★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะพิเศษ ★ 22/02/63
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ★ Once Again ขอหลงรักคุณอีกสักครั้ง ★ UP! ตกหลุมรักระยะพิเศษ ★ 22/02/63  (อ่าน 8137 ครั้ง)

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ทุกอย่างค่อยๆ เปลี่ยนแปลง

หน้าปฏิทิน เวลา ฤดูกาล

รวมถึงหัวใจของฉันก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกัน










ตกหลุมรักระยะที่ 9




“พรุ่งนี้ผู้ช่วยคนใหม่จะเข้ามาดูแล้วนะ”

จู่ๆ บทสนทนาอันไร้ที่มาที่ไปก็ถูกเปิดประเด็นขึ้นกลางโต๊ะอาหาร หลังจากที่ทุกคนเริ่มกินข้าวกัน พอจินพูดจบปุ๊บก็เหมือนทุกสายตาล้วนพุ่งตรงมาหาทิวาที่นั่งกินเงียบๆ ทันที แต่ก่อนจะได้แสดงท่าทางอะไรออกไป คนข้างตัวเขาก็เงยหน้าขึ้นมองจนเวย์และคนอื่นๆ ได้แต่หลบตา ก่อนส่งสัญญาณให้จินพูดต่อ

“เอ่อ...เห็นว่าเป็นผู้หญิงนะ”

“สวยไหมจิน”

“มันใช่ประเด็นที่ควรสนใจไหมวะ...ผมยาวรึสั้น”

เวย์ต่อยไหล่แคทที่เสนอหน้ามาว่าเขา ก่อนจะว่ากลับ “มึงก็เหมือนกันนั่นแหละ ทำมาว่ากู”

“เออน่า ให้จินตอบก่อนค่อยมาด่าต่อ ว่าไงจิน”

“ไม่รู้เหมือนกัน พี่เต้บอกแค่ว่าวินน่าจะรู้จักดี” จบคำนั้นก็เหมือนเหตุการณ์รีเพลย์อีกครั้ง แต่คราวนี้จุดรวมสายตากลับเป็นคนข้างทิวาแทนเสียอย่างนั้น ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ได้ทำให้อีกคนสะทกสะท้านขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย วินยังคงกินข้าวไปช้าๆ เรื่อยๆ ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากเหมือนเคย เมื่อข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก อีกคนก็ยกมือขอบคุณตามปกติแล้วเอ่ยตอบความสงสัยทุกคน “อิ่มแล้ว ไปแต่งเพลงต่อนะ”

“หนีอีกแล้ว”

“หนีทั้งปีอะมัน”

“แสดงว่ามันรู้ว่าใครแน่ๆ” ไป๋ว่า “เขาไม่ได้ให้รูปมาเลยเหรอ พี่เต้อะ” จินส่ายหน้าเมื่อไป๋หันมาถาม แน่นอนว่าตัวเขาเองก็สงสัยนั่นแหละว่าเธอคนนี้ที่จะมาทำงานร่วมกัน แม้จะเป็นช่วงสั่นๆ ระหว่างทัวร์ครั้งนี้ ว่ามีหน้าตาหรือนิสัยอย่างไร โดยเฉพาะไอ้ที่บอกว่าวินน่าจะรู้จักดีนั่น ใช่คนที่พวกเขาคิดหรือเปล่า

“มึงว่าไง” เวย์

“กูว่าใช่” ไป๋

“กูอีกหนึ่งเสียง” แคท

“สรุปใคร นั่งคุยกันในญาณทิพย์เหรอ ฟังไม่เข้าใจสักอย่าง” ทิวาอดพูดโพล่งขึ้นมากลางวงไม่ได้ เมื่อแต่ละคนเอาแต่สบตากันไปมา พูดจากำกวมจนน่าฟาดให้หน้าหงายทั้งหมด รู้หรอกว่าน่าจะรู้จักกันมาก่อน แต่ช่วยทำให้คนนอกแบบเขาเข้าใจบ้างได้ไหม ซึ่งโชคดีที่ไม่ใช่แค่เขาที่สงสัย แต่จินเองก็ด้วย

“ใครอะไป๋”

“ลืมว่ากว่าจินจะมาอยู่ในวง เขาก็ไปแล้ว”

“อืม...” ไป๋มีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ด้วยสายตาคาดคั้นจากทั้งเขาและจิน ทำให้ต้องจำใจตอบออกมา “จะว่าไงดีล่ะ ...อดีตรักมั้ง”

“พูดซะลิเกเชียวไอ้ไป๋ มึงแค่บอกว่าอดีตคนคุยไอ้วินก็พอแล้วไหม”

“เพิ่งรู้ว่าวินมีคนคุยด้วย”

“มาช้าสุด ไม่รู้ก็ไม่แปลก” ไป๋ขยี้ผมจินแล้วหันกลับมาอธิบายต่อ “ก็เป็นความสัมพันธ์ประมาณนั้นแหละ แต่เรื่องจริงเป็นยังไง พวกกูก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะวินมันก็ไม่ได้อาลัยอาวรณ์อะไรนักตอนที่เขาไป ค่อนข้างจะปกติเกินไปด้วยซ้ำ”

“แต่ถ้าบอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่เชื่อเท่าไหร่ เพราะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ถึงจะอ้างว่าเขาช่วยเรื่องแต่งเพลงก็เถอะ” แคทเสริมขึ้นมาบ้าง

“แล้วทำไมเขาถึง...”

“เลิกคุยกันอะเหรอ?” พอทิวาพยักหน้า แคทก็เงียบไปพักหนึ่ง ในตอนที่ทุกคนไม่ทันสังเกต เขากลับเห็นแคทเหลือบสายตาไปมองไป๋ชั่วครู่ ก่อนจะหันมาตอบเขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ไม่มีอะไร เหมือนไปกันไม่รอดด้วยส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่ง ตอนนั้นวินมันค่อนข้างเก็บตัว ใครๆ ก็มองออกว่ามันไม่ได้สนใจใครเท่าไหร่ ประมาณว่าจะอยู่ก็อยู่ จะไปก็ไป”

“...”

“ทุกคนพูดว่ามันมีคนที่ลืมไม่ลงอยู่ หมายถึงคนที่เข้ามาเพราะอยากจะคบกับมันอะนะ”

“วินเคยมีแฟนเหรอ”

“ไม่มี” คราวนี้ทั้งสามคนตอบพร้อมกัน โดยมีเวย์ตอบเสริมขึ้นมา “พวกกูก็ไม่ได้รู้อะไรมากหรอกนะ เพราะเรื่องนี้มันก็นานแล้ว ไอ้วินก็ไม่เคยมาปรึกษา แต่น่าจะเป็นตอนปีสองปีสามนี่แหละ”

“ไม่ได้คบกันหรอก แต่พอเดาๆ ได้ว่ามันชอบใครอยู่ เพลงแรกที่มันยังแต่งไม่จบจนวันนี้มันก็แต่งให้คนนี้”

“แล้วเขาไปไหนแล้วล่ะ”

“...”

เห็นทุกคนไม่ยอมตอบและทิวามีสีหน้าสงสัยขึ้นทุกที ไป๋จึงได้แต่ประนีประนอม เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะบอกได้เองกับปาก

สำควรให้เจ้าของเรื่องเป็นคนพูดมากกว่า

“เอาจริงๆ ก็จำไม่ค่อยได้แล้ว คนเดียวที่ยังจำได้หมดทุกอย่างก็มีแต่ไอ้วินคนเดียวเท่านั้นแหละ”

“...”

“เพราะงั้นรอให้วินมันพูดเองดีกว่า ถ้าเดย์อยากรู้น่ะนะ”

“...”

“ไม่ใช่เรื่องที่น่าเอามาพูดลับหลังเจ้าตัวเท่าไหร่”

 










-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------











“ยังไม่จบอีกเหรอ”

“หมายถึงเพลงน่ะเหรอ วินเขียนเสร็จสักพักแล้ว” ทิวามองคนที่ยังก้มหน้าก้มตาทำอะไรสักอย่างกับโปรแกรมที่เขาไม่คุ้นตา แต่น่าจะเป็นโปรเกรมเกี่ยวกับพวกตัดต่ออะไรพรรคนั้น เมินคำแทนตัวที่ไม่คุ้นเคยเหลือเกินนั่นแล้วทั้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างตัววินที่กลายเป็นที่ประจำของเขาไปแล้ว แม้จะตกลงกันแล้วว่าจะลดพวกคำหยาบคายลง แต่มันก็ปรับตัวได้ค่อนข้างยาก ทั้งเวลาที่อีกคนแทนตัวด้วยชื่อตัวเอง มันก็น่ารักไม่หยอก

มันก็น่ารักดีแหละ แต่มันก็ไม่ค่อยคุ้นอยู่ดี

“เหลือแค่ปรับแก้นิดหน่อย แล้วก็ส่งให้บริษัทแค่นั้นแหละ”

“แต่งเนื้อแล้วเหรอ”

“เรียบร้อยหมดแล้วครับ วันนี้เป็นอะไรเนี่ย ถามจี้เป็นเจ้านายเชียว”

“...” ทิวาไม่ได้ตอบออกไปทันที แต่เอื้อมไปคว้ากระดาษที่จดโน้ตและเนื้อเพลงมั่วซั่วของอีกคน เตรียมจะคว้ามาอ่าน แต่โดนมือวินขวางเอาไว้เสียก่อน แววตาที่มองมาคล้ายกดดันและคล้ายให้เขาพูดสิ่งที่อยู่ในใจ จนสุดท้ายเขาก็ยอมแพ้ “ก็เปล่า แค่สงสัย”

“สงสัยว่า”

“ครั้งที่สองแล้วที่ได้ยินเรื่องคนนั้น...ไม่รวมเรื่องผู้ช่วยคนใหม่อีก”

“อาฮะ”

“หล่อเนอะ สาวเยอะ”

วินหัวเราะร่วนกับใบหน้าที่จะยิ้มก็ไม่เชิง จะแยกเขี้ยวด้วยความหมั่นไส้ก็ไม่ใช่ของทิวา ก่อนจะยื่นมือไปหยิกแก้มนุ่มด้วยความหมั่นเขี้ยว “ไม่มีอะไรเลยสักคน”

“แม้แต่คนที่แต่งเพลงให้อะนะ”

“อืม ไม่มีอะไรเลย” พริบตาหนึ่งทิวาแอบเห็นว่ามีรอยวูบไหวผ่านดวงตาของอีกคน แต่พริบตาต่อมามันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย จนอดพูดขึ้นมาไม่ได้

“ไม่เชื่อ”

“ก็ยังไม่ต้องเชื่อก็ได้”

“...”

“รอดูกันไป ยังไง...เดย์ก็จะไม่ไปไหนใช่ไหมล่ะ”

มือที่ถูกกุมเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่คว้าจับแผ่นกระดาษโน้ต ถูกวินยึดจับราวกับเป็นข้าวของส่วนตัว ซึ่งทิวาก็ไม่ได้คิดจะดึงกลับ ปล่อยให้อีกคนกุม บีบเล่นตามใจเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา

“กลัวอะไรนักหนา ฝังใจเพราะเคยโดนสาวเทหรือไง”

“คงงั้น ถ้าไม่ไปเหมือนครั้งอื่นก็ดี”

“ไม่นึกว่าคุณหัวหน้าวงก็มีมุมแบบนี้ด้วย” ทิวาส่งเสียงเตรียมล้อเลียนต่อเต็มที่ แต่ใครจะไปรู้ว่าการตอบสนองกลับมาอีกคนไม่ใช่การก่อกวนกลับเช่นเคย แต่กลับเป็นรอยยิ้ม...ที่ดูเศร้าๆ อย่างบอกไม่ถูก

“ทุกคนก็มีมุมอ่อนแอ มุมน่าสมเพซที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้เหมือนกันนั่นแหละน่า”

“...”

“ไม่ว่าจะเป็นใคร...เก่งแค่ไหนก็มีช่วงเวลาที่ไม่อยากจะนึกถึง แต่ก็ลืมไม่ได้จนฝังใจเหมือนกัน”

“มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ คนนั้น”

“คนไหน”

ทิวาเบ้ปาก “ไหนว่าไม่มีสาวเยอะ ยังจะมาถามว่าคนไหน”

เมื่อแหย่จนคนข้างตัวเลิกทำหน้าเครียดตามตัวเองได้สำเร็จ วินก็เผยยิ้มออกมา “คนที่แต่งเพลงให้อะเหรอ”

“อือ”

“ก็...ร้ายแรงอยู่นะ”

“แล้วคนที่จะมาเป็นผู้ช่วยล่ะ”

“เดี๋ยว นี่จะย้อนถาม ตามหึงทุกคนในอดีตวินเหรอ”

“ใครหึง อยากรู้อยากเห็นเฉยๆ ต่างหาก”

ทิวาตีหน้าเฉย คว้านู่นคว้านี่มาอ่านทั้งที่อ่านไม่รู้เรื่องเลยสักนิด ทำเหมือนตัวเองไม่ได้สนใจอะไรนักว่าวินจะพูดถึงคุณผู้ช่วยคนใหม่ที่จนตอนนี้เขาก็ยังไม่เห็นหน้าว่าอย่างไร แต่พอเห็นรอยยิ้มรู้ทันบนใบหน้าของคนข้างตัว ก็อดร้อนตัวไม่ได้ “มองอะไรนักหนา”

“มองคนปากแข็ง”

“ไม่ได้ปากแข็ง”

“อืม ก็ไม่แข็งจริงๆ นั่นแหละ”

ทิวากลอกตามองบนใส่วินที่ยิ้มกรุ่มกริ่มแทบไม่ทัน ไม่ต้องถามก็รู้ว่าอีกคนหมายถึงอะไร ที่แน่ๆ ไม่ได้หมายถึงนิสัยของเขาอย่างแน่นอน ไอ้ไม่แข็งนั่นน่ะ ดังนั้นก่อนจะโดนล้อเล่นเอากระดาษที่ม้วนในมือตีเข้าที่ไหล่วินทันที แทนคำถามไม่ให้อีกคนพูดเหลวไหล เพราะตรงนี้ไม่ได้มีแค่พวกเขาอีกแล้ว

“ทะเลาะอะไรกันตั้งแต่หัวค่ำ ไหนว่าดีกันแล้วไง”

“ก็ไม่ได้ทะเลาะ” วินว่า แล้วมองบรรดาเพื่อนร่วมวงคนอื่นที่ทยอยเดินเข้ามาในห้องซ้อม หลังจากปล่อยให้พักหลังกินข้าว “เขาเรียกว่ากายบริหารปาก เสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหัวใจต่างหาก”

“เสริมอะไร มึงจะทำให้เดย์โกรธจนหัวใจวายต่างหาก”

“หัวใจวายอาจจะใช่ แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่เพราะโกรธ...อื้อ!” เมื่อเห็นว่าวินจะหลุดปากพูดเรื่องเหลวไหลอีกแล้ว ทิวาจึงรีบเอื้อมมือไปปิดปากคนช่างจ้อผิดนิสัยตอนแรกที่เจอกันทันที พร้อมกับทุบไปอีกสองสามทีให้เลิกแกล้งเขาเสียที ดีที่อีกคนยังพอฟังรู้เรื่องเลยยอมหยุดแกล้งพร้อมรอยยิ้มน่าตีนั่น

ตั้งแต่วันนั้นวินก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละน้อย มันก็ดีหรอก เพราะเหมือนอีกคนก็ค่อยๆ เปิดใจให้ แต่เปลี่ยนไปขี้แกล้งเขา โดยเฉพาะเหมือนพยายามให้คนอื่นรู้เรื่องพวกเขาที่เปลี่ยนไปทีละนิดเนี่ย มันไม่ดีเอาเสียเลย

ไม่ใช่ว่าอยากปิดอะไรหรอกนะ แต่...ยังอยากใช้เวลาอีกสักพักก่อนจะบอกคนอื่นไป

เผื่อเกิดอะไรขึ้นมา อยากน้อยๆ มันก็จะได้จบลงแบบที่ไม่ต้องมีใครอึดอัดใจกับความสัมพันธ์ของพวกเขาที่มันไปไม่รอด

“จะซ้อมแล้วเหรอ ให้ออกไปก่อนไหม”

“ออกทำไม ก็นั่งฟังไปดิ” แคทว่าพลางประจำที่ เช็กนู่นเช็กนี่ไปเรื่อยเปื่อย “จะว่าไปตั้งแต่โดนเฉลยว่ามีผู้ช่วยจริงๆ มึงไม่เคยเข้ามานั่งฟังเลยนี่หว่า”

“ก็กลัวรบกวน”

“รบกวนอะไร มีคนฟังอะดีจะตาย” เวย์ว่า

“งั้นอยู่ฟังก็ได้ แต่เพลงเดียว”

“ไรว้า” ทิวาแอบยิ้มเมื่อคู่หูจอมโวยวายส่งเสียงโอดครวญมาพร้อมกัน

“จะไปนอนแล้ว ง่วง”

“วันนี้ก็ออกไปอีกแล้วเหรอเดย์”

“อือ” เพราะไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังอะไร เรื่องที่เขามักออกไปข้างนอกเพื่อตามหาคนรู้จักจึงเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนรู้ดี วันนี้ก็เช่นกันที่เขาออกไปที่แถวโรงเรียนมัธยมเก่าที่จำได้ว่ามีเพื่อนเก่าหลายคนอาศัยอยู่ แต่พอถึงถ้าไม่ปิดบ้านเงียบจนนึกว่าย้ายไปแล้ว ก็ไม่อยู่บ้านกันเสียเป็นส่วนใหญ่ แอบท้ออยู่เหมือนกัน แต่ทิวาก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้วนี่นา พอนึกมาถึงตรงนี้ก็ได้แต่ยิ้มเหนื่อยๆ ตอบกลับจินไป “แต่ก็ไม่ได้อะไรเหมือนเดิมเลย”

“เดี๋ยวก็เจอ”

“รู้น่า”

วินไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่สัมผัสที่ละเลงบนผมเหมือนแกล้งและปลอบโยนในคราวเดียวกันนั่นก็มากพอให้รอยยิ้มเขากลับมาแล้ว เขามองทุกคนยืนประจำที่ตัวเองและเริ่มเล่นดนตรีในบทเพลงที่เริ่มคุ้นหูพร้อมรอยยิ้ม เอาจริงๆ ในใจของเขาก็ยังมีแต่วงวีอาร์เหมือนเดิมนั่นแหละ เพียงแต่...

ยูอาร์ก็ไม่เลวเหมือนกัน

แม้จะบอกว่าจะฟังแค่เพลงเดียว แต่เอาเข้าจริงทิวาก็ฟังเพลินจนเผลอหลับไปในห้องซ้อมจนได้และเพราะเหนื่อยมากจริงๆ ถึงในห้องจะมีเสียงดังแค่ไหนแต่อีกคนก็ยังหลับอยู่แบบนั้น เป็นที่เอ็นดูของบรรดาคนที่เหลือ จนจินเห็นว่าเวลามันพอสมควรแล้วจึงบอกให้ทุกคนเลิกซ้อมและหาคนขันอาสาพาทิวากลับห้องเสียที

“กูเอง”

“ก็ยังไม่มีคนแย่งเลย พ่อไม่ต้องรีบก็ได้”

แม้มันจะจริงตามที่เวย์มันแซว แต่มันก็กวนตีนเสียจนปล่อยผ่านไม่ได้ ดังนั้นตอนที่วินเดินผ่านจึงเตะเข้าให้ จนคนปากมอมร้องโวยวายลั่นแล้ววิ่งไปหลบหลังคนที่ตัวสูงที่สุด แต่ถามว่ามันช่วยอะไรได้ไหม ก็ไม่หรอก ดีไม่ดีแคทนั่นแหละ จะจับมันให้เขาตั้งแต่แรก

“โหดร้ายมาก กับเพื่อนกับฝูง”

“ก็ถ้าไม่ใช่เพื่อนกูไม่เตะแค่ทีเดียวหรอก”

“ใจร้าย!”

“พอเถอะเวย์ มึงตัดพ้อแล้วไม่ได้น่ารักอะ มันน่าขนลุก”

“ไอ้แคท! มึงจะวิ่งไปไหน กลับมาให้กูเตะเดี๋ยวนี้เลย” แล้วสองคนที่เสียงดังที่สุดก็วิ่งออกจากห้องไป ตามด้วยจินกับไป๋ จนกระทั่งห้องกลับมาเหลือพวกเขาแค่สองคนอีกครั้งหนึ่ง หลังวินจัดระเบียบห้องซ้อมจนกลับเป็นสภาพก่อนที่จะซ้อมเรียบร้อยแล้ว ก็เดินมาหาคนที่หลับสนิทและทิ้งตัวลงนั่งตรงหน้าอีกคน มองแล้วยิ้มโดยไม่ลืมก่อกวนด้วยการเขี่ยแก้มไปมา

ก็ไม่ได้หลับสนิทสักเท่าไหร่หรอก ไม่งั้นจะขยับยุกยิกแล้วอมยิ้มแบบที่เขาเห็นได้ยังไง

“ตื่นได้แล้ว”

“ไหนว่าจะไปส่งห้อง”

วินมองดวงตาตรงหน้าที่ฉ่ำวาวไปด้วยน้ำตา ไม่รู้เพราะว่าเพิ่งตื่นหรือยังนอนไม่พอกันแน่ แต่มันก็ทำให้ดวงตาของทิวาน่ามองขึ้นไม่รู้ตั้งกี่เท่า “ก็จะทำงั้นจริงนั่นแหละ แต่พอรู้ว่าคนแถวนี้เนียนทำไม่รู้เรื่องนอนต่อ ก็ไม่อยากทำแล้ว”

“แย่ๆ ทรีตลูกน้องได้แย่มาก นายมาวิน”

“คุณทิวาก็อย่าเอาเปรียบคนอื่นสิคร้าบ ตื่นแล้วก็ลุก จะได้ไปนอนดีๆ”

“ครับๆ ลุกแล้วครับ คุณมาวินเลิกบ่นทีนะครับ รำคาญครับ”

“เดี๋ยวเถอะ” ทิวาหัวเราะร่วนแล้ววิ่งหนีอีกคนไปทั่วห้องซ้อม เพราะมีแต่เครื่องดนตรีที่ไว้ทำมาหากิน ดังนั้นวินเลยช้าไปหลายจังหวะจนจับคนช่างต่อปากต่อคำที่วิ่งไปมาไม่หยุดไม่ได้เสียที จนเหนื่อยนั่นแหละถึงได้ยอมเดินกลับมาให้เขากอดแต่โดยดี

วินกอดทิวาแน่นแล้วซุกใบหน้าลงที่กลุ่มผมหอม ด้วยเพราะพวกเขาสูงพอๆ กัน ดังนั้นตอนที่วางคางบนไหล่เลยพอเหมาะพอเจาะไม่มากไปหรือน้อยไป เขากอดแล้วโยกไปมาอยู่พักใหญ่ จนรู้สึกว่าไหล่ข้างที่ทิวาพิงอยู่ชักจะหนักขึ้นเรื่อยๆ เป็นสัญญาณว่าอีกคนกำลังจะหลับไปอีกรอบนั่นแหละ จึงชวนอีกคนให้รีบกลับห้องไปอาบน้ำนอนเสียที

ระยะทางจากห้องซ้อมถึงหน้าห้องของทิวาไม่ถึงนาทีเสียด้วยซ้ำ แต่ทั้สองก็ยังชัดช้าเสียจนกว่าจะถึงก็นานจนเพื่อนคนอื่นๆ เข้าห้องนอนไปหมดแล้ว วินเปิดห้องของอีกคนแล้วดันให้ทิวาเข้าห้องไปโดยไม่ลืมย้ำให้อีกคนรีบออกมาอาบน้ำ ด้วยกลัวจะหลับไปทั้งอย่างนั้น ย้ำจนทิวาบ่นอุบว่าเหมือนพ่อไม่มีผิด จนเขาหัวเราะออกมา

“ไม่ดีหรือไง ได้แบบทูอินวันไปเลยไง”

“ไม่ดี ขี้บ่น”

“ก็ถ้าคนแถวนี้ไม่ทำตัวให้ห่วงจะบ่นไหมละครับ”

“...พูดไม่รู้เรื่องแล้ว รีบไปๆ เลยไป”

“เขินแล้วก็หนีทุกที”

ทิวาแลบลิ้น ย่นจมูกใส่อย่างน่ารัก ทั้งเตรียมจะปิดประตูใส่เขาแล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายก็ยังชะงักแล้วกลับมายิ้มให้เหมือนเดิม

“เจอกันพรุ่งนี้นะ”

“...”

“ฝันดี”

ประตูห้องของอีกคนปิดไปแล้ว ดังนั้นแสงที่ลอดออกมาให้ความสว่างแถวระเบียงจึงหายไปด้วย วินรู้ดีว่าเขาควรจะเดินกลับไปห้องตัวเองและเตรียมตัวอาบน้ำนอนเช่นที่เคยทำได้แล้ว แต่กลับขยับไปไหนไม่ได้ ได้แต่ยืนทื่ออยู่ที่เดิมอย่างนั้นเงียบๆ

เหมือนเหลือเกิน เหมือนจนน่าใจหาย

พริบตาที่ทิวาหันกลับมาแล้วบอกว่าเจอกันพรุ่งนี้ ซ้อนทับภาพรอยยิ้มในความทรงจำจนวินนึกกลัวขึ้นมา ในอกวูบโหวงจนรักษาสีหน้าไว้ไม่อยู่ ความกลัวผุดขึ้นกลางใจระลอกแล้วระลอกเล่า ทั้งอยากเปิดประตูตรงหน้าเข้าไปกอดอีกคน ทั้งอยากจะวิ่งหนีทำเป็นไม่รับรู้ไม่สนใจความรู้สึกในตอนนี้ของตัวเองปนกันไปหมด

ทั้งที่คิดว่ามันไม่มีทางเหมือนตอนนั้นแน่ๆ แต่ทำไมลึกๆ ในใจของเขานั้นก็ยังกลัวเช่นเดิม

ราวกับว่ามันเป็นสัญญาณเตือน

คิดมาถึงตรงนี้วินก็เผลอกัดปากตัวเองจนรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดจางๆ อวลไปทั่วปาก เรียกสติที่เริ่มเหลวไหลไปคิดถึงเรื่องที่ไม่ควรคิดให้กลับมาสู่ปัจจุบัน

เลิกคิดได้แล้ว มันจะไม่เป็นแบบเดิมแน่นอน

และต่อให้มันมีโอกาสเกิดขึ้นจริง ไม่ว่ามากหรือน้อยแค่ไหน เขาก็จะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง

ไม่อย่างแน่นอน

 




เปลี่ยนไป

จนไม่สามารถกลับไปเป็นของฉันได้อีกต่อไป



(โปรดติดตามตอนต่อไป)

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

fact about ทิวา

ค่อนข้างขี้หึง

แต่มักคิดว่าตัวเองปิดความขี้หึงได้แนบเนียนที่สุดในโลก

จนคนอื่นจับไม่ได้

NAVY

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

โอย...อยากรู้เหตุการณ์ตอนนั้นอ่ะ

ตอนเมื่อหกปีก่อน

ตอนที่เดย์หายไปอ่ะ  หายไปยังไง? 

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
อยากรู้เหตุการณ์เมื่อ 6 ปีก่อนจริง

ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
รอจ้าาา รีบมาต่อน๊าาา อยากรู้มาก หายไปไหนมา แล้วจู่ๆ วาร์ป มา 6 ปี ข้างหน้าได้ยังไง  :serius2:

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
เธอมีความสุขไหม?

ถ้ามีก็คงดี

















ตกหลุมรักระยะที่ 10




มันยังคงเป็นเช้าเดิมๆ ที่เขาต้องลุกขึ้นมาทำข้าวเช้าให้คนอื่น ทำเสร็จแล้วก็ขึ้นไปปลุกเหล่าคนขี้เกียจทั้งหลาย (ยกเว้นจิน) ให้ตื่นขึ้นมากินข้าว จัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย เพียงแต่อาจจะต่างจากเช้าวันอื่นๆ เล็กน้อย

วันนี้จะมีใครอีกคนมาเยี่ยมเยือน ซึ่งทิวาไม่อยากจะยอมรับนักหรอก แต่เขาก็รอที่จะเจอเธอคนนี้พอสมควร

เพราะแบบนั้น ระหว่างที่พวกเขากำลังจัดการข้าวเช้า เมื่อเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น เขาจึงไม่ลังเลที่จะเป็นตัวแทนคนที่เหลือออกไปยังหน้าบ้านเพื่อเจอเธอ แม้ว่าจะมีตัวแถมติดสอยห้อยตามมาด้วยก็เถอะ

“ไหนว่าไม่สนใจไง” วิน

“ก็ไม่ได้สนใจ”

“แต่วิ่งมาคนแรก”

“มันเป็นมารยาทที่ดีของเจ้าบ้าน...”

“มาเป็นเจ้าของบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่”

“เมื่อกี้”

“คำว่าหึงมันสั้นกว่าเยอะเลยนะ จะพูดทำไมยาวๆ” วินฉวยโอกาสตอนที่คุยกันบีบปากที่ช่างเถียงนั่นแล้วเบียดออกไปรับแขกที่มายืนรอพวกเขาคุยกันท่ามกลางแสงแดดยามเช้าที่ไม่ค่อยปราณีผิวสักเท่าไหร่ ก่อนทิวาจะรีบเดินไปสบทบและเมื่อเจอเธอคนที่เขาอยากจะพบ ก็อดตกใจไม่ได้

เขารู้จักเธอคนนี้

ถ้าจำไม่ผิด เธอคือดาวเด่นจากคณะบัญชี จำได้ว่าโรมชอบเอารูปของเธอตามเพจมาให้พวกเขาดูเป็นประจำ ไม่เห็นเคยได้ยินว่าเธอคบกับใคร ที่แท้...ก็มีคนคุยอยู่แล้วนี่เอง

“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สูงขึ้นเยอะเลย”

“เลิกทำเหมือนนี่เป็นเด็กๆ ได้ไหมละ แล้วก็มันไม่ได้เพิ่มตั้งแต่เธอไปเรียนต่อที่อื่นเลยสักนิด”

เสียงหัวเราะของเธอใสเหมือนแก้วเนื้อดี ทำเอาคนฟังฟังเพลินโดยไม่รู้ตัว “ทักตามมารยาทย่ะ ปากดีไม่เปลี่ยนเลยนะ” ว่าแล้วก็เดินเข้ามาในบ้านหลังจากที่วินเปิดรั้วให้ ใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่แทบตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนที่สังเกตเห็นเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง ในแววตามีความสงสัย กระนั้นก็ยังยิ้มและทักทายเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “สวัสดีค่ะ เพื่อนวินใช่ไหมคะหรือเป็นเพื่อนในวงคนใหม่”

“เป็นเพื่อนครับ แต่ไม่ใช่คนในวงครับ”

“อ้าว ซะงั้น ขอโทษค่ะ”

“เข้าไปคุยในบ้านเถอะ แดดร้อน” วินรีบตัดบทก่อนจะบทสนทนาจะยืดยาวไปมากกว่านี้ ไม่สนใจคนข้างตัวที่ตีหน้าบูด รีบออกแรงดันหลังทั้งคู่ให้เข้าบ้าน ก่อนจะตามเข้าไปหลังจากที่ปิดรั้วและประตูเรียบร้อย

เสียงโวยวายดังขึ้นมาทันทีที่แขกหน้าใหม่เข้าไปในบ้าน ทุกคนรุมพูดคุยเจื้อยแจ้ว เว้นแต่จินกับทิวาที่ยังไม่คุ้นเท่าไหร่ จึงเอาแต่นั่งฟังคนอื่นรำลึกความหลังไปเงียบๆ เท่านั้น วินทิ้งตัวลงนั่งที่นั่งข้างตัวทิวา ซึ่งบังเอิญก็เป็นที่ว่างข้างๆ ผู้ช่วยคนใหม่ของพวกเขาพอดี

ภัทรที่กำลังหัวเราะอยู่กับเวย์ ย่นจมูกขยับเก้าอี้หนีทันที “มานั่งอะไรข้างเรา ไปไกลๆ เลย”

“โอเว่อร์แล้วแม่คุณ นั่งข้างแค่นี้ทำเป็นรังเกียจ ทีแต่ก่อนนะ...”

“แต่ก่อนอะไร!”

“เปล๊า ไม่มีอะไร” พอจบประโยคปุ๊บก็ต้องสูดปากด้วยความเจ็บทันที เพราะภัทรฟาดลงมาเต็มรักและยังมีทีท่าว่าจะลงโทษไปเรื่อยๆ ตามความกวนประสาทของเขา ซึ่งแน่นอว่าวินเอาคืนไม่ได้ เลยได้แต่ปัดป้องไปเท่านั้น ซึ่งมองจากสายตาคนนอกแล้ว มันมีความสนิทสนมกว่าคนอื่นในอีกแง่

อย่างน้อยๆ ทิวาก็ยังไม่เห็นใครที่วินยอมให้มากขนาดนี้น่ะนะ (เพราะตัวเขาเองยังโดนฟาดกลับมาเหมือนกัน สองมาตรฐานสุดๆ)

“ไม่เห็นไอ้วินทะเลาะกับผู้หญิงมานานเท่าไหร่แล้ววะเนี่ย” ก่อนทั้งคู่จะตีกันจนฟกช้ำไปมากกว่านี้ (แม้ว่าจะตีอยู่แค่คนเดียวก็เถอะ) แคทก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน “แล้วนี่ไปไงมาไง ทำไมถึงได้มารับงานให้วงเราล่ะ”

“ว่างงง ก็เลยมาทำแก้เบื่อ”

“เอาดีๆ ภัทร ไม่เล่นนะเนี่ย จริงจังอยู่”

“ถ้าจริงจังแกก็เลิกยิ้มดิ มันตลกอะ” ไม่ว่าเปล่า ระหว่างพูดมือของภัทรก็ยื่นไปหยิกแก้มคนข้างๆ ก่อนจะหันไปตอบคนอื่น โดยไม่แยแสว่าเจ้าของแก้มที่กำลังถูกละเลงบีบนั้นจะพยายามปัดมือออก “ว่างจริงๆ เพิ่งจบป.โท ยังวิ่งหางานอยู่ พอดีเจอพี่เต้พี่เขาเลยชวนมาช่วยงานระยะสั้น เงินก็ดี งานก็ไม่ได้ยากอะไร แค่ช่วยดูตารางงาน จัดคิวนู่นนี่ให้พวกแก ก็เลยตกลง”

“แม่แกไม่ว่าอะไรเหรอมารับงานต๊อกต๋อยเนี่ย”

“แม่ฉันเป็นแฟนคลับแกจะไปว่าอะไร ไล่ให้มารับงานแทบไม่ทัน” ภัทรหัวเราะร่า ก่อนจะนิ่งไปเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ “เออ ขอลายเซ็นไปฝากแม่ด้วย ทุกคนเลยนะ แม่ให้เอาอัลบั้มมาให้เซ็น” แล้วเธอหยิบอัลบั้มขึ้นมาวางเรียงบนโต๊ะตามจำนวนคนในวง ตอนแรกทุกคนเงียบไปเพราะอึ้ง แต่หลังจากตั้งสติได้ก็หลุดหัวเราะออกมาถ้วนหน้าไม่เว้นแม้แต่จิน ก่อนจะลงมือเขียนลายเซ็นและข้อความสั้นๆ ถึงคุณแม่ของเพื่อนเก่า โดยมีทิวามองภาพนั้นเงียบๆ

เขาไม่พูดอะไรเลย อาจเพราะไม่มีช่องให้พูดหรือต่อให้มี เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรอยู่ดี

จะว่ายังไงดีล่ะ จะบอกว่าคนที่เหลือปรับตัวกันเก่งก็ถูก แต่พอเห็นว่าภัทรค่อยๆ กลมกลืนไปกับทุกคน ทิวาก็อดรู้สึกแปลกแยกขึ้นมาไม่ได้

“เอ้อ ยังไม่ได้แนะนำเพื่อนใหม่ให้รู้จักเลยนะ ชื่ออะไรเหรอคะ เราชื่อภัทรนะ อายุเท่าทุกคนในวงเลยค่ะ”

“ชื่อทิวาครับ...ส่วนอายุก็น่าจะเท่ากัน” ท้ายเสียงแอบเบากว่าเล็กน้อย เพราะทิวาไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะบอกอายุตอนไหนดี แต่จะให้บอกอายุของเขา (ซึ่งหมายถึงหกปีที่แล้วของทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้) มันก็คงจะแปลกๆ เลยตีเนียนเสียเลย “เรียกว่าเดย์ก็ได้ครับ”

“สุภาพจนเราดูหยาบคายไปเลยอะ พูดปกติกับที่พูดกับพวกทโมนพวกนี้กับเราได้นะเดย์ แอบเกร็งเลยอะ”

“ใครจะไปหยาบกระด้างแบบเธอล่ะ”

“ถ้ามันไม่สร้างสรรค์ก็หุบปากไปก็ได้นะวิน”

“เนี่ย ปากร้าย อย่ามาแพร่ความร้ายกาจของเธอใส่เดย์นะ”

“วิน!”

“นี่พูดจริงนะเนี่ย ตอนเถียงกับเดย์ก็พูดมากอยู่หรอก แต่พอมาเจอภัทรที่เถียงกับเดย์ไปเด็กๆ ไปเลย” ไป๋ว่าพลางมองไปยังคนทั้งคู่ที่ตีกันเหมือนเด็กๆ พร้อมยิ้มมุมปาก “นึกถึงสมัยเรียนเลย”

“มีอะไรให้นึกถึงกัน ไม่เห็นน่าคิดถึงสักอย่าง”

“จริงเร้อ ได้ข่าวว่ามีเยอะเลย เช่นว่าจดหม...”

“ไอ้วิน!”

“เฮ้ยๆ นั่นมันแจกันนะเว้ย วางลงเลย” วินลุกจากเก้าอี้ทันทีที่เห็นว่าภัทรไม่ใช่แค่ขึ้นเสียงเฉยๆ แต่ฉวยเอาแจกันที่วางอยู่บนโต๊ะมาเตรียมขวางใส่เขาด้วย ร่างสูงโปร่งกว่าหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในห้องหลายสิบเซนต์ ตอนนี้กลับทำตัวหดเล็กหลบอยู่หลังเขากับจิน แต่ยังไม่วายกวนประสาทเธอด้วยการแลบลิ้นใส่ หวิดจะหัวแตกร่อมร่อ จนเขาต้องออกปากปราม

“วิน เลิกแกล้งภัทร”

“ดุอีกแล้ว ทำไมวันนี้ดุกว่าปกติ”

“...”

“ไม่ถามแล้วก็ได้ เรื่องแนะนำคงไม่ต้องแล้วมั้ง ไปซ้อมกันไหม จะได้ให้ภัทรรู้เรื่องพวกทัวร์ คิวเพลงอะไรพวกนั้นไปด้วย” เมื่อทุกคนไม่ได้ท้วง วินจึงเป็นแกนนำพาผู้ช่วยคนใหม่เดินไปยังห้องซ้อม โดยที่คนอื่นก็ลุกตามไปแทบจะทันที มีเพียงจินที่รั้งท้ายช่วยเขาเก็บจานชามบนโต๊ะ แม้เขาจะไม่ได้พูดอะไรออกไปเลย แต่จินก็ยังรู้ถึงความผิดปกติของเขาอยู่ดี

“จะตามเข้าไปก็ได้นะเดย์ มันไม่มีอะไรหรอก”

“ไม่เอาหรอก แล้วก็...เราไม่ได้คิดอะไรเหมือนกัน”

“จริงเหรอ”

“...”

จินยิ้ม “ที่เห็นเหมือนไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยนะ”

“...เดี๋ยวเราล้างเอง จินล้างมือแล้วไปซ้อมเถอะ”

“โอเคๆ ไม่ถามแล้วก็ได้ แล้วนี่วันนี้จะออกไปข้างนอกไหม”

“ไป วันนี้จะกลับไปมหาลัยอีกสักรอบ”

“อย่ากลับดึกมากนะ เอ้อ วันนี้ไม่ต้องทำกับข้าวนะเดย์ เห็นว่าพวกแคทจะสั่งพิซซ่ามาน่ะ” เขาพยักหน้ารับแล้วรีบลงมือล้างจานชามในซิงค์ให้เรียบร้อย ก่อนจะออกไปด้านนอกโดยไม่ได้บอกลาใครบางคนอย่างที่เคยทำ

ถึงจะไปบอก...ตอนนี้ก็คงไม่ว่างฟังแหงๆ

เพราะแบบนั้น เขาจึงไม่รู้ ว่าหลังจากที่จินตามเข้าไปยังห้องซ้อม ตอนที่แคทกับเวย์กำลังโชว์พาวให้ผู้ช่วยคนใหม่และไป๋ดู วินได้ถามถึงเขา

“เดย์ล่ะ”

“ออกไปแล้ว มีอะไรหรือเปล่า”

“...วันนี้ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะไปไหน”

ตอนแรกจินกำลังจะอ้าปากบอกอยู่แล้วเชียว แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่พูดอะไร ดูเหมือนว่าทิวาจะไม่อยากให้วินรู้ ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะไม่พูดไปละกัน

“ไม่เห็นว่าอะไรนะ ล้างจานเสร็จแล้วก็ออกไปเลย ทำไมล่ะ ปกติบอกเหรอ”

“อืม”

“วันนี้คงไม่ปกติมั้ง”

“คงงั้น”

ว่าจะไม่หัวเราะ แต่สีหน้าหงอยๆ ของวินที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก ก็ทำให้เขาหลุดขำออกมาจนได้

ทิวาหนอทิวา

ในขณะที่อีกคนคิดมากกับคนใหม่ ก็ได้มองข้ามอะไรบ้างอย่างไปจริงๆ นั่นแหละ น่าเสียดาย

“ถ้าวินมีหางกับหู ตอนนี้คงหางลู่หูตกแหงๆ”

“แซวเป็นหมาเลยเหรอ”

“แล้วไม่ใช่เหรอ?”

“...หมาก็หมาวะ เฮ้อ” ไอ้พฤติกรรมที่รอใครบางคนกลับบ้าน แล้วพอเขากลับก็ดีใจนี่มันก็เหมือนหมาจริงๆ นั่นแหละ “ไปซ้อมเหอะ”

“รับทราบ”

“...”

“ยิ้มหน่อยคุณหัวหน้าวง สาวเขางงใหญ่แล้วว่าทำไมหน้าบูด”

วินผลักหัวจินจนเซไปอีกด้านทันที ทั้งที่ปกติแล้วจะไม่เคยลงมิอ ก่อนจะเริ่มซ้อมด้วยใจไม่ปกตินัก กระนั้นความเป็นมืออาชีพก็ยังมีอยู่ ดังนั้นจึงได้รับคำชมมากมายจากภัทรที่ไม่ได้เยี่ยมชมการซ้อมของพวกเขามานานกว่าห้าปี

ระหว่างช่วงพักที่พวกเพื่อนเขาพูดคุยกันราวกับมีเรื่องมากมายให้พูดคุยไม่รู้จบ เขาก็ได้แต่พิมพ์ไปลบไปในช่องแชทของใครอีกคนที่วันนี้หนีหายโดยไม่ยอมบอกเขาว่าจะไปไหนเหมือนเคย ล่าสุดได้แต่พิมพ์ค้างเอาไว้ไม่กล้ากดส่งสักที

ไอ้คำว่า ทำไมไปไม่บอก มันดูตัดพ้อแปลกๆ ไปไหมนะ

วินขมวดคิ้ว เตรียมจะกดลบอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่รู้สึกตัวว่ามีใครกำลังเดินเข้ามาและชะโงกมองหน้าจอเขาอยู่พอดี จนทำให้เขาพลาดกดส่งไปเสียอย่างนั้น

“คุยกับใครอะ”

ติ๊ง!

“เชี่ย”

“เฮ้ย สบถใส่ผู้หญิงได้ไง นิสัยไม่ดี”

“เวรเอ๊ย มาแอบดูทำไมเนี่ย เผลอกดส่งเลย” วินโวยลั่น ขณะที่ต้นเหตุอย่างภัทรกลับไม่เดือดร้อนใจสักนิด อีกทั้งดูจะสาแก่ใจมากกว่ากับท่าทางหัวเสียของอีกคน

“นั่นมันเรื่องของแกแล้ววิน”

“ยัยภัทร!”

“สมน้ำหน้า แบร่!”

“มึงจะส่งให้เดย์เหรอ”

วินรีบเก็บโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋ากางเกง แล้วหันไปหาไป๋ที่ยื่นโทรศัพท์แสนคุ้นตาจากมุมห้องที่พวกเขามักใช้ชาร์ตแบตโทรศัทพ์มาให้เขา “เหมือนเดย์จะไม่ได้เอาออกไปนะ...”

ไม่รอให้ไป๋พูดจนจบ เขาก็ฉวยเอาโทรศัพท์ทิวาปลดล๊อคพร้อมกับลบข้อความนั้นออกจากเครื่องของอีกคนทันที ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีหรือร้ายดีที่อีกคนไม่ได้เอาโทรศัพท์ไป เพราะนั่นหมายความว่าจนกว่าทิวาจะกลับมา เขาจะไม่สามารถติดต่ออีกคนได้เลย

“เป็นห่วงหรือไง”

“ไม่ห่วงได้ไง”

“...เหมือนมึงคนเดิมเลยนะ”

“เรื่อง?”

“รู้อยู่แหละว่าพวกมึงคงไม่ได้อยากจะป่าวประกาศอะไรนัก แต่พวกกูก็สังเกตเห็นอยู่ทุกวันจะไม่เอะใจก็คงไม่ได้” ไป๋นั่งที่พนักเก้าอี้ที่เพื่อนเขานั่งอยู่ ไม่ได้มองไปหาคู่สนทนาเสียด้วยซ้ำ แต่กลับทำให้วินรู้สึกว่าอีกคนคอยเฝ้ามองอยู่ “มึงในตอนนี้กับเดย์ ทำเอากูนึกถึงมึงกับคนนั้นเมื่อหกปีก่อนเลย”

“...”

“ทั้งสองคนคล้ายกันเหรอวะ มึงถึงได้เปิดใจเร็วขนาดนี้”

“...ไม่ได้เปิดใจ”

“ยังจะปากแข็ง”

“เปล่า ไม่ได้ปากแข็งเว้ย แต่ไม่ได้เปิดใจจริงๆ”

“...”

“ที่ผ่านมามันก็เป็นเขามาตลอด ไม่เคยเป็นคนอื่นเลย...”

“หมายความว่าไง”

รอยยิ้มของวินทำให้ไป๋อดสงสัยไม่ได้ แต่คำถามที่เขาต้องการคำตอบกลับได้เพียงความเงียบกลับมา จนได้แต่ยอมไม่คาดคั้นชั่วคราว เพราะดูท่าเพื่อนของเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าควรตอบอะไรกลับมา

“เอาไว้วันหนึ่ง มึงก็จะรู้เองนั่นแหละว่าที่กูพูดหมายความว่าไง”

“ขอให้มันจริง มึงพูดแบบนี้มาล้านรอบ ไม่เห็นมีสักครั้งที่กูจะรู้ว่าในหัวกลวงๆ ของมึงมีอะไรบ้าง”

“ฮ่าๆ อันนี้ไม่โกหกแล้ว” เขาหัวเราะแล้วปัดมือเพื่อนที่ผลักหัวเขาออก “ขนาดภัทรยังกลับมา ทำไมเขาคนนั้นจะกลับมาไม่ได้บ้างละเนอะ”

“เขาที่มึงว่าเนี่ย เขาเดียวกับที่กูคิดไหม”

วินไม่ตอบอะไร เอาแต่ยิ้มเช่นเดิม ทั้งคล้ายจะยอมรับและปฏิเสธใยคราเดียวกัน

“...วิน กูไม่เล่นนะ มันเริ่มจะน่ากลัวแล้วนะเว้ย”

“วันนั้นมึงก็เห็นพร้อมกันกับกู มึงคิดว่ามันจะเป็นไปได้ไหมล่ะที่เขาจะกลับมา”

“...เป็นไปไม่ได้”

“กูก็คิดแบบนั้น”

“...”

“แต่ก็กลับมาแล้ว”

“...”

“คราวนี้ กูจะไม่ให้เขาหายไปไหนอีกแล้ว”

สีหน้าที่มีความสุขแบบที่ไป๋ไม่ได้เห็นจากเพื่อนข้างตัวมานานหลายปี ทำให้หลุดยิ้มออกมา แม้จะไม่เข้าใจและยังสับสนอยู่บ้างเกี่ยวกับความเป็นไปไม่ได้ แต่หากเพื่อนเขาเชื่อแบบนั้น เขาก็จะอวยพรให้

“ถ้าสุดท้ายแล้วมึงทำได้ ก็อย่าลืมมาเล่าให้พวกกูฟังตั้งแต่ต้นจนจบด้วยล่ะ”

“เออ ถ้าถึงตอนนั้นแล้วทั้งมึงแล้วก็กูไม่ ‘ลืม’ ไปเสียก่อนน่ะนะ...”





















----------------------------------------------------------------------------------



















กว่าทิวาจะมาสังเกตว่าตัวเองลืมหยิบโทรศัพท์ที่ชาร์ตทิ้งเอาไว้ติดตัวมาด้วย เขาก็มาถึงที่มหาลัยเรียบร้อยแล้ว อดตบหัวตัวเองที่ขี้หลงขี้ลืมไม่ได้เลย ทั้งที่ปกติน้อยครั้งมากๆ ที่เขาลืมโทรศัพท์ที่คล้ายเป็นอวัยวะชิ้นที่ 33 ของมนุษย์เราออกจากบ้านมาด้วยเช่นนี้ก็เถอะ

แต่เขาตั้งใจจะแวะมาที่มหาลัยแค่ไม่นาน ก่อนจะไปที่อื่นต่อ เพราะงั้นคงไม่เป็นไร

วันนี้เขาไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะเจอคนรู้จักแต่อย่างใด มันมีแค่ความคิดถึงเท่านั้นแหละ ตั้งแต่วันที่มาถึงที่นี่มันก็หลายสัปดาห์แล้วเหมือนกัน เขาใช้ชีวิตอยู่กับพวกวินจนบางครั้งก็แอบลืมไปบ้างว่าเขามาจากเมื่อหกปีก่อน บางวันตื่นขึ้นมาก็เหมือนว่าเขาใช้ชีวิตเช่นนี้มาตั้งแต่แรก จนนึกกลัวขึ้นมา

เพราะแบบนั้นวันนี้เลยยกเลิกการตามคนรู้จัก แต่ย้อนกลับมายังสถานที่ที่เขาคุ้นเคยเพื่อเรียกความรู้สึกพวกนั้นกลับมา

แน่นอนว่าที่ที่เขาไปอันดับแรกก็คงเป็นหอพัก ถึงจะถูกรื้อไปแล้ว แต่สวนหย่อมใกล้ๆ ก็ยังมีที่นั่งพักอยู่เหมือนเดิม ทิวาจึงตั้งใจจะไปนั่งพักอยู่ตรงนั้นสักพัก แล้วค่อยไปที่อื่นต่อ

แต่เขาไม่คิดเลยว่า ในตอนที่เขาไม่ต้องการตามหาใครที่รู้จักในอดีตสักคนนั้น คนเหล่านั้นจะเดินมาหาเขาเสียเองเช่นนี้

ภาพความวุ่นวายของการก่อสร้างและวางศาลพระภูมิใหม่ตรงจุดเดิมทำให้ทิวาอดสงสัยไม่ได้จนต้องเดินเข้าไปดู ไหนจะแผนงานของการสร้างหอพักขึ้นมาใหม่อีกครั้งที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าเขานี่อีก ไหนว่ารื้อถอนไปแล้ว ทำไมถึง...

ในตอนที่เขายืนด้อมๆ มองๆ คนที่เดินเข้าออกพื้นที่ด้วยความสงสัย ด้านหลังก็ปรากฏเสียงร้องทักขึ้นมา จนเขาสะดุ้งและรีบหันกลับไปตอบโดยทันที

“นักศึกษาเหรอ”

“เปล่าครับ! ...”

“ตรงนี้อันตรายนะครับ เขากำลัง...”

“...”

“...ก่อสร้างอยู่”

“...”

ประโยคสนทนาที่สั้นเสียจนน่าใจหายถูกแทนที่ด้วยความเงียบที่ชวนน่าอึดอัด ทั้งที่ท่ามกลางพวกเขามีแต่เสียงก่อสร้างและเคลื่อนย้ายข้าวของเต็มไปหมด ทิวามองคนที่เข้ามาทักตัวเองก่อนด้วยความตกใจ เพราะคนคนนั้นคือปัณ เพื่อนของเขาและเป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่ทิวาหวังพึ่งพิงที่สุดยามข้ามมาอยู่ที่นี่ ทว่าในวันแรกนั้นเขากลับไม่อาจติดต่ออีกคนได้ ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้พบกันเสียอย่างนั้น

ปัณที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่ไอ้ปัณคนเดิมที่เขาคุ้นตา ปัณคนนี้สูงกว่าเดิมและดูภูมิฐานในชุดสูทสีเข้ม ในมือของอีกคนมีกระดาษและแฟ้มที่น่าจะเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างตรงนี้เต็มไปหมด ดูท่าอีกคนคงจะเป็นคนริเริ่มและจัดการงานตรงนี้สินะ

แม้จะดีใจแค่ไหน แต่ทิวาก็ไม่กล้าคาดหวังอะไรทั้งนั้น เพราะแววตาที่มองมาแม้มันจะมีความตกใจแฝงอยู่ แต่ที่มากกว่าความตกใจมันคือความว่างเปล่า เพื่อนของเขาคนนี้ก็เป็นเช่นคนอื่นๆ อีกคน...จำเขาไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะแบบนั้นเขาเลยตัดสินใจว่าจะรีบออกไปจากที่ตรงนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่ทำใจได้เร็วขนาดนั้นหรอก เมื่อต้องมาเผชิญกับเพื่อนที่ตัวเองสนิทมากขนาดนั้น แต่อีกคนกลับจำเขาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

“...ขอโทษที่มารบกวนการก่อสร้างครับ ผมแค่แปลกใจว่าทำไมถึงสร้างขึ้นมาอีก”

“...”

“ยังไงก็ขอตัวก่อนนะครับ”

“...เมื่อก่อนหอพักเก่าที่เคยอยู่ตรงนี้ มันเคยเป็นหอที่ผมเคยอยู่กับเพื่อนมาก่อน”

ขาก้าวที่ก้าวออกไปและเขาที่หันหลังให้ปัณเตรียมจะจากไปชะงักหยุดตรงนั้น ราวกับรู้ว่าประโยคที่ไร้ที่มานั่น ปัณกำลังพูดกับเขาอยู่

“พอเรียนจบ ไม่รู้ทำไมทางมหาลัยถึงได้ทำเรื่องทุบที่นี่ทิ้ง ยังไม่รวมที่อื่นๆ ในมหาลัยที่ถูกทุบทิ้งไปพร้อมๆ กันด้วย แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ เรื่องทั้งหมดนั่นมันเกิดขึ้นหลังจากที่ผมเรียนจบได้ไม่นาน แทบจะไล่เลี่ยกันเสียด้วยซ้ำ”

“...”

“หลังจากเรียนจบผมกับเพื่อนคนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง บางคนทำงาน บางคนเรียนต่อ บางคนไม่ค่อยได้เจอ บางคนก็หายไป...นั่นเป็นเรื่องปกติก็จริง แต่ที่แปลกคือเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ผมเพิ่งจะมาสังเกตถึงความผิดปกติเกี่ยวกับตัวเอง”

“...”

“ผมจำเพื่อนคนหนึ่งของตัวเองไม่ได้”

“...”

“ไม่รู้เหมือนกันว่าลืมไปตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงลืม แต่พอนึกถึงมันขึ้นมาก็อดเสียใจไม่ได้”

“...”

“หกปี...มันนานถึงขนาดนั้น แต่ผมกลับลืมไปเสียได้”

“...”

“นานแล้วที่ไม่ได้เจอกับเพื่อคนนั้นเลย ทั้งที่คิดถึงมากขนาดนั้น แต่ตอนนี้กลับไม่มีอะไรสักอย่างที่ทำให้ผมมองแล้วสามารถนึกถึงเรื่องที่เคยพบเจอไปพร้อมกับเพื่อนคนนั้นได้เลย”

ทิวาค่อยๆ หันกลับไปหาปัณพร้อมกับดวงตาแดงก่ำ ก่อนจะหลุดสะอื้นออกมาในตอนที่หันไปพบว่า ผู้ชายตัวโตที่มีเค้าโครงของเพื่อนรักในอดีตก็มีสภาพไม่ต่างจากเขาเลย ปัณในวัย 27 ปี กำลังกลั้นน้ำตาเหมือนกับเด็กๆ มือทั้งสองบีบแฟ้มในมือจนข้อนิ้วขาว ทั้งสั่นระริกราวกับจะฟ้องถึงความไม่มั่นคงในจิตใจออกมาให้คนอื่นได้เห็น

ราวกับนาฬิกาหมุนทวนระยะทางเดินอันเดิมของมัน หมุนย้อนกลับไปยังวันเวลาเก่าๆ ของพวกเขา

ราวกับว่า...ความทรงจำทั้งหมดที่เขาคิดว่ามันหายไปกำลังเดินทางกลับมา

ความสัมพันธ์ที่ถูกตัดขาดทำให้เขาคิดว่าถูกลืม แท้จริงแล้วมันยังอยู่และแอบซ่อนในใจของทุกคนที่เขารักและแสนคิดถึง แค่รอเวลาเปิดเผยออกมาเท่านั้น

“หลังจากที่ผมจำได้ ผมก็พยายามหาทางที่จะสร้างทุกสิ่งที่เคยถูกทำลายไปตั้งแต่ตอนนั้นกลับมา เริ่มจากที่นี่...หอพักแห่งนี้ที่ถึงแม้มันจะไม่มีทางเหมือนเดิมร้อยเปอร์เซ็น แต่แค่ยังมีมันอยู่เหมือนเดิมก็พอแล้ว"

“...ปัณ”

“ทิวา มึงกลับมาได้ยังไง”

“...”

“ไม่สิ นั่นไม่สำคัญ”

“...”

ปัณปาดน้ำตาที่ไหลออกมาแล้วเผยยิ้มที่ทิวาแสนคิดถึง ก่อนจะพูดหนึ่งคำที่ทำให้เขาหลุดร้องไห้ออกมาในที่สุด

“ดีใจที่ได้เจอมึงอีกครั้งนะ เดย์”



แต่ฉันกลับไม่มีความสุขเลย

นับตั้งแต่วันที่ไม่มีเธอ










(โปรดติดตามตอนต่อไป)

---------------------------------------------------------------------------------------------------

fact about ทิวา

จะสงสัยในสิ่งที่คลุมเครือ และจะค้นหาจนกว่าจะได้คำตอบ

ในบางครั้งก็จะตั้งคำถามกับตัวเองไปเรื่อยๆ เหมือนไม่มีวันจบ

NAVY

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

โอยยยยยยย  อยากรู้อ่ะ

หายไปยังไง?

และลืมกันไปได้ยังไง?

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
คือยังไงงง หรือว่าเคยเกิดเหตุแบบนี้ขึ้นก่อนที่เดย์จะมาขอกับศาลพระภูมิ

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
เธอไม่มีวันเหมือนเดิมได้ตลอดไป

บางทีฉันจะอาจจะต้องผิดหวัง นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกกับฉัน

แต่นั่นไม่สำคัญเลยสักนิด

 









ตกหลุมรักระยะที่ 11






จากท้องฟ้าสีส้มจนกระทั่งความสว่างจางหายไปจากฟากฟ้า คนที่เขารอก็ยังไม่กลับมา แม้ตอนแรกจะใจเย็นแค่ไหน แต่นานขนาดนี้วินก็ชักจะใจเย็นไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ซึ่งอาการใจร้อนและเป็นห่วงนั้น ไม่มีได้มีแค่ตัวเขาเองที่รู้ตัว แต่คนอื่นรอบตัวก็รับรู้ได้เช่นเดียวกัน เพราะสมาธิของเขาไม่จดจ่อกับการซ้อมเอาเสียเลย จนสุดท้ายไป๋ต้องเป็นคนออกปากยกเลิกการซ้อมก่อนเวลาเกือบสองชั่วโมง เพื่อเปิดโอกาสให้เขาเสียสมาธิอย่างเต็มที่

ตอนนี้คนอื่นๆ ไปมุงอยู่ที่โต๊ะอาหารที่มีแต่พิซซ่า ขนม ของว่างสารพัดชนิด พูดคุยเสียงดังเฮฮาชนิดที่ถ้าเดย์อยู่ในบ้านด้วย เขาก็คงจะเข้าไปคุยกับทุกคนเหมือนกัน แต่ตอนนี้นอกจากภัทรที่เอาอาหารและเครื่องดื่มมาให้ เขาก็ยังไม่ได้ขยับออกจากโซฟาตรงห้องนั่งเล่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ดวงตารั้งแต่จะมองออกไปด้านนอก ส่วนหูก็คอยเงี่ยฟังเสียงฝีเท้าของอีกคนจนเหมือนคนบ้า

ในที่สุดการรอคอยของเขาก็จบลง เมื่อเห็นแสงไฟจากตัวรถที่ไม่คุ้นเอาเสียเลยจอดอยู่ที่หน้าบ้านของพวกเขา ก่อนทิวาจะเดินลงมาจากรถคันนั้น รอยยิ้มที่จางหายไปจากหน้าของเขาแทบตลอดทั้งวัน ถูกแต้มระบายจนเต็มแก้ม ทว่าก็จางลงเมื่อเห็นว่ามีใครอีกคนที่เขาไม่อยากเจอเอาเสียเลยเดินลงมาจากรถเพื่อส่งทิวาด้วย

ใครคนนั้นที่ยิ้มแย้มและทำให้ทิวาหัวเราะออกมา ท่าทางสนิทสนมที่ทำให้เขานึกปวดใจ เพราะแม้ทิวาจะเคยยิ้มให้เขา แต่ไม่มีสักครั้งที่รอยยิ้มจะกว้าง สว่างไสวและไร้ความกังวลเช่นที่ยิ้มให้กับคนคนนั้น

ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เอาเสียเลย ไม่อยากให้ใครคนอื่นมาทำให้เดย์ยิ้มได้นอกจากตัวเขาเองเลย

แต่เขาก็ทำแบบนั้นไม่ได้

“เดย์...” เขาเดินออกไปนอกบ้านแต่ไม่ได้เดินพ้นรั้ว ร้องเรียกทิวาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ดังมากนัก แต่ก็ทำให้ทิวารู้ตัวและยอมเอ่ยลาอีกคนในที่สุด

“...งั้นไว้เจอกันอีกที”

“ได้ แล้วจะโทรมานัด ไม่งั้นก็จะไลน์ไปบอกนะ”

“อือ กลับบ้านดีๆ” คนนั้นยิ้มให้ทิวาก่อนจะหันมาพยักหน้าให้เขาแทนคำเอ่ยลา แล้วขับรถจากไปโดยมีทิวามองตามจนสุดสายตา หันมามองเขาด้วยความสงสัย “ออกมายืนอะไรข้างนอก ไม่กลัวโดนยุงกัดเหรอ”

“เดย์ไม่ได้เอาโทรศัพท์ไป” เขายื่นมันให้ทิวา “เป็นห่วง”

“ขอโทษ แต่ลืมจริงๆ ขอบใจที่เก็บให้นะ”

“...”

“เข้าบ้านกันเถอะ...มีอะไรหรือเปล่า” ไม่ทันจะได้ก้าวออกไปไหน ก็ถูกรั้งแขนจากวินโดยที่อีกคนยังมีสีหน้าแปลกๆ ที่ทำให้ความดีใจที่ได้เจอและพูดคุยกับเพื่อนสนิทจางหายไปเล็กน้อย

“วิน เป็นอะไร”

“ใคร”

“...เพื่อน”

“ไม่ไปเจอได้ไหม”

“วิน”

“ไม่อยากให้เจอ”

ทิวาขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อรู้สึกว่ามือที่จับต้นแขนของเขาเอาไว้บีบแน่นขึ้นจนรู้สึกเจ็บ แต่นั่นทำให้เขาเกิดสงสัยขึ้นมา เพราะวินไม่เป็นแบบนี้บ่อยนัก ราวกับอีกคนเกิดกลัวหรือไม่มั่นคงขึ้นมาในใจ “นั่นเพื่อนเดย์นะ”

“วินไม่ชอบ ไม่ต้องไปเจออีกนะ วินไม่ให้ไปไหนแล้ว”

“วิน! วินก็รู้ว่าเดย์ตามหาพวกเขามาตลอด ทำไมพูดแบบนี้”

แม้จะถูกตะคอกและรู้ว่าคำพูดตัวเองมันทั้งแสนงี่เง่าและไร้เหตุผล แต่เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยแขนที่จับเอาไว้และยังยืนยันคำเดิม “ไม่ไปเจอกันอีกได้ไหม วินขอ”

“งั้นวินเลิกให้ภัทรมาเป็นผู้ช่วยดิ แลกกัน”

“มันเกี่ยวกันตรงไหน ภัทรไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย”

“ปัณก็ไม่เกี่ยวเหมือนกัน”

“แต่ภัทรเป็นเพื่อนวิน เขาได้รับมอบหมายงานมา เขาต้องอยู่”

“แต่ก็เปลี่ยนคนได้นี่ ไม่ได้จำเป็นต้องเป็นเขาเสียหน่อย”

“นี่หึงเหรอ”

“ไม่ได้ใกล้เคียงเลยเหอะ เลิกโยงมั่วได้ไหมวิน นั่นก็เพื่อนเดย์เหมือนกันนะ เพื่อนที่เดย์อยากเจอมาตลอด!”

“...”

“ทำไมไม่มีเหตุผลแบบนี้”

“...”

“เดย์นึกว่าวินจะเข้าใจมากที่สุดเสียอีก”

สายตาผิดหวังจากทิวาทำเอาวินปวดหนึบในใจ แต่เขาก็ยังยืนยันคำเดิมและคงทะเลาะกันแน่ๆ ถ้าไป๋ไม่ออกมายุติการพูดคุยที่วนไปวนมานี่ ดูท่าคนทั้งบ้านจะรู้หมดแล้วว่าพวกเขาไม่ลงรอยกัน เพราะเมื่อยอมเข้ามาในบ้าน ไม่มีใครเลยจะเริ่มพูดคุยเพื่อสลายความไม่พอใจจากพวกเขาทั้งสองคน ทิวาตัดสินเดินขึ้นห้องไป เสียงปิดประตูที่ไม่ได้เบานัก ทำให้วินรู้ว่าเขาท้าทายขีดจำกัดของอีกคนเข้าแล้ว แม้มันจะดูไร้เหตุผลแต่มีแค่เขาที่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้ไม่อยากให้ทั้งสองคนได้เจอกันอีก

แต่มันบอกไม่ได้

เพราะถ้าบอกจะต้องหายไปแน่ๆ เขาไม่อยากให้เป็นแบบนั้น

“มึงไปงี่เง่าอะไรอีก”

“กูไม่ได้งี่เง่า”

“เดย์ไม่ได้เป็นคนใจร้อน ออกจะใจเย็นจนจะเป็นน้ำแข็งอยู่แล้ว ไม่งั้นคงหมดความอดทน ไม่ออกไปตามหาคนรู้จักตั้งแต่ช่วงอาทิตย์แรกๆ แล้ว” จินว่าพลางมองมาที่วิน แต่วินกลับไม่กล้าสบตาราวกับไม่ต้องการให้ใครจับความคิดของเขาได้ “ที่เขาโกรธขนาดนี้ แสดงว่าคนเมื่อกี้ต้องเป็นคนสำคัญไม่ก็คนที่เดย์ตามหาอยู่ ไปห้ามไม่ให้เจอกันอีก มันก็เกินไปนะวิน”

“...”

ไป๋หรี่ตามองอาการปากแข็งของเพื่อนตัวเอง ก่อนพูดจี้ใจดำ “มึงไม่มีเหตุผลจริงๆ ด้วย”

“กูมี!”

“ก็บอกมาสิวะ อมพะนำจะมีใครตรัสรู้กับมึงไหมว่าเหตุผลคืออะไร” แคทว่า

แต่วินกลับเลี่ยงเช่นเคย เบือนหน้าหนีไปอีกทาง จนคนอื่นชัดเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว “...บอกไม่ได้”

“กูเข้าใจเดย์แล้ว แม่ง! มึงก็เป็นซะแบบนี้ เอาแต่ใจ”

“...”

“เดี๋ยวภัทรคุยให้เอง ไปดูเดย์เถอะ” เมื่อเห็นว่าเรื่องมันชักจะไปกันใหญ่ ชนิดที่ไม่ได้มีแค่สองคนที่ทะเลาะ แต่อาจหมายถึงทุกคนในวง ภัทรจึงอาสาไกล่เกลี่ยให้ คนอื่นจึงแยกย้ายเหลือเพียงแค่ภัทรและวินที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม ไม่มีใครเริ่มพูดอะไรก่อน ภัทรเองแม้อยากจะพูดแต่ก็อยากรอให้คนข้างตัวอารมณ์เย็นลงกว่านี้ จึงยอมนั่งข้างๆ อีกคนเงียบๆ จนวินพร้อม

“...ภัทรว่าวินงี่เง่าไหม”

“มาก”

“เออ วินก็ว่างั้น”

ภัทรหลุดหัวเราะเบาๆ “บอกภัทรได้หรือยังว่าทำไมถึงทำแบบนั้น ภัทรรู้ว่าวินต้องมีเหตุผลแน่ๆ แต่ไม่ยอมบอก”

“...”

“สัญญาว่าจะไม่บอกใคร”

“...ไม่ได้หรอก มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรให้ใครรู้”

“...”

“ถ้าบอก...” มือทั้งสองข้างของวินขยับเข้าหากัน จับแน่นเสียจนมือทั้งสองสั่นระริกราวกับหวาดกลัวอะไรสักอย่าง “...เขาจะหายไปแน่ๆ”

“เกี่ยวกับเรื่องที่เดย์เขาไปตามหาคนรู้จักหรือเปล่า”

“อือ”

ภัทรขมวดคิ้ว ได้แต่ปะติดปะต่อเรื่องกันเองในหัว แม้จะหงุดหงิดบ้างที่ไม่อาจง้างเอาความจริงอะไรจากอีกคนได้ แต่อย่างน้อยๆ ก็พอจะเดาได้ “ไม่อยากให้เขาไปเจอคนรู้จักใช่ไหม”

“...”

“ขี้หวงนะเนี่ย”

“ไม่ใช่เสียหน่อย...แต่ก็เออ มีส่วนนิดนึง” ท้ายประโยคเสียงของวินแผ่วจนสัมผัสได้ถึงความจำยอมต่อการคาดเดาของภัทร “วินก็อยากให้เขาได้เจอเพื่อนๆ เขา ครอบครัวเขาเหมือนกัน แต่อีกใจก็ไม่อยากให้เจอเลย”

“ภัทรไม่อยากพูดแบบนี้หรอกนะ แต่นั่นคือครอบครัวคือเพื่อนเขานะ วินจะไปห้ามได้ยังไง”

“วินรู้...”

“วินคิดว่าตัวเองเป็นใคร”

“...”

“มันอาจจะฟังดูใจร้ายนะวิน แต่วินคิดว่าตัวเองสำคัญกว่าเพื่อนสนิทกับครอบครัวเดย์ขนาดนั้นเลยเหรอ”

“...”

“...”

เนิ่นนานที่จบประโยคใจร้ายนั่น นานจนภัทรรู้สึกผิดที่พูดตรงๆ เช่นนั้นออกไป แต่ถ้าเธอไม่พูด คนอื่นก็ต้องพูดอยู่ดี ทั้งอาจจะพูดรุนแรงกว่านี้จนเกิดรอยร้าวระหว่างเพื่อนแน่ๆ ดังนั้นเธอจึงต้องพูด แม้ว่าจะไม่ได้สนิทสนมกับวินเท่าคนอื่นในวง แต่เธอเป็นคนเดียวที่พอมั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าสามารถพูดตรงๆ กับวินได้

เพราะที่ผ่านมา เธอทำเช่นนั้นมาตลอด

“นั่นดิ วินเอาอะไรไปมั่นใจวะว่าเขาจะยอม”

“...”

“หน้าด้านเนอะ นึกว่าตัวเองสำคัญจนเขาต้องตามใจ ทั้งๆ ที่นั่นคือคนสำคัญที่สุดของเขา”

“...”

“วินเป็นอะไรของเขาวะ” วินหัวเราะ แต่มันกลับคล้ายเยาะหยันตัวเองมากกว่า “งี่เง่าชิบหาย”

“...”

“ภัทรคิดว่าไงกับคำพูดที่ว่าการมีตัวตนของบางสิ่ง ทำให้อีกสิ่งหนึ่งที่คล้ายกันต้องหายไป”

“หือ ทฤษฏีอะไร ไม่เห็นเคยได้ยิน”

“...แค่ถามเฉยๆ”

แม้จะสงสัย แต่พอโยงกับเรื่องที่เพื่อนพูดเป็นนัยๆ ภัทรก็พอจะเดาได้ “กลัวเดย์หายไปเหรอ”

“...”

“เดย์เขาไม่หายไปไหนหรอก แค่ไปหาเพื่อนเอง อย่ากลัวสิ” ภัทรว่าแล้วลูบศีรษะเพื่อนคนนี้ที่คล้ายจะอ่อนไหวกว่าวินคนเดิมที่เธอเคยรู้จักจนไม่ค่อยชิน ทว่าก็ยังอยากเป็นกำลังใจให้เหมือนเช่นที่ผ่านในอดีต

ที่ครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นคนที่เขาไว้ใจที่สุดและเธอเองก็ไว้ใจเขามากที่สุดเช่นเดียวกัน

วินไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ค่อยๆ เอนศีรษะกระทั่งซบลงที่ไหล่ของภัทร พวกเขานั่งอยู่กันแบบนั้นเงียบๆ โดยที่ไม่รู้ว่ามีใครอีกคนได้ยินทั้งหมดที่พวกเขาคุยกัน รวมไปถึงภาพความสนิทสนมนั่นเต็มสองตา

 







------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------









“เดย์”

“...ว่า”

จินยอมรับว่าไม่รู้จะพูดอะไรกับทิวาดี เมื่อเห็นว่าทิวากำลังนั่งแอบมองและฟังภัทรกับวินอยู่ที่บันไดแบบนี้ แล้วไม่ใช่เพิ่งมาฟัง ทว่าได้ยินและเห็นแทบจะทั้งหมดระหว่างที่สองคนนั้นคุยกันเลยด้วยซ้ำ

ตอนที่เขาตามขึ้นมาเพราะเห็นทิวาหนีเข้าห้องไป ก่อนจะเคาะประตูก็เห็นว่าอีกคนเปิดมันออกมา เหมือนอยากลงไปเคลียร์กับวินให้รู้เรื่อง ทว่าพอเห็นว่าภัทรกับวินอยู่ด้วยกันสองคน ทิวารวมไปถึงตัวเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งตรงบันไดแบบนั้น กระทั่งบทสนทนาจบลง ทิวาก็ยังนั่งที่เดิม โดยที่จินไม่อาจอ่านอะไรจากใบหน้านิ่งสงบนั่นได้เลย

“มัน...ไม่มีอะไรหรอก”

“อื้ม”

“...”

“ไม่ต้องห่วงเรื่องเราก็ได้ เราไม่เป็นไร”

“...” ไม่ให้ห่วงจริงหรือ จินอยากจะถามแบบนั้นอยู่เหมือนกัน แต่เหมือนทิวาไม่อยากคุยกับใครแล้ว เพราะทันทีที่อีกคนพูดจบก็ลุกขึ้นก่อนเดินเข้าไปในห้องตัวเอง ปิดประตูแผ่วเบาชนิดที่สองคนข้างล่างไม่มีทางได้ยิน เสียงล๊อคเบาๆ จากหลังประตูบานสีขาว คล้ายไม่ได้ล๊อคแค่ประตูบานนี้ แต่รวมไปถึงบานในใจของอีกคนด้วย

ไหนว่าไม่ต้องห่วงไง แบบนี้จะไม่ให้เขาเป็นห่วงได้ไง

วินยังมีภัทร ที่ถึงแม้จะไม่พูดอะไร แต่ทั้งคู่ก็ดูรู้ใจกัน เพราะแบบนั้นจากบทสนทนาที่แอบฟัง เลยพอทำให้จินรู้ว่าวินสบายใจที่มีคนรับฟังและยอมใจเย็นลง แม้จะยังไม่ยอมบอกเหตุผลกับภัทรหรือคนอื่นๆ ก็ตาม

แต่ทิวาไม่มีและไม่ยอมเปิดใจรับใครเลย เหมือนพอไม่ใช่เพื่อนสนิทของทิวาที่ไปออกตามหา ก็ไม่ยอมให้ใครอ่านใจได้เลยสักคนเดียว และเขาเชื่อว่า แม้แต่วินที่ได้เข้าใกล้หัวใจของทิวามากกว่าพวกเขา ก็ยังไม่ได้รับความไว้วางใจนั้น

ซึ่งเรื่องนี้ เขาก็ไม่รู้จะช่วยทั้งสองคนยังไงดีเหมือนกัน แต่คิดว่าถ้าวินยอมบอกเหตุผล เขาเชื่อว่าทิวาจะยอมรับฟังอย่างแน่นอน

คงได้แต่ปล่อยให้ทั้งคู่คุยและจัดการกันเองจริงๆ นั่นแหละนะ

 







------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------












ยามที่ท้องฟ้ามืดสนิท ดวงดาราและพระจันทร์เจิดจ้า สมควรเป้นช่วงเวลาที่ใครหลายคนหลับใหลและหลงอยู่ในความฝัน กลับมีอีกหลายคนที่ไม่อาจข่มตาลง หนึ่งในนั้นอาจหมายรวมถึงตัวเขาลงไปด้วย

ทิวาถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ก่อนลุกขึ้นนั่งบนที่นอนมองความืดรอบตัว ฟังเสียงแอร์ที่เคยชินทุกคืนแต่คืนนี้กลับก่อกวนจนหลับไม่ไหว อันที่จริงที่หลับไม่ลงตัวเขาก็รู้ดีนั่นแหละว่าเพราะอะไรหรือเพราะใคร เพียงแต่พาลเกินกว่าจะยอมรับว่า นอกจากเรื่องที่วินไม่ยอมให้เขาออกไปเจอปัณแล้ว ภาพความสนิทสนมและเข้าใจนั่นของภัทรและวินทำให้เขาว้าวุ่นในใจ

เขารู้ดีว่า หากเทียบกันก็คงไม่ต่างจากความสัมพันธ์ของเขาและกลุ่มพวกปัณเสียเท่าไหร่ ในความเป็นเพื่อน ความเข้าใจต่างๆ แต่ก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดี

ไม่ชอบที่พวกเขาเป็นแบบนี้เลย ทั้งนึกสงสัยอยู่ในใจว่าเหตุใดวินถึงไม่อยากให้เขาไปเจอปัณ

เขาเชื่อตั้งแต่ตอนที่เห็นแววตาไม่มั่นคงจากอีกคนและมั่นใจมากว่ามันไม่ใช่เหตุหึงหวงนั่น วินเป็นคนมีเหตุผลมากพอ แม้จะไม่ชอบ แต่อีกคนไม่มีทางออกปากห้าม ถึงสิ่งนั้นจะไม่ตรงใจตัวเองแค่ไหน วินมักจะเป็นห่วงจิตใจเขาเสมอ

แต่วันนี้กลับตรงกันข้ามเสียอย่างนั้น จนเขาที่นึกว่าเข้าใจวินมากในระดับหนึ่งแล้ว ชักเริ่มรู้สึกว่า สิ่งที่เขาเข้าใจ ใช่เป็นเพียงสิ่งที่วินอยากให้เขารับรู้หรือเปล่า

บางที...เขาอาจจะไม่เฉียดเข้าไปใกล้ใจอีกคนเลยด้วยซ้ำ

ตอนแรกเขานึกอยากจะโทรไปหาปัณและทำเช่นที่เคยทำมา ปรับทุกข์เหมือนแต่ก่อน ทว่าด้วยระยะห่างของช่วงเวลาและความสนิทสนมที่กลับมาเพียงบางส่วน มันเลยทำให้ทิวายังรู้สึกว่า ระหว่างเขาและปัณยังมีเส้นคั่นบางอยู่ ซึ่งเขาในตอนนี้นั้นไม่สามารถจะก้าวข้ามเส้นกันที่ว่าไปได้จริงๆ จึงได้แต่มองเบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนที่แลกกันก่อนแยกย้ายกลับบ้านอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้กดโทรออกไปอย่างที่อยากทำ

เมื่อยอมรับว่าในคืนนี้ยากจะนอนหลับลงได้แล้ว ทิวาเลยได้แต่ลุกจากที่นอน ตั้งใจจะลงไปหาอะไรอุ่นๆ ลงท้องเสียหน่อย นั่งเอ้อระเหยอีกสักพักแล้วค่อยขึ้นมาลองข่มตานอนดู บางทีเขาอาจจะหลับลง

ทว่าในใจเขารู้ดีและไม่อาจไม่ยอมรับ

ว่าเหตุผลนอกเหนือจากการลงไปหาอะไรกินนั้น ยังมีอีกเหตุผลแอบแฝง

เขาหวัง...ว่าจะพบใครคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้องซ้อมเช่นที่เคยเห็นมาตลอด

แม้จะจบวันไปได้ไม่ดีนัก แต่ทิวาไม่ได้มีทิฐิสูงเสียจนอยากให้พวกเขาทะเลาะกันยาวนานหรือหาคนที่ถูกผิดชัดเจน

เขาเกลียดความรู้สึกที่ทะเลาะกันเช่นนี้และมันไม่ได้มีความจำเป็นใดๆ เลยที่เขาต้องชนะอีกคนให้ได้ เพราะเขารู้ดีว่าหากพูดกันดีๆ ในตอนที่อารมณ์พวกเขาทั้งคู่เย็นลง ยังไงวินก็ต้องยอมรับฟังบ้าง ดังนั้นจึงหวังสุดหัวใจว่าจะพบ

แต่เหมือนวันนี้เขาจะได้พบพานแต่ความผิดหวัง เมื่อในห้องซ้อมที่แอบย่างก้าวไปอย่างเงียบงัน ไร้เงาคนคุ้นเคยที่เฝ้ารอ

สุดท้ายเป็นตัวทิวาเองนั่นแหละที่นั่งตรงที่ประจำของวินแล้วเหม่อลอย ไม่ได้สนใจจะไปหาอะไรกินอย่างที่ตั้งใจไว้ตอนแรกเลยแม้แต่น้อย

ระหว่างนั้นที่สายตาของเขาสอดส่ายไร้จุดโฟกัส ก็พลันสะดุดที่กระดาษแผ่นเดิมของวินที่มีตัวโน้ตและข้อความยึกยือนั่น ทิวาไม่ได้เก่งดนตรีเช่นคนอื่นๆ แต่ความสามารถในการอ่านตัวโน้ตหรือเล่นคีย์บอร์ดง่ายๆ ก็พอมีบ้าง เนื่องด้วยอยู่ใกล้ตัววินและอีกคนก็เห็นเขาสนใจไม่น้อย จึงสอนเรื่องพื้นฐานเอาไว้เผื่อเขาเบื่อๆ ก็มาเล่นได้ เพราะงั้นเขาจึงบังคับนิ้วมือของตัวเองค่อยๆ กดลงไปบนคีย์บอร์ดสีขาวดำทีละตัวโน้ต ให้มันกลบความเงียบเหงาในห้องซ้อมที่มีเพียงเขาไปให้หมด

เมื่อจดจ่อ เขาก็ลืมไปว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่ ไม่ได้สังเกตแม้แต่เสียงฝีเท้าที่แม้ไม่ได้ลงหนักเหมือนปกติ แต่ในความเงียบนั้นก็ง่ายต่อการรู้สึกถึงอีกคน กว่าจะรู้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียวก็ตอนที่ใครคนนั้นอยู่อยู่ข้างหลังแล้ว

“...”

“นอนไม่หลับเหรอ”

“...อืม”

ทิวาลังเลอยู่นานกว่าจะขานรับกลับไป ทั้งที่คิดเอาไว้มากมายหลายประโยคว่าหากเจอหน้ากันเขาจะพูดยังไงกับอีกคน แต่พอเจอวินเข้าจริงๆ กลับไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ได้แต่มองอีกคนทิ้งตัวลงนั่งในที่ประจำของเขาเงียบๆ เท่านั้น

วินเองก็ไม่ได้มีสีหน้าที่ดีไปกว่าเขาเสียเท่าไหร่ บนใบหน้าหล่อเหลามีแววเหนื่อยล้าจางๆ คล้ายอีกคนคิดอะไรไม่ตกจนหลับไม่ลง ทั้งยังอาจจะหนักหนาเสียยิ่งกว่าเขา จนอดห่วงไม่ได้ ยามที่ยกมือขึ้นวาดผ่านดวงตาที่ปรากฏเส้นเลือดฝอยรางๆ จึงอ่อนโยนขึ้นไม่น้อย

“หายโกรธแล้วเหรอ”

โกรธเหรอ ทิวาคิด แล้วส่ายหน้า “ไม่ได้โกรธเลย”

“แต่วันนี้เดย์ดูโกรธมาก”

“ไม่หรอก...แค่เสียใจ”

“...”

“นึกว่าวินจะเข้าใจเราที่สุดไง”

“...เข้าใจ”

“...”

วินจับมือของเขาแล้วกดริมฝีปากเบาๆ ก่อนวางบนตักตัวเอง แล้วพูดต่อ “วินแค่กลัว”

“...”

“...”

“ไม่มีใครเอาเดย์ไปได้ ถ้าเดย์ไม่ยอม”

“...”

แล้วถ้าอีกคนอยากไปล่ะ? เขาควรจะทำยังไงต่อไป

เมื่อเห็นอีกคนยังเหม่อและมีสีหน้าที่ไม่มั่นคงเช่นเดิม ทิวาก็อดเป็นห่วงไม่ได้ จากที่แอบฟังวินคุยกับภัทร คล้ายว่าการไปพบกับคนคุ้นเคยของเขา จะทำให้วินรู้สึกกลัว...แต่กลัวอะไรล่ะ? หรือมันอะไรที่เขายังไม่รู้อีก

เขาอยากจะถาม แต่เหมือนจะรู้ได้ด้วยตัวเองทันทีว่า วินไม่มีวันตอบ

“ต่อให้เราถามว่าทำไม วินก็จะไม่ตอบใช่ไหม”

“...อือ”

“...”

“อยากจะ...เจอทุกคนมากๆ เลยใช่ไหม”

“...อืม อยากเจอมากๆ”

“...”

ทิวาหลุบตาลงมองมือของพวกเขาที่จับกันและพลันเพิ่มแรงบีบกระชับ คล้ายจะให้อีกคนสบายใจ “แต่ก็ไม่น้อยไปกว่าที่อยากอยู่กับวินนะ”

“...”

“วิน”

“ครับ”

“ถ้าสมมติเราบอกว่า เรามาจากอดีต...วินจะว่าเราบ้าไหม”

“...”

มาถึงตรงนี้ จะไม่ให้เขาประหม่าก็คงจะเป็นไปไม่ได้ อันที่จริงทิวาไม่ได้คิดอยากจะบอกเรื่องราวของเขาให้อีกคนรู้เร็วนัก แต่เมื่อคิดว่าอีกไม่นานทัวร์คอนเสิร์ตของยูอาร์จะเริ่มขึ้นและวินกับคนอื่นๆ คงจะไม่มีเวลามานั่งคุยกับเขาเช่นนี้อีก เขาก็นึกอยากจะพูดคุยให้รู้เรื่องเสียก่อน

หรือไม่...มันก็อาจจะเป็นสัญชาตญาณบางอย่างก็เป็นได้

“อืม”

“...ไม่ตกใจหน่อยเหรอ”

“ก็แปลกใจนิดหน่อย แต่ไม่ได้ตกใจขนาดนั้น”

“...”

วินยกมือข้างที่ว่างลูบหัวเขาแล้วยิ้ม “เอาไว้เดย์ตัวสีฟ้า กลมๆ เหมือนโดราเอม่อนก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที”

แทนที่พอได้ยินเรื่องเหลือเชื่อแบบนี้แล้ววินจะมีปฏิกิริยาอะไรกลับมา อีกคนกลับนิ่งเฉยจนเป็นตัวทิวาเองที่แปลกใจ เพราะหากเปลี่ยนเป็นตัวเขาที่ได้ยินเรื่องเช่นนี้ คงมีไล่ให้คนที่พูดไปเช็คสมองสักรอบว่ายังปกติไหม แต่พอเป็นแบบนี้เขาก็ยังยืนยันว่าอยากจะส่งให้อีกคนไปเช็คสมองเช่นเดิม แต่ไปเช็คว่าผิดปกติตรงไหนหรือเปล่า ถึงได้รับฟังเรื่องที่มันไม่น่าเชื่อ (แต่ดันเกิดขึ้นจริง) ได้โดยที่หัวคิ้วยังไม่ขมวดเข้าแม้แต่น้อยแบบนี้

“คือควรจะตกใจหน่อยไหมอะ เฉยไปป่ะ”

คราวนี้เป็นวินที่หลุดหัวเราะบ้างแล้ว เมื่อเห็นสีหน้าไม่เข้าใจจากเดย์ “แล้ววินควรต้องมีปฏิกิริยายังไง”

“ตกใจ อ้าปากค้าง ไม่ก็บอกว่าเดย์บ้าไปแล้ว ไรเงี้ย” ไม่ว่าเปล่าแต่อีกคนกลับทำให้ดูเป็นตัวอย่างด้วย แล้วพูดต่อ “ไม่ใช่ว่ามา อ่อ แปลกใจนิดหน่อย มันไม่ใช่เลยอะ”

“ฮ่าๆๆ”

“หัวเราะอะไรอีก ตลกมากเหรอ”

“เปล่า ไม่ได้ตลกเลย”

“แล้วหัวเราะทำไม”

วินปล่อยมือที่จับกันอยู่แล้วเลื่อนมาโอบกอดเขาจนใบหน้าวางอยู่บนลาดไหล่กว้างของอีกคนพอดิบพอดี ซึ่งแน่นอนว่าทิวาไม่ได้ผลักไส กลับเป็นฝ่ายซุกใบหน้าลงเองเสียด้วยซ้ำ ก่อนสูดดมกลิ่นประจำตัวของวินที่ทำให้เขาสบายใจเข้าเต็มปอด

“แค่รู้สึกสบายใจขึ้นมา”

“ยังไง”

“...ดีจังที่เราไม่ได้ทะเลาะกันอีก”

“...”

“ไม่ชอบเลย”

“...ไม่ชอบเหมือนกัน”

พวกเขากอดกันแบบนั้นนานมาก แต่สุดท้ายวินก็ยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระและเริ่มพูดต่อถึงเรื่องเหนือธรรมชาติที่เขาได้เกริ่นเริ่มเรื่องเอาไว้

“สรุปวินเชื่อจริงๆ เหรอ ไม่คิดจะสงสัยอะไรเดย์บ้างเลยหรือไงว่า พูดจริงหรือเปล่า”

“วินเชื่อเดย์...เชื่อหมดทุกอย่างนั่นแหละ”

“...”

“ไม่ว่าจะเป็นยังไงหรือมายังไง สุดท้ายแล้วเดย์ก็อยู่ตรงนี้กับวินเหมือนเดิมนี่”

“อันนั้นมันก็ใช่ แต่มันคือเหตุผลหลักที่เดย์ตามหาทุกคนเลยนะ”

“...”

“วินรู้ใช่ไหม ว่าเพราะเหตุผลนี้...ที่นี่เลยไม่ใช่ที่ของเดย์จริงๆ”

“...”

“ถึงจะไม่รู้ก็เถอะว่าเดย์ ‘ในตอนนี้’ ไปอยู่ไหนก็เถอะ”

“...”

“เพราะแบบนั้น...”

“เพราะแบบนั้นเลยจะไม่อยู่กับวินเหรอ” เขาไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อจนจบ คนที่นั่งข้างๆ เขาก็เอ่ยขัดขึ้นมา พร้อมกับจ้องเข้ามาในดวงตาของเขา ในดวงตาของวินสะท้อนเงาของเขาชัดเจนกว่าวันไหนๆ และคล้ายจะมีเงาวูบไหวบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่กลับรู้สึกในอกบีบรัดจนหายใจไม่ออก

มันมีแต่ความเศร้าและเจ็บปวดอยู่ในนั้น ราวกับเป็นหลุมไร้ก้น ลึกสุดจนยากจะหยั่ง

ราวกับว่า...อีกคนทุกข์ทนกับความรู้สึกเช่นนั้นมายาวนานเหลือเกิน

“โลกที่ไม่มีเดย์มันทรมานเหมือนจะตายเลย"

“...”

"อย่าหายไปอีกได้ไหม"

“วินพูดเรื่องอะไร...” คราวนี้ไม่เพียงแต่พูดขัด แต่เขาถูกดึงกลับไปยังอ้อมกอดที่รัดแน่นของวินอีกครั้งโดยไม่ทันตั้งตัว ไม่เห็นอะไรนอกจากผนังห้องด้านหลังและไหล่ที่สั่นระริกของวิน ดังนั้นเขาจึงไม่เห็น...

แววตาที่แสดงความเจ็บปวดอย่างชัดเจนนั่นกำลังเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา

"ได้โปรด อย่าพูด...ว่าจะไปได้ไหม"

“...”

“อยู่กับวินนะ อยู่ที่นี่”

“...”

"วินทนอยู่บนโลกที่ไม่มีเดย์ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว"







เพราะสำหรับฉันแล้ว การที่ใครคนที่ฉันรักยังอยู่บนโลกใบนี้

นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดและมากเกินกว่าที่ฉันคาดหวังเอาไว้เสียอีก

ซึ่งคนคนนั้น คือเธอ



(โปรดติดตามตอนต่อไป)


---------------------------------------------------------------------------------------------------------

 fact about ทิวา

ไม่เคยโกรธคนที่รักลงเลยสักครั้งเดียว

NAVY

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เดย์คนปัจจุบันหายไปไหนน้อตั้งหกปี

ส่วนเดย์ในอดีตข้ามเวลามาหกปี

สรุปว่ามันจักรวาลเดียวกันป่าวหว่า?

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน

ทุกอย่างผ่านเข้ามาในชีวิตของฉันรวดเร็วเสียจนไม่มีเวลาได้แตกสลายเพราะความเศร้า













ตกหลุมรักระยะที่ 12



 
คืนนั้นผ่านพ้นไปโดยที่วินไม่ได้พูดอะไรอีก แน่นอนว่าตัวทิวาเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปเช่นเดียวกัน จบลงที่ต่างคนต่างแยกย้าย หลังจากที่กอดกันยาวนานจนทิวาแทบเผลอหลับคาไหล่อีกคนเลยทีเดียว

ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่ในตอนที่วินมายืนส่งที่หน้าห้อง สีหน้าไม่สบายใจของวินก็ทำให้ทิวาอดเป็นห่วงไม่ได้

หลายครั้งที่วินพูดเรื่องที่เขาไม่เข้าใจเอาเสียเลย ทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมบอกแต่อย่างใด ไหนจะเรื่องที่ตัวตนของเขาบนโลกนี้จู่ๆ ก็หายไปนี่อีก หลายอย่างที่เขาอยากรู้ แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็คล้ายกับถูกปิดบังไม่ให้พบคำตอบเสมอ ถึงในตอนนี้จะมีคนจำเขาได้แล้วก็ตาม

ราวกับว่าสิ่งที่ปิดกั้นค่อยๆ มีแรอยแตกร้าว จนทำให้ความจริงค่อยๆ หลุดลอดออกมา

ไม่รู้ว่าระหว่างรอยแตกนั้นขยายกว้างหรือตัวเขาพบคำตอบก่อน อะไรจะเกิดก่อนกัน

วันนี้ไม่มีใครอยู่ที่บ้าน ทุกคนไปยังบริษัทตั้งแต่เช้าเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับคอนเสิร์ตที่กำลังจะจัดขึ้นในสัปดาห์หน้า รวมไปถึงการจัดคิวซ้อมในสถานที่จริง แน่นอนว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้วตั้งแต่ที่ภัทรมารับหน้าที่เป็นผู้ช่วย ดังนั้นวันนี้จึงมีเพียงเขาคนเดียวที่นั่งกินข้าวเช้าในตอนแปดโมง ก่อนจะออกไปพบกับปัณอีกครั้งในช่วงสายของวัน

วันนี้พวกเขาไม่ได้นัดเจอกันในมหาลัยเหมือนเมื่อวาน แต่เลือกที่จะไปพบกันที่ร้านอาหารด้านนอก โดยปัณย้ำว่าวันนี้จะพาคนคนหนึ่งไปหา ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าคงเป็นเดือนอ้ายและโรมแน่ๆ

หลังจากเดินทางมาถึงและใช้เวลาเดินเล่นฆ่าเวลาและพยายามจะไม่ให้ตัวเองตื่นเต้นมากจนเกินไป ทิวาก็มาถึงร้านที่นัดไว้ในที่สุด เมื่อมองไปรอบๆ ร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังจนกระทั่งไปบรรจบสายตาเข้ากับปัณที่นั่งมุมสุดของร้าน ทิวายิ้มและรีบเดินตรงไปหา ทุกย่างก้าวที่ระยะห่างของเขากับโต๊ะที่ปัณและใครอีกคนนั่งอยู่ทำให้ทิวาประหม่าจนมือเย็นชื้น กระนั้นฝีเท้ากลับไวขึ้น ไวขึ้น จนไปหยุดอยู่ข้างโต๊ะ

“มาแล้ว คนที่อยากให้มึงเจอ”

“...”

“นี่เดย์...มึงจำได้ไหม อ้าย”

เดือนอ้ายเงยหน้าขึ้นจากเมนูอาหารขึ้นมาสบตากับเขาที่กำลังมองอีกคนอยู่ เดือนอ้ายเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนเลยนับตั้งแต่เมื่อหกปีก่อน ส่วนสูงก็ยังเหมือนจะเท่าเดิม ดวงตา จมูก แม้กระทั่งนิสัยติดตัวที่ชอบเม้มปากเวลาถูกคนจ้องนานๆ นั่นก็ด้วย คิ้วของอีกคนขมวดเข้าหากันแน่น คล้ายกับสงสัยและงุนงงในที จนใจทิวาหล่นไปกองอยู่กับพื้น

บางทีเดือนอ้ายอาจจะยังจำไม่ได้ก็เป็นได้

ในตอนที่เขากำลังจะเอ่ยปากบอกว่าไม่เป็นไร อีกคนก็พูดขึ้นมาเสียก่อน

“เดย์”

“...”

“เดย์จริงๆ เหรอ”

ทิวาเม้มปากแน่น ขอบตาร้อนเสียจนนึกว่าน้ำตาจะไหล แต่มันกลับแห้งผาก เขาพยักหน้าแรงเสียจนปัณหลุดหัวเราะ เพราะนอกจากท่าทางตลกๆ ของเขาแล้ว สีหน้าของเดือนอ้ายที่อ้าปากค้างและน้ำตาไหลก็น่าขันไม่แพ้กัน

ปากของเดือนอ้ายอ้าหุบอยู่หลายครั้ง เหมือนมีอะไรอยากพูด แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร สุดท้ายจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วโผเข้ากอดเขา โดยไม่สนใจสายตาคนภายนอกที่มองมา เสียงสะอื้นเล็กๆ กับคำตัดพ้อข้างหูทำให้ทิวายิ่งกระชับอ้อมกอดแน่น

“มึง...กลับมา”

“วันนั้นตอนที่โทรไปแล้วมึงจำกูไม่ได้ กูเสียใจมากเลยนะเว้ย”

“โทรมาตอนไหน ทำไม...”

“นานแล้ว น่าจะเกือบเดือนมั้ง”

เดือนอ้ายผละออกจากตัวของทิวา คิ้วกลับมาขมวดแน่นอีกรอบ ก่อนจะคลายออก “เดี๋ยวนะ...”

“จำได้แล้วเหรอ”

“ตอนนั้น... กูไม่รู้เหมือนกัน แต่จำไม่ได้จริงๆ”

“...”

“ขอโทษ”

“ช่างมัน มึงจำได้แล้วนี่”

“เอาล่ะๆ นั่งลงก่อนจะได้สั่งอะไรมากิน กินข้าวมายังวะเดย์ ถ้ายังก็มากินพร้อมกันเลย” ด้วยกลัวว่าบทสนทนาจะยาวไปมากกว่านี้ ปัณจึงออกหน้าตัดบทแล้วเรียกให้เขานั่งลงในที่นั่งถัดไปที่ว่างอยู่ ก่อนเริ่มสั่งอาหารอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าเขาจะปฏิเสธว่ากินมาแล้วก็ตาม

“นานๆ ทีเจอ...แถมยังเป็นการเจอที่กูคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ขนาดนี้ ขอเลี้ยงหน่อย กินแค่ไม่กี่คำก็ยังดี”

ทิวาหลุดหัวเราะ “โอเว่อร์มาก มันจะอะไรขนาดนั้น กูไม่ได้หายไปไหนเสียหน่อย”

เดือนอ้ายกับปัณสบตากันชั่วครู่ในตอนที่ทิวาไม่สังเกตเห็น ก่อนปัณจะตอบกลับ “นั่นสิ ก็กลับมาแล้วนี่เนอะ”

“ว่าแต่ไม่รออีกคนเหรอ”

“มึงหมายถึงใคร” ปัณว่า

กลายเป็นทิวาที่งงแทน หลังจากพนักงานรับเมนูกลับไป เขาจึงถาม “อ้าว ที่นัดมาวันนี้ไม่ใช่จะนัดรวมตัวกลุ่มเราทุกคนเหรอ”

“ก็ครบแล้วไง”

“ครบยังไงวะ”

“ก็เนี่ย มีกู มีมึงแล้วก็มีอ้าย ไม่ครบยังไงวะ”

“แล้วโรมอะ ไม่นัดมันมาด้วยเดี๋ยวมันก็น้อยใจหรอก”

“โรม?” เดือนอ้ายทวนชื่องงๆ “ใครวะ”

“...”

“มึงเพ้อแล้วไอ้เดย์ ตั้งแต่สมัยเรียนก็มีกันแค่สามคน มึงงงอะไรเนี่ย”

“มึงนั่นแหละที่งง มีสี่คนเว้ย! อะไร โกรธแล้วทะเลาะกันเหรอ มันหนักหนาถึงขนาดตัดเพื่อนเลยหรือไง”

“เดย์ พวกกูไม่รู้ว่าคนที่มึงพูดถึงคือใครจริงๆ นะเว้ย” ปัณพูด โดยมีเดือนอ้ายพยักหน้ารับอยู่ข้างๆ เขา

“นั่นสิ ที่ผ่านมาก็อยู่กันแค่นี้ มึงเอาคนที่สี่มาจากไหนวะ”

สีหน้าจริงจังและท่าทางยืนยันเต็มที่จากเดือนอ้ายที่คอยสนับสนุนคำพูดของปัณทำให้ทิวาหมดคำพูด มันขัดแย้งกับความทรงจำและเรื่องที่ผ่านมาของเขาชัดๆ ทำไมทั้งสองคนถึงทำราวกับว่าไม่เคยรู้จักโรมมาก่อน ทั้งที่ความจริงแล้วคนที่ทำให้พวกเขาสนิทและรู้จักกันตั้งแต่ปีหนึ่งคือโรมชัดๆ

นี่มันเรื่องบ้าอะไร หกปีที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 








-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------








“...เรื่องที่จะคุยก็มีแค่นี้ ยังไงก็ไปตัดสินใจกันเอานะ แล้วอีกพรุ่งนี้บ่ายๆ เข้ามาหาอีกที”

การประชุมอย่างไม่เป็นทางการเกี่ยวกับเรื่องทัวร์และรายละเอียดจิปาถะอื่นๆ ก็จบลงไปง่ายๆ เช่นนี้ อันที่จริงมันแทบไม่เรียกว่าการประชุมเสียด้วยซ้ำ แทบจะเหมือนการเข้ามาคุยถึงเรื่องความก้าวหน้าของเพลง การซ้อมหรือเรื่องสถานที่เท่านั้น อาจเพราะประธานของบริษัทค่อนข้างใช้ชีวิตคล้ายตัวเองเป็นแค่ลูกจ้าง วางตัวเหมือนลูกพี่มากกว่าหัวหน้างานที่เคร่งขรึม บรรยากาศของการพูดคุยจึงมีเสียงหัวเราะคั่นในบางช่วงเสมอ

“หลังจากนี้เอาไง จะแวะเข้าไปดูสถานที่หรือกลับบ้าน”

ไป๋ว่า ก่อนจะหันไปหาวินที่ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเสียเท่าไหร่ แม้เจ้าตัวจะยืนยันว่าได้พูดคุยกับเดย์เรียบร้อยทุกเรื่อง ไม่มีเรื่องเข้าใจผิดหรือหมางใจกันแต่อย่างใด แต่สภาพของเพื่อนในวันนี้ ทำให้เขาไม่อาจเชื่อได้เต็มร้อย

วินเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวว่าไป๋กำลังพูดด้วย การตอบรับจึงช้าไปครึ่งจังหวะ “อืม แวะไปดูสถานที่ก่อนก็ได้ค่อยกลับ”

“กลัวกลับไปเจอเดย์หรือไง”

“...เปล่า”

“หน้ามึงไม่ได้หมายความว่างั้นเลยสักนิด” ไป๋ยกมือผลักหัววินที่ไม่คิดจะตอบโต้เช่นปกติ ก่อนจะเดินนำแคทและคนอื่นๆ ไปยังรถที่ทางบริษัทจัดเตรียมไว้ให้ ด้านนอกมีเสียงพูดคุยและร้องตะโกนของแฟนคลับอย่างต่อเนื่อง โชคดีที่พวกเขาเป็นระเบียบเรียบร้อย ดังนั้นที่ผ่านมา แม้จะมาดักรอที่หน้าบริษัท แต่ก็ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนใดๆ

ภัทรยืนอยู่ข้างๆ มองสีหน้าของวินด้วยความไม่สบายใจ แต่รู้ว่าเธอไม่อาจทำอะไรได้ นอกจากคอยอยู่ข้างๆ แบบนี้ จึงยื่นมือไปตบหลังอีกคนเบาๆ “ยิ้มหน่อย”

“...”

“แฟนคลับรอเจอแกอยู่นะ”

สิ้นคำนั้น รอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนก็ปรากฏบนมุมปากของวิน พร้อมกับที่เจ้าตัวเดินออกไปยังด้านนอก ยกมือ หยอกล้อกับแฟนคลับอย่างอารมณ์ดี ทิ้งไว้แต่ภัทรที่มองตามด้วยความเป็นห่วง

อันที่จริง เธอก็พอรู้ว่าเดย์ไม่ได้ติดใจอะไรกับความสนิทสนมของเธอและวิน อีกคนเหมือนจะใจกว้างเกินไปเสียด้วยซ้ำที่มองคนที่เคยมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับคนที่กำลังชอบกลับมาเจอกันเช่นนี้ จนเธออดคิดไม่ได้ว่าหากเป็นเธอจะยังใจเย็นเช่นนี้ไหม

ถ้าไม่ไว้ใจมากๆ ก็คงยังมีความรู้สึกไม่มากพอ

หรือไม่...ก็เพราะว่าไม่คาดหวังอะไรเลย

และเธอรู้เสียด้วยว่า สิ่งที่กวนใจวินในตอนนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับเธอที่กลับมาโดยสิ้นเชิง คล้ายจะเกี่ยวพันกับเรื่องในอดีตเสียมากกว่า เพราะแบบนั้น ในช่วงหนึ่งถึงสองวันมานี้ที่เพิ่งคลายความอึดอัดระหว่างเดย์และวินได้ เธอมักจะหวนนึกถึงคำพูดของวินในอดีตอยู่บ่อยๆ

ไม่ว่าท่าทางหรือการแสดงออก แม้กระทั่งของส่วนตัวที่เธอเชื่อว่าทุกวันนี้มันก็ยังอยู่ที่เดิม

คล้ายกับว่า สำหรับวินแล้วคนคนนั้นไม่เคยจากไปไหน ยังคงอยู่กับวินเสมอ

นั่นคงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่อาจทำให้ความสัมพันธ์ครั้งใหม่ของวินไม่อาจก้าวข้ามไปได้ล่ะมั้ง

ดังนั้นภัทรจึงตัดสินใจ

บางที...เธออาจจะต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง หวังว่ามันจะทำให้เพื่อนของเธอดีขึ้นไม่มากก็น้อย

 








-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------












หลังจากใช้เวลาอยู่กับเพื่อนๆ ถึงสองชั่วโมงเต็ม เดย์ก็ยืนมองเพื่อนทั้งสองแยกย้ายกันกลับบ้าน ก่อนจะพาตัวเองเดินกลับเข้าไปในตัวห้าง เพื่อไปยังร้านหนังสือที่หมายตาเอาไว้ระหว่างที่พูดคุยกัน

เขาไม่คิดว่าตัวเองความจำแย่ถึงขนาดหลงลืมหรือเข้าใจผิด แต่การยืนยันของเพื่อนทั้งสอง มันกลับทำให้เขาเริ่มชักไม่แน่ใจเสียแล้ว แม้ว่าการไปหาหนังสืออ่านมันอาจจะแทบไม่มีผลและไม่ช่วยให้เขารู้ แถมอาจไม่มีหนังสือเรื่องไหนที่กล่าวถึงและช่วยให้เขาหายสงสัยได้เสียด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยๆ ก็ยังดีกว่าเขาปล่อยให้หัวสมองของเขาฟุ้งซ่านไร้ที่ระบายเช่นนี้

เขายังจำได้ดีถึงวันแรกที่เข้ามหาลัยและได้เจอกับโรม ในวันรับน้อง อีกคนเดินตรงมาหาเขาที่ทั้งเงียบและไม่คิดจะสานสัมพันธ์กับใครก่อน เพราะค่อนข้างไม่ชินกับคนแปลกหน้า รอยยิ้มที่จริงใจและความใจดีของอีกคนที่มักจะฉุดดึงให้เขาเข้าร่วมกับคนอื่นได้อย่างไม่กระอักกระอ่วน ทำให้ในใจเขา โรมค่อนข้างมีน้ำหนักในใจมากกว่าปัณและเดือนอ้ายนิดหน่อย

ไม่รู้ทำไมเหมือน แต่ในบางครั้งตอนที่เขาเห็นโรมนั่งเงียบๆ ฟังพวกเขาคุยกัน เขามักจะรู้สึกว่าตัวเองได้รับแววตาที่เอื้อเอ็นดูอย่างประหลาด คล้ายกับสายตาของผู้ใหญ่มองดูเด็กในปกครองคนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น

ที่ผ่านมาเขาไม่เคยสังเกตก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่รู้สึก

ทิวาเดินไปชั้นหนังสือแต่ละล๊อกที่มั่นใจว่าต้องมีเนื้อหาที่สามารถช่วยคลายความสงสัยของเขาได้ ทว่าไม่ว่าจะค้นหาเท่าไหร่ ก็ยังไม่พบอะไรทั้งสิ้น จนกระทั่งหันไปพบใครคนที่เขากำลังนึกสงสัยว่า ทำไมจึงหายไปจากความทรงจำของทุกคน แบบเดียวกันกับที่เขาเจอ

โรมยืนอยู่ด้านขวาของเขาและยิ้มเหมือนที่เคยยิ้มให้เขาตอนที่อยู่ด้วยกัน ยืนอยู่ตรงนั้นราวกับรอให้เขาหันมาเจอ รูปลักษณ์ของอีกคนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ทั้งสูงและหนาขึ้น โรมอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวไม่เรียบร้อย แต่กลับเข้ากันได้ดีกับกางเกงยีนส์สีเข้มและรองเท้าผ้าใบสีขาวสะอาดคู่นั้น

ทิวาวางหนังสือที่หยิบมาจากชั้นและเดินเข้าไปหาคนที่ยืนรออยู่ ไม่มีคำพูดหรือการแสดงออกใดๆ แต่พริบตาที่อีกคนตบลงที่หัวเขาเบาๆ ภาพที่มองเห็นก็คล้ายจะพร่าเลือนไปบ้าง แต่ก็ยังเห็นรอยยิ้มนั้นเช่นเดิม

“...ทำไม”

“...”

“ทำไมพวกปัณถึงได้บอกว่าไม่รู้จัก แถมยังบอกว่าที่ผ่านมามีกันแค่สามคนมาตลอด”

“...”

“...”

“เจอกันก็ถามแบบนี้เลยเหรอ ไม่มีฉากน่าประทับใจเช่นว่ากระโดดกอดหรือหอมแก้มให้หายคิดถึงสักหน่อยหรือไง” น้ำเสียงทะเล้นแต่ทุ้มหนักดังขึ้นเหนือหัว เพราะตอนนี้อีกคนตัวโตกว่าเขาเกือบช่วงศีรษะ ทำให้เวลาพูดคุยทิวาจำต้องถอยไปหนึ่งก้าวและเงยหน้ามองแทน “เสียใจนะเนี่ย ทำไมตอนเจอกับพวกปัณถึงขนาดร้องไห้ กอดกันกลม”

“ก็มันดีใจ แต่เดี๋ยว...ทำไมมึงรู้ว่ากูร้องไห้ใส่ไอ้ปัณ แถมยังกอดกับเดือนอ้าย”

“แล้วคิดว่าไงล่ะ”

“...”

“ดีใจนะที่ไม่ได้ร้องไห้หนักเหมือนวันแรกๆ ที่มาอยู่ที่นี่ ต้องขอบคุณหมอนั่นล่ะนะที่ช่วยให้เดย์ดีขึ้น”

“...”

“ทำหน้าสงสัยอีกแล้ว อยากให้ตอบคำถามล่ะสิว่าทำไมถึงรู้” โรมยิ้มตาหยี แต่คราวนี้มันกลับทำให้ทิวาไม่คุ้นเคยขึ้นมา คล้ายกับเป็นคนละคนกับโรมที่เขาเคยรู้จัก โรมเอื้อมมือมาคว้ามือเขาเอาไว้ เมื่อเห็นว่าเขาเริ่มถอยออกจากอีกคนมากขึ้นทุกที “ไปคุยกันที่อื่นดีกว่า มีร้านไอศกรีมอร่อยๆ อยู่ร้านหนึ่ง ไปนั่งที่นั่นละกัน”

ตอนแรกทิวาไม่เต็มใจอย่างยิ่งที่จะไปกับโรมที่เหมือนคนแปลกหน้าคนนี้ แต่ไม่รู้ทำไม เขากลับไม่อาจดึงมือตัวเองออกจากมืออีกคนได้เลย แม้ว่าจะพยายามสุดแรงเกิด แต่คล้ายมันไม่ก่อให้เกิดอะไรขึ้นสักนิด มือของเขายังคงถูกกำโดยมือของโรมและถูกดึงไปตามที่อีกคนต้องการ กระทั่งนั่งลงในร้านไอศกรีมที่โรมว่า มือข้างนั้นจึงได้ปล่อยมือของเขาในที่สุด

ทิวามองอีกคนสั่งขนมเหมือนมากันหลายคน แม้ในใจจะมีคำถามเยอะแยะ แต่ก็ยังรู้ตัวว่าสิ่งที่เขาสงสัยมันไม่ใช่เรื่องที่จะให้คนอื่นได้ยินได้ จึงอดทนรอจนกระทั่งโรมคืนเมนูและหันกลับมาหาเขานั่นแหละ ความอดทนจึงได้หมดลงแทบจะทันที

“โรม...”

“รู้แล้วๆ สงสัยอะไรก็ถามมา จะตอบเท่าที่ตอบได้ก็แล้วกัน”

“ทำไมถึงรู้ว่ากูไม่ใช่คนของที่นี่หรือมึงก็ข้ามมาด้วย”

“อันนี้ตอบไม่ได้ แต่กูไม่ได้ข้ามมาในกรณีเดียวกับมึงแน่นอน”

“...หมายความว่าไง”

“ตอบไม่ได้”

“ทำไมตอบไม่ได้!”

“เอาคำถามอื่นได้ไหม เช่นว่า อยากรู้ไหมว่าทำยังไงถึงจะกลับไปเมื่อหกปีก่อนได้”

“...” ทิวาไม่ได้ตอบในทันที อาจเพราะรอยยิ้มหรือแววตาที่มองมามันวาววับเหมือนมีแสงสะท้อนสีเหลืองทองประหลาด จึงไม่ค่อยน่าไว้วางใจเสียเท่าไหร่ แต่อีกคนพูดถูก เรื่องกลับไปก็เป็นอีกเรื่องที่เขาอยากรู้เช่นกัน หากแต่ตอนที่กำลังจะเอ่ยปากถาม ใบหน้าเศร้าและคำพูดที่เหมือนทรมานของวินที่ได้ฟังเมื่อวันก่อน ก็พลันลอยเข้ามาในสมองเสียก่อนจนลังเล

ราวกับโรมสังเกตเห็นมัน จึงถามขึ้น “ลังเลอะไร ไม่ได้อยากกลับไปแล้วเหรอ”

“อยากสิ แต่...” เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมวินถึงได้ดูกลัวแบบนั้นและอีกเรื่อง…

เขาในโลกนี้หายไปไหน

ทิวาเลื่อนสายตากลับมาสบกับโรม ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ทำไมกูในโลกนี้ถึงหายไป มันเกี่ยวกับที่ทุกคนจำกูไม่ได้หรือเปล่า”

“อันนี้คงบอกได้แค่คร่าวๆ แต่ก็น่าจะทำให้มึงหายสงสัยได้และใช่ ทั้งสองเรื่องเกี่ยวข้องกัน” โรมว่า “คำอธิบายก็ง่ายๆ โลกใบนี้ไม่มีทางอนุญาตให้สิ่งที่ ‘เหมือนกันโดยสิ้นเชิง’ อยู่ร่วมกันในโลกใบเดียวกันได้หรอกนะ ดังนั้นเมื่อสิ่งหนึ่งมีอยู่ อีกสิ่งหนึ่งก็หายไป เรื่องของกูกับมึงก็คล้ายๆ กัน”

“งั้นแปลว่ามึงก็มาจากหกปีก่อนไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ใช่ นานกว่านั้นอีก”

“...”

“ประมาณว่า ถึงจะเป็นโลกใบเดิม แต่คนละเส้นเวลา ไอ้ที่เขาเรียกว่าโลกคู่ขนานนั่นแหละ”

“...”

“แล้วก็ไม่อนุญาตให้ถามนะว่ามาจากช่วงไหน กูไม่สามารถตอบให้มึงรู้ได้แน่นอน”

ทิวาขมวดคิ้ว ชักเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อทุกครั้งที่ถามจะต้องมีบางส่วนที่เขาสงสัยแต่โรมไม่ยอมตอบเสมอ ทว่าความอยากรู้มันกมากกว่า ดันนั้นจึงยอมอดทนกับความหงุดหงิดเล็กๆ นั่นแล้วถามต่อ “โอเค ไม่ได้มาจากช่วงเดียวกัน แต่เพราะมาอยู่ที่นี่ความทรงจำทั้งของกูแล้วก็มึง เลยหายไปจากทุกคนใช่ไหม”

“ใช่”

“แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ การที่ทุกคนเริ่มจำกูได้ นั่นหมายความว่า...”

“ทันทีที่ทุกคนจำมึงได้ มึงก็จะได้กลับไปโลกเดิม เมื่อหกปีก่อน นี่คือวิธีกลับไปแบบเบสิกที่สุด”

“...”

“ซึ่งไม่รู้นะว่าทำไมมึงถึงได้พยายามตามหาคนอื่น แต่ถือว่าเก่งในด้านความโชคดี ขนาดกูยังไม่ทันได้มาบอกมึงก็ก้าวหน้าจนเกือบจะได้กลับไปแล้ว”

“...”

“แต่ของมึงจะเป็นอีกกรณี ซึ่งบอกได้ว่า ไม่ใช่แค่คนอื่นจะต้องจำมึงได้ทั้งหมดถึงจะกลับไปได้ แต่มึงเองก็ต้องบรรลุสิ่งหนึ่งที่เป็นสาเหตุที่ทำให้มึงมาอยู่ที่นี่ด้วย”

“...”

“แล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าการกลับไปจะทำให้เกิดเอฟเฟคอะไรในอนาคต ทันทีที่มึงไม่อยู่ ตัวมึงคนเดิมก็จะกลับไปในความทรงจำของทุกคน เหมือนเรื่องของมึงไม่เคยเกิดขึ้น ถึงแม้จะมีความเป็นไปได้เล็กๆ ว่าจะยังมีคนจำได้ แต่นานวันเข้า หลายปีผ่านไป เขาก็จะค่อยๆ ลืมไปเอง” โรมเขี่ยไอศกรีมในถ้วยที่มาส่งเมื่อสักครู่ ก่อนเอาเข้าปาก แล้วจึงพูดต่อ “เอาจริงๆ การกลับไปก็เหมือนรีเซตไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้งนั่นแหละ ที่เหลือก็เป็นการตัดสินใจของมึงแล้วว่าจะให้มันดำเนินไปแบบเดิมหรือว่าจะทำให้มันเป็นไปในความเป็นไปได้แบบใหม่”

“แล้วทำไมจะต้องเปลี่ยน เดี๋ยว ที่สำคัญ...ทำไมกูถึงต้องมาอยู่ที่นี่”

“...”

“ที่มึงพูดเมื่อกี้เกี่ยวกับอีกเงื่อนไขที่กูต้องทำก่อนจะกลับไปหกปีก่อน แสดงว่ามีเหตุผลอะไรบางอย่าง กูถึงต้องมาอนาคตแบบนี้ใช่ไหม”

“อันนี้กูขอไม่ตอบ”

“หลายครั้งแล้วนะโรม กูชักจะหงุดหงิดละนะ”

คิ้วเรียวของคนตรงหน้าขมวดมุ่น แสนจะน่ารักและน่าแกล้งในสายตาของโรม แต่ก่อนที่ทิวาจะหงุดหงิดไปมากกว่านี้ เขาก็ตอบกลับไปเสียก่อน “ขอโทษๆ คำถามที่ว่ามาทำไมน่ะพอจะตอบได้อยู่หรอก แต่อยากให้มึงไปถามอีกคนมากกว่า เพราะเอาจริงๆ เรื่องทั้งหมดที่มันดำเนินมาจนถึงตอนนี้น่ะ มันเป็นเพราะหมอนั่นเป็นสาเหตุหลักๆ เลย”

“ใคร”

“มึงรู้จักดีเลยล่ะ เพราะเป็นคนแรกที่มึงเข้าหาในโลกนี้ได้สำเร็จ”

“...”

โรมชะโงกหน้าเข้ามาใกล้แล้วยิ้มจนดวงตาเรียวรีราวกับพระจันทร์ กระซิบเสียงเบา แต่ดังก้องไปไปทั่วสมองของเขา พริบตานั้นทิวาพลันนึกถึงใบหน้าหนึ่งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

คนแรกงั้นเหรอ

“ใช่ มาวินไง”

 








-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------














วินชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะหันกลับไปยังด้านหลังตัวเอง มือข้างหนึ่งลูบใบหูด้านขวาที่จู่ๆ ก็จั๊กจี้เหมือนมีใครมากระซิบข้างๆ เสียอย่างนั้น

“มองอะไรวะ”

“...เปล่า”

“เออ ไม่มีอะไรก็ดี แล้วตกลงว่าไง พรุ่งนี้มึงจะไม่อยู่ใช่ไหม กูจะได้พาแค่พวกที่เหลือไปสถานที่จัดรอบสุดท้ายก่อนวันจริง”

“อืม ฝากด้วย”

“...กลับมาหงอยอีกแล้ว กูไม่ชอบมึงช่วงเดือนนี้เลยให้ตายเถอะ” ไป๋ว่าพลางปิดไอแพดหลังจากที่จัดการตารางส่วนตัวของอาทิตย์ถัดไปเสร็จ ก่อนจะส่งให้ภัทรที่นั่งฝั่งตรงข้าม ตอนนี้พวกเขากลับมาถึงบ้านได้พักใหญ่ๆ แล้ว พวกแคทเข้าไปในห้อมซ้อม ไปเล่นไปซ้อมตามเรื่องตามราว ส่วนเขากับภัทรก็คุยกันเรื่องตารางงาน แต่วินมานั่งด้วยเพราะรอเดย์กลับมา

จะว่าไปก็เย็นมากแล้ว ทำไมวันนี้ยังไม่ถึงบ้านอีกนะ?

วินหลุบตาลงมือของตัวเองที่จับกัน เงียบไปพักใหญ่ก่อนเอ่ยตอบ “ไม่ได้หงอย”

“ปากแข็ง”

“...เสือก”

“สัส คนเขาเป็นห่วงดันมาปากดีใส่”

“...”

“ดูแลตัวเองหน่อย ไม่ใช่แค่ตัว แต่ใจมึงด้วย อีกไม่กี่วันก็จะจัดคอนฯ แล้ว กูขอมึงสภาพเต็มร้อย ไม่เอาครึ่งๆ กลางๆ โอเคไหม”

“เออ”

“เฮ้อ กูปลุกใจอะไรมึงไม่ได้เล้ย สงสัยต้องรบกวนเดย์แล้วมั้ง... นั่นไงมาพอดีเลย” วินเงยหน้าตามที่สายตาของไป๋มองไป หน้าบ้านมีใครคนที่เขารอมาทั้งวันปรากฏตัวขึ้นจริงๆ ทิวาเดินเข้ามาในบ้าน สีหน้าของอีกคนสงสัยนิดหน่อยว่าทำไมพวกเขาถึงมารวมตัวกันตรงนี้ แต่พอสายตามาหยุดอยู่ที่ตัวเขา แววตานั่นกลับทำให้เขาไม่กล้าสบตาและดันลุกหนีไปเสียดื้อๆ

ไม่รู้เหมือน แต่ตอนที่ทิวามองมา...เหมือนกับว่าอีกคนรู้เรื่องอะไรสักอย่างมา เรื่องที่เขาไม่อยากให้อีกคนรู้

ความกลัวที่พบพานในทุกคนย้อนกลับมาอีกครั้ง จนสุดท้ายเขาที่แสนขี้ขลาดก็ทำได้แค่เดินหนีอีกคนไปอีกครั้งหนึ่ง

“มันงี่เง่านิดหน่อย อย่าถือสามันเลยนะเดย์ เฉพาะช่วงนี้แหละ”

“ไม่หรอก...แต่ทำไมต้องช่วงนี้ล่ะ”

“...อืม จะว่าไงดี”

“เดี๋ยวเราคุยเอง ไป๋ไปห้องซ้อมเถอะ วินน่าจะไปรวมกับคนอื่นๆ ที่นั่น” ตอนแรกไป๋ทำท่าลำบากใจที่จะพูดถึง แต่ภัทรที่นั่งเงียบมาตั้งแต่แรกกลับเอ่ยปากขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่าไป๋ไม่มีข้อปฏิเสธอะไรแน่ๆ ถ้าภัทรจะเป็นคนเล่าเรื่องทั้งหมด ดังนั้นจึงกำชับเรื่องงานอีกสองสามประโยค ก่อนจะเดินหายไปยังห้องซ้อม ทิ้งให้บริเวณห้องนั่นเล่นมีเขาและภัทรสองคน

ภัทรยิ้มหวานแล้ววางไอแพดลงบนโต๊ะกระจกก่อนเงยหน้ามองเขา “วันนี้เป็นยังไงบ้าง กินข้าวกับเพื่อนสนุกไหมเดย์”

“อืม ก็...สนุกล่ะมั้ง”

“ทำไมทำหน้างั้นอะ ได้เจอเพื่อนๆ ไม่ใช่เหรอ”

ทิวาหลบตา “ก็ดี เพียงแต่มันมีเรื่องให้คิดนิดหน่อย” อันที่จริงก็ไม่นิดหน่อย เยอะมากๆ เลยต่างหาก

“งั้นยังพอมีที่ในหัวว่างมากพอให้เราเล่าเรื่องอะไรให้ฟังไหม เพราะมันอาจจะต้องคิดเยอะเหมือนกัน” ภัทรว่า “หรือวันนี้เหนื่อยแล้ว อยากจะพักก่อน”

“มัน...หนักมากเหรอ เกี่ยวกับที่วินดูแปลกๆ ไปหรือเปล่า”

“เกี่ยวมากๆ เลยล่ะ อันที่จริง...ก็เรื่องของวินนั่นแหละ”

“...”

“เดย์รู้ใช่ไหมว่าวินมีคนที่ฝังใจมากๆ คนหนึ่ง”

“รู้สิ” คนที่วินแต่งเพลงให้ “หรือว่า...”

“อืม มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนคนนั้น”

“...”

“ถ้าเดย์ไม่รังเกียจที่จะฟังล่ะก็...เราจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังเอง”

 





เพราะแบบนั้น ยามที่กาลเวลาหมุนย้อนกลับ

ฉันจึงได้เพิ่งสำรวจหัวใจของตัวเองและพบว่า

คุณยังอยู่ในนั้น...ไม่เคยจางหายไปแม้สักเศษเสี้ยวเดียว



(โปรดติดตามตอนต่อไป)

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

fact about ทิวา

เมื่อได้หนึ่งคำใบ้ จะสามารถคาดเดาสิ่งที่เคยสงสัยได้ก่อนคำเฉลยเสมอ

NAVY

ปล.ตอนนี้สต๊อคหมดแล้ว กำลังเร่งปั่นอยู่ค่ะ555

เอาเป็นว่าจะพยายามเร่งปั่นไม่ให้รอนานนะคะ

ขอบคุณสำหรับที่แวะเข้ามา ถึงจะไม่รู้ว่าเพราะกดผิดไหมก็เถอะ555

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ...ทำไมโรมถึงข้ามเวลามาด้วยเนี่ย

โรมมาด้วยอิทธิฤทธิของศาลเหมือนกันเหรอ?

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
แล้วโรมทำไมถึงย้อนไปย้อนมาได้ล่ะ มันคืออะไรกันแน่??

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ SuMoDevil

  • รักไม่ได้ ไม่ใช่ไม่ได้รัก
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
สองมาวิน สองทิวา จะยังไงกันหนอออ

รออ่านต่อ อย่างใจจดใจจ่อนะครับ ^ ^
:impress2:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
แม้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป

แต่ในช่วงระยะเวลาหนึ่งเมื่อนึกย้อนทบทวนกลับพบความจริงหนึ่งอย่าง

นั่นคือเรามักจะหลงรัก คิดถึง รวมไปถึงให้อภัยใครบางคนอยู่เสมอ















ตกหลุมรักระยะที่ 13


 

‘...ตอนนี้อาจจะได้แค่ทำนอง แต่ไว้เสร็จแล้วจะเอามาให้ฟังทันทีเลย’

‘พูดเองนะ สัญญามาเลย ไม่งั้นไม่เชื่อ’

เขาหัวเราะแล้วเอื้อมมือไปกุมมือของอีกคนเอาไว้ ยิ้มแล้วเอ่ยคำที่อีกคนอยากฟัง ‘สัญญา’

‘ดีมาก!’

วินอดอ่อนใจไม่ได้ที่อีกคนทำราวกับเขาเป็นเด็กเล็ก ยื่นมือมาลูบศีรษะของเขาก่อนเลื่อนมาบีบแก้มไปมา เหมือนหมั่นเขี้ยว แม้จะเจ็บอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้ปัดออกแต่อย่างใด

อาจเพราะ...รอยยิ้มของอีกคนมันน่ารักมากๆ ล่ะมั้ง

‘จะรอนะ...’

และเขาก็หลงรักรอยยิ้มนั้นมากๆ เสียเหลือเกิน

 








--------------------------------------------------------------------------------------------------------











 “เรารู้จักกับวินมาตั้งแต่สมัยเรียนม.ปลาย เพราะงั้นตอนที่สอบเข้ามหาลัยที่เดียวกันได้เลยดีใจมากๆ ถึงจะคนละคณะก็เถอะ” ภัทรเริ่มพูดขึ้นหลังจากที่พวกเขาย้ายมานั่งอยู่แถวด้านข้างของบ้านที่มีระเบียงเล็กๆ ยื่นออกมาให้นั่งลงได้ ตรงหน้าคือสวนเล็กๆ ที่เขียวชอุ่มจากการรดน้ำและคอยดูแลจากเขา “แต่ก็ไม่ได้เจอกันบ่อยนักหรอก จะได้เจอกันนานๆ ทีตามพวกกิจกรรมใหญ่ๆ ในมหาลัย ลอยกระทงบ้าง วันโอเพ่นเฮ้าส์ ไม่ก็ตอนเดินสวนกันที่ตลาดม.บ้างแล้วแต่โอกาส”

ทิวาไม่ได้สนใจนักกับข้อมูลตรงนี้ เนื่องจากรู้อยู่แล้วว่าพวกวินและภัทรเรียนอยู่ม.เดียวกัน แต่ที่แปลกใจคงเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้จักกันมาก่อนเท่านั้น “เรียนม.ปลายมาด้วยกันทั้งหมดเลยเหรอ”

“ไม่ทั้งหมด มีแค่ไป๋กับจินที่มารู้จักตอนเข้ามหาลัยน่ะ แต่คล้ายๆ เหมือนเคยได้ยินวินพูดว่าเคยเรียนประถมกับไป๋ แต่แยกกันตอนเข้าเรียนม.ปลาย เพราะงั้นสองคนนั้นเลยกลับมาสนิทกันอีกครั้งตอนเข้ามหาลัย เราเลยเพิ่งเคยได้รู้จักไป๋ก็ตอนนั้นพอดี”

“อ๋อ”

“ก็อย่างที่พูดไปว่าไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่เพราะเรียนกันคนละคณะ เพราะงั้นเวลานานๆ ทีได้เจอเรากับคนอื่นก็รู้สึกว่าวินเปลี่ยนไป ถึงจะเล็กน้อยมากๆ แต่ก็มากพอให้พวกเรารู้ เพราะบางครั้งวินจะชอบไม่อยู่เวลาเพื่อนคนอื่นนัดซ้อมดนตรีหรือเล่นกีฬา พวกไป๋ตอบแค่สั้นๆ ว่าไปตามหาหัวใจ” ภัทรหัวเราะเล็กน้อย ในสมองหวนนึกถึงท่าทางตลกของเวย์และแคทที่พยายามล้อเลียนคนที่ไม่ควรล้อเลียนอย่างวินลับหลัง ยามที่เจ้าตัวไม่อยู่ “มันเป็นช่วงก่อนสอบไม่กี่อาทิตย์ พวกเราเลยนัดรวมตัวกันค่อนข้างบ่อย เวย์กับแคทเลยชอบแซววินด้วยเรื่องนี้แทบจะทุกครั้งที่เจอกัน ถึงจะเป็นแค่เรื่องที่ทุกคนคาดเดาแล้วก็แซวเล่นต่างๆ นานา แต่วินกลับไม่เคยปฏิเสธ เพราะแบบนั้นพวกเราเลยรู้กันเองโดยอัตโนมัติว่า วินมีคนที่ชอบแล้วจริงๆ”

“...”

“แล้วทีนี้หลังสอบปกติแล้วพวกเราก็จะนัดกันไปกินเลี้ยงอะไรตามประสา แต่พอสอบเสร็จพวกไป๋ก็ส่งข้อความมาบอกแค่ว่า พวกไป๋รวมไปถึงวินจะไม่ไปกินเลี้ยงด้วย มีธุระด่วน ตอนนั้นพวกเราที่เหลือก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะบางทีพวกวินก็ชอบมีงานด่วน งานเร่งประจำหลังสอบ แต่ครั้งนี้มันต่างออกไปตรงที่ถึงจะกลับมาเจอหน้ากันแล้ว วินก็ยังไม่ค่อยมาให้เจอหน้าอยู่ดี”

“ก็คงไปหาคนนั้นเหมือนเดิมไม่ใช่เหรอ” แต่แทนที่ภัทรจะพยักหน้า เธอกลับส่ายหน้าโดยที่สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความเศร้าจางๆ จนทิวาสงสัย “ทำไมอะ...หรือไม่ใช่”

“อืม มันก็ใช่ เพียงแต่มันไม่ได้มีเรื่องแค่ไปเจอกันเนี่ยสิ”

“...?”

“แต่ก่อนจะเล่าไปถึงตรงนั้น เราขอเล่าข้ามไปก่อน เพราะถ้าตามเรื่องจริงๆ กว่าเราจะรู้เรื่องนั้นก็ผ่านไปหลายเดือนแล้วเหมือนกัน” ภัทรไม่ได้มองว่าเขาจะงงแค่ไหน เธอเพียงยิ้มแล้วเริ่มเล่าต่อ “มันเป็นช่วงสามเดือนหลังสอบที่วินทำตัวแปลกๆ ไป หลังจากพ้นสามเดือนนั้นวินก็กลับมาเป็นปกติ มาเจอหน้าพวกเพื่อนๆ ไปกินเลี้ยง ไปเที่ยวด้วยกันปกติ ตอนนั้นเราก็ไม่แน่ใจว่ามีใครสังเกตอีกไหมนอกจากพวกไป๋ อาจจะมีแค่เราก็ได้ที่รู้ว่าวินไม่เหมือนเดิม”

“...”

“วินไม่ยิ้มอีกเลยนับจากสามเดือนนั้น”

“...”

“พวกไป๋ก็เป็นห่วงนะ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร ส่วนเรา...ที่มาสนิทกับวินได้ขนาดนี้มันเป็นเพราะเราไปรู้เรื่องของวินโดยบังเอิญและคอยเป็นที่ปรึกษา รับฟังเวลาวินอยากจะระบายอะไรที่เล่าให้คนอื่นฟังไม่ได้ในช่วงสามเดือนที่ว่านั่น แลกกับที่วินรู้ความลับของเราเรื่องหนึ่ง แน่นอนว่ามันก็ลับมากพอที่เล่าให้คนอื่นฟังไม่ได้เหมือนกัน”

“แล้วมาเล่าให้ฟังแบบนี้จะไม่เป็นไรหรอ”

“ไม่เป็นอะไรหรอก มันนานมากแล้ว...ตอนนี้มันก็ไม่มีผลอะไรแล้ว”

“...”

“พวกนั้นเล่าใช่ไหมว่าเราเป็นคนคุยเก่าของวิน” พอเห็นทิวาพยักหน้า ภัทรก็หัวเราะออกมาเบาๆ “พวกนั้นเข้าใจผิดตั้งหาก เข้าใจผิดมาตลอดด้วย”

“อ้าว”

“เราไม่ได้ชอบวิน ตอนนั้นเราชอบคนอื่นอยู่แล้วดันเป็นคนใกล้ตัววินด้วย วินก็บังเอิญรู้เพราะเก็บสมุดบันทึกเราเขียนชื่อเขาไว้ได้ ซึ่งจริงๆ วินก็ไม่รู้ว่าคนนั้นเป็นใครและไม่เคยเปิดอ่านมันหรอก แต่เราดันร้อนตัวโผล่งออกไปเอง วินก็เลยเป็นคนเดียวที่รู้ว่าเราชอบใคร”

“คนใกล้ตัว...”

“ใช่ คนในวงนี่แหละ”

ฟังจบภาพของคนสี่คนก็ลอยเข้ามาในหัวทันที แต่พอหน้าภัทรแล้วก็ปัดสองใบหน้าออกไปแทบจะทันที คนแบบภัทรไม่น่าจะคิดเกินเลยกับเวย์และแคท ดังนั้นก็เหลือแค่สองคน...ไม่สิ คนเดียว เพราะเคยได้ยินว่าจินไม่เคยเจอกับภัทรมาก่อน...

งั้นแสดงว่า

“ไป๋?”

“ใช่ เราชอบไป๋มาตลอด ตอนนี้จริงๆ แล้วก็ชอบอยู่เหมือนเดิม”

“แล้วทำไม...” ทำไมถึงให้ไป๋กับคนอื่นเข้าใจว่าเป็นคนคุยกับวินล่ะ

“กำลังคิดล่ะสิว่าทำไมถึงได้ให้คนอื่นเข้าใจไปแบบนั้นโดยที่ไม่แก้อะไร” ไม่รอให้ทิวาตอบอะไรกลับมา ภัทรก็เริ่มพูดต่อทันที “ข้อแรกเลย มันเป็นเรื่องดีที่จะกลบเกลื่อนไม่ให้ไป๋มองความรู้สึกของเราออก เพราะคนอย่างไป๋ ถ้ารู้ว่าเป็นคนของเพื่อน จะเว้นระยะห่าง ไม่เข้าไปเล่นหัวมากเท่าตอนที่เป็นเพื่อนกัน อีกเหตุผลก็เพราะ...จะได้มีข้ออ้างไปเจอหน้าไป๋ได้โดยที่ไม่ต้องโกหก” มาถึงท้ายประโยคเสียงหัวเราะของภัทรก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มันกลับเจือความเศร้าและความคิดถึงรางๆ เอาไว้

“ตอนนั้นเราไม่คิดอะไรกับวินเลย มองวินเป็นแค่ทางผ่านให้เราได้เจอคนที่ชอบ แต่นานวันเข้าตอนที่อยู่ด้วยกัน ได้คอยรับฟัง ค่อยๆ เห็นวินยิ้มและหัวเราะเพราะเริ่มสบายใจที่มีเราอยู่เป็นเพื่อน มันก็มีบ้างที่รู้สึกว่า ทำไมเราถึงไม่ชอบคนคนนี้แทนผู้ชายที่ไม่ชอบเรากันนะ”

ทิวาใจกระตุกขึ้นมา รวมไปถึงสายตาที่ตกอยู่บนใบหน้ายิ้มๆ ของภัทรและราวกับเธอรู้ทันจึงรีบพูดต่อ “แต่ก็ไม่ได้ชอบจริงๆ หรอกนะ ตอนนั้นเรารู้เรื่องทั้งหมดของวินแล้วเลยไม่มีความพยายามมากพอจะชอบวิน”

“เพราะอะไร”

“ก็...มันคงจะเหนื่อยมากๆ กับการพยายามชอบคนที่เขารักคนอื่นอยู่แล้วน่ะสิ”

“...”

“ตอนที่เราชอบไป๋ เรารู้ว่าเขาไม่ชอบเราก็จริง แต่ความสัมพันธ์ในตอนนั้นมันค่อนข้างผิวเผิน เป็นเพื่อนของเพื่อน เรารู้เหตุผลที่เขาไม่เคยชอบใคร นั่นแค่เพราะเขาแค่รู้สึกไม่จำเป็น อันที่จริงถ้าพยายามสักหน่อยก็อาจจะได้คบกัน ถึงจะได้คบไม่นานหรืออาจจะต้องเลิกกันภายหลังก็เถอะ เพียงแต่เราในตอนนั้นรู้สึกว่ามันไม่คุ้มที่จะต้องเสียความสัมพันธ์ที่ดีแบบนั้นไป เลยเก็บเขาไว้ในใจ เป็นความทรงจำดีๆ สมัยเรียนแทน”

“...”

“แต่กับวิน” ภัทรส่ายหัว ยิ้มอย่างอ่อนใจ “เราไม่อยากชอบ เพราะเราสู้คนในใจวินไม่ได้และไม่มีทางสู้ได้โดยสิ้นเชิงเลย”

“...”

“ส่วนที่เรามั่นใจว่าสู้ไม่ได้เพราะเราเคยไปเจอคนที่วินชอบมาแล้ว เจอแบบต่อหน้าด้วย”

“สวยไหม” ไม่รู้ทำไมถึงถามแบบนั้นออกไป แต่ฟังมาถึงตรงนี้ทิวาไม่มีความมั่นใจว่าจะเป็นตัวเองแม้แต่น้อย “วินคงจะชอบคนนั้นมากๆ เลยใช่ไหม”

“สวยไหมอันนี้เราก็ไม่รู้จะตอบยังไง แต่เราคิดว่าเขาคงพิเศษมากๆ สำหรับวิน แต่จังหวะที่เราไปเจอเขามันไม่ค่อยโอเคเสียเท่าไหร่ เพราะว่าเขาป่วยอยู่”

“ป่วย?”

“อือ ป่วยหนักด้วย ความลับของวินที่ชอบหายไปก็เพราะมาคอยเฝ้าคนนี้แหละ”

“...”

“วินจะแวะไปหาเขาทุกวัน ถ้าไม่มีเรียนก็จะไปนั่งเฝ้าตั้งแต่เช้า จนเย็นถึงค่อยกลับหอ ไม่ไปนั่งทำการบ้านในห้องบ้าง ก็ไปเล่นกีต้าร์ให้เขาฟังบ้าง ไม่ก็เอาเพลงที่แต่งอยู่ไปเล่าให้เขาฟัง วินทำทุกอย่างเหมือนอยากให้เขาอยู่ในทุกอย่างที่วินชอบทำ ยอมรับเลยว่าที่มีความคิดอยากจะชอบวินก็ตอนนั้นเลย เพราะเราไม่เคยมีใครที่ทุ่มเทแล้วก็อยู่ข้างๆ แบบที่วินทำให้คนคนนั้นมาก่อนเลย”

“...”

“น่าเสียดาย”

“อะไรที่น่าเสียดายเหรอ”

“เราบอกไปแล้วใช่ไหมว่า ที่ไม่อยากชอบวินเพราะเราสู้คนในใจของวินไม่ได้ แต่อีกเหตุผลหนึ่งเลยและเป็นเหตุผลที่สำคัญมากที่สุดที่ทำให้เราเลิกความคิดนั้นก็เพราะเราสู้คนที่ไม่อยู่แล้วไม่ได้”

“หยุดแต่งไปนานมากแล้ว ได้เวลาแต่งต่อให้มันจบซักที”

“นานแค่ไหน”

“หกปี”


“ไม่อยู่แล้ว หมายถึง...ไปรักษาตัวหรือเรียนต่ออะไรแบบนั้นเหรอ”

“เป็นแบบนั้นก็ดีสิ”

น้ำเสียงของภัทรแผ่วเบาคล้ายพึมพำกับตัวเองและเจือเสียงหัวเราะจางๆ ที่แสนเศร้า

“คนสำคัญคนหนึ่ง”

“...ตอนนี้เขาไปไหนซะล่ะ”

“ไปที่ไกล...ไกลมากๆ จนกูไปหาไม่ได้”


ไม่รู้ทำไมในสมองของทิวากลับปรากฏเรื่องราวที่เคยพูดคุยกับวินทับซ้อนกับคำพูดของภัทรขึ้นมา กลับมาไม่ได้แล้ว...นั่นมีไม่กี่อย่างหรอกในชีวิตจริง

หากไม่ใช่ทั้งไปรักษาตัว ไม่ได้ไปเรียนต่อหรือย้ายบ้าน

นั่นก็แปลว่า

“คนคนนั้นที่วินรักมากๆ ตายไปแล้ว”

“...”

“ตายไปตั้งแต่เมื่อหกปีก่อนแล้วล่ะ”

“...”

“อันที่จริงน่าจะพูดว่า กลับมาไม่ได้มากกว่า”

 











--------------------------------------------------------------------------------------------------------













ภัทรอดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะตั้งแต่ที่เธอพูดเรื่องของวินจบ ทิวาก็นิ่งไปทั้งยังไม่ถามอะไรออกมาสักนิด จนเธอเป็นห่วงขึ้นมา ว่ามันอาจจะทำให้ทิวารู้สึกไม่ดีหรือเปล่าที่วินมีใครที่ลืมไม่ลง

และเธอรู้ว่า ทั้งชีวิตนี้วินไม่มีทางลืมคนนั้นได้เด็ดขาด

ทว่าพริบตาหนึ่งที่แสงสุดท้ายจากท้องฟ้าลาลับ ราวกับเธอมองเห็นบางอย่างที่เธอไม่ควรจำได้ขึ้นมา

ไม่รู้ทำไม แต่ใบหน้าด้านข้างของทิวากลับทับซ้อนคนคนนั้นของวิน

จนดูราวกับ...เป็นคนคนเดียวกัน

“ภัทรคิดว่าไงกับคำพูดที่ว่าการมีตัวตนของบางสิ่ง ทำให้อีกสิ่งหนึ่งที่คล้ายกันต้องหายไป”

คำพูดของวิน ทฤษฏีที่เหมือนคำพูดเพ้อเจ้อนั่นเริ่มทำให้ภัทรกลัว เพราะถ้ามันเป็นจริงๆ ขึ้นมา...

“ภัทร”

แต่ก่อนที่เธอจะได้คิดต่อ คนข้างตัวกลับเอ่ยชื่อเธอขึ้นเรียกให้เธอกลับไปสนใจเขาแทน ทิวายังไม่เงยหน้าขึ้นเลยด้วยซ้ำ แต่น้ำเสียงที่เรียกชื่อเธอกลับสั่นเหมือนคนที่พูดกำลังสับสนหรือไม่มั่นคง จนควบคุมน้ำเสียงตัวเองไม่ได้ ความเป็นห่วงจึงกลบคลุมความสงสัยก่อนหน้าจนสิ้น

“ว่าไง”

“ภัทรจำชื่อเขาคนนั้นของวินได้ไหม”

“ชื่อเหรอ? เหมือนจะ...ไม่เคยถามนะ”

“...”

“เราไปเจอเขาแค่ครั้งเดียว ส่วนที่เหลือวินแค่เอามาเล่าให้ฟังเท่านั้นเองว่าไปทำอะไรบ้างในแต่ละวันที่ไปหาเขา...ทำไมเหรอ”

“เหรอ...”

“ที่เรารู้นอกเหนือจากนั้นก็คงเป็น วินกับคนนั้นเคยไปดูวงดนตรีด้วยกันละมั้ง”

“...”

“ถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะเป็นงานครบรอบ 50 ปีของหอสมุดกลางของมหาลัยเมื่อหกปีก่อน”

“พรุ่งนี้จะมาอีกไหม”

“มาดิ”

“...”

“วีอาร์...มาทั้งที จะไม่มาได้ไง”

“งั้นก็เจอกันพรุ่งนี้”

“ทำไมหรอ? หรือเดย์รู้จัก...”

ทิวายิ้มและส่ายหน้าแทนคำตอบ “...เปล่า แค่อยากรู้”

“...”

“ขอบคุณที่เล่าให้ฟังนะ เรา...ขอตัวก่อน”

ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยปากตอบอะไร ทิวาก็ลุกหนีไปเสียแล้ว ทว่าพริบตาที่อีกคนลุกเดินจากไปนั้น คล้ายว่าเธอจะเห็นใบหน้าซีดขาวทั้งตื่นตระหนกของทิวาได้อย่างชัดเจน จนอดคิดไม่ได้ว่าเธอทำถูกหรือไม่ที่เล่าเรื่องของวินให้อีกคนฟังเช่นนี้

ถ้าทั้งสองคนหันหน้าคุยกันก็คงดีหรือถ้าวินวางคนคนนั้นให้เป็นแค่ความทรงจำแล้วหันมาให้ความสำคัญกับทิวาที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ก็คงดี

 














--------------------------------------------------------------------------------------------------------















“ไหนคุณบอกว่าจะไม่ไปเจอเขาไง”

“ก็ใครมันจะไปรู้ว่าเด็กคนนั้นจะไปเจอเพื่อนเก่าได้ไวขนาดนั้นนี่นา”

“ไม่ระวังเอาเสียเลย”

“เอาน่าๆ ...แต่ก็เป็นเรื่องดีสำหรับพวกเราไม่ใช่หรือไง มันจะได้จบไวๆ”

“มันเป็นการรบกวนชะตาเกินไป แค่ให้เจ้าขาวส่งเขามาที่นี่มันก็หนักหนาพอแล้วนะ คุณยังจะไปสร้างความวุ่นวายให้เขาอีก”

“ขี้บ่น บ่นๆๆ อยู่นั่นแหละ ถ้าเมื่อตอนนั้นที่ส่งนายกับไอ้แมวเวรไปหาหมอนั่น นายพูดให้มันเข้าท่า มีหรือที่ฉันจะต้องออกหน้าไปเป็นส่วนหนึ่งของอดีต ให้เด็กคนนั้นเกิดความสับสนแบบนี้น่ะ”

“ตอนนี้คนที่บ่นมากกว่าคือคุณนะ โรม”

“...หุบปากไปเลย”

โรมมองสีหน้าติดจะกังวลไปเสียทุกเรื่องของคนข้างตัวที่อยู่ข้างกันมาตลอดจนชักจะเหม็นขี้หน้า โดยเฉพาะเจ้าแมวสีขาวปลอดที่ชอบไกวหางไปมาในอ้อมแขนของอีกคนนั่นก็ด้วย ไม่เคยหรอกจะเป็นมิตรกับเขา อยู่ด้วยกันมานานมากขนาดนี้ แต่กลับชอบขู่และตวัดตบอยู่เสมอเวลาเขาเอื้อมมือไปหาหมายจะเล่นด้วย

เหมือนอดีตเจ้าของตอนนี้ไม่มีผิด

ยิ่งนึกถึงดวงตาที่ทั้งสงสัยและระแวงในคราวเดียวกันนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของโรมยิ่งขยายกว้าง ก่อนหันไปแตะเข้าที่ปลอกคอสีแดงสดที่ห้อยกระดิ่งสีทองเหลืองเอาไว้ ถ้าเป็นปกติ เมื่อเขาจับเช่นนี้ เจ้าแมวหวงตัวนี่จะต้องจิกมือเขาจนเป็นรอยแน่ๆ แต่วันนี้ราวกับรู้ว่าเขาไปทำเรื่องดีๆ มา จึงยอมให้เขาแตะหมุนดูกระดิ่งประจำตัวแต่โดยดี

บนกระดิ่งทองคล้ายมีลวดลายมังกรสลักจางๆ แต่ก่อนมันมีเป็นสิบเป็นร้อยลวดลายซ้อนทับกัน แต่เมื่อผ่านกาลเวลาอันยาวนานไปพร้อมกับพวกเขา มันก็ค่อยๆ ลดลงไปเรื่อย จนตอนนี้เมื่อเขาหมุนมันกลับมาอีกครั้ง ลวดลายนั้นก็หายไป ราวกับไม่เคยมีรอยสลักเช่นนั้นมาก่อน

นั่นแสดงว่า สิ่งที่เขามุ่งหวังสำเร็จแล้ว หากจะเหลือก็คงมีแต่...

“...ทำไมคุณมองเจ้าขาวด้วยสายตาแบบนั้น ผมไม่ให้คุณเอามันไปปล่อยนะ”

ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรเลยสักนิด เจ้าคนเพ้อเจ้อตรงหน้าก็โอบกอดแมวที่อยู่ข้างตัวพวกเขามาตลอดตั้งแต่วันแห่งการเริ่มต้นของทุกอย่างเดินถอยหลังไปสามก้าวใหญ่ๆ จนโรมหงุดหงิดและเลิกคิดจะแหย่ไปชั่วคราว อยู่กับพวกจริงจังตลอดเวลาแล้ว เซ็งชะมัด “ก็ไม่ได้จะเอาไปปล่อย”

“แล้วคุณมองมันแบบนั้นทำไม”

“มองแบบไหน”

“ก็แบบ...ที่เหมือนอยากสับมันแล้วให้มันเป็นอาหารหมาหรือมองแล้วอยากเอามันไปโยนทะเลอะไรประมาณนั้น”

“เพี้ยนหรือไง เนื้อแมวเหลวๆ ของไอ้แมวอ้วนนั้น โยนให้หมา หมามันยังไม่สนใจสักนิดเดียว”

“แล้วคุณ...”

“แค่มองเพราะว่าเหลืออีกคนเดียวแล้ว”

“หมายถึงคนที่ต้องช่วยน่ะเหรอ”

โรมเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ก่อนจะประสานฝ่ามือเข้าหากันที่หลังคอ ทว่ากลับไม่ยอมตอบอะไรกลับไป สุดท้ายคนที่ถามก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วเดินออกจากห้องไปเหมือนทุกที เขารู้นิสัยเจ้านายของเขาคนนี้ดี ทุกครั้งที่เขาหรือคนอื่นๆ เกิดคำถาม ไม่มีเสียหรอกที่จะยอมตอบ ทั้งยังเสพติดการที่เห็นคนอื่นร้อนใจอยากรู้ แต่ไม่ได้คำตอบเหมือนเดิม

สิ่งเดียวที่จะโต้ตอบคืนไปได้ก็คือ ทำเป็นเหมือนไม่เคยถามมาก่อนแล้วเดินออกไป เหมือนที่เขากำลังทำอยู่นี่แหละ

ทว่าในตอนนั้นเอง เสียงของโรมกลับดังขึ้นด้านหลังของเขา ราวกับรับรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร

“ใช่”

“...”

“เหลืออีกแค่คนเดียวเท่านั้น พวกเราก็จะเป็นอิสระเสียที”

 












--------------------------------------------------------------------------------------------------------












สุดท้ายวันนี้เขาก็ไม่มีความกล้ามากพอจะเข้าไปทักหรือทำตัวเช่นเดิมกับทิวา

เกือบห้าทุ่มแล้วที่เขายังนั่งอยู่ปลายเตียงเช่นนี้ ตั้งแต่หลังซ้อมครั้งสุดท้ายเสร็จ เพลงของพวกเขาเสร็จเรียบร้อยหมดทุกอย่าง รันคิวก็เป็นไปได้ด้วยดี เหลือก็เพียงแต่การไปเช็คสถานที่พรุ่งนี้และเริ่มซ้อมวันสุดท้ายครั้งใหญ่ในสถานที่จริงในวันมะรืน หลังจากนั้นคอนเสิร์ตของพวกเขาและเส้นทางเดินใหม่ก็จะเริ่มต้นขึ้น

อาจจะจริงที่ใครคนหนึ่งเคยพูดเอาไว้ เมื่อเริ่มต้นสิ่งใดสิ่งหนึ่งใหม่ ก็พลันหวนนึกถึงการเริ่มต้นของอีกสิ่งหนึ่งเสมอ

วินอดคิดถึงไม่ได้เลยว่า เหตุใดเขาจึงได้เดินทางมาจนกระทั่งเป็นเขาเช่นทุกวันนี้

มันไม่ได้ยิ่งใหญ่ ไม่ได้ซึ้งกินใจหรือชวนให้หลายคนมีกำลังใจที่วาดฝันเช่นที่คนเคยคาดเดา

มันเป็นเพียง...ความเพ้อเจ้อและความคาดหวังอันริบหรี่

ยังจำได้ดีถึงคำพูดของคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่เขาได้พบ พร้อมกับแมวสีขาวตัวหนึ่ง

ใครคนนั้นที่พูดว่า สักวันหนึ่งเมื่อลืมเลือนจนหมดหัวใจ กาลเวลาจะหมุนย้อนกลับให้เขาได้ตักตวงบางสิ่งที่เคยสูญเสีย หากเขาจะไม่มีวันได้มันมา

เพราะสุดท้ายทุกอย่างจะกลับคืนสู่ที่ที่มันเคยเป็น

เขาเคยไม่เชื่อ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ กลับทำให้เขาเริ่มกลับมาเชื่อคนคนนั้นหมดหัวใจ

และถ้ามันเป็นดังที่คนคนนั้นเคยพูดไว้ นั่นคงหมายถึง...

วินหลับตาแน่น ไม่กล้าคิดต่อแม้เพียงเสี้ยววินาที แม้จะพยายามตัดความคิดเหล่านั้น แต่ความเจ็บปวดที่เคยได้รับกลับพุ่งตรงมายังที่กลางใจ ซ้ำรอยแผลเก่าๆ ที่เคยมี ก่อนจะค่อยๆ จางหาย เมื่อนึกใบหน้าของใครบางคน

ใคร...ที่เขาทั้งอยากพบและไม่อยากพบในคราเดียวกัน

“ถ้า...ไม่หายไปอีก จะดีสักแค่ไหนนะ”

เขาถามความว่างเปล่าตรงหน้า พลางลูบกระจกใสบนกรอบรูปไปมา

รูปที่พกติดตัวเอาไว้ รูปคู่ใบเดียวและใบสุดท้าย ก่อนที่อีกคนที่ยืนอยู่ข้างกันจะไม่สามารถตื่นขึ้นมายิ้มให้เขาได้อีกตลอดกาล

“ถ้าคำภาวนานั้น ทำให้กลับมา แล้วถ้าเราภาวนาอีกครั้งให้อยู่...จะอยู่กับเราไหม”

...

“จะกลับมาไหม?”

ไร้เสียงใดๆ ตอบกลับมา สุดท้ายวินก็ได้แต่วางกรอบรูปคว่ำไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียงเหมือนที่เคยวาง ก่อนเอนตัวลงนอนอีกครั้งหนึ่ง

คืนนี้ ก็ยังเป็นอีกคืนที่ยากจะข่มตาหลับเช่นเดิม

 













--------------------------------------------------------------------------------------------------------













น่าเสียดาย

‘ถึงตอนนั้น...ต้องให้ฟังเป็นคนแรกนะ’

‘อืม รอฟังได้เลย’

สุดท้าย ก็ไม่มีโอกาสได้ฟัง






แม้ทุกอย่างเปลี่ยน แต่เหมือนมีเพียงสิ่งเหล่านั้นที่ไม่เปลี่ยน

ที่ยังรัก ก็ยังคงรักเช่นนี้ ไม่เปลี่ยนเลย



(โปรดติดตามตอนต่อไป)



---------------------------------------------------------------------

fact about ทิวา

เมื่อเจอปัญหา จะชอบพุ่งชนมากกว่าจะหนี


NAVY
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-12-2019 23:20:31 โดย KarmaNavy »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ...ทำไมทุกคนต้องตกอยู่ในวังวนของเหตุการณ์นั้นด้วย?

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
มันคืออะไร หมายความว่าต่อจากนี้เมื่อในอดีตเมื่อ 6 ปีก่อนเดย์ป่วยตายแล้วเหรอ ไม่จริงน่า

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 687
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
แงงง อยากรู้ ทำไมถึงเป็นแบบนี้

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
บางครั้งคนเราก็รอบางอย่างที่รู้ว่าไม่มีวันจะได้มา

บางอย่างที่อาจจะทำหล่นหายหรือบางอย่างที่เคยเติมเต็มหัวใจ

 













 

ตกหลุมรักระยะที่ 14






“คนคนนั้นที่วินรักมากๆ ตายไปแล้ว”

“ไม่ใช่เรื่องที่น่าเอามาพูดลับหลังเจ้าตัวเท่าไหร่”


“...เดย์”

“ตายไปตั้งแต่เมื่อหกปีก่อนแล้วล่ะ”

“อันที่จริงน่าจะพูดว่า กลับมาไม่ได้มากกว่า”


 








------------------------------------------------------------------------











“เดย์!!”

“...!!”

“เป็นอะไร ฝันร้ายเหรอ เหงื่อออกเต็มไปหมดเลย” สีหน้าของจินไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทำให้ทิวาพอจะเดาได้ว่าสถาพของเขาคงจะดูไม่ได้สุดๆ เป็นแน่ ไม่อย่างนั้น จินที่ค่อนข้างเก็บความรู้สึกเก่งคนนี้ คงไม่แสดงสีหน้าเป็นห่วงเช่นนี้ออกมา เขาค่อยๆ ลุกขึ้นด้วยการพยุงของจินที่เข้ามาปลุกเขาถึงในห้อง ทั้งที่จริงๆ แล้วอีกคนแทบไม่เคยเข้ามาหาเขาเช่นนี้ในตอนเช้าบ่อยนัก “เห็นว่าจะสิบเอ็ดโมงแล้วแต่เดย์ยังไม่ลงไปข้างล่างเสียที เลยขึ้นมาดู”

“...เมื่อคืนนอนดึกน่ะ มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย”

ทิวาหลุบตาลงมือมองตัวเองขณะที่จินวางมือทาบบนหน้าผากชื้นเพื่อตรวจอุณหภูมิ มันค่อนข้างร้อนกว่าอุณหภูมิปกติ “ตัวรุมๆ น่าจะไข้ขึ้น เดี๋ยวเราเอายามาให้”

“ไม่เป็นไรมากหรอก พักหน่อยเดียวก็ดีขึ้น” ทิวารีบจับข้อมือจินที่รีบลุกหมายจะไปเอายาให้ตามที่ว่า แต่ตอนนี้เขาไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะยาหรือข้าวเช้า

แค่อยากนั่งอย่างนี้อีกสักพัก ตกตะกอนความคิดกับสิ่งที่เพิ่งรู้คนเดียวเงียบๆ เท่านั้นเอง

“ถ้าเดย์ว่าอย่างนั้นก็โอเค ยังไงจะลงไปกินอะไรข้างล่างก่อนไหมหรือจะให้เรายกขึ้นมาบนนี้แทน”

“เดี๋ยวลงไป ขออาบน้ำก่อน...แล้ววินล่ะ”

“วันนี้ไม่อยู่”

“...ถามได้หรือเปล่าว่าไปไหน”

จินส่ายหน้า “ไม่ได้บอกไว้นะ คงต้องไปถามไป๋ รายนั้นน่าจะรู้” ทิวาพยักหน้ารับรู้ ใช้เวลาอีกครู่ใหญ่กว่าจินจะวางใจให้เขาไปอาบน้ำ อันที่จริงอีกคนแอบบ่นเล็กน้อย เพราะถึงจะไม่มีไข้สูง แต่อาบน้ำเย็นๆ ก็ไม่ค่อยดีเสียเท่าไหร่ ทว่าทิวาไม่อยากแค่เช็ดตัวให้พอเสร็จๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันนี้ที่เขามีที่ที่ต้องไป

หลังอาบน้ำและแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เขายังไม่ลงไปข้างล่างเหมือนอย่างที่รับปากจินเอาไว้ แต่กลับไปยืนอยู่หน้าห้องที่ไม่เคยเข้าไปมาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ห้องของวิน

เมื่อลองขยับลูกบิดก็พบว่าอีกคนไม่ได้ล๊อกห้องดังคาด แม้จะแปลกใจ แต่เขาก็พยายามไม่คิดอะไรมาก บางทีในห้องอาจจะไม่มีอะไร สิ่งที่เขาคิดจะตามหาในห้องก็เป็นเพียงสิ่งที่เขาคิดมากไปเอง ทั้งที่คิดแบบนั้น แต่ในตอนที่กวาดสายตาไปรอบห้องของอีกคน เขากลับหวั่นใจอย่างประหลาด

ราวกับว่า...เขากำลังเผชิญอยู่กับสิ่งที่เขาหวาดกลัวมากที่สุด ทั้งยังเป็นสิ่งที่เขาไม่รู้ว่าเมื่อเผชิญหน้าแล้ว จะต้องพบเจออะไรต่อไปเสียด้วย

ในห้องของวินไม่ค่อยมีข้าวของมากมายเหมือนห้องอื่น ทั้งที่เจ้าตัวใช้มันเป็นห้องอยู่ประจำมาตั้งแต่ฟอร์มวง มีเพียงตู้เสื้อผ้าแบบบิลด์อินที่น่าจะเพิ่งทำไม่นาน เตียง และโต๊ะทำงานที่มีกระดาษเกลื่อนกลาดเป็นปกติ เนื้อความบนกระดาษ ถ้าไม่เป็นโน้ตเพลง ก็เป็นภาพวาดเสตจต่างๆ นอกนั้นก็ไม่มีอะไร ทำให้ทิวาทั้งโล่งใจและอดผิดหวังไม่ได้

จากเรื่องที่ภัทรเล่าให้ฟังเมื่อวาน เรื่องเล่าที่เขาไม่คาดหวังอะไร กลับเป็นเสมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่เขาตามหา อันที่จริงเขาตั้งใจจะถามตัววินเองเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ไม่นึกว่า พอวินเป็นเขาก็เดินหนีไปทันทีจนไม่มีโอกาสรั้ง ดังนั้นเมื่อวานจึงยอมฟังเรื่องราวจากปากภัทร เพราะนึกว่ามันคงจะช่วยอะไรได้บ้าง

มันไม่ได้แค่ช่วยอะไรได้บ้าง แต่ช่วยได้เกือบทั้งหมดเลยต่างหาก

ใครจะไปคิดว่า คนที่เขาคิดว่ายังคงมีอยู่ เป็นคนที่วินฝันคนนั้นจะตายไปแล้ว

แถม...ยังมีโอกาสเป็นไปได้ว่าจะเป็นตัวเขาเองเสียด้วย

และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เขาก็ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมเขาในโลกนี้ถึงได้เหมือนหายไปอย่างสิ้นเชิงและทำไมเมื่อคนที่เขาคุ้นเคยจดจำเขาได้ขึ้นมา ล้วนแต่มีท่าทางตกใจและแปลกใจที่เขายืนอยู่ต่อหน้า ทว่า...ในใจลึกๆ ก็อดเสียใจไม่ได้ ที่ชีวิตของตัวเองหยุดลงไปตั้งแต่หกปีก่อน โดยที่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเป็นเพราะอะไร

ไม่มีใครบนโลกนี้อยากตายหรอก

โดยเฉพาะในตอนที่รู้ว่าตัวเองมีสิ่งที่รักหรือใครบางคนที่อยากอยู่ด้วย เช่นที่เขาเป็นอยู่

เขาเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมโรมถึงได้พูดว่า หากเขาได้กลับไปก็เหมือนการเริ่มต้นใหม่และเขาจะเลือกได้ว่าจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ก็ได้ บางทีอาจจะหมายถึงเรื่องนี้ก็เป็นได้

แต่ตอนนี้ที่ยังไม่ได้ข้อสรุปอันชัดเจนอะไร เขาก็ยังไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่ามันคือเรื่องจริง ซึ่งบางทีเขาควรจะถามคนที่รู้ดีที่สุด...ผู้ซึ่งเหมือนคนแปลกหน้าที่เคยคุ้นเคยไปเสียแล้วสำหรับทิวา

(ว่าไง)

“...ทำเสียงเหมือนกับว่า รู้อยู่แล้วว่าจะโทรมา”

(ก็...จะว่าแบบนั้นก็ได้ เดาไว้นิดหน่อยว่าไม่เกินหนึ่งวันเดย์จะโทรมาหา) ปลายสายหัวเราะเบาๆ (...แล้วก็โทรมาจริงๆ)

“โรม”

(ครับ)

“ถามได้ไหม เกี่ยวกับ...”

(ไม่ได้ไปถามคนชื่อมาวินหรอกเหรอ)

ทิวาเม้มปาก เมื่อถูกสวนกลับมา “ยังไม่ได้ถาม”

(อ๊ะ หรือโดนหลบหน้า)

“...”

(จริงเหรอเนี่ย) แล้วเสียงหัวเราะที่ตอนแรกไม่ดังมาก กลับค่อยๆ เพิ่มระดับเสียงดังขึ้น ชั่วแวบหนึ่งที่ทิวาคล้ายได้ยินเสียงปรามเบาๆ จากอีกฝั่ง ก่อนที่โรมจะพูดขอโทษเบาๆ ตอบกลับไป (ขอโทษๆ แต่ไม่คิดว่าหมอนั่นจะหนีเหมือนคนขี้ขลาดแบบนี้ แสดงว่ารู้หมดแล้วสิท่า)

“หมายความว่าไง ใครรู้อะไร”

(ก็คนที่ให้ไปถามไง คนที่ชื่อมาวินอะไรนั่น)

“...”

(การที่เขาหลบหน้าแบบนี้ มีอยู่ไม่กี่เหตุผลหรอก แต่ให้เดาเลยนะ คงรู้เรื่อหมดแล้วนั่นแหละ เลยไม่อยากตอบคำถามอะไรที่เดย์สงสัย)

“ทำไม...”

(ก็ถ้าตอบ เดย์ก็ต้องไป เรื่องมันก็แค่นั้น)

“...”

(ตัวเดย์เองก็รู้คำตอบอยู่แล้วนี่ว่าถามแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่แปลกหรอกถ้าหมอนั่นจะเกิดกลัวจนไม่อยากจะเจอหน้า)

“กู...ไม่สิ” จู่ๆ ทิวาก็รู้สึกเหมือนไม่รู้จักอีกคนเสียแล้ว จนไม่กล้าจะพูดแสดงความสนิทสนมอย่างที่ผ่านมา ทั้งอึดอัดอย่างเห็นได้ชัดจากน้ำเสียงที่แผ่วปลาย แต่เพราะความอยากรู้มันมากกว่า สุดท้ายจึงยอมพูดต่อ “เดย์ในโลกนี้ ตอบได้หรือเปล่าว่าตายได้ยังไง”

(รู้แล้วเหรอว่าตาย ไม่ใช่แค่หายไปเหรอ...)

“แล้วมันจริงอย่างที่สงสัยไหม”

(...)

“ถ้ามันจริง ก็แค่ตอบมา”

โรมเงียบไปนานมาก นานจนทิวานึกว่าสายหลุดไปเสียแล้ว มือของเขาที่จับโทรศัพท์สั่นเสียจนต้องเอาอีกมือคอยจับเอาไว้ไม่ให้โทรศัพท์ร่วงลงกับพื้น เรี่ยวแรงเริ่มน้อยลงไปทุกทีเช่นเดียวกับอาการปวดหัวที่ทบทวีทุกขณะ สุดท้ายในตอนที่กำลังจะหมดความอดทน เสียงถอนหายใจเบาๆ และคำพูดต่อมาจากอีกคนก็ทำให้ทิวากลืนถ้อยคำลงไปแทน

(ไอ้ได้มันก็ได้อยู่หรอก แต่อยากรู้จริงๆ ใช่ไหม)

“...”

(เดย์ มานั่งฟังว่าตัวเองตายได้ยังไง ทั้งที่ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่มันก็ไม่น่าฟังสักเท่าไหร่หรอกนะ)

“...”

ทิวายิ้ม ทั้งที่ตอนนี้ไม่มีความรู้สึกอยากจะทำแบบนั้นเลยสักนิด ถามย้อนกลับไปด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า

ใช่ ตอนนี้เขาเหนื่อยมาก

ทั้งเหนื่อยและอยากถามเหลือเกิน ว่าเมื่อไหร่เรื่องนี้จะจบลงเสียที

“แล้วมีทางเลือกอื่นด้วยเหรอ”

(...)

“โรมบอกเอง ว่าถ้าอยากกลับไปก็ต้องรู้เรื่องที่ว่าทำไมถึงต้องถูกส่งให้มาที่นี่เองนี่”

(มันก็ใช่... เอาเถอะ ถ้าอยากรู้ก็จะบอกให้ก็ได้)

“...”

(แล้วก็จะบอกด้วยว่าตอนนี้มาวินไปไหน เผื่อว่าเดย์อยากจะฟังเรื่องทั้งหมดจากปากเจ้าตัวอีกครั้งหนึ่ง)

“...ขอบคุณ”

(ไม่ต้องขอบคุณหรอก อันที่จริง...มันก็เป็นเรื่องที่ฉันต้องทำให้อยู่แล้ว)

“...”

(...ก็เป็นสิ่งที่ ‘พวกเรา’ ต้องชดเชยให้เดย์อยู่แล้วนี่นะ)

 











------------------------------------------------------------------------














“จิน”

ไป๋เดินออกมาหาจินที่ยืนอยู่หน้าบ้านหลังจากที่เพิ่งส่งทิวาขึ้นรถแท๊กซี่จากไป สีหน้าของไป๋ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่จนจินเริ่มสงสัย "มีอะไรหรือเปล่า”

“เมื่อกี้เดย์เหรอ ได้บอกหรือเปล่าว่าไปไหน”

“ไม่ได้บอก แต่ได้ยินแว่วๆ เหมือนจะไปโบสถ์หรือสุสานสักที่นี่แหละ”

“...”

“ไป๋ เป็นอะไร”

“จู่ๆ มันก็เหมือนนึกขึ้นมาได้ขึ้นมาน่ะสิ”

“นึกอะไรขึ้นได้เหรอ” จินหันไปหาเวย์และแคทที่เดินตามออกมาจากบ้านด้วย ทั้งสามคนมองหน้ากันเอง ซึ่งสีหน้าก็แทบไม่ต่างกันเสียเท่าไหร่ ถ้าไม่มีความตกใจ ก็เป็นความรู้สึกเหลือเชื่อที่ยากจะอธิบายให้จินฟังรู้เรื่อง

“เรื่องของเดย์”

“...”

“จำเรื่องเล่าที่ว่าวินมันเคยมีคนที่ชอบมากๆ ได้ไหมจิน”

“จำได้...แล้วมันเกี่ยวยังไงกับเรื่องของเดย์”

“พวกเราเพิ่งจะมาจำได้กันน่ะสิว่า คนคนนั้นคือเดย์”

“...”

“ตอนนี้ก็เลยสงสัยกันว่าทำไมถึงลืมไปได้ แถมยังจำอะไรไม่ได้เกี่ยวกับเดย์เลย ทั้งที่จริงๆ แล้วก็เคยไปเจอเดย์ ถึงจะไม่เคยคุยกันสักครั้งก็เถอะ”

“เดี๋ยวก่อนนะ...” จินขัดจังหวะพวกแคทขึ้น เมื่อบทสนทนาที่น่าตกใจนี่กำลังดำเนินไปเรื่อยๆ คล้ายเหมือนพอจำได้ เรื่องราวต่างๆ ที่เคยได้แต่คาดเดาก็เหมือนจะมีคำตอบไปเสียหมด “...แต่ไป๋เคยบอกว่า คนที่วินชอบตายไปแล้วนี่”

“...”

“แล้วจะเป็นเดย์ไปได้ยังไง ในเมื่อ...”

“ใช่ มันเป็นไปไม่ได้เลย ในเมื่อเดย์ยังมีตัวตนอยู่ต่อหน้า แถมอยู่กับพวกเราเป็นเดือนๆ แบบนั้น” ไป๋ว่า “แต่มันเป็นไปแล้วจิน”

“...”

“มิน่า ไอ้วินมันถึงได้บอกอะไรคลุมเครือฟังแล้วงงๆ แบบนั้น ที่ไหนได้...มันคงรู้เรื่องทั้งหมดนานแล้ว”

“มันบอกอะไรมึง ไป๋”

ไป๋ยีเส้นผมตัวเองอย่าหงุดหงิดที่ตอนนั้นไม่นึกเอะใจอะไรเลย “ตอนนั้นกูก็คุยๆ กับมันเรื่องเดย์นี่แหละ ก็แค่สงสัยว่าทำไมมันถึงได้เข้ากับเดย์ได้ง่ายขนาดนั้น เหมือนมันกลับไปเป็นมันคนก่อนเมื่อหกปีที่แล้ว”

“...”

“มันก็หัวเราะพูดๆ ประมาณว่า ‘ขนาดภัทรยังกลับมาได้ ทำไมคนนั้นจะกลับมาไม่ได้ล่ะ’ กูก็นึกว่ามันพูดเล่นดิ ก็คนตายไปแล้วใครมันจะฟื้นขึ้นมาได้”

“เชี่ย...”

“แล้วมันยังพูดอีกนะว่า ถ้าจบเรื่องแล้วพวกเราไม่ ‘ลืม’ ไปเสียก่อน มันจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังแน่ๆ”

“งั้นมันก็จำได้นานแล้วดิวะ ว่าเดย์คนนี้...”

“คือเดย์คนเดียวกับที่มันชอบเมื่อหกปีก่อน” เวย์พูดเสริมแคทที่ยังตกตะลึงไม่หาย ในช่วงเวลาเช่นนี้ เวย์กลับดูใจเย็นว่าไป๋และแคทเสียอีก เจ้าตัวยืนเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนจะกดโทรศัพท์คล้ายต้องการติดต่อใครบางคน

“มึงจะโทรหาใคร”

“สักคน ใครที่รู้ว่าที่ที่ไอ้วินไปวันนี้มันอยู่ที่ไหน”

“สุสานของเดย์อะเหรอ” แคทว่าพลางลูบแขนที่ขนตั้งชี้ ทั้งที่อากาศรอบตัวร้อนอย่างกับจะย่างเขาให้เกรียม “แม่ง พูดถึงคนตายไปแล้ว แต่คนที่คิดว่าตายไปแล้วกลับกำลังนั่งรถไปที่สุสานตัวเองเนี่ย มันแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ว่ะ”

“มึงจะตามไปเหรอ”

“ก็เออสิวะ มาถึงขนาดนี้แล้วจะนั่งรอเฉยๆ มันก็ไม่ได้แล้วหรือเปล่า”

“...แต่เราว่าอย่าไปเลย”

“แต่ว่า...”

จินส่ายหน้า หลังจากที่ฟังคนอื่นพูดมาพักใหญ่ เขาก็พอจะปะติดปะต่อได้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาเองก็เหมือนคนอื่นๆ ที่อยากรู้เรื่องทั้งหมด แทบอยากจะหายตัวไปหาสองคนต้นเรื่องเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อมันเกี่ยวพันถึงชีวิตของใครคนหนึ่งเช่นนี้...เขากลับไม่อยากไปเสียอย่างนั้น

แม้ว่าเขาจะเพิ่งมารู้จักวินได้ไม่นาน แต่เรื่องที่วินมักจะไปเยี่ยมและยังคิดถึงใครคนนั้นอยู่เสมอ ราวกับคนคนนั้นไม่เคยหายไปจากใจเลยแม้แต่วินาทีเดียว เขาก็รับรู้มาตลอด เมื่อลองคิดในมุมของวินแล้ว ก็พอจะเข้าใจว่าทำไมวินจึงทำเช่นนี้

อะไรที่เคยต้องการมาตลอด จู่ๆ ก็ปรากฏตรงหน้า ถ้าไม่ทะนุถนอมจนหมดหัวใจก็คงหวาดกลัวว่ามันจะเป็นความฝัน กลัววันหนึ่งมันสูญสลาย เช่นที่เป็นอยู่ในทุกค่ำคืนที่ฝัน ไม่ต่างอะไรเลยกับการพบกันอีกครั้งที่เหมือนปาฏิหารย์เช่นนี้ของสองคนนั้น

“รอถามเอาทีหลังเถอะ”

“...”

“ตอนนี้ ให้เดย์ได้ไปคุยกับวินแค่สองคนดีกว่า”

“...”

“ถ้ามันเป็นอย่างที่พวกเวย์ว่าจริงๆ ล่ะก็ สองคนนั้นก็รอกันมานานเกือบหกปีแล้วนะ”

“...มันก็จริง”

“ให้พวกเขาได้พูดกันเถอะ”

“...”

“พวกเรา...ทำได้แค่รอเท่านั้นจริงๆ”

 




และบางอย่างที่ว่า อาจหมายถึงใครบางคน

ที่เหมือนกำหนดไว้แล้วว่า เขาไม่มีวันกลับมา



(โปรดติดตามตอนต่อไป)

----------------------------------------------------------------------------------

NAVY

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ง่า...บทส่งท้าย 

ใครบางคน.....คนคนนั้นคือใคร?

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ทำไมอะ ทำไมเดย์ถึงต้องป่วยตายล่ะ

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
เธอเคยถามว่า คนเราตายแล้วจะหายไปไหน

ฉันตอบกลับไปว่า พวกเขาไม่เคยหายไปจากโลกนี้











 

ตกหลุมรักระยะที่ 15



 

จากถนนหนทางที่มีแต่ตึกรามบ้านช่อง ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยต้นไม้ริมทางและดอกไม้หลากสี มีเพียงบรรยากาศเรียบง่ายของชุมชนรอบนอกเมืองหลวง ทิวาก้าวเท้าลงจากรถแท๊กซี่ มองสุสานขนาดกลางที่ตั้งอยู่รอบนอกเมืองใหญ่ตรงหน้าตัวเองด้วยความรู้สึกที่ยากอธิบาย

มันเงียบสงบสมกับที่เป็นที่พักผ่อนสุดท้ายของหลายๆ คน มีกลิ่นหอมอ่อนจางของดอกไม้ที่ปลูกอยู่ริมรั้วสีดำสนิท ภายในรั้วเต็มไปด้วยแผ่นหินเรียงร้ายนับร้อย พริบตาหนึ่งครั้งก็คล้ายว่านอกจากความสงบแล้ว ก็มีเพียงแต่ความเงียบเหงาเท่านั้น

เขาเดินไปหยุดที่ร้านขายดอกไม้ ยืนอยู่นานมองอย่างไม่รู้ว่าควรจะหยิบดอกไม้ไปดีหรือไม่ แล้วหลุดหัวเราะออกมา

หากในนั้นคือตัวเองในโลกนี้หลับใหลอยู่ มันคงตลกน่าดูที่ตัวเขาในอดีตเลือกดอกไม้ไปเยี่ยมเยือนตัวเอง กระนั้นเขาก็ยังเลือกดอกไม้ที่เขาชอบมากที่สุดติดไม้ติดมือไปด้วย

ในสุสานไม่ได้แออัดไปด้วยหลุมศพเสียจนยากจะตามหาคน ซ้ำร้ายยังงดงามจนเขาอดขอบคุณคนที่เลือกสถานที่แห่งนี้ให้เขาในอนาคตได้หลับใหลเสียอีก กลิ่นหอมของหญ้าสดใหม่กระจายขึ้นทุกคราที่เขาลงฝีเท้าเดินไปตามเส้นทางสายน้อยในสุสาน

เดินวนเวียนอยู่พักใหญ่ เขาก็สังเกตเห็นร่างเดียวดายที่นั่งอยู่หน้าหลุมศพแห่งหนึ่งในนั้น มีต้นไม้ต้นใหญ่ช่วยบดบังแสงแดดเกิดร่มเงาร่มรื่นพอดี แม้จะห่างไกลขนาดนี้ ทว่าทิวาก็ยังเดาได้ว่าใครที่นั่งอยู่ตรงนั้นและหากมันถูกต้อง หลุมศพนั้นคงเป็นตัวเขาเอง

แต่ละก้าวที่ลดระยะห่างระหว่างเขาและคนคนนั้นนำพาความรู้สึกไร้ที่มาตรงก่อกวนดวงใจจนไม่รักษาความเยือกเย็นได้ ยิ่งมองเห็นเสี้ยวใบหน้าด้านข้างนั้นชัดเจนมากเท่าไหร่ ลมหายใจของทิวาก็ยิ่งไม่เป็นจังหวะ มือสั่นไม่ต่างจากตอนที่โทรไปหาโรม กระนั้นก็ยังไม่ยอมยั้งฝีเท้า ยิ่งเร่งให้เร็วขึ้น จนกระทั่งห่างไปไม่ถึงสิบก้าวเขาจึงหยุดลง

สายลมเย็นสบาย แสงแดดที่อ่อนจางยามบ่ายแก่ มีเพียงเขาและวินที่อยู่ตรงนั้น ไม่มีใครเอ่ยปากและยิ่งไม่มีใครขยับก้าวเข้าหากัน พวกเขาเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นเนิ่นนานราวกับช่วงเวลารอบกายหยุดเดิน

ทว่ามันก็เป็นเพียงความคิด ความจริงแล้วโลกก็ยังคงหมุนต่อไป ไม่มีทางที่จะหยุดลงหรือเดินถอยหลัง

“อยากจะ...วางมันไหม”

วินว่า คงหมายถึงดอกไม้ในมือของเขา

ทิวาไม่ได้ตอบกลับไป แต่ยื่นมันให้กับอีกคนและมองวินวางมันลงที่ด้านหน้าของหลุมศพ เคียงข้างกับดอกไม้อีกช่อที่ทำให้ใจของเขาแกว่ง เพราะดอกไม้ทั้งสองช่อราวกับฝาแฝด เป็นดอกไม้ชนิดเดียวกัน แม้กระทั่งริบบิ้นก็ยังเป็นสีเดียวกัน

รู้ได้ยังไงนะ ว่าเขาชอบดอกไม้นั่น

“เดย์เคยพูดอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนที่เราเริ่มสนิทกันน่ะ”

ไม่รอให้เขาเอ่ยปากถาม วินก็เหมือนอยู่กลางใจ ตอบออกมาพร้อมรอยยิ้ม

ไม่สิ อันที่จริง วินก็อยู่ตรงนั้นมาตลอด

ไม่ว่าจะเขาที่มาอดีตหรือเดย์คนนี้ที่หลับใหลชั่วนิรันดร์ไปแล้ว

“นึกว่าจะถามอะไรเสียอีก”

ทิวาถอนหายใจแล้วเดินไปนั่งอยู่ข้างๆ วิน มองแผ่นหินเย็นเฉียบที่สลักชื่อ คำระลึกและวันเวลาที่เขาใช้ชีวิต ก่อนจะแตะมันด้วยปลายนิ้ว ให้ความเย็นนั้นซึมผ่านผิวหนัง

แผ่นหินที่แสนเงียบเหงาที่ผู้ชายข้างกายเขามาเยี่ยมเยียนนับตั้งแต่เขาคนนี้จากไป

“ไม่รู้จะถามอะไร”

“...”

“รู้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม เรื่องของเรา”

“ไม่หรอก เพิ่งจะ...แน่ใจไม่นานเท่าไหร่”

“...”

“อย่างน้อยก็ก่อนเดย์จะบอกเรื่องมาอยู่ที่นี่”

“แล้วทำไม...”

วินหลุดยิ้ม “ก็แค่อยากรู้ว่า ถ้าวินทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อไป เดย์จะยังอยู่ตรงนี้ด้วยไหมเท่านั้นเอง”

“...”

“หกปีแล้ว นานขนาดนั้น ไม่เคยคิดเลยว่าจะยังรู้สึกอยู่เหมือนเดิม” น้ำเสียงของวินเรียบเรื่อยเหมือนชินชา แม้แต่สีหน้าที่มองไปยังแผ่นหินตรงหน้าก็ยังนิ่งเฉย มีเพียงแววตาที่ฉายชัดถึงความเจ็บปวดที่ไม่เคยจางหายไปตามกาลเวลาเหมือนเช่นสิ่งอื่น ทุกครั้งที่มาที่นี่ ความคิดถึง ความเศร้า ความทรมานยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คล้ายไม่ต้องการให้เขาลืมเลือน

ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย

ไม่ใช่เพราะมาที่นี่เขาจึงลืมไม่ลง

แต่เป็นตัวเขาเองต่างหากที่ไม่ยอมลืม แม้จะพยายามเช่นที่คนอื่นปรารถนาให้ก้าวไปข้างหน้า แต่ทุกครั้งที่บอกให้ลืม หัวใจเขายิ่งย้ำถึงความทรงจำแสนงดงามที่แสนสั้นนั้นเสมอในทุกค่ำคืน ไม่อาจถอดถอนให้มันออกไปจากใจ รวมไปถึงสมองที่ไม่ว่าจะกวาดสายตาไปที่ใด ก็คล้ายจะเห็นเงาซ้อนทับของใครคนนั้นในความทรงจำคอยส่งยิ้มมาให้

คิดถึงเหลือเกิน

เพราะงั้น

“ตอนที่เจอกัน ดีใจมากเลยรู้ไหม”

“...”

“ไม่อยากให้หายไปเลย”

“...”

“ไม่อยาก...” ดวงตาร้อนผ่าวจนนึกกลัวว่าจะร้องไห้ “...ไม่อยากคิดเลยว่า ถ้าต้องเสียไปอีกครั้งหนึ่งจะเป็นยังไง”

“เพราะงั้น เลยไม่ยอมบอกความจริงเหรอ”

“...อือ”

ทิวาถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้ววางหัวตัวเองลงที่ไหล่ข้างกาย สูดกลิ่นประจำตัวที่ทำให้ใจของเขาสงบลง แต่มันกลับทำให้น้ำตาไหลเสียอย่างนั้น “สำหรับเดย์แล้ว ตอนที่มาที่นี่แล้วเจอวิน มันคือเรื่องที่ดีมากๆ เลยรู้ไหม”

“...”

“ถึงตอนนั้นจะแกล้งจำไม่ได้ แต่มีวิน เดย์ก็ไม่กลัวอะไรเลย เพราะมีวิน”

“...”

“แต่สำหรับวิน มันคงเรียกว่าเรื่องดีๆ ไม่ได้”

“...”

“ขอโทษ ที่ต้องทำให้เจ็บอีกแล้ว”

“...ไม่เป็นไร”

“ขอโทษ ที่ต้องไปเหมือนเดิม ขอโทษนะ”

“ไม่เป็นไรเลย อย่าร้องไห้” วินยื่นมือมาซับน้ำตาที่หางตาของเขา ใบหน้านั้นยังคงมีรอยยิ้มเช่นที่เขาชอบมอง แม้ดวงตาจะแดงเรื่อเหมือนน้ำตาจะไหลออกมาได้ทุกเมื่อ แต่วินก็ยังยิ้ม ราวกับอยากให้สีหน้าเช่นนี้ประทับลึกลงกลางใจทิวา มากกว่าความเจ็บปวด

แม้จะใกล้พังทลายอีกครั้ง แต่เขาก็ยังอยากรักษาดวงใจคนตรงหน้ามากกว่าตัวเอง

อยากให้ยิ้มมากกว่าร้องไห้ ไม่อยากให้ต้องทุกข์ใจและรู้สึกผิด

“ไม่เป็นไรจริงๆ นะ วินรู้ตั้งแต่ที่จำได้แล้วว่าวันนี้ต้องมาถึงสักวัน ที่ขี้ขลาดไม่กล้าเผชิญหน้า เพราะกลัววันที่ต้องจากกันมันจะมาถึงเร็วไปเท่านั้นเอง”

“...”

“ถึงจะรู้อนาคตว่าสักวันจะต้องเสียใจแบบนี้ ซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่วินก็ยังจะเลือกแบบเดิม”

“...”

“ยังเลือกที่จะเจอเดย์เหมือนเดิม ไม่เคยเสียใจเลยแม้แต่นิดเดียว”

“...”

ริมฝีปากอุ่นประทับที่กลางหน้าผาก เนิ่นนานคล้ายไม่อยากจากไป “เพราะงั้นอย่าร้องไห้ วินไม่เสียใจเลย”

ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมา พวกเขากลับไปนั่งข้างๆ กันเงียบๆ เช่นคราแรก ก่อนทิวาจะเป็นเอ่ยถามขึ้นมาก่อน “...มันเกิดขึ้นได้ยังไง”

“พวกไป๋ไม่ได้เล่าให้ฟังเหรอ”

ทิวาส่ายหน้า “คนที่เล่าให้ฟังมีแต่ภัทร ตามที่วินรู้ ตอนนี้ทุกคนลืมเรื่องของเราไปหมดแล้ว...นี่ก็คงเพิ่งเริ่มจำได้กัน”

วินเงียบไปพักใหญ่หลังจากที่ทิวาพูดจบ ราวกับกำลังทำใจ แล้วจึงพูดขึ้น

“...โดนรถชนน่ะ อาการค่อนข้างหนัก...เพราะถึงจะพยายามรักษายังไง สุดท้ายเดย์ก็กลายเป็นเจ้าชายนิทรา หลับไปตั้งแต่นั้น”

“...”

“หมอบอกว่ามีโอกาสไม่กี่เปอร์เซ็นที่เดย์จะฟื้นเลยบอกให้ทุกคนทำใจ”

“...”

“อันที่จริงบ้านเดย์ขอให้หมอถอดเครื่องมือตั้งแต่ช่วงวันแรกๆ ที่รู้อาการแล้ว แต่ว่า...” มือของวินเอื้อมมาจับมือของเขาเอาไว้ “เป็นวินไปขอเอาไว้เองว่าขอสามเดือน ถ้าสามเดือนแล้วเดย์ยังไม่ตื่นขึ้นมา จะให้ถอดเครื่องมือทั้งหมด”

“...”

“วินไปหาทุกวัน ไปเล่าทุกอย่างให้ฟังเหมือนที่เคยทำ ไปแต่งเพลง ไปเล่นกีต้าร์ ทำเหมือนว่าเดย์จะตื่นมา แต่สุดท้ายสามเดือนนั้นเดย์ก็ยังหลับตาอยู่แบบนั้น วินเลยทำได้แค่มองหมอค่อยๆ ถอดเครื่องช่วยหายใจของเดย์แล้วก็มองเดย์ตายไปแบบนั้น โดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย”

ฟังมาถึงตรงนี้ แม้จะไม่ได้หันไปมอง แต่เสียงลมหายใจที่สะดุดเป็นบางช่วง รวมไปถึงน้ำเสียงแหบพร่าไม่เป็นปกติของอีกคน ก็ทำให้ทิวาเดาได้ว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว หาได้ผ่านไปอย่างง่ายดายเช่นที่อีกคนเล่ามา

อดนึกไม่ได้ว่า ถ้าในตอนนี้พวกเขาสลับบทบาทและสิ่งที่เจอกัน เขาในวันนั้นที่ต้องสูญเสียไป จะยังยืดหยัดได้เช่นที่วินทำหรือเปล่า

“หลังจากเดย์ตาย วินก็เคว้งไปเลย ไปเรียน ทำงาน กิน นอน ทำทุกอย่างเหมือนเป็นหุ่นยนต์ จนเริ่มกลับมาซ้อมดนตรีนั่นแหละ ถึงได้พอเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง”

“...ทำไมถึงได้พยายามเป็นนักร้องล่ะ วินไม่ดูเหมือนคนที่อยากเป็นนักร้องดังเลยนะ”

วินหัวเราะกับคำถามนั้น “นั่นสิ วินก็ถามตัวเองอยู่ทุกปีแบบนั้นเหมือนกัน”

“...”

 “เดย์ชอบวงวีอาร์มากๆ เลยใช่ไหม ตอนนั้นวินชอบความหลงใหลในตาของเดย์ตอนที่มองไปที่พวกเขา ยังจำได้ดีจนตอนนี้”

“...”

“ตอนที่เราแต่งเพลงด้วยกัน ถึงจะไม่เป็นทำนอง เดย์ก็ยังบอกว่าชอบมากๆ แล้วก็เคยพูดเล่นว่าถ้าหากวินเป็นนักร้อง เดย์จะคอยเชียร์แล้วก็จะเฝ้ามองวินจากตรงข้างล่างเวทีเสมอ”

“...”

“แต่พอเดย์ไม่อยู่แล้ว ไม่รู้ทำไม คำพูดเล่นๆ พวกนั้นถึงยังติดอยู่ สุดท้ายก็กลายเป็นสิ่งที่วินพยายามจนกระทั่งมาถึงจุดที่เคยพูดไว้ด้วยแบบนี้ เพราะงั้น...”

“...”

“เลยคิดว่าถ้าหากวินพยายามจนได้ไปยืนบนเวทีแบบที่เราสองคนเคยมองวงวีอาร์...เดย์ที่อยู่ที่ไหนสักทีที่วินไปหาไม่ได้ เดย์คงจะสังเกตเห็นวินในสักวัน”

“...”

“เพ้อเจ้อเนอะ คนตายไปแล้ว จะยังมารับรู้อะไรชีวิตของคนที่ยังอยู่” วินหลุดหัวเราะเหมือนสิ่งที่พูดเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันที่เจ้าตัวหลุดพูดออกมา แต่ในแววตาที่มองมา มันทำให้ทิวารู้ว่าอีกคนหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ

ในบรรดาหมู่คนดาษดื่น เขาพยายามจนกระทั่งโดดเด่นเหนือใครขึ้นมา ก็เพียงเพราะต้องการให้ใครคนที่จากไป เฝ้ามองตัวเองได้ง่ายขึ้น เพียงกวาดสายตามองมา ก็จะเห็นอีกคนยืนโดดเด่นอยู่บนเวที ร้องเพลงเช่นที่เคยเฝ้ามองด้วยกัน

“มันดีแล้วเหรอที่ทำแบบนี้ แล้วความฝันจริงๆ ของวินล่ะ”

“...ไม่มีหรอก”

“...”

“ไม่เคยมีมาตั้งนานแล้ว เพิ่งจะมามีสิ่งที่อยากทำจริงๆ เอาก็ตอนที่ไม่มีเดย์แล้ว”

“...”

“มันเป็นเส้นทางที่ยากลำบากจริงๆ นั่นแหละ” วินยิ้ม “แต่พอวันนี้...ที่เดย์กลับมาแล้วสิ่งที่วินทำไปทั้งหมด มันทำให้เดย์กลับมาเจอวินได้เป็นคนแรก ก็แอบคิดว่ามันคุ้มค่า”

น้ำตาหยดแล้วหยดเล่า ไหลอาบกลางใจที่แสนเจ็บปวด ทั้งปลอบประโลมและทั้งสมานแผล แม้จะเชื่องช้า แต่ก็ค่อยๆ โอบกอดดวงใจที่มีแต่ความเศร้านั้นเอาไว้

ทิวาถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ จนแทบไม่เป็นคำ “ถึงเดย์ไม่กลับมาแบบตอนนี้...ก็ยังคุ้มกันเหรอ”

“คุ้มสิ มาจนวันนี้ ทุกอย่างที่วินทำไป ทุกอย่างคุ้มค่าและมีความหมายเสมอ”

“...”

“แม้แต่คำภาวนานั้นที่ขอให้เดย์กลับมา นั่นก็แสนคุ้มค่า เพราะท้ายที่สุดเดย์ก็กลับมาจริงๆ”

วินเอื้อมมือมาลูบหัวเขาไปมา ก็จะเอนซบเนิ่นนาน ราวกับไม่มีวันจากไป แม้ในความจริงไม่อาจทำเช่นนั้นได้ก็ตาม

“เรื่องที่ต้องเจอหลังจากนี้ไม่เป็นไรเลย วินไม่เคยเสียใจที่เลือกแบบนี้เลยแม้แต่นิดเดียว”

 











------------------------------------------------------------------------------------------------













ในกาลเวลายาวนาน เรื่องราวหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในซอกลึกของความทรงจำ

ช่วงเวลาที่ดำเนินไปด้วยความเศร้า

ผู้ชายคนหนึ่งและเขาที่อยู่หน้าหลุมศพคนที่รักที่สุด

กับหนึ่งคำถามที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาลนั่น

‘...ถ้าเขากลับมา แต่อยู่กับคุณไม่ได้ มีสักวันที่ต้องจากไป’

เขาเงยหน้ามองคนที่เปล่งเสียงพูดประโยคนั้นด้วยความงุนงง กระนั้นมันก็เต็มไปด้วยความวาดหวัง ขณะที่แววตาที่อีกคนมองมากลับมีแต่ความเศร้าและเสียใจ

‘...ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากให้กลับมางั้นเหรอ’

ยังจำได้ดีถึงหนึ่งวันที่แสนว่างเปล่านั้น ที่เขานั่งอยู่ตรงนี้ด้านหน้าหลุมศพของคนที่แสนรัก เบื้องหน้าพราวพร่างไปด้วยน้ำตาแห่งความคิดถึง ในหัวใจมีแต่คำภาวนามากมาย ล้วนแต่ขอร้องในสิ่งที่ไม่อาจจับต้องได้ ถึงพระเจ้าที่ไม่เคยเชื่อถือ ถึงใครก็ได้ที่ทำให้ความวาดหวังของเขาเป็นจริง ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไรก็ตาม

เขาเพียรภาวนาเช่นนั้นเรื่อยมา นับตั้งแต่วันที่ทิวาจากไป

เขาเงยหน้ามองคนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ใต้ร่มไม้จนมองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจนคนนั้น ในอ้อมแขนอีกคนกกกอดแมวสีขาวปลอดหนึ่งตัวเอาไว้ มันจ้องมองเขาด้วยดวงตาสีฟ้าอ่อน ก่อนจะกระโดดก้าวมาหา คลอเคลียอยู่ข้างกาย ทว่าเขาไม่ได้สนใจมัน กลับยังวนเวียนอยู่กับคำพูดที่อีกคนทิ้งเอาไว้

‘อยากสิ’

‘...’

‘ถึงจะเป็นแบบนั้น ถึงจะต้องเจ็บหรือจบแบบเดิม...ก็ยังอยากให้กลับมา’

‘นั่นถือเป็น...ความปรารถนาของคุณใช่หรือเปล่า’

‘มันเป็นสิ่งเดียวที่ผมต้องการ’

‘...คุณจะได้ในสิ่งที่คุณปรารถนา แต่จำเอาไว้ ไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายเขาก็จะจากไป คุณไม่มีวันเหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้ได้’

‘...’

‘นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ผมชดเชยให้คุณได้ สิ่งที่ผมเคยติดค้างคุณเมื่อครั้งอดีต ผมจะขอคืนด้วยคำปรารถนานี้ของคุณก็แล้วกัน’

‘...ขอบคุณ’

‘อย่าขอบคุณเลย เป็นผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ...’

‘...’

‘อีกไม่นานเขาจะกลับมาหาคุณอีกครั้งหนึ่ง รักษาช่วงเวลานั้นให้คุ้มค่าตามแต่ที่คุณต้องการ’

‘…’

‘ลาก่อนครับ ขอให้คุณมีความสุขกับสิ่งที่คุณปรารถนา’

คำพูดกำกวมถึงอดีตที่เขาไม่มีความทรงจำถึงจากคนตรงหน้า สัมผัสอ่อนโยนจากเจ้าแมวขาวที่อยู่ข้างกาย รวมไปถึงสายลมที่เจือความหนาวเหน็บบางอย่างที่เขาไม่รู้จักในวันนั้น ค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลา รวมไปถึงเรื่องราวของคนที่เขารักหมดใจ แม้จะต่อต้านเพียงไร สุดท้ายเขาก็จำได้เพียงแต่ครั้งหนึ่งเคยรักใครคนหนึ่งมากมายเท่านั้นเอง

แต่ใบหน้าเป็นอย่างไร ชื่ออะไร เขากลับหลงลืมไปหมดสิ้น

สิ่งที่ทิ้งเอาไว้คือกรอบรูปที่ว่างเปล่าและรอยยิ้มงดงามในความฝันที่ไม่เคยลบเลือน

จนกระทั่งวันนั้น วันที่คำอธิษฐานของเขากลายเป็นจริง

‘ขอโอกาสอีกครั้ง อีกสักครั้งหนึ่ง...ขอให้ได้เจอกันอีก’

ใครคนนั้นที่ไม่คุ้นตา เอาแต่ยืนร้องไห้ตรงหน้า จนเขาปวดใจไปหมด

‘ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ขอร้อง...ขอให้ได้พบเขาอีกครั้งหนึ่งด้วย’

ชื่อของอีกคนปลุกเร้าความทรงจำที่เลือนหาย รวมไปถึงความรักที่ถูกปิดตายให้ฟื้นคืน แม้ว่ามันจะไม่ต่างอะไรกับนับถอยหลังสู่วันวานที่แสนทรมาน ทว่าวินก็ยังยินดีและนึกขอบคุณคนคนนั้นที่เขาไม่รู้จักที่มอบโอกาสที่แสนงดงามให้เขาอีกครั้งหนึ่งในทุกครั้งที่มองคนข้างกายยิ้มมาให้

ในห้วงเลื่อนลอยคล้ายย้อนกลับไปยังวันเวลานั้นของพวกเขาสองคน แม้จะเสียใจอยู่บ้างที่สุดท้ายวันเวลาที่ได้รับมันไม่ยืนยาว ทว่าในชีวิตหนึ่งของคนเราใช่ว่าจะได้พบแต่ความสุขเสียเมื่อไหร่ มีหลายครั้งที่กระทำลงไปแล้วไม่มีความสุข แต่ก็เช่นกันที่มีหลายครั้งที่ไม่ลงมือกระทำ กลับนึกเสียใจที่ว่าทำไมวันนั้นจึงไม่เลือกทำ เช่นเดียวกับสิ่งที่เขาร้องขอไป

ให้ย้อนเวลานับพันนับร้อยครั้ง ต่อให้จุดจบสุดท้ายคือจากลาอีกครั้ง

เขาก็ยังปรารถนาเช่นเดิม ถึงช่วงเวลาแสนสั้นที่ได้ยิ้มและหัวเราะกับคนที่หัวใจของเขาเพรียกหา

ดังนั้นจึงเพียงพอแล้ว มากเกินกว่าที่คาดหวังเอาไว้

อันที่จริงสำหรับโลกอันน่าสิ้นหวังนี้ ถึงจะเป็นการคงอยู่เพียงชั่วพริบตา แต่ก็มากพอจะต่อชีวิตให้ใครบางคนให้ยืนยาวไปจนหมดลมหายใจ

เช่นที่เขาพบกับทิวา

บางครั้ง...ชีวิตมันก็เท่านี้เองจริงๆ




 

พวกเขายังคงมีชีวิตอยู่เสมอ

ในใจของคนที่รักเขา

เช่นเดียวกับเธอ...ที่ยังอยู่ในใจของฉัน เสมอมา



(โปรดติดตามตอนต่อไป)

-------------------------------------------------------------------------------------------------

สุขสันต์วันคริสมาสต์และวันปีใหม่ล่วงหน้านะคะ

กว่าจะมาต่ออีกทีน่าจะหลังปีใหม่เลย TT ขอให้ทุกคนมีความสุขค่ะ

ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ

NAVY

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เด๋วมันก็ต้องมีการย้อนเวลาอีก  จนสุดท้ายต้องมีไทม์ไลน์ใหม่เกิดขึ้น  อันเนื่องจากเหตุการณ์ปากพระร่วงไม่น่าจะเกิดขึ้นอีกแล้ว

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เดย์กลับไปจะยังจำได้หรือเปล่าว่าเคยได้ไปอนาคตมา จะได้รู้ว่าตัวเองตายเพราะอะไร จะได้ป้องกันได้

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ฉันรักเธอ

จะรักไปเรื่อยๆ วันนี้ก็รัก พรุ่งนี้ก็ยังรัก

ไม่เคยผิดหวังอะไรเลยกับการรักเธอ

 













ตกหลุมรักระยะที่ 16






“แล้วทำไมเดย์ถึงมาที่นี่ได้ล่ะ”

“...” ทิวานิ่งไปเพราะไม่รู้จะพูดถึงเหตุการณ์ที่ตัวเองมาสู่โลกนี้ให้อีกคนได้ฟังอย่างไรไม่ให้ดูเพ้อเจ้อและน่าอาย แต่พอมองแววตารอคอยของคนข้างตัวแล้ว เขาก็ได้แต่ถอนหายใจ เกาจมูกเอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม เหมือนไม่ค่อยอยากพูดเสียเท่าไหร่

ใครมันจะอยากพูดละว่า วันนั้นไปขอศาลพระภูมิหน้าหอพักว่าขอให้เจอกันอีกแบบเร็วที่สุด ด่วนที่สุดน่ะ

เร็วมาก ตื่นมาอีกทีข้ามมาเจอกันเลยอีกหกปีข้างหน้า

“ก็...ขอศาลหน้าหอ”

“...”

“วันนั้นตอนที่วินไปส่ง ไม่ได้ถามอะไรเลย เบอร์ก็ไม่มี ไลน์ก็ไม่ได้แลก ไม่รู้จะติดต่อกันยังไง ก็เลย...”

“...”

“...อย่าอมยิ้มได้ไหม จะขำก็ขำออกมาเลยก็ได้” ทิวามองสีหน้าอยากหัวเราะ แต่พยายามกลั้นเอาไว้สุดฤทธิ์ของวินด้วยอาการฉุนๆ อดยกมือบีบแก้มเนียนๆ ด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้ เมื่อสุดท้ายวินก็หัวเราะดังลั่น คล้ายกับจะเป็นเสียงหัวเราะและรอยยิ้มแรกในช่วงหลายวันมานี้ ทำเอาทิวาลืมว่าอายและเคืองเพียงไร แถมยังเอาแต่มองอีกคนหัวเราะแบบนั้นจนเสียงหัวเราะจางหายไป

“ก็พอนึกตามแล้วมันขำนี่นา อย่าบอกนะว่าขอก่อนเข้าหอด้วย”

“อืมม”

“ศาลหน้าหอพักเก่าๆ นั่นอะนะ”

“เออ! จะย้ำอะไรนักหนาอะ”

“ในศาลมีเจ้าที่อยู่ซะที่ไหน นั่นมันที่นอนแมวต่างหาก”

“...”

วินปาดน้ำตาที่ไหลออกมาเพราะความขำ ก่อนจะพูดต่อ “จริงๆ หลังจากนั้นวินก็ไปหาเดย์ที่หอพักเองนั่นแหละ เพราะเพิ่งมานึกได้ว่าไม่ได้ขอที่ทางติดต่อไว้ได้เลย วันนั้นก็เห็นกันทั้งคู่ว่าในศาลอะไม่มีอะไรสักอย่าง มีแต่ผ้าสีๆ อันเก่าที่เขาพันเอาไว้กับแมวสีขาวนอนหลับอยู่ในนั้น ยังหัวเราะกันอยู่เลยว่าทำไมถึงมีคนปล่อยข่าวลือว่าขออะไรกับศาลหน้าหอแล้วมันจะเป็นจริง”

“...”

“อยากเจอวินมากขนาดถึงขอเจ้าพ่อแมวประจำหอเลยเหรอ”

ทิวาหยิกแก้มคนที่ยังยิ้มล่อหลอกไม่เลิก ก่อนจะตอบ “เลิกแซวได้แล้ว คนมันไม่รู้นี่หว่า”

“ฮ่าๆๆ”

“วิน”

“ครับๆ ไม่หัวเราะแล้ว ขอโทษ” คนโดนดุรีบพยายามหยุดหัวเราะ แม้ว่ามันจะยากไปสักหน่อย แต่พอเห็นว่าคนข้างกายหน้าแดงลามไปจนถึงใบหูนุ่มแล้ว ก็จำใจหยุดหัวเราะแล้วเปลี่ยนเรื่องแทน “แล้วพอรู้ว่ามาอยู่นี่แล้วทำไงอะ ตกใจมากไหม”

“ตกใจดิ ตื่นมาก็อยู่บนรถเมล์แล้ว แถมพอรู้ว่าไม่มีใครเลยที่จำได้ก็เอาแต่ร้องไห้เหมือนคนบ้าอยู่ป้ายรถเมล์” นึกถึงสภาพตัวเองวันนั้นแล้วทิวาก็อดนึกสงสารตัวเองไม่ได้ แต่ลึกๆ ก็นึกขอบคุณที่ยังพอมีสติจนทำให้ได้มาพบกับวินในท้ายที่สุด "แต่พอเห็นโฆษณาที่พวกวินถ่ายข้างรถเมล์ ก็เลยตัดสินใจไปหา ถึงจะไม่รู้ว่าวินจะจำได้ไหมก็เถอะ”

“...”

“โชคดีที่วันนั้นได้เจอกัน”

“...นั่นสิ”

ทิวานิ่งคิดไปพักใหญ่ ว่าถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าเขาขอกับศาล จนได้ข้ามเวลามาที่นี่ แล้วมันเพราะอะไรเขาถึงได้มาอยู่ตรงนี้และยังได้รับรู้อนาคตตัวเองว่าจะตายแบบนี้ด้วย

ทั้งที่ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ราวกับกำลังเดินอยู่ท่ามกลางม่านหมอกจนไม่เห็นปลายทาง แต่ชั่วพริบตาหนึ่ง โดยไม่ได้ตั้งใจ ทิวากลับหวนนึกถึงสีหน้าและรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยปริศนาของโรมในครั้งล่าสุดที่พบกันขึ้นมาจนได้

“วิน...รู้จักคนชื่อโรมไหม”

“โรมเหรอ? ไม่นะ มีอะไรหรือเปล่า”

“พอดีได้ฟังอะไรบางอย่างมาจากเขา...พูดประมาณว่า ที่เดย์ได้กลับมามันเป็นเพราะวินด้วยส่วนหนึ่ง”

“...”

“พอจะนึกอะไรได้ไหม”

วินนิ่งไปครู่ใหญ่แล้วค่อยๆ ส่ายหน้า “ไม่เคยรู้จักหรือเจอคนชื่อโรมเลย แต่เรื่องที่ว่าเดย์กลับมาได้เพราะวิน เรื่องนั้น...น่าจะเกี่ยวกับวินจริงๆ”

“...”

“อันที่จริงช่วงหลังจากเดย์ตายไม่นาน วินชอบมาอยู่ที่นี่ นั่งคุยเรื่อยเปื่อย แล้วก็ชอบคิดว่าอยากให้เดย์กลับมาอยู่ประจำ แต่มีวันหนึ่งที่มีผู้ชายแปลกหน้ามาหา เขาบอกว่าเขาพาเดย์กลับมาได้”

“...”

“ตอนแรกวินก็ไม่เชื่อหรอก แต่ตอนนั้นก็แอบคิดนิดหนึ่งว่า ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาก็คงดี ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าวันหนึ่ง...เดย์จะกลับมาหาจริงๆ”

“เขาได้บอกชื่อไหม”

“ถ้าจำไม่ผิด เขาบอกว่าตัวเองชื่อซานนะ ไม่ใช่โรม”

ทิวานิ่งไปเพราะผิดหวังนิดหน่อย แต่อีกใจก็อดรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นเพียงของเล่นสักอย่างบนฝ่ามือของใครบางคนที่ไม่มีวันรู้ว่าเป็นใคร ถูกจับวาง โยนไปมาเหมือนไม่มีชีวิต คนที่รู้ก็ไม่ยอมบอก ปล่อยให้อยู่ท่ามกลางความคลุมเครือ บางครั้งเหมือนจะชัดเจน แต่พอมองอีกทีก็กลับยังคงสับสนและไม่มีความชัดเจนใดๆ เหมือนเดิม

ตอนแรกก็โรมที่หายไปจากความทรงจำของเพื่อนรักทั้งสอง แล้วยังบอกมาว่าตัวเองก็เป็นหนึ่งคนที่ข้ามมาเช่นกัน ต่อมาก็ซาน ผู้ชายที่วินได้เจอและเหมือนจะเป็นคนที่ส่งเขามายังโลกนี้อีก

ยิ่งรู้เรื่องราวมากขึ้นเท่าไหร่ ทิวาก็ยิ่งรู้สึกสงสัยและอดกลัวไม่ได้ เพราะเอาจริงๆ แล้ว เขาไม่สามารถแยกแยะได้เลยว่า คนไหนพูดจริงและใครคือคนที่บงการพวกเขาทั้งหมด

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคงกดต่อสายหาโรมระหว่างที่รอวินไปขับรถมารับอยู่ดี

รอสายอยู่ไม่นาน เสียงที่เขาทั้งเชื่อถือและสงสัยในคราเดียวกันก็ดังขึ้น

(ไง)

“...เหลือเวลาอีกเท่าไหร่”

(หมายถึงก่อนจะกลับไปน่ะเหรอ)

“อือ”

(พ้นคืนนี้ไป ทุกอย่างจะกลับไปเป็นอย่างเดิมก่อนที่เดย์จะมา)

“...”

(รู้สึกว่าเร็วไปงั้นเหรอ) แม้จะไม่ได้ยินเสียงพูด แต่ปลายสายกลับคล้ายมานั่งอยู่ข้างกายและเห็นสีหน้าของเขาเสียอย่างนั้น ทิวาชินเสียแล้วกับการที่เหมือนโดนอ่านใจจากคนที่กลายเป็นคนไม่คุ้นเคยไปแล้วอย่างโรม ทว่าก็ยอมตอบรับแต่โดยดี

“อืม ก็เร็วไปจริงๆ นั่นแหละ”

(...)

“พอมานับๆ ดู เหมือนมาอยู่ที่นี่แค่เดือนกว่าๆ เอง”

(คนที่ไม่ใช่คนของที่นี่อย่างพวกเรา อยู่นานไม่ได้หรอก แค่ระยะเวลาเท่านี้ก็ถึงลิมิตแล้วเดย์)

“...”

(มากไปกว่านี้มันจะรบกวนชะตาและทำให้เกิดเรื่องที่ไม่สามารถควบคุมได้)

“อะไรที่ว่าควบคุมไม่ได้”

(...เดย์ไม่อยากรู้หรอก เอาเป็นว่ามันไม่ดีก็แล้วกัน)

แม้รู้อยู่แล้วว่าเค้นถามไปยังไงโรมก็ไม่มีวันตอบ แต่ทิวาก็ยังอดถามออกไปไม่ได้ “มาถึงขนาดนี้แล้วจะไม่ตอบจริงๆ เหรอว่าทำไมถึงต้องทำแบบนี้”

(เรื่อง?)

“ที่พูดเมื่อเช้าเรื่องที่บิดเบือนอะไรนั่นน่ะ ทั้งเรื่องที่มาที่นี่ เรื่องที่ไปเป็นเพื่อนของพวกเราเมื่อหกปีก่อน ทั้งเรื่องไอ้ปัณพูดออกมาก็ด้วย ...แสดงว่าที่ปัณมันพูดออกมาทั้งหมด ไม่ใช่เพราะมันแช่งคนแล้วเป็นจริงใช่ไหม”

(อืม มันเป็นแค่คำเตือนจากอนาคตเท่านั้นแหละ)

“...”

(ทุกอย่างที่ปัณพูด มันคือเรื่องที่เกิดขึ้นและจบลงในหกปีที่เดย์กำลังยืนอยู่ จบสุดท้ายที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันจริงๆ ถูกตามนั้นใช่ไหมล่ะ แต่ในส่วนสุดท้าย...) โรมเงียบไปพักหนึ่ง เสียงคล้ายแผ่วเบาจนจับใจความไม่ได้ กระนั้นต้องขอบคุณที่รอบตัวของทิวาเงียบมากพอ ทำให้เขาได้ยินแทบทั้งหมดอย่างชัดเจน (...มันเป็นการชดเชยจากพวกเรา ให้เธอได้รู้ถึงอนาคตและเมื่อย้อนกลับไป ไม่ว่าเธอจะเลือกยังไง จะหลีกหนีชะตากรรมที่ต้องตายหรือจะเลือกผู้ชายคนนี้เหมือนเดิม ก็เป็นเรื่องที่เธอเลือกเอง)

“...”

(แต่ไม่ว่าจะเลือกทางไหน อย่างน้อยเธอก็ได้รู้ว่าความรักของผู้ชายคนนั้นจะอยู่กับเดย์เสมอ ไม่ว่าในอนาคตข้างหน้าจะมีเดย์อยู่กับเขาหรือไม่ก็ตาม)

“...ทำไมถึงบอกว่าชดเชย”

(...ถ้าบอกว่าในอดีตที่นานมากๆ พวกเราเคยเกี่ยวข้องกัน จะเชื่อไหมล่ะ)

ทิวาพ่นลมออกจากจมูกเหมือนฉุนนิดหน่อยกับคำพูดทีเล่นทีจริงนั่น “มาจนกระโดดมาหกปีข้างหน้า เรื่องแฟนตาซีแบบไหนก็ไม่ทำให้ตกใจแล้วล่ะ”

(ฮ่าๆๆ นั่นสินะ)

“...”

(อืม พวกเราเกี่ยวข้องกันจริงๆ นั่นแหละ เพียงแต่ไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่ ‘พวกเรา’ เลยต้องคอยมานั่งชดใช้ให้พวกเดย์แบบนี้ไง)

“พวกเรา? แสดงว่ามีคนอื่นอีกเหรอ”

(ก็มี แต่เดย์เป็นคนสุดท้ายแล้ว ทุกอย่างจบหมดแล้วล่ะ)

“...พูดจาอะไรน่าสงสัย แต่ถ้าถามก็จะไม่ตอบใช่ไหมล่ะ”

(ช่าย อย่ารู้เลย ปล่อยให้มันเป็นอดีตที่ผ่านไปแล้วเถอะ ถ้าต้องมาคอยรับรู้ทุกเรื่องในอดีตของชีวิตก่อนไปเสียทุกเรื่อง ทุกคนคงเป็นบ้าตายกันพอดี)

“...”

(เอาเป็นว่าหลังจากนี้ก็โชคดีนะ แล้วก็จะไม่มีใครแทรกแซงเกี่ยวกับสิ่งที่เดย์จะเลือกทำหลังจากกลับไปอีกแล้ววางใจได้)

“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น”

ไม่มีเสียงอะไรจากปลายสายแล้ว นานจนทิวาคิดว่าอีกคนวางสายไปแล้ว ทว่าเมื่อทิวาก้มมองโทรศัพท์ในมือก็ต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อหน้าจอที่น่าจะแสดงเบอร์ของโรมกลับถูกแทนที่ด้วยเบอร์ที่ยังไม่เปิดใช้บริการ ดังนั้นไม่ว่าจะพยายามโทรออกอีกสักกี่ครั้ง ก็มีแต่ผู้หญิงที่เขาไม่รู้จักย้ำคำเดิมว่าไม่สามารถติดต่อได้

อดนึกพิศวงกับการปรากฏตัวและหายไปของผู้ชายที่เขาทั้งรู้จักและไม่รู้จักในคราเดียวกันคนนี้ไม่ได้ กระนั้นก็ยังยึดถือคำพูดของโรมที่ว่า หลังจากนี้จะเป็นการตัดสินใจและการเลือกของเขาเพียงคนเดียวแล้ว

แม้จะไม่รู้ว่ากลับไปแล้วจะยังต้องเผชิญกับเรื่องราวแบบเดิมไหม แต่ทิวาไม่กลัวเลย

ยิ่งมองเห็นใบหน้ายิ้มแย้มจากคนที่ขับรถมารับ คนที่เขาเห็นเป็นคนสำคัญที่สุดคนนี้ ความหวาดกลัวก็ยิ่งไม่มากล้ำกลาย

ก็เป็นเช่นที่วินบอกเขาว่าอีกคนไม่เสียใจที่เลือกทำเช่นนี้


แม้ว่าในอดีตของโลกใบนี้ ตัวเขาจะต้องจากไปหลังจากได้พบกับวิน แต่เขาเชื่อหมดหัวใจว่า ตัวเขาในโลกนี้ไม่เสียใจแต่อย่างใด

และเขาเองก็เช่นกัน

 







--------------------------------------------------------------------------------------------------------











นี่เป็นอีกค่ำคืนที่วุ่นวาย ทิวาคิดเช่นนั้น

ยิ่งมองภาพความเละเทะตรงหน้าเขาก็ได้แต่หัวเราะออกมาสุดเสียง อย่างไม่เกรงกลัวว่าจะมีใครตื่นขึ้นมาระหว่างที่เขาหัวเราะเช่นนี้ นั่นเป็นเพราะหลังจากที่กลับมาถึงบ้านและโดนเหล่าคนที่ทั้งสงสัยและตกตะลึงกับการกลับมาของเขาซักถามทุกเรื่องที่สงสัยจบ ทั้งหมดก็เฮโลพากันแหกคอก ดื่มกินกันเหมือนวันพรุ่งนี้จะไม่ได้ขึ้นซ้อมใหญ่สำหรับคอนเสิร์ตในวันมะรืนนี้ ตอนแรกเขานึกว่าวินจะออกปากห้ามเช่นที่เคยทำมาตลอด กลับกลายเป็นว่าอีกคนกลับยกขวดดื่มคนแรก แถมยังเมาก่อนใครเขาเพื่อน ไม่เว้นแม้แต่จินที่คอพับคออ่อนอยู่ไม่ไกลจากไป๋ ส่วนแคทและเวย์นอนสลับหัวเท้า พึมพำโวยวายอยู่ตลอดเวลา

เหลือเพียงเขาคนเดียวที่ยังมีสติมากพอจะเห็นภาพน่าหัวเราะนี่ บนตักของเขามีวินนอนหลับอยู่ ซึ่งเขาวางมือและคอยลูบหัวให้อีกคนหลับสบาย ในทุกครั้งที่หัวคิ้วของอีกคนขมวดแน่น คล้ายกำลังฝันร้าย

ไม่รู้ว่ากำลังฝันว่าอะไร อาจจะฝันว่าวันซ้อมเกิดข้อผิดพลาดหรือกลัวว่าวันแสดงจริงจะเกิดเรื่องล่ะมั้ง ถึงได้เก็บไปฝันแบบนี้

ก็ได้แต่หวังว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้น เขาจะภาวนาขอให้ทุกเรื่องที่จะผ่านเข้ามาในชีวิตของวินคนนี้ผ่านไปด้วยดีไปตลอดชีวิตที่เหลือ ไม่ว่าจะยากลำบากหรือเหนื่อยแค่ไหน ก็ขอให้มีคนให้กำลังใจและคอยเคียงข้างไปจนสุดท้าย แม้ว่าสักวันหนึ่งเขาจะค่อยๆ ลืมและมีใครมาแทนที่ตัวเขาในสักวัน

“...ตื่นอยู่เหรอ”

“ไม่ตื่นก็คงไม่รู้ว่ามีคนแอบมองอยู่” วินลืมตามองแล้วยิ้ม

“ฝันอะไรอยู่”

“ไม่รู้เหมือนกัน ลืมไปแล้วล่ะ”

“...”

“ง่วงนอนหรือยัง”

ทิวาเกือบจะส่ายหน้าแล้ว แต่สุดท้ายก็พยักหน้า ก่อนขยับตัวลงนอนข้างๆ วิน หันมองใบหน้าด้านข้างของอีกคนเงียบๆ รอให้วันพรุ่งนี้มาถึงช้าๆ

“กลับไปแล้วต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ”

“อืม”

“อย่าไปจับมือคนอื่นไปดูคอนมั่วซั่วอีกล่ะ สั่งห้ามเลย”

สีหน้าบูดบึ้ง รวมไปถึงน้ำเสียงขุ่นข้องของวินทำให้ทิวายิ้มออกมา พยักหน้ากับตัวเอง “ได้”

“...ใช้ชีวิตดีๆ มีความสุขมากๆ”

ไม่รู้ทำไมพูดมาถึงตรงนี้วินถึงได้พูดช้าลง น้ำเสียงก็สั่นพร่าเหมือนกำลังร้องไห้ แต่เพราะวินหันไปอีกด้าน ทิวาจึงมองไม่เห็นว่าวินมีสีหน้าเช่นไร แต่ตัวเขาน่ะร้องไห้ไปก่อนแล้ว อาบเสียจนแก้มไม่มีพื้นที่ว่างให้เปียก

“วินไม่รู้ว่ากลับไปครั้งนี้เราจะยังได้เจอกันที่คอนอีกไหม เดย์จะจับมือแล้วจูงวินไปดูคอนเสิร์ตข้างกันอีกหรือเปล่า”

“...”

“ไม่ว่าทุกอย่างจะอำนวยให้เราได้มาพบกันเหมือนครั้งแรกหรือไม่ สักวันหนึ่ง เราจะต้องได้เจอกันอย่างแน่นอน”

 “...พูดจามั่นใจจัง ไม่คิดเผื่อมันไม่เป็นไปตามที่คิดบ้างเลยเหรอ”

“ก็จะพยายามไม่ให้มันเกิดขึ้น อย่างน้อยๆ วินก็จะพยายาม”

“...”

วินหันกลับมาแล้ว ในดวงตาของอีกคนเต็มไปด้วยหยดน้ำแวววาว ก่อนมันจะรินไหลช้าๆ ตกอยู่ข้างแก้ม รอยยิ้มที่มองมาไม่ต่างอะไรกับรอยยิ้มในวันที่เขาหลงรัก เช่นเดียวกับที่เราต่างมองกันและกันในวันนั้น

ทุกอย่างจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อเขากลับไปยังช่วงเวลาที่เขาควรอยู่ แต่ทิวาก็หวังสุดหัวใจว่าขอให้มีจุดหักเหที่พัดพาให้ได้พบวินอีก

ไม่ว่าจะกี่ครั้ง จะพลาดสักกี่หนก็ขอให้เราได้กลับมาพบกัน ได้รู้จักกันและได้ลงเอยเช่นที่เคยเป็น

และครั้งนี้เขาจะพยายามไม่ให้จุดจบของพวกเขาลงเอยที่จากลาตลอดกาล

“ก็พยายามด้วยกันทั้งคู่แหละ”

“ไม่คิดบ้างเหรอว่าจะมีคนอื่นดีกว่า”

“ก็มีดีพอแล้วหนึ่งคนตรงหน้า จะไปตามหาคนอื่นอีกทำไม”

“...”

“แค่วินก็พอแล้ว”

“นอนเถอะ”

“อือ ...แล้วเจอกันนะ”

“ได้ แล้วเจอกันครับ”

นั่นเป็นทั้งคำบอกลาและอวยพรสุดท้ายก่อนดวงตาของเขาทั้งคู่หลับตาลง

มือของพวกเขาขยับเคลื่อนเข้าหากันท่ามกลางความมืดมิดที่ค่อยๆ โอบล้อมโลกของทิวา ความเงียบรอบตัวทำให้เสียงหัวใจของทั้งคู่ดังก้องยิ่งกว่าเสียงใด พวกมันดังเป็นจังหวะเดียวกัน ราวกับจะขับกล่อมให้เขาหลับใหลไปอย่างสบายใจ ไม่ต้องหวาดกลัวหรือกังวลแต่อย่างใด

ได้แต่หวังว่าเมื่อกลับไป ทุกอย่างจะเป็นดังที่เขาวาดหวัง

และได้กลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่ง




 
แค่เสียดาย

ที่ไม่มีวันพรุ่งนี้สำหรับเราแล้วเท่านั้นเอง



(โปรดติดตามตอนต่อไป)

--------------------------------------------------------------------------------------------------------

สวัสดีปีใหม่ค่ะ

เป็นสิบวันแรกที่ทำร้ายหัวใจตั้งแต่เริ่มปี เริ่มจากโปรเจคจบที่ไม่คืบหน้าเล้ยย TT

ไหนจะเตรียมพรีเซนที่ไม่มีอะไรไปรายงานความก้าวหน้าก็ด้วย ฮือ

แต่หวังว่าปีนี้จะเป็นการเริ่มต้นที่ดีของใครหลายๆ คนนะคะ

ขอบคุณที่ยังเข้ามาอ่านนะคะ พบกันตอนหน้าค่ะ

NAVY
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-01-2020 20:04:55 โดย KarmaNavy »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด