★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะพิเศษ ★ 22/02/63
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะพิเศษ ★ 22/02/63  (อ่าน 8156 ครั้ง)

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
หวังว่ากลับไปคราวหน้าทุกอย่างจะเป็นไปในทางที่ดีนะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

กลับไปแล้วจะเป็นไงต่อน้า

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
เธอเคยวิ่งตามและทำทุกวิธีทางเพื่อฉัน

 










ก่อนตกหลุมรัก (อีกครั้ง)






‘เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี หอสมุดกลางฯ จึงได้จัดมินิคอนเสิร์ตที่ลานอเนกประสงค์บริเวณหน้าหอสมุด โดยเชิญศิษย์เก่าชื่อดังอย่าง วง WeAre ขึ้นแสดงเป็นเวลาสามวัน นอกจากนี้ยังเชิญนักร้อง นักแสดงท่านอื่น...’

“เดย์!! วีอาร์จะมา มึ๊งงงง”

“...”

“เดย์! หูแตกเหรอถึงไม่ได้ยินกูพูด” เดือนอ้ายว่าพลางเขย่าตัวเพื่อนที่นั่งนิ่งเป็นรูปปั้นจนอีกคนโคลงไปมาคล้ายตุ๊กตา “กูบอกว่าวีอาร์จะมา ตื่นเต้นกับกูหน่อย”

“อะ...เออ”

แต่แทนที่จะดีใจเหมือนที่ตัวเดือนอ้ายรู้สึก ทิวากลับเหมือนคนเพิ่งตื่นนอนเสียมากกว่า แววตาเลื่อนลอยไม่รู้คิดไปถึงไหน ไหนจะรอยยิ้มอีก ดูก็รู้ว่ายิ้มไปงั้นไม่ได้ยินดีอย่างที่เคยบอกเอาไว้ว่าเป็นแฟนคลับเดนตายวงวีอาร์กับเขาเลย

“มึงเป็นอะไรเนี่ยเดย์ เหม่อๆ นะวันนี้”

“เออน่า ไม่มีไรๆ” ทิวาโบกมือไปมา แล้วเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา กลับไปยังวงวีอาร์อีกครั้ง “แล้วมึงจะไปทุกวันไหม กูว่าจะไปทุกวัน ไปดูให้สะใจไปเลย!”

“เออ ค่อยเหมือนมึงหน่อย... แต่! จะสอบอยู่แล้ว มึงจะไปทุกวันไม่ได้!”

“กูอะอ่านหนังสือมาตลอด ทบทวนไม่ขาด ไปทุกวันก็ไม่กระทบอะไร มึงนั่นแหละที่น่าห่วง” ทิวาหัวเราะร่วนแล้วออกแล้วดีดหน้าผากเพื่อนรักแรงๆ หนึ่งที ไม่แยแสต่อการโวยวายของอีกคนเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของเขาหวนกลับไปมองมือถืออีกครั้ง กวาดสายตาข้อความนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก มันก็ยังเป็นข้อความแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับการเข้าชมมินิคอนเสิร์ตเล็กๆ เหมือนเคย

แต่เพราะอะไรไม่รู้ ในใจเขากลับรู้สึกว่า มันมีบางอย่างที่หายไป

ไม่ว่าจะกลุ่มเพื่อนรักที่กำลังหัวเราะ หยอกล้อกันอย่างปัณและเดือนอ้ายที่มองเมื่อไหร่ เขากลับรู้สึกว่ามันขาดใครบางคนที่จะคอยหัวเราะไปกับเขา หรือแม้แต่ความรู้สึกของเขาเองก็ด้วย ทุกครั้งที่ตื่นเช้าขึ้นมา เขามักจะได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งซ้ำแล้วซ้ำอีก ราวกับจะย้ำเตือนในทุกคราที่ลืมตาตื่นว่า ต้องอยู่อย่างมีความสุข

และจะต้องได้เจอกันอีกครั้งแน่นอน

“เหม่ออีกแล้ว”

“ไม่สบายเหรอวะวันนี้”

ทิวาส่ายหน้า “ไม่ได้ไม่สบาย พวกมึงก็เซ้าซี้จังวะ ไปจีบกันต่อไปไป๊ รำคาญ”

“ใครจีบกัน ไอ้ตูดหมา”

“มึงกับไอ้ปัณสิถามได้ เฮ้อ เป็นคนโสดคนเดียวในกลุ่มนี่มันน่าเศร้าจังเนอะ” ว่าแล้วก็กระโดดหลบฝ่ามืออรหันต์ของเดือนอ้ายแทบจะไม่ทัน จากที่เป็นห่วงคราวแรก ตอนนี้ทั้งสองคนที่โดนเขาจับคู่ต่างร่วมมือกันมาประทุษร้ายจนเขาต้องยกธงขาวยอมแพ้ ไม่วายบ่นอุบว่าแค่แซวเล่นเฉยๆ ทำไมต้องทำร้ายจริงจังแบบนี้ด้วย

“เล่นแรงชิบหาย คนนะเว้ยไม่ใช่กระสอบทราย ตีมาได้”

“เจ็บแล้วจะได้จำ แซวแม่งอยู่นั่นแหละ ตั้งแต่ปีหนึ่งจนจะจบอยู่แล้ว เห็นไหมล่ะว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็ยังจะปากดีแซว”

“คนเรามันต้องมีหวังดิว้า”

“หวังเพ้อเจ้อล่ะสิมึงอะ”

“ไม่แซวแล้วก็ได้ค้าบ ดุจังค้าบ ปัณแอบให้ของหวานแดกรับอรุณใช่ไหม”

คราวนี้ปัณหัวเราะร่วนรับเป็นลูกคู่เขาแทนจะช่วยเพื่อนตัวเล็กที่เริ่มโวยวายอีกครั้ง พวกเขาหัวเราะให้กันแบบนั้น ก่อนทิวาจะเปลี่ยนมายิ้มเฉยๆ มองเพื่อนทั้งสองคุยกันไปเรื่อยระหว่างรออาจารย์เข้ามาสอน ทั้งที่ความคิดของเขาไม่ได้อยู่ที่เรื่องที่เพื่อนของเขาพูดแม้แต่นิดเดียว

เขาอาจจะป่วยจริงๆ อย่างที่เดือนอ้ายมันว่าก็ได้

เพราะถ้าสบายดีจริง

‘ขอโอกาสอีกครั้ง อีกสักครั้งหนึ่ง...ขอให้ได้เจอกันอีก’

เขาคงไม่ได้ยินเสียงไร้ที่มา ไม่ฝันถึงใครคนหนึ่งที่เหมือนอยู่เคียงข้างเขามาตลอดเวลา

ถ้าหากว่ามันเป็นเพียงแค่ความเพ้อฝันของเขาก็คงดี

จะได้เลิกปวดใจทุกเช้าที่ตื่นมาพบว่า เขาคนนั้นไม่มีตัวตนจริงๆ เสียที

 








------------------------------------------------------------------------------------------------------------------











“เบื่อแคนทีนแล้ว เปลี่ยนที่กินได้ไหม”

“ไม่เอา ร้อนจะตาย อย่าเรื่องมากดิ๊ปัณ มีให้กินก็กินไปเหอะ” ปัณเบ้ปาก แต่ก็ยอมเดินตามเพื่อนตัวเล็กไปแต่โดยดี โดยมีทิวาที่ยังวุ่นวายอยู่กับการยัดชีทที่เพิ่งสั่งซีร๊อกซ์มาสำหรับสามคนเข้ากระเป๋าไประหว่างเดิน หวิดจะชนเสา ชนคนอยู่หลายรอบ ลำบากปัณที่ต้องคอยดูและคอยดึงไม่ให้ไปชนจนหัวร้างข้างแตกเข้าเสียก่อนได้กินข้าวกลางวัน ยิ่งช่วงเที่ยงครึ่งที่เป็นเวลาเลิกคลาสของคณะอื่นๆ ด้วยแล้ว จำนวนคนที่อยู่โถงใต้ตึกสินกำที่พวกเขาใช้เป็นทางผ่านไปกินข้าวก็ยิ่งเยอะเป็นพิเศษ

“ระวังหน่อย ค่อยเก็บก็ได้มั้งมึง คนเยอะ”

“เออน่า จะได้แล้วๆ” ทิวาว่า ก่อนจะรูดซิบกระเป๋าแล้วตอบไปด้วย “เนี่ยเสร็จ...เชี่ย!”

“กูยังพูดไม่ทันขาดคำ” ปัณรีบเดินไปรั้งเพื่อนที่เซไปอีกทางเพราะเดินชนคนอื่นให้กลับมายืนตรง แล้วเอ่ยขอโทษคู่กรณีทันที “โทษครับ เพื่อนไม่ทันมอง”

“ไม่เป็นไรๆ”

โชคดีที่เขาไม่ว่าอะไร ปัณจึงรีบลากทิวาให้ออกจากใต้ตึกโดยด่วน ก่อนจะชนคนจนครบทั้งใต้ตึก ไม่วายบ่นไปด้วย “บอกแล้วใช่ไหมว่าให้มองทางก่อนๆ ไม่เชื่อกูไงเดย์”

“จ้าๆ บ่นเป็นคนแก่เลย”

“เออ แล้วมึงฟังไหมล่ะ”

“ฟังสิ”

“แต่ไม่ทำตาม”

ทิวาหัวเราะร่าแล้วรีบวิ่งหนีไปหาเดือนอ้ายที่วิ่งนำอยู่ข้างหน้า ลืมเรื่องเมื่อครู่ไปเสียสนิท ดังนั้นจึงไม่ทันสังเกตเห็นว่า กลุ่มคนเมื่อครู่ที่ตัวเองเพิ่งชนไปนั้น มีใครหยุดยืนมองแผ่นหลังเขาเดินจากไปไม่วางตา

“แม่งเอ๊ย จารย์ศักดิ์ออกข้อสอบยากอีกแหงๆ กูจะเอาอะไรไปตอบดีวะเนี่ย”

“รู้ว่าทำไม่ได้ก็อ่านสิวะ บ่นทำไม”

“อ่านแล้วทำอย่างกับกูจะจำเข้าไปทำข้อสอบได้... ไม่รู้เว้ย! หิวแล้ว ไปกินข้าวๆ”

“คราวหลังก็ขอให้พ่อมึงสอนดิ พ่อวินมึงอะ” ว่าแล้วก็หันไปหาเจ้าของชื่อที่ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ยอมเดินตามมา ไป๋งงนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก เพราะเพื่อนเขาช่วงนี้ก็มีช่วงเวลาเอ๋อๆ เครื่องรวนอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน “วิน! ยืนทำอะไรวะ”

“...เปล่า”

“เปล่าก็รีบมาดิ เดี๋ยวไปหาไรกินไม่ทันคาบบ่ายหรอก”

“เออๆ ไปแล้ว”

ไป๋วาดแขนโอบคอเพื่อนรัก ถามแบบไม่จริงจังนัก “เหม่ออะไรของมึงวะ เจอสาวสวยหรือไง แต่คณะเรายังมีคนที่มึงไม่เคยเห็นด้วยเหรอวะ”

“ไม่มีทาง เขามาเสนอตัวให้คุณมือกีต้าร์แก๊งค์เราออกจะบ่อย มีหรอจะพลาด” แคท

“ไม่ใช่ มั่วล่ะพวกมึง ไม่ได้มองสาวโว้ย!”

“แล้วยืนทื่อเป็นอนุสาวรีย์ทำแป๊ะอะไร”

“...ไม่มีอะไรน่า เลิกเซ้าซี้ ไม่ตอบแล้ว”

“เลี่ยงบาลีตลอด พ่อกู ไม่มีหรอกจะตอบ”

“กูไม่สอนวิชาจารย์ศักดิ์แล้ว ไอ้พวกเหี้ย”

“ขอโทษค้าบ พ่อค้าบ” เวย์รีบโผเข้าไปกอด โวยวายเสียงดังทำเอาคนรอบตัวที่คุ้นหน้าแก๊งค์นี้ดี มองด้วยความขบขัน เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่เวย์โวยวายแบบนี้ต่อหน้าคนเยอะๆ เช่นนี้ โดยคนที่โดนเป็นเป้าสายตาไปด้วยบ่อยที่สุดทำได้แค่ยืนเหม็นเบื่อ เพราะขยับไปไหนไม่ได้

“รำคาญ”

“พ่ออย่าทิ้งลูกก อยู่สอนกันก่อน ลูกไม่อยากเรียกจบพร้อมหมอ!!”

“ไม่อยากก็ปล่อยกู หิวข้าว”

“ปล่อยแล้วจ้ะๆ ไปเหวยข้าวกันเนาะพ่อเนาะ”

“ปะเหลาะเก่ง ไอ้สัส ลูกดีเด่น” แคทว่าแล้วตบหัวคนที่ยิ้มเอาใจท๊อปกลุ่มอย่างไม่รู้จักอาย โดยที่เจ้าตัวก็ดูพอใจกับสมญานามนั่นไม่น้อย

“แน่นอน กูลูกเดียวของพ่อวินนี่หว่า”

“ใครพ่อมึง” วินว่าเสียงเข้ม ใบหน้าบูดบึ้งเสียจนเวย์วิ่งมาเอาใจต่อแทบไม่ทัน

“พ่ออย่าเพิ่งโมโหหิว ไปจ้ะ ลูกพาไปเหวยร้านโปรดพ่อเอง”

“กวนตีน”

ไป๋มองสองเพื่อนซี้ล้อมหน้าล้อมหลังวินอยู่พักใหญ่ หลังถึงร้านข้าวพวกมันก็หันไปสนใจเกม จุ่มหัวชนกันอยู่สองคน ทำให้เขาได้มีโอกาสคุยกับวินอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเพื่อนเขาเข้าโหมดไม่พูดไม่จารอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของอาทิตย์นี้ ทำเอาเขาอดเป็นห่วงไม่ได้

“ไม่เป็นไรจริงๆ เหรอวะ”

“หือ”

“มึงอะ เหม่อบ่อยนะพักนี้ ตอนซ้อมก็เพี้ยนๆ มีปัญหาอะไรก็บอกพวกกูได้นะเว้ย”

“...ไม่มี”

“ปากแข็ง อยู่นี่ก็คบกันมาตั้งกี่ปี คุยได้เกือบทุกเรื่องมึงก็รู้”

วินเงียบไปครู่ใหญ่ จนไป๋นึกว่าเจ้าตัวจะไม่ยอมพูดออกมาเสียแล้ว แต่สุดท้ายก็ยอมพูดออกมาประโยคหนึ่ง

“ช่วงนี้ฝันแปลกๆ ไม่ก็ได้ยินชื่อไม่คุ้นบ่อยๆ”

“ผีหลอก” แคท

“เจ้ากรรมนายเวร” ไป๋

“แดกเยอะแล้วเก็บไปฝันเปล่ามึง พ่อกูชอบบอกแบบนี้ประจำเลยเวลากูฝันแปลกๆ” เวย์

ฟังคำตอบแต่ละคนแล้ววินก็ได้แต่ถอนหายใจ ไม่สร้างสรรค์สักคน ฟังแล้วปวดหัวยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ “แล้วงี้อะนะ อยากให้กูมาปรึกษา ดูแต่ละตัวออกความเห็น ไร้สาระสัสๆ”

“เอ้า ไอ้พ่อเหี้ย มีเพื่อนรับฟังดีกว่าไม่มีป่ะว้า”

“มีแบบนี้กูไม่เล่าให้ใครฟังก็ได้ว้อย”

“ใจร้าย” ว่าแล้วเวย์ก็แกล้งบีบน้ำตาไปด้วย เรียกความหมั่นไส้เป็นฝ่ามืออรหันต์รอบวงจนหลบแทบไม่ทัน

แต่ก่อนที่เรื่องจะออกทะเลไปไกลกว่านี้ ไป๋ก็ดึงมันกลับมาเสียก่อน “แล้วตกลงมันเป็นฝันแบบไหน บอกเหตุหรือบอกหวย ขอแบบละเอียดหน่อย”

“ไม่มีตัวเลขให้พวกมึงไปตีหวยหรอกนะ...แต่ก็ไม่คล้ายบอกเหตุเท่าไหร่ว่ะ”

“เอ้า แล้วมันยังไงวะ”

“...ฝันเห็นตัวเองกับคนที่ไม่มีหน้า”

“ก็กูบอกไปแล้ว ว่าผีหลอก มึงไปเยี่ยวรดศาลที่ไหนแล้วลืมไหว้อะป่าว”

“กวนตีน ไอ้แคท กูยังพูดไม่จบ!” เกือบจะปาขวดน้ำไปหาคนที่หัวเราะร่าแล้ว หากไป๋ไม่ห้ามเสียก่อน “กูหมายถึงหน้าเขามันเบลอๆ เห็นแต่ปากเขายิ้ม เขาพูดอะไรสักอย่างกับกู แต่ไม่ได้ยินอะไรสักอย่าง ฝันแบบนี้มาพักใหญ่แล้ว มันเลยอดสงสัยไม่ได้ว่าใคร”

“แล้วมึงคุ้นๆ บ้างไหม คนรอบตัวมึงเงี้ย”

“ไม่มีเลย ...แต่ในฝันรู้สึกเหมือนกูกับเขารู้จักกันมานานมากแล้ว”

“ยังไงวะ ฟังไปฟังมาชักงง”

วินนิ่งคิดไปถึงเมื่อกี้ที่โดนชนจากคนที่ไม่รู้จัก คราที่จะหันหลังจากไปเหมือนทุกครั้ง แต่พอได้ยินชื่อจากปากคนที่ขอโทษเขา ก็อดหันไปมองไม่ได้ แม้จะเห็นแค่แผ่นหลังก็ตาม

แต่ก็คุ้นเคย

เหมือนคนในฝันจนน่าใจหาย

“รู้อย่างเดียว กูเรียกเขาว่าเดย์”

“เอาล่ะ ได้เวลาใช้ความหน้าหม้อของมึงช่วยพ่อมึงแล้วไอ้เวย์ ตามหาดิวะผู้หญิงคณะไหนในมอเราชื่อเดย์ ปฏิบัติ!” แคทว่า แต่ก่อนจะได้ค้นหา พวกเขากลับต้องชะงักและตกใจไปกับประโยคต่อมาของวินเข้าเสียก่อน

“ใครว่าผู้หญิง”

“ยังไงพ่อ หรือพ่อจะหมายถึงคนในฝันพ่อเป็นหนุ่มเรอะ” เวย์ว่ากึ่งล้อเล่น แต่สีหน้าขัดเขินไม่เป็นธรรมชาติของวิน กลับกลืนรอยยิ้มล้อเลียนของเขาไปจนหมด จนเหลือแต่ความตกใจเท่านั้น

“ก็...เออ”

“...”

“...เงียบทำเหี้ยอะไร” สายตาประหลาดสามคู่ที่มองมา ทำเอาวินเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข ได้แต่หลบสายตาถามเสียงขุ่น

“พ่อ...”

“อะไร!”

“รู้จักกันมาก็นาน นึกว่าพ่อจะหาแม่ใหม่ให้หนู หนูอุตส่าห์หาคอนแทคสาวๆ มาถวาย” เวย์

“ไอ้เราก็นำเหนอสาวสวยรอบมอ” แคท

“ที่ไหนได้ พ่อตามหาพ่อคนที่สองให้ต่างห...โอ๊ยย!! ไอ้เหี้ย แก้วเยตินะเว้ยไม่ใช่นุ่น ปามาได้!!”

“หุบปาก!”

“เขินแล้วอย่าลงไม้ลงมือสิว้อย หัวกู แตกแล้ว แตกแน่!!”

“...โทษ มือไวไปนิด”

“ไม่นิดแล้ว! มึงมันพ่อเหี้ยจริงๆ ด้วย ไอ้เหี้ยวิ๊นนน!!!!”

 






------------------------------------------------------------------------------------------------------------------











“มองอะไรของมึงวะเดย์”

“เปล่า มองศาลเฉยๆ”

เขาสะดุ้งหันกลับไปมองเพื่อนทั้งสองคนที่เพิ่งกลับมาจากไปเซเว่นหลังมอ หลังจอดรถเรียบร้อย เดือนอ้ายก็ยื่นไอศกรีมรสชาติเปรี้ยวหวานมาให้แล้วยืนจ้องเป็นเพื่อนเขาไปด้วย “มามองศาลเก่าทำไมวะ”

“ศาลเก่า?”

“อือ ศาลเก่า”

“...”

“อ้อ ตอนนั้นมึงไปเที่ยวเชียงใหม่กับแม่มึงนี่เนอะ” มันว่าแล้วเอื้อมมือไปเคาะที่หลังคาศาลแบบไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน จนเขาอดเสียวแทนไม่ได้ หากมันไม่ได้เป็นศาลเก่าอย่างที่คิด แต่ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวนอกเสียจากดวงตาแวววาวในความมืดคู่หนึ่งที่เจิดจ้าอยู่ในมุมมืดของตัวศาล “ศาลมันเก่าแล้ว มีคนมาทักนู่นนี่ ฝันว่าเจ้าที่ไม่สบายตัว คับแคบอะไรก็ไม่รู้ เลยทำพิธีย้ายไปตั้งที่อื่นแทนตอนมึงไม่อยู่หอ ที่ใหม่ก็ตั้งอยู่ตรงรั้วหลังหอ ใกล้ๆ สวนกล้วยที่มึงกลัวผีหลอกนั่นแหละ เพราะงั้นไม่แปลกที่มึงไม่รู้ว่าเขาย้ายแล้ว”

“แล้ว...”   ทิวาชี้ไปยังตาแวววาวในศาลแล้วเงียบไป เป็นเชิงถาม ซึ่งคราวนี้คนที่ตอบเป็นปัณที่เดินมาสบทบ หลังจากที่เห็นว่าสองเพื่อนซี้ไม่เข้าหอมากันเสียที

“ตาไอ้ขาว เจ้าที่ตัวใหม่ ชอบแอบมานอนประจำแหละ”

ไม่ทันขาดคำ แมวสีขาวสะอาดตาก็กระโดดออกจากศาลพุ่งมาคลอเคลียที่ขาของเขา ก่อนจะวิ่งไปยังผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากหอของพวกเขาทั้งสามคนไม่มากนัก เขาคนนั้นอยู่ในชุดสีขาวสะอาดตากับกางเกงสแลคสีเข้ม ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นนิสิตหรืออาจารย์หน้าใหม่ของมหาลัย แต่พอมองอีกทีกลับรู้สึกคุ้นๆ หน้า ทว่าทิวากลับไม่รู้ว่าตัวเองไปคุ้นจากที่ไหน รู้เพียงแต่รอยยิ้มจางๆ และอากัปกิริยาอ่อนโยนยามลูบเจ้าแมว คล้ายจะสะกิดความคุ้นเคยบางอย่างในใจเขา เขามองอยู่นานมาก หากไม่ใช่เพราะเดือนอ้ายสะกิด คงจะไม่ละสายตาออกอย่างแน่นอน

“อีกแล้วนะเดย์ มองอะไรอีกล่ะคราวนี้”

“มองเจ้าของแมวไง”

“เจ้าของแมว” เดือนอ้ายทวนคำงงๆ ยื่นหน้ามองไปมา “ไหนของมึง”

“นั่นไง ยืนอยู่ตรงนั้น...” ทิวารีบชี้ไปยังจุดที่เขาเห็นผู้ชายคนนั้น แต่ตรงบริเวณที่ว่ากลับว่างเปล่า กลายเป็นความเงียบที่น่าอึดอัดครู่ใหญ่ ทั้งทิวาและเดือนอ้ายหันมามองหน้ากันเอง เพราะจากสีหน้าและน้ำเสียง เดือนอ้ายเชื่อว่าเพื่อนตัวเองพูดจริงอย่างแน่นอน แต่เมื่อไม่พบก็คิดได้ไม่กี่อย่าง แถมไอ้ไม่กี่อย่างที่ว่า ยังเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่คิดอยากจะเอออย่างยิ่ง ไม่เว้นแม้แต่ปัณที่ประสาทแข็ง ก็พลอยรู้สึกว่าบรรยากาศสลัวๆ ยามพระอาทิตย์ตกของหน้าหอของพวกเขาชักน่ากลัวอย่างประหลาด

“เข้าหอไหม” ปัณ

“อืม รีบเข้าเถอะ” ทิวา

“เดย์ มึงว่า...” เดือนอ้าย

“ว่า”

มันพูดเสียงทื่อๆ ทั้งยังไม่หันมามองหน้าเขาเสียด้วยซ้ำ “เมื่อกี้ที่มึงบอกว่าเห็น ใช่ผีป่ะ...”

“สัส! จะพูดออกมาทำซากอะไร ไอ้เวรอ้าย!”

“ก็กูสงสัย!!”

บรู๋วววววว

“...”

“...”

ปัณถอนหายใจกับการทะเลาะไม่ดูเวลาของสองเพื่อนซี้ จึงรีบลากสองหน่อที่ยืนแข็งเป็นก้อนหินไปแล้วกับบรรยากาศน่ากลัวรอบกายและเสียงหมาหอนที่ดังพอดิบพอดีนั่น ระหว่างลากก็คิดไปด้วยว่าไม่ใช่หรอก ไม่มีทางเป็นไปได้

เพราะถ้าเห็นผีจริงๆ เขาก็คงเห็นด้วยอีกคน

เพราะเมื่อกี้ตอนที่สองคนนั้นทะเลาะกัน ผู้ชายคนนั้นยืนยิ้มอยู่ในจุดเมื่อครู่ที่เคยว่างเปล่าจริงๆ

 









------------------------------------------------------------------------------------------------------------------









“เขาจำไม่ได้จริงๆ ด้วย”

มือที่ลูบขนนุ่มนิ่มสีขาวสบายตาชะงักไปครู่ใหญ่ ก่อนเสียงถอนหายใจจะดังขึ้น จนเจ้าแมวตัวน้อยจำต้องเงยหน้ามองเจ้าของของมันด้วยแววตาสงสัย ดวงตาสองสีของมันเปล่งประกาย แม้ว่ารอบกายของพวกเขาจะมีเพียงไฟจากถนนในมหาลัยเพียงไม่กี่ดวงก็ตาม งดงามไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่าจะผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานแค่ไหนก็ตาม

“ถ้าครั้งนี้เขาผ่านไปได้อย่างปลอดภัยคงจะดีเนอะ”

มันร้องตอบเบาๆ เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากคนที่อุ้มมันอยู่ ทั้งสองคนหันหลังเดินจากไป แล้วหายไปท่ามกลางความมืดรำไรยามค่ำคืน ราวกับไม่เคยมีใครเคยเดินบนถนนสายนี้ ทิ้งไว้แต่ไฟถนนติดๆ ดับๆ สองสามดวงก่อนแสงมันจะอ่อนจาง สุดท้ายก็ดับไปในที่สุด

คล้ายว่านั่นคือจุดสตาร์ทที่แท้จริงของทางเลือกใหม่

และครั้งนี้เขาได้ภาวนาสุดหัวใจ หวังว่ามันจะไม่จบเช่นเดิม





ตอนนี้ฉันจะเป็นฝ่ายวิ่งไปหาเธอเอง

เพราะงั้นเชื่อฉันได้ไหม ว่าทุกช่วงเวลาของฉัน

มันมีไว้เพื่อเธอเพียงคนเดียว



(โปรดติดตามตอนต่อไป)

-------------------------------------------------------------------------------------------------------

จริงๆ ช่วงนี้มีเรื่องกังวลเพิ่มเยอะมาก จนค่อนข้างรู้สึกแย่

อันที่ก็อยากทราบความคิดเห็นคนอื่นนอกจากตัวเองด้วยว่า ที่แต่งอยู่ตอนนี้มีข้อผิดพลาดหรืออะไรที่สามารถแก้ไขได้

เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าจะไปขอให้ใครช่วย555 ถ้าหากพอมีเวลาอยากรบกวนทุกคนบอก แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ แค่แวะเข้ามาก็ดีใจแล้ว

ขอบคุณเสมอมา

NAVY

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ใครคือคนที่เดย์เห็นที่ศาลน้อ  จำไม่ได้หล่ะ  ตัวละครเยอะจัด   สงสัยต้องย้อนกลับไปอ่านใหม่อีกรอบ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
นั่นใช่เปรมหรือเปล่า น่าจะใช่นะ ย้อนกลับมาครั้งนี้ทุกอย่างมันต้องไม่เหมือนเดิมแน่ ๆ แล้วเปรมคือคนที่ขับรถชนเดย์ใช่ไหมถึงได้ต้องย้อนกลับมาทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
เพราะสำหรับฉัน


โลกที่ไม่มีเธอน่ากลัวเหลือเกิน











ตกหลุมรักระยะที่ 0.1



 

“เดย์ จะไปไหน คอนเสิร์ตอยู่นี่”

“อ...เออ คนมันเยอะนี่หว่า กูก็หลงทางบ้างอะไรบ้าง” เขาว่าแล้วรีบวิ่งไปหาเดือนอ้ายที่เท้าสะเอวรออยู่อยู่อีกฝั่งของถนน ก่อนจะมันจะผลักหัวเขาหนึ่งที “อยู่มาจนจะจบแล้วมึงเคยจำทางในม.ได้สักที่ไหมเหอะ จารย์เรียกไปหาตึกวิทย์ มึงเดินไปแพทย์ เรียกไปตึกกลาง มึงไปอาคารสำนักงาน กูละเชื่อมึงจริงๆ”

เขาหัวเราะกับเรื่องเซ่อซ่าของตัวเอง ขณะสายตาสอดส่องไปทั่วงานราวกับกำลังมองหาใครอยู่ ซึ่งที่จริงแล้วเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำแบบนี้ไปทำไม ในงานเต็มไปด้วยผู้คนที่ชอบวงวีอาร์เหมือนกันกับเขาเต็มไปหมด หากแต่ลึกๆ เขากลับรู้สึกว่าคนพวกนี้ไม่ใช่คนที่เขารอ

ใครคนนั้นที่เขาตามหา ไม่ได้อยู่ในกลุ่มของคนเหล่านั้น

“นี่ขนาดมาก่อนเริ่มตั้งครึ่งชั่วโมงคนยังเยอะเป็นหนอน แล้วอย่างนี้จะไปด้านหน้าได้หรือวะ” เดือนอ้ายว่าพลางสอดส่ายสายตาหมายจะหาลู่ทางเพื่อไปอยู่ด้านหน้าสุดให้ได้ มีปัณยืนอยู่ข้างๆ มองการกระทำของคนตัวเตี้ยกว่าตัวเองถึงช่วงศีรษะกระโดดไปมาจนอ่อนใจ เลยเป็นฝ่ายช้อนเข้าที่ใต้รักแร้ของเดือนอ้าย ก่อนยกตัวอีกฝ่ายขึ้นสูงเหมือนเป็นเด็กๆ

“เชี่ยยย”

“เห็นชัดยัง”

“ปล่อยกูลง ไอ้ปัณ!”

“ก็เห็นกระโดดอยู่นั่นแหละ กูเลยช่วยไง เห็นชัดไหม” ขาของเดือนอ้ายขยับไปมา ดิ้นรนหมายจะลงไปสู่พื้นให้ได้ ปากก็โวยวาย ทำเอาคนมองไปทั่วบริเวณ ส่วนทิวาก็มองภาพนั้นแล้วหัวเราะเหมือนคนบ้า

“โอ๊ยย กูจะกระโดดเป็นกบหรือจะเตี้ยเท่าหมา จะทำอะไรก็เรื่องของกู ไม่ต้องมายุ่ง ปล๊อย!!”

ปัณถอนหายใจแต่ก็ยอมปล่อยอีกคนลงแต่โดยดี แถมก้มหัวบริการให้ทันทีเพราะรู้ว่าเดือนอ้ายอยากจะตีเขาเป็นแน่ “คนเขาหวังดี”

“ไม่รับว้อย แม่ง เล่นไม่รู้เรื่อง” เดือนอ้ายว่าแล้วดึงหูคนสูงกว่าเป็นการลงโทษ ก่อนจะกลับไปมองทางและเริ่มเดินไปยังแถวหน้าสุด ไม่เสียเวลากระโดดไปมาให้เพื่อนเขามองดูแล้วหัวเราะอีกแล้ว

ทิวาเดินตามทั้งคู่ไปจนกระทั่งอยู่เกือบด้านหน้าสุดของกลุ่มคน มองกลุ่มวงดนตรีที่ตัวเองเป็นแฟนคลับมาตั้งแต่เริ่มตั้งแบนด์แรกๆ ด้วยรอยยิ้มเปื้อนเต็มแก้ม โดยเฉพาะยามที่มองมือกี้ต้าร์คนโปรด ดวงตาของเขาคล้ายจะเปล่งประกายมากกว่าปกติ ไม่ปฏิเสธหรอกว่าดีใจและมีความสุขมากๆ ที่ได้เห็นนักร้องที่ชอบยืนอยู่ตรงหน้า

“เกือบไม่ทันแล้วไหมล่ะ กูบอกแล้วให้รีบออก พวกมึงอะเอาแต่ชักช้า”

“ใครกันแน่ที่ช้า มึงนั่นแหละ โวยวายว่ากินยังไม่เสร็จจะรีบไปตายที่ไหน ที่นี้มาโบ้ยพวกกู สารเลว”

“ใคร มั่วแล้ว ไม่ใช่กู!”

เสียงโวยวายจากด้านซ้ายมือเรียกให้ทิวาหันไปสนใจอย่างเสียไม่ได้ ด้วยเพราะเป็นกลุ่มที่เพิ่งเข้ามาใหม่จากการเบียดแทรกจากด้านหลัง บางช่วงทิวาก็ได้แต่แอบยิ้มกับสีหน้าตลกๆ ของหนึ่งในนั้นที่ยังโวยวายไม่เลิก เมื่อไม่สามารถเถียงเพื่อนคนอื่นที่มาด้วยกันไม่ได้

มันตลกดีและ...คุ้นเคยอย่างประหลาด

“เลิกโวยวายสักที คอนจะเริ่มแล้วมึงช่วยหุบปากมึงด้วยไอ้เวย์ กูมาฟังเพลง ไม่ได้มาฟังมึงโวยวาย”

“มึงเสียงดังกว่ากูอีกแคท”

“ทั้งสองตัวนั่นแหละ เสียงดังโว้ย”

หนึ่งในนั้นปรามเพื่อนเสียงแข็งก่อนจะหันมาเห็นสายตายิ้มๆ จากเขาพอดี คิ้วจึงขมวดเข้าหากันเหมือนจะสงสัยว่าทำไมเขาถึงมอง ทำเอาหลบตาแทบไม่ทัน แต่ทั้งๆ ที่ละสายตากลับไปมองบนเวทีเหมือนเดิมแล้วแท้ๆ แต่ทำไมก็ไม่รู้ถึงได้ยังรู้สึกว่าคนคนนั้นยังมองมาอยู่เรื่อยๆ

เหมือนว่าจับตามองเขาอยู่เลยก็ว่าได้

ไฟรอบๆ เริ่มหรี่ลงจนกระทั่งมีเพียงแสงไฟบนเวทีที่เจิดจ้าที่สุด จนทำให้ชั่วพริบตาแรกดวงตาเขาพร่าจนมองใบหน้าของนักร้องบนเวทีไม่ชัด แต่หูยังได้ยินเสียงดนตรีชัดเจน ริมฝีปากขยับตามเนื้อเพลงที่ถูกขับร้องโดยนักร้องที่เขาชอบมากที่สุด

ทิวาชอบช่วงเวลานี้ ที่ตัวเองได้พบกับสิ่งที่ชอบ ได้ฟังในสิ่งที่หลงรัก ชอบช่วงเวลาที่หลงลืมทุกสิ่งอย่างที่ทำให้หัวใจหม่นหมอง ปล่อยหัวใจตัวเองให้ล่องลอยไปกับบทเพลง แม้มันจะคล้ายใช้เวลาไปอย่างเลอะเลือนที่สุดท้ายก็ต้องกลับไปพบความจริงที่ไม่ชอบก็ตาม

ทั้งๆ ที่เป็นแบบนั้น

‘ชอบวีอาร์เหรอ’

“เดย์”

เสียงของใครคนนั้นก็ยังดังก้องคล้ายจะทะลุผ่านความเลอะเลือนนั้นให้เขาพบกับสิ่งที่เมินเฉยตลอดมา

“ร้องไห้ทำไม”

เสียงของเดือนอ้ายทำให้ทิวาได้สติ หลังเอามือปาดแก้มที่ชื้นไปด้วยน้ำตาก็ได้แต่สงสัยว่าทำไมในช่วงเวลาที่ยินดีเช่นนี้ เขากลับร้องไห้ออกมา ทั้งที่ยืนอยู่ต่อหน้านักร้องที่ชอบที่สุด ยืนฟังเพลงที่ชอบมากไปพร้อมกับเพื่อนที่เขาสนิทที่สุดทั้งสองคน เขาอยู่ในสถานที่ที่เขาคิดว่าเขาจะต้องมีความสุขไม่แพ้ใครในโลก แต่ทำไมในส่วนหนึ่งของหัวใจเขากลับยังปรากฏช่องโหว่ที่ไม่ว่าใครก็เติมมันให้เต็มไม่ได้เสียที

เสียงเล็กๆ จากช่องโหว่นั้นมักจะสะท้อนก้องเบาบางบอกว่าต้องเป็นคนคนนั้นเท่านั้น

แล้วคนนั้นคือใคร

ถ้าเขามีตัวตนจริงแล้วทำไมจึงไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าเขาเสียที

“ไหวไหมมึง เป็นอะไรวะ”

“ไม่เป็นไร”

“ขนาดนี้มึงยังจะว่าไม่เป็นอะไรอีกเหรอ” เดือนอ้ายว่าเสียงดังขึ้น ถึงจะไม่สามารถดังแข่งกับเสียงดนตรีบนเวที แต่กระนั้นก็มากพอให้คนรอบตัวพวกเขาหันมามองได้ “มึงแปลกไป แต่มึงก็ยังเอาแต่ยิ้ม ยิ้มทำเหี้ยอะไรวะเดย์ ไม่โอเคก็คือไม่โอเคสิวะ มึงก็แค่ร้องออกมา”

“...”

“เหมือนที่มึงกำลังทำอยู่ตอนนี้ มันยากตรงไหนวะ”

“...”

“กลับหอกันไหม วันนี้คงดูไม่สนุกแล้ว” ปัณก้มหน้าลงมากระซิบ เมื่อเห็นว่าสายตาเริ่มจับจ้องมาที่พวกเขามากขึ้นกว่าตอนแรกทันทีที่ทิวาก้มหน้าซุกที่ไหล่เพื่อนตัวเล็กและหลุดสะอื้นจนไหล่สั่น เดือนอ้ายเองก็สังเกตเห็นเช่นกัน จึงตัดสินใจโอบเพื่อนสนิทที่ตาแดงเหมือนกระต่าย ทั้งยังร้องไห้จนหน้าตาน่าเกลียดค่อยๆ เบียดแทรกคนจำนวนมากไปยังทางออก

“เขาทะเลาะกันเหรอวะ”

“ไม่รู้ อยู่ด้วยกันจะรู้ไหมล่ะ”

“วิน มึงมองตามเขาแบบนั้น มึงรู้เหรอวะว่าเขาร้องไห้ทำไม”

“...”

“วิน? เฮ้ย! มึงจะไปไหนวะ” เสียงนั้นคล้ายดังมาจากที่ไกลๆ สำหรับเจ้าของชื่อที่ถูกร้องเรียกเสียแล้ว วินไม่สนใจเพื่อนตัวเองที่กำลังร้องหาอยู่ แต่กลับพยายามเบียดแทรกตามคนทั้งสามไปอย่างไม่ลดละ แต่น่าเสียดายที่เขาตัดสินใจช้าไป จนทำให้เมื่อออกมาถึงทางออกก็ไม่พบใครแล้ว ถึงแม้ว่าคนจะบางตา แต่คล้ายกับว่าคนบนฟ้าไม่ประสงค์ให้เขาได้พบกับคนคนนั้น เขาจึงทำได้แต่มองความว่างเปล่าและคนแปลกหน้าที่เดินผ่านตัวเองไปเท่านั้น

ในใจนึกโทษตัวเองที่เอาแต่ยืนมอง ไม่ยอมเดินตามออกมาตั้งแต่แรก จนทำให้เสียโอกาสไป

เขาไม่รู้หรอกว่าคนนั้นจะเกี่ยวข้องอะไรกับคนในฝันของตัวเองที่ฝันติดต่อกันมาหลายต่อหลายคืน สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกว่าคนคนนั้นแตกต่างจากคนอื่นและเขาต้องไปหาให้ได้ คงเป็นแว่บแรกที่เห็นว่าใบหน้าที่เคยมีรอยยิ้มกลับค่อยๆ เปียกชื้นจากรอยน้ำตานั่น

เขาไม่ชอบและไม่อยากเห็น

ไม่อยากเห็นเขาคนนั้นร้องไห้

มือข้างขวาขยำเสื้อที่อกข้างซ้ายจนยับย่นไม่เหลือเค้าเดิม บีบเค้นราวกับที่อยู่ในมือไม่ใช่เสื้อที่สวมแต่เป็นหัวใจตัวเอง ลงโทษที่มักจะช้าเกินไปครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้จักจำเสียที

 











---------------------------------------------------------------------------------------------









บางครั้งการไม่มีเหตุผลอาจเป็นเหตุผลที่ดีที่สุด เมื่อถูกถามถึงการกระทำที่กระทำลงไป

นี่อาจจะอธิบายสถานการณ์ของเขาตอนนี้ได้ดีที่สุด...ละมั้ง

ทิวาเงยหน้ามองหน้าเวทีอีกครั้งในช่วงเวลาเดิมกับเมื่อวาน เว้นเสียแต่ว่าวันนี้เขายืนอยู่เพียงลำพัง ไม่มีเพื่อนสนิททั้งสองยืนฟังเพลงเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ เพราะทั้งสองคนนั้นต้องรีบกลับบ้านโดยด่วน ทิ้งให้เขาอยู่ที่หอเพียงลำพังจนเกือบฟุ้งซ่าน สุดท้ายก็ได้แต่พาตัวเองเดินมาเรื่อยๆ กระทั่งมาอยู่ในงานอีกครั้ง

เมื่อวานหลังจากที่ออกจากคอนเสิร์ตไป แน่นอนว่าทั้งระหว่างทางกลับหรือกระทั่งถึงที่หอแล้ว เพื่อนทั้งสองก็ยังซักถามเขาไม่หยุดว่าทำไมถึงร้องไห้ ช่วงนี้เขาเป็นอะไรและทำไมถึงได้ชอบทำหน้าเศร้าๆ อยู่แทบตลอดเวลา ทว่าเขาไม่อาจตอบได้ ไม่ใช่ว่าไม่อยากตอบ แต่เขาไม่มีคำตอบอะไรจะบอกแก่ทั้งสองคนได้เลย

เขาเองก็ทราบดีว่าตัวเองแปลกไป ทั้งยังเปลี่ยนไปโดนสิ้นเชิง แต่กลับไม่รู้ต้นตอและทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คล้ายว่าในหัวมีบางอย่างคอยสกัดกั้นไม่ให้เขาได้รู้ในสิ่งที่สงสัย

นานวันเขามันก็เริ่มสะสมจนทำให้เขาทั้งหงุดหงิดและอึดอัดในใจจนแทบหายใจไม่ออก

โดยเฉพาะในช่วงที่หลับฝัน คล้ายว่าความฝันนั้นจะยาวนานมากขึ้น ภาพที่เขานั่งข้างใครบางคนที่ตอนนี้ก็ยังไม่เห็นใบหน้า ไม่มีคำพูด ไม่มีการเคลื่อนไหวเหมือนเป็นเพียงภาพนิ่ง ทว่าในความเงียบนั่นกลับทำให้เขาทั้งคิดถึงและอบอุ่นใจ หลายครั้งที่พยายามบังคับให้ตัวเองในฝันหันไปมองคนคนนั้นให้ได้ แต่พอทำแบบนั้นทีไรสุดท้ายเขาก็พลันสะดุ้งตื่นไปเสียทุกรอบ

จบลงที่ไม่รู้และไม่เห็นอะไรเหมือนเคย

วันนี้อันที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากออกมาดูคอนนักหรอก เมื่อวานเขาสภาพค่อนข้างแย่เลยทีเดียว มันคงดูไม่จืดเท่าไหร่ถ้ามีคนจำได้ แต่ห้องที่เงียบจนเกินไปมันทำให้เขาฟุ้งซ่านเกินกว่าจะอยู่คนเดียวได้ จึงทำได้แต่มายืนอยู่ที่นี่ อยู่ท่ามกลางเสียงอึกทึกจนไม่มีความเป็นส่วนตัว ให้เสียงเหล่านั้นกลบความอ้างว้างและเงียบเหงาส่วนหนึ่งในใจเขา

หลายครั้งระหว่างที่รอเวลา สายตาเขามักไปตกอยู่ที่คู่รักหลายคู่ที่เดินเคียงกันมาในงาน มองรอยยิ้ม มองความสุขที่ต่างคนต่างมอบให้กันแล้วนึกอิจฉาในใจอย่างช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เขาโสดละนะ อีกทั้งไม่เจอใครที่ทำให้เขาอยากมอบหัวใจให้เลย

ไม่ใช่ว่าสเปคสูงหรือเลือกมาก เพียงแต่เขาเป็นพวกที่ถ้าปักใจไปแล้ว ก็จะยึดติดกับสิ่งเหล่านั้นไปตลอด เรื่องเกี่ยวกับความรักก็เป็นหลายๆ เรื่องที่เขายึดติดเช่นกัน เช่นว่า สำหรับเขาแล้ว มากกว่าการรักกันหมดใจ สิ่งที่เขาต้องการจากคนที่รักคือคนที่ทำให้เขารู้สึกว่าต้องเป็นคนนี้เท่านั้น คนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะเจิดจ้าและเป็นคนเดียวที่เขามองหาเจอท่ามกลางกลุ่มคนมากมาย คนที่แม้จะทำให้เสียใจมากมายเพียงใด เขาก็ยังรู้สึกคุ้มค่าที่จะรัก

ใครคนนั้นที่ยังไม่ปรากฏตัว แต่เขากลับเชื่อลึกๆ ว่ามีตัวตนอยู่คนนั้น

บางทีอาจจะปรากฏตัวพรุ่งนี้ มะรืนนี้ บางทีอาจจะเป็นเดือนหน้าหรือปีหน้า

ไม่ก็อาจจะเป็น

“เดย์...”

ชั่วพริบตาหนึ่งที่เขาเผลอกระพริบตาและลืมตาขึ้นมาพบกันก็เป็นได้

“...”

คนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาส่งเสียงเรียกเขาด้วยน้ำเสียงแสดงความไม่มั่นใจอย่างชัดเจน โดยเฉพาะสีหน้าที่มีแต่ความสับสนนั่น กระนั้นก็ยังยืนอยู่ไม่ยอมจากไปไหน ส่วนเขาก็ทำได้แต่มองสบเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย คล้ายจะค้นหาอะไรบางอย่างที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

แต่เขาชอบดวงตาคู่นี้ ชอบอย่างไม่มีเหตุผล

และการปรากฏตัวของอีกคนนั้น ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวด้วยความดีใจจนแทบทะลุออกจากอก

“เรา...รู้จักกันด้วยเหรอ”

“...ไม่รู้เหมือนกัน”

“...”

“แต่...” คนตรงหน้าเงียบไปนานมาก กว่าจะยอมพูดขึ้นมาอีกประโยค “...รู้แค่ต้องมา”

“...”

“แล้วก็จะไม่ให้หายไปไหนแล้ว”

 







-------------------------------------------------------------------------------------------------









ผู้ชายคนนั้นพาเขาเดินออกมาจากคอนเสิร์ตแล้วจบลงที่แถวหน้าร้านสะดวกซื้อ ในมือของพวกเขามีไอศกรีมคนละแท่ง ยืนกินเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาสักประโยค ทว่ากลับไม่มีความรู้สึกอึดอัดหรือต้องพยายามหาเรื่องมาพูดเพื่อสลายความเงียบแต่อย่างใด ราวกับเคยชินและสบายใจกับความเงียบนี้ที่อยู่ระหว่างกัน ทิวาชอบความรู้สึกเช่นนี้

และอยากให้มันดำเนินแบบนี้ไปนานๆ

“เดย์”

“ว่า”

“ชื่อเดย์เหรอ”

“อืม หรือจะเรียกทิวาก็ได้ แต่อันนี้ชื่อจริงนะ”

“...”

“แล้วชื่ออะไร” เขาว่า ขณะหันไปมองอีกคน “รู้ชื่อแค่ฝ่ายเดียวแบบนี้ไม่แฟร์เลย”

ใบหน้าของอีกคนเปื้อนรอยยิ้มที่ทำให้ใจเต้นผิดจังหวะ ลมช่วงค่ำคืนพัดโชยหอบเอากลิ่นสดชื่นมายังพวกเขา พัดจนเส้นผมนุ่มของคนตรงหน้าปรกดวงตาคู่สวยที่ทิวาชอบมอง จนอดเอื้อมมือไปปัดออกไม่ได้ แม้จะรู้ดีก็ตามว่ามันไม่ควร

แต่ตอนที่ปัดเส้นผมแล้วมองสบดวงตา ตอนที่อีกคนเอามือมาจับมือของเขาไว้เหมือนจะห้าม ในใจของทิวาพลันมีกระแสไฟนับหมื่นสายปั่นป่วนจนทำได้แต่หลบตา ยิ้มแก้เก้อตอนที่พยายามดึงมือออกแต่ไม่สำเร็จ

“มาวิน” อีกคนพูด “เรียกแค่วินก็ได้”

“อ่อ”

“...”

“แล้ว...เมื่อไหร่จะปล่อยมือ”

วินยิ้ม ถามปนเสียงหัวเราะ “แล้วจับไม่ได้หรือไง”

“มันคงไม่ดีเท่าไหร่มั้ง มาจับมือกันแบบนี้” ผู้ชายกับผู้ชายนะเห้ย! ปกติคนเขาเลี่ยงกันไม่ใช่หรือไง

“แล้วยังไง”

ทิวาหน้าบูด เลิกดึงมือตัวเองจากอีกคน เอนพิงขอบปูนด้านหลังกัดไอศกรีมคำสุดท้ายในมืออีกข้างไปด้วย “ไม่ยังไง อยากจับก็จับไป ไม่เถียงแล้ว”

“...”

“ทำไมถึงบอกว่าจะไม่ให้หายไปแล้ว”

ทิวาโยนไม้ไอศกรีมลงถังขยะ แม้จะไม่มองหน้า แต่ความจริงแล้วเขาค่อนข้างคาดหวังกับคำตอบจากวินเป็นอย่างมาก ต่อให้พยายามซ่อนมากแค่ไหน ทว่าเขารู้ดีว่าอีกคนต้องรู้แน่ๆ แค่ไม่พูดออกมาเท่านั้นแหละ

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้เชื่อเช่นนั้น มันเป็นไปโดยจิตใต้สำนึก รวมถึงเรื่องที่เดินตามคนที่เพิ่งมาต้อยๆ แบบนี้ก็ด้วย

เขาแค่มั่นใจว่าคนคนนี้จะไม่มีวันทำร้ายเขา ก็เท่านั้นแหละ

“ไม่รู้เหมือนกัน”

“อ้าว”

“ก็ไม่รู้นี่ ...รู้แค่ว่าต้องพูดไปแบบนั้นเท่านั้น”

“...”

“ไม่อยากเสียใจทีหลัง ถ้าไม่พูดออกมา”

“...มีอะไรต้องเสียใจนักหนา แค่คนไม่รู้จักกันเท่านั้นเอง”

“จริงเหรอ”

“หรือไม่จริง?”

“...ก็จริง” วินตอบกลับมาพร้อมถอนหายใจ “ยังไม่ถึงวันเลยด้วยซ้ำที่ได้คุยกันแบบนี้ จะเอาอะไรไปเสียใจ”

“แต่มันก็เป็นไปแล้ว”

“...”

“เมื่อวานร้องไห้ทำไม”

คราวนี้ทิวาสะดุ้งหันไปมองพร้อมสีหน้าตกใจสุดขีด คลื่นความร้อนเริ่มกระจายเต็มแก้มจนรู้เลยว่าหน้าตัวเองต้องแดงมากแน่ๆ สภาพเขาเมื่อวานดูไม่ได้เลย เขารู้ตัวดีว่าเวลาตัวเองร้องไห้มันแย่ขนาดไหน แต่ไม่แย่เท่ากับที่ว่ามีคนเห็นเมื่อวานแล้วยังเข้ามาทักเขาหน้าตายเฉยเช่นนี้

เวรเอ๊ย “เห็นด้วยเหรอ!”

“ก็เมื่อวานยืนอยู่ข้างๆ ตลอด จะไม่เห็นได้ไง”

“โอ๊ย แม่ง! ลืมได้ไหม ลบๆ ออกไปหน่อย” ทิวากุมหัว จนผมยุ่งเหยิงไปหมด ลนลานเสียจนคนมองได้แต่ยิ้ม เพราะมันทั้งตลกและ...เออ น่ารักดี “ทำไมต้องมาเห็นตอนสภาพทุเรศด้วย”

“ไม่ได้ถึงขนาดนั้นเสียหน่อย โอเว่อร์” แล้วก็เคาะหัวไปหนึ่งทีให้คนขี้กังวลเลิกโวยวาย

ทิวาย่นจมูกแล้วมองใบหน้าที่สำหรับเขาแล้วก็ค่อนไปทางเพอร์เฟคของวิน บ่นกับตัวเองไม่สนใจแววตาที่กำลังมองมา “แน่สิ ตัวเองหน้าตาดีนี่ จะร้องไห้ทำหน้าตาน่าเกลียดยังไง คนก็ยังมองว่าหล่ออยู่ดี”

“เพ้อเจ้อ”

“...”

“มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกน่า”

“ไม่ฟังแล้วโว้ย”

“แต่ทางที่ดีอย่าร้องอีกเลยดีกว่า”

“เนี่ย! ไหนบอกว่ามันไม่ได้แย่ขนาดนั้นไง”

“ไม่ชอบ”

“...”

“ไม่ชอบที่ร้องไห้ อย่าร้องอีกนะ”

“...”

พวกเขาเงียบกันไปอีกครั้ง ตัวเขาน่ะเงียบเพราะไม่รู้จะพูดอะไรหลังจากที่วินพูดประโยคคลุมเครือแบบนั้นออกมา ออกจะทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง แต่ความเป็นห่วงเจือจางในประโยคในนั้นทำให้เขาดีใจอย่างประหลาด แต่วินเงียบไปนั้น เขาไม่รู้และไม่อยากเดาว่าทำไม

มันทั้งกลัวและคาดหวังในคำตอบ เลยไม่อยากรู้เท่าไหร่

นาฬิกาเดินข้างหน้าเรื่อยๆ กว่าเขาจะรู้ตัวก็ใกล้เวลาที่คอนเสิร์ตจะเลิกและเพื่อนทั้งสองคนจะกลับไปถึงหอแล้ว ทิวาเลยลุกขึ้นเตรียมตัวจะกลับไปยังหอตัวเอง แต่กลับได้แต่ยืนเก้กังไม่ยอมพูดลาออกมาเสียอย่างนั้น ยิ่งมองแววตาที่มองมาคล้ายรอว่าเขาจะพูดอะไรจากวิน เขาก็ยิ่งพูดไม่ออกเข้าไปใหญ่

ไม่รู้ดิ แต่ไม่อยากบอกลาเลย

“คือ...”

“จะกลับเหรอ”

“อืม”

“งั้นเดี๋ยวเดินไปส่ง”

“...”

“ได้หรือเปล่า?”

ทิวามองสีหน้าคาดหวังแล้วได้แต่พยักหน้า มองวินเดินอยู่ข้างๆ ตัวเองไปยังเส้นทางที่คุ้นเคยในตอนเกือบสามทุ่ม ทางที่เขาเดินจนหลับตาเดินยังได้ แต่วันนี้เขากลับเลือกที่จะค่อยๆ เดินไปทีละก้าว จนเป็นจังหวะเดียวกับคนข้างกายที่อาสาเดินมาเป็นเพื่อนเสียอย่างนั้น

“จริงๆ ไม่ต้องเดินมาด้วยก็ได้นะ”

“อยากเดิน”

“คือ...มันก็เสียเวลาไง”

“ไม่เห็นจะเป็นแบบนั้น” วินว่า “เต็มใจ”

“...”

พูดแบบนี้เขาจะไปต่อยังไงวะ

“อ๋อ เออ...ขอบใจ”

“ไม่เป็นไร”

วินไม่ได้พูดอะไรอีกแต่คอยเดินข้างๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นตอนที่ทิวาแอบมอง แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่อีกคนคอยมอง แต่มันก็ทำให้ใจเขาฟูขึ้นทีละนิด ต่างจากอีกคนที่คงทั้งงุนงงและสงสัยจนทนเก็บไว้ไม่ไหวในท้ายที่สุด

“...ทำไปทำไม อยากรู้” แม้จะพยายามกดความสงสัยเอาไว้ แต่ทุกอย่างกลับเหมือนยิ่งเร่งให้เขาอยากรู้จนทนไม่ไหว ทั้งสายตา คำพูด ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้ หลากหลายอย่างถาโถมเข้ามาแทบจะในทันทีที่สบตากัน พวกเขาหยุดเดินระหว่างทาง หันไปมองกันและกันท่ามกลางความเงียบงัน ใต้แสงสว่างเพียงอย่างเดียวของไฟถนนที่ส่องพวกเขาอยู่ แสงนั้นกลืนความรู้สึกบางส่วนบนใบหน้าของวินไปจนเขานึกไม่เข้าใจ ว่าทำไมอีกคนถึงได้เข้ามาหาเขา ทำไมถึงได้ยืนอยู่ตรงนี้

และทำไมจึงได้ทำสีหน้าเหมือนเฝ้ารอจะได้พบกันมาตลอดนั่นกับเขา

วินหลบตาในตอนสุดท้าย แต่สุดท้ายก็ยอมพูดออกมา

“ความจริงแล้ว ช่วงนี้ฝันบ่อยมาก”

“แล้วยังไง”

“ฝันเห็นใครก็ไม่รู้ไม่มีหน้าตา”

“...”

“ทำไมทำหน้าแบบนั้น”

“ผีหลอกในฝันเหรอ”

วินถอนหายใจ มู้ดเมื่อกี้สลายไปกับอากาศเลยเมื่ออีกฝ่ายตอบมาแบบนั้นพร้อมกับสีหน้าซีดๆ ยิ่งรวมไปกับอาการมองซ้ายขวาเหมือนระแวง วินยิ่งรู้สึกคิดผิดนิดๆ ที่เริ่มประโยคด้วยเรื่องนี้ ลืมไปได้ยังไงนะว่าคนคนนี้กลัวผี...

คิดมาถึงตรงนี้เขาก็ชะงัก ลืมทุกคำพูดที่เตรียมเอาไว้ แล้วเอาแต่จ้องหน้าคนตรงหน้าที่ไม่รู้กำลังท่องบทสวดไล่ผีไปถึงไหนแล้ว

นั่นสิ ลืมไปได้ยังไง

ทั้งที่ไม่ควรลืมแท้ๆ

“ร...รีบเดินกันไหม”

“...”

ทิวากระตุกแขนเสื้อวินเบาๆ “อยากกลับหอแล้ว เดี๋ยวมีคนมาเป็นเพื่อนเดินเพิ่ม”

“ติ๊งต๊อง” สีหน้าหวาดกลัวนั่น สุดท้ายก็ทำเขาหลุดหัวเราะออกมาจนได้ มันน่าแกล้งซะจริง แต่เขารู้ว่าถ้าแกล้งหนักกว่านี้จะต้องโดนโกรธแน่ๆ เลยจับมือที่คว้าชายเสื้อเขาแน่นหนามากุมเอาไว้แทน จึงพอจะดึงความคิดของอีกคนมายังตัวเขาได้บางส่วน “ไม่มีผีหรอกน่า”

“ก็เมื่อกี้วินยังบอกว่าฝันเห็น...”

“มันไม่ได้เป็นฝันน่ากลัวสักหน่อย”

“...”

“ออกจะเป็นฝัน...ที่อยากให้มันยาวนานกว่านี้เสียด้วยซ้ำ”

พวกเขาเริ่มเดินกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มือของทั้งสองกุมกันเอาไว้แน่น ทิวาได้แต่แอบมองมือที่จับกันเอาไว้ สลับกับรู้สึกเหมือนมันมีอะไรไม่ถูกต้อง แต่ถามว่าปล่อยมือไหม ก็ไม่ เพราะกลัวผี

อย่างน้อยถ้าผีมาจริงๆ ก็รีบผลักให้วินไปรับหน้าแทนได้ เขาคิดแบบนั้น

“มันน่าฝันยังไงไม่ทราบ ฝันที่เห็นคนไม่มีหน้าอะ”

“ก็...เพราะเขาเป็นคนที่อยากเจอไง”

“...”

“ไม่เคยหรือไง ที่ฝันถึงใครคนหนึ่งแล้วอยากเจอเขาในความจริงน่ะ”

จู่ๆ ทิวาก็หวนนึกถึงฝันของตัวเองขึ้นมาและอดคิดไม่ได้ว่าสิ่งที่วินก็เป็นสิ่งที่เขาอยากทำอยู่เหมือนกัน

เขาเองก็อยากเจอเหมือนกัน คนที่เจอในฝันคนนั้น...คนที่เอาแต่นั่งอยู่ข้างตัว พูดในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจและปวดใจบ่อยครั้งที่ตื่นขึ้นมา

ไม่อยากอยู่กับความไม่รู้และความเสียใจนั่นโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรอีกแล้ว

“...เคย”

“...”

“ก็อยากจะเจอตัวจริงๆ เหมือนกัน ไม่อยากสงสัยอีกแล้ว”

วินมองสีหน้าเศร้าๆ ของทิวาแล้วเงียบนิดหน่อย “ถ้าเขาเป็นผีจริงๆ ก็คงซวยเลยเนาะ จะไปตามหา...”

“เงียบไปเลยนะ! อย่าพูด ห้ามพูด! ไม่ฟังด้วย!”

“...”

สีหน้าของทิวากลับไปเป็นหวาดกลัวเหมือนเดิมอีกแล้ว คราวนี้ถึงกับบีบแขนของวินแน่น ทำเอาวินนึกอยากจะหัวเราะแทบตาย ทว่าก็ได้แต่กลั้นเสียงหัวเราะและรอยยิ้มเอาไว้ มองคนข้างกายเขย่าแขนเขาให้หยุดพูดเรื่องผีเสียที “จะพูดขึ้นมาอีกทำไม! ถ้า...ถ้าเขามาหาจะทำยังไง ไอ้บ้า”

“...”

“ไม่รู้หรือไงว่าเขาห้ามพูดเรื่องคนตายน่ะ เดี๋ยวเขามาหา...”

“ดูคลิปผีบ่อยใช่ไหมเนี่ย ไอ้ช่องเล่าเรื่องผีอะ”

“...”

“ฟุ้งซ่านไปเรื่อย”

“ยุ่งน่า!”

วินเอื้อมมือไปลูบหัวทิวาเบาๆ ขณะพยายามออกแรงเดินไปข้างหน้าทีละก้าว แม้จะเหมือนพยายามให้ถึงหอไวๆ แต่เขารู้ดีว่าอันที่จริง...เขาอยากจะให้เส้นทางนี้ไม่มีที่สิ้นสุดเสียด้วยซ้ำ

เขาชอบตัวเองตอนอยู่กับคนคนนี้

ไม่มีเหตุผล...แต่ไม่อยากจากไปไหนเลย

เหมือนกับรอคอยมานานมากและในที่สุดก็ได้พบกัน อะไรแบบนั้นเลยล่ะ

“ไม่มีผีหรอก”

“รู้ได้ไง”

“ถ้าจะมี...ก็มีแต่คนที่อยากจะพบเจอคนที่รักอีกสักครั้ง แม้จะไม่มีวันเป็นไปได้เท่านั้นแหละ”

“...พูดเหมือนเคยรอแบบนั้นเลยนะ”

วินหัวเราะร่วน “อาจจะเคยรอแบบนี้ในชาติที่แล้วก็ได้นะ”

“แต่ชาตินี้ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นแล้ว อยากจะอยู่ด้วยกันจนกว่าจะตายจากกันไปมากกว่า”

“...”

“แบบนั้นดีกว่าเห็นๆ ว่าไหม”

สีหน้ายิ้มแย้มของวินที่ทิวาแอบมองอยู่ ทำให้เขาไม่รู้จะพูดอะไร ฟังครั้งแรกมันก็เหมือนการขอความเห็นธรรมดาอยู่หรอก แต่พอคิดอีกที...ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนอีกคนกำลังถามเขากันนะ

“ก็ต้องดีอยู่แล้วไหม”

“...”

“ใครๆ ก็อยากอยู่กับคนที่รักนานๆ กันทั้งนั้นแหละ”

“ใช่ไหม”

“...”

“ในครั้งนี้ก็จะอยู่แบบนั้นให้ได้เลยล่ะ”

เพราะงั้นอย่าจากไปไหนอีกนะ

นั่นเป็นคำภาวนาอย่างเดียวในค่ำคืนนั้นที่วินหวังว่าจะส่งไปถึงใครที่เอาแต่หวาดกลัวอยู่ข้างกายและถึงตัวเองคนที่แล้วมาว่าไม่ต้องกังวล

ครั้งนี้จะจบด้วยดีอย่างแน่นอน

 




เพราะแบบนั้นเอง ฉันจึงต้องทำทุกวิธีทาง

เพื่อให้เธออยู่เคียงข้างฉัน ไม่จากร้างลาเมื่อที่ผ่านมา



(โปรดติดตามตอนต่อไป)



---------------------------------------------------------------------------------------------------------------

อีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้วค่ะ ช่วยอยู่ด้วยกันไปจนถึงตอนนั้นเลยนะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาค่ะ

NAVY

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

วินจำได้เหรอ?

แต่เดย์ไม่น่าจะจำได้  แต่ความรู้สึกคงบอกว่าใช่

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เหมือนว่าวินจะจำได้แต่เดย์ยังนึกไม่ออก

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ในหัวใจฉันเคยมีแต่สายฝนและตัวฉันที่เดียวดาย

จนมาพบเธอ

 













ตกหลุมรักระยะที่ 0.2






การพบกันครั้งที่สองคือหน้าห้องของเขากับเจ้าของรอยยิ้มเดิมที่ทำให้ความฝันนั้นหายไป

ทิวาได้ถูกแสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องที่ทำให้โลกอบอุ่นขึ้น เสียงเคาะประตูและกลิ่นหอมๆ ของปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้ รวมไปถึงคนที่ทิวาคิดว่าจะไม่ปรากฏตัวขึ้นอีกที่กำลังยืนอยู่หน้าห้องของเขา ปลุกให้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล

“หิวไหม เอาข้าวเช้ามาให้”

“...เข้าหอมาได้ยังไง”

“บอกว่ามาหาเพื่อน” วินว่า แล้วถือวิสาสะเดินเข้ามาข้างในห้องของเขา โชคดีที่เขาและเดือนอ้ายเพิ่งทำความสะอาดไปไม่นาน มันเลยยังเรียบร้อยอยู่ อย่างน้อยก็มีที่ให้แขกแปลกหน้ามีที่นั่งละนะ

ทิวารีบปิดประตูแล้วดึงคนที่กำลังจะรี่เข้าไปสำรวจห้องของเขาเหมือนว่ามันเป็นดินแดนมหัศจรรย์ให้ไปนั่งอยู่แถวโต๊ะทำงาน คว้าเอาของฝากออกจากมือของอีกคนแล้วไปวางอยู่หลังตู้เย็นขนาดเล็กแทน แต่พอหันกลับมาอีกที คนที่เขาคิดว่าจะนั่งเรียบร้อย กลับกำลังรื้อเอาชีทเรียนที่วางไม่เป็นระเบียบของเขามานั่งอ่านทีละแผ่น จนอดโวยวายไม่ได้

“วิน! อย่ารื้อ”

“ดูนิดหน่อยเอง อ่านยากจัง”

ทิวานึกอายเสียจนไม่อยากมอง รู้ดีเลยล่ะว่าลายมือตัวเองห่วยแค่ไหน โดยเฉพาะตอนที่รีบในห้องเรียน มีแต่ตัวเขาเองเท่านั้นแหละที่อ่านออก “ก็ไม่ต้องอ่าน”

“เอาไปวางที่เดิมเลย”

“เดี๋ยววางให้เหมือนเดิมน่า เดย์ไปกินข้าวเถอะ จะนั่งตรงนี้ไม่ดื้อไม่ซนแน่นอน” ว่าแล้วก็ชูสามนิ้วให้สัญญาที่ทิวาไม่เชื่อใจเอาเสียเลย ดูจากเมื่อครู่ที่มือไม้รื้อค้นไปทั่วแล้ว เขาไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าจะไว้ใจได้

“จริงๆ ไม่รื้อแล้วครับ เก็บเสร็จแล้วจะนั่งเฉยๆ”

“...งั้นก็มากินด้วยกัน”

“หือ?”

ทิวาชี้ไปยังอาหารที่วางอยู่บนหลังตู้เย็น “มากินด้วยกันสิ”

“ไม่ต้องๆ ซื้อมาให้เดย์คนเดียว จะไปแย่งกินได้ไง”

“มาเถอะน่ะ”

วินดูอิดออด แถมไม่วายบ่นซ้ำว่าซื้อมาให้เขากินเท่านั้น จนทิวามองซ้ำอีกรอบนั่นแหละ ถึงได้เดินเข้ามาหยิบปาท่องโก๋ไปกินคู่หนึ่งอย่างเสียไม่ได้

“มาทำไม” ระหว่างที่กำลังเคี้ยวอาหารในปาก ทิวาก็เริ่มถามในสิ่งที่เขาอยากถามตั้งแต่แรกที่เห็นวินยืนอยู่หน้าห้องออกมาทันที “จำได้ว่าเพิ่งรู้จักกันเมื่อวานเองนะ”

“แต่ก็เคยมาส่งกันถึงหน้าหอแล้วไง”

“ฟังไม่ขึ้น”

“อืม งั้นถ้าเปลี่ยนเป็นอยากเจอล่ะ”

“...”

วินยิ้ม เป็นยิ้มที่ทิวาไม่ชอบเอาเสียเลย เพราะเขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะแพ้ “เหตุผลนี้พอเข้าท่าไหม”

“...ไม่เข้าท่าเลยสักนิดเดียว” ทิวาก้มหลบตาที่คนที่เอาแต่จ้องมายังเขาไม่เลิก มองไปยังน้ำเต้าหู้ที่อีกคนซื้อมาราวกับว่าบนผิวน้ำเต้าหู้มีอะไรน่าดูมากเสียยิ่งกว่าคนซื้อ ไม่สนใจแววตาพราวระยับและรอยยิ้มที่กวนนั้นแม้แต่น้อย “ไม่มีเรียนหรือไง ถึงมาก่อกวนกันแต่เช้า”

“ไม่มีเรียน เดย์ก็ไม่มีเรียนไม่ใช่เหรอ”

“รู้ได้ไง”

“ก็เพื่อนเดย์เป็นคนบอก”

ฟังแล้วทิวารู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย คล้ายตัวเองจะโดนเพื่อนขายยังไงก็ไม่รู้ แม้จะแอบคิดไว้บ้างแล้วว่าใครเป็นคนพาวินเข้ามาในหอ รวมไปถึงให้ข้อมูลเกี่ยวกับตารางเรียนของเขา ทว่าก็ยังถามออกไป “คนที่บอกนี่...ชื่อเดือนอ้ายหรือเปล่า”

“ใช่ เขาบอกว่าเป็นเพื่อนสนิทของเดย์”

“...” เพื่อนเวร

“ดูสนิทกันดีนะ”

“จะไม่สนิทแล้ว เอาเรื่องเพื่อนตัวเองไปปูดกับคนแปลกหน้าแบบนี้เนี่ย”

วินนั่งโดยเท้าคางบนพนักเก้าอี้ นั่งฟังคนที่เพิ่งตื่นหัวยุ่งฟูบ่นเรื่อยเปื่อยถึงเพื่อนรัก สลับกับเคี้ยวอาหารในปากจนแก้มตุ่ย ภาพตรงหน้ามันน่ารักมากๆ จนเขานึกอยากจะเห็นแบบนี้ในทุกเช้า มันคงจะดีถ้าได้มาหาแบบนี้ทุกวัน แบบที่เคยทำมาก่อน

อันที่จริงทิวาก็พอรู้ตัวอยู่หรอกว่าตัวเองถูกมองอยู่แทบตลอดเวลา แต่เขาก็ไม่อยากไปสนใจอะไรมากให้ตัวเองปล่อยไก่ต่อหน้าเจ้าตัวว่าตอนนี้เขาไม่ได้สุขุมหรือนิ่งเฉยอย่างที่แสดงออกเลยสักนิด ใจของเขาเต้นรัวทุกครั้งที่แววตายิ้มๆ มองมา ในนั้นมันเต็มไปด้วยความเอ็นดูจนเขาไม่กล้าสบตา ได้แต่ทำเป็นมองเพดาน มองผนัง มองทุกอย่างที่ไม่ใช่สบตากับวิน อดบ่นอีกคนไม่ได้ เห็นก็น่าจะรู้ว่าเขาล่กจนแทบไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว แต่ก็ยังมองอยู่ได้ ตั้งใจจะมองจนทะลุกันไปข้างหนึ่งหรือจะมองให้เขาหัวใจวายตาย เพราะหัวใจเต้นเร็วไปเลยหรือไง

“...เลิกมองสักทีได้ป่ะ”

“มองตั้งแต่แรก ทำไมเพิ่งจะมาห้าม”

“ก็ตอนแรกนึกว่าจะเลิกมอง ใครจะไปรู้ว่าจะจ้องขนาดนี้” ทิวาเก็บซากขยะข้าวเช้าที่ตัวเองเพิ่งกินเสร็จแล้วบ่นเสียงเบา “คนนะเว้ย ไม่ใช่สัตว์ในสวนสัตว์ จ้องเอาๆ อยู่ได้”

“ก็น่ารักดี”

“...”

“ตอนกินเหมือนแฮมสเตอร์เลย แก้มตุ่ยเป็นก้อน” ไม่ว่าเปล่า แต่กลับโชว์รูปที่แอบถ่ายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ให้เขาดูด้วย เห็นแล้วทิวาก็พุ่งเข้าไปแย่งโทรศัพท์แทบไม่ทัน เขาในภาพกำลังกินปาท่องโก๋เต็มปาก อยู่ในชุดนอนย้วยๆ หัวยุ่งฟู ไม่มีอะไรดีสักอย่าง แล้วเอาไปมองยังไงวะถึงได้มองว่าน่ารัก หน้าเขาร้อนจี๋จนไม่ต้องส่องกระจกเขาก็รู้ว่าใบหน้าเขาแดงแค่ไหน ในใจนึกด่าเดือนอ้ายเป็นพันรอบที่มันชักศึกเข้าห้องเพื่อนแบบนี้

“ลบเลย”

“ไม่ลบ” วินว่าแล้วรีบยกโทรศัพท์ขึ้นให้สูงที่สุด แต่ก็ต้องโยกไปซ้ายที ขวาที เพราะความสูงของเขาทั้งสองคนแทบไม่ต่างกันเลย มีหลายครั้งที่ทิวาเกือบจะคว้าได้ แต่เขาก็เบี่ยงหนีได้ทันจนเจ้าตัวชักจะเปลี่ยนจากอายเป็นโกรธขึ้นมาจริงๆ

“ไม่เห็นต้องลบเลย น่ารักจริงๆ นะ”

“ไม่เอา ลบ!”

“ไม่ให้ลบ”

“วิน มันน่าเกลียดโว้ย!”

“น่ารัก”

“วิน” เมื่อเห็นว่าจะพยายามยังไง โทรศัพท์ที่มีรูปเจ้าปัญหาก็ยังอยู่ในมือเจ้าของเหมือนเดิม เขาจึงเปลี่ยนมาขึ้นเสียง ทำหน้าตาจริงจังให้อีกคนเห็นว่าเขาไม่อยากให้มีรูปนั้นในเครื่อง “เดย์ไม่ชอบ ลบได้ไหม”

“...”

“นะ ลบนะ”

“อย่าพูดงี้ดิ” งี้เขาก็แพ้ดิวะ วินคิดในใจ

แน่นอนว่าทิวาไม่มีวันได้ยิน เพราะแบบนั้น พอเจ้าตัวเห็นว่าวินเริ่มอ่อนลง จึงรีบพูดต่อหวังจะให้รูปนั้นหายไปไวๆ “วิน ลบให้เดย์นะ ไว้ค่อยถ่ายตอนหล่อๆ ได้ไหม ตอนนี้ทุเรศมากเลย”

“...”

“งั้นบอกมาก็ได้ นอกจากอยากจะมาหาแล้วอยากทำไรอีก ยอมหนึ่งอย่าง แลกกับลบรูป”

พอเปลี่ยนคำพูด วินก็มีทีท่าจะสนใจทันที จึงรีบตอบกลับไป “จริงนะ”

“จริง”

“งั้นวันนี้ไปเที่ยวเป็นเพื่อนวิน”

“เยอะไปล่ะ”

“งั้นไม่ลบ...”

“โอเค!” โอ๊ยย เกลียดเวลาที่ตัวเองเป็นรองคนอื่นชะมัด ทิวาข่มใจขั้นสุดยอดที่จะไม่พุ่งไปทำร้ายคนที่เอาแต่ยิ้มหน้าเป็นตรงหน้าตัวเอง มองวินกดลบรูปออกจากอัลบั้มทุกขั้นตอน รวมไปถึงลบออกจากถังขยะเรียบร้อยแล้วนั่นล่ะจึงได้วางใจแล้วรีบไล่ให้วินออกไปรอข้างนอกแทน เพราะเขาจะอาบน้ำ หลังจากที่เน่าต่อหน้าแขกเป็นนานสองนาน

เสียงปิดประตูดังลั่นทำให้วินหลุดหัวเราะ ไม่ต้องเดาใจก็รู้ว่าทิวาขัดใจแค่ไหนที่ต้องรับข้อเสนอของเขา อันที่จริงถ้าขอร้องอีกนิดเขาก็ยอมลบให้แล้ว แต่อีกคนดันยื่นข้อเสนอที่เขาได้ประโยชน์มาเสียก่อน จะไม่รับมันก็ไม่ดีใช่ไหมล่ะ

“ยังน่าแกล้งเหมือนเดิมเลย”

วินยิ้มกับรูปเจ้าปัญหาที่ทิวาคิดว่าลบไปแล้วในโทรศัพท์ของตัวเอง ก่อนจะเดินลงไปรอที่หน้าหอเหมือนที่รับปากเจ้าของห้องและคนที่เขาจะออกไปเที่ยวด้วยในวันนี้ หอพักในของมหาลัยหลังสอบค่อนข้างเงียบเหงา แม้จะยังมีบางคลาสที่ยังเรียนกันอยู่ แต่ก็น้อยมากๆ ที่จะมีเด็กเข้าเรียน ส่วนมากก็กลับบ้าน ไม่ก็ไปเที่ยวหลังสอบกัน ดังนั้นบริเวณม้านั่งด้านล่างหอพักจึงว่างให้เขานั่งรอทิวาได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาขอแชร์ที่

นอกเสียจากเจ้าแมวสีขาวที่เดินนวยนาดมายังที่ที่เขานั่งอยู่ แล้วทิ้งนอนแผ่บนโต๊ะเหมือนประกาศสิทธิ์ตัวนี้น่ะนะ

ดวงตาสองสีมองมายังเขาคล้ายเกียจคร้านอยู่ที ก่อนจะหลับลงตอนที่เขาใช้มือลูบไปเบาๆ บนขนนุ่ม  แต่ก็เพียงไม่นาน พอมันเห็นว่ามีคนเดินเข้ามาใกล้ก็ลุกขึ้นยืน กระโดดวิ่งหายไปจนเขามองตามแทบไม่ทัน เมื่อหันไปมองคนที่ทำให้เจ้าแมววิ่งหนีก็พบกับสีหน้าเหวอๆ ของทิวา มือข้างหนึ่งยกขึ้นเหมือนอยากจะลูบเจ้าแมวเหมือนที่เขาทำ แต่มันกลับไม่อยู่ให้ลูบเสียแล้ว

“อะไร ทีตอนนั้นยังเล่นด้วยกันอยู่เลย” ทิวาดึงมือกลับแก้เก้อ แล้วเดินมาหาวินที่นั่งรออยู่ “วันนี้เมินกันซะงั้น”

“มันตกใจละมั้ง” วินลุกขึ้นจากม้านั่ง มือก็ปัดขนสีขาวที่ปลิวมาติดตามเสื้อผ้าออกไปด้วย “ไปกันหรือยัง”

“ไปสิ...แล้วจะไปไหน”

วินยิ้มให้คนที่มองมายังเขา “อันที่จริง...ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน”

“...”

เห็นทิวาหรี่ตามองก็ได้แต่รีบพูดขึ้น กลัวอีกคนจะโกรธ “ก็เมื่อกี้มันยังไม่ทันตั้งตัวนี่ อะไรรับปากได้ก็รับปากไปก่อน”

“...”

วินเกือบจะหลุดขำอีกรอบแล้ว ถ้าไม่กลัวว่าคนที่กำลังสีหน้าหงุดหงิดตรงหน้าจะพาลโกรธขึ้นมาอีกครั้งน่ะนะ ขณะกำลังคิดว่าจะพาทิวาไปไหนดี ภาพใบหน้าของเพื่อนสนิทและคำพูดที่ว่าวันนี้พวกมันจะไปขลุกอยู่ที่ห้องซ้อมก็พลันลอยเข้ามาในสมอง

“งั้นไปดูซ้อมดนตรีไหม”

“ซ้อมดนตรี?”

“อือ เดี๋ยวบอกให้เล่นเพลงของวีอาร์ให้ฟังก็ได้”

“แล้วใครจะเป็นเล่น”

วินยิ้มแล้วชี้เข้าหาตัวเอง “‘พวกเรา’ จะเล่นให้ฟังเอง”

 









-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------











“ใครวะ”

วินวางกระเป๋าสะพายและหมวกกันน๊อคที่รับมาจากทิวาลงบนโต๊ะไม่ไกลจากแถวโซฟา ก่อนจะบอกให้คนมาใหม่ทำตัวตามสบาย ส่วนตัวเองก็เดินไปหาเพื่อนคนอื่นพร้อมกับรับกีต้าร์ที่วานให้ไป๋หยิบมาถือเอาไว้

“คนมาฟังเพลง”

“ปกติมึงไม่เห็นจะพาใครมาสักที...”

ไป๋รีบปิดปากเวย์ แล้วหันไปหาคนที่นั่งเกร็งอยู่มุมโซฟา “ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ อยากฟังเพลงอะไรก็บอกได้นะ”

“เราไป๋ เวย์แล้วก็แคท แล้ว...?”

“หวัดดี ชื่อเดย์...”

สิ้นเสียงแนะนำตัวคนที่เหลือก็พากันเงียบไปหมดและหันไปหาคนที่ยังจูนสายกีต้าร์ทำเป็นไม่รู้เรื่องโดยพร้อมเพรียง บทสนทนาเมื่อหลายวันก่อนยังคงติดอยู่ในสมองของทั้งสามคน ทำให้ได้รู้เสียทีว่าคนในตอนนั้นที่วินไม่ยอมพูดและเป็นคนที่วินได้ยินชื่อในฝันคือคนนี้

แต่มันจะมีเรื่องเหลือเชื่อขนาดนี้อยู่บนโลกด้วยเหรอวะ

ทว่าพอมองเพื่อนตัวเองหอบกีต้าร์ไปนั่งข้างเขา ยิ้มและพูดคุยแบบที่ไม่เคยทำกับคนอื่นมาก่อน ไป๋และคนอื่นๆ ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นไปแล้วจริงๆ

“มีเพลงไหนที่อยากฟังหรือเปล่า”

“ไม่มี จะไปซ้อมก็ไปซ้อมสิ มาคุยทำไม” ทิวาพูดเสียงค่อย กระซิบกระซาบราวกับกลัวว่าคนที่เหลือจะได้ยินว่าพูดอะไร ส่วนใบหน้าก็แทบจะซุกอยู่ในนิตรสารที่วางประดับในห้อง ไม่ยอมสบตากับใครทั้งนั้น ท่าทางเหมือนแมวขี้ระแวงทำให้วินนึกเอ็นดูอย่างเสียไม่ได้ มือเขาเอื้อมไปลูบหัวอีกคนเหมือนมีความคิดเป็นของตัวเอง

“เดี๋ยวไปแล้ว เอาเป็นว่าจะให้พวกนั้นเลือกเพลงวีอาร์มาสักเพลง รอฟังนะ”

“อือ”

“ไม่ได้ยินเลย”

ด้วยความหมั่นไส้ เลยฟาดแขนของคนที่กำลังกวนประสาทด้วยนิตรสาร ทำเอาคนโดนฟาดหัวเราะร่า ทั้งน้ำเสียงยังไม่คล้ายจะรู้สึกผิดอะไรที่กวนเขาเช่นนี้ น่าตีจริงๆ “ไปได้แล้ว!”

“ครับๆ เวย์ มึงเลือกเพลงวีอาร์มาสักเพลงดิ๊ มีแฟนคลับเขารอฟังอยู่”

“ได้ เพลงช้าเพลงเร็ว”

“สักเพลง มึงรีบเลือกมาเถอะ”

“มึงเล่นได้เหรอวะ”

“ได้”

“โอเคๆ เลือกได้แล้วพ่อ หน้าที่สิบสี่ พ่อเปิดดูเลย” เวย์ว่าแล้วเปิดแฟ้มเพลงให้กับวิน ใช้เวลาทำความคุ้นเคยอยู่ไม่นาน ท่วงทำนองที่ทิวาคุ้นหูก็ดังขึ้น แม้ว่าจะไม่มีเสียงคนร้อง ทว่าก็ยังชวนให้นึกถึงคอนเสิร์ตจริงที่เขาเคยไปดู หากจะมีอะไรที่ต่างไป ก็คงเป็นใบหน้าของเหล่าคนที่บรรเลงดนตรีที่ไม่ใช่คนในวงที่เขาปลาบปลื้ม โดยเฉพาะมือกีต้าร์ที่เป็นตำแหน่งที่เขาปลื้มมากเป็นพิเศษ ดันเป็นคนที่ถือวิสาสะเดินเข้ามาในชีวิตของเขาโดยไม่ทันตั้งตัวและไม่มีทีท่าว่าจะยอมออกไปโดยง่าย แต่ที่น่าเจ็บใจกว่านั้นคือ...เขาคิดว่าตัวเองก็ไม่มีความคิดที่จะไล่อีกคนไปเลยแม้แต่นิดเดียว

ยิ่งมองแววตาที่อีกคนเพียรจะมอบมาให้ ทิวายิ่งรู้สึกว่ากำแพงที่เขามักกันไม่ให้ใครข้ามมา มันไม่มีผลเลยแม้แต่นิดเดียวกับคนคนนี้

เขาไม่ได้ทำลายกำแพงนั้น ไม่ได้ปีนข้ามมาเหมือนที่หลายคนพยายาม

แต่เขาอยู่ข้างในกำแพงนั้นอยู่แล้ว ราวกับที่ตรงนั้นคือที่ของเขามาตลอด

การปรากฏตัวของวินเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกี่ยวกับเขา แต่ที่ชัดเจนที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องความฝันที่ดำเนินมายาวนั่น คราวนี้ในฝันเขาและคนคนนั้นไม่ได้นั่งข้างกันอีกแล้ว ในฝันนั้นเหมือนเขาเป็นโลกและคอยเฝ้ามองเงาร่างเดียวดายนั่นแทน เพียงแต่...บนใบหน้านั้นเป็นรอยยิ้มสบายใจ ก่อนจะค่อยๆ หายไปเหลือเพียงความว่างเปล่าในท้ายที่สุด

เขาสะดุ้งตื่นขึ้นตอนกลางดึกและเมื่อพยายามหลับไปอีกครั้ง ก็ไม่ฝันอีกแล้ว

เหมือนกับนั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พบกัน เป็นคำบอกลาที่อาจหมายความว่า เราจะไม่พบกันในฝันอีกแล้ว

และจะปรากฏขึ้นเพื่ออยู่เคียงข้างในความจริงแทน

“เดย์!”

เขาสะดุ้งกับเสียงเรียกและใบหน้าที่อยู่ใกล้จนเกินความจำเป็นของวินจนผงะถอยไปชิดหนักโซฟาแทบไม่ทัน สีหน้าของอีกคนทั้งสงสัยและกังวล บอกว่าเรียกเขาอยู่ตั้งแต่เพลงจบแต่เขากลับไม่ตอบอะไรเลยสักนิดเลยเป็นห่วง แต่เป็นห่วงแล้วมันต้องเข้ามาใกล้ขนาดนี้ด้วยหรือไง!

“ไม่ต้องเข้ามาใกล้ขนาดนี้ก็ได้! ขอโทษ เมื่อกี้คิดอะไรเพลินๆ เลยไม่ได้ยิน”

“แน่นะ ไม่ชอบอะไรหรือไม่อยากอยู่ก็บอกกันก็ได้ ไม่ต้องตามใจวินอย่างที่บอกเมื่อเช้าหรอก”

“...”

“วินตามใจเดย์ ทุกอย่างเลย”

“...ไม่ได้พูดสักหน่อยว่าไม่อยากมาด้วย ก็ยังนั่งฟังอยู่ไม่ใช่หรือไง” ทิวาบ่นอุบอิบ ไม่กล้าสบตากับวิน ทั้งนึกชังรอยยิ้มที่ขยายกว้างบนใบหน้าของวินครั้งที่ไม่รู้เท่าไหร่ของวันนั่นด้วย

เบื่อคนหน้าตาดีจริง ทำอะไรก็ดูดีไปหมด อิจฉา!

“โอเค

เวย์มองคนสองคนตรงหน้าที่สร้างโลกกันอยู่สองคน คุยในเรื่องที่พวกเขาไม่เข้าใจแล้วอดนึกเชื่อมโยงกับเพื่อนเขาคนก่อนไม่ได้เลย ช่วงอาทิตย์ก่อนหน้ายังเหมือนคนเครื่องพัง เหม่อบ้าง พูดเรื่องที่คนอื่นเขาไม่เข้าใจก็บ่อย แต่ตอนนี้กลับยิ้มหน้าเป็น แกล้งคนหัวเราะร่า จนอดสงสัยไม่ได้ว่านี่ใช่วินเพื่อนพวกเขาจริงๆ ใช่ไหม

“มึงว่าคนนี้แน่ไหม”

“ก็น่าจะคนนี้แหละมั้ง ไม่งั้นมันคงไม่พามา” ไป๋ว่า

“ผู้ชายจริงๆ ด้วย”

“มันก็ไม่ได้โกหกมึงไหมล่ะ ตอนนั้น”

“แต่มันเชื่อยากนี่หว่า แถมดูจากที่อีกคนเขาระวังตัวขนาดนั้น คงเพิ่งได้คุยกันจริงๆ จังๆ เองมั้งนั่น”

“จะยังไงก็ช่างมันเถอะ ทั้งมึงกับกูก็รู้ดีว่ามันเป็นยังไง เรื่องออกมาอีหรอบนี้มันก็คงคิดดีแล้วที่ทำแบบนี้” ไป๋พูดแล้วดันหน้าเพื่อนที่เริ่มอยากรู้อยากเห็นจนออกนอกหน้าให้หันกลับไปยังเครื่องดนตรีแทน “ปล่อยมันไปเถอะ มันมีความสุขก็ดีแล้ว มึงคิดแค่นี้ก็พอ”

“ก็จริง ...เอาเถอะ มันมีปัญหาเดี๋ยวมันก็เรียกหาเองแหละ”

“แต่ไม่น่าเรียกหาลูกทรพีอย่างมึงแน่ๆ อันนี้กูมั่นใจ”

“ไอ้แคท” เผลอแป๊บเดียวพวกมันสองคนก็ตีกันอีกแล้ว ถึงจะชินแต่ก็ใช่ว่าจะไม่รำคาญ แถมคนที่เคยเป็นฝ่ายห้ามทัพ ตอนนี้ก็ยังนั่งยิ้มหน้าเป็นอยู่ข้างสมาชิกใหม่ที่น่าจะกลายเป็นสมาชิกถาวรของกลุ่มพวกเขาในอนาคต ไม่สนใจเสียงโวยวายของเพื่อนคนอื่นอีกแล้ว ทำเอาไป๋เริ่มปวดหัว ฝั่งหนึ่งก็ตีกันเรื่องไม่เป็นเรื่อง อีกฝั่งก็จี๋จ๋าจนคลื่นไส้

อยากกลับบ้านโว้ย

 









-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------







พวกเขาใช้เวลาอยู่ห้องซ้อมแทบจะทั้งวัน ก่อนพากันไปกินข้าวเย็นที่ร้านชาบูแถวม.แล้วค่อยแยกย้ายกันกลับ วินไม่ได้มาส่งเขาที่หอ หนึ่งเพราะเขาปฏิเสธ อีกข้อเพราะรถมันไม่พอจึงให้วินไปส่งแคทแทน ถ้าไม่เพราะว่าเขายืนยันว่าหอเขาอยู่แค่นี้ แถมเป็นในม.ไม่ได้ไกลเสียเท่าไหร่ วินก็คงไม่ยอมกลับไปแต่โดยดี นึกทีไรก็นึกฉุนกับความดื้อรั้นที่เขารับมือไม่ค่อยจะได้นั่นเสียทุกที

ทว่าวันนี้ที่ได้อยู่ร่วมกับกลุ่มเพื่อนของวิน มันกลับทำให้เขาสนุกและไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกจากกลุ่มเลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งที่เพิ่งเจอกันและเขาค่อนข้างจะเป็นคนที่ต้องใช้เวลาในการเข้าหาคนอื่น แต่วันนี้เขากลับพูดคุยและเล่นกับเพื่อนของวินได้ทุกคน ไม่มีเคอะเขินหรือเกรงใจ จนหากไม่คิดว่าเพิ่งเจอก็คงคิดว่ารู้จักกันมาแล้วหลายปี

ถึงจะแปลกอยู่บ้าง แต่เพื่อนของวินก็นิสัยกันทุกคน อยู่ด้วยแล้วทำให้เขาสนุกไม่ต่างจากที่กับสองเพื่อนซี้ของตัวเองเลยด้วยซ้ำ

ขณะพิมพ์คุยเรื่องข้าวเย็นที่เขาไม่อยากกินแล้ว แต่ยังอยากไปหาขอหวานกินกับเดือนอ้ายและปัณผ่านทางโทรศัพท์ระหว่างเดินกลับหอ การปรากฏตัวของใครคนหนึ่งได้เรียกความสนใจของทิวาให้ไปอยู่ที่เขา รวมไปถึงสิ่งมีชีวิตที่กำลังคลอเคลียอยู่ข้างเท้าเขาเหมือนไม่เคยเมินกันเมื่อเช้ามาก่อนด้วยหนึ่งตัว ทิวาก้มลงอุ้มแมวสีขาวขึ้นมากอดแน่นแล้วเดินไปหาผู้ชายคนเดิมที่เขาเคยเห็น ใจหนึ่งก็กลัวว่าจะเป็นผี แต่อีกใจก็อยากรู้ว่าเขาเป็นใครกันแน่ แล้วทำไมถึงได้มายืนอยู่ตรงนี้ ราวกับกำลังรอให้เขากลับมา

“สวัสดีครับ ...แมวของคุณใช่ไหม”

“ครับ แมวผมเอง”

“...”

“ตกใจเหรอครับ วันนั้น”

วันนั้นที่ว่าคงหมายถึงวันที่จู่ๆ เขาก็หายไปล่ะมั้ง ทิวาคิดแล้วยิ้มออกมา “ก็...นิดหน่อยครับ นึกว่าผีหลอกเสียอีก”

“ผมไม่ใช่ผีแน่นอนครับ จับตัวได้ มีเงาบนพื้น ไม่ต้องกลัวนะครับ” ซานว่าแล้วยิ้ม ชี้นิ้วไปบนพื้นเพื่อยืนยันว่าหมายความตามที่พูดจริงๆ ขณะที่คนคิดว่าตัวเองเจอผีตอนกลางวันแสกมากหลายครั้งได้แต่ยิ้มแห้ง

“แล้ว...ทำไมถึงมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะครับ”

“...”

“คงไม่ได้...รอเจอผมหรอกใช่ไหม” ท้ายเสียงอ่อนลงเหมือนไม่แน่ใจ แต่รอยยิ้มของคนตรงหน้ายิ่งย้ำเตือนว่าสิ่งที่เขาคิดมันคือเรื่องจริงจึงกล้าพูดเสียงดังมากขึ้น “มีอะไรกับผมหรือเปล่าครับ ผมคิดว่าเราไม่เคยเจอกันมาก่อนนะครับ”

“ก็จริงที่ว่าเราไม่เคยเจอกันมาก่อน...หมายถึงตอนนี้น่ะนะ”

“...?”

ผู้ชายตรงหน้ายิ้ม แต่เป็นยิ้มที่ทิวาไม่ค่อยชอบเสียเท่าไหร่ เพราะเดาไม่ได้เลยว่าในรอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกเช่นไร มันกวนใจจนแทบระงับความสงสัยไว้ไม่ได้

“วันนี้ มีความสุขมากไหมครับ”

“ครับ?”

“ที่ได้ออกไปกับเขาที่คุณคอย...มีความสุขมากหรือเปล่าครับ”

“...”

“ครั้งนี้ก็ยังเลือกเขาเหมือนเดิมสินะ”

“คุณพูดเรื่องอะไร...”

“ผมรู้ว่าคุณรู้ดีว่าผมหมายถึงอะไรนะครับ”

“...”

“ยังไงก็ขอให้มีความสุขกับสิ่งที่คุณเลือกนะครับ ผมเชื่อว่าเขาจะดูแลคุณได้ดีเหมือนที่เคยทำมาตลอด” ผู้ซานเอื้อมมือมารับแมวกลับไปกอดเอาไว้ ก้มหน้าหอมมันเบาๆ แล้วพูดลอยๆ คล้ายไม่ตั้งใจจะพูดกับเขา แต่ก็เหมือนใช่ “เดี๋ยวพวกคุณก็จะกลับไปเรียนตามปกติแล้ว ยังไงก็ระมัดระวังเรื่องอุบัติเหตุแล้วก็ดูแลตัวเองดีๆ นะครับ ทิวา”

“...คุณรู้ชื่อผมได้ไง”

“ลาก่อนครับ”

“เดี๋ยว!” หลังพูดจบผู้ชายคนนั้นก็หันหลังเดินจากไปโดยไม่สนใจเลยว่าเขาจะร้องเรียกแค่ไหน ไม่นานเงาแผ่นหลังกว้างก็หายลับไปจากสายตา ทิ้งไว้แต่คำพูดแฝงนัยยะดังก้องในหัวที่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่ยอมหายไป

ระมัดระวังเรื่องอุบัติเหตุ? ดูแลตัวเองดีๆ เหรอ...

ทำไมพูดเหมือนรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาเลย

“เดย์! ไปกินขนมกัน”

“...อืม จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”

แม้จะดูน่าสงสัยอยู่บ้าง แต่ถ้าเขาจะเชื่อมันคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ช่างมัน แต่ถ้ามันเป็นอย่างที่เตือนแล้วเขาสามารถป้องกันเอาไว้ทันก่อนจะเกิดอะไรร้ายแรง ก็ถือเป็นเรื่องดี

ตอนนี้...เขาไม่อยากให้ตัวเองเกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น

ดังนั้นเขาจึงได้ภาวนาขอให้ไม่มีอะไรร้ายๆ เกิดขึ้น

เพราะเขามีคนที่รอจะพบเขาในวันต่อไปแล้วและไม่ต้องการให้อีกคนต้องผิดหวังอีกต่อไปแล้ว

 


เธอกลายเป็นแสงสว่างและความอบอุ่นให้แก่ฉัน

และจะเป็นเช่นนั้น ตลอดไป



(โปรดติดตามตอนต่อไป)




-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ขอโทษนะคะ ลืมวันไปเลย จริงๆ ต้องลงเมื่อวาน

พอดีเร่งแก้สไลด์งาน ไม่เสร็จสักที ฮือ TT

NAVY


 

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ง่า...ใครคือซาน?   ตัวละครเยอะจนจำได้ไม่หมด

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
หวังว่าจะไม่เกิดเหตุซ้ำเหมือนเดิมนะ ขอให้ทุกอย่างดีขึ้นด้วยเถอะนะ

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ถึงตัวฉันที่ผิดพลาด ถึงตัวฉันที่เคยสิ้นหวัง

และถึงตัวฉันในตอนที่ยังไขว่คว้าเธอไว้ได้







ตกหลุมรักระยะสุดท้าย



 

เขาไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่เลย

นั่นคือสิ่งที่วินคิดมาตลอดช่วงตลอดหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่กลับมาเรียนตามปกติ แม้ว่าจะไม่มีอะไรที่ไม่น่าไว้วางใจหรือเปลี่ยนไปจากปกติก็เถอะ พวกไป๋ก็รู้สึกว่าเขาดูลุกลี้ลุกลน แถมยังชอบหนีซ้อมไปหาทิวาบ่อยๆ จนแทบทุกครั้งที่ทิวาว่างเขาจะไปอยู่ข้างกายอีกคน แม้จะไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง แค่ไปนั่งอยู่เฉยๆ เป็นสิบยี่สิบนาทีก็มี

เขาไม่ฝันถึงคนที่ไม่มีหน้าคนนั้นแล้ว ตั้งแต่ที่เข้าไปคุยกับทิวาและยาวนานมาจนวันนี้ ฝันนั้นก็หายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นเขากลับฝันเห็นทิวาแทน แถมยังเป็นฝันที่ไม่ดีเสียเลย

เขาฝันว่าทิวาโดนรถชน

ภาพรถสีเงินและเลือดที่อาบไปซีกหน้าครึ่งหนึ่งของอีกคน ร่างกายนอนทอดยาวอยู่บนถนนในมหาลัยที่เขาคุ้นเคย แต่ลมหายใจกลับแผ่วเสียจนใจหาย ไม่ว่าเขาในฝันจะพยายามมากแค่ไหน แต่สุดท้ายทิวาก็ไม่ลืมตาขึ้นมามองเขาอีกต่อไป ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมา เขาจะพบว่าใบหน้าของตัวเองมีแต่น้ำตาและแผ่นหลังชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ ไปเสียทุกครั้ง

หลังจากเริ่มฝันแบบนั้นเขาก็ยิ่งติดจนทิวายังเคยบ่นว่าพวกเขาเจอหน้ากันบ่อยเสียยิ่งกว่าทิวาใช้เวลาอยู่กับเพื่อนๆ ซะอีก ทว่าทิวาก็เหมือนจะรู้ว่าเขาไม่สบายใจเลยไม่ได้ไล่ไปไหน ยอมให้เขาติดสอยห้อยตามกลุ่มเพื่อนของอีกคนไปไหนมาไหนเสมอ จนกลายเป็นว่าเขาเริ่มสนิทกับพวกเดือนอ้ายไปโดยปริยาย แม้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนจะไม่ได้คืบหน้าไปมากกว่าเพื่อนเลยก็ตาม

ถึงความรู้สึกเขาจะไม่ได้หยุดที่ตรงนั้นแล้วก็เถอะ ไม่เป็นไรเขารอได้

มีเวลารออีกคนไปตลอดชีวิตนั่นแหละ

“สนใจสไลด์หน่อยวิน จารย์มองมึงบ่อยมาก” ไป๋กระซิบ พลางรีบพลิกหน้ากระดาษหน้าเขาไปยังหน้าล่าสุด ซึ่งพอเขาได้สติก็ได้แต่พยายามเอาความคิดตัวเองจดจ่อกับเรื่องเรียนตรงหน้า ถึงอาจารย์ท่านนี้จะเอ็นดูเขามากแค่ไหน แต่การที่เขาใจลอย เอาแต่มองหน้าแชทที่ไม่เคลื่อนไหวตั้งแต่เริ่มเรียนมาเกือบทั้งคาบ อาจทำให้อาจารย์ไม่พอใจได้ “เดย์ไม่หายไปไหนหรอก มึงรู้เรื่องนี้ดีไม่ใช่หรือไง”

“อือ รู้”

“ฝันก็แค่ฝันนะวิน อย่าคิดมาก”

“...”

“มันยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่าคิดไปก่อน แล้วมานั่งเครียดแบบนี้”

“เออ ขอบใจ”

“ตั้งใจเรียนไป ไม่งั้นกูจะฟ้องเดย์ว่ามึงเอาแต่เหม่อเรื่องไม่เป็นเรื่อง ให้โดนตีจนหัวแบะ”

“ฝัน เดย์ไม่ทำแบบนั้นกับกูหรอก” ...หรือเปล่าวะ

“กูจะคอยดู”

 









---------------------------------------------------------------------------------------------------------











“มึงจะรีบไปไหน ไอ้วิน! รอก่อน”

เขาทำเป็นไม่ได้ยินเสียงเวย์ที่เรียกอยู่ แต่สุดท้ายก็ต้องหยุดขารอจนได้ เมื่อโดนแคทวิ่งมาคว้าคอเสื้อเอาไว้ ขณะรีบออกจากห้องหลังจากที่หมดคาบเช้าเรียบร้อย ปากกำลังจะด่าพวกมันอยู่แล้วเชียวที่มาห้ามแบบนี้ แต่กลายเป็นว่าคนที่เรียกเขาไว้จริงๆ คืออาจารย์ที่สอนวิชานี้เรียกเขาไปหา ตอนแรกนึกว่าจะโดนดุเรื่องที่ไม่ตั้งใจ แต่กลายเป็นคุยเรื่องอื่นเกี่ยวกับส่งไปประกวดอะไรสักอย่างนอกมหาลัย วินฟังไม่รู้เรื่องเสียเท่าไหร่แม้ว่าหน้าตาจะเหมือนตั้งใจฟังอยู่ก็ตาม

ช่างปะไร ยังไงไป๋ก็ยืนฟังอยู่เป็นเพื่อน อะไรที่เขาจำไม่ได้ ค่อยไปถามมันเอาทีหลังก็ได้

ตอนแรกก็คิดว่าจะใช้เวลาไม่กี่นาที แต่พอพูดก็เริ่มยาวและออกนอกทะเลไปเรื่อย วินก็ได้แต่ร้อนใจ มองนาฬิกาไปด้วยสลับกับแสดงสีหน้าร้อนรน สุดท้ายอาจารย์จึงยอมปล่อยในที่สุด หลังจากพูดอะไรไม่รู้เกือบยี่สิบนาที

ด้านนอกห้องเรียนมีเวย์กับแคทยืนคุยอยู่กับน้องชายคนเล็กของไป๋ ปีหัวเราะและคุยเรื่องเกมมือถือสักเกมที่ตอนนี้กำลังฮิตกัน เมื่อเห็นว่าวินและไป๋ออกมาจากห้องเรียน คนอายุน้อยที่สุดก็พุ่งตรงมาหาพี่ชาย อ้อนขอเงินไปกินข้าวด้วย อ้างว่าทำกระเป๋าตังหายเลยไม่มีเงินกินข้าว ทั้งที่จริงก็แค่ไม่อยากออกเงินค่าข้าวเท่านั้นแหละ ซึ่งไป๋มันก็รู้ดี แต่ก็ยอมทำเป็นเชื่อปี ยอมให้เงินมันไปกินข้าวก่อนปียิ้มร่า วิ่งหายไปเมื่อได้ตามที่ต้องการ

“งั้นพวกมึงไปกินข้าว เดี๋ยวกูจะไปหาเดย์”

“เอาอีกละ ไปหาเดย์อีกแล้ว กูงอนมึงได้ไหมพ่อ” เวย์ว่า “ติดเกินไปไหมเนี่ยมึง ไม่กลัวเดย์อึดอัดหรือไงวะ”

“เออ ทำเป็นเด็กมัธยมที่ต้องเจอแฟนทุกเช้าก่อนเข้าแถว พักเที่ยง เบรก ตอนกลับบ้านไปได้”

“เรื่องของกูน่ะ ไว้เจอกันตอนบ่าย”

วินไม่ฟังเพื่อนบ่นไล่หลังมา รีบวิ่งไปยังตึกเรียนของทิวาที่อยู่อีกฝั่งกับตึกเรียนที่เขาเรียนอยู่ประจำ ขณะเดินก็แชทถามไปด้วยว่าตอนนี้เลิกหรือยังและอยากไปกินข้าวที่ไหน ทว่าความแปลกประหลาดก็คือวันนี้ไม่ว่าเขาจะส่งไปเยอะแค่ไหน ก็ไม่มีข้อความอะไรกลับมาเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่ปกติแล้วเขาส่งข้อความเช่นนี้ไป ทิวาจะชอบโมโหและรัวสติกเกอร์กลับมา ไม่ก็ตอบสั้นๆ ให้เขารู้ว่ายังไม่เลิกหรืออยู่ที่ไหนเสมอ

ผนวกกับความฝันที่ตามหลอกหลอนเขาก็ยิ่งใจไม่สงบ สุดท้ายก็ได้แต่แชทถามเพื่อนทั้งสองคนของทิวา ก่อนได้คำตอบว่าทั้งสามเลิกเรียนไปพักใหญ่แล้วและตอนนี้ทิวาไปหอสมุดกลางเพราะต้องไปคืนหนังสือ

วินรีบเลี้ยวกลับไปยังหอสมุดกลางทันที แอบนึกหงุดหงิดในใจเกี่ยวกับระยะห่างของทั้งสามตึก ตึกเรียนเขา ตึกเรียนทิวาและหอสมุดมันไกลกันเสียจนต้องเสียเวลาอยู่เหมือนกันกว่าจะวนอ้อมมาถึง มาเกือบครึ่งทางเขากลับพบว่าระหว่างที่เดินไปหอสมุดนั้นมีนักศึกษาเยอะกว่าปกติ ทุกคนมีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ละคนจับกลุ่มคุยกันแล้วเดินไปยังหอสมุดกลางด้วยท่าทีที่ทำให้วินใจไม่ดี

“ได้ยินว่ามีรถชนคนในม. ไม่รู้จริงไหม”

“ชนจริง เขาบอกว่าคนที่โดนชนไปช่วยแมว เลยโดนชนกระเด็น ไม่รู้เป็นไงบ้าง”

“ไม่กล้าเข้าไปดูอะ กลัว”

คีย์เวิร์ดที่เขาจับใจความได้จากกลุ่มคนที่เขาเดินผ่านทำให้วินเร่งฝีเท้าไปยังบริเวณที่มีกลุ่มคนหนาแน่นมากที่สุด สิ่งที่อยู่ในฝันถ่ายทอดออกมาเป็นฉากๆ รอยเลือด ทิวาที่ไม่ลืมตาและสุดท้ายก็จากไป ทำให้เขาหายใจไม่ออก ริมฝีปากอ้าหุบอยู่แบบนั้นแต่ไม่เสียงอะไรออกมา พยายามแหวกกลุ่มคนไปข้างหน้า หมายจะไปดูใบหน้าของคนที่ประสบเหตุ ส่วนในใจภาวนาเหมือนคนบ้าว่าขอให้ไม่ใช่ทิวา ขอให้ไม่เกิดอะไรขึ้นกับอีกคน

เขาจะไม่บ้าขนาดนี้ หากก่อนหน้านี้เขาติดต่อทิวาได้และไม่ฝันแบบนั้น

“รบกวนไม่เบียดเข้ามานะครับ ตอนนี้ต้องขอพื้นที่ให้เจ้าหน้าที่ดูแลคนเจ็บนะครับ”

“น้องครับเข้าไปไม่ได้ครับ...!!”

“เดย์”

“น้อง!! ใจเย็นครับ ถอยไปก่อนครับ” วินเหมือนคนหูดับไปแล้ว แม้จะโดนเจ้าหน้าที่ดันให้ออกไปจากบริเวณที่เกิดเหตุ แต่เขาก็ยังพยายามที่จะเข้าไปให้ได้ หางตาเหลือบไปเห็นรถที่ชนแล้วพบว่ามันไม่ต่างอะไรกับรถในฝันเลย ยิ่งทำให้เขาออกแรงและตะโกนเสียงดังมากขึ้น เรียกให้กลุ่มคนที่มุงเยอะอยู่แล้ว ยิ่งเข้ามาดูมากขึ้น มากขึ้น จนท้ายที่สุดเข้าก็หลุดเข้าไปด้านในได้

“เดย์!!”

“น้องรู้จักคนเจ็บเหรอครับ”

“ผมรู้จักครับ! ผมเป็น...”

“วิน?”

“...!”

ขณะที่เขากำลังจะพูดนั้น ด้านหลังของเขาก็พลันปรากฏน้ำเสียงที่เขาต้องการได้ยินมากที่สุดในตอนนี้ขึ้นมาเสียก่อน เมื่อหันไปมองก็พบว่าคือทิวาที่เขาจะเป็นบ้าตายเพราะไม่ได้พบและยังปลอดภัยดี เสื้อนักศึกษายังขาวสะอาดไม่มีร่องรอยเปื้อนเลือดหรือบาดเจ็บอย่างที่ฝัน ใบหน้านั่นมีแต่ความสงสัยและรีบเดินเขามารั้งให้เดินตามออกไป ปากบ่นก็ไม่หยุดถึงการกระทำของเขาที่กำลังรบกวนคนอื่น

“ตกใจอะไร ทำไมมายืนขวางเจ้าหน้าที่ตรงนี้”

“เดย์”

“อือ พวกอ้ายบอกอยู่ว่าวินจะมาหาที่หอสมุด ยืนรอตั้งนานไม่เห็นเจอ ได้ยินเสียงตะโกนคุ้นๆ เลยออกมาดู ทำไมไปตะโกนชื่อเดย์แบบนั้นแถมยังไปกวนเขาอีก”

สีหน้าของวินเหลอหลา พูดตะกุกตะกักจนถึงอยากดุ ทิวาก็ดุไม่ลงเสียแล้ว ยิ่งอีกคนหน้าซีดเผือดจับมือเขาแน่น เหมือนกลัวเขาจะหายไปไหนแบบนี้ เขาเลยพอจะเดาได้ว่าตอนที่อีกคนได้ยินว่ามีคนโดนรถชน คงจะนึกว่าเขาเป็นคนโชคร้ายคนนั้น

ทิวารีบพาวินไปนั่งที่ม้านั่งไม่ไกลจากจุดที่เกิดอุบัติเหตุ ลูบไหล่ที่ยังสั่นอยู่นิดๆ พร้อมกับบีบมือตอบคนที่ตอนนี้ก็ยังรวบรวมสติไม่ค่อยได้เบาๆ คอยพูดให้ได้ยินว่าเขาไม่เป็นไร เขายังอยู่ตรงนี้

“วิน...คิดว่า”

“คิดว่าเดย์โดนรถชนเหรอ”

“อือ”

“...”

“ช่วงนี้วินฝันไม่ดี ฝันเห็นเดย์ตาย...ก็เลยกลัว”

“อ้อ นี่อย่าบอกนะว่าเพราะงี้เลยคอยมาตามติดตลอดเวลาแบบนี้”

เห็นวินไม่ค้านอะไร ทิวาก็ทั้งฉุนทั้งขำกับความคิดของอีกคน แต่อีกใจก็อดอ่อนใจไม่ได้ที่อีกคนอยากเจอเขาเพราะกลัวเขาจะเป็นอะไรไป แม้จะอยากปลอบเท่าไหร่ ทว่าตรงนี้ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะเสียเท่าไหร่ เลยได้แต่บอกให้อีกคนใจเย็นๆ และนั่งเป็นเพื่อนแบบนั้นจนสีหน้าของวินค่อยๆ ดีขึ้นและกลับเป็นปกติในที่สุด

หลังรวบรวมสติที่ตกหล่นตามทางได้ครบ คราวนี้วินก็กลับมาให้ความสนใจกับอุบัติเหตุตรงหน้าต่อ แม้ระดับความสนใจจะน้อยลงไปจากตอนแรก ทว่าเขายังคาใจนิดหน่อยกับชั่วพริบตาที่เขาเห็นใบหน้าของคนเจ็บ เหมือนคุ้นๆ ยังไงก็ไม่รู้

“จะไปไหนอีก”

วินชี้ไปยังรถพยาบาลที่กำลังเคลื่อนย้ายคนเจ็บขึ้นรถไป “ไปดูหน้าคนเจ็บ”

“ไปทำไมอีก ไม่เห็นเหรอว่าเขามองค้อนวินอะ เมื่อกี้ดื้อจะไปดูให้ได้ เดี๋ยวเขาก็โกรธจริงๆ หรอก”

“แต่...”

“แต่อะไร”

“วินเหมือนจะเห็นว่าเป็นน้องไอ้ไป๋อะ”

“จริงดิ” คราวนี้ไม่รอให้วินพาเดินไป แต่ทิวาเป็นฝ่ายรีบสาวเท้าไปยังรถพยาบาลทันที และเมื่อพูดคุยเกี่ยวกับการขออนุญาตดูหน้าผู้บาดเจ็บเผื่อเป็นคนที่พวกเขารู้จักได้สำเร็จ ทิวาและวินก็ได้เข้าไปดูใบหน้าคนเจ็บสมใจ

และก็เป็นอย่างที่วินเห็น คนที่นอนไม่ได้สติตรงหน้าพวกเขาคือปี น้องชายของไป๋จริงๆ

วินจึงรีบติดต่อไป๋ให้รีบตามไปยังโรงพยาบาลและแจ้งอาจารย์แทนว่าเพื่อนของเขาคงไม่สามารถไปเรียนคาบบ่ายได้ เพราะต้องไปคอยดูอาการน้องชายคนเล็กที่เพิ่งโดนรถชนที่โรงพยาบาล หลังมองส่งรถพยาบาลที่มีน้องชายเพื่อนรักไปจนสุดสายตาแล้ว เขาก็กลับมามองคนข้างตัวที่หน้าบูดจนเห็นได้ชัด น่าจะทั้งร้อนทั้งหิวด้วยล่ะมั้ง นี่ก็บ่ายโมงแล้ว แต่พวกเขาสองคนยังไม่ได้กินอะไรเลยทั้งคู่

“เดย์กินข้าวยัง”

“ยังไม่ได้กิน หิวจะตาย”

“งั้นไปกินข้าวกัน”

“ก็ต้องเป็นแบบนั้นไหม” คนข้างตัวบ่นยับ นอกจากโมโหหิวแล้วยังโมโหที่เขาใจร้อน เดินไปบ่นไปจนเกือบถึงร้านข้าวนั่นแหละถึงได้เพลาลงๆ ทำเอาวินอดนึกถึงแม่เขาไม่ได้เลย เวลาบ่นนี่ทิวาอย่างกับเป็นแม่อีกคนของเขาเลย

“ทีหลังก็ใจเย็นๆ ติดต่อแชทไม่ได้ก็โทร อย่าคิดไปเอง”

“ครับๆ ไม่ใจร้อนแล้ว ไม่โมโหนะ”

“เฮ้อ”

“ขอโทษ คนมันกังวลนี่หว่า”

ทิวาเหลือบมองเขาครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “...ก็เคยบอกแล้วไงว่าจะดูแลตัวเองดีๆ สัญญาไว้แล้วนี่”

“ไม่ได้ผิดสัญญาเลย จะกลัวทำไม”

‘กลับไปแล้วต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ’

‘อืม’

เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นในหัวซ้อนทับภาพตรงหน้า เหมือนเทปความทรงจำในหัวสมองค่อยๆ กรอกลับ เห็นเรื่องราวต่างๆ ที่เขาไม่เคยทำ เห็นตัวเอง เห็นพวกไป๋ เห็นทิวา...ก่อนจะจบลงด้วยประโยคที่เขาบอกให้อีกคนดูแลตัวเองดีๆ และสักวันหนึ่งพวกเขาจะกลับมาพบกันอีกครั้ง

ทั้งหมดนั้นคล้ายความฝันแต่ก็เหมือนเกิดขึ้นจริงจนวินอดเชื่อมโยงกับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ไม่ได้

บางทีที่เขาเคยพูดอาจจะจริงก็ได้

บางทีเราคงเคยพบกันมาก่อน...และนี่คืออีกครั้งทีได้พบกัน แต่ครั้งนี้จะไม่จบด้วยการจากลาแบบครั้งที่แล้ว

“วิน? เป็นอะไรอีก จู่ๆ ก็เงียบไปเลย”

“ไม่มีอะไรๆ ไปกินข้าวกัน หิวแล้ว” แม้รู้ดีว่าอีกคนไม่เชื่อที่เขาพูดว่าไม่มีอะไร แต่ทิวาก็ยังตามใจเขา ยอมเดินไปยังโรงอาหารต่อ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเอาเขายิ้มไม่หุบ

“อือ วันนี้อยากกินข้าวผัดกุ้ง”

 “ทิวา”

“ว่า”

“เดย์”

“อะไรอีก”

“...”

คนโดนเรียกแต่ไม่มีคำพูดอะไรต่อจากชื่อตัวเองชักจะหงุดหงิด ส่วนคนที่เรียกก็เอาแต่ยิ้มหน้าเป็น ทั้งยังดีใจอะไรของเขาก็ไม่รู้ มองแล้วหงุดหงิดชะมัด วินฉวยโอกาสระหว่างเดินขึ้นไปชั้นสองที่คนบางตาโอบเอาทิวามากอดแน่นชั่วครู่แล้วผละออกมามองหน้าเหวอๆ ของอีกคนแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม

“ทะ...ทำอะไร”

“จากนี้ฝากตัวด้วยนะ”

“...”

“มาอยู่ด้วยกัน จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายเลยนะ”

“...เพ้อเจ้อ”

ทิวาข่มความร้อนที่แผ่ไปเต็มแก้ม รีบเดินหนีคนที่เอาแต่มองเขาด้วยสายตายิ้มๆ โดยมีวินเดินพันหน้าพันหลัง ร้องขอให้เขารับปากว่าจากนี้จะอยู่ด้วยกัน จะมีความสุขและอีกสารพัดที่อีกคนจะพูด มันทำให้เขาทั้งอายและนึกอยากจะยิ้มออกมากว้างๆ ในทีเดียวกัน

เพราะไม่ใช่แค่วินที่เฝ้ารอให้วันนี้มาถึง เขาเองก็เช่นกัน

“เดย์ พูดหน่อยสิ”

“จะกินข้าว”

“คำเดียว! โอเค ตกลง อะไรก็ได้ นะ!”

“มันคำเดียวที่ไหน” โอเคหรือตกลงมันก็สองคำไม่ใช่หรือไง

“เดย์ครับ”

มองใบหน้าหงอยๆ ข้างตัวแล้ว ทิวาก็ได้แต่ถอนหายใจรอบที่ร้อยของวัน “...ได้”

“...”

ถึงทิวาและมาวินในอีกโลกหนึ่งที่ไม่วันพบกันอีก

ถึงตัวเองที่ผิดหวังและเสียใจจากการที่ไม่ได้พบกันตลอดกาล

วันนี้ทุกอย่างจะไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้ว

“จากนี้ไป มาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขเหมือนที่เคยสัญญากันไว้กันนะ”

และถึงตัวเองในอนาคตข้างหน้า พวกเขาในวันนี้จะมีความสุข

ขอบคุณและดีใจที่เคยพบกัน

หวังว่าจะมีความสุขเหมือนกันนะ

ทิวาเอง

 





ระยะห่างระหว่างเราจะเป็นศูนย์ ความเศร้าจะเหือดแห้ง

และในท้ายสุดความรักที่เคยหยุดชะงักจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

ในยามที่เราได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งเหมือนที่เคยเฝ้ารอ

 

(จบบริบูรณ์)

 



---------------------------------------------------------------------------------------------------------

ขอบคุณสำหรับที่ผ่านมาค่ะ :)

NAVY

 

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อ่าว...จบซะแระ

จบปลายเปิดแบบนี้

หรือว่าเหตุการณ์ทุกอย่างถูกแก้ไขไปแล้ว  น้องแมวก็อยู่ในวังวนนี้ด้วย

แต่...หรือว่าคนขับรถชนคือ...

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
กาลครั้งหนึ่ง

ณ ช่วงเวลาที่เคยหยุดเดิน

บัดนี้พวกเขาจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง








“ในเมื่อมันจบแบบนี้แล้ว พวกเราจะเป็นยังไงต่อ”

“ก็ไม่เป็นไง ก็ใช้ชีวิตต่อไป” โรมว่าแล้วเดินออกจากโต๊ะทำงานที่นั่งอยู่ทั้งบ่าย ขีดเขียนเรื่องราวหลายร้อยปีที่ผันผ่านร่วมกันมากับคนที่ตั้งคำถาม แม้จะไม่ได้เต็มใจในคราแรก แต่เมื่อมันดำเนินมาถึงจุดจบ เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การมีตัวตนของอีกคนทำให้เขายินดีอยู่ลึกๆ

การมีชีวิตอยู่มันยาวนานเกินไป ท่ามกลางช่วงเวลาที่เหมือนหยุดหมุนของพวกเขาและทำได้แค่เพียงมองคนที่รักค่อยๆ ตายจากครั้งแล้วครั้งเล่า มันทำให้โรมเกือบเป็นบ้า แอบคิดเสียด้วยซ้ำว่า ถ้าหากไม่มีซานและเจ้าแมวอ้วนนั่น บางทีเขาคงจะฝังตัวเองอยู่กับอดีตไม่ยอมก้าวต่อเป็นแน่

ซานก้มมองเจ้าขาวในอ้อมกอด กระชับกอดแน่นขึ้นจนมันส่งเสียงร้องประท้วง ทว่าก็ไม่มีทีท่าจะยอมปล่อย มันจึงเลิกร้องโวยวายและเปลี่ยนเป็นเอาหัวถูไถเจ้านายมันแทน

นี่ไม่ใช่ครั้งแรก เนิ่นนานที่เจ้าของมันก็มีช่วงเวลาที่ดื้อดึงและไม่สนสิ่งใด

โดยเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวกับคนคนนั้น

“ทำไมถึงเป็นเขาที่โดนรถชน”

โรมหันมามองสีหน้าสีเผือดของซานที่ซ่อนอยู่ในความมืด ก่อนจะเบือนหน้าหลบ เมื่อรู้สึกว่าไม่อาจมองสบกับดวงตาที่มีแต่ความทรมานนั่นได้อีก “…มันเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่เกิดกับทิวา มันก็ต้องเกิดกับคนอื่น”

“ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมเด็กคนนั้นถึงได้โผล่มาแล้วกลายเป็นคนเคราะห์ร้ายแทน แต่นายก็ควรดีใจนะ ที่เจ้าแมวนี่ช่วยเขาเอาไว้ ไม่อย่างนั้น”

“…”

“วันนี้คนที่ต้องตายคงเป็นเขา”

“…”

“นายจะเอาไงต่อ”

“คุณพูดถึงอะไร”

“อนาคต”

ซานหลุบตาลงมองพื้นก่อนจะถอนหายใจ “คำนั้นมันเคยอยู่ไกลจากผมมากๆ จนไม่เคยคิดเอาไว้เลย คง…เหมือนเดิมล่ะมั้งครับ แล้วคุณล่ะ”

“ฉันจะไปหาเขา”

“อา…งั้นหรือครับ”

“…”

“คงต้องแยกกันตรงนี้สินะครับ”

โรมหัวเราะ “แยก? เอาอะไรมากแยกกัน”

“นายไม่รู้หรือแกล้งโง่กันแน่”

“…”

“เธอคนนั้นของฉันคือพี่สาวเขา เหมือนที่เคยเป็นมาตลอด แล้วอย่างนี้จะแยกกันได้ยังไง ยังไงก็ต้องมีวันได้เจอกันอีกอยู่ดี ยกเว้นก็แต่นายจะปอดแหก ไม่กล้าไปเจอเด็กนั่นน่ะนะ”

“ผม…”

“ซาน”

“ครับ”

“นายไม่ใช่ทาสของพวกเราอีกแล้ว”

“…”

“และสำหรับเด็กคนนั้น นายก็ไม่ใช่อะไรที่ต้อยต่ำเช่นนั้นมาตั้งแต่แรก เพราะงั้นเงยหน้าขึ้นซะ”

“…”

“ได้เวลาที่พวกเราจะเดินหน้าแล้วคว้าเอาสิ่งที่ต้องการเสียที”


————————————————-



(โปรดติดตามที่ Once upon a time กาลครั้งหนึ่ง…คุณคือความรัก)

แล้วเจอกันค่ะ :)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-02-2020 00:16:01 โดย KarmaNavy »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

โรมหรือซานที่จะไปหาคน ๆ นั้น

ป.ล. โรมคือใคร?

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ผมน่าจะรั้งเขาเอาไว้ น่าจะทำแบบนั้น ทั้งที่จริงผมทำไม่ได้

เขาจะไป ผมจะเอาอะไรไปรั้งได้กัน

เขาไม่ได้ต้องการความรักจาก ‘ผมคนนี้’ แต่ต้องการจาก ‘ผมอีกคน’ ต่างหาก

 









ตกหลุมรักระยะพิเศษ : ‘Cause You Are







แรกเริ่ม มันเป็นเพียงการคว้าจับอันเลื่อนลอย

คว้าจับความว่างเปล่า เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป

“เตรียมตัวอีกครึ่งชั่วโมงจะขึ้นเวทีนะครับ”

“ได้ครับ”

“โอเคไหมวิน” จินเดินมาหาแล้ววางมือบนไหล่ “ถ้าไม่โอเค…”

“ได้ ไม่มีปัญหาอะไร ทุกอย่างเรียบร้อยดี”

ปากดี

อะไรเรียบร้อย อะไรไม่มีปัญหา ปากดีเหลือเกิน

เหมือนที่เขาเคยด่าเอาไว้ไม่มีผิด

“จิน มานี่”

“แต่…”

ไป๋ส่ายหน้าแล้วเรียกให้จินไปหา ซึ่งผมก็พยักหน้า จินจึงยอมเดินไปหาไป๋แต่โดยดี แม้ว่าสีหน้าจะไม่ได้คลายความเป็นห่วงเลยก็ตาม

“ไม่ต้องพูดอะไรกับมันแล้ว”

“ไป๋ วินไม่โอเค”

“รู้”

“เมื่อวาน…วินร้องไห้จนตีสาม คงคิดถึงเดย์”

“…”

“…”

“มันต้องผ่านไปให้ได้... ‘ต้อง’ ทำให้ได้ด้วยตัวมันเองเท่านั้นแหละจิน”

“อืม”










-------------------------------------------------------------------------------------------------------











ทัวร์ของพวกเราเริ่มต้นได้อาทิตย์กว่าๆ แล้ว การตอบรับของแฟนๆ และเสียงวิจารย์เป็นไปในทางที่ดี เหมือนทุกอย่างกำลังพุ่งทะยานไปข้างหน้า อย่างที่ใครเคยพูดเอาไว้ว่าพวกผมจะก้าวหน้าไปไกลว่าแบนด์ไหนเคยมีมา ผมเคยดีใจ แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังดีใจและมีความรู้สึกว่ามันคุ้มค่าที่พยายามมาตลอด แต่เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นมา มันได้บั่นทอนความดีใจและความสุขเหล่านั้นไปมากพอสมควร

เพียงแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น

คล้ายว่าทุกคนได้หลงลืมและจำไม่ได้เสียแล้วว่าในบ้านของพวกเรา เคยมีใครอีกคนอยู่ด้วย

เป็นอีกครั้งที่ผมแยกตัวจากงานฉลองเล็กๆ คั่นช่วงพักสั้นๆ ก่อนเริ่มทัวร์ไปโซนต่อไป ผมเดินกลับไปยังห้องพักในโรงแรม โดยมีสายตามากมายมองตามหลัง ทั้งแววตาสงสัยและแววตาที่ผมรู้จักมันเป็นอย่างดีจากเพื่อนของผมเอง ...ความสงสาร

พวกเขาคงคิดว่า มันเป็นช่วงเวลาที่พอเหมาะพอเจาะกับช่วงเวลาครบรอบวันที่เดย์จากไป พวกเขาจึงคิดว่าผมรู้สึกไม่ดีและยิ้มไม่ค่อยออก แม้ว่าคอนเสิร์ตจะผ่านไปด้วยดี ทว่ามันไม่ใช่เลย

คนที่พวกเพื่อนของผมคิดคือเดย์ที่ตายจากไป

แต่เดย์ที่ผมหมายถึง หมายถึงเดย์คนนั้นที่ยังมีชีวิตและยังคงดำเนินชีวิตของตัวเองอยู่ในช่วงเวลาของเขาต่อไป โดยคงจะหลงลืมแล้วว่าช่วงเวลาสั้นๆ ครั้งหนึ่งเคยมายืนอยู่ตรงหน้าผม สร้างปาฏิหารย์และความทรงจำที่ดีให้กับผม แม้ว่าจะเป็นความสุขที่ปะปนไปกับความเศร้าก็ตาม

 








-------------------------------------------------------------------------------------------------------











ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าวงดนตรีวงหนึ่งที่ไม่เคยอยู่ในความคิดของผมมาก่อน จะเป็นบทเพลงที่ผมลืมไม่ลงไปชั่วชีวิต เมื่อได้ฟังมันไปกับใครคนหนึ่งที่ผมไม่คิดจะรัก

มันเป็นช่วงแย่ๆ หลังติวสอบที่เพื่อนของผมร่ำร้องอยากจะไปปลดปล่อยด้วยการแหกปากท่ามกลางคนมากมาย ไปพร้อมกับวงดนตรีโปรดที่จะมาแสดงในวาระที่หอสมุดครบรอบ 50 ปี แม้จะไม่เต็มใจยังไง แต่เพราะผมตามใจพวกมันจนชิน เลยยอมตามมาอย่างเสียไม่ได้ แม้ว่าจริงๆ แล้วผมอยากจะนอนเพราะเพลียจากติวมากแค่ไหนก็ตาม

ไอ้เวย์แหกปากไม่หยุด พูดสรรเสริญความดีงามของวงวีอาร์ตั้งแต่เพลงแรกยันเพลงสุดท้ายให้ผมที่ไม่อินเท่าไหร่ฟัง ยิ่งผมยืนนิ่ง มันก็ยิ่งพูด จนสุดท้ายก็ได้แต่ผลักหัวให้มันไปห่างๆ ไม่ก็ไปกรอกความดีงามนั่นให้คนอื่นแทน รำคาญจะตาย

แถมคนก็เยอะชิบหาย อึดอัด

ซึ่งด้วยเหตุผลนั้นเอง ในตอนที่เพื่อนของผมพยายามจะเบียดแทรกให้ตัวเองได้ไปอยู่ด้านหน้าสุดของหน้าเวทีแสดง ผมก็ได้ถูกคลื่นมหาชนและฝ่ามือของใครคนหนึ่งฉุดรั้งจนกระทั่งไหลไปอยู่ด้านหน้าสุดจนได้ ผมมองตามมือของตัวเองที่ถูกมือของคนไม่รู้จักจับเอาไว้ ไล่มองตั้งแต่มือเรียวไปจนเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่ตื่นเต้นจนหายใจไม่เป็นจังหวะ ทั้งยังระเบิดเสียงตะโกนสู้กับเสียงเทสเครื่องดนตรีและเสียงกรี๊ดจากรอบตัวพวกเราไปด้วย

“มึงงง นั่นพี่กั๊ป!! ไอ้เหี้ย โคตรเท่! มือกีต้าร์ที่หนึ่งในใจกู”

“...” ใครถามไม่ทราบ

“พี่ตูมตามของมึงก็เท่ อยากอัดวิดิโอจังวะ แต่ถ้ากูอัดกูกระโดดไม่ได้แน่ๆ มึงว่างั้นไหม”

“...” จะกระโดดโลดเต้นหรือจะตีลังกาก็เรื่องของมึงครับ แล้วไอ้พี่ตูมตามที่มึงว่านี่ใครคนไหน กูยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำโว้ย

“อ้าย? ไมเงียบไปวะ...”

“ขอโทษนะ แต่กูไม่ได้ชื่ออ้าย”

เมื่อสบจังหวะ ผมจึงรีบเอ่ยปากแสดงตัวทันที ก่อนที่คนข้างตัวที่เด๋อด๋าจนลากคนมาผิดคนนี้จะพูดรัวๆ จนคนอื่นฟังไม่ทัน (และไม่อยากฟังด้วย) แล้วไม่มีโอกาสพูดอีก

ทันทีที่ผมพูดจบคนคนนั้นก็หันมาหา ด้วยความสูงของพวกเราพอๆ กันอีกทั้งบริเวณที่เราสองคนยืนอยู่ใกล้เวทีมากๆ แสงสีบนนั้นจึงสะท้อนและทำให้ผมได้เห็นใบหน้าของเขาชัดเจน ดวงตากลมดำสนิท เส้นผมสีเข้มปัดข้างแต่ยุ่งเหยิงอยู่เล็กน้อย อาจเพราะวิ่งมาที่นี่ มันจึงไม่ค่อยเรียบร้อย ริมฝีปากชุ่มชื้นที่อ้ากว้างประหนึ่งถูกยัดไข่ไก่ฟองโตเอาไว้ มันน่าตลกมากๆ แต่ผมก็ได้แค่กลั้นขำเอาไว้และตีสีหน้าเข้มๆ วาดตาดุกวาดมองไปยังมือของเราทั้งสองที่ยังจับกันอยู่

“แล้วก็...จะบอกว่ามึงดึงมาผิดคนแล้ว”

“...”

เขานิ่งค้างอยู่แบบนั้นพักใหญ่กว่าจะเอ่ยปากถามถึงเพื่อนตัวเองที่ไม่รู้หายไปไหน (เช่นเดียวกับเพื่อนของผม ซึ่งผมว่า ตอนนี้มันไม่มีความคิดที่จะตามหาผมกันแน่ๆ ...เพื่อนสารเลว) แต่ก่อนพวกเราจะแยกออกกลับไปเป็นคนแปลกหน้าเช่นเดิม เสียงดนตรีก็ดังกระหึ่มขึ้นมาเสียก่อน ทำให้ความสนใจของคนข้างกายผมกลับไปยังเวทีและเฝ้ามองคนบนนั้นไม่วางตา

ดวงตาคู่นั้นที่สะท้อนแสงสีและสะท้อนความหลงใหลให้กับคนบนเวที มันดูสวยงาม จนผมไม่อยากจะคิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะรู้สึกว่า ดวงตาของคนคนนี้งดงามกว่าดวงตาทุกคนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของผม ผมมองเขาร้องเพลงทุกเพลงที่คนบนเวทีร้อง กระโดดตามในจังหวะสนุกไปพร้อมกับคนอื่น สนุกไปกับมันจนรอยยิ้มขยายกว้าง กลายเป็นแก้มกลมๆ ยกดันจนดวงตาหยีโค้งแสนน่ารัก ทำเอาผมมองตามจนเพลินเสียยิ่งกว่าวงดนตรีข้างหน้าซะอีกแน่ะ

เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นวนเวียนไปมาจนเพลงสุดท้ายมาถึง เขาจึงชะงักเหมือนเพิ่งนึกได้ว่ามีผมอยู่ข้างตัว ต่างคนต่างมองหน้ากัน รอยยิ้มไร้ที่มาก็ระบายอยู่ที่มุมปากของเราทั้งคู่ แต่อาจจะต่างกันที่เหตุผล เขาอาจจะยิ้มด้วยสักเหตุผลที่ผมไม่มีวันรู้ แต่ผมยิ้ม...เพราะเขา

เขาที่ไม่ได้สะดุดตาและทำให้ผมสงสัยจนทุกวันนี้ว่าทำไมจึงต้องเป็นแค่เขาเท่านั้นที่ผมไม่สามารถละสายตาจากไปไหนได้

“ชอบวีอาร์เหรอ” ผมถาม อันที่จริงไม่ถามก็พอจะรู้อะนะ ซึ่งเขาก็เหมือนจะตกใจนิดหน่อยที่จู่ๆ ผมก็ถามเช่นนั้น

“ห๊ะ...อ่อ ใช่ ชอบมาก”

“อ้อ”

“...”

แล้วเราก็เงียบไปแบบนั้นเสียดื้อๆ

ช่วยไม่ได้นี่นา ปกติแล้วผมก็ไม่ใช่คนพูดเก่งอะไรถ้าไม่สนิทด้วย อีกทั้งในกลุ่มเพื่อนที่อยู่ด้วยกัน ก็มีทั้งไอ้เวย์และไอ้แคทจอมโวยวายอยู่ เลยชินกับการฟังมากกว่าพูดจนกลายเป็นคนพูดไม่เก่งไปเลย กระนั้นก็ไม่อยากให้มันจบแค่ประโยคห้วนๆ นั่น เลยพยายามถามอะไรออกไปและยังเป็นคำถามที่กลายเป็นสิ่งตัดสินอนาคตระหว่างเราไปด้วย

ว่าเราจะได้พบกันอีกหรือเปล่า

“พรุ่งนี้จะมาอีกไหม”

“มาดิ” เขาตอบเร็วมาก กระตือรือร้นจนผมอมยิ้ม มือไม้ที่พันกันไปมาเหมือนทำตัวไม่ถูก ทำให้ผมนึกอยากแกล้งเขาขึ้นมา แต่ก็ได้แต่กดความคิดนั้นเอาไว้และรอฟังเขาพูดต่อแทน

“วีอาร์...มาทั้งที จะไม่มาได้ไง”

“งั้นก็เจอกันพรุ่งนี้” ตอนที่พูดผมก้มมองมือของเราที่กุมกันไว้หลวมๆ แล้วปล่อยมันออกจากกัน ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร ทั้งที่จริงๆ แล้วแว่บหนึ่ง ผมรู้สึกใจหายจนต้องกำมือตัวเองไว้ ไม่ให้สัมผัสอุ่นจางที่กลางฝ่ามือจางหายไป ส่วนอีกมือ ก็ยื่นไปดีดหน้าผากเขาหนึ่งทีแล้วจึงค่อยเดินจากมา

 “ถ้าบังเอิญเจอกันนะ”

ผมไม่ได้หันกลับไป เพราะดันไปสังเกตเห็นเพื่อนของผมกำลังตามหาผมอยู่และยังไม่ต้องการให้ไอ้พวกนั้นพบว่าผมมายืนดูดนตรีที่ไม่ได้ชอบกับคนไม่รู้จักอยู่นานสองนานเช่นนี้ เชื่อว่าปากสว่างๆ แบบพวกมันไม่มีทางปล่อยให้มันจบแค่ผ่านไปแน่นอน

“มึงไปไหนมาวะวิน พวกกูตามหาซะทั่ว”

ผมมองใบหน้ายิ้มแย้มชื้นเหงื่อของไอ้เวย์แล้วหรี่ตามองเหมือนไม่เชื่อ “อย่างมึงอะเหรอจะตามหากู?”

“ก็กูนี่แหละที่สังเกตเห็นว่ามึงหายไปอะ!”

“สังเกตตอนไหน”

“...ก็ตอนเพลงสุดท้าย”

“ถุย! รักกูเหลือเกิน หายไปตั้งแต่เพลงแรก แต่มาสังเกตเอาเพลงสุดท้าย”

“แหม พ่อ ช่วงเวลาอันเมามัน ก็มีบ้างที่จะลืมคนข้างตัว” เวย์ว่าพลางกระแซะแขน สีหน้ามันน่าตบหัวทิ่มเป็นที่สุด โดยเฉพาะแววตารู้ทันนั่น ทำให้ผมรู้ว่า แม้จะพยายามรีบปลีกตัวออกมาจากคนนั้น ก็ไม่พ้นสายตาเพื่อนของผมอยู่ดี “แต่เหมือนพ่อจะไม่เป็นแบบนั้นใช่ป่ะ เห็นน้า ใครเอ่ย? กิ๊กใหม่รึพ่อ”

“ใครพ่อมึง”

“อย่ามาเบี่ยงประเด็น ใคร! ยืนดูคอนด้วยกันแบบนี้ มันไม่ธรรมดานะนิ”

“เรื่องของกู”

“โหยยย สักนิดน่าวิน ใครวะ พวกกูไม่คุ้นหน้าเลย”

ผมไม่ตอบและรีบสับขาเดินหนี แม้ว่าหลังจากนั้นพวกมันจะโวยวายถามหาตลอดเวลาเลยก็ตามว่า คนที่ผมยืนดูและคุยอยู่ด้วยคนนั้นเป็นใคร ทว่าก็ไม่มีคำตอบใดๆ จากผม ไม่ใช่แค่เพราะไม่อยากตอบ แต่อีกส่วนหนึ่งเพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเป็นใคร

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมจึงได้มายืนอยู่ต่อหน้าเขาอีกครั้ง ในคอนเสิร์ตวันที่สองเช่นนี้

มายืนอยู่ต่อหน้าเขา ยิ้มและพูดคุยกับเขาในเรื่องที่ไม่คิดจะคุยกับคนอื่น

รวมไปถึง

“ชื่อเดย์ แต่บางทีเพื่อนก็เรียกว่าทิวา”

ใจไม่รักดีที่เฝ้าแต่จะรอคอยวันต่อไป เพื่อให้ได้พบกับเขาอีกครั้ง

เหมือนกับชื่อของเจ้าตัว

ทั้งที่กาลเวลามักผ่านไปรวดเร็วเมื่อเรามีความสุขและในบางครั้งเราก็มักจะหลงลืมบางสิ่งที่ผ่านเข้ามา แต่ทำไมก็ไม่รู้ที่ทิวาเป็นความทรงจำเพียงอย่างเดียวที่ยังเด่นชัด เป็นสีสันเพียงอย่างเดียวท่ามกลางความทรงจำมากมายในหัวสมองของผม ถึงแววตาที่ผมชอบในวันแรกที่พบกัน สีหน้าตอนเขาบอกว่าตัวเขาไม่ได้เข้ามายืนอยู่ต่อหน้าผมด้วยความรู้สึกฉันท์เพื่อนและรอยยิ้มเมื่อผมบอกว่า ผมเองก็คาดหวังกับความสัมพันธ์นั้นเช่นกัน

ยังจำได้ดีถึงสีหน้าตื่นๆ ในเช้าวันแรกที่ได้พบกันอีกครั้งของเราสองคน เสียงหัวเราะและท่าทางดีใจตอนที่ผมบอกว่าเพลงแรกที่ผมแต่งจะมอบให้เขาในยามเย็นที่เรามักพบกันและคล้ายจะเป็นช่วงเวลาของเราสองคน รวมไปถึงคำบอกลาที่ว่าเราจะมาพบกันใหม่ในวันรุ่งขึ้นนั่นด้วย

แม้ว่าวันพรุ่งนี้จะมาไม่ถึงก็ตาม

อาจเพราะผมไม่อยากจดจำมัน ความทรงจำในวันนั้นจึงเหมือนขาดหายไปจากหัวของผม เห็นเป็นเพียงบางฉากตอนที่ไม่อาจลบเลือน ไม่มีใครรู้ว่ารถคันนั้นเกิดอะไรขึ้นถึงได้ขับด้วยความเร็วเกินกำหนดทั้งที่อยู่ในสถานศึกษาและเช่นกันที่ไม่มีใครรู้ว่า ในบรรดานักศึกษาที่บาดเจ็บนั้นมีใครอยู่บ้าง

แต่ผมรู้ดี แม้ในตอนนั้นใบหน้าของคนที่ผมรักจะเต็มไปด้วยเลือด ก็ยังคงจดจำได้เป็นอย่างดี

แล้วหลังจากนั้นผมก็ไปอยู่ที่โรงพยาบาลทั้งเสื้อที่เปื้อนเลือดของทิวา นั่งฟังเสียงร้องไห้ของเพื่อนทิวา ครอบครัวของเขา ลิ้มรสชาติขมๆ ของน้ำตาตัวเองที่อาบแก้มขณะที่ฟังถึงอาการของเขา รวมไปถึงความเสียใจที่แผ่ออกมาจากสายตาของหมอที่ทำการรักษา เมื่อสุดท้ายไม่อาจยื้อให้ทิวาตื่นขึ้นมาได้อีก

เขาไม่สามารถตื่นขึ้นมาและยิ้มให้ผมได้อีกแล้ว

ครอบครัวและเพื่อนทั้งสองคนของทิวาเกือบจะเซ็นอนุญาตให้ถอดเครื่องมือ หวังจะให้ทิวาพ้นจากความทรมานไวๆ ถ้าหากผมไม่เป็นคนยั้งความคิดนั้นของพวกเขาเสียก่อน

ได้โปรด อย่าเพิ่งเอาเขาจากไป

“ขอร้องล่ะครับ ผมขอเวลา”

ถึงพระเจ้าที่น่าชังและถึงใครก็ตามที่กำหนดชะตาน่าทุเรศนี่ให้กับทิวา

“เธอเป็นคนพาทิวากับเพื่อนคนอื่นๆ มาโรงพยาบาลใช่ไหม”

“ขอบคุณมากนะจ๊ะ แต่ว่าเรื่องนี้...”

“ผมขอสามเดือน!”

“...”

ได้โปรด ช่วยประทานพรอันน่าเหลือเชื่อให้กับผมที

“ถ้าหาก...ถึงเวลานั้นแล้ว ผมจะไม่ขอร้องอะไรอีกแล้ว”

“...”

“ได้โปรดเถอะครับ”

“เธอเป็นอะไรกับทิวา”

ผมนิ่งไปกับคำถามนั้น นั่นสิ ผมเป็นอะไรกับเขา ถึงได้หน้าด้านจะห้ามไม่ให้ครอบครัวของเขาเซ็นอนุมัติให้ทิวาได้จากไป เราไม่ใช่คนรักกัน เพราะหวังจะค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์ อีกทั้งสำหรับผมแล้วสถานะไม่ใช่สิ่งที่สำคัญอะไร เพราะผมมีแค่เขา แต่เพราะแบบนั้นมันเลยทำให้ผมกลายเป็นคนที่น่ากระอักกระอ่วนต่อหน้าพวกเขา บางทีวันนั้นผมคงจะโดนปฏิเสธไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเพื่อนคนหนึ่งของทิวายอมเอ่ยปากช่วยอีกคน

“คุณน้า ผมเอง...ก็ขอร้องอีกคนครับ”

ดวงตาของคนคนนั้นไม่มีความหวังแล้ว แต่ก็ยังยืนยันที่จะให้ทิวาอยู่ต่อไป แม้จะเพียงแค่สามเดือนก็ตาม

ในช่วงเวลาแสนสั้นนั้น ผมกับเพื่อนทั้งสองคนของทิวาเคยเจอกันบ้าง แต่น้อยครั้งจะพูดคุยกัน เพราะทิวาไม่ได้พาผมไปเจอเพื่อนของเขาหรือหากเจอก็เป็นเพียงบังเอิญ พวกเขามักจะเข้ามานั่งเงียบๆ แล้วก็ออกไป ไม่มีคำพูดหรือการกระทำใดๆ ต่อเพื่อนรักของพวกเขาที่นอนอยู่

หากจะมีคำพูด...ก็เป็นเพียงคำพูดที่ครั้งหนึ่งทิวาเคยพูดและส่งต่อมายังผมเท่านั้น

“มันชอบคุณมากนะ”

“...”

“ดีใจเหมือนกันที่สุดท้ายแล้วความรู้สึกมันไม่ได้ศูนย์เปล่า”

“...”

“แต่อย่าลืมมีชีวิตต่อไปล่ะ มันคงไม่ดีใจหรอก ถ้าคุณผูกติดกับมันแบบนี้ไปตลอดชีวิต”

ง่ายดายเหลือเกินกับคำพูดนั้น ผมมองพวกเขาเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันกลับมามองคนที่ผอมลงทุกวัน เช่นเดียวกับที่กราฟคลื่นหัวใจอันเป็นสิ่งเดียวที่ยืนยันว่าเขายังอยู่บนโลกใบนี้ค่อยๆ อ่อนแรงลงทุกวัน

และในวันต่อมา ผมก็เป็นหนึ่งในคนที่ยืนมองหมอและพยาบาลค่อยๆ ถอดเครื่องมือระโยงระยางเหล่านั้น มองกราฟที่กลายเป็นเส้นตรงและฟังเสียงบาดใจสายหนึ่งที่ดังขึ้นทันทีที่ร่างกายของทิวาขาดออกซิเจนจากเครื่องช่วยหายใจหล่อเลี้ยงร่างกาย

ผมเหมือนไม่รู้วันรู้คืน ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนที่คนอื่นคิด ทว่าเอาแต่ตามติดครอบครัวและกลุ่มเพื่อนของทิวา รู้ตัวอีกทีผมก็เป็นหนึ่งในคนที่จัดงานศพ เป็นคนที่ได้ยืนอยู่แถวหน้าสุดตอนที่ทำพิธี ได้ยินแว่วๆ ว่าเพื่อนทั้งสองคนของเขาได้เล่าเรื่องของผมบางส่วนให้ครอบครัวทิวาฟังแล้ว พวกเขาจึงอนุญาตให้ผมได้ยืนอยู่ตรงนั้น คอยมองผู้คนค่อยๆ มอบดอกไม้ที่เขาชอบที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย

หลังเสร็จสิ้นพิธีครอบครัวของทิวามาหาผม พูดขอบคุณที่ผมมอบความรักให้ลูกชายคนเล็กของพวกเขา อ้อมกอดอบอุ่นของแม่ทิวาทำให้ผมอดนึกถึงตอนที่ได้กอดทิวาไม่ได้เลย เพราะทั้งคู่มีกลิ่นอายแบบเดียวกัน

“จะต้องมีชีวิตที่ดีต่อไปนะ”

“...”

“เด็กคนนี้คงจะดีใจ ถ้าเห็นเธออยู่อย่างมีความสุข”

ผมจะพยายาม ผมอยากพูดแบบนั้นเหลือเกิน แต่ในวันนั้นผมก็ทำได้แค่ยิ้ม ไม่มีคำพูดไหนหลุดออกมาแม้แต่คำเดียว

เช่นเดียวกับดวงตาที่แห้งผากคู่นี้ ก็ไร้น้ำตาเช่นกัน

วันแล้ววันเล่าผ่านไปอย่างไร้ความหมาย ผมเต็มที่กับการเรียนและเริ่มจริงจังกับการตั้งแบนด์มากขึ้นเรื่อยๆ จนเพื่อนสนิททั้งสามคนสังเกตเห็น ตอนแรกพวกมันดูลังเลและไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงได้พยายามมากขนาดนี้กับสิ่งที่เคยเป็นแค่งานอดิเรก ผมไม่เคยบอกถึงเหตุผล ทว่าท้ายที่สุดพวกมันทั้งสามคนก็ยอมเชื่อใจผม ทิ้งและหันหลังให้กับคำสบประมาทมากมายจากคนอื่นรอบตัว ร่วมกับผมไปบนเส้นทางที่แทบมองไม่เห็นเส้นชัยนี้

ผมได้เริ่มสนิทสนมเพื่อนเก่าที่คุ้นเคย ได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวในใจที่น้อยคนนักจะได้รู้ ผ่านวันคืนที่ทุ่มเทกับหลายสิ่งที่ทำให้ผมเหนื่อยล้า มากมายเสียจนสามารถหลับได้โดยที่ไม่ฝัน สาเหตุที่ยินยอมให้ตัวเองเหนื่อยจนหลับเป็นตายเพราะผมกลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะร้องไห้ หากผมหลับและฝัน โดยที่ในฝันนั้นมีทิวาอยู่

และเพราะแบบนั้นเอง ผมจึงยิ่งพยายามขึ้นไปอีก ไม่ใช่เพราะอยากมีชีวิตที่ดี ไม่ใช่เพราะอยากมีความสุข แต่เพื่อใครบางคนที่ไม่มีชีวิตอยู่แล้วและเพื่อตัวเองที่ไม่อาจตัดใจและหันมองใครคนอื่นได้อีก

ทั้งที่มันเป็นเพียงช่วงเวลาแสนสั้น ไม่ถึงเดือนเสียด้วยซ้ำ ทำไมถึงได้ปักใจขนาดนี้นะ

ผมถามตัวเองเช่นนั้นแทบทุกครั้งที่เมามายและหวนคิดถึงเรื่องเก่าๆ ในวันครอบรอบวันตายของทิวา นั่งพร่ำเพ้อถึงเรื่องที่อีกคนไม่มีวันรู้อยู่หน้าหลุมศพ ฟังคำพูดของทุกคนที่หวังดีว่าให้เริ่มต้นใหม่นับพันนับร้อยครั้ง แต่ไม่เคยทำตาม

ผมไม่มีความรู้สึกอยากจะรักใครอีกแล้ว ไม่ใช่เพราะฝังใจหรอก หากแต่...เหนื่อยแล้ว

มีทิวาอยู่ในใจอย่างนั้นก็ดีอยู่แล้ว ไม่รู้จะดิ้นรนไปอีกทำไมเท่านั้นเอง

มันควรจะดำเนินไปเช่นนั้น ราบเรียบและแสนน่าเบื่อแบบนั้นไปตลอดชีวิตที่เหลือ หากไม่ใช่เพราะการพบเจอที่แสนน่าเหลือเชื่อเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ผมคงไม่มานั่งทบทวนและหลงอยู่ในภวังค์เก่าๆ เช่นนี้

“วิน”

“อืม”

ไป๋ถอนหายใจก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างตัวผมพร้อมกับยื่นเบียร์มาให้ ผมไม่ได้ดื่มมัน เพียงแต่ถือมันโคลงไปมาเท่านั้น ต่างจากเพื่อนของผมที่กระดกราวกับมันเป็นน้ำเปล่า สีหน้าของมันเครียดจนผมนึกอยากจะหัวเราะ มาอีหรอบนี้ไม่ต้องเดาใจมันก็รู้ว่ามันคิดอะไร

ไอ้ไป๋ก็แบบนี้ ขี้กังวลในเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ในเรื่องที่ควรกังวลมันกลับเฉยชา แม่มันถึงได้บ่นมันบ่อยกว่าลูกคนอื่นของบ้าน โชคดีแค่ไหนแล้วที่บ้านมันมีพี่น้องหลายคน มันจึงไม่ต้องรองรับความคาดหวังมากมายนักและสามารถใข้ชีวิตได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเรื่องชีวิตการทำงานหรือเรื่องส่วนตัว

มันคงจะมีความสุขและคิดน้อยลงกว่านี้ หากไม่ได้เป็นเพื่อนกับผมล่ะนะ

“ถอนหายใจอะไรนักหนา เรื่องของมึงรึก็ไม่”

“ก็มึงเป็นซะแบบนี้ แล้วจะไม่ให้กูห่วงได้ไง”

“จะอ้วกน่า ไม่เป็นอะไรเสียหน่อย กูไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อตอนนั้นสักนิด” ใช่ ไม่ได้บ้าโหมทำงานเหมือนครั้งที่ทิวาเพิ่งเสียใหม่ๆ แล้วก็ไม่ได้ชอบไปนั่งเฝ้าหน้าหลุมศพอีกคนเป็นวันๆ อีกด้วย กินอิ่มนอนหลับ ยังจะมีอะไรให้กังวลอีก

นั่นสิ มีอะไรให้คนอื่นต้องมาเป็นห่วงอีกนะ

“ก็ยังอยู่ตรงหน้ามึง มีความสุขดีไม่ใช่หรือไง”

“จริงเหรอ”

“...”

“ทำไมกูถึงไม่เห็นอะไรแบบนั้นในตามึงเลย ไอ้ขี้โกหก”

มันดื่มจนหยดสุดท้าย บีบกระป๋องเบียร์จนเสียรูปก่อนโยนเล่นไปมา โดยที่ไม่ได้หันมามองผมเลยแม้แต่นิดเดียว “อาการมึงตอนนี้หนักกว่าตอนนั้นเสียอีก”

“เลิกพูดว่าตัวเองโอเคดีเสียทีวิน มึงไม่เคยดีขึ้นเลยสักนิดเดียว”

“...”

อา จริงของมัน

ผมไม่เคยดีขึ้นเลยสักครั้งเลยจริงๆ

ไม่ว่าจะหกปีก่อนหน้านี้ จะตอนหนึ่งเดือนที่แล้วหรือตอนที่เรื่องราวจบลงไปกว่าอาทิตย์หนึ่ง ก็ยังเหมือนเดิม

แผลในใจของผมไม่เคยสมานเลยแม้สักครั้งเดียว

น้ำตาหยดแรกหลั่งรินลงบนหลังมือของผม ก่อนหยดต่อมาจะค่อยๆ เทคล้ายกับฝนหลงฤดู ไร้เสียงสะอื้น แต่ทรมานยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

“แม่ง...”

“ร้องออกมาก็ไม่มีใครล้อมึงหรอก” มันว่าแล้วตบหัวผมเบาๆ ก่อนจะเลื่อนมาวางบนบ่า “มึงอดทนมามากเกินพอแล้ว”

“ชีวิตดีๆ ที่คนอื่นอยากให้มึงเป็น ถ้าแม่งไม่ดีกับมึงจริงๆ ก็พอสักที ใช้ชีวิตแบบที่มึงอยากทำเถอะ”

“...”

“เทียบกันแล้ว เขาคงอยากให้มึงมีความสุขเพื่อตัวเองมากกว่านะ”

“...อือ”

อยากจะเจออีกสักครั้งจัง

ทั้งพรุ่งนี้ อาทิตย์หน้า ปีหน้า...ทุกวันต่อจากนี้ที่ยังหายใจอยู่ อยากจะเจออีกครั้ง...และอีกครั้งคล้ายไม่มีวันเลิกรา

อยากจะตื่นเช้ามายืนมองเขาทำกับข้าวและคอยชิมเพราะกลัวว่ามันจะไม่อร่อย อยากจะเฝ้ามองใบหน้าด้านข้างของเขาตอนที่จดจ่ออยู่กับโน้ตเพลงที่เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่ก็พยายามจะทำความเข้าใจมัน อยากจะเห็นรอยยิ้มหวานๆ นั่น ตอนที่ผมตามใจ อยากจะฟัง...คำที่ว่าผมสำคัญกับเขาแค่ไหนข้างหูเหมือนที่เคยได้ยินอีกสักครั้ง

ชื่อของเขาดังก้อง ทุบบนบานประตูที่ปิดตายภายในใจ ดิ้นรนสุดชีวิตหมายจะหลุดรอดออกมา หากแต่ผมไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น จึงพยายามกดข่มตลอดมาด้วยการบอกว่าตัวเองสบายดีและทุกอย่างในชีวิตตอนนี้กำลังไปได้สวย

ผมมีความสุข

ผมกำลังจะมีความสุข...อย่างที่ทุกคนและอาจรวมไปถึงที่ทิวาต้องการแล้วแท้ๆ

แต่มันไม่ใช่เลย

ความจริงแล้ว ยังคงทรมานเหมือนเดิม เหมือนทุกค่ำคืนที่ไม่กล้าหลับฝันเพราะกลัวฝันถึง เหมือนทุกเช้าที่ไม่กล้ามองแสงอาทิตย์ เพราะกลัวว่าจะนึกถึงเจ้าของชื่อที่แปลว่ายามเช้าคนนั้น

ยิ่งกดข่ม ยิ่งอดทนให้ผ่านไป ยิ่งทำเหมือนเรื่องราวที่ผันผ่านไม่ได้มีผลอะไรกับผมในตอนนี้ มันก็คล้ายกระตุ้นให้สิ่งเหล่านั้นพอกพูน จนในวันนี้มันล้นปรี่จนยากจะทานทน ความเจ็บปวด ความเสียใจ ความคิดถึง ความอ่อนแอ ทั้งหมดนั่นค่อยๆ ล้นทะลาย เหมือนกำแพงใจที่เพียรก่อมานเนิ่นนานเป็นเพียงซากไม้ที่ผุกร่อน ทำได้เพียงปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านั้นครอบงำและร้องไห้ออกมาอย่างน่าสมเพซ

“กูไม่ชอบชีวิตที่ไม่มีเขาเลย”

“อืม”

“หกปี...นานขนาดนี้แล้ว แต่กูก็ยังไม่เคยชิน ไม่ชินเลยแม้แต่นิดเดียว”

“...”

“อุตส่าห์มีโอกาสอีกครั้งแล้วแท้ๆ แต่สุดท้าย...ก็ยังต้องเสียไปอีก”

“...”

“ชีวิตบัดซบ”

“อืม”

“...เฮ้อ”

ไป๋คว้าเบียร์ในมือผมไปดื่มแทน เมื่อเห็นว่าผมน่าจะอิ่มน้ำตาตัวเองที่ไหลหนักหนากว่าน้ำหลากแล้ว ก่อนจะพูดต่อ “พอใจยัง”

“ยัง”

“แล้วจะเอาไงต่อ”

“...ก็ไม่ยังไง ก็มีชีวิตต่อไป”

“อาฮะ”

“จากนี้ก็คงอยากจะฝันถึงเขาให้มากขึ้น”

“...”

“คิดถึง ชีวิตจริงไม่ได้เจอแล้ว อย่างน้อยๆ ในฝันพระเจ้าน่าจะเมตตาปล่อยให้เดย์มาหากูบ้างล่ะเนอะ”

“ฟังแล้วแหม่งๆ ชิบหาย นับถือพุทธ แต่เสือกพูดถึงพระเจ้า” ไป๋ว่า ซึ่งผมได้แต่หัวเราะ ก็ถูกของมันนะ

“ก็เดย์นับถือคริสต์ ถ้าไม่ให้ขอพระเจ้า จะให้ขอพระอัลเลาะห์ให้เดย์มาเข้าฝันกูหรือไง”

“เออๆ เรื่องของมึง จะไปขอเจ้าแม่กวนอิม พระถังซัมจั๋งหรือพระองค์ไหนก็เรื่องของมึง”

“...ขอบใจ”

“ก็เพื่อนกันนี่หว่า”

ถึงทิวา คนที่รักและยังไงก็รักมาเสมอ

“จะอ้วก”

“กูก็จะอ้วกเหมือนกันแหละน่า”

จากนี้คงจะคิดถึงมากกว่าเดิมมากๆ และอาจจะขอให้เข้าฝันบ่อยๆ หวังว่าจะไม่เป็นการรบกวนจนเกินไปนะ

แล้วก็ขอให้เดย์อีกคนมีชีวิตที่ดี ขอให้ตัวเองในหกปีนั้นดูแลเดย์ให้ดีที่สุด

มีความสุขมากๆ นะครับ

ด้วยรักหมดหัวใจ

มาวินเอง






-------------------------------------------------------------------------------------------------------

มาตามสัญญาค่ะ หนึ่งตอนพิเศษในมุมมองของเจ้าวินในอนาคต

ขอบคุณสำหรับคนที่แวะเข้ามาอ่าน ไว้เจอกันในโอกาสหน้าค่ะ

NAVY


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
สงสารวิน แต่ก็ขอให้วินมีชีวิตดี ๆ เหมือนกันกับเดย์ที่ยังมีชีวิตอยู่อีกโลกหนึ่งเหมือนกัน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด