมุนตัวกลับไปในห้อง เสียงปิดประตูดังลั่นบอกได้ว่าอารมณ์ของเจ้าของห้องไม่ได้ดีเลยสักนิด ส่วนทิวาจะทำอะไรได้นอกเสียจากทำตาม แหงล่ะ มาในฐานะผู้อาศัย จะมีหน้าอะไรไปขัดขืนเจ้าของบ้านกันเล่า กระนั้นก่อนที่จะออกไปหน้าบ้านที่ตอนนี้ก็ยังไม่หยุดกดกริ่งเหมือนที่บ้านไม่มีกริ่งให้กดเล่น ทิวาก็แวะล้างหน้าล้างตาให้ดูเป็นผู้เป็นคนกับเขาเสียก่อน

หน้าบ้านปรากฏกลุ่มคนที่ไม่ได้นอกเหนือจากที่เขาและมาวินคิดเสียเท่าไหร่ ใช้เวลาไม่นานกับการเดินไปปลดล๊อครั้วบ้านให้กับพวกเขา ท่ามกลางสายตาสงสัยของทั้งสี่คนที่เหลือ ทิวาถอนหายใจแล้วเดินนำเข้าบ้าน “สงสัยอะไรก็ถามวินเองแล้วกัน ขอตัวนะ...”

“ทำไมต้องไปถามไอ้วิน”

“ผู้จัดการใหม่เหรอ ทำไมมาอยู่นี่”

“นอนห้องไหนเนี่ย ห้องกูปะ? ห้องซ้ายมือห้องแรกสุด”

ทิวาชักจะปวดหัวนิดๆ กับคำถามที่พุ่งมาจากรอบทิศและจากคนไม่ซ้ำหน้า แต่ก็ยังยอมตอบแต่โดยดี ต้องใจเย็นเข้าไว้ เขาพยายามท่องเช่นนี้ “ใช่ นอนห้องนั้นแหละ”

“โห นอนไปได้ไง ไม่ได้ทำความสะอาดเลยนะนั่น ฝุ่นงี้เป็นตั้ง”

ก็เป็นตั้งจริงนั่นแหละ ทิวาคิด แต่เมื่อวานตัวเขาสกปรกกว่าห้องนั้นเยอะ เพราะงั้นเลยไม่มีปัญหาอะไร

“ก็พอนอนได้ วันนี้ค่อยทำความสะอาด”

“ชื่ออะไร”

“ทิวา”

“มีชื่ออื่นไหม เรียกยากอะ”

“เดย์”

“อายุ”

ไอ้พวกนี้มันยังไง ทำตัวอย่างกับเป็นตำรวจคอยมาสอบถามทะเบียนราษฎร์ไปได้ “อ่า...ปีนี้ก็น่าจะ 21 มั้ง”

“อายุตัวเองยังจำไม่ได้ จะดูแลวงไหวไหมเนี่ย” คนที่ตัวสูงที่สุดจนทิวาที่สูงแตะ 180 พอดีเป๊ะยังต้องแหงนหน้ามอง พูดแล้วทำสายตาเหมือนมองประเมิน ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นไปในทางลบจนทิวาชักฉุน แต่กลับไม่สามารถแสดงออกได้ชัดเจนทางสีหน้า จะมีก็สายตาที่เป็นมิตรน้อยลงไปพร้อมกับความอดทนที่ลดต่ำกว่าตอนแรก

อันที่จริงก็น้อยตั้งแต่โดนก่อกวนด้วยการกดกริ่งแบบกวนประสาทแล้วนั่นแหละ

“โตกันขนาดนี้ก็ไม่ถึงขนาดต้องดูแลทุกช่วงชีวิตไหม ผู้จัดการไม่ใช่พนักงานธนาคารนะว้อย จะได้บริการทุกระดับประทับใจ”

“ปากดีใช้ได้”

“ผู้จัดการใหม่เราเจ๋งดีจัง คอแข็งไหม จัดปาร์ตี้รับผู้จัดการใหม่สักหน่อยไหมวันนี้”

“วันนี้นัดมาซ้อม...” แต่ก่อนที่บทสนทนาจะไปไกลกว่านั้น คนที่ทิวาคิดว่าจะนอนหลับเหมือนหมีต่อไปในห้องนอน กลับเดินลงมาพร้อมกับแจ้งกำหนดการณ์วันนี้ออกมาเสียอย่างนั้น ถึงจะยังอยู่ในชุดนอน แต่สีหน้าและทรงผมก็ดูดีกว่าตอนแรกที่เขาเห็นเป็นสิบเท่า แต่นั่นทำให้ทิวาเสียดายหน่อยๆ เมื่อกี้เขาน่าจะถ่ายรูปเก็บไว้สักรูป...

“ซ้อมอะไร ไม่ซ้อมๆๆ เมื่อวานก็เลิกซะดึก ไม่เอาด้วยหรอก” คนที่เหมือนจะเด็กที่สุดในวงโวยวายพร้อมกับออกท่ามากมาย (ที่แม่งไม่ได้น่ารักเลยสักนิด) จนคนข้างๆ หลบทันบ้างไม่ทันบ้าง ก่อนจะพูดต่อ “วันนี้จะจัดปาร์ตี้กับผู้จัดการใหม่!”

“ที่ดึกเพราะเมื่อวานมึงไปดื่มต่อเองไม่ใช่หรือไง...”

“ชี่! เงียบ!! เมื่อวานอะไร กลับห้องไปก็นอนต่างหาก มั่วๆๆๆ” คนที่ท้วงหุบปากเงียบ แต่สายตาที่มองกลับแสดงออกชัดเจนว่า ไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้ตอแยอะไร เหมือนรู้นิสัยดีอยู่แล้ว ก่อนจะหันหน้าไปมองคนที่เดินมายืนซ้อนหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้แล้วถามต่อ “เอาไง”

“จะให้ทำไงได้ จอมโวยวายน่ารำคาญน้อยซะเมื่อไหร่” ว่าแล้วก็ยันไปหนึ่งที จนเจ้าของจอมโวยวายร้องออกมาหนึ่งที แต่เพราะข้อเสนอไม่ซ้อมประสบความสำเร็จจึงไม่ได้พูดอะไรนอกจากยิ้มแป้น

เสียงถอนหายใจและคำตอบของมาวิน พอจะทำให้ทิวาเดาได้นิดหน่อยว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โดยบ่ายเบี่ยงไม่ซ้อม กระนั้นที่มากกว่าเรื่องการยอมอ่อนข้อ กลับเป็นเรื่องที่ทุกการตัดสินใจกลับขึ้นอยู่กับมาวิน ทั้งที่อีกคนไม่ได้เป็นหัวหน้าวงเสียอย่างนั้น

และสงสัยเขาจะสงสัยออกนอกหน้าไปนิด ถึงได้โดนมาวินเคาะหัวอย่างแรงจนร้องเสียงหลง “มองอะไรนักหนา”

“สารเลวมาก เจ็บนะเว้ย”

“เจ็บสิจะได้จำ จะได้เลิกจ้องหน้าสักที”

“ทำไม หน้ามึงมันหล่อมาจากทองหรือไง จ้องแล้วทองจะล่อนหรือยังไงห๊ะ”

“ไม่ได้ทำมาจากทอง แต่หล่อจริง อันนี้แก้ต่างไม่ได้”

“จะอ้วก”

พวกเขาเถียงกันอยู่พักใหญ่จนมาสังเกตว่าเสียงรอบตัวพลันเงียบลงจนเสียงเถียงกันของพวกเขาดังที่สุดแทน เมื่อทิวาลองหันไปมองผู้มาใหม่ทั่งสี่ กลับพบว่าทั้งสี่คนต่างนิ่งอยู่ที่โซฟาอย่างพร้อมเพรียง หนึ่งในนั้นถึงกับเอาขนมมาแกะกิน ทำเหมือนว่าการที่พวกเขาทะเลาะกันมันคือละครสักเรื่อง ซึ่งแม่งโคตรกวนตีนเลยให้ตายดิวะ

“สนุกมากหรือไง” มาวิน

“ก็สนุกดี คนหนึ่งปกติเงียบเหมือนเป่าสาก” หนึ่งในนั้นชี้ที่วินแล้ววกมาชี้ที่เขา “ส่วนอีกคนคิดว่าจะหงอๆ หน่อยกับมึง กลายเป็นว่าด่าไฟแล่บ เอ๊ย! นี่มันมวยถูกคู่” ว่าแล้วก็ตบมือลั่นบ้าน แม้จะตบแค่คนเดียวก็เถอะ ส่วนคนอื่นคล้ายจะเห็นความทุกข์คนอื่นเป็นเรื่องสนุก จึงส่งเสียงเป็นลูกคู่บ้าง ขำขันกันไป

ยกเว้นก็แต่สองคนที่โดนล้อนี่แหละนะ

“ตีกันๆ”

“ลูกดกแน่ๆ”

“...” ทิวาเหนื่อยใจจะต่อล้อต่อเถียงจนได้แต่มองมาวินที่คงรู้สึกไม่ต่างกัน อันที่จริงเขาไม่คิดว่าตัวเองจะเดาใจอีกคนถูก แต่จากสีหน้าและการแสดงออกนี้ คงจะเอือมระอามานานแต่ไร้ทางแก้ละมั้ง

มาวินกลอกตาใส่เจ้าตัวต้นเรื่องก่อนจะผายมือไปยังสมาชิก แสดงออกกลายๆ ว่าจะแนะนำแล้วนะ ทิวาเลยเปลี่ยนเป้าสายตาไปที่สมาชิกทั้งสี่แทน

“จากซ้ายมือ หน้าตาโง่ๆ เสียงดังที่สุดชื่อเวย์ เป็นมือกลอง”

“มึงว่าใครหน้าตาโง่!” ว่าแล้วก็คว้าเอาขนมในมือคนข้างๆ ปาใส่มาวินที่เริ่มต้นแนะนำอย่างเป็นทางการ (แค่ชื่อและตำแหน่งในวง) แต่เหมือนจะทำมาหลายครั้งแล้วมาวินเลยรู้แกว หลังรับด้วยมือขวาก็ยัดขนมเข้าปากเขาที่ไม่ทันตั้งตัว นึกอยากจะตีก็ไม่ทันแล้ว เพราะคนลงมือขยับหนีไปได้ทัน จนได้แต่มองพร้อมกับเคี้ยวขนมประหนี่งขนมนั้นคือคนขี้แกล้งตรงหน้า

“คนถัดมาสีหัวสะเหร่อๆ ตัวสูงเป็นเปรตชื่อแคท เล่นคีย์บอร์ด จำง่ายสุด เพราะชื่อดันไม่เหมาะกับมันสุดๆ”

“เรื่องชื่ออะกูเห็นด้วยนะ แต่สีผมกูออกจะเท่ สะเหร่อที่ไหนไอ้สัส”

แต่มาวินมีหรือจะสนถ้อยคำขยะ จึงชี้ไปที่คนถัดไปแทน “คนปกติที่สุดในวงรองจากกู ไป๋ มือเบส”

“ยินดีที่ได้รู้จัก”

“เหมือนกัน” ปกติที่สุดในวงเลยต่างหาก ทิวาคิด

“คนสุดท้าย ...เป็นสมาชิกที่ทุกคนลงมติว่าไม่เหมาะกับที่นี่ที่สุด แต่ก็อยู่มาได้จนทุกวันนี้ จิน เป็นนักร้องนำ”

ทิวาเพิ่งมาสังเกตก็ตอนที่อีกคนยิ้มแล้วพยักหน้าให้เขา ว่าตั้งแต่ที่เข้าบ้านมา จินเป็นคนเดียวที่ไม่ได้พูดอะไรเลย บนใบหน้านั่นมีแต่รอยยิ้มบางๆ ที่เหมือนเป็นเอกลักษณ์ของอีกคนไปแล้ว ซึ่งทิวามองว่าเป็นเอกลักษณ์ที่มีเสน่ห์ไม่น้อย ถ้าเทียบกับวงไอดอลที่เดือนอ้ายเคยคลั่งช่วงหนึ่ง (และพยายามชักชวนเขาสุดฤทธิ์ แต่ไม่เป็นผล) จินก็เหมือนเป็นภาพลักษณ์ของวง

“ส่วนกู คงไม่ต้องแนะนำแล้วเนาะ มือกีต้าร์สุดหล่อ”

“อีกรอบที่มึงทำกูคลื่นไส้แต่เช้า”

“ท้อง!!” เวย์

“ผิดผีตั้งแต่วันแรกที่ทำงานเลยเหรอวะ ไวไฟมาก! นับถือ” แคท

ทิวาเหนื่อยเหลือเกินกับการพูดคุยกับเวย์และแคท จึงทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เมื่อไป๋ออกปากชวนหาคนไปซื้อของสำหรับปาร์ตี้เย็นนี้ ทิวาจึงอาสาอย่างไม่ลังเล เพราะเขายังมีของใช้ส่วนตัวหลายอย่างที่ยังไม่ได้ซื้อ รวมไปถึงพวกเสื้อผ้าด้วย หลังแปรงฟัน ทาแป้งไม่ให้คนเขารู้ว่ายังไม่ได้อาบน้ำ ออกมาก็พบว่ามาวินมายืนดักอยู่ด้านหน้าพร้อมกับเครดิตการ์ดหนึ่งใบที่ทิวาได้แต่งงว่ายื่นมาให้ทำแป๊ะอะไร

“เพื่อ?”

“ซื้อของ”

แม้จะงง แต่ก็รับมาแต่โดยดี ไม่วายบ่นอุบ “ทำไมไม่ให้ไป๋ไม่ก็จินเก็บเอาไว้วะ สองคนนั้นต่างหากที่ไปซื้อของกิน กูแค่จะไปซื้อของใช้ของตัวกูเอง”

“ก็นั่นแหละ เอาไปซื้อ”

“เฮ้ย ไม่เอา”

“มีเงินเหรอ”

“มี ไม่ได้ถุงถังแต่ก็ไม่ได้ยากจนขนาดนั้นเว้ย” อย่างน้อยเมื่อวานเขาก็เช็กได้ว่าบัตรเอทีเอ็มที่ติดตัวเขามานี้ยังเป็นใบเดิมของเขา ในนั้นยังมีเงินจำนวนเดิมติดค้างบัญชีที่มากพอจะให้เขาใช้อยู่ได้หลายเดือน (แม้จะต้องวงเล็บเอาไว้ว่าในกรณีที่พักแบบฟรีน่ะนะ) ทิวาเลยรีบคืนบัตรเครดิตราวกับมันเป็นของร้อน ทว่าเขาหรือจะสู้แรงมาวินได้ อีกคนเคาะหัวเขาอีกครั้งแล้วฉวยโอกาสยัดมันลงมือของเขาอีกครั้ง

“เอาไปเถอะน่า บัตรส่วนตัวกู ไม่ใช่ของวง ของวงไอ้จินมันเป็นคนถือ”

“ไม่เอา”

“เดย์ อย่าดื้อ”

“...”

ชะงักสิครับ ไอ้เดย์คนนี้มันจะไปสู้อะไรได้ พริบตาที่เสียงทุ้มเจือกระแสออกคำสั่งหลุดออกมา ทิวาก็เลิกขัดขืนอย่างเป็นทางการ พยายามจะไม่คิดอะไร (เพราะอีกคนก็คงไม่คิดอะไรเหมือนกัน) แต่คนที่ใจมันหวั่นไหวตั้งแต่แรกอย่างเขามีหรือจะต้านทานได้

อย่าดื้อ ใช้คำนี้กับผู้ชาย มันใช่เหรอ!!

แล้วเขาเนี่ย รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ได้คิดอะไร ทำไมต้องเขินด้วยเว้ยเห้ย!!

“อ...เออ!! เอาไปก็ได้ เซ้าซี้!”

“จ้าๆ กูมันเซ้าซี้ รีบไปได้แล้ว พวกมันรอนานแล้วเนี่ย”

ทิวารีบจัดทรงผมที่ยุ่งเล็กน้อยเพราะโดยเคาะหัวเมื่อครู่ บ่นอุบอิบตามทางเดิน ไม่มีสารร่างของสองคู่ซี้กวนประสาทแล้ว คาดว่าคงหนีไปเล่นเกมที่ห้องนั่งเล่น “แล้วใครมันมาดักคนไว้ก่อนล่ะวะ”

“บ่นอะไร”

“เปล๊า!”

มาวินหรี่ตามองเหมือนจะจับผิด แต่สุดท้ายก็ดันหลังเขาไปยังรถเก๋งสีเงินที่จอดรอนอกบ้าน หลังปิดรั้วบ้านเรียบร้อย ก่อนที่เขาจะได้ก้าวขึ้นรถอีกคนก็เอ่ยขึ้นมาอีกประโยค

“ระวังอย่าไปเซ่อซ่าจนเจ็บตัวกลับบ้านมาล่ะ”

“โตแล้วไหมล่ะ ไม่ใช่เด็กสามขวบนะเว้ย”

มาวินยิ้มมุมปาก “มึงน่ะยิ่งกว่าเด็กสามขวบ ไอ้ขี้แย”

ไม่รอให้โดนด่ากลับ มาวินก็ชิ่งหนีเข้าบ้านไปแล้ว ทิ้งให้ทิวายืนหัวร้อน เพราะเถียงมันไม่ได้ เมื่อวานเขาก็ดันขี้แยจริงๆ อย่างที่มันว่านี่นา

 











-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------











โชคที่หมู่บ้านที่อยู่ไม่ได้ไกลจากตัวเมืองมากนัก ใข้เวลาไม่นานพวกเขาก็มาถึงห้างใหญ่ห้างหนึ่ง แน่นอนว่าทิวาแยกตัวเองไปซื้อของใช้ส่วนตัวและรับปากไป๋ว่าจะตามมาสบทบทีหลัง เพราะเขาไม่ได้พิถีพิถันอะไรขนาดนั้นกับการเลือกเสื้อผ้า โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วนแบบนี้ เขายิ่งไม่สนใจจะเลือกสักเท่าไหร่ หลังได้ข้าวของส่วนตัวครบ เขาก็รีบวิ่งไปหาอีกสองคนในซุปเปอร์มาเก็ตที่ชั้นล่างทันที

หลังค้นหาอยู่พักหนึ่ง เขาก็พบว่าทั้งสองคนกำลังยืนเลือกเนื้ออยู่โซนของสด ด้วยนิสัยของพวกเขาทั้งสามคน ไม่ใช่คนช่างพูดนัก ทิวาเองก็ไม่ถนัดเริ่มบทสนทนา ดังนั้นจึงมีแค่ไป๋ที่พูดเป็นส่วนมากและมีจินแทรกเป็นบางคำ แต่ส่วนมากดำเนินไปด้วยความเงียบที่ไม่น่าอึดอัดเลยแม้แต่นิดเดียว คล้ายกับว่านี่คือเรื่องปกติ

นี่คือบรรยากาศที่ควรจะเป็นอยู่แล้วสำหรับสองคนตรงหน้าเขา

“คุณผู้จัดการมีอะไรที่กินไม่ได้ไหม” ทิวาส่ายหน้าและตอบว่ากินได้ไหม แอบคิดในใจว่านอกจากจะยิ้มสวย หน้าตาเด่นแล้ว เสียงของจินก็นุ่มๆ เพราะเหลือเกิน อีกนิดจะสูงส่งที่สุดในสายตาเขาตอนนี้แล้ว

เมื่อเทียบกับพวกทโมนที่อยู่บ้าน แน่นอนว่าเขาต้องยกจินสูงขึ้นหน่อยล่ะนะ

“ซื้อนมกลับไปไหม” ไป๋ว่าแล้วยกนมจืดแกลลอนใหญ่ขึ้นมาจนจินห้ามแทบไม่ทัน

“ไม่เอาๆ วางๆ แช่ไว้ที่บ้านก็ไม่มีใครกิน วินไม่ชอบนม”

“ก็มีเดย์ไง”

“ได้ๆ เอาไปเถอะ”  เป็นครั้งแรกที่ทิวาเกร็งและไม่กล้าพูดคำหยาบต่อหน้าผู้ชายด้วยกัน จินไม่ได้นุ่มนิ่มเลยแม้แต่น้อย แต่คล้ายมีรังสีความสุภาพจนหยาบด้วยไม่ลงมากกว่า ไป๋เองก็เป็นอีกคนที่ทิวาไม่ได้พูดหยาบใส่ อาจเพราะสองคนนี้คล้ายกันเกินไป เขาเลยรู้สึกเหมือนกันมั้ง

ส่วนสามคนนั้นก็ประเภทเดียวกัน อย่าได้เปิดช่องให้เชียว โดนกัดเละแน่

จินลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ยอมวางแกลลอนนมลงไปในรถเข็น ไม่วายบ่น “ไม่ต้องหรอก เอาไปก็กินอยู่คนเดียว จะเอานมไปทำไม”

“ก็ชอบไม่ใช่หรือไง”

“มันก็ใช่”

“ก็เอาไปเถอะ แค่แกลลอนเดียว ขนหน้าแข้งไอ้วินไม่ร่วงหรอกน่า” ว่าแล้วไป๋ก็เข็นนำไปยังโซนอื่น ทิ้งให้เขาและจินเดินตาม

“เดย์อยากได้อะไรก็เลือกเลยนะ”

“อ่า ได้ๆ เราคงอยากได้พวกขนมอะ”

“งั้นโซนนี้เลย” จินนำไปยังโซนขนมขบเคี้ยว ได้ขนมกลับมาสามถุงใหญ่ ยิ่งพอมีไป๋มาร่วมแจม จำนวนขนมในรถเข็นก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ซึ่งไป๋ให้เหตุผลว่า ของแกล้มเหล้าเบียร์และเผื่อตอนซ้อมครั้งหน้าด้วย เนื่องจากจะมีทัวร์แล้ว แม้จะไม่ได้เยอะรอบ แต่พวกเขาก็ควรซ้อมเพื่อเตรียมตัวให้ดี

“งั้นช่วงนี้ก็จะอยู่ที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ใช่ปะ”

“ใช่ สามอาทิตย์เต็มๆ เลย วินตั้งใจจะให้เป๊ะก่อนวันเริ่มทัวร์ช่วงต้นเดือนหน้า พวกเราก็เลยว่าจะเข้ามาอยู่บ้านตั้งแต่ตอนนี้”

“อ้าว งั้นเราก็มาแย่งที่นอนอะดิเนี่ย”

“ไม่เป็นไรหรอก พวกนั้นมันนอนไหนก็ได้ ไม่อย่างนั้นก็เดี๋ยวไปเบียดไอ้วินคนหนึ่ง ที่เหลือก็นอนห้องใหญ่ ไม่ยุ่งยากหรอก” ไป๋ว่าติดตลก “ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่มีคนมากกว่าห้องนอน ไม่ต้องเครียดนะ”

ระหว่างที่เดินเลือกของพวกน้ำผลไม้ น้ำเปล่าเข้าบ้าน จินกับไป๋ก็ผลัดกันเล่าเรื่องที่มาของวงรวมไปถึงพวกกำหนดการณ์คร่าวๆ ของทัวร์ที่จะเกิดขึ้นไปด้วย ก่อนจะตบท้ายว่ารายละเอียดแบบเต็มๆ เดี๋ยวมาวินจะเป็นคนอธิบายอีกที ท้ายประโยคทำเอาทิวาหน้าบูด แค่คิดว่าตัวเองต้องไปคอยฟังบรีฟงาน (ที่ไม่ได้ตั้งใจจะมารับหน้าที่เล้ย) จากคนที่ไม่ได้อยู่นี่ แต่หลอกหลอนแทบทุกประโยคที่พูด ก็ขนลุกแล้ว

เอ่อ จริงๆ ก็ไม่ได้ขนาดนั้น แต่คิดถึงความรู้สึกที่ตัวเองมีแล้วต้องไปเผชิญหน้ากัน ทิวาก็ออกอาการป๊อดนิดหน่อย

ไม่หน่อยล่ะ! มากๆ เลย!!

“มันขี้แกล้งใช่ไหม” ไป๋ว่าพร้อมกับหัวเราะเบาๆ กับสีหน้าบูดๆ ของเพื่อนใหม่ตรงหน้า

“มากกกก”

“แต่มันเพิ่งมาเป็นกับเดย์นะ”

“...”

“อันนี้เรายืนยัน ปกติวินจะนิ่งกว่านี้เยอะ ถึงจะรู้จักกันมานานก็ไม่ค่อยพูดเล่นหัวขนาดนี้เลย” จินว่า ยิ่งตอกย้ำเข้าไปใหญ่ ทำเอาความคิดทิวาเตลิดไปถึงไหนก็ไม่รู้ จนกู่ไม่กลับ จนได้แต่ปฏิเสธเรียกสติตัวเองกลับมาเสียงอ่อย

“เฮ้ย ไม่หรอกมั้ง บังเอิญน่า บังเอิญ...” เนอะ

ก็มาวินจำไม่ได้

จะ...ไปรู้จักเขาได้ยังไง

“จะยังไงก็แล้วแต่ มันก็เปลี่ยนไปนิดๆ จริงๆ”

“...”

“ถ้าไม่เชื่อก็คอยดูไปเรื่อยๆ ก็ได้เดย์”

“...”

“แล้วเดย์จะได้รู้ว่าเราไม่ได้โกหก”

 




กว่าจะรู้ว่านั่นคือรัก

มันก็เบ่งบาน...เต็มดวงใจ



(โปรดติดตามตอนต่อไป)

----------------------------------------------------------------------------------------

fact about ทิวา

ทิวาไม่เชื่อใครง่ายๆ

NAVY


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-11-2019 22:29:35 โดย KarmaNavy »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ปัณ เดือนอ้าย และผองเพื่อนหายไปไหน?

ช่วงเวลา 6 ปีที่หายไป น่าจะเป็นช่วงเวลาที่คำแช่งร้าย ๆ ของปัณส่งผลอยู่ใช่ไหม?

ส่วนช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่คำแช่งของปัฯที่พยายามแก้ไขให้ไม่เลวร้ายใช่ไหม?

ป.ล. รู้สึกว่าเดย์จะค่อนไปทางสาวมาก  555

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ตอนแรกฉันนึกว่าฉันยังมีเธออยู่

คิดอย่างนั้นมาตลอด













ตกหลุมรักระยะที่ 6



 

แม้ว่าจะวางแผนเสียดิบดีถึงปาร์ตี้ในช่วงเย็น แต่สุดท้ายก็ไม่พ้นพังเพราะเบื้องบนสั่งงดแอลกอฮอล์ชุกใหญ่ มีผลนับตั้งแต่ช่วงเก็บตัวก่อนทัวร์ ทำเอาเวย์โวยวายอยู่เป็นช่วงโมงจนแคทระอา เกือบจะทุ่มคีย์บอร์ดใส่หัวเวย์ให้มันหุบปากเสียรู้แล้วรู้รอด (แต่ก็ไม่ได้ทำ เพราะราคาแพงเกินกว่าจะทำใจพังไหว)

แต่ถึงอย่างนั้นมีหรือที่คำสั่งจากคนที่ไม่ได้อยู่ร่วมวงปาร์ตี้จะมีผลมากพอให้ทำตาม สุดท้ายเวย์ก็เปิดเหล้าจนเมาเละเทะอยู่ดี ทิ้งไว้เพียงคนมีสติสองคนคือเขาและจินที่แพ้แอลกอฮอล์เท่านั้น

ทิวาถอนหายใจพลางมองคนเมาที่จนป่านนี้ก็ยังพูดไม่หยุด สลับกับเก็บจานชามที่ใช้แล้วจากกลางโต๊ะกินข้าว ไปส่งให้จินที่ล้างจานหน้าซิงค์ ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะจัดการเสร็จทั้งทำความสะอาดและโยนคนเมาไปยังห้องนอน โชคดีที่ไป๋ยังพอมีสติมากพอ จึงช่วยออกแรงพยุงแคทที่หนักกว่าใครเพื่อนขึ้นไปด้านบนอีกแรง

จินไปนอนแล้ว แต่ทิวายังไม่ได้ไปไหน เพราะในบรรดาคนเมาที่ถูกแบกไปนอนนั้น ไม่ได้รวมไปถึงมาวิน

คนคนนั้นหลังจากที่เขากลับมาจากทำความสะอาดก็หายตัวไปแล้ว ได้ยินไป๋พูดแค่ว่าน่าจะไปขลุกอยู่ในห้องซ้อม เล่าว่าเวลากรึ่มๆ อีกคนจะมีอารมณ์ศิลป์นึกอยากแต่งเพลงประจำ

เพราะงั้นตอนนี้เขาจึงได้มายืนอยู่ในห้องซ้อมที่เปิดประตูค้างเอาไว้ ในห้องกว้างที่มีเครื่องดนตรีวางอยู่อัดแน่น มีใครบางคนนั่งอยู่ท่ามกลางพวกมัน กดเล่นคีย์บอร์ดในห้องเพียงลำพัง ตอนแรกเสียงจากคีย์บอร์ดไม่เป็นเสียงไม่เป็นเพลงเอาเสียเลย แต่พักหนึ่งมันก็ค่อยๆ ประกอบขึ้นเป็นเพลงท่อนหนึ่ง ซึ่งแม้ทิวาจะไม่ได้มีความรู้อะไรเกี่ยวกับการแต่งเพลงเลย ทว่าจากการเป็นแฟนคลับวงแบนด์อยู่หลายปี ก็พอจะแยกเดาได้ว่าถ้ากลายเป็นเพลงขึ้นมา มันจะเพราะแค่ไหน

“ชอบแอบมองหรือไง”

“แล้วมีปัญหาอะไรนักหนาอะ”

วินยิ้มทั้งที่ใบหน้าโดยเฉพาะดวงตาแดงเรื่อเนื่องจากแอลกอฮอล์ ไม่อยากยอมรับแต่รอยยิ้มตอนเมาของวิน น่ารักไม่หยอก

เยิ้มๆ มึนๆ เหมือนลูกหมาตัวโตๆ แบบนั้นเลย

“หยอกเล่นเฉยๆ ทำไมไม่ไปนอน”

“แล้วคนเมาทำไมไม่นอน มานั่งเล่นอะไรคนเดียว” ทิวาว่า แล้วเดินไปอยู่ข้างๆ “แต่งเพลงเหรอ เพลงใหม่?”

“อือ จู่ๆ ก็นึกได้เลยอยากมาเก็บโน้ตในหัวไว้ก่อน กลัวตื่นมาแล้วจะลืม”

“เพลงเศร้าหรือเพลงรัก”

“เศร้า ก็แต่งออกเป็นแต่แนวๆ นี้” วินว่าแล้วขยับให้เก้าอี้แบบม้านั่งยาวมีที่พอให้ทิวานั่งลงด้วย ตอนแรกทิวาจะปฏิเสธเพราะไม่อยากไปนั่งเบียดด้วย แต่สุดท้ายก็สู้แรงดึงของอีกคนไม่ได้ จึงยอมนั่งลงแต่โดยดี “กูแต่งแนวสดใสไม่ค่อยเป็น ส่วนมากจะเป็นเวย์ไม่ก็แคทรับผิดชอบ”

“แต่งเพลงกันเป็นทั้งวงเหรอ”

“มีแต่จินที่ไม่เป็น แต่จินเก่งเรื่องปรับแต่ง จะเป็นคนคอยเช็คให้ตลอด ไป๋ก็เก่ง แต่ไอ้นั่นนานๆ ทีจะลงมือแต่ง ส่วนมากเลยเป็นแคทกับเวย์แล้วก็กู”

“ถึงไหนแล้วล่ะ” วินไม่ได้ตอบแต่เล่นให้ฟังแทน น่าจะเป็นช่วงอินโทรจนก่อนจะถึงฮุคแล้วก็หยุดไปดื้อๆ คนแต่งเพลงได้ตอนเมายักไหล่ “ที่เหลือยังคิดไม่ออก น่าจะได้แต่งต่อตอนเมาครั้งหน้า”

“ขี้เมา”

“นานๆ ทีหรอก ไม่เมาก็แต่งได้ว้อย แค่ตอนเมาจะแต่งลื่นเป็นพิเศษ”

ทิวามองปากของวินบ่นขมุบขมิบด้วยความหมั่นไส้ เสียงของอีกคนที่ปกติทุ้มๆ ตอนนี้กลับติดขึ้นจมูกนิดๆ น่ารักจนสุดท้ายทิวาก็ยื่นมือไปบีบปากอีกคนโดยไม่รู้ตัว พอรู้ตัวก็ไม่ได้ปล่อยแต่อย่างใด กลับเลื่อนไปบีบแก้มต่อแทน โดยที่เจ้าตัวที่โดนประทุษร้ายไม่ได้ตอบโต้กลับมาแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งที่ถ้าเป็นปกติ ทิวาน่าจะโดนแกล้งเละไปแล้ว

น่ารักดี

แก้มนุ่ม

“สนุกพอยัง”

“ยัง” ว่าแล้วก็เพิ่มเป็นสองมือเสียเลย ทิวาหัวเราะทำเป็นมองไม่เห็นว่าวินส่งสายตาเอือมระอามาให้ เล่นต่ออย่างสนุกสนาน จนถูกมือของวินจับไว้นั่นแหละ ถึงได้ยอมปล่อย

“เลิกเล่นก่อน จะแต่งต่อ อีกแปบจะได้ไปนอน”

“จะจบไหมเพลงนี้ ภายในคืนนี้”

“คิดว่าอาจจะ”

“งั้นอยู่ฟังได้ไหม”

“ไม่มีอะไรน่าสนใจสักหน่อย น่าเบื่อจะตาย”

“ไม่เป็นไร อยากฟัง”

“...”

“อยากฟังเป็นคนแรก” ทิวาไม่ได้คิดอะไร เพียงแค่รู้สึกว่ามันคงจะดีถ้าได้ลองฟังเพลงใหม่นี้เป็นคนแรก ทว่าเมื่อเงยหน้ามองคนแต่งเพลง กลับพบว่าแววตาที่มองมาแปลกไป แม้เพียงชั่วพริบตาที่ดวงตาสองคู่สบกัน แต่ทิวาก็ยังเห็น

เหมือนกับตอนนั้นอีกคนไม่ได้มองมาที่เขา

แต่มองที่ใครอีกคน คนที่ไม่ได้อยู่ตรงหน้า

“วิน?”

“...อยากอยู่ก็อยู่ไป ถือว่าเตือนแล้วนะว่าน่าเบื่อ” ว่าแล้วก็หันกลับไปง่วนอยู่กับการลองกดโน้ตที่โผล่ขึ้นมาในหัว ทำเป็นไม่สนใจว่ามีใครอีกคนนั่งอยู่ข้างตัว ส่วนทิวาก็ทำเป็นลืมแววตาเมื่อครู่ของวิน แล้วให้ความสนใจกับเสียงดนตรีที่ค่อยๆ ทยอยออกจากการปลายนิ้วของอีกคนที่สัมผัสลงบนคีย์บอร์ด

โน้ตแต่ละตัว ถูกร้อยเรียงทีละน้อย ก่อนกลายเป็นบทเพลงที่แสนเศร้า แม้จะยังไม่มีเนื้อร้องแม้แต่ประโยคเดียว

วินใช้เวลาอยู่กับดนตรีตรงหน้าตัวเอง ปรับเปลี่ยนซ้ำไปมา ทดลองกับตัวเองจนลืมทุกสิ่งอย่าง กว่าจะรู้สึกตัวว่าไม่ได้อยู่ลำพัง ก็เป็นตอนที่รู้สึกหนักที่ไหล่ขวาและหันไปเห็นว่าคนที่บอกจะรอฟังเป็นคนแรกได้หลับไปแล้ว

ใบหน้าตอนหลับก็ไม่แตกต่างจากตอนปกติ เว้นเสียแต่ดูเงียบสงบ ไม่ช่างต่อปากต่อคำเหมือนปกติ

“เดย์”

“...”

“เดย์ ไปนอนที่ห้องดีๆ”

“อือ”

“อือแล้วก็ลุก” คนหลับขมวดคิ้วดิ้นเล็กน้อยแทนการประท้วงว่าเขากำลังทำให้อีกคนหงุดหงิดจากการปลุก พอวินหยุดเรียกและหยุดเขย่า คิ้วที่ขมวดก็คลายปมและกลับสู่ความสงบดังเดิม จนคนที่เป็นหมอนชั่วคราวอ่อนใจ

ตอนนี้ตีสองแล้ว ทุกคนน่าจะหลับกันหมดแล้ว เหลือแค่เขาที่ยังตาสว่างรวมไปถึงสร่างเมาเรียบร้อยกับคนที่หลับผิดที่ผิดทางอย่างทิวาเท่านั้นที่ไม่ได้อยู่ที่ห้องนอน

วินพยายามขยับให้น้อยที่สุดขณะเก็บกระดาษเขียนโน้ตและพวกไอเดียต่างๆ ที่คิดในค่ำคืนนี้ไปไว้กล่องที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากคีย์บอร์ดมากนัก ก่อนจะค่อยๆ พยุงคนที่หลับให้ลุกขึ้น ซึ่งแม้จะปฏิเสธยังไง แต่สุดท้ายทิวาก็ได้แต่สะลึมสะลือตื่น ก้าวเท้าเดินตามเขากลับไปยังห้องนอน

หลังส่งอีกคนนอนและห่มผ้าเรียบร้อย เขาก็ไม่ได้กลับห้องทันที แต่กลับยังยืนมองคนที่นอนอยู่แบบนั้น ในสมองหวนนึกย้อนอย่างไม่ตั้งใจถึงประโยคที่อีกคนพูดในห้องซ้อม

มันไม่ใช่ประโยคที่แปลกประหลาดอะไร ทิวาไม่ใช่คนแรกที่อยากฟังเพลงของเขา ไม่ใช่คนแรกที่นั่งดูเขาแต่งเพลง พวกแคทก็เคยทำเช่นนั้น แต่แววตานั่นที่มองมาและรอยยิ้ม...ไม่เหมือนเลย

มันทำให้คิดถึง...

 “วิน”

‘ถึงตอนนั้น...’

“ครับ”

“...”

 ‘...ต้องให้ฟังเป็นคนแรกนะ’

คนที่เผลอเรียกชื่อเขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมาแล้วและคงไม่ตื่นอีกจนกว่าจะเช้า ทว่าอีกคนกลับไม่รู้เลยว่าได้ทำให้ใครบางคนนอนไม่หลับ แม้จะพยายามข่มตาหลับแทบทั้งคืนที่เหลือก็ตาม

 









------------------------------------------------------------------------------------------------













แสงแดดที่ลอดผ่านเข้ามาในตัวบ้านที่เงียบสงบในช่วงสายร้อนเสียจนคนที่พยายามข่มตานอนต่อ จำต้องลุกขึ้นมาจนได้ ในบ้านเงียบเสียจนทิวานึกว่ามีเพียงแค่เขากับวินเท่านั้น แอบลืมไปเสียด้วยซ้ำว่ามีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีกสี่หน่อที่เพิ่งรู้จักกันแท้ๆ แต่กลับสนิทกันได้ง่ายๆ โดยใช้เวลาแค่คืนเดียว

ทิวาลุกจากที่นอนแอบโผล่หน้าเข้าไปดูในห้องใหญ่แล้วหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียวกับสภาพไม่น่าดูของเหล่าคนที่นอนหลับสนิทเหมือนตายในห้องนั้น

จินเป็นคนเดียวที่นอนเรียบร้อยที่สุด โดยนอนอยู่มุมด้านในของเตียงขนาดคิงไซส์ ส่วนไป๋แม้จะนอนเรียบร้อยเช่นเดียวกัน แต่สลับหัวสลับเท้ามั่วไปหมดและสองคนสุดท้ายแคทกับเวย์ อันนี้ตลกที่สุด เพราะคนหนึ่งนอนโดยที่มีเท้าอีกคนจ่อหน้า อีกคนนอนโดยมีขาอีกคนพาดคอ ส่งเสียงงึมงำเหมือนหายใจไม่ออก แต่ไม่ยักจะตื่นสักคน

เขาย้อนกลับไปในห้อง คว้าเอาโทรศัพท์มาถ่ายเก็บไว้ไม่ยอมพลาดเหมือนครั้งตอนวินตื่นนอนอย่างเด็ดขาด พอคิดมาถึงตรงนี้ก็อดแวะเข้าไปยังห้องที่อยู่ข้างๆ เขาไม่ได้

ทิวาค่อยๆ เปิดประตูห้องนอนของวิน แต่สุดท้ายกลับไม่พบเจ้าของห้องอย่างที่คิดเอาไว้ มีเพียงห้องว่างเปล่าไร้เงาของคนที่เขาคิดอยากถ่ายรูปสภาพตื่นนอนคนนั้น ในห้องมีเพียงเตียงนอน ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะทำงานเรียบง่าย ดูเหมือนไม่มีข้าวของอะไร แต่ก็ดูเข้ากับนิสัยของหมอนั่นดี

สุดท้ายก็ปิดประตูลงด้วยความเสียดาย ก่อนจะเดินลงไปข้างล่าง เพราะถ้าวินไม่อยู่ในห้อง ก็แสดงว่าตื่นแล้วและต้องอยู่ข้างล่างอย่างแน่นอน

“ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่”

วินหันกลับมามองเขา ทั้งที่มือยังวุ่นอยู่กับข้าวเช้าก่อนจะหันกลับไปสนใจพวกมันก่อนจะไหม้ไปเสียก่อน “สักพักแล้ว หิวหรือไง ถึงได้รีบลงมา”

“เปล่า ไม่เห็นอยู่ที่ห้องเลยลงมาหา”

“...”

“มองทำไม” ทิวาว่าพลางนั่งลงบนเก้าอี้ หยิบขนมปังปิ้งหอมเนยเข้าปากแล้วชงกาแฟให้ตัวเอง โดยไม่ลืมที่จะถามคนที่ยังมองเขาไม่เลิก เหมือนสลับบทบาทกันยังไงก็ไม่รู้แฮะ “เอาเปล่า เดี๋ยวชงให้”

“ไม่ต้อง”

“แล้วแต่”

“กินดีๆ เปื้อนหมดแล้ว” ทิวาปาดแยมสตรอเบอรี่ลงขนมปัง ก่อนจะใช้ลิ้นเลียส่วนที่กระเด็นเปื้อนนิ้วตัวเองไปเงียบๆ ไม่ได้รู้เลยว่าการกระทำทั้งหมดของตัวเองตกอยู่ในสายตาของใครบางคนอยู่ตลอด

“...กินเป็นเด็กๆ ไปได้”

“ยุ่ง”

“ทิชชู่ก็มีทำไมไม่ใช้”

ทิวายังคงไม่สนใจ แต่คราวนี้เหล่มองคนเจ้ากี้เจ้าการหนึ่งที “สะดวกแบบนี้”

“...”

วินไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่ในตอนที่ทิวาจะทำเช่นเดิมที่มือข้างขวา เขากลับโดนหยุดด้วยมือของอีกคนพร้อมกับที่ทิชชู่จากมืออีกข้างของวินเช็ดให้จนสะอาด แล้วหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้แตะแยมและขนมปังอีกเลย เพราะมีคนทำให้หมด จนเกือบจะป้อนเขาเสียด้วยซ้ำ

“ยังอยากจะกินอีกไหม”

“อิ่มแล้ว จะกินอะไรเยอะแยะ”

“ก็สมควรอิ่ม” แล้วก็เช็ดปากให้ แต่แรงนั่นมากจนทิวาเจ็บปากไปหมด ไม่รู้ว่าเช็ดปากหรือจะลอกปากเขาออกกันแน่ จนเขาต้องปัดมืออีกคนทิ้งบ่นเสียงดัง

“วันนี้เป็นอะไรเนี่ย ยุ่งวุ่นวายกับกูจัง”

“...”

“แล้วก็ชอบเงียบใส่อีก เป็นอะไรก็บอกกันดีๆ ดิ”

“ไม่ได้เป็นอะไร อย่าลืมไปเรียกคนอื่นให้ลงมากินด้วยล่ะ บอกพวกมันว่าเจอที่ห้องซ้อมบ่ายโมง” หลังพูดรัวเป็นชุดคนพูดก็เดินหายไป ทิ้งทิวาไว้กับข้าวเช้าที่ไม่มีใครตื่นขึ้นมากินแม้แต่คนเดียว

“เป็นอะไรของเขา”

ทิวานั่งละเลียดกาแฟจนหมดแก้วแล้วจึงค่อยขึ้นไปยังชั้นสองเพื่อปลุกเหล่าคนขี้เมาทั้งหลายให้รีบตื่นก่อนจะโดนลงโทษจากมือกีต้าร์อารมณ์แปรปรวนคนนั้น หลังปลุกเสร็จเขาก็แยกตัวไปจัดการอาบน้ำบ้าง

ทิวาหอบสมุดเปล่าพร้อมกับปากกาที่เพิ่งซื้อเมื่อวานตอนแวะไปที่ห้าง เดินตรงไปยังห้องซ้อมที่ยังไม่มีใครเช่นเคย แผ่นหลังที่เขาเห็นเมื่อคืนเด่นชัดเพียงลำพังที่หน้าคีย์บอร์ด กดเพลงที่เขาฟังไม่จบเมื่อคืนเพราะเผลอหลับต่อ เขายืนฟังอยู่แบบนั้นจนเพลงหยุดและเจ้าของเพลงหันมามองนั่นแหละถึงได้รู้ตัว

“มาคุยเรื่องงาน”

“เรื่องทัวร์เหรอ ไม่ต้องหรอก”

“อ้าว ก็ไหนว่า...”

“คิดว่าตัวเองจะได้อยู่จนถึงตอนนั้นหรือไง”

“...”

“ไม่ไปตามหาคนนั้นที่มึงอยากเจอล่ะ”

“...”

“วันนั้นที่ร้องไห้ เพราะหาเขาไม่เจอไม่ใช่หรือไง”

เจอแล้วต่างหาก ถึงได้ร้องไห้

แม้จะคิดเช่นนั้น แต่ในความจริงทิวากลับทำได้แค่ยืนเงียบๆ เหมือนคนโง่แบบนั้นจนคนอื่นเข้ามาในห้องซ้อมครบกันหมด เวย์และแคททักทายเขาแต่ทิวากลับไม่มีอารมณ์อยากจะทักทายหรือมองหน้าใครทั้งนั้น จึงเดินหนีไปดื้อๆ ไม่สนใจว่าคนในห้องจะมองมาหรือสงสัยว่าเขาจะไปไหนหรือต่อให้มีคนสงสัย ก็ไม่มีใครจะตามออกมาอยู่แล้ว

เขาลืมไปได้ยังไง ลืมไปได้ยังไงว่าในโลกนี้เขาไม่มีใครเลย

ถึงจะได้รับความช่วยเหลือ ถึงจะมีคนใจดีด้วยแค่ไหน แต่มันก็ไม่มีทางยั่งยืน

นี่ไม่ใช่ที่ที่เขาจะอยู่ ไม่ใช่และไม่มีมาตั้งแต่แรก

ทั้งที่รู้แบบนั้น แต่นอกจากที่นี่แล้วเขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะต้องไปที่ไหนหรือตามหาใครเพื่อที่จะกลับไปยังที่เดิมของเขา

และในโลกนี้ ในตอนนี้ที่เขาไม่มีใครเลย เขามีแค่มาวิน มีอีกคนแค่คนเดียวจริงๆ

“ไหนบอกจะไม่ร้องไห้วะ ปากดีชิบหาย”

เขาบอกตัวเองแบบนั้น พยายามปาดเจ้าน้ำไร้สาระที่ไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลยให้หายไปจากแก้ม แต่มันก็แสนจะดื้อดึงที่เอาแต่ใหลไม่หยุดราวกับประชดกัน

เขาไม่อยากร้องไห้เลย แต่ความรู้สึกที่เหมือนที่พึ่งสุดท้ายก็ยังพยายามผลักให้เขาออกไป มันแย่มากจริงๆ

เขามองอีกคนเป็นที่พักพิงไปแล้ว ไม่มีทางถอยอีกแล้ว เพราะเขาไม่มีใครแล้ว

“ไม่เป็นไร ทิวาจะไม่เป็นไร”

เขาบอกตัวเองเช่นนั้นตั้งแต่คราแรกที่หลุดมาในโลกบ้าๆ แห่งนี้ที่ไม่มีใครรู้จักเขา

ก่อนจะมาพบว่า เขาไม่เคยไม่เป็นไรเลยแม้แต่ครั้งเดียว

มันเป็นและน่ากลัวเหลือเกิน ในโลกที่เราไม่มีตัวตน กลายเป็นเพียงข้อมูลที่หล่นหายจากความทรงจำของใครสักคนมันน่ากลัวมากจริงๆ น่ากลัวเสียจนทิวาอยากให้มันเป็นแค่ฝันที่พอเขาตื่นขึ้นมาก็จะพบว่าตัวเองยังมีตัวตนอยู่ ยังมีบ้านให้กลับไป มีเพื่อนๆ ที่จะคอยอยู่ข้างๆ

คิดถึงแม่ คิดถึงเดือนอ้ายกับคนอื่นๆ

อยากกลับไป แต่ก็กลับไม่ได้ จะอยู่ที่นี่ก็ไม่มีที่ไหนให้ไปอีกแล้ว

กับโลกเฮงซวยใบนี้ เขาไม่รู้จริงๆ ต้องทำยังไงดีกับการรับมือมัน

 







-------------------------------------------------------------------------------------















“มึงทะเลาะอะไรกับผู้ช่วยกู เดย์หน้าเสียเลย”

“ไม่ได้ทะเลาะ”

“ไม่ได้ทะเลาะแล้วเขาจะเดินหนีไปทำไม นิสัยไม่ดีกำเริบอีกแล้วนะไอ้เวร รอบที่แล้วที่เขาอยู่ไม่ยืนก็เพราะปากมึงไม่ใช่หรือไง ผู้ช่วยคนก่อนที่แป๋มน่ะ” เวย์ว่าพลางปรับจูนเครื่องดนตรี โดยไม่คิดจะมองหน้าคนที่ตัวเองบ่นแม้แต่น้อย ไม่ต้องดูก็รู้ว่าไอ้วินจะต้องขมวดคิ้วทำหน้าเคร่งเครียดเหมือนพ่อตายแหงๆ กิตติศัพท์ความปากร้ายของมันไม่ใช่ว่าไม่รู้ แต่เห็นเมื่อวานก็ดูเข้ากันดี มีปะทะกันพอหอมปากหอมคอ ไม่คิดว่าวันต่อมาจะตีกันจนคู่กรณีเดินหายไปแบบนี้

“ทะเลาะกันจริงๆ หรือมึงแค่หงุดหงิด วิน”

“...” วินเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะละมืออกจากคีย์บอร์ด ถอนหายใจเฮือกใหญ่กับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของตัวเอง “กู...หงุดหงิดอะไรนิดหน่อย”

“นั่นไง นิสัยเสียจริงๆ เลยมึงเนี่ย”

“เวย์” แคทว่าเตือน เพราะตอนนี้ไม่ใช่ตอนที่สมควรซ้ำเติม แต่อย่างเวย์หรือจะสน อีกคนแค่ยักไหล่แล้วหันไปสนใจเครื่องมือทำมาหากินของตัวเองต่อ เรื่องให้คำปรึกษาหรือมีสาระเขาไม่ถนัดเสียเท่าไหร่ แต่เรื่องซ้ำเติมคนจี้จุดเจ็บนี่ถนัดมาก เรื่องใช้สมองน่ะให้จินกับไป๋จัดการเถอะ

“ไม่ต้องไปว่ามันหรอก กูผิดจริง”

“แล้วทำไมต้องไปลงที่เดย์”

“...”

“เอาจริงๆ พวกกูก็สงสัยตั้งแต่มึงถือวิสาสะเลือกเดย์มาเป็นผู้ช่วยแล้ว ถึงจะแค่ชั่วคราวก่อนพี่เต้จะหาคนใหม่ได้ก็เถอะ”

“...”

“มึงรู้จักเขามาก่อนหรือไง ถึงได้เลือกเขา”

“...เปล่า”

“มึงแปลกๆ นะวิน รู้ตัวไหม”

วินยกมือลูบหน้าตัวเองและหลบสายตาค้นหาของเพื่อนไปในตัว สาเหตุที่เขาให้อีกคนมาเป็นผู้ช่วย นอกจากเรื่องที่บังเอิญเจอกัน แน่นอนว่ามันมีเรื่องอื่นอีก เพียงแต่มันไม่ใช่เรื่องที่พูดออกมาแล้วจะเข้าใจกันได้ เลยเลือกที่จะเงียบไป

“เออ รู้”

“กูรู้ว่ามึงไม่อยากคุยเรื่องนี้ เอาไว้คุยวันอื่นก็ได้ แต่ตอนนี้มึงต้องไปขอโทษเดย์ ไม่รู้เตลิดไปไหนแล้วเนี่ย” แคทว่าพลางยื่นหน้าออกไปดูนอกบ้าน “ฝนจะตกแล้วด้วย”

“ไปได้ไม่ไกลหรอก มันไม่ออกหมู่บ้านแน่ๆ”

“มั่นใจได้ยังไง”

“ก็...” มันไม่รู้ทาง อยากจะพูดแบบนั้น แต่สายตาดุๆ ของจินที่มองมาทำให้วินได้แต่หุบปาก จินไม่ค่อยดุและค่อนข้างเป็นสายประนีประนอมก็จริง แต่ดูจากความสนิทสนมกับทิวาเมื่อวาน ก็พอทำให้เขาเข้าใจได้ว่า เหตุการณ์เมื่อครู่ทำเอาคุณชายใจเย็นประจำวงหัวร้อนแล้ว “เดี๋ยวไปตามก็ได้ พวกมึงก็เซตติ้งรอละกัน”

“ต้องขอโทษด้วยนะวิน” จินว่า

“...”

“วิน”

“เออๆ รู้น่า หาให้เจอก่อนแล้วกัน” แล้วเขาก็เดินออกจากห้องซ้อม หยิบร่มไปหนึ่งคันเตรียมรับฝนหลงฤดูที่กำลังตั้งเค้ามาแต่ไกล พลางคิดว่าคนที่เพิ่งโดนตัวเองใส่อารมณ์จะเดินหายไปไหนในหมู่บ้าน

ถ้าหาเจอก่อนฝนตกก็คงดี

ไม่อยากให้เปียกฝนจนไม่สบายจะแย่เอา

เมื่อนึกย้อนถึงคำที่ตัวเองพูดออกไปก่อนหน้าหนี วินก็อยากจะตบหัวตัวเองสักทีเหมือนกัน จะบอกว่าไม่ตั้งใจก็ไม่เต็มปาก เพียงแต่ตอนนั้นความรู้สึกหลายๆ อย่างมันรุมสุมเต็มหัวไปหมดจนหงุดหงิดที่มันไม่มีคำตอบดีๆ เลยสักอัน พอเห็นหน้าต้นเหตุก็เผลอพาล ทำนิสัยไม่ดีใส่ไปอย่างที่เวย์ว่าจริงๆ นั่นแหละ

มันเกี่ยวกับทิวาไหม มันก็เกี่ยว เพียงแต่จะโทษว่าเป็นความผิดของอีกคนไหม เขาก็พูดได้ไม่เต็มปาก

ไม่ต้องถามเขาก็พอเดาได้ว่าทิวาไม่มีที่ไป สภาพตอนแรกที่เจอกันของพวกเขา ทิวาไม่ต่างจากเด็กหลงทางเลยสักนิด เอาแต่ร้องไห้ ซึ่งมันทำให้เขาปวดใจไม่น้อยที่เห็นอีกคนร้องไห้แบบนั้น

ใช่ ปวดใจ

ทั้งที่ไม่รู้เหตุผลนั่นแหละ

มันเหมือนกับการได้พบกับอีกคนมันทำให้เขานึกถึงอะไรสักอย่าง...อะไรที่เหมือนลืมไปเกือบหมดแล้ว แต่จริงๆ มันยังอยู่ที่เดิม ไม่ได้หายไปไหนเลย เขาแค่ทำเหมือนว่าเขาลืมมันไปแล้ว

แต่แท้ที่จริง มันยังอยู่ในนั้น

ในหัวใจของเขาเช่นเดิม

“ทิวา”

“...”

“กลับบ้าน”

“...ไม่กลับ”

ฝนเริ่มโปรยลงมาแล้ว แต่คนที่เขาตามหาจนเจอก็ยังนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่บนเครื่องเล่นใจกลางหมู่บ้านไม่ยอมขยับเสียที วินกางร่มขนาดใหญ่ที่พกมาเพื่อบังสายฝนที่เริ่มแรงขึ้นทุกที มองคนดื้อดึงเอาแต่ซุกใบหน้ากับเข่าตัวเองด้วยความอ่อนใจ ไม่อยากจะบังคับอะไรหรอกถ้าอีกคนไม่อยากกลับ เพราะเขาเป็นคนผิด แต่ตอนนี้มันฝนตกและเหมือนจะตกหนักด้วย จะโกรธกันก็กลับไปโกรธที่บ้านไม่ได้หรือไงนะ

“ทิวา ฝนมันตกแล้วเห็นไหม”

“ไม่เห็น”

กวนตีนจริง วินคิดในใจ “เดี๋ยวก็ไม่สบาย”

“เรื่องกู”

“ไม่น่ารัก”

“ก็อย่ามายุ่ง”

“เดย์”

“ไม่ต้องมาเรียก”

“อย่าร้องไห้”

“ไม่ได้ร้องสักหน่อย”

“...”

ฟ้าร้องลั่นพร้อมกับเม็ดฝนที่ร่วงหล่นสู่พื้นโลก แข่งกับน้ำตาของคนที่ยั่งนั่งอยู่ที่เดิมตรงหน้าเขา ไหล่ที่ไม่ได้กว้างสักเท่าไหร่นั่นสั่นน้อยๆ แม้จะมีเสียงฝนกลบ แต่คล้ายว่าเขายังคงได้ยินเสียงสะอื้นของทิวาอย่างชัดเจน

เอาอีกแล้ว

“ขอโทษ”

ไม่ชอบความรู้สึกปวดหน่วงในใจแบบนี้เลย

“กลับบ้านกันนะ ไม่ร้องแล้ว”

“ไม่...กลับ”

“...”

“ไล่แล้วไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ได้ไล่ แค่ถามไงว่ามึงเจอคนนั้นหรือยังที่หา”

“...”

“เออ ก็ไล่จริงแหละ แต่ตอนนั้นกูหงุดหงิดแล้วพาลไปเอง ขอโทษจริงๆ”

เขาขยับเข้าไปหา ยื่นร่มไปบังฝนที่สาดเข้าไปในเครื่องเล่นให้อีกคน แม้ว่ามันจะแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลยและตัวเขาก็เริ่มเปียกฝนไปอีกคน แต่ก็ยังยืนถือให้อยู่แบบนั้น

“ขอโทษ”

“มึงไม่รู้หรอก ว่าความรู้สึกที่ไม่มีใครเลยมันน่ากลัวแค่ไหน”

“...”

“มึงแม่งไม่รู้อะไรสักอย่าง”

“เออ กูไม่รู้อะไรเลย นิสัยไม่ดีด้วย”

“ชั่ว สารเลว”

“ครับ ผมมันคนเลว ด่าพอหรือยัง ถ้าพอแล้วก็ลุกจะได้กลับบ้าน”

แม้จะยังไม่ยอมลุกขึ้น แต่การขยับเงยใบหน้าขึ้นมามองสบตาเขา ก็มากพอให้เขาใจชื้นปนไปกับเสียใจที่ทำให้ดวงตาคู่นั้นแดงช้ำเพราะร้องไห้

เขาเคยบอกทิวาหรือเปล่านะ ว่าดวงตาของอีกคนสวยมาก

เพราะแบบนั้น จึงไม่อยากให้ถูกทำร้ายจากความเสียใจเลยแม้แต่นิดเดียว

 “ลุกเร็ว กระต่ายตาแดง กลับบ้านเรากัน”













แต่ความจริงฉันแค่กำลังหลอกตัวเอง

ฉันไม่เคยมีเธอเลย ไม่เลยแม้แต่วันเดียว



(โปรดติดตามตอนต่อไป)

-----------------------------------------------------------------

fact about ทิวา

ทิวาจำทางไม่เก่ง หลงทางบ่อย เลยชอบอยู่ในที่ที่คุ้นเคยเท่านั้น

NAVY



ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เพื่อน ๆ คนรู้จัก หายไปจริง ๆ หรือแค่เดย์มีความทรงจำที่ขาดหายไปในช่วงเวลาที่วาร์ปมา

หรือ...วาร์ปมาในโลกคู่ขนาน?

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1

ไม่อยากให้เธอเสียใจเลย

ทุกครั้งที่เห็นเธอร้องไห้ ฉันอยากจะกอดเธอไว้แน่นๆ และปลอบเธอ

 

 

 

 
ตกหลุมรักระยะที่ 7

 

 

 

“มายืนในร่ม เปียกหมดแล้วเนี่ย เดี๋ยวก็ไม่สบาย”

“...”

วินถอนหายใจเป็นรอบที่ล้านเมื่อความพยายามพูดคุยนั้นไม่เป็นผลเลยตั้งแต่ที่ออกมาด้วยกัน แต่ก็ยังยื่นร่มให้บังอีกคนมากกว่าอยู่เหมือนเดิมตั้งแต่ที่สวนกลางหมู่บ้าน แม้ว่าจะเปียกเหมือนลูกหมาตกน้ำกันทั้งคู่ไปแล้วก็เถอะ “อดทนหน่อยแล้วกัน แต่ตอนนี้เข้าร่มมา เดี๋ยวไม่สบาย”

“...”

“เดย์ อย่าดื้อ”

“เป็นใครมาสั่ง”

“เป็นคนให้เงินเดือนมึงอะ”

“ไหนว่าจะไล่แล้ว ยังจะมาให้เงินเดือนอะไร เพ้อเจ้อ”

“เออ ไม่ไล่แล้ว จะอยู่กับกูไปทั้งชีวิตก็ได้”

“ไม่อยู่ เกลียดขี้หน้า”

“...”

“รำคาญ...เฮ้ย!”

วินไม่สนใจอาการดิ้นรนและพยายามผลักตัวเองออกจากอ้อมแขนของเขา ความหงุดหงิดที่ตีตื้นขึ้นมาในอกทำให้เขาอดแกล้งอีกคนไม่ได้ ดึงเอาคนที่พูดว่าเกลียดเขาอย่างนั้นอย่างนี้มากอดแล้วตีหน้ามึนเดินต่อ ไม่สนใจฟังคำพูดร้ายกาจจากปากที่เริ่มซีดของทิวาแม้แต่คำเดียว

“ไอ้วิน ปล่อย!”

“จะถึงบ้านแล้ว อดทนหน่อยก็แล้วกัน”

“ไม่เอา ปล่อย”

“เดย์”

“อะไร!”

“...ไม่มีอะไร ถึงบ้านแล้ว รีบอาบน้ำกินยาด้วย เดี๋ยวไม่สบาย” ไม่ทันจะได้พูดอะไรออกมา รั้วบ้านและกลุ่มที่คนที่จับจ้องอยู่ที่หน้าต่างบ้าน ทำให้วินตัดสินใจปล่อยคนในอ้อมกอดให้เป็นอิสระแล้วทิ้งร่มให้อีกคนถือเอาไว้ ส่วนตัวเองก็เดินฝ่าฝนเข้าไป ไม่แม้แต่จะมองกลับไปว่าทิวาจะเดินเข้าบ้านมาไหม

ทิวากำด้ามร่มในมือที่ทิ้งรอยอุ่นจางๆ บนด้ามจับ ชั่งอยู่พักใหญ่สลับกับมองจินและคนอื่นๆ ในบ้านที่พยายามเรียกให้เขาเข้าไป ก่อนจะเดินตามวินเข้าไปในที่สุด

ไม่ได้เข้าไปเพราะไอ้หมอนั่นหรอกนะ เขาไม่อยากให้จินเป็นห่วงต่างหาก!

“เปียกหมดเลย กางร่มประสาอะไรวะเนี่ย”

“เดย์รีบอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวไม่สบาย” จินว่าแล้วรับร่มไปจัดการ ส่วนคนอื่นๆ ก็รุมล้อมหน้าล้อมหลัง บ้างก็ถามด้วยความเป็นห่วง แต่ทิวากลับมองแผ่นหลังกว้างที่เดินหายขึ้นไปชั้นบน ก่อนจะยิ้มตอบคนอื่นแล้วขึ้นไปจัดการตัวเองที่เปียกไปทั้งตัวอีกคน

ไม่ได้ตามขึ้นมาหรอกนะ เสื้อผ้าอยู่ข้างบนเฉยๆ หรอก

แต่พอเข้ามาในห้อง เห็นข้าวของพวกกระเป๋าเงินกับโทรศัพท์แล้วทิวาก็อดตบหัวตัวเองไม่ได้ ถ้าเมื่อกี้ใจร้อนกว่านี้สักหน่อย เดินออกจากหมู่บ้านไปตัวเปล่า มันจะน่าอายแค่ไหนกันวะตอนที่เดินกลับมาเพราะไม่มีเงินเนี่ย จะเรียกว่าโชคดีได้ไหมนะที่เขาหยุดแค่สวนในหมู่บ้าน

ไม่ได้รอให้ใครตามหาหรอกนะ

แต่ตอนที่ถูกตามหาและได้รับคำขอโทษ ทิวาก็ยังดีใจมากๆ อยู่ดี

ทิวาหอบเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัว เตรียมจะออกไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านนอก แต่พอออกมาจากห้องก็พบกับคนที่ตอนนี้เขาไม่อยากเจอที่สุดเข้าเสียได้ เขาเบือนหน้าหนี หันไปอีกทางทำเหมือนไม่อยากมอง จนเสียงประตูปิดลงแล้วเขาจึงหันกลับไป

“เข้าไปอาบน้ำดิ รออะไร”

“...ยุ่ง”

“หน้าแดงๆ นะ ไข้ขึ้นเหรอ” ไม่ว่าเปล่าแต่เดินเข้ามาหาเขาด้วยความรวดเร็วจนทิวาเดินหนีเข้าห้องน้ำไม่ทัน ถึงแม้ว่าตอนนี้วินจะแต่งตัวเรียบร้อย แต่ใบหน้าเนียนกริบและผมเปียกชื้นหมาดๆ นั่นในระยะใกล้ๆ เช่นนี้ ไม่ใช่อะไรที่จะรับมือได้ง่ายๆ เลย

ทิวาขยับถอยหนีจนเกือบชิดกำแพง หลับหูหลับตาดันอีกคนพร้อมออกปากโวยวาย “จะเดินเข้ามาทำไมเล่า!”

“แค่จะดูว่าเป็นไข้ไหม ไม่ได้จะทำอะไร...”

“ไม่ต้อง!! ไม่ได้เป็นอะไร สบายดี!” พูดจบเขาก็รีบฉวยโอกาสตอนที่อีกคนกำลังตกใจที่เขาจะตะโกนลั่นบ้านทำไมก็ไม่รู้ วิ่งหายไปในห้องน้ำ ทุบหัวตัวเองเหมือนคนบ้าที่ทำตัวไร้สติแบบนั้น

วินมองคนที่วิ่งหายไปในห้องน้ำแบบงงๆ นี่รังเกียจถึงขนาดนั้นเหรอ...

“นอนนอกบ้านแน่มึง”

“นอนเป็นเพื่อนไอ้ด่าง” สองเพื่อนซี้เกาะบันไดดูความชิบหายของเขาด้วยความสาแก่ใจ ก่อนจะหลบกันอุตลุตตอนที่เขาหยิบพวกข้าวของใกล้มือปาลงไปหา แม้จะระบายความหงุดหงิดบางส่วนไปที่จอมกวนประสาทสองคนไปแล้ว แต่ไอ้การถูกเมินแบบซึ่งๆ หน้าใช่ว่าจะหายหงุดหงิดง่ายๆ ได้เสียเมื่อไหร่ ยิ่งพอลงมาข้างล่างเห็นสายตาของจินที่ติดจะขำเล็กน้อย (เดาว่าไอ้เวย์เป่าหูแล้วแน่ๆ ถึงเรื่องเมื่อกี้) วินก็อดหลบสายตาไม่ได้

“ขอโทษหรือยัง”

“ขอโทษแล้ว”

“แล้วเดย์ยกโทษให้ไหม”

“ไล่ขนาดนั้นคงยกโทษให้มั้ง หมาประจำตัวมึงไม่ได้เล่าให้ฟังหรือไง” ว่าแล้วก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างไป๋ที่หัวเราะไม่หยุดตั้งแต่เขาเดินลงมาชั้นล่าง กลายเป็นว่าวันนี้ก็ไม่ได้เริ่มซ้อมอะไรแม้แต่นิดเดียว กินข้าวเสร็จทุกคนก็ได้แต่รอเอาใจช่วยให้เขาตามหาทิวาให้เจอ ขอโทษและพาอีกคนกลับบ้านให้ได้เท่านั้น

“วินผิด รู้ใช่ไหม”

“อือ”

“เดย์ไม่โกรธนานหรอก”

“ใช่ แต่รังเกียจเลย” ว่าแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้ ถ้าถอนหายใจแล้วอายุสั้นลงจริง ป่านนี้เขาคงเหลืออายุไม่ถึงปีแล้วมั้ง “ช่วยหน่อยดิ”

“ช่วยยังไง วินผิดเองก็ต้องแก้เองสิ”

“ไม่ต้องมาขอให้พวกกูช่วยเลย ไม่มีปัญญา คุณหัวหน้าวงที่แท้จริงอย่างมึงก็แก้เองไปเถอะ”

 

 

 

 

 

 

------------------------------------------------------------------------------------------

 

 

 

“มายืนขวางอะไรหน้าห้องคนอื่น” ทิวาว่าเสียงเขียว ตอนที่เปิดประตูออกมาแล้วพบว่ามีใครมายืนขวางเอาไว้

คำพูดคำจาน่าบีบปาก เกือบจะทำเขาหลุดปากเถียงกลับไปแล้วว่านี่มันบ้านเขา จะอยู่ตรงไหนก็ได้ แต่ด้วยกลัวว่าจะทำให้อีกคนโกรธมากกว่าเดิมเลยแต่หุบปากเงียบ แล้วออกแรงดันคนที่ยังโวยวายไม่เลิกให้กลับเข้าห้องไป ก่อนจะล๊อคห้องให้เรียบร้อย เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีแค่พวกเขาที่อยู่ในห้องนี้

อย่างน้อยก็จนกว่าจะพูดกันรู้เรื่อง

ตอนแรกนึกว่าพอเขาทำแบบนี้ทิวาจะโวยวายเสียอีก กลายเป็นว่าอีกคนทำแค่นั่งนิ่งๆ บนเตียงไม่ยอมพูดอะไรสักคำ เขาเลยทิ้งตัวลงนั่งที่พื้นจนหากทิวาก้มหน้าก็จะเห็นใบหน้าของเขาพอดี อีกคนสบตากับเขานิ่งนาน ให้เขาได้มีโอกาสมองใต้ตาที่ยังมีร่องรอยบวมช้ำเล็กน้อยนั่น

ตอนที่ยื่นมือไปหาทิวาสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ขยับหนีตอนที่นิ้วของเขาแตะลงที่เปลือกล่างของอีกคนและลูบมันเบาๆ “เจ็บไหม”

“ไม่เจ็บ”

“ขี้แย”

“...ไม่ได้อยากจะร้องไห้สักหน่อย”

“แล้วร้องทำไม”

“ก็ไม่รู้จะทำยังไง ในอกมันอึดอัดไปหมด พอได้ร้องออกมามันก็ดีขึ้น”

“...”

“ทำแบบนี้มาตลอดตั้งนานแล้ว ไม่ได้อยากร้องไห้ แต่มันก็เป็นวิธีเดียวที่ระบายทุกอย่างในใจออกมาได้เร็วที่สุด”

“ขอโทษ”

“เบื่อจะฟังแล้ว ไม่ได้โกรธสักหน่อย”

“แต่รังเกียจแล้ว”

“เคยพูดไปแล้วว่าไม่ได้รังเกียจ”

“รังเกียจอะไร”

“ไม่ได้รังเกียจเฟ้ย”

จู่ๆ ประโยคที่พูดคุยในคืนแรกที่ได้อยู่ด้วยกันก็ย้อนกลับมาในหัวและทำให้เขายิ้มออกมาในที่สุด แม้ว่าคนที่ออกปากว่าไม่ได้รังเกียจจะยังไม่มีรอยยิ้มเลยก็ตาม

“ขอโทษ”

“ก็บอกว่าไม่ต้องพูด...”

“เสียใจจริงๆ ขอโทษที่พาลใส่ จริงๆ แล้วไม่ได้อยากให้ไป ดีใจมากที่ได้เจอ”

“...”

“ดีใจจริงๆ นะ”

“โกหกหน้าตาเฉยสุดๆ เพิ่งรู้จักกัน จะมาดีใจอะไร”

“บางครั้งก็ไม่เกี่ยวปะว่าเจอกันครั้งแรกหรือเจอกันนานแล้ว ถ้าชอบก็คือชอบไหม”

“...”

“ชอบ...หมายถึง ถูกชะตา” พอนึกทวนคำพูดตัวเองก็รู้สึกมันแปลกๆ อยู่บ้าง เลยรีบแก้คำพูด ดวงตาที่เบิกกว้างเพราะประโยคำกำกวมของเขาเลยกลับสู่ปกติ “เชื่อเถอะ”

“ก็ยังไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อ”

“หายโกรธไหม”

“หาย แต่จะจำไว้”

“...”

“คราวหน้าจะไม่กลับมาแล้ว”

“...”

“...ทำหน้าแบบนั้นทำไม” ทิวามองสีหน้าแปลกๆ ของคนตรงหน้าแล้วถามขึ้นมาเบาๆ เพราะจู่ๆ วินก็เงียบไปเลยตอนที่เขาพูดขู่ด้วยประโยคนั้น

“วิน”

“จะไม่กลับมาจริงๆ เหรอ”

สายตาของวินที่มองมา ทำเอาทิวาไม่กล้าสบตาด้วย จึงเบือนหน้าหนี แต่ก็ยังตอบคำถามนั้น แม้จะเหมือนตอบแบบขอไปทีก็เถอะ “ก็...ถ้ามึงพาลใส่แบบนั้นอีก ก็ไม่แน่”

“...จะไม่ทำแบบนั้นแล้วก็ได้ แต่อย่าพูดว่าจะหายไปอีกได้หรือเปล่า”

“วิน เป็นอะไร”

“พูดให้ฟังได้ไหมว่าจะไม่ไป”

คราวนี้ชักแปลกๆ แล้ว ทิวาจึงหันกลับมา พบว่าใบหน้าของวินซีดเสียจนน่าใจหาย “วิน เป็นอะไร”

“...”

“วิน”

“...ไม่มีอะไร ช่างมันเถอะ”

“มึงกลัวอะไร”

“...”

“ยังไม่ได้ไปไหนซะหน่อย” ว่าแล้วก็เคาะที่กลางกระหม่อมคนตื่นตูมเบาๆ แล้ววางแปะลงบนกลุ่มผมที่เริ่มแห้งนั่น “ก็อยู่ตรงหน้ามึงตรงนี้ ไม่ได้ไปไหนสักหน่อย ตกใจอะไร”

“...”

“ทำไมต้องกลัวขนาดนั้นด้วย”

“...ก็เพราะเคยหายไปไง จะไม่ให้กลัวได้ยังไง”

“ห๊ะ มึงพูดอะไร เบาจนกูไม่ได้ยินเลย” ทิวาถาม แต่อีกคนกลับไม่ยอมตอบอะไรกลับมา เอาแต่นั่งนิ่งให้เขาเล่นผมอยู่แบบนั้นพักใหญ่ จนเขานึกว่าวินหลับไปแล้วเสียอีก

“ถ้าไม่โกรธ ไม่ได้รังเกียจ งั้นก็ลงไปข้างล่างกัน พวกนั้นเป็นห่วงมึงนะ”

“อือ เดี๋ยวลงไป”

“...”

“แล้ว...มึงด้วยไหม”

“อะไร”

“ที่ว่าเป็นห่วง”

คนที่กำลังจะเดินออกจากห้อง ชะงักอยู่หน้าประตูแต่กลับไม่ยอมหันกลับมา ตอนที่เงียบไปนานจนเขาไม่คิดจะรอฟังคำตอบ มาวินก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเบาๆ เหมือนคุยกับตัวเอง

แต่เพราะห้องมันเงียบมากๆ เขาเลยได้ยิน

ทั้งคำพูดประโยคนั้น

“ห่วงสิ”

“...”

“ถ้าไม่ห่วงจะตามออกไปทำไม”

และเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นดังในอก จนกลัวว่าจะมีใครได้ยินนั่น

 

 

 

 


แต่ในทุกครั้งที่เธอเสียใจ ฉันลืมไป

ว่าฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้มันเกิดขึ้นเอง

 

 

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

-------------------------------------------------------------------------

fact about ทิวา

ใจอ่อน ไม่ค่อยโกรธใครนาน แต่ถ้าไม่ชอบเลย

จะทำให้คนนั้นไม่มีตัวตนในชีวิตตัวเองแทนการไปสนใจด้วยการเกลียด

NAVY

 


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

นั่นไง  เคยหายไป

ว่าแต่  หายไปยังไง

รอความกระจ่างกับเหตุการณ์ในอดีตที่หายไปนาจา

ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
สะเทือนใจ
รอตอนต่อไป...

ออฟไลน์ nut2557

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เคยหายหมายความว่าไง อยากรู้เร็ว ๆ จัง

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ฉันไม่อยากหวั่นไหวเลย

กลัวจะทรมานหากว่าสุดท้ายใจเราไม่ตรงกัน











 

ตกหลุมรักระยะที่ 8



 

“เดย์ คราวหน้าถ้ามีคนไล่แบบครั้งนี้ก็ต่อยมันไปเลย สวนกลับไปว่าบ้านหลังนี้ไม่ได้มีมันเป็นเจ้าของคนเดียวไอ้ควาย”

“ใช่ๆ เสร็จแล้วก็ตุ๊ยท้องสักที ไม่ก็ทุ่มเบสใส่มันนั่นแหละ”

เวย์กับแคทส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวทันทีที่ทิวาเดินลงมาข้างล่าง ล้อมหน้าล้อมหลังพูดจาเรื่อยเปื่อยไม่สนใจหน้าบูดบึ้งของคนที่ถูกประทุษร้ายทางวาจาเลยแม้แต่น้อย แม้ว่ามันจะฟังดูเพ้อเจ้อไปสักหน่อย (ทำอย่างนั้นจริงๆ เขาก็โดนจับข้อหาฆาตรกรรมพอดีสิฟะ) แต่ก็อดขำไม่ได้เหมือนกัน ทั้งยังนึกขอบคุณทั้งสองคนในใจ

เอาเข้าจริงก็ไม่ได้โกรธแล้ว แต่บรรยากาศมันก็กระอักกระอ่วนอยู่เหมือนเดิม คงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะดีขึ้น

 “เดี๋ยวเถอะ พูดอะไรแบบนั้น...”

“มึงจะห้ามเหรอไอ้ไป๋ เฮ้ย ไอ้คนนี้มันทรยศผู้ช่วยเราว่ะ”

“เปล่าๆ” ไป๋รีบปฏิเสธแล้วพูดต่อ “กูจะให้เปลี่ยนเป็นทุ่มกีต้าร์มันแทน กูไม่มีตังซื้อเบสใหม่”

“เออว่ะ ลืม”

“ไอ้พวกส้นตีน เงียบเข้าหน่อยก็เอาใหญ่เลยนะ” สุดท้ายคนโดนพูดถึงก็หมดความอดทน ไล่เตะเหล่าเพื่อนในวงที่ยังโวยวายกวนประสาทไม่เลิกไปรอบบ้าน จนเหนื่อยนั่นแหละถึงได้ยอมนั่งลงและเริ่มคุยเรื่องงานเสียที

“สรุปก็คือหน้าที่ชั่วคราวจริงๆ เหรอ”

จินพยักหน้า “ใช่ อันที่จริงในบริษัทก็มีอยู่แล้วแหละคนที่จะมารับหน้าที่ตรงนี้ในกรณีแบบนี้ แต่วันนั้นอยู่ต่อหน้าทีมงานนอกด้วย พี่เต้เขาเลยไม่อยากขัดใจอะไรวิน”

“เหรอ...” ทิวาลากเสียงยาวพลางมองคนข้างตัวที่เอาแต่มองเท้าตัวเอง ไม่ยอมสบตาทั้งไม่ยอมอธิบายว่าทำไมวันนั้นถึงได้ถือวิสาสะพูดคำนั้นออกมา แต่เพราะทุกคนจงใจเงียบและมองไปที่ตัวต้นเหตุ กดดันอยู่แบบนั้นจนทนไม่ไหว วินเลยยอมตอบ

“ก็แค่สงสาร”

“ใครหวังให้มึงมาสงสารไม่ทราบ”

“ไม่สงสารก็ได้ เห็นใจ...”

“มันต่างกันตรงไหนวะ!”

“เอ่อ...งั้น อยากช่วยเด็กหลง”

“...” ยิ่งฟังยิ่งเลอะเทอะ ทิวาเลยเลิกที่จะฟังความจริงที่ออกจากปากของอีกคนแทน ฟังดูก็รู้ว่าล้อเล่นไม่ได้คิดจะบอกอะไรกับเขา เอาเถอะ จะเพราะเหตุผลอะไร แต่การกระทำนั้นก็ทำให้เขามีที่นอนคืนหนึ่ง จะถือว่าเป็นการช่วยเหลือ หยวนๆ ไม่เอาเหตุผลก็ได้วะ

“แล้วอีกนานไหมกว่าคนใหม่จะมา”

“รีบจะไปขนาดนั้นเลยหรือไง”

“ไม่ได้รีบ...”

“ไหนว่าจะไม่ไป”

“แล้วใครบอกว่าจะไป มึงจะไล่อีกรอบปะล่ะ”

“ไม่ไล่”

“เออ ก็ไม่ได้ไปเหมือนกัน”

“มึงเป็นไรเนี่ยวิน ล่กๆ นะ กลัวโดนโกรธขนาดนั้นเลยหรือไง” แคทถามด้วยความสงสัย คือเข้าใจอยู่ว่าคนมันมีประเด็นกันอยู่ก่อนแล้ว แต่อาการของเพื่อนเขามันแปลกไปจริงๆ มาวินที่สุขุมคนนั้นไม่เคยหลุดแสดงอารมณ์ออกมามากขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยพูดถามใครด้วยคำถามเยอะแยะที่ปะปนกับความรู้สึกที่เหมือน...ตัดพ้อ?

คิดแล้วก็แขยง มันน่าขนลุกมากๆ ในสายตาที่จะคิดว่าเพื่อนตัวเองกำลังตัดพ้อ มาอ้อหรือตัดพ้อใครสักคน ถ้าอ้อนจริงน่าจะอ้อนตีนมากกว่า เพราะตอนนี้ทิวาชักจะเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกรอบแล้ว ถ้าไม่ได้จินออกปากห้ามเอาไว้

“ไม่ไล่แล้ว อยากอยู่นานเท่าไหร่ก็ได้ ต่อให้มีผู้ช่วยมาใหม่ แต่ถ้าไม่ได้จะย้ายไปไหนก็อยู่ห้องนั้นไปเลยไม่ว่า”

“ใจป๋าเนอะ”

“มึงคนเดียวเอง เลี้ยงได้”

“...”

“ไม่เสียค่าข้าวสักเท่าไหร่หรอก”

“...มึงแปลกจริงๆ นะเนี่ย กูไม่ได้คิดไปเองคนเดียวใช่ไหมวะ” เวย์พูดขึ้นมาเมื่อทิวาและคนอื่นไม่ได้ตอบอะไรกับคำเอ่ยชวนนั่นของวิน มือทั้งสองของเวย์ลูบที่ต้นแขนตัวเองไปมา ขนลุกไปทั้งตัวเลยเว้ย! มีวันที่ไอ้วินมันพยายามรั้งคนอื่นด้วยเหรอวะ ที่ผ่านมามีแต่คนอื่นรั้งมัน วันนี้ผีเข้าอะไรหรือตากฝนจนเพี้ยน

ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น

“อย่าบอกว่าที่พวกกูเคยแซวกันเมื่อวานมันเรื่องจริง”

“แซวอะไร”

“แบบว่า...” เวย์ว่าแล้วประกบมือเข้าด้วยกันเป็นจังหวะที่รู้กันดีว่ากำลังเล่นมุกสัปดนอะไร “...แบบนั้นไง กุ๊กกิ๊ก?”

“แต่ท่าอธิบายคำว่ากุ๊กกิ๊กมึงอุบาทว์มากไอ้เวย์” ว่าแล้วแคทก็ฟาดไปหลังหัวหนึ่งทีให้หยุดทำ แต่ไม่ได้ปฏิเสธว่าเขาเองก็คิดเช่นนั้น “แต่เห็นด้วยกับไอ้เวย์”

“มึงคิดอะไรกันเนี่ย ไม่ได้มีอะไรเว้ย”

“ไม่มีอะไรจริงอะ” ไป๋

“จริงรึพ่อ” เวย์

“มึงจะมาคาดคั้นอะไรกันวะ มันก็ไม่ได้ชอบกูสักหน่อย ใช่ไหม” วินรีบหาพวกทันทีด้วยการเขยิบมาใกล้เขาพร้อมกับใช้ศอกถองต้นแขนเขาให้เขาพูดอะไรสักอย่าง “ไม่ได้คิดอะไรกับกูใช่หรือเปล่า”

“อ่า...”

ชั่ววินาทีที่ทุกคนมองมายังเขาที่กำลังจะอ้าปากตอบ ทิวากลับกลัวที่จะสบตาซะงั้น แต่ก็ยังตอบแต่โดยดี

ถึงจะไม่ค่อยตรงกับความจริงในใจเขาเลยก็ตาม

“อืม ไม่ได้ชอบ”

“...”

“ไม่ได้คิดอะไรเลยสักนิดเดียว”

“อ้าว ชงแป๊ก อดเลย อดได้คนช่วยลดเวลาซ้อมลงไปเลย โธ่” เวย์

“ก็ว่าอยู่ ทีหลังก็อย่าเล่นสมจริงซิวะ พวกกูแยกไม่ออก” แคท

ทิวาร่วมหัวเราะกับทุกคนทั้งที่ไม่ขำเอาเสียเลย รอยยิ้มยังคงอยู่บนหน้า จนกระทั่งเผลอหันไปมองคนข้างตัว ตอนที่เวย์ชวนคุยไปถึงเรื่องอื่นจนไม่ได้สนใจพวกเขาสองคนแล้ว วินเองก็ยิ้มเล่นหัวเหมือนทุกคน แต่แววตากลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย

และอาจเพราะเขาแสดงออกมากไปอีกคนจึงรู้ตัวและหันมามอง ในดวงตานั้นดูราวกับไร้ชีวิตชีวาไปชั่วขณะ ก่อนใบหน้าเขาจะถูกมืออีกคนดันให้หันกลับไปยังกลางวงสนทนาก่อนจะถูกใครจับได้

“ไม่ต้องมองแล้ว”

“...”

“เลิกมองเถอะ”

“อือ...”

อยากจะทำให้ได้อย่างนั้นเหมือนกันแหละน่า

แต่ไอ้ดวงตาไม่รักดีนี่ใช่ว่าจะควบคุมได้ง่ายเสียที่ไหนกัน

 











----------------------------------------------------------------------------------------------------













สุดท้ายก็จบวันไปอย่างกระอักกระอ่วนเช่นนั้น วันต่อมาจึงได้เริ่มซ้อมอย่างที่คุณหัวหน้าวงต้องการ ซ้อมไปเรื่อยๆ มีพักบ้าง แต่ส่วนมากทุกคนก็ใช้เวลาอยู่กับเครื่องดนตรีและตัวเองไม่ว่าจะพักหรือไม่ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ฟ้ามืดถึงได้เลิกซ้อมกัน เป็นอย่างนี้มาจนจะครบอาทิตย์แล้ว คราวนี้ทิวาไม่ได้เข้าไปในห้องซ้อมอย่างที่คนอื่นอนุญาต ไม่ใช่ว่ายังมีประเด็นอะไรกัน แต่เขาแค่รู้สึกว่าตรงนั้นมันไม่ใช่ที่ของเขายังไงก็ไม่รู้และไหนๆ ก็เดี๋ยวมีคนอื่นมาแทนที่ เลยไม่ได้เข้าไปซัพพอร์ตในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดการเรื่องการซ้อมหรือทัวร์คอน แต่หันไปจัดการเรื่องเกี่ยวกับความเป็นอยู่ส่วนอื่นแทน เช่นพวกอาหารในแต่ละมื้อหรือพวกที่หลับที่นอน เพราะจากเมื่อเช้าหลังเมาเละเวย์และแคทไม่มีที่นอนเป็นเรื่องเป็นราว เขาเลยขึ้นไปจัดการปูที่นอนสำรองไว้ให้และลงมาทำอาหารมื้อดึกต่อ เวลานอกเหนือจากนั้นเขาก็ออกข้างนอกตามสถานที่เก่าๆ เพื่อหาคนคุ้นเคย บ้างพบเจอแต่ส่วนมากก็เป็นเช่นคนอื่นๆ ที่จำเขาไม่ได้ แม้จะต้องพบเจอความผิดหวังแบบนั้น แต่ทิวาก็ยังคงออกเดินทางไปยังสถานที่ในความทรงจำ ค้นหาคนเหล่านั้นคนแล้วคนเล่า เป็นเช่นนั้นมาตั้งแต่วันแรกที่เริ่มซ้อมจนตอนนี้

“มีเดย์ก็สบายไปแสนแปด” เวย์ว่า “ถ้าเป็นปกติที่มีอยู่แค่ห้าชีวิตนะ กินดีที่สุดคือมาม่า! นอกนั้นก็คืออดๆ อยากๆ หัวหน้ามันไร้น้ำยา!!”

“มึงเดือดร้อนบ้างก็ดีนะไป๋ มึงหัวหน้าวงอะ”

ไป๋ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองแคทเลยด้วยซ้ำ ยังคงสนใจอยู่กับการโซ้ยข้าวและกับข้าวที่มีเพียงไม่กี่อย่าง แต่ก็มากพอเลี้ยงผู้ชายหกคน “กูมันหัวหน้าปลอมๆ หัวหน้าจริงๆ เขาเสนอหน้าอยู่หัวโต๊ะโน่น” ว่าแล้วก็ชี้ช้อนไปยังวินที่ก้มหน้าก้มตากินเงียบๆ ก่อนจะร้องโอดโอ๊ย เพราะถูกคนโยนภาระหน้าที่เตะเข้าให้ที่หน้าแข้ง เดือดร้อนจินที่นั่งตรงกลางระหว่างทั้งสองคนต้องไกล่เกลี่ยให้ เพราะไม่งั้นกับข้าวคงเทะกระจาดอดกินมันหมดทั้งโต๊ะนี่แหละ

“อิ่มแล้ว อย่าลืมที่คุยกัน ไอ้เวย์มึงรีบแต่งส่วนของมึงให้จบแล้วส่งให้จินตรวจ ส่วนให้แคทกับไป๋ มึงสองคนคิดอีกสองเพลงแล้วส่งไปให้บริษัท ถ้าเขาโอเคก็จัดการเรื่องเนื้อต่อ”

“รัวไปไหนพ่อ มึงง่วงนักหรือไง”

“เออ”

“บอกว่าเออ แต่เดินไปห้องซ้อมเนี่ยนะ งงกับมัน” แคทว่าพลางมองตามวินที่เดินหายไปยังห้องซ้อมตามที่ว่า แต่ก็มองเพียงชั่วครู่ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อยที่วินเอาแต่หมกตัวอยู่กับห้องซ้อมเช่นนี้

แต่ทิวาไม่ได้รู้เหมือนกับคนอื่น ดังนั้นในใจจึงรู้สึกแปลกๆ ปะปนไปกับความอึดอัด นั่นเพราะตั้งแต่วันที่กลับบ้านมา จนกระทั่งจบช่วงเวลาที่นั่งพูดคุยกัน หลังจากนั้นก็คล้ายวินเลี่ยงที่จะเข้ามาพูดคุยกับเขา

แม้ว่าในความจริงพวกเขาจะไม่ได้พูดคุยกันสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เลี่ยงกันอย่างชัดเจนถึงขนาดนี้

“เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น”

“...”

จินยิ้มให้และพูดต่อ ราวกับอ่านใจเขาได้ “ปล่อยไปสักพักเถอะ เดี๋ยวก็เป็นเหมือนเดิมเอง”

“อือ”

มันจะเป็นจริงอย่างนั้น...ใช่ไหม?

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อจินที่เป็นเพื่อนกับวินมานานหลายปีนะ ก็เชื่อแหละ แต่ว่า…

“ลงมาทำไม”

“...นอนไม่หลับ”

คนที่ยังนั่งอยู่หน้าคีย์บอร์ดเหมือนคืนก่อนๆ ถอนหายใจแล้วขยับเหลือพื้นที่ให้เขานั่ง ซึ่งทิวาก็ไม่ได้ปฏิเสธที่นั่งตรงนั้นและเริ่มการเฝ้ามองอีกคนแต่งเพลงจากการกดโน้ตที่เขาไม่เข้าใจเลยสักตัวนั่นไปเรื่อยๆ

“ตีหนึ่งแล้วนะ”

“อืม”

“ไม่ง่วงหรือไง”

“ยังแต่งไม่จบ”

“ก็ค่อยแต่งต่อ”

“ไม่ได้”

“ทำไม” นิ้วเรียวที่กดตัวโน้ตหยุดลง พร้อมกับที่วินเงยหน้าขึ้นมามองเขา แสงจันทร์จากด้านนอกลอดผ่านเข้ามาในตัวห้องที่มีแค่พวกเขาสองคน แต่มันไม่ได้ทำให้เขาเห็นสีหน้าของวินชัดเจน เห็นเพียงความแวววาวของดวงตาที่สะท้อนแสงไฟจากโคมไฟตัวเล็กๆ ไม่ไกลจากพี่พวกเขานั่งอยู่เท่านั้น

“หยุดแต่งไปนานมากแล้ว ได้เวลาแต่งต่อให้มันจบซักที”

“นานแค่ไหน”

“หกปี”

“...”

ทิวามองตามสายตาของวินจนไปหยุดที่กระดาษสีเหลืองอ่อนที่วางซ้อนกันไม่ไกลจนเอื้อมไม่ถึง เมื่อเห็นว่าอีกคนไม่ได้ว่าอะไรจึงหยิบมันขึ้นมาดู ในกระดาษขีดเขียนอะไรมากมายเต็มไปหมด ทั้งแนวเพลง ข้อความบางส่วนที่เขียนเน้นไว้ว่าเป็นเนื้อเพลงบ้างล่ะ ไม่ก็โน้ตที่เขาอ่านไม่ออกสองสามบรรทัด แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจว่าเขาคิดถูกแน่ๆ

เพลงนี้...มันมีเจ้าของ

มันถูกแต่งขึ้นให้กับใครบางคน...

ท้ายกระดาษสีซีดนี่ในหน้าสุดท้าย เขียนคำว่าแด่ใครบางคนเอาไว้ แต่เพราะตัวอักษรเลือนหายไปจากคราบน้ำ ทิวาจึงไม่สามารถเดาได้ว่าเพลงนี้เป็นของใคร แต่จากทุกข้อความบนนี้ ทุกความเอาใจใส่ที่เขียนลงไป

น่าจะรักมากๆ

“แฟนเหรอ” ทิวาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดออกไปด้วยความรู้สึกแบบไหน มันไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากรู้สักเท่าไหร่ แต่...ไม่รู้จะยิ่งทำให้เขารู้สึกแย่ไปมากกว่าเดิมเสียอีก

เขารู้สึกกับวินไปแล้ว ไม่ว่าจะในตอนนั้นหรือในตอนนี้ ก็ยังรู้สึก

ความรู้สึกเล็กน้อยมันเพิ่มขึ้นทุกวัน ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้อยู่ด้วยกัน

ถึงจะไม่ได้คุยกันเลย แต่ทุกครั้งที่กลับมาพร้อมกับความผิดหวัง เขามักจะพบว่า มีใครนั่งและรอเขากลับมาเสมอ

แววตานั่นที่มองมา ไร้คำพูดใดๆ แต่คล้ายจะปลอบใจเขา

นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขายืดหยัดต่อ แม้ว่าจะไร้หนทางข้างหน้า

สุดท้ายแล้วความรู้สึกที่เพิ่งจะเริ่มต้นที่เขานึกว่ามันจะค่อยๆ จางหายไปพร้อมกับระยะห่างของพวกเขา มันกลับยังอยู่และเติบโต แม้ว่าสุดท้ายมันจะไม่มีวันสมหวังก็ตาม

ทิวาเตรียมใจที่จะฟังคำยืนยันแล้วแท้ๆ แต่คำตอบจากวินกลับทำให้หัวใจของทิวาพองฟูขึ้นมาจนได้

“ไม่ใช่”

“แล้ว...”

วินหยิบกระดาษปึกนั้นออกจากมือของเขา ลูบทุกตัวอักษรบนนั้นอย่างทะนุถนอมและเต็มไปด้วยความคิดถึงที่แสดงออกผ่านแววตาทั้งคู่ “คนสำคัญคนหนึ่ง”

“...ตอนนี้เขาไปไหนซะล่ะ”

“ไปที่ไกล...ไกลมากๆ จนกูไปหาไม่ได้”

“...”

“ก็หวังอยู่ทุกวันอะนะว่าเขาจะกลับมา” วินว่าแล้วหัวเราะ คล้ายจะเยาะเย้ยตัวเอง “แต่มันก็เป็นแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ เขาไม่กลับมาอีกแล้ว”

“...”

“อันที่จริงน่าจะพูดว่า กลับมาไม่ได้มากกว่า”

“วิน”

“ครับ”

คำตอบรับที่ไม่คุ้นเคย ไม่ได้ทำให้ทิวาใจเต้นเหมือนเคย มันกลับทำให้ปวดใจ เพราะรอยยิ้มตรงหน้าและใบหน้าที่หันมามองมีแต่ความเศร้า

“แบบนั้นน่ะ...มันแปลว่ารักมากๆ เลยไม่ใช่หรือไง”

“...อาจจะใช่ก็ได้มั้ง ไม่แน่ใจเหมือนกัน ช่วงเวลาที่ได้ใช้ด้วยกันมันสั้นมากๆ เสียจนจำกัดความไม่ถูก”

“...”

“รู้แค่มีความสุขมากๆ เลยล่ะ”

 “...เล่นให้ฟังได้ไหม” เขาว่า

ตอนที่หลุดปากไปเขาคิดไว้แล้วแหละว่าวินน่าจะปฏิเสธ แต่ใครจะไปคิดว่าอีกคนจะหันมายิ้มแล้วพยักหน้าตอบรับคำขอนั้น “ได้สิ”

“...”

แม้ทิวาจะรู้แล้วว่าเพลงนี้เป็นของคนอื่น มันไม่ใช่เพลงของเขา

“ตั้งใจฟังดีๆ ล่ะ”

แต่ตอนที่ได้ฟังและสัมผัสยามที่ตัวโน้ตและตัวถูกอีกคนร้อยเรียงละถ่ายออกมาเป็นบทเพลง ทิวากลับรู้สึกคล้ายว่ามันเป็นของเขา

และเป็นเช่นนั้นมาตั้งแต่แรก

มือของเขายื่นออกไปโดยไม่รู้ตัวและวางทาบลงมือขวาของวินเอาไว้ จนบทเพลงที่กล่อมเกลาทั้งตัวเขาและบรรยากาศรอบตัวพวกเขาทั้งคู่หยุดชะงักลง ทิวาขยับจนมือพวกเขากุมสอดประสานเหมือนเป็นหนึ่งเดียวแล้วเงยหน้ามองเจ้าของมืออีกข้างที่กำลังเฝ้ามองการกระทำของเขาอยู่

ไม่มีคำพูด ไม่มีสัญญาเตือน ไม่มีอะไรสักอย่าง

แต่ใบหน้าของพวกเขากลับเคลื่อนเข้าหากันราวกับถูกดึงดูดซึ่งกันและกัน

จนกระทั่งเงาของ ‘เรา’ รวมเป็นหนึ่งเดียวในที่สุด

“...ไหนว่าไม่ได้คิดอะไรด้วยสักนิดเลยไง” หลังผละใบหน้าออกจากกัน สีหน้านิ่งขรึมและน้ำเสียงเรียบเรื่อยนั่นทำเอาทิวาหมั่นไส้จนต้องทุบไปหนึ่งที พร้อมสวนกลับด้วยคำพูดเมื่อตอนนั้นเช่นเดียวกับอีกคนทำทันที

“แล้วไหนบอกว่าไม่มีอะไร ถ้าไม่มีอะไรแล้วจูบตอบทำไม”

วินหลุดหัวเราะออกมาจนได้ ก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างประคองใบหน้าเขาเอาไว้ “ก็ถ้ายอมรับ พวกนั้นก็จะแซวไม่เลิกอะดิ”

“ขี้โกหก”

“คนแถวนี้ก็เหมือนกัน”

“...ตั้งแต่เมื่อไหร่” เขาถาม แน่นอนว่าหมายถึงความรู้สึก แต่วินกลับไม่ยอมตอบแล้วถามกลับมาเสียอย่างนั้น

“แล้วเดย์ล่ะ”

“...”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“บอกไปก็ไม่น่าจะเชื่อ” ถ้าเขาบอกว่าชอบอีกคนมาตั้งแต่เจอกันเมื่อหกปีก่อน แต่ดันข้ามเวลามาอีกหกปีข้างหน้าแล้วก็มาชอบคนเดิม แล้วอีกคนเชื่อสิแปลก

ความรู้สึกเขาน่ะมันชัดเจนอยู่แล้ว เพียงแต่มันยากจะพูดออกไปถึงที่มาของมันเท่านั้นแหละ

“อาจจะตั้งแต่แรก”

“...”

“...”

“อืม”

“อืม’ คืออะไร” คราวนี้ทิวาทวนเสียงเข้ม เพราะมันไม่ได้ให้ความมั่นใจอะไรกับเขาสักอย่างเลย สีหน้าของเขาคงจะตลกมากแน่ๆ โดยเฉพาะในตอนที่ใบหน้าของเขาอยู่ระหว่างสองมือที่ประคองอยู่จากวิน ไม่งั้นอีกคนคงไม่หัวเราะเสียงดังขนาดนี้ จะหัวเราะดังจนทุกคนตื่นเลยหรือไงฟะ

จนต้องโดนเขาทุบนั่นแหละถึงได้หยุดหัวเราะแล้วยอมตอบเสียที “อืมก็หมายถึง ตั้งแต่แรกเหมือนกัน...มั้ง”

“ทำไมต้องมีมั้ง”

“มั้งเพราะไม่รู้น่ะสิ” มือข้างหนึ่งแตะไล่มาตั้งแต่เปลือกตา ผิวแก้ม กระทั่งมาหยุดที่ริมฝีปาก

“...”

“จู่ๆ ก็กลับมา ไม่ให้ได้ทันตั้งตัวเลยสักนิด”

“...”

“สับสนไปหมด ไม่รู้ว่าจริงหรือโกหก แต่สุดท้ายก็แพ้เหมือนเดิมเลย”

“หมายความว่าไง...” ยังพูดไม่ทันจบ ริมฝีปากตรงหน้าก็ก้มลงจรดประทับอีกครั้ง จนทิวาได้แต่เอาความสนใจของตัวเองไปสนใจกับจูบนั้น หลงลืมทุกอย่าง จดจ่ออยู่แต่กับคนตรงหน้าที่ตัวเองกอดอยู่

อืม ช่างมันเถอะ

ไว้พรุ่งนี้ค่อยถามใหม่ก็แล้วกัน

 







แต่สุดท้ายก็แพ้

แพ้ตั้งแต่วางหัวใจไปตรงหน้าเธอ แม้ว่าจะเธอจะไม่สนใจมันเลยก็ตาม



(โปรดติดตามตอนต่อไป)

-----------------------------------------------------------------------------

fact about  ทิวา

อยู่กับปัจจุบัน มากกว่าอนาคต

NAVY

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ค้างคา.....

อยากรู้ว่าหกปีที่แล้ว  เดย์หายไปยังไง?

สงสัยว่าอิทธิพลของคำอธิษฐานนั้น  เดย์วาร์ปมาหกปีให้หลัง 
ในขณะที่คนอื่น ๆ รวมถึงวินนั้นพบว่าเดย์หายสาปสูญไปแบบไร้ร่องรอย

แต่...ทำไมจึงไม่มีใครรู้จักเดย์เลย?
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-11-2019 07:59:10 โดย DrSlump »

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
หกปีที่หายไปคืออะไรอยากรู้มากกกกกกก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด