พิมพ์หน้านี้ - ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะพิเศษ ★ 22/02/63

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: KarmaNavy ที่ 30-09-2019 23:38:20

หัวข้อ: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะพิเศษ ★ 22/02/63
เริ่มหัวข้อโดย: KarmaNavy ที่ 30-09-2019 23:38:20
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************




'สิ่งเดียวที่ผมควรทำมากกว่าการขอพร คือบอกรักคุณ
ในตอนที่มือของเราสองคนยังสามารถเอื้อมถึงกันได้'


Once Again
ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง
by NAVY



---------------------------------------------------------------------------


"โลกที่ไม่มีคุณมันทรมานเหมือนจะตายเลย"
...
"อย่าหายไปอีกได้ไหม"
"ได้โปรด"
...
"ผมทนอยู่บนโลกที่ไม่มีคุณไม่ได้อีกต่อไปแล้ว"




-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



งานดนตรีของนักร้องคนโปรดจัดสามวันสามคืนติด มีหรือเขาจะพลาด
นอกจากจะไม่พลาดสักวัน เขาก็ยังได้พบกับใครอีกคนที่คล้ายจะเป็นความรักของเขาตลอดทั้งสามวันอีกด้วย
แต่ด้วยเวลาที่แสนสั้นเหลือเกิน ทำให้เขาไม่รู้อะไรไปมากกว่าชื่อและความรักในนักร้องคนเดียวกัน
เขาจึงดั้นด้นไปขอพรกับศาลชื่อดังหน้าหอพักตัวเอง ขอให้ได้พบกันอีกครั้งในสถานะที่ต่างออกไป
แต่ใครจะไปรู้ว่าพอลืมตาขึ้นมา เขาจะถึงกับข้ามเวลา ราวกับอยู่อีกโลกกับโลกเดิม
โลกที่เขาไม่มีตัวตนและวันเวลาผ่านไปแล้วถึงหกปี!!


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
#ทิวากับมาวิน



หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ แด่เธอ ★ 30/09/19
เริ่มหัวข้อโดย: KarmaNavy ที่ 30-09-2019 23:39:44



.

.

.

.


‘เจ้าดอกแมกโนเลียสีขาวที่แสนงดงาม
ใครเล่าจะรู้ว่ามันซ่อนความเศร้ามากมายของการจากลาและไม่มีวันได้พบกันตลอดกาลเอาไว้
เหมือนกับเราสองคน’


.

.

.


หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ ก่อนตกหลุมรัก ★ 30/09/19
เริ่มหัวข้อโดย: KarmaNavy ที่ 30-09-2019 23:44:32



ฉันเคยคิดว่าฉันนั้นยากเหลือเกินที่จะหวั่นไหว
กับใครสักคน
ฉันคิดว่าฉัน 'ชนะ' คนมามากมายที่ต่างแพ้ให้กับความรู้สึกรักนั้น

ก่อนตกหลุมรัก








‘เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี หอสมุดกลางฯ จึงได้จัดมินิคอนเสิร์ตที่ลานอเนกประสงค์บริเวณหน้าหอสมุด โดยเชิญศิษย์เก่าชื่อดังอย่าง วง WeAre ขึ้นแสดงเป็นเวลาสามวัน นอกจากนี้ยังเชิญนักร้อง นักแสดงท่านอื่น...’




สายตาของเขาเหมือนเบลอไปหมดแล้วหลังจากอ่านประโยคที่บอกว่าวงนักร้องที่เขาชอบมากๆ จะมาแสดงที่ม.จบ ได้แต่กวาดสายตาอ่านซ้ำๆ เหมือนคนย้ำคิดย้ำทำ ก่อนจะโห่ร้องออกมาเสียงดังกับเพื่อนที่เหมือนจะเป็นบ้าไปแล้วด้วยกันทั้งคู่


“เชี่ยย ปีนี้กูใช้โชคดีหมดไปแล้วแน่ๆ วงวีอาร์จะมา วีอาร์เลยนะเว้ย กูฝันไปแน่ๆ”


“ถ้ามึงฝันอยู่กูก็ฝันอยู่เหมือนกัน กูจะไปดู จะไม่พลาดสักวันแน่ๆ”


“กูด้วย ดีนะมีหลังสอบ ไม่งั้นแม่กูเพ่นกบาลแยกแน่ที่ดอดมาดูดนตรีแต่ไม่อ่านหนังสือสอบ”


ทิวาเบ้ปาก “พูดเหมือนทุกวันนี้มึงอ่านหนังสือสอบงั้นแหละ”


“เออน่า ให้แม่กูคิดว่ากูอ่านก็พอแล้ว” เดือนอ้ายพูดพลางปัดมือไม้ของเพื่อนรักที่พยายามจะหยิกแก้มเขาให้ได้ แต่ก็ห้ามไม่ได้ ไม่รู้พวกมันเป็นบ้าอะไร นับตั้งแต่รู้จักกันมา ก็ชอบมาบีบแก้มเขาเหมือนเป็นของเล่น บอกหลายครั้งแล้วแท้ๆ ว่าไม่ชอบให้บีบ แต่พวกมันก็เอาแต่ยิ้มกวนตีนแล้วทำเหมือนเขาไม่ได้พูดอะไรออกมา เป็นแบบนี้มาสามปีแล้ว ถ้าไม่เพราะพวกมันยังมีความดีความชอบตรงที่เป็นแก๊งเรียนดีละก็ อย่าคิดหวังเลยว่าเขาจะคบมานานขนาดนี้
ทิวาหัวเราะร่า อารมณ์ดีโดยไม่สนใจว่าเพื่อนจะหน้าบูดแค่ไหนที่โดนเขาแกล้งบีบแก้ม ช่วยไม่ได้ ตอนนี้เขาดีใจมากๆ มากเสียจนไม่รู้จะทำยังไง เลยได้แต่แสดงออกมาด้วยการแกล้งเพื่อนตัวเองเช่นนี้


“เลิกแกล้งไอ้อ้ายได้แล้วเดย์” ปัณว่าพลางปัดมือของทิวาออก ทำเหมือนจะช่วย แต่แท้จริงแล้วกลับช่วยเพื่อนแกล้งคนที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม คนที่ตกเป็นเป้าหมายมาหลายปีอย่างเดือนอ้าย มีหรือจะมองเจตนาร้ายไม่ออก มันรีบปัดมือของเพื่อนทั้งซ้ายขวาให้พ้นแก้มตัวเอง กุมราวกับเป็นของล้ำค่า ขู่เสียงดัง แต่ในสายตาคนทั้งสามมันกลับเหมือนแมวอารมณ์เสียแล้วขู่จนขนพอง เห็นแล้วน่ารักมากกว่าจะน่ากลัวชัดๆ


“มึงสิตัวดี เลิกยุ่งกับกูทั้งหมดนั่นแหละ หน้าหมา แก้มกูไม่ใช่ของเล่นนะเว้ย”


“ก็แก้มมึงนิ่มที่สุด” ทิวา


“น่าดึงเล่นจะตาย” โรม


“ดึงมาตั้งหลายปี เพิ่งจะมาหวงไม่คิดว่าช้าไปหน่อยหรือไงวะ” ปัณ


“ถามหนังหน้าด้านๆ ของพวกมึงเองดีกว่าไหม กูก็ด่าพวกมึงอยู่ทุกปี ฟังกันที่ไหน หน้าเหี้ย!” ด่าจบแล้วก็วิ่งหนีหายไปอยู่กับกลุ่มผู้หญิงราวกับพวกเธอเป็นปราการอันแข็งแกร่งที่พวกเขาไม่สามารถบุกไปยุ่งได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วแค่ส่งโรมไป พวกนั้นก็ยอมปล่อยเดือนอ้ายกลับมาแล้วก็ได้เสียด้วยซ้ำ แต่ทิวากำลังดีใจเกินกว่าจะตามตอแยต่อ แถมเมื่อกี้ก็แกล้งจนพอใจแล้วด้วย เลยเอาแต่หัวเราะ มองท่าทางไม่พอใจของเดือนอ้ายจากอีกฝั่งของห้องเรียนเท่านั้น


“พวกมึงสองคนจะไปดูดนตรีสามวันติดจริงอ่อวะ คนเยอะจะตาย มึงอะไม่เท่าไหร่นะ แต่ไอ้เดือนอ้ายเนี่ยดิ” ปัณว่าแล้วพยักเพยิดให้มองส่วนสูงที่ยังไม่แตะ 175 ของเดือนอ้าย ก่อนพูดต่อ “ตัวเท่าหมาปั๊ก จะไปสู้แรงแฟนคลับ สู้คนตัวควายๆ คนอื่นไหวเหรอวะ”


“โดนเหยียบตายตั้งแต่สองเมตรแรกที่เหยียบเข้างานแน่ๆ” โรมว่า


“มึงก็เกินไป กูว่ายังไม่ทันเขางานก็โดนเขาเหยียบตายแล้ว” ปิดท้ายด้วยทิวา พูดจบก็หัวเราะอีกครั้ง คราวนี้ดังจนคนโดนนินทาต้องหันมามอง เพราะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนพูดถึง แต่ก็ไม่ได้อะไรนอกจากสายตากวนประสาทจากเพื่อนทั้งสามคนให้หงุดหงิดเล่น


ทิวาปาดน้ำตาที่ล้นจากหางตาเพราะหัวเราะมากไปออก แล้วค่อยพูดขึ้น “กูอะไปแน่อยู่แล้วสามวัน เพราะกูไม่ได้ไปครั้งก่อน แต่ไอ้อ้ายอะไม่แน่ เพราะคอนครั้งที่แล้วมันได้ไป มีหมาแถวนี้บ่นชิบหาย แต่เสือกพาไปเฉย งงเลย”


ปัณยักไหล่ “ของขวัญวันเกิดเฉยๆ ติดมันเมื่อครั้งก่อน เลยยอมตามใจมันเท่านั้นแหละ”


“ก็คือกูก็ชอบอะนะ แต่ไม่มีชงชวน หน้าหมา”


“ไม่อยากชวน เกลียดขี้หน้ามึง”


“เกลียดขี้หน้ากูหรืออยากไปสองต่อสองจ้ะ กิ้วๆๆ”


“กิ้วพ่อมึงดิ กวนตีนจังวะ บอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไรไง”


“อย่าให้กูจับได้นะ” ทิวาหรี่ตาพลางทำท่าปาดคอ แสดงออกว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยไปแน่ หากได้รู้ว่าความจริงแล้วความรู้สึกของปัณที่มีต่อเดือนอ้ายไม่ได้เป็นแค่เพื่อนอย่างปากว่า แต่เหมือนว่าประโยคและท่าทางดังกล่าวมันดันไปกระตุกต่อมโมโห ปัณที่เคยนิ่งขรึมกลับเริ่มแสดงความหงุดหงิดออกมาบ้างแล้ว


“จับอะไร ก็มันไม่มีอะไรจริงๆ มึงเลิกยัดเยียดความคิดอะไรแบบได้ปะ มันน่ารำคาญนะไอ้สัส”


“เอ้อ ก็ปากแข็งให้ได้ตลอดจ้า รอกูมีหลักฐานก่อน ตอนนั้นมากอดขาอ้อนวอนยังไง กูก็ไม่ใจอ่อนหรอกนะบอกไว้ก่อน” ปัณมองท่าทางกวนประสาทของเพื่อนก่อนจะหยิบกระเป๋าปากกาของเดือนอ้ายที่วางเอาไว้ ยกฟาดอีกคนไม่ยั้ง ไม่รู้เพราะว่าเขินหรือรำคาญสิน่า แม้ตอนนี้จะรู้จักกันมาจะสามสี่ปีแล้ว แต่ปัณก็ยังเก็บความรู้สึก ความลับของตัวเองได้เก่งจนเขากับโรมเดาไม่ได้เสียที ว่าไอ้ทีท่าทีเล่นที่จริงที่ชอบทำกับเดือนอ้าย มันแค่เพื่อนกันหรือเพื่อนไม่จริงกันแน่ “ชอบกันก็บอกไปดิว้า กั๊กไว้ทำไม ความรักไม่ใช่ความลับ ทำไมจะต้องปิดละเนอะ”


สีหน้ากวนประสาทและท่าทางที่มองเหมือนมันเป็นเพียงเรื่องที่จัดการได้ง่ายดายของคนที่ไม่รู้จักความรู้สึกรักจริงๆ ทำให้ปัณอดหงุดหงิดไม่ได้ จนหลุดปากพูด “สักวันเถอะไอ้เดย์ วันไหนมึงชอบใครสักคน กูจะแช่งให้เขาเล่นตัว ให้เขาเล่นกับความรู้สึกมึงเสียให้เข็ด จะได้เลิกมาเล่นกับความรู้สึกคนอื่น”


“แช่งกูทำไมอะคร้าบ หรือกูไปแทงใจดำเพราะชอบจริงแล้วกลัวโป๊ะแตกหรอคร้าบ”


“ไอ้สัส กวนตีน”


“แช่งกูไปก็เท่านั้นอะครับ กูไม่ได้ชอบใครง่ายๆ ซะหน่อย”


“กูจะรอดู”


“รอไปถึงชาติหน้าไปเลยจ้าพ่อ”


“ขอให้มึงชอบเขาตั้งแต่แรก ชอบมากจนยอมทำทุกอย่างที่มึงไม่เคยทำมาก่อนเพื่อเขา”


“หูย มาวะ รักแรกพบ”



ปัณผลักหน้ากวนตีนของทิวาออกแล้วพูดต่อ ในแววตาที่แสนคุ้นเคย คล้ายจะมีรอยกระเพื่อมไหวแปลกๆ ที่ทิวาไม่อาจจับได้ว่ามันคืออะไร แต่ชั่วพริบตาที่ปัณพูดจบ เขาก็ราวกับถูกคำพูดของอีกคนพันรัดเอาไว้จนดิ้นไม่หลุด


เหมือนกับว่าคำพูดนั้นเป็นประกาศิตที่เขาไม่อาจขัดขืน


“ต่อให้รักเขามากแค่ไหน ก็ขอให้บอกออกไปไม่ได้ ต่อให้พูดออกไปแล้วก็ขอให้คบกันก็ไม่ได้!”


“ปัณ มึงพูดแรงไปเปล่า...” โรมเริ่มมีสีหน้าที่ไม่ดี เมื่อเรื่องล้อเล่นชักจะไม่น่าใช่เรื่องเล่นๆ อย่างตอนแรกที่แซวกันแล้ว เดือนอ้ายที่เดินกลับมายังโต๊ะเพราะได้ยินเสียงพูดคุยที่ดังกว่าปกติเองก็มีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะไม่บ่อยนักที่ปัณจะหงุดหงิดจนพูดอะไรในเชิงแช่งชักออกมา


ทิวากับโรมที่เพิ่งมารู้จักกันตอนมหาลัยอาจจะไม่รู้ แต่เขาที่รู้จักอีกคนมาค่อนชีวิต ย่อมรู้ดีว่าอีกคนปากศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน เหตุการณ์เก่าๆ ที่ผ่านมาล้วนเป็นเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุด แม้จะมีเพียงเขาที่จำได้ก็ตาม


“ปัณ อย่า พอแล้ว”


“ไม่พอ แค่นี้มันจะไปพออะไร”


“ปัณ!”


“ถึงพวกมึงรักกันจริงๆ ก็ขอให้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน!”


“...”


“จำคำกูไว้ทิวา ความรักครั้งต่อไปของมึง กูขอให้มึงลืมมันไม่ได้ไปทั้งชีวิต! มึงจะได้รู้เสียทีว่าไอ้ความรู้สึกที่มึงพยายามยัดเยียดให้คนอื่นรู้สึก มันไม่ได้จัดการง่ายๆ แบบที่มึงพยายามจะจัดการให้กับคนอื่นเขา”


ความเงียบขนานใหญ่ครอบคลุมกลุ่มของพวกเขา ไม่มีใครพูดออกมาแม้แต่ประโยคเดียว ไม่ว่าจะคนที่ออกปากแช่งเพื่อนตัวเองหรือแม้กระทั่งคนที่โดนแช่ง แม้จะไม่เข้าใจนิดหน่อยว่าทำไมเพื่อนที่มักโดนเขาแซวล้อเล่นเรื่องนี้ประจำอย่างปัณ นึกจะมาโกรธจริงจังเอาตอนนี้ แต่ทิวาก็ไม่ได้นึกเคืองอะไร เพราะรู้ว่าเพื่อนเขาแค่หงุดหงิดที่เขาพูดแบบนั้น อีกทั้งคำแช่งนั้นมันไม่มีวันเป็นผลขึ้นมาได้ง่ายๆ ต่อให้มันสามารถมีโอกาสเกิดขึ้นจริงได้ เขาที่ไม่ได้นึกรักชอบใครง่ายๆ ก็ไม่มีทางจะตกหลุมรักใครได้ในแรกพบอย่างที่มันแช่งหรอก


ปัณเองก็เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรออกมา ครั้นนึกเสียใจก็ไม่ทันแล้ว “ไอ้เดย์ กู...”


“ไม่เป็นไรๆ ครั้งนี้กูแหย่มึงแรงไปจริงๆ นั่นแหละ”

 
“มันไม่เป็นไรได้ไงวะ มึงไม่รู้...”


“เออน่า ต่อให้มันเป็นจริงตามที่มึงแช่งก็ไม่เป็นไร กูก็ใช่ว่าจะชอบใครง่ายๆ อย่าคิดมาก”


“...”


“เพิ่งรู้นะเนี่ยว่ามึงก็เชื่อเรื่องแช่งเชิ่งนี่ด้วย” แม้ทิวาจะพูดและแสดงท่าทางไม่คิดมากแบบนั้น แต่สีหน้าของปัณก็ยังไม่ดีขึ้นสักนิด เดือนอ้ายทุบหลังคนแช่งแรงเสียจนคนโดนทุบไอไม่หยุด ยิ่งเห็นสายตาคาดคั้นแล้ว ปัณก็ได้แต่ยอมทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้สิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกไป เกิดผลลัพธ์แย่น้อยลงมาหน่อย



“กูไม่รู้ว่าพูดตอนนี้มันจะช่วยอะไรมึงได้ไหม แต่เอาเป็นว่า...ถ้ามึงกับเขาเป็นคู่กันจริงๆ ก็ขอให้สุดท้ายได้กลับมาเจอกันอีก”


“...”


“ขอให้เขาเองก็รักมึงมากๆ เหมือนกันก็แล้วกัน”


“มึงจริงจังอะไรเนี่ย ทั้งสองคนเลย” ทิวามองสีหน้าจริงจังของเดือนอ้ายกับปัณด้วยสีหน้างงๆ ส่วนโรมเองแม้จะสีหน้ายังไม่ดีขึ้น แต่ก็ปะปนไปกับความงุนงงแบบเดียวกับเขาเช่นกัน เมื่อได้ยินคำพูดของปัณที่พูดออกมาคล้ายจะพูดให้ผลร้ายที่จะเกิดขึ้นมันลดลง ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ หรือไม่ “ใช่ว่ามึงแช่งแล้วมันจะเกิดขึ้นจริงเสียหน่อย”


“พวกมึงไม่รู้อะไร ปากไอ้ปัณอะแทบจะพูดอะไรได้อย่างนั้นเลยนะ มันถึงไม่ค่อยอยากหลุดปากพูดอะไรไง”


“บ้าแล้ว ศักดิ์สิทธิ์จริง งี้มึงแช่งให้ถูกหวย คนก็ถูกไปค่อนประเทศแล้วดิวะ”


เดือนอ้ายเอียงคอเหมือนคิดอะไรตามแล้วพยักหน้า “เออ ก็เคยมีคนถูกนะ”


“...”


“กูเริ่มกลัวแล้วนะไอ้อ้าย ไม่ล้อเล่นดิวะ แค่เรื่องผีในม.เรากูก็หลอนแล้วนะเว้ย” โรมว่า


“ก็กูพูดจริงๆ อะ มึงจะให้กูทำไง”


“ขอโทษ เมื่อกี้กูแม่งไม่รู้ทำไมคุมปากไม่ได้เลย เลยหลุดปากไปแบบนั้น”


ทิวามองสีหน้าเสียใจของปัณสลับกับสีหน้าของเดือนอ้ายที่ยังจริงจังไม่เลิก เริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมา “อย่า...อย่าทำให้กูกลัวดิวะ บอกกูได้ไหมว่าล้อเล่นไรเงี้ย กูจะไม่โกรธเลยๆ”


“...”


“เดือนอ้าย”


เจ้าของชื่อถอนหายใจ “ก็ขอให้ที่มึงบอกว่าตัวเองไม่เคยชอบใครง่ายๆ เป็นเรื่องจริงก็แล้วกัน”


“...”


“เพราะถ้าไม่เป็นอย่างนั้น คำแช่งของปัณได้เป็นจริงอย่างที่มึงกลัวแน่ๆ เดย์”



จนมาพบกับเธอ
ฉันจึงได้รู้ว่า การยินยอมพ่ายแพ้ต่อใครคนหนึ่งหมดใจ เป็นเช่นไร


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

--------------------------------------------------------------------------
ฝากเอ็นดูเจ้าทิวาด้วยนะคะ :)
NAVY
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ ก่อนตกหลุมรัก ★ 30/09/19
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 01-10-2019 08:01:27
คิดซะว่าให้พรละกัน555
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ ก่อนตกหลุมรัก ★ 30/09/19
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 01-10-2019 09:28:51
เอาว่ะถึงจะแช่งไปแล้ว แต่ตอนท้ายก็อวยพรให้นะโว้ย
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 0 ★ 02/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: KarmaNavy ที่ 02-10-2019 21:47:50



สิ่งที่แอบซ่อนในแววตาของฉัน เธอจะดูออกไหม?
แต่ไม่รู้ก็ดีเหมือนกัน













ตกหลุมรักระยะที่ 0

 






หนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้น


“ไอ้อ้าย!! ไวหน่อยดิวะ เดี๋ยวก็ไม่มีที่ยืนพอดี คนเยอะนะเว้ย”


“มึงก็ช้าหน่อยดิวะ กูขาสั้น!! ไม่ได้ตัวสูงเป็นเปรตเหมือนมึงนะ” แม้ปากจะด่าไม่หยุด แต่ขาที่เพิ่งว่าตัวเองว่าสั้นกลับสับไว แทรกผ่านกลุ่มคนมากมายที่กำลังก้าวเท้าไปยังลานกิจกรรมที่กำลังจะเริ่มแสดงดนตรีในอีกไม่ช้า จนกระทั่งทันเพื่อนตัวสูงที่แสดงสีหน้าตื่นเต้นไม่เลิกตั้งแต่เช้า จนตอนนี้เป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว ก็ยังมีรอยยิ้มบนใบหน้าไม่จางหาย


“เร็ว วีอาร์จะขึ้นแสดงแล้ว” ว่าแล้วทิวาก็ไม่รอให้เพื่อนตัวเล็กบ่นอะไรอีก รีบคว้าข้อมือของเพื่อนที่ยื่นมาหาแบบไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แล้วลากอีกคนเดินผ่านกลุ่มคนที่ออแถวรั้วกั้นเหล็ก จนกระทั่งไปยืนอยู่แถวกลางๆ ได้พอดี ภาพสมาชิกวงกำลังเตรียมตัวบนเวที ทำให้รอยยิ้มยิ่งขยายกว้างจนใบหน้าที่โดนแสงจากบนเวทีตกกระทบ คล้ายจะเปล่งประกายท่ามกลางความมืดสลัวยามเย็น


“มึงงง นั่นพี่กั๊ป!! ไอ้เหี้ย โคตรเท่! มือกีต้าร์ที่หนึ่งในใจกู”


“...”


“พี่ตูมตามของมึงก็เท่ อยากอัดวิดิโอจังวะ แต่ถ้ากูอัดกูกระโดดไม่ได้แน่ๆ มึงว่างั้นไหม”


“...”


“อ้าย? ไมเงียบไปวะ...”


“ขอโทษนะ แต่กูไม่ได้ชื่ออ้าย”


“...”


“แล้วก็...” เจ้าของเสียงที่ทุ้มกว่าเดือนอ้ายเป็นเท่าตัว ยกมือที่โดนเขาจับเอาไว้แน่นขึ้นมาจนเท่าระดับสายตาของเราทั้งคู่ ใช้แววตานิ่งๆ มองมายังเขาแล้วพูดต่อ “...จะบอกว่ามึงดึงมาผิดคนแล้ว”


“...แล้วเพื่อนกู”


“ไม่รู้ อยู่ด้านหลังมั้ง คงหลงอยู่กับเพื่อนกู”


“...”


“เวลาจะดึงใครอะ ดูหน้ามั้งก็ดีนะ ไม่งั้นก็สังเกตหน่อยว่าเพื่อนมึงไม่ได้ตัวสูงขนาดนั้น”


“...”


“เป็นใบ้กระทันหันหรือไง”


ทิวาเหมือนตัวเองหูดับไปแล้วตอนที่เห็นใบหน้าของอีกคนเต็มตา ด้วยส่วนสูงที่แทบเรียกได้ว่าเท่ากันกับเขา ทำให้เขาสามารถมองรายละเอียดแทบทุกอย่างของคนตรงหน้าได้ทั้งหมด ตั้งแต่เส้นผมหนานุ่มที่ยาวจนแทบจะปรกดวงตา แต่มันไม่อาจปกปิดแววตาของอีกคนได้ หางตาเรียวรีตามแบบฉบับหนุ่มตี๋คล้ายจะเจือไปด้วยความสงสัย เมื่อเขาเอาแต่มองไม่ยอมตอบเสียที ไหนจะจมูกที่เขารูปกับดวงหน้า รวมไปถึงริมฝีปากอิ่ม...


“มองเหี้ยอะไร”


...ที่กำลังด่าเขาอยู่ตอนนี้ด้วย


ทิวาสะดุ้งทันทีที่รู้สึกตัว แต่ก่อนจะได้เอ่ยปากขอโทษและปล่อยมือออกจากข้อมือของอีกคน เสียงกลองและเสียงดนตรีที่ดังกระหึ่มจากบนเวทีก็ดังขึ้นเรียกความสนใจของพวกเขาทั้งสองคนไปเสียก่อน ทิวารีบหันกลับไปให้ความสนใจวงดนตรีที่กำลังเล่นเพลงแรกที่เป็นดั่งเพลงแนะนำตัวของพวกเขา แหกปากร้องด้วยความตื่นเต้น จนลืมคนข้างตัวไปเลยว่า มันไม่ใช่เพื่อนตัวเอง


ราวกับเป็นช่วงเวลาแห่งเวทมนต์อย่างไรอย่างนั้น ทันทีที่เสียงเพลงถูกร้องออกมาจากปากนักร้องคนโปรด ทิวาก็ลืมสิ้นทุกอย่างที่อยู่รอบกาย กลายเป็นเพียงหนึ่งในกลุ่มคนที่บ้าคลั่งและหลงวนเวียนอยู่ในเสียงเพลงของกลุ่มนักร้องคนโปรดของตัวเอง เช่นคนอื่นๆ ที่อยู่รอบตัวเขา ร้องเพลงและกระโดดโลดเต้นแบบไม่คิดอะไรทั้งสิ้น


เนิ่นนานจนถึงเพลงช้าเพลงสุดท้ายนั่นแหละ ทั้งเขาและคนแปลกหน้าคนนั้นที่ยืนฟังและแหกปากร้องเพลงของวงวีอาร์ด้วยกันมาตั้งแต่เพลงแรกจนเพลงสุดท้ายถึงได้หันมามองหน้ากัน ก่อนจะยิ้มโดยไร้ความหมายให้กันและกันแล้วจึงหันกลับไปมองกลุ่มคนบนเวที พร้อมเริ่มร้องเพลงสุดท้ายไปพร้อมกับคนอื่น


ทิวาไม่ได้รู้เลยหรือบางทีอาจจะรู้ เพียงแต่ไม่ได้สนใจ ว่ามือของเขาและคนข้างๆ นั้นยังไม่ได้ปล่อยจากกันแม้แต่วินาทีเดียวตั้งแต่คอนเสิร์ตเริ่มแสดง


มันค่อยๆ ไหลลงจากข้อมือก่อนที่นิ้วจะสอดประสานกุมกันคล้ายว่าจะไม่ปล่อยจากไปไหน


จนเสียงดนตรีหยุดลง กลุ่มคนเริ่มทยอยเดินออกจากพื้นที่หน้าเวที เหลือเพียงพวกเขาที่ยังจับมือและมองไปยังเวทีตรงหน้านั่นแหละ ทิวาถึงได้ค่อยๆ ปล่อยมือตัวเองออกจากมือคนข้างๆ ด้วยท่าทางเก้อกระดาก รู้สึกเลยว่าตอนนี้เขาหน้าแดงเพราะความเขินมากแน่ๆ


ไม่ให้เขินได้ไงวะ จับมือของใครก็ไม่รู้ดูคอนเสิร์ตเป็นนานสองนาน ถึงเขาจะไม่ได้ว่าอะไรก็เถอะ


“ชอบวีอาร์เหรอ”


“ห๊ะ...อ่อ ใช่ ชอบมาก”


“อ้อ”


“...”


แล้วก็เงียบไปทั้งแบบนั้น เพราะไม่มีใครคิดจะพูดต่อบทสนทนาทั้งคู่ ทั้งที่ควรจะแยกย้ายได้แล้ว แต่ทำไมก็ไม่รู้ เหมือนมีอะไรสักอย่างที่รั้งขาของทิวาเอาไว้ มันร้องดังในใจแบบที่ทิวาไม่เคยรู้สึกว่า ไม่อยากไป


ไม่อยากจากไป


แต่ไม่รู้ว่าเพราะวีอาร์ที่เพิ่งแสดงจบไปหรือเพราะคนข้างๆ กันแน่


ในตอนที่ทิวาคิดว่าเขาควรจะบอกลาแล้วไปตามหาเพื่อนที่หายไปได้แล้ว จู่ๆ คนข้างตัวก็พูดขึ้นมา


“พรุ่งนี้จะมาอีกไหม”


“มาดิ”


“...”


“วีอาร์...มาทั้งที จะไม่มาได้ไง”


“งั้นก็เจอกันพรุ่งนี้”


“...”


“ถ้าบังเอิญเจอกันนะ” คนแปลกหน้ายื่นมือมาดีดหน้าผากจนทิวาต้องหยีตาเพราะความเจ็บ ใช้มือที่เพิ่งปล่อยจากมือของอีกคนถูกลางหน้าผาก ภาวนาในใจว่าไม่ให้มันมีร่องรอยอะไร พลางมองตามแผ่นหลังกว้างที่ค่อยถูกกลุ่มคนกลืนหายไปด้วย


มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่ทิวาไม่ชอบความรู้สีกตัวเองตอนนี้เลย


ก็แค่แฟนคลับวงเดียวกันที่บังเอิญมายืนฟังเพลงด้วยกัน


แต่ทำไมตอนที่ต้องแยกย้ายกันไป ทำไมเขารู้สึกแย่แบบนี้วะ


“เดย์...ไอ้เดย์!!!”


“โอ๊ยๆ อย่าตีสิวะ มาตีกูทำไมเนี่ย” ยังไม่ทันได้ปล่อยให้ความคิดได้ตกตะกอนใดๆ ให้นึกถึง เพื่อนที่เขาทำหายไปก่อนการแสดงเริ่มก็วิ่งตรงมาหาพร้อมกับทุบตีสลับกับด่าไปด้วย


“ไอ้เวร มึงทิ้งให้กูยืนกับใครก็ไม่รู้ตั้งนานสองนาน ไม่เอะใจด้วยนะว่าเพื่อนมึงหายไป! ไม่มีการถามหาใดๆ ทั้งสิ้น!! สารเลว”


“ก็...ก็คอนเริ่มพอดีอะ กูก็เลย...”


“ก็เลยอะไร!! ก็เลยทำเป็นลืมเพื่อนมึงงั้นดิ ไอ้เดย์ มึงแม่ง...”


“ขอโทษค่ะ”


“ไม่ต้องมาค่ะกับกู! กูไม่ใช่ผู้หญิงที่ตาบอดมาชอบมึง” ว่าแล้วก็จิ้มเข้าที่กลางหน้าผาก กำลังจะด่าต่อนั่นแหละ แต่ดันไปเห็นรอยแดงบนหน้าผากที่เพิ่งลงไม้ลงมือไปเสียก่อน “อะไร ผิวบางขนาดนั้นเชียว แตะนิดแตะหน่อยผิวแดงเชียวนะ”


“เพ้อละมึง กะอีแค่แง่งขิง คิดว่าจะทำกูสะเทือนได้หรือไง”


“จ้า พอคนนิ้วสวยเป็นลำเทียน งั้นบอกคนนิ้วสั้นหน่อยได้ไหมละว่า ไปโง่ยังไงอะไร ทำไมหน้าผากมึงแดงเป็นตูดลิงแบบนั้น”


แทนที่เขาจะตอบ ทิวากลับไปนึกถึงหน้าคนที่เป็นต้นเหตุแทนเสียได้ จึงเอาแต่เงียบแล้วลูบรอยบนหน้าผากตัวเองไปมา ทำเอาเดือนอ้ายได้แต่มองแล้วก็สงสัยว่าเพื่อนตัวเองเป็นบ้าอะไร


มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ไม่มีทางที่ทิวาจะยอมจบเรื่องง่ายๆ เวลาเถียงกัน


พอนึกมาถึงตรงนี้ คำแช่งที่ปัณเพื่อนรักพูดไปเมื่อสัปดาห์ก่อนก็แว่บเข้ามาในสมองจนอดถามออกไปไม่ได้


“ทำไม เจอเนื้อคู่แล้วหรือไง”


“บ้า!! มึงเพ้ออะไรหลายรอบในวันเดียววะอ้าย เนื้อคงเนื้อคู่อะไรไร้สาระ!”


“...”


“กูเนี่ยนะจะชอบใครตั้งแต่แรกพบอย่างที่ไอ้ปัณแช่ง ฮ่า ฮ่า ฮ่า!!! มึงคิดไปเองกันทั้งนั้นแหละ”


“...”


“...”


“คือ...กูแค่ถาม”


“...”


“มึงล่กมากอะ รู้ตัวป่ะ”


“...หุบตูดไปเลยไอ้อ้าย แล้วไสหน้าขี้เหร่มึงกลับหอไปเลย ไป!” เมื่อรู้ตัวว่าหลุดพูดอะไรที่แสนจะไม่เป็นตัวเขาในยามปกติออกมา ทิวาก็ไม่สามารถจะมองหน้าเพื่อนสนิทได้อีกต่อไป แม้จะรู้แล้วว่ามันไม่สามารถกลบเกลื่อนอะไรได้ แต่อย่างน้อย การที่ไม่ต้องโดนสายตาค้นหาของเพื่อนมองในตอนที่สมองสับสนไปหมดเช่นนี้ มันเป็นเรื่องดีกว่ามากๆ อย่างแน่นอน


แต่เดือนอ้ายมีหรือจะยอมทำตาม เขาไม่ได้สนใจจะล้อเลียนเหมือนกับเพื่อนอีกสองคนในกลุ่ม มีแต่จะเป็นห่วงเสียมากกว่า จึงพยายามยันขาตัวเองให้ยืนที่เดิม แม้จะไม่สามารถสู้แรงของทิวาได้เลยก็ตาม ปากก็พยายามพูดต่อ “เดย์! มึงห้ามไปเจอเขาเลยนะ คนนั้นที่ทำให้มึงล่กแบบนี้อะ! มึงจะได้ไม่เป็นเหมือนคำแช่ง”


“ก็บอกว่าไม่ใช่ไง อีกอย่างมันไม่มีทางจะแช่งแล้วเป็นจริงทุกรอบได้หรอกน่า มึงอะกังวลเกิน”


“เกินไปเหี้ยอะไร นี่กูหวังดีนะไอ้ทิวา! ห้ามไปเจอเขาอีก”


“เออ ไม่เจอหรอกน่า คนเป็นร้อยเป็นพัน จะไปบังเอิญเจออะไร”


แต่เดือนอ้ายไม่ไว้ใจเสียแล้ว จึงหรี่ตาพยายามให้เพื่อนที่หลบตามองตาตัวเองให้ได้ “มองกูเดย์”


“...มองอะไรอี๊ก!”


“พรุ่งนี้ไม่ต้องมาดูแล้ว”


“อะไรเนี่ย มึงมาห้ามทำไม นานๆ ทีกูจะได้เจอวีอาร์นะเว้ย”


“ก็เผื่อเขามาอีก”


“งั้นก็เจอกันพรุ่งนี้”


“...ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมไปเลย เข้าใจไหม”


“ไม่เอา”


“ทิวา!”


“กูชอบวีอาร์มากมึงก็รู้”


“...”


“กูจะมา จบนะ”


“...”


“แล้วก็เรื่องที่มึงกังวล ไม่ต้องคิดมากน่ะ กูบอกแล้วคนเป็นพัน ไม่มีทางบังเอิญเจอกันแน่ๆ” ว่าแล้วทิวาก็ลูบหัวเพื่อนตัวเตี้ยจอมคิดมากไปทีหนึ่ง พยายามแสดงออกเหมือนไม่คิดอะไร ทั้งที่จริงๆ เขากลับนึกถึงประโยคต่อมาที่อีกคนได้พูดทิ้งเอาไว้


ถ้าบังเอิญเจอกันนะ...งั้นเหรอ


ทำไมเขากลับรู้สึกว่าครั้งหน้าหากเขากับอีกคนได้เจอกันมันจะไม่ใช่ความบังเอิญกันวะ?

 





ว่าตั้งแต่ที่สบตากันครานั้น
ฉันก็เฝ้ารอการพบกันครั้งต่อไปของเราตลอดมา

(โปรดติดตามตอนต่อไป)
---------------------------------------------------------
fact about ทิวา

ทิวาเป็นเด็กปากแข็งและไม่ค่อยยอมรับอะไรง่ายๆ จนกระทั่งหมดหนทางจะปฏิเสธจึงจะยอมรับ

เวลาที่ชอบใครสักคนเข้าก็เหมือนกัน

NAVY
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 0 ★ 02/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 02-10-2019 22:37:53
 :L2: :pig4: :L1:
ติดตามมมมมม
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 0 ★ 02/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 07-10-2019 16:45:12
โถๆๆๆ  คำสาปเป็นจริงแล้ว
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 0 ★ 02/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 07-10-2019 19:14:16
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 1 ★ 07/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: KarmaNavy ที่ 07-10-2019 22:11:57


ฉันเคยกล่าวอ้อนวอนตอนที่ใจของฉันเริ่มสั่นไหว

อย่าได้เกิดเป็นความรักเลยนะ






ตกหลุมรักระยะที่ 1

 





ช่วงเวลาคาบเกี่ยวระหว่างหกโมงเย็นและหนี่งทุ่มวนมาอีกวันแล้ว ทิวายืนอยู่ท่ามกลางคนหมู่มากเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคงจะเป็นความตื่นเต้นที่ยังคงกรุ่นอยู่ในอก หากมันไม่ได้ตื่นเต้นเพราะวงสุดที่รักขึ้นแสดง แต่กลับเกิดจากการรอคอยว่าในวันนี้จะได้พบกับคนเมื่อวานหรือไม่


แม้ปากจะปฏิเสธแทบตายอย่างไรก็ตาม แต่ในใจลึกๆ ของทิวารู้ดีว่าตัวเองกำลังรออยู่ตลอด


คำพูดของเดือนอ้ายไม้ได้เข้าหัวเขาเลยแม้แต่นิดเดียว รั้งแต่จะทำให้เขารู้สึกว่าคำแช่งนั้นยิ่งไม่มีทางเป็นจริงเข้าไปใหญ่ เขาไม่ได้ชอบคนที่เพิ่งเจอได้แค่วันเดียวสักหน่อย แค่...ชอบที่ได้ยืนดูวงที่ชอบไปกับคนที่ชอบเหมือนๆ กันเท่านั้นแหละ


อืม แค่นั้นจริงๆ


ขณะกำลังมองทีมงานจัดเวทีไปเพลินๆ สัมผัสหนักๆ ก็วางลงบนผมของเขา พร้อมกับที่มีใครมายืนอยู่ที่ว่างข้างตัว ราวกับรู้ว่ามันเว้นว่างไว้เพื่อใครคนหนึ่งและเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือ ก็พบว่าเป็นคนเดิมกับเมื่อวานจริงๆ


ถึงจะไม่รู้สาเหตุแต่เขาก็เผลอยิ้มออกมาจนได้ ซึ่งอีกคนก็ยิ้มออกมาเช่นเดียวกัน แม้จะเป็นรอยยิ้มมุมปากที่ทำให้รู้สึกเหมือนแสยะยิ้มนิดๆ ก็ตาม


“‘บังเอิญ’ เนาะ”


“อือ ‘บังเอิญ’ จริงๆ นั่นแหละ”


พูดจบพวกเขาก็หลุดหัวเราะออกมากันทั้งคู่ ทั้งที่ไม่มีอะไรน่าขำเลยสักนิด ใบหน้าของเราถูกย้อมด้วยแสงสีต่างๆ จากหน้าเวทีพร้อมกับที่การแสดงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง แม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่ายังไงเพลย์ลิสวันนี้ก็คงไม่ต่างจากเมื่อวานมากนัก แต่เขาก็ยังตื่นเต้นและรอคอยอยู่ทุกครั้งที่ได้ยืนดูจากด้านหน้าเวทีเช่นนี้


“ชอบมากเลยเหรอวงนี้น่ะ ถึงได้มาดูซ้ำ”


“ฮะ? ไม่ได้ยิน!”


เพราะเสียงรอบตัวของพวกเขาดังจนเกินไป ทำให้ทิวาเห็นแค่อีกคนขยับปากเป็นคำไปมา แต่ไม่ได้ยินเสียงเลยแม้แต่นิดเดียว คนตรงหน้าขมวดคิ้วนิดหน่อยด้วยความขัดใจ แต่สุดท้ายก็คลายปมบนคิ้วสวยได้รูปนั่น แล้วลดใบหน้าและระยะห่างพวกเขา กระทั่งทิวารับรู้ถึงลมหายใจที่เป่ารดข้างแก้ม แม้จะรู้สึกแปลกๆ ในอก แต่ทิวากลับไม่คิดจะผละออก กลับยังคงยืนนิ่งอยู่แบบนั้น ค่อยๆ ตั้งใจฟังคำพูดที่อีกคนพูดมาทีละคำ แล้วพยักหน้าให้เป็นเชิงบอกอีกคนว่าเข้าใจแล้ว ก่อนจะทำแบบเดียว กระซิบตอบกลับไปทั้งที่ในอกหัวใจเริ่มไม่ภักดี เต้นรัวเป็นจังหวะที่ทิวาไม่เคยเป็น


มันไม่ได้เต้นดังตามจังหวะกลองที่ดังกระหึ่มในงาน แต่ระรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอกเสียให้ได้เสียมากกว่า


“ชอบ! มาก!”


“เอาจริงๆ ก็มีวงอีกเยอะนะที่เล่นได้ดีแบบนี้ ทำไมถึงต้องเจาะจงเป็นวงนี้วะ” โชคดีที่ต่อมาเข้าสู่เพลงช้า ทำให้เสียงเพลงและเสียงตะโกนรอบตัวเริ่มเบาลงหน่อย ระดับเสียงพูดคุยของทิวากับคนข้างๆ จึงไม่ถึงกับต้องกระซิบเช่นเพลงที่แล้ว ทิวาแทบไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำกับคำถามนั้น เขายิ้มแล้วมองนักร้องนำที่กำลังร้องเพลงที่เขาชอบที่สุด พร้อมกับแววตาหลงใหล


โดยที่ไม่ทันสังเกตว่าในตอนนั้น มีใครอีกคนที่มองเขาอยู่ด้วยสายตาเช่นนั้นเหมือนกัน


“ก็จริงที่มีวงอื่นที่เล่นดี ร้องเพลงเพราะ เป็นที่นิยมมากๆ เหมือนวีอาร์ แต่สำหรับนี่มันต้องเป็นวีอาร์เท่านั้นอะ ถึงจะชอบ”


“...”


“ก็คงเหมือนการชอบใครสักคนมั้ง ที่ต่อให้คนอื่นดีสักแค่ไหน แต่เราก็ยังชอบเขาอยู่คนเดียว”


“...มึงเคยชอบใครหรือไงถึงได้พูดเป็นตุเป็นตะได้แบบนี้”


ทิวาหัวเราะร่วน “ก็ไม่ถึงขนาดไม่มี แต่ก็คิดว่าพอรู้อยู่นะ...”


“รู้ว่า...?”


“รู้ว่าเวลาชอบใครแล้วรู้สึกว่าเขาพิเศษกว่าใครมันเป็นยังไง”


จบประโยคนั้นพวกเขาก็ต่างเงียบ ปล่อยให้เสียงเพลงเข้าครอบคลุมบทสนทนาทั้งหมดแทนเสียอย่างนั้น แต่ก็ราวทุกอย่างเป็นใจอย่างไรก็ไม่รู้ เมื่อเพลงที่กำลังเล่นอยู่ตอนนี้เป็นเพลงรักเพลงหนึ่งที่กล่าวถึงความสวยงามของความรู้สึกที่มีต่อใครบางคน ความรู้สึกที่แสนงดงามนั้นที่ทิวาคิดว่ามันกำลังเกิดกับตัวเอง


คิดมาถึงตรงนี้ทิวาก็รีบสะบัดหัวทิ้งความคิดนั้นออกไปแทบไม่ทัน


บ้าไปแล้วจริงๆ


เขากำลัง... ไม่หรอกใช่ไหม


เมื่อแอบมองคนข้างตัวก็พบว่าอีกคนให้ความสนใจกับดนตรีบนเวทีไปแล้ว แต่ทิวากลับยังไม่สามารถดึงตัวเองออกจากการมองเสี้ยวใบหน้าด้านข้างของอีกคนได้เลย










 
มันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่แค่มองไปที่คุณ

ผมก็ยิ้มออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว

หลงใหลคุณจนเหมือนคนบ้าเลย ที่รัก





 

“มองอะไร”


“...”


“นี่...”


“ขอโทษ แต่มันหันไปเองนี่นา”


“...”


ทิวาไม่กล้ามองตาคนข้างๆ เลยแม้แต่นิดเดียว นานแล้วที่ไม่ได้ขัดเขินจนทำอะไรไม่ถูกเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะโกหกอะไร ได้แต่พูดออกไปตามใจตัวเอง เพราะเขารู้ว่าถ้าไม่พูดออกมาตอนนี้คงจะไม่มีโอกาสแล้ว


พวกเขาคงได้เจอกันแค่ตอนนี้ ในช่วงเวลาเช่นนี้เท่านั้น


“ไม่รู้หรือไงว่าเขาไม่ให้มองคนแปลกหน้าด้วยแววตาแบบนั้น”


“แบบไหน”


อีกคนยิ้มแล้วฉวยโอกาสตอนที่คนรอบโยกตัวไปมาในช่วงสุดท้ายของเพลงนี้ขยับเข้ามาใกล้ ใกล้จนปลายจมูกของพวกเขาแทบเฉียดกันไปมา ส่งยิ้มที่ต่างจากตอนแรกมากให้ ยิ้มที่กว้างระบายเต็มแก้ม ดันจนดวงตาเรียวรีนั่นโค้งเป็นเหมือนพระจันทร์แสนน่ารัก “แบบนี้”


“...”


“แววตาแบบเดียวกับที่มองนักร้องคนโปรดบนเวทีนั่นไง”


“ไม่ได้มองแบบนั้นเลยเหอะ”


“ก็มองอยู่นี่ไง”


“รู้ได้ไงว่ามองแบบนั้นอยู่”


“ก็เมื่อกี้...กูมองอยู่ตลอด” คำพูดและนิ้วที่ชี้เขาหาตัวเองราวกับจะบอกใบ้ ทำให้ทิวาอดก้าวถอยหลังออกจากบรรยากาศแบบนั้นไม่ได้ เขาไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าอาการแบบนั้นหมายถึงที่ผ่านมาที่ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยกันเสียนานสองนาน อีกคนกำลังมองเขาด้วยสายตาเช่นนี้มาตลอด โชคดีที่อีกคนไม่ได้คิดจะไล่ต้อนเขาไปมากกว่านี้ จึงผละออกไปยืนมองเวทีเช่นเดิม แต่ยังคงพูดกับเขาอยู่


“อันที่จริงกูไม่ได้ชอบวีอาร์มากขนาดนั้นหรอก เมื่อวานที่มาก็เพราะเพื่อนชวน ตั้งใจว่าจะมาดูแค่วันเดียว”


“อ้าว...”


คนแปลกหน้ายิ้ม แล้วพูดต่อ “แต่เพราะเมื่อวานเจอคนต๊องๆ คนหนึ่งเข้า เลยอยากจะมาดูอีกเผื่อจะได้เจอกันอีก”


“...”


“ไม่คิดว่าจะเจอจริงๆ”


“...ไหนบอกถ้าบังเอิญ”


“ไม่รู้หรือไงว่าความบังเอิญน่ะมันมีแค่ครั้งแรกเท่านั้นแหละ”


“...”


“ครั้งต่อมา...ถ้าได้เจอกันอีก มันก็คือความตั้งใจจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่อยากเจอต่างหาก”


เพลงแล้วเพลงเล่า ทั้งเพลงที่สนุกสนานจนต้องกระโดดโลดเต้นตาม เพลงรักหวานๆ ที่ทำให้ยิ้มกว้างหรือเพลงเศร้าที่ฟังแล้วได้แต่หวนย้อนนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ที่ผ่านไปแล้ว ต่างถูกบรรเลงและขับร้องมาจนถึงเพลงสุดท้ายอีกครั้ง พวกเขายืนฟังเพลงนั้นเงียบๆ ไม่ได้แหกปากร้องเช่นเมื่อวาน เช่นเดียวกับที่วันนี้มือของเขาและอีกคนไม่ได้กุมเข้าหากัน


ในตอนที่คิดว่าน่าเสียดายที่วันนี้จะจบไปเช่นนี้ ทิวาก็พลันรู้สึกถึงแรงสะกิดเบาๆ ที่ปลายนิ้วของมือข้างซ้าย เขารู้ดีว่าแรงที่ว่าเกิดจากใคร เพราะงั้นจึงไม่กล้าจะหันไปมอง ทำได้แต่ขยับและกุมปลายนิ้วอีกคนเอาไว้เบาๆ จนเหมือนไม่ได้จับอยู่ แต่สัมผัสอุ่นบางเบาที่สัมผัสได้นั้น กลับบอกเขาอย่างชัดเจนถึงการก่อตัวของอะไรบางอย่างในใจของเขา


อะไรที่เพื่อนของเขาห้ามปรามและแสนกังวล แต่เขากลับไม่รู้สึกหวาดกลัวใดๆ


หากในอนาคตข้างหน้าจะเสียใจ ก็ไม่เป็นไร


แต่ถ้าหากเขายอมให้จบไปแบบนี้ในวันนี้ ทิวากลับรู้สึกว่าเขาจะเสียใจไปตลอดชีวิต


“ถามชื่อได้ไหม”


“ได้ แต่บอกชื่อแลกกันด้วย”


ทิวาหลุดยิ้มกับคำพูดแสนเอาแต่ใจนั่น แล้วพูดขึ้น “ชื่อเดย์ แต่บางทีเพื่อนก็เรียกว่าทิวา”


“ชื่อวิน”


“...”


“มาจากมาวินชื่อจริงน่ะ” วินว่าพลางยักไหล่ ทำเหมือนไม่ค่อยชอบชื่อตัวเองเสียเท่าไหร่ แต่ทิวากลับรู้สึกว่ามันเหมาะกับอีกคนอย่างบอกไม่ถูก


“มาวิน ก็เหมาะดีออก”


“ยังไง”


“ก็ดูเหมือนเป็นคนแบบนั้น”


“...”


“แบบที่ทำให้ใครหลงชอบได้ง่ายๆ ชนะทั้งที่ยังไม่ต้องทำอะไรเลย แบบนั้น” พูดไปก็เลี่ยงจะสบตาไป ทิวารู้สึกว่าคำพูดตัวเองมันทั้งน้ำเน่าและตลกมากแน่ๆ ไม่งั้นวินคงไม่หัวเราะแบบนี้ แต่เมื่อรู้สึกว่ามือถูกจับแน่นขึ้น เขาก็จำต้องหันไปมองอีกคนอย่างเสียไม่ได้


“ใครว่า ถ้าไม่ต้องทำอะไรแล้วใครชอบง่ายๆ วันนี้ก็คงไม่ยืนอยู่ตรงนี้”


“...”


“จะชอบใครสักคนมันก็ต้องพยายามทั้งนั้นแหละ”


“แล้วครั้งนี้...ต้องพยายามมากไหม”


“ก็ถ้าชอบมากก็อยากจะพยายามมากๆ”


“...”


มาวินยิ้ม “ก็...รู้สึกว่าพยายามมากอยู่นะ ครั้งนี้น่ะ”


“...ก็จบไปแล้วนะครับสำหรับบทเพลงสุดท้ายของวันนี้ แต่ไม่ต้องเศร้าไปนะครับ พรุ่งนี้เราจะยังได้เจอกันอีกอย่างแน่นอน!”


“พรุ่งนี้...จะมาอีกหรือเปล่า”


“ไว้กลับมาเจอกันในช่วงเวลาที่น่าจดจำและแสนงดงามนี้ด้วยกันอีกนะครับ!!! ไว้เจอกันใหม่ครับ”


“มาดิ บอกแล้วว่าชอบวีอาร์มากๆ”


มาวินยิ้ม ทิวาก็ยิ้ม ในตอนที่กลุ่มคนพากันทยอยจากไปเช่นเมื่อวาน พวกเขายังยืนอยู่ตรงนั้นเช่นวันวานแล้วจับมือกัน กล่าวคำพูดที่คล้ายจะเป็นคำสัญญา


“ไว้เจอกัน...วันพรุ่งนี้”


“ได้ เจอกันวันพรุ่งนี้”


ว่าพรุ่งนี้ ตรงนี้ที่เราพบกันครั้งแรก เราจะกลับมาพบกันอีกครั้ง


ด้วยความรู้สึกที่ชัดเจนกว่าเดิมอย่างแน่นอน

 






-------------------------------------------------------------------------------------------------------------












ทิวาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมาถึงหอพักได้ยังไง กว่าจะรู้ตัวอีกทีเขาก็โดนเพื่อนสนิทที่จับกลุ่มกันนั่งกินของว่างมื้อดึกด้วยกันใต้ตึกดึงไปนั่งด้วยแล้ว เดือนอ้ายบ่นเป็นหมีกินผึ้ง เมื่อเห็นว่าเขาแอบขัดคำสั่งแอบไปดูวีอาร์ทั้งที่เจ้าตัวออกปากห้ามแล้วแท้ๆ


ทิวาเบ้ปากแล้วแย่งขนมในมือโรมมากินหน้าตาเฉย ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับการไม่สนใจคำเตือนของเพื่อนในครั้งนี้ “ก็บอกแล้วว่าจะดูให้ครบสามวัน กูชอบวีอาร์มากๆๆๆ เท่าโลกชุบแป้งทอด ทำไมกูจะไปดูไม่ได้”


“ถามตัวเองดีกว่าว่าทำไมกูถึงได้ห้ามมึง มึงรู้ดีที่สุดไอ้เดย์”


“รู้อะไร”


“พูดสิว่ามึงไม่ได้เจอเขา”


“...”


“กล้าสาบานกับกูไหมว่าไม่ได้เจอ”


“...ทำไมมึงชอบเอาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาทำให้ใหญ่โตวะ เจอแล้วไง ไม่เจอแล้วยังไง ไม่เห็นมีอะไรสักหน่อย” เห็นเดือนอ้ายมีท่าทางต่อต้านและคาดคั้นแบบนั้น ในใจทิวายิ่งหงุดหงิด อดประชดประชันออกไปไม่ได้


เดือนอ้ายมองทิวาที่เอาแต่เคี้ยวขนมอย่างเอาเป็นเอาตาย แสดงออกว่าจะไม่ยอมตอบอะไรที่เกี่ยวกับคนคนนั้นอย่างเด็ดขาดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ไม่อยากจะคิดอะไรให้มันดูเป็นลางร้าย แต่คล้ายกับว่าผลของความปากดีของปัณจะเริ่มต้นแล้ว คิดแล้วก็อดหงุดหงิดไม่ได้ มือที่กำลังล้วงไปในถุงถั่วอบจึงกำขึ้นแล้วปาใส่ปัณที่นั่งกินขนมข้างๆ อย่างอดไม่ได้


คนโดนทำร้ายสะดุ้งปัดถั่วที่เลอะตามตัวแทบไม่ทัน มองเพื่อนตัวเล็กที่จู่ๆ ก็หงุดหงิดขึ้นมาด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ถือสาอะไร เพียงแค่ขยับออกไปชิดโรมแทน จำได้ว่าวันนี้ยังไม่ทันจะได้บีบแก้มสักครั้งเลยนะ ทำไมมันของขึ้นวะ


“แม่มึงโมโหไรเนี่ย กูโดนปาถั่วใส่เฉย”


“อยากไล่ยักษป่าว ที่ญี่ปุ่นเขาชอบปาถั่วใส่ยักษนะ”


“ไอ้สัส กูไม่ใช่ว้อย”


“ก็มึงปากศักดิ์สิทธิ์นี่ เผื่อเป็นยักษปลอมตัวมาหลอกแดก”


“เพ้อเจ้อไอ้เหี้ย” ว่าแล้วก็ตบหัวโรมไปหนึ่งที แต่คนโดนตบหัวไม่ได้สนใจ เอาแต่มองใบหน้าเหม่อๆ เหมือนคิดอะไรอยู่ของทิวาแล้วเกิดสงสัยขึ้นมา “แต่วันนี้มึงดูเหม่อๆ นะเดย์ ไปเจออะไรมาวะ”


“จะเจออะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่...”


“ไอ้อ้าย หุบปากไปเลย” ทิวาว่าพร้อมกับโผไปปิดปากเดือนอ้ายแทบไม่ทัน อาการร้อนตัวยิ่งทำให้โรมสงสัยเข้าไปใหญ่ว่ามันมีอะไรกันแน่ “ไม่มีอะไร แค่เสียดายนิดหน่อยที่วีอาร์มาแสดงน้อยไปหน่อย”


“น้อยอะไร สามวันนี่ก็เยอะแล้วนะ มึงแน่ใจว่าหมายถึงวีอาร์” เดือนอ้าย


“อ้าว แล้วมันหมายถึงอะไร” โรม


“มึงไปชอบใครมาหรือไงเดย์” ปัณ


“...”


“อ้าว เงียบทำไมวะ กูสงสัยเหมือนกันเนี่ย” ปัณที่ไม่ได้รู้ตัวว่าหลุดพูดประเด็นสำคัญออกมา มองเพื่อนรอบตัวที่จู่ๆ ก็เงียบไปด้วยความสงสัย เดือนอ้ายถอนหายใจกับความปากไวของมัน แต่ก็รู้สึกขอบคุณมันเหมือนกันที่มันพูดออกมาแทนเขา เพราะทันทีที่มันพูดแบบนั้นออกมา สีหน้าที่พยายามนิ่งเฉยของทิวาก็มีอันเปลี่ยนแปลง


และเพราะสีหน้านั้นคนที่เหลือเลยรู้ทันทีว่าที่เดือนอ้ายเป็นเดือดเป็นร้อนคือเรื่องอะไร


“มึงมีคนที่ชอบแล้วจริงเหรอวะ” โรม


“ไหนว่าชอบคนยากไง” ปัณ


“คิดไปเอง เป็นหมาตั้งแต่วันแรกที่เจอเขาเลยด้วยซ้ำ” เดือนอ้าย


“ไม่ใช่ว้อย ไม่ได้ชอบ”


“ไม่ได้ชอบแล้วทำไมถึงต้องไปยืนดูด้วยกันกับเขาเป็นนานสองนาน”


“มึงไม่ได้เห็นสักหน่อย มั่ว”


“จะมั่วได้ไง กูยืนอยู่ข้างหลังมึงตลอด”


ทิวาถึงกับพูดไม่ออก ยิ่งเห็นว่าปัณและโรมพยักหน้าสนับสนุนคำพูดเขาก็ยิ่งอึ้ง “อันนี้กูเป็นพยานได้ เพราะกูไปรอมันอยู่หน้าทางออก เพิ่งมาถึงเลยมานั่งกินขนมรอมึงเนี่ย”


“...”


“กูเห็นนะ มือพวกมึงอะ”


“...ตั้งแต่แรกเลยเหรอ”


“เออ”


“...”


“ก็รออยู่ว่ามึงจะพูดไหม แต่สุดท้ายก็ปากแข็ง เฉไฉไม่เข้าเรื่อง คนเขาก็ห่วงไปสิ กูเตือนมึงแล้วนะว่าปากไอ้ปัณมันแย่จริง เป็นจริงขึ้นมามึงจะเสียใจเอา”


“ทำไมเหมือนกูโดนด่าเลยวะ” ปัณ


“ก็กูด่ามึงนี่แหละ กี่ครั้งแล้วล่ะที่องค์ลงปากแล้วแช่งคนไปทั่ว ไอ้ตูดหมา”


“มึงทำเหมือนกูแช่งคนเป็นประจำเหมือนปวดขี้อะ คือไม่ใช่ป่ะ”


“ปีนี้รวมกับครั้งไอ้เดย์สี่ครั้งละปะ อันที่จริงมึงไม่ควรพูดออกมาสักครั้งอะ”


“มึงจะตีกันเองแล้วใช่ไหม กูจะได้ขึ้นไปนอน...” ทิวาฉวยโอกาสตอนที่สองเพื่อนรักเริ่มหันไปตีกันหนีขึ้นห้อง จะได้ไม่ต้องโดนอีกคนคาดคั้น ทว่ามีหรือจะรอด


“ไม่ได้! กลับมานั่งเลย กูยังพูดไม่จบ”


“...”


“ทันไหมเดย์”


“...อะไร”


“ตัดใจอะ ยังทันไหม”


“...”


พวกเขาเงียบกันไปนานมาก สุดท้ายทิวาก็ขยับศีรษะไปมาแทนคำปฏิเสธ เพราะถึงแม้ความรู้สึกในตอนนี้จะยังไม่ลึกซึ้งจนเรียกออกมาได้เป็นคำพูด แต่มันก็มากพอที่เขาจะไม่อยากปล่อยให้อีกคนหายไปง่ายๆ


ยังอยากที่จะเจอกันอีก อยากจะรู้จักกันให้มากขึ้นมากกว่านี้


“ไม่ทันแล้ว...ละมั้ง?”


“เฮ้อ”


สามคนที่เหลือมองคนที่เพิ่งตกหลุมรักขั้นแรก ก่อนจะนึกย้อนไปถึงเรื่องราวเมื่ออาทิตย์ก่อนอย่างปลงๆ มาถึงขั้นนี้พวกเขาคงทำอะไรไม่ได้แล้ว ที่ทำได้ก็คงคอยซัพพอร์ตเพื่อนต่อไปไม่ว่าจะจบยังไงแทนเท่านั้น


“ก็อยากพูดว่าเผื่อใจไว้หน่อยเหมือนกัน แต่คงไม่ทันแล้วใช่ไหม”


“...”


“งั้นก็มีความสุขให้มากที่สุดนะเดย์”


“...”


“ไม่ต้องไปคิดถึงคำแช่งของปัณมันแล้ว มึงอยากรักเขาหรือแค่อยากมีเขาในชีวิต ยังไงก็แล้วแต่มึง”


“...”


“แต่ตัวเองไม่เสียใจทีหลังก็พอ”


“อืม รู้แล้ว”


“...”


“อันที่จริง” ทิวามองมือของตัวเองที่วันนี้ถูกมือข้างเดิมจับเอาไว้แล้วยิ้ม “ก็ตั้งใจไว้แบบนั้นตั้งแต่ตอนที่ได้เห็นหน้าเขาอีกครั้งแล้วล่ะ”







 
จนเมื่อมือของเรากอบกุมเข้าหากัน ฉันจึงเริ่มภาวนา

ว่าหากเป็นรัก เป็นความรักอันจริงแท้

ก็ขอให้มันยืนยาวนานจนสิ้นลมหายใจ



(โปรดติดตามตอนต่อไป)

-------------------------------------------------------------

fact about ทิวา

ทิวาเป็นเด็กดื้อ ที่เมื่อปักใจแล้วก็จะเปลี่ยนใจยากอย่างถึงที่สุด

ยึดมั่นยังไง ก็จะไม่เปลี่ยนแปลง

NAVY


หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 1 ★ 07/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 10-10-2019 21:34:09
 :L2: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 2 ★ 15/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: KarmaNavy ที่ 15-10-2019 13:50:27
 



หากเจ้าต้นรักต้นนี้เติบโตอยู่ผิดถิ่น

ฉันจักไถ่ถอนมันออกจากใจ









ตกหลุมรักระยะ 2







วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว



วันนี้ทิวาก็ยังมายืนรออยู่ที่เดิม ท่ามกลางคนมากมายที่คุ้นหน้าบ้าง ไม่คุ้นบ้างรอบตัว แต่ไม่ว่าจะกี่คนที่เดินผ่านเขาไป กลับไม่มีสักคนที่เขารอ จนที่วงโปรดของเขาเริ่มแสดงแล้ว เขาก็ยังไม่เห็น


เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า? หรือจะไม่มาแล้ว


พอคิดแบบนั้น หัวใจที่พองฟูมาทั้งวันก็แฟบลงเหมือนลูกโป่งถูกปล่อยลม แม้เพลงของวงโปรดจะยังเพราะเช่นเดิม แต่เขากลับไม่มีความสุขมากขนาดนั้นอีกแล้วที่ได้ฟัง


ทิวาเลิกมองหาและตัดสินใจหันหลังหมายจะเดินออกจากกลุ่มคนที่อออยู่หน้าเวที วันนี้ที่ไม่มีใครคนนั้นที่เขารอยืนฟังเพลงด้วยกันมันไม่สนุกเอาเสียเลย


และในตอนนั้นเองเขาก็พลันเหลือบไปเห็น ราวกับบนร่างของใครคนนั้นผูกติดกับดวงตาของเขาเอาไว้


ท่ามกลางคนมากมาย แต่เขากลับมองเห็นอีกคนได้เพียงกวาดสายตามองหา


คนที่เขากำลังรอยืนอยู่ในกลุ่มคนที่มาดูคอนเสิร์ตเช่นคนอื่น เพียงแค่วันนี้...คนที่อยู่ข้างกายไม่ใช่เขา เป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่แม้จะมองจากด้านหลังทิวาก็รู้สึกว่าเธอคงจะน่ารักมากแน่ๆ ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมวันนี้ถึงไม่มาอยู่ข้างเขา


ก็นะ...แพ้เห็นๆ

เมื่อมอ
งจนพอใจและรู้สึกแย่มากพอแล้ว ทิวาก็เตรียมถอนสายตาออกจากอีกคน ทั้งเกือบเตรียมจะถอดใจตัวเองที่เอนเอียงให้ออกมาจากหลุมรักที่เพิ่งก้าวลงไปด้วย เพราะสำหรับทิวาแล้ว แม้จะชอบหรือรักแค่ไหน ถ้าหากอีกคนมีเจ้าของแล้ว เขาก็ไม่คิดจะชอบต่อ จะยากแค่ไหนก็จะถอนตัวออกมาให้ได้


แต่คล้ายอีกคนไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนั้น เพราะงั้นตอนที่เขาละสายตาออกห่าง ใบหน้าที่เขาเฝ้ารอที่จะพบก็พลันหันกลับมาจนสบตากันในที่สุด


เหมือนตอนจบของหนังโง่ๆ ที่มีตอนจบห่วยแตกเรื่องหนึ่ง ที่ตัวเอกทำได้แค่มองคนที่ตัวเองชอบอยู่เคียงข้างคนอื่นที่อาจคู่ควรกว่า โดยที่ไม่มีแม้แต่แรงจะเข้าไปห้ามหรือดังรั้งเอาไว้ ได้เพียงแค่ยืนมองและยิ้มออกมาให้ ก่อนเป็นฝ่ายละสายตา เดินจากออกมาจากสถานการณ์นั้น แม้ใจจะไม่เคยยินยอมก็ตาม


มันเพิ่งเริ่มเอง เขาบอกตัวเอง มันเป็นเพียงหน่ออ่อนเล็กจ้อยของความรู้สึกรักที่เขาไม่ค่อยคุ้นเคยนัก แต่ก็พยายามที่จะเรียนรู้มันเมื่อพบอีกคน บางทีมันคงไม่ยากนักหากเขาจะถอนมันออกจากใจ


คงไม่ยาก แต่เขาทำไม่ลง


“ทิวา!”


ทั้งยังไม่อาจทำได้อย่าแท้จริง


ชื่อของตัวเองที่ดังก้องบนทางถนนยามค่ำคืนในมหาลัยทำให้เขาต้องชะงักก้าวเดิน แต่กลับไม่ยอมหันกลับไป ไม่ใช่กลัวว่าจะเป็นเรื่องลี้ลับ แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่กล้าจะหันกลับไปมองมันน่ากลัวกว่าเจอผีเป็นร้อยเท่า


เขากลัวว่าเมื่อหันกลับไป มันจะทำให้ผิดหวังอีกครั้ง ถ้าไม่ใช่อีกคน


“ทิวา...”


“...ทิ้งผู้หญิงเอาไว้ ไม่ใช่สิ่งที่สุภาพบุรุษทำนะรู้ไหม”


เขาก็ยังไม่ยอมหันกลับไปอยู่ดี แม้มาวินจะมาอยู่ข้างตัวทั้งจับไหล่ข้างหนึ่งของเขาเอาไว้ราวกับกลัวจะวิ่งหนีหายไป เอาแต่ยืนทื่อฟังเสียงหัวเราะที่ปะปนไปกับเสียงหอบหายใจเพราะวิ่งตามเขามาของอีกคนเงียบๆ


“ก็ไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นสุภาพบุรุษนะ แล้วก็มันไม่ใช่หน้าที่กูด้วย”


“ได้ยังไง...”


“ได้สิ ก็นั่นมันแฟนของเพื่อน จะต้องไปดูแลอะไรมากมายในเมื่อมันมีคนของมันอยู่แล้ว”


“...”


“สิ่งที่ต้องทำคือดูแลคนของตัวเองมากกว่าคนของเพื่อน มึงคิดว่างั้นไหม”


คลื่นความร้อนขนานใหญ่เข้าจับจองทั้งแก้มทั้งสองข้างและบริเวณที่มือของมาวินจับอยู่ ทิวารู้ถึงขนาดว่าเสียงตัวเองกำลังสั่นตอนที่ตอบกลับไปและมันคงทำให้อีกคนจับได้ว่าเขาแอบคิดไปไกลแค่ไหน ทว่าความสงสัยมันมีมากเกินกว่าจะทนทำเป็นนิ่งเฉย


“คนของตัวเองอะไร ใคร?”


“สักคนที่วิ่งหนีมามั้ง”


“มั่ว”


“ก็ถ้ามั่วจริงๆ ก็ช่วยหันกลับมามองหน้ากันแล้วพูดได้ไหม จะได้รู้ว่ามั่วจริง” มาวินไม่รอให้อีกคนตอบ ออกแรงรั้งไหล่ของอีกคนให้หันหน้ามามองกัน แม้ว่าแสงไฟบนถนนในมหาลัยจะไม่ได้สว่างมากนัก แต่ก็ไม่มืดจนมองไม่เห็นว่า ใบหน้าที่ติดอยู่ในสมองของเขามาสองวันนี้ กำลังแดงจัดเหมือนจะกลายเป็นมะเขือเทศลูกโตๆ ที่เขาชอบไม่มีผิด พอเห็นแบบนั้นเขาก็อดยิ้มไม่ได้ ก่อนจะยื่นมือไปจิ้มเบาๆ ที่แก้มนุ่ม


“รู้ไหมว่าหน้าแดง”


“รู้ ร้อนไปทั้งหน้าเลยด้วยซ้ำ” ทิวาว่าพลางลูบแก้มตัวเอง บ่นอุบอิบในลำคอ แต่เพราะพวกเขาใกล้กันเกินไปและในมหาลัยที่คนไปออแถวคอนเสิร์ต บริเวณที่เขาอยู่จึงเงียบมากพอให้อีกคนได้ยินอย่างชัดเจนถึงคำตัดพ้อจากเขา


“ถามจริง บ้านขายขนมครกป่ะ หยอดเก่งชิบหาย”


“บ้านไม่ได้ขายขนมครก แต่ขายยา”


“...”


เห็นสีหน้าอึ้งๆ คล้ายจะเข้าใจผิด มาวินเลยเขกหน้าผากเนียนไปหนึ่งที “ร้านขายยาถูกกฏหมายครับ รักษาคน”


“พูดซะคนเข้าใจผิด แล้ว...มียาตัวนี้ไหม” ท้ายประโยคเขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วลงเล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่ามันจะเวิร์กไหม หากพูดกับคนคนนี้


“ลองว่ามาดิ แล้วจะพิจารณา”


“ยาที่ทำให้เลิกรู้สึกเหมือนจะชอบใครสักคน...มีขายไหม”


อีกคนฟังแล้วเงียบไปนานมาก จนทิวานึกอยากจะตีตัวเองขึ้นมาที่เกิดอยากจะเล่นมุกบ้าบอนี่ แต่ก่อนจะได้ทำแบบนั้น มาวินก็ตอบกลับมาเสียก่อน


“...อาจจะมีมั้ง แต่ไม่ขาย”


“ทำไม?”


“ใช้ไม่ได้หรอก”


มือที่ใหญ่กว่าเขาไซส์หนึ่งวางแปะลงบนผมของเขาเหมือนครั้งที่สองที่เจอกัน ก่อนจะจับโยกไปมา โดยที่ไม่รู้เลยว่าดวงใจของเขานั้น รู้สึกราวโดนมือข้างนี้จับเอาไว้อยู่หมัดเช่นเดียวกัน


“เคยลองแล้ว แต่ไม่ได้ผลเลย”


“...อันนี้ล้อเล่นหรือเปล่า แยกไม่ออกแล้วนะ” ทิวาเงียบไปพักใหญ่หลังจากที่มาวินพูดประโยคนั้นออกมา อันที่จริงเขาก็พอจะตามทันบ้างไม่ทันบ้าง แต่ด้วยคิดแหละว่าเขาอาจจะเป็นคนเดียวที่หวั่นไหวกับคำพูดทีเล่นทีจริงที่อีกคนเอ่ยปาก ทว่าพอมันมากขึ้นพร้อมกับความรู้สึก เขาก็อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้


ไม่ชอบแบบนี้เลย ไอ้ความรู้สึกที่เหมือนตัวเองกำลังลอยสูงขึ้นไปบนฟ้าเพราะคำพูดของใครบางคน ทั้งที่ไม่รู้ว่ามันหมายถึงตัวเองไหม แต่มันรู้สึกไปแล้วเช่นนี้ แล้วถ้าหากว่าอีกคนไม่ได้หมายถึงเขาจริงๆ เขาก็คงร่วงหล่นไปยังพื้น ทั้งความรู้สึกและหัวใจของเขา


ทิวาเอ๋ยทิวา ใจที่เคยคิดว่าแข็งแรงพอจะต่อต้านและเป็นอย่างนั้นตลอดมาตั้งแต่เริ่มรู้จักสิ่งที่เรียกความรัก แต่ทำไมพอเป็นคนนี้ เขาถึงได้อ่อนไหวได้ง่ายดายแบบนี้กันวะ


ก็เหมือนที่เดือนอ้ายว่าไม่มีผิด เขามันดีแต่ปากจริงๆ อุตส่าห์พูดไปเสียมากมายว่าเขาไม่มีวันเป็นอย่างที่ปัณพูดเอาไว้ เขาจะไม่หวั่นไหวหรือชอบใครง่ายๆ


สุดท้ายก็แพ้คนแปลกหน้าคนนี้ที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามาในชีวิตพร้อมกับเพลงวงโปรดของเขา


คนที่ทำให้สายตาเขาพาลแต่จะจับจ้องอยู่ เหมือนกับเวลาที่เขามองนักร้องที่ชอบไม่มีผิดคนนี้


“คือขอโทษถ้ามันทำให้รู้สึกเหมือนว่าโคตรมั่นหน้าชิบหาย แต่ตอนนี้คิดอะไรไม่ออกแล้ว ถ้ามึงแค่พูดเล่นแบบไม่คิดอะไร เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนใหม่เฉยๆ ก็บอกที”


“...”


“เพราะฝั่งนี้อะ...ที่มารอเจอทั้งสองวันมานี้ ไม่ได้อยากจะเป็นเพื่อนกับมึงนะ”


“...”


“มันน่าขยะแขยงไหม กูไม่รู้เหมือนกันแต่...”


ทิวารวบรวมความกล้าที่เหมือนเก็บมาทั้งชีวิตเพื่อมาใช้ในวันนี้ ช้อนสายตามองสบคนที่สูงเทียบเท่าตัวเองตรงหน้า พยายามบอกตัวเองว่าอย่าค้นหาความจริงอะไรในนั้นให้ใจเสีย แล้วพูดต่อให้จบประโยค


“...มันสั้นมากก็จริง แต่ที่กูรู้สึกมันดีมากๆ เลย”


“...”


“อยากให้ครั้งหน้าที่วีอาร์จัดงานแสดง มีมึงยืนฟังเพลงโปรดด้วยกันอีก”


“...”


“แต่ถ้าไม่รู้สึกเหมือนกัน ก็เอามือออกเถอะ จะได้ตัดใจ...” ยังไม่ทันจะพูดจบอย่างที่ตั้งใจเอาไว้เลย คำพูดกลับหยุดชะงักลงเพราะรอบประทับจางๆ ที่ริมฝีปากจากอวัยวะเดียวกัน มันเป็นเพียงพริบตาเหมือนปีกแมลงปอแตะบนผิวน้ำ แต่กลับสร้างรอยกระเพื่อมไหวในดวงใจของทิวาจนไม่อาจสั่งให้มันสงบลงได้ง่ายๆ


มาวินขยับใบหน้าออกห่างไปแล้ว แต่คราวนี้บนใบหน้าที่ทิวากำลังมองอยู่กลับเปื้อนรอยยิ้มจางๆ ที่ทำให้ใจของเขาสั่น พร้อมกับประโยคต่อมาที่เหมือนจะทำให้เขาล้มลงและพ่ายแพ้อย่างหมดรูป


กระทำและได้ผลเช่นเดียวกับชื่อของอีกคน


“ก็ไม่เคยตามตอแยใครขนาดนี้ ถ้าไม่ได้รู้สึกดีมากจนอยากมีเขาในวันต่อๆ ไปแบบนี้เหมือนกัน”


“...”


“ไม่เป็นเพื่อนก็ไม่เป็นดิ ก็ไม่ได้มางานนี้เพราะจะหาเพื่อนสักหน่อย”


“อ้าว งั้นแสดงว่าถ้าเจอคนอื่นที่ไม่ใช่กู...”


“ก็ไม่สนใจ”


“...”


นิ้วชี้จรดลงที่เหนืออกข้างซ้ายของเขา พร้อมกับรอยยิ้มที่เบ่งบานบนใบหน้าของทิวาในที่สุด “ก็สนใจคนนี้”


“...”


“แค่คนนี้” จู่ๆ มาวินก็หัวเราะ ราวกับนึกถึงเรื่องตลกเรื่องหนึ่งได้ เมื่อพูดมันออกมา คนฟังก็ได้แต่พยายามเก็บสีหน้าเก้อกระดากเอาไว้แทบไม่ทัน “เพราะคงไม่เจอคนเด๋อคนไหนลากคนแปลกหน้ามั่วๆ แบบไม่สังเกตแบบมึงอีกแน่ๆ”


“คือ...จะดีมากถ้าลืมๆ ไป”


“ลืมได้ไง ไม่ลืมหรอก เก็บไว้ล้อ”


“มาวิน!”


“ไม่ดีหรอกเหรอ มีไว้เป็นสตอรี่ไว้เล่าให้คนอื่นฟังไง ว่าเราจับมือกันครั้งแรกได้ยังไง...” ไม่ทันจะได้เขินเพราะคำพูดของอีกคน ทิวาก็ต้องเตรียมรับกับการจู่โจมครั้งต่อมาจากคนตรงหน้าแทบจะในทันที ทั้งมือที่จับกันอีกครั้งและ...ดวงตาที่สะท้อนภาพเขาในนั้น


รวมไปถึงใบหน้าที่ขยับเข้ามาใกล้ คล้ายจะมองหาภาพตัวเองในดวงตาของเขาเช่นกัน


“แล้วก็จูบแรกนี่ มันเกิดยังไง”


“...”


“ฟังดูเป็นไง? ดีไหม”


ทิวาหัวเราะเบาๆ แล้วพยักหน้า ก่อนกระซิบตอบกลับไปแล้วค่อยๆ หลับตารับสัมผัสอ่อนหวานที่ตรงริมฝีปากอีกครั้ง...และอีกครั้ง


“ดี ดีมาก”


เดือนอ้ายจะด่าไหมนะ แต่ช่างเถอะ ไว้ค่อยถึงตอนนั้นแล้วค่อยว่ากันอีกที


ตอนนี้...เขาขอมีความสุขก่อนละกัน








แต่หากมันเกิดถูกถิ่นและแผ่นดินนั้นยินดีจะโอบรับ


ฉันจักดูแลและทะนุถนอมยิ่งกว่าสิ่งใด



(โปรดติดตามตอนต่อไป)

---------------------------------------------------------------------

fact about ทิวา

ทิวาไม่ใช่คนที่มั่นใจในตัวเอง แม้ท่าทางภายนอกจะไม่ใช่แบบนั้นเลยก็ตาม

NAVY


หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 3 ★ 19/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: KarmaNavy ที่ 19-10-2019 21:41:39
 

เมื่อลืมตาอีกครั้งกลับพบว่าทุกอย่างแปรเปลี่ยน

ไม่มีใครที่คุ้นเคย ไม่มีใครให้อุ่นใจดั่งวันวาน











ตกหลุมรักระยะที่ 3

 







เขาทำเรื่องผิดพลาดไปซะแล้ว

“ชิบหาย...”

เรื่องอะไรน่ะเหรอ

ทิวารีบหันกลับไปมองท้ายรถมอไซต์ที่วิ่งออกจากซอยไปไกลลิบด้วยแววตาละห้อย ทั้งที่เพิ่งกำลังมีความสุขที่มาวินอุตส่าห์มาส่งถึงหอพัก เมื่อมานึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ได้ขออะไรที่สามารถติดต่อกับอีกคนมาเลยสักอย่าง ไม่ว่าจะเบอร์โทร ไลน์ เฟส หรือแม้แต่ชื่อคณะเขาก็ยังไม่รู้ รู้แค่ชื่อมาวิน ชื่อเล่นวิน แค่นั้นเอง

แล้วจะเอาไงต่อวะเนี่ย เขาจะจีบอีกคนได้ยังไง ต้องเริ่มจากตรงไหนวะเนี่ย

“ไอ้ทิวาเอ๊ย ทำไมโง่แบบนี้วะ” ว่าแล้วก็เขกหัวตัวเองรัวไม่ยั้ง ปากเบะออกจนเหมือนจะร้องไห้ ครั้นจะขอความช่วยเหลือจากบรรดาเพื่อนซี้ แต่เวลาที่เกือบตีหนึ่งเช่นนี้เพื่อนของเขาคงหนีไปเฝ้าพระอินทร์กันหมดแล้ว เพราะแม้แต่ยามประจำหอกะดึกที่นั่งอยู่หน้าทางเข้ายังหลับเลย เพื่อนเขาจะแสตนบายรอให้เขาขอความช่วยเหลือได้ยังไง

หลังจากทึ้งหัวตัวเองอยู่พักใหญ่ ทิวาก็พลันสังเกตว่าตอนนี้ตัวเองกำลังนั่งอยู่ต่อหน้าศาลประจำหอพักตัวเองที่ขึ้นชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์สุดๆ ไม่ว่าจะขออะไรท่านก็จะให้ทั้งหมด โดยเฉพาะเด็กในหอพักแห่งนี้ ท่านจะเอ็นดูเป็นพิเศษ

ตอนแรกทิวาก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ไม่เคยแสดงออกอะไรมากนักเพราะไม่อยากหลบหลู่ใดๆ ทว่าหลังจากที่เจออิทธิฤทธิ์ปากของปัณเข้าไป เรื่องเหนือธรรมชาติพวกนี้กลับเริ่มทำให้ความเชื่อของทิวาเอนเอียงไปเป็นเชื่อมากขึ้นจนได้

พอนึกมาถึงตรงนี้ เขาก็พลันเกิดความคิดขึ้นมา

ถ้าขอให้ท่านช่วยเรื่องของมาวิน...จะได้หรือเปล่านะ

ทิวาลุกขึ้นยืนอยู่ต่อหน้าศาลที่ถูกพันระโยงระยางด้วยผ้าสีแสบตาและพวงมาลัยดาวเรือง ลังเลอยู่นานก่อนจะยกมือพนมตรงอกแล้วหลับตา พึมพำด้วยใจคาดหวัง

'ขอให้ได้พบกันอีกครั้งเร็วที่สุด ไปอยู่ไหนก็ขอให้ได้เจอ เอาถึงขนาดเข้าห้องน้ำก็เจอกันเลยด้วยเถอะครับ สาธุ!'

ขอเสร็จปุ๊บก็พลันรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำบ้าอะไรอยู่ในตอนตีหนึ่งเช่นนี้ ดูไม่ใช่ทิวาคนเดิมเลยจริงๆ เพราะทิวาคนนั้นไม่มีทางที่จะนั่งอ้อนวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยตัวเอง แต่จะลงมือด้วยตัวเองจนมันประสบผล

ทว่าตอนนี้เขาไม่มีความมั่นใจอะไรเลย เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะใช่ความสามารถแล้วจะสำเร็จ ไม่ใช่เรื่องที่สามารถจัดการไปผ่านๆ ได้ มันแสนจะละเอียดอ่อน เขาเลยอดกังวลและพยายามหาที่พึ่งทางใจเพิ่มไม่ได้

‘เอาเถอะ ถ้ามันจะไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ถือว่าขอแล้ว หลังจากนี้ก็พยายามด้วยตัวเองละกัน’ ทิวาบอกกับตัวเองเช่นนั้น

ทว่าแม้จะบอกตัวเองไปแบบนั้น ก่อนจะเดินเข้าหอพักไป ทิวายังไม่วายย้อนกลับมามองศาลหน้าหอพักอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้

‘แต่ถ้าช่วยผมได้ ก็ช่วยทีนะครับ’

คนทะเล้นที่เชื่อมากกว่าไม่เชื่อยกมือไหว้ศาลท่วมหัวด้วยท่าทางประหลาดๆ ก่อนจะวิ่งเข้าหอพักไป โดยไม่ทันสังเกตว่าศาลหน้าหอพักที่ไร้แสงไฟเมื่อครู่ ค่อยๆ ส่องแสงเลือนรางชั่วพริบตาก่อนที่ทิวาจะหันหลังจากไป ก่อนจะดับลงเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

กว่าจะรู้ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็สายไปเสียแล้ว

 











------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------















ทั้งที่ตอนนี้เขาน่าจะกำลังนอนหลับสบายบนที่นอนนุ่มในห้องพักตัวเอง แต่ทำไมก็ไม่รู้ เขาถึงได้รู้สึกว่ามันโคลเคลงไปมาชอบกล หัวยังกระแทกกับอะไรแข็งๆ และสั่นอยู่ตลอดเวลาจนไม่เป็นอันนอน จนอดขมวดคิ้วไม่ได้

ฝันเหรอหรือมีใครมาแกล้ง ง่วงนอนจะตายอยู่แล้ว แกล้งอะไรอยู่ได้ ไม่รู้หรือไงว่าแกล้งคนง่วงมันบาปน่ะ!

ขณะที่กำลังพยายามหาท่าที่จะทำให้ตัวเองนอนหลับสบายที่สุด ก็มีมือจากไหนก็ไม่รู้เขย่าที่แขนเบาๆ จนทิวาจำต้องล้มเลิกการนอนหลับแล้วลืมตามองด้วยความหงุดหงิด

ทว่าเมื่อกวาดสายตามองรอบตัวความหงุดหงิดก็พลันสลายหายไปแล้วแทนที่ด้วยความงงแทน เมื่อแทนที่เขาจะต้องนอนอยู่บนเตียงอย่างที่เป็นมาตลอด เขากลับมาโผล่อยู่ในรถเมล์ปรับอากาศแทนเสียอย่างนั้น ตรงหน้าเขาและเจ้าของมือที่ปลุกเขาออกจาห้วงฝันคือ พี่กระเป๋ารถเมล์ชายคนหนึ่งที่คล้ายจะเอือมระอาเขาหน่อยๆ ที่ไม่ยอมตื่นเสียที

“คุณ สุดสายแล้ว ต้องลงแล้วนะครับ”

“...”

“รีบลงเร็วครับ รถจะออกแล้ว”

นี่มันอะไรวะ

แม้ว่าจะงงอยู่ที่ตัวเองจู่ๆ โผล่มานอนบนรถเมล์จนโดนไล่ลงจากรถเพราะสุดสายได้ยังไง แต่ทิวาก็ยอมเดินลงแต่โดยดีและมองรอบตัวเพื่อหาด้วยว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ตรงไหน โชคยังดีที่รถเมล์ที่เพิ่งออกรถไปนั้นคือสายที่เขาค่อนข้างขึ้นประจำไปกลับบาทที่ตั้งอยู่ชานเมือง จึงพอจะเดาได้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ตลาดสดที่แสนคุ้นคนยังเยอะและแดดร้อนจัดเหมือนเคย ผู้คนยังคงเดินวุ่นวายในช่วงบ่ายแก่ๆ ของวัน มีแต่เขาเพียงคนเดียวที่ยืนทื่อเหมือนทำอะไรไม่ถูกอยู่ลำพัง

เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วทำไมถึงได้ขึ้นรถเมล์มาแบบไม่รู้ตัว เขาละเมอแรงขนาดนั้นเลยเหรอวะ

แต่พอก้มมองเสื้อผ้าที่สวมอยู่ก็ตัดความคิดที่ว่าละเมอไปได้เลย เพราะมันไม่ใช่ชุดนอนที่เขาใส่เมื่อคืน เสื้อตัวนี้เป็นเสื้อเอกที่เขาหยิบมาใส่น้อยครั้งเสียด้วยซ้ำ ซุกไว้มุมไหนของตู้เสื้อผ้าก็ยังจำไม่ได้ แต่กลับหยิบมาใส่ในวันเช่นนี้เสียได้ ทั้งเนื้อทั้งตัวของทิวามีเพียงกระเป๋าเงินที่มีเงินอยู่สองร้อยกว่าบาทและบัตรเอทีเอ็มสองใบ แถมด้วยโทรศัพท์คู่ใจหนึ่งเครื่องที่ไม่มีแม้แต่หูฟังติดมาด้วย ทั้งที่ถ้าหากออกมาข้างนอกเขาไม่มีทางที่จะพลาดหยิบหูฟังออกมา

ในหัวสมองเต็มไปด้วยข้อสงสัยที่ทิวาไม่อาจตอบตัวเองได้ แต่ท้องที่เริ่มร้องและแดดที่แรงเหลือเกินทำให้เขาได้แต่เดินหาร้านนั่งพักและหาอะไรเติมท้องเสียหน่อย ได้เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำที่มักจะแวะกินตอนที่ลงตลาดแห่งนี้

ในร้านเก่าๆ ยังคงเหมือนเดิมที่มากิน เพียงแต่พนักงานในร้านกลับเปลี่ยนหน้าไปไม่น้อย ทิวาจึงไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่ แต่ไม่ว่าจะมองยังไงที่นี่ก็ยังเหมือนเดิม จนไม่รู้ว่าอะไรมันแปลกไป ระหว่างที่รอเมนูที่สั่งไปทิวาเลยมองไปยังทีวีจอเล็กที่กำลังฉายข่าวบ่ายไปเงียบๆ

ข่าวยังกล่าวถึงเรื่องเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซา การเมืองน่าเบื่อ เรื่องทะเลาะ อุบัติเหตุทั่วไปเหมือนเดิม ขณะฟังข่าวเพลินๆ ดวงตาที่หรี่ปรือจวนจะหลับอีกรอบกลับเบิกกว้าง เมื่อได้ยินถึงประโยคที่พิธีกรคนสวยในทีวีบอกถึงวันเวลาของวันนี้เข้า

‘ต่อไปเป็นข่าวบันเทิงของวันนี้นะคะ ช่วงเช้าของวันที่ 8 เดือนสิงหาคม พ.ศ. 25xx กลุ่มนักร้องชื่อดังอย่างวง You Are ได้แถลงข่าวเตรียมออกอัลบั้มใหม่ตอนรับทัวร์คอนเสิร์ตที่จะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่...’

“เล็กหมูเปื่อยได้แล้วครับ...”

ทิวายังไม่หันไปมองก๋วยเตี๋ยวที่สั่งเสียด้วยซ้ำ แต่กลับจับแขนของพนักงานร้านแน่น จนพนักงานสะดุ้ง เอ่ยถามปากคอสั่น “พี่...วันนี้ วันที่เท่าไหร่นะ”

“วันที่ 8 สิงหาคมไงครับ”

“แล้วปี”

แม้จะสงสัยว่าลูกค้าคนนี้มันหลงวันหลงคืนมากไปหรือเปล่าที่จำไม่ได้แม้กระทั่งปี แต่ก็ไม่เป็นเรื่องยากอะไรที่จะตอบ จึงตอบกลับไป “ปี 25xx ไงพี่”

“...”

“พี่เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าซีดๆ นะพี่”

“ปะ...เปล่าครับ ขอบคุณครับ” ทิวาส่ายหน้าหวือ ทำเหมือนไม่มีอะไรฉีกยิ้มที่แทบไม่มีความเป็นธรรมชาติเป็นเชิงไล่ในที เพื่อไม่ให้พนักงานนึกสงสัยจนถามอะไรเขาอีก ทั้งที่ในใจของทิวาแทบบ้าและนึกอยากจะตะโกนออกมาว่านี่มันเรื่องเหี้ยอะไรวะเนี่ย!!

ไม่ว่าจะถามอีกกี่คนในร้าน ทุกคนก็ตอบเป็นปีเดียวกันกับที่ทิวาได้ยินจากในทีวีไม่มีผิด ซึ่งปีที่ว่าคือปีที่มากกว่าปีที่ทิวาเคยอยู่มากถึง 6 ปี!!

ทิวากลับมานั่งกินก๋วยเตี๋ยวอืดๆ ของตัวเองท่ามกลางสายตามองมาที่เขาเหมือนคนบ้า รสชาติอาหารในปากไม่ได้ซึมเข้าต่อมประสาทรับรู้ของทิวาเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เขาก็ยังยัดเข้าปากต่อเรื่อยๆ ทั้งเสียดายตังและตอนนี้ทิวาต้องการพลังงานเพื่อมาใช้คิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา แม้จะพยายามคิดในแง่ดีและวันนี้อาจจะเป็นวันโกหก มีคนเล่นตลกกับเขา ทว่าคนทั้งร้านจะมาโกหกเขากันทุกคนไปเพื่ออะไร แต่จะให้ทิวาคิดว่าตัวเองข้ามมาเหมือนนิยายมันก็ออกจะ...

เขาส่ายหน้าแล้วตบแก้มตัวเองแรงๆ หนึ่งทีจนทุกสายตาในร้านหันมามองอีกครั้ง บางคนถึงกลับเลื่อนเก้าอี้หนีเพราะกลัวว่าเขาจะเป็นคนบ้า แต่ตอนนี้ทิวาไม่มีอารมณ์มาสนใจอะไรแล้ว รีบกลืนเส้นก๋วยเตี๋ยวคำสุดท้ายแล้วควักเงินในกระเป๋าจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยวในร้าน พลางหยิบโทรศัพท์ที่ไม่ได้หยิบขึ้นมาเช็กเลยตั้งแต่ตื่น ก็พบว่ามันแจ้งวันเวลาเดียวกัน ทว่าบนหน้าจอของเขาที่เคยตั้งเป็นรูปวงวีอาร์กลับหายไป!!

“เฮ้ย! ใครมาเปลี่ยนวะ” นิ้วของทิวาเลื่อนไปยังอัลบั้มรูปในโทรศัพท์แล้วรีบไล่หารูปวีอาร์ที่ตัวเองเซฟเอาไว้ แต่กลับไม่เจอแม้แต่รูปเดียว ทว่ายิ่งรื้อตามอัลบั้มใบหน้าของทิวาก็ยังยิ่งไร้สีเลือดไปเรื่อยๆ

รูปของเขา...รูปที่เขาถ่ายกับเพื่อนของเขา ไม่มีเลยสักรูป

ทุกรูปหายไปราวกับไม่มีจริง นอกจากรูปวิว หมาแมวที่เคยถ่ายเก็บเอาไว้ นอกจากนั้นแล้วไม่มีรูปอะไรที่เกี่ยวกับเขาหรือคนรอบตัวเขาเลยแม้แต่คนเดียว

หมายความว่ายังไง

ที่นี่ก็ยังเป็นเมืองไทยที่ร้อนนรกแตกเหมือนเดิม รถเมล์ห่วย รถไฟฟ้าแย่ ของราคาแพงเหมือนเดิม

แต่ทำไมเหมือนมีแต่เขาที่แตกต่างออกไป

คล้ายกับว่าในโลกใบนี้ไม่มีเขาอยู่ตั้งแต่แรก

ความรู้สึกคลื่นไส้ตีตื้นขึ้นมาจากกลางอกจนทิวาต้องลูบให้มันย้อนกลับไป ในหัวหมุนเร็วจี๋เหมือนมีลูกข่างเป็นพันลูกวิ่งวนในนั้น แต่กลับคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง ทันทีที่คิดว่าตัวเองอาจจะไม่มีตัวตนบนโลกใบนี้ เขาก็เกิดกลัวขึ้นมาว่าถ้าหากเป็นเช่นนั้น แล้วเขาในตอนนี้คือใครกันแน่

เขายังใช่ทิวา ยังใช่ไอ้เดย์ของเพื่อนๆ คือทิวาลูกรักของแม่หรือเปล่า

ดวงตาของทิวาร้อนจัดแข่งกับอากาศด้านนอก แต่แสนเลือนรางเพราะน้ำตาที่กำลังไหลอาบแก้ม นิ้วมือที่ยังสั่นไม่เลิกไล่หารายชื่อในโทรศัพท์ตัวเอง กดโทรหาทีละคน ทีละคน แต่ราวกับฟ้ากลั่นแกล้ง ถ้าหากไม่เป็นเบอร์ที่ยังไม่เปิดใช้งาน ก็ไม่มีใครรับสาย

พ่อ แม่ ลุงของเขา พี่รหัส ปัณ โรม ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่รับสายเขา

จนกระทั่งมาถึงชื่อสุดท้ายที่กลายเป็นความหวังเดียวของเขาแล้ว

“เดือนอ้าย ขอร้อง...รับสิรับ”

เสียงรอสายยาวนานจนแทบขาดใจ แต่สุดท้ายก็มีเสียงสะท้อนกลับมาในท้ายที่สุด

“เดือนอ้าย!!”

[...]

“เดือนอ้าย นี่เดย์...นี่ทิวาเอง!”

[ทิวา?]

“ใช่ ทิวา...”

[ใครเหรอครับ?]

“...”

ปลายสายยังร้องเรียกเขาอยู่พักใหญ่ แต่ทุกคำถามกลับเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการได้ยินทั้งนั้น ทิวาทรุดตัวนั่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์ร้างผู้คน ปล่อยให้โทรศัพท์มีเสียงก่อกวนที่ไม่สามารถดังเข้าไปในหูของเขาจนสายตัดไปเอง เขาค่อยๆ ขดตัวกอดเข่าแล้วร้องไห้ออกมาเสียงดัง ไม่สนใจว่าใครจะมองยังไง ไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว

ความกลัว ความไม่รู้ ความสับสนรุมโถมเข้าหาเขาในทีเดียวจนทิวาไม่รู้แล้วว่าต้องทำยังไงต่อไปดี

เขาอยากให้นี่เป็นเพียงฝันร้าย เหมือนที่ครั้งหนึ่งเขาเคยฝันว่าแม่ตาย แต่ในที่สุดเขาก็ตื่นแล้วพบว่าแม่ยังอยู่เหมือนเดิม เป็นแค่ฝันร้ายที่สักวันหนึ่งเขาจะต้องตื่นขึ้นมาพบว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม

เขายังมีตัวตนบนโลกใบนี้

ทิวานั่งร้องไห้อยู่แบบนั้นโดยไม่รู้เวลากระทั่งเผลอหลับไป จนเมื่อสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกที จากฟ้าสีส้มก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท มีเพียงแสงไฟรำไรจากเกาะกลางถนนที่แทบไม่ได้ช่วยให้พื้นที่ตรงนี้สว่างขึ้นสักเท่าไหร่เลย ทิวาตรวจดูข้าวของตัวเองเป็นอันดับแรก ก่อนจะโล่งใจเมื่อข้าวของที่มีแค่ไม่กี่อย่างยังอยู่ครบ อาจเพราะท่าทางบ้าๆ บอๆ ที่เขาแสดงออก คนที่เดินผ่านไปมาคงคิดว่าเขาเป็นคนเสียสติคนหนึ่ง จึงไม่มีใครมาค้นของแล้วขโมยไป

เขาปาดคราบน้ำตาที่เลอะเต็มหน้าแล้วถอนหายใจออกมาแรงๆ พลางคิดว่าต่อจากนี้จะเอายังไงต่อไปดี จะนอนที่ไหน จะทำยังไงต่อไป...

หากนี่เป็นโลกหนึ่งจริงๆ และเขาไม่อาจกลับไปได้ สิ่งเดียวที่ทิวาจะทำได้ก็คือมีชีวิตต่อไป

ปัญหาก็คือ ‘ตัวตน’ ของเขาในโลกนี้คือใคร เขายังไม่รู้เลย

ขณะนั้นเองก็มีรถเมล์สายที่รู้จักกำลังขับตรงมายังป้ายที่เขานั่งอยู่ จำได้ว่าสายนี้จะเป็นสายที่ผ่านหน้ามหาลัยและหอพักของเขา คนที่ลงป้ายนี้เยอะพอสมควร จึงทำให้รถต้องจอดนานกว่าปกติ นานพอให้ทิวาได้สังเกตเห็นป้ายโฆษณาที่ติดอยู่บนรถเมล์คันนี้เต็มตา เมื่อกวาดสายตามองจนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทิวาก็ลุกพรวดพราดขึ้นจากที่นั่งแล้วรีบก้าวเข้าไปอยู่ข้างรถเมล์ มองภาพ ‘คน’ บนนั้นทั้งน้ำตา

นั่นคือคนที่เขาไม่คิดว่าจะเจอ

บนป้ายโฆษณาที่ติดอยู่ข้างรถเมล์คือโฆษณาน้ำอัดลมยี่ห้อหนึ่ง มีกลุ่มชายหนุ่มสี่ถึงห้าคนกำลังแสดงท่าทางที่แตกต่างกันไปทั้งเล่นกีต้าร์ เบส กลอง คีย์บอร์ดและกำลังร้องเพลง โดยที่มือของทุกคนมีเครื่องดื่มนั้นอยู่ในมือ มันก็แค่โฆษณาทั่วไปที่ทิวาเห็นบ่อยๆ หากแต่บุคคลที่อยู่ในตำแหน่งมือกีต้าร์นั่นต่างหากที่ทำให้ทิวาต้องร้องไห้ออกมา

“คุณ!! จะขึ้นไหมครับ รถจะออกแล้วนะ”

“ข...ขึ้นครับ!! รอด้วยครับ”

ผู้ชายหน้านิ่งที่ก้มหน้าก้มตาเล่นกีต้าร์คนนั้นคือมาวิน

ผู้ชายที่เขาหลงรักคนนั้น

ทิวาขึ้นไปนั่งข้างผู้หญิงคนหนึ่งบนรถเมล์ เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อย เขาก็เตรียมที่จะค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับมาวินคนนี้ แต่ดันเหลือบไปสังเกตเห็นโปสเตอร์ในมือของผู้หญิงคนข้างๆ เข้าเสียก่อน ซึ่งในนั้นก็มีภาพของมาวินเช่นกัน เขาจึงอดยื่นหน้าไปดูไม่ได้ จนทำให้หญิงสาวเจ้าของโปสเตอร์ตกใจจนเกือบจะร้องออกมา

“ขอ...ขอโทษครับ! คือผมตื่นเต้นไปหน่อย ขอถามได้ไหมครับว่าได้มาจากไหน” ว่าแล้วก็ชี้ไปที่โปสเตอร์ขนาดเอสี่อันนั้น ท่ามกลางสายตาหวาดระแวงของหญิงสาวคนดังกล่าว แต่ยังยอมตอบเสียงอ้อมแอ้ม

“ได้มาจากกิจกรรมเครื่องดื่มที่ยูอาร์เป็นพรีเซนเตอร์ค่ะ”

“ไอ้ที่โฆษณาที่รถนี่ใช่ไหมครับ”

“ใช่ค่ะ”

“แล้วที่ว่าคอนเสิร์ตนี่คือ...” ทิวาว่าพลางชี้ไปที่วันเวลาที่อยู่มุมด้านล่างโปสเตอร์ โดยที่หญิงสาวข้างๆ มองตามแล้วยิ้มกว้าง ในแววตาและรอยยิ้มเจือไปด้วยความตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด ทิวารู้จักรอยยิ้มนั้นดี เหมือนกับตอนที่เขามองวงวีอาร์ของเขาเลย

“วันนี้ยูอาร์มีแสดงสดค่ะที่มหาลัย I นี่ฉันก็จะไปดูนี่แหละ พอดีได้บัตรฟรีมาจากเล่นกิจกรรม นานๆ ทีวงยูอาร์จะจัดแสดงนะคะ ปกติแล้วไม่ค่อยแสดงในงานแบบนี้หรอกค่ะ เลยไม่อยากพลาด”

“ต้องมีบัตรด้วยเหรอครับ” ทิวาถามเสียงอ่อย ถ้าต้องมีบัตรจริง เขาก็เข้าไม่ได้สิ เพราะเขาไม่มี

“เป็นแฟนคลับยูอาร์หรือคะ”

ทิวาลังเลอยู่นิดหน่อย แต่ก็ยอมพยักหน้า เขาไม่รู้จักยูอาร์อะไรนี่หรอก แต่คนที่เขาอยากเจอกลับเป็นมือกีต้าร์เสียนี่ ทำไงได้ ก็ต้องรับสมอ้างล่ะนะ “ครับ แต่คงไม่ทันแล้ว”

“...ถ้าเป็นแฟนคลับจริงๆ ก็พอจะช่วยได้ค่ะ”

“ครับ?”

“ความจริงฉันมีบัตรสองใบค่ะ”

“...”

หญิงสาวแปลกหน้ายิ้มแล้วชูบัตรร่วมงานแสดงดังกล่าวขึ้นมาให้ทิวาดู ก่อนจะยื่นให้เขาหนึ่งใบ “สัญญานะคะว่าจะไม่เอาไปขายต่อ ตอนแรกฉันกะว่าจะเก็บเอาไว้หนึ่งใบ แต่ถ้าเป็นแฟนยูอาร์เหมือนกัน จะยกให้ฟรีๆ ก็ได้”

“ให้ผมจริงๆ หรือครับ”

“จริงสิคะ ต้องไปดูจริงๆ นะ”

“ไปครับ ไปๆๆ” ทิวารับมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง มองบัตรในมือราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า แล้วละล่ำละลั่กขอบคุณหญิงสาวใจดีข้างๆ แทบไม่ทัน “ขอบคุณครับ”

“ยินดีค่ะ งั้นเดี๋ยวเราเข้างานไปพร้อมกันก็ได้ เดี๋ยวฉันพาไปเองค่ะ”

“ผมถามชื่อคุณได้ไหม ผมชื่อเดย์ครับ”

เธอเก็บโปสเตอร์เข้ากระเป๋าผ้าที่สะพายมาแล้วหันมาตอบทิวาพร้อมรอยยิ้มสดใสที่เหมือนมีพระอาทิตย์ประดับอยู่ใบหน้าของเธอตลอดเวลานั่น “ชื่อรินค่ะ”

“...”

“ยินดีที่รู้จักเพื่อนใหม่นะคะ เดย์”









แต่ยังมีเธออยู่

เธอที่กลายเป็นความหวังเดียวของฉันในตอนนี้






(โปรดติดตามตอนต่อไป)

---------------------------------------------------------------------------------------

fact about ทิวา

ทิวาเป็นเด็กขี้กลัว แต่ไม่ค่อยอยากให้ใครรู้เลยชอบทำเป็นนิ่งๆ เวลากลัว

แต่จริงๆ แล้วในใจร้องไห้ไปแล้ว เลยชอบอยู่ติดกับคนรู้จักอยู่ตลอด เพื่อลดความกลัว

NAVY
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 4 ★ 26/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: KarmaNavy ที่ 26-10-2019 22:51:46

ทั้งที่ไม่ใช่เธอคนนั้นแล้ว

ไม่ใช่เธอที่ทำให้ฉันหลงรักได้อย่างง่ายดายคนนั้นแล้ว












ตกหลุมรักระยะที่ 4

 






ใช้เวลาเพียงไม่นาน เขาและรินก็มาถึงมหาลัยได้ก่อนงานเริ่มราวๆ สองชั่วโมง ตอนแรกรินชวนให้เขาไปรวมตัวกับเพื่อนๆ ของเธอที่มารอที่งานอยู่แล้ว ทว่าทิวาเลือกที่จะปฏิเสธไปเพราะต้องการจะไปที่หอพักตัวเองก่อน แต่รับปากว่าจะไปหารินและเพื่อนๆ ให้ทันก่อนงานเริ่ม

“รีบมานะเดย์ เดี๋ยวไม่ทันยูอาร์ขึ้นแสดง”

ทิวาโบกมือไหวๆ ให้กับสาวน้อยแสนใจดีคนนั้นที่เขาได้พบและมอบน้ำใจให้เขาคนแรกของวันแย่ๆ เช่นนี้ ก่อนจะรีบวิ่งไปตามทางที่แสนคุ้นเคยเพื่อไปยังหอพัก เผื่อว่าจะเจอใครที่เขารู้จักบ้าง

ทว่าโลกนี้คล้ายกำหนดมาแล้วว่าเขาต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีก

“เขาทุบไปนานแล้วไอ้หนุ่ม”

ภาพที่เขาหวังคือหอพักในความทรงจำ หอพักที่เขาอาศัยอยู่มาถึงสามปี แต่ตอนนี้กลับเป็นพื้นที่ว่างๆ รอการก่อสร้างเป็นตึกอะไรสักอย่างที่เขาไม่สนใจจะฟังจากลุงยามที่ทำหน้าที่เดินยามแถวนั้น

“เอ็งมาหาใครหรือเปล่า”

“...หาเพื่อนครับ”

“เพื่อนเอ็งลืมบอกที่อยู่ใหม่ให้เอ็งหรือเปล่า เพราะไอ้หอตรงนี้เนี้ยเขาทุบตั้งแต่สี่ซ้าห้าปีก่อนแล้ว”

ทิวาชี้ตำแหน่งว่างๆ ตรงบริเวณที่เขาเดาว่ามันคือศาลประจำหอพักเก่าแล้วถาม “ศาลด้วยเหรอครับ”

“ใช่ๆ มันหักตอนช่วงที่เขากำลังรื้อพอดี มหาลัยเขาเลยรื้อแล้วเชิญท่านไปที่อื่นแทน”

แม้จะสงสัยว่าศาลพระภูมิเขาเชิญไปอยู่ที่อื่นได้ด้วยเหรอวะ แต่เพราะยังอึ้งๆ เรื่องหอโดนทุบมากกว่า ทิวาเลยไม่ได้ถามอะไรอีก ลุงยามจึงเดินหายไป ทิ้งให้เขายืนอยู่ตรงนั้น มองพื้นที่ว่างโล่งที่เคยเป็นหอพักด้วยความเศร้าใจ

ขนาดที่เขาเคยอยู่ยังโดนลบทิ้ง โลกนี้จะปฏิเสธการมีอยู่ของเขาไปถึงไหน

อีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็จะถึงเวลาขึ้นแสดงของวงยูอาร์อะไรนั่นแล้ว แต่ทิวากลับไม่อยากไปดูเสียแล้ว ตอนที่มาถึงเขายังพอมีความหวังอยู่บ้าง แต่พอมาเจอเรื่องน่าผิดหวังเช่นนี้ติดต่อกัน เขาก็อดคิดไม่ได้ว่า การที่จะไปพบกับมาวินที่ตอนนี้กลายเป็นนักร้องชื่อดังไปแล้ว มันจะช่วยอะไรหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรือไง

ดีไม่ดี เขาคงได้ร้องไห้โฮแน่ๆ หากพบว่ามาวินเองก็เป็นเช่นคนอื่นที่จำไม่ได้และไม่รู้จักเขา

ทิวาทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นอย่างไม่กลัวสกปรก มองแบตเตอรี่ที่แสดงบนหน้าจอโทรศัพท์ที่จวนเจียนจะหมด ฟังเสียงดนตรีจากลานกิจกรรมที่ดังแว่วมายังที่เขากำลังนั่งอยู่ ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความเหนื่อยล้าโดยไม่คิดจะขยับเขยื้อน

ในตอนนั้นเอง ฝีเท้าคู่หนึ่งพลันชะงักดังขึ้นจากด้านหลังของทิวา จนทิวานึกขอโทษคนๆ นั้นอยู่ในใจ บางทีคนคนนั้นอาจจะตกใจนึกว่าเขาเป็นผีละมั้ง แหงล่ะ มานั่งอยู่คนเดียวดึกดื่นตรงที่มืดๆ เนื้อตัวก็มอมแมม ถ้าแถวนี้แสงไฟน้อยกว่านี้อีกสักดวงสองดวง เขาคงกลายเป็นเรื่องเล่าตำนานผีหลอกของที่ดินหอพักในเก่าไปแล้ว

ทิวาลุกขึ้นยืนแล้วปัดเศษฝุ่นตามเนื้อตัว พูดออกไปเสียงเก้อเขิน “ขอโทษครับ ทำให้ตกใจใช่ไหม...”

“...”

ไม่มีเสียงตอบรับอะไรกลับมาจนทิวาเริ่มนึกสงสัยว่า ไม่ใช่ว่าเขากำลังเจอดีเสียเองหรอกหรือ พอคิดแบบนั้นสารพัดเรื่องเล่าของมหาลัยตามที่ต่างๆ ที่เดือนอ้ายเคยเล่าให้ฟังก็ผุดขึ้นหลอกหลอนในสมองจนทิวาอดขนลุกไม่ได้ แม้จะพยายามปลอบใจตัวเองว่าไม่ใช่ผีหรอก แต่นอกจากเขาที่มาตรงนี้เพราะเหตุผลส่วนตัวกับลุงยามที่เดินตรวจตราพื้นที่ในมหาลัย มันจะมีใครอีกที่เลือกจะเดินผ่านตรงหอพักเก่าที่เป็นเพียงพื้นที่โล่งแบบนี้กัน ถ้าไม่ใช่...

“ไม่ใช่ผี”

ผี

อ้าว...

“...”

“ทำไมไม่เงยหน้าขึ้นมอง” อีกคนว่า

“ก็...กลัวเป็นผี”

แม้จะไม่ได้เงยหน้าขึ้น แต่เสียงถอนหายใจก็มากพอแล้วที่จะทำให้ทิวารู้ว่า เจ้าของเสียงนั้นมีสีหน้าแบบไหน “ถ้าเป็นผีจะทักขึ้นมาทำไมให้คนจับได้ สู้เดินไปนั่งข้างๆ แล้วค่อยสะกิดไม่ดีกว่าหรือไง”

“...”

“เหมือนที่คนนั้นกำลังทำอยู่...”

“เหี้ย! จริงปะ!!! เชี่ยยยยย” ไม่รอให้อีกคนพูดจบ ทิวาก็รีบเงยหน้าโกยอ้าวเข้าไปหาเจ้าของน้ำเสียงนิ่งๆ นั่นแบบไม่สนใจแล้วว่าอีกคนจะเป็นคนหรือผี ทิวาตรงเข้าไปเกาะอยู่ด้านหลังของอีกคนแล้วมองไปยังพื้นที่ที่ตัวเองอยู่อย่างหวาดระแวง เมื่อพบว่ามันว่างเปล่าก็ค่อยๆ ปล่อยมือที่เกาะชายเสื้อของอีกคน แต่ยังเหลือเอาไว้ข้างหนึ่ง ในกรณีที่เกิดมันมีอะไรเกิดขึ้นมาจริงๆ เขาจะได้ไม่ต้องเผชิญไปคนเดียว

“ละ...หลอกกันนี่!!”

“ไม่หลอกมึงจะวิ่งมาไหมละ”

“พูดกันดีๆ ก็ได้...”

“แล้ววิ่งมาเนี่ย มั่นใจแค่ไหนวะว่าจะไม่โดนหลอกซ้ำ”

“ไม่หรอก...ใช่ไหม” เสียงติดจะขำนั่นทำให้ทิวามั่นใจขึ้นอีกหลายเท่าว่าคนที่เขากำลังยืนหลบและใช้อีกคนแทนเกราะป้องกันผีนี้เป็นคนจริงๆ ไม่ใช่สิ่งลี้ลับมาแสดงแทน ครั้นตอนที่เงยหน้าหมายจะสบตากับอีกคน น้ำเสียงที่กำลังเอื้อนเอ่ยพลันแผ่วลงจนหายไปในลำคอ เมื่อพบว่าคนคนนี้คือคนที่เขาตั้งใจมาหา

“มองหน้าทำไมนัก เหมือนผีหรือไง”

“...”

มาวิน

‘มองเหี้ยอะไร’

จะเจอกันอีกกี่ครั้ง คำพูดคำจาก็ไม่เคยจะน่าจดจำเอาเสียเลย

แต่ทว่า

“ร้องไห้ทำไม”

มันกลับทำให้เขาอดร้องไห้ออกมาไม่ได้

“...” ทิวาส่ายหน้าจนผมปลิวสะบัดเหมือนลูกหมาสะบัดขน พยายามที่จะขยับออกและปาดน้ำตาที่วันนี้ไม่รู้ร้องไห้ไปกี่ครั้งแล้ว ไม่ต้องพูดคุยหรือพยายามบอกชื่อของเขา แค่สายตาที่อีกคนมองมาเขาก็รู้แล้วว่ามาวินคนนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับเพื่อนคนอื่นๆ ของเขา นั่นคือไม่รู้จักเขาเช่นเดียวกัน

สุดท้ายการดั้นด้นมาถึงที่นี่ก็ไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง

“ทำไมไม่ตอบ เป็นใบกระทันหันหรือไง”

“ไม่ได้...เป็นใบ้สักหน่อย!” คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นใบ้ กลั้นก้อนสะอื้นตอบกลับด้วยเสียงอันดัง เรียกให้อีกคนหลุดยิ้มด้วยความเอ็นดู แม้จะเป็นเพียงชั่ววินาทีสั้นๆ ก็ตาม

“เออ ก็พูดได้นี่ แล้วร้องไห้ทำไม”

“ยุ่ง”

“จะด่าว่าเสือกก็ได้นะ”

“เสือก”

“สัส รู้จักว่าคำว่าประชดป่ะ” ทิวาแอบหลุดหัวเราะออกมานิดหน่อยกับสีหน้าขัดใจของคนตรงหน้า น้ำตาเริ่มแห้งแล้ว นั่นทำให้เขามองเห็นใบหน้าของมาวินได้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม มาวินคนนี้ต่างจากมาวินที่เขารู้จักทั้งนิสัยและรูปร่างหน้าตา วันเวลาหกปีคนหล่อหลอมและเปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่าง อีกคนสูงขึ้นจนสูงมากกว่าเขาไปแล้ว ไหนจะน้ำเสียงที่ทุ้มลง การแสดงออกทั้งหมด ไม่มีส่วนไหนที่เหมือนมาวินคนนั้นที่เขาชอบเลย

หากจะมีอะไรที่เหมือนเดิม ก็คงเป็นคำพูดละมั้ง

ยังชอบพูดกวนๆ เอาแต่ใจไม่เปลี่ยน

“แล้วสรุปเป็นอะไร จะตอบได้หรือยัง”

“ก็บอกไปแล้วว่ายุ่ง!”

“งั้นมาทำอะไรที่นี่”

“ไม่ตอบ”

“...” คิ้วเรียวของมาวินขมวดเข้าหากันเป็นปม บ่งบอกว่าเจ้าตัวเริ่มหงุดหงิดแล้ว แต่ก่อนที่ทิวาจะได้พูดอะไรออกไป มือของอีกคนก็โผล่มาอยู่ตรงหน้าและดีดหน้าผากของเขาไปหนึ่งทีเสียแล้ว

เขารู้แล้วมีอีกอย่างที่มาวินไม่เปลี่ยน

อีกคนยังดีดหน้าผากได้เจ็บเหมือนเดิม ไอ้ชิบหาย! เจ็บว้อย

“เจ็บนะเว้ย! ดีดมาได้”

“รำคาญ จะตอบก็ไม่ตอบ ลีลา”

“แล้วมึงอะ มาทำไร ล่าท้าผีหรือไง เวทงเวทีทำไมไม่ไปขึ้นแสดง” ทิวาบ่นเสียงดังพลางลูบหน้าผากที่โดนดีดจนชาไปทั้งหน้าผาก เดาได้เลยว่าต้องแดงมากแน่ๆ ไม่งั้นไอ้คนตรงหน้ามันคงไม่ดูอารมณ์ดีขึ้นอย่างนี้หรอก พอเขาพูดถึงเรื่องเวทีก็ราวกับมาวินเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ อีกคนก้มมองนาฬิกาเรือนหรูที่ข้อมือ หลังยึกยักอยู่สองสามที ก็ตัดสินใจก้าวเท้าเพื่อวิ่งกลับไปยังโวนลานกิจกรรมเพื่อขึ้นเวทีอย่างที่ควรจะเป็น

ใช่ มันควรจะเป็นแบบนั้น แต่ไม่รู้ทำไม

“แล้วมึงจะลากกูมาทำไมเนี่ย!!”

“เออน่า วิ่งตามมาเงียบๆ”

แม้จะไม่เข้าใจ แต่เอาจริงๆ ทิวาก็ไม่มีที่ที่อยากไปอีกแล้ว จึงยอมวิ่งเหยาะแหยะตามหลังมาวินไปเงียบๆ ดูจากเส้นทางที่อีกคนกำลังวิ่งอยู่นั้นก็พอจะรู้เจตนาว่ากำลังหาทางอ้อมเพื่อจะไปหลังเวทีให้เร็วที่สุด โดยไม่โดนแฟนคลับหรือใครจับได้ แต่ดูจากการเดินวนไปวนมาในตอนนี้แล้ว ดูท่าทางแล้วกว่าจะไปถึงเวทีก็คงไม่ทันขึ้นแสดงหรอก

“วิน” เขาเรียก “มาคอยเดินตามกูนี่ มัวแต่วนไปวนมาเมื่อไหร่จะถึงเวที”

แม้จะไม่ชอบใจนัก แต่ไม่รู้ทำไมมาวินถึงได้เดินตามไปอยู่ด้านหลังอีกคนอย่างว่าง่าย ถึงปากจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นก็เถอะ “รู้ทางหรือไง”

“เออ ก็รู้ดีกว่ามึงอะ”

“ให้มันจริง”

ทิวายักไหล่ ไม่พูดมากอีกให้เสียเวลา เขารีบพาอีกคนเดินอ้อมตึกคณะทันตะเพื่อไปยังด้านหลังของหอสมุดกลาง ก่อนจะใช้ทางพิเศษเล็กๆ ที่แม่บ้านประจำหอสมุดจะใช้เดินเข้าเดินออกประตูเล็ก พาคนตัวสูงไปยังหลังเวทีได้ในที่สุด ทิวาหันไปเชิดหน้า พลางชี้ไปยังกลุ่มคนที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมงานแสดงใส่มาวินที่ไม่มีแม้แต่คำขอบคุณให้เขา ทั้งยังทิ้งให้เขายืนงงๆ อยู่ท่ามกลางทีมงานทั้งหลายโดยไม่บอกกล่าวอะไรเลย

“ทำไมโตแล้วนิสัยน่าเตะขึ้นอย่างนี้วะ...” พูดออกมาแล้วทิวาก็ได้แต่ถอนหายใจ ทำอย่างกับตัวเองรู้จักอีกคนในตอนนั้นดีนักนี่ เจอกันแค่สามวันก็ใจง่ายไปชอบเขาแล้ว ยังไม่ทันจะได้รู้อะไรสักอย่าง ประโยคที่เพิ่งพูดไปเรียกได้ว่าคนอย่างเขาไม่มีสิทธิจะพูดเลยจริงๆ

อีกไม่ถึงสิบนาทียูอาร์จะขึ้นแสดงแล้วและทิวาก็คิดว่าตัวเองไม่ควรอยู่ตรงหลังเวทีนานนัก ยูอาร์ไม่ใช่แค่วงดนตรีกิ๊กก๊อก ดูจากข่าวเมื่อเช้าที่เขาได้ฟัง ก็พอจะเดาได้ถึงระดับความนิยมของทั้งวงว่ามากแค่ไหน ดังนั้นเขาจึงฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนกำลังเช็กอุปกรณ์ทั้งหลายเป็นรอบสุดท้าย เตรียมจะแอบหนีกลับไปยังหน้าเวที เพื่อไปหารินอย่างที่รับปากเอาไว้ แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวเท้าสักข้าง ทั้งน้ำเสียงและแรงที่รั้งคอเสื้อของเขาก็ดันเกิดขึ้นขัดขวางเขาเอาไว้เสียก่อน

“จะไปไหน”

ทิวาเงยหน้ามองมาวินที่โดนจับแต่งหน้าทำผมแบบลวกๆ แต่ก็ยังหล่อมากอยู่ดี ก่อนหลบตา เพื่อไม่ให้อีกคนรับรู้ถึงความรู้สึกของเขาที่สะท้อนในตาของตัวเอง ตอบอ้อมแอ้มพลางสะบัดตัวเองหวังจะให้หลุดออกจากการกักขังของมาวิน “จะไปหน้าเวทีไง ถามโง่ๆ”

“ไปทำไม ดูหลังเวทีก็ได้”

“คือกูไม่ใช่ทีมงานไหมล่ะ...”

“พี่เต้!” ไม่รอให้เขาพูดจบ มาวินก็ตะโกนลั่น จนเจ้าของชื่อจำต้องเงยหน้าจากที่กำลังคุยกับทีมงานคนอื่น มองตรงมายังมาวินและเขาแทน “จำได้ว่าพี่กำลังหาผู้ช่วยแทนพี่แป๋มที่ลาคลอดใช่ไหมครับ”

“เออ ทำไม ได้ผู้ช่วยผู้จัดการคนใหม่แล้วหรือไง”

“ได้แล้วครับ”

“มึงจะทำอะไร...” ไม่ทันได้ถามจบประโยค (อีกแล้ว) ทิวาก็โดนอีกคนออกแรงกระชากจนไปยืนอยู่ด้านหน้าของมาวิน เผยสีหน้าเหลอหลาท่ามกลางสายตานับสิบคู่ที่มองมาด้วยความสงสัยว่า มาวินไปจับไอ้เด็กมอมแมมนี่จากถังขยะไหนมากัน

“นี่เพื่อนผมเอง ชื่อ...ชื่ออะไรวะ” ท้ายเสียงเบาลงนิดหน่อย ทั้งยังออกแรงเขย่าแขนให้เขาตอบและให้ความร่วมมือแต่โดยดี แต่ทิวาอยากบอกอีกคนเหลือเกินว่าจะทำอะไรช่วยปรึกษากันบ้างไม่ได้หรือไงวะ ทว่า (โดนบังคับ) ขึ้นหลังเสือแล้ว ไอ้ครั้นจะหนีลงกลางคันก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะงั้นจึงได้แต่กระซิบชื่อตัวเองให้อีกคนได้ยินเบาๆ “ชื่อทิวา...เดย์”

เพราะกำลังเหนื่อยใจกับคนเอาแต่ใจ ทิวาจึงไม่ทันสังเกตว่าตอนที่เขาบอกชื่อ มาวินชะงักไปครู่หนึ่ง แต่พอเขาเงยหน้ามองหน้าอีกคน มาวินก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกินขึ้นและหันไปตอบพี่ทีมงานคนนั้นแล้ว

“ชื่อทิวา ชื่อเล่นเดย์ครับ ให้มันมาคอยดูแลผมจนกว่าจะหาคนใหม่ก็ได้ครับพี่”

“เราคุยกับเพื่อนเราคนอื่นแล้วหรือไง”

“ถ้าผมโอเค พวกมันก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ”

“มันก็จริง” พี่เต้อะไรนั่นยอมรับเขาง่ายเสียจนทิวาแอบท้อใจ ไม่คัดค้านสักหน่อยหรือไงวะ ไม่กลัวเขาเป็นแอนตี้แฟนมาวางยาพวกบ้านี่บ้างเหรอ “ตามใจแล้วกัน เพราะยังไงเขาก็ต้องตามดูแลพวกแก”

“ขอบคุณครับ”

“ไปๆ เตรียมขึ้นเวทีได้แล้วไป ให้เพื่อนแกยืนดีๆ ได้แล้ว ไปดึงคอเสื้อแบบนั้น เพื่อนแกหายใจไม่ออกตายพอดี” มาวินพยักหน้าและยอมปล่อยคอเสื้อของเขาแต่โดยดี ทว่าก็ยังไม่ได้ขึ้นเวทีไปสักที จนทิวาได้แต่สงสัยว่ามันจะมายืนจ้องหน้าเขาทำไมวะ มีเลขหวยผุดขึ้นมาหรือไง

“มองทำไม”

“...”

“วิน เขาเรียกมึงไปขึ้นเวทีแล้ว”

“ทิวา”

“เออ ว่า?”

“ทิวา”

“อะไรวะ”

“...”

“เรียกชื่ออยู่นั่นแหละ มีอะไรก็พูด...” เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ที่เสียงของเขาคล้ายจะถูกดูดหายไปในลำคอกระทันหันกับการกระทำที่ไม่อาจคาดเดาได้จากคนตรงหน้า แต่ตั้งแต่เจอกันในโลกเพี้ยนนี่ๆ ทิวาได้แต่ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า การกระทำของมาวินที่กำลังทำต่อเขาในตอนนี้ ทำให้เขาตกใจมากที่สุด

เพราะจู่ๆ อีกคนก็ดึงเขาไปกอด...และกอดแน่นมากซะด้วย

เสียงหายใจไม่เป็นจังหวะทำเอาทิวาเกิดห่วงขึ้นมา แต่ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรออกไป อีกคนก็ผละออกจากตัวเขาออกไปเสียก่อน ทั้งยังรีบวิ่งขึ้นเวทีไปราวกับไม่ต้องการเปิดโอกาสให้เขาได้ถามถึงการกระทำไร้ที่มาที่เพิ่งทำไปแม้แต่คำเดียว

แม้จะสงสัยแค่ไหน แต่คำพูดของพิธีกรประจำงานกลับดังขึ้นเรียกความสนใจของทิวาให้ไปอยู่ที่เวทีแทน เขาเดินออกจากหลังเวที เดินจนกระทั่งสามารถเห็นวงยูอาร์ที่มีแฟนคลับล้นหลามพากันมาหาได้ครบทุกคน รวมไปถึงเจ้าคนที่กำลังตีหน้านิ่งเกากีต้าร์ของตัวเองด้วย

ทำไมมันหล่อจังวะ เขาก็ว่าเขาก็หน้าตาดีในระดับหนึ่งนะ แต่พอเจอมันก็ยอมแพ้อะ ไม่สู้

ราวกับรับรู้ว่าเขากำลังมองอยู่ คนที่ก้มหน้าก้มตาไม่สนโลกพลันเงยหน้าขึ้นมาทางเขา ตอนที่เขากำลังสงสัยว่าอีกคนคิดจะทำอะไรพิเรนทร์หรือเปล่า ก็โดนมาวินแลบลิ้นใส่หนึ่งทีแล้วกลับไปก้มหน้าเหมือนเดิมทำให้งงแทน ท่ามกลางเสียงกรี๊ดกร๊าดของแฟนคลับสาวๆ ที่เห็นฉากนั้นโดยบังเอิญ

“มึงง พี่วินแลบลิ้น น่ารักก”

“เขาทำใส่ใครวะ แม่ง โคตรน่าอิจฉา”

น่าอิจฉาตรงไหน (วะ) ครับ

ไม่นานเสียงกลองและเครื่องดนตรีอื่นดังกระหึ่ม จนเหมือนทิวาได้ย้อนไปยังตอนที่เขาได้ยืนอยู่หน้าเวทียืนดูวงโปรดของเขาแสดงไม่มีผิด หากแต่ตอนนี้บนเวทีไม่ใช่วีอาร์ ไม่มีพี่กั๊ปนักร้องคนโปรดของเขาหรือพี่ตูมตามคนโปรดของเดือนอ้าย เขาไม่สามารถร้องเพลงตามที่แฟนคลับคนอื่นร้องได้ ไม่สามารถอินไปกับบทเพลง เพราะเขาไม่รู้จักอะไรสักอย่างเกี่ยวกับวงดนตรีที่กำลังแสดงอยู่ตรงหน้านี่เลย

แม้กระทั่งคนที่เขารู้จักเพียงคนเดียวที่กำลังยืนเล่นกีต้าร์อยู่บนเวทีตอนนี้ ก็กลายเป็นเพียงคนแปลกหน้าอีกครั้ง ที่เขาต้องเริ่มต้นรู้จักใหม่อีกครั้ง ทั้งที่เขาไม่ต้องการเลยสักนิด

อยากกลับไปหาทุกคน อยากกลับไปฟังวีอาร์...และยืนข้างๆ มาวินคนนั้น ไม่ใช่ที่นี่

ราวกับตัวเขาสร้างขึ้นมาจากน้ำตาไม่มีผิด แตะนิดแตะหน่อยถึงเรื่องราวและสถานที่ที่จากมา น้ำตาก็พาลจะไหลออกมาเหมือนก๊อกรั่ว มันน่ารำคาญมากๆ แต่เขาก็ยังอยากร้องไห้ออกมา บอกตัวเองว่าร้องเสียให้พอ ร้องแค่วันนี้ แล้ววันพรุ่งนี้เขาจะกลับมาสู้และหาทางกลับไปยังที่ที่จากมาให้ได้

เพราะงั้นเขาเลยกลายเป็นอะไรที่แปลกแยกและแสนแตกต่างกับคนรอบตัว ในขณะที่ทุกคนกำลังร้องเพลงอย่างมีความสุข ทิวาก็อาศัยเสียงดังนั่นร้องไห้ออกมาสุดเสียงในมุมหนึ่งที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

มันควรจะเป็นแบบนั้น

แต่ว่า

“...และเพลงนี้ มือกีต้าร์ของเราขอแสดงเป็นพิเศษ ฝากบอกสำหรับใครคนที่กำลังร้องไห้... ไม่ต้องร้องแล้วนะครับ เดี๋ยวมาวินจะร้องเพลงให้ฟังแทน”

มันดันมีคนคนหนึ่งเห็น ราวกับจับตามองเขาอยู่ตลอดเวลา

ทิวาเงยหน้าเปรอะน้ำตาของตัวเองมองบนเวที เห็นมาวินเดินไปสลับที่กับนักร้องนำอยู่ท่ามกลางแสงสปอร์ตไลท์ดวงใหญ่ที่ยิ่งขับเน้นให้ใบหน้าที่ราวสวรรค์สร้างจนน่าอิจฉา เปล่งประกายจนไม่อาจละสายตาได้มากขึ้นไปอีก

“อันที่จริงมันไม่ใช่เพลงของวงเรา เพียงแต่...” พริบตาหนึ่งเขาแอบเห็นว่ามาวินหันมาหาเขา แต่อีกพริบตาอีกคนก็กลับมองตรงไปข้างหน้าเสียแล้ว ทิวาเลยไม่รู้ว่าที่เขาเห็น มันเป็นเพียงการเข้าข้างตัวเองหรือเปล่า “...ผมคิดว่าเพลงนี้ เหมาะกับค่ำคืนนี้ เหมาะกับใครบางคนที่ตอนนี้เอาแต่ร้องไห้...ผมอยากให้ฟังแล้วก็เลิกร้องไห้เสียที”

“...”

คราวนี้เขาไม่ได้คิดไปเองแล้วจริงๆ

เพราะตอนนี้...พวกเขากำลังสบตากันอยู่

เขาไม่ทันฟังหรอกว่าเพลงนี้มันเพลงของใคร อาจจะเป็นสักเพลงที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหกปีที่เขาไม่มีตัวตนอยู่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกคนร้องเพราะแค่ไหน สิ่งที่เขาทำก็คือมอง...แล้วก็มอง ยืนอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางกลุ่มคนที่โยกเอนไปมาตามจังหวะเพลง เขายืนโง่ๆ อยู่แบบนั้นจนเพลงจบ จนแฟนคลับทยอยจากไป จนเหลือแค่ลานกิจกรรมที่มีคนบางตาและใครคนหนึ่งที่มายืนอยู่ต่อหน้าเขา ด้วยสภาพรุงรังจนทิวาหลุดหัวเราะเพราะอึดอัดแทน

คนโดนหัวเราะคงจะหงุดหงิดน่าดู แต่ทำอะไรไม่ได้ นิ้วเรียวที่เพิ่งสร้างบทเพลงให้คนมากมายหลงใหลเกี่ยวมาสก์ปิดหน้าลงมาจนเห็นริมฝีปากขยับไปมาให้พอคลายความอึดอัดบ้าง

“ขำอะไร ไอ้เด็กขี้แย”

“เสือก”

“อะ อนุญาตให้ด่าเข้าหน่อย พูดใหญ่เลยนะ”

ทิวาตบปีกหมวกตรงหน้าจนมันปิดดวงตาของมาวินอย่างนึกสนุก “ทำไมไม่กลับไปพร้อมคนอื่น” ที่พูดแบบนี้เพราะเขาเห็นกลุ่มแฟนคลับวิ่งตามรถตู้คันใหญ่ออกไปจากมหาลัย ตอนแรกเขานึกว่าอีกคนก็อยู่ในนั้น จนมายืนอยู่ตรงหน้าเขาตัวเป็นๆ นี่แหละ ทิวาถึงได้รู้ว่าตัวเองคิดผิด

“ทิ้งเด็กหลงไว้คนหนึ่ง เพิ่งนึกได้เลยขอเขาลงมา”

“ใครเป็นเด็กหลงมิทราบ”

“แถวนี้แหละ” มาวินถอดหมวกออกแล้วใส่ให้กับทิวา แม้ว่าแรงจะไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าอ่อนโยนเลยสักนิด แต่การลูบหัวของเขาเบาๆ หลังจากนั้น กลับนุ่มนวลจนทิวานึกว่าคนละคนกับเสียด้วยซ้ำ “ไปได้แล้ว ยืนเอ๋ออยู่ได้”

“ไปไหน”

“กลับบ้านไง”

“...”

บ้าน

ที่นี่...เขามีที่ให้กลับไปด้วยเหรอ

“ต่อไปนี้ก็มาอยู่ด้วยกัน ว่าไงจะกลับไปด้วยกันไหม”

“อยู่ด้วยได้เหรอ...” ทิวาว่าเสียงอ่อย

“เออดิ ไม่ได้จะขอพี่เต้ให้มาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทำไม”

“มึงเอาอะไรมามั่นใจกับคนที่เพิ่งเจอกันวันเดียววะ”

“แล้วมึงจะทำให้กูผิดหวังปะล่ะ”

“...”

“ถ้าไม่ก็เดินได้แล้ว ง่วงนอนจะตาย” มาวินว่าพลางตบหัวเขาเบาๆ ออกเดินนำข้างหน้า จนรู้สึกว่าเขายังไม่เดินตามไปเสียที อีกคนเลยยื่นมือมาจับข้อมือแล้วลากให้เดินตามไป โดยที่เขาไม่ขัดขืน อันที่จริงก็ไม่มีความคิดงั้นเลย

ก็จริงที่มาวินคนนั้นไม่เหมือนมาวินคนนั้นที่เขาชอบ ไม่มีบรรยากาศที่แสนคุ้นเคยนั่น ไม่มีรอยยิ้มเลย

แต่ว่า

“ฝากตัวด้วยละกัน”

“เออ”

ก็ยังทำให้เขาหลงรักได้เหมือนเดิมอยู่ดี








ทว่าคราที่สบตาและเอื้นเอ่ย

ใจของฉันก็ยังเป็นเช่นเดิม

ยังคงรัก หลงรักเพียงคนนี้ ไม่เปลี่ยนเลย



(โปรดติดตามตอนต่อไป)

----------------------------------------------------------------------------------

fact about ทิวา

ทิวาไม่ใช่เด็กขี้แย แต่ถ้าได้ร้องไห้ขึ้นมาสักครั้ง จะร้องไห้ไม่หยุด ยิ่งมีคนปลอบก็ยิ่งร้อง

NAVY
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 4 ★ 26/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 29-10-2019 00:01:18
งูยยยยยย
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 5 ★ 01/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: KarmaNavy ที่ 01-11-2019 21:04:19
สิ่งละพันอันน้อยที่ค่อยๆ ก่อร่าง

เหมือนหน่ออ่อนที่ค่อยๆ เติบโตในใจฉัน






ตกหลุมรักระยะที่ 5









บ้านที่มาวินพูดถึงไม่ได้ใหญ่โตถึงขนาดคฤหาสน์ แต่ก็ไม่ได้คับแคบเสียจนบรรจุผู้ชายสองคนไม่ได้ อีกคนเล่าว่ามันคือบ้านที่ลงขันกันห้าคน ตอนแรกแค่เอาไว้ซ้อมเล่นดนตรี นัดกินข้าวนู่นนี่ ไม่ก็เป็นที่พักให้กับคนอื่นที่ขี้เกียจอยู่บ้าน จนกระทั่งฟอร์มวงจริงจังและเริ่มเข้าวงการ พวกเขาก็ยึดที่นี่เป็นที่พักรวม ใช้ชีวิตกินนอนด้วยกัน แต่พอหลังๆ ที่เริ่มมีชื่อเสียง บ้านหลังนี้ก็ถูกค้นพบเข้าและสร้างความรำคาญให้ทั้งคนในวงและเพื่อนบ้านไม่น้อย เลยต้องแยกย้ายกันไปอยู่ตามคอนโดแต่ละที นานๆ ทีจึงค่อยกลับมานอนบ้านหลังนี้ ซึ่งในปัจจุบันมีแต่มาวินที่ยังคงอยู่ที่นี่ ไม่ได้ย้ายไปไหน พอเขาถามว่าทำไม เจ้าตัวก็แค่ยักไหล่แล้วตอบกลับมาว่าขี้เกียจย้ายเฉยๆ

ตัวบ้านสองชั้นสามห้องนอน สองห้องน้ำ อีกหนึ่งห้องซ้อม มีที่ว่างมากพอให้เขาได้เลือกว่าจะอยู่ห้องไหน สุดท้ายก็ไปจบที่อดีตห้องพักของมือเบส เป็นห้องที่เล็กที่สุดในบรรดาทั้งสามห้อง แต่โดยรวมสำหรับคนไร้บ้านไร้ที่อยู่อย่างทิวาแล้ว ถือว่าดีกว่านอนข้างถนนเป็นไหนๆ

ปัญหาตอนนี้ก็คือ เขาดันไม่มีเสื้อผ้าสำรองติดตัวเลยเนี่ยสิ

“จะออกไปไหน” มาวินว่าแล้วชี้ไปยังนาฬิกาที่ชี้ไปยังเวลาเกือบเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว สลับกับมองเขาที่กำลังคว้ากระเป๋าเงินเตรียมออกไปข้างนอก ทั้งที่ยังอยู่ในบ้านไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ

“ไม่มีเสื้อ จะไปดูเซเว่นว่ามีพวกเสื้อยืดเสื้อกล้ามไหม” เสื้อตัวนี้สมบุกสมบันกับเขามาทั้งวันแล้ว ครั้นจะให้นอนทั้งแบบนี้ก็เหม็นตัวเองเกินไป “นอนทั้งเสื้อเก่าแบบนี้ไม่ไหวหรอก”

“ก็ยืมกูก็ได้”

“...”

“รังเกียจอะไร” ว่าแล้วก็ปาเสื้อกับกางเกงขายาวหนึ่งตัวมาให้จนทิวารับแทบไม่ทัน ได้แต่บ่นอุบอิบกับเงาหลังอีกคนที่หายไปยังห้องน้ำอีกฝั่งเบาๆ

“ไม่ได้รังเกียจเฟ้ย”

“ได้ยิน” ยังไม่ทันจะได้หนี คนที่เขานึกว่าจะเข้าห้องน้ำไปแล้วกลับโผล่หน้าออกมา จนเขาเป็นฝ่ายหนีไปยังห้องน้ำฝั่งตัวเองแทบไม่ทัน จึงไม่เห็นว่าบนใบหน้าที่นิ่งเฉยปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาบางๆ

ใช้เวลาขัดเนื้อตัวที่เหนียวเหนอะตั้งแต่ช่วงเช้าอยู่พักใหญ่ เขาจึงได้ออกมาจากห้องแล้วโผตัวเข้าไปนอนบนที่นอนนุ่ม แอร์เย็นๆ ทำให้ทิวาเผลอครางออกมาด้วยความสบายตัว อดคิดไม่ได้ว่าแอร์นี่แหละมันการค้นพบของมนุษย์ชาติ ช่วยเหลือมนุษย์โลกเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะกับบ้านเมืองร้อนแดดเผาเช่นนี้

นึกว่าความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันจะทำให้เขาหลับลงได้ทันที แต่ก็คิดผิดเสียอย่างนั้น ทิวาข่มตาอยู่เป็นชั่วโมง สุดท้ายก็ได้แต่ลุกขึ้นนั่งบนที่นอนแล้วยอมก้าวเท้าลงไปข้างล่าง หวังจะหาอะไรอุ่นๆ ใส่ท้อง เผื่อจะหลับกับเขาบ้าง

ทั้งบ้านมืดสนิท มีเพียงแสงไฟรางๆ จากด้านนอกที่ส่อสว่างหลังม่านสีไข่ที่ติดอยู่รอบบ้าน ตอนแรกเขาระมัดระวังสุดๆ ด้วยกลัวว่าจะไปปลุกใครที่นอนอีกห้องตื่นขึ้น แต่พอไปถึงครัวเล็กๆ เขากลับรู้สึกว่าการระวังเมื่อครู่มันเหมือนคนโง่มากแค่ไหน คนที่เขาคิดว่าหลับตอนนี้กลับยืนอยู่ต่อหน้าและกำลังต้มอะไรบางอย่างที่ส่งกลิ่นหอมยั่วใจอยู่

“นึกว่าหลับแล้วซะอีก” ทิวาว่าพร้อมทั้งทิ้งตัวนั่งบนโต๊ะทานข้าวขนาดกลางไม่ไกลจากตรงส่วนครัว มองคนที่ทำแค่เหลือบตามองเขาไม่กี่วินาทีแล้วหันกลับไปให้ความสนใจกับอาหารในหม้อต่อเงียบๆ “หิวเหรอ”

“แล้วคนที่ลงมาตอนนี้หิวเหมือนกันหรือไง”

“นอนไม่หลับ”

“...”

ทิวาหลุบตามองพื้นโต๊ะขาวสะอาด บ่นเสียงอ้อมแอ้ม “เลยว่าจะลงมาหาอะไรอุ่นๆ กิน”

จบประโยคนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรต่อ มีเพียงเสียงเครื่องครัวกระทบไปมาพอไม่ให้มันเงียบจนเกินไป ตอนที่มาวินทำเสร็จและทิวาเตรียมจะลุกขึ้นไปทำส่วนของตัวเองบ้าง ก็โดนคนที่เป็นเจ้าของบ้านกดให้นั่งลงที่เดิม พร้อมกับที่ตรงหน้าตัวเองมีชามมาม่าส่งกลิ่นหอมเพิ่มมาชามหนึ่ง

เขาได้แต่มองอีกคนเซ่อๆ เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเอามันมาวางตรงหน้าเขา ราวกับจะป่าวประกาศว่ามาม่าชามนี้เป็นของเขา แต่ก่อนจะได้ถามอะไรออกไป มือที่กดไหล่ก็วางแปะลงบนหัวออกแรงขยี้เบาๆ แล้วผละออกไป พร้อมกับเงาร่างของอีกคนที่หายไปบนชั้นสอง

ทิ้งไว้เพียงประโยคที่ทำให้คนฟังหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะยามค่ำคืน

“กินเสร็จแล้วอย่าลืมแปรงฟัน รีบกินซะล่ะ จะได้ไปนอน”

ทิวานิ่งอยู่อย่างนั้นอยู่พักใหญ่กว่าจะหยิบตะเกียบขึ้นคีบเส้นมาม่าเข้าปากแบบไม่รู้รส น้ำซุปรสชาติที่คุ้นเคยทำเอาเขาแอบแปลกใจนิดหน่อย มันเป็นมาม่าหมูสับแน่ๆ แต่กลับมีรสของเครื่องปรุงมาม่าต้มยำปนนิดหน่อยแบบที่เขาชอบ แต่อีกคนจะรู้ได้ยังไงว่าเขาชอบกินแบบนี้

อาจจะเป็นแค่ความบังเอิญ

แต่ความบังเอิญนั้นกลับทำให้เขาอมยิ้มและกินเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่น้ำซุปค้างที่ก้นชาม

เมื่อท้องอุ่น ตาเขาก็เริ่มจะปิด หลังจากแปรงฟันตามที่คุณเจ้าบ้านสั่งเรียบร้อย พอหัวตกถึงหมอน ทิวาก็หลับราวกับเรื่องที่นอนไม่หลับตอนตีหนึ่งไม่เคยเกิดขึ้น

 











---------------------------------------------------------------------------------------------------------------











ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับนาฬิกาในร่างกายหรืออาจเพราะเขาไม่อาจไว้วางใจเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ทำให้ความคิดที่คิดว่าจะตื่นขึ้นมาอีกทีตอนเที่ยงวันพลันสลายหายไป แม้จะเป็นเพียงความหวังที่ริบหรี่ แต่ตอนที่ทิวารู้สึกตัวเขาก็ยังภาวนา ขอให้ตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ที่ห้องนอนในหอพักอยู่ดี

แต่เรื่องอะไรมันจะเกิดขึ้นง่ายดายถึงเพียงนั้น สุดท้ายเมื่อลืมตาขึ้นมา เขาก็ยังอยู่ในห้องนอนที่แสนไม่คุ้นตา ในบ้านของเหล่ายูอาร์เหมือนเดิม

ทิวานอนแช่มองเพดานแบบนั้นอยู่พักใหญ่ จนได้ยินเสียงกริ่งแว่วๆ จึงเปิดประตูหมายจะไปแจ้งเจ้าของบ้าน ทว่าไม่คิดว่าตอนที่เปิดประตูออก อีกคนก็ราวกับมีความคิดเดียวกัน จึงมองเขาด้วยตาที่ปิดครึ่งเปิดครึ่งและทรงผมรังนกแสนน่าตลกนั่น มาวินหรี่ตาจนคิ้วขมวด พูดด้วยน้ำเสียงมึนชาปนหงุดหงิดนิดๆ ที่โดนก่อกวนแต่เช้า

อ่าฮะ ถึงจะสิบโมงจะสายมากๆ แล้วสำหรับเขา แต่สำหรับอีกคนดูเหมือนจะยังเช้าไปจริงๆ

“...เอ่อ”

“ไปเปิดประตู”

“...”

“ถ้าเป็นไอ้พวกเวรนั่น ฝากด่าด้วยว่า กวนส้นตีน” ว่าแล้วก็หมุนตัวกลับไปในห้อง เสียงปิดประตูดังลั่นบอกได้ว่าอารมณ์ของเจ้าของห้องไม่ได้ดีเลยสักนิด ส่วนทิวาจะทำอะไรได้นอกเสียจากทำตาม แหงล่ะ มาในฐานะผู้อาศัย จะมีหน้าอะไรไปขัดขืนเจ้าของบ้านกันเล่า กระนั้นก่อนที่จะออกไปหน้าบ้านที่ตอนนี้ก็ยังไม่หยุดกดกริ่งเหมือนที่บ้านไม่มีกริ่งให้กดเล่น ทิวาก็แวะล้างหน้าล้างตาให้ดูเป็นผู้เป็นคนกับเขาเสียก่อน

หน้าบ้านปรากฏกลุ่มคนที่ไม่ได้นอกเหนือจากที่เขาและมาวินคิดเสียเท่าไหร่ ใช้เวลาไม่นานกับการเดินไปปลดล๊อครั้วบ้านให้กับพวกเขา ท่ามกลางสายตาสงสัยของทั้งสี่คนที่เหลือ ทิวาถอนหายใจแล้วเดินนำเข้าบ้าน “สงสัยอะไรก็ถามวินเองแล้วกัน ขอตัวนะ...”

“ทำไมต้องไปถามไอ้วิน”

“ผู้จัดการใหม่เหรอ ทำไมมาอยู่นี่”

“นอนห้องไหนเนี่ย ห้องกูปะ? ห้องซ้ายมือห้องแรกสุด”

ทิวาชักจะปวดหัวนิดๆ กับคำถามที่พุ่งมาจากรอบทิศและจากคนไม่ซ้ำหน้า แต่ก็ยังยอมตอบแต่โดยดี ต้องใจเย็นเข้าไว้ เขาพยายามท่องเช่นนี้ “ใช่ นอนห้องนั้นแหละ”

“โห นอนไปได้ไง ไม่ได้ทำความสะอาดเลยนะนั่น ฝุ่นงี้เป็นตั้ง”

ก็เป็นตั้งจริงนั่นแหละ ทิวาคิด แต่เมื่อวานตัวเขาสกปรกกว่าห้องนั้นเยอะ เพราะงั้นเลยไม่มีปัญหาอะไร

“ก็พอนอนได้ วันนี้ค่อยทำความสะอาด”

“ชื่ออะไร”

“ทิวา”

“มีชื่ออื่นไหม เรียกยากอะ”

“เดย์”

“อายุ”

ไอ้พวกนี้มันยังไง ทำตัวอย่างกับเป็นตำรวจคอยมาสอบถามทะเบียนราษฎร์ไปได้ “อ่า...ปีนี้ก็น่าจะ 21 มั้ง”

“อายุตัวเองยังจำไม่ได้ จะดูแลวงไหวไหมเนี่ย” คนที่ตัวสูงที่สุดจนทิวาที่สูงแตะ 180 พอดีเป๊ะยังต้องแหงนหน้ามอง พูดแล้วทำสายตาเหมือนมองประเมิน ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นไปในทางลบจนทิวาชักฉุน แต่กลับไม่สามารถแสดงออกได้ชัดเจนทางสีหน้า จะมีก็สายตาที่เป็นมิตรน้อยลงไปพร้อมกับความอดทนที่ลดต่ำกว่าตอนแรก

อันที่จริงก็น้อยตั้งแต่โดนก่อกวนด้วยการกดกริ่งแบบกวนประสาทแล้วนั่นแหละ

“โตกันขนาดนี้ก็ไม่ถึงขนาดต้องดูแลทุกช่วงชีวิตไหม ผู้จัดการไม่ใช่พนักงานธนาคารนะว้อย จะได้บริการทุกระดับประทับใจ”

“ปากดีใช้ได้”

“ผู้จัดการใหม่เราเจ๋งดีจัง คอแข็งไหม จัดปาร์ตี้รับผู้จัดการใหม่สักหน่อยไหมวันนี้”

“วันนี้นัดมาซ้อม...” แต่ก่อนที่บทสนทนาจะไปไกลกว่านั้น คนที่ทิวาคิดว่าจะนอนหลับเหมือนหมีต่อไปในห้องนอน กลับเดินลงมาพร้อมกับแจ้งกำหนดการณ์วันนี้ออกมาเสียอย่างนั้น ถึงจะยังอยู่ในชุดนอน แต่สีหน้าและทรงผมก็ดูดีกว่าตอนแรกที่เขาเห็นเป็นสิบเท่า แต่นั่นทำให้ทิวาเสียดายหน่อยๆ เมื่อกี้เขาน่าจะถ่ายรูปเก็บไว้สักรูป...

“ซ้อมอะไร ไม่ซ้อมๆๆ เมื่อวานก็เลิกซะดึก ไม่เอาด้วยหรอก” คนที่เหมือนจะเด็กที่สุดในวงโวยวายพร้อมกับออกท่ามากมาย (ที่แม่งไม่ได้น่ารักเลยสักนิด) จนคนข้างๆ หลบทันบ้างไม่ทันบ้าง ก่อนจะพูดต่อ “วันนี้จะจัดปาร์ตี้กับผู้จัดการใหม่!”

“ที่ดึกเพราะเมื่อวานมึงไปดื่มต่อเองไม่ใช่หรือไง...”

“ชี่! เงียบ!! เมื่อวานอะไร กลับห้องไปก็นอนต่างหาก มั่วๆๆๆ” คนที่ท้วงหุบปากเงียบ แต่สายตาที่มองกลับแสดงออกชัดเจนว่า ไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้ตอแยอะไร เหมือนรู้นิสัยดีอยู่แล้ว ก่อนจะหันหน้าไปมองคนที่เดินมายืนซ้อนหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้แล้วถามต่อ “เอาไง”

“จะให้ทำไงได้ จอมโวยวายน่ารำคาญน้อยซะเมื่อไหร่” ว่าแล้วก็ยันไปหนึ่งที จนเจ้าของจอมโวยวายร้องออกมาหนึ่งที แต่เพราะข้อเสนอไม่ซ้อมประสบความสำเร็จจึงไม่ได้พูดอะไรนอกจากยิ้มแป้น

เสียงถอนหายใจและคำตอบของมาวิน พอจะทำให้ทิวาเดาได้นิดหน่อยว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โดยบ่ายเบี่ยงไม่ซ้อม กระนั้นที่มากกว่าเรื่องการยอมอ่อนข้อ กลับเป็นเรื่องที่ทุกการตัดสินใจกลับขึ้นอยู่กับมาวิน ทั้งที่อีกคนไม่ได้เป็นหัวหน้าวงเสียอย่างนั้น

และสงสัยเขาจะสงสัยออกนอกหน้าไปนิด ถึงได้โดนมาวินเคาะหัวอย่างแรงจนร้องเสียงหลง “มองอะไรนักหนา”

“สารเลวมาก เจ็บนะเว้ย”

“เจ็บสิจะได้จำ จะได้เลิกจ้องหน้าสักที”

“ทำไม หน้ามึงมันหล่อมาจากทองหรือไง จ้องแล้วทองจะล่อนหรือยังไงห๊ะ”

“ไม่ได้ทำมาจากทอง แต่หล่อจริง อันนี้แก้ต่างไม่ได้”

“จะอ้วก”

พวกเขาเถียงกันอยู่พักใหญ่จนมาสังเกตว่าเสียงรอบตัวพลันเงียบลงจนเสียงเถียงกันของพวกเขาดังที่สุดแทน เมื่อทิวาลองหันไปมองผู้มาใหม่ทั่งสี่ กลับพบว่าทั้งสี่คนต่างนิ่งอยู่ที่โซฟาอย่างพร้อมเพรียง หนึ่งในนั้นถึงกับเอาขนมมาแกะกิน ทำเหมือนว่าการที่พวกเขาทะเลาะกันมันคือละครสักเรื่อง ซึ่งแม่งโคตรกวนตีนเลยให้ตายดิวะ

“สนุกมากหรือไง” มาวิน

“ก็สนุกดี คนหนึ่งปกติเงียบเหมือนเป่าสาก” หนึ่งในนั้นชี้ที่วินแล้ววกมาชี้ที่เขา “ส่วนอีกคนคิดว่าจะหงอๆ หน่อยกับมึง กลายเป็นว่าด่าไฟแล่บ เอ๊ย! นี่มันมวยถูกคู่” ว่าแล้วก็ตบมือลั่นบ้าน แม้จะตบแค่คนเดียวก็เถอะ ส่วนคนอื่นคล้ายจะเห็นความทุกข์คนอื่นเป็นเรื่องสนุก จึงส่งเสียงเป็นลูกคู่บ้าง ขำขันกันไป

ยกเว้นก็แต่สองคนที่โดนล้อนี่แหละนะ

“ตีกันๆ”

“ลูกดกแน่ๆ”

“...” ทิวาเหนื่อยใจจะต่อล้อต่อเถียงจนได้แต่มองมาวินที่คงรู้สึกไม่ต่างกัน อันที่จริงเขาไม่คิดว่าตัวเองจะเดาใจอีกคนถูก แต่จากสีหน้าและการแสดงออกนี้ คงจะเอือมระอามานานแต่ไร้ทางแก้ละมั้ง

มาวินกลอกตาใส่เจ้าตัวต้นเรื่องก่อนจะผายมือไปยังสมาชิก แสดงออกกลายๆ ว่าจะแนะนำแล้วนะ ทิวาเลยเปลี่ยนเป้าสายตาไปที่สมาชิกทั้งสี่แทน

“จากซ้ายมือ หน้าตาโง่ๆ เสียงดังที่สุดชื่อเวย์ เป็นมือกลอง”

“มึงว่าใครหน้าตาโง่!” ว่าแล้วก็คว้าเอาขนมในมือคนข้างๆ ปาใส่มาวินที่เริ่มต้นแนะนำอย่างเป็นทางการ (แค่ชื่อและตำแหน่งในวง) แต่เหมือนจะทำมาหลายครั้งแล้วมาวินเลยรู้แกว หลังรับด้วยมือขวาก็ยัดขนมเข้าปากเขาที่ไม่ทันตั้งตัว นึกอยากจะตีก็ไม่ทันแล้ว เพราะคนลงมือขยับหนีไปได้ทัน จนได้แต่มองพร้อมกับเคี้ยวขนมประหนี่งขนมนั้นคือคนขี้แกล้งตรงหน้า

“คนถัดมาสีหัวสะเหร่อๆ ตัวสูงเป็นเปรตชื่อแคท เล่นคีย์บอร์ด จำง่ายสุด เพราะชื่อดันไม่เหมาะกับมันสุดๆ”

“เรื่องชื่ออะกูเห็นด้วยนะ แต่สีผมกูออกจะเท่ สะเหร่อที่ไหนไอ้สัส”

แต่มาวินมีหรือจะสนถ้อยคำขยะ จึงชี้ไปที่คนถัดไปแทน “คนปกติที่สุดในวงรองจากกู ไป๋ มือเบส”

“ยินดีที่ได้รู้จัก”

“เหมือนกัน” ปกติที่สุดในวงเลยต่างหาก ทิวาคิด

“คนสุดท้าย ...เป็นสมาชิกที่ทุกคนลงมติว่าไม่เหมาะกับที่นี่ที่สุด แต่ก็อยู่มาได้จนทุกวันนี้ จิน เป็นนักร้องนำ”

ทิวาเพิ่งมาสังเกตก็ตอนที่อีกคนยิ้มแล้วพยักหน้าให้เขา ว่าตั้งแต่ที่เข้าบ้านมา จินเป็นคนเดียวที่ไม่ได้พูดอะไรเลย บนใบหน้านั่นมีแต่รอยยิ้มบางๆ ที่เหมือนเป็นเอกลักษณ์ของอีกคนไปแล้ว ซึ่งทิวามองว่าเป็นเอกลักษณ์ที่มีเสน่ห์ไม่น้อย ถ้าเทียบกับวงไอดอลที่เดือนอ้ายเคยคลั่งช่วงหนึ่ง (และพยายามชักชวนเขาสุดฤทธิ์ แต่ไม่เป็นผล) จินก็เหมือนเป็นภาพลักษณ์ของวง

“ส่วนกู คงไม่ต้องแนะนำแล้วเนาะ มือกีต้าร์สุดหล่อ”

“อีกรอบที่มึงทำกูคลื่นไส้แต่เช้า”

“ท้อง!!” เวย์

“ผิดผีตั้งแต่วันแรกที่ทำงานเลยเหรอวะ ไวไฟมาก! นับถือ” แคท

ทิวาเหนื่อยเหลือเกินกับการพูดคุยกับเวย์และแคท จึงทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เมื่อไป๋ออกปากชวนหาคนไปซื้อของสำหรับปาร์ตี้เย็นนี้ ทิวาจึงอาสาอย่างไม่ลังเล เพราะเขายังมีของใช้ส่วนตัวหลายอย่างที่ยังไม่ได้ซื้อ รวมไปถึงพวกเสื้อผ้าด้วย หลังแปรงฟัน ทาแป้งไม่ให้คนเขารู้ว่ายังไม่ได้อาบน้ำ ออกมาก็พบว่ามาวินมายืนดักอยู่ด้านหน้าพร้อมกับเครดิตการ์ดหนึ่งใบที่ทิวาได้แต่งงว่ายื่นมาให้ทำแป๊ะอะไร

“เพื่อ?”

“ซื้อของ”

แม้จะงง แต่ก็รับมาแต่โดยดี ไม่วายบ่นอุบ “ทำไมไม่ให้ไป๋ไม่ก็จินเก็บเอาไว้วะ สองคนนั้นต่างหากที่ไปซื้อของกิน กูแค่จะไปซื้อของใช้ของตัวกูเอง”

“ก็นั่นแหละ เอาไปซื้อ”

“เฮ้ย ไม่เอา”

“มีเงินเหรอ”

“มี ไม่ได้ถุงถังแต่ก็ไม่ได้ยากจนขนาดนั้นเว้ย” อย่างน้อยเมื่อวานเขาก็เช็กได้ว่าบัตรเอทีเอ็มที่ติดตัวเขามานี้ยังเป็นใบเดิมของเขา ในนั้นยังมีเงินจำนวนเดิมติดค้างบัญชีที่มากพอจะให้เขาใช้อยู่ได้หลายเดือน (แม้จะต้องวงเล็บเอาไว้ว่าในกรณีที่พักแบบฟรีน่ะนะ) ทิวาเลยรีบคืนบัตรเครดิตราวกับมันเป็นของร้อน ทว่าเขาหรือจะสู้แรงมาวินได้ อีกคนเคาะหัวเขาอีกครั้งแล้วฉวยโอกาสยัดมันลงมือของเขาอีกครั้ง

“เอาไปเถอะน่า บัตรส่วนตัวกู ไม่ใช่ของวง ของวงไอ้จินมันเป็นคนถือ”

“ไม่เอา”

“เดย์ อย่าดื้อ”

“...”

ชะงักสิครับ ไอ้เดย์คนนี้มันจะไปสู้อะไรได้ พริบตาที่เสียงทุ้มเจือกระแสออกคำสั่งหลุดออกมา ทิวาก็เลิกขัดขืนอย่างเป็นทางการ พยายามจะไม่คิดอะไร (เพราะอีกคนก็คงไม่คิดอะไรเหมือนกัน) แต่คนที่ใจมันหวั่นไหวตั้งแต่แรกอย่างเขามีหรือจะต้านทานได้

อย่าดื้อ ใช้คำนี้กับผู้ชาย มันใช่เหรอ!!

แล้วเขาเนี่ย รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ได้คิดอะไร ทำไมต้องเขินด้วยเว้ยเห้ย!!

“อ...เออ!! เอาไปก็ได้ เซ้าซี้!”

“จ้าๆ กูมันเซ้าซี้ รีบไปได้แล้ว พวกมันรอนานแล้วเนี่ย”

ทิวารีบจัดทรงผมที่ยุ่งเล็กน้อยเพราะโดยเคาะหัวเมื่อครู่ บ่นอุบอิบตามทางเดิน ไม่มีสารร่างของสองคู่ซี้กวนประสาทแล้ว คาดว่าคงหนีไปเล่นเกมที่ห้องนั่งเล่น “แล้วใครมันมาดักคนไว้ก่อนล่ะวะ”

“บ่นอะไร”

“เปล๊า!”

มาวินหรี่ตามองเหมือนจะจับผิด แต่สุดท้ายก็ดันหลังเขาไปยังรถเก๋งสีเงินที่จอดรอนอกบ้าน หลังปิดรั้วบ้านเรียบร้อย ก่อนที่เขาจะได้ก้าวขึ้นรถอีกคนก็เอ่ยขึ้นมาอีกประโยค

“ระวังอย่าไปเซ่อซ่าจนเจ็บตัวกลับบ้านมาล่ะ”

“โตแล้วไหมล่ะ ไม่ใช่เด็กสามขวบนะเว้ย”

มาวินยิ้มมุมปาก “มึงน่ะยิ่งกว่าเด็กสามขวบ ไอ้ขี้แย”

ไม่รอให้โดนด่ากลับ มาวินก็ชิ่งหนีเข้าบ้านไปแล้ว ทิ้งให้ทิวายืนหัวร้อน เพราะเถียงมันไม่ได้ เมื่อวานเขาก็ดันขี้แยจริงๆ อย่างที่มันว่านี่นา

 











-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------











โชคที่หมู่บ้านที่อยู่ไม่ได้ไกลจากตัวเมืองมากนัก ใข้เวลาไม่นานพวกเขาก็มาถึงห้างใหญ่ห้างหนึ่ง แน่นอนว่าทิวาแยกตัวเองไปซื้อของใช้ส่วนตัวและรับปากไป๋ว่าจะตามมาสบทบทีหลัง เพราะเขาไม่ได้พิถีพิถันอะไรขนาดนั้นกับการเลือกเสื้อผ้า โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วนแบบนี้ เขายิ่งไม่สนใจจะเลือกสักเท่าไหร่ หลังได้ข้าวของส่วนตัวครบ เขาก็รีบวิ่งไปหาอีกสองคนในซุปเปอร์มาเก็ตที่ชั้นล่างทันที

หลังค้นหาอยู่พักหนึ่ง เขาก็พบว่าทั้งสองคนกำลังยืนเลือกเนื้ออยู่โซนของสด ด้วยนิสัยของพวกเขาทั้งสามคน ไม่ใช่คนช่างพูดนัก ทิวาเองก็ไม่ถนัดเริ่มบทสนทนา ดังนั้นจึงมีแค่ไป๋ที่พูดเป็นส่วนมากและมีจินแทรกเป็นบางคำ แต่ส่วนมากดำเนินไปด้วยความเงียบที่ไม่น่าอึดอัดเลยแม้แต่นิดเดียว คล้ายกับว่านี่คือเรื่องปกติ

นี่คือบรรยากาศที่ควรจะเป็นอยู่แล้วสำหรับสองคนตรงหน้าเขา

“คุณผู้จัดการมีอะไรที่กินไม่ได้ไหม” ทิวาส่ายหน้าและตอบว่ากินได้ไหม แอบคิดในใจว่านอกจากจะยิ้มสวย หน้าตาเด่นแล้ว เสียงของจินก็นุ่มๆ เพราะเหลือเกิน อีกนิดจะสูงส่งที่สุดในสายตาเขาตอนนี้แล้ว

เมื่อเทียบกับพวกทโมนที่อยู่บ้าน แน่นอนว่าเขาต้องยกจินสูงขึ้นหน่อยล่ะนะ

“ซื้อนมกลับไปไหม” ไป๋ว่าแล้วยกนมจืดแกลลอนใหญ่ขึ้นมาจนจินห้ามแทบไม่ทัน

“ไม่เอาๆ วางๆ แช่ไว้ที่บ้านก็ไม่มีใครกิน วินไม่ชอบนม”

“ก็มีเดย์ไง”

“ได้ๆ เอาไปเถอะ”  เป็นครั้งแรกที่ทิวาเกร็งและไม่กล้าพูดคำหยาบต่อหน้าผู้ชายด้วยกัน จินไม่ได้นุ่มนิ่มเลยแม้แต่น้อย แต่คล้ายมีรังสีความสุภาพจนหยาบด้วยไม่ลงมากกว่า ไป๋เองก็เป็นอีกคนที่ทิวาไม่ได้พูดหยาบใส่ อาจเพราะสองคนนี้คล้ายกันเกินไป เขาเลยรู้สึกเหมือนกันมั้ง

ส่วนสามคนนั้นก็ประเภทเดียวกัน อย่าได้เปิดช่องให้เชียว โดนกัดเละแน่

จินลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ยอมวางแกลลอนนมลงไปในรถเข็น ไม่วายบ่น “ไม่ต้องหรอก เอาไปก็กินอยู่คนเดียว จะเอานมไปทำไม”

“ก็ชอบไม่ใช่หรือไง”

“มันก็ใช่”

“ก็เอาไปเถอะ แค่แกลลอนเดียว ขนหน้าแข้งไอ้วินไม่ร่วงหรอกน่า” ว่าแล้วไป๋ก็เข็นนำไปยังโซนอื่น ทิ้งให้เขาและจินเดินตาม

“เดย์อยากได้อะไรก็เลือกเลยนะ”

“อ่า ได้ๆ เราคงอยากได้พวกขนมอะ”

“งั้นโซนนี้เลย” จินนำไปยังโซนขนมขบเคี้ยว ได้ขนมกลับมาสามถุงใหญ่ ยิ่งพอมีไป๋มาร่วมแจม จำนวนขนมในรถเข็นก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ซึ่งไป๋ให้เหตุผลว่า ของแกล้มเหล้าเบียร์และเผื่อตอนซ้อมครั้งหน้าด้วย เนื่องจากจะมีทัวร์แล้ว แม้จะไม่ได้เยอะรอบ แต่พวกเขาก็ควรซ้อมเพื่อเตรียมตัวให้ดี

“งั้นช่วงนี้ก็จะอยู่ที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ใช่ปะ”

“ใช่ สามอาทิตย์เต็มๆ เลย วินตั้งใจจะให้เป๊ะก่อนวันเริ่มทัวร์ช่วงต้นเดือนหน้า พวกเราก็เลยว่าจะเข้ามาอยู่บ้านตั้งแต่ตอนนี้”

“อ้าว งั้นเราก็มาแย่งที่นอนอะดิเนี่ย”

“ไม่เป็นไรหรอก พวกนั้นมันนอนไหนก็ได้ ไม่อย่างนั้นก็เดี๋ยวไปเบียดไอ้วินคนหนึ่ง ที่เหลือก็นอนห้องใหญ่ ไม่ยุ่งยากหรอก” ไป๋ว่าติดตลก “ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่มีคนมากกว่าห้องนอน ไม่ต้องเครียดนะ”

ระหว่างที่เดินเลือกของพวกน้ำผลไม้ น้ำเปล่าเข้าบ้าน จินกับไป๋ก็ผลัดกันเล่าเรื่องที่มาของวงรวมไปถึงพวกกำหนดการณ์คร่าวๆ ของทัวร์ที่จะเกิดขึ้นไปด้วย ก่อนจะตบท้ายว่ารายละเอียดแบบเต็มๆ เดี๋ยวมาวินจะเป็นคนอธิบายอีกที ท้ายประโยคทำเอาทิวาหน้าบูด แค่คิดว่าตัวเองต้องไปคอยฟังบรีฟงาน (ที่ไม่ได้ตั้งใจจะมารับหน้าที่เล้ย) จากคนที่ไม่ได้อยู่นี่ แต่หลอกหลอนแทบทุกประโยคที่พูด ก็ขนลุกแล้ว

เอ่อ จริงๆ ก็ไม่ได้ขนาดนั้น แต่คิดถึงความรู้สึกที่ตัวเองมีแล้วต้องไปเผชิญหน้ากัน ทิวาก็ออกอาการป๊อดนิดหน่อย

ไม่หน่อยล่ะ! มากๆ เลย!!

“มันขี้แกล้งใช่ไหม” ไป๋ว่าพร้อมกับหัวเราะเบาๆ กับสีหน้าบูดๆ ของเพื่อนใหม่ตรงหน้า

“มากกกก”

“แต่มันเพิ่งมาเป็นกับเดย์นะ”

“...”

“อันนี้เรายืนยัน ปกติวินจะนิ่งกว่านี้เยอะ ถึงจะรู้จักกันมานานก็ไม่ค่อยพูดเล่นหัวขนาดนี้เลย” จินว่า ยิ่งตอกย้ำเข้าไปใหญ่ ทำเอาความคิดทิวาเตลิดไปถึงไหนก็ไม่รู้ จนกู่ไม่กลับ จนได้แต่ปฏิเสธเรียกสติตัวเองกลับมาเสียงอ่อย

“เฮ้ย ไม่หรอกมั้ง บังเอิญน่า บังเอิญ...” เนอะ

ก็มาวินจำไม่ได้

จะ...ไปรู้จักเขาได้ยังไง

“จะยังไงก็แล้วแต่ มันก็เปลี่ยนไปนิดๆ จริงๆ”

“...”

“ถ้าไม่เชื่อก็คอยดูไปเรื่อยๆ ก็ได้เดย์”

“...”

“แล้วเดย์จะได้รู้ว่าเราไม่ได้โกหก”

 




กว่าจะรู้ว่านั่นคือรัก

มันก็เบ่งบาน...เต็มดวงใจ



(โปรดติดตามตอนต่อไป)

----------------------------------------------------------------------------------------

fact about ทิวา

ทิวาไม่เชื่อใครง่ายๆ

NAVY


หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 5 ★ 01/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-11-2019 11:37:51
 :pig4: :pig4: :pig4:

ปัณ เดือนอ้าย และผองเพื่อนหายไปไหน?

ช่วงเวลา 6 ปีที่หายไป น่าจะเป็นช่วงเวลาที่คำแช่งร้าย ๆ ของปัณส่งผลอยู่ใช่ไหม?

ส่วนช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่คำแช่งของปัฯที่พยายามแก้ไขให้ไม่เลวร้ายใช่ไหม?

ป.ล. รู้สึกว่าเดย์จะค่อนไปทางสาวมาก  555
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 6 ★ 05/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: KarmaNavy ที่ 05-11-2019 23:24:47
ตอนแรกฉันนึกว่าฉันยังมีเธออยู่

คิดอย่างนั้นมาตลอด













ตกหลุมรักระยะที่ 6



 

แม้ว่าจะวางแผนเสียดิบดีถึงปาร์ตี้ในช่วงเย็น แต่สุดท้ายก็ไม่พ้นพังเพราะเบื้องบนสั่งงดแอลกอฮอล์ชุกใหญ่ มีผลนับตั้งแต่ช่วงเก็บตัวก่อนทัวร์ ทำเอาเวย์โวยวายอยู่เป็นช่วงโมงจนแคทระอา เกือบจะทุ่มคีย์บอร์ดใส่หัวเวย์ให้มันหุบปากเสียรู้แล้วรู้รอด (แต่ก็ไม่ได้ทำ เพราะราคาแพงเกินกว่าจะทำใจพังไหว)

แต่ถึงอย่างนั้นมีหรือที่คำสั่งจากคนที่ไม่ได้อยู่ร่วมวงปาร์ตี้จะมีผลมากพอให้ทำตาม สุดท้ายเวย์ก็เปิดเหล้าจนเมาเละเทะอยู่ดี ทิ้งไว้เพียงคนมีสติสองคนคือเขาและจินที่แพ้แอลกอฮอล์เท่านั้น

ทิวาถอนหายใจพลางมองคนเมาที่จนป่านนี้ก็ยังพูดไม่หยุด สลับกับเก็บจานชามที่ใช้แล้วจากกลางโต๊ะกินข้าว ไปส่งให้จินที่ล้างจานหน้าซิงค์ ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะจัดการเสร็จทั้งทำความสะอาดและโยนคนเมาไปยังห้องนอน โชคดีที่ไป๋ยังพอมีสติมากพอ จึงช่วยออกแรงพยุงแคทที่หนักกว่าใครเพื่อนขึ้นไปด้านบนอีกแรง

จินไปนอนแล้ว แต่ทิวายังไม่ได้ไปไหน เพราะในบรรดาคนเมาที่ถูกแบกไปนอนนั้น ไม่ได้รวมไปถึงมาวิน

คนคนนั้นหลังจากที่เขากลับมาจากทำความสะอาดก็หายตัวไปแล้ว ได้ยินไป๋พูดแค่ว่าน่าจะไปขลุกอยู่ในห้องซ้อม เล่าว่าเวลากรึ่มๆ อีกคนจะมีอารมณ์ศิลป์นึกอยากแต่งเพลงประจำ

เพราะงั้นตอนนี้เขาจึงได้มายืนอยู่ในห้องซ้อมที่เปิดประตูค้างเอาไว้ ในห้องกว้างที่มีเครื่องดนตรีวางอยู่อัดแน่น มีใครบางคนนั่งอยู่ท่ามกลางพวกมัน กดเล่นคีย์บอร์ดในห้องเพียงลำพัง ตอนแรกเสียงจากคีย์บอร์ดไม่เป็นเสียงไม่เป็นเพลงเอาเสียเลย แต่พักหนึ่งมันก็ค่อยๆ ประกอบขึ้นเป็นเพลงท่อนหนึ่ง ซึ่งแม้ทิวาจะไม่ได้มีความรู้อะไรเกี่ยวกับการแต่งเพลงเลย ทว่าจากการเป็นแฟนคลับวงแบนด์อยู่หลายปี ก็พอจะแยกเดาได้ว่าถ้ากลายเป็นเพลงขึ้นมา มันจะเพราะแค่ไหน

“ชอบแอบมองหรือไง”

“แล้วมีปัญหาอะไรนักหนาอะ”

วินยิ้มทั้งที่ใบหน้าโดยเฉพาะดวงตาแดงเรื่อเนื่องจากแอลกอฮอล์ ไม่อยากยอมรับแต่รอยยิ้มตอนเมาของวิน น่ารักไม่หยอก

เยิ้มๆ มึนๆ เหมือนลูกหมาตัวโตๆ แบบนั้นเลย

“หยอกเล่นเฉยๆ ทำไมไม่ไปนอน”

“แล้วคนเมาทำไมไม่นอน มานั่งเล่นอะไรคนเดียว” ทิวาว่า แล้วเดินไปอยู่ข้างๆ “แต่งเพลงเหรอ เพลงใหม่?”

“อือ จู่ๆ ก็นึกได้เลยอยากมาเก็บโน้ตในหัวไว้ก่อน กลัวตื่นมาแล้วจะลืม”

“เพลงเศร้าหรือเพลงรัก”

“เศร้า ก็แต่งออกเป็นแต่แนวๆ นี้” วินว่าแล้วขยับให้เก้าอี้แบบม้านั่งยาวมีที่พอให้ทิวานั่งลงด้วย ตอนแรกทิวาจะปฏิเสธเพราะไม่อยากไปนั่งเบียดด้วย แต่สุดท้ายก็สู้แรงดึงของอีกคนไม่ได้ จึงยอมนั่งลงแต่โดยดี “กูแต่งแนวสดใสไม่ค่อยเป็น ส่วนมากจะเป็นเวย์ไม่ก็แคทรับผิดชอบ”

“แต่งเพลงกันเป็นทั้งวงเหรอ”

“มีแต่จินที่ไม่เป็น แต่จินเก่งเรื่องปรับแต่ง จะเป็นคนคอยเช็คให้ตลอด ไป๋ก็เก่ง แต่ไอ้นั่นนานๆ ทีจะลงมือแต่ง ส่วนมากเลยเป็นแคทกับเวย์แล้วก็กู”

“ถึงไหนแล้วล่ะ” วินไม่ได้ตอบแต่เล่นให้ฟังแทน น่าจะเป็นช่วงอินโทรจนก่อนจะถึงฮุคแล้วก็หยุดไปดื้อๆ คนแต่งเพลงได้ตอนเมายักไหล่ “ที่เหลือยังคิดไม่ออก น่าจะได้แต่งต่อตอนเมาครั้งหน้า”

“ขี้เมา”

“นานๆ ทีหรอก ไม่เมาก็แต่งได้ว้อย แค่ตอนเมาจะแต่งลื่นเป็นพิเศษ”

ทิวามองปากของวินบ่นขมุบขมิบด้วยความหมั่นไส้ เสียงของอีกคนที่ปกติทุ้มๆ ตอนนี้กลับติดขึ้นจมูกนิดๆ น่ารักจนสุดท้ายทิวาก็ยื่นมือไปบีบปากอีกคนโดยไม่รู้ตัว พอรู้ตัวก็ไม่ได้ปล่อยแต่อย่างใด กลับเลื่อนไปบีบแก้มต่อแทน โดยที่เจ้าตัวที่โดนประทุษร้ายไม่ได้ตอบโต้กลับมาแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งที่ถ้าเป็นปกติ ทิวาน่าจะโดนแกล้งเละไปแล้ว

น่ารักดี

แก้มนุ่ม

“สนุกพอยัง”

“ยัง” ว่าแล้วก็เพิ่มเป็นสองมือเสียเลย ทิวาหัวเราะทำเป็นมองไม่เห็นว่าวินส่งสายตาเอือมระอามาให้ เล่นต่ออย่างสนุกสนาน จนถูกมือของวินจับไว้นั่นแหละ ถึงได้ยอมปล่อย

“เลิกเล่นก่อน จะแต่งต่อ อีกแปบจะได้ไปนอน”

“จะจบไหมเพลงนี้ ภายในคืนนี้”

“คิดว่าอาจจะ”

“งั้นอยู่ฟังได้ไหม”

“ไม่มีอะไรน่าสนใจสักหน่อย น่าเบื่อจะตาย”

“ไม่เป็นไร อยากฟัง”

“...”

“อยากฟังเป็นคนแรก” ทิวาไม่ได้คิดอะไร เพียงแค่รู้สึกว่ามันคงจะดีถ้าได้ลองฟังเพลงใหม่นี้เป็นคนแรก ทว่าเมื่อเงยหน้ามองคนแต่งเพลง กลับพบว่าแววตาที่มองมาแปลกไป แม้เพียงชั่วพริบตาที่ดวงตาสองคู่สบกัน แต่ทิวาก็ยังเห็น

เหมือนกับตอนนั้นอีกคนไม่ได้มองมาที่เขา

แต่มองที่ใครอีกคน คนที่ไม่ได้อยู่ตรงหน้า

“วิน?”

“...อยากอยู่ก็อยู่ไป ถือว่าเตือนแล้วนะว่าน่าเบื่อ” ว่าแล้วก็หันกลับไปง่วนอยู่กับการลองกดโน้ตที่โผล่ขึ้นมาในหัว ทำเป็นไม่สนใจว่ามีใครอีกคนนั่งอยู่ข้างตัว ส่วนทิวาก็ทำเป็นลืมแววตาเมื่อครู่ของวิน แล้วให้ความสนใจกับเสียงดนตรีที่ค่อยๆ ทยอยออกจากการปลายนิ้วของอีกคนที่สัมผัสลงบนคีย์บอร์ด

โน้ตแต่ละตัว ถูกร้อยเรียงทีละน้อย ก่อนกลายเป็นบทเพลงที่แสนเศร้า แม้จะยังไม่มีเนื้อร้องแม้แต่ประโยคเดียว

วินใช้เวลาอยู่กับดนตรีตรงหน้าตัวเอง ปรับเปลี่ยนซ้ำไปมา ทดลองกับตัวเองจนลืมทุกสิ่งอย่าง กว่าจะรู้สึกตัวว่าไม่ได้อยู่ลำพัง ก็เป็นตอนที่รู้สึกหนักที่ไหล่ขวาและหันไปเห็นว่าคนที่บอกจะรอฟังเป็นคนแรกได้หลับไปแล้ว

ใบหน้าตอนหลับก็ไม่แตกต่างจากตอนปกติ เว้นเสียแต่ดูเงียบสงบ ไม่ช่างต่อปากต่อคำเหมือนปกติ

“เดย์”

“...”

“เดย์ ไปนอนที่ห้องดีๆ”

“อือ”

“อือแล้วก็ลุก” คนหลับขมวดคิ้วดิ้นเล็กน้อยแทนการประท้วงว่าเขากำลังทำให้อีกคนหงุดหงิดจากการปลุก พอวินหยุดเรียกและหยุดเขย่า คิ้วที่ขมวดก็คลายปมและกลับสู่ความสงบดังเดิม จนคนที่เป็นหมอนชั่วคราวอ่อนใจ

ตอนนี้ตีสองแล้ว ทุกคนน่าจะหลับกันหมดแล้ว เหลือแค่เขาที่ยังตาสว่างรวมไปถึงสร่างเมาเรียบร้อยกับคนที่หลับผิดที่ผิดทางอย่างทิวาเท่านั้นที่ไม่ได้อยู่ที่ห้องนอน

วินพยายามขยับให้น้อยที่สุดขณะเก็บกระดาษเขียนโน้ตและพวกไอเดียต่างๆ ที่คิดในค่ำคืนนี้ไปไว้กล่องที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากคีย์บอร์ดมากนัก ก่อนจะค่อยๆ พยุงคนที่หลับให้ลุกขึ้น ซึ่งแม้จะปฏิเสธยังไง แต่สุดท้ายทิวาก็ได้แต่สะลึมสะลือตื่น ก้าวเท้าเดินตามเขากลับไปยังห้องนอน

หลังส่งอีกคนนอนและห่มผ้าเรียบร้อย เขาก็ไม่ได้กลับห้องทันที แต่กลับยังยืนมองคนที่นอนอยู่แบบนั้น ในสมองหวนนึกย้อนอย่างไม่ตั้งใจถึงประโยคที่อีกคนพูดในห้องซ้อม

มันไม่ใช่ประโยคที่แปลกประหลาดอะไร ทิวาไม่ใช่คนแรกที่อยากฟังเพลงของเขา ไม่ใช่คนแรกที่นั่งดูเขาแต่งเพลง พวกแคทก็เคยทำเช่นนั้น แต่แววตานั่นที่มองมาและรอยยิ้ม...ไม่เหมือนเลย

มันทำให้คิดถึง...

 “วิน”

‘ถึงตอนนั้น...’

“ครับ”

“...”

 ‘...ต้องให้ฟังเป็นคนแรกนะ’

คนที่เผลอเรียกชื่อเขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมาแล้วและคงไม่ตื่นอีกจนกว่าจะเช้า ทว่าอีกคนกลับไม่รู้เลยว่าได้ทำให้ใครบางคนนอนไม่หลับ แม้จะพยายามข่มตาหลับแทบทั้งคืนที่เหลือก็ตาม

 









------------------------------------------------------------------------------------------------













แสงแดดที่ลอดผ่านเข้ามาในตัวบ้านที่เงียบสงบในช่วงสายร้อนเสียจนคนที่พยายามข่มตานอนต่อ จำต้องลุกขึ้นมาจนได้ ในบ้านเงียบเสียจนทิวานึกว่ามีเพียงแค่เขากับวินเท่านั้น แอบลืมไปเสียด้วยซ้ำว่ามีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีกสี่หน่อที่เพิ่งรู้จักกันแท้ๆ แต่กลับสนิทกันได้ง่ายๆ โดยใช้เวลาแค่คืนเดียว

ทิวาลุกจากที่นอนแอบโผล่หน้าเข้าไปดูในห้องใหญ่แล้วหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียวกับสภาพไม่น่าดูของเหล่าคนที่นอนหลับสนิทเหมือนตายในห้องนั้น

จินเป็นคนเดียวที่นอนเรียบร้อยที่สุด โดยนอนอยู่มุมด้านในของเตียงขนาดคิงไซส์ ส่วนไป๋แม้จะนอนเรียบร้อยเช่นเดียวกัน แต่สลับหัวสลับเท้ามั่วไปหมดและสองคนสุดท้ายแคทกับเวย์ อันนี้ตลกที่สุด เพราะคนหนึ่งนอนโดยที่มีเท้าอีกคนจ่อหน้า อีกคนนอนโดยมีขาอีกคนพาดคอ ส่งเสียงงึมงำเหมือนหายใจไม่ออก แต่ไม่ยักจะตื่นสักคน

เขาย้อนกลับไปในห้อง คว้าเอาโทรศัพท์มาถ่ายเก็บไว้ไม่ยอมพลาดเหมือนครั้งตอนวินตื่นนอนอย่างเด็ดขาด พอคิดมาถึงตรงนี้ก็อดแวะเข้าไปยังห้องที่อยู่ข้างๆ เขาไม่ได้

ทิวาค่อยๆ เปิดประตูห้องนอนของวิน แต่สุดท้ายกลับไม่พบเจ้าของห้องอย่างที่คิดเอาไว้ มีเพียงห้องว่างเปล่าไร้เงาของคนที่เขาคิดอยากถ่ายรูปสภาพตื่นนอนคนนั้น ในห้องมีเพียงเตียงนอน ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะทำงานเรียบง่าย ดูเหมือนไม่มีข้าวของอะไร แต่ก็ดูเข้ากับนิสัยของหมอนั่นดี

สุดท้ายก็ปิดประตูลงด้วยความเสียดาย ก่อนจะเดินลงไปข้างล่าง เพราะถ้าวินไม่อยู่ในห้อง ก็แสดงว่าตื่นแล้วและต้องอยู่ข้างล่างอย่างแน่นอน

“ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่”

วินหันกลับมามองเขา ทั้งที่มือยังวุ่นอยู่กับข้าวเช้าก่อนจะหันกลับไปสนใจพวกมันก่อนจะไหม้ไปเสียก่อน “สักพักแล้ว หิวหรือไง ถึงได้รีบลงมา”

“เปล่า ไม่เห็นอยู่ที่ห้องเลยลงมาหา”

“...”

“มองทำไม” ทิวาว่าพลางนั่งลงบนเก้าอี้ หยิบขนมปังปิ้งหอมเนยเข้าปากแล้วชงกาแฟให้ตัวเอง โดยไม่ลืมที่จะถามคนที่ยังมองเขาไม่เลิก เหมือนสลับบทบาทกันยังไงก็ไม่รู้แฮะ “เอาเปล่า เดี๋ยวชงให้”

“ไม่ต้อง”

“แล้วแต่”

“กินดีๆ เปื้อนหมดแล้ว” ทิวาปาดแยมสตรอเบอรี่ลงขนมปัง ก่อนจะใช้ลิ้นเลียส่วนที่กระเด็นเปื้อนนิ้วตัวเองไปเงียบๆ ไม่ได้รู้เลยว่าการกระทำทั้งหมดของตัวเองตกอยู่ในสายตาของใครบางคนอยู่ตลอด

“...กินเป็นเด็กๆ ไปได้”

“ยุ่ง”

“ทิชชู่ก็มีทำไมไม่ใช้”

ทิวายังคงไม่สนใจ แต่คราวนี้เหล่มองคนเจ้ากี้เจ้าการหนึ่งที “สะดวกแบบนี้”

“...”

วินไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่ในตอนที่ทิวาจะทำเช่นเดิมที่มือข้างขวา เขากลับโดนหยุดด้วยมือของอีกคนพร้อมกับที่ทิชชู่จากมืออีกข้างของวินเช็ดให้จนสะอาด แล้วหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้แตะแยมและขนมปังอีกเลย เพราะมีคนทำให้หมด จนเกือบจะป้อนเขาเสียด้วยซ้ำ

“ยังอยากจะกินอีกไหม”

“อิ่มแล้ว จะกินอะไรเยอะแยะ”

“ก็สมควรอิ่ม” แล้วก็เช็ดปากให้ แต่แรงนั่นมากจนทิวาเจ็บปากไปหมด ไม่รู้ว่าเช็ดปากหรือจะลอกปากเขาออกกันแน่ จนเขาต้องปัดมืออีกคนทิ้งบ่นเสียงดัง

“วันนี้เป็นอะไรเนี่ย ยุ่งวุ่นวายกับกูจัง”

“...”

“แล้วก็ชอบเงียบใส่อีก เป็นอะไรก็บอกกันดีๆ ดิ”

“ไม่ได้เป็นอะไร อย่าลืมไปเรียกคนอื่นให้ลงมากินด้วยล่ะ บอกพวกมันว่าเจอที่ห้องซ้อมบ่ายโมง” หลังพูดรัวเป็นชุดคนพูดก็เดินหายไป ทิ้งทิวาไว้กับข้าวเช้าที่ไม่มีใครตื่นขึ้นมากินแม้แต่คนเดียว

“เป็นอะไรของเขา”

ทิวานั่งละเลียดกาแฟจนหมดแก้วแล้วจึงค่อยขึ้นไปยังชั้นสองเพื่อปลุกเหล่าคนขี้เมาทั้งหลายให้รีบตื่นก่อนจะโดนลงโทษจากมือกีต้าร์อารมณ์แปรปรวนคนนั้น หลังปลุกเสร็จเขาก็แยกตัวไปจัดการอาบน้ำบ้าง

ทิวาหอบสมุดเปล่าพร้อมกับปากกาที่เพิ่งซื้อเมื่อวานตอนแวะไปที่ห้าง เดินตรงไปยังห้องซ้อมที่ยังไม่มีใครเช่นเคย แผ่นหลังที่เขาเห็นเมื่อคืนเด่นชัดเพียงลำพังที่หน้าคีย์บอร์ด กดเพลงที่เขาฟังไม่จบเมื่อคืนเพราะเผลอหลับต่อ เขายืนฟังอยู่แบบนั้นจนเพลงหยุดและเจ้าของเพลงหันมามองนั่นแหละถึงได้รู้ตัว

“มาคุยเรื่องงาน”

“เรื่องทัวร์เหรอ ไม่ต้องหรอก”

“อ้าว ก็ไหนว่า...”

“คิดว่าตัวเองจะได้อยู่จนถึงตอนนั้นหรือไง”

“...”

“ไม่ไปตามหาคนนั้นที่มึงอยากเจอล่ะ”

“...”

“วันนั้นที่ร้องไห้ เพราะหาเขาไม่เจอไม่ใช่หรือไง”

เจอแล้วต่างหาก ถึงได้ร้องไห้

แม้จะคิดเช่นนั้น แต่ในความจริงทิวากลับทำได้แค่ยืนเงียบๆ เหมือนคนโง่แบบนั้นจนคนอื่นเข้ามาในห้องซ้อมครบกันหมด เวย์และแคททักทายเขาแต่ทิวากลับไม่มีอารมณ์อยากจะทักทายหรือมองหน้าใครทั้งนั้น จึงเดินหนีไปดื้อๆ ไม่สนใจว่าคนในห้องจะมองมาหรือสงสัยว่าเขาจะไปไหนหรือต่อให้มีคนสงสัย ก็ไม่มีใครจะตามออกมาอยู่แล้ว

เขาลืมไปได้ยังไง ลืมไปได้ยังไงว่าในโลกนี้เขาไม่มีใครเลย

ถึงจะได้รับความช่วยเหลือ ถึงจะมีคนใจดีด้วยแค่ไหน แต่มันก็ไม่มีทางยั่งยืน

นี่ไม่ใช่ที่ที่เขาจะอยู่ ไม่ใช่และไม่มีมาตั้งแต่แรก

ทั้งที่รู้แบบนั้น แต่นอกจากที่นี่แล้วเขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะต้องไปที่ไหนหรือตามหาใครเพื่อที่จะกลับไปยังที่เดิมของเขา

และในโลกนี้ ในตอนนี้ที่เขาไม่มีใครเลย เขามีแค่มาวิน มีอีกคนแค่คนเดียวจริงๆ

“ไหนบอกจะไม่ร้องไห้วะ ปากดีชิบหาย”

เขาบอกตัวเองแบบนั้น พยายามปาดเจ้าน้ำไร้สาระที่ไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลยให้หายไปจากแก้ม แต่มันก็แสนจะดื้อดึงที่เอาแต่ใหลไม่หยุดราวกับประชดกัน

เขาไม่อยากร้องไห้เลย แต่ความรู้สึกที่เหมือนที่พึ่งสุดท้ายก็ยังพยายามผลักให้เขาออกไป มันแย่มากจริงๆ

เขามองอีกคนเป็นที่พักพิงไปแล้ว ไม่มีทางถอยอีกแล้ว เพราะเขาไม่มีใครแล้ว

“ไม่เป็นไร ทิวาจะไม่เป็นไร”

เขาบอกตัวเองเช่นนั้นตั้งแต่คราแรกที่หลุดมาในโลกบ้าๆ แห่งนี้ที่ไม่มีใครรู้จักเขา

ก่อนจะมาพบว่า เขาไม่เคยไม่เป็นไรเลยแม้แต่ครั้งเดียว

มันเป็นและน่ากลัวเหลือเกิน ในโลกที่เราไม่มีตัวตน กลายเป็นเพียงข้อมูลที่หล่นหายจากความทรงจำของใครสักคนมันน่ากลัวมากจริงๆ น่ากลัวเสียจนทิวาอยากให้มันเป็นแค่ฝันที่พอเขาตื่นขึ้นมาก็จะพบว่าตัวเองยังมีตัวตนอยู่ ยังมีบ้านให้กลับไป มีเพื่อนๆ ที่จะคอยอยู่ข้างๆ

คิดถึงแม่ คิดถึงเดือนอ้ายกับคนอื่นๆ

อยากกลับไป แต่ก็กลับไม่ได้ จะอยู่ที่นี่ก็ไม่มีที่ไหนให้ไปอีกแล้ว

กับโลกเฮงซวยใบนี้ เขาไม่รู้จริงๆ ต้องทำยังไงดีกับการรับมือมัน

 







-------------------------------------------------------------------------------------















“มึงทะเลาะอะไรกับผู้ช่วยกู เดย์หน้าเสียเลย”

“ไม่ได้ทะเลาะ”

“ไม่ได้ทะเลาะแล้วเขาจะเดินหนีไปทำไม นิสัยไม่ดีกำเริบอีกแล้วนะไอ้เวร รอบที่แล้วที่เขาอยู่ไม่ยืนก็เพราะปากมึงไม่ใช่หรือไง ผู้ช่วยคนก่อนที่แป๋มน่ะ” เวย์ว่าพลางปรับจูนเครื่องดนตรี โดยไม่คิดจะมองหน้าคนที่ตัวเองบ่นแม้แต่น้อย ไม่ต้องดูก็รู้ว่าไอ้วินจะต้องขมวดคิ้วทำหน้าเคร่งเครียดเหมือนพ่อตายแหงๆ กิตติศัพท์ความปากร้ายของมันไม่ใช่ว่าไม่รู้ แต่เห็นเมื่อวานก็ดูเข้ากันดี มีปะทะกันพอหอมปากหอมคอ ไม่คิดว่าวันต่อมาจะตีกันจนคู่กรณีเดินหายไปแบบนี้

“ทะเลาะกันจริงๆ หรือมึงแค่หงุดหงิด วิน”

“...” วินเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะละมืออกจากคีย์บอร์ด ถอนหายใจเฮือกใหญ่กับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของตัวเอง “กู...หงุดหงิดอะไรนิดหน่อย”

“นั่นไง นิสัยเสียจริงๆ เลยมึงเนี่ย”

“เวย์” แคทว่าเตือน เพราะตอนนี้ไม่ใช่ตอนที่สมควรซ้ำเติม แต่อย่างเวย์หรือจะสน อีกคนแค่ยักไหล่แล้วหันไปสนใจเครื่องมือทำมาหากินของตัวเองต่อ เรื่องให้คำปรึกษาหรือมีสาระเขาไม่ถนัดเสียเท่าไหร่ แต่เรื่องซ้ำเติมคนจี้จุดเจ็บนี่ถนัดมาก เรื่องใช้สมองน่ะให้จินกับไป๋จัดการเถอะ

“ไม่ต้องไปว่ามันหรอก กูผิดจริง”

“แล้วทำไมต้องไปลงที่เดย์”

“...”

“เอาจริงๆ พวกกูก็สงสัยตั้งแต่มึงถือวิสาสะเลือกเดย์มาเป็นผู้ช่วยแล้ว ถึงจะแค่ชั่วคราวก่อนพี่เต้จะหาคนใหม่ได้ก็เถอะ”

“...”

“มึงรู้จักเขามาก่อนหรือไง ถึงได้เลือกเขา”

“...เปล่า”

“มึงแปลกๆ นะวิน รู้ตัวไหม”

วินยกมือลูบหน้าตัวเองและหลบสายตาค้นหาของเพื่อนไปในตัว สาเหตุที่เขาให้อีกคนมาเป็นผู้ช่วย นอกจากเรื่องที่บังเอิญเจอกัน แน่นอนว่ามันมีเรื่องอื่นอีก เพียงแต่มันไม่ใช่เรื่องที่พูดออกมาแล้วจะเข้าใจกันได้ เลยเลือกที่จะเงียบไป

“เออ รู้”

“กูรู้ว่ามึงไม่อยากคุยเรื่องนี้ เอาไว้คุยวันอื่นก็ได้ แต่ตอนนี้มึงต้องไปขอโทษเดย์ ไม่รู้เตลิดไปไหนแล้วเนี่ย” แคทว่าพลางยื่นหน้าออกไปดูนอกบ้าน “ฝนจะตกแล้วด้วย”

“ไปได้ไม่ไกลหรอก มันไม่ออกหมู่บ้านแน่ๆ”

“มั่นใจได้ยังไง”

“ก็...” มันไม่รู้ทาง อยากจะพูดแบบนั้น แต่สายตาดุๆ ของจินที่มองมาทำให้วินได้แต่หุบปาก จินไม่ค่อยดุและค่อนข้างเป็นสายประนีประนอมก็จริง แต่ดูจากความสนิทสนมกับทิวาเมื่อวาน ก็พอทำให้เขาเข้าใจได้ว่า เหตุการณ์เมื่อครู่ทำเอาคุณชายใจเย็นประจำวงหัวร้อนแล้ว “เดี๋ยวไปตามก็ได้ พวกมึงก็เซตติ้งรอละกัน”

“ต้องขอโทษด้วยนะวิน” จินว่า

“...”

“วิน”

“เออๆ รู้น่า หาให้เจอก่อนแล้วกัน” แล้วเขาก็เดินออกจากห้องซ้อม หยิบร่มไปหนึ่งคันเตรียมรับฝนหลงฤดูที่กำลังตั้งเค้ามาแต่ไกล พลางคิดว่าคนที่เพิ่งโดนตัวเองใส่อารมณ์จะเดินหายไปไหนในหมู่บ้าน

ถ้าหาเจอก่อนฝนตกก็คงดี

ไม่อยากให้เปียกฝนจนไม่สบายจะแย่เอา

เมื่อนึกย้อนถึงคำที่ตัวเองพูดออกไปก่อนหน้าหนี วินก็อยากจะตบหัวตัวเองสักทีเหมือนกัน จะบอกว่าไม่ตั้งใจก็ไม่เต็มปาก เพียงแต่ตอนนั้นความรู้สึกหลายๆ อย่างมันรุมสุมเต็มหัวไปหมดจนหงุดหงิดที่มันไม่มีคำตอบดีๆ เลยสักอัน พอเห็นหน้าต้นเหตุก็เผลอพาล ทำนิสัยไม่ดีใส่ไปอย่างที่เวย์ว่าจริงๆ นั่นแหละ

มันเกี่ยวกับทิวาไหม มันก็เกี่ยว เพียงแต่จะโทษว่าเป็นความผิดของอีกคนไหม เขาก็พูดได้ไม่เต็มปาก

ไม่ต้องถามเขาก็พอเดาได้ว่าทิวาไม่มีที่ไป สภาพตอนแรกที่เจอกันของพวกเขา ทิวาไม่ต่างจากเด็กหลงทางเลยสักนิด เอาแต่ร้องไห้ ซึ่งมันทำให้เขาปวดใจไม่น้อยที่เห็นอีกคนร้องไห้แบบนั้น

ใช่ ปวดใจ

ทั้งที่ไม่รู้เหตุผลนั่นแหละ

มันเหมือนกับการได้พบกับอีกคนมันทำให้เขานึกถึงอะไรสักอย่าง...อะไรที่เหมือนลืมไปเกือบหมดแล้ว แต่จริงๆ มันยังอยู่ที่เดิม ไม่ได้หายไปไหนเลย เขาแค่ทำเหมือนว่าเขาลืมมันไปแล้ว

แต่แท้ที่จริง มันยังอยู่ในนั้น

ในหัวใจของเขาเช่นเดิม

“ทิวา”

“...”

“กลับบ้าน”

“...ไม่กลับ”

ฝนเริ่มโปรยลงมาแล้ว แต่คนที่เขาตามหาจนเจอก็ยังนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่บนเครื่องเล่นใจกลางหมู่บ้านไม่ยอมขยับเสียที วินกางร่มขนาดใหญ่ที่พกมาเพื่อบังสายฝนที่เริ่มแรงขึ้นทุกที มองคนดื้อดึงเอาแต่ซุกใบหน้ากับเข่าตัวเองด้วยความอ่อนใจ ไม่อยากจะบังคับอะไรหรอกถ้าอีกคนไม่อยากกลับ เพราะเขาเป็นคนผิด แต่ตอนนี้มันฝนตกและเหมือนจะตกหนักด้วย จะโกรธกันก็กลับไปโกรธที่บ้านไม่ได้หรือไงนะ

“ทิวา ฝนมันตกแล้วเห็นไหม”

“ไม่เห็น”

กวนตีนจริง วินคิดในใจ “เดี๋ยวก็ไม่สบาย”

“เรื่องกู”

“ไม่น่ารัก”

“ก็อย่ามายุ่ง”

“เดย์”

“ไม่ต้องมาเรียก”

“อย่าร้องไห้”

“ไม่ได้ร้องสักหน่อย”

“...”

ฟ้าร้องลั่นพร้อมกับเม็ดฝนที่ร่วงหล่นสู่พื้นโลก แข่งกับน้ำตาของคนที่ยั่งนั่งอยู่ที่เดิมตรงหน้าเขา ไหล่ที่ไม่ได้กว้างสักเท่าไหร่นั่นสั่นน้อยๆ แม้จะมีเสียงฝนกลบ แต่คล้ายว่าเขายังคงได้ยินเสียงสะอื้นของทิวาอย่างชัดเจน

เอาอีกแล้ว

“ขอโทษ”

ไม่ชอบความรู้สึกปวดหน่วงในใจแบบนี้เลย

“กลับบ้านกันนะ ไม่ร้องแล้ว”

“ไม่...กลับ”

“...”

“ไล่แล้วไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ได้ไล่ แค่ถามไงว่ามึงเจอคนนั้นหรือยังที่หา”

“...”

“เออ ก็ไล่จริงแหละ แต่ตอนนั้นกูหงุดหงิดแล้วพาลไปเอง ขอโทษจริงๆ”

เขาขยับเข้าไปหา ยื่นร่มไปบังฝนที่สาดเข้าไปในเครื่องเล่นให้อีกคน แม้ว่ามันจะแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลยและตัวเขาก็เริ่มเปียกฝนไปอีกคน แต่ก็ยังยืนถือให้อยู่แบบนั้น

“ขอโทษ”

“มึงไม่รู้หรอก ว่าความรู้สึกที่ไม่มีใครเลยมันน่ากลัวแค่ไหน”

“...”

“มึงแม่งไม่รู้อะไรสักอย่าง”

“เออ กูไม่รู้อะไรเลย นิสัยไม่ดีด้วย”

“ชั่ว สารเลว”

“ครับ ผมมันคนเลว ด่าพอหรือยัง ถ้าพอแล้วก็ลุกจะได้กลับบ้าน”

แม้จะยังไม่ยอมลุกขึ้น แต่การขยับเงยใบหน้าขึ้นมามองสบตาเขา ก็มากพอให้เขาใจชื้นปนไปกับเสียใจที่ทำให้ดวงตาคู่นั้นแดงช้ำเพราะร้องไห้

เขาเคยบอกทิวาหรือเปล่านะ ว่าดวงตาของอีกคนสวยมาก

เพราะแบบนั้น จึงไม่อยากให้ถูกทำร้ายจากความเสียใจเลยแม้แต่นิดเดียว

 “ลุกเร็ว กระต่ายตาแดง กลับบ้านเรากัน”













แต่ความจริงฉันแค่กำลังหลอกตัวเอง

ฉันไม่เคยมีเธอเลย ไม่เลยแม้แต่วันเดียว



(โปรดติดตามตอนต่อไป)

-----------------------------------------------------------------

fact about ทิวา

ทิวาจำทางไม่เก่ง หลงทางบ่อย เลยชอบอยู่ในที่ที่คุ้นเคยเท่านั้น

NAVY


หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 6 ★ 05/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-11-2019 01:51:01
 :pig4: :pig4: :pig4:

เพื่อน ๆ คนรู้จัก หายไปจริง ๆ หรือแค่เดย์มีความทรงจำที่ขาดหายไปในช่วงเวลาที่วาร์ปมา

หรือ...วาร์ปมาในโลกคู่ขนาน?
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 7 ★ 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: KarmaNavy ที่ 12-11-2019 22:12:43

ไม่อยากให้เธอเสียใจเลย

ทุกครั้งที่เห็นเธอร้องไห้ ฉันอยากจะกอดเธอไว้แน่นๆ และปลอบเธอ

 

 

 

 
ตกหลุมรักระยะที่ 7

 

 

 

“มายืนในร่ม เปียกหมดแล้วเนี่ย เดี๋ยวก็ไม่สบาย”

“...”

วินถอนหายใจเป็นรอบที่ล้านเมื่อความพยายามพูดคุยนั้นไม่เป็นผลเลยตั้งแต่ที่ออกมาด้วยกัน แต่ก็ยังยื่นร่มให้บังอีกคนมากกว่าอยู่เหมือนเดิมตั้งแต่ที่สวนกลางหมู่บ้าน แม้ว่าจะเปียกเหมือนลูกหมาตกน้ำกันทั้งคู่ไปแล้วก็เถอะ “อดทนหน่อยแล้วกัน แต่ตอนนี้เข้าร่มมา เดี๋ยวไม่สบาย”

“...”

“เดย์ อย่าดื้อ”

“เป็นใครมาสั่ง”

“เป็นคนให้เงินเดือนมึงอะ”

“ไหนว่าจะไล่แล้ว ยังจะมาให้เงินเดือนอะไร เพ้อเจ้อ”

“เออ ไม่ไล่แล้ว จะอยู่กับกูไปทั้งชีวิตก็ได้”

“ไม่อยู่ เกลียดขี้หน้า”

“...”

“รำคาญ...เฮ้ย!”

วินไม่สนใจอาการดิ้นรนและพยายามผลักตัวเองออกจากอ้อมแขนของเขา ความหงุดหงิดที่ตีตื้นขึ้นมาในอกทำให้เขาอดแกล้งอีกคนไม่ได้ ดึงเอาคนที่พูดว่าเกลียดเขาอย่างนั้นอย่างนี้มากอดแล้วตีหน้ามึนเดินต่อ ไม่สนใจฟังคำพูดร้ายกาจจากปากที่เริ่มซีดของทิวาแม้แต่คำเดียว

“ไอ้วิน ปล่อย!”

“จะถึงบ้านแล้ว อดทนหน่อยก็แล้วกัน”

“ไม่เอา ปล่อย”

“เดย์”

“อะไร!”

“...ไม่มีอะไร ถึงบ้านแล้ว รีบอาบน้ำกินยาด้วย เดี๋ยวไม่สบาย” ไม่ทันจะได้พูดอะไรออกมา รั้วบ้านและกลุ่มที่คนที่จับจ้องอยู่ที่หน้าต่างบ้าน ทำให้วินตัดสินใจปล่อยคนในอ้อมกอดให้เป็นอิสระแล้วทิ้งร่มให้อีกคนถือเอาไว้ ส่วนตัวเองก็เดินฝ่าฝนเข้าไป ไม่แม้แต่จะมองกลับไปว่าทิวาจะเดินเข้าบ้านมาไหม

ทิวากำด้ามร่มในมือที่ทิ้งรอยอุ่นจางๆ บนด้ามจับ ชั่งอยู่พักใหญ่สลับกับมองจินและคนอื่นๆ ในบ้านที่พยายามเรียกให้เขาเข้าไป ก่อนจะเดินตามวินเข้าไปในที่สุด

ไม่ได้เข้าไปเพราะไอ้หมอนั่นหรอกนะ เขาไม่อยากให้จินเป็นห่วงต่างหาก!

“เปียกหมดเลย กางร่มประสาอะไรวะเนี่ย”

“เดย์รีบอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวไม่สบาย” จินว่าแล้วรับร่มไปจัดการ ส่วนคนอื่นๆ ก็รุมล้อมหน้าล้อมหลัง บ้างก็ถามด้วยความเป็นห่วง แต่ทิวากลับมองแผ่นหลังกว้างที่เดินหายขึ้นไปชั้นบน ก่อนจะยิ้มตอบคนอื่นแล้วขึ้นไปจัดการตัวเองที่เปียกไปทั้งตัวอีกคน

ไม่ได้ตามขึ้นมาหรอกนะ เสื้อผ้าอยู่ข้างบนเฉยๆ หรอก

แต่พอเข้ามาในห้อง เห็นข้าวของพวกกระเป๋าเงินกับโทรศัพท์แล้วทิวาก็อดตบหัวตัวเองไม่ได้ ถ้าเมื่อกี้ใจร้อนกว่านี้สักหน่อย เดินออกจากหมู่บ้านไปตัวเปล่า มันจะน่าอายแค่ไหนกันวะตอนที่เดินกลับมาเพราะไม่มีเงินเนี่ย จะเรียกว่าโชคดีได้ไหมนะที่เขาหยุดแค่สวนในหมู่บ้าน

ไม่ได้รอให้ใครตามหาหรอกนะ

แต่ตอนที่ถูกตามหาและได้รับคำขอโทษ ทิวาก็ยังดีใจมากๆ อยู่ดี

ทิวาหอบเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัว เตรียมจะออกไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านนอก แต่พอออกมาจากห้องก็พบกับคนที่ตอนนี้เขาไม่อยากเจอที่สุดเข้าเสียได้ เขาเบือนหน้าหนี หันไปอีกทางทำเหมือนไม่อยากมอง จนเสียงประตูปิดลงแล้วเขาจึงหันกลับไป

“เข้าไปอาบน้ำดิ รออะไร”

“...ยุ่ง”

“หน้าแดงๆ นะ ไข้ขึ้นเหรอ” ไม่ว่าเปล่าแต่เดินเข้ามาหาเขาด้วยความรวดเร็วจนทิวาเดินหนีเข้าห้องน้ำไม่ทัน ถึงแม้ว่าตอนนี้วินจะแต่งตัวเรียบร้อย แต่ใบหน้าเนียนกริบและผมเปียกชื้นหมาดๆ นั่นในระยะใกล้ๆ เช่นนี้ ไม่ใช่อะไรที่จะรับมือได้ง่ายๆ เลย

ทิวาขยับถอยหนีจนเกือบชิดกำแพง หลับหูหลับตาดันอีกคนพร้อมออกปากโวยวาย “จะเดินเข้ามาทำไมเล่า!”

“แค่จะดูว่าเป็นไข้ไหม ไม่ได้จะทำอะไร...”

“ไม่ต้อง!! ไม่ได้เป็นอะไร สบายดี!” พูดจบเขาก็รีบฉวยโอกาสตอนที่อีกคนกำลังตกใจที่เขาจะตะโกนลั่นบ้านทำไมก็ไม่รู้ วิ่งหายไปในห้องน้ำ ทุบหัวตัวเองเหมือนคนบ้าที่ทำตัวไร้สติแบบนั้น

วินมองคนที่วิ่งหายไปในห้องน้ำแบบงงๆ นี่รังเกียจถึงขนาดนั้นเหรอ...

“นอนนอกบ้านแน่มึง”

“นอนเป็นเพื่อนไอ้ด่าง” สองเพื่อนซี้เกาะบันไดดูความชิบหายของเขาด้วยความสาแก่ใจ ก่อนจะหลบกันอุตลุตตอนที่เขาหยิบพวกข้าวของใกล้มือปาลงไปหา แม้จะระบายความหงุดหงิดบางส่วนไปที่จอมกวนประสาทสองคนไปแล้ว แต่ไอ้การถูกเมินแบบซึ่งๆ หน้าใช่ว่าจะหายหงุดหงิดง่ายๆ ได้เสียเมื่อไหร่ ยิ่งพอลงมาข้างล่างเห็นสายตาของจินที่ติดจะขำเล็กน้อย (เดาว่าไอ้เวย์เป่าหูแล้วแน่ๆ ถึงเรื่องเมื่อกี้) วินก็อดหลบสายตาไม่ได้

“ขอโทษหรือยัง”

“ขอโทษแล้ว”

“แล้วเดย์ยกโทษให้ไหม”

“ไล่ขนาดนั้นคงยกโทษให้มั้ง หมาประจำตัวมึงไม่ได้เล่าให้ฟังหรือไง” ว่าแล้วก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างไป๋ที่หัวเราะไม่หยุดตั้งแต่เขาเดินลงมาชั้นล่าง กลายเป็นว่าวันนี้ก็ไม่ได้เริ่มซ้อมอะไรแม้แต่นิดเดียว กินข้าวเสร็จทุกคนก็ได้แต่รอเอาใจช่วยให้เขาตามหาทิวาให้เจอ ขอโทษและพาอีกคนกลับบ้านให้ได้เท่านั้น

“วินผิด รู้ใช่ไหม”

“อือ”

“เดย์ไม่โกรธนานหรอก”

“ใช่ แต่รังเกียจเลย” ว่าแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้ ถ้าถอนหายใจแล้วอายุสั้นลงจริง ป่านนี้เขาคงเหลืออายุไม่ถึงปีแล้วมั้ง “ช่วยหน่อยดิ”

“ช่วยยังไง วินผิดเองก็ต้องแก้เองสิ”

“ไม่ต้องมาขอให้พวกกูช่วยเลย ไม่มีปัญญา คุณหัวหน้าวงที่แท้จริงอย่างมึงก็แก้เองไปเถอะ”

 

 

 

 

 

 

------------------------------------------------------------------------------------------

 

 

 

“มายืนขวางอะไรหน้าห้องคนอื่น” ทิวาว่าเสียงเขียว ตอนที่เปิดประตูออกมาแล้วพบว่ามีใครมายืนขวางเอาไว้

คำพูดคำจาน่าบีบปาก เกือบจะทำเขาหลุดปากเถียงกลับไปแล้วว่านี่มันบ้านเขา จะอยู่ตรงไหนก็ได้ แต่ด้วยกลัวว่าจะทำให้อีกคนโกรธมากกว่าเดิมเลยแต่หุบปากเงียบ แล้วออกแรงดันคนที่ยังโวยวายไม่เลิกให้กลับเข้าห้องไป ก่อนจะล๊อคห้องให้เรียบร้อย เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีแค่พวกเขาที่อยู่ในห้องนี้

อย่างน้อยก็จนกว่าจะพูดกันรู้เรื่อง

ตอนแรกนึกว่าพอเขาทำแบบนี้ทิวาจะโวยวายเสียอีก กลายเป็นว่าอีกคนทำแค่นั่งนิ่งๆ บนเตียงไม่ยอมพูดอะไรสักคำ เขาเลยทิ้งตัวลงนั่งที่พื้นจนหากทิวาก้มหน้าก็จะเห็นใบหน้าของเขาพอดี อีกคนสบตากับเขานิ่งนาน ให้เขาได้มีโอกาสมองใต้ตาที่ยังมีร่องรอยบวมช้ำเล็กน้อยนั่น

ตอนที่ยื่นมือไปหาทิวาสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ขยับหนีตอนที่นิ้วของเขาแตะลงที่เปลือกล่างของอีกคนและลูบมันเบาๆ “เจ็บไหม”

“ไม่เจ็บ”

“ขี้แย”

“...ไม่ได้อยากจะร้องไห้สักหน่อย”

“แล้วร้องทำไม”

“ก็ไม่รู้จะทำยังไง ในอกมันอึดอัดไปหมด พอได้ร้องออกมามันก็ดีขึ้น”

“...”

“ทำแบบนี้มาตลอดตั้งนานแล้ว ไม่ได้อยากร้องไห้ แต่มันก็เป็นวิธีเดียวที่ระบายทุกอย่างในใจออกมาได้เร็วที่สุด”

“ขอโทษ”

“เบื่อจะฟังแล้ว ไม่ได้โกรธสักหน่อย”

“แต่รังเกียจแล้ว”

“เคยพูดไปแล้วว่าไม่ได้รังเกียจ”

“รังเกียจอะไร”

“ไม่ได้รังเกียจเฟ้ย”

จู่ๆ ประโยคที่พูดคุยในคืนแรกที่ได้อยู่ด้วยกันก็ย้อนกลับมาในหัวและทำให้เขายิ้มออกมาในที่สุด แม้ว่าคนที่ออกปากว่าไม่ได้รังเกียจจะยังไม่มีรอยยิ้มเลยก็ตาม

“ขอโทษ”

“ก็บอกว่าไม่ต้องพูด...”

“เสียใจจริงๆ ขอโทษที่พาลใส่ จริงๆ แล้วไม่ได้อยากให้ไป ดีใจมากที่ได้เจอ”

“...”

“ดีใจจริงๆ นะ”

“โกหกหน้าตาเฉยสุดๆ เพิ่งรู้จักกัน จะมาดีใจอะไร”

“บางครั้งก็ไม่เกี่ยวปะว่าเจอกันครั้งแรกหรือเจอกันนานแล้ว ถ้าชอบก็คือชอบไหม”

“...”

“ชอบ...หมายถึง ถูกชะตา” พอนึกทวนคำพูดตัวเองก็รู้สึกมันแปลกๆ อยู่บ้าง เลยรีบแก้คำพูด ดวงตาที่เบิกกว้างเพราะประโยคำกำกวมของเขาเลยกลับสู่ปกติ “เชื่อเถอะ”

“ก็ยังไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อ”

“หายโกรธไหม”

“หาย แต่จะจำไว้”

“...”

“คราวหน้าจะไม่กลับมาแล้ว”

“...”

“...ทำหน้าแบบนั้นทำไม” ทิวามองสีหน้าแปลกๆ ของคนตรงหน้าแล้วถามขึ้นมาเบาๆ เพราะจู่ๆ วินก็เงียบไปเลยตอนที่เขาพูดขู่ด้วยประโยคนั้น

“วิน”

“จะไม่กลับมาจริงๆ เหรอ”

สายตาของวินที่มองมา ทำเอาทิวาไม่กล้าสบตาด้วย จึงเบือนหน้าหนี แต่ก็ยังตอบคำถามนั้น แม้จะเหมือนตอบแบบขอไปทีก็เถอะ “ก็...ถ้ามึงพาลใส่แบบนั้นอีก ก็ไม่แน่”

“...จะไม่ทำแบบนั้นแล้วก็ได้ แต่อย่าพูดว่าจะหายไปอีกได้หรือเปล่า”

“วิน เป็นอะไร”

“พูดให้ฟังได้ไหมว่าจะไม่ไป”

คราวนี้ชักแปลกๆ แล้ว ทิวาจึงหันกลับมา พบว่าใบหน้าของวินซีดเสียจนน่าใจหาย “วิน เป็นอะไร”

“...”

“วิน”

“...ไม่มีอะไร ช่างมันเถอะ”

“มึงกลัวอะไร”

“...”

“ยังไม่ได้ไปไหนซะหน่อย” ว่าแล้วก็เคาะที่กลางกระหม่อมคนตื่นตูมเบาๆ แล้ววางแปะลงบนกลุ่มผมที่เริ่มแห้งนั่น “ก็อยู่ตรงหน้ามึงตรงนี้ ไม่ได้ไปไหนสักหน่อย ตกใจอะไร”

“...”

“ทำไมต้องกลัวขนาดนั้นด้วย”

“...ก็เพราะเคยหายไปไง จะไม่ให้กลัวได้ยังไง”

“ห๊ะ มึงพูดอะไร เบาจนกูไม่ได้ยินเลย” ทิวาถาม แต่อีกคนกลับไม่ยอมตอบอะไรกลับมา เอาแต่นั่งนิ่งให้เขาเล่นผมอยู่แบบนั้นพักใหญ่ จนเขานึกว่าวินหลับไปแล้วเสียอีก

“ถ้าไม่โกรธ ไม่ได้รังเกียจ งั้นก็ลงไปข้างล่างกัน พวกนั้นเป็นห่วงมึงนะ”

“อือ เดี๋ยวลงไป”

“...”

“แล้ว...มึงด้วยไหม”

“อะไร”

“ที่ว่าเป็นห่วง”

คนที่กำลังจะเดินออกจากห้อง ชะงักอยู่หน้าประตูแต่กลับไม่ยอมหันกลับมา ตอนที่เงียบไปนานจนเขาไม่คิดจะรอฟังคำตอบ มาวินก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเบาๆ เหมือนคุยกับตัวเอง

แต่เพราะห้องมันเงียบมากๆ เขาเลยได้ยิน

ทั้งคำพูดประโยคนั้น

“ห่วงสิ”

“...”

“ถ้าไม่ห่วงจะตามออกไปทำไม”

และเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นดังในอก จนกลัวว่าจะมีใครได้ยินนั่น

 

 

 

 


แต่ในทุกครั้งที่เธอเสียใจ ฉันลืมไป

ว่าฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้มันเกิดขึ้นเอง

 

 

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

-------------------------------------------------------------------------

fact about ทิวา

ใจอ่อน ไม่ค่อยโกรธใครนาน แต่ถ้าไม่ชอบเลย

จะทำให้คนนั้นไม่มีตัวตนในชีวิตตัวเองแทนการไปสนใจด้วยการเกลียด

NAVY

 

หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 7 ★ 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 12-11-2019 23:34:34
 :pig4: :pig4: :pig4:

นั่นไง  เคยหายไป

ว่าแต่  หายไปยังไง

รอความกระจ่างกับเหตุการณ์ในอดีตที่หายไปนาจา
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 7 ★ 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 14-11-2019 06:10:25
สะเทือนใจ
รอตอนต่อไป...
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 7 ★ 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 14-11-2019 13:31:15
 :L1:
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 7 ★ 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-11-2019 13:34:18
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 7 ★ 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 15-11-2019 13:09:40
เคยหายหมายความว่าไง อยากรู้เร็ว ๆ จัง
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 7 ★ 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 15-11-2019 14:37:00
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 8 ★ 17/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: KarmaNavy ที่ 17-11-2019 20:54:15
ฉันไม่อยากหวั่นไหวเลย

กลัวจะทรมานหากว่าสุดท้ายใจเราไม่ตรงกัน











 

ตกหลุมรักระยะที่ 8



 

“เดย์ คราวหน้าถ้ามีคนไล่แบบครั้งนี้ก็ต่อยมันไปเลย สวนกลับไปว่าบ้านหลังนี้ไม่ได้มีมันเป็นเจ้าของคนเดียวไอ้ควาย”

“ใช่ๆ เสร็จแล้วก็ตุ๊ยท้องสักที ไม่ก็ทุ่มเบสใส่มันนั่นแหละ”

เวย์กับแคทส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวทันทีที่ทิวาเดินลงมาข้างล่าง ล้อมหน้าล้อมหลังพูดจาเรื่อยเปื่อยไม่สนใจหน้าบูดบึ้งของคนที่ถูกประทุษร้ายทางวาจาเลยแม้แต่น้อย แม้ว่ามันจะฟังดูเพ้อเจ้อไปสักหน่อย (ทำอย่างนั้นจริงๆ เขาก็โดนจับข้อหาฆาตรกรรมพอดีสิฟะ) แต่ก็อดขำไม่ได้เหมือนกัน ทั้งยังนึกขอบคุณทั้งสองคนในใจ

เอาเข้าจริงก็ไม่ได้โกรธแล้ว แต่บรรยากาศมันก็กระอักกระอ่วนอยู่เหมือนเดิม คงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะดีขึ้น

 “เดี๋ยวเถอะ พูดอะไรแบบนั้น...”

“มึงจะห้ามเหรอไอ้ไป๋ เฮ้ย ไอ้คนนี้มันทรยศผู้ช่วยเราว่ะ”

“เปล่าๆ” ไป๋รีบปฏิเสธแล้วพูดต่อ “กูจะให้เปลี่ยนเป็นทุ่มกีต้าร์มันแทน กูไม่มีตังซื้อเบสใหม่”

“เออว่ะ ลืม”

“ไอ้พวกส้นตีน เงียบเข้าหน่อยก็เอาใหญ่เลยนะ” สุดท้ายคนโดนพูดถึงก็หมดความอดทน ไล่เตะเหล่าเพื่อนในวงที่ยังโวยวายกวนประสาทไม่เลิกไปรอบบ้าน จนเหนื่อยนั่นแหละถึงได้ยอมนั่งลงและเริ่มคุยเรื่องงานเสียที

“สรุปก็คือหน้าที่ชั่วคราวจริงๆ เหรอ”

จินพยักหน้า “ใช่ อันที่จริงในบริษัทก็มีอยู่แล้วแหละคนที่จะมารับหน้าที่ตรงนี้ในกรณีแบบนี้ แต่วันนั้นอยู่ต่อหน้าทีมงานนอกด้วย พี่เต้เขาเลยไม่อยากขัดใจอะไรวิน”

“เหรอ...” ทิวาลากเสียงยาวพลางมองคนข้างตัวที่เอาแต่มองเท้าตัวเอง ไม่ยอมสบตาทั้งไม่ยอมอธิบายว่าทำไมวันนั้นถึงได้ถือวิสาสะพูดคำนั้นออกมา แต่เพราะทุกคนจงใจเงียบและมองไปที่ตัวต้นเหตุ กดดันอยู่แบบนั้นจนทนไม่ไหว วินเลยยอมตอบ

“ก็แค่สงสาร”

“ใครหวังให้มึงมาสงสารไม่ทราบ”

“ไม่สงสารก็ได้ เห็นใจ...”

“มันต่างกันตรงไหนวะ!”

“เอ่อ...งั้น อยากช่วยเด็กหลง”

“...” ยิ่งฟังยิ่งเลอะเทอะ ทิวาเลยเลิกที่จะฟังความจริงที่ออกจากปากของอีกคนแทน ฟังดูก็รู้ว่าล้อเล่นไม่ได้คิดจะบอกอะไรกับเขา เอาเถอะ จะเพราะเหตุผลอะไร แต่การกระทำนั้นก็ทำให้เขามีที่นอนคืนหนึ่ง จะถือว่าเป็นการช่วยเหลือ หยวนๆ ไม่เอาเหตุผลก็ได้วะ

“แล้วอีกนานไหมกว่าคนใหม่จะมา”

“รีบจะไปขนาดนั้นเลยหรือไง”

“ไม่ได้รีบ...”

“ไหนว่าจะไม่ไป”

“แล้วใครบอกว่าจะไป มึงจะไล่อีกรอบปะล่ะ”

“ไม่ไล่”

“เออ ก็ไม่ได้ไปเหมือนกัน”

“มึงเป็นไรเนี่ยวิน ล่กๆ นะ กลัวโดนโกรธขนาดนั้นเลยหรือไง” แคทถามด้วยความสงสัย คือเข้าใจอยู่ว่าคนมันมีประเด็นกันอยู่ก่อนแล้ว แต่อาการของเพื่อนเขามันแปลกไปจริงๆ มาวินที่สุขุมคนนั้นไม่เคยหลุดแสดงอารมณ์ออกมามากขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยพูดถามใครด้วยคำถามเยอะแยะที่ปะปนกับความรู้สึกที่เหมือน...ตัดพ้อ?

คิดแล้วก็แขยง มันน่าขนลุกมากๆ ในสายตาที่จะคิดว่าเพื่อนตัวเองกำลังตัดพ้อ มาอ้อหรือตัดพ้อใครสักคน ถ้าอ้อนจริงน่าจะอ้อนตีนมากกว่า เพราะตอนนี้ทิวาชักจะเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกรอบแล้ว ถ้าไม่ได้จินออกปากห้ามเอาไว้

“ไม่ไล่แล้ว อยากอยู่นานเท่าไหร่ก็ได้ ต่อให้มีผู้ช่วยมาใหม่ แต่ถ้าไม่ได้จะย้ายไปไหนก็อยู่ห้องนั้นไปเลยไม่ว่า”

“ใจป๋าเนอะ”

“มึงคนเดียวเอง เลี้ยงได้”

“...”

“ไม่เสียค่าข้าวสักเท่าไหร่หรอก”

“...มึงแปลกจริงๆ นะเนี่ย กูไม่ได้คิดไปเองคนเดียวใช่ไหมวะ” เวย์พูดขึ้นมาเมื่อทิวาและคนอื่นไม่ได้ตอบอะไรกับคำเอ่ยชวนนั่นของวิน มือทั้งสองของเวย์ลูบที่ต้นแขนตัวเองไปมา ขนลุกไปทั้งตัวเลยเว้ย! มีวันที่ไอ้วินมันพยายามรั้งคนอื่นด้วยเหรอวะ ที่ผ่านมามีแต่คนอื่นรั้งมัน วันนี้ผีเข้าอะไรหรือตากฝนจนเพี้ยน

ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น

“อย่าบอกว่าที่พวกกูเคยแซวกันเมื่อวานมันเรื่องจริง”

“แซวอะไร”

“แบบว่า...” เวย์ว่าแล้วประกบมือเข้าด้วยกันเป็นจังหวะที่รู้กันดีว่ากำลังเล่นมุกสัปดนอะไร “...แบบนั้นไง กุ๊กกิ๊ก?”

“แต่ท่าอธิบายคำว่ากุ๊กกิ๊กมึงอุบาทว์มากไอ้เวย์” ว่าแล้วแคทก็ฟาดไปหลังหัวหนึ่งทีให้หยุดทำ แต่ไม่ได้ปฏิเสธว่าเขาเองก็คิดเช่นนั้น “แต่เห็นด้วยกับไอ้เวย์”

“มึงคิดอะไรกันเนี่ย ไม่ได้มีอะไรเว้ย”

“ไม่มีอะไรจริงอะ” ไป๋

“จริงรึพ่อ” เวย์

“มึงจะมาคาดคั้นอะไรกันวะ มันก็ไม่ได้ชอบกูสักหน่อย ใช่ไหม” วินรีบหาพวกทันทีด้วยการเขยิบมาใกล้เขาพร้อมกับใช้ศอกถองต้นแขนเขาให้เขาพูดอะไรสักอย่าง “ไม่ได้คิดอะไรกับกูใช่หรือเปล่า”

“อ่า...”

ชั่ววินาทีที่ทุกคนมองมายังเขาที่กำลังจะอ้าปากตอบ ทิวากลับกลัวที่จะสบตาซะงั้น แต่ก็ยังตอบแต่โดยดี

ถึงจะไม่ค่อยตรงกับความจริงในใจเขาเลยก็ตาม

“อืม ไม่ได้ชอบ”

“...”

“ไม่ได้คิดอะไรเลยสักนิดเดียว”

“อ้าว ชงแป๊ก อดเลย อดได้คนช่วยลดเวลาซ้อมลงไปเลย โธ่” เวย์

“ก็ว่าอยู่ ทีหลังก็อย่าเล่นสมจริงซิวะ พวกกูแยกไม่ออก” แคท

ทิวาร่วมหัวเราะกับทุกคนทั้งที่ไม่ขำเอาเสียเลย รอยยิ้มยังคงอยู่บนหน้า จนกระทั่งเผลอหันไปมองคนข้างตัว ตอนที่เวย์ชวนคุยไปถึงเรื่องอื่นจนไม่ได้สนใจพวกเขาสองคนแล้ว วินเองก็ยิ้มเล่นหัวเหมือนทุกคน แต่แววตากลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย

และอาจเพราะเขาแสดงออกมากไปอีกคนจึงรู้ตัวและหันมามอง ในดวงตานั้นดูราวกับไร้ชีวิตชีวาไปชั่วขณะ ก่อนใบหน้าเขาจะถูกมืออีกคนดันให้หันกลับไปยังกลางวงสนทนาก่อนจะถูกใครจับได้

“ไม่ต้องมองแล้ว”

“...”

“เลิกมองเถอะ”

“อือ...”

อยากจะทำให้ได้อย่างนั้นเหมือนกันแหละน่า

แต่ไอ้ดวงตาไม่รักดีนี่ใช่ว่าจะควบคุมได้ง่ายเสียที่ไหนกัน

 











----------------------------------------------------------------------------------------------------













สุดท้ายก็จบวันไปอย่างกระอักกระอ่วนเช่นนั้น วันต่อมาจึงได้เริ่มซ้อมอย่างที่คุณหัวหน้าวงต้องการ ซ้อมไปเรื่อยๆ มีพักบ้าง แต่ส่วนมากทุกคนก็ใช้เวลาอยู่กับเครื่องดนตรีและตัวเองไม่ว่าจะพักหรือไม่ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ฟ้ามืดถึงได้เลิกซ้อมกัน เป็นอย่างนี้มาจนจะครบอาทิตย์แล้ว คราวนี้ทิวาไม่ได้เข้าไปในห้องซ้อมอย่างที่คนอื่นอนุญาต ไม่ใช่ว่ายังมีประเด็นอะไรกัน แต่เขาแค่รู้สึกว่าตรงนั้นมันไม่ใช่ที่ของเขายังไงก็ไม่รู้และไหนๆ ก็เดี๋ยวมีคนอื่นมาแทนที่ เลยไม่ได้เข้าไปซัพพอร์ตในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดการเรื่องการซ้อมหรือทัวร์คอน แต่หันไปจัดการเรื่องเกี่ยวกับความเป็นอยู่ส่วนอื่นแทน เช่นพวกอาหารในแต่ละมื้อหรือพวกที่หลับที่นอน เพราะจากเมื่อเช้าหลังเมาเละเวย์และแคทไม่มีที่นอนเป็นเรื่องเป็นราว เขาเลยขึ้นไปจัดการปูที่นอนสำรองไว้ให้และลงมาทำอาหารมื้อดึกต่อ เวลานอกเหนือจากนั้นเขาก็ออกข้างนอกตามสถานที่เก่าๆ เพื่อหาคนคุ้นเคย บ้างพบเจอแต่ส่วนมากก็เป็นเช่นคนอื่นๆ ที่จำเขาไม่ได้ แม้จะต้องพบเจอความผิดหวังแบบนั้น แต่ทิวาก็ยังคงออกเดินทางไปยังสถานที่ในความทรงจำ ค้นหาคนเหล่านั้นคนแล้วคนเล่า เป็นเช่นนั้นมาตั้งแต่วันแรกที่เริ่มซ้อมจนตอนนี้

“มีเดย์ก็สบายไปแสนแปด” เวย์ว่า “ถ้าเป็นปกติที่มีอยู่แค่ห้าชีวิตนะ กินดีที่สุดคือมาม่า! นอกนั้นก็คืออดๆ อยากๆ หัวหน้ามันไร้น้ำยา!!”

“มึงเดือดร้อนบ้างก็ดีนะไป๋ มึงหัวหน้าวงอะ”

ไป๋ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองแคทเลยด้วยซ้ำ ยังคงสนใจอยู่กับการโซ้ยข้าวและกับข้าวที่มีเพียงไม่กี่อย่าง แต่ก็มากพอเลี้ยงผู้ชายหกคน “กูมันหัวหน้าปลอมๆ หัวหน้าจริงๆ เขาเสนอหน้าอยู่หัวโต๊ะโน่น” ว่าแล้วก็ชี้ช้อนไปยังวินที่ก้มหน้าก้มตากินเงียบๆ ก่อนจะร้องโอดโอ๊ย เพราะถูกคนโยนภาระหน้าที่เตะเข้าให้ที่หน้าแข้ง เดือดร้อนจินที่นั่งตรงกลางระหว่างทั้งสองคนต้องไกล่เกลี่ยให้ เพราะไม่งั้นกับข้าวคงเทะกระจาดอดกินมันหมดทั้งโต๊ะนี่แหละ

“อิ่มแล้ว อย่าลืมที่คุยกัน ไอ้เวย์มึงรีบแต่งส่วนของมึงให้จบแล้วส่งให้จินตรวจ ส่วนให้แคทกับไป๋ มึงสองคนคิดอีกสองเพลงแล้วส่งไปให้บริษัท ถ้าเขาโอเคก็จัดการเรื่องเนื้อต่อ”

“รัวไปไหนพ่อ มึงง่วงนักหรือไง”

“เออ”

“บอกว่าเออ แต่เดินไปห้องซ้อมเนี่ยนะ งงกับมัน” แคทว่าพลางมองตามวินที่เดินหายไปยังห้องซ้อมตามที่ว่า แต่ก็มองเพียงชั่วครู่ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อยที่วินเอาแต่หมกตัวอยู่กับห้องซ้อมเช่นนี้

แต่ทิวาไม่ได้รู้เหมือนกับคนอื่น ดังนั้นในใจจึงรู้สึกแปลกๆ ปะปนไปกับความอึดอัด นั่นเพราะตั้งแต่วันที่กลับบ้านมา จนกระทั่งจบช่วงเวลาที่นั่งพูดคุยกัน หลังจากนั้นก็คล้ายวินเลี่ยงที่จะเข้ามาพูดคุยกับเขา

แม้ว่าในความจริงพวกเขาจะไม่ได้พูดคุยกันสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เลี่ยงกันอย่างชัดเจนถึงขนาดนี้

“เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น”

“...”

จินยิ้มให้และพูดต่อ ราวกับอ่านใจเขาได้ “ปล่อยไปสักพักเถอะ เดี๋ยวก็เป็นเหมือนเดิมเอง”

“อือ”

มันจะเป็นจริงอย่างนั้น...ใช่ไหม?

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อจินที่เป็นเพื่อนกับวินมานานหลายปีนะ ก็เชื่อแหละ แต่ว่า…

“ลงมาทำไม”

“...นอนไม่หลับ”

คนที่ยังนั่งอยู่หน้าคีย์บอร์ดเหมือนคืนก่อนๆ ถอนหายใจแล้วขยับเหลือพื้นที่ให้เขานั่ง ซึ่งทิวาก็ไม่ได้ปฏิเสธที่นั่งตรงนั้นและเริ่มการเฝ้ามองอีกคนแต่งเพลงจากการกดโน้ตที่เขาไม่เข้าใจเลยสักตัวนั่นไปเรื่อยๆ

“ตีหนึ่งแล้วนะ”

“อืม”

“ไม่ง่วงหรือไง”

“ยังแต่งไม่จบ”

“ก็ค่อยแต่งต่อ”

“ไม่ได้”

“ทำไม” นิ้วเรียวที่กดตัวโน้ตหยุดลง พร้อมกับที่วินเงยหน้าขึ้นมามองเขา แสงจันทร์จากด้านนอกลอดผ่านเข้ามาในตัวห้องที่มีแค่พวกเขาสองคน แต่มันไม่ได้ทำให้เขาเห็นสีหน้าของวินชัดเจน เห็นเพียงความแวววาวของดวงตาที่สะท้อนแสงไฟจากโคมไฟตัวเล็กๆ ไม่ไกลจากพี่พวกเขานั่งอยู่เท่านั้น

“หยุดแต่งไปนานมากแล้ว ได้เวลาแต่งต่อให้มันจบซักที”

“นานแค่ไหน”

“หกปี”

“...”

ทิวามองตามสายตาของวินจนไปหยุดที่กระดาษสีเหลืองอ่อนที่วางซ้อนกันไม่ไกลจนเอื้อมไม่ถึง เมื่อเห็นว่าอีกคนไม่ได้ว่าอะไรจึงหยิบมันขึ้นมาดู ในกระดาษขีดเขียนอะไรมากมายเต็มไปหมด ทั้งแนวเพลง ข้อความบางส่วนที่เขียนเน้นไว้ว่าเป็นเนื้อเพลงบ้างล่ะ ไม่ก็โน้ตที่เขาอ่านไม่ออกสองสามบรรทัด แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจว่าเขาคิดถูกแน่ๆ

เพลงนี้...มันมีเจ้าของ

มันถูกแต่งขึ้นให้กับใครบางคน...

ท้ายกระดาษสีซีดนี่ในหน้าสุดท้าย เขียนคำว่าแด่ใครบางคนเอาไว้ แต่เพราะตัวอักษรเลือนหายไปจากคราบน้ำ ทิวาจึงไม่สามารถเดาได้ว่าเพลงนี้เป็นของใคร แต่จากทุกข้อความบนนี้ ทุกความเอาใจใส่ที่เขียนลงไป

น่าจะรักมากๆ

“แฟนเหรอ” ทิวาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดออกไปด้วยความรู้สึกแบบไหน มันไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากรู้สักเท่าไหร่ แต่...ไม่รู้จะยิ่งทำให้เขารู้สึกแย่ไปมากกว่าเดิมเสียอีก

เขารู้สึกกับวินไปแล้ว ไม่ว่าจะในตอนนั้นหรือในตอนนี้ ก็ยังรู้สึก

ความรู้สึกเล็กน้อยมันเพิ่มขึ้นทุกวัน ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้อยู่ด้วยกัน

ถึงจะไม่ได้คุยกันเลย แต่ทุกครั้งที่กลับมาพร้อมกับความผิดหวัง เขามักจะพบว่า มีใครนั่งและรอเขากลับมาเสมอ

แววตานั่นที่มองมา ไร้คำพูดใดๆ แต่คล้ายจะปลอบใจเขา

นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขายืดหยัดต่อ แม้ว่าจะไร้หนทางข้างหน้า

สุดท้ายแล้วความรู้สึกที่เพิ่งจะเริ่มต้นที่เขานึกว่ามันจะค่อยๆ จางหายไปพร้อมกับระยะห่างของพวกเขา มันกลับยังอยู่และเติบโต แม้ว่าสุดท้ายมันจะไม่มีวันสมหวังก็ตาม

ทิวาเตรียมใจที่จะฟังคำยืนยันแล้วแท้ๆ แต่คำตอบจากวินกลับทำให้หัวใจของทิวาพองฟูขึ้นมาจนได้

“ไม่ใช่”

“แล้ว...”

วินหยิบกระดาษปึกนั้นออกจากมือของเขา ลูบทุกตัวอักษรบนนั้นอย่างทะนุถนอมและเต็มไปด้วยความคิดถึงที่แสดงออกผ่านแววตาทั้งคู่ “คนสำคัญคนหนึ่ง”

“...ตอนนี้เขาไปไหนซะล่ะ”

“ไปที่ไกล...ไกลมากๆ จนกูไปหาไม่ได้”

“...”

“ก็หวังอยู่ทุกวันอะนะว่าเขาจะกลับมา” วินว่าแล้วหัวเราะ คล้ายจะเยาะเย้ยตัวเอง “แต่มันก็เป็นแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ เขาไม่กลับมาอีกแล้ว”

“...”

“อันที่จริงน่าจะพูดว่า กลับมาไม่ได้มากกว่า”

“วิน”

“ครับ”

คำตอบรับที่ไม่คุ้นเคย ไม่ได้ทำให้ทิวาใจเต้นเหมือนเคย มันกลับทำให้ปวดใจ เพราะรอยยิ้มตรงหน้าและใบหน้าที่หันมามองมีแต่ความเศร้า

“แบบนั้นน่ะ...มันแปลว่ารักมากๆ เลยไม่ใช่หรือไง”

“...อาจจะใช่ก็ได้มั้ง ไม่แน่ใจเหมือนกัน ช่วงเวลาที่ได้ใช้ด้วยกันมันสั้นมากๆ เสียจนจำกัดความไม่ถูก”

“...”

“รู้แค่มีความสุขมากๆ เลยล่ะ”

 “...เล่นให้ฟังได้ไหม” เขาว่า

ตอนที่หลุดปากไปเขาคิดไว้แล้วแหละว่าวินน่าจะปฏิเสธ แต่ใครจะไปคิดว่าอีกคนจะหันมายิ้มแล้วพยักหน้าตอบรับคำขอนั้น “ได้สิ”

“...”

แม้ทิวาจะรู้แล้วว่าเพลงนี้เป็นของคนอื่น มันไม่ใช่เพลงของเขา

“ตั้งใจฟังดีๆ ล่ะ”

แต่ตอนที่ได้ฟังและสัมผัสยามที่ตัวโน้ตและตัวถูกอีกคนร้อยเรียงละถ่ายออกมาเป็นบทเพลง ทิวากลับรู้สึกคล้ายว่ามันเป็นของเขา

และเป็นเช่นนั้นมาตั้งแต่แรก

มือของเขายื่นออกไปโดยไม่รู้ตัวและวางทาบลงมือขวาของวินเอาไว้ จนบทเพลงที่กล่อมเกลาทั้งตัวเขาและบรรยากาศรอบตัวพวกเขาทั้งคู่หยุดชะงักลง ทิวาขยับจนมือพวกเขากุมสอดประสานเหมือนเป็นหนึ่งเดียวแล้วเงยหน้ามองเจ้าของมืออีกข้างที่กำลังเฝ้ามองการกระทำของเขาอยู่

ไม่มีคำพูด ไม่มีสัญญาเตือน ไม่มีอะไรสักอย่าง

แต่ใบหน้าของพวกเขากลับเคลื่อนเข้าหากันราวกับถูกดึงดูดซึ่งกันและกัน

จนกระทั่งเงาของ ‘เรา’ รวมเป็นหนึ่งเดียวในที่สุด

“...ไหนว่าไม่ได้คิดอะไรด้วยสักนิดเลยไง” หลังผละใบหน้าออกจากกัน สีหน้านิ่งขรึมและน้ำเสียงเรียบเรื่อยนั่นทำเอาทิวาหมั่นไส้จนต้องทุบไปหนึ่งที พร้อมสวนกลับด้วยคำพูดเมื่อตอนนั้นเช่นเดียวกับอีกคนทำทันที

“แล้วไหนบอกว่าไม่มีอะไร ถ้าไม่มีอะไรแล้วจูบตอบทำไม”

วินหลุดหัวเราะออกมาจนได้ ก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างประคองใบหน้าเขาเอาไว้ “ก็ถ้ายอมรับ พวกนั้นก็จะแซวไม่เลิกอะดิ”

“ขี้โกหก”

“คนแถวนี้ก็เหมือนกัน”

“...ตั้งแต่เมื่อไหร่” เขาถาม แน่นอนว่าหมายถึงความรู้สึก แต่วินกลับไม่ยอมตอบแล้วถามกลับมาเสียอย่างนั้น

“แล้วเดย์ล่ะ”

“...”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“บอกไปก็ไม่น่าจะเชื่อ” ถ้าเขาบอกว่าชอบอีกคนมาตั้งแต่เจอกันเมื่อหกปีก่อน แต่ดันข้ามเวลามาอีกหกปีข้างหน้าแล้วก็มาชอบคนเดิม แล้วอีกคนเชื่อสิแปลก

ความรู้สึกเขาน่ะมันชัดเจนอยู่แล้ว เพียงแต่มันยากจะพูดออกไปถึงที่มาของมันเท่านั้นแหละ

“อาจจะตั้งแต่แรก”

“...”

“...”

“อืม”

“อืม’ คืออะไร” คราวนี้ทิวาทวนเสียงเข้ม เพราะมันไม่ได้ให้ความมั่นใจอะไรกับเขาสักอย่างเลย สีหน้าของเขาคงจะตลกมากแน่ๆ โดยเฉพาะในตอนที่ใบหน้าของเขาอยู่ระหว่างสองมือที่ประคองอยู่จากวิน ไม่งั้นอีกคนคงไม่หัวเราะเสียงดังขนาดนี้ จะหัวเราะดังจนทุกคนตื่นเลยหรือไงฟะ

จนต้องโดนเขาทุบนั่นแหละถึงได้หยุดหัวเราะแล้วยอมตอบเสียที “อืมก็หมายถึง ตั้งแต่แรกเหมือนกัน...มั้ง”

“ทำไมต้องมีมั้ง”

“มั้งเพราะไม่รู้น่ะสิ” มือข้างหนึ่งแตะไล่มาตั้งแต่เปลือกตา ผิวแก้ม กระทั่งมาหยุดที่ริมฝีปาก

“...”

“จู่ๆ ก็กลับมา ไม่ให้ได้ทันตั้งตัวเลยสักนิด”

“...”

“สับสนไปหมด ไม่รู้ว่าจริงหรือโกหก แต่สุดท้ายก็แพ้เหมือนเดิมเลย”

“หมายความว่าไง...” ยังพูดไม่ทันจบ ริมฝีปากตรงหน้าก็ก้มลงจรดประทับอีกครั้ง จนทิวาได้แต่เอาความสนใจของตัวเองไปสนใจกับจูบนั้น หลงลืมทุกอย่าง จดจ่ออยู่แต่กับคนตรงหน้าที่ตัวเองกอดอยู่

อืม ช่างมันเถอะ

ไว้พรุ่งนี้ค่อยถามใหม่ก็แล้วกัน

 







แต่สุดท้ายก็แพ้

แพ้ตั้งแต่วางหัวใจไปตรงหน้าเธอ แม้ว่าจะเธอจะไม่สนใจมันเลยก็ตาม



(โปรดติดตามตอนต่อไป)

-----------------------------------------------------------------------------

fact about  ทิวา

อยู่กับปัจจุบัน มากกว่าอนาคต

NAVY
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 8 ★ 17/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-11-2019 22:14:19
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 8 ★ 17/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-11-2019 01:06:53
 :pig4: :pig4: :pig4:

ค้างคา.....

อยากรู้ว่าหกปีที่แล้ว  เดย์หายไปยังไง?

สงสัยว่าอิทธิพลของคำอธิษฐานนั้น  เดย์วาร์ปมาหกปีให้หลัง 
ในขณะที่คนอื่น ๆ รวมถึงวินนั้นพบว่าเดย์หายสาปสูญไปแบบไร้ร่องรอย

แต่...ทำไมจึงไม่มีใครรู้จักเดย์เลย?
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 8 ★ 17/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 18-11-2019 10:52:54
หกปีที่หายไปคืออะไรอยากรู้มากกกกกกก
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 9 ★ 25/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: KarmaNavy ที่ 25-11-2019 20:59:01
ทุกอย่างค่อยๆ เปลี่ยนแปลง

หน้าปฏิทิน เวลา ฤดูกาล

รวมถึงหัวใจของฉันก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกัน










ตกหลุมรักระยะที่ 9




“พรุ่งนี้ผู้ช่วยคนใหม่จะเข้ามาดูแล้วนะ”

จู่ๆ บทสนทนาอันไร้ที่มาที่ไปก็ถูกเปิดประเด็นขึ้นกลางโต๊ะอาหาร หลังจากที่ทุกคนเริ่มกินข้าวกัน พอจินพูดจบปุ๊บก็เหมือนทุกสายตาล้วนพุ่งตรงมาหาทิวาที่นั่งกินเงียบๆ ทันที แต่ก่อนจะได้แสดงท่าทางอะไรออกไป คนข้างตัวเขาก็เงยหน้าขึ้นมองจนเวย์และคนอื่นๆ ได้แต่หลบตา ก่อนส่งสัญญาณให้จินพูดต่อ

“เอ่อ...เห็นว่าเป็นผู้หญิงนะ”

“สวยไหมจิน”

“มันใช่ประเด็นที่ควรสนใจไหมวะ...ผมยาวรึสั้น”

เวย์ต่อยไหล่แคทที่เสนอหน้ามาว่าเขา ก่อนจะว่ากลับ “มึงก็เหมือนกันนั่นแหละ ทำมาว่ากู”

“เออน่า ให้จินตอบก่อนค่อยมาด่าต่อ ว่าไงจิน”

“ไม่รู้เหมือนกัน พี่เต้บอกแค่ว่าวินน่าจะรู้จักดี” จบคำนั้นก็เหมือนเหตุการณ์รีเพลย์อีกครั้ง แต่คราวนี้จุดรวมสายตากลับเป็นคนข้างทิวาแทนเสียอย่างนั้น ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ได้ทำให้อีกคนสะทกสะท้านขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย วินยังคงกินข้าวไปช้าๆ เรื่อยๆ ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากเหมือนเคย เมื่อข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก อีกคนก็ยกมือขอบคุณตามปกติแล้วเอ่ยตอบความสงสัยทุกคน “อิ่มแล้ว ไปแต่งเพลงต่อนะ”

“หนีอีกแล้ว”

“หนีทั้งปีอะมัน”

“แสดงว่ามันรู้ว่าใครแน่ๆ” ไป๋ว่า “เขาไม่ได้ให้รูปมาเลยเหรอ พี่เต้อะ” จินส่ายหน้าเมื่อไป๋หันมาถาม แน่นอนว่าตัวเขาเองก็สงสัยนั่นแหละว่าเธอคนนี้ที่จะมาทำงานร่วมกัน แม้จะเป็นช่วงสั่นๆ ระหว่างทัวร์ครั้งนี้ ว่ามีหน้าตาหรือนิสัยอย่างไร โดยเฉพาะไอ้ที่บอกว่าวินน่าจะรู้จักดีนั่น ใช่คนที่พวกเขาคิดหรือเปล่า

“มึงว่าไง” เวย์

“กูว่าใช่” ไป๋

“กูอีกหนึ่งเสียง” แคท

“สรุปใคร นั่งคุยกันในญาณทิพย์เหรอ ฟังไม่เข้าใจสักอย่าง” ทิวาอดพูดโพล่งขึ้นมากลางวงไม่ได้ เมื่อแต่ละคนเอาแต่สบตากันไปมา พูดจากำกวมจนน่าฟาดให้หน้าหงายทั้งหมด รู้หรอกว่าน่าจะรู้จักกันมาก่อน แต่ช่วยทำให้คนนอกแบบเขาเข้าใจบ้างได้ไหม ซึ่งโชคดีที่ไม่ใช่แค่เขาที่สงสัย แต่จินเองก็ด้วย

“ใครอะไป๋”

“ลืมว่ากว่าจินจะมาอยู่ในวง เขาก็ไปแล้ว”

“อืม...” ไป๋มีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ด้วยสายตาคาดคั้นจากทั้งเขาและจิน ทำให้ต้องจำใจตอบออกมา “จะว่าไงดีล่ะ ...อดีตรักมั้ง”

“พูดซะลิเกเชียวไอ้ไป๋ มึงแค่บอกว่าอดีตคนคุยไอ้วินก็พอแล้วไหม”

“เพิ่งรู้ว่าวินมีคนคุยด้วย”

“มาช้าสุด ไม่รู้ก็ไม่แปลก” ไป๋ขยี้ผมจินแล้วหันกลับมาอธิบายต่อ “ก็เป็นความสัมพันธ์ประมาณนั้นแหละ แต่เรื่องจริงเป็นยังไง พวกกูก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะวินมันก็ไม่ได้อาลัยอาวรณ์อะไรนักตอนที่เขาไป ค่อนข้างจะปกติเกินไปด้วยซ้ำ”

“แต่ถ้าบอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่เชื่อเท่าไหร่ เพราะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ถึงจะอ้างว่าเขาช่วยเรื่องแต่งเพลงก็เถอะ” แคทเสริมขึ้นมาบ้าง

“แล้วทำไมเขาถึง...”

“เลิกคุยกันอะเหรอ?” พอทิวาพยักหน้า แคทก็เงียบไปพักหนึ่ง ในตอนที่ทุกคนไม่ทันสังเกต เขากลับเห็นแคทเหลือบสายตาไปมองไป๋ชั่วครู่ ก่อนจะหันมาตอบเขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ไม่มีอะไร เหมือนไปกันไม่รอดด้วยส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่ง ตอนนั้นวินมันค่อนข้างเก็บตัว ใครๆ ก็มองออกว่ามันไม่ได้สนใจใครเท่าไหร่ ประมาณว่าจะอยู่ก็อยู่ จะไปก็ไป”

“...”

“ทุกคนพูดว่ามันมีคนที่ลืมไม่ลงอยู่ หมายถึงคนที่เข้ามาเพราะอยากจะคบกับมันอะนะ”

“วินเคยมีแฟนเหรอ”

“ไม่มี” คราวนี้ทั้งสามคนตอบพร้อมกัน โดยมีเวย์ตอบเสริมขึ้นมา “พวกกูก็ไม่ได้รู้อะไรมากหรอกนะ เพราะเรื่องนี้มันก็นานแล้ว ไอ้วินก็ไม่เคยมาปรึกษา แต่น่าจะเป็นตอนปีสองปีสามนี่แหละ”

“ไม่ได้คบกันหรอก แต่พอเดาๆ ได้ว่ามันชอบใครอยู่ เพลงแรกที่มันยังแต่งไม่จบจนวันนี้มันก็แต่งให้คนนี้”

“แล้วเขาไปไหนแล้วล่ะ”

“...”

เห็นทุกคนไม่ยอมตอบและทิวามีสีหน้าสงสัยขึ้นทุกที ไป๋จึงได้แต่ประนีประนอม เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะบอกได้เองกับปาก

สำควรให้เจ้าของเรื่องเป็นคนพูดมากกว่า

“เอาจริงๆ ก็จำไม่ค่อยได้แล้ว คนเดียวที่ยังจำได้หมดทุกอย่างก็มีแต่ไอ้วินคนเดียวเท่านั้นแหละ”

“...”

“เพราะงั้นรอให้วินมันพูดเองดีกว่า ถ้าเดย์อยากรู้น่ะนะ”

“...”

“ไม่ใช่เรื่องที่น่าเอามาพูดลับหลังเจ้าตัวเท่าไหร่”

 










-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------











“ยังไม่จบอีกเหรอ”

“หมายถึงเพลงน่ะเหรอ วินเขียนเสร็จสักพักแล้ว” ทิวามองคนที่ยังก้มหน้าก้มตาทำอะไรสักอย่างกับโปรแกรมที่เขาไม่คุ้นตา แต่น่าจะเป็นโปรเกรมเกี่ยวกับพวกตัดต่ออะไรพรรคนั้น เมินคำแทนตัวที่ไม่คุ้นเคยเหลือเกินนั่นแล้วทั้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างตัววินที่กลายเป็นที่ประจำของเขาไปแล้ว แม้จะตกลงกันแล้วว่าจะลดพวกคำหยาบคายลง แต่มันก็ปรับตัวได้ค่อนข้างยาก ทั้งเวลาที่อีกคนแทนตัวด้วยชื่อตัวเอง มันก็น่ารักไม่หยอก

มันก็น่ารักดีแหละ แต่มันก็ไม่ค่อยคุ้นอยู่ดี

“เหลือแค่ปรับแก้นิดหน่อย แล้วก็ส่งให้บริษัทแค่นั้นแหละ”

“แต่งเนื้อแล้วเหรอ”

“เรียบร้อยหมดแล้วครับ วันนี้เป็นอะไรเนี่ย ถามจี้เป็นเจ้านายเชียว”

“...” ทิวาไม่ได้ตอบออกไปทันที แต่เอื้อมไปคว้ากระดาษที่จดโน้ตและเนื้อเพลงมั่วซั่วของอีกคน เตรียมจะคว้ามาอ่าน แต่โดนมือวินขวางเอาไว้เสียก่อน แววตาที่มองมาคล้ายกดดันและคล้ายให้เขาพูดสิ่งที่อยู่ในใจ จนสุดท้ายเขาก็ยอมแพ้ “ก็เปล่า แค่สงสัย”

“สงสัยว่า”

“ครั้งที่สองแล้วที่ได้ยินเรื่องคนนั้น...ไม่รวมเรื่องผู้ช่วยคนใหม่อีก”

“อาฮะ”

“หล่อเนอะ สาวเยอะ”

วินหัวเราะร่วนกับใบหน้าที่จะยิ้มก็ไม่เชิง จะแยกเขี้ยวด้วยความหมั่นไส้ก็ไม่ใช่ของทิวา ก่อนจะยื่นมือไปหยิกแก้มนุ่มด้วยความหมั่นเขี้ยว “ไม่มีอะไรเลยสักคน”

“แม้แต่คนที่แต่งเพลงให้อะนะ”

“อืม ไม่มีอะไรเลย” พริบตาหนึ่งทิวาแอบเห็นว่ามีรอยวูบไหวผ่านดวงตาของอีกคน แต่พริบตาต่อมามันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย จนอดพูดขึ้นมาไม่ได้

“ไม่เชื่อ”

“ก็ยังไม่ต้องเชื่อก็ได้”

“...”

“รอดูกันไป ยังไง...เดย์ก็จะไม่ไปไหนใช่ไหมล่ะ”

มือที่ถูกกุมเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่คว้าจับแผ่นกระดาษโน้ต ถูกวินยึดจับราวกับเป็นข้าวของส่วนตัว ซึ่งทิวาก็ไม่ได้คิดจะดึงกลับ ปล่อยให้อีกคนกุม บีบเล่นตามใจเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา

“กลัวอะไรนักหนา ฝังใจเพราะเคยโดนสาวเทหรือไง”

“คงงั้น ถ้าไม่ไปเหมือนครั้งอื่นก็ดี”

“ไม่นึกว่าคุณหัวหน้าวงก็มีมุมแบบนี้ด้วย” ทิวาส่งเสียงเตรียมล้อเลียนต่อเต็มที่ แต่ใครจะไปรู้ว่าการตอบสนองกลับมาอีกคนไม่ใช่การก่อกวนกลับเช่นเคย แต่กลับเป็นรอยยิ้ม...ที่ดูเศร้าๆ อย่างบอกไม่ถูก

“ทุกคนก็มีมุมอ่อนแอ มุมน่าสมเพซที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้เหมือนกันนั่นแหละน่า”

“...”

“ไม่ว่าจะเป็นใคร...เก่งแค่ไหนก็มีช่วงเวลาที่ไม่อยากจะนึกถึง แต่ก็ลืมไม่ได้จนฝังใจเหมือนกัน”

“มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ คนนั้น”

“คนไหน”

ทิวาเบ้ปาก “ไหนว่าไม่มีสาวเยอะ ยังจะมาถามว่าคนไหน”

เมื่อแหย่จนคนข้างตัวเลิกทำหน้าเครียดตามตัวเองได้สำเร็จ วินก็เผยยิ้มออกมา “คนที่แต่งเพลงให้อะเหรอ”

“อือ”

“ก็...ร้ายแรงอยู่นะ”

“แล้วคนที่จะมาเป็นผู้ช่วยล่ะ”

“เดี๋ยว นี่จะย้อนถาม ตามหึงทุกคนในอดีตวินเหรอ”

“ใครหึง อยากรู้อยากเห็นเฉยๆ ต่างหาก”

ทิวาตีหน้าเฉย คว้านู่นคว้านี่มาอ่านทั้งที่อ่านไม่รู้เรื่องเลยสักนิด ทำเหมือนตัวเองไม่ได้สนใจอะไรนักว่าวินจะพูดถึงคุณผู้ช่วยคนใหม่ที่จนตอนนี้เขาก็ยังไม่เห็นหน้าว่าอย่างไร แต่พอเห็นรอยยิ้มรู้ทันบนใบหน้าของคนข้างตัว ก็อดร้อนตัวไม่ได้ “มองอะไรนักหนา”

“มองคนปากแข็ง”

“ไม่ได้ปากแข็ง”

“อืม ก็ไม่แข็งจริงๆ นั่นแหละ”

ทิวากลอกตามองบนใส่วินที่ยิ้มกรุ่มกริ่มแทบไม่ทัน ไม่ต้องถามก็รู้ว่าอีกคนหมายถึงอะไร ที่แน่ๆ ไม่ได้หมายถึงนิสัยของเขาอย่างแน่นอน ไอ้ไม่แข็งนั่นน่ะ ดังนั้นก่อนจะโดนล้อเล่นเอากระดาษที่ม้วนในมือตีเข้าที่ไหล่วินทันที แทนคำถามไม่ให้อีกคนพูดเหลวไหล เพราะตรงนี้ไม่ได้มีแค่พวกเขาอีกแล้ว

“ทะเลาะอะไรกันตั้งแต่หัวค่ำ ไหนว่าดีกันแล้วไง”

“ก็ไม่ได้ทะเลาะ” วินว่า แล้วมองบรรดาเพื่อนร่วมวงคนอื่นที่ทยอยเดินเข้ามาในห้องซ้อม หลังจากปล่อยให้พักหลังกินข้าว “เขาเรียกว่ากายบริหารปาก เสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหัวใจต่างหาก”

“เสริมอะไร มึงจะทำให้เดย์โกรธจนหัวใจวายต่างหาก”

“หัวใจวายอาจจะใช่ แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่เพราะโกรธ...อื้อ!” เมื่อเห็นว่าวินจะหลุดปากพูดเรื่องเหลวไหลอีกแล้ว ทิวาจึงรีบเอื้อมมือไปปิดปากคนช่างจ้อผิดนิสัยตอนแรกที่เจอกันทันที พร้อมกับทุบไปอีกสองสามทีให้เลิกแกล้งเขาเสียที ดีที่อีกคนยังพอฟังรู้เรื่องเลยยอมหยุดแกล้งพร้อมรอยยิ้มน่าตีนั่น

ตั้งแต่วันนั้นวินก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละน้อย มันก็ดีหรอก เพราะเหมือนอีกคนก็ค่อยๆ เปิดใจให้ แต่เปลี่ยนไปขี้แกล้งเขา โดยเฉพาะเหมือนพยายามให้คนอื่นรู้เรื่องพวกเขาที่เปลี่ยนไปทีละนิดเนี่ย มันไม่ดีเอาเสียเลย

ไม่ใช่ว่าอยากปิดอะไรหรอกนะ แต่...ยังอยากใช้เวลาอีกสักพักก่อนจะบอกคนอื่นไป

เผื่อเกิดอะไรขึ้นมา อยากน้อยๆ มันก็จะได้จบลงแบบที่ไม่ต้องมีใครอึดอัดใจกับความสัมพันธ์ของพวกเขาที่มันไปไม่รอด

“จะซ้อมแล้วเหรอ ให้ออกไปก่อนไหม”

“ออกทำไม ก็นั่งฟังไปดิ” แคทว่าพลางประจำที่ เช็กนู่นเช็กนี่ไปเรื่อยเปื่อย “จะว่าไปตั้งแต่โดนเฉลยว่ามีผู้ช่วยจริงๆ มึงไม่เคยเข้ามานั่งฟังเลยนี่หว่า”

“ก็กลัวรบกวน”

“รบกวนอะไร มีคนฟังอะดีจะตาย” เวย์ว่า

“งั้นอยู่ฟังก็ได้ แต่เพลงเดียว”

“ไรว้า” ทิวาแอบยิ้มเมื่อคู่หูจอมโวยวายส่งเสียงโอดครวญมาพร้อมกัน

“จะไปนอนแล้ว ง่วง”

“วันนี้ก็ออกไปอีกแล้วเหรอเดย์”

“อือ” เพราะไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังอะไร เรื่องที่เขามักออกไปข้างนอกเพื่อตามหาคนรู้จักจึงเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนรู้ดี วันนี้ก็เช่นกันที่เขาออกไปที่แถวโรงเรียนมัธยมเก่าที่จำได้ว่ามีเพื่อนเก่าหลายคนอาศัยอยู่ แต่พอถึงถ้าไม่ปิดบ้านเงียบจนนึกว่าย้ายไปแล้ว ก็ไม่อยู่บ้านกันเสียเป็นส่วนใหญ่ แอบท้ออยู่เหมือนกัน แต่ทิวาก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้วนี่นา พอนึกมาถึงตรงนี้ก็ได้แต่ยิ้มเหนื่อยๆ ตอบกลับจินไป “แต่ก็ไม่ได้อะไรเหมือนเดิมเลย”

“เดี๋ยวก็เจอ”

“รู้น่า”

วินไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่สัมผัสที่ละเลงบนผมเหมือนแกล้งและปลอบโยนในคราวเดียวกันนั่นก็มากพอให้รอยยิ้มเขากลับมาแล้ว เขามองทุกคนยืนประจำที่ตัวเองและเริ่มเล่นดนตรีในบทเพลงที่เริ่มคุ้นหูพร้อมรอยยิ้ม เอาจริงๆ ในใจของเขาก็ยังมีแต่วงวีอาร์เหมือนเดิมนั่นแหละ เพียงแต่...

ยูอาร์ก็ไม่เลวเหมือนกัน

แม้จะบอกว่าจะฟังแค่เพลงเดียว แต่เอาเข้าจริงทิวาก็ฟังเพลินจนเผลอหลับไปในห้องซ้อมจนได้และเพราะเหนื่อยมากจริงๆ ถึงในห้องจะมีเสียงดังแค่ไหนแต่อีกคนก็ยังหลับอยู่แบบนั้น เป็นที่เอ็นดูของบรรดาคนที่เหลือ จนจินเห็นว่าเวลามันพอสมควรแล้วจึงบอกให้ทุกคนเลิกซ้อมและหาคนขันอาสาพาทิวากลับห้องเสียที

“กูเอง”

“ก็ยังไม่มีคนแย่งเลย พ่อไม่ต้องรีบก็ได้”

แม้มันจะจริงตามที่เวย์มันแซว แต่มันก็กวนตีนเสียจนปล่อยผ่านไม่ได้ ดังนั้นตอนที่วินเดินผ่านจึงเตะเข้าให้ จนคนปากมอมร้องโวยวายลั่นแล้ววิ่งไปหลบหลังคนที่ตัวสูงที่สุด แต่ถามว่ามันช่วยอะไรได้ไหม ก็ไม่หรอก ดีไม่ดีแคทนั่นแหละ จะจับมันให้เขาตั้งแต่แรก

“โหดร้ายมาก กับเพื่อนกับฝูง”

“ก็ถ้าไม่ใช่เพื่อนกูไม่เตะแค่ทีเดียวหรอก”

“ใจร้าย!”

“พอเถอะเวย์ มึงตัดพ้อแล้วไม่ได้น่ารักอะ มันน่าขนลุก”

“ไอ้แคท! มึงจะวิ่งไปไหน กลับมาให้กูเตะเดี๋ยวนี้เลย” แล้วสองคนที่เสียงดังที่สุดก็วิ่งออกจากห้องไป ตามด้วยจินกับไป๋ จนกระทั่งห้องกลับมาเหลือพวกเขาแค่สองคนอีกครั้งหนึ่ง หลังวินจัดระเบียบห้องซ้อมจนกลับเป็นสภาพก่อนที่จะซ้อมเรียบร้อยแล้ว ก็เดินมาหาคนที่หลับสนิทและทิ้งตัวลงนั่งตรงหน้าอีกคน มองแล้วยิ้มโดยไม่ลืมก่อกวนด้วยการเขี่ยแก้มไปมา

ก็ไม่ได้หลับสนิทสักเท่าไหร่หรอก ไม่งั้นจะขยับยุกยิกแล้วอมยิ้มแบบที่เขาเห็นได้ยังไง

“ตื่นได้แล้ว”

“ไหนว่าจะไปส่งห้อง”

วินมองดวงตาตรงหน้าที่ฉ่ำวาวไปด้วยน้ำตา ไม่รู้เพราะว่าเพิ่งตื่นหรือยังนอนไม่พอกันแน่ แต่มันก็ทำให้ดวงตาของทิวาน่ามองขึ้นไม่รู้ตั้งกี่เท่า “ก็จะทำงั้นจริงนั่นแหละ แต่พอรู้ว่าคนแถวนี้เนียนทำไม่รู้เรื่องนอนต่อ ก็ไม่อยากทำแล้ว”

“แย่ๆ ทรีตลูกน้องได้แย่มาก นายมาวิน”

“คุณทิวาก็อย่าเอาเปรียบคนอื่นสิคร้าบ ตื่นแล้วก็ลุก จะได้ไปนอนดีๆ”

“ครับๆ ลุกแล้วครับ คุณมาวินเลิกบ่นทีนะครับ รำคาญครับ”

“เดี๋ยวเถอะ” ทิวาหัวเราะร่วนแล้ววิ่งหนีอีกคนไปทั่วห้องซ้อม เพราะมีแต่เครื่องดนตรีที่ไว้ทำมาหากิน ดังนั้นวินเลยช้าไปหลายจังหวะจนจับคนช่างต่อปากต่อคำที่วิ่งไปมาไม่หยุดไม่ได้เสียที จนเหนื่อยนั่นแหละถึงได้ยอมเดินกลับมาให้เขากอดแต่โดยดี

วินกอดทิวาแน่นแล้วซุกใบหน้าลงที่กลุ่มผมหอม ด้วยเพราะพวกเขาสูงพอๆ กัน ดังนั้นตอนที่วางคางบนไหล่เลยพอเหมาะพอเจาะไม่มากไปหรือน้อยไป เขากอดแล้วโยกไปมาอยู่พักใหญ่ จนรู้สึกว่าไหล่ข้างที่ทิวาพิงอยู่ชักจะหนักขึ้นเรื่อยๆ เป็นสัญญาณว่าอีกคนกำลังจะหลับไปอีกรอบนั่นแหละ จึงชวนอีกคนให้รีบกลับห้องไปอาบน้ำนอนเสียที

ระยะทางจากห้องซ้อมถึงหน้าห้องของทิวาไม่ถึงนาทีเสียด้วยซ้ำ แต่ทั้สองก็ยังชัดช้าเสียจนกว่าจะถึงก็นานจนเพื่อนคนอื่นๆ เข้าห้องนอนไปหมดแล้ว วินเปิดห้องของอีกคนแล้วดันให้ทิวาเข้าห้องไปโดยไม่ลืมย้ำให้อีกคนรีบออกมาอาบน้ำ ด้วยกลัวจะหลับไปทั้งอย่างนั้น ย้ำจนทิวาบ่นอุบว่าเหมือนพ่อไม่มีผิด จนเขาหัวเราะออกมา

“ไม่ดีหรือไง ได้แบบทูอินวันไปเลยไง”

“ไม่ดี ขี้บ่น”

“ก็ถ้าคนแถวนี้ไม่ทำตัวให้ห่วงจะบ่นไหมละครับ”

“...พูดไม่รู้เรื่องแล้ว รีบไปๆ เลยไป”

“เขินแล้วก็หนีทุกที”

ทิวาแลบลิ้น ย่นจมูกใส่อย่างน่ารัก ทั้งเตรียมจะปิดประตูใส่เขาแล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายก็ยังชะงักแล้วกลับมายิ้มให้เหมือนเดิม

“เจอกันพรุ่งนี้นะ”

“...”

“ฝันดี”

ประตูห้องของอีกคนปิดไปแล้ว ดังนั้นแสงที่ลอดออกมาให้ความสว่างแถวระเบียงจึงหายไปด้วย วินรู้ดีว่าเขาควรจะเดินกลับไปห้องตัวเองและเตรียมตัวอาบน้ำนอนเช่นที่เคยทำได้แล้ว แต่กลับขยับไปไหนไม่ได้ ได้แต่ยืนทื่ออยู่ที่เดิมอย่างนั้นเงียบๆ

เหมือนเหลือเกิน เหมือนจนน่าใจหาย

พริบตาที่ทิวาหันกลับมาแล้วบอกว่าเจอกันพรุ่งนี้ ซ้อนทับภาพรอยยิ้มในความทรงจำจนวินนึกกลัวขึ้นมา ในอกวูบโหวงจนรักษาสีหน้าไว้ไม่อยู่ ความกลัวผุดขึ้นกลางใจระลอกแล้วระลอกเล่า ทั้งอยากเปิดประตูตรงหน้าเข้าไปกอดอีกคน ทั้งอยากจะวิ่งหนีทำเป็นไม่รับรู้ไม่สนใจความรู้สึกในตอนนี้ของตัวเองปนกันไปหมด

ทั้งที่คิดว่ามันไม่มีทางเหมือนตอนนั้นแน่ๆ แต่ทำไมลึกๆ ในใจของเขานั้นก็ยังกลัวเช่นเดิม

ราวกับว่ามันเป็นสัญญาณเตือน

คิดมาถึงตรงนี้วินก็เผลอกัดปากตัวเองจนรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดจางๆ อวลไปทั่วปาก เรียกสติที่เริ่มเหลวไหลไปคิดถึงเรื่องที่ไม่ควรคิดให้กลับมาสู่ปัจจุบัน

เลิกคิดได้แล้ว มันจะไม่เป็นแบบเดิมแน่นอน

และต่อให้มันมีโอกาสเกิดขึ้นจริง ไม่ว่ามากหรือน้อยแค่ไหน เขาก็จะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง

ไม่อย่างแน่นอน

 




เปลี่ยนไป

จนไม่สามารถกลับไปเป็นของฉันได้อีกต่อไป



(โปรดติดตามตอนต่อไป)

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

fact about ทิวา

ค่อนข้างขี้หึง

แต่มักคิดว่าตัวเองปิดความขี้หึงได้แนบเนียนที่สุดในโลก

จนคนอื่นจับไม่ได้

NAVY
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 9 ★ 25/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-11-2019 22:59:42
 :pig4: :pig4: :pig4:

โอย...อยากรู้เหตุการณ์ตอนนั้นอ่ะ

ตอนเมื่อหกปีก่อน

ตอนที่เดย์หายไปอ่ะ  หายไปยังไง? 
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 9 ★ 25/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 26-11-2019 00:29:56
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 9 ★ 25/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 26-11-2019 19:58:34
อยากรู้เหตุการณ์เมื่อ 6 ปีก่อนจริง
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 9 ★ 25/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 27-11-2019 18:26:59
รอจ้าาา รีบมาต่อน๊าาา อยากรู้มาก หายไปไหนมา แล้วจู่ๆ วาร์ป มา 6 ปี ข้างหน้าได้ยังไง  :serius2:
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 10 ★ 30/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: KarmaNavy ที่ 30-11-2019 20:57:25
เธอมีความสุขไหม?

ถ้ามีก็คงดี

















ตกหลุมรักระยะที่ 10




มันยังคงเป็นเช้าเดิมๆ ที่เขาต้องลุกขึ้นมาทำข้าวเช้าให้คนอื่น ทำเสร็จแล้วก็ขึ้นไปปลุกเหล่าคนขี้เกียจทั้งหลาย (ยกเว้นจิน) ให้ตื่นขึ้นมากินข้าว จัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย เพียงแต่อาจจะต่างจากเช้าวันอื่นๆ เล็กน้อย

วันนี้จะมีใครอีกคนมาเยี่ยมเยือน ซึ่งทิวาไม่อยากจะยอมรับนักหรอก แต่เขาก็รอที่จะเจอเธอคนนี้พอสมควร

เพราะแบบนั้น ระหว่างที่พวกเขากำลังจัดการข้าวเช้า เมื่อเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น เขาจึงไม่ลังเลที่จะเป็นตัวแทนคนที่เหลือออกไปยังหน้าบ้านเพื่อเจอเธอ แม้ว่าจะมีตัวแถมติดสอยห้อยตามมาด้วยก็เถอะ

“ไหนว่าไม่สนใจไง” วิน

“ก็ไม่ได้สนใจ”

“แต่วิ่งมาคนแรก”

“มันเป็นมารยาทที่ดีของเจ้าบ้าน...”

“มาเป็นเจ้าของบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่”

“เมื่อกี้”

“คำว่าหึงมันสั้นกว่าเยอะเลยนะ จะพูดทำไมยาวๆ” วินฉวยโอกาสตอนที่คุยกันบีบปากที่ช่างเถียงนั่นแล้วเบียดออกไปรับแขกที่มายืนรอพวกเขาคุยกันท่ามกลางแสงแดดยามเช้าที่ไม่ค่อยปราณีผิวสักเท่าไหร่ ก่อนทิวาจะรีบเดินไปสบทบและเมื่อเจอเธอคนที่เขาอยากจะพบ ก็อดตกใจไม่ได้

เขารู้จักเธอคนนี้

ถ้าจำไม่ผิด เธอคือดาวเด่นจากคณะบัญชี จำได้ว่าโรมชอบเอารูปของเธอตามเพจมาให้พวกเขาดูเป็นประจำ ไม่เห็นเคยได้ยินว่าเธอคบกับใคร ที่แท้...ก็มีคนคุยอยู่แล้วนี่เอง

“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สูงขึ้นเยอะเลย”

“เลิกทำเหมือนนี่เป็นเด็กๆ ได้ไหมละ แล้วก็มันไม่ได้เพิ่มตั้งแต่เธอไปเรียนต่อที่อื่นเลยสักนิด”

เสียงหัวเราะของเธอใสเหมือนแก้วเนื้อดี ทำเอาคนฟังฟังเพลินโดยไม่รู้ตัว “ทักตามมารยาทย่ะ ปากดีไม่เปลี่ยนเลยนะ” ว่าแล้วก็เดินเข้ามาในบ้านหลังจากที่วินเปิดรั้วให้ ใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่แทบตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนที่สังเกตเห็นเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง ในแววตามีความสงสัย กระนั้นก็ยังยิ้มและทักทายเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “สวัสดีค่ะ เพื่อนวินใช่ไหมคะหรือเป็นเพื่อนในวงคนใหม่”

“เป็นเพื่อนครับ แต่ไม่ใช่คนในวงครับ”

“อ้าว ซะงั้น ขอโทษค่ะ”

“เข้าไปคุยในบ้านเถอะ แดดร้อน” วินรีบตัดบทก่อนจะบทสนทนาจะยืดยาวไปมากกว่านี้ ไม่สนใจคนข้างตัวที่ตีหน้าบูด รีบออกแรงดันหลังทั้งคู่ให้เข้าบ้าน ก่อนจะตามเข้าไปหลังจากที่ปิดรั้วและประตูเรียบร้อย

เสียงโวยวายดังขึ้นมาทันทีที่แขกหน้าใหม่เข้าไปในบ้าน ทุกคนรุมพูดคุยเจื้อยแจ้ว เว้นแต่จินกับทิวาที่ยังไม่คุ้นเท่าไหร่ จึงเอาแต่นั่งฟังคนอื่นรำลึกความหลังไปเงียบๆ เท่านั้น วินทิ้งตัวลงนั่งที่นั่งข้างตัวทิวา ซึ่งบังเอิญก็เป็นที่ว่างข้างๆ ผู้ช่วยคนใหม่ของพวกเขาพอดี

ภัทรที่กำลังหัวเราะอยู่กับเวย์ ย่นจมูกขยับเก้าอี้หนีทันที “มานั่งอะไรข้างเรา ไปไกลๆ เลย”

“โอเว่อร์แล้วแม่คุณ นั่งข้างแค่นี้ทำเป็นรังเกียจ ทีแต่ก่อนนะ...”

“แต่ก่อนอะไร!”

“เปล๊า ไม่มีอะไร” พอจบประโยคปุ๊บก็ต้องสูดปากด้วยความเจ็บทันที เพราะภัทรฟาดลงมาเต็มรักและยังมีทีท่าว่าจะลงโทษไปเรื่อยๆ ตามความกวนประสาทของเขา ซึ่งแน่นอว่าวินเอาคืนไม่ได้ เลยได้แต่ปัดป้องไปเท่านั้น ซึ่งมองจากสายตาคนนอกแล้ว มันมีความสนิทสนมกว่าคนอื่นในอีกแง่

อย่างน้อยๆ ทิวาก็ยังไม่เห็นใครที่วินยอมให้มากขนาดนี้น่ะนะ (เพราะตัวเขาเองยังโดนฟาดกลับมาเหมือนกัน สองมาตรฐานสุดๆ)

“ไม่เห็นไอ้วินทะเลาะกับผู้หญิงมานานเท่าไหร่แล้ววะเนี่ย” ก่อนทั้งคู่จะตีกันจนฟกช้ำไปมากกว่านี้ (แม้ว่าจะตีอยู่แค่คนเดียวก็เถอะ) แคทก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน “แล้วนี่ไปไงมาไง ทำไมถึงได้มารับงานให้วงเราล่ะ”

“ว่างงง ก็เลยมาทำแก้เบื่อ”

“เอาดีๆ ภัทร ไม่เล่นนะเนี่ย จริงจังอยู่”

“ถ้าจริงจังแกก็เลิกยิ้มดิ มันตลกอะ” ไม่ว่าเปล่า ระหว่างพูดมือของภัทรก็ยื่นไปหยิกแก้มคนข้างๆ ก่อนจะหันไปตอบคนอื่น โดยไม่แยแสว่าเจ้าของแก้มที่กำลังถูกละเลงบีบนั้นจะพยายามปัดมือออก “ว่างจริงๆ เพิ่งจบป.โท ยังวิ่งหางานอยู่ พอดีเจอพี่เต้พี่เขาเลยชวนมาช่วยงานระยะสั้น เงินก็ดี งานก็ไม่ได้ยากอะไร แค่ช่วยดูตารางงาน จัดคิวนู่นนี่ให้พวกแก ก็เลยตกลง”

“แม่แกไม่ว่าอะไรเหรอมารับงานต๊อกต๋อยเนี่ย”

“แม่ฉันเป็นแฟนคลับแกจะไปว่าอะไร ไล่ให้มารับงานแทบไม่ทัน” ภัทรหัวเราะร่า ก่อนจะนิ่งไปเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ “เออ ขอลายเซ็นไปฝากแม่ด้วย ทุกคนเลยนะ แม่ให้เอาอัลบั้มมาให้เซ็น” แล้วเธอหยิบอัลบั้มขึ้นมาวางเรียงบนโต๊ะตามจำนวนคนในวง ตอนแรกทุกคนเงียบไปเพราะอึ้ง แต่หลังจากตั้งสติได้ก็หลุดหัวเราะออกมาถ้วนหน้าไม่เว้นแม้แต่จิน ก่อนจะลงมือเขียนลายเซ็นและข้อความสั้นๆ ถึงคุณแม่ของเพื่อนเก่า โดยมีทิวามองภาพนั้นเงียบๆ

เขาไม่พูดอะไรเลย อาจเพราะไม่มีช่องให้พูดหรือต่อให้มี เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรอยู่ดี

จะว่ายังไงดีล่ะ จะบอกว่าคนที่เหลือปรับตัวกันเก่งก็ถูก แต่พอเห็นว่าภัทรค่อยๆ กลมกลืนไปกับทุกคน ทิวาก็อดรู้สึกแปลกแยกขึ้นมาไม่ได้

“เอ้อ ยังไม่ได้แนะนำเพื่อนใหม่ให้รู้จักเลยนะ ชื่ออะไรเหรอคะ เราชื่อภัทรนะ อายุเท่าทุกคนในวงเลยค่ะ”

“ชื่อทิวาครับ...ส่วนอายุก็น่าจะเท่ากัน” ท้ายเสียงแอบเบากว่าเล็กน้อย เพราะทิวาไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะบอกอายุตอนไหนดี แต่จะให้บอกอายุของเขา (ซึ่งหมายถึงหกปีที่แล้วของทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้) มันก็คงจะแปลกๆ เลยตีเนียนเสียเลย “เรียกว่าเดย์ก็ได้ครับ”

“สุภาพจนเราดูหยาบคายไปเลยอะ พูดปกติกับที่พูดกับพวกทโมนพวกนี้กับเราได้นะเดย์ แอบเกร็งเลยอะ”

“ใครจะไปหยาบกระด้างแบบเธอล่ะ”

“ถ้ามันไม่สร้างสรรค์ก็หุบปากไปก็ได้นะวิน”

“เนี่ย ปากร้าย อย่ามาแพร่ความร้ายกาจของเธอใส่เดย์นะ”

“วิน!”

“นี่พูดจริงนะเนี่ย ตอนเถียงกับเดย์ก็พูดมากอยู่หรอก แต่พอมาเจอภัทรที่เถียงกับเดย์ไปเด็กๆ ไปเลย” ไป๋ว่าพลางมองไปยังคนทั้งคู่ที่ตีกันเหมือนเด็กๆ พร้อมยิ้มมุมปาก “นึกถึงสมัยเรียนเลย”

“มีอะไรให้นึกถึงกัน ไม่เห็นน่าคิดถึงสักอย่าง”

“จริงเร้อ ได้ข่าวว่ามีเยอะเลย เช่นว่าจดหม...”

“ไอ้วิน!”

“เฮ้ยๆ นั่นมันแจกันนะเว้ย วางลงเลย” วินลุกจากเก้าอี้ทันทีที่เห็นว่าภัทรไม่ใช่แค่ขึ้นเสียงเฉยๆ แต่ฉวยเอาแจกันที่วางอยู่บนโต๊ะมาเตรียมขวางใส่เขาด้วย ร่างสูงโปร่งกว่าหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในห้องหลายสิบเซนต์ ตอนนี้กลับทำตัวหดเล็กหลบอยู่หลังเขากับจิน แต่ยังไม่วายกวนประสาทเธอด้วยการแลบลิ้นใส่ หวิดจะหัวแตกร่อมร่อ จนเขาต้องออกปากปราม

“วิน เลิกแกล้งภัทร”

“ดุอีกแล้ว ทำไมวันนี้ดุกว่าปกติ”

“...”

“ไม่ถามแล้วก็ได้ เรื่องแนะนำคงไม่ต้องแล้วมั้ง ไปซ้อมกันไหม จะได้ให้ภัทรรู้เรื่องพวกทัวร์ คิวเพลงอะไรพวกนั้นไปด้วย” เมื่อทุกคนไม่ได้ท้วง วินจึงเป็นแกนนำพาผู้ช่วยคนใหม่เดินไปยังห้องซ้อม โดยที่คนอื่นก็ลุกตามไปแทบจะทันที มีเพียงจินที่รั้งท้ายช่วยเขาเก็บจานชามบนโต๊ะ แม้เขาจะไม่ได้พูดอะไรออกไปเลย แต่จินก็ยังรู้ถึงความผิดปกติของเขาอยู่ดี

“จะตามเข้าไปก็ได้นะเดย์ มันไม่มีอะไรหรอก”

“ไม่เอาหรอก แล้วก็...เราไม่ได้คิดอะไรเหมือนกัน”

“จริงเหรอ”

“...”

จินยิ้ม “ที่เห็นเหมือนไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยนะ”

“...เดี๋ยวเราล้างเอง จินล้างมือแล้วไปซ้อมเถอะ”

“โอเคๆ ไม่ถามแล้วก็ได้ แล้วนี่วันนี้จะออกไปข้างนอกไหม”

“ไป วันนี้จะกลับไปมหาลัยอีกสักรอบ”

“อย่ากลับดึกมากนะ เอ้อ วันนี้ไม่ต้องทำกับข้าวนะเดย์ เห็นว่าพวกแคทจะสั่งพิซซ่ามาน่ะ” เขาพยักหน้ารับแล้วรีบลงมือล้างจานชามในซิงค์ให้เรียบร้อย ก่อนจะออกไปด้านนอกโดยไม่ได้บอกลาใครบางคนอย่างที่เคยทำ

ถึงจะไปบอก...ตอนนี้ก็คงไม่ว่างฟังแหงๆ

เพราะแบบนั้น เขาจึงไม่รู้ ว่าหลังจากที่จินตามเข้าไปยังห้องซ้อม ตอนที่แคทกับเวย์กำลังโชว์พาวให้ผู้ช่วยคนใหม่และไป๋ดู วินได้ถามถึงเขา

“เดย์ล่ะ”

“ออกไปแล้ว มีอะไรหรือเปล่า”

“...วันนี้ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะไปไหน”

ตอนแรกจินกำลังจะอ้าปากบอกอยู่แล้วเชียว แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่พูดอะไร ดูเหมือนว่าทิวาจะไม่อยากให้วินรู้ ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะไม่พูดไปละกัน

“ไม่เห็นว่าอะไรนะ ล้างจานเสร็จแล้วก็ออกไปเลย ทำไมล่ะ ปกติบอกเหรอ”

“อืม”

“วันนี้คงไม่ปกติมั้ง”

“คงงั้น”

ว่าจะไม่หัวเราะ แต่สีหน้าหงอยๆ ของวินที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก ก็ทำให้เขาหลุดขำออกมาจนได้

ทิวาหนอทิวา

ในขณะที่อีกคนคิดมากกับคนใหม่ ก็ได้มองข้ามอะไรบ้างอย่างไปจริงๆ นั่นแหละ น่าเสียดาย

“ถ้าวินมีหางกับหู ตอนนี้คงหางลู่หูตกแหงๆ”

“แซวเป็นหมาเลยเหรอ”

“แล้วไม่ใช่เหรอ?”

“...หมาก็หมาวะ เฮ้อ” ไอ้พฤติกรรมที่รอใครบางคนกลับบ้าน แล้วพอเขากลับก็ดีใจนี่มันก็เหมือนหมาจริงๆ นั่นแหละ “ไปซ้อมเหอะ”

“รับทราบ”

“...”

“ยิ้มหน่อยคุณหัวหน้าวง สาวเขางงใหญ่แล้วว่าทำไมหน้าบูด”

วินผลักหัวจินจนเซไปอีกด้านทันที ทั้งที่ปกติแล้วจะไม่เคยลงมิอ ก่อนจะเริ่มซ้อมด้วยใจไม่ปกตินัก กระนั้นความเป็นมืออาชีพก็ยังมีอยู่ ดังนั้นจึงได้รับคำชมมากมายจากภัทรที่ไม่ได้เยี่ยมชมการซ้อมของพวกเขามานานกว่าห้าปี

ระหว่างช่วงพักที่พวกเพื่อนเขาพูดคุยกันราวกับมีเรื่องมากมายให้พูดคุยไม่รู้จบ เขาก็ได้แต่พิมพ์ไปลบไปในช่องแชทของใครอีกคนที่วันนี้หนีหายโดยไม่ยอมบอกเขาว่าจะไปไหนเหมือนเคย ล่าสุดได้แต่พิมพ์ค้างเอาไว้ไม่กล้ากดส่งสักที

ไอ้คำว่า ทำไมไปไม่บอก มันดูตัดพ้อแปลกๆ ไปไหมนะ

วินขมวดคิ้ว เตรียมจะกดลบอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่รู้สึกตัวว่ามีใครกำลังเดินเข้ามาและชะโงกมองหน้าจอเขาอยู่พอดี จนทำให้เขาพลาดกดส่งไปเสียอย่างนั้น

“คุยกับใครอะ”

ติ๊ง!

“เชี่ย”

“เฮ้ย สบถใส่ผู้หญิงได้ไง นิสัยไม่ดี”

“เวรเอ๊ย มาแอบดูทำไมเนี่ย เผลอกดส่งเลย” วินโวยลั่น ขณะที่ต้นเหตุอย่างภัทรกลับไม่เดือดร้อนใจสักนิด อีกทั้งดูจะสาแก่ใจมากกว่ากับท่าทางหัวเสียของอีกคน

“นั่นมันเรื่องของแกแล้ววิน”

“ยัยภัทร!”

“สมน้ำหน้า แบร่!”

“มึงจะส่งให้เดย์เหรอ”

วินรีบเก็บโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋ากางเกง แล้วหันไปหาไป๋ที่ยื่นโทรศัพท์แสนคุ้นตาจากมุมห้องที่พวกเขามักใช้ชาร์ตแบตโทรศัทพ์มาให้เขา “เหมือนเดย์จะไม่ได้เอาออกไปนะ...”

ไม่รอให้ไป๋พูดจนจบ เขาก็ฉวยเอาโทรศัพท์ทิวาปลดล๊อคพร้อมกับลบข้อความนั้นออกจากเครื่องของอีกคนทันที ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีหรือร้ายดีที่อีกคนไม่ได้เอาโทรศัพท์ไป เพราะนั่นหมายความว่าจนกว่าทิวาจะกลับมา เขาจะไม่สามารถติดต่ออีกคนได้เลย

“เป็นห่วงหรือไง”

“ไม่ห่วงได้ไง”

“...เหมือนมึงคนเดิมเลยนะ”

“เรื่อง?”

“รู้อยู่แหละว่าพวกมึงคงไม่ได้อยากจะป่าวประกาศอะไรนัก แต่พวกกูก็สังเกตเห็นอยู่ทุกวันจะไม่เอะใจก็คงไม่ได้” ไป๋นั่งที่พนักเก้าอี้ที่เพื่อนเขานั่งอยู่ ไม่ได้มองไปหาคู่สนทนาเสียด้วยซ้ำ แต่กลับทำให้วินรู้สึกว่าอีกคนคอยเฝ้ามองอยู่ “มึงในตอนนี้กับเดย์ ทำเอากูนึกถึงมึงกับคนนั้นเมื่อหกปีก่อนเลย”

“...”

“ทั้งสองคนคล้ายกันเหรอวะ มึงถึงได้เปิดใจเร็วขนาดนี้”

“...ไม่ได้เปิดใจ”

“ยังจะปากแข็ง”

“เปล่า ไม่ได้ปากแข็งเว้ย แต่ไม่ได้เปิดใจจริงๆ”

“...”

“ที่ผ่านมามันก็เป็นเขามาตลอด ไม่เคยเป็นคนอื่นเลย...”

“หมายความว่าไง”

รอยยิ้มของวินทำให้ไป๋อดสงสัยไม่ได้ แต่คำถามที่เขาต้องการคำตอบกลับได้เพียงความเงียบกลับมา จนได้แต่ยอมไม่คาดคั้นชั่วคราว เพราะดูท่าเพื่อนของเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าควรตอบอะไรกลับมา

“เอาไว้วันหนึ่ง มึงก็จะรู้เองนั่นแหละว่าที่กูพูดหมายความว่าไง”

“ขอให้มันจริง มึงพูดแบบนี้มาล้านรอบ ไม่เห็นมีสักครั้งที่กูจะรู้ว่าในหัวกลวงๆ ของมึงมีอะไรบ้าง”

“ฮ่าๆ อันนี้ไม่โกหกแล้ว” เขาหัวเราะแล้วปัดมือเพื่อนที่ผลักหัวเขาออก “ขนาดภัทรยังกลับมา ทำไมเขาคนนั้นจะกลับมาไม่ได้บ้างละเนอะ”

“เขาที่มึงว่าเนี่ย เขาเดียวกับที่กูคิดไหม”

วินไม่ตอบอะไร เอาแต่ยิ้มเช่นเดิม ทั้งคล้ายจะยอมรับและปฏิเสธใยคราเดียวกัน

“...วิน กูไม่เล่นนะ มันเริ่มจะน่ากลัวแล้วนะเว้ย”

“วันนั้นมึงก็เห็นพร้อมกันกับกู มึงคิดว่ามันจะเป็นไปได้ไหมล่ะที่เขาจะกลับมา”

“...เป็นไปไม่ได้”

“กูก็คิดแบบนั้น”

“...”

“แต่ก็กลับมาแล้ว”

“...”

“คราวนี้ กูจะไม่ให้เขาหายไปไหนอีกแล้ว”

สีหน้าที่มีความสุขแบบที่ไป๋ไม่ได้เห็นจากเพื่อนข้างตัวมานานหลายปี ทำให้หลุดยิ้มออกมา แม้จะไม่เข้าใจและยังสับสนอยู่บ้างเกี่ยวกับความเป็นไปไม่ได้ แต่หากเพื่อนเขาเชื่อแบบนั้น เขาก็จะอวยพรให้

“ถ้าสุดท้ายแล้วมึงทำได้ ก็อย่าลืมมาเล่าให้พวกกูฟังตั้งแต่ต้นจนจบด้วยล่ะ”

“เออ ถ้าถึงตอนนั้นแล้วทั้งมึงแล้วก็กูไม่ ‘ลืม’ ไปเสียก่อนน่ะนะ...”





















----------------------------------------------------------------------------------



















กว่าทิวาจะมาสังเกตว่าตัวเองลืมหยิบโทรศัพท์ที่ชาร์ตทิ้งเอาไว้ติดตัวมาด้วย เขาก็มาถึงที่มหาลัยเรียบร้อยแล้ว อดตบหัวตัวเองที่ขี้หลงขี้ลืมไม่ได้เลย ทั้งที่ปกติน้อยครั้งมากๆ ที่เขาลืมโทรศัพท์ที่คล้ายเป็นอวัยวะชิ้นที่ 33 ของมนุษย์เราออกจากบ้านมาด้วยเช่นนี้ก็เถอะ

แต่เขาตั้งใจจะแวะมาที่มหาลัยแค่ไม่นาน ก่อนจะไปที่อื่นต่อ เพราะงั้นคงไม่เป็นไร

วันนี้เขาไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะเจอคนรู้จักแต่อย่างใด มันมีแค่ความคิดถึงเท่านั้นแหละ ตั้งแต่วันที่มาถึงที่นี่มันก็หลายสัปดาห์แล้วเหมือนกัน เขาใช้ชีวิตอยู่กับพวกวินจนบางครั้งก็แอบลืมไปบ้างว่าเขามาจากเมื่อหกปีก่อน บางวันตื่นขึ้นมาก็เหมือนว่าเขาใช้ชีวิตเช่นนี้มาตั้งแต่แรก จนนึกกลัวขึ้นมา

เพราะแบบนั้นวันนี้เลยยกเลิกการตามคนรู้จัก แต่ย้อนกลับมายังสถานที่ที่เขาคุ้นเคยเพื่อเรียกความรู้สึกพวกนั้นกลับมา

แน่นอนว่าที่ที่เขาไปอันดับแรกก็คงเป็นหอพัก ถึงจะถูกรื้อไปแล้ว แต่สวนหย่อมใกล้ๆ ก็ยังมีที่นั่งพักอยู่เหมือนเดิม ทิวาจึงตั้งใจจะไปนั่งพักอยู่ตรงนั้นสักพัก แล้วค่อยไปที่อื่นต่อ

แต่เขาไม่คิดเลยว่า ในตอนที่เขาไม่ต้องการตามหาใครที่รู้จักในอดีตสักคนนั้น คนเหล่านั้นจะเดินมาหาเขาเสียเองเช่นนี้

ภาพความวุ่นวายของการก่อสร้างและวางศาลพระภูมิใหม่ตรงจุดเดิมทำให้ทิวาอดสงสัยไม่ได้จนต้องเดินเข้าไปดู ไหนจะแผนงานของการสร้างหอพักขึ้นมาใหม่อีกครั้งที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าเขานี่อีก ไหนว่ารื้อถอนไปแล้ว ทำไมถึง...

ในตอนที่เขายืนด้อมๆ มองๆ คนที่เดินเข้าออกพื้นที่ด้วยความสงสัย ด้านหลังก็ปรากฏเสียงร้องทักขึ้นมา จนเขาสะดุ้งและรีบหันกลับไปตอบโดยทันที

“นักศึกษาเหรอ”

“เปล่าครับ! ...”

“ตรงนี้อันตรายนะครับ เขากำลัง...”

“...”

“...ก่อสร้างอยู่”

“...”

ประโยคสนทนาที่สั้นเสียจนน่าใจหายถูกแทนที่ด้วยความเงียบที่ชวนน่าอึดอัด ทั้งที่ท่ามกลางพวกเขามีแต่เสียงก่อสร้างและเคลื่อนย้ายข้าวของเต็มไปหมด ทิวามองคนที่เข้ามาทักตัวเองก่อนด้วยความตกใจ เพราะคนคนนั้นคือปัณ เพื่อนของเขาและเป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่ทิวาหวังพึ่งพิงที่สุดยามข้ามมาอยู่ที่นี่ ทว่าในวันแรกนั้นเขากลับไม่อาจติดต่ออีกคนได้ ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้พบกันเสียอย่างนั้น

ปัณที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่ไอ้ปัณคนเดิมที่เขาคุ้นตา ปัณคนนี้สูงกว่าเดิมและดูภูมิฐานในชุดสูทสีเข้ม ในมือของอีกคนมีกระดาษและแฟ้มที่น่าจะเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างตรงนี้เต็มไปหมด ดูท่าอีกคนคงจะเป็นคนริเริ่มและจัดการงานตรงนี้สินะ

แม้จะดีใจแค่ไหน แต่ทิวาก็ไม่กล้าคาดหวังอะไรทั้งนั้น เพราะแววตาที่มองมาแม้มันจะมีความตกใจแฝงอยู่ แต่ที่มากกว่าความตกใจมันคือความว่างเปล่า เพื่อนของเขาคนนี้ก็เป็นเช่นคนอื่นๆ อีกคน...จำเขาไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะแบบนั้นเขาเลยตัดสินใจว่าจะรีบออกไปจากที่ตรงนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่ทำใจได้เร็วขนาดนั้นหรอก เมื่อต้องมาเผชิญกับเพื่อนที่ตัวเองสนิทมากขนาดนั้น แต่อีกคนกลับจำเขาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

“...ขอโทษที่มารบกวนการก่อสร้างครับ ผมแค่แปลกใจว่าทำไมถึงสร้างขึ้นมาอีก”

“...”

“ยังไงก็ขอตัวก่อนนะครับ”

“...เมื่อก่อนหอพักเก่าที่เคยอยู่ตรงนี้ มันเคยเป็นหอที่ผมเคยอยู่กับเพื่อนมาก่อน”

ขาก้าวที่ก้าวออกไปและเขาที่หันหลังให้ปัณเตรียมจะจากไปชะงักหยุดตรงนั้น ราวกับรู้ว่าประโยคที่ไร้ที่มานั่น ปัณกำลังพูดกับเขาอยู่

“พอเรียนจบ ไม่รู้ทำไมทางมหาลัยถึงได้ทำเรื่องทุบที่นี่ทิ้ง ยังไม่รวมที่อื่นๆ ในมหาลัยที่ถูกทุบทิ้งไปพร้อมๆ กันด้วย แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ เรื่องทั้งหมดนั่นมันเกิดขึ้นหลังจากที่ผมเรียนจบได้ไม่นาน แทบจะไล่เลี่ยกันเสียด้วยซ้ำ”

“...”

“หลังจากเรียนจบผมกับเพื่อนคนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง บางคนทำงาน บางคนเรียนต่อ บางคนไม่ค่อยได้เจอ บางคนก็หายไป...นั่นเป็นเรื่องปกติก็จริง แต่ที่แปลกคือเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ผมเพิ่งจะมาสังเกตถึงความผิดปกติเกี่ยวกับตัวเอง”

“...”

“ผมจำเพื่อนคนหนึ่งของตัวเองไม่ได้”

“...”

“ไม่รู้เหมือนกันว่าลืมไปตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงลืม แต่พอนึกถึงมันขึ้นมาก็อดเสียใจไม่ได้”

“...”

“หกปี...มันนานถึงขนาดนั้น แต่ผมกลับลืมไปเสียได้”

“...”

“นานแล้วที่ไม่ได้เจอกับเพื่อคนนั้นเลย ทั้งที่คิดถึงมากขนาดนั้น แต่ตอนนี้กลับไม่มีอะไรสักอย่างที่ทำให้ผมมองแล้วสามารถนึกถึงเรื่องที่เคยพบเจอไปพร้อมกับเพื่อนคนนั้นได้เลย”

ทิวาค่อยๆ หันกลับไปหาปัณพร้อมกับดวงตาแดงก่ำ ก่อนจะหลุดสะอื้นออกมาในตอนที่หันไปพบว่า ผู้ชายตัวโตที่มีเค้าโครงของเพื่อนรักในอดีตก็มีสภาพไม่ต่างจากเขาเลย ปัณในวัย 27 ปี กำลังกลั้นน้ำตาเหมือนกับเด็กๆ มือทั้งสองบีบแฟ้มในมือจนข้อนิ้วขาว ทั้งสั่นระริกราวกับจะฟ้องถึงความไม่มั่นคงในจิตใจออกมาให้คนอื่นได้เห็น

ราวกับนาฬิกาหมุนทวนระยะทางเดินอันเดิมของมัน หมุนย้อนกลับไปยังวันเวลาเก่าๆ ของพวกเขา

ราวกับว่า...ความทรงจำทั้งหมดที่เขาคิดว่ามันหายไปกำลังเดินทางกลับมา

ความสัมพันธ์ที่ถูกตัดขาดทำให้เขาคิดว่าถูกลืม แท้จริงแล้วมันยังอยู่และแอบซ่อนในใจของทุกคนที่เขารักและแสนคิดถึง แค่รอเวลาเปิดเผยออกมาเท่านั้น

“หลังจากที่ผมจำได้ ผมก็พยายามหาทางที่จะสร้างทุกสิ่งที่เคยถูกทำลายไปตั้งแต่ตอนนั้นกลับมา เริ่มจากที่นี่...หอพักแห่งนี้ที่ถึงแม้มันจะไม่มีทางเหมือนเดิมร้อยเปอร์เซ็น แต่แค่ยังมีมันอยู่เหมือนเดิมก็พอแล้ว"

“...ปัณ”

“ทิวา มึงกลับมาได้ยังไง”

“...”

“ไม่สิ นั่นไม่สำคัญ”

“...”

ปัณปาดน้ำตาที่ไหลออกมาแล้วเผยยิ้มที่ทิวาแสนคิดถึง ก่อนจะพูดหนึ่งคำที่ทำให้เขาหลุดร้องไห้ออกมาในที่สุด

“ดีใจที่ได้เจอมึงอีกครั้งนะ เดย์”



แต่ฉันกลับไม่มีความสุขเลย

นับตั้งแต่วันที่ไม่มีเธอ










(โปรดติดตามตอนต่อไป)

---------------------------------------------------------------------------------------------------

fact about ทิวา

จะสงสัยในสิ่งที่คลุมเครือ และจะค้นหาจนกว่าจะได้คำตอบ

ในบางครั้งก็จะตั้งคำถามกับตัวเองไปเรื่อยๆ เหมือนไม่มีวันจบ

NAVY
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 10 ★ 30/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 30-11-2019 21:17:03
 :hao7:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 10 ★ 30/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 30-11-2019 21:23:44
 :pig4: :pig4: :pig4:

โอยยยยยยย  อยากรู้อ่ะ

หายไปยังไง?

และลืมกันไปได้ยังไง?
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 10 ★ 30/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 01-12-2019 15:32:54
คือยังไงงง หรือว่าเคยเกิดเหตุแบบนี้ขึ้นก่อนที่เดย์จะมาขอกับศาลพระภูมิ
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 11 ★ 5/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: KarmaNavy ที่ 05-12-2019 20:59:05
เธอไม่มีวันเหมือนเดิมได้ตลอดไป

บางทีฉันจะอาจจะต้องผิดหวัง นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกกับฉัน

แต่นั่นไม่สำคัญเลยสักนิด

 









ตกหลุมรักระยะที่ 11






จากท้องฟ้าสีส้มจนกระทั่งความสว่างจางหายไปจากฟากฟ้า คนที่เขารอก็ยังไม่กลับมา แม้ตอนแรกจะใจเย็นแค่ไหน แต่นานขนาดนี้วินก็ชักจะใจเย็นไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ซึ่งอาการใจร้อนและเป็นห่วงนั้น ไม่มีได้มีแค่ตัวเขาเองที่รู้ตัว แต่คนอื่นรอบตัวก็รับรู้ได้เช่นเดียวกัน เพราะสมาธิของเขาไม่จดจ่อกับการซ้อมเอาเสียเลย จนสุดท้ายไป๋ต้องเป็นคนออกปากยกเลิกการซ้อมก่อนเวลาเกือบสองชั่วโมง เพื่อเปิดโอกาสให้เขาเสียสมาธิอย่างเต็มที่

ตอนนี้คนอื่นๆ ไปมุงอยู่ที่โต๊ะอาหารที่มีแต่พิซซ่า ขนม ของว่างสารพัดชนิด พูดคุยเสียงดังเฮฮาชนิดที่ถ้าเดย์อยู่ในบ้านด้วย เขาก็คงจะเข้าไปคุยกับทุกคนเหมือนกัน แต่ตอนนี้นอกจากภัทรที่เอาอาหารและเครื่องดื่มมาให้ เขาก็ยังไม่ได้ขยับออกจากโซฟาตรงห้องนั่งเล่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ดวงตารั้งแต่จะมองออกไปด้านนอก ส่วนหูก็คอยเงี่ยฟังเสียงฝีเท้าของอีกคนจนเหมือนคนบ้า

ในที่สุดการรอคอยของเขาก็จบลง เมื่อเห็นแสงไฟจากตัวรถที่ไม่คุ้นเอาเสียเลยจอดอยู่ที่หน้าบ้านของพวกเขา ก่อนทิวาจะเดินลงมาจากรถคันนั้น รอยยิ้มที่จางหายไปจากหน้าของเขาแทบตลอดทั้งวัน ถูกแต้มระบายจนเต็มแก้ม ทว่าก็จางลงเมื่อเห็นว่ามีใครอีกคนที่เขาไม่อยากเจอเอาเสียเลยเดินลงมาจากรถเพื่อส่งทิวาด้วย

ใครคนนั้นที่ยิ้มแย้มและทำให้ทิวาหัวเราะออกมา ท่าทางสนิทสนมที่ทำให้เขานึกปวดใจ เพราะแม้ทิวาจะเคยยิ้มให้เขา แต่ไม่มีสักครั้งที่รอยยิ้มจะกว้าง สว่างไสวและไร้ความกังวลเช่นที่ยิ้มให้กับคนคนนั้น

ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เอาเสียเลย ไม่อยากให้ใครคนอื่นมาทำให้เดย์ยิ้มได้นอกจากตัวเขาเองเลย

แต่เขาก็ทำแบบนั้นไม่ได้

“เดย์...” เขาเดินออกไปนอกบ้านแต่ไม่ได้เดินพ้นรั้ว ร้องเรียกทิวาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ดังมากนัก แต่ก็ทำให้ทิวารู้ตัวและยอมเอ่ยลาอีกคนในที่สุด

“...งั้นไว้เจอกันอีกที”

“ได้ แล้วจะโทรมานัด ไม่งั้นก็จะไลน์ไปบอกนะ”

“อือ กลับบ้านดีๆ” คนนั้นยิ้มให้ทิวาก่อนจะหันมาพยักหน้าให้เขาแทนคำเอ่ยลา แล้วขับรถจากไปโดยมีทิวามองตามจนสุดสายตา หันมามองเขาด้วยความสงสัย “ออกมายืนอะไรข้างนอก ไม่กลัวโดนยุงกัดเหรอ”

“เดย์ไม่ได้เอาโทรศัพท์ไป” เขายื่นมันให้ทิวา “เป็นห่วง”

“ขอโทษ แต่ลืมจริงๆ ขอบใจที่เก็บให้นะ”

“...”

“เข้าบ้านกันเถอะ...มีอะไรหรือเปล่า” ไม่ทันจะได้ก้าวออกไปไหน ก็ถูกรั้งแขนจากวินโดยที่อีกคนยังมีสีหน้าแปลกๆ ที่ทำให้ความดีใจที่ได้เจอและพูดคุยกับเพื่อนสนิทจางหายไปเล็กน้อย

“วิน เป็นอะไร”

“ใคร”

“...เพื่อน”

“ไม่ไปเจอได้ไหม”

“วิน”

“ไม่อยากให้เจอ”

ทิวาขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อรู้สึกว่ามือที่จับต้นแขนของเขาเอาไว้บีบแน่นขึ้นจนรู้สึกเจ็บ แต่นั่นทำให้เขาเกิดสงสัยขึ้นมา เพราะวินไม่เป็นแบบนี้บ่อยนัก ราวกับอีกคนเกิดกลัวหรือไม่มั่นคงขึ้นมาในใจ “นั่นเพื่อนเดย์นะ”

“วินไม่ชอบ ไม่ต้องไปเจออีกนะ วินไม่ให้ไปไหนแล้ว”

“วิน! วินก็รู้ว่าเดย์ตามหาพวกเขามาตลอด ทำไมพูดแบบนี้”

แม้จะถูกตะคอกและรู้ว่าคำพูดตัวเองมันทั้งแสนงี่เง่าและไร้เหตุผล แต่เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยแขนที่จับเอาไว้และยังยืนยันคำเดิม “ไม่ไปเจอกันอีกได้ไหม วินขอ”

“งั้นวินเลิกให้ภัทรมาเป็นผู้ช่วยดิ แลกกัน”

“มันเกี่ยวกันตรงไหน ภัทรไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย”

“ปัณก็ไม่เกี่ยวเหมือนกัน”

“แต่ภัทรเป็นเพื่อนวิน เขาได้รับมอบหมายงานมา เขาต้องอยู่”

“แต่ก็เปลี่ยนคนได้นี่ ไม่ได้จำเป็นต้องเป็นเขาเสียหน่อย”

“นี่หึงเหรอ”

“ไม่ได้ใกล้เคียงเลยเหอะ เลิกโยงมั่วได้ไหมวิน นั่นก็เพื่อนเดย์เหมือนกันนะ เพื่อนที่เดย์อยากเจอมาตลอด!”

“...”

“ทำไมไม่มีเหตุผลแบบนี้”

“...”

“เดย์นึกว่าวินจะเข้าใจมากที่สุดเสียอีก”

สายตาผิดหวังจากทิวาทำเอาวินปวดหนึบในใจ แต่เขาก็ยังยืนยันคำเดิมและคงทะเลาะกันแน่ๆ ถ้าไป๋ไม่ออกมายุติการพูดคุยที่วนไปวนมานี่ ดูท่าคนทั้งบ้านจะรู้หมดแล้วว่าพวกเขาไม่ลงรอยกัน เพราะเมื่อยอมเข้ามาในบ้าน ไม่มีใครเลยจะเริ่มพูดคุยเพื่อสลายความไม่พอใจจากพวกเขาทั้งสองคน ทิวาตัดสินเดินขึ้นห้องไป เสียงปิดประตูที่ไม่ได้เบานัก ทำให้วินรู้ว่าเขาท้าทายขีดจำกัดของอีกคนเข้าแล้ว แม้มันจะดูไร้เหตุผลแต่มีแค่เขาที่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้ไม่อยากให้ทั้งสองคนได้เจอกันอีก

แต่มันบอกไม่ได้

เพราะถ้าบอกจะต้องหายไปแน่ๆ เขาไม่อยากให้เป็นแบบนั้น

“มึงไปงี่เง่าอะไรอีก”

“กูไม่ได้งี่เง่า”

“เดย์ไม่ได้เป็นคนใจร้อน ออกจะใจเย็นจนจะเป็นน้ำแข็งอยู่แล้ว ไม่งั้นคงหมดความอดทน ไม่ออกไปตามหาคนรู้จักตั้งแต่ช่วงอาทิตย์แรกๆ แล้ว” จินว่าพลางมองมาที่วิน แต่วินกลับไม่กล้าสบตาราวกับไม่ต้องการให้ใครจับความคิดของเขาได้ “ที่เขาโกรธขนาดนี้ แสดงว่าคนเมื่อกี้ต้องเป็นคนสำคัญไม่ก็คนที่เดย์ตามหาอยู่ ไปห้ามไม่ให้เจอกันอีก มันก็เกินไปนะวิน”

“...”

ไป๋หรี่ตามองอาการปากแข็งของเพื่อนตัวเอง ก่อนพูดจี้ใจดำ “มึงไม่มีเหตุผลจริงๆ ด้วย”

“กูมี!”

“ก็บอกมาสิวะ อมพะนำจะมีใครตรัสรู้กับมึงไหมว่าเหตุผลคืออะไร” แคทว่า

แต่วินกลับเลี่ยงเช่นเคย เบือนหน้าหนีไปอีกทาง จนคนอื่นชัดเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว “...บอกไม่ได้”

“กูเข้าใจเดย์แล้ว แม่ง! มึงก็เป็นซะแบบนี้ เอาแต่ใจ”

“...”

“เดี๋ยวภัทรคุยให้เอง ไปดูเดย์เถอะ” เมื่อเห็นว่าเรื่องมันชักจะไปกันใหญ่ ชนิดที่ไม่ได้มีแค่สองคนที่ทะเลาะ แต่อาจหมายถึงทุกคนในวง ภัทรจึงอาสาไกล่เกลี่ยให้ คนอื่นจึงแยกย้ายเหลือเพียงแค่ภัทรและวินที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม ไม่มีใครเริ่มพูดอะไรก่อน ภัทรเองแม้อยากจะพูดแต่ก็อยากรอให้คนข้างตัวอารมณ์เย็นลงกว่านี้ จึงยอมนั่งข้างๆ อีกคนเงียบๆ จนวินพร้อม

“...ภัทรว่าวินงี่เง่าไหม”

“มาก”

“เออ วินก็ว่างั้น”

ภัทรหลุดหัวเราะเบาๆ “บอกภัทรได้หรือยังว่าทำไมถึงทำแบบนั้น ภัทรรู้ว่าวินต้องมีเหตุผลแน่ๆ แต่ไม่ยอมบอก”

“...”

“สัญญาว่าจะไม่บอกใคร”

“...ไม่ได้หรอก มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรให้ใครรู้”

“...”

“ถ้าบอก...” มือทั้งสองข้างของวินขยับเข้าหากัน จับแน่นเสียจนมือทั้งสองสั่นระริกราวกับหวาดกลัวอะไรสักอย่าง “...เขาจะหายไปแน่ๆ”

“เกี่ยวกับเรื่องที่เดย์เขาไปตามหาคนรู้จักหรือเปล่า”

“อือ”

ภัทรขมวดคิ้ว ได้แต่ปะติดปะต่อเรื่องกันเองในหัว แม้จะหงุดหงิดบ้างที่ไม่อาจง้างเอาความจริงอะไรจากอีกคนได้ แต่อย่างน้อยๆ ก็พอจะเดาได้ “ไม่อยากให้เขาไปเจอคนรู้จักใช่ไหม”

“...”

“ขี้หวงนะเนี่ย”

“ไม่ใช่เสียหน่อย...แต่ก็เออ มีส่วนนิดนึง” ท้ายประโยคเสียงของวินแผ่วจนสัมผัสได้ถึงความจำยอมต่อการคาดเดาของภัทร “วินก็อยากให้เขาได้เจอเพื่อนๆ เขา ครอบครัวเขาเหมือนกัน แต่อีกใจก็ไม่อยากให้เจอเลย”

“ภัทรไม่อยากพูดแบบนี้หรอกนะ แต่นั่นคือครอบครัวคือเพื่อนเขานะ วินจะไปห้ามได้ยังไง”

“วินรู้...”

“วินคิดว่าตัวเองเป็นใคร”

“...”

“มันอาจจะฟังดูใจร้ายนะวิน แต่วินคิดว่าตัวเองสำคัญกว่าเพื่อนสนิทกับครอบครัวเดย์ขนาดนั้นเลยเหรอ”

“...”

“...”

เนิ่นนานที่จบประโยคใจร้ายนั่น นานจนภัทรรู้สึกผิดที่พูดตรงๆ เช่นนั้นออกไป แต่ถ้าเธอไม่พูด คนอื่นก็ต้องพูดอยู่ดี ทั้งอาจจะพูดรุนแรงกว่านี้จนเกิดรอยร้าวระหว่างเพื่อนแน่ๆ ดังนั้นเธอจึงต้องพูด แม้ว่าจะไม่ได้สนิทสนมกับวินเท่าคนอื่นในวง แต่เธอเป็นคนเดียวที่พอมั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าสามารถพูดตรงๆ กับวินได้

เพราะที่ผ่านมา เธอทำเช่นนั้นมาตลอด

“นั่นดิ วินเอาอะไรไปมั่นใจวะว่าเขาจะยอม”

“...”

“หน้าด้านเนอะ นึกว่าตัวเองสำคัญจนเขาต้องตามใจ ทั้งๆ ที่นั่นคือคนสำคัญที่สุดของเขา”

“...”

“วินเป็นอะไรของเขาวะ” วินหัวเราะ แต่มันกลับคล้ายเยาะหยันตัวเองมากกว่า “งี่เง่าชิบหาย”

“...”

“ภัทรคิดว่าไงกับคำพูดที่ว่าการมีตัวตนของบางสิ่ง ทำให้อีกสิ่งหนึ่งที่คล้ายกันต้องหายไป”

“หือ ทฤษฏีอะไร ไม่เห็นเคยได้ยิน”

“...แค่ถามเฉยๆ”

แม้จะสงสัย แต่พอโยงกับเรื่องที่เพื่อนพูดเป็นนัยๆ ภัทรก็พอจะเดาได้ “กลัวเดย์หายไปเหรอ”

“...”

“เดย์เขาไม่หายไปไหนหรอก แค่ไปหาเพื่อนเอง อย่ากลัวสิ” ภัทรว่าแล้วลูบศีรษะเพื่อนคนนี้ที่คล้ายจะอ่อนไหวกว่าวินคนเดิมที่เธอเคยรู้จักจนไม่ค่อยชิน ทว่าก็ยังอยากเป็นกำลังใจให้เหมือนเช่นที่ผ่านในอดีต

ที่ครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นคนที่เขาไว้ใจที่สุดและเธอเองก็ไว้ใจเขามากที่สุดเช่นเดียวกัน

วินไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ค่อยๆ เอนศีรษะกระทั่งซบลงที่ไหล่ของภัทร พวกเขานั่งอยู่กันแบบนั้นเงียบๆ โดยที่ไม่รู้ว่ามีใครอีกคนได้ยินทั้งหมดที่พวกเขาคุยกัน รวมไปถึงภาพความสนิทสนมนั่นเต็มสองตา

 







------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------









“เดย์”

“...ว่า”

จินยอมรับว่าไม่รู้จะพูดอะไรกับทิวาดี เมื่อเห็นว่าทิวากำลังนั่งแอบมองและฟังภัทรกับวินอยู่ที่บันไดแบบนี้ แล้วไม่ใช่เพิ่งมาฟัง ทว่าได้ยินและเห็นแทบจะทั้งหมดระหว่างที่สองคนนั้นคุยกันเลยด้วยซ้ำ

ตอนที่เขาตามขึ้นมาเพราะเห็นทิวาหนีเข้าห้องไป ก่อนจะเคาะประตูก็เห็นว่าอีกคนเปิดมันออกมา เหมือนอยากลงไปเคลียร์กับวินให้รู้เรื่อง ทว่าพอเห็นว่าภัทรกับวินอยู่ด้วยกันสองคน ทิวารวมไปถึงตัวเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งตรงบันไดแบบนั้น กระทั่งบทสนทนาจบลง ทิวาก็ยังนั่งที่เดิม โดยที่จินไม่อาจอ่านอะไรจากใบหน้านิ่งสงบนั่นได้เลย

“มัน...ไม่มีอะไรหรอก”

“อื้ม”

“...”

“ไม่ต้องห่วงเรื่องเราก็ได้ เราไม่เป็นไร”

“...” ไม่ให้ห่วงจริงหรือ จินอยากจะถามแบบนั้นอยู่เหมือนกัน แต่เหมือนทิวาไม่อยากคุยกับใครแล้ว เพราะทันทีที่อีกคนพูดจบก็ลุกขึ้นก่อนเดินเข้าไปในห้องตัวเอง ปิดประตูแผ่วเบาชนิดที่สองคนข้างล่างไม่มีทางได้ยิน เสียงล๊อคเบาๆ จากหลังประตูบานสีขาว คล้ายไม่ได้ล๊อคแค่ประตูบานนี้ แต่รวมไปถึงบานในใจของอีกคนด้วย

ไหนว่าไม่ต้องห่วงไง แบบนี้จะไม่ให้เขาเป็นห่วงได้ไง

วินยังมีภัทร ที่ถึงแม้จะไม่พูดอะไร แต่ทั้งคู่ก็ดูรู้ใจกัน เพราะแบบนั้นจากบทสนทนาที่แอบฟัง เลยพอทำให้จินรู้ว่าวินสบายใจที่มีคนรับฟังและยอมใจเย็นลง แม้จะยังไม่ยอมบอกเหตุผลกับภัทรหรือคนอื่นๆ ก็ตาม

แต่ทิวาไม่มีและไม่ยอมเปิดใจรับใครเลย เหมือนพอไม่ใช่เพื่อนสนิทของทิวาที่ไปออกตามหา ก็ไม่ยอมให้ใครอ่านใจได้เลยสักคนเดียว และเขาเชื่อว่า แม้แต่วินที่ได้เข้าใกล้หัวใจของทิวามากกว่าพวกเขา ก็ยังไม่ได้รับความไว้วางใจนั้น

ซึ่งเรื่องนี้ เขาก็ไม่รู้จะช่วยทั้งสองคนยังไงดีเหมือนกัน แต่คิดว่าถ้าวินยอมบอกเหตุผล เขาเชื่อว่าทิวาจะยอมรับฟังอย่างแน่นอน

คงได้แต่ปล่อยให้ทั้งคู่คุยและจัดการกันเองจริงๆ นั่นแหละนะ

 







------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------












ยามที่ท้องฟ้ามืดสนิท ดวงดาราและพระจันทร์เจิดจ้า สมควรเป้นช่วงเวลาที่ใครหลายคนหลับใหลและหลงอยู่ในความฝัน กลับมีอีกหลายคนที่ไม่อาจข่มตาลง หนึ่งในนั้นอาจหมายรวมถึงตัวเขาลงไปด้วย

ทิวาถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ก่อนลุกขึ้นนั่งบนที่นอนมองความืดรอบตัว ฟังเสียงแอร์ที่เคยชินทุกคืนแต่คืนนี้กลับก่อกวนจนหลับไม่ไหว อันที่จริงที่หลับไม่ลงตัวเขาก็รู้ดีนั่นแหละว่าเพราะอะไรหรือเพราะใคร เพียงแต่พาลเกินกว่าจะยอมรับว่า นอกจากเรื่องที่วินไม่ยอมให้เขาออกไปเจอปัณแล้ว ภาพความสนิทสนมและเข้าใจนั่นของภัทรและวินทำให้เขาว้าวุ่นในใจ

เขารู้ดีว่า หากเทียบกันก็คงไม่ต่างจากความสัมพันธ์ของเขาและกลุ่มพวกปัณเสียเท่าไหร่ ในความเป็นเพื่อน ความเข้าใจต่างๆ แต่ก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดี

ไม่ชอบที่พวกเขาเป็นแบบนี้เลย ทั้งนึกสงสัยอยู่ในใจว่าเหตุใดวินถึงไม่อยากให้เขาไปเจอปัณ

เขาเชื่อตั้งแต่ตอนที่เห็นแววตาไม่มั่นคงจากอีกคนและมั่นใจมากว่ามันไม่ใช่เหตุหึงหวงนั่น วินเป็นคนมีเหตุผลมากพอ แม้จะไม่ชอบ แต่อีกคนไม่มีทางออกปากห้าม ถึงสิ่งนั้นจะไม่ตรงใจตัวเองแค่ไหน วินมักจะเป็นห่วงจิตใจเขาเสมอ

แต่วันนี้กลับตรงกันข้ามเสียอย่างนั้น จนเขาที่นึกว่าเข้าใจวินมากในระดับหนึ่งแล้ว ชักเริ่มรู้สึกว่า สิ่งที่เขาเข้าใจ ใช่เป็นเพียงสิ่งที่วินอยากให้เขารับรู้หรือเปล่า

บางที...เขาอาจจะไม่เฉียดเข้าไปใกล้ใจอีกคนเลยด้วยซ้ำ

ตอนแรกเขานึกอยากจะโทรไปหาปัณและทำเช่นที่เคยทำมา ปรับทุกข์เหมือนแต่ก่อน ทว่าด้วยระยะห่างของช่วงเวลาและความสนิทสนมที่กลับมาเพียงบางส่วน มันเลยทำให้ทิวายังรู้สึกว่า ระหว่างเขาและปัณยังมีเส้นคั่นบางอยู่ ซึ่งเขาในตอนนี้นั้นไม่สามารถจะก้าวข้ามเส้นกันที่ว่าไปได้จริงๆ จึงได้แต่มองเบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนที่แลกกันก่อนแยกย้ายกลับบ้านอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้กดโทรออกไปอย่างที่อยากทำ

เมื่อยอมรับว่าในคืนนี้ยากจะนอนหลับลงได้แล้ว ทิวาเลยได้แต่ลุกจากที่นอน ตั้งใจจะลงไปหาอะไรอุ่นๆ ลงท้องเสียหน่อย นั่งเอ้อระเหยอีกสักพักแล้วค่อยขึ้นมาลองข่มตานอนดู บางทีเขาอาจจะหลับลง

ทว่าในใจเขารู้ดีและไม่อาจไม่ยอมรับ

ว่าเหตุผลนอกเหนือจากการลงไปหาอะไรกินนั้น ยังมีอีกเหตุผลแอบแฝง

เขาหวัง...ว่าจะพบใครคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้องซ้อมเช่นที่เคยเห็นมาตลอด

แม้จะจบวันไปได้ไม่ดีนัก แต่ทิวาไม่ได้มีทิฐิสูงเสียจนอยากให้พวกเขาทะเลาะกันยาวนานหรือหาคนที่ถูกผิดชัดเจน

เขาเกลียดความรู้สึกที่ทะเลาะกันเช่นนี้และมันไม่ได้มีความจำเป็นใดๆ เลยที่เขาต้องชนะอีกคนให้ได้ เพราะเขารู้ดีว่าหากพูดกันดีๆ ในตอนที่อารมณ์พวกเขาทั้งคู่เย็นลง ยังไงวินก็ต้องยอมรับฟังบ้าง ดังนั้นจึงหวังสุดหัวใจว่าจะพบ

แต่เหมือนวันนี้เขาจะได้พบพานแต่ความผิดหวัง เมื่อในห้องซ้อมที่แอบย่างก้าวไปอย่างเงียบงัน ไร้เงาคนคุ้นเคยที่เฝ้ารอ

สุดท้ายเป็นตัวทิวาเองนั่นแหละที่นั่งตรงที่ประจำของวินแล้วเหม่อลอย ไม่ได้สนใจจะไปหาอะไรกินอย่างที่ตั้งใจไว้ตอนแรกเลยแม้แต่น้อย

ระหว่างนั้นที่สายตาของเขาสอดส่ายไร้จุดโฟกัส ก็พลันสะดุดที่กระดาษแผ่นเดิมของวินที่มีตัวโน้ตและข้อความยึกยือนั่น ทิวาไม่ได้เก่งดนตรีเช่นคนอื่นๆ แต่ความสามารถในการอ่านตัวโน้ตหรือเล่นคีย์บอร์ดง่ายๆ ก็พอมีบ้าง เนื่องด้วยอยู่ใกล้ตัววินและอีกคนก็เห็นเขาสนใจไม่น้อย จึงสอนเรื่องพื้นฐานเอาไว้เผื่อเขาเบื่อๆ ก็มาเล่นได้ เพราะงั้นเขาจึงบังคับนิ้วมือของตัวเองค่อยๆ กดลงไปบนคีย์บอร์ดสีขาวดำทีละตัวโน้ต ให้มันกลบความเงียบเหงาในห้องซ้อมที่มีเพียงเขาไปให้หมด

เมื่อจดจ่อ เขาก็ลืมไปว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่ ไม่ได้สังเกตแม้แต่เสียงฝีเท้าที่แม้ไม่ได้ลงหนักเหมือนปกติ แต่ในความเงียบนั้นก็ง่ายต่อการรู้สึกถึงอีกคน กว่าจะรู้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียวก็ตอนที่ใครคนนั้นอยู่อยู่ข้างหลังแล้ว

“...”

“นอนไม่หลับเหรอ”

“...อืม”

ทิวาลังเลอยู่นานกว่าจะขานรับกลับไป ทั้งที่คิดเอาไว้มากมายหลายประโยคว่าหากเจอหน้ากันเขาจะพูดยังไงกับอีกคน แต่พอเจอวินเข้าจริงๆ กลับไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ได้แต่มองอีกคนทิ้งตัวลงนั่งในที่ประจำของเขาเงียบๆ เท่านั้น

วินเองก็ไม่ได้มีสีหน้าที่ดีไปกว่าเขาเสียเท่าไหร่ บนใบหน้าหล่อเหลามีแววเหนื่อยล้าจางๆ คล้ายอีกคนคิดอะไรไม่ตกจนหลับไม่ลง ทั้งยังอาจจะหนักหนาเสียยิ่งกว่าเขา จนอดห่วงไม่ได้ ยามที่ยกมือขึ้นวาดผ่านดวงตาที่ปรากฏเส้นเลือดฝอยรางๆ จึงอ่อนโยนขึ้นไม่น้อย

“หายโกรธแล้วเหรอ”

โกรธเหรอ ทิวาคิด แล้วส่ายหน้า “ไม่ได้โกรธเลย”

“แต่วันนี้เดย์ดูโกรธมาก”

“ไม่หรอก...แค่เสียใจ”

“...”

“นึกว่าวินจะเข้าใจเราที่สุดไง”

“...เข้าใจ”

“...”

วินจับมือของเขาแล้วกดริมฝีปากเบาๆ ก่อนวางบนตักตัวเอง แล้วพูดต่อ “วินแค่กลัว”

“...”

“...”

“ไม่มีใครเอาเดย์ไปได้ ถ้าเดย์ไม่ยอม”

“...”

แล้วถ้าอีกคนอยากไปล่ะ? เขาควรจะทำยังไงต่อไป

เมื่อเห็นอีกคนยังเหม่อและมีสีหน้าที่ไม่มั่นคงเช่นเดิม ทิวาก็อดเป็นห่วงไม่ได้ จากที่แอบฟังวินคุยกับภัทร คล้ายว่าการไปพบกับคนคุ้นเคยของเขา จะทำให้วินรู้สึกกลัว...แต่กลัวอะไรล่ะ? หรือมันอะไรที่เขายังไม่รู้อีก

เขาอยากจะถาม แต่เหมือนจะรู้ได้ด้วยตัวเองทันทีว่า วินไม่มีวันตอบ

“ต่อให้เราถามว่าทำไม วินก็จะไม่ตอบใช่ไหม”

“...อือ”

“...”

“อยากจะ...เจอทุกคนมากๆ เลยใช่ไหม”

“...อืม อยากเจอมากๆ”

“...”

ทิวาหลุบตาลงมองมือของพวกเขาที่จับกันและพลันเพิ่มแรงบีบกระชับ คล้ายจะให้อีกคนสบายใจ “แต่ก็ไม่น้อยไปกว่าที่อยากอยู่กับวินนะ”

“...”

“วิน”

“ครับ”

“ถ้าสมมติเราบอกว่า เรามาจากอดีต...วินจะว่าเราบ้าไหม”

“...”

มาถึงตรงนี้ จะไม่ให้เขาประหม่าก็คงจะเป็นไปไม่ได้ อันที่จริงทิวาไม่ได้คิดอยากจะบอกเรื่องราวของเขาให้อีกคนรู้เร็วนัก แต่เมื่อคิดว่าอีกไม่นานทัวร์คอนเสิร์ตของยูอาร์จะเริ่มขึ้นและวินกับคนอื่นๆ คงจะไม่มีเวลามานั่งคุยกับเขาเช่นนี้อีก เขาก็นึกอยากจะพูดคุยให้รู้เรื่องเสียก่อน

หรือไม่...มันก็อาจจะเป็นสัญชาตญาณบางอย่างก็เป็นได้

“อืม”

“...ไม่ตกใจหน่อยเหรอ”

“ก็แปลกใจนิดหน่อย แต่ไม่ได้ตกใจขนาดนั้น”

“...”

วินยกมือข้างที่ว่างลูบหัวเขาแล้วยิ้ม “เอาไว้เดย์ตัวสีฟ้า กลมๆ เหมือนโดราเอม่อนก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที”

แทนที่พอได้ยินเรื่องเหลือเชื่อแบบนี้แล้ววินจะมีปฏิกิริยาอะไรกลับมา อีกคนกลับนิ่งเฉยจนเป็นตัวทิวาเองที่แปลกใจ เพราะหากเปลี่ยนเป็นตัวเขาที่ได้ยินเรื่องเช่นนี้ คงมีไล่ให้คนที่พูดไปเช็คสมองสักรอบว่ายังปกติไหม แต่พอเป็นแบบนี้เขาก็ยังยืนยันว่าอยากจะส่งให้อีกคนไปเช็คสมองเช่นเดิม แต่ไปเช็คว่าผิดปกติตรงไหนหรือเปล่า ถึงได้รับฟังเรื่องที่มันไม่น่าเชื่อ (แต่ดันเกิดขึ้นจริง) ได้โดยที่หัวคิ้วยังไม่ขมวดเข้าแม้แต่น้อยแบบนี้

“คือควรจะตกใจหน่อยไหมอะ เฉยไปป่ะ”

คราวนี้เป็นวินที่หลุดหัวเราะบ้างแล้ว เมื่อเห็นสีหน้าไม่เข้าใจจากเดย์ “แล้ววินควรต้องมีปฏิกิริยายังไง”

“ตกใจ อ้าปากค้าง ไม่ก็บอกว่าเดย์บ้าไปแล้ว ไรเงี้ย” ไม่ว่าเปล่าแต่อีกคนกลับทำให้ดูเป็นตัวอย่างด้วย แล้วพูดต่อ “ไม่ใช่ว่ามา อ่อ แปลกใจนิดหน่อย มันไม่ใช่เลยอะ”

“ฮ่าๆๆ”

“หัวเราะอะไรอีก ตลกมากเหรอ”

“เปล่า ไม่ได้ตลกเลย”

“แล้วหัวเราะทำไม”

วินปล่อยมือที่จับกันอยู่แล้วเลื่อนมาโอบกอดเขาจนใบหน้าวางอยู่บนลาดไหล่กว้างของอีกคนพอดิบพอดี ซึ่งแน่นอนว่าทิวาไม่ได้ผลักไส กลับเป็นฝ่ายซุกใบหน้าลงเองเสียด้วยซ้ำ ก่อนสูดดมกลิ่นประจำตัวของวินที่ทำให้เขาสบายใจเข้าเต็มปอด

“แค่รู้สึกสบายใจขึ้นมา”

“ยังไง”

“...ดีจังที่เราไม่ได้ทะเลาะกันอีก”

“...”

“ไม่ชอบเลย”

“...ไม่ชอบเหมือนกัน”

พวกเขากอดกันแบบนั้นนานมาก แต่สุดท้ายวินก็ยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระและเริ่มพูดต่อถึงเรื่องเหนือธรรมชาติที่เขาได้เกริ่นเริ่มเรื่องเอาไว้

“สรุปวินเชื่อจริงๆ เหรอ ไม่คิดจะสงสัยอะไรเดย์บ้างเลยหรือไงว่า พูดจริงหรือเปล่า”

“วินเชื่อเดย์...เชื่อหมดทุกอย่างนั่นแหละ”

“...”

“ไม่ว่าจะเป็นยังไงหรือมายังไง สุดท้ายแล้วเดย์ก็อยู่ตรงนี้กับวินเหมือนเดิมนี่”

“อันนั้นมันก็ใช่ แต่มันคือเหตุผลหลักที่เดย์ตามหาทุกคนเลยนะ”

“...”

“วินรู้ใช่ไหม ว่าเพราะเหตุผลนี้...ที่นี่เลยไม่ใช่ที่ของเดย์จริงๆ”

“...”

“ถึงจะไม่รู้ก็เถอะว่าเดย์ ‘ในตอนนี้’ ไปอยู่ไหนก็เถอะ”

“...”

“เพราะแบบนั้น...”

“เพราะแบบนั้นเลยจะไม่อยู่กับวินเหรอ” เขาไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อจนจบ คนที่นั่งข้างๆ เขาก็เอ่ยขัดขึ้นมา พร้อมกับจ้องเข้ามาในดวงตาของเขา ในดวงตาของวินสะท้อนเงาของเขาชัดเจนกว่าวันไหนๆ และคล้ายจะมีเงาวูบไหวบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่กลับรู้สึกในอกบีบรัดจนหายใจไม่ออก

มันมีแต่ความเศร้าและเจ็บปวดอยู่ในนั้น ราวกับเป็นหลุมไร้ก้น ลึกสุดจนยากจะหยั่ง

ราวกับว่า...อีกคนทุกข์ทนกับความรู้สึกเช่นนั้นมายาวนานเหลือเกิน

“โลกที่ไม่มีเดย์มันทรมานเหมือนจะตายเลย"

“...”

"อย่าหายไปอีกได้ไหม"

“วินพูดเรื่องอะไร...” คราวนี้ไม่เพียงแต่พูดขัด แต่เขาถูกดึงกลับไปยังอ้อมกอดที่รัดแน่นของวินอีกครั้งโดยไม่ทันตั้งตัว ไม่เห็นอะไรนอกจากผนังห้องด้านหลังและไหล่ที่สั่นระริกของวิน ดังนั้นเขาจึงไม่เห็น...

แววตาที่แสดงความเจ็บปวดอย่างชัดเจนนั่นกำลังเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา

"ได้โปรด อย่าพูด...ว่าจะไปได้ไหม"

“...”

“อยู่กับวินนะ อยู่ที่นี่”

“...”

"วินทนอยู่บนโลกที่ไม่มีเดย์ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว"







เพราะสำหรับฉันแล้ว การที่ใครคนที่ฉันรักยังอยู่บนโลกใบนี้

นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดและมากเกินกว่าที่ฉันคาดหวังเอาไว้เสียอีก

ซึ่งคนคนนั้น คือเธอ



(โปรดติดตามตอนต่อไป)


---------------------------------------------------------------------------------------------------------

 fact about ทิวา

ไม่เคยโกรธคนที่รักลงเลยสักครั้งเดียว

NAVY
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 11 ★ 5/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-12-2019 22:13:04
 :pig4: :pig4: :pig4:

เดย์คนปัจจุบันหายไปไหนน้อตั้งหกปี

ส่วนเดย์ในอดีตข้ามเวลามาหกปี

สรุปว่ามันจักรวาลเดียวกันป่าวหว่า?
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 11 ★ 5/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-12-2019 00:43:11
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 12 ★ 10/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: KarmaNavy ที่ 10-12-2019 20:54:10
เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน

ทุกอย่างผ่านเข้ามาในชีวิตของฉันรวดเร็วเสียจนไม่มีเวลาได้แตกสลายเพราะความเศร้า













ตกหลุมรักระยะที่ 12



 
คืนนั้นผ่านพ้นไปโดยที่วินไม่ได้พูดอะไรอีก แน่นอนว่าตัวทิวาเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปเช่นเดียวกัน จบลงที่ต่างคนต่างแยกย้าย หลังจากที่กอดกันยาวนานจนทิวาแทบเผลอหลับคาไหล่อีกคนเลยทีเดียว

ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่ในตอนที่วินมายืนส่งที่หน้าห้อง สีหน้าไม่สบายใจของวินก็ทำให้ทิวาอดเป็นห่วงไม่ได้

หลายครั้งที่วินพูดเรื่องที่เขาไม่เข้าใจเอาเสียเลย ทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมบอกแต่อย่างใด ไหนจะเรื่องที่ตัวตนของเขาบนโลกนี้จู่ๆ ก็หายไปนี่อีก หลายอย่างที่เขาอยากรู้ แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็คล้ายกับถูกปิดบังไม่ให้พบคำตอบเสมอ ถึงในตอนนี้จะมีคนจำเขาได้แล้วก็ตาม

ราวกับว่าสิ่งที่ปิดกั้นค่อยๆ มีแรอยแตกร้าว จนทำให้ความจริงค่อยๆ หลุดลอดออกมา

ไม่รู้ว่าระหว่างรอยแตกนั้นขยายกว้างหรือตัวเขาพบคำตอบก่อน อะไรจะเกิดก่อนกัน

วันนี้ไม่มีใครอยู่ที่บ้าน ทุกคนไปยังบริษัทตั้งแต่เช้าเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับคอนเสิร์ตที่กำลังจะจัดขึ้นในสัปดาห์หน้า รวมไปถึงการจัดคิวซ้อมในสถานที่จริง แน่นอนว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้วตั้งแต่ที่ภัทรมารับหน้าที่เป็นผู้ช่วย ดังนั้นวันนี้จึงมีเพียงเขาคนเดียวที่นั่งกินข้าวเช้าในตอนแปดโมง ก่อนจะออกไปพบกับปัณอีกครั้งในช่วงสายของวัน

วันนี้พวกเขาไม่ได้นัดเจอกันในมหาลัยเหมือนเมื่อวาน แต่เลือกที่จะไปพบกันที่ร้านอาหารด้านนอก โดยปัณย้ำว่าวันนี้จะพาคนคนหนึ่งไปหา ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าคงเป็นเดือนอ้ายและโรมแน่ๆ

หลังจากเดินทางมาถึงและใช้เวลาเดินเล่นฆ่าเวลาและพยายามจะไม่ให้ตัวเองตื่นเต้นมากจนเกินไป ทิวาก็มาถึงร้านที่นัดไว้ในที่สุด เมื่อมองไปรอบๆ ร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังจนกระทั่งไปบรรจบสายตาเข้ากับปัณที่นั่งมุมสุดของร้าน ทิวายิ้มและรีบเดินตรงไปหา ทุกย่างก้าวที่ระยะห่างของเขากับโต๊ะที่ปัณและใครอีกคนนั่งอยู่ทำให้ทิวาประหม่าจนมือเย็นชื้น กระนั้นฝีเท้ากลับไวขึ้น ไวขึ้น จนไปหยุดอยู่ข้างโต๊ะ

“มาแล้ว คนที่อยากให้มึงเจอ”

“...”

“นี่เดย์...มึงจำได้ไหม อ้าย”

เดือนอ้ายเงยหน้าขึ้นจากเมนูอาหารขึ้นมาสบตากับเขาที่กำลังมองอีกคนอยู่ เดือนอ้ายเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนเลยนับตั้งแต่เมื่อหกปีก่อน ส่วนสูงก็ยังเหมือนจะเท่าเดิม ดวงตา จมูก แม้กระทั่งนิสัยติดตัวที่ชอบเม้มปากเวลาถูกคนจ้องนานๆ นั่นก็ด้วย คิ้วของอีกคนขมวดเข้าหากันแน่น คล้ายกับสงสัยและงุนงงในที จนใจทิวาหล่นไปกองอยู่กับพื้น

บางทีเดือนอ้ายอาจจะยังจำไม่ได้ก็เป็นได้

ในตอนที่เขากำลังจะเอ่ยปากบอกว่าไม่เป็นไร อีกคนก็พูดขึ้นมาเสียก่อน

“เดย์”

“...”

“เดย์จริงๆ เหรอ”

ทิวาเม้มปากแน่น ขอบตาร้อนเสียจนนึกว่าน้ำตาจะไหล แต่มันกลับแห้งผาก เขาพยักหน้าแรงเสียจนปัณหลุดหัวเราะ เพราะนอกจากท่าทางตลกๆ ของเขาแล้ว สีหน้าของเดือนอ้ายที่อ้าปากค้างและน้ำตาไหลก็น่าขันไม่แพ้กัน

ปากของเดือนอ้ายอ้าหุบอยู่หลายครั้ง เหมือนมีอะไรอยากพูด แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร สุดท้ายจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วโผเข้ากอดเขา โดยไม่สนใจสายตาคนภายนอกที่มองมา เสียงสะอื้นเล็กๆ กับคำตัดพ้อข้างหูทำให้ทิวายิ่งกระชับอ้อมกอดแน่น

“มึง...กลับมา”

“วันนั้นตอนที่โทรไปแล้วมึงจำกูไม่ได้ กูเสียใจมากเลยนะเว้ย”

“โทรมาตอนไหน ทำไม...”

“นานแล้ว น่าจะเกือบเดือนมั้ง”

เดือนอ้ายผละออกจากตัวของทิวา คิ้วกลับมาขมวดแน่นอีกรอบ ก่อนจะคลายออก “เดี๋ยวนะ...”

“จำได้แล้วเหรอ”

“ตอนนั้น... กูไม่รู้เหมือนกัน แต่จำไม่ได้จริงๆ”

“...”

“ขอโทษ”

“ช่างมัน มึงจำได้แล้วนี่”

“เอาล่ะๆ นั่งลงก่อนจะได้สั่งอะไรมากิน กินข้าวมายังวะเดย์ ถ้ายังก็มากินพร้อมกันเลย” ด้วยกลัวว่าบทสนทนาจะยาวไปมากกว่านี้ ปัณจึงออกหน้าตัดบทแล้วเรียกให้เขานั่งลงในที่นั่งถัดไปที่ว่างอยู่ ก่อนเริ่มสั่งอาหารอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าเขาจะปฏิเสธว่ากินมาแล้วก็ตาม

“นานๆ ทีเจอ...แถมยังเป็นการเจอที่กูคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ขนาดนี้ ขอเลี้ยงหน่อย กินแค่ไม่กี่คำก็ยังดี”

ทิวาหลุดหัวเราะ “โอเว่อร์มาก มันจะอะไรขนาดนั้น กูไม่ได้หายไปไหนเสียหน่อย”

เดือนอ้ายกับปัณสบตากันชั่วครู่ในตอนที่ทิวาไม่สังเกตเห็น ก่อนปัณจะตอบกลับ “นั่นสิ ก็กลับมาแล้วนี่เนอะ”

“ว่าแต่ไม่รออีกคนเหรอ”

“มึงหมายถึงใคร” ปัณว่า

กลายเป็นทิวาที่งงแทน หลังจากพนักงานรับเมนูกลับไป เขาจึงถาม “อ้าว ที่นัดมาวันนี้ไม่ใช่จะนัดรวมตัวกลุ่มเราทุกคนเหรอ”

“ก็ครบแล้วไง”

“ครบยังไงวะ”

“ก็เนี่ย มีกู มีมึงแล้วก็มีอ้าย ไม่ครบยังไงวะ”

“แล้วโรมอะ ไม่นัดมันมาด้วยเดี๋ยวมันก็น้อยใจหรอก”

“โรม?” เดือนอ้ายทวนชื่องงๆ “ใครวะ”

“...”

“มึงเพ้อแล้วไอ้เดย์ ตั้งแต่สมัยเรียนก็มีกันแค่สามคน มึงงงอะไรเนี่ย”

“มึงนั่นแหละที่งง มีสี่คนเว้ย! อะไร โกรธแล้วทะเลาะกันเหรอ มันหนักหนาถึงขนาดตัดเพื่อนเลยหรือไง”

“เดย์ พวกกูไม่รู้ว่าคนที่มึงพูดถึงคือใครจริงๆ นะเว้ย” ปัณพูด โดยมีเดือนอ้ายพยักหน้ารับอยู่ข้างๆ เขา

“นั่นสิ ที่ผ่านมาก็อยู่กันแค่นี้ มึงเอาคนที่สี่มาจากไหนวะ”

สีหน้าจริงจังและท่าทางยืนยันเต็มที่จากเดือนอ้ายที่คอยสนับสนุนคำพูดของปัณทำให้ทิวาหมดคำพูด มันขัดแย้งกับความทรงจำและเรื่องที่ผ่านมาของเขาชัดๆ ทำไมทั้งสองคนถึงทำราวกับว่าไม่เคยรู้จักโรมมาก่อน ทั้งที่ความจริงแล้วคนที่ทำให้พวกเขาสนิทและรู้จักกันตั้งแต่ปีหนึ่งคือโรมชัดๆ

นี่มันเรื่องบ้าอะไร หกปีที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 








-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------








“...เรื่องที่จะคุยก็มีแค่นี้ ยังไงก็ไปตัดสินใจกันเอานะ แล้วอีกพรุ่งนี้บ่ายๆ เข้ามาหาอีกที”

การประชุมอย่างไม่เป็นทางการเกี่ยวกับเรื่องทัวร์และรายละเอียดจิปาถะอื่นๆ ก็จบลงไปง่ายๆ เช่นนี้ อันที่จริงมันแทบไม่เรียกว่าการประชุมเสียด้วยซ้ำ แทบจะเหมือนการเข้ามาคุยถึงเรื่องความก้าวหน้าของเพลง การซ้อมหรือเรื่องสถานที่เท่านั้น อาจเพราะประธานของบริษัทค่อนข้างใช้ชีวิตคล้ายตัวเองเป็นแค่ลูกจ้าง วางตัวเหมือนลูกพี่มากกว่าหัวหน้างานที่เคร่งขรึม บรรยากาศของการพูดคุยจึงมีเสียงหัวเราะคั่นในบางช่วงเสมอ

“หลังจากนี้เอาไง จะแวะเข้าไปดูสถานที่หรือกลับบ้าน”

ไป๋ว่า ก่อนจะหันไปหาวินที่ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเสียเท่าไหร่ แม้เจ้าตัวจะยืนยันว่าได้พูดคุยกับเดย์เรียบร้อยทุกเรื่อง ไม่มีเรื่องเข้าใจผิดหรือหมางใจกันแต่อย่างใด แต่สภาพของเพื่อนในวันนี้ ทำให้เขาไม่อาจเชื่อได้เต็มร้อย

วินเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวว่าไป๋กำลังพูดด้วย การตอบรับจึงช้าไปครึ่งจังหวะ “อืม แวะไปดูสถานที่ก่อนก็ได้ค่อยกลับ”

“กลัวกลับไปเจอเดย์หรือไง”

“...เปล่า”

“หน้ามึงไม่ได้หมายความว่างั้นเลยสักนิด” ไป๋ยกมือผลักหัววินที่ไม่คิดจะตอบโต้เช่นปกติ ก่อนจะเดินนำแคทและคนอื่นๆ ไปยังรถที่ทางบริษัทจัดเตรียมไว้ให้ ด้านนอกมีเสียงพูดคุยและร้องตะโกนของแฟนคลับอย่างต่อเนื่อง โชคดีที่พวกเขาเป็นระเบียบเรียบร้อย ดังนั้นที่ผ่านมา แม้จะมาดักรอที่หน้าบริษัท แต่ก็ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนใดๆ

ภัทรยืนอยู่ข้างๆ มองสีหน้าของวินด้วยความไม่สบายใจ แต่รู้ว่าเธอไม่อาจทำอะไรได้ นอกจากคอยอยู่ข้างๆ แบบนี้ จึงยื่นมือไปตบหลังอีกคนเบาๆ “ยิ้มหน่อย”

“...”

“แฟนคลับรอเจอแกอยู่นะ”

สิ้นคำนั้น รอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนก็ปรากฏบนมุมปากของวิน พร้อมกับที่เจ้าตัวเดินออกไปยังด้านนอก ยกมือ หยอกล้อกับแฟนคลับอย่างอารมณ์ดี ทิ้งไว้แต่ภัทรที่มองตามด้วยความเป็นห่วง

อันที่จริง เธอก็พอรู้ว่าเดย์ไม่ได้ติดใจอะไรกับความสนิทสนมของเธอและวิน อีกคนเหมือนจะใจกว้างเกินไปเสียด้วยซ้ำที่มองคนที่เคยมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับคนที่กำลังชอบกลับมาเจอกันเช่นนี้ จนเธออดคิดไม่ได้ว่าหากเป็นเธอจะยังใจเย็นเช่นนี้ไหม

ถ้าไม่ไว้ใจมากๆ ก็คงยังมีความรู้สึกไม่มากพอ

หรือไม่...ก็เพราะว่าไม่คาดหวังอะไรเลย

และเธอรู้เสียด้วยว่า สิ่งที่กวนใจวินในตอนนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับเธอที่กลับมาโดยสิ้นเชิง คล้ายจะเกี่ยวพันกับเรื่องในอดีตเสียมากกว่า เพราะแบบนั้น ในช่วงหนึ่งถึงสองวันมานี้ที่เพิ่งคลายความอึดอัดระหว่างเดย์และวินได้ เธอมักจะหวนนึกถึงคำพูดของวินในอดีตอยู่บ่อยๆ

ไม่ว่าท่าทางหรือการแสดงออก แม้กระทั่งของส่วนตัวที่เธอเชื่อว่าทุกวันนี้มันก็ยังอยู่ที่เดิม

คล้ายกับว่า สำหรับวินแล้วคนคนนั้นไม่เคยจากไปไหน ยังคงอยู่กับวินเสมอ

นั่นคงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่อาจทำให้ความสัมพันธ์ครั้งใหม่ของวินไม่อาจก้าวข้ามไปได้ล่ะมั้ง

ดังนั้นภัทรจึงตัดสินใจ

บางที...เธออาจจะต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง หวังว่ามันจะทำให้เพื่อนของเธอดีขึ้นไม่มากก็น้อย

 








-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------












หลังจากใช้เวลาอยู่กับเพื่อนๆ ถึงสองชั่วโมงเต็ม เดย์ก็ยืนมองเพื่อนทั้งสองแยกย้ายกันกลับบ้าน ก่อนจะพาตัวเองเดินกลับเข้าไปในตัวห้าง เพื่อไปยังร้านหนังสือที่หมายตาเอาไว้ระหว่างที่พูดคุยกัน

เขาไม่คิดว่าตัวเองความจำแย่ถึงขนาดหลงลืมหรือเข้าใจผิด แต่การยืนยันของเพื่อนทั้งสอง มันกลับทำให้เขาเริ่มชักไม่แน่ใจเสียแล้ว แม้ว่าการไปหาหนังสืออ่านมันอาจจะแทบไม่มีผลและไม่ช่วยให้เขารู้ แถมอาจไม่มีหนังสือเรื่องไหนที่กล่าวถึงและช่วยให้เขาหายสงสัยได้เสียด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยๆ ก็ยังดีกว่าเขาปล่อยให้หัวสมองของเขาฟุ้งซ่านไร้ที่ระบายเช่นนี้

เขายังจำได้ดีถึงวันแรกที่เข้ามหาลัยและได้เจอกับโรม ในวันรับน้อง อีกคนเดินตรงมาหาเขาที่ทั้งเงียบและไม่คิดจะสานสัมพันธ์กับใครก่อน เพราะค่อนข้างไม่ชินกับคนแปลกหน้า รอยยิ้มที่จริงใจและความใจดีของอีกคนที่มักจะฉุดดึงให้เขาเข้าร่วมกับคนอื่นได้อย่างไม่กระอักกระอ่วน ทำให้ในใจเขา โรมค่อนข้างมีน้ำหนักในใจมากกว่าปัณและเดือนอ้ายนิดหน่อย

ไม่รู้ทำไมเหมือน แต่ในบางครั้งตอนที่เขาเห็นโรมนั่งเงียบๆ ฟังพวกเขาคุยกัน เขามักจะรู้สึกว่าตัวเองได้รับแววตาที่เอื้อเอ็นดูอย่างประหลาด คล้ายกับสายตาของผู้ใหญ่มองดูเด็กในปกครองคนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น

ที่ผ่านมาเขาไม่เคยสังเกตก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่รู้สึก

ทิวาเดินไปชั้นหนังสือแต่ละล๊อกที่มั่นใจว่าต้องมีเนื้อหาที่สามารถช่วยคลายความสงสัยของเขาได้ ทว่าไม่ว่าจะค้นหาเท่าไหร่ ก็ยังไม่พบอะไรทั้งสิ้น จนกระทั่งหันไปพบใครคนที่เขากำลังนึกสงสัยว่า ทำไมจึงหายไปจากความทรงจำของทุกคน แบบเดียวกันกับที่เขาเจอ

โรมยืนอยู่ด้านขวาของเขาและยิ้มเหมือนที่เคยยิ้มให้เขาตอนที่อยู่ด้วยกัน ยืนอยู่ตรงนั้นราวกับรอให้เขาหันมาเจอ รูปลักษณ์ของอีกคนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ทั้งสูงและหนาขึ้น โรมอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวไม่เรียบร้อย แต่กลับเข้ากันได้ดีกับกางเกงยีนส์สีเข้มและรองเท้าผ้าใบสีขาวสะอาดคู่นั้น

ทิวาวางหนังสือที่หยิบมาจากชั้นและเดินเข้าไปหาคนที่ยืนรออยู่ ไม่มีคำพูดหรือการแสดงออกใดๆ แต่พริบตาที่อีกคนตบลงที่หัวเขาเบาๆ ภาพที่มองเห็นก็คล้ายจะพร่าเลือนไปบ้าง แต่ก็ยังเห็นรอยยิ้มนั้นเช่นเดิม

“...ทำไม”

“...”

“ทำไมพวกปัณถึงได้บอกว่าไม่รู้จัก แถมยังบอกว่าที่ผ่านมามีกันแค่สามคนมาตลอด”

“...”

“...”

“เจอกันก็ถามแบบนี้เลยเหรอ ไม่มีฉากน่าประทับใจเช่นว่ากระโดดกอดหรือหอมแก้มให้หายคิดถึงสักหน่อยหรือไง” น้ำเสียงทะเล้นแต่ทุ้มหนักดังขึ้นเหนือหัว เพราะตอนนี้อีกคนตัวโตกว่าเขาเกือบช่วงศีรษะ ทำให้เวลาพูดคุยทิวาจำต้องถอยไปหนึ่งก้าวและเงยหน้ามองแทน “เสียใจนะเนี่ย ทำไมตอนเจอกับพวกปัณถึงขนาดร้องไห้ กอดกันกลม”

“ก็มันดีใจ แต่เดี๋ยว...ทำไมมึงรู้ว่ากูร้องไห้ใส่ไอ้ปัณ แถมยังกอดกับเดือนอ้าย”

“แล้วคิดว่าไงล่ะ”

“...”

“ดีใจนะที่ไม่ได้ร้องไห้หนักเหมือนวันแรกๆ ที่มาอยู่ที่นี่ ต้องขอบคุณหมอนั่นล่ะนะที่ช่วยให้เดย์ดีขึ้น”

“...”

“ทำหน้าสงสัยอีกแล้ว อยากให้ตอบคำถามล่ะสิว่าทำไมถึงรู้” โรมยิ้มตาหยี แต่คราวนี้มันกลับทำให้ทิวาไม่คุ้นเคยขึ้นมา คล้ายกับเป็นคนละคนกับโรมที่เขาเคยรู้จัก โรมเอื้อมมือมาคว้ามือเขาเอาไว้ เมื่อเห็นว่าเขาเริ่มถอยออกจากอีกคนมากขึ้นทุกที “ไปคุยกันที่อื่นดีกว่า มีร้านไอศกรีมอร่อยๆ อยู่ร้านหนึ่ง ไปนั่งที่นั่นละกัน”

ตอนแรกทิวาไม่เต็มใจอย่างยิ่งที่จะไปกับโรมที่เหมือนคนแปลกหน้าคนนี้ แต่ไม่รู้ทำไม เขากลับไม่อาจดึงมือตัวเองออกจากมืออีกคนได้เลย แม้ว่าจะพยายามสุดแรงเกิด แต่คล้ายมันไม่ก่อให้เกิดอะไรขึ้นสักนิด มือของเขายังคงถูกกำโดยมือของโรมและถูกดึงไปตามที่อีกคนต้องการ กระทั่งนั่งลงในร้านไอศกรีมที่โรมว่า มือข้างนั้นจึงได้ปล่อยมือของเขาในที่สุด

ทิวามองอีกคนสั่งขนมเหมือนมากันหลายคน แม้ในใจจะมีคำถามเยอะแยะ แต่ก็ยังรู้ตัวว่าสิ่งที่เขาสงสัยมันไม่ใช่เรื่องที่จะให้คนอื่นได้ยินได้ จึงอดทนรอจนกระทั่งโรมคืนเมนูและหันกลับมาหาเขานั่นแหละ ความอดทนจึงได้หมดลงแทบจะทันที

“โรม...”

“รู้แล้วๆ สงสัยอะไรก็ถามมา จะตอบเท่าที่ตอบได้ก็แล้วกัน”

“ทำไมถึงรู้ว่ากูไม่ใช่คนของที่นี่หรือมึงก็ข้ามมาด้วย”

“อันนี้ตอบไม่ได้ แต่กูไม่ได้ข้ามมาในกรณีเดียวกับมึงแน่นอน”

“...หมายความว่าไง”

“ตอบไม่ได้”

“ทำไมตอบไม่ได้!”

“เอาคำถามอื่นได้ไหม เช่นว่า อยากรู้ไหมว่าทำยังไงถึงจะกลับไปเมื่อหกปีก่อนได้”

“...” ทิวาไม่ได้ตอบในทันที อาจเพราะรอยยิ้มหรือแววตาที่มองมามันวาววับเหมือนมีแสงสะท้อนสีเหลืองทองประหลาด จึงไม่ค่อยน่าไว้วางใจเสียเท่าไหร่ แต่อีกคนพูดถูก เรื่องกลับไปก็เป็นอีกเรื่องที่เขาอยากรู้เช่นกัน หากแต่ตอนที่กำลังจะเอ่ยปากถาม ใบหน้าเศร้าและคำพูดที่เหมือนทรมานของวินที่ได้ฟังเมื่อวันก่อน ก็พลันลอยเข้ามาในสมองเสียก่อนจนลังเล

ราวกับโรมสังเกตเห็นมัน จึงถามขึ้น “ลังเลอะไร ไม่ได้อยากกลับไปแล้วเหรอ”

“อยากสิ แต่...” เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมวินถึงได้ดูกลัวแบบนั้นและอีกเรื่อง…

เขาในโลกนี้หายไปไหน

ทิวาเลื่อนสายตากลับมาสบกับโรม ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ทำไมกูในโลกนี้ถึงหายไป มันเกี่ยวกับที่ทุกคนจำกูไม่ได้หรือเปล่า”

“อันนี้คงบอกได้แค่คร่าวๆ แต่ก็น่าจะทำให้มึงหายสงสัยได้และใช่ ทั้งสองเรื่องเกี่ยวข้องกัน” โรมว่า “คำอธิบายก็ง่ายๆ โลกใบนี้ไม่มีทางอนุญาตให้สิ่งที่ ‘เหมือนกันโดยสิ้นเชิง’ อยู่ร่วมกันในโลกใบเดียวกันได้หรอกนะ ดังนั้นเมื่อสิ่งหนึ่งมีอยู่ อีกสิ่งหนึ่งก็หายไป เรื่องของกูกับมึงก็คล้ายๆ กัน”

“งั้นแปลว่ามึงก็มาจากหกปีก่อนไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ใช่ นานกว่านั้นอีก”

“...”

“ประมาณว่า ถึงจะเป็นโลกใบเดิม แต่คนละเส้นเวลา ไอ้ที่เขาเรียกว่าโลกคู่ขนานนั่นแหละ”

“...”

“แล้วก็ไม่อนุญาตให้ถามนะว่ามาจากช่วงไหน กูไม่สามารถตอบให้มึงรู้ได้แน่นอน”

ทิวาขมวดคิ้ว ชักเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อทุกครั้งที่ถามจะต้องมีบางส่วนที่เขาสงสัยแต่โรมไม่ยอมตอบเสมอ ทว่าความอยากรู้มันกมากกว่า ดันนั้นจึงยอมอดทนกับความหงุดหงิดเล็กๆ นั่นแล้วถามต่อ “โอเค ไม่ได้มาจากช่วงเดียวกัน แต่เพราะมาอยู่ที่นี่ความทรงจำทั้งของกูแล้วก็มึง เลยหายไปจากทุกคนใช่ไหม”

“ใช่”

“แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ การที่ทุกคนเริ่มจำกูได้ นั่นหมายความว่า...”

“ทันทีที่ทุกคนจำมึงได้ มึงก็จะได้กลับไปโลกเดิม เมื่อหกปีก่อน นี่คือวิธีกลับไปแบบเบสิกที่สุด”

“...”

“ซึ่งไม่รู้นะว่าทำไมมึงถึงได้พยายามตามหาคนอื่น แต่ถือว่าเก่งในด้านความโชคดี ขนาดกูยังไม่ทันได้มาบอกมึงก็ก้าวหน้าจนเกือบจะได้กลับไปแล้ว”

“...”

“แต่ของมึงจะเป็นอีกกรณี ซึ่งบอกได้ว่า ไม่ใช่แค่คนอื่นจะต้องจำมึงได้ทั้งหมดถึงจะกลับไปได้ แต่มึงเองก็ต้องบรรลุสิ่งหนึ่งที่เป็นสาเหตุที่ทำให้มึงมาอยู่ที่นี่ด้วย”

“...”

“แล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าการกลับไปจะทำให้เกิดเอฟเฟคอะไรในอนาคต ทันทีที่มึงไม่อยู่ ตัวมึงคนเดิมก็จะกลับไปในความทรงจำของทุกคน เหมือนเรื่องของมึงไม่เคยเกิดขึ้น ถึงแม้จะมีความเป็นไปได้เล็กๆ ว่าจะยังมีคนจำได้ แต่นานวันเข้า หลายปีผ่านไป เขาก็จะค่อยๆ ลืมไปเอง” โรมเขี่ยไอศกรีมในถ้วยที่มาส่งเมื่อสักครู่ ก่อนเอาเข้าปาก แล้วจึงพูดต่อ “เอาจริงๆ การกลับไปก็เหมือนรีเซตไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้งนั่นแหละ ที่เหลือก็เป็นการตัดสินใจของมึงแล้วว่าจะให้มันดำเนินไปแบบเดิมหรือว่าจะทำให้มันเป็นไปในความเป็นไปได้แบบใหม่”

“แล้วทำไมจะต้องเปลี่ยน เดี๋ยว ที่สำคัญ...ทำไมกูถึงต้องมาอยู่ที่นี่”

“...”

“ที่มึงพูดเมื่อกี้เกี่ยวกับอีกเงื่อนไขที่กูต้องทำก่อนจะกลับไปหกปีก่อน แสดงว่ามีเหตุผลอะไรบางอย่าง กูถึงต้องมาอนาคตแบบนี้ใช่ไหม”

“อันนี้กูขอไม่ตอบ”

“หลายครั้งแล้วนะโรม กูชักจะหงุดหงิดละนะ”

คิ้วเรียวของคนตรงหน้าขมวดมุ่น แสนจะน่ารักและน่าแกล้งในสายตาของโรม แต่ก่อนที่ทิวาจะหงุดหงิดไปมากกว่านี้ เขาก็ตอบกลับไปเสียก่อน “ขอโทษๆ คำถามที่ว่ามาทำไมน่ะพอจะตอบได้อยู่หรอก แต่อยากให้มึงไปถามอีกคนมากกว่า เพราะเอาจริงๆ เรื่องทั้งหมดที่มันดำเนินมาจนถึงตอนนี้น่ะ มันเป็นเพราะหมอนั่นเป็นสาเหตุหลักๆ เลย”

“ใคร”

“มึงรู้จักดีเลยล่ะ เพราะเป็นคนแรกที่มึงเข้าหาในโลกนี้ได้สำเร็จ”

“...”

โรมชะโงกหน้าเข้ามาใกล้แล้วยิ้มจนดวงตาเรียวรีราวกับพระจันทร์ กระซิบเสียงเบา แต่ดังก้องไปไปทั่วสมองของเขา พริบตานั้นทิวาพลันนึกถึงใบหน้าหนึ่งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

คนแรกงั้นเหรอ

“ใช่ มาวินไง”

 








-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------














วินชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะหันกลับไปยังด้านหลังตัวเอง มือข้างหนึ่งลูบใบหูด้านขวาที่จู่ๆ ก็จั๊กจี้เหมือนมีใครมากระซิบข้างๆ เสียอย่างนั้น

“มองอะไรวะ”

“...เปล่า”

“เออ ไม่มีอะไรก็ดี แล้วตกลงว่าไง พรุ่งนี้มึงจะไม่อยู่ใช่ไหม กูจะได้พาแค่พวกที่เหลือไปสถานที่จัดรอบสุดท้ายก่อนวันจริง”

“อืม ฝากด้วย”

“...กลับมาหงอยอีกแล้ว กูไม่ชอบมึงช่วงเดือนนี้เลยให้ตายเถอะ” ไป๋ว่าพลางปิดไอแพดหลังจากที่จัดการตารางส่วนตัวของอาทิตย์ถัดไปเสร็จ ก่อนจะส่งให้ภัทรที่นั่งฝั่งตรงข้าม ตอนนี้พวกเขากลับมาถึงบ้านได้พักใหญ่ๆ แล้ว พวกแคทเข้าไปในห้อมซ้อม ไปเล่นไปซ้อมตามเรื่องตามราว ส่วนเขากับภัทรก็คุยกันเรื่องตารางงาน แต่วินมานั่งด้วยเพราะรอเดย์กลับมา

จะว่าไปก็เย็นมากแล้ว ทำไมวันนี้ยังไม่ถึงบ้านอีกนะ?

วินหลุบตาลงมือของตัวเองที่จับกัน เงียบไปพักใหญ่ก่อนเอ่ยตอบ “ไม่ได้หงอย”

“ปากแข็ง”

“...เสือก”

“สัส คนเขาเป็นห่วงดันมาปากดีใส่”

“...”

“ดูแลตัวเองหน่อย ไม่ใช่แค่ตัว แต่ใจมึงด้วย อีกไม่กี่วันก็จะจัดคอนฯ แล้ว กูขอมึงสภาพเต็มร้อย ไม่เอาครึ่งๆ กลางๆ โอเคไหม”

“เออ”

“เฮ้อ กูปลุกใจอะไรมึงไม่ได้เล้ย สงสัยต้องรบกวนเดย์แล้วมั้ง... นั่นไงมาพอดีเลย” วินเงยหน้าตามที่สายตาของไป๋มองไป หน้าบ้านมีใครคนที่เขารอมาทั้งวันปรากฏตัวขึ้นจริงๆ ทิวาเดินเข้ามาในบ้าน สีหน้าของอีกคนสงสัยนิดหน่อยว่าทำไมพวกเขาถึงมารวมตัวกันตรงนี้ แต่พอสายตามาหยุดอยู่ที่ตัวเขา แววตานั่นกลับทำให้เขาไม่กล้าสบตาและดันลุกหนีไปเสียดื้อๆ

ไม่รู้เหมือน แต่ตอนที่ทิวามองมา...เหมือนกับว่าอีกคนรู้เรื่องอะไรสักอย่างมา เรื่องที่เขาไม่อยากให้อีกคนรู้

ความกลัวที่พบพานในทุกคนย้อนกลับมาอีกครั้ง จนสุดท้ายเขาที่แสนขี้ขลาดก็ทำได้แค่เดินหนีอีกคนไปอีกครั้งหนึ่ง

“มันงี่เง่านิดหน่อย อย่าถือสามันเลยนะเดย์ เฉพาะช่วงนี้แหละ”

“ไม่หรอก...แต่ทำไมต้องช่วงนี้ล่ะ”

“...อืม จะว่าไงดี”

“เดี๋ยวเราคุยเอง ไป๋ไปห้องซ้อมเถอะ วินน่าจะไปรวมกับคนอื่นๆ ที่นั่น” ตอนแรกไป๋ทำท่าลำบากใจที่จะพูดถึง แต่ภัทรที่นั่งเงียบมาตั้งแต่แรกกลับเอ่ยปากขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่าไป๋ไม่มีข้อปฏิเสธอะไรแน่ๆ ถ้าภัทรจะเป็นคนเล่าเรื่องทั้งหมด ดังนั้นจึงกำชับเรื่องงานอีกสองสามประโยค ก่อนจะเดินหายไปยังห้องซ้อม ทิ้งให้บริเวณห้องนั่นเล่นมีเขาและภัทรสองคน

ภัทรยิ้มหวานแล้ววางไอแพดลงบนโต๊ะกระจกก่อนเงยหน้ามองเขา “วันนี้เป็นยังไงบ้าง กินข้าวกับเพื่อนสนุกไหมเดย์”

“อืม ก็...สนุกล่ะมั้ง”

“ทำไมทำหน้างั้นอะ ได้เจอเพื่อนๆ ไม่ใช่เหรอ”

ทิวาหลบตา “ก็ดี เพียงแต่มันมีเรื่องให้คิดนิดหน่อย” อันที่จริงก็ไม่นิดหน่อย เยอะมากๆ เลยต่างหาก

“งั้นยังพอมีที่ในหัวว่างมากพอให้เราเล่าเรื่องอะไรให้ฟังไหม เพราะมันอาจจะต้องคิดเยอะเหมือนกัน” ภัทรว่า “หรือวันนี้เหนื่อยแล้ว อยากจะพักก่อน”

“มัน...หนักมากเหรอ เกี่ยวกับที่วินดูแปลกๆ ไปหรือเปล่า”

“เกี่ยวมากๆ เลยล่ะ อันที่จริง...ก็เรื่องของวินนั่นแหละ”

“...”

“เดย์รู้ใช่ไหมว่าวินมีคนที่ฝังใจมากๆ คนหนึ่ง”

“รู้สิ” คนที่วินแต่งเพลงให้ “หรือว่า...”

“อืม มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนคนนั้น”

“...”

“ถ้าเดย์ไม่รังเกียจที่จะฟังล่ะก็...เราจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังเอง”

 





เพราะแบบนั้น ยามที่กาลเวลาหมุนย้อนกลับ

ฉันจึงได้เพิ่งสำรวจหัวใจของตัวเองและพบว่า

คุณยังอยู่ในนั้น...ไม่เคยจางหายไปแม้สักเศษเสี้ยวเดียว



(โปรดติดตามตอนต่อไป)

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

fact about ทิวา

เมื่อได้หนึ่งคำใบ้ จะสามารถคาดเดาสิ่งที่เคยสงสัยได้ก่อนคำเฉลยเสมอ

NAVY

ปล.ตอนนี้สต๊อคหมดแล้ว กำลังเร่งปั่นอยู่ค่ะ555

เอาเป็นว่าจะพยายามเร่งปั่นไม่ให้รอนานนะคะ

ขอบคุณสำหรับที่แวะเข้ามา ถึงจะไม่รู้ว่าเพราะกดผิดไหมก็เถอะ555

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 12 ★ 10/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 10-12-2019 21:23:01
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ...ทำไมโรมถึงข้ามเวลามาด้วยเนี่ย

โรมมาด้วยอิทธิฤทธิของศาลเหมือนกันเหรอ?
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 12 ★ 10/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 11-12-2019 14:41:47
แล้วโรมทำไมถึงย้อนไปย้อนมาได้ล่ะ มันคืออะไรกันแน่??
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 12 ★ 10/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 11-12-2019 21:26:37
 :hao7:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 12 ★ 10/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: SuMoDevil ที่ 11-12-2019 22:49:15
สองมาวิน สองทิวา จะยังไงกันหนอออ

รออ่านต่อ อย่างใจจดใจจ่อนะครับ ^ ^
:impress2:
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 12 ★ 10/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 12-12-2019 20:13:59
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 13 ★ 15/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: KarmaNavy ที่ 15-12-2019 21:02:47
แม้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป

แต่ในช่วงระยะเวลาหนึ่งเมื่อนึกย้อนทบทวนกลับพบความจริงหนึ่งอย่าง

นั่นคือเรามักจะหลงรัก คิดถึง รวมไปถึงให้อภัยใครบางคนอยู่เสมอ















ตกหลุมรักระยะที่ 13


 

‘...ตอนนี้อาจจะได้แค่ทำนอง แต่ไว้เสร็จแล้วจะเอามาให้ฟังทันทีเลย’

‘พูดเองนะ สัญญามาเลย ไม่งั้นไม่เชื่อ’

เขาหัวเราะแล้วเอื้อมมือไปกุมมือของอีกคนเอาไว้ ยิ้มแล้วเอ่ยคำที่อีกคนอยากฟัง ‘สัญญา’

‘ดีมาก!’

วินอดอ่อนใจไม่ได้ที่อีกคนทำราวกับเขาเป็นเด็กเล็ก ยื่นมือมาลูบศีรษะของเขาก่อนเลื่อนมาบีบแก้มไปมา เหมือนหมั่นเขี้ยว แม้จะเจ็บอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้ปัดออกแต่อย่างใด

อาจเพราะ...รอยยิ้มของอีกคนมันน่ารักมากๆ ล่ะมั้ง

‘จะรอนะ...’

และเขาก็หลงรักรอยยิ้มนั้นมากๆ เสียเหลือเกิน

 








--------------------------------------------------------------------------------------------------------











 “เรารู้จักกับวินมาตั้งแต่สมัยเรียนม.ปลาย เพราะงั้นตอนที่สอบเข้ามหาลัยที่เดียวกันได้เลยดีใจมากๆ ถึงจะคนละคณะก็เถอะ” ภัทรเริ่มพูดขึ้นหลังจากที่พวกเขาย้ายมานั่งอยู่แถวด้านข้างของบ้านที่มีระเบียงเล็กๆ ยื่นออกมาให้นั่งลงได้ ตรงหน้าคือสวนเล็กๆ ที่เขียวชอุ่มจากการรดน้ำและคอยดูแลจากเขา “แต่ก็ไม่ได้เจอกันบ่อยนักหรอก จะได้เจอกันนานๆ ทีตามพวกกิจกรรมใหญ่ๆ ในมหาลัย ลอยกระทงบ้าง วันโอเพ่นเฮ้าส์ ไม่ก็ตอนเดินสวนกันที่ตลาดม.บ้างแล้วแต่โอกาส”

ทิวาไม่ได้สนใจนักกับข้อมูลตรงนี้ เนื่องจากรู้อยู่แล้วว่าพวกวินและภัทรเรียนอยู่ม.เดียวกัน แต่ที่แปลกใจคงเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้จักกันมาก่อนเท่านั้น “เรียนม.ปลายมาด้วยกันทั้งหมดเลยเหรอ”

“ไม่ทั้งหมด มีแค่ไป๋กับจินที่มารู้จักตอนเข้ามหาลัยน่ะ แต่คล้ายๆ เหมือนเคยได้ยินวินพูดว่าเคยเรียนประถมกับไป๋ แต่แยกกันตอนเข้าเรียนม.ปลาย เพราะงั้นสองคนนั้นเลยกลับมาสนิทกันอีกครั้งตอนเข้ามหาลัย เราเลยเพิ่งเคยได้รู้จักไป๋ก็ตอนนั้นพอดี”

“อ๋อ”

“ก็อย่างที่พูดไปว่าไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่เพราะเรียนกันคนละคณะ เพราะงั้นเวลานานๆ ทีได้เจอเรากับคนอื่นก็รู้สึกว่าวินเปลี่ยนไป ถึงจะเล็กน้อยมากๆ แต่ก็มากพอให้พวกเรารู้ เพราะบางครั้งวินจะชอบไม่อยู่เวลาเพื่อนคนอื่นนัดซ้อมดนตรีหรือเล่นกีฬา พวกไป๋ตอบแค่สั้นๆ ว่าไปตามหาหัวใจ” ภัทรหัวเราะเล็กน้อย ในสมองหวนนึกถึงท่าทางตลกของเวย์และแคทที่พยายามล้อเลียนคนที่ไม่ควรล้อเลียนอย่างวินลับหลัง ยามที่เจ้าตัวไม่อยู่ “มันเป็นช่วงก่อนสอบไม่กี่อาทิตย์ พวกเราเลยนัดรวมตัวกันค่อนข้างบ่อย เวย์กับแคทเลยชอบแซววินด้วยเรื่องนี้แทบจะทุกครั้งที่เจอกัน ถึงจะเป็นแค่เรื่องที่ทุกคนคาดเดาแล้วก็แซวเล่นต่างๆ นานา แต่วินกลับไม่เคยปฏิเสธ เพราะแบบนั้นพวกเราเลยรู้กันเองโดยอัตโนมัติว่า วินมีคนที่ชอบแล้วจริงๆ”

“...”

“แล้วทีนี้หลังสอบปกติแล้วพวกเราก็จะนัดกันไปกินเลี้ยงอะไรตามประสา แต่พอสอบเสร็จพวกไป๋ก็ส่งข้อความมาบอกแค่ว่า พวกไป๋รวมไปถึงวินจะไม่ไปกินเลี้ยงด้วย มีธุระด่วน ตอนนั้นพวกเราที่เหลือก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะบางทีพวกวินก็ชอบมีงานด่วน งานเร่งประจำหลังสอบ แต่ครั้งนี้มันต่างออกไปตรงที่ถึงจะกลับมาเจอหน้ากันแล้ว วินก็ยังไม่ค่อยมาให้เจอหน้าอยู่ดี”

“ก็คงไปหาคนนั้นเหมือนเดิมไม่ใช่เหรอ” แต่แทนที่ภัทรจะพยักหน้า เธอกลับส่ายหน้าโดยที่สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความเศร้าจางๆ จนทิวาสงสัย “ทำไมอะ...หรือไม่ใช่”

“อืม มันก็ใช่ เพียงแต่มันไม่ได้มีเรื่องแค่ไปเจอกันเนี่ยสิ”

“...?”

“แต่ก่อนจะเล่าไปถึงตรงนั้น เราขอเล่าข้ามไปก่อน เพราะถ้าตามเรื่องจริงๆ กว่าเราจะรู้เรื่องนั้นก็ผ่านไปหลายเดือนแล้วเหมือนกัน” ภัทรไม่ได้มองว่าเขาจะงงแค่ไหน เธอเพียงยิ้มแล้วเริ่มเล่าต่อ “มันเป็นช่วงสามเดือนหลังสอบที่วินทำตัวแปลกๆ ไป หลังจากพ้นสามเดือนนั้นวินก็กลับมาเป็นปกติ มาเจอหน้าพวกเพื่อนๆ ไปกินเลี้ยง ไปเที่ยวด้วยกันปกติ ตอนนั้นเราก็ไม่แน่ใจว่ามีใครสังเกตอีกไหมนอกจากพวกไป๋ อาจจะมีแค่เราก็ได้ที่รู้ว่าวินไม่เหมือนเดิม”

“...”

“วินไม่ยิ้มอีกเลยนับจากสามเดือนนั้น”

“...”

“พวกไป๋ก็เป็นห่วงนะ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร ส่วนเรา...ที่มาสนิทกับวินได้ขนาดนี้มันเป็นเพราะเราไปรู้เรื่องของวินโดยบังเอิญและคอยเป็นที่ปรึกษา รับฟังเวลาวินอยากจะระบายอะไรที่เล่าให้คนอื่นฟังไม่ได้ในช่วงสามเดือนที่ว่านั่น แลกกับที่วินรู้ความลับของเราเรื่องหนึ่ง แน่นอนว่ามันก็ลับมากพอที่เล่าให้คนอื่นฟังไม่ได้เหมือนกัน”

“แล้วมาเล่าให้ฟังแบบนี้จะไม่เป็นไรหรอ”

“ไม่เป็นอะไรหรอก มันนานมากแล้ว...ตอนนี้มันก็ไม่มีผลอะไรแล้ว”

“...”

“พวกนั้นเล่าใช่ไหมว่าเราเป็นคนคุยเก่าของวิน” พอเห็นทิวาพยักหน้า ภัทรก็หัวเราะออกมาเบาๆ “พวกนั้นเข้าใจผิดตั้งหาก เข้าใจผิดมาตลอดด้วย”

“อ้าว”

“เราไม่ได้ชอบวิน ตอนนั้นเราชอบคนอื่นอยู่แล้วดันเป็นคนใกล้ตัววินด้วย วินก็บังเอิญรู้เพราะเก็บสมุดบันทึกเราเขียนชื่อเขาไว้ได้ ซึ่งจริงๆ วินก็ไม่รู้ว่าคนนั้นเป็นใครและไม่เคยเปิดอ่านมันหรอก แต่เราดันร้อนตัวโผล่งออกไปเอง วินก็เลยเป็นคนเดียวที่รู้ว่าเราชอบใคร”

“คนใกล้ตัว...”

“ใช่ คนในวงนี่แหละ”

ฟังจบภาพของคนสี่คนก็ลอยเข้ามาในหัวทันที แต่พอหน้าภัทรแล้วก็ปัดสองใบหน้าออกไปแทบจะทันที คนแบบภัทรไม่น่าจะคิดเกินเลยกับเวย์และแคท ดังนั้นก็เหลือแค่สองคน...ไม่สิ คนเดียว เพราะเคยได้ยินว่าจินไม่เคยเจอกับภัทรมาก่อน...

งั้นแสดงว่า

“ไป๋?”

“ใช่ เราชอบไป๋มาตลอด ตอนนี้จริงๆ แล้วก็ชอบอยู่เหมือนเดิม”

“แล้วทำไม...” ทำไมถึงให้ไป๋กับคนอื่นเข้าใจว่าเป็นคนคุยกับวินล่ะ

“กำลังคิดล่ะสิว่าทำไมถึงได้ให้คนอื่นเข้าใจไปแบบนั้นโดยที่ไม่แก้อะไร” ไม่รอให้ทิวาตอบอะไรกลับมา ภัทรก็เริ่มพูดต่อทันที “ข้อแรกเลย มันเป็นเรื่องดีที่จะกลบเกลื่อนไม่ให้ไป๋มองความรู้สึกของเราออก เพราะคนอย่างไป๋ ถ้ารู้ว่าเป็นคนของเพื่อน จะเว้นระยะห่าง ไม่เข้าไปเล่นหัวมากเท่าตอนที่เป็นเพื่อนกัน อีกเหตุผลก็เพราะ...จะได้มีข้ออ้างไปเจอหน้าไป๋ได้โดยที่ไม่ต้องโกหก” มาถึงท้ายประโยคเสียงหัวเราะของภัทรก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มันกลับเจือความเศร้าและความคิดถึงรางๆ เอาไว้

“ตอนนั้นเราไม่คิดอะไรกับวินเลย มองวินเป็นแค่ทางผ่านให้เราได้เจอคนที่ชอบ แต่นานวันเข้าตอนที่อยู่ด้วยกัน ได้คอยรับฟัง ค่อยๆ เห็นวินยิ้มและหัวเราะเพราะเริ่มสบายใจที่มีเราอยู่เป็นเพื่อน มันก็มีบ้างที่รู้สึกว่า ทำไมเราถึงไม่ชอบคนคนนี้แทนผู้ชายที่ไม่ชอบเรากันนะ”

ทิวาใจกระตุกขึ้นมา รวมไปถึงสายตาที่ตกอยู่บนใบหน้ายิ้มๆ ของภัทรและราวกับเธอรู้ทันจึงรีบพูดต่อ “แต่ก็ไม่ได้ชอบจริงๆ หรอกนะ ตอนนั้นเรารู้เรื่องทั้งหมดของวินแล้วเลยไม่มีความพยายามมากพอจะชอบวิน”

“เพราะอะไร”

“ก็...มันคงจะเหนื่อยมากๆ กับการพยายามชอบคนที่เขารักคนอื่นอยู่แล้วน่ะสิ”

“...”

“ตอนที่เราชอบไป๋ เรารู้ว่าเขาไม่ชอบเราก็จริง แต่ความสัมพันธ์ในตอนนั้นมันค่อนข้างผิวเผิน เป็นเพื่อนของเพื่อน เรารู้เหตุผลที่เขาไม่เคยชอบใคร นั่นแค่เพราะเขาแค่รู้สึกไม่จำเป็น อันที่จริงถ้าพยายามสักหน่อยก็อาจจะได้คบกัน ถึงจะได้คบไม่นานหรืออาจจะต้องเลิกกันภายหลังก็เถอะ เพียงแต่เราในตอนนั้นรู้สึกว่ามันไม่คุ้มที่จะต้องเสียความสัมพันธ์ที่ดีแบบนั้นไป เลยเก็บเขาไว้ในใจ เป็นความทรงจำดีๆ สมัยเรียนแทน”

“...”

“แต่กับวิน” ภัทรส่ายหัว ยิ้มอย่างอ่อนใจ “เราไม่อยากชอบ เพราะเราสู้คนในใจวินไม่ได้และไม่มีทางสู้ได้โดยสิ้นเชิงเลย”

“...”

“ส่วนที่เรามั่นใจว่าสู้ไม่ได้เพราะเราเคยไปเจอคนที่วินชอบมาแล้ว เจอแบบต่อหน้าด้วย”

“สวยไหม” ไม่รู้ทำไมถึงถามแบบนั้นออกไป แต่ฟังมาถึงตรงนี้ทิวาไม่มีความมั่นใจว่าจะเป็นตัวเองแม้แต่น้อย “วินคงจะชอบคนนั้นมากๆ เลยใช่ไหม”

“สวยไหมอันนี้เราก็ไม่รู้จะตอบยังไง แต่เราคิดว่าเขาคงพิเศษมากๆ สำหรับวิน แต่จังหวะที่เราไปเจอเขามันไม่ค่อยโอเคเสียเท่าไหร่ เพราะว่าเขาป่วยอยู่”

“ป่วย?”

“อือ ป่วยหนักด้วย ความลับของวินที่ชอบหายไปก็เพราะมาคอยเฝ้าคนนี้แหละ”

“...”

“วินจะแวะไปหาเขาทุกวัน ถ้าไม่มีเรียนก็จะไปนั่งเฝ้าตั้งแต่เช้า จนเย็นถึงค่อยกลับหอ ไม่ไปนั่งทำการบ้านในห้องบ้าง ก็ไปเล่นกีต้าร์ให้เขาฟังบ้าง ไม่ก็เอาเพลงที่แต่งอยู่ไปเล่าให้เขาฟัง วินทำทุกอย่างเหมือนอยากให้เขาอยู่ในทุกอย่างที่วินชอบทำ ยอมรับเลยว่าที่มีความคิดอยากจะชอบวินก็ตอนนั้นเลย เพราะเราไม่เคยมีใครที่ทุ่มเทแล้วก็อยู่ข้างๆ แบบที่วินทำให้คนคนนั้นมาก่อนเลย”

“...”

“น่าเสียดาย”

“อะไรที่น่าเสียดายเหรอ”

“เราบอกไปแล้วใช่ไหมว่า ที่ไม่อยากชอบวินเพราะเราสู้คนในใจของวินไม่ได้ แต่อีกเหตุผลหนึ่งเลยและเป็นเหตุผลที่สำคัญมากที่สุดที่ทำให้เราเลิกความคิดนั้นก็เพราะเราสู้คนที่ไม่อยู่แล้วไม่ได้”

“หยุดแต่งไปนานมากแล้ว ได้เวลาแต่งต่อให้มันจบซักที”

“นานแค่ไหน”

“หกปี”


“ไม่อยู่แล้ว หมายถึง...ไปรักษาตัวหรือเรียนต่ออะไรแบบนั้นเหรอ”

“เป็นแบบนั้นก็ดีสิ”

น้ำเสียงของภัทรแผ่วเบาคล้ายพึมพำกับตัวเองและเจือเสียงหัวเราะจางๆ ที่แสนเศร้า

“คนสำคัญคนหนึ่ง”

“...ตอนนี้เขาไปไหนซะล่ะ”

“ไปที่ไกล...ไกลมากๆ จนกูไปหาไม่ได้”


ไม่รู้ทำไมในสมองของทิวากลับปรากฏเรื่องราวที่เคยพูดคุยกับวินทับซ้อนกับคำพูดของภัทรขึ้นมา กลับมาไม่ได้แล้ว...นั่นมีไม่กี่อย่างหรอกในชีวิตจริง

หากไม่ใช่ทั้งไปรักษาตัว ไม่ได้ไปเรียนต่อหรือย้ายบ้าน

นั่นก็แปลว่า

“คนคนนั้นที่วินรักมากๆ ตายไปแล้ว”

“...”

“ตายไปตั้งแต่เมื่อหกปีก่อนแล้วล่ะ”

“...”

“อันที่จริงน่าจะพูดว่า กลับมาไม่ได้มากกว่า”

 











--------------------------------------------------------------------------------------------------------













ภัทรอดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะตั้งแต่ที่เธอพูดเรื่องของวินจบ ทิวาก็นิ่งไปทั้งยังไม่ถามอะไรออกมาสักนิด จนเธอเป็นห่วงขึ้นมา ว่ามันอาจจะทำให้ทิวารู้สึกไม่ดีหรือเปล่าที่วินมีใครที่ลืมไม่ลง

และเธอรู้ว่า ทั้งชีวิตนี้วินไม่มีทางลืมคนนั้นได้เด็ดขาด

ทว่าพริบตาหนึ่งที่แสงสุดท้ายจากท้องฟ้าลาลับ ราวกับเธอมองเห็นบางอย่างที่เธอไม่ควรจำได้ขึ้นมา

ไม่รู้ทำไม แต่ใบหน้าด้านข้างของทิวากลับทับซ้อนคนคนนั้นของวิน

จนดูราวกับ...เป็นคนคนเดียวกัน

“ภัทรคิดว่าไงกับคำพูดที่ว่าการมีตัวตนของบางสิ่ง ทำให้อีกสิ่งหนึ่งที่คล้ายกันต้องหายไป”

คำพูดของวิน ทฤษฏีที่เหมือนคำพูดเพ้อเจ้อนั่นเริ่มทำให้ภัทรกลัว เพราะถ้ามันเป็นจริงๆ ขึ้นมา...

“ภัทร”

แต่ก่อนที่เธอจะได้คิดต่อ คนข้างตัวกลับเอ่ยชื่อเธอขึ้นเรียกให้เธอกลับไปสนใจเขาแทน ทิวายังไม่เงยหน้าขึ้นเลยด้วยซ้ำ แต่น้ำเสียงที่เรียกชื่อเธอกลับสั่นเหมือนคนที่พูดกำลังสับสนหรือไม่มั่นคง จนควบคุมน้ำเสียงตัวเองไม่ได้ ความเป็นห่วงจึงกลบคลุมความสงสัยก่อนหน้าจนสิ้น

“ว่าไง”

“ภัทรจำชื่อเขาคนนั้นของวินได้ไหม”

“ชื่อเหรอ? เหมือนจะ...ไม่เคยถามนะ”

“...”

“เราไปเจอเขาแค่ครั้งเดียว ส่วนที่เหลือวินแค่เอามาเล่าให้ฟังเท่านั้นเองว่าไปทำอะไรบ้างในแต่ละวันที่ไปหาเขา...ทำไมเหรอ”

“เหรอ...”

“ที่เรารู้นอกเหนือจากนั้นก็คงเป็น วินกับคนนั้นเคยไปดูวงดนตรีด้วยกันละมั้ง”

“...”

“ถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะเป็นงานครบรอบ 50 ปีของหอสมุดกลางของมหาลัยเมื่อหกปีก่อน”

“พรุ่งนี้จะมาอีกไหม”

“มาดิ”

“...”

“วีอาร์...มาทั้งที จะไม่มาได้ไง”

“งั้นก็เจอกันพรุ่งนี้”

“ทำไมหรอ? หรือเดย์รู้จัก...”

ทิวายิ้มและส่ายหน้าแทนคำตอบ “...เปล่า แค่อยากรู้”

“...”

“ขอบคุณที่เล่าให้ฟังนะ เรา...ขอตัวก่อน”

ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยปากตอบอะไร ทิวาก็ลุกหนีไปเสียแล้ว ทว่าพริบตาที่อีกคนลุกเดินจากไปนั้น คล้ายว่าเธอจะเห็นใบหน้าซีดขาวทั้งตื่นตระหนกของทิวาได้อย่างชัดเจน จนอดคิดไม่ได้ว่าเธอทำถูกหรือไม่ที่เล่าเรื่องของวินให้อีกคนฟังเช่นนี้

ถ้าทั้งสองคนหันหน้าคุยกันก็คงดีหรือถ้าวินวางคนคนนั้นให้เป็นแค่ความทรงจำแล้วหันมาให้ความสำคัญกับทิวาที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ก็คงดี

 














--------------------------------------------------------------------------------------------------------















“ไหนคุณบอกว่าจะไม่ไปเจอเขาไง”

“ก็ใครมันจะไปรู้ว่าเด็กคนนั้นจะไปเจอเพื่อนเก่าได้ไวขนาดนั้นนี่นา”

“ไม่ระวังเอาเสียเลย”

“เอาน่าๆ ...แต่ก็เป็นเรื่องดีสำหรับพวกเราไม่ใช่หรือไง มันจะได้จบไวๆ”

“มันเป็นการรบกวนชะตาเกินไป แค่ให้เจ้าขาวส่งเขามาที่นี่มันก็หนักหนาพอแล้วนะ คุณยังจะไปสร้างความวุ่นวายให้เขาอีก”

“ขี้บ่น บ่นๆๆ อยู่นั่นแหละ ถ้าเมื่อตอนนั้นที่ส่งนายกับไอ้แมวเวรไปหาหมอนั่น นายพูดให้มันเข้าท่า มีหรือที่ฉันจะต้องออกหน้าไปเป็นส่วนหนึ่งของอดีต ให้เด็กคนนั้นเกิดความสับสนแบบนี้น่ะ”

“ตอนนี้คนที่บ่นมากกว่าคือคุณนะ โรม”

“...หุบปากไปเลย”

โรมมองสีหน้าติดจะกังวลไปเสียทุกเรื่องของคนข้างตัวที่อยู่ข้างกันมาตลอดจนชักจะเหม็นขี้หน้า โดยเฉพาะเจ้าแมวสีขาวปลอดที่ชอบไกวหางไปมาในอ้อมแขนของอีกคนนั่นก็ด้วย ไม่เคยหรอกจะเป็นมิตรกับเขา อยู่ด้วยกันมานานมากขนาดนี้ แต่กลับชอบขู่และตวัดตบอยู่เสมอเวลาเขาเอื้อมมือไปหาหมายจะเล่นด้วย

เหมือนอดีตเจ้าของตอนนี้ไม่มีผิด

ยิ่งนึกถึงดวงตาที่ทั้งสงสัยและระแวงในคราวเดียวกันนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของโรมยิ่งขยายกว้าง ก่อนหันไปแตะเข้าที่ปลอกคอสีแดงสดที่ห้อยกระดิ่งสีทองเหลืองเอาไว้ ถ้าเป็นปกติ เมื่อเขาจับเช่นนี้ เจ้าแมวหวงตัวนี่จะต้องจิกมือเขาจนเป็นรอยแน่ๆ แต่วันนี้ราวกับรู้ว่าเขาไปทำเรื่องดีๆ มา จึงยอมให้เขาแตะหมุนดูกระดิ่งประจำตัวแต่โดยดี

บนกระดิ่งทองคล้ายมีลวดลายมังกรสลักจางๆ แต่ก่อนมันมีเป็นสิบเป็นร้อยลวดลายซ้อนทับกัน แต่เมื่อผ่านกาลเวลาอันยาวนานไปพร้อมกับพวกเขา มันก็ค่อยๆ ลดลงไปเรื่อย จนตอนนี้เมื่อเขาหมุนมันกลับมาอีกครั้ง ลวดลายนั้นก็หายไป ราวกับไม่เคยมีรอยสลักเช่นนั้นมาก่อน

นั่นแสดงว่า สิ่งที่เขามุ่งหวังสำเร็จแล้ว หากจะเหลือก็คงมีแต่...

“...ทำไมคุณมองเจ้าขาวด้วยสายตาแบบนั้น ผมไม่ให้คุณเอามันไปปล่อยนะ”

ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรเลยสักนิด เจ้าคนเพ้อเจ้อตรงหน้าก็โอบกอดแมวที่อยู่ข้างตัวพวกเขามาตลอดตั้งแต่วันแห่งการเริ่มต้นของทุกอย่างเดินถอยหลังไปสามก้าวใหญ่ๆ จนโรมหงุดหงิดและเลิกคิดจะแหย่ไปชั่วคราว อยู่กับพวกจริงจังตลอดเวลาแล้ว เซ็งชะมัด “ก็ไม่ได้จะเอาไปปล่อย”

“แล้วคุณมองมันแบบนั้นทำไม”

“มองแบบไหน”

“ก็แบบ...ที่เหมือนอยากสับมันแล้วให้มันเป็นอาหารหมาหรือมองแล้วอยากเอามันไปโยนทะเลอะไรประมาณนั้น”

“เพี้ยนหรือไง เนื้อแมวเหลวๆ ของไอ้แมวอ้วนนั้น โยนให้หมา หมามันยังไม่สนใจสักนิดเดียว”

“แล้วคุณ...”

“แค่มองเพราะว่าเหลืออีกคนเดียวแล้ว”

“หมายถึงคนที่ต้องช่วยน่ะเหรอ”

โรมเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ก่อนจะประสานฝ่ามือเข้าหากันที่หลังคอ ทว่ากลับไม่ยอมตอบอะไรกลับไป สุดท้ายคนที่ถามก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วเดินออกจากห้องไปเหมือนทุกที เขารู้นิสัยเจ้านายของเขาคนนี้ดี ทุกครั้งที่เขาหรือคนอื่นๆ เกิดคำถาม ไม่มีเสียหรอกที่จะยอมตอบ ทั้งยังเสพติดการที่เห็นคนอื่นร้อนใจอยากรู้ แต่ไม่ได้คำตอบเหมือนเดิม

สิ่งเดียวที่จะโต้ตอบคืนไปได้ก็คือ ทำเป็นเหมือนไม่เคยถามมาก่อนแล้วเดินออกไป เหมือนที่เขากำลังทำอยู่นี่แหละ

ทว่าในตอนนั้นเอง เสียงของโรมกลับดังขึ้นด้านหลังของเขา ราวกับรับรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร

“ใช่”

“...”

“เหลืออีกแค่คนเดียวเท่านั้น พวกเราก็จะเป็นอิสระเสียที”

 












--------------------------------------------------------------------------------------------------------












สุดท้ายวันนี้เขาก็ไม่มีความกล้ามากพอจะเข้าไปทักหรือทำตัวเช่นเดิมกับทิวา

เกือบห้าทุ่มแล้วที่เขายังนั่งอยู่ปลายเตียงเช่นนี้ ตั้งแต่หลังซ้อมครั้งสุดท้ายเสร็จ เพลงของพวกเขาเสร็จเรียบร้อยหมดทุกอย่าง รันคิวก็เป็นไปได้ด้วยดี เหลือก็เพียงแต่การไปเช็คสถานที่พรุ่งนี้และเริ่มซ้อมวันสุดท้ายครั้งใหญ่ในสถานที่จริงในวันมะรืน หลังจากนั้นคอนเสิร์ตของพวกเขาและเส้นทางเดินใหม่ก็จะเริ่มต้นขึ้น

อาจจะจริงที่ใครคนหนึ่งเคยพูดเอาไว้ เมื่อเริ่มต้นสิ่งใดสิ่งหนึ่งใหม่ ก็พลันหวนนึกถึงการเริ่มต้นของอีกสิ่งหนึ่งเสมอ

วินอดคิดถึงไม่ได้เลยว่า เหตุใดเขาจึงได้เดินทางมาจนกระทั่งเป็นเขาเช่นทุกวันนี้

มันไม่ได้ยิ่งใหญ่ ไม่ได้ซึ้งกินใจหรือชวนให้หลายคนมีกำลังใจที่วาดฝันเช่นที่คนเคยคาดเดา

มันเป็นเพียง...ความเพ้อเจ้อและความคาดหวังอันริบหรี่

ยังจำได้ดีถึงคำพูดของคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่เขาได้พบ พร้อมกับแมวสีขาวตัวหนึ่ง

ใครคนนั้นที่พูดว่า สักวันหนึ่งเมื่อลืมเลือนจนหมดหัวใจ กาลเวลาจะหมุนย้อนกลับให้เขาได้ตักตวงบางสิ่งที่เคยสูญเสีย หากเขาจะไม่มีวันได้มันมา

เพราะสุดท้ายทุกอย่างจะกลับคืนสู่ที่ที่มันเคยเป็น

เขาเคยไม่เชื่อ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ กลับทำให้เขาเริ่มกลับมาเชื่อคนคนนั้นหมดหัวใจ

และถ้ามันเป็นดังที่คนคนนั้นเคยพูดไว้ นั่นคงหมายถึง...

วินหลับตาแน่น ไม่กล้าคิดต่อแม้เพียงเสี้ยววินาที แม้จะพยายามตัดความคิดเหล่านั้น แต่ความเจ็บปวดที่เคยได้รับกลับพุ่งตรงมายังที่กลางใจ ซ้ำรอยแผลเก่าๆ ที่เคยมี ก่อนจะค่อยๆ จางหาย เมื่อนึกใบหน้าของใครบางคน

ใคร...ที่เขาทั้งอยากพบและไม่อยากพบในคราเดียวกัน

“ถ้า...ไม่หายไปอีก จะดีสักแค่ไหนนะ”

เขาถามความว่างเปล่าตรงหน้า พลางลูบกระจกใสบนกรอบรูปไปมา

รูปที่พกติดตัวเอาไว้ รูปคู่ใบเดียวและใบสุดท้าย ก่อนที่อีกคนที่ยืนอยู่ข้างกันจะไม่สามารถตื่นขึ้นมายิ้มให้เขาได้อีกตลอดกาล

“ถ้าคำภาวนานั้น ทำให้กลับมา แล้วถ้าเราภาวนาอีกครั้งให้อยู่...จะอยู่กับเราไหม”

...

“จะกลับมาไหม?”

ไร้เสียงใดๆ ตอบกลับมา สุดท้ายวินก็ได้แต่วางกรอบรูปคว่ำไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียงเหมือนที่เคยวาง ก่อนเอนตัวลงนอนอีกครั้งหนึ่ง

คืนนี้ ก็ยังเป็นอีกคืนที่ยากจะข่มตาหลับเช่นเดิม

 













--------------------------------------------------------------------------------------------------------













น่าเสียดาย

‘ถึงตอนนั้น...ต้องให้ฟังเป็นคนแรกนะ’

‘อืม รอฟังได้เลย’

สุดท้าย ก็ไม่มีโอกาสได้ฟัง






แม้ทุกอย่างเปลี่ยน แต่เหมือนมีเพียงสิ่งเหล่านั้นที่ไม่เปลี่ยน

ที่ยังรัก ก็ยังคงรักเช่นนี้ ไม่เปลี่ยนเลย



(โปรดติดตามตอนต่อไป)



---------------------------------------------------------------------

fact about ทิวา

เมื่อเจอปัญหา จะชอบพุ่งชนมากกว่าจะหนี


NAVY
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 13 ★ 15/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 15-12-2019 22:03:24
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ...ทำไมทุกคนต้องตกอยู่ในวังวนของเหตุการณ์นั้นด้วย?
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 13 ★ 15/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 15-12-2019 23:54:10
มันคืออะไร หมายความว่าต่อจากนี้เมื่อในอดีตเมื่อ 6 ปีก่อนเดย์ป่วยตายแล้วเหรอ ไม่จริงน่า
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 13 ★ 15/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-12-2019 00:22:25
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 13 ★ 15/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 16-12-2019 02:07:35
แงงง อยากรู้ ทำไมถึงเป็นแบบนี้
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 14 ★ 20/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: KarmaNavy ที่ 20-12-2019 21:02:05
บางครั้งคนเราก็รอบางอย่างที่รู้ว่าไม่มีวันจะได้มา

บางอย่างที่อาจจะทำหล่นหายหรือบางอย่างที่เคยเติมเต็มหัวใจ

 













 

ตกหลุมรักระยะที่ 14






“คนคนนั้นที่วินรักมากๆ ตายไปแล้ว”

“ไม่ใช่เรื่องที่น่าเอามาพูดลับหลังเจ้าตัวเท่าไหร่”


“...เดย์”

“ตายไปตั้งแต่เมื่อหกปีก่อนแล้วล่ะ”

“อันที่จริงน่าจะพูดว่า กลับมาไม่ได้มากกว่า”


 








------------------------------------------------------------------------











“เดย์!!”

“...!!”

“เป็นอะไร ฝันร้ายเหรอ เหงื่อออกเต็มไปหมดเลย” สีหน้าของจินไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทำให้ทิวาพอจะเดาได้ว่าสถาพของเขาคงจะดูไม่ได้สุดๆ เป็นแน่ ไม่อย่างนั้น จินที่ค่อนข้างเก็บความรู้สึกเก่งคนนี้ คงไม่แสดงสีหน้าเป็นห่วงเช่นนี้ออกมา เขาค่อยๆ ลุกขึ้นด้วยการพยุงของจินที่เข้ามาปลุกเขาถึงในห้อง ทั้งที่จริงๆ แล้วอีกคนแทบไม่เคยเข้ามาหาเขาเช่นนี้ในตอนเช้าบ่อยนัก “เห็นว่าจะสิบเอ็ดโมงแล้วแต่เดย์ยังไม่ลงไปข้างล่างเสียที เลยขึ้นมาดู”

“...เมื่อคืนนอนดึกน่ะ มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย”

ทิวาหลุบตาลงมือมองตัวเองขณะที่จินวางมือทาบบนหน้าผากชื้นเพื่อตรวจอุณหภูมิ มันค่อนข้างร้อนกว่าอุณหภูมิปกติ “ตัวรุมๆ น่าจะไข้ขึ้น เดี๋ยวเราเอายามาให้”

“ไม่เป็นไรมากหรอก พักหน่อยเดียวก็ดีขึ้น” ทิวารีบจับข้อมือจินที่รีบลุกหมายจะไปเอายาให้ตามที่ว่า แต่ตอนนี้เขาไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะยาหรือข้าวเช้า

แค่อยากนั่งอย่างนี้อีกสักพัก ตกตะกอนความคิดกับสิ่งที่เพิ่งรู้คนเดียวเงียบๆ เท่านั้นเอง

“ถ้าเดย์ว่าอย่างนั้นก็โอเค ยังไงจะลงไปกินอะไรข้างล่างก่อนไหมหรือจะให้เรายกขึ้นมาบนนี้แทน”

“เดี๋ยวลงไป ขออาบน้ำก่อน...แล้ววินล่ะ”

“วันนี้ไม่อยู่”

“...ถามได้หรือเปล่าว่าไปไหน”

จินส่ายหน้า “ไม่ได้บอกไว้นะ คงต้องไปถามไป๋ รายนั้นน่าจะรู้” ทิวาพยักหน้ารับรู้ ใช้เวลาอีกครู่ใหญ่กว่าจินจะวางใจให้เขาไปอาบน้ำ อันที่จริงอีกคนแอบบ่นเล็กน้อย เพราะถึงจะไม่มีไข้สูง แต่อาบน้ำเย็นๆ ก็ไม่ค่อยดีเสียเท่าไหร่ ทว่าทิวาไม่อยากแค่เช็ดตัวให้พอเสร็จๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันนี้ที่เขามีที่ที่ต้องไป

หลังอาบน้ำและแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เขายังไม่ลงไปข้างล่างเหมือนอย่างที่รับปากจินเอาไว้ แต่กลับไปยืนอยู่หน้าห้องที่ไม่เคยเข้าไปมาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ห้องของวิน

เมื่อลองขยับลูกบิดก็พบว่าอีกคนไม่ได้ล๊อกห้องดังคาด แม้จะแปลกใจ แต่เขาก็พยายามไม่คิดอะไรมาก บางทีในห้องอาจจะไม่มีอะไร สิ่งที่เขาคิดจะตามหาในห้องก็เป็นเพียงสิ่งที่เขาคิดมากไปเอง ทั้งที่คิดแบบนั้น แต่ในตอนที่กวาดสายตาไปรอบห้องของอีกคน เขากลับหวั่นใจอย่างประหลาด

ราวกับว่า...เขากำลังเผชิญอยู่กับสิ่งที่เขาหวาดกลัวมากที่สุด ทั้งยังเป็นสิ่งที่เขาไม่รู้ว่าเมื่อเผชิญหน้าแล้ว จะต้องพบเจออะไรต่อไปเสียด้วย

ในห้องของวินไม่ค่อยมีข้าวของมากมายเหมือนห้องอื่น ทั้งที่เจ้าตัวใช้มันเป็นห้องอยู่ประจำมาตั้งแต่ฟอร์มวง มีเพียงตู้เสื้อผ้าแบบบิลด์อินที่น่าจะเพิ่งทำไม่นาน เตียง และโต๊ะทำงานที่มีกระดาษเกลื่อนกลาดเป็นปกติ เนื้อความบนกระดาษ ถ้าไม่เป็นโน้ตเพลง ก็เป็นภาพวาดเสตจต่างๆ นอกนั้นก็ไม่มีอะไร ทำให้ทิวาทั้งโล่งใจและอดผิดหวังไม่ได้

จากเรื่องที่ภัทรเล่าให้ฟังเมื่อวาน เรื่องเล่าที่เขาไม่คาดหวังอะไร กลับเป็นเสมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่เขาตามหา อันที่จริงเขาตั้งใจจะถามตัววินเองเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ไม่นึกว่า พอวินเป็นเขาก็เดินหนีไปทันทีจนไม่มีโอกาสรั้ง ดังนั้นเมื่อวานจึงยอมฟังเรื่องราวจากปากภัทร เพราะนึกว่ามันคงจะช่วยอะไรได้บ้าง

มันไม่ได้แค่ช่วยอะไรได้บ้าง แต่ช่วยได้เกือบทั้งหมดเลยต่างหาก

ใครจะไปคิดว่า คนที่เขาคิดว่ายังคงมีอยู่ เป็นคนที่วินฝันคนนั้นจะตายไปแล้ว

แถม...ยังมีโอกาสเป็นไปได้ว่าจะเป็นตัวเขาเองเสียด้วย

และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เขาก็ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมเขาในโลกนี้ถึงได้เหมือนหายไปอย่างสิ้นเชิงและทำไมเมื่อคนที่เขาคุ้นเคยจดจำเขาได้ขึ้นมา ล้วนแต่มีท่าทางตกใจและแปลกใจที่เขายืนอยู่ต่อหน้า ทว่า...ในใจลึกๆ ก็อดเสียใจไม่ได้ ที่ชีวิตของตัวเองหยุดลงไปตั้งแต่หกปีก่อน โดยที่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเป็นเพราะอะไร

ไม่มีใครบนโลกนี้อยากตายหรอก

โดยเฉพาะในตอนที่รู้ว่าตัวเองมีสิ่งที่รักหรือใครบางคนที่อยากอยู่ด้วย เช่นที่เขาเป็นอยู่

เขาเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมโรมถึงได้พูดว่า หากเขาได้กลับไปก็เหมือนการเริ่มต้นใหม่และเขาจะเลือกได้ว่าจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ก็ได้ บางทีอาจจะหมายถึงเรื่องนี้ก็เป็นได้

แต่ตอนนี้ที่ยังไม่ได้ข้อสรุปอันชัดเจนอะไร เขาก็ยังไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่ามันคือเรื่องจริง ซึ่งบางทีเขาควรจะถามคนที่รู้ดีที่สุด...ผู้ซึ่งเหมือนคนแปลกหน้าที่เคยคุ้นเคยไปเสียแล้วสำหรับทิวา

(ว่าไง)

“...ทำเสียงเหมือนกับว่า รู้อยู่แล้วว่าจะโทรมา”

(ก็...จะว่าแบบนั้นก็ได้ เดาไว้นิดหน่อยว่าไม่เกินหนึ่งวันเดย์จะโทรมาหา) ปลายสายหัวเราะเบาๆ (...แล้วก็โทรมาจริงๆ)

“โรม”

(ครับ)

“ถามได้ไหม เกี่ยวกับ...”

(ไม่ได้ไปถามคนชื่อมาวินหรอกเหรอ)

ทิวาเม้มปาก เมื่อถูกสวนกลับมา “ยังไม่ได้ถาม”

(อ๊ะ หรือโดนหลบหน้า)

“...”

(จริงเหรอเนี่ย) แล้วเสียงหัวเราะที่ตอนแรกไม่ดังมาก กลับค่อยๆ เพิ่มระดับเสียงดังขึ้น ชั่วแวบหนึ่งที่ทิวาคล้ายได้ยินเสียงปรามเบาๆ จากอีกฝั่ง ก่อนที่โรมจะพูดขอโทษเบาๆ ตอบกลับไป (ขอโทษๆ แต่ไม่คิดว่าหมอนั่นจะหนีเหมือนคนขี้ขลาดแบบนี้ แสดงว่ารู้หมดแล้วสิท่า)

“หมายความว่าไง ใครรู้อะไร”

(ก็คนที่ให้ไปถามไง คนที่ชื่อมาวินอะไรนั่น)

“...”

(การที่เขาหลบหน้าแบบนี้ มีอยู่ไม่กี่เหตุผลหรอก แต่ให้เดาเลยนะ คงรู้เรื่อหมดแล้วนั่นแหละ เลยไม่อยากตอบคำถามอะไรที่เดย์สงสัย)

“ทำไม...”

(ก็ถ้าตอบ เดย์ก็ต้องไป เรื่องมันก็แค่นั้น)

“...”

(ตัวเดย์เองก็รู้คำตอบอยู่แล้วนี่ว่าถามแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่แปลกหรอกถ้าหมอนั่นจะเกิดกลัวจนไม่อยากจะเจอหน้า)

“กู...ไม่สิ” จู่ๆ ทิวาก็รู้สึกเหมือนไม่รู้จักอีกคนเสียแล้ว จนไม่กล้าจะพูดแสดงความสนิทสนมอย่างที่ผ่านมา ทั้งอึดอัดอย่างเห็นได้ชัดจากน้ำเสียงที่แผ่วปลาย แต่เพราะความอยากรู้มันมากกว่า สุดท้ายจึงยอมพูดต่อ “เดย์ในโลกนี้ ตอบได้หรือเปล่าว่าตายได้ยังไง”

(รู้แล้วเหรอว่าตาย ไม่ใช่แค่หายไปเหรอ...)

“แล้วมันจริงอย่างที่สงสัยไหม”

(...)

“ถ้ามันจริง ก็แค่ตอบมา”

โรมเงียบไปนานมาก นานจนทิวานึกว่าสายหลุดไปเสียแล้ว มือของเขาที่จับโทรศัพท์สั่นเสียจนต้องเอาอีกมือคอยจับเอาไว้ไม่ให้โทรศัพท์ร่วงลงกับพื้น เรี่ยวแรงเริ่มน้อยลงไปทุกทีเช่นเดียวกับอาการปวดหัวที่ทบทวีทุกขณะ สุดท้ายในตอนที่กำลังจะหมดความอดทน เสียงถอนหายใจเบาๆ และคำพูดต่อมาจากอีกคนก็ทำให้ทิวากลืนถ้อยคำลงไปแทน

(ไอ้ได้มันก็ได้อยู่หรอก แต่อยากรู้จริงๆ ใช่ไหม)

“...”

(เดย์ มานั่งฟังว่าตัวเองตายได้ยังไง ทั้งที่ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่มันก็ไม่น่าฟังสักเท่าไหร่หรอกนะ)

“...”

ทิวายิ้ม ทั้งที่ตอนนี้ไม่มีความรู้สึกอยากจะทำแบบนั้นเลยสักนิด ถามย้อนกลับไปด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า

ใช่ ตอนนี้เขาเหนื่อยมาก

ทั้งเหนื่อยและอยากถามเหลือเกิน ว่าเมื่อไหร่เรื่องนี้จะจบลงเสียที

“แล้วมีทางเลือกอื่นด้วยเหรอ”

(...)

“โรมบอกเอง ว่าถ้าอยากกลับไปก็ต้องรู้เรื่องที่ว่าทำไมถึงต้องถูกส่งให้มาที่นี่เองนี่”

(มันก็ใช่... เอาเถอะ ถ้าอยากรู้ก็จะบอกให้ก็ได้)

“...”

(แล้วก็จะบอกด้วยว่าตอนนี้มาวินไปไหน เผื่อว่าเดย์อยากจะฟังเรื่องทั้งหมดจากปากเจ้าตัวอีกครั้งหนึ่ง)

“...ขอบคุณ”

(ไม่ต้องขอบคุณหรอก อันที่จริง...มันก็เป็นเรื่องที่ฉันต้องทำให้อยู่แล้ว)

“...”

(...ก็เป็นสิ่งที่ ‘พวกเรา’ ต้องชดเชยให้เดย์อยู่แล้วนี่นะ)

 











------------------------------------------------------------------------














“จิน”

ไป๋เดินออกมาหาจินที่ยืนอยู่หน้าบ้านหลังจากที่เพิ่งส่งทิวาขึ้นรถแท๊กซี่จากไป สีหน้าของไป๋ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่จนจินเริ่มสงสัย "มีอะไรหรือเปล่า”

“เมื่อกี้เดย์เหรอ ได้บอกหรือเปล่าว่าไปไหน”

“ไม่ได้บอก แต่ได้ยินแว่วๆ เหมือนจะไปโบสถ์หรือสุสานสักที่นี่แหละ”

“...”

“ไป๋ เป็นอะไร”

“จู่ๆ มันก็เหมือนนึกขึ้นมาได้ขึ้นมาน่ะสิ”

“นึกอะไรขึ้นได้เหรอ” จินหันไปหาเวย์และแคทที่เดินตามออกมาจากบ้านด้วย ทั้งสามคนมองหน้ากันเอง ซึ่งสีหน้าก็แทบไม่ต่างกันเสียเท่าไหร่ ถ้าไม่มีความตกใจ ก็เป็นความรู้สึกเหลือเชื่อที่ยากจะอธิบายให้จินฟังรู้เรื่อง

“เรื่องของเดย์”

“...”

“จำเรื่องเล่าที่ว่าวินมันเคยมีคนที่ชอบมากๆ ได้ไหมจิน”

“จำได้...แล้วมันเกี่ยวยังไงกับเรื่องของเดย์”

“พวกเราเพิ่งจะมาจำได้กันน่ะสิว่า คนคนนั้นคือเดย์”

“...”

“ตอนนี้ก็เลยสงสัยกันว่าทำไมถึงลืมไปได้ แถมยังจำอะไรไม่ได้เกี่ยวกับเดย์เลย ทั้งที่จริงๆ แล้วก็เคยไปเจอเดย์ ถึงจะไม่เคยคุยกันสักครั้งก็เถอะ”

“เดี๋ยวก่อนนะ...” จินขัดจังหวะพวกแคทขึ้น เมื่อบทสนทนาที่น่าตกใจนี่กำลังดำเนินไปเรื่อยๆ คล้ายเหมือนพอจำได้ เรื่องราวต่างๆ ที่เคยได้แต่คาดเดาก็เหมือนจะมีคำตอบไปเสียหมด “...แต่ไป๋เคยบอกว่า คนที่วินชอบตายไปแล้วนี่”

“...”

“แล้วจะเป็นเดย์ไปได้ยังไง ในเมื่อ...”

“ใช่ มันเป็นไปไม่ได้เลย ในเมื่อเดย์ยังมีตัวตนอยู่ต่อหน้า แถมอยู่กับพวกเราเป็นเดือนๆ แบบนั้น” ไป๋ว่า “แต่มันเป็นไปแล้วจิน”

“...”

“มิน่า ไอ้วินมันถึงได้บอกอะไรคลุมเครือฟังแล้วงงๆ แบบนั้น ที่ไหนได้...มันคงรู้เรื่องทั้งหมดนานแล้ว”

“มันบอกอะไรมึง ไป๋”

ไป๋ยีเส้นผมตัวเองอย่าหงุดหงิดที่ตอนนั้นไม่นึกเอะใจอะไรเลย “ตอนนั้นกูก็คุยๆ กับมันเรื่องเดย์นี่แหละ ก็แค่สงสัยว่าทำไมมันถึงได้เข้ากับเดย์ได้ง่ายขนาดนั้น เหมือนมันกลับไปเป็นมันคนก่อนเมื่อหกปีที่แล้ว”

“...”

“มันก็หัวเราะพูดๆ ประมาณว่า ‘ขนาดภัทรยังกลับมาได้ ทำไมคนนั้นจะกลับมาไม่ได้ล่ะ’ กูก็นึกว่ามันพูดเล่นดิ ก็คนตายไปแล้วใครมันจะฟื้นขึ้นมาได้”

“เชี่ย...”

“แล้วมันยังพูดอีกนะว่า ถ้าจบเรื่องแล้วพวกเราไม่ ‘ลืม’ ไปเสียก่อน มันจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังแน่ๆ”

“งั้นมันก็จำได้นานแล้วดิวะ ว่าเดย์คนนี้...”

“คือเดย์คนเดียวกับที่มันชอบเมื่อหกปีก่อน” เวย์พูดเสริมแคทที่ยังตกตะลึงไม่หาย ในช่วงเวลาเช่นนี้ เวย์กลับดูใจเย็นว่าไป๋และแคทเสียอีก เจ้าตัวยืนเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนจะกดโทรศัพท์คล้ายต้องการติดต่อใครบางคน

“มึงจะโทรหาใคร”

“สักคน ใครที่รู้ว่าที่ที่ไอ้วินไปวันนี้มันอยู่ที่ไหน”

“สุสานของเดย์อะเหรอ” แคทว่าพลางลูบแขนที่ขนตั้งชี้ ทั้งที่อากาศรอบตัวร้อนอย่างกับจะย่างเขาให้เกรียม “แม่ง พูดถึงคนตายไปแล้ว แต่คนที่คิดว่าตายไปแล้วกลับกำลังนั่งรถไปที่สุสานตัวเองเนี่ย มันแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ว่ะ”

“มึงจะตามไปเหรอ”

“ก็เออสิวะ มาถึงขนาดนี้แล้วจะนั่งรอเฉยๆ มันก็ไม่ได้แล้วหรือเปล่า”

“...แต่เราว่าอย่าไปเลย”

“แต่ว่า...”

จินส่ายหน้า หลังจากที่ฟังคนอื่นพูดมาพักใหญ่ เขาก็พอจะปะติดปะต่อได้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาเองก็เหมือนคนอื่นๆ ที่อยากรู้เรื่องทั้งหมด แทบอยากจะหายตัวไปหาสองคนต้นเรื่องเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อมันเกี่ยวพันถึงชีวิตของใครคนหนึ่งเช่นนี้...เขากลับไม่อยากไปเสียอย่างนั้น

แม้ว่าเขาจะเพิ่งมารู้จักวินได้ไม่นาน แต่เรื่องที่วินมักจะไปเยี่ยมและยังคิดถึงใครคนนั้นอยู่เสมอ ราวกับคนคนนั้นไม่เคยหายไปจากใจเลยแม้แต่วินาทีเดียว เขาก็รับรู้มาตลอด เมื่อลองคิดในมุมของวินแล้ว ก็พอจะเข้าใจว่าทำไมวินจึงทำเช่นนี้

อะไรที่เคยต้องการมาตลอด จู่ๆ ก็ปรากฏตรงหน้า ถ้าไม่ทะนุถนอมจนหมดหัวใจก็คงหวาดกลัวว่ามันจะเป็นความฝัน กลัววันหนึ่งมันสูญสลาย เช่นที่เป็นอยู่ในทุกค่ำคืนที่ฝัน ไม่ต่างอะไรเลยกับการพบกันอีกครั้งที่เหมือนปาฏิหารย์เช่นนี้ของสองคนนั้น

“รอถามเอาทีหลังเถอะ”

“...”

“ตอนนี้ ให้เดย์ได้ไปคุยกับวินแค่สองคนดีกว่า”

“...”

“ถ้ามันเป็นอย่างที่พวกเวย์ว่าจริงๆ ล่ะก็ สองคนนั้นก็รอกันมานานเกือบหกปีแล้วนะ”

“...มันก็จริง”

“ให้พวกเขาได้พูดกันเถอะ”

“...”

“พวกเรา...ทำได้แค่รอเท่านั้นจริงๆ”

 




และบางอย่างที่ว่า อาจหมายถึงใครบางคน

ที่เหมือนกำหนดไว้แล้วว่า เขาไม่มีวันกลับมา



(โปรดติดตามตอนต่อไป)

----------------------------------------------------------------------------------

NAVY
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 14 ★ 20/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-12-2019 21:39:38
 :pig4: :pig4: :pig4:

ง่า...บทส่งท้าย 

ใครบางคน.....คนคนนั้นคือใคร?
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 14 ★ 20/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 23-12-2019 22:40:19
ทำไมอะ ทำไมเดย์ถึงต้องป่วยตายล่ะ
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 15 ★ 25/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: KarmaNavy ที่ 25-12-2019 21:59:03
เธอเคยถามว่า คนเราตายแล้วจะหายไปไหน

ฉันตอบกลับไปว่า พวกเขาไม่เคยหายไปจากโลกนี้











 

ตกหลุมรักระยะที่ 15



 

จากถนนหนทางที่มีแต่ตึกรามบ้านช่อง ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยต้นไม้ริมทางและดอกไม้หลากสี มีเพียงบรรยากาศเรียบง่ายของชุมชนรอบนอกเมืองหลวง ทิวาก้าวเท้าลงจากรถแท๊กซี่ มองสุสานขนาดกลางที่ตั้งอยู่รอบนอกเมืองใหญ่ตรงหน้าตัวเองด้วยความรู้สึกที่ยากอธิบาย

มันเงียบสงบสมกับที่เป็นที่พักผ่อนสุดท้ายของหลายๆ คน มีกลิ่นหอมอ่อนจางของดอกไม้ที่ปลูกอยู่ริมรั้วสีดำสนิท ภายในรั้วเต็มไปด้วยแผ่นหินเรียงร้ายนับร้อย พริบตาหนึ่งครั้งก็คล้ายว่านอกจากความสงบแล้ว ก็มีเพียงแต่ความเงียบเหงาเท่านั้น

เขาเดินไปหยุดที่ร้านขายดอกไม้ ยืนอยู่นานมองอย่างไม่รู้ว่าควรจะหยิบดอกไม้ไปดีหรือไม่ แล้วหลุดหัวเราะออกมา

หากในนั้นคือตัวเองในโลกนี้หลับใหลอยู่ มันคงตลกน่าดูที่ตัวเขาในอดีตเลือกดอกไม้ไปเยี่ยมเยือนตัวเอง กระนั้นเขาก็ยังเลือกดอกไม้ที่เขาชอบมากที่สุดติดไม้ติดมือไปด้วย

ในสุสานไม่ได้แออัดไปด้วยหลุมศพเสียจนยากจะตามหาคน ซ้ำร้ายยังงดงามจนเขาอดขอบคุณคนที่เลือกสถานที่แห่งนี้ให้เขาในอนาคตได้หลับใหลเสียอีก กลิ่นหอมของหญ้าสดใหม่กระจายขึ้นทุกคราที่เขาลงฝีเท้าเดินไปตามเส้นทางสายน้อยในสุสาน

เดินวนเวียนอยู่พักใหญ่ เขาก็สังเกตเห็นร่างเดียวดายที่นั่งอยู่หน้าหลุมศพแห่งหนึ่งในนั้น มีต้นไม้ต้นใหญ่ช่วยบดบังแสงแดดเกิดร่มเงาร่มรื่นพอดี แม้จะห่างไกลขนาดนี้ ทว่าทิวาก็ยังเดาได้ว่าใครที่นั่งอยู่ตรงนั้นและหากมันถูกต้อง หลุมศพนั้นคงเป็นตัวเขาเอง

แต่ละก้าวที่ลดระยะห่างระหว่างเขาและคนคนนั้นนำพาความรู้สึกไร้ที่มาตรงก่อกวนดวงใจจนไม่รักษาความเยือกเย็นได้ ยิ่งมองเห็นเสี้ยวใบหน้าด้านข้างนั้นชัดเจนมากเท่าไหร่ ลมหายใจของทิวาก็ยิ่งไม่เป็นจังหวะ มือสั่นไม่ต่างจากตอนที่โทรไปหาโรม กระนั้นก็ยังไม่ยอมยั้งฝีเท้า ยิ่งเร่งให้เร็วขึ้น จนกระทั่งห่างไปไม่ถึงสิบก้าวเขาจึงหยุดลง

สายลมเย็นสบาย แสงแดดที่อ่อนจางยามบ่ายแก่ มีเพียงเขาและวินที่อยู่ตรงนั้น ไม่มีใครเอ่ยปากและยิ่งไม่มีใครขยับก้าวเข้าหากัน พวกเขาเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นเนิ่นนานราวกับช่วงเวลารอบกายหยุดเดิน

ทว่ามันก็เป็นเพียงความคิด ความจริงแล้วโลกก็ยังคงหมุนต่อไป ไม่มีทางที่จะหยุดลงหรือเดินถอยหลัง

“อยากจะ...วางมันไหม”

วินว่า คงหมายถึงดอกไม้ในมือของเขา

ทิวาไม่ได้ตอบกลับไป แต่ยื่นมันให้กับอีกคนและมองวินวางมันลงที่ด้านหน้าของหลุมศพ เคียงข้างกับดอกไม้อีกช่อที่ทำให้ใจของเขาแกว่ง เพราะดอกไม้ทั้งสองช่อราวกับฝาแฝด เป็นดอกไม้ชนิดเดียวกัน แม้กระทั่งริบบิ้นก็ยังเป็นสีเดียวกัน

รู้ได้ยังไงนะ ว่าเขาชอบดอกไม้นั่น

“เดย์เคยพูดอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนที่เราเริ่มสนิทกันน่ะ”

ไม่รอให้เขาเอ่ยปากถาม วินก็เหมือนอยู่กลางใจ ตอบออกมาพร้อมรอยยิ้ม

ไม่สิ อันที่จริง วินก็อยู่ตรงนั้นมาตลอด

ไม่ว่าจะเขาที่มาอดีตหรือเดย์คนนี้ที่หลับใหลชั่วนิรันดร์ไปแล้ว

“นึกว่าจะถามอะไรเสียอีก”

ทิวาถอนหายใจแล้วเดินไปนั่งอยู่ข้างๆ วิน มองแผ่นหินเย็นเฉียบที่สลักชื่อ คำระลึกและวันเวลาที่เขาใช้ชีวิต ก่อนจะแตะมันด้วยปลายนิ้ว ให้ความเย็นนั้นซึมผ่านผิวหนัง

แผ่นหินที่แสนเงียบเหงาที่ผู้ชายข้างกายเขามาเยี่ยมเยียนนับตั้งแต่เขาคนนี้จากไป

“ไม่รู้จะถามอะไร”

“...”

“รู้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม เรื่องของเรา”

“ไม่หรอก เพิ่งจะ...แน่ใจไม่นานเท่าไหร่”

“...”

“อย่างน้อยก็ก่อนเดย์จะบอกเรื่องมาอยู่ที่นี่”

“แล้วทำไม...”

วินหลุดยิ้ม “ก็แค่อยากรู้ว่า ถ้าวินทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อไป เดย์จะยังอยู่ตรงนี้ด้วยไหมเท่านั้นเอง”

“...”

“หกปีแล้ว นานขนาดนั้น ไม่เคยคิดเลยว่าจะยังรู้สึกอยู่เหมือนเดิม” น้ำเสียงของวินเรียบเรื่อยเหมือนชินชา แม้แต่สีหน้าที่มองไปยังแผ่นหินตรงหน้าก็ยังนิ่งเฉย มีเพียงแววตาที่ฉายชัดถึงความเจ็บปวดที่ไม่เคยจางหายไปตามกาลเวลาเหมือนเช่นสิ่งอื่น ทุกครั้งที่มาที่นี่ ความคิดถึง ความเศร้า ความทรมานยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คล้ายไม่ต้องการให้เขาลืมเลือน

ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย

ไม่ใช่เพราะมาที่นี่เขาจึงลืมไม่ลง

แต่เป็นตัวเขาเองต่างหากที่ไม่ยอมลืม แม้จะพยายามเช่นที่คนอื่นปรารถนาให้ก้าวไปข้างหน้า แต่ทุกครั้งที่บอกให้ลืม หัวใจเขายิ่งย้ำถึงความทรงจำแสนงดงามที่แสนสั้นนั้นเสมอในทุกค่ำคืน ไม่อาจถอดถอนให้มันออกไปจากใจ รวมไปถึงสมองที่ไม่ว่าจะกวาดสายตาไปที่ใด ก็คล้ายจะเห็นเงาซ้อนทับของใครคนนั้นในความทรงจำคอยส่งยิ้มมาให้

คิดถึงเหลือเกิน

เพราะงั้น

“ตอนที่เจอกัน ดีใจมากเลยรู้ไหม”

“...”

“ไม่อยากให้หายไปเลย”

“...”

“ไม่อยาก...” ดวงตาร้อนผ่าวจนนึกกลัวว่าจะร้องไห้ “...ไม่อยากคิดเลยว่า ถ้าต้องเสียไปอีกครั้งหนึ่งจะเป็นยังไง”

“เพราะงั้น เลยไม่ยอมบอกความจริงเหรอ”

“...อือ”

ทิวาถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้ววางหัวตัวเองลงที่ไหล่ข้างกาย สูดกลิ่นประจำตัวที่ทำให้ใจของเขาสงบลง แต่มันกลับทำให้น้ำตาไหลเสียอย่างนั้น “สำหรับเดย์แล้ว ตอนที่มาที่นี่แล้วเจอวิน มันคือเรื่องที่ดีมากๆ เลยรู้ไหม”

“...”

“ถึงตอนนั้นจะแกล้งจำไม่ได้ แต่มีวิน เดย์ก็ไม่กลัวอะไรเลย เพราะมีวิน”

“...”

“แต่สำหรับวิน มันคงเรียกว่าเรื่องดีๆ ไม่ได้”

“...”

“ขอโทษ ที่ต้องทำให้เจ็บอีกแล้ว”

“...ไม่เป็นไร”

“ขอโทษ ที่ต้องไปเหมือนเดิม ขอโทษนะ”

“ไม่เป็นไรเลย อย่าร้องไห้” วินยื่นมือมาซับน้ำตาที่หางตาของเขา ใบหน้านั้นยังคงมีรอยยิ้มเช่นที่เขาชอบมอง แม้ดวงตาจะแดงเรื่อเหมือนน้ำตาจะไหลออกมาได้ทุกเมื่อ แต่วินก็ยังยิ้ม ราวกับอยากให้สีหน้าเช่นนี้ประทับลึกลงกลางใจทิวา มากกว่าความเจ็บปวด

แม้จะใกล้พังทลายอีกครั้ง แต่เขาก็ยังอยากรักษาดวงใจคนตรงหน้ามากกว่าตัวเอง

อยากให้ยิ้มมากกว่าร้องไห้ ไม่อยากให้ต้องทุกข์ใจและรู้สึกผิด

“ไม่เป็นไรจริงๆ นะ วินรู้ตั้งแต่ที่จำได้แล้วว่าวันนี้ต้องมาถึงสักวัน ที่ขี้ขลาดไม่กล้าเผชิญหน้า เพราะกลัววันที่ต้องจากกันมันจะมาถึงเร็วไปเท่านั้นเอง”

“...”

“ถึงจะรู้อนาคตว่าสักวันจะต้องเสียใจแบบนี้ ซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่วินก็ยังจะเลือกแบบเดิม”

“...”

“ยังเลือกที่จะเจอเดย์เหมือนเดิม ไม่เคยเสียใจเลยแม้แต่นิดเดียว”

“...”

ริมฝีปากอุ่นประทับที่กลางหน้าผาก เนิ่นนานคล้ายไม่อยากจากไป “เพราะงั้นอย่าร้องไห้ วินไม่เสียใจเลย”

ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมา พวกเขากลับไปนั่งข้างๆ กันเงียบๆ เช่นคราแรก ก่อนทิวาจะเป็นเอ่ยถามขึ้นมาก่อน “...มันเกิดขึ้นได้ยังไง”

“พวกไป๋ไม่ได้เล่าให้ฟังเหรอ”

ทิวาส่ายหน้า “คนที่เล่าให้ฟังมีแต่ภัทร ตามที่วินรู้ ตอนนี้ทุกคนลืมเรื่องของเราไปหมดแล้ว...นี่ก็คงเพิ่งเริ่มจำได้กัน”

วินเงียบไปพักใหญ่หลังจากที่ทิวาพูดจบ ราวกับกำลังทำใจ แล้วจึงพูดขึ้น

“...โดนรถชนน่ะ อาการค่อนข้างหนัก...เพราะถึงจะพยายามรักษายังไง สุดท้ายเดย์ก็กลายเป็นเจ้าชายนิทรา หลับไปตั้งแต่นั้น”

“...”

“หมอบอกว่ามีโอกาสไม่กี่เปอร์เซ็นที่เดย์จะฟื้นเลยบอกให้ทุกคนทำใจ”

“...”

“อันที่จริงบ้านเดย์ขอให้หมอถอดเครื่องมือตั้งแต่ช่วงวันแรกๆ ที่รู้อาการแล้ว แต่ว่า...” มือของวินเอื้อมมาจับมือของเขาเอาไว้ “เป็นวินไปขอเอาไว้เองว่าขอสามเดือน ถ้าสามเดือนแล้วเดย์ยังไม่ตื่นขึ้นมา จะให้ถอดเครื่องมือทั้งหมด”

“...”

“วินไปหาทุกวัน ไปเล่าทุกอย่างให้ฟังเหมือนที่เคยทำ ไปแต่งเพลง ไปเล่นกีต้าร์ ทำเหมือนว่าเดย์จะตื่นมา แต่สุดท้ายสามเดือนนั้นเดย์ก็ยังหลับตาอยู่แบบนั้น วินเลยทำได้แค่มองหมอค่อยๆ ถอดเครื่องช่วยหายใจของเดย์แล้วก็มองเดย์ตายไปแบบนั้น โดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย”

ฟังมาถึงตรงนี้ แม้จะไม่ได้หันไปมอง แต่เสียงลมหายใจที่สะดุดเป็นบางช่วง รวมไปถึงน้ำเสียงแหบพร่าไม่เป็นปกติของอีกคน ก็ทำให้ทิวาเดาได้ว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว หาได้ผ่านไปอย่างง่ายดายเช่นที่อีกคนเล่ามา

อดนึกไม่ได้ว่า ถ้าในตอนนี้พวกเขาสลับบทบาทและสิ่งที่เจอกัน เขาในวันนั้นที่ต้องสูญเสียไป จะยังยืดหยัดได้เช่นที่วินทำหรือเปล่า

“หลังจากเดย์ตาย วินก็เคว้งไปเลย ไปเรียน ทำงาน กิน นอน ทำทุกอย่างเหมือนเป็นหุ่นยนต์ จนเริ่มกลับมาซ้อมดนตรีนั่นแหละ ถึงได้พอเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง”

“...ทำไมถึงได้พยายามเป็นนักร้องล่ะ วินไม่ดูเหมือนคนที่อยากเป็นนักร้องดังเลยนะ”

วินหัวเราะกับคำถามนั้น “นั่นสิ วินก็ถามตัวเองอยู่ทุกปีแบบนั้นเหมือนกัน”

“...”

 “เดย์ชอบวงวีอาร์มากๆ เลยใช่ไหม ตอนนั้นวินชอบความหลงใหลในตาของเดย์ตอนที่มองไปที่พวกเขา ยังจำได้ดีจนตอนนี้”

“...”

“ตอนที่เราแต่งเพลงด้วยกัน ถึงจะไม่เป็นทำนอง เดย์ก็ยังบอกว่าชอบมากๆ แล้วก็เคยพูดเล่นว่าถ้าหากวินเป็นนักร้อง เดย์จะคอยเชียร์แล้วก็จะเฝ้ามองวินจากตรงข้างล่างเวทีเสมอ”

“...”

“แต่พอเดย์ไม่อยู่แล้ว ไม่รู้ทำไม คำพูดเล่นๆ พวกนั้นถึงยังติดอยู่ สุดท้ายก็กลายเป็นสิ่งที่วินพยายามจนกระทั่งมาถึงจุดที่เคยพูดไว้ด้วยแบบนี้ เพราะงั้น...”

“...”

“เลยคิดว่าถ้าหากวินพยายามจนได้ไปยืนบนเวทีแบบที่เราสองคนเคยมองวงวีอาร์...เดย์ที่อยู่ที่ไหนสักทีที่วินไปหาไม่ได้ เดย์คงจะสังเกตเห็นวินในสักวัน”

“...”

“เพ้อเจ้อเนอะ คนตายไปแล้ว จะยังมารับรู้อะไรชีวิตของคนที่ยังอยู่” วินหลุดหัวเราะเหมือนสิ่งที่พูดเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันที่เจ้าตัวหลุดพูดออกมา แต่ในแววตาที่มองมา มันทำให้ทิวารู้ว่าอีกคนหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ

ในบรรดาหมู่คนดาษดื่น เขาพยายามจนกระทั่งโดดเด่นเหนือใครขึ้นมา ก็เพียงเพราะต้องการให้ใครคนที่จากไป เฝ้ามองตัวเองได้ง่ายขึ้น เพียงกวาดสายตามองมา ก็จะเห็นอีกคนยืนโดดเด่นอยู่บนเวที ร้องเพลงเช่นที่เคยเฝ้ามองด้วยกัน

“มันดีแล้วเหรอที่ทำแบบนี้ แล้วความฝันจริงๆ ของวินล่ะ”

“...ไม่มีหรอก”

“...”

“ไม่เคยมีมาตั้งนานแล้ว เพิ่งจะมามีสิ่งที่อยากทำจริงๆ เอาก็ตอนที่ไม่มีเดย์แล้ว”

“...”

“มันเป็นเส้นทางที่ยากลำบากจริงๆ นั่นแหละ” วินยิ้ม “แต่พอวันนี้...ที่เดย์กลับมาแล้วสิ่งที่วินทำไปทั้งหมด มันทำให้เดย์กลับมาเจอวินได้เป็นคนแรก ก็แอบคิดว่ามันคุ้มค่า”

น้ำตาหยดแล้วหยดเล่า ไหลอาบกลางใจที่แสนเจ็บปวด ทั้งปลอบประโลมและทั้งสมานแผล แม้จะเชื่องช้า แต่ก็ค่อยๆ โอบกอดดวงใจที่มีแต่ความเศร้านั้นเอาไว้

ทิวาถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ จนแทบไม่เป็นคำ “ถึงเดย์ไม่กลับมาแบบตอนนี้...ก็ยังคุ้มกันเหรอ”

“คุ้มสิ มาจนวันนี้ ทุกอย่างที่วินทำไป ทุกอย่างคุ้มค่าและมีความหมายเสมอ”

“...”

“แม้แต่คำภาวนานั้นที่ขอให้เดย์กลับมา นั่นก็แสนคุ้มค่า เพราะท้ายที่สุดเดย์ก็กลับมาจริงๆ”

วินเอื้อมมือมาลูบหัวเขาไปมา ก็จะเอนซบเนิ่นนาน ราวกับไม่มีวันจากไป แม้ในความจริงไม่อาจทำเช่นนั้นได้ก็ตาม

“เรื่องที่ต้องเจอหลังจากนี้ไม่เป็นไรเลย วินไม่เคยเสียใจที่เลือกแบบนี้เลยแม้แต่นิดเดียว”

 











------------------------------------------------------------------------------------------------













ในกาลเวลายาวนาน เรื่องราวหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในซอกลึกของความทรงจำ

ช่วงเวลาที่ดำเนินไปด้วยความเศร้า

ผู้ชายคนหนึ่งและเขาที่อยู่หน้าหลุมศพคนที่รักที่สุด

กับหนึ่งคำถามที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาลนั่น

‘...ถ้าเขากลับมา แต่อยู่กับคุณไม่ได้ มีสักวันที่ต้องจากไป’

เขาเงยหน้ามองคนที่เปล่งเสียงพูดประโยคนั้นด้วยความงุนงง กระนั้นมันก็เต็มไปด้วยความวาดหวัง ขณะที่แววตาที่อีกคนมองมากลับมีแต่ความเศร้าและเสียใจ

‘...ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากให้กลับมางั้นเหรอ’

ยังจำได้ดีถึงหนึ่งวันที่แสนว่างเปล่านั้น ที่เขานั่งอยู่ตรงนี้ด้านหน้าหลุมศพของคนที่แสนรัก เบื้องหน้าพราวพร่างไปด้วยน้ำตาแห่งความคิดถึง ในหัวใจมีแต่คำภาวนามากมาย ล้วนแต่ขอร้องในสิ่งที่ไม่อาจจับต้องได้ ถึงพระเจ้าที่ไม่เคยเชื่อถือ ถึงใครก็ได้ที่ทำให้ความวาดหวังของเขาเป็นจริง ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไรก็ตาม

เขาเพียรภาวนาเช่นนั้นเรื่อยมา นับตั้งแต่วันที่ทิวาจากไป

เขาเงยหน้ามองคนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ใต้ร่มไม้จนมองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจนคนนั้น ในอ้อมแขนอีกคนกกกอดแมวสีขาวปลอดหนึ่งตัวเอาไว้ มันจ้องมองเขาด้วยดวงตาสีฟ้าอ่อน ก่อนจะกระโดดก้าวมาหา คลอเคลียอยู่ข้างกาย ทว่าเขาไม่ได้สนใจมัน กลับยังวนเวียนอยู่กับคำพูดที่อีกคนทิ้งเอาไว้

‘อยากสิ’

‘...’

‘ถึงจะเป็นแบบนั้น ถึงจะต้องเจ็บหรือจบแบบเดิม...ก็ยังอยากให้กลับมา’

‘นั่นถือเป็น...ความปรารถนาของคุณใช่หรือเปล่า’

‘มันเป็นสิ่งเดียวที่ผมต้องการ’

‘...คุณจะได้ในสิ่งที่คุณปรารถนา แต่จำเอาไว้ ไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายเขาก็จะจากไป คุณไม่มีวันเหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้ได้’

‘...’

‘นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ผมชดเชยให้คุณได้ สิ่งที่ผมเคยติดค้างคุณเมื่อครั้งอดีต ผมจะขอคืนด้วยคำปรารถนานี้ของคุณก็แล้วกัน’

‘...ขอบคุณ’

‘อย่าขอบคุณเลย เป็นผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ...’

‘...’

‘อีกไม่นานเขาจะกลับมาหาคุณอีกครั้งหนึ่ง รักษาช่วงเวลานั้นให้คุ้มค่าตามแต่ที่คุณต้องการ’

‘…’

‘ลาก่อนครับ ขอให้คุณมีความสุขกับสิ่งที่คุณปรารถนา’

คำพูดกำกวมถึงอดีตที่เขาไม่มีความทรงจำถึงจากคนตรงหน้า สัมผัสอ่อนโยนจากเจ้าแมวขาวที่อยู่ข้างกาย รวมไปถึงสายลมที่เจือความหนาวเหน็บบางอย่างที่เขาไม่รู้จักในวันนั้น ค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลา รวมไปถึงเรื่องราวของคนที่เขารักหมดใจ แม้จะต่อต้านเพียงไร สุดท้ายเขาก็จำได้เพียงแต่ครั้งหนึ่งเคยรักใครคนหนึ่งมากมายเท่านั้นเอง

แต่ใบหน้าเป็นอย่างไร ชื่ออะไร เขากลับหลงลืมไปหมดสิ้น

สิ่งที่ทิ้งเอาไว้คือกรอบรูปที่ว่างเปล่าและรอยยิ้มงดงามในความฝันที่ไม่เคยลบเลือน

จนกระทั่งวันนั้น วันที่คำอธิษฐานของเขากลายเป็นจริง

‘ขอโอกาสอีกครั้ง อีกสักครั้งหนึ่ง...ขอให้ได้เจอกันอีก’

ใครคนนั้นที่ไม่คุ้นตา เอาแต่ยืนร้องไห้ตรงหน้า จนเขาปวดใจไปหมด

‘ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ขอร้อง...ขอให้ได้พบเขาอีกครั้งหนึ่งด้วย’

ชื่อของอีกคนปลุกเร้าความทรงจำที่เลือนหาย รวมไปถึงความรักที่ถูกปิดตายให้ฟื้นคืน แม้ว่ามันจะไม่ต่างอะไรกับนับถอยหลังสู่วันวานที่แสนทรมาน ทว่าวินก็ยังยินดีและนึกขอบคุณคนคนนั้นที่เขาไม่รู้จักที่มอบโอกาสที่แสนงดงามให้เขาอีกครั้งหนึ่งในทุกครั้งที่มองคนข้างกายยิ้มมาให้

ในห้วงเลื่อนลอยคล้ายย้อนกลับไปยังวันเวลานั้นของพวกเขาสองคน แม้จะเสียใจอยู่บ้างที่สุดท้ายวันเวลาที่ได้รับมันไม่ยืนยาว ทว่าในชีวิตหนึ่งของคนเราใช่ว่าจะได้พบแต่ความสุขเสียเมื่อไหร่ มีหลายครั้งที่กระทำลงไปแล้วไม่มีความสุข แต่ก็เช่นกันที่มีหลายครั้งที่ไม่ลงมือกระทำ กลับนึกเสียใจที่ว่าทำไมวันนั้นจึงไม่เลือกทำ เช่นเดียวกับสิ่งที่เขาร้องขอไป

ให้ย้อนเวลานับพันนับร้อยครั้ง ต่อให้จุดจบสุดท้ายคือจากลาอีกครั้ง

เขาก็ยังปรารถนาเช่นเดิม ถึงช่วงเวลาแสนสั้นที่ได้ยิ้มและหัวเราะกับคนที่หัวใจของเขาเพรียกหา

ดังนั้นจึงเพียงพอแล้ว มากเกินกว่าที่คาดหวังเอาไว้

อันที่จริงสำหรับโลกอันน่าสิ้นหวังนี้ ถึงจะเป็นการคงอยู่เพียงชั่วพริบตา แต่ก็มากพอจะต่อชีวิตให้ใครบางคนให้ยืนยาวไปจนหมดลมหายใจ

เช่นที่เขาพบกับทิวา

บางครั้ง...ชีวิตมันก็เท่านี้เองจริงๆ




 

พวกเขายังคงมีชีวิตอยู่เสมอ

ในใจของคนที่รักเขา

เช่นเดียวกับเธอ...ที่ยังอยู่ในใจของฉัน เสมอมา



(โปรดติดตามตอนต่อไป)

-------------------------------------------------------------------------------------------------

สุขสันต์วันคริสมาสต์และวันปีใหม่ล่วงหน้านะคะ

กว่าจะมาต่ออีกทีน่าจะหลังปีใหม่เลย TT ขอให้ทุกคนมีความสุขค่ะ

ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ

NAVY
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 15 ★ 25/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-12-2019 23:06:00
 :pig4: :pig4: :pig4:

เด๋วมันก็ต้องมีการย้อนเวลาอีก  จนสุดท้ายต้องมีไทม์ไลน์ใหม่เกิดขึ้น  อันเนื่องจากเหตุการณ์ปากพระร่วงไม่น่าจะเกิดขึ้นอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 15 ★ 25/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 26-12-2019 15:00:56
เดย์กลับไปจะยังจำได้หรือเปล่าว่าเคยได้ไปอนาคตมา จะได้รู้ว่าตัวเองตายเพราะอะไร จะได้ป้องกันได้
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 16 ★ 10/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: KarmaNavy ที่ 10-01-2020 22:15:10
ฉันรักเธอ

จะรักไปเรื่อยๆ วันนี้ก็รัก พรุ่งนี้ก็ยังรัก

ไม่เคยผิดหวังอะไรเลยกับการรักเธอ

 













ตกหลุมรักระยะที่ 16






“แล้วทำไมเดย์ถึงมาที่นี่ได้ล่ะ”

“...” ทิวานิ่งไปเพราะไม่รู้จะพูดถึงเหตุการณ์ที่ตัวเองมาสู่โลกนี้ให้อีกคนได้ฟังอย่างไรไม่ให้ดูเพ้อเจ้อและน่าอาย แต่พอมองแววตารอคอยของคนข้างตัวแล้ว เขาก็ได้แต่ถอนหายใจ เกาจมูกเอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม เหมือนไม่ค่อยอยากพูดเสียเท่าไหร่

ใครมันจะอยากพูดละว่า วันนั้นไปขอศาลพระภูมิหน้าหอพักว่าขอให้เจอกันอีกแบบเร็วที่สุด ด่วนที่สุดน่ะ

เร็วมาก ตื่นมาอีกทีข้ามมาเจอกันเลยอีกหกปีข้างหน้า

“ก็...ขอศาลหน้าหอ”

“...”

“วันนั้นตอนที่วินไปส่ง ไม่ได้ถามอะไรเลย เบอร์ก็ไม่มี ไลน์ก็ไม่ได้แลก ไม่รู้จะติดต่อกันยังไง ก็เลย...”

“...”

“...อย่าอมยิ้มได้ไหม จะขำก็ขำออกมาเลยก็ได้” ทิวามองสีหน้าอยากหัวเราะ แต่พยายามกลั้นเอาไว้สุดฤทธิ์ของวินด้วยอาการฉุนๆ อดยกมือบีบแก้มเนียนๆ ด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้ เมื่อสุดท้ายวินก็หัวเราะดังลั่น คล้ายกับจะเป็นเสียงหัวเราะและรอยยิ้มแรกในช่วงหลายวันมานี้ ทำเอาทิวาลืมว่าอายและเคืองเพียงไร แถมยังเอาแต่มองอีกคนหัวเราะแบบนั้นจนเสียงหัวเราะจางหายไป

“ก็พอนึกตามแล้วมันขำนี่นา อย่าบอกนะว่าขอก่อนเข้าหอด้วย”

“อืมม”

“ศาลหน้าหอพักเก่าๆ นั่นอะนะ”

“เออ! จะย้ำอะไรนักหนาอะ”

“ในศาลมีเจ้าที่อยู่ซะที่ไหน นั่นมันที่นอนแมวต่างหาก”

“...”

วินปาดน้ำตาที่ไหลออกมาเพราะความขำ ก่อนจะพูดต่อ “จริงๆ หลังจากนั้นวินก็ไปหาเดย์ที่หอพักเองนั่นแหละ เพราะเพิ่งมานึกได้ว่าไม่ได้ขอที่ทางติดต่อไว้ได้เลย วันนั้นก็เห็นกันทั้งคู่ว่าในศาลอะไม่มีอะไรสักอย่าง มีแต่ผ้าสีๆ อันเก่าที่เขาพันเอาไว้กับแมวสีขาวนอนหลับอยู่ในนั้น ยังหัวเราะกันอยู่เลยว่าทำไมถึงมีคนปล่อยข่าวลือว่าขออะไรกับศาลหน้าหอแล้วมันจะเป็นจริง”

“...”

“อยากเจอวินมากขนาดถึงขอเจ้าพ่อแมวประจำหอเลยเหรอ”

ทิวาหยิกแก้มคนที่ยังยิ้มล่อหลอกไม่เลิก ก่อนจะตอบ “เลิกแซวได้แล้ว คนมันไม่รู้นี่หว่า”

“ฮ่าๆๆ”

“วิน”

“ครับๆ ไม่หัวเราะแล้ว ขอโทษ” คนโดนดุรีบพยายามหยุดหัวเราะ แม้ว่ามันจะยากไปสักหน่อย แต่พอเห็นว่าคนข้างกายหน้าแดงลามไปจนถึงใบหูนุ่มแล้ว ก็จำใจหยุดหัวเราะแล้วเปลี่ยนเรื่องแทน “แล้วพอรู้ว่ามาอยู่นี่แล้วทำไงอะ ตกใจมากไหม”

“ตกใจดิ ตื่นมาก็อยู่บนรถเมล์แล้ว แถมพอรู้ว่าไม่มีใครเลยที่จำได้ก็เอาแต่ร้องไห้เหมือนคนบ้าอยู่ป้ายรถเมล์” นึกถึงสภาพตัวเองวันนั้นแล้วทิวาก็อดนึกสงสารตัวเองไม่ได้ แต่ลึกๆ ก็นึกขอบคุณที่ยังพอมีสติจนทำให้ได้มาพบกับวินในท้ายที่สุด "แต่พอเห็นโฆษณาที่พวกวินถ่ายข้างรถเมล์ ก็เลยตัดสินใจไปหา ถึงจะไม่รู้ว่าวินจะจำได้ไหมก็เถอะ”

“...”

“โชคดีที่วันนั้นได้เจอกัน”

“...นั่นสิ”

ทิวานิ่งคิดไปพักใหญ่ ว่าถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าเขาขอกับศาล จนได้ข้ามเวลามาที่นี่ แล้วมันเพราะอะไรเขาถึงได้มาอยู่ตรงนี้และยังได้รับรู้อนาคตตัวเองว่าจะตายแบบนี้ด้วย

ทั้งที่ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ราวกับกำลังเดินอยู่ท่ามกลางม่านหมอกจนไม่เห็นปลายทาง แต่ชั่วพริบตาหนึ่ง โดยไม่ได้ตั้งใจ ทิวากลับหวนนึกถึงสีหน้าและรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยปริศนาของโรมในครั้งล่าสุดที่พบกันขึ้นมาจนได้

“วิน...รู้จักคนชื่อโรมไหม”

“โรมเหรอ? ไม่นะ มีอะไรหรือเปล่า”

“พอดีได้ฟังอะไรบางอย่างมาจากเขา...พูดประมาณว่า ที่เดย์ได้กลับมามันเป็นเพราะวินด้วยส่วนหนึ่ง”

“...”

“พอจะนึกอะไรได้ไหม”

วินนิ่งไปครู่ใหญ่แล้วค่อยๆ ส่ายหน้า “ไม่เคยรู้จักหรือเจอคนชื่อโรมเลย แต่เรื่องที่ว่าเดย์กลับมาได้เพราะวิน เรื่องนั้น...น่าจะเกี่ยวกับวินจริงๆ”

“...”

“อันที่จริงช่วงหลังจากเดย์ตายไม่นาน วินชอบมาอยู่ที่นี่ นั่งคุยเรื่อยเปื่อย แล้วก็ชอบคิดว่าอยากให้เดย์กลับมาอยู่ประจำ แต่มีวันหนึ่งที่มีผู้ชายแปลกหน้ามาหา เขาบอกว่าเขาพาเดย์กลับมาได้”

“...”

“ตอนแรกวินก็ไม่เชื่อหรอก แต่ตอนนั้นก็แอบคิดนิดหนึ่งว่า ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาก็คงดี ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าวันหนึ่ง...เดย์จะกลับมาหาจริงๆ”

“เขาได้บอกชื่อไหม”

“ถ้าจำไม่ผิด เขาบอกว่าตัวเองชื่อซานนะ ไม่ใช่โรม”

ทิวานิ่งไปเพราะผิดหวังนิดหน่อย แต่อีกใจก็อดรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นเพียงของเล่นสักอย่างบนฝ่ามือของใครบางคนที่ไม่มีวันรู้ว่าเป็นใคร ถูกจับวาง โยนไปมาเหมือนไม่มีชีวิต คนที่รู้ก็ไม่ยอมบอก ปล่อยให้อยู่ท่ามกลางความคลุมเครือ บางครั้งเหมือนจะชัดเจน แต่พอมองอีกทีก็กลับยังคงสับสนและไม่มีความชัดเจนใดๆ เหมือนเดิม

ตอนแรกก็โรมที่หายไปจากความทรงจำของเพื่อนรักทั้งสอง แล้วยังบอกมาว่าตัวเองก็เป็นหนึ่งคนที่ข้ามมาเช่นกัน ต่อมาก็ซาน ผู้ชายที่วินได้เจอและเหมือนจะเป็นคนที่ส่งเขามายังโลกนี้อีก

ยิ่งรู้เรื่องราวมากขึ้นเท่าไหร่ ทิวาก็ยิ่งรู้สึกสงสัยและอดกลัวไม่ได้ เพราะเอาจริงๆ แล้ว เขาไม่สามารถแยกแยะได้เลยว่า คนไหนพูดจริงและใครคือคนที่บงการพวกเขาทั้งหมด

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคงกดต่อสายหาโรมระหว่างที่รอวินไปขับรถมารับอยู่ดี

รอสายอยู่ไม่นาน เสียงที่เขาทั้งเชื่อถือและสงสัยในคราเดียวกันก็ดังขึ้น

(ไง)

“...เหลือเวลาอีกเท่าไหร่”

(หมายถึงก่อนจะกลับไปน่ะเหรอ)

“อือ”

(พ้นคืนนี้ไป ทุกอย่างจะกลับไปเป็นอย่างเดิมก่อนที่เดย์จะมา)

“...”

(รู้สึกว่าเร็วไปงั้นเหรอ) แม้จะไม่ได้ยินเสียงพูด แต่ปลายสายกลับคล้ายมานั่งอยู่ข้างกายและเห็นสีหน้าของเขาเสียอย่างนั้น ทิวาชินเสียแล้วกับการที่เหมือนโดนอ่านใจจากคนที่กลายเป็นคนไม่คุ้นเคยไปแล้วอย่างโรม ทว่าก็ยอมตอบรับแต่โดยดี

“อืม ก็เร็วไปจริงๆ นั่นแหละ”

(...)

“พอมานับๆ ดู เหมือนมาอยู่ที่นี่แค่เดือนกว่าๆ เอง”

(คนที่ไม่ใช่คนของที่นี่อย่างพวกเรา อยู่นานไม่ได้หรอก แค่ระยะเวลาเท่านี้ก็ถึงลิมิตแล้วเดย์)

“...”

(มากไปกว่านี้มันจะรบกวนชะตาและทำให้เกิดเรื่องที่ไม่สามารถควบคุมได้)

“อะไรที่ว่าควบคุมไม่ได้”

(...เดย์ไม่อยากรู้หรอก เอาเป็นว่ามันไม่ดีก็แล้วกัน)

แม้รู้อยู่แล้วว่าเค้นถามไปยังไงโรมก็ไม่มีวันตอบ แต่ทิวาก็ยังอดถามออกไปไม่ได้ “มาถึงขนาดนี้แล้วจะไม่ตอบจริงๆ เหรอว่าทำไมถึงต้องทำแบบนี้”

(เรื่อง?)

“ที่พูดเมื่อเช้าเรื่องที่บิดเบือนอะไรนั่นน่ะ ทั้งเรื่องที่มาที่นี่ เรื่องที่ไปเป็นเพื่อนของพวกเราเมื่อหกปีก่อน ทั้งเรื่องไอ้ปัณพูดออกมาก็ด้วย ...แสดงว่าที่ปัณมันพูดออกมาทั้งหมด ไม่ใช่เพราะมันแช่งคนแล้วเป็นจริงใช่ไหม”

(อืม มันเป็นแค่คำเตือนจากอนาคตเท่านั้นแหละ)

“...”

(ทุกอย่างที่ปัณพูด มันคือเรื่องที่เกิดขึ้นและจบลงในหกปีที่เดย์กำลังยืนอยู่ จบสุดท้ายที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันจริงๆ ถูกตามนั้นใช่ไหมล่ะ แต่ในส่วนสุดท้าย...) โรมเงียบไปพักหนึ่ง เสียงคล้ายแผ่วเบาจนจับใจความไม่ได้ กระนั้นต้องขอบคุณที่รอบตัวของทิวาเงียบมากพอ ทำให้เขาได้ยินแทบทั้งหมดอย่างชัดเจน (...มันเป็นการชดเชยจากพวกเรา ให้เธอได้รู้ถึงอนาคตและเมื่อย้อนกลับไป ไม่ว่าเธอจะเลือกยังไง จะหลีกหนีชะตากรรมที่ต้องตายหรือจะเลือกผู้ชายคนนี้เหมือนเดิม ก็เป็นเรื่องที่เธอเลือกเอง)

“...”

(แต่ไม่ว่าจะเลือกทางไหน อย่างน้อยเธอก็ได้รู้ว่าความรักของผู้ชายคนนั้นจะอยู่กับเดย์เสมอ ไม่ว่าในอนาคตข้างหน้าจะมีเดย์อยู่กับเขาหรือไม่ก็ตาม)

“...ทำไมถึงบอกว่าชดเชย”

(...ถ้าบอกว่าในอดีตที่นานมากๆ พวกเราเคยเกี่ยวข้องกัน จะเชื่อไหมล่ะ)

ทิวาพ่นลมออกจากจมูกเหมือนฉุนนิดหน่อยกับคำพูดทีเล่นทีจริงนั่น “มาจนกระโดดมาหกปีข้างหน้า เรื่องแฟนตาซีแบบไหนก็ไม่ทำให้ตกใจแล้วล่ะ”

(ฮ่าๆๆ นั่นสินะ)

“...”

(อืม พวกเราเกี่ยวข้องกันจริงๆ นั่นแหละ เพียงแต่ไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่ ‘พวกเรา’ เลยต้องคอยมานั่งชดใช้ให้พวกเดย์แบบนี้ไง)

“พวกเรา? แสดงว่ามีคนอื่นอีกเหรอ”

(ก็มี แต่เดย์เป็นคนสุดท้ายแล้ว ทุกอย่างจบหมดแล้วล่ะ)

“...พูดจาอะไรน่าสงสัย แต่ถ้าถามก็จะไม่ตอบใช่ไหมล่ะ”

(ช่าย อย่ารู้เลย ปล่อยให้มันเป็นอดีตที่ผ่านไปแล้วเถอะ ถ้าต้องมาคอยรับรู้ทุกเรื่องในอดีตของชีวิตก่อนไปเสียทุกเรื่อง ทุกคนคงเป็นบ้าตายกันพอดี)

“...”

(เอาเป็นว่าหลังจากนี้ก็โชคดีนะ แล้วก็จะไม่มีใครแทรกแซงเกี่ยวกับสิ่งที่เดย์จะเลือกทำหลังจากกลับไปอีกแล้ววางใจได้)

“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น”

ไม่มีเสียงอะไรจากปลายสายแล้ว นานจนทิวาคิดว่าอีกคนวางสายไปแล้ว ทว่าเมื่อทิวาก้มมองโทรศัพท์ในมือก็ต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อหน้าจอที่น่าจะแสดงเบอร์ของโรมกลับถูกแทนที่ด้วยเบอร์ที่ยังไม่เปิดใช้บริการ ดังนั้นไม่ว่าจะพยายามโทรออกอีกสักกี่ครั้ง ก็มีแต่ผู้หญิงที่เขาไม่รู้จักย้ำคำเดิมว่าไม่สามารถติดต่อได้

อดนึกพิศวงกับการปรากฏตัวและหายไปของผู้ชายที่เขาทั้งรู้จักและไม่รู้จักในคราเดียวกันคนนี้ไม่ได้ กระนั้นก็ยังยึดถือคำพูดของโรมที่ว่า หลังจากนี้จะเป็นการตัดสินใจและการเลือกของเขาเพียงคนเดียวแล้ว

แม้จะไม่รู้ว่ากลับไปแล้วจะยังต้องเผชิญกับเรื่องราวแบบเดิมไหม แต่ทิวาไม่กลัวเลย

ยิ่งมองเห็นใบหน้ายิ้มแย้มจากคนที่ขับรถมารับ คนที่เขาเห็นเป็นคนสำคัญที่สุดคนนี้ ความหวาดกลัวก็ยิ่งไม่มากล้ำกลาย

ก็เป็นเช่นที่วินบอกเขาว่าอีกคนไม่เสียใจที่เลือกทำเช่นนี้


แม้ว่าในอดีตของโลกใบนี้ ตัวเขาจะต้องจากไปหลังจากได้พบกับวิน แต่เขาเชื่อหมดหัวใจว่า ตัวเขาในโลกนี้ไม่เสียใจแต่อย่างใด

และเขาเองก็เช่นกัน

 







--------------------------------------------------------------------------------------------------------











นี่เป็นอีกค่ำคืนที่วุ่นวาย ทิวาคิดเช่นนั้น

ยิ่งมองภาพความเละเทะตรงหน้าเขาก็ได้แต่หัวเราะออกมาสุดเสียง อย่างไม่เกรงกลัวว่าจะมีใครตื่นขึ้นมาระหว่างที่เขาหัวเราะเช่นนี้ นั่นเป็นเพราะหลังจากที่กลับมาถึงบ้านและโดนเหล่าคนที่ทั้งสงสัยและตกตะลึงกับการกลับมาของเขาซักถามทุกเรื่องที่สงสัยจบ ทั้งหมดก็เฮโลพากันแหกคอก ดื่มกินกันเหมือนวันพรุ่งนี้จะไม่ได้ขึ้นซ้อมใหญ่สำหรับคอนเสิร์ตในวันมะรืนนี้ ตอนแรกเขานึกว่าวินจะออกปากห้ามเช่นที่เคยทำมาตลอด กลับกลายเป็นว่าอีกคนกลับยกขวดดื่มคนแรก แถมยังเมาก่อนใครเขาเพื่อน ไม่เว้นแม้แต่จินที่คอพับคออ่อนอยู่ไม่ไกลจากไป๋ ส่วนแคทและเวย์นอนสลับหัวเท้า พึมพำโวยวายอยู่ตลอดเวลา

เหลือเพียงเขาคนเดียวที่ยังมีสติมากพอจะเห็นภาพน่าหัวเราะนี่ บนตักของเขามีวินนอนหลับอยู่ ซึ่งเขาวางมือและคอยลูบหัวให้อีกคนหลับสบาย ในทุกครั้งที่หัวคิ้วของอีกคนขมวดแน่น คล้ายกำลังฝันร้าย

ไม่รู้ว่ากำลังฝันว่าอะไร อาจจะฝันว่าวันซ้อมเกิดข้อผิดพลาดหรือกลัวว่าวันแสดงจริงจะเกิดเรื่องล่ะมั้ง ถึงได้เก็บไปฝันแบบนี้

ก็ได้แต่หวังว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้น เขาจะภาวนาขอให้ทุกเรื่องที่จะผ่านเข้ามาในชีวิตของวินคนนี้ผ่านไปด้วยดีไปตลอดชีวิตที่เหลือ ไม่ว่าจะยากลำบากหรือเหนื่อยแค่ไหน ก็ขอให้มีคนให้กำลังใจและคอยเคียงข้างไปจนสุดท้าย แม้ว่าสักวันหนึ่งเขาจะค่อยๆ ลืมและมีใครมาแทนที่ตัวเขาในสักวัน

“...ตื่นอยู่เหรอ”

“ไม่ตื่นก็คงไม่รู้ว่ามีคนแอบมองอยู่” วินลืมตามองแล้วยิ้ม

“ฝันอะไรอยู่”

“ไม่รู้เหมือนกัน ลืมไปแล้วล่ะ”

“...”

“ง่วงนอนหรือยัง”

ทิวาเกือบจะส่ายหน้าแล้ว แต่สุดท้ายก็พยักหน้า ก่อนขยับตัวลงนอนข้างๆ วิน หันมองใบหน้าด้านข้างของอีกคนเงียบๆ รอให้วันพรุ่งนี้มาถึงช้าๆ

“กลับไปแล้วต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ”

“อืม”

“อย่าไปจับมือคนอื่นไปดูคอนมั่วซั่วอีกล่ะ สั่งห้ามเลย”

สีหน้าบูดบึ้ง รวมไปถึงน้ำเสียงขุ่นข้องของวินทำให้ทิวายิ้มออกมา พยักหน้ากับตัวเอง “ได้”

“...ใช้ชีวิตดีๆ มีความสุขมากๆ”

ไม่รู้ทำไมพูดมาถึงตรงนี้วินถึงได้พูดช้าลง น้ำเสียงก็สั่นพร่าเหมือนกำลังร้องไห้ แต่เพราะวินหันไปอีกด้าน ทิวาจึงมองไม่เห็นว่าวินมีสีหน้าเช่นไร แต่ตัวเขาน่ะร้องไห้ไปก่อนแล้ว อาบเสียจนแก้มไม่มีพื้นที่ว่างให้เปียก

“วินไม่รู้ว่ากลับไปครั้งนี้เราจะยังได้เจอกันที่คอนอีกไหม เดย์จะจับมือแล้วจูงวินไปดูคอนเสิร์ตข้างกันอีกหรือเปล่า”

“...”

“ไม่ว่าทุกอย่างจะอำนวยให้เราได้มาพบกันเหมือนครั้งแรกหรือไม่ สักวันหนึ่ง เราจะต้องได้เจอกันอย่างแน่นอน”

 “...พูดจามั่นใจจัง ไม่คิดเผื่อมันไม่เป็นไปตามที่คิดบ้างเลยเหรอ”

“ก็จะพยายามไม่ให้มันเกิดขึ้น อย่างน้อยๆ วินก็จะพยายาม”

“...”

วินหันกลับมาแล้ว ในดวงตาของอีกคนเต็มไปด้วยหยดน้ำแวววาว ก่อนมันจะรินไหลช้าๆ ตกอยู่ข้างแก้ม รอยยิ้มที่มองมาไม่ต่างอะไรกับรอยยิ้มในวันที่เขาหลงรัก เช่นเดียวกับที่เราต่างมองกันและกันในวันนั้น

ทุกอย่างจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อเขากลับไปยังช่วงเวลาที่เขาควรอยู่ แต่ทิวาก็หวังสุดหัวใจว่าขอให้มีจุดหักเหที่พัดพาให้ได้พบวินอีก

ไม่ว่าจะกี่ครั้ง จะพลาดสักกี่หนก็ขอให้เราได้กลับมาพบกัน ได้รู้จักกันและได้ลงเอยเช่นที่เคยเป็น

และครั้งนี้เขาจะพยายามไม่ให้จุดจบของพวกเขาลงเอยที่จากลาตลอดกาล

“ก็พยายามด้วยกันทั้งคู่แหละ”

“ไม่คิดบ้างเหรอว่าจะมีคนอื่นดีกว่า”

“ก็มีดีพอแล้วหนึ่งคนตรงหน้า จะไปตามหาคนอื่นอีกทำไม”

“...”

“แค่วินก็พอแล้ว”

“นอนเถอะ”

“อือ ...แล้วเจอกันนะ”

“ได้ แล้วเจอกันครับ”

นั่นเป็นทั้งคำบอกลาและอวยพรสุดท้ายก่อนดวงตาของเขาทั้งคู่หลับตาลง

มือของพวกเขาขยับเคลื่อนเข้าหากันท่ามกลางความมืดมิดที่ค่อยๆ โอบล้อมโลกของทิวา ความเงียบรอบตัวทำให้เสียงหัวใจของทั้งคู่ดังก้องยิ่งกว่าเสียงใด พวกมันดังเป็นจังหวะเดียวกัน ราวกับจะขับกล่อมให้เขาหลับใหลไปอย่างสบายใจ ไม่ต้องหวาดกลัวหรือกังวลแต่อย่างใด

ได้แต่หวังว่าเมื่อกลับไป ทุกอย่างจะเป็นดังที่เขาวาดหวัง

และได้กลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่ง




 
แค่เสียดาย

ที่ไม่มีวันพรุ่งนี้สำหรับเราแล้วเท่านั้นเอง



(โปรดติดตามตอนต่อไป)

--------------------------------------------------------------------------------------------------------

สวัสดีปีใหม่ค่ะ

เป็นสิบวันแรกที่ทำร้ายหัวใจตั้งแต่เริ่มปี เริ่มจากโปรเจคจบที่ไม่คืบหน้าเล้ยย TT

ไหนจะเตรียมพรีเซนที่ไม่มีอะไรไปรายงานความก้าวหน้าก็ด้วย ฮือ

แต่หวังว่าปีนี้จะเป็นการเริ่มต้นที่ดีของใครหลายๆ คนนะคะ

ขอบคุณที่ยังเข้ามาอ่านนะคะ พบกันตอนหน้าค่ะ

NAVY
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 16 ★ 10/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 10-01-2020 22:49:05
หวังว่ากลับไปคราวหน้าทุกอย่างจะเป็นไปในทางที่ดีนะ
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 16 ★ 10/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 11-01-2020 01:01:22
 :pig4: :pig4: :pig4:

กลับไปแล้วจะเป็นไงต่อน้า
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ก่อนตกหลุมรัก (อีกครั้ง) ★ 15/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: KarmaNavy ที่ 15-01-2020 20:34:31
เธอเคยวิ่งตามและทำทุกวิธีทางเพื่อฉัน

 










ก่อนตกหลุมรัก (อีกครั้ง)






‘เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี หอสมุดกลางฯ จึงได้จัดมินิคอนเสิร์ตที่ลานอเนกประสงค์บริเวณหน้าหอสมุด โดยเชิญศิษย์เก่าชื่อดังอย่าง วง WeAre ขึ้นแสดงเป็นเวลาสามวัน นอกจากนี้ยังเชิญนักร้อง นักแสดงท่านอื่น...’

“เดย์!! วีอาร์จะมา มึ๊งงงง”

“...”

“เดย์! หูแตกเหรอถึงไม่ได้ยินกูพูด” เดือนอ้ายว่าพลางเขย่าตัวเพื่อนที่นั่งนิ่งเป็นรูปปั้นจนอีกคนโคลงไปมาคล้ายตุ๊กตา “กูบอกว่าวีอาร์จะมา ตื่นเต้นกับกูหน่อย”

“อะ...เออ”

แต่แทนที่จะดีใจเหมือนที่ตัวเดือนอ้ายรู้สึก ทิวากลับเหมือนคนเพิ่งตื่นนอนเสียมากกว่า แววตาเลื่อนลอยไม่รู้คิดไปถึงไหน ไหนจะรอยยิ้มอีก ดูก็รู้ว่ายิ้มไปงั้นไม่ได้ยินดีอย่างที่เคยบอกเอาไว้ว่าเป็นแฟนคลับเดนตายวงวีอาร์กับเขาเลย

“มึงเป็นอะไรเนี่ยเดย์ เหม่อๆ นะวันนี้”

“เออน่า ไม่มีไรๆ” ทิวาโบกมือไปมา แล้วเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา กลับไปยังวงวีอาร์อีกครั้ง “แล้วมึงจะไปทุกวันไหม กูว่าจะไปทุกวัน ไปดูให้สะใจไปเลย!”

“เออ ค่อยเหมือนมึงหน่อย... แต่! จะสอบอยู่แล้ว มึงจะไปทุกวันไม่ได้!”

“กูอะอ่านหนังสือมาตลอด ทบทวนไม่ขาด ไปทุกวันก็ไม่กระทบอะไร มึงนั่นแหละที่น่าห่วง” ทิวาหัวเราะร่วนแล้วออกแล้วดีดหน้าผากเพื่อนรักแรงๆ หนึ่งที ไม่แยแสต่อการโวยวายของอีกคนเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของเขาหวนกลับไปมองมือถืออีกครั้ง กวาดสายตาข้อความนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก มันก็ยังเป็นข้อความแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับการเข้าชมมินิคอนเสิร์ตเล็กๆ เหมือนเคย

แต่เพราะอะไรไม่รู้ ในใจเขากลับรู้สึกว่า มันมีบางอย่างที่หายไป

ไม่ว่าจะกลุ่มเพื่อนรักที่กำลังหัวเราะ หยอกล้อกันอย่างปัณและเดือนอ้ายที่มองเมื่อไหร่ เขากลับรู้สึกว่ามันขาดใครบางคนที่จะคอยหัวเราะไปกับเขา หรือแม้แต่ความรู้สึกของเขาเองก็ด้วย ทุกครั้งที่ตื่นเช้าขึ้นมา เขามักจะได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งซ้ำแล้วซ้ำอีก ราวกับจะย้ำเตือนในทุกคราที่ลืมตาตื่นว่า ต้องอยู่อย่างมีความสุข

และจะต้องได้เจอกันอีกครั้งแน่นอน

“เหม่ออีกแล้ว”

“ไม่สบายเหรอวะวันนี้”

ทิวาส่ายหน้า “ไม่ได้ไม่สบาย พวกมึงก็เซ้าซี้จังวะ ไปจีบกันต่อไปไป๊ รำคาญ”

“ใครจีบกัน ไอ้ตูดหมา”

“มึงกับไอ้ปัณสิถามได้ เฮ้อ เป็นคนโสดคนเดียวในกลุ่มนี่มันน่าเศร้าจังเนอะ” ว่าแล้วก็กระโดดหลบฝ่ามืออรหันต์ของเดือนอ้ายแทบจะไม่ทัน จากที่เป็นห่วงคราวแรก ตอนนี้ทั้งสองคนที่โดนเขาจับคู่ต่างร่วมมือกันมาประทุษร้ายจนเขาต้องยกธงขาวยอมแพ้ ไม่วายบ่นอุบว่าแค่แซวเล่นเฉยๆ ทำไมต้องทำร้ายจริงจังแบบนี้ด้วย

“เล่นแรงชิบหาย คนนะเว้ยไม่ใช่กระสอบทราย ตีมาได้”

“เจ็บแล้วจะได้จำ แซวแม่งอยู่นั่นแหละ ตั้งแต่ปีหนึ่งจนจะจบอยู่แล้ว เห็นไหมล่ะว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็ยังจะปากดีแซว”

“คนเรามันต้องมีหวังดิว้า”

“หวังเพ้อเจ้อล่ะสิมึงอะ”

“ไม่แซวแล้วก็ได้ค้าบ ดุจังค้าบ ปัณแอบให้ของหวานแดกรับอรุณใช่ไหม”

คราวนี้ปัณหัวเราะร่วนรับเป็นลูกคู่เขาแทนจะช่วยเพื่อนตัวเล็กที่เริ่มโวยวายอีกครั้ง พวกเขาหัวเราะให้กันแบบนั้น ก่อนทิวาจะเปลี่ยนมายิ้มเฉยๆ มองเพื่อนทั้งสองคุยกันไปเรื่อยระหว่างรออาจารย์เข้ามาสอน ทั้งที่ความคิดของเขาไม่ได้อยู่ที่เรื่องที่เพื่อนของเขาพูดแม้แต่นิดเดียว

เขาอาจจะป่วยจริงๆ อย่างที่เดือนอ้ายมันว่าก็ได้

เพราะถ้าสบายดีจริง

‘ขอโอกาสอีกครั้ง อีกสักครั้งหนึ่ง...ขอให้ได้เจอกันอีก’

เขาคงไม่ได้ยินเสียงไร้ที่มา ไม่ฝันถึงใครคนหนึ่งที่เหมือนอยู่เคียงข้างเขามาตลอดเวลา

ถ้าหากว่ามันเป็นเพียงแค่ความเพ้อฝันของเขาก็คงดี

จะได้เลิกปวดใจทุกเช้าที่ตื่นมาพบว่า เขาคนนั้นไม่มีตัวตนจริงๆ เสียที

 








------------------------------------------------------------------------------------------------------------------











“เบื่อแคนทีนแล้ว เปลี่ยนที่กินได้ไหม”

“ไม่เอา ร้อนจะตาย อย่าเรื่องมากดิ๊ปัณ มีให้กินก็กินไปเหอะ” ปัณเบ้ปาก แต่ก็ยอมเดินตามเพื่อนตัวเล็กไปแต่โดยดี โดยมีทิวาที่ยังวุ่นวายอยู่กับการยัดชีทที่เพิ่งสั่งซีร๊อกซ์มาสำหรับสามคนเข้ากระเป๋าไประหว่างเดิน หวิดจะชนเสา ชนคนอยู่หลายรอบ ลำบากปัณที่ต้องคอยดูและคอยดึงไม่ให้ไปชนจนหัวร้างข้างแตกเข้าเสียก่อนได้กินข้าวกลางวัน ยิ่งช่วงเที่ยงครึ่งที่เป็นเวลาเลิกคลาสของคณะอื่นๆ ด้วยแล้ว จำนวนคนที่อยู่โถงใต้ตึกสินกำที่พวกเขาใช้เป็นทางผ่านไปกินข้าวก็ยิ่งเยอะเป็นพิเศษ

“ระวังหน่อย ค่อยเก็บก็ได้มั้งมึง คนเยอะ”

“เออน่า จะได้แล้วๆ” ทิวาว่า ก่อนจะรูดซิบกระเป๋าแล้วตอบไปด้วย “เนี่ยเสร็จ...เชี่ย!”

“กูยังพูดไม่ทันขาดคำ” ปัณรีบเดินไปรั้งเพื่อนที่เซไปอีกทางเพราะเดินชนคนอื่นให้กลับมายืนตรง แล้วเอ่ยขอโทษคู่กรณีทันที “โทษครับ เพื่อนไม่ทันมอง”

“ไม่เป็นไรๆ”

โชคดีที่เขาไม่ว่าอะไร ปัณจึงรีบลากทิวาให้ออกจากใต้ตึกโดยด่วน ก่อนจะชนคนจนครบทั้งใต้ตึก ไม่วายบ่นไปด้วย “บอกแล้วใช่ไหมว่าให้มองทางก่อนๆ ไม่เชื่อกูไงเดย์”

“จ้าๆ บ่นเป็นคนแก่เลย”

“เออ แล้วมึงฟังไหมล่ะ”

“ฟังสิ”

“แต่ไม่ทำตาม”

ทิวาหัวเราะร่าแล้วรีบวิ่งหนีไปหาเดือนอ้ายที่วิ่งนำอยู่ข้างหน้า ลืมเรื่องเมื่อครู่ไปเสียสนิท ดังนั้นจึงไม่ทันสังเกตเห็นว่า กลุ่มคนเมื่อครู่ที่ตัวเองเพิ่งชนไปนั้น มีใครหยุดยืนมองแผ่นหลังเขาเดินจากไปไม่วางตา

“แม่งเอ๊ย จารย์ศักดิ์ออกข้อสอบยากอีกแหงๆ กูจะเอาอะไรไปตอบดีวะเนี่ย”

“รู้ว่าทำไม่ได้ก็อ่านสิวะ บ่นทำไม”

“อ่านแล้วทำอย่างกับกูจะจำเข้าไปทำข้อสอบได้... ไม่รู้เว้ย! หิวแล้ว ไปกินข้าวๆ”

“คราวหลังก็ขอให้พ่อมึงสอนดิ พ่อวินมึงอะ” ว่าแล้วก็หันไปหาเจ้าของชื่อที่ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ยอมเดินตามมา ไป๋งงนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก เพราะเพื่อนเขาช่วงนี้ก็มีช่วงเวลาเอ๋อๆ เครื่องรวนอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน “วิน! ยืนทำอะไรวะ”

“...เปล่า”

“เปล่าก็รีบมาดิ เดี๋ยวไปหาไรกินไม่ทันคาบบ่ายหรอก”

“เออๆ ไปแล้ว”

ไป๋วาดแขนโอบคอเพื่อนรัก ถามแบบไม่จริงจังนัก “เหม่ออะไรของมึงวะ เจอสาวสวยหรือไง แต่คณะเรายังมีคนที่มึงไม่เคยเห็นด้วยเหรอวะ”

“ไม่มีทาง เขามาเสนอตัวให้คุณมือกีต้าร์แก๊งค์เราออกจะบ่อย มีหรอจะพลาด” แคท

“ไม่ใช่ มั่วล่ะพวกมึง ไม่ได้มองสาวโว้ย!”

“แล้วยืนทื่อเป็นอนุสาวรีย์ทำแป๊ะอะไร”

“...ไม่มีอะไรน่า เลิกเซ้าซี้ ไม่ตอบแล้ว”

“เลี่ยงบาลีตลอด พ่อกู ไม่มีหรอกจะตอบ”

“กูไม่สอนวิชาจารย์ศักดิ์แล้ว ไอ้พวกเหี้ย”

“ขอโทษค้าบ พ่อค้าบ” เวย์รีบโผเข้าไปกอด โวยวายเสียงดังทำเอาคนรอบตัวที่คุ้นหน้าแก๊งค์นี้ดี มองด้วยความขบขัน เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่เวย์โวยวายแบบนี้ต่อหน้าคนเยอะๆ เช่นนี้ โดยคนที่โดนเป็นเป้าสายตาไปด้วยบ่อยที่สุดทำได้แค่ยืนเหม็นเบื่อ เพราะขยับไปไหนไม่ได้

“รำคาญ”

“พ่ออย่าทิ้งลูกก อยู่สอนกันก่อน ลูกไม่อยากเรียกจบพร้อมหมอ!!”

“ไม่อยากก็ปล่อยกู หิวข้าว”

“ปล่อยแล้วจ้ะๆ ไปเหวยข้าวกันเนาะพ่อเนาะ”

“ปะเหลาะเก่ง ไอ้สัส ลูกดีเด่น” แคทว่าแล้วตบหัวคนที่ยิ้มเอาใจท๊อปกลุ่มอย่างไม่รู้จักอาย โดยที่เจ้าตัวก็ดูพอใจกับสมญานามนั่นไม่น้อย

“แน่นอน กูลูกเดียวของพ่อวินนี่หว่า”

“ใครพ่อมึง” วินว่าเสียงเข้ม ใบหน้าบูดบึ้งเสียจนเวย์วิ่งมาเอาใจต่อแทบไม่ทัน

“พ่ออย่าเพิ่งโมโหหิว ไปจ้ะ ลูกพาไปเหวยร้านโปรดพ่อเอง”

“กวนตีน”

ไป๋มองสองเพื่อนซี้ล้อมหน้าล้อมหลังวินอยู่พักใหญ่ หลังถึงร้านข้าวพวกมันก็หันไปสนใจเกม จุ่มหัวชนกันอยู่สองคน ทำให้เขาได้มีโอกาสคุยกับวินอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเพื่อนเขาเข้าโหมดไม่พูดไม่จารอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของอาทิตย์นี้ ทำเอาเขาอดเป็นห่วงไม่ได้

“ไม่เป็นไรจริงๆ เหรอวะ”

“หือ”

“มึงอะ เหม่อบ่อยนะพักนี้ ตอนซ้อมก็เพี้ยนๆ มีปัญหาอะไรก็บอกพวกกูได้นะเว้ย”

“...ไม่มี”

“ปากแข็ง อยู่นี่ก็คบกันมาตั้งกี่ปี คุยได้เกือบทุกเรื่องมึงก็รู้”

วินเงียบไปครู่ใหญ่ จนไป๋นึกว่าเจ้าตัวจะไม่ยอมพูดออกมาเสียแล้ว แต่สุดท้ายก็ยอมพูดออกมาประโยคหนึ่ง

“ช่วงนี้ฝันแปลกๆ ไม่ก็ได้ยินชื่อไม่คุ้นบ่อยๆ”

“ผีหลอก” แคท

“เจ้ากรรมนายเวร” ไป๋

“แดกเยอะแล้วเก็บไปฝันเปล่ามึง พ่อกูชอบบอกแบบนี้ประจำเลยเวลากูฝันแปลกๆ” เวย์

ฟังคำตอบแต่ละคนแล้ววินก็ได้แต่ถอนหายใจ ไม่สร้างสรรค์สักคน ฟังแล้วปวดหัวยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ “แล้วงี้อะนะ อยากให้กูมาปรึกษา ดูแต่ละตัวออกความเห็น ไร้สาระสัสๆ”

“เอ้า ไอ้พ่อเหี้ย มีเพื่อนรับฟังดีกว่าไม่มีป่ะว้า”

“มีแบบนี้กูไม่เล่าให้ใครฟังก็ได้ว้อย”

“ใจร้าย” ว่าแล้วเวย์ก็แกล้งบีบน้ำตาไปด้วย เรียกความหมั่นไส้เป็นฝ่ามืออรหันต์รอบวงจนหลบแทบไม่ทัน

แต่ก่อนที่เรื่องจะออกทะเลไปไกลกว่านี้ ไป๋ก็ดึงมันกลับมาเสียก่อน “แล้วตกลงมันเป็นฝันแบบไหน บอกเหตุหรือบอกหวย ขอแบบละเอียดหน่อย”

“ไม่มีตัวเลขให้พวกมึงไปตีหวยหรอกนะ...แต่ก็ไม่คล้ายบอกเหตุเท่าไหร่ว่ะ”

“เอ้า แล้วมันยังไงวะ”

“...ฝันเห็นตัวเองกับคนที่ไม่มีหน้า”

“ก็กูบอกไปแล้ว ว่าผีหลอก มึงไปเยี่ยวรดศาลที่ไหนแล้วลืมไหว้อะป่าว”

“กวนตีน ไอ้แคท กูยังพูดไม่จบ!” เกือบจะปาขวดน้ำไปหาคนที่หัวเราะร่าแล้ว หากไป๋ไม่ห้ามเสียก่อน “กูหมายถึงหน้าเขามันเบลอๆ เห็นแต่ปากเขายิ้ม เขาพูดอะไรสักอย่างกับกู แต่ไม่ได้ยินอะไรสักอย่าง ฝันแบบนี้มาพักใหญ่แล้ว มันเลยอดสงสัยไม่ได้ว่าใคร”

“แล้วมึงคุ้นๆ บ้างไหม คนรอบตัวมึงเงี้ย”

“ไม่มีเลย ...แต่ในฝันรู้สึกเหมือนกูกับเขารู้จักกันมานานมากแล้ว”

“ยังไงวะ ฟังไปฟังมาชักงง”

วินนิ่งคิดไปถึงเมื่อกี้ที่โดนชนจากคนที่ไม่รู้จัก คราที่จะหันหลังจากไปเหมือนทุกครั้ง แต่พอได้ยินชื่อจากปากคนที่ขอโทษเขา ก็อดหันไปมองไม่ได้ แม้จะเห็นแค่แผ่นหลังก็ตาม

แต่ก็คุ้นเคย

เหมือนคนในฝันจนน่าใจหาย

“รู้อย่างเดียว กูเรียกเขาว่าเดย์”

“เอาล่ะ ได้เวลาใช้ความหน้าหม้อของมึงช่วยพ่อมึงแล้วไอ้เวย์ ตามหาดิวะผู้หญิงคณะไหนในมอเราชื่อเดย์ ปฏิบัติ!” แคทว่า แต่ก่อนจะได้ค้นหา พวกเขากลับต้องชะงักและตกใจไปกับประโยคต่อมาของวินเข้าเสียก่อน

“ใครว่าผู้หญิง”

“ยังไงพ่อ หรือพ่อจะหมายถึงคนในฝันพ่อเป็นหนุ่มเรอะ” เวย์ว่ากึ่งล้อเล่น แต่สีหน้าขัดเขินไม่เป็นธรรมชาติของวิน กลับกลืนรอยยิ้มล้อเลียนของเขาไปจนหมด จนเหลือแต่ความตกใจเท่านั้น

“ก็...เออ”

“...”

“...เงียบทำเหี้ยอะไร” สายตาประหลาดสามคู่ที่มองมา ทำเอาวินเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข ได้แต่หลบสายตาถามเสียงขุ่น

“พ่อ...”

“อะไร!”

“รู้จักกันมาก็นาน นึกว่าพ่อจะหาแม่ใหม่ให้หนู หนูอุตส่าห์หาคอนแทคสาวๆ มาถวาย” เวย์

“ไอ้เราก็นำเหนอสาวสวยรอบมอ” แคท

“ที่ไหนได้ พ่อตามหาพ่อคนที่สองให้ต่างห...โอ๊ยย!! ไอ้เหี้ย แก้วเยตินะเว้ยไม่ใช่นุ่น ปามาได้!!”

“หุบปาก!”

“เขินแล้วอย่าลงไม้ลงมือสิว้อย หัวกู แตกแล้ว แตกแน่!!”

“...โทษ มือไวไปนิด”

“ไม่นิดแล้ว! มึงมันพ่อเหี้ยจริงๆ ด้วย ไอ้เหี้ยวิ๊นนน!!!!”

 






------------------------------------------------------------------------------------------------------------------











“มองอะไรของมึงวะเดย์”

“เปล่า มองศาลเฉยๆ”

เขาสะดุ้งหันกลับไปมองเพื่อนทั้งสองคนที่เพิ่งกลับมาจากไปเซเว่นหลังมอ หลังจอดรถเรียบร้อย เดือนอ้ายก็ยื่นไอศกรีมรสชาติเปรี้ยวหวานมาให้แล้วยืนจ้องเป็นเพื่อนเขาไปด้วย “มามองศาลเก่าทำไมวะ”

“ศาลเก่า?”

“อือ ศาลเก่า”

“...”

“อ้อ ตอนนั้นมึงไปเที่ยวเชียงใหม่กับแม่มึงนี่เนอะ” มันว่าแล้วเอื้อมมือไปเคาะที่หลังคาศาลแบบไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน จนเขาอดเสียวแทนไม่ได้ หากมันไม่ได้เป็นศาลเก่าอย่างที่คิด แต่ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวนอกเสียจากดวงตาแวววาวในความมืดคู่หนึ่งที่เจิดจ้าอยู่ในมุมมืดของตัวศาล “ศาลมันเก่าแล้ว มีคนมาทักนู่นนี่ ฝันว่าเจ้าที่ไม่สบายตัว คับแคบอะไรก็ไม่รู้ เลยทำพิธีย้ายไปตั้งที่อื่นแทนตอนมึงไม่อยู่หอ ที่ใหม่ก็ตั้งอยู่ตรงรั้วหลังหอ ใกล้ๆ สวนกล้วยที่มึงกลัวผีหลอกนั่นแหละ เพราะงั้นไม่แปลกที่มึงไม่รู้ว่าเขาย้ายแล้ว”

“แล้ว...”   ทิวาชี้ไปยังตาแวววาวในศาลแล้วเงียบไป เป็นเชิงถาม ซึ่งคราวนี้คนที่ตอบเป็นปัณที่เดินมาสบทบ หลังจากที่เห็นว่าสองเพื่อนซี้ไม่เข้าหอมากันเสียที

“ตาไอ้ขาว เจ้าที่ตัวใหม่ ชอบแอบมานอนประจำแหละ”

ไม่ทันขาดคำ แมวสีขาวสะอาดตาก็กระโดดออกจากศาลพุ่งมาคลอเคลียที่ขาของเขา ก่อนจะวิ่งไปยังผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากหอของพวกเขาทั้งสามคนไม่มากนัก เขาคนนั้นอยู่ในชุดสีขาวสะอาดตากับกางเกงสแลคสีเข้ม ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นนิสิตหรืออาจารย์หน้าใหม่ของมหาลัย แต่พอมองอีกทีกลับรู้สึกคุ้นๆ หน้า ทว่าทิวากลับไม่รู้ว่าตัวเองไปคุ้นจากที่ไหน รู้เพียงแต่รอยยิ้มจางๆ และอากัปกิริยาอ่อนโยนยามลูบเจ้าแมว คล้ายจะสะกิดความคุ้นเคยบางอย่างในใจเขา เขามองอยู่นานมาก หากไม่ใช่เพราะเดือนอ้ายสะกิด คงจะไม่ละสายตาออกอย่างแน่นอน

“อีกแล้วนะเดย์ มองอะไรอีกล่ะคราวนี้”

“มองเจ้าของแมวไง”

“เจ้าของแมว” เดือนอ้ายทวนคำงงๆ ยื่นหน้ามองไปมา “ไหนของมึง”

“นั่นไง ยืนอยู่ตรงนั้น...” ทิวารีบชี้ไปยังจุดที่เขาเห็นผู้ชายคนนั้น แต่ตรงบริเวณที่ว่ากลับว่างเปล่า กลายเป็นความเงียบที่น่าอึดอัดครู่ใหญ่ ทั้งทิวาและเดือนอ้ายหันมามองหน้ากันเอง เพราะจากสีหน้าและน้ำเสียง เดือนอ้ายเชื่อว่าเพื่อนตัวเองพูดจริงอย่างแน่นอน แต่เมื่อไม่พบก็คิดได้ไม่กี่อย่าง แถมไอ้ไม่กี่อย่างที่ว่า ยังเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่คิดอยากจะเอออย่างยิ่ง ไม่เว้นแม้แต่ปัณที่ประสาทแข็ง ก็พลอยรู้สึกว่าบรรยากาศสลัวๆ ยามพระอาทิตย์ตกของหน้าหอของพวกเขาชักน่ากลัวอย่างประหลาด

“เข้าหอไหม” ปัณ

“อืม รีบเข้าเถอะ” ทิวา

“เดย์ มึงว่า...” เดือนอ้าย

“ว่า”

มันพูดเสียงทื่อๆ ทั้งยังไม่หันมามองหน้าเขาเสียด้วยซ้ำ “เมื่อกี้ที่มึงบอกว่าเห็น ใช่ผีป่ะ...”

“สัส! จะพูดออกมาทำซากอะไร ไอ้เวรอ้าย!”

“ก็กูสงสัย!!”

บรู๋วววววว

“...”

“...”

ปัณถอนหายใจกับการทะเลาะไม่ดูเวลาของสองเพื่อนซี้ จึงรีบลากสองหน่อที่ยืนแข็งเป็นก้อนหินไปแล้วกับบรรยากาศน่ากลัวรอบกายและเสียงหมาหอนที่ดังพอดิบพอดีนั่น ระหว่างลากก็คิดไปด้วยว่าไม่ใช่หรอก ไม่มีทางเป็นไปได้

เพราะถ้าเห็นผีจริงๆ เขาก็คงเห็นด้วยอีกคน

เพราะเมื่อกี้ตอนที่สองคนนั้นทะเลาะกัน ผู้ชายคนนั้นยืนยิ้มอยู่ในจุดเมื่อครู่ที่เคยว่างเปล่าจริงๆ

 









------------------------------------------------------------------------------------------------------------------









“เขาจำไม่ได้จริงๆ ด้วย”

มือที่ลูบขนนุ่มนิ่มสีขาวสบายตาชะงักไปครู่ใหญ่ ก่อนเสียงถอนหายใจจะดังขึ้น จนเจ้าแมวตัวน้อยจำต้องเงยหน้ามองเจ้าของของมันด้วยแววตาสงสัย ดวงตาสองสีของมันเปล่งประกาย แม้ว่ารอบกายของพวกเขาจะมีเพียงไฟจากถนนในมหาลัยเพียงไม่กี่ดวงก็ตาม งดงามไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่าจะผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานแค่ไหนก็ตาม

“ถ้าครั้งนี้เขาผ่านไปได้อย่างปลอดภัยคงจะดีเนอะ”

มันร้องตอบเบาๆ เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากคนที่อุ้มมันอยู่ ทั้งสองคนหันหลังเดินจากไป แล้วหายไปท่ามกลางความมืดรำไรยามค่ำคืน ราวกับไม่เคยมีใครเคยเดินบนถนนสายนี้ ทิ้งไว้แต่ไฟถนนติดๆ ดับๆ สองสามดวงก่อนแสงมันจะอ่อนจาง สุดท้ายก็ดับไปในที่สุด

คล้ายว่านั่นคือจุดสตาร์ทที่แท้จริงของทางเลือกใหม่

และครั้งนี้เขาได้ภาวนาสุดหัวใจ หวังว่ามันจะไม่จบเช่นเดิม





ตอนนี้ฉันจะเป็นฝ่ายวิ่งไปหาเธอเอง

เพราะงั้นเชื่อฉันได้ไหม ว่าทุกช่วงเวลาของฉัน

มันมีไว้เพื่อเธอเพียงคนเดียว



(โปรดติดตามตอนต่อไป)

-------------------------------------------------------------------------------------------------------

จริงๆ ช่วงนี้มีเรื่องกังวลเพิ่มเยอะมาก จนค่อนข้างรู้สึกแย่

อันที่ก็อยากทราบความคิดเห็นคนอื่นนอกจากตัวเองด้วยว่า ที่แต่งอยู่ตอนนี้มีข้อผิดพลาดหรืออะไรที่สามารถแก้ไขได้

เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าจะไปขอให้ใครช่วย555 ถ้าหากพอมีเวลาอยากรบกวนทุกคนบอก แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ แค่แวะเข้ามาก็ดีใจแล้ว

ขอบคุณเสมอมา

NAVY
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ก่อนตกหลุมรัก (อีกครั้ง) ★ 15/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-01-2020 02:23:08
 :pig4: :pig4: :pig4:

ใครคือคนที่เดย์เห็นที่ศาลน้อ  จำไม่ได้หล่ะ  ตัวละครเยอะจัด   สงสัยต้องย้อนกลับไปอ่านใหม่อีกรอบ
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ก่อนตกหลุมรัก (อีกครั้ง) ★ 15/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 19-01-2020 14:03:04
นั่นใช่เปรมหรือเปล่า น่าจะใช่นะ ย้อนกลับมาครั้งนี้ทุกอย่างมันต้องไม่เหมือนเดิมแน่ ๆ แล้วเปรมคือคนที่ขับรถชนเดย์ใช่ไหมถึงได้ต้องย้อนกลับมาทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 0.1 ★ 20/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: KarmaNavy ที่ 20-01-2020 21:45:31
เพราะสำหรับฉัน


โลกที่ไม่มีเธอน่ากลัวเหลือเกิน











ตกหลุมรักระยะที่ 0.1



 

“เดย์ จะไปไหน คอนเสิร์ตอยู่นี่”

“อ...เออ คนมันเยอะนี่หว่า กูก็หลงทางบ้างอะไรบ้าง” เขาว่าแล้วรีบวิ่งไปหาเดือนอ้ายที่เท้าสะเอวรออยู่อยู่อีกฝั่งของถนน ก่อนจะมันจะผลักหัวเขาหนึ่งที “อยู่มาจนจะจบแล้วมึงเคยจำทางในม.ได้สักที่ไหมเหอะ จารย์เรียกไปหาตึกวิทย์ มึงเดินไปแพทย์ เรียกไปตึกกลาง มึงไปอาคารสำนักงาน กูละเชื่อมึงจริงๆ”

เขาหัวเราะกับเรื่องเซ่อซ่าของตัวเอง ขณะสายตาสอดส่องไปทั่วงานราวกับกำลังมองหาใครอยู่ ซึ่งที่จริงแล้วเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำแบบนี้ไปทำไม ในงานเต็มไปด้วยผู้คนที่ชอบวงวีอาร์เหมือนกันกับเขาเต็มไปหมด หากแต่ลึกๆ เขากลับรู้สึกว่าคนพวกนี้ไม่ใช่คนที่เขารอ

ใครคนนั้นที่เขาตามหา ไม่ได้อยู่ในกลุ่มของคนเหล่านั้น

“นี่ขนาดมาก่อนเริ่มตั้งครึ่งชั่วโมงคนยังเยอะเป็นหนอน แล้วอย่างนี้จะไปด้านหน้าได้หรือวะ” เดือนอ้ายว่าพลางสอดส่ายสายตาหมายจะหาลู่ทางเพื่อไปอยู่ด้านหน้าสุดให้ได้ มีปัณยืนอยู่ข้างๆ มองการกระทำของคนตัวเตี้ยกว่าตัวเองถึงช่วงศีรษะกระโดดไปมาจนอ่อนใจ เลยเป็นฝ่ายช้อนเข้าที่ใต้รักแร้ของเดือนอ้าย ก่อนยกตัวอีกฝ่ายขึ้นสูงเหมือนเป็นเด็กๆ

“เชี่ยยย”

“เห็นชัดยัง”

“ปล่อยกูลง ไอ้ปัณ!”

“ก็เห็นกระโดดอยู่นั่นแหละ กูเลยช่วยไง เห็นชัดไหม” ขาของเดือนอ้ายขยับไปมา ดิ้นรนหมายจะลงไปสู่พื้นให้ได้ ปากก็โวยวาย ทำเอาคนมองไปทั่วบริเวณ ส่วนทิวาก็มองภาพนั้นแล้วหัวเราะเหมือนคนบ้า

“โอ๊ยย กูจะกระโดดเป็นกบหรือจะเตี้ยเท่าหมา จะทำอะไรก็เรื่องของกู ไม่ต้องมายุ่ง ปล๊อย!!”

ปัณถอนหายใจแต่ก็ยอมปล่อยอีกคนลงแต่โดยดี แถมก้มหัวบริการให้ทันทีเพราะรู้ว่าเดือนอ้ายอยากจะตีเขาเป็นแน่ “คนเขาหวังดี”

“ไม่รับว้อย แม่ง เล่นไม่รู้เรื่อง” เดือนอ้ายว่าแล้วดึงหูคนสูงกว่าเป็นการลงโทษ ก่อนจะกลับไปมองทางและเริ่มเดินไปยังแถวหน้าสุด ไม่เสียเวลากระโดดไปมาให้เพื่อนเขามองดูแล้วหัวเราะอีกแล้ว

ทิวาเดินตามทั้งคู่ไปจนกระทั่งอยู่เกือบด้านหน้าสุดของกลุ่มคน มองกลุ่มวงดนตรีที่ตัวเองเป็นแฟนคลับมาตั้งแต่เริ่มตั้งแบนด์แรกๆ ด้วยรอยยิ้มเปื้อนเต็มแก้ม โดยเฉพาะยามที่มองมือกี้ต้าร์คนโปรด ดวงตาของเขาคล้ายจะเปล่งประกายมากกว่าปกติ ไม่ปฏิเสธหรอกว่าดีใจและมีความสุขมากๆ ที่ได้เห็นนักร้องที่ชอบยืนอยู่ตรงหน้า

“เกือบไม่ทันแล้วไหมล่ะ กูบอกแล้วให้รีบออก พวกมึงอะเอาแต่ชักช้า”

“ใครกันแน่ที่ช้า มึงนั่นแหละ โวยวายว่ากินยังไม่เสร็จจะรีบไปตายที่ไหน ที่นี้มาโบ้ยพวกกู สารเลว”

“ใคร มั่วแล้ว ไม่ใช่กู!”

เสียงโวยวายจากด้านซ้ายมือเรียกให้ทิวาหันไปสนใจอย่างเสียไม่ได้ ด้วยเพราะเป็นกลุ่มที่เพิ่งเข้ามาใหม่จากการเบียดแทรกจากด้านหลัง บางช่วงทิวาก็ได้แต่แอบยิ้มกับสีหน้าตลกๆ ของหนึ่งในนั้นที่ยังโวยวายไม่เลิก เมื่อไม่สามารถเถียงเพื่อนคนอื่นที่มาด้วยกันไม่ได้

มันตลกดีและ...คุ้นเคยอย่างประหลาด

“เลิกโวยวายสักที คอนจะเริ่มแล้วมึงช่วยหุบปากมึงด้วยไอ้เวย์ กูมาฟังเพลง ไม่ได้มาฟังมึงโวยวาย”

“มึงเสียงดังกว่ากูอีกแคท”

“ทั้งสองตัวนั่นแหละ เสียงดังโว้ย”

หนึ่งในนั้นปรามเพื่อนเสียงแข็งก่อนจะหันมาเห็นสายตายิ้มๆ จากเขาพอดี คิ้วจึงขมวดเข้าหากันเหมือนจะสงสัยว่าทำไมเขาถึงมอง ทำเอาหลบตาแทบไม่ทัน แต่ทั้งๆ ที่ละสายตากลับไปมองบนเวทีเหมือนเดิมแล้วแท้ๆ แต่ทำไมก็ไม่รู้ถึงได้ยังรู้สึกว่าคนคนนั้นยังมองมาอยู่เรื่อยๆ

เหมือนว่าจับตามองเขาอยู่เลยก็ว่าได้

ไฟรอบๆ เริ่มหรี่ลงจนกระทั่งมีเพียงแสงไฟบนเวทีที่เจิดจ้าที่สุด จนทำให้ชั่วพริบตาแรกดวงตาเขาพร่าจนมองใบหน้าของนักร้องบนเวทีไม่ชัด แต่หูยังได้ยินเสียงดนตรีชัดเจน ริมฝีปากขยับตามเนื้อเพลงที่ถูกขับร้องโดยนักร้องที่เขาชอบมากที่สุด

ทิวาชอบช่วงเวลานี้ ที่ตัวเองได้พบกับสิ่งที่ชอบ ได้ฟังในสิ่งที่หลงรัก ชอบช่วงเวลาที่หลงลืมทุกสิ่งอย่างที่ทำให้หัวใจหม่นหมอง ปล่อยหัวใจตัวเองให้ล่องลอยไปกับบทเพลง แม้มันจะคล้ายใช้เวลาไปอย่างเลอะเลือนที่สุดท้ายก็ต้องกลับไปพบความจริงที่ไม่ชอบก็ตาม

ทั้งๆ ที่เป็นแบบนั้น

‘ชอบวีอาร์เหรอ’

“เดย์”

เสียงของใครคนนั้นก็ยังดังก้องคล้ายจะทะลุผ่านความเลอะเลือนนั้นให้เขาพบกับสิ่งที่เมินเฉยตลอดมา

“ร้องไห้ทำไม”

เสียงของเดือนอ้ายทำให้ทิวาได้สติ หลังเอามือปาดแก้มที่ชื้นไปด้วยน้ำตาก็ได้แต่สงสัยว่าทำไมในช่วงเวลาที่ยินดีเช่นนี้ เขากลับร้องไห้ออกมา ทั้งที่ยืนอยู่ต่อหน้านักร้องที่ชอบที่สุด ยืนฟังเพลงที่ชอบมากไปพร้อมกับเพื่อนที่เขาสนิทที่สุดทั้งสองคน เขาอยู่ในสถานที่ที่เขาคิดว่าเขาจะต้องมีความสุขไม่แพ้ใครในโลก แต่ทำไมในส่วนหนึ่งของหัวใจเขากลับยังปรากฏช่องโหว่ที่ไม่ว่าใครก็เติมมันให้เต็มไม่ได้เสียที

เสียงเล็กๆ จากช่องโหว่นั้นมักจะสะท้อนก้องเบาบางบอกว่าต้องเป็นคนคนนั้นเท่านั้น

แล้วคนนั้นคือใคร

ถ้าเขามีตัวตนจริงแล้วทำไมจึงไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าเขาเสียที

“ไหวไหมมึง เป็นอะไรวะ”

“ไม่เป็นไร”

“ขนาดนี้มึงยังจะว่าไม่เป็นอะไรอีกเหรอ” เดือนอ้ายว่าเสียงดังขึ้น ถึงจะไม่สามารถดังแข่งกับเสียงดนตรีบนเวที แต่กระนั้นก็มากพอให้คนรอบตัวพวกเขาหันมามองได้ “มึงแปลกไป แต่มึงก็ยังเอาแต่ยิ้ม ยิ้มทำเหี้ยอะไรวะเดย์ ไม่โอเคก็คือไม่โอเคสิวะ มึงก็แค่ร้องออกมา”

“...”

“เหมือนที่มึงกำลังทำอยู่ตอนนี้ มันยากตรงไหนวะ”

“...”

“กลับหอกันไหม วันนี้คงดูไม่สนุกแล้ว” ปัณก้มหน้าลงมากระซิบ เมื่อเห็นว่าสายตาเริ่มจับจ้องมาที่พวกเขามากขึ้นกว่าตอนแรกทันทีที่ทิวาก้มหน้าซุกที่ไหล่เพื่อนตัวเล็กและหลุดสะอื้นจนไหล่สั่น เดือนอ้ายเองก็สังเกตเห็นเช่นกัน จึงตัดสินใจโอบเพื่อนสนิทที่ตาแดงเหมือนกระต่าย ทั้งยังร้องไห้จนหน้าตาน่าเกลียดค่อยๆ เบียดแทรกคนจำนวนมากไปยังทางออก

“เขาทะเลาะกันเหรอวะ”

“ไม่รู้ อยู่ด้วยกันจะรู้ไหมล่ะ”

“วิน มึงมองตามเขาแบบนั้น มึงรู้เหรอวะว่าเขาร้องไห้ทำไม”

“...”

“วิน? เฮ้ย! มึงจะไปไหนวะ” เสียงนั้นคล้ายดังมาจากที่ไกลๆ สำหรับเจ้าของชื่อที่ถูกร้องเรียกเสียแล้ว วินไม่สนใจเพื่อนตัวเองที่กำลังร้องหาอยู่ แต่กลับพยายามเบียดแทรกตามคนทั้งสามไปอย่างไม่ลดละ แต่น่าเสียดายที่เขาตัดสินใจช้าไป จนทำให้เมื่อออกมาถึงทางออกก็ไม่พบใครแล้ว ถึงแม้ว่าคนจะบางตา แต่คล้ายกับว่าคนบนฟ้าไม่ประสงค์ให้เขาได้พบกับคนคนนั้น เขาจึงทำได้แต่มองความว่างเปล่าและคนแปลกหน้าที่เดินผ่านตัวเองไปเท่านั้น

ในใจนึกโทษตัวเองที่เอาแต่ยืนมอง ไม่ยอมเดินตามออกมาตั้งแต่แรก จนทำให้เสียโอกาสไป

เขาไม่รู้หรอกว่าคนนั้นจะเกี่ยวข้องอะไรกับคนในฝันของตัวเองที่ฝันติดต่อกันมาหลายต่อหลายคืน สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกว่าคนคนนั้นแตกต่างจากคนอื่นและเขาต้องไปหาให้ได้ คงเป็นแว่บแรกที่เห็นว่าใบหน้าที่เคยมีรอยยิ้มกลับค่อยๆ เปียกชื้นจากรอยน้ำตานั่น

เขาไม่ชอบและไม่อยากเห็น

ไม่อยากเห็นเขาคนนั้นร้องไห้

มือข้างขวาขยำเสื้อที่อกข้างซ้ายจนยับย่นไม่เหลือเค้าเดิม บีบเค้นราวกับที่อยู่ในมือไม่ใช่เสื้อที่สวมแต่เป็นหัวใจตัวเอง ลงโทษที่มักจะช้าเกินไปครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้จักจำเสียที

 











---------------------------------------------------------------------------------------------









บางครั้งการไม่มีเหตุผลอาจเป็นเหตุผลที่ดีที่สุด เมื่อถูกถามถึงการกระทำที่กระทำลงไป

นี่อาจจะอธิบายสถานการณ์ของเขาตอนนี้ได้ดีที่สุด...ละมั้ง

ทิวาเงยหน้ามองหน้าเวทีอีกครั้งในช่วงเวลาเดิมกับเมื่อวาน เว้นเสียแต่ว่าวันนี้เขายืนอยู่เพียงลำพัง ไม่มีเพื่อนสนิททั้งสองยืนฟังเพลงเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ เพราะทั้งสองคนนั้นต้องรีบกลับบ้านโดยด่วน ทิ้งให้เขาอยู่ที่หอเพียงลำพังจนเกือบฟุ้งซ่าน สุดท้ายก็ได้แต่พาตัวเองเดินมาเรื่อยๆ กระทั่งมาอยู่ในงานอีกครั้ง

เมื่อวานหลังจากที่ออกจากคอนเสิร์ตไป แน่นอนว่าทั้งระหว่างทางกลับหรือกระทั่งถึงที่หอแล้ว เพื่อนทั้งสองก็ยังซักถามเขาไม่หยุดว่าทำไมถึงร้องไห้ ช่วงนี้เขาเป็นอะไรและทำไมถึงได้ชอบทำหน้าเศร้าๆ อยู่แทบตลอดเวลา ทว่าเขาไม่อาจตอบได้ ไม่ใช่ว่าไม่อยากตอบ แต่เขาไม่มีคำตอบอะไรจะบอกแก่ทั้งสองคนได้เลย

เขาเองก็ทราบดีว่าตัวเองแปลกไป ทั้งยังเปลี่ยนไปโดนสิ้นเชิง แต่กลับไม่รู้ต้นตอและทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คล้ายว่าในหัวมีบางอย่างคอยสกัดกั้นไม่ให้เขาได้รู้ในสิ่งที่สงสัย

นานวันเขามันก็เริ่มสะสมจนทำให้เขาทั้งหงุดหงิดและอึดอัดในใจจนแทบหายใจไม่ออก

โดยเฉพาะในช่วงที่หลับฝัน คล้ายว่าความฝันนั้นจะยาวนานมากขึ้น ภาพที่เขานั่งข้างใครบางคนที่ตอนนี้ก็ยังไม่เห็นใบหน้า ไม่มีคำพูด ไม่มีการเคลื่อนไหวเหมือนเป็นเพียงภาพนิ่ง ทว่าในความเงียบนั่นกลับทำให้เขาทั้งคิดถึงและอบอุ่นใจ หลายครั้งที่พยายามบังคับให้ตัวเองในฝันหันไปมองคนคนนั้นให้ได้ แต่พอทำแบบนั้นทีไรสุดท้ายเขาก็พลันสะดุ้งตื่นไปเสียทุกรอบ

จบลงที่ไม่รู้และไม่เห็นอะไรเหมือนเคย

วันนี้อันที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากออกมาดูคอนนักหรอก เมื่อวานเขาสภาพค่อนข้างแย่เลยทีเดียว มันคงดูไม่จืดเท่าไหร่ถ้ามีคนจำได้ แต่ห้องที่เงียบจนเกินไปมันทำให้เขาฟุ้งซ่านเกินกว่าจะอยู่คนเดียวได้ จึงทำได้แต่มายืนอยู่ที่นี่ อยู่ท่ามกลางเสียงอึกทึกจนไม่มีความเป็นส่วนตัว ให้เสียงเหล่านั้นกลบความอ้างว้างและเงียบเหงาส่วนหนึ่งในใจเขา

หลายครั้งระหว่างที่รอเวลา สายตาเขามักไปตกอยู่ที่คู่รักหลายคู่ที่เดินเคียงกันมาในงาน มองรอยยิ้ม มองความสุขที่ต่างคนต่างมอบให้กันแล้วนึกอิจฉาในใจอย่างช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เขาโสดละนะ อีกทั้งไม่เจอใครที่ทำให้เขาอยากมอบหัวใจให้เลย

ไม่ใช่ว่าสเปคสูงหรือเลือกมาก เพียงแต่เขาเป็นพวกที่ถ้าปักใจไปแล้ว ก็จะยึดติดกับสิ่งเหล่านั้นไปตลอด เรื่องเกี่ยวกับความรักก็เป็นหลายๆ เรื่องที่เขายึดติดเช่นกัน เช่นว่า สำหรับเขาแล้ว มากกว่าการรักกันหมดใจ สิ่งที่เขาต้องการจากคนที่รักคือคนที่ทำให้เขารู้สึกว่าต้องเป็นคนนี้เท่านั้น คนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะเจิดจ้าและเป็นคนเดียวที่เขามองหาเจอท่ามกลางกลุ่มคนมากมาย คนที่แม้จะทำให้เสียใจมากมายเพียงใด เขาก็ยังรู้สึกคุ้มค่าที่จะรัก

ใครคนนั้นที่ยังไม่ปรากฏตัว แต่เขากลับเชื่อลึกๆ ว่ามีตัวตนอยู่คนนั้น

บางทีอาจจะปรากฏตัวพรุ่งนี้ มะรืนนี้ บางทีอาจจะเป็นเดือนหน้าหรือปีหน้า

ไม่ก็อาจจะเป็น

“เดย์...”

ชั่วพริบตาหนึ่งที่เขาเผลอกระพริบตาและลืมตาขึ้นมาพบกันก็เป็นได้

“...”

คนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาส่งเสียงเรียกเขาด้วยน้ำเสียงแสดงความไม่มั่นใจอย่างชัดเจน โดยเฉพาะสีหน้าที่มีแต่ความสับสนนั่น กระนั้นก็ยังยืนอยู่ไม่ยอมจากไปไหน ส่วนเขาก็ทำได้แต่มองสบเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย คล้ายจะค้นหาอะไรบางอย่างที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

แต่เขาชอบดวงตาคู่นี้ ชอบอย่างไม่มีเหตุผล

และการปรากฏตัวของอีกคนนั้น ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวด้วยความดีใจจนแทบทะลุออกจากอก

“เรา...รู้จักกันด้วยเหรอ”

“...ไม่รู้เหมือนกัน”

“...”

“แต่...” คนตรงหน้าเงียบไปนานมาก กว่าจะยอมพูดขึ้นมาอีกประโยค “...รู้แค่ต้องมา”

“...”

“แล้วก็จะไม่ให้หายไปไหนแล้ว”

 







-------------------------------------------------------------------------------------------------









ผู้ชายคนนั้นพาเขาเดินออกมาจากคอนเสิร์ตแล้วจบลงที่แถวหน้าร้านสะดวกซื้อ ในมือของพวกเขามีไอศกรีมคนละแท่ง ยืนกินเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาสักประโยค ทว่ากลับไม่มีความรู้สึกอึดอัดหรือต้องพยายามหาเรื่องมาพูดเพื่อสลายความเงียบแต่อย่างใด ราวกับเคยชินและสบายใจกับความเงียบนี้ที่อยู่ระหว่างกัน ทิวาชอบความรู้สึกเช่นนี้

และอยากให้มันดำเนินแบบนี้ไปนานๆ

“เดย์”

“ว่า”

“ชื่อเดย์เหรอ”

“อืม หรือจะเรียกทิวาก็ได้ แต่อันนี้ชื่อจริงนะ”

“...”

“แล้วชื่ออะไร” เขาว่า ขณะหันไปมองอีกคน “รู้ชื่อแค่ฝ่ายเดียวแบบนี้ไม่แฟร์เลย”

ใบหน้าของอีกคนเปื้อนรอยยิ้มที่ทำให้ใจเต้นผิดจังหวะ ลมช่วงค่ำคืนพัดโชยหอบเอากลิ่นสดชื่นมายังพวกเขา พัดจนเส้นผมนุ่มของคนตรงหน้าปรกดวงตาคู่สวยที่ทิวาชอบมอง จนอดเอื้อมมือไปปัดออกไม่ได้ แม้จะรู้ดีก็ตามว่ามันไม่ควร

แต่ตอนที่ปัดเส้นผมแล้วมองสบดวงตา ตอนที่อีกคนเอามือมาจับมือของเขาไว้เหมือนจะห้าม ในใจของทิวาพลันมีกระแสไฟนับหมื่นสายปั่นป่วนจนทำได้แต่หลบตา ยิ้มแก้เก้อตอนที่พยายามดึงมือออกแต่ไม่สำเร็จ

“มาวิน” อีกคนพูด “เรียกแค่วินก็ได้”

“อ่อ”

“...”

“แล้ว...เมื่อไหร่จะปล่อยมือ”

วินยิ้ม ถามปนเสียงหัวเราะ “แล้วจับไม่ได้หรือไง”

“มันคงไม่ดีเท่าไหร่มั้ง มาจับมือกันแบบนี้” ผู้ชายกับผู้ชายนะเห้ย! ปกติคนเขาเลี่ยงกันไม่ใช่หรือไง

“แล้วยังไง”

ทิวาหน้าบูด เลิกดึงมือตัวเองจากอีกคน เอนพิงขอบปูนด้านหลังกัดไอศกรีมคำสุดท้ายในมืออีกข้างไปด้วย “ไม่ยังไง อยากจับก็จับไป ไม่เถียงแล้ว”

“...”

“ทำไมถึงบอกว่าจะไม่ให้หายไปแล้ว”

ทิวาโยนไม้ไอศกรีมลงถังขยะ แม้จะไม่มองหน้า แต่ความจริงแล้วเขาค่อนข้างคาดหวังกับคำตอบจากวินเป็นอย่างมาก ต่อให้พยายามซ่อนมากแค่ไหน ทว่าเขารู้ดีว่าอีกคนต้องรู้แน่ๆ แค่ไม่พูดออกมาเท่านั้นแหละ

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้เชื่อเช่นนั้น มันเป็นไปโดยจิตใต้สำนึก รวมถึงเรื่องที่เดินตามคนที่เพิ่งมาต้อยๆ แบบนี้ก็ด้วย

เขาแค่มั่นใจว่าคนคนนี้จะไม่มีวันทำร้ายเขา ก็เท่านั้นแหละ

“ไม่รู้เหมือนกัน”

“อ้าว”

“ก็ไม่รู้นี่ ...รู้แค่ว่าต้องพูดไปแบบนั้นเท่านั้น”

“...”

“ไม่อยากเสียใจทีหลัง ถ้าไม่พูดออกมา”

“...มีอะไรต้องเสียใจนักหนา แค่คนไม่รู้จักกันเท่านั้นเอง”

“จริงเหรอ”

“หรือไม่จริง?”

“...ก็จริง” วินตอบกลับมาพร้อมถอนหายใจ “ยังไม่ถึงวันเลยด้วยซ้ำที่ได้คุยกันแบบนี้ จะเอาอะไรไปเสียใจ”

“แต่มันก็เป็นไปแล้ว”

“...”

“เมื่อวานร้องไห้ทำไม”

คราวนี้ทิวาสะดุ้งหันไปมองพร้อมสีหน้าตกใจสุดขีด คลื่นความร้อนเริ่มกระจายเต็มแก้มจนรู้เลยว่าหน้าตัวเองต้องแดงมากแน่ๆ สภาพเขาเมื่อวานดูไม่ได้เลย เขารู้ตัวดีว่าเวลาตัวเองร้องไห้มันแย่ขนาดไหน แต่ไม่แย่เท่ากับที่ว่ามีคนเห็นเมื่อวานแล้วยังเข้ามาทักเขาหน้าตายเฉยเช่นนี้

เวรเอ๊ย “เห็นด้วยเหรอ!”

“ก็เมื่อวานยืนอยู่ข้างๆ ตลอด จะไม่เห็นได้ไง”

“โอ๊ย แม่ง! ลืมได้ไหม ลบๆ ออกไปหน่อย” ทิวากุมหัว จนผมยุ่งเหยิงไปหมด ลนลานเสียจนคนมองได้แต่ยิ้ม เพราะมันทั้งตลกและ...เออ น่ารักดี “ทำไมต้องมาเห็นตอนสภาพทุเรศด้วย”

“ไม่ได้ถึงขนาดนั้นเสียหน่อย โอเว่อร์” แล้วก็เคาะหัวไปหนึ่งทีให้คนขี้กังวลเลิกโวยวาย

ทิวาย่นจมูกแล้วมองใบหน้าที่สำหรับเขาแล้วก็ค่อนไปทางเพอร์เฟคของวิน บ่นกับตัวเองไม่สนใจแววตาที่กำลังมองมา “แน่สิ ตัวเองหน้าตาดีนี่ จะร้องไห้ทำหน้าตาน่าเกลียดยังไง คนก็ยังมองว่าหล่ออยู่ดี”

“เพ้อเจ้อ”

“...”

“มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกน่า”

“ไม่ฟังแล้วโว้ย”

“แต่ทางที่ดีอย่าร้องอีกเลยดีกว่า”

“เนี่ย! ไหนบอกว่ามันไม่ได้แย่ขนาดนั้นไง”

“ไม่ชอบ”

“...”

“ไม่ชอบที่ร้องไห้ อย่าร้องอีกนะ”

“...”

พวกเขาเงียบกันไปอีกครั้ง ตัวเขาน่ะเงียบเพราะไม่รู้จะพูดอะไรหลังจากที่วินพูดประโยคคลุมเครือแบบนั้นออกมา ออกจะทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง แต่ความเป็นห่วงเจือจางในประโยคในนั้นทำให้เขาดีใจอย่างประหลาด แต่วินเงียบไปนั้น เขาไม่รู้และไม่อยากเดาว่าทำไม

มันทั้งกลัวและคาดหวังในคำตอบ เลยไม่อยากรู้เท่าไหร่

นาฬิกาเดินข้างหน้าเรื่อยๆ กว่าเขาจะรู้ตัวก็ใกล้เวลาที่คอนเสิร์ตจะเลิกและเพื่อนทั้งสองคนจะกลับไปถึงหอแล้ว ทิวาเลยลุกขึ้นเตรียมตัวจะกลับไปยังหอตัวเอง แต่กลับได้แต่ยืนเก้กังไม่ยอมพูดลาออกมาเสียอย่างนั้น ยิ่งมองแววตาที่มองมาคล้ายรอว่าเขาจะพูดอะไรจากวิน เขาก็ยิ่งพูดไม่ออกเข้าไปใหญ่

ไม่รู้ดิ แต่ไม่อยากบอกลาเลย

“คือ...”

“จะกลับเหรอ”

“อืม”

“งั้นเดี๋ยวเดินไปส่ง”

“...”

“ได้หรือเปล่า?”

ทิวามองสีหน้าคาดหวังแล้วได้แต่พยักหน้า มองวินเดินอยู่ข้างๆ ตัวเองไปยังเส้นทางที่คุ้นเคยในตอนเกือบสามทุ่ม ทางที่เขาเดินจนหลับตาเดินยังได้ แต่วันนี้เขากลับเลือกที่จะค่อยๆ เดินไปทีละก้าว จนเป็นจังหวะเดียวกับคนข้างกายที่อาสาเดินมาเป็นเพื่อนเสียอย่างนั้น

“จริงๆ ไม่ต้องเดินมาด้วยก็ได้นะ”

“อยากเดิน”

“คือ...มันก็เสียเวลาไง”

“ไม่เห็นจะเป็นแบบนั้น” วินว่า “เต็มใจ”

“...”

พูดแบบนี้เขาจะไปต่อยังไงวะ

“อ๋อ เออ...ขอบใจ”

“ไม่เป็นไร”

วินไม่ได้พูดอะไรอีกแต่คอยเดินข้างๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นตอนที่ทิวาแอบมอง แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่อีกคนคอยมอง แต่มันก็ทำให้ใจเขาฟูขึ้นทีละนิด ต่างจากอีกคนที่คงทั้งงุนงงและสงสัยจนทนเก็บไว้ไม่ไหวในท้ายที่สุด

“...ทำไปทำไม อยากรู้” แม้จะพยายามกดความสงสัยเอาไว้ แต่ทุกอย่างกลับเหมือนยิ่งเร่งให้เขาอยากรู้จนทนไม่ไหว ทั้งสายตา คำพูด ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้ หลากหลายอย่างถาโถมเข้ามาแทบจะในทันทีที่สบตากัน พวกเขาหยุดเดินระหว่างทาง หันไปมองกันและกันท่ามกลางความเงียบงัน ใต้แสงสว่างเพียงอย่างเดียวของไฟถนนที่ส่องพวกเขาอยู่ แสงนั้นกลืนความรู้สึกบางส่วนบนใบหน้าของวินไปจนเขานึกไม่เข้าใจ ว่าทำไมอีกคนถึงได้เข้ามาหาเขา ทำไมถึงได้ยืนอยู่ตรงนี้

และทำไมจึงได้ทำสีหน้าเหมือนเฝ้ารอจะได้พบกันมาตลอดนั่นกับเขา

วินหลบตาในตอนสุดท้าย แต่สุดท้ายก็ยอมพูดออกมา

“ความจริงแล้ว ช่วงนี้ฝันบ่อยมาก”

“แล้วยังไง”

“ฝันเห็นใครก็ไม่รู้ไม่มีหน้าตา”

“...”

“ทำไมทำหน้าแบบนั้น”

“ผีหลอกในฝันเหรอ”

วินถอนหายใจ มู้ดเมื่อกี้สลายไปกับอากาศเลยเมื่ออีกฝ่ายตอบมาแบบนั้นพร้อมกับสีหน้าซีดๆ ยิ่งรวมไปกับอาการมองซ้ายขวาเหมือนระแวง วินยิ่งรู้สึกคิดผิดนิดๆ ที่เริ่มประโยคด้วยเรื่องนี้ ลืมไปได้ยังไงนะว่าคนคนนี้กลัวผี...

คิดมาถึงตรงนี้เขาก็ชะงัก ลืมทุกคำพูดที่เตรียมเอาไว้ แล้วเอาแต่จ้องหน้าคนตรงหน้าที่ไม่รู้กำลังท่องบทสวดไล่ผีไปถึงไหนแล้ว

นั่นสิ ลืมไปได้ยังไง

ทั้งที่ไม่ควรลืมแท้ๆ

“ร...รีบเดินกันไหม”

“...”

ทิวากระตุกแขนเสื้อวินเบาๆ “อยากกลับหอแล้ว เดี๋ยวมีคนมาเป็นเพื่อนเดินเพิ่ม”

“ติ๊งต๊อง” สีหน้าหวาดกลัวนั่น สุดท้ายก็ทำเขาหลุดหัวเราะออกมาจนได้ มันน่าแกล้งซะจริง แต่เขารู้ว่าถ้าแกล้งหนักกว่านี้จะต้องโดนโกรธแน่ๆ เลยจับมือที่คว้าชายเสื้อเขาแน่นหนามากุมเอาไว้แทน จึงพอจะดึงความคิดของอีกคนมายังตัวเขาได้บางส่วน “ไม่มีผีหรอกน่า”

“ก็เมื่อกี้วินยังบอกว่าฝันเห็น...”

“มันไม่ได้เป็นฝันน่ากลัวสักหน่อย”

“...”

“ออกจะเป็นฝัน...ที่อยากให้มันยาวนานกว่านี้เสียด้วยซ้ำ”

พวกเขาเริ่มเดินกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มือของทั้งสองกุมกันเอาไว้แน่น ทิวาได้แต่แอบมองมือที่จับกันเอาไว้ สลับกับรู้สึกเหมือนมันมีอะไรไม่ถูกต้อง แต่ถามว่าปล่อยมือไหม ก็ไม่ เพราะกลัวผี

อย่างน้อยถ้าผีมาจริงๆ ก็รีบผลักให้วินไปรับหน้าแทนได้ เขาคิดแบบนั้น

“มันน่าฝันยังไงไม่ทราบ ฝันที่เห็นคนไม่มีหน้าอะ”

“ก็...เพราะเขาเป็นคนที่อยากเจอไง”

“...”

“ไม่เคยหรือไง ที่ฝันถึงใครคนหนึ่งแล้วอยากเจอเขาในความจริงน่ะ”

จู่ๆ ทิวาก็หวนนึกถึงฝันของตัวเองขึ้นมาและอดคิดไม่ได้ว่าสิ่งที่วินก็เป็นสิ่งที่เขาอยากทำอยู่เหมือนกัน

เขาเองก็อยากเจอเหมือนกัน คนที่เจอในฝันคนนั้น...คนที่เอาแต่นั่งอยู่ข้างตัว พูดในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจและปวดใจบ่อยครั้งที่ตื่นขึ้นมา

ไม่อยากอยู่กับความไม่รู้และความเสียใจนั่นโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรอีกแล้ว

“...เคย”

“...”

“ก็อยากจะเจอตัวจริงๆ เหมือนกัน ไม่อยากสงสัยอีกแล้ว”

วินมองสีหน้าเศร้าๆ ของทิวาแล้วเงียบนิดหน่อย “ถ้าเขาเป็นผีจริงๆ ก็คงซวยเลยเนาะ จะไปตามหา...”

“เงียบไปเลยนะ! อย่าพูด ห้ามพูด! ไม่ฟังด้วย!”

“...”

สีหน้าของทิวากลับไปเป็นหวาดกลัวเหมือนเดิมอีกแล้ว คราวนี้ถึงกับบีบแขนของวินแน่น ทำเอาวินนึกอยากจะหัวเราะแทบตาย ทว่าก็ได้แต่กลั้นเสียงหัวเราะและรอยยิ้มเอาไว้ มองคนข้างกายเขย่าแขนเขาให้หยุดพูดเรื่องผีเสียที “จะพูดขึ้นมาอีกทำไม! ถ้า...ถ้าเขามาหาจะทำยังไง ไอ้บ้า”

“...”

“ไม่รู้หรือไงว่าเขาห้ามพูดเรื่องคนตายน่ะ เดี๋ยวเขามาหา...”

“ดูคลิปผีบ่อยใช่ไหมเนี่ย ไอ้ช่องเล่าเรื่องผีอะ”

“...”

“ฟุ้งซ่านไปเรื่อย”

“ยุ่งน่า!”

วินเอื้อมมือไปลูบหัวทิวาเบาๆ ขณะพยายามออกแรงเดินไปข้างหน้าทีละก้าว แม้จะเหมือนพยายามให้ถึงหอไวๆ แต่เขารู้ดีว่าอันที่จริง...เขาอยากจะให้เส้นทางนี้ไม่มีที่สิ้นสุดเสียด้วยซ้ำ

เขาชอบตัวเองตอนอยู่กับคนคนนี้

ไม่มีเหตุผล...แต่ไม่อยากจากไปไหนเลย

เหมือนกับรอคอยมานานมากและในที่สุดก็ได้พบกัน อะไรแบบนั้นเลยล่ะ

“ไม่มีผีหรอก”

“รู้ได้ไง”

“ถ้าจะมี...ก็มีแต่คนที่อยากจะพบเจอคนที่รักอีกสักครั้ง แม้จะไม่มีวันเป็นไปได้เท่านั้นแหละ”

“...พูดเหมือนเคยรอแบบนั้นเลยนะ”

วินหัวเราะร่วน “อาจจะเคยรอแบบนี้ในชาติที่แล้วก็ได้นะ”

“แต่ชาตินี้ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นแล้ว อยากจะอยู่ด้วยกันจนกว่าจะตายจากกันไปมากกว่า”

“...”

“แบบนั้นดีกว่าเห็นๆ ว่าไหม”

สีหน้ายิ้มแย้มของวินที่ทิวาแอบมองอยู่ ทำให้เขาไม่รู้จะพูดอะไร ฟังครั้งแรกมันก็เหมือนการขอความเห็นธรรมดาอยู่หรอก แต่พอคิดอีกที...ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนอีกคนกำลังถามเขากันนะ

“ก็ต้องดีอยู่แล้วไหม”

“...”

“ใครๆ ก็อยากอยู่กับคนที่รักนานๆ กันทั้งนั้นแหละ”

“ใช่ไหม”

“...”

“ในครั้งนี้ก็จะอยู่แบบนั้นให้ได้เลยล่ะ”

เพราะงั้นอย่าจากไปไหนอีกนะ

นั่นเป็นคำภาวนาอย่างเดียวในค่ำคืนนั้นที่วินหวังว่าจะส่งไปถึงใครที่เอาแต่หวาดกลัวอยู่ข้างกายและถึงตัวเองคนที่แล้วมาว่าไม่ต้องกังวล

ครั้งนี้จะจบด้วยดีอย่างแน่นอน

 




เพราะแบบนั้นเอง ฉันจึงต้องทำทุกวิธีทาง

เพื่อให้เธออยู่เคียงข้างฉัน ไม่จากร้างลาเมื่อที่ผ่านมา



(โปรดติดตามตอนต่อไป)



---------------------------------------------------------------------------------------------------------------

อีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้วค่ะ ช่วยอยู่ด้วยกันไปจนถึงตอนนั้นเลยนะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาค่ะ

NAVY
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 0.1 ★ 20/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-01-2020 22:09:34
 :pig4: :pig4: :pig4:

วินจำได้เหรอ?

แต่เดย์ไม่น่าจะจำได้  แต่ความรู้สึกคงบอกว่าใช่
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 0.1 ★ 20/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 21-01-2020 14:23:31
เหมือนว่าวินจะจำได้แต่เดย์ยังนึกไม่ออก
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 0.2 ★ 26/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: KarmaNavy ที่ 26-01-2020 20:53:36
ในหัวใจฉันเคยมีแต่สายฝนและตัวฉันที่เดียวดาย

จนมาพบเธอ

 













ตกหลุมรักระยะที่ 0.2






การพบกันครั้งที่สองคือหน้าห้องของเขากับเจ้าของรอยยิ้มเดิมที่ทำให้ความฝันนั้นหายไป

ทิวาได้ถูกแสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องที่ทำให้โลกอบอุ่นขึ้น เสียงเคาะประตูและกลิ่นหอมๆ ของปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้ รวมไปถึงคนที่ทิวาคิดว่าจะไม่ปรากฏตัวขึ้นอีกที่กำลังยืนอยู่หน้าห้องของเขา ปลุกให้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล

“หิวไหม เอาข้าวเช้ามาให้”

“...เข้าหอมาได้ยังไง”

“บอกว่ามาหาเพื่อน” วินว่า แล้วถือวิสาสะเดินเข้ามาข้างในห้องของเขา โชคดีที่เขาและเดือนอ้ายเพิ่งทำความสะอาดไปไม่นาน มันเลยยังเรียบร้อยอยู่ อย่างน้อยก็มีที่ให้แขกแปลกหน้ามีที่นั่งละนะ

ทิวารีบปิดประตูแล้วดึงคนที่กำลังจะรี่เข้าไปสำรวจห้องของเขาเหมือนว่ามันเป็นดินแดนมหัศจรรย์ให้ไปนั่งอยู่แถวโต๊ะทำงาน คว้าเอาของฝากออกจากมือของอีกคนแล้วไปวางอยู่หลังตู้เย็นขนาดเล็กแทน แต่พอหันกลับมาอีกที คนที่เขาคิดว่าจะนั่งเรียบร้อย กลับกำลังรื้อเอาชีทเรียนที่วางไม่เป็นระเบียบของเขามานั่งอ่านทีละแผ่น จนอดโวยวายไม่ได้

“วิน! อย่ารื้อ”

“ดูนิดหน่อยเอง อ่านยากจัง”

ทิวานึกอายเสียจนไม่อยากมอง รู้ดีเลยล่ะว่าลายมือตัวเองห่วยแค่ไหน โดยเฉพาะตอนที่รีบในห้องเรียน มีแต่ตัวเขาเองเท่านั้นแหละที่อ่านออก “ก็ไม่ต้องอ่าน”

“เอาไปวางที่เดิมเลย”

“เดี๋ยววางให้เหมือนเดิมน่า เดย์ไปกินข้าวเถอะ จะนั่งตรงนี้ไม่ดื้อไม่ซนแน่นอน” ว่าแล้วก็ชูสามนิ้วให้สัญญาที่ทิวาไม่เชื่อใจเอาเสียเลย ดูจากเมื่อครู่ที่มือไม้รื้อค้นไปทั่วแล้ว เขาไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าจะไว้ใจได้

“จริงๆ ไม่รื้อแล้วครับ เก็บเสร็จแล้วจะนั่งเฉยๆ”

“...งั้นก็มากินด้วยกัน”

“หือ?”

ทิวาชี้ไปยังอาหารที่วางอยู่บนหลังตู้เย็น “มากินด้วยกันสิ”

“ไม่ต้องๆ ซื้อมาให้เดย์คนเดียว จะไปแย่งกินได้ไง”

“มาเถอะน่ะ”

วินดูอิดออด แถมไม่วายบ่นซ้ำว่าซื้อมาให้เขากินเท่านั้น จนทิวามองซ้ำอีกรอบนั่นแหละ ถึงได้เดินเข้ามาหยิบปาท่องโก๋ไปกินคู่หนึ่งอย่างเสียไม่ได้

“มาทำไม” ระหว่างที่กำลังเคี้ยวอาหารในปาก ทิวาก็เริ่มถามในสิ่งที่เขาอยากถามตั้งแต่แรกที่เห็นวินยืนอยู่หน้าห้องออกมาทันที “จำได้ว่าเพิ่งรู้จักกันเมื่อวานเองนะ”

“แต่ก็เคยมาส่งกันถึงหน้าหอแล้วไง”

“ฟังไม่ขึ้น”

“อืม งั้นถ้าเปลี่ยนเป็นอยากเจอล่ะ”

“...”

วินยิ้ม เป็นยิ้มที่ทิวาไม่ชอบเอาเสียเลย เพราะเขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะแพ้ “เหตุผลนี้พอเข้าท่าไหม”

“...ไม่เข้าท่าเลยสักนิดเดียว” ทิวาก้มหลบตาที่คนที่เอาแต่จ้องมายังเขาไม่เลิก มองไปยังน้ำเต้าหู้ที่อีกคนซื้อมาราวกับว่าบนผิวน้ำเต้าหู้มีอะไรน่าดูมากเสียยิ่งกว่าคนซื้อ ไม่สนใจแววตาพราวระยับและรอยยิ้มที่กวนนั้นแม้แต่น้อย “ไม่มีเรียนหรือไง ถึงมาก่อกวนกันแต่เช้า”

“ไม่มีเรียน เดย์ก็ไม่มีเรียนไม่ใช่เหรอ”

“รู้ได้ไง”

“ก็เพื่อนเดย์เป็นคนบอก”

ฟังแล้วทิวารู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย คล้ายตัวเองจะโดนเพื่อนขายยังไงก็ไม่รู้ แม้จะแอบคิดไว้บ้างแล้วว่าใครเป็นคนพาวินเข้ามาในหอ รวมไปถึงให้ข้อมูลเกี่ยวกับตารางเรียนของเขา ทว่าก็ยังถามออกไป “คนที่บอกนี่...ชื่อเดือนอ้ายหรือเปล่า”

“ใช่ เขาบอกว่าเป็นเพื่อนสนิทของเดย์”

“...” เพื่อนเวร

“ดูสนิทกันดีนะ”

“จะไม่สนิทแล้ว เอาเรื่องเพื่อนตัวเองไปปูดกับคนแปลกหน้าแบบนี้เนี่ย”

วินนั่งโดยเท้าคางบนพนักเก้าอี้ นั่งฟังคนที่เพิ่งตื่นหัวยุ่งฟูบ่นเรื่อยเปื่อยถึงเพื่อนรัก สลับกับเคี้ยวอาหารในปากจนแก้มตุ่ย ภาพตรงหน้ามันน่ารักมากๆ จนเขานึกอยากจะเห็นแบบนี้ในทุกเช้า มันคงจะดีถ้าได้มาหาแบบนี้ทุกวัน แบบที่เคยทำมาก่อน

อันที่จริงทิวาก็พอรู้ตัวอยู่หรอกว่าตัวเองถูกมองอยู่แทบตลอดเวลา แต่เขาก็ไม่อยากไปสนใจอะไรมากให้ตัวเองปล่อยไก่ต่อหน้าเจ้าตัวว่าตอนนี้เขาไม่ได้สุขุมหรือนิ่งเฉยอย่างที่แสดงออกเลยสักนิด ใจของเขาเต้นรัวทุกครั้งที่แววตายิ้มๆ มองมา ในนั้นมันเต็มไปด้วยความเอ็นดูจนเขาไม่กล้าสบตา ได้แต่ทำเป็นมองเพดาน มองผนัง มองทุกอย่างที่ไม่ใช่สบตากับวิน อดบ่นอีกคนไม่ได้ เห็นก็น่าจะรู้ว่าเขาล่กจนแทบไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว แต่ก็ยังมองอยู่ได้ ตั้งใจจะมองจนทะลุกันไปข้างหนึ่งหรือจะมองให้เขาหัวใจวายตาย เพราะหัวใจเต้นเร็วไปเลยหรือไง

“...เลิกมองสักทีได้ป่ะ”

“มองตั้งแต่แรก ทำไมเพิ่งจะมาห้าม”

“ก็ตอนแรกนึกว่าจะเลิกมอง ใครจะไปรู้ว่าจะจ้องขนาดนี้” ทิวาเก็บซากขยะข้าวเช้าที่ตัวเองเพิ่งกินเสร็จแล้วบ่นเสียงเบา “คนนะเว้ย ไม่ใช่สัตว์ในสวนสัตว์ จ้องเอาๆ อยู่ได้”

“ก็น่ารักดี”

“...”

“ตอนกินเหมือนแฮมสเตอร์เลย แก้มตุ่ยเป็นก้อน” ไม่ว่าเปล่า แต่กลับโชว์รูปที่แอบถ่ายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ให้เขาดูด้วย เห็นแล้วทิวาก็พุ่งเข้าไปแย่งโทรศัพท์แทบไม่ทัน เขาในภาพกำลังกินปาท่องโก๋เต็มปาก อยู่ในชุดนอนย้วยๆ หัวยุ่งฟู ไม่มีอะไรดีสักอย่าง แล้วเอาไปมองยังไงวะถึงได้มองว่าน่ารัก หน้าเขาร้อนจี๋จนไม่ต้องส่องกระจกเขาก็รู้ว่าใบหน้าเขาแดงแค่ไหน ในใจนึกด่าเดือนอ้ายเป็นพันรอบที่มันชักศึกเข้าห้องเพื่อนแบบนี้

“ลบเลย”

“ไม่ลบ” วินว่าแล้วรีบยกโทรศัพท์ขึ้นให้สูงที่สุด แต่ก็ต้องโยกไปซ้ายที ขวาที เพราะความสูงของเขาทั้งสองคนแทบไม่ต่างกันเลย มีหลายครั้งที่ทิวาเกือบจะคว้าได้ แต่เขาก็เบี่ยงหนีได้ทันจนเจ้าตัวชักจะเปลี่ยนจากอายเป็นโกรธขึ้นมาจริงๆ

“ไม่เห็นต้องลบเลย น่ารักจริงๆ นะ”

“ไม่เอา ลบ!”

“ไม่ให้ลบ”

“วิน มันน่าเกลียดโว้ย!”

“น่ารัก”

“วิน” เมื่อเห็นว่าจะพยายามยังไง โทรศัพท์ที่มีรูปเจ้าปัญหาก็ยังอยู่ในมือเจ้าของเหมือนเดิม เขาจึงเปลี่ยนมาขึ้นเสียง ทำหน้าตาจริงจังให้อีกคนเห็นว่าเขาไม่อยากให้มีรูปนั้นในเครื่อง “เดย์ไม่ชอบ ลบได้ไหม”

“...”

“นะ ลบนะ”

“อย่าพูดงี้ดิ” งี้เขาก็แพ้ดิวะ วินคิดในใจ

แน่นอนว่าทิวาไม่มีวันได้ยิน เพราะแบบนั้น พอเจ้าตัวเห็นว่าวินเริ่มอ่อนลง จึงรีบพูดต่อหวังจะให้รูปนั้นหายไปไวๆ “วิน ลบให้เดย์นะ ไว้ค่อยถ่ายตอนหล่อๆ ได้ไหม ตอนนี้ทุเรศมากเลย”

“...”

“งั้นบอกมาก็ได้ นอกจากอยากจะมาหาแล้วอยากทำไรอีก ยอมหนึ่งอย่าง แลกกับลบรูป”

พอเปลี่ยนคำพูด วินก็มีทีท่าจะสนใจทันที จึงรีบตอบกลับไป “จริงนะ”

“จริง”

“งั้นวันนี้ไปเที่ยวเป็นเพื่อนวิน”

“เยอะไปล่ะ”

“งั้นไม่ลบ...”

“โอเค!” โอ๊ยย เกลียดเวลาที่ตัวเองเป็นรองคนอื่นชะมัด ทิวาข่มใจขั้นสุดยอดที่จะไม่พุ่งไปทำร้ายคนที่เอาแต่ยิ้มหน้าเป็นตรงหน้าตัวเอง มองวินกดลบรูปออกจากอัลบั้มทุกขั้นตอน รวมไปถึงลบออกจากถังขยะเรียบร้อยแล้วนั่นล่ะจึงได้วางใจแล้วรีบไล่ให้วินออกไปรอข้างนอกแทน เพราะเขาจะอาบน้ำ หลังจากที่เน่าต่อหน้าแขกเป็นนานสองนาน

เสียงปิดประตูดังลั่นทำให้วินหลุดหัวเราะ ไม่ต้องเดาใจก็รู้ว่าทิวาขัดใจแค่ไหนที่ต้องรับข้อเสนอของเขา อันที่จริงถ้าขอร้องอีกนิดเขาก็ยอมลบให้แล้ว แต่อีกคนดันยื่นข้อเสนอที่เขาได้ประโยชน์มาเสียก่อน จะไม่รับมันก็ไม่ดีใช่ไหมล่ะ

“ยังน่าแกล้งเหมือนเดิมเลย”

วินยิ้มกับรูปเจ้าปัญหาที่ทิวาคิดว่าลบไปแล้วในโทรศัพท์ของตัวเอง ก่อนจะเดินลงไปรอที่หน้าหอเหมือนที่รับปากเจ้าของห้องและคนที่เขาจะออกไปเที่ยวด้วยในวันนี้ หอพักในของมหาลัยหลังสอบค่อนข้างเงียบเหงา แม้จะยังมีบางคลาสที่ยังเรียนกันอยู่ แต่ก็น้อยมากๆ ที่จะมีเด็กเข้าเรียน ส่วนมากก็กลับบ้าน ไม่ก็ไปเที่ยวหลังสอบกัน ดังนั้นบริเวณม้านั่งด้านล่างหอพักจึงว่างให้เขานั่งรอทิวาได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาขอแชร์ที่

นอกเสียจากเจ้าแมวสีขาวที่เดินนวยนาดมายังที่ที่เขานั่งอยู่ แล้วทิ้งนอนแผ่บนโต๊ะเหมือนประกาศสิทธิ์ตัวนี้น่ะนะ

ดวงตาสองสีมองมายังเขาคล้ายเกียจคร้านอยู่ที ก่อนจะหลับลงตอนที่เขาใช้มือลูบไปเบาๆ บนขนนุ่ม  แต่ก็เพียงไม่นาน พอมันเห็นว่ามีคนเดินเข้ามาใกล้ก็ลุกขึ้นยืน กระโดดวิ่งหายไปจนเขามองตามแทบไม่ทัน เมื่อหันไปมองคนที่ทำให้เจ้าแมววิ่งหนีก็พบกับสีหน้าเหวอๆ ของทิวา มือข้างหนึ่งยกขึ้นเหมือนอยากจะลูบเจ้าแมวเหมือนที่เขาทำ แต่มันกลับไม่อยู่ให้ลูบเสียแล้ว

“อะไร ทีตอนนั้นยังเล่นด้วยกันอยู่เลย” ทิวาดึงมือกลับแก้เก้อ แล้วเดินมาหาวินที่นั่งรออยู่ “วันนี้เมินกันซะงั้น”

“มันตกใจละมั้ง” วินลุกขึ้นจากม้านั่ง มือก็ปัดขนสีขาวที่ปลิวมาติดตามเสื้อผ้าออกไปด้วย “ไปกันหรือยัง”

“ไปสิ...แล้วจะไปไหน”

วินยิ้มให้คนที่มองมายังเขา “อันที่จริง...ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน”

“...”

เห็นทิวาหรี่ตามองก็ได้แต่รีบพูดขึ้น กลัวอีกคนจะโกรธ “ก็เมื่อกี้มันยังไม่ทันตั้งตัวนี่ อะไรรับปากได้ก็รับปากไปก่อน”

“...”

วินเกือบจะหลุดขำอีกรอบแล้ว ถ้าไม่กลัวว่าคนที่กำลังสีหน้าหงุดหงิดตรงหน้าจะพาลโกรธขึ้นมาอีกครั้งน่ะนะ ขณะกำลังคิดว่าจะพาทิวาไปไหนดี ภาพใบหน้าของเพื่อนสนิทและคำพูดที่ว่าวันนี้พวกมันจะไปขลุกอยู่ที่ห้องซ้อมก็พลันลอยเข้ามาในสมอง

“งั้นไปดูซ้อมดนตรีไหม”

“ซ้อมดนตรี?”

“อือ เดี๋ยวบอกให้เล่นเพลงของวีอาร์ให้ฟังก็ได้”

“แล้วใครจะเป็นเล่น”

วินยิ้มแล้วชี้เข้าหาตัวเอง “‘พวกเรา’ จะเล่นให้ฟังเอง”

 









-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------











“ใครวะ”

วินวางกระเป๋าสะพายและหมวกกันน๊อคที่รับมาจากทิวาลงบนโต๊ะไม่ไกลจากแถวโซฟา ก่อนจะบอกให้คนมาใหม่ทำตัวตามสบาย ส่วนตัวเองก็เดินไปหาเพื่อนคนอื่นพร้อมกับรับกีต้าร์ที่วานให้ไป๋หยิบมาถือเอาไว้

“คนมาฟังเพลง”

“ปกติมึงไม่เห็นจะพาใครมาสักที...”

ไป๋รีบปิดปากเวย์ แล้วหันไปหาคนที่นั่งเกร็งอยู่มุมโซฟา “ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ อยากฟังเพลงอะไรก็บอกได้นะ”

“เราไป๋ เวย์แล้วก็แคท แล้ว...?”

“หวัดดี ชื่อเดย์...”

สิ้นเสียงแนะนำตัวคนที่เหลือก็พากันเงียบไปหมดและหันไปหาคนที่ยังจูนสายกีต้าร์ทำเป็นไม่รู้เรื่องโดยพร้อมเพรียง บทสนทนาเมื่อหลายวันก่อนยังคงติดอยู่ในสมองของทั้งสามคน ทำให้ได้รู้เสียทีว่าคนในตอนนั้นที่วินไม่ยอมพูดและเป็นคนที่วินได้ยินชื่อในฝันคือคนนี้

แต่มันจะมีเรื่องเหลือเชื่อขนาดนี้อยู่บนโลกด้วยเหรอวะ

ทว่าพอมองเพื่อนตัวเองหอบกีต้าร์ไปนั่งข้างเขา ยิ้มและพูดคุยแบบที่ไม่เคยทำกับคนอื่นมาก่อน ไป๋และคนอื่นๆ ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นไปแล้วจริงๆ

“มีเพลงไหนที่อยากฟังหรือเปล่า”

“ไม่มี จะไปซ้อมก็ไปซ้อมสิ มาคุยทำไม” ทิวาพูดเสียงค่อย กระซิบกระซาบราวกับกลัวว่าคนที่เหลือจะได้ยินว่าพูดอะไร ส่วนใบหน้าก็แทบจะซุกอยู่ในนิตรสารที่วางประดับในห้อง ไม่ยอมสบตากับใครทั้งนั้น ท่าทางเหมือนแมวขี้ระแวงทำให้วินนึกเอ็นดูอย่างเสียไม่ได้ มือเขาเอื้อมไปลูบหัวอีกคนเหมือนมีความคิดเป็นของตัวเอง

“เดี๋ยวไปแล้ว เอาเป็นว่าจะให้พวกนั้นเลือกเพลงวีอาร์มาสักเพลง รอฟังนะ”

“อือ”

“ไม่ได้ยินเลย”

ด้วยความหมั่นไส้ เลยฟาดแขนของคนที่กำลังกวนประสาทด้วยนิตรสาร ทำเอาคนโดนฟาดหัวเราะร่า ทั้งน้ำเสียงยังไม่คล้ายจะรู้สึกผิดอะไรที่กวนเขาเช่นนี้ น่าตีจริงๆ “ไปได้แล้ว!”

“ครับๆ เวย์ มึงเลือกเพลงวีอาร์มาสักเพลงดิ๊ มีแฟนคลับเขารอฟังอยู่”

“ได้ เพลงช้าเพลงเร็ว”

“สักเพลง มึงรีบเลือกมาเถอะ”

“มึงเล่นได้เหรอวะ”

“ได้”

“โอเคๆ เลือกได้แล้วพ่อ หน้าที่สิบสี่ พ่อเปิดดูเลย” เวย์ว่าแล้วเปิดแฟ้มเพลงให้กับวิน ใช้เวลาทำความคุ้นเคยอยู่ไม่นาน ท่วงทำนองที่ทิวาคุ้นหูก็ดังขึ้น แม้ว่าจะไม่มีเสียงคนร้อง ทว่าก็ยังชวนให้นึกถึงคอนเสิร์ตจริงที่เขาเคยไปดู หากจะมีอะไรที่ต่างไป ก็คงเป็นใบหน้าของเหล่าคนที่บรรเลงดนตรีที่ไม่ใช่คนในวงที่เขาปลาบปลื้ม โดยเฉพาะมือกีต้าร์ที่เป็นตำแหน่งที่เขาปลื้มมากเป็นพิเศษ ดันเป็นคนที่ถือวิสาสะเดินเข้ามาในชีวิตของเขาโดยไม่ทันตั้งตัวและไม่มีทีท่าว่าจะยอมออกไปโดยง่าย แต่ที่น่าเจ็บใจกว่านั้นคือ...เขาคิดว่าตัวเองก็ไม่มีความคิดที่จะไล่อีกคนไปเลยแม้แต่นิดเดียว

ยิ่งมองแววตาที่อีกคนเพียรจะมอบมาให้ ทิวายิ่งรู้สึกว่ากำแพงที่เขามักกันไม่ให้ใครข้ามมา มันไม่มีผลเลยแม้แต่นิดเดียวกับคนคนนี้

เขาไม่ได้ทำลายกำแพงนั้น ไม่ได้ปีนข้ามมาเหมือนที่หลายคนพยายาม

แต่เขาอยู่ข้างในกำแพงนั้นอยู่แล้ว ราวกับที่ตรงนั้นคือที่ของเขามาตลอด

การปรากฏตัวของวินเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกี่ยวกับเขา แต่ที่ชัดเจนที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องความฝันที่ดำเนินมายาวนั่น คราวนี้ในฝันเขาและคนคนนั้นไม่ได้นั่งข้างกันอีกแล้ว ในฝันนั้นเหมือนเขาเป็นโลกและคอยเฝ้ามองเงาร่างเดียวดายนั่นแทน เพียงแต่...บนใบหน้านั้นเป็นรอยยิ้มสบายใจ ก่อนจะค่อยๆ หายไปเหลือเพียงความว่างเปล่าในท้ายที่สุด

เขาสะดุ้งตื่นขึ้นตอนกลางดึกและเมื่อพยายามหลับไปอีกครั้ง ก็ไม่ฝันอีกแล้ว

เหมือนกับนั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พบกัน เป็นคำบอกลาที่อาจหมายความว่า เราจะไม่พบกันในฝันอีกแล้ว

และจะปรากฏขึ้นเพื่ออยู่เคียงข้างในความจริงแทน

“เดย์!”

เขาสะดุ้งกับเสียงเรียกและใบหน้าที่อยู่ใกล้จนเกินความจำเป็นของวินจนผงะถอยไปชิดหนักโซฟาแทบไม่ทัน สีหน้าของอีกคนทั้งสงสัยและกังวล บอกว่าเรียกเขาอยู่ตั้งแต่เพลงจบแต่เขากลับไม่ตอบอะไรเลยสักนิดเลยเป็นห่วง แต่เป็นห่วงแล้วมันต้องเข้ามาใกล้ขนาดนี้ด้วยหรือไง!

“ไม่ต้องเข้ามาใกล้ขนาดนี้ก็ได้! ขอโทษ เมื่อกี้คิดอะไรเพลินๆ เลยไม่ได้ยิน”

“แน่นะ ไม่ชอบอะไรหรือไม่อยากอยู่ก็บอกกันก็ได้ ไม่ต้องตามใจวินอย่างที่บอกเมื่อเช้าหรอก”

“...”

“วินตามใจเดย์ ทุกอย่างเลย”

“...ไม่ได้พูดสักหน่อยว่าไม่อยากมาด้วย ก็ยังนั่งฟังอยู่ไม่ใช่หรือไง” ทิวาบ่นอุบอิบ ไม่กล้าสบตากับวิน ทั้งนึกชังรอยยิ้มที่ขยายกว้างบนใบหน้าของวินครั้งที่ไม่รู้เท่าไหร่ของวันนั่นด้วย

เบื่อคนหน้าตาดีจริง ทำอะไรก็ดูดีไปหมด อิจฉา!

“โอเค

เวย์มองคนสองคนตรงหน้าที่สร้างโลกกันอยู่สองคน คุยในเรื่องที่พวกเขาไม่เข้าใจแล้วอดนึกเชื่อมโยงกับเพื่อนเขาคนก่อนไม่ได้เลย ช่วงอาทิตย์ก่อนหน้ายังเหมือนคนเครื่องพัง เหม่อบ้าง พูดเรื่องที่คนอื่นเขาไม่เข้าใจก็บ่อย แต่ตอนนี้กลับยิ้มหน้าเป็น แกล้งคนหัวเราะร่า จนอดสงสัยไม่ได้ว่านี่ใช่วินเพื่อนพวกเขาจริงๆ ใช่ไหม

“มึงว่าคนนี้แน่ไหม”

“ก็น่าจะคนนี้แหละมั้ง ไม่งั้นมันคงไม่พามา” ไป๋ว่า

“ผู้ชายจริงๆ ด้วย”

“มันก็ไม่ได้โกหกมึงไหมล่ะ ตอนนั้น”

“แต่มันเชื่อยากนี่หว่า แถมดูจากที่อีกคนเขาระวังตัวขนาดนั้น คงเพิ่งได้คุยกันจริงๆ จังๆ เองมั้งนั่น”

“จะยังไงก็ช่างมันเถอะ ทั้งมึงกับกูก็รู้ดีว่ามันเป็นยังไง เรื่องออกมาอีหรอบนี้มันก็คงคิดดีแล้วที่ทำแบบนี้” ไป๋พูดแล้วดันหน้าเพื่อนที่เริ่มอยากรู้อยากเห็นจนออกนอกหน้าให้หันกลับไปยังเครื่องดนตรีแทน “ปล่อยมันไปเถอะ มันมีความสุขก็ดีแล้ว มึงคิดแค่นี้ก็พอ”

“ก็จริง ...เอาเถอะ มันมีปัญหาเดี๋ยวมันก็เรียกหาเองแหละ”

“แต่ไม่น่าเรียกหาลูกทรพีอย่างมึงแน่ๆ อันนี้กูมั่นใจ”

“ไอ้แคท” เผลอแป๊บเดียวพวกมันสองคนก็ตีกันอีกแล้ว ถึงจะชินแต่ก็ใช่ว่าจะไม่รำคาญ แถมคนที่เคยเป็นฝ่ายห้ามทัพ ตอนนี้ก็ยังนั่งยิ้มหน้าเป็นอยู่ข้างสมาชิกใหม่ที่น่าจะกลายเป็นสมาชิกถาวรของกลุ่มพวกเขาในอนาคต ไม่สนใจเสียงโวยวายของเพื่อนคนอื่นอีกแล้ว ทำเอาไป๋เริ่มปวดหัว ฝั่งหนึ่งก็ตีกันเรื่องไม่เป็นเรื่อง อีกฝั่งก็จี๋จ๋าจนคลื่นไส้

อยากกลับบ้านโว้ย

 









-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------







พวกเขาใช้เวลาอยู่ห้องซ้อมแทบจะทั้งวัน ก่อนพากันไปกินข้าวเย็นที่ร้านชาบูแถวม.แล้วค่อยแยกย้ายกันกลับ วินไม่ได้มาส่งเขาที่หอ หนึ่งเพราะเขาปฏิเสธ อีกข้อเพราะรถมันไม่พอจึงให้วินไปส่งแคทแทน ถ้าไม่เพราะว่าเขายืนยันว่าหอเขาอยู่แค่นี้ แถมเป็นในม.ไม่ได้ไกลเสียเท่าไหร่ วินก็คงไม่ยอมกลับไปแต่โดยดี นึกทีไรก็นึกฉุนกับความดื้อรั้นที่เขารับมือไม่ค่อยจะได้นั่นเสียทุกที

ทว่าวันนี้ที่ได้อยู่ร่วมกับกลุ่มเพื่อนของวิน มันกลับทำให้เขาสนุกและไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกจากกลุ่มเลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งที่เพิ่งเจอกันและเขาค่อนข้างจะเป็นคนที่ต้องใช้เวลาในการเข้าหาคนอื่น แต่วันนี้เขากลับพูดคุยและเล่นกับเพื่อนของวินได้ทุกคน ไม่มีเคอะเขินหรือเกรงใจ จนหากไม่คิดว่าเพิ่งเจอก็คงคิดว่ารู้จักกันมาแล้วหลายปี

ถึงจะแปลกอยู่บ้าง แต่เพื่อนของวินก็นิสัยกันทุกคน อยู่ด้วยแล้วทำให้เขาสนุกไม่ต่างจากที่กับสองเพื่อนซี้ของตัวเองเลยด้วยซ้ำ

ขณะพิมพ์คุยเรื่องข้าวเย็นที่เขาไม่อยากกินแล้ว แต่ยังอยากไปหาขอหวานกินกับเดือนอ้ายและปัณผ่านทางโทรศัพท์ระหว่างเดินกลับหอ การปรากฏตัวของใครคนหนึ่งได้เรียกความสนใจของทิวาให้ไปอยู่ที่เขา รวมไปถึงสิ่งมีชีวิตที่กำลังคลอเคลียอยู่ข้างเท้าเขาเหมือนไม่เคยเมินกันเมื่อเช้ามาก่อนด้วยหนึ่งตัว ทิวาก้มลงอุ้มแมวสีขาวขึ้นมากอดแน่นแล้วเดินไปหาผู้ชายคนเดิมที่เขาเคยเห็น ใจหนึ่งก็กลัวว่าจะเป็นผี แต่อีกใจก็อยากรู้ว่าเขาเป็นใครกันแน่ แล้วทำไมถึงได้มายืนอยู่ตรงนี้ ราวกับกำลังรอให้เขากลับมา

“สวัสดีครับ ...แมวของคุณใช่ไหม”

“ครับ แมวผมเอง”

“...”

“ตกใจเหรอครับ วันนั้น”

วันนั้นที่ว่าคงหมายถึงวันที่จู่ๆ เขาก็หายไปล่ะมั้ง ทิวาคิดแล้วยิ้มออกมา “ก็...นิดหน่อยครับ นึกว่าผีหลอกเสียอีก”

“ผมไม่ใช่ผีแน่นอนครับ จับตัวได้ มีเงาบนพื้น ไม่ต้องกลัวนะครับ” ซานว่าแล้วยิ้ม ชี้นิ้วไปบนพื้นเพื่อยืนยันว่าหมายความตามที่พูดจริงๆ ขณะที่คนคิดว่าตัวเองเจอผีตอนกลางวันแสกมากหลายครั้งได้แต่ยิ้มแห้ง

“แล้ว...ทำไมถึงมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะครับ”

“...”

“คงไม่ได้...รอเจอผมหรอกใช่ไหม” ท้ายเสียงอ่อนลงเหมือนไม่แน่ใจ แต่รอยยิ้มของคนตรงหน้ายิ่งย้ำเตือนว่าสิ่งที่เขาคิดมันคือเรื่องจริงจึงกล้าพูดเสียงดังมากขึ้น “มีอะไรกับผมหรือเปล่าครับ ผมคิดว่าเราไม่เคยเจอกันมาก่อนนะครับ”

“ก็จริงที่ว่าเราไม่เคยเจอกันมาก่อน...หมายถึงตอนนี้น่ะนะ”

“...?”

ผู้ชายตรงหน้ายิ้ม แต่เป็นยิ้มที่ทิวาไม่ค่อยชอบเสียเท่าไหร่ เพราะเดาไม่ได้เลยว่าในรอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกเช่นไร มันกวนใจจนแทบระงับความสงสัยไว้ไม่ได้

“วันนี้ มีความสุขมากไหมครับ”

“ครับ?”

“ที่ได้ออกไปกับเขาที่คุณคอย...มีความสุขมากหรือเปล่าครับ”

“...”

“ครั้งนี้ก็ยังเลือกเขาเหมือนเดิมสินะ”

“คุณพูดเรื่องอะไร...”

“ผมรู้ว่าคุณรู้ดีว่าผมหมายถึงอะไรนะครับ”

“...”

“ยังไงก็ขอให้มีความสุขกับสิ่งที่คุณเลือกนะครับ ผมเชื่อว่าเขาจะดูแลคุณได้ดีเหมือนที่เคยทำมาตลอด” ผู้ซานเอื้อมมือมารับแมวกลับไปกอดเอาไว้ ก้มหน้าหอมมันเบาๆ แล้วพูดลอยๆ คล้ายไม่ตั้งใจจะพูดกับเขา แต่ก็เหมือนใช่ “เดี๋ยวพวกคุณก็จะกลับไปเรียนตามปกติแล้ว ยังไงก็ระมัดระวังเรื่องอุบัติเหตุแล้วก็ดูแลตัวเองดีๆ นะครับ ทิวา”

“...คุณรู้ชื่อผมได้ไง”

“ลาก่อนครับ”

“เดี๋ยว!” หลังพูดจบผู้ชายคนนั้นก็หันหลังเดินจากไปโดยไม่สนใจเลยว่าเขาจะร้องเรียกแค่ไหน ไม่นานเงาแผ่นหลังกว้างก็หายลับไปจากสายตา ทิ้งไว้แต่คำพูดแฝงนัยยะดังก้องในหัวที่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่ยอมหายไป

ระมัดระวังเรื่องอุบัติเหตุ? ดูแลตัวเองดีๆ เหรอ...

ทำไมพูดเหมือนรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาเลย

“เดย์! ไปกินขนมกัน”

“...อืม จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”

แม้จะดูน่าสงสัยอยู่บ้าง แต่ถ้าเขาจะเชื่อมันคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ช่างมัน แต่ถ้ามันเป็นอย่างที่เตือนแล้วเขาสามารถป้องกันเอาไว้ทันก่อนจะเกิดอะไรร้ายแรง ก็ถือเป็นเรื่องดี

ตอนนี้...เขาไม่อยากให้ตัวเองเกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น

ดังนั้นเขาจึงได้ภาวนาขอให้ไม่มีอะไรร้ายๆ เกิดขึ้น

เพราะเขามีคนที่รอจะพบเขาในวันต่อไปแล้วและไม่ต้องการให้อีกคนต้องผิดหวังอีกต่อไปแล้ว

 


เธอกลายเป็นแสงสว่างและความอบอุ่นให้แก่ฉัน

และจะเป็นเช่นนั้น ตลอดไป



(โปรดติดตามตอนต่อไป)




-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ขอโทษนะคะ ลืมวันไปเลย จริงๆ ต้องลงเมื่อวาน

พอดีเร่งแก้สไลด์งาน ไม่เสร็จสักที ฮือ TT

NAVY


 
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 0.2 ★ 26/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-01-2020 23:38:46
 :pig4: :pig4: :pig4:

ง่า...ใครคือซาน?   ตัวละครเยอะจนจำได้ไม่หมด
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะที่ 0.2 ★ 26/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 27-01-2020 09:24:36
หวังว่าจะไม่เกิดเหตุซ้ำเหมือนเดิมนะ ขอให้ทุกอย่างดีขึ้นด้วยเถอะนะ
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะสุดท้าย ★ 31/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: KarmaNavy ที่ 31-01-2020 21:05:18
ถึงตัวฉันที่ผิดพลาด ถึงตัวฉันที่เคยสิ้นหวัง

และถึงตัวฉันในตอนที่ยังไขว่คว้าเธอไว้ได้







ตกหลุมรักระยะสุดท้าย



 

เขาไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่เลย

นั่นคือสิ่งที่วินคิดมาตลอดช่วงตลอดหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่กลับมาเรียนตามปกติ แม้ว่าจะไม่มีอะไรที่ไม่น่าไว้วางใจหรือเปลี่ยนไปจากปกติก็เถอะ พวกไป๋ก็รู้สึกว่าเขาดูลุกลี้ลุกลน แถมยังชอบหนีซ้อมไปหาทิวาบ่อยๆ จนแทบทุกครั้งที่ทิวาว่างเขาจะไปอยู่ข้างกายอีกคน แม้จะไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง แค่ไปนั่งอยู่เฉยๆ เป็นสิบยี่สิบนาทีก็มี

เขาไม่ฝันถึงคนที่ไม่มีหน้าคนนั้นแล้ว ตั้งแต่ที่เข้าไปคุยกับทิวาและยาวนานมาจนวันนี้ ฝันนั้นก็หายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นเขากลับฝันเห็นทิวาแทน แถมยังเป็นฝันที่ไม่ดีเสียเลย

เขาฝันว่าทิวาโดนรถชน

ภาพรถสีเงินและเลือดที่อาบไปซีกหน้าครึ่งหนึ่งของอีกคน ร่างกายนอนทอดยาวอยู่บนถนนในมหาลัยที่เขาคุ้นเคย แต่ลมหายใจกลับแผ่วเสียจนใจหาย ไม่ว่าเขาในฝันจะพยายามมากแค่ไหน แต่สุดท้ายทิวาก็ไม่ลืมตาขึ้นมามองเขาอีกต่อไป ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมา เขาจะพบว่าใบหน้าของตัวเองมีแต่น้ำตาและแผ่นหลังชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ ไปเสียทุกครั้ง

หลังจากเริ่มฝันแบบนั้นเขาก็ยิ่งติดจนทิวายังเคยบ่นว่าพวกเขาเจอหน้ากันบ่อยเสียยิ่งกว่าทิวาใช้เวลาอยู่กับเพื่อนๆ ซะอีก ทว่าทิวาก็เหมือนจะรู้ว่าเขาไม่สบายใจเลยไม่ได้ไล่ไปไหน ยอมให้เขาติดสอยห้อยตามกลุ่มเพื่อนของอีกคนไปไหนมาไหนเสมอ จนกลายเป็นว่าเขาเริ่มสนิทกับพวกเดือนอ้ายไปโดยปริยาย แม้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนจะไม่ได้คืบหน้าไปมากกว่าเพื่อนเลยก็ตาม

ถึงความรู้สึกเขาจะไม่ได้หยุดที่ตรงนั้นแล้วก็เถอะ ไม่เป็นไรเขารอได้

มีเวลารออีกคนไปตลอดชีวิตนั่นแหละ

“สนใจสไลด์หน่อยวิน จารย์มองมึงบ่อยมาก” ไป๋กระซิบ พลางรีบพลิกหน้ากระดาษหน้าเขาไปยังหน้าล่าสุด ซึ่งพอเขาได้สติก็ได้แต่พยายามเอาความคิดตัวเองจดจ่อกับเรื่องเรียนตรงหน้า ถึงอาจารย์ท่านนี้จะเอ็นดูเขามากแค่ไหน แต่การที่เขาใจลอย เอาแต่มองหน้าแชทที่ไม่เคลื่อนไหวตั้งแต่เริ่มเรียนมาเกือบทั้งคาบ อาจทำให้อาจารย์ไม่พอใจได้ “เดย์ไม่หายไปไหนหรอก มึงรู้เรื่องนี้ดีไม่ใช่หรือไง”

“อือ รู้”

“ฝันก็แค่ฝันนะวิน อย่าคิดมาก”

“...”

“มันยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่าคิดไปก่อน แล้วมานั่งเครียดแบบนี้”

“เออ ขอบใจ”

“ตั้งใจเรียนไป ไม่งั้นกูจะฟ้องเดย์ว่ามึงเอาแต่เหม่อเรื่องไม่เป็นเรื่อง ให้โดนตีจนหัวแบะ”

“ฝัน เดย์ไม่ทำแบบนั้นกับกูหรอก” ...หรือเปล่าวะ

“กูจะคอยดู”

 









---------------------------------------------------------------------------------------------------------











“มึงจะรีบไปไหน ไอ้วิน! รอก่อน”

เขาทำเป็นไม่ได้ยินเสียงเวย์ที่เรียกอยู่ แต่สุดท้ายก็ต้องหยุดขารอจนได้ เมื่อโดนแคทวิ่งมาคว้าคอเสื้อเอาไว้ ขณะรีบออกจากห้องหลังจากที่หมดคาบเช้าเรียบร้อย ปากกำลังจะด่าพวกมันอยู่แล้วเชียวที่มาห้ามแบบนี้ แต่กลายเป็นว่าคนที่เรียกเขาไว้จริงๆ คืออาจารย์ที่สอนวิชานี้เรียกเขาไปหา ตอนแรกนึกว่าจะโดนดุเรื่องที่ไม่ตั้งใจ แต่กลายเป็นคุยเรื่องอื่นเกี่ยวกับส่งไปประกวดอะไรสักอย่างนอกมหาลัย วินฟังไม่รู้เรื่องเสียเท่าไหร่แม้ว่าหน้าตาจะเหมือนตั้งใจฟังอยู่ก็ตาม

ช่างปะไร ยังไงไป๋ก็ยืนฟังอยู่เป็นเพื่อน อะไรที่เขาจำไม่ได้ ค่อยไปถามมันเอาทีหลังก็ได้

ตอนแรกก็คิดว่าจะใช้เวลาไม่กี่นาที แต่พอพูดก็เริ่มยาวและออกนอกทะเลไปเรื่อย วินก็ได้แต่ร้อนใจ มองนาฬิกาไปด้วยสลับกับแสดงสีหน้าร้อนรน สุดท้ายอาจารย์จึงยอมปล่อยในที่สุด หลังจากพูดอะไรไม่รู้เกือบยี่สิบนาที

ด้านนอกห้องเรียนมีเวย์กับแคทยืนคุยอยู่กับน้องชายคนเล็กของไป๋ ปีหัวเราะและคุยเรื่องเกมมือถือสักเกมที่ตอนนี้กำลังฮิตกัน เมื่อเห็นว่าวินและไป๋ออกมาจากห้องเรียน คนอายุน้อยที่สุดก็พุ่งตรงมาหาพี่ชาย อ้อนขอเงินไปกินข้าวด้วย อ้างว่าทำกระเป๋าตังหายเลยไม่มีเงินกินข้าว ทั้งที่จริงก็แค่ไม่อยากออกเงินค่าข้าวเท่านั้นแหละ ซึ่งไป๋มันก็รู้ดี แต่ก็ยอมทำเป็นเชื่อปี ยอมให้เงินมันไปกินข้าวก่อนปียิ้มร่า วิ่งหายไปเมื่อได้ตามที่ต้องการ

“งั้นพวกมึงไปกินข้าว เดี๋ยวกูจะไปหาเดย์”

“เอาอีกละ ไปหาเดย์อีกแล้ว กูงอนมึงได้ไหมพ่อ” เวย์ว่า “ติดเกินไปไหมเนี่ยมึง ไม่กลัวเดย์อึดอัดหรือไงวะ”

“เออ ทำเป็นเด็กมัธยมที่ต้องเจอแฟนทุกเช้าก่อนเข้าแถว พักเที่ยง เบรก ตอนกลับบ้านไปได้”

“เรื่องของกูน่ะ ไว้เจอกันตอนบ่าย”

วินไม่ฟังเพื่อนบ่นไล่หลังมา รีบวิ่งไปยังตึกเรียนของทิวาที่อยู่อีกฝั่งกับตึกเรียนที่เขาเรียนอยู่ประจำ ขณะเดินก็แชทถามไปด้วยว่าตอนนี้เลิกหรือยังและอยากไปกินข้าวที่ไหน ทว่าความแปลกประหลาดก็คือวันนี้ไม่ว่าเขาจะส่งไปเยอะแค่ไหน ก็ไม่มีข้อความอะไรกลับมาเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่ปกติแล้วเขาส่งข้อความเช่นนี้ไป ทิวาจะชอบโมโหและรัวสติกเกอร์กลับมา ไม่ก็ตอบสั้นๆ ให้เขารู้ว่ายังไม่เลิกหรืออยู่ที่ไหนเสมอ

ผนวกกับความฝันที่ตามหลอกหลอนเขาก็ยิ่งใจไม่สงบ สุดท้ายก็ได้แต่แชทถามเพื่อนทั้งสองคนของทิวา ก่อนได้คำตอบว่าทั้งสามเลิกเรียนไปพักใหญ่แล้วและตอนนี้ทิวาไปหอสมุดกลางเพราะต้องไปคืนหนังสือ

วินรีบเลี้ยวกลับไปยังหอสมุดกลางทันที แอบนึกหงุดหงิดในใจเกี่ยวกับระยะห่างของทั้งสามตึก ตึกเรียนเขา ตึกเรียนทิวาและหอสมุดมันไกลกันเสียจนต้องเสียเวลาอยู่เหมือนกันกว่าจะวนอ้อมมาถึง มาเกือบครึ่งทางเขากลับพบว่าระหว่างที่เดินไปหอสมุดนั้นมีนักศึกษาเยอะกว่าปกติ ทุกคนมีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ละคนจับกลุ่มคุยกันแล้วเดินไปยังหอสมุดกลางด้วยท่าทีที่ทำให้วินใจไม่ดี

“ได้ยินว่ามีรถชนคนในม. ไม่รู้จริงไหม”

“ชนจริง เขาบอกว่าคนที่โดนชนไปช่วยแมว เลยโดนชนกระเด็น ไม่รู้เป็นไงบ้าง”

“ไม่กล้าเข้าไปดูอะ กลัว”

คีย์เวิร์ดที่เขาจับใจความได้จากกลุ่มคนที่เขาเดินผ่านทำให้วินเร่งฝีเท้าไปยังบริเวณที่มีกลุ่มคนหนาแน่นมากที่สุด สิ่งที่อยู่ในฝันถ่ายทอดออกมาเป็นฉากๆ รอยเลือด ทิวาที่ไม่ลืมตาและสุดท้ายก็จากไป ทำให้เขาหายใจไม่ออก ริมฝีปากอ้าหุบอยู่แบบนั้นแต่ไม่เสียงอะไรออกมา พยายามแหวกกลุ่มคนไปข้างหน้า หมายจะไปดูใบหน้าของคนที่ประสบเหตุ ส่วนในใจภาวนาเหมือนคนบ้าว่าขอให้ไม่ใช่ทิวา ขอให้ไม่เกิดอะไรขึ้นกับอีกคน

เขาจะไม่บ้าขนาดนี้ หากก่อนหน้านี้เขาติดต่อทิวาได้และไม่ฝันแบบนั้น

“รบกวนไม่เบียดเข้ามานะครับ ตอนนี้ต้องขอพื้นที่ให้เจ้าหน้าที่ดูแลคนเจ็บนะครับ”

“น้องครับเข้าไปไม่ได้ครับ...!!”

“เดย์”

“น้อง!! ใจเย็นครับ ถอยไปก่อนครับ” วินเหมือนคนหูดับไปแล้ว แม้จะโดนเจ้าหน้าที่ดันให้ออกไปจากบริเวณที่เกิดเหตุ แต่เขาก็ยังพยายามที่จะเข้าไปให้ได้ หางตาเหลือบไปเห็นรถที่ชนแล้วพบว่ามันไม่ต่างอะไรกับรถในฝันเลย ยิ่งทำให้เขาออกแรงและตะโกนเสียงดังมากขึ้น เรียกให้กลุ่มคนที่มุงเยอะอยู่แล้ว ยิ่งเข้ามาดูมากขึ้น มากขึ้น จนท้ายที่สุดเข้าก็หลุดเข้าไปด้านในได้

“เดย์!!”

“น้องรู้จักคนเจ็บเหรอครับ”

“ผมรู้จักครับ! ผมเป็น...”

“วิน?”

“...!”

ขณะที่เขากำลังจะพูดนั้น ด้านหลังของเขาก็พลันปรากฏน้ำเสียงที่เขาต้องการได้ยินมากที่สุดในตอนนี้ขึ้นมาเสียก่อน เมื่อหันไปมองก็พบว่าคือทิวาที่เขาจะเป็นบ้าตายเพราะไม่ได้พบและยังปลอดภัยดี เสื้อนักศึกษายังขาวสะอาดไม่มีร่องรอยเปื้อนเลือดหรือบาดเจ็บอย่างที่ฝัน ใบหน้านั่นมีแต่ความสงสัยและรีบเดินเขามารั้งให้เดินตามออกไป ปากบ่นก็ไม่หยุดถึงการกระทำของเขาที่กำลังรบกวนคนอื่น

“ตกใจอะไร ทำไมมายืนขวางเจ้าหน้าที่ตรงนี้”

“เดย์”

“อือ พวกอ้ายบอกอยู่ว่าวินจะมาหาที่หอสมุด ยืนรอตั้งนานไม่เห็นเจอ ได้ยินเสียงตะโกนคุ้นๆ เลยออกมาดู ทำไมไปตะโกนชื่อเดย์แบบนั้นแถมยังไปกวนเขาอีก”

สีหน้าของวินเหลอหลา พูดตะกุกตะกักจนถึงอยากดุ ทิวาก็ดุไม่ลงเสียแล้ว ยิ่งอีกคนหน้าซีดเผือดจับมือเขาแน่น เหมือนกลัวเขาจะหายไปไหนแบบนี้ เขาเลยพอจะเดาได้ว่าตอนที่อีกคนได้ยินว่ามีคนโดนรถชน คงจะนึกว่าเขาเป็นคนโชคร้ายคนนั้น

ทิวารีบพาวินไปนั่งที่ม้านั่งไม่ไกลจากจุดที่เกิดอุบัติเหตุ ลูบไหล่ที่ยังสั่นอยู่นิดๆ พร้อมกับบีบมือตอบคนที่ตอนนี้ก็ยังรวบรวมสติไม่ค่อยได้เบาๆ คอยพูดให้ได้ยินว่าเขาไม่เป็นไร เขายังอยู่ตรงนี้

“วิน...คิดว่า”

“คิดว่าเดย์โดนรถชนเหรอ”

“อือ”

“...”

“ช่วงนี้วินฝันไม่ดี ฝันเห็นเดย์ตาย...ก็เลยกลัว”

“อ้อ นี่อย่าบอกนะว่าเพราะงี้เลยคอยมาตามติดตลอดเวลาแบบนี้”

เห็นวินไม่ค้านอะไร ทิวาก็ทั้งฉุนทั้งขำกับความคิดของอีกคน แต่อีกใจก็อดอ่อนใจไม่ได้ที่อีกคนอยากเจอเขาเพราะกลัวเขาจะเป็นอะไรไป แม้จะอยากปลอบเท่าไหร่ ทว่าตรงนี้ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะเสียเท่าไหร่ เลยได้แต่บอกให้อีกคนใจเย็นๆ และนั่งเป็นเพื่อนแบบนั้นจนสีหน้าของวินค่อยๆ ดีขึ้นและกลับเป็นปกติในที่สุด

หลังรวบรวมสติที่ตกหล่นตามทางได้ครบ คราวนี้วินก็กลับมาให้ความสนใจกับอุบัติเหตุตรงหน้าต่อ แม้ระดับความสนใจจะน้อยลงไปจากตอนแรก ทว่าเขายังคาใจนิดหน่อยกับชั่วพริบตาที่เขาเห็นใบหน้าของคนเจ็บ เหมือนคุ้นๆ ยังไงก็ไม่รู้

“จะไปไหนอีก”

วินชี้ไปยังรถพยาบาลที่กำลังเคลื่อนย้ายคนเจ็บขึ้นรถไป “ไปดูหน้าคนเจ็บ”

“ไปทำไมอีก ไม่เห็นเหรอว่าเขามองค้อนวินอะ เมื่อกี้ดื้อจะไปดูให้ได้ เดี๋ยวเขาก็โกรธจริงๆ หรอก”

“แต่...”

“แต่อะไร”

“วินเหมือนจะเห็นว่าเป็นน้องไอ้ไป๋อะ”

“จริงดิ” คราวนี้ไม่รอให้วินพาเดินไป แต่ทิวาเป็นฝ่ายรีบสาวเท้าไปยังรถพยาบาลทันที และเมื่อพูดคุยเกี่ยวกับการขออนุญาตดูหน้าผู้บาดเจ็บเผื่อเป็นคนที่พวกเขารู้จักได้สำเร็จ ทิวาและวินก็ได้เข้าไปดูใบหน้าคนเจ็บสมใจ

และก็เป็นอย่างที่วินเห็น คนที่นอนไม่ได้สติตรงหน้าพวกเขาคือปี น้องชายของไป๋จริงๆ

วินจึงรีบติดต่อไป๋ให้รีบตามไปยังโรงพยาบาลและแจ้งอาจารย์แทนว่าเพื่อนของเขาคงไม่สามารถไปเรียนคาบบ่ายได้ เพราะต้องไปคอยดูอาการน้องชายคนเล็กที่เพิ่งโดนรถชนที่โรงพยาบาล หลังมองส่งรถพยาบาลที่มีน้องชายเพื่อนรักไปจนสุดสายตาแล้ว เขาก็กลับมามองคนข้างตัวที่หน้าบูดจนเห็นได้ชัด น่าจะทั้งร้อนทั้งหิวด้วยล่ะมั้ง นี่ก็บ่ายโมงแล้ว แต่พวกเขาสองคนยังไม่ได้กินอะไรเลยทั้งคู่

“เดย์กินข้าวยัง”

“ยังไม่ได้กิน หิวจะตาย”

“งั้นไปกินข้าวกัน”

“ก็ต้องเป็นแบบนั้นไหม” คนข้างตัวบ่นยับ นอกจากโมโหหิวแล้วยังโมโหที่เขาใจร้อน เดินไปบ่นไปจนเกือบถึงร้านข้าวนั่นแหละถึงได้เพลาลงๆ ทำเอาวินอดนึกถึงแม่เขาไม่ได้เลย เวลาบ่นนี่ทิวาอย่างกับเป็นแม่อีกคนของเขาเลย

“ทีหลังก็ใจเย็นๆ ติดต่อแชทไม่ได้ก็โทร อย่าคิดไปเอง”

“ครับๆ ไม่ใจร้อนแล้ว ไม่โมโหนะ”

“เฮ้อ”

“ขอโทษ คนมันกังวลนี่หว่า”

ทิวาเหลือบมองเขาครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “...ก็เคยบอกแล้วไงว่าจะดูแลตัวเองดีๆ สัญญาไว้แล้วนี่”

“ไม่ได้ผิดสัญญาเลย จะกลัวทำไม”

‘กลับไปแล้วต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ’

‘อืม’

เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นในหัวซ้อนทับภาพตรงหน้า เหมือนเทปความทรงจำในหัวสมองค่อยๆ กรอกลับ เห็นเรื่องราวต่างๆ ที่เขาไม่เคยทำ เห็นตัวเอง เห็นพวกไป๋ เห็นทิวา...ก่อนจะจบลงด้วยประโยคที่เขาบอกให้อีกคนดูแลตัวเองดีๆ และสักวันหนึ่งพวกเขาจะกลับมาพบกันอีกครั้ง

ทั้งหมดนั้นคล้ายความฝันแต่ก็เหมือนเกิดขึ้นจริงจนวินอดเชื่อมโยงกับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ไม่ได้

บางทีที่เขาเคยพูดอาจจะจริงก็ได้

บางทีเราคงเคยพบกันมาก่อน...และนี่คืออีกครั้งทีได้พบกัน แต่ครั้งนี้จะไม่จบด้วยการจากลาแบบครั้งที่แล้ว

“วิน? เป็นอะไรอีก จู่ๆ ก็เงียบไปเลย”

“ไม่มีอะไรๆ ไปกินข้าวกัน หิวแล้ว” แม้รู้ดีว่าอีกคนไม่เชื่อที่เขาพูดว่าไม่มีอะไร แต่ทิวาก็ยังตามใจเขา ยอมเดินไปยังโรงอาหารต่อ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเอาเขายิ้มไม่หุบ

“อือ วันนี้อยากกินข้าวผัดกุ้ง”

 “ทิวา”

“ว่า”

“เดย์”

“อะไรอีก”

“...”

คนโดนเรียกแต่ไม่มีคำพูดอะไรต่อจากชื่อตัวเองชักจะหงุดหงิด ส่วนคนที่เรียกก็เอาแต่ยิ้มหน้าเป็น ทั้งยังดีใจอะไรของเขาก็ไม่รู้ มองแล้วหงุดหงิดชะมัด วินฉวยโอกาสระหว่างเดินขึ้นไปชั้นสองที่คนบางตาโอบเอาทิวามากอดแน่นชั่วครู่แล้วผละออกมามองหน้าเหวอๆ ของอีกคนแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม

“ทะ...ทำอะไร”

“จากนี้ฝากตัวด้วยนะ”

“...”

“มาอยู่ด้วยกัน จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายเลยนะ”

“...เพ้อเจ้อ”

ทิวาข่มความร้อนที่แผ่ไปเต็มแก้ม รีบเดินหนีคนที่เอาแต่มองเขาด้วยสายตายิ้มๆ โดยมีวินเดินพันหน้าพันหลัง ร้องขอให้เขารับปากว่าจากนี้จะอยู่ด้วยกัน จะมีความสุขและอีกสารพัดที่อีกคนจะพูด มันทำให้เขาทั้งอายและนึกอยากจะยิ้มออกมากว้างๆ ในทีเดียวกัน

เพราะไม่ใช่แค่วินที่เฝ้ารอให้วันนี้มาถึง เขาเองก็เช่นกัน

“เดย์ พูดหน่อยสิ”

“จะกินข้าว”

“คำเดียว! โอเค ตกลง อะไรก็ได้ นะ!”

“มันคำเดียวที่ไหน” โอเคหรือตกลงมันก็สองคำไม่ใช่หรือไง

“เดย์ครับ”

มองใบหน้าหงอยๆ ข้างตัวแล้ว ทิวาก็ได้แต่ถอนหายใจรอบที่ร้อยของวัน “...ได้”

“...”

ถึงทิวาและมาวินในอีกโลกหนึ่งที่ไม่วันพบกันอีก

ถึงตัวเองที่ผิดหวังและเสียใจจากการที่ไม่ได้พบกันตลอดกาล

วันนี้ทุกอย่างจะไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้ว

“จากนี้ไป มาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขเหมือนที่เคยสัญญากันไว้กันนะ”

และถึงตัวเองในอนาคตข้างหน้า พวกเขาในวันนี้จะมีความสุข

ขอบคุณและดีใจที่เคยพบกัน

หวังว่าจะมีความสุขเหมือนกันนะ

ทิวาเอง

 





ระยะห่างระหว่างเราจะเป็นศูนย์ ความเศร้าจะเหือดแห้ง

และในท้ายสุดความรักที่เคยหยุดชะงักจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

ในยามที่เราได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งเหมือนที่เคยเฝ้ารอ

 

(จบบริบูรณ์)

 



---------------------------------------------------------------------------------------------------------

ขอบคุณสำหรับที่ผ่านมาค่ะ :)

NAVY

 
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะสุดท้าย ★ 31/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 31-01-2020 21:50:35
 :pig4: :pig4: :pig4:

อ่าว...จบซะแระ

จบปลายเปิดแบบนี้

หรือว่าเหตุการณ์ทุกอย่างถูกแก้ไขไปแล้ว  น้องแมวก็อยู่ในวังวนนี้ด้วย

แต่...หรือว่าคนขับรถชนคือ...
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะสุดท้าย + กาลครั้งหนึ่ง ★ 31/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: KarmaNavy ที่ 01-02-2020 00:11:38
กาลครั้งหนึ่ง

ณ ช่วงเวลาที่เคยหยุดเดิน

บัดนี้พวกเขาจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง








“ในเมื่อมันจบแบบนี้แล้ว พวกเราจะเป็นยังไงต่อ”

“ก็ไม่เป็นไง ก็ใช้ชีวิตต่อไป” โรมว่าแล้วเดินออกจากโต๊ะทำงานที่นั่งอยู่ทั้งบ่าย ขีดเขียนเรื่องราวหลายร้อยปีที่ผันผ่านร่วมกันมากับคนที่ตั้งคำถาม แม้จะไม่ได้เต็มใจในคราแรก แต่เมื่อมันดำเนินมาถึงจุดจบ เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การมีตัวตนของอีกคนทำให้เขายินดีอยู่ลึกๆ

การมีชีวิตอยู่มันยาวนานเกินไป ท่ามกลางช่วงเวลาที่เหมือนหยุดหมุนของพวกเขาและทำได้แค่เพียงมองคนที่รักค่อยๆ ตายจากครั้งแล้วครั้งเล่า มันทำให้โรมเกือบเป็นบ้า แอบคิดเสียด้วยซ้ำว่า ถ้าหากไม่มีซานและเจ้าแมวอ้วนนั่น บางทีเขาคงจะฝังตัวเองอยู่กับอดีตไม่ยอมก้าวต่อเป็นแน่

ซานก้มมองเจ้าขาวในอ้อมกอด กระชับกอดแน่นขึ้นจนมันส่งเสียงร้องประท้วง ทว่าก็ไม่มีทีท่าจะยอมปล่อย มันจึงเลิกร้องโวยวายและเปลี่ยนเป็นเอาหัวถูไถเจ้านายมันแทน

นี่ไม่ใช่ครั้งแรก เนิ่นนานที่เจ้าของมันก็มีช่วงเวลาที่ดื้อดึงและไม่สนสิ่งใด

โดยเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวกับคนคนนั้น

“ทำไมถึงเป็นเขาที่โดนรถชน”

โรมหันมามองสีหน้าสีเผือดของซานที่ซ่อนอยู่ในความมืด ก่อนจะเบือนหน้าหลบ เมื่อรู้สึกว่าไม่อาจมองสบกับดวงตาที่มีแต่ความทรมานนั่นได้อีก “…มันเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่เกิดกับทิวา มันก็ต้องเกิดกับคนอื่น”

“ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมเด็กคนนั้นถึงได้โผล่มาแล้วกลายเป็นคนเคราะห์ร้ายแทน แต่นายก็ควรดีใจนะ ที่เจ้าแมวนี่ช่วยเขาเอาไว้ ไม่อย่างนั้น”

“…”

“วันนี้คนที่ต้องตายคงเป็นเขา”

“…”

“นายจะเอาไงต่อ”

“คุณพูดถึงอะไร”

“อนาคต”

ซานหลุบตาลงมองพื้นก่อนจะถอนหายใจ “คำนั้นมันเคยอยู่ไกลจากผมมากๆ จนไม่เคยคิดเอาไว้เลย คง…เหมือนเดิมล่ะมั้งครับ แล้วคุณล่ะ”

“ฉันจะไปหาเขา”

“อา…งั้นหรือครับ”

“…”

“คงต้องแยกกันตรงนี้สินะครับ”

โรมหัวเราะ “แยก? เอาอะไรมากแยกกัน”

“นายไม่รู้หรือแกล้งโง่กันแน่”

“…”

“เธอคนนั้นของฉันคือพี่สาวเขา เหมือนที่เคยเป็นมาตลอด แล้วอย่างนี้จะแยกกันได้ยังไง ยังไงก็ต้องมีวันได้เจอกันอีกอยู่ดี ยกเว้นก็แต่นายจะปอดแหก ไม่กล้าไปเจอเด็กนั่นน่ะนะ”

“ผม…”

“ซาน”

“ครับ”

“นายไม่ใช่ทาสของพวกเราอีกแล้ว”

“…”

“และสำหรับเด็กคนนั้น นายก็ไม่ใช่อะไรที่ต้อยต่ำเช่นนั้นมาตั้งแต่แรก เพราะงั้นเงยหน้าขึ้นซะ”

“…”

“ได้เวลาที่พวกเราจะเดินหน้าแล้วคว้าเอาสิ่งที่ต้องการเสียที”


————————————————-



(โปรดติดตามที่ Once upon a time กาลครั้งหนึ่ง…คุณคือความรัก)

แล้วเจอกันค่ะ :)
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะสุดท้าย+กาลครั้งหนึ่ง ★ 31/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 01-02-2020 01:00:22
 :pig4: :pig4: :pig4:

โรมหรือซานที่จะไปหาคน ๆ นั้น

ป.ล. โรมคือใคร?
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะพิเศษ ★ 22/02/63
เริ่มหัวข้อโดย: KarmaNavy ที่ 22-02-2020 13:24:41
ผมน่าจะรั้งเขาเอาไว้ น่าจะทำแบบนั้น ทั้งที่จริงผมทำไม่ได้

เขาจะไป ผมจะเอาอะไรไปรั้งได้กัน

เขาไม่ได้ต้องการความรักจาก ‘ผมคนนี้’ แต่ต้องการจาก ‘ผมอีกคน’ ต่างหาก

 









ตกหลุมรักระยะพิเศษ : ‘Cause You Are







แรกเริ่ม มันเป็นเพียงการคว้าจับอันเลื่อนลอย

คว้าจับความว่างเปล่า เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป

“เตรียมตัวอีกครึ่งชั่วโมงจะขึ้นเวทีนะครับ”

“ได้ครับ”

“โอเคไหมวิน” จินเดินมาหาแล้ววางมือบนไหล่ “ถ้าไม่โอเค…”

“ได้ ไม่มีปัญหาอะไร ทุกอย่างเรียบร้อยดี”

ปากดี

อะไรเรียบร้อย อะไรไม่มีปัญหา ปากดีเหลือเกิน

เหมือนที่เขาเคยด่าเอาไว้ไม่มีผิด

“จิน มานี่”

“แต่…”

ไป๋ส่ายหน้าแล้วเรียกให้จินไปหา ซึ่งผมก็พยักหน้า จินจึงยอมเดินไปหาไป๋แต่โดยดี แม้ว่าสีหน้าจะไม่ได้คลายความเป็นห่วงเลยก็ตาม

“ไม่ต้องพูดอะไรกับมันแล้ว”

“ไป๋ วินไม่โอเค”

“รู้”

“เมื่อวาน…วินร้องไห้จนตีสาม คงคิดถึงเดย์”

“…”

“…”

“มันต้องผ่านไปให้ได้... ‘ต้อง’ ทำให้ได้ด้วยตัวมันเองเท่านั้นแหละจิน”

“อืม”










-------------------------------------------------------------------------------------------------------











ทัวร์ของพวกเราเริ่มต้นได้อาทิตย์กว่าๆ แล้ว การตอบรับของแฟนๆ และเสียงวิจารย์เป็นไปในทางที่ดี เหมือนทุกอย่างกำลังพุ่งทะยานไปข้างหน้า อย่างที่ใครเคยพูดเอาไว้ว่าพวกผมจะก้าวหน้าไปไกลว่าแบนด์ไหนเคยมีมา ผมเคยดีใจ แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังดีใจและมีความรู้สึกว่ามันคุ้มค่าที่พยายามมาตลอด แต่เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นมา มันได้บั่นทอนความดีใจและความสุขเหล่านั้นไปมากพอสมควร

เพียงแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น

คล้ายว่าทุกคนได้หลงลืมและจำไม่ได้เสียแล้วว่าในบ้านของพวกเรา เคยมีใครอีกคนอยู่ด้วย

เป็นอีกครั้งที่ผมแยกตัวจากงานฉลองเล็กๆ คั่นช่วงพักสั้นๆ ก่อนเริ่มทัวร์ไปโซนต่อไป ผมเดินกลับไปยังห้องพักในโรงแรม โดยมีสายตามากมายมองตามหลัง ทั้งแววตาสงสัยและแววตาที่ผมรู้จักมันเป็นอย่างดีจากเพื่อนของผมเอง ...ความสงสาร

พวกเขาคงคิดว่า มันเป็นช่วงเวลาที่พอเหมาะพอเจาะกับช่วงเวลาครบรอบวันที่เดย์จากไป พวกเขาจึงคิดว่าผมรู้สึกไม่ดีและยิ้มไม่ค่อยออก แม้ว่าคอนเสิร์ตจะผ่านไปด้วยดี ทว่ามันไม่ใช่เลย

คนที่พวกเพื่อนของผมคิดคือเดย์ที่ตายจากไป

แต่เดย์ที่ผมหมายถึง หมายถึงเดย์คนนั้นที่ยังมีชีวิตและยังคงดำเนินชีวิตของตัวเองอยู่ในช่วงเวลาของเขาต่อไป โดยคงจะหลงลืมแล้วว่าช่วงเวลาสั้นๆ ครั้งหนึ่งเคยมายืนอยู่ตรงหน้าผม สร้างปาฏิหารย์และความทรงจำที่ดีให้กับผม แม้ว่าจะเป็นความสุขที่ปะปนไปกับความเศร้าก็ตาม

 








-------------------------------------------------------------------------------------------------------











ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าวงดนตรีวงหนึ่งที่ไม่เคยอยู่ในความคิดของผมมาก่อน จะเป็นบทเพลงที่ผมลืมไม่ลงไปชั่วชีวิต เมื่อได้ฟังมันไปกับใครคนหนึ่งที่ผมไม่คิดจะรัก

มันเป็นช่วงแย่ๆ หลังติวสอบที่เพื่อนของผมร่ำร้องอยากจะไปปลดปล่อยด้วยการแหกปากท่ามกลางคนมากมาย ไปพร้อมกับวงดนตรีโปรดที่จะมาแสดงในวาระที่หอสมุดครบรอบ 50 ปี แม้จะไม่เต็มใจยังไง แต่เพราะผมตามใจพวกมันจนชิน เลยยอมตามมาอย่างเสียไม่ได้ แม้ว่าจริงๆ แล้วผมอยากจะนอนเพราะเพลียจากติวมากแค่ไหนก็ตาม

ไอ้เวย์แหกปากไม่หยุด พูดสรรเสริญความดีงามของวงวีอาร์ตั้งแต่เพลงแรกยันเพลงสุดท้ายให้ผมที่ไม่อินเท่าไหร่ฟัง ยิ่งผมยืนนิ่ง มันก็ยิ่งพูด จนสุดท้ายก็ได้แต่ผลักหัวให้มันไปห่างๆ ไม่ก็ไปกรอกความดีงามนั่นให้คนอื่นแทน รำคาญจะตาย

แถมคนก็เยอะชิบหาย อึดอัด

ซึ่งด้วยเหตุผลนั้นเอง ในตอนที่เพื่อนของผมพยายามจะเบียดแทรกให้ตัวเองได้ไปอยู่ด้านหน้าสุดของหน้าเวทีแสดง ผมก็ได้ถูกคลื่นมหาชนและฝ่ามือของใครคนหนึ่งฉุดรั้งจนกระทั่งไหลไปอยู่ด้านหน้าสุดจนได้ ผมมองตามมือของตัวเองที่ถูกมือของคนไม่รู้จักจับเอาไว้ ไล่มองตั้งแต่มือเรียวไปจนเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่ตื่นเต้นจนหายใจไม่เป็นจังหวะ ทั้งยังระเบิดเสียงตะโกนสู้กับเสียงเทสเครื่องดนตรีและเสียงกรี๊ดจากรอบตัวพวกเราไปด้วย

“มึงงง นั่นพี่กั๊ป!! ไอ้เหี้ย โคตรเท่! มือกีต้าร์ที่หนึ่งในใจกู”

“...” ใครถามไม่ทราบ

“พี่ตูมตามของมึงก็เท่ อยากอัดวิดิโอจังวะ แต่ถ้ากูอัดกูกระโดดไม่ได้แน่ๆ มึงว่างั้นไหม”

“...” จะกระโดดโลดเต้นหรือจะตีลังกาก็เรื่องของมึงครับ แล้วไอ้พี่ตูมตามที่มึงว่านี่ใครคนไหน กูยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำโว้ย

“อ้าย? ไมเงียบไปวะ...”

“ขอโทษนะ แต่กูไม่ได้ชื่ออ้าย”

เมื่อสบจังหวะ ผมจึงรีบเอ่ยปากแสดงตัวทันที ก่อนที่คนข้างตัวที่เด๋อด๋าจนลากคนมาผิดคนนี้จะพูดรัวๆ จนคนอื่นฟังไม่ทัน (และไม่อยากฟังด้วย) แล้วไม่มีโอกาสพูดอีก

ทันทีที่ผมพูดจบคนคนนั้นก็หันมาหา ด้วยความสูงของพวกเราพอๆ กันอีกทั้งบริเวณที่เราสองคนยืนอยู่ใกล้เวทีมากๆ แสงสีบนนั้นจึงสะท้อนและทำให้ผมได้เห็นใบหน้าของเขาชัดเจน ดวงตากลมดำสนิท เส้นผมสีเข้มปัดข้างแต่ยุ่งเหยิงอยู่เล็กน้อย อาจเพราะวิ่งมาที่นี่ มันจึงไม่ค่อยเรียบร้อย ริมฝีปากชุ่มชื้นที่อ้ากว้างประหนึ่งถูกยัดไข่ไก่ฟองโตเอาไว้ มันน่าตลกมากๆ แต่ผมก็ได้แค่กลั้นขำเอาไว้และตีสีหน้าเข้มๆ วาดตาดุกวาดมองไปยังมือของเราทั้งสองที่ยังจับกันอยู่

“แล้วก็...จะบอกว่ามึงดึงมาผิดคนแล้ว”

“...”

เขานิ่งค้างอยู่แบบนั้นพักใหญ่กว่าจะเอ่ยปากถามถึงเพื่อนตัวเองที่ไม่รู้หายไปไหน (เช่นเดียวกับเพื่อนของผม ซึ่งผมว่า ตอนนี้มันไม่มีความคิดที่จะตามหาผมกันแน่ๆ ...เพื่อนสารเลว) แต่ก่อนพวกเราจะแยกออกกลับไปเป็นคนแปลกหน้าเช่นเดิม เสียงดนตรีก็ดังกระหึ่มขึ้นมาเสียก่อน ทำให้ความสนใจของคนข้างกายผมกลับไปยังเวทีและเฝ้ามองคนบนนั้นไม่วางตา

ดวงตาคู่นั้นที่สะท้อนแสงสีและสะท้อนความหลงใหลให้กับคนบนเวที มันดูสวยงาม จนผมไม่อยากจะคิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะรู้สึกว่า ดวงตาของคนคนนี้งดงามกว่าดวงตาทุกคนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของผม ผมมองเขาร้องเพลงทุกเพลงที่คนบนเวทีร้อง กระโดดตามในจังหวะสนุกไปพร้อมกับคนอื่น สนุกไปกับมันจนรอยยิ้มขยายกว้าง กลายเป็นแก้มกลมๆ ยกดันจนดวงตาหยีโค้งแสนน่ารัก ทำเอาผมมองตามจนเพลินเสียยิ่งกว่าวงดนตรีข้างหน้าซะอีกแน่ะ

เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นวนเวียนไปมาจนเพลงสุดท้ายมาถึง เขาจึงชะงักเหมือนเพิ่งนึกได้ว่ามีผมอยู่ข้างตัว ต่างคนต่างมองหน้ากัน รอยยิ้มไร้ที่มาก็ระบายอยู่ที่มุมปากของเราทั้งคู่ แต่อาจจะต่างกันที่เหตุผล เขาอาจจะยิ้มด้วยสักเหตุผลที่ผมไม่มีวันรู้ แต่ผมยิ้ม...เพราะเขา

เขาที่ไม่ได้สะดุดตาและทำให้ผมสงสัยจนทุกวันนี้ว่าทำไมจึงต้องเป็นแค่เขาเท่านั้นที่ผมไม่สามารถละสายตาจากไปไหนได้

“ชอบวีอาร์เหรอ” ผมถาม อันที่จริงไม่ถามก็พอจะรู้อะนะ ซึ่งเขาก็เหมือนจะตกใจนิดหน่อยที่จู่ๆ ผมก็ถามเช่นนั้น

“ห๊ะ...อ่อ ใช่ ชอบมาก”

“อ้อ”

“...”

แล้วเราก็เงียบไปแบบนั้นเสียดื้อๆ

ช่วยไม่ได้นี่นา ปกติแล้วผมก็ไม่ใช่คนพูดเก่งอะไรถ้าไม่สนิทด้วย อีกทั้งในกลุ่มเพื่อนที่อยู่ด้วยกัน ก็มีทั้งไอ้เวย์และไอ้แคทจอมโวยวายอยู่ เลยชินกับการฟังมากกว่าพูดจนกลายเป็นคนพูดไม่เก่งไปเลย กระนั้นก็ไม่อยากให้มันจบแค่ประโยคห้วนๆ นั่น เลยพยายามถามอะไรออกไปและยังเป็นคำถามที่กลายเป็นสิ่งตัดสินอนาคตระหว่างเราไปด้วย

ว่าเราจะได้พบกันอีกหรือเปล่า

“พรุ่งนี้จะมาอีกไหม”

“มาดิ” เขาตอบเร็วมาก กระตือรือร้นจนผมอมยิ้ม มือไม้ที่พันกันไปมาเหมือนทำตัวไม่ถูก ทำให้ผมนึกอยากแกล้งเขาขึ้นมา แต่ก็ได้แต่กดความคิดนั้นเอาไว้และรอฟังเขาพูดต่อแทน

“วีอาร์...มาทั้งที จะไม่มาได้ไง”

“งั้นก็เจอกันพรุ่งนี้” ตอนที่พูดผมก้มมองมือของเราที่กุมกันไว้หลวมๆ แล้วปล่อยมันออกจากกัน ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร ทั้งที่จริงๆ แล้วแว่บหนึ่ง ผมรู้สึกใจหายจนต้องกำมือตัวเองไว้ ไม่ให้สัมผัสอุ่นจางที่กลางฝ่ามือจางหายไป ส่วนอีกมือ ก็ยื่นไปดีดหน้าผากเขาหนึ่งทีแล้วจึงค่อยเดินจากมา

 “ถ้าบังเอิญเจอกันนะ”

ผมไม่ได้หันกลับไป เพราะดันไปสังเกตเห็นเพื่อนของผมกำลังตามหาผมอยู่และยังไม่ต้องการให้ไอ้พวกนั้นพบว่าผมมายืนดูดนตรีที่ไม่ได้ชอบกับคนไม่รู้จักอยู่นานสองนานเช่นนี้ เชื่อว่าปากสว่างๆ แบบพวกมันไม่มีทางปล่อยให้มันจบแค่ผ่านไปแน่นอน

“มึงไปไหนมาวะวิน พวกกูตามหาซะทั่ว”

ผมมองใบหน้ายิ้มแย้มชื้นเหงื่อของไอ้เวย์แล้วหรี่ตามองเหมือนไม่เชื่อ “อย่างมึงอะเหรอจะตามหากู?”

“ก็กูนี่แหละที่สังเกตเห็นว่ามึงหายไปอะ!”

“สังเกตตอนไหน”

“...ก็ตอนเพลงสุดท้าย”

“ถุย! รักกูเหลือเกิน หายไปตั้งแต่เพลงแรก แต่มาสังเกตเอาเพลงสุดท้าย”

“แหม พ่อ ช่วงเวลาอันเมามัน ก็มีบ้างที่จะลืมคนข้างตัว” เวย์ว่าพลางกระแซะแขน สีหน้ามันน่าตบหัวทิ่มเป็นที่สุด โดยเฉพาะแววตารู้ทันนั่น ทำให้ผมรู้ว่า แม้จะพยายามรีบปลีกตัวออกมาจากคนนั้น ก็ไม่พ้นสายตาเพื่อนของผมอยู่ดี “แต่เหมือนพ่อจะไม่เป็นแบบนั้นใช่ป่ะ เห็นน้า ใครเอ่ย? กิ๊กใหม่รึพ่อ”

“ใครพ่อมึง”

“อย่ามาเบี่ยงประเด็น ใคร! ยืนดูคอนด้วยกันแบบนี้ มันไม่ธรรมดานะนิ”

“เรื่องของกู”

“โหยยย สักนิดน่าวิน ใครวะ พวกกูไม่คุ้นหน้าเลย”

ผมไม่ตอบและรีบสับขาเดินหนี แม้ว่าหลังจากนั้นพวกมันจะโวยวายถามหาตลอดเวลาเลยก็ตามว่า คนที่ผมยืนดูและคุยอยู่ด้วยคนนั้นเป็นใคร ทว่าก็ไม่มีคำตอบใดๆ จากผม ไม่ใช่แค่เพราะไม่อยากตอบ แต่อีกส่วนหนึ่งเพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเป็นใคร

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมจึงได้มายืนอยู่ต่อหน้าเขาอีกครั้ง ในคอนเสิร์ตวันที่สองเช่นนี้

มายืนอยู่ต่อหน้าเขา ยิ้มและพูดคุยกับเขาในเรื่องที่ไม่คิดจะคุยกับคนอื่น

รวมไปถึง

“ชื่อเดย์ แต่บางทีเพื่อนก็เรียกว่าทิวา”

ใจไม่รักดีที่เฝ้าแต่จะรอคอยวันต่อไป เพื่อให้ได้พบกับเขาอีกครั้ง

เหมือนกับชื่อของเจ้าตัว

ทั้งที่กาลเวลามักผ่านไปรวดเร็วเมื่อเรามีความสุขและในบางครั้งเราก็มักจะหลงลืมบางสิ่งที่ผ่านเข้ามา แต่ทำไมก็ไม่รู้ที่ทิวาเป็นความทรงจำเพียงอย่างเดียวที่ยังเด่นชัด เป็นสีสันเพียงอย่างเดียวท่ามกลางความทรงจำมากมายในหัวสมองของผม ถึงแววตาที่ผมชอบในวันแรกที่พบกัน สีหน้าตอนเขาบอกว่าตัวเขาไม่ได้เข้ามายืนอยู่ต่อหน้าผมด้วยความรู้สึกฉันท์เพื่อนและรอยยิ้มเมื่อผมบอกว่า ผมเองก็คาดหวังกับความสัมพันธ์นั้นเช่นกัน

ยังจำได้ดีถึงสีหน้าตื่นๆ ในเช้าวันแรกที่ได้พบกันอีกครั้งของเราสองคน เสียงหัวเราะและท่าทางดีใจตอนที่ผมบอกว่าเพลงแรกที่ผมแต่งจะมอบให้เขาในยามเย็นที่เรามักพบกันและคล้ายจะเป็นช่วงเวลาของเราสองคน รวมไปถึงคำบอกลาที่ว่าเราจะมาพบกันใหม่ในวันรุ่งขึ้นนั่นด้วย

แม้ว่าวันพรุ่งนี้จะมาไม่ถึงก็ตาม

อาจเพราะผมไม่อยากจดจำมัน ความทรงจำในวันนั้นจึงเหมือนขาดหายไปจากหัวของผม เห็นเป็นเพียงบางฉากตอนที่ไม่อาจลบเลือน ไม่มีใครรู้ว่ารถคันนั้นเกิดอะไรขึ้นถึงได้ขับด้วยความเร็วเกินกำหนดทั้งที่อยู่ในสถานศึกษาและเช่นกันที่ไม่มีใครรู้ว่า ในบรรดานักศึกษาที่บาดเจ็บนั้นมีใครอยู่บ้าง

แต่ผมรู้ดี แม้ในตอนนั้นใบหน้าของคนที่ผมรักจะเต็มไปด้วยเลือด ก็ยังคงจดจำได้เป็นอย่างดี

แล้วหลังจากนั้นผมก็ไปอยู่ที่โรงพยาบาลทั้งเสื้อที่เปื้อนเลือดของทิวา นั่งฟังเสียงร้องไห้ของเพื่อนทิวา ครอบครัวของเขา ลิ้มรสชาติขมๆ ของน้ำตาตัวเองที่อาบแก้มขณะที่ฟังถึงอาการของเขา รวมไปถึงความเสียใจที่แผ่ออกมาจากสายตาของหมอที่ทำการรักษา เมื่อสุดท้ายไม่อาจยื้อให้ทิวาตื่นขึ้นมาได้อีก

เขาไม่สามารถตื่นขึ้นมาและยิ้มให้ผมได้อีกแล้ว

ครอบครัวและเพื่อนทั้งสองคนของทิวาเกือบจะเซ็นอนุญาตให้ถอดเครื่องมือ หวังจะให้ทิวาพ้นจากความทรมานไวๆ ถ้าหากผมไม่เป็นคนยั้งความคิดนั้นของพวกเขาเสียก่อน

ได้โปรด อย่าเพิ่งเอาเขาจากไป

“ขอร้องล่ะครับ ผมขอเวลา”

ถึงพระเจ้าที่น่าชังและถึงใครก็ตามที่กำหนดชะตาน่าทุเรศนี่ให้กับทิวา

“เธอเป็นคนพาทิวากับเพื่อนคนอื่นๆ มาโรงพยาบาลใช่ไหม”

“ขอบคุณมากนะจ๊ะ แต่ว่าเรื่องนี้...”

“ผมขอสามเดือน!”

“...”

ได้โปรด ช่วยประทานพรอันน่าเหลือเชื่อให้กับผมที

“ถ้าหาก...ถึงเวลานั้นแล้ว ผมจะไม่ขอร้องอะไรอีกแล้ว”

“...”

“ได้โปรดเถอะครับ”

“เธอเป็นอะไรกับทิวา”

ผมนิ่งไปกับคำถามนั้น นั่นสิ ผมเป็นอะไรกับเขา ถึงได้หน้าด้านจะห้ามไม่ให้ครอบครัวของเขาเซ็นอนุมัติให้ทิวาได้จากไป เราไม่ใช่คนรักกัน เพราะหวังจะค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์ อีกทั้งสำหรับผมแล้วสถานะไม่ใช่สิ่งที่สำคัญอะไร เพราะผมมีแค่เขา แต่เพราะแบบนั้นมันเลยทำให้ผมกลายเป็นคนที่น่ากระอักกระอ่วนต่อหน้าพวกเขา บางทีวันนั้นผมคงจะโดนปฏิเสธไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเพื่อนคนหนึ่งของทิวายอมเอ่ยปากช่วยอีกคน

“คุณน้า ผมเอง...ก็ขอร้องอีกคนครับ”

ดวงตาของคนคนนั้นไม่มีความหวังแล้ว แต่ก็ยังยืนยันที่จะให้ทิวาอยู่ต่อไป แม้จะเพียงแค่สามเดือนก็ตาม

ในช่วงเวลาแสนสั้นนั้น ผมกับเพื่อนทั้งสองคนของทิวาเคยเจอกันบ้าง แต่น้อยครั้งจะพูดคุยกัน เพราะทิวาไม่ได้พาผมไปเจอเพื่อนของเขาหรือหากเจอก็เป็นเพียงบังเอิญ พวกเขามักจะเข้ามานั่งเงียบๆ แล้วก็ออกไป ไม่มีคำพูดหรือการกระทำใดๆ ต่อเพื่อนรักของพวกเขาที่นอนอยู่

หากจะมีคำพูด...ก็เป็นเพียงคำพูดที่ครั้งหนึ่งทิวาเคยพูดและส่งต่อมายังผมเท่านั้น

“มันชอบคุณมากนะ”

“...”

“ดีใจเหมือนกันที่สุดท้ายแล้วความรู้สึกมันไม่ได้ศูนย์เปล่า”

“...”

“แต่อย่าลืมมีชีวิตต่อไปล่ะ มันคงไม่ดีใจหรอก ถ้าคุณผูกติดกับมันแบบนี้ไปตลอดชีวิต”

ง่ายดายเหลือเกินกับคำพูดนั้น ผมมองพวกเขาเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันกลับมามองคนที่ผอมลงทุกวัน เช่นเดียวกับที่กราฟคลื่นหัวใจอันเป็นสิ่งเดียวที่ยืนยันว่าเขายังอยู่บนโลกใบนี้ค่อยๆ อ่อนแรงลงทุกวัน

และในวันต่อมา ผมก็เป็นหนึ่งในคนที่ยืนมองหมอและพยาบาลค่อยๆ ถอดเครื่องมือระโยงระยางเหล่านั้น มองกราฟที่กลายเป็นเส้นตรงและฟังเสียงบาดใจสายหนึ่งที่ดังขึ้นทันทีที่ร่างกายของทิวาขาดออกซิเจนจากเครื่องช่วยหายใจหล่อเลี้ยงร่างกาย

ผมเหมือนไม่รู้วันรู้คืน ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนที่คนอื่นคิด ทว่าเอาแต่ตามติดครอบครัวและกลุ่มเพื่อนของทิวา รู้ตัวอีกทีผมก็เป็นหนึ่งในคนที่จัดงานศพ เป็นคนที่ได้ยืนอยู่แถวหน้าสุดตอนที่ทำพิธี ได้ยินแว่วๆ ว่าเพื่อนทั้งสองคนของเขาได้เล่าเรื่องของผมบางส่วนให้ครอบครัวทิวาฟังแล้ว พวกเขาจึงอนุญาตให้ผมได้ยืนอยู่ตรงนั้น คอยมองผู้คนค่อยๆ มอบดอกไม้ที่เขาชอบที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย

หลังเสร็จสิ้นพิธีครอบครัวของทิวามาหาผม พูดขอบคุณที่ผมมอบความรักให้ลูกชายคนเล็กของพวกเขา อ้อมกอดอบอุ่นของแม่ทิวาทำให้ผมอดนึกถึงตอนที่ได้กอดทิวาไม่ได้เลย เพราะทั้งคู่มีกลิ่นอายแบบเดียวกัน

“จะต้องมีชีวิตที่ดีต่อไปนะ”

“...”

“เด็กคนนี้คงจะดีใจ ถ้าเห็นเธออยู่อย่างมีความสุข”

ผมจะพยายาม ผมอยากพูดแบบนั้นเหลือเกิน แต่ในวันนั้นผมก็ทำได้แค่ยิ้ม ไม่มีคำพูดไหนหลุดออกมาแม้แต่คำเดียว

เช่นเดียวกับดวงตาที่แห้งผากคู่นี้ ก็ไร้น้ำตาเช่นกัน

วันแล้ววันเล่าผ่านไปอย่างไร้ความหมาย ผมเต็มที่กับการเรียนและเริ่มจริงจังกับการตั้งแบนด์มากขึ้นเรื่อยๆ จนเพื่อนสนิททั้งสามคนสังเกตเห็น ตอนแรกพวกมันดูลังเลและไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงได้พยายามมากขนาดนี้กับสิ่งที่เคยเป็นแค่งานอดิเรก ผมไม่เคยบอกถึงเหตุผล ทว่าท้ายที่สุดพวกมันทั้งสามคนก็ยอมเชื่อใจผม ทิ้งและหันหลังให้กับคำสบประมาทมากมายจากคนอื่นรอบตัว ร่วมกับผมไปบนเส้นทางที่แทบมองไม่เห็นเส้นชัยนี้

ผมได้เริ่มสนิทสนมเพื่อนเก่าที่คุ้นเคย ได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวในใจที่น้อยคนนักจะได้รู้ ผ่านวันคืนที่ทุ่มเทกับหลายสิ่งที่ทำให้ผมเหนื่อยล้า มากมายเสียจนสามารถหลับได้โดยที่ไม่ฝัน สาเหตุที่ยินยอมให้ตัวเองเหนื่อยจนหลับเป็นตายเพราะผมกลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะร้องไห้ หากผมหลับและฝัน โดยที่ในฝันนั้นมีทิวาอยู่

และเพราะแบบนั้นเอง ผมจึงยิ่งพยายามขึ้นไปอีก ไม่ใช่เพราะอยากมีชีวิตที่ดี ไม่ใช่เพราะอยากมีความสุข แต่เพื่อใครบางคนที่ไม่มีชีวิตอยู่แล้วและเพื่อตัวเองที่ไม่อาจตัดใจและหันมองใครคนอื่นได้อีก

ทั้งที่มันเป็นเพียงช่วงเวลาแสนสั้น ไม่ถึงเดือนเสียด้วยซ้ำ ทำไมถึงได้ปักใจขนาดนี้นะ

ผมถามตัวเองเช่นนั้นแทบทุกครั้งที่เมามายและหวนคิดถึงเรื่องเก่าๆ ในวันครอบรอบวันตายของทิวา นั่งพร่ำเพ้อถึงเรื่องที่อีกคนไม่มีวันรู้อยู่หน้าหลุมศพ ฟังคำพูดของทุกคนที่หวังดีว่าให้เริ่มต้นใหม่นับพันนับร้อยครั้ง แต่ไม่เคยทำตาม

ผมไม่มีความรู้สึกอยากจะรักใครอีกแล้ว ไม่ใช่เพราะฝังใจหรอก หากแต่...เหนื่อยแล้ว

มีทิวาอยู่ในใจอย่างนั้นก็ดีอยู่แล้ว ไม่รู้จะดิ้นรนไปอีกทำไมเท่านั้นเอง

มันควรจะดำเนินไปเช่นนั้น ราบเรียบและแสนน่าเบื่อแบบนั้นไปตลอดชีวิตที่เหลือ หากไม่ใช่เพราะการพบเจอที่แสนน่าเหลือเชื่อเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ผมคงไม่มานั่งทบทวนและหลงอยู่ในภวังค์เก่าๆ เช่นนี้

“วิน”

“อืม”

ไป๋ถอนหายใจก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างตัวผมพร้อมกับยื่นเบียร์มาให้ ผมไม่ได้ดื่มมัน เพียงแต่ถือมันโคลงไปมาเท่านั้น ต่างจากเพื่อนของผมที่กระดกราวกับมันเป็นน้ำเปล่า สีหน้าของมันเครียดจนผมนึกอยากจะหัวเราะ มาอีหรอบนี้ไม่ต้องเดาใจมันก็รู้ว่ามันคิดอะไร

ไอ้ไป๋ก็แบบนี้ ขี้กังวลในเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ในเรื่องที่ควรกังวลมันกลับเฉยชา แม่มันถึงได้บ่นมันบ่อยกว่าลูกคนอื่นของบ้าน โชคดีแค่ไหนแล้วที่บ้านมันมีพี่น้องหลายคน มันจึงไม่ต้องรองรับความคาดหวังมากมายนักและสามารถใข้ชีวิตได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเรื่องชีวิตการทำงานหรือเรื่องส่วนตัว

มันคงจะมีความสุขและคิดน้อยลงกว่านี้ หากไม่ได้เป็นเพื่อนกับผมล่ะนะ

“ถอนหายใจอะไรนักหนา เรื่องของมึงรึก็ไม่”

“ก็มึงเป็นซะแบบนี้ แล้วจะไม่ให้กูห่วงได้ไง”

“จะอ้วกน่า ไม่เป็นอะไรเสียหน่อย กูไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อตอนนั้นสักนิด” ใช่ ไม่ได้บ้าโหมทำงานเหมือนครั้งที่ทิวาเพิ่งเสียใหม่ๆ แล้วก็ไม่ได้ชอบไปนั่งเฝ้าหน้าหลุมศพอีกคนเป็นวันๆ อีกด้วย กินอิ่มนอนหลับ ยังจะมีอะไรให้กังวลอีก

นั่นสิ มีอะไรให้คนอื่นต้องมาเป็นห่วงอีกนะ

“ก็ยังอยู่ตรงหน้ามึง มีความสุขดีไม่ใช่หรือไง”

“จริงเหรอ”

“...”

“ทำไมกูถึงไม่เห็นอะไรแบบนั้นในตามึงเลย ไอ้ขี้โกหก”

มันดื่มจนหยดสุดท้าย บีบกระป๋องเบียร์จนเสียรูปก่อนโยนเล่นไปมา โดยที่ไม่ได้หันมามองผมเลยแม้แต่นิดเดียว “อาการมึงตอนนี้หนักกว่าตอนนั้นเสียอีก”

“เลิกพูดว่าตัวเองโอเคดีเสียทีวิน มึงไม่เคยดีขึ้นเลยสักนิดเดียว”

“...”

อา จริงของมัน

ผมไม่เคยดีขึ้นเลยสักครั้งเลยจริงๆ

ไม่ว่าจะหกปีก่อนหน้านี้ จะตอนหนึ่งเดือนที่แล้วหรือตอนที่เรื่องราวจบลงไปกว่าอาทิตย์หนึ่ง ก็ยังเหมือนเดิม

แผลในใจของผมไม่เคยสมานเลยแม้สักครั้งเดียว

น้ำตาหยดแรกหลั่งรินลงบนหลังมือของผม ก่อนหยดต่อมาจะค่อยๆ เทคล้ายกับฝนหลงฤดู ไร้เสียงสะอื้น แต่ทรมานยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

“แม่ง...”

“ร้องออกมาก็ไม่มีใครล้อมึงหรอก” มันว่าแล้วตบหัวผมเบาๆ ก่อนจะเลื่อนมาวางบนบ่า “มึงอดทนมามากเกินพอแล้ว”

“ชีวิตดีๆ ที่คนอื่นอยากให้มึงเป็น ถ้าแม่งไม่ดีกับมึงจริงๆ ก็พอสักที ใช้ชีวิตแบบที่มึงอยากทำเถอะ”

“...”

“เทียบกันแล้ว เขาคงอยากให้มึงมีความสุขเพื่อตัวเองมากกว่านะ”

“...อือ”

อยากจะเจออีกสักครั้งจัง

ทั้งพรุ่งนี้ อาทิตย์หน้า ปีหน้า...ทุกวันต่อจากนี้ที่ยังหายใจอยู่ อยากจะเจออีกครั้ง...และอีกครั้งคล้ายไม่มีวันเลิกรา

อยากจะตื่นเช้ามายืนมองเขาทำกับข้าวและคอยชิมเพราะกลัวว่ามันจะไม่อร่อย อยากจะเฝ้ามองใบหน้าด้านข้างของเขาตอนที่จดจ่ออยู่กับโน้ตเพลงที่เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่ก็พยายามจะทำความเข้าใจมัน อยากจะเห็นรอยยิ้มหวานๆ นั่น ตอนที่ผมตามใจ อยากจะฟัง...คำที่ว่าผมสำคัญกับเขาแค่ไหนข้างหูเหมือนที่เคยได้ยินอีกสักครั้ง

ชื่อของเขาดังก้อง ทุบบนบานประตูที่ปิดตายภายในใจ ดิ้นรนสุดชีวิตหมายจะหลุดรอดออกมา หากแต่ผมไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น จึงพยายามกดข่มตลอดมาด้วยการบอกว่าตัวเองสบายดีและทุกอย่างในชีวิตตอนนี้กำลังไปได้สวย

ผมมีความสุข

ผมกำลังจะมีความสุข...อย่างที่ทุกคนและอาจรวมไปถึงที่ทิวาต้องการแล้วแท้ๆ

แต่มันไม่ใช่เลย

ความจริงแล้ว ยังคงทรมานเหมือนเดิม เหมือนทุกค่ำคืนที่ไม่กล้าหลับฝันเพราะกลัวฝันถึง เหมือนทุกเช้าที่ไม่กล้ามองแสงอาทิตย์ เพราะกลัวว่าจะนึกถึงเจ้าของชื่อที่แปลว่ายามเช้าคนนั้น

ยิ่งกดข่ม ยิ่งอดทนให้ผ่านไป ยิ่งทำเหมือนเรื่องราวที่ผันผ่านไม่ได้มีผลอะไรกับผมในตอนนี้ มันก็คล้ายกระตุ้นให้สิ่งเหล่านั้นพอกพูน จนในวันนี้มันล้นปรี่จนยากจะทานทน ความเจ็บปวด ความเสียใจ ความคิดถึง ความอ่อนแอ ทั้งหมดนั่นค่อยๆ ล้นทะลาย เหมือนกำแพงใจที่เพียรก่อมานเนิ่นนานเป็นเพียงซากไม้ที่ผุกร่อน ทำได้เพียงปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านั้นครอบงำและร้องไห้ออกมาอย่างน่าสมเพซ

“กูไม่ชอบชีวิตที่ไม่มีเขาเลย”

“อืม”

“หกปี...นานขนาดนี้แล้ว แต่กูก็ยังไม่เคยชิน ไม่ชินเลยแม้แต่นิดเดียว”

“...”

“อุตส่าห์มีโอกาสอีกครั้งแล้วแท้ๆ แต่สุดท้าย...ก็ยังต้องเสียไปอีก”

“...”

“ชีวิตบัดซบ”

“อืม”

“...เฮ้อ”

ไป๋คว้าเบียร์ในมือผมไปดื่มแทน เมื่อเห็นว่าผมน่าจะอิ่มน้ำตาตัวเองที่ไหลหนักหนากว่าน้ำหลากแล้ว ก่อนจะพูดต่อ “พอใจยัง”

“ยัง”

“แล้วจะเอาไงต่อ”

“...ก็ไม่ยังไง ก็มีชีวิตต่อไป”

“อาฮะ”

“จากนี้ก็คงอยากจะฝันถึงเขาให้มากขึ้น”

“...”

“คิดถึง ชีวิตจริงไม่ได้เจอแล้ว อย่างน้อยๆ ในฝันพระเจ้าน่าจะเมตตาปล่อยให้เดย์มาหากูบ้างล่ะเนอะ”

“ฟังแล้วแหม่งๆ ชิบหาย นับถือพุทธ แต่เสือกพูดถึงพระเจ้า” ไป๋ว่า ซึ่งผมได้แต่หัวเราะ ก็ถูกของมันนะ

“ก็เดย์นับถือคริสต์ ถ้าไม่ให้ขอพระเจ้า จะให้ขอพระอัลเลาะห์ให้เดย์มาเข้าฝันกูหรือไง”

“เออๆ เรื่องของมึง จะไปขอเจ้าแม่กวนอิม พระถังซัมจั๋งหรือพระองค์ไหนก็เรื่องของมึง”

“...ขอบใจ”

“ก็เพื่อนกันนี่หว่า”

ถึงทิวา คนที่รักและยังไงก็รักมาเสมอ

“จะอ้วก”

“กูก็จะอ้วกเหมือนกันแหละน่า”

จากนี้คงจะคิดถึงมากกว่าเดิมมากๆ และอาจจะขอให้เข้าฝันบ่อยๆ หวังว่าจะไม่เป็นการรบกวนจนเกินไปนะ

แล้วก็ขอให้เดย์อีกคนมีชีวิตที่ดี ขอให้ตัวเองในหกปีนั้นดูแลเดย์ให้ดีที่สุด

มีความสุขมากๆ นะครับ

ด้วยรักหมดหัวใจ

มาวินเอง






-------------------------------------------------------------------------------------------------------

มาตามสัญญาค่ะ หนึ่งตอนพิเศษในมุมมองของเจ้าวินในอนาคต

ขอบคุณสำหรับคนที่แวะเข้ามาอ่าน ไว้เจอกันในโอกาสหน้าค่ะ

NAVY

หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะพิเศษ ★ 22/02/63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 22-02-2020 14:12:29
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะพิเศษ ★ 22/02/63
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 23-02-2020 17:51:51
สงสารวิน แต่ก็ขอให้วินมีชีวิตดี ๆ เหมือนกันกับเดย์ที่ยังมีชีวิตอยู่อีกโลกหนึ่งเหมือนกัน