ตะวันพิงภพ บทที่ 18 หน้า 3 {อัพ 14.08.20}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ตะวันพิงภพ บทที่ 18 หน้า 3 {อัพ 14.08.20}  (อ่าน 10564 ครั้ง)

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
เต็มปากแข็งจริงๆ
ไหนบอกว่าแค่ตรงสเป็คแต่หลอกแต๊ะอั๋งพุธไม่หยุดเลยนะ!

ซันจะโผล่มาอีกทีตอนไหนเนี่ย
ขอให้กลับมาอีกครั้งตอนพุธกับเต็มรักกันแล้วเถอะ  :call:

 :pig4:

ออฟไลน์ piakunaa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
คนที่จะเสียใจที่สุดคือพุธนะ ถ้าซันกลับมาตอนที่สองคนนี้เกิดมีความสัมพันธ์​ทางกายกันแล้วเรื่องมันยิ่งจะยุ่งเหยิงนะ​ // ชั้นชอบความดราม่าาาาาาา// จัดมาถ้วยใหญ่ๆ

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ตะวันพิงภพ บทที่ 13

เช้านี้หาดทรายหน้าบลูแซนด์คึกคักด้วยบรรดานักดำน้ำ แต่ละคนคุยกันโหวกเหวกอย่างอารมณ์ดีขณะลำเลียงอุปกรณ์ลงเรือ เพราะท้องฟ้าที่แจ่มใสและคลื่นลมสงบ เป็นสัญญาณว่าใต้น้ำจะไม่ขุ่นและเห็นปลาต่างๆ ได้ง่าย

หลังยืนมองเรือเล็กถอนสมอจากหน้าหาด อทิตยะก็เดินกลับห้องสำนักงาน บุณฑริกซึ่งกำลังพิมพ์อะไรอยู่ในคอมพิวเตอร์หันมาเห็นเข้าก็ถามทันที

“เมื่อวานเต็มแกล้งพุธใช่ไหม ตอนมาเซ็นชื่อเมื่อเช้าพุธถึงหน้าบูดมาเชียว”

“ทำไมน้าบุ๋มคิดว่าเป็นฝีมือผมล่ะ พุธอาจจะหิวข้าวเลยมู้ดดี้ก็ได้”

“เอ๊อออ ให้มันจริงเถอะว่าตัวเองไม่เกี่ยว ถึงยังไงนั่นก็ลูกน้องของน้า ต่อให้คนแกล้งเป็นหลานน้าก็ไม่เข้าข้างเราหรอกนะ”

“รับทราบครับ ใครจะกล้าทำอะไรที่พุธไม่ชอบ”

อทิตยะเอ่ยยิ้มๆ เพราะอะไรที่พิงภพ ‘ไม่ชอบ’ ตอนนี้อาจจะกลายเป็น ‘ชอบ’ ทีหลังก็ได้ เมื่อคืนเขาก็แค่ทดสอบว่าขอบเขตของอีกฝ่ายอยู่ตรงไหน ถึงจะดูไม่ค่อยพอใจเวลาโดนจู่โจมกะทันหัน แต่นอกจากทำหน้าบึ้งเมื่อเช้า พอชวนคุยก็ตอบเสียงห้วน เขาก็ไม่เห็นสัญญาณแสดงความรังเกียจจริงจังในเมื่อเจ้าตัวยังยื่นเป้มาฝากเก็บในล็อกเกอร์อยู่เลย

สงสัยว่าจะแกล้งโมโหกลบเกลื่อนความเขินเสียมากกว่า

บุณฑริกยังมองอย่างระแวง แต่ก็ไม่ทักท้วงอีกขณะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกจากลิ้นชัก

“น้าจะออกไปซื้อกาแฟ เต็มจะเอาด้วยไหม?”

“ไม่ล่ะครับ ที่ผมชงไว้เมื่อเช้ายังเหลืออยู่ ว่าแต่น้าบุ๋มโทรสั่งกาแฟจากคาเฟ่ของเราเองก็ได้นี่ ทำไมต้องออกไปซื้อด้วยล่ะ?”

“ก็เบื่อกาแฟของเราเองแล้ว อยากได้เมนูแปลกๆ บ้าง งั้นน้าฝากออฟฟิศสักพักนะ”

อทิตยะพยักหน้าพลางเลื่อนเก้าอี้นั่ง หลังบุณฑริกออกไปได้ไม่นานโทรศัพท์ของเขาก็ส่งเสียงเรียกเข้า พอเห็นว่าเป็นวิดีโอคอลจากริคจึงรับสาย

“ไงริค มีเรื่องงานจะอัปเดตเหรอ?”

“ริคยังไม่มีหรอก แต่นายนั่นแหละมี ไหนบอกว่าไม่สนใจวันพุธไงยะ แล้วไปคบกับเขาได้ไงฮึ??”

อทิตยะเลิกคิ้วเมื่อใบหน้าที่โผล่มาในจอคือเอมี่ ส่วนริคเพียงโบกมือจากด้านหลังแล้วเดินออกไป ทั้งคู่ต่างใส่ชุดคลุมอาบน้ำภายในห้องที่ดูเหมือนโรงแรมหรู

“เธอไปได้ยินมาจากใคร?”

“จะมีใครล่ะ ก็น้าบุ๋มโทรมาคุยกับป๋า แล้วป๋าก็มาบอกฉันต่อน่ะสิ ร้ายนะยะ ไหนใครนะที่เคยพูดว่า ‘หมอนั่นไม่ใช่สเป็กฉัน ก็แค่คนข้างห้อง’ ?”

ชายหนุ่มหัวเราะเมื่อเห็นเพื่อนทำท่าจีบปากจีบคอ เขาวางโทรศัพท์ให้พิงกับหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วยักไหล่

“ตอนนั้นก็ส่วนตอนนั้น ตอนนี้ก็ส่วนตอนนี้”

“ฮึ มีแต่ฉันนี่แหละที่รู้ว่าวันพุธตรงสเป็กนาย ทั้งอายุมากกว่า แล้วก็นิสัยร่าเริงไม่มืดมน เป็นไงล่ะ ฉันพูดผิดซะที่ไหน?”

“โอเคๆ ฉันผิดเอง แล้วนี่เธอกับริคอยู่ไหน ทำไมแต่งตัวยังกับรอเข้าฉากหนังเอวี”

“อีตาบ้า! มีแต่นายนั่นแหละที่คิดได้แบบนี้ ฉันกับริคอยู่กรุงเทพฯ ย่ะ พอดีเพื่อนฉันจะแต่งงาน นี่กำลังจะแต่งตัวไปร่วมงานอยู่เนี่ย”

“อ้อ งั้นก่อนกลับเมลเบิร์นจะแวะมาหาฉันหรือเปล่า?”

“ก็ว่าจะไปเพราะริคคงไม่ได้หยุดยาวแบบนี้อีกนาน เขาอยากเห็นหน้าแฟนนายจะแย่ Don’ t you want to meet his boyfriend, Ricko?”

“Of course, sweety.”

เสียงของริคดังจากอีกด้านของโทรศัพท์ เสียงกุกกักบ่งบอกว่าคงกำลังสวมเสื้อผ้า อทิตยะยิ้มมุมปากพลางหยิบกาแฟเย็นชืดขึ้นจิบ

“ที่จริงจะเรียกว่าแฟนกันก็ไม่เต็มปากหรอก เรียกว่ากำลังเวิร์คช็อปกันอยู่น่าจะดีกว่า”

“เวิร์คช็อป? What the fuck for?”

เวลาตื่นเต้นมากๆ หรือไม่พอใจเอมี่มักสบถเป็นภาษาอังกฤษ แต่อทิตยะตัดสินใจตอบเป็นภาษาไทยเพราะรู้ว่าริคคงกำลังเงี่ยหูฟัง และเขาคิดว่ายิ่งมีคนรู้รายละเอียดเรื่องนี้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

“จำได้ไหมที่ฉันเคยบอกว่าเขามีแฟนแล้ว ความจริงผู้ชายคนนั้นเป็นแค่เพื่อนสนิทที่มาสารภาพรัก แต่วันพุธของเธอไม่กล้าตอบรับเพราะไม่อยากเสียเพื่อน ฉันก็เลยชวนให้มาลองคบกัน เผื่อจะได้รู้ว่าใจชอบทางนี้หรือเปล่า จะได้ตัดสินใจเรื่องคำตอบให้เพื่อนคนนั้นได้ง่ายขึ้น”

สีหน้าของเอมี่แสดงอาการตะลึง เธอเหลือบมองริคแวบหนึ่งก่อนจะมุ่นคิ้ว

“ฉันไม่ควรคุยกับนายเป็นภาษาอังกฤษสินะ แต่ขอหน่อยเถอะ you are an idiot.”

“ขอบใจ ฉันได้ยินเธอเรียกแบบนั้นจนชินแล้ว”

อทิตยะตอบอย่างไม่ใส่ใจ เอมี่กำมือพลางหลับตาเหมือนควบคุมอารมณ์ก่อนจะลืมตาอีกครั้ง

“เอาล่ะ...แล้วตั้งแต่ได้เริ่มคบกันเนี่ย วันพุธดูมีท่าทีว่าชอบนายบ้างไหม?”

“ก็คงไม่ได้เกลียด แต่น่าจะไม่ได้ชอบในแบบที่เธอถาม”

“โอ๊ย! ฉันล่ะปวดหัวกับนายจริงๆ จะจีบเขาก็ทำให้มันตรงไปตรงมาหน่อยสิ แบบนี้ยังกับจัดฉากให้ตัวเองเป็นพระรองเลยไม่ใช่หรือไง?”

“ฉันตั้งใจจะเป็นตัวโกงต่างหาก ถึงยังไงบทพระเอกก็ไม่เหมาะกับคนมีประวัติอย่างฉันอยู่แล้ว”

“Shit. เมื่อไหร่นายจะเลิกมองตัวเองเป็นผู้ร้ายสักที เรื่องมันผ่านมาตั้งกี่ปีแล้ว เลิกคิดว่ามันเป็นตราบาปชั่วชีวิตสักทีเถอะ”

“ตกลงนี่เธอโทรมาหาฉันเรื่องพุธหรือจะโทรมาเลคเชอร์กันแน่? ฉันจะได้ปรับมู้ดถูก”

คำถามของเขาทำให้หญิงสาวเงียบ เอมี่เสยผมแล้วถอนหายใจ

“โอเค ไม่บ่นแล้วก็ได้ สรุปว่าที่คบกันนี่ก็เพื่อให้วันพุธได้ทดลองว่าโอเคกับผู้ชายหรือเปล่า แค่นั้นน่ะเหรอ?”

“หลักใหญ่ใจความก็แค่นั้นแหละ บอกตามตรง ฉันก็ไม่ได้ยื่นข้อเสนอให้อย่างบริสุทธิ์ใจนักหรอก”

“ฮึ ถ้านายบริสุทธิ์ใจสิแปลก แล้วไง? มีความคืบหน้าบ้างหรือยัง?”

“ไม่ค่อยมี ยังอยู่ในขั้นปรับตัวเข้าหากันอยู่ แต่ก็สนุกดีเวลาเห็นวันพุธของเธอทำอะไรไม่ถูก”

หญิงสาวได้ยินก็ยิ้มยิงฟัน “ต้องอย่างนั้นสิ ฉันรู้ว่าเพื่อนฉันไม่ใช่คนสงบเสงี่ยมนักหรอก ยังไงก็อย่าแกล้งวันพุธให้มากนักล่ะ ฉันชอบเขานะ”

“พูดเหมือนน้าบุ๋มอีกคนแล้ว ถ้าไม่มีอะไรอีกก็ให้ริคมาคุยบ้าง ฉันอยากอัปเดตเรื่องงาน”

เอมี่เดาะลิ้นก่อนจะส่งโทรศัพท์ให้แฟนหนุ่ม อทิตยะปรึกษาความคืบหน้าของโปรเจ็กต์กับริคครู่ใหญ่ ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะโบกมือลาแล้วยื่นโทรศัพท์คืนให้เอมี่

“ไว้ฉันจะโทรมาใหม่นะ ส่วนเรื่องห้องพักที่เกาะเดี๋ยวฉันหาเอง อยากได้หาดที่เป็นส่วนตัวหน่อย”

“โอเค ถ้ารู้วันที่จะมาแน่นอนก็บอกด้วยแล้วกัน”

“ได้ แล้วก็นะเต็ม...ฉันไม่รู้ว่านายจริงจังกับวันพุธหรือแค่อยากฆ่าเวลา แต่ถ้าสบโอกาสก็คว้าไว้เถอะ ฉันอาจได้คุยกับเขาแค่แป๊บเดียว แต่เซนส์มันบอกว่าคนนี้แหละเหมาะกับนายนะ”

เธอส่งจูบให้เขาก่อนจะตัดสาย อทิตยะนั่งนิ่งครู่หนึ่งแล้วค่อยเช็กอีเมล พอบุณฑริกกลับมาก็ขอตัวออกไปสูบบุหรี่

คนนี้แหละเหมาะกับเขา...งั้นหรือ...

อทิตยะไม่แน่ใจว่าทำไมเอมี่ถึงคิดแบบนั้น โอเค...เขาพอจะรู้นิสัยของพิงภพหลังได้ทำความคุ้นเคยกันมาสักพัก แต่ที่สำคัญกว่าคือเขาก็รู้จักตัวเองด้วย ดังนั้นต่อให้ใครๆ จะบอกว่าเขาเปลี่ยนไปแล้ว แต่ก็ไม่แน่ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ขาดการควบคุมตัวเองอีก คนที่สดใสร่าเริงแบบหมอนั่นจะยังอยากเข้าใกล้เขาอยู่หรือเปล่า

บางทีคนที่เหมาะกับพิงภพจริงๆ อาจเป็นเจ้าหนุ่มลูกครึ่งที่ดูอ่อนโยนและใจดีคนนั้นมากกว่า

อทิตยะแค่นหัวเราะเมื่อคิดว่าตนช่างเหมาะกับบทตัวโกงจริงอย่างที่พูด เขาสูบบุหรี่จนหมดมวน ก่อนจะดีดก้นบุหรี่ทิ้งแล้วเดินกลับไปที่ห้องสำนักงาน



++------++



พิงภพนั่งเหม่ออยู่ท้ายเรือหลังกินข้าวกลางวัน วันนี้เขามีหน้าที่นำกลุ่มนักดำน้ำ แต่เพราะว่าสมาชิกกลุ่มมากันเกินสี่คนจึงโดนจับแยก พอถึงช่วงพักก็จับกลุ่มคุยกันเองเหมือนไม่เห็นหน้ากันมาทั้งวัน เขาเลยฉวยโอกาสหลบมานั่งชั้นล่างเสียเลย

พายุเมื่อคืนช่วยพัดเมฆและฝุ่นไปหมด วันนี้ท้องฟ้าจึงใสแจ๋ว น้ำก็นิ่งจนเห็นลึกลงไปได้หลายเมตร แววตาของพิงภพดูเหมือนกำลังจ้องฝูงปลาเล็กปลาน้อย แต่ใจกลับคิดถึงเรื่องเมื่อคืน

“...นอกจากคุณก็ไม่มีใครที่ถูกสเป็กเราอีกแล้วล่ะ”

หมอนั่น...ขอคบกับเราเพราะถูกสเป็กกับอยากได้เพื่อนคุย...แค่นั้นจริงหรือ

ชายหนุ่มปรายตามองกระจกบานเล็กที่แขวนอยู่ท้ายเรือ ผมหน้าซึ่งปกติยุ่งเหยิงถูกรวบมัดเป็นจุกไว้กลางกระหม่อม ปลายผมแห้งกรอบเป็นสีน้ำตาลเพราะถูกแดดเลียวันละหลายชั่วโมง ผิวหรือก็เกรียมไปทั้งตัว เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าหมอนั่นตาถั่วหรือชอบของแปลกกันแน่

แล้วยังมีเรื่องที่พิงภพติดใจตั้งแต่เช้าวันที่อทิตยะเมากลับห้อง ตอนนั้นเขานึกว่าชื่อ ‘ดิว’ ที่ได้ยินคงเป็นชื่อของผู้หญิง แต่พอรู้รสนิยมของอทิตยะก็คิดว่าคงเป็นผู้ชายมากกว่า เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นอดีตแฟนที่เลิกกันแล้วหรือยังคบกันอยู

แต่ว่า...ไม่หรอก ถึงจะพูดได้ไม่เต็มปากว่าเขารู้จักหมอนั่นดี แถมบางครั้งยังปวดหัวเพราะความกวนโอ๊ยและทะลึ่ง แต่ก็มั่นใจว่าอทิตยะไม่ใช่คนที่จะทำร้ายใครลับหลังหรือนอกใจคนรักแน่

ซึ่งก็ไม่ใช่หลักฐานว่าหมอนั่นพิศวาสเขาเหมือนกัน เพราะแต่ละครั้งที่โดนจับมือ หอมแก้มหรือกระทั่งจูบ อทิตยะไม่เคยปูบรรยากาศหวานแหววนำร่องสักครั้ง เหมือนนึกอยากทำอะไรก็ทำ ราวกับรอดูว่าเขารับได้แค่ไหนก่อนจะไม่โอเค เขาถึงได้มานั่งปวดหัวอยู่นี่เพราะไม่รู้ว่าหมอนั่นกำลังคิดอะไรกันแน่

“โอ๊ย! หงุดหงิดโว้ย!”

“เป็นอะไรพุธ จู่ๆ ก็ร้องขึ้นมา”

“น้าแคน! โทษทีฮะ แค่มีเรื่องกวนใจนิดหน่อย”

พิงภพยิ้มแหยเมื่อกัปตันเดินมาที่ท้ายเรือ ชายสูงวัยซึ่งอดีตเคยอยู่ในกองทัพเรือหยิบบุหรี่ขึ้นคาบพร้อมกับหันซองให้ แต่พิงภพส่ายหน้าเพราะรู้สึกว่าไม่กี่วันนี้อัดควันเข้าปอดเยอะเกินไปแล้ว

“วัยรุ่นก็อย่างนี้ละน้า...มีเรื่องว้าวุ่นไม่หยุดหย่อน”

ชายสูงวัยเอ่ยยิ้มๆ พิงภพเลิกคิ้วพลางหันไปมอง พอเห็นรอยยิ้มก็รู้ทันทีว่าเรื่องที่เขาคบกับอทิตยะคงถึงหูคนบนเรืออย่างไม่ต้องสงสัย

“น้าแคนอย่าแซวผมเลย แค่นี้ผมก็รู้สึกว่าคิดผิดจะแย่”

“ทำไมล่ะ แฟนช่างเอาใจมากไปเหรอ เห็นว่าเดี๋ยวจะมาช่วยงานบนเรือแทนสเวนระหว่างลาพักร้อนใช่ไหม?”

พิงภพแทบคำรามเมื่อถูกเตือนความจำ รู้สึกอยากเตะตัวเองที่ดันไปหลอกล่อให้อทิตยะมาช่วยงานบนเรือ เจ้าบ้านั่นยิ่งดูจะชอบแกล้งเขาต่อหน้าคนอื่นด้วย ไม่อยากนึกว่าถ้าวันๆ ต้องทำงานด้วยกันตลอด เจ้า ‘แฟน’ คนนี้จะทำเขาประสาทเสียแค่ไหน

“ถ้าหมอนั่นทำตัวน่าโดนดุ น้าแคนก็จัดหนักๆ ไม่ต้องเกรงใจเลยนะ”

“แหม เป็นห่วงเป็นใยจริง น้าจะไปว่าอะไรหลานคุณบู๊ได้ ยังไม่อยากย้ายไปทำงานที่อื่นนี่”

“ถึงพี่บู๊รักหลานแค่ไหนก็คงไม่โอ๋ตลอดหรอกฮะ”

จะว่าไป...เต็มไม่เคยเล่าเรื่องตัวเองให้ฟังเลยนี่นา ที่เรารู้เรื่องครอบครัวของหมอนั่นก็จากพี่บุ๋ม ถึงตอนนี้จะได้ชื่อว่าคบกันก็เถอะ แต่เขามีสิทธิ์ถามเรื่องส่วนตัวได้หรือเปล่า?

“ก็ไว้ค่อยดูกันไป แต่น้าเคยเห็นเขาที่รีสอร์ต หน่วยก้านก็ใช้ได้อยู่นะ เวลาคุยกับใครก็มองตาตรงๆ ไม่หลุกหลิก คนบุคลิกแบบนี้ไม่ทำอะไรแบบขอไปทีหรอก คงมีของอยู่เหมือนกัน”

ข้อสังเกตของผู้สูงวัยทำให้พิงภพเลิกคิ้ว ประสบการณ์ที่สั่งสมมานานคงช่วยให้น้าแคนอ่านบุคลิกคนได้เฉียบขาด แถมยังคิดตรงกับเขาว่าอทิตยะไม่ใช่คนที่น่าจะทำอะไรเล่นๆ

แล้วมันก็วกมาที่ความสงสัยว่าทำไมหมอนั่นขอคบกับเขาอีกจนได้ แค่อยากช่วยให้รู้ว่าเขาคบกับผู้ชายได้หรือเปล่าแค่นั้นจริงน่ะหรือ...

“ได้เวลาแล้วสิ เดี๋ยวอีกซักสิบนาทีพุธบอกลูกทีมให้เตรียมตัวแล้วกัน บ่ายนี้คงจะเป็นที่กรีนร็อค”

“ได้ฮะ”

พิงภพมองผู้สูงวัยเดินกลับไปที่ห้องบังคับเรือ ก่อนจะเดินขึ้นชั้นสองเพื่อแจ้งลูกทีมเกี่ยวกับจุดดำน้ำแห่งต่อไป



++------++



ค่ำนั้นพิงภพกลับเข้าฝั่งดึกตามเคยเพราะต้องดูแลลูกค้าที่ดำน้ำตอนกลางคืน พอเดินไปที่ห้องสำนักงานพร้อมพวกเพื่อนๆ ก็เห็นอทิตยะนั่งเฝ้าอยู่คนเดียวเหมือนเมื่อวาน

“พี่บุ๋มไม่อยู่อีกแล้วเหรอเย็นนี้?”

“ช่วงนี้เพื่อนขยันนัดเจอละมั้ง”

อทิตยะตอบพลางยักไหล่ พิงภพรู้สึกทะแม่งเพราะบุณฑริกไม่ใช่คนที่จะฝากงานพร่ำเพรื่อ แต่เป็นไปได้ว่าพอมีอทิตยะมาช่วยก็เลยอยากใช้เวลาส่วนตัวบ้าง

“อ้อ สเวน พี่บุ๋มบอกนายแล้วใช่ไหมเรื่องที่จะต้องสอนงานฉันก่อนลาพักร้อน”

“บอกแล้ว ฉันว่ากำลังจะคุยกับนายเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน”

“เดี๋ยวๆ พวกนายคงไม่คิดจะนั่งคุยกันในออฟฟิศตอนนี้หรอกนะ? พวกฉันหิวไส้จะขาดอยู่แล้ว นายก็เหมือนกันใช่ไหมพุธ?”

มาริอุสโอดพลางรั้งคอพิงภพอย่างขอเสียงสนับสนุน สเวนกับอทิตยะหันมามองพวกเขา พิงภพกะพริบตาเมื่อเห็นรอยยิ้มอ่อนๆ บนมุมปากของเจ้าคนยิ้มยาก

“ถ้างั้นไปหาร้านกินข้าวแล้วนั่งคุยกันก็ได้ ฉันก็รอพวกนายจนไส้กิ่วแล้วเหมือนกัน”

“นี่ ไหนๆ วันนี้ก็มีกันหลายคน ไปร้านหมูกระทะดีไหม? ถ้าสี่คนขึ้นไปได้โค้กใหญ่ขวดนึงนี่นา”

ลีเสนอบ้าง พวกเขาเลยตกลงกันว่าจะไปกินหมูกระทะที่ร้านเจ๊แอ๋ว ตอนเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์พิงภพก็รีบถามคนที่เดินข้างๆ

“หมูกระทะโอเคหรือเปล่า?”

“หือ? ทำไมถามยังงั้น?”

“ก็เต็มไม่ชอบไม่ใช่เหรอ? ครั้งก่อนที่พี่บุ๋มลากให้มานั่งด้วยกันก็เห็นกินแค่ไม่กี่คำ ถ้าไม่ชอบจะได้บอกเจ้าพวกนั้นให้เปลี่ยนร้าน”

พิงภพเอ่ยขณะเปิดกระเป๋าสตางค์ดูว่ามีเงินเท่าไหร่ แต่พอไม่ได้ยินเสียงตอบก็เงยหน้า และเห็นอทิตยะกำลังมองเขาด้วยแววตาที่ตีความไม่ออก

“เป็นอะไร อย่าเงียบดิ”

อทิตยะพ่นเสียงหึทางจมูก “ไม่นึกว่าคุณจะสังเกตเห็นด้วย ที่จริงแอบชอบเราตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะสิ”

“ไม่เกี่ยวเว่ย! มันติดนิสัยจากการเป็นครูสอนดำน้ำต่างหาก ไม่ได้ตั้งใจสังเกตเป็นพิเศษสักหน่อย”

“ไม่ต้องเขินหรอก เป็นแฟนกันแล้ว สารภาพมาตรงๆ ก็ได้ว่าชอบเรา”

พิงภพฟังแล้วได้แต่หรี่ตา “หลงตัวเอง หน้าด้าน”

“ถึงจะหน้าด้านก็แฟนคุณนะ”

“ถ้าตอนแรกรู้ว่าหน้าด้านอย่างนี้คงไม่ตกลงคบด้วยหรอก”

คนตัวสูงกว่าหัวเราะขณะสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ พิงภพย่นจมูกพลางก้าวขึ้นซ้อนท้าย หลังรถแล่นออกจากลานจอดก็พูดขึ้นอีก

“จริงๆ นะ จะเปลี่ยนร้านก็ได้ เจ้าพวกนั้นน่ะพอหิวก็กินไม่เลือกอยู่แล้ว ข้างร้านหมูกระทะก็มีร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่”

“เดี๋ยวเพื่อนๆ คุณจะไม่อิ่มเอาน่ะสิ อีกอย่างคุณชอบหมูกระทะร้านนั้นไม่ใช่เหรอ จำได้ว่าเดินไปเติมแล้วเติมอีก ไม่เป็นไรหรอก นานๆ กินทีก็ไม่แย่ขนาดนั้น”

อทิตยะเอ่ยอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ แต่กลับทำเอาพิงภพอึ้งไป สรุปว่าคืนนั้นไม่ได้มีแต่เขาที่สังเกตอีกฝ่ายสิเนี่ย

ทั้งคู่ไม่ได้คุยกันอีกจนกระทั่งถึงร้าน พวกเขาเดินไปสมทบพวกเพื่อนๆ ซึ่งมาถึงก่อนและเริ่มตักอาหารแล้ว ระหว่างที่กินมื้อดึกกันอทิตยะก็ถามสเวนเรื่องหน้าที่ประสานงานกับเรือ บางทีมาริอุสกับลีก็ช่วยเสริม ส่วนพิงภพไม่ได้พูดอะไรเพราะรู้สึกเวียนหัวจากพวกเพื่อนๆ ที่แย่งกันพูด

แต่ว่า...อีกเหตุผลที่เขาไม่ได้ร่วมสนทนามากนัก ก็เพราะอทิตยะเอาแต่คีบอาหารใส่จานให้ ดูเหมือนตั้งแต่ครั้งแรกหมอนี่จะสังเกตจริงๆ ว่าเขาชอบกินอะไร แต่ละอย่างในจานเลยเป็นของโปรดของเขาทั้งนั้น

“มื้อนี้สบายจังนะพุธ นั่งเคี้ยวตุ้ยๆ เชียว ส่งเสียงให้เพื่อนๆ ได้ยินมั่งก็ได้”

“นั่นสิ ปกติหมอนี่ชอบอ้อนให้นายคอยบริการหรือไง เต็ม?”

มาริอุสช่วยเสริมลีอีกต่อ พิงภพเลยถลึงตาใส่เพื่อนๆ และปัดตะเกียบที่ทำท่าจะมาแย่งอาหารของเขา อทิตยะยิ้มบางๆ ขณะยกเบียร์ขึ้นจิบ

“พุธไม่เคยอ้อนหรอก แต่ถ้าฉันอยากเป็นแฟนที่ดีก็ควรจะทำใช่ไหมล่ะ?”

ไม่พูดเปล่า เจ้าคนหน้าด้านยังดึงเขาไปโอบไหล่จนเรียกเสียงผิวปากและหัวเราะอย่างสนุกสนาน พิงภพคีบหมูย่างเข้าปากอย่างไม่สนใจ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าแปลก...นี่เป็นครั้งแรกที่เขากับอทิตยะออกมาทำกิจกรรมกับพวกเพื่อนๆ หลังตกลงคบกัน แต่เขากลับไม่รู้สึกขัดเขินหรือขนลุกสักนิด ต้องบอกว่าโชคดีที่ไม่มีเพื่อนคนไหนแสดงท่าทีว่ารับไม่ได้

หรืออาจจะเป็นเพราะ...เขาเริ่มชินกับหมอนี่จนไม่รู้สึกว่ากำลังฝืนใจก็เป็นได้...

พิงภพหันไปมองคนที่ยังโอบไหล่เขา อทิตยะกำลังยิ้มพลางตอบคำถามของสเวน ถึงจะไม่ใช่รอยยิ้มแบบเห็นฟันหรือตาโค้งหยี แต่ก็นับว่ายิ้มมากกว่าปกติที่แทบจะต้องใช้แว่นขยายส่องแล้ว

จริงสิ หมอนี่เคยพูดเองว่าไม่มีเพื่อนที่เกาะนี้ ถ้าจะเอ็นจอยการได้สังสรรค์กับคนวัยเดียวกันก็คงไม่แปลก

“แหมๆๆ พุธธธ จ้องแฟนใหญ่เลยนะ”

เสียงของมาริอุสช่วยดึงเขาจากภวังค์ แต่ก็เรียกความสนใจให้อทิตยะหันมาเหมือนกัน ปลายจมูกที่เกือบชนกันทำเอาพิงภพรีบคีบเห็ดยัดปากอีกฝ่าย

“เอาแต่ย่างให้คนอื่นอยู่นั่น ตัวเองก็กินซะมั่งสิ เดี๋ยวไม่คุ้มค่าบุฟเฟต์”

เขารีบแก้ตัวพลางหันไปคีบอย่างอื่นใส่กระทะ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่านั่งอยู่ดีๆ มาตั้งนาน แล้วปุบปับไอ้ความขัดเขินนี่มันโผล่มาจากไหน

“โหย จะป้อนให้แฟนก็นุ่มนวลหน่อยสิคุณ เกิดเราตายเพราะเห็ดติดคอจะทำไง?”

อทิตยะบ่นหลังหยิบเบียร์ขึ้นจิบเพราะสำลัก พิงภพรู้สึกผิดหน่อยๆ แต่ก็ทำคอแข็งเพราะเพื่อนร่วมโต๊ะกำลังจับจ้อง ทำยังกับ...เห็นพวกเขาเป็นเรียลลิตี้โชว์ไปได้!

“ถ้าแค่นี้ตายก็อ่อนเกินไปละ เอ้า พวกนายก็กินกันสิ นั่งดูพวกฉันแล้วอิ่มหรือไง?”

ชายหนุ่มบ่นพลางคีบอาหารใส่จานเพื่อนๆ ไม่รู้เพราะคำพูดหรือว่าริ้วสีแดงที่พาดบนแก้ม แต่เหล่าเพื่อนทั้งสามระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น

“ไม่นึกเลยว่าจะมีวันได้เห็นพุธแบบนี้ ต้องขอบคุณนายนะเนี่ย เต็ม”

“นั่นสิ ไม่นึกเลยว่าจู่ๆ เพื่อนเราจะเนื้อหอมขึ้นมา ก่อนหน้านี้ไม่นานก็เพิ่งมี...โอ๊ย!”

ลีพูดไม่ทันจบก็สะดุ้งโหยงแล้วหันไปมองสเวนซึ่งนั่งดื่มเบียร์เงียบๆ ก่อนจะสะดุ้งอีกทีแล้วหันไปมองมาริอุสที่กำลังคีบเบคอนกินอยู่อีกด้าน พิงภพเลิกคิ้วก่อนจะสะดุ้งเหมือนกันเมื่อจู่ๆ อทิตยะก็บีบต้นขาเขาทีหนึ่งก่อนจะผละมือไป

“น้องครับ ขอเบียร์เพิ่มอีกขวด พวกนายอยากได้อะไรเพิ่มไหม?”

“ก็ดีเหมือนกัน ฉันเอาด้วย”

“ขอน้ำแข็งอีกถังก็ดี”

มาริอุสกับสเวนสั่งต่อจากอทิตยะราวกับซ้อมบทกันมา พิงภพกับลีมองหน้ากัน ก่อนเพื่อนของเขาจะยิ้มแหะๆ แล้วลุกจากโต๊ะ

“เดี๋ยวฉันไปหยิบผักเพิ่มให้ กินแต่เนื้ออย่างเดียวมันไม่บาลานซ์ นายอยากได้อะไรเพิ่มไหมพุธ?”

“เอ่อ งั้นฝากตักข้าวผัดกระเทียมกับหมูหมักก็แล้วกัน แต๊งกิ้ว”

“โอเค รอแป๊บ”

ไม่รู้เขาอุปาทานไปเองหรือเปล่าว่ามาริอุสกับสเวนเหลือบมองลีอย่างเอือมระอา ส่วนอทิตยะแค่อมยิ้มน้อยๆ เหมือนเดิม แต่พอลีเดินกลับมาพร้อมกับเยลลี่และขนมหวาน ทั้งวงก็เปลี่ยนไปแซวเรื่องนี้จนบรรยากาศทะแม่งเมื่อครู่หายไปโดยสิ้นเชิง



++------++



“โอ๊ย อิ่มเป็นบ้า ท้องจะแตกแล้ว”

พิงภพเอ่ยหลังต่างคนต่างแยกย้ายหลังมื้ออาหาร เขาไม่ได้กลิ่นตัวเองก็จริง แต่มั่นใจว่าทั้งผมและเสื้อผ้ากำลังส่งกลิ่นหึ่งจากเขม่าควันแน่ๆ

“จะไปเดินเล่นย่อยอาหารก่อนไหมล่ะ? แต่พรุ่งนี้คุณต้องตื่นแต่เช้านี่”

อทิตยะเอ่ยขณะล็อกล้อมอเตอร์ไซต์ใต้อพาร์ตเมนต์ พิงภพยู่ปากขณะลูบท้องตัวเองไม่หยุด

“ก็ต้องตื่นเช้าทั้งคู่นั่นแหละ สเวนนัดให้ไปเจอที่ห้องเก็บของตั้งแต่หกครึ่งไม่ใช่หรือไง?”

“ใช่ ดังนั้นก็ต้องตื่นไปพร้อมกัน เสียใจด้วยนะ”

เจ้าคนหน้าตายเอ่ยพร้อมกับชักยิ้มมุมปาก ไม่มีคำตอบเอาใจว่า “คุณไม่ต้องรีบไปพร้อมเราก็ได้” หรือ “ขอโทษนะที่ทำให้ต้องตื่นเช้าไปด้วย” พิงภพเลยได้แต่มองเขม่นก่อนจะหมุนตัวไปทางอาคาร

“ชิ เอาเถอะ ยังไงก็แค่ช่วงที่สเวนไม่อยู่ เดี๋ยวเราไปนั่งหลับต่อในออฟฟิศก็ได้”

เสียงฝีเท้ายาวๆ ก้าวตามมาจากด้านหลัง พิงภพไม่ได้สนใจจนกระทั่งอทิตยะดึงมือเขาไปจับ

“วันนี้กลับดึกเลยไม่ได้ไปเดินเล่น ถ้างั้นแค่จับมือกันขึ้นบันไดก็แล้วกัน”

พิงภพฟังแล้วกะพริบตาปริบ แต่ก็ไม่ได้ดึงมือออกขณะทั้งคู่พากันเดินขึ้นชั้นสอง จากที่เมื่อกี้เขาอยากรีบอาบน้ำแล้วทิ้งตัวนอนเร็วๆ แต่ตอนนี้...ดันนึกเสียดายที่ระยะทางจากโรงรถขึ้นห้องช่างสั้นเหลือเกิน

นี่เขาชินกับการให้หมอนี่จูงมือตั้งแต่เมื่อไหร่...

อทิตยะเดินผ่านห้องของตัวเองแล้วค่อยหยุดที่ประตูห้องของพิงภพ มือของทั้งสองผละจากกันคล้ายไม่เต็มใจ แต่แล้วพิงภพก็สังเกตเห็นรอยคล้ำบนนิ้วมือข้างซ้ายของอีกฝ่าย

“จริงสิ ยังเจ็บมืออยู่ไหม?”

ราวกับอทิตยะลืมไปว่าตัวเองมีแผล ชายหนุ่มเลิกคิ้วขณะยกมือขึ้นเพ่งมอง

“ก็ไม่เท่าไหร่แล้ว ถลอกแค่นี้เทียบกับตอนให้ช่างสักหลังเป็นสิบชั่วโมงยังไม่ได้เลย”

พิงภพนึกอยากค้อนปะหลับปะเหลือก แต่ก็คิดได้ว่าคงดูตลกมากกว่าน่ารักเลยหักใจ

“ความเจ็บตอนสักนั่นมันเตรียมใจไว้ก่อน จะมาเปรียบเทียบกับแผลแบบนี้ได้ยังไงกัน เราไม่เชื่อหรอกว่าบนโลกนี้จะมีใครตั้งใจทำให้ตัวเองเจ็บตัว”

เขารวบบีบปลายนิ้วใหญ่แล้วเขย่าเบาๆ อทิตยะมองเขาแล้วก็เหยียดยิ้มมุมปาก

“คุณไม่เคยเห็นพวกที่กรีดแขนตัวเองเหรอ?”

“อย่าไปนับรวมกับพวกนั้นสิ อีกอย่างเราเห็นคนที่มีแผลพวกนี้มาให้พ่อสักทับไม่รู้กี่คนแล้ว บอกก่อนว่าผิวที่มีแผลเป็นน่ะสักแล้วหมึกไม่ค่อยติดนะ ดังนั้นถ้าอยากสักเพิ่มก็พยายามอย่าเป็นแผลจะดีกว่า”

“อืม งั้นต่อไปคงต้องระวัง กำลังคิดว่าอยากจะสักต่อลงมาที่มือพอดี”

“งั้นยิ่งต้องระวังใหญ่เลย เพราะรอยสักบนมือจะเลือนง่ายกว่าส่วนอื่นอยู่แล้วด้วย”

ไม่รู้ทำไมบทสนทนาของพวกเขาถึงวกมาเรื่องสัก แต่พิงภพกลับรู้สึกดีใจ เพราะนอกจากจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างคุ้นเคยจากการคลุกคลีในร้านสักของพ่อตั้งแต่เด็ก มันก็ช่วยให้พวกเขาได้ยืดเวลาคุยกันเพิ่มขึ้นอีกหน่อย

ทำไมเขาชักจะทำตัวหวานแหววขึ้นเรื่อยๆ นะนี่...

“เพราะงั้น...อะแฮ่ม ถ้าแผลแห้งแล้วก็ทาครีมไม่ให้เป็นรอยก็แล้วกัน แล้วถ้าไม่ติดว่าต้องสักกับช่างประจำก็ลองปรึกษาเฮียเราได้ มันถนัดแนวญี่ปุ่นกับนิวสคูล เมื่อปีก่อนก็เพิ่งได้รางวัลจากอิเวนต์ที่โอกินาว่า”

“พูดซะอยากเจอ เฮียของคุณแต่งงานมีครอบครัวแล้วใช่ไหม?”

“มีแล้ว ลูกสาวก็เรียนประถมแล้ว นี่ก็ยุให้มาเยี่ยมอยู่แต่มันงานยุ่ง”

“น่าเสียดาย เอาเป็นว่าเราจะลองถามถ้าได้เจอ ว่าแต่คุณง่วงแล้วล่ะสิ ตาโรยเชียว”

อทิตยะตบแก้มเขาเบาๆ ปลายนิ้วที่สัมผัสราวกับทิ้งรอยอุ่นเป็นแถบ พิงภพกะพริบตาก่อนจะรีบหยิบพวงกุญแจออกจากกระเป๋า

“นี่มันดึกมากแล้วนี่ งั้นก็กู๊ดไนต์...”

ชายหนุ่มชะงักเมื่อเห็นตุ๊กตากัปตันอเมริกาที่ห้อยอยู่ แววตากลมโตของมันคล้ายกำลังมองแทนใครบางคน เขาเหลือบตาขึ้นเมื่อจู่ๆ เงาของอทิตยะก็ก้าวเข้ามาบังแสงไฟหน้าระเบียง

“...กู๊ดไนต์ แล้วเจอกันพรุ่งนี้เช้า”

คนตัวสูงกว่าเอ่ยก่อนจะเดินกลับเข้าห้อง พิงภพยืนมองประตูที่ปิดลง ก่อนจะหันไปไขกุญแจแล้วเข้าห้องของตัวเองบ้าง

ทันทีที่กดล็อกประตู พิงภพก็เอนหลังพิงฝาแล้วทรุดตัวนั่ง เสียงกุกกักจากห้องข้างๆ ลอยเข้าหูอย่างชัดเจน เขายกมือขึ้นสัมผัสริมฝีปากที่เพิ่งถูกจูบ มันช่างต่างกันเหลือเกินกับสัมผัสหยอกเย้าผิวเผินเมื่อคืนก่อน เพราะจูบครั้งนี้ทิ้งไออุ่นร้อนไว้ให้ เช่นเดียวกับบนข้อมือที่อีกฝ่ายคว้าจับไว้ก่อนจะแยกเข้าห้อง

“ได้ฆ่าเวลาล่ะมั้ง...อย่างน้อยถ้าคบกับคุณเราก็จะได้มีคนคุยด้วย”

อะไรเล่า...คนที่พูดเหมือนให้คบกันขำๆ คือตัวเองแท้ๆ อย่าทำให้เขาเขวด้วยการแสดงท่าทีแบบนี้ได้ไหม...



++---TBC---++



A/N: พุธกับเต็มกลับมาแล้วค่า รู้นะว่าคิดถึง ^^

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ดูเนียนกันดีจัง

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
เต็มนี่ร้ายจริงๆหลอกวันพุธมาเป็นแฟนแล้วแอบจีบเนียนๆ
อยากเห็นเต็มตอนขาดสติแล้วสิพุธจะรับมือยังไงนะ

 :pig4:

ออฟไลน์ piakunaa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
ชั้นทีมซัน​

ออฟไลน์ Kfc_Pizza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ตะวันพิงภพ บทที่ 14

สิบห้าปีก่อน...

จันทร์เต็มดวงทอแสงกระจ่าง ถนนหนทางคึกคักด้วยไปด้วยผู้คนที่พากันออกมาลอยกระทง แสงเทียนในแม่น้ำแวววามดุจทุ่งดอกไม้เรืองแสง

“เต็ม!จะทำอะไรลูก!”

“เต็มอยากเล่นน้ำอะแม่ ดูสิ คนอื่นเขาก็กระโดดลงไปเล่นกันเยอะแยะ”

เด็กชายอทิตยะตอบพลางชี้นิ้วไปยังเด็กวัยไล่เลี่ยกันที่กำลังดำผุดดำว่าย ส่วนมืออีกข้างถูกผู้เป็นแม่ยึดแน่น หลังมองตามภาพที่เขาชี้แล้วเธอก็ถอนหายใจ

“พวกนั้นเขาลงไปงมหาเงินในกระทงน่ะสิ เราไม่ต้องไปเลียนแบบเขาหรอก อยู่ใกล้ๆ แม่ไว้เดี๋ยวหลง”

เด็กชายอายุแปดขวบทำปากยื่น เขาวิ่งเล่นย่านนี้มาตั้งแต่จำความได้ แถมทุกคนแถวนี้ก็รู้จักกันหมด ต่อให้เขาหลงกับแม่เดี๋ยวก็มีคนพาไปส่งบ้านอยู่ดี

“คุณต้อง จะพาเต็มไปลอยกระทงหรือครับ?”

ทั้งอทิตยะและแม่หันไปตามเสียง เจ้าของเสียงคือสำราญ รองผู้อำนวยการเขตที่เพิ่งย้ายมาเมื่อปีกลาย ยังโสด หนุ่มและเนื้อหอมในหมู่สาวๆ อย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่อทิตยะได้ยินจากเหล่าป้าๆ ในตลาด

“ใช่ค่ะคุณสำราญ วันนี้งานเสร็จเร็วก็เลยรีบมาก่อนจะดึก”

“จะไปลอยที่หลังวัดใช่ไหมครับ ผมกำลังจะไปอยู่พอดี งั้นเดินไปพร้อมกันดีกว่า”

แม่ของเขายิ้มน้อยๆ โดยไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ทั้งสามเดินท่ามกลางผู้คนซึ่งถูกดึงดูดด้วยเสียงดนตรีจากงานวัด ความที่คนเดินเบียดกันเยอะทำให้อทิตยะเกือบถูกกระจาดของแม่ค้าฟาดหน้า คุณสำราญเห็นก็เลยอุ้มเขาขึ้น

“อุ้ย! ปล่อยให้แกเดินเองเถอะค่ะ เต็มยิ่งตัวหนักอยู่ด้วย”

“ก็แค่ตัวโตกว่าเด็กวัยเดียวกันหน่อย อีกอย่างก็ใกล้จะถึงวัดแล้ว ไม่เป็นไรหรอกครับ”

อทิตยะแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้เพราะดีใจที่ไม่ต้องเดินเอง แม่มองเขาอย่างอ่อนใจ คืนนั้นพวกเขาสามคนลอยกระทงด้วยกัน เล่นเกมปาเป้าและนั่งชิงช้าสวรรค์ด้วยกัน แถมคุณสำราญยังซื้อขนมเบื้องให้กล่องใหญ่ เด็กชายเห็นแววตาอิจฉาจากพวกสาวๆ รอบด้าน แต่ในเมื่อแม่ของเขาไม่แสดงท่าทีเดือดร้อน เขาก็เลยถือโอกาสจูงมือคุณสำราญกับแม่เป็นเชิงอวดเสียเลย

หลังคุณสำราญมาส่งถึงบ้านและขอตัวกลับไปแล้ว อทิตยะมองแม่เดินไปวางกระเป๋าข้างจักรเย็บผ้าที่ใช้มาตั้งแต่รุ่นคุณยาย ฝีมือตัดเย็บของแม่ขึ้นชื่อจนเคยตัดชุดออกงานให้คนใหญ่โตในจังหวัด แต่แม่ก็ยังถ่อมตัวและใช้ชีวิตสมถะไม่เปลี่ยน
“แม่”

“หือ? ดึกแล้ว เราน่ะไปแปรงฟันนอนได้แล้วไป”

แม่โบกมือไล่เขาก่อนจะหันไปหาชุดที่เย็บค้างไว้ อทิตยะอาจจะยังเด็ก แต่ก็รู้ว่าแม่ชอบเย็บผ้าเวลามีเรื่องให้คิด

“แม่ไม่ชอบคุณสำราญเหรอ?”

คำถามของเขาทำเอาอีกฝ่ายชะงัก แม่นั่งลงบนเก้าอี้ แล้วก็มองเขาด้วยแววตาครุ่นคิดจนเด็กชายเริ่มประหม่า

“ทำไมถามอย่างนั้น?”

“ก็...ใครๆ ที่ตลาดก็บอกว่าคุณสำราญชอบแม่ แต่ว่าแม่เล็งพ่อเลี้ยงประทีป ก็เลยไม่สนใจคุณสำราญ”

แววตาของแม่กระด้างขึ้นก่อนจะถอนหายใจ อทิตยะมองแม่ที่หันไปมองพระจันทร์เต็มดวงนอกหน้าต่างอย่างกล้าๆ กลัวๆ ตั้งแต่เด็กแม่ไม่เคยตีหรือเกรี้ยวกราดใส่เขา แต่ความเงียบของแม่ทำให้เขาใจแป้วยิ่งกว่าเวลาโดนครูทำโทษเสียอีก

“แม่...”

“เต็ม มานี่ซิ”

เด็กชายเดินเข้าไปหา แม่จับมือเขาไว้แล้วใช้อีกมือเชยคางขึ้น อทิตยะเลยต้องช้อนตาขึ้นสบตากับแม่ ครู่หนึ่งแม่ก็ดึงเขาเข้าไปกอด

“เต็มอยู่กับแม่แล้วไม่มีความสุขเหรอ?”

“ไม่ใช่...แต่ว่า...ถ้าแม่แต่งงานใหม่ แม่ก็จะได้ไม่เหงา”

แม่หัวเราะพรืดก่อนจะถอยออก “ทุกวันนี้แม่ก็ไม่เหงาสักหน่อย อีกอย่างแม่ก็ไม่ได้ชอบทั้งคุณสำราญหรือพ่อเลี้ยงประทีป จะแต่งงานกับเขาทำไม"

“แต่ว่า...ยายเพ็ญที่ตลาดเคยพูดว่าเสียดายความสาวแทนแม่...”

คราวนี้แม่หัวเราะเสียงดังกว่าเดิม อทิตยะทำหน้าเหลอ ถึงจะยังไม่ค่อยเข้าใจว่า ‘เสียดายความสาว’หมายความว่าอย่างไร แต่ก็คิดว่ามันคงเป็นคำพูดที่ไม่ฉลาดแน่ๆ ถ้าทำให้แม่หัวเราะขนาดนี้

“เฮ้อ...จะห้ามปากหอยปากปูคงไม่ได้ เอาอย่างนี้ เวลาเต็มได้ยินอะไรก็ปล่อยให้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไป คนพวกนั้นไม่ใช่แม่ เขาจะมาคิดเสียดายอะไรแทนแม่ได้ยังไง เข้าใจไหม?”

เด็กชายพยักหน้าทั้งที่ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็คิดว่าแม่คงพูดถูกเพราะคนพวกนั้นต่างจากแม่ของเขาจริงๆ แม่ยิ้มก่อนจะหยิกแก้มเขาเบาๆ

“เอาไว้เต็มเป็นผู้ใหญ่แล้วจะเข้าใจมากกว่านี้ จำไว้ว่าอย่าฟังคำคนอื่นจนต้องฝืนความรู้สึกตัวเองก็พอ เพราะถ้าทำแบบนั้นแล้วก็จะไม่มีใครมีความสุข แล้วในเมื่อแม่ไม่ได้ชอบทั้งคุณสำราญทั้งพ่อเลี้ยง แม่ก็จะไม่ฝืนตอบรับแล้วพากันไม่มีความสุขไปตลอดชีวิตหรอก”

“ถ้างั้น...แม่มีคนอื่นที่ชอบอยู่แล้วเหรอ?”

“...มีสิ แต่ถึงชอบก็ไม่ได้หมายความว่าต้องอยู่ด้วยกัน แค่ทุกวันนี้ได้อยู่กับเต็มแม่ก็พอใจแล้ว ดังนั้นเลิกหาคู่ให้แม่ได้แล้วนะ”

อทิตยะหน้าม้านเมื่อถูกจับได้ แม่ยิ้มก่อนจะตบก้นเขาเบาๆ เป็นเชิงไล่

“ไปนอนได้แล้ว แม่รู้นะว่าเรายังไม่ได้ทำการบ้าน พรุ่งนี้รีบตื่นมาทำก่อนไปโรงเรียนด้วย ไม่งั้นก็อดค่าขนมสามวัน”

“โหย แม่อ้ะ!สามวันมันนานไปนะ!”

เด็กชายโอดขณะที่แม่หัวเราะร่วน นั่นเป็นหนึ่งในคืนพระจันทร์เต็มดวงที่ฝังแน่นในความทรงจำของอทิตยะมาตลอดสิบกว่าปี


++------++


ช่วงสายของวันนี้...

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในห้องสำนักงานของบลูแซนด์รีสอร์ต พนักงานคนหนึ่งยกหูรับสาย หลังคุยสองสามประโยคก็หันมาหาบุณฑริก

“พี่บุ๋ม รีเซปชั่นบอกว่ามีลูกค้าวอล์คอินมา อยากสมัครคอร์สดำน้ำควบห้องพักสามคืน แต่ว่าห้องเราเต็มยาวถึงวีคหน้าเลย เอาไงดี?”

“เอ...งั้นโทรถามเบย์มูนหรือแกรนด์ฮิลว่ามีห้องว่างไหม ถ้ามีก็เช็กราคาให้ลูกค้า แล้วบอกว่าเราจะส่งรถไปรับวันที่มีเรียนดำน้ำก็แล้วกัน”

“โอเคค่ะ”

อทิตยะฟังบทสนทนาแล้วเหลือบมองปฏิทินแขวนผนัง เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีวันที่ถูกกาวงกลมล้อมรอบหลายวัน

“สุดสัปดาห์นี้มีวันหยุดยาวเหรอครับ?”

บุณฑริกมองตามสายตาเขา “อ๋อ วันหยุดราชการจริงๆ น่ะคือพุธหน้า นักท่องเที่ยวบ้านเราก็เลยจะชอบลายาวตั้งแต่ต้นอาทิตย์หรือท้ายอาทิตย์ แถมช่วงนี้ทางยุโรปก็หยุดซัมเมอร์มาเที่ยวบ้านเราเยอะ ส่วนใหญ่ที่พักเลยเต็มกันหมด”

งั้นครอบครัวนั้นก็โชคดีที่โทรมาตอนยังมีห้องว่าง... ชายหนุ่มคิดขณะมองปฏิทินอีกครั้ง เขาเห็นจุดสีแดงเล็กจิ๋วพิมพ์อยู่ในปฏิทินวันรุ่งขึ้น และถ้าสังเกตดีๆ ก็เห็นว่าในหนึ่งเดือนจะมีวันที่มีจุดสีแดงนี้เดือนละหนึ่งวัน

“น้าบุ๋ม แล้ววันที่มีจุดวงกลมสีแดงนี่แปลว่าอะไร?”

“หือ? วันพระจันทร์เต็มดวงไง จริงสิ ปฏิทินที่ออสเตรเลียคงไม่บอกข้างขึ้นข้างแรม เดือนนี้วันพระจันทร์เต็มดวงไม่ตรงกับวันพระใหญ่ซะด้วย พรุ่งนี้ปาร์ตี้ริมหาดคงมันส์น่าดู”

“ไม่ใช่ว่าจัดปาร์ตี้กันทุกวันอยู่แล้วเหรอครับ?”

อทิตยะเลิกคิ้วถาม บุณฑริกกับพนักงานอีกคนหัวเราะ

“นั่นก็ใช่ แต่คืนที่มีฟูลมูนจะปาร์ตี้กันสุดเหวี่ยงขึ้นไปอีก เกาะเต่าอาจจะไม่ขึ้นชื่อเรื่องนี้เท่าพะงัน แต่ฟูลมูนปาร์ตี้ที่หน้าบ้านเราก็คึกคักใช้ได้นะคะน้องเต็ม”

“ใช่ๆ ที่จริงเต็มอุตส่าห์มาแถวนี้ทั้งที น่าจะลองไปฟูลมูนที่พะงันดูนะ นี่ถ้าน้าไม่ติดงานก็อยากจะพาไปอยู่หรอก”

“แหม พี่บุ๋มจะพาไปเองทำไมล่ะคะ เต็มเขามีคนที่พาไปได้อยู่แล้วนี่”

“ฮะ? อ้อ...ตายจริง ฉันลืมไปได้ไงว่าหลานมีแฟน”

ทั้งคู่หัวเราะคิกคัก อทิตยะเพียงแต่อมยิ้มน้อยๆ เขาย่อมเคยได้ยินชื่อเสียงของฟูลมูนปาร์ตี้ แต่ก่อนหน้านี้ไม่สนใจเพราะไม่คิดว่าจะกลับเมืองไทย แต่พอนึกถึงคนที่หญิงสาวทั้งสองพาดพิงก็เริ่มเปลี่ยนความคิด


++------++


วันนี้พิงภพไม่ต้องนำลูกค้าลงดำน้ำช่วงกลางคืน อทิตยะก็เลยชวนไปซื้ออาหารจากรถเข็นแล้วพากันไปนั่งกินบนชายหาด ช่วงโพล้เพล้เช่นนี้หลายร้านจะวางเก้าอี้บนหาดทรายให้ลูกค้าได้ชมพระอาทิตย์ตก แต่พวกเขาเลือกนั่งบริเวณพื้นทรายแห้งๆ ห่างจากร้านทั้งหลายออกมา กิจวัตรนี้ดำเนินมาเป็นวันที่สาม และดูเหมือนพวกเขาก็จะเริ่มชินกันแล้ว

“อะไรนะ? ฟูลมูนที่พะงัน?”

“อืม คุณเคยไปไหม?”

อทิตยะถามขณะมองพิงภพกัดฮอตด็อกชิ้นใหญ่เข้าปาก อีกฝ่ายเคี้ยวพลางทอดสายตามองทะเล

“เคยไปครั้งนึงสมัยเรียน แต่ช่วงนั้นต้องทำงานพิเศษเลยไม่ค่อยได้เที่ยว พอเริ่มทำงานก็ยิ่งไม่ได้ไปไหน จะว่าไปของเดือนนี้มันจัดพรุ่งนี้นี่นา อยากไปเหรอ?”

“พอดีได้ฟังน้าบุ๋มพูดถึง ก็เลยคิดว่าน่าสนใจ”

อทิตยะตอบพลางกินแฮมเบอร์เกอร์ของตัวเอง พยายามไม่ปรายตามองพิงภพที่กำลังอ้าปากกว้างกัดฮอตด็อกอีกคำ ความเงียบของเขาทำเอาคนข้างๆ ทนไม่ไหวจนต้องเบี่ยงไหล่มาชน

“นี่ อยากไปล่ะสิ?”

“เปล่า เรายังไม่ได้พูดอะไรสักคำ”

พิงภพได้ยินน้ำเสียงยียวนก็เบ้ปาก “ทำเป็นปากแข็ง อยากไปก็บอกมาเถอะ รู้ไม่ใช่เหรอว่าคิวงานเราไม่ใช่ปุบปับก็แคนเซิลได้นะ อีกอย่างเรือไปพะงันมันมีเป็นรอบ ถ้าจะไปก็ต้องรีบจอง ไม่รู้ป่านนี้เต็มไปหมดหรือยัง”

“ก็ถ้าคุณไม่สะดวกก็ไม่ต้องไป เดี๋ยวเราไปคนเดียวก็ได้ ไม่อยากทำให้คุณเสียรายได้ประจำวัน”

ตั้งแต่ใช้เวลาด้วยกันมากขึ้น อทิตยะก็สังเกตเห็นว่าพิงภพมักใส่เสื้อซ้ำอยู่ไม่กี่ตัวและไม่ค่อยใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย แต่เขาเคยถามบุณฑริกก็เลยรู้ว่าครูสอนดำน้ำมีรายได้ดีพอควรถ้าขยัน ดังนั้นการที่พิงภพมีวินัยเรื่องเก็บออมเงินน่าจะเป็นเพราะถูกเลี้ยงมาแบบนี้ หรือไม่ก็มีเป้าหมายในการเอาเงินไปใช้มากกว่า

ชายหนุ่มกินแฮมเบอร์เกอร์โดยไม่พูดอะไรอีก อึดใจหนึ่งก็เห็นพิงภพหยิบโทรศัพท์ขึ้นสไลด์หน้าจอสองสามครั้งแล้วยกขึ้นแนบหู

“ฮัลโหล? ขอโทษฮะพี่บุ๋มที่โทรมาตอนเย็น พรุ่งนี้บ่ายมีกรุ๊ปที่ผมต้องหลีดใช่ไหม? ผมจำได้ว่าเขาไม่ได้มาด้วยกัน งั้นรบกวนพี่บุ๋มกระจายเขาไปอยู่กับลีดเดอร์คนอื่นหน่อยสิ ก็นั่นน่ะแหละ ใช่...รบกวนด้วยฮะ อะไรนะ!? ไม่ใช่ซะหน่อย! โอเคๆ เข้าใจแล้ว ขอบคุณมากฮะ”

พิงภพกรอกเสียงใส่โทรศัพท์ไปก็เหลือบมองเขาเป็นระยะ ท้ายๆ บทสนทนาใบหน้าเริ่มซับสีชมพูและเสียงก็ดังขึ้น อทิตยะพ่นหัวเราะเพราะเดาได้ว่าบุณฑริกพูดอะไร เขารอจนพิงภพกดตัดสายถึงถาม

“คุณโทรไปแคนเซิลงานกับน้าบุ๋มเหรอ?”

“ก็ใช่น่ะสิ ทีนี้ก็ต้องโทรไปจองเรือต่อ ภาวนาให้ยังมีที่เหลือก็แล้วกัน กะทันหันแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะได้ตั๋วง่ายๆ นะ”

“ขาใหญ่ออกขนาดนี้ ยังไงก็หาตั๋วได้แหละน่า”

“เฮ้ย!ไอ้ทะลึ่ง!”

พิงภพตีมือเขาดังเพียะเมื่ออทิตยะแกล้งบีบต้นขา ชายหนุ่มหัวเราะก่อนจะยอมปล่อยให้หาเบอร์โทรศัพท์ของบริษัทเดินเรือ เขากวาดตามองไปยังแสงไฟของร้านอาหารซึ่งเปิดไฟแข่งกับฟ้าที่เริ่มมืด ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นร่างหนึ่งที่กำลังเดินเล่นไกลออกไป
นั่นดูแล้วอย่างกับ...แต่คงไม่ใช่หรอก จะบังเอิญมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง...

อทิตยะรู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อกระตุก หัวใจเต้นแรงขึ้น เหงื่อเม็ดละเอียดผุดซึมบนฝ่ามือ ได้แต่กำมือแน่นเพื่อเตือนตัวเองไม่ให้วิ่งออกไปหาเงาร่างที่เห็นลิบๆ นั้น

“ฆาตรกร!แกมันเป็นฆาตกร!!”

“เต็ม?”

ชายหนุ่มหันขวับเมื่อถูกปลายนิ้วแตะบนข้อศอก พิงภพก็คงตกใจกับปฏิกิริยาของเขาเพราะนัยน์ตากลมโตเบิกกว้าง วูบหนึ่งอทิตยะเกือบจะรั้งไหล่อีกฝ่ายมาบีบให้แน่นเพื่อลบความทรงจำที่วาบขึ้นชั่วครู่

ผ้าม่านโปร่งที่พลิ้วจากสายลม เสียงกรีดร้องและเสียงหวอของรถตำรวจ เลือดสีแดงที่กระเซ็นเปรอะเสื้อ...

ไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนกว่าอทิตยะจะควบคุมลมหายใจได้ เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะเปล่งคำถามเสียงแหบแห้ง

“ขอโทษ ว่าไง?”

“...เรือรอบบ่ายสามวันพรุ่งนี้ยังมีที่ว่าง เราก็เลยโอนเงินจองตั๋วไปแล้ว คงถึงพะงันก่อนเริ่มปาร์ตี้นิดหน่อย โอเครึเปล่า?”

พิงภพมองเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล อทิตยะไม่แน่ใจว่าคำถามนั้นสื่อถึงรอบของเรือหรือท่าทางของเขา แต่ก็พยายามคิดว่าคงเป็นเรื่องแรก

“ได้ คุณว่าไงเราก็ว่าตามนั้น”

ชายหนุ่มตอบพลางเตือนตัวเอง ทำอารมณ์ให้เย็นไว้...นึกถึงคลาสบำบัดหลายชั่วโมงนั่นสิ ไม่ใช่ว่าเราทนผ่านมันมาเพื่อจะได้ไม่ต้องเจอเรื่องแบบนั้นอีกหรือไง...

คนตรงหน้าเม้มปากพลางมุ่นคิ้ว อทิตยะเห็นก็เอะใจ ก่อนจะรู้สึกตัวว่าเผลอกำมืออีกฝ่ายแน่นจึงรีบปล่อย หันไปทิ้งแฮมเบอร์เกอร์ที่กินไม่หมดลงถังขยะแล้วลุกขึ้น

“เดี๋ยวเรากลับห้องก่อน ถ้าคุณจะกลับเมื่อไหร่ก็โทรบอกแล้วกัน เดี๋ยวมารับ”

“ก็ได้... ขับรถระวังด้วยล่ะ”

อทิตยะเหยียดยิ้มก่อนจะเดินจากมา ดูจากท่าทางเขาตอนนี้แล้วก็ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะไม่พูดรั้งไว้สักคำ ชายหนุ่มซุกมือที่กำแน่นลงในกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง พยายามไม่หันกลับไปมองข้างหลังเพราะรู้ว่าพิงภพกำลังมองตามอยู่แน่นอน


++------++


ไอ้บ้า...นึกว่ากระดูกจะแตกแล้ว...

พิงภพคิดพลางสะบัดมือและสูดปาก มือข้างที่ถูกอทิตยะกำมีรอยแดงขึ้นเป็นปื้นตามรูปฝ่ามือ นี่ขนาดผิวเขาเกรียมแดดยังเห็นเป็นรอยช้ำขนาดนี้ ไม่อยากนึกว่าถ้าคนผิวขาวๆ มาโดนจะยิ่งเห็นรอยชัดแค่ไหน

ชายหนุ่มมองรอยบนมือก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปเก็บไว้ ไม่ได้คิดจะส่งให้ใครหรอก แค่ดูแล้วเห็นว่าแปลกดีเลยอยากถ่ายเก็บไว้ก็แค่นั้น

ว่าแต่จู่ๆ หมอนั่นผีเข้าเพราะอะไรกัน...

พิงภพเก็บโทรศัพท์ก่อนจะเบนสายตาไปทางทิศที่อทิตยะมองเมื่อครู่ ถ้าบอกว่าไม่ตกใจกับปฏิกิริยาของอีกฝ่ายคงโกหก ก็สีหน้าหมอนั่นคล้ำเครียดยังกับโดนของ แต่ที่ทำให้เขาบังคับตัวเองให้นั่งนิ่งได้ นอกจากเพราะต้องช่วยเหลือนักดำน้ำมือใหม่ที่ตื่นตกใจเป็นประจำ ก็เพราะแววตาที่จ้องมาเหมือนกำลังเรียกร้องความช่วยเหลือแม้จะไม่เปล่งเป็นคำพูด

อาการเมื่อกี้นี้ไม่ใช่ว่าปุบปับก็เป็นแน่ แต่หมอนี่ชอบวางมาดซะขนาดนั้น ถ้าหากเขาถามว่าเป็นอะไรจะยอมเล่าไหมนะ หรือควรจะไปถามจากพี่บุ๋มดีกว่า? ว่าแต่พี่บุ๋มรู้หรือเปล่าว่าหมอนี่มีอาการแบบนี้?

ยิ่งคิดหัวใจก็ยิ่งไม่สงบ พิงภพขยับนิ้วมือข้างที่โดนบีบไปมาอย่างเหม่อลอย แล้วก็ถูกเสียงแตรจากเรือที่กำลังแล่นเข้าฝั่งดึงความสนใจ ดูเหมือนเรือเล็กจะรับนักดำน้ำรอบค่ำกลับมาแล้ว มีเสียงปรบมือและกรี๊ดกร๊าดจากคนในเรือ เขาเลยลุกขึ้นปัดฝุ่นทรายออกจากกางเกง แล้ววิ่งเหยาะๆ กลับไปที่บลูแซนด์ท่ามกลางความมืดสลัวที่เข้มข้นขึ้นทุกที

คิดมากไปตอนนี้ก็ปวดหัว ไว้เจอหน้าแล้วค่อยเลียบเคียงถามเอาก็แล้วกัน

“อ้าว? ทำไมนายมาอยู่นี่ล่ะ เห็นไม่ออกไปไนต์ไดฟ์ก็นึกว่าคงสวีตอยู่กับบอยเฟรนด์ซะอีก”

มาริอุสทักเมื่อเห็นพิงภพมาช่วยรับอุปกรณ์ดำน้ำคืนที่ห้องเก็บของ อีกฝ่ายยังสวมเว็ทสูทแบบเต็มตัว แต่รูดซิปดึงท่อนบนลงเผยแผ่นอกตึงแน่นและกล้ามไหล่เป็นลูก ผมหยักศกชุ่มน้ำโดนเสยไปด้านหลัง ในบรรดาครูสอนดำน้ำที่บลูแซนด์ หมอนี่นับว่ารูปร่างหน้าตาเด่นที่สุดเพราะตาคมคิ้วเข้มแบบหนุ่มละติน แต่ถ้าได้เริ่มคุยกันแล้วจะรู้ว่าเป็นคนขี้เล่นและพูดจาไร้สาระเก่งที่สุดเช่นกัน

“จะให้สวีตอะไรกันนักหนา แต่ละคนก็ต้องมีเวลาส่วนตัวมั่งสิ”

“โห เพิ่งคบกันไม่นานก็อยากได้เวลาส่วนตัวแล้ว จะเรียกว่าเร่าร้อนจนไฟมอดไวหรือร้อนจนต้องพยายามห้ามใจตัวเองดี”

ท้ายประโยคมาริอุสทำเสียงเหมือนฮัมเพลง พิงภพได้แต่กลอกตา ตั้งแต่ตกลงคบกับอทิตยะมาเขายังนึกไม่ออกเลยว่ามีช่วงเวลาที่เร่าร้อนกันตอนไหน แต่ถ้าแบบที่ทำใจเต้นแว้บๆ บ้าง...อย่างนั้นพอกล้อมแกล้มได้ว่ามีอยู่

แล้วมันต่างกับตอนที่ซันเคยหอมแก้มเราตรงไหนล่ะ...

ผิวแก้มของพิงภพร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ทั้งคืนที่ภาณุกรมาค้างที่ห้องและเช้าหลังจากนั้น ไม่รู้เพราะการได้พบเพื่อนเก่าและรำลึกความหลังอย่างไม่คาดฝันหรืออย่างไร แต่เขายังรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าตอนที่โดนอทิตยะจูบเสียอีก

แต่จะว่าไป...ที่ไม่เคยรู้สึกวาบหวามก็เพราะหมอนั่นชอบรุกทีเผลอนั่นแหละ! ทำเป็นหมาหยอกไก่แล้วจะให้เขาเคลิ้มได้ยังไงกัน ที่พอจะนับว่าใกล้เคียงอารมณ์หวานแหวว...ก็มีแค่คืนที่หมอนั่นมาขอโทษถึงห้อง แล้วชวนออกไปเดินเล่นริมหาดด้วยกันเท่านั้นเอง

“พุธ”

“อะไร?”

มาริอุสยิ้มยิงฟันพลางชูนิ้วโป้งไปด้านหลัง “แค่อยากบอกว่าเมื่อกี้นายทำหน้าตลกดี เดี๋ยวก็ตาเยิ้มเดี๋ยวก็ขมวดคิ้ว ยังกับดูการ์ตูนเลย แต่ถ้าไม่อยากให้คนอื่นเห็นก็ไปทำที่อื่นดีกว่านะ”

พิงภพมุ่นคิ้วอย่างไม่เข้าใจ แต่พอมองไปเห็นสีหน้าที่บ้างก็อมยิ้ม บ้างก็หัวเราะคิกคักของเหล่านักดำน้ำที่กำลังยืนรอคืนอุปกรณ์ ไอร้อนจัดก็พุ่งขึ้นหน้าจนได้แต่นึกโทษคนที่กลับไปก่อน เอากับเขาสิ ขนาดตัวไม่อยู่ตรงนี้ยังแกล้งเขาต่อหน้าคนอื่นได้ คนอะไรกวนประสาทชะมัด!


++---TBC---++

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ตะวันพิงภพ บทที่ 15

ดึกมากแล้ว บ้านเรือนและร้านขายของข้างทางล้วนปิดไฟมืด พิงภพขับมอเตอร์ไซค์เข้าจอดในโรงรถของอพาร์ตเมนต์แล้วใช้โซ่ล็อกล้อ เมื่อเช้าเขาซ้อนมอเตอร์ไซค์ของอทิตยะไปรีสอร์ตทำให้ไม่มีรถของตัวเอง โชคดีที่ขอยืมจากขจรซึ่งบ้านอยู่ใกล้กับบลูแซนด์ได้ ไม่งั้นคงต้องขอค้างห้องเพื่อนคนใดคนหนึ่งซึ่งอาจไม่สะดวกนัก

นาฬิกาข้อมือบอกเวลาห้าทุ่ม เขาเงยหน้าขึ้นมองแสงไฟบนระเบียงทางเดินที่สว่างไสว จากนั้นก็กระชับสายกระเป๋าสะพายแล้วเดินขึ้นชั้นบน

นอนไปแล้วหรือยังนะ...

แสงไฟลอดออกมาจากใต้ประตูห้องของอทิตยะ พิงภพเห็นเข้าก็ลังเล แต่พอนึกถึงบรรยากาศแปลกประหลาดเมื่อเย็นก็ตัดสินใจเดินผ่านไปยังห้องของตัวเอง

วันพรุ่งนี้ก็ต้องเจอกันอยู่แล้ว คืนนี้ปล่อยหมอนั่นพักผ่อนไปก็แล้วกัน

ทันทีที่ไขแม่กุญแจที่ล็อกประตู พิงภพก็ได้ยินเสียงกุกกักจากห้องข้างๆ ยังไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวเข้าห้อง ประตูห้องติดกันก็เปิดดังพลัวะพร้อมกับเจ้าคนหน้ายุ่งที่ก้าวเร็วๆ ออกมาในสภาพใส่กางเกงตัวเดียว

“คุณกลับมายังไง? ทำไมไม่โทรให้เราไปรับ?”

น้ำเสียงคนถามแหบแห้งและมีกังวานไม่พอใจ ดวงตาที่หยีสู้แสงบ่งบอกว่าคงเพิ่งตื่นเมื่อกี้ พิงภพได้แต่ลอบถอนหายใจ

“พอดีติดคุยงานกับพวกเพื่อนๆ พอเห็นว่าดึกแล้วก็เลยยืมมอเตอร์ไซค์ของพี่ขจรมา เต็มเองก็หลับอยู่ไม่ใช่เหรอ ไปนอนต่อเถอะ”

“แต่เราบอกแล้วนี่ว่าให้โทรตาม ถึงยังไงก็ตื่นไปรับได้หรอกน่ะ”

“ก็บอกแล้วไงว่ามันดึกแล้ว อีกอย่างก่อนหน้านี้เราก็ขับรถไปกลับเองประจำ ที่ยืมรถคนรู้จักก็เรื่องปกติ ไม่ได้ลำบากตรงไหนสักหน่อย”

“อ้อ ที่ตอบมายืดยาวนี่สรุปก็คือเราไม่จำเป็นสำหรับคุณสินะ?”

พิงภพเผยอริมฝีปากค้าง โอเค...บางครั้งเขาเคยถามตัวเองว่าคิดถูกไหมเรื่องที่ตกลงคบกัน แต่ก็ไม่เคยมองอทิตยะในแง่ว่าจำเป็นหรือไม่เลยสักครั้ง หลังจากความตกตะลึงในวินาทีแรกเริ่มจางหาย อารมณ์ไม่พอใจก็กรุ่นขึ้นแทนที่

“ถ้าอยากคิดแบบนั้นก็ตามสบาย”

นัยน์ตาของอทิตยะเบิกกว้างขึ้นเหมือนตื่นเต็มตา พิงภพรีบพุ่งเข้าห้องแล้วลั่นกลอนก่อนอีกฝ่ายจะก้าวมาคว้าตัวทัน

“พุธ! หมายความว่ายังไง!? ออกมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน!”

“ไม่เอา! ดึกป่านนี้แล้ว! ถ้าจะคุยก็ไว้คุยพรุ่งนี้!”

ไม่มีเสียงตอบจากอีกฝั่งประตู แต่บรรยากาศตึงเครียดทำเอาพิงภพแทบกลั้นหายใจ เสียง “ตุ้บ” เหมือนอะไรกระแทกกำแพงทำเอาเขาสะดุ้ง ไม่ช้าก็ได้ยินเสียงประตูห้องข้างๆ ปิดดังปัง หัวใจเขาเต้นรัวเมื่อได้ยินเสียงโครมเหมือนข้าวของล้มจากอีกฝั่งของผนัง

นี่เรา…ตัดสินใจผิดหรือเปล่าที่ไม่ออกไปคุยกับหมอนั่น? แต่ดูจากท่าทางเมื่อกี้สิ...ถึงยอมคุยแล้วจะรู้เรื่องกันไหม?

ชายหนุ่มปลดกระเป๋าสะพายแล้วโยนส่งๆ ไปมุมห้อง พออารมณ์ที่พุ่งปรี๊ดเริ่มลดลงก็รู้สึกเพลีย หลังอาบน้ำแปรงฟันก็เลยตั้งนาฬิกาปลุก ปิดไฟแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงเหมือนตุ๊กตาที่ถ่านหมด แต่พอจวนเจียนจะเคลิ้มหลับ หูเจ้ากรรมดันแว่วเสียงประตูระเบียงห้องข้างๆ เปิดออก ตามด้วยเสียงเลื่อนเก้าอี้นั่งและเสียงจุดไฟแช็ก

อพาร์ตเมนต์ของพวกเขาอยู่บนไหล่เขาซึ่งห่างจากย่านที่คึกคักของเกาะ ยามดึกแบบนี้จึงเงียบสงัด จะมีก็แต่เสียงนกร้องหรือแมลงกลางคืนดังเป็นพักๆ พิงภพไม่ได้ตั้งใจจะเงี่ยหูฟัง แต่ความเงียบทำให้เขาได้ยินกระทั่งเสียงพ่นควันบุหรี่จากระเบียงติดกัน พอความคิดเลื่อนลอยไปถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงเย็นและบทสนทนาหน้าห้องเมื่อครู่ เขาก็ตาค้างจนหลับไม่ลงเป็นชั่วโมง


++------++


นอกจากช่วงที่ผล็อยหลับเมื่อหัวค่ำก่อนพิงภพจะกลับมา อทิตยะก็ข่มตานอนต่อไม่ได้เพราะความหงุดหงิด เขาเลยใช้ประโยชน์จากการที่สมองตื่นตัวไปกับการคิดแผนงานใหม่ พิมพ์อีเมลส่งไปให้ริค จากนั้นก็งีบหลับราวตีสี่แล้วลุกขึ้นมาอาบน้ำตั้งแต่ตีห้า ไก่ที่ชาวบ้านแถวนั้นเลี้ยงไว้ยังไม่ขันเสียด้วยซ้ำ

ชายหนุ่มออกจากห้องแล้วเหลือบมองประตูห้องข้างๆ ก่อนหน้านี้พิงภพยอมตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงานพร้อมกับเขา แต่หลังเหตุการณ์เมื่อคืน เช้านี้อีกฝ่ายคงยังไม่อยากรีบตื่นมาคุยด้วยแน่

โอเค เขาผิดเองที่หลุดคำถามเหมือนเด็กขาดความอบอุ่นแบบนั้นออกไป แต่จะตอบให้ถนอมน้ำใจหน่อยไม่ได้หรือไงกัน

อทิตยะตัดสินใจไม่เคาะประตู เขาเดินลงไปสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์แล้วก็บิดไปบลูแซนด์ตั้งแต่ฟ้ายังเป็นสีเทาหม่น ห้องสำนักงานยังปิดล็อก แต่ห้องอาหารเปิดไฟสว่างเพราะต้องเตรียมอาหารเช้าให้แขก เขาเข้าไปนั่งดื่มกาแฟ จากนั้นก็ลงไปเดินเล่นหน้าหาดก่อนจะไปที่ห้องเก็บอุปกรณ์ดำน้ำตอนหกโมงครึ่ง

“อรุณสวัสดิ์”

“หวัดดี”

อทิตยะตอบทักทายสเวนที่ยืนนับของอยู่ในห้อง นับตั้งแต่รับปากว่าจะไปช่วยประสานงานในเรือ อทิตยะก็เคยตามสเวนไปลงเรือจริงๆ แค่ครั้งเดียวพอให้รู้ว่าต้องทำอะไร ระหว่างที่ยังไม่ถึงวันลาพักร้อนของอีกฝ่าย แต่ละวันของอทิตยะจึงแบ่งเวลาช่วยงานที่ห้องเบิกอุปกรณ์ตอนเช้า เข้าสำนักงานไปช่วยบุณฑริกตอนสาย แล้วก็กลับมาช่วยที่ห้องเบิกอุปกรณ์อีกครั้งตอนกลางวันและเย็นตามรอบเรือถ้าไม่ติดธุระอื่น

“วันนี้นายกับพุธลาช่วงบ่ายใช่ไหม? เมื่อวานพี่บุ๋มโทรมาบอกฉันว่าให้รับลูกค้าช่วงบ่ายแทนพุธหน่อย”

“อ้อ...ใช่ ขอโทษที ฉันไม่นึกว่าน้าบุ๋มจะส่งงานของพุธต่อให้นาย”

“ไม่เป็นไร ตั้งแต่พรุ่งนี้ฉันก็หยุดพักร้อนแล้ว ได้ยินว่าเย็นนี้พวกนายจะไปฟูลมูนที่พะงันสินะ?”

“อืม”

ถ้าพุธยังอยากไปกับเขาอยู่...อทิตยะคิดขณะรูดซิปปิดกระเป๋าที่เตรียมอุปกรณ์ครบแล้วอีกใบ น้ำเสียงไม่ยินดียินร้ายดึงสายตาของสเวนให้เหลือบมอง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ถามเซ้าซี้ พอนักดำน้ำทยอยกันมาเบิกอุปกรณ์ก็ต่างคนต่างยุ่งจนไม่ได้คุยกันอีกพักใหญ่

“งั้นเจอกันอีกทีตอนเที่ยง ฉันต้องไปเซ็นชื่อลงเวลาที่สำนักงานก่อน”

“เดี๋ยวฉันลงเวลาให้เอง ยังไงก็ต้องกลับไปห้องสำนักงานอยู่แล้ว นายไปช่วยงานที่หน้าหาดเถอะ”

“โอเค งั้นก็ขอบคุณมาก”

สเวนหยิบกระเป๋ากันน้ำใบเล็กมาคล้องไหล่ แต่ยังไม่ทันก้าวพ้นห้องเก็บของก็หันกลับมา

“นี่”

“หือ?”

อทิตยะหันไปตามเสียง สเวนมองหน้าเขาแล้วก็ถามขึ้น

“นายคิดว่าพุธดื้อไหม?”

คำถามนั้นช่างไม่มีปี่มีขลุ่ยในเมื่อสเวนย่อมรู้จักพิงภพดีกว่าเขา แต่อทิตยะก็พยักหน้า

“ก็พอสมควร”

“แต่ก็ชอบใจอ่อนง่ายๆ ด้วยใช่ไหมล่ะ?”

อทิตยะไม่ตอบ สเวนเห็นเข้าก็ยกมุมปากน้อยๆ

“หมอนั่นเป็นแบบนั้นแหละ ดื้อแต่ก็ช่างใจอ่อน งานของพวกฉันต้องคอยบริการลูกค้าจนบางทีก็ลืมว่าถ้ามีคนมาเอาใจบ้างจะเป็นยังไง ถ้านายกำลังมีปัญหากับพุธก็ลองเอาคำพูดฉันไปคิดดูแล้วกัน”

จบประโยคเจ้าตัวก็เดินไปทางเรือเล็กซึ่งกำลังจอดอยู่บนหาดทราย ดวงอาทิตย์เริ่มลอยสูงจนท้องฟ้าสว่างไสว อทิตยะมองภาพตรงหน้าแล้วก็นึกสงสัยว่าทำไมปุบปับสเวนถึงพูดเรื่องนี้

หรือว่าสีหน้าเขามันอ่านง่ายนัก...

อทิตยะพยายามบอกตัวเองไม่ให้คิดมาก เขาตรวจเช็กความเรียบร้อยก่อนจะล็อกห้องอุปกรณ์ จากนั้นก็สวมรองเท้าแตะแล้วเดินไปที่ห้องสำนักงาน


++------++


“อ้าวพุธ ไม่ยักเห็นนายที่ห้องเบิกอุปกรณ์เมื่อเช้า”

“ก็เมื่อวานฉันฝากอุปกรณ์ของตัวเองไว้บนเรือแล้ว เช้านี้ก็เลยแค่มารอพาลูกทีมขึ้นเรือ”

พิงภพตอบลีที่เดินเข้ามาทัก ตอนนี้พวกเขากำลังนั่งเล่นที่ระเบียงของห้องอาหาร เนื่องจากวันนี้มีลูกค้าซื้อทริปดำน้ำเยอะเกินกว่าเรือเล็กจะรับน้ำหนักไหว ก็เลยแบ่งกลุ่มกันให้ครึ่งหนึ่งได้ลงเรือเล็กไปก่อน หลังส่งกลุ่มแรกขึ้นเรือใหญ่แล้วค่อยวนมารับพวกเขาอีกที

“ได้ยินว่าเย็นนี้นายจะไปฟูลมูนที่พะงันเหรอ ดีจังน้า ฉันก็อยากมีคนชวนไปบ้าง”

ลีพูดพลางแสร้งตีหน้าสลดจนพิงภพต้องแกว่งเท้าไปเตะด้วยความหมั่นไส้ แต่เพื่อนเขาก็แค่หัวเราะก่อนจะหันไปหาลูกทีมเมื่อถูกเรียก พิงภพจึงหันมานั่งทอดสายตามองคนที่กำลังทยอยขึ้นเรือต่อ

อย่าคิดนะว่าเมื่อกี้เขาไม่เห็น...หมอนั่นตั้งท่าจะเดินมาทางนี้ แต่สงสัยจะมองมาเห็นเขา จู่ๆ ถึงได้เลี้ยวไปทางห้องสำนักงานซะอย่างนั้น

ความที่เมื่อคืนหลับไม่ค่อยสนิท เมื่อเช้าเขาเลยสะดุ้งตื่นทันทีที่ได้ยินเสียงกุกกักในห้องข้างๆ แต่ก็ตั้งใจไม่รีบตามอทิตยะมารีสอร์ตเพราะไม่รู้ว่าเจอหน้ากันแล้วจะพูดอะไร แถมไม่แน่ใจด้วยว่าหมอนั่นอยู่ในอารมณ์ไหน เขาเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการโอ๋เด็กขี้วีนเสียด้วย

“...สรุปก็คือเราไม่จำเป็นสำหรับคุณสินะ?”

ผีอะไรเข้าสิงให้ถามแบบนั้น แล้วใครจะไม่โมโหถ้าโดนคนที่คบกันถามอย่างนี้ แต่พูดก็พูดเถอะ พวกเขาคุยกันไว้ว่าจะแค่คบกันเล่นๆ ไม่ใช่หรือไง? เจ้าตัวเองก็ออกปากเป็นมั่นเหมาะว่าอยากบอกเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วดูท่าทางเมื่อคืนสิ หรือมันมีเส้นลิมิตที่พวกเขาเผลอจูงมือข้ามกันมาแบบงงๆ ไปแล้ว?

“พุธจ๋าาาา”

เสียงเรียกหวานกระเส่าทำเอาพิงภพขนลุก พอหันไปก็เห็นเจ้าของเสียงยิ้มหยาดเยิ้มให้ผ่านอายไลเนอร์สีดำและลิปสติกสีแดง เพ็ชรัตน์ไม่ใช่นักดำน้ำคนเดียวที่ชอบแต่งหน้าเวลาดำน้ำ แต่เขาเห็นทีไรก็ยังทึ่งกับประสิทธิภาพของเครื่องสำอางกันน้ำพวกนี้อยู่ดี

“วันนี้ก็สวยเหมือนเดิมนะฮะเจ๊เพ็ชชี่”

“แหม ปากหวาน แต่ปาร์ตี้เย็นนี้เจ๊ต้องเหงาแน่เลย เพราะพุธหนีเจ๊ไปฟูลมูนที่อื่น”

พิงภพกลอกตามองบนอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ วันนี้เขาจะต้องโดนแซวจากอีกกี่คนเนี่ย

“ยังไม่ชัวร์ว่าจะได้ไปรึเปล่าเลยเจ๊ ถึงจะจองเรือไปแล้วก็เถอะ”

คิ้วเรียวโก่งของคนแซวเลิกสูง “อ้าว? ไหงงั้นล่ะ? ก็ลางานช่วงบ่ายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“ใช่ฮะ แต่คนที่ชวนตอนนี้ยังเดาอารมณ์ไม่ได้เลย ถ้าเขาไม่ไปผมคงไปคนเดียวแหละ เสียดายค่าตั๋ว”

“โถถถ งั้นถ้าบอยเฟรนด์ไม่ไปก็มาชวนเจ๊ได้นะ พรุ่งนี้เช้าเจ๊ไม่ต้องรีบกลับมาทำงานพอดี จะได้ไปเปิดหูเปิดตากับวัยรุ่นเขาบ้าง”

พิงภพหัวเราะแหะๆ ดูเหมือนทุกคนจะจำคำติดปากของมาริอุสที่ชอบเรียกอทิตยะว่าบอยเฟรนด์ของเขาไปแล้ว จังหวะเดียวกันนั้นเรือเล็กก็แล่นกลับมาเทียบหน้าหาดเพื่อรับนักดำน้ำกลุ่มสุดท้าย พวกเขาจึงทยอยกันหยิบข้าวของส่วนตัวเดินลงไปที่เรือ

รอบสองนี้เรือก็ยังเต็มเหมือนเดิม พิงภพสละที่นั่งให้ลูกค้าและเหล่าครูดำน้ำสาวๆ ส่วนตัวเองยืนเท้าแขนกับเครื่องยนต์ท้ายเรือกันล้ม ขณะที่คนขับติดเครื่องโดยมีเจ้าหน้าที่หน้ารีสอร์ตช่วยผลักเรือออกจากหาด ก็มีเสียงตะโกนเรียกจนพิงภพและคนอื่นในเรือหันกลับไปมอง

“พุธ! รับ!”

“ห้ะ? รับอะไร? เฮ่ย!”

พิงภพร้องอย่างตกใจขณะคว้าของที่อทิตยะโยนให้ทันก่อนมันจะตกน้ำ พอพลิกดูก็พบว่ามันคือถุงผ้าของร้านมินิมาร์ทข้างบลูแซนด์ เขาหันกลับไปมองฝั่งขณะเรือแล่นห่างออกมาทุกที และเห็นว่าเจ้าของถุงกำลังโบกมือให้ ระยะทางที่เพิ่มขึ้นทำให้เห็นไม่ชัดว่าหมอนั่นกำลังยิ้มหรือแยกเขี้ยวกันแน่

“เต็มโยนอะไรมาให้เหรอพุธ?”

“ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน จู่ๆ ก็ตะโกนเรียกแล้วโยนมาให้ ตกใจหมด”

พิงภพตอบลีพลางแกะหูของถุงที่มัดเป็นปมไว้ ของข้างในคือผลไม้กับขนมยี่ห้อต่างประเทศซึ่งราคาค่อนข้างแพง นอกจากนั้นยังมีกระดาษเอสี่สอดไว้ด้วย เขาหยิบมาคลี่อ่านขณะเรือชะลอจอดเทียบข้างเรือใหญ่

“หืม มีเลิฟโน้ตมาด้วยเหรอ อ่านแล้วถึงหน้าแดงแป๊ดเชียว”

ลีทัก พิงภพหันไปขึงตาดุใส่ แต่ไม่ทันยื้อกระดาษไว้เมื่อณัฐกมลฉวยไปจากมือ

“ไหนดูซิ ต๊าย! ‘ขอโทษสำหรับเมื่อคืน เย็นนี้ไปเดทกันนะ’ โอ๊ยยยย ฉันล่ะเหม็นกลิ่นความรักกก”

หญิงสาวทำท่าบีบจมูกพลางยื่นกระดาษให้เพ็ชรัตน์ เจ๊เพ็ชชี่เลยอ่านแล้วหันไปแปลให้เหล่าครูสอนดำน้ำที่อ่านภาษาไทยไม่ออก ทุกคนหัวเราะเสียงดังจนคนบนเรือใหญ่พากันยื่นหน้าออกมาดู กระทั่งสเวนกับน้าแคนซึ่งเป็นกัปตันก็ยืดคอออกมาจากชั้นสองของเรือ พิงภพได้แต่เข่นเขี้ยวขณะหันไปมองตัวต้นเหตุที่เห็นเป็นเงาเล็กจิ๋วบนชายหาด แต่ความรู้สึกตอนนี้ไม่เหมือนกับตอนที่โดนแซวหน้าห้องเก็บอุปกรณ์เมื่อวาน เพราะมันเหมือนในอกมีอะไรอุ่นๆ มาลูบไล้จนจั๊กจี้ มวลอารมณ์ขุ่นมัวก็คล้ายจะหดเล็กลง บางทีอาจเพราะเห็นของกินดีๆ เต็มถุงขณะที่เขากำลังท้องว่างด้วย

เอาเถอะ อุตส่าห์ซื้อขนมแพงๆ มาให้ซะขนาดนี้ งั้นก็ขอดูหน่อยเถอะว่าจะพยายามง้อได้แค่ไหน!


++---TBC---++


A/N: ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกคอมเม้นต์นะคะ หวังว่าสองตอนนี้จะพอชดเชยที่หายไปนานได้ แล้วมาติดตามตอนหน้าต่อน้า ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-07-2020 18:44:12 โดย bellbomb »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3

เราอยู่ทีมซันนะ สงสารนาง


แต่ทำไมเคมี เต็ม-วันพุธ มันดีจังวุ้ย!?    :serius2:

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
อ่านสนุก จุใจ แต่หลายเดือนมาต่อที ต้องวนกลับไปอ่านใหม่ จำรายละเอียดของเรื่องไม่ได้
ยังติดตามอยู่นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
^
ตอบ คห. 72 นะคะ ช่วงโควิดมีเหตุขัดข้องทำให้เขียนไม่ออกเลยหายหน้าไปค่ะ (ที่จริงมีเขียนอธิบายเหตุผลไว้ที่เพจ แต่ค่อนข้างยาวเลยไม่ได้มาแปะในนี้เพราะนักอ่านจะได้โฟกัสเนื้อหานิยายมากกว่า) หลังจากนี้จะพยายามลงให้สม่ำเสมอทุกสองสัปดาห์ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
แปะไว้ก่อน ทำไมเพิ่งเห็นเรื่องนี้

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ตะวันพิงภพ บทที่ 16

เสียงดนตรีดังกระหึ่มทั่วหาดซึ่งเป็นสถานที่จัดงานฟูลมูนปาร์ตี้ ซุ้มขายอาหาร เครื่องดื่ม และกิจกรรมพิเศษต่างมีคนมุงคึกคัก นักท่องเที่ยวแน่นขนัดโดยเฉพาะตามตรอกซอยที่ผู้คนแทบไหลตามกันโดยไม่ต้องเดิน หลายคนเพ้นต์สีสันเรืองแสงบนตัว เมื่อรวมกับแสงจากหลอดไฟสารพัดสีและแบล็คไลต์จึงสร้างบรรยากาศเหมือนหลุดไปอีกโลก
   
อทิตยะมองบรรยากาศรอบตัวด้วยความสนใจ แต่ก็ยังไม่แสดงออกมากเท่าพิงภพทั้งที่ตอนชวนเมื่อวานยังทำเหมือนไม่ค่อยอยากมา ดูเหมือนว่าขนมที่เขาส่งไป ‘ขอสงบศึก’ เมื่อเช้าคงได้ผล เพราะตอนเจอหน้ากันช่วงที่เรือกลับเข้าฝั่งเมื่อกลางวัน ท่าทางของพิงภพดูไม่ปั้นปึ่งเท่าเมื่อคืนก่อน
   
เป็นคนที่ดื้อแต่ก็ขี้ใจอ่อนจริงๆ นั่นแหละ หรือจะเรียกว่าไม่คิดเล็กคิดน้อยดีนะ
   
“ตอนคุณมาครั้งแรกสมัยเรียนก็เป็นแบบนี้เหรอ?”
   
อทิตยะชวนคุยหลังจ่ายค่าผ่านเข้างานแล้ว พิงภพมองไปรอบๆ แล้วยักไหล่ “นั่นมันห้าหกปีมาแล้วมั้ง ก็คนเยอะอย่างนี้แหละ แต่ซุ้มกิจกรรมไม่ได้เยอะขนาดนี้”
   
พวกเขาต้องคุยกันเสียงดังพอควรเพื่อแข่งกับเสียงดนตรีจากลำโพง ความจริงเรือเฟอร์รี่มาเทียบท่าที่เกาะพะงันตั้งแต่ฟ้ายังสว่าง ก็เลยเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขับเที่ยวเพื่อฆ่าเวลา กว่าจะมาถึงหาดซึ่งเป็นสถานที่จัดงานฟูลมูนปาร์ตี้ก็พบกับรถติดและเสียเวลาวนหาที่จอดรถจนสามทุ่ม ดูจากบรรยากาศงานก็คงจะเริ่มมาได้พักใหญ่แล้ว 
   
พิงภพโยกศีรษะเบาๆ ตามจังหวะดนตรี รอบตัวพวกเขามีหลายคนขึ้นไปเต้นบนเวทีหรือตามหาดทราย บ้างก็เดินถือเครื่องดื่มดูการแสดงแต่ละเวทีไปเรื่อย ที่มาเป็นคู่และแสดงความดื่มด่ำกับบรรยากาศแบบไม่สนใจใครก็มีไม่น้อย
   
“ปาร์ตี้ที่หน้าบ้านเราสู้ที่นี่ไม่ได้จริงๆ แหละ”
   
พิงภพเอ่ยพร้อมกับยิ้มอ่อนๆ อทิตยะเข้าใจได้ทันทีเพราะเคยเห็นปาร์ตี้ที่หน้าหาดของบลูแซนด์มาก่อน ทั้งด้านจำนวนคนและความสุดเหวี่ยงเทียบกับที่นี่ไม่ได้สักนิด
   
“ไหนๆ ก็มานี่แล้ว ถ้าคุณอยากทำอะไรที่ไม่กล้าทำให้เพื่อนๆ เห็นเราก็ไม่ว่านะ”
   
อทิตยะเอ่ยแล้วยักคิ้วให้ เขาไม่แน่ใจว่าเพราะแสงสปอตไลต์หลากสีในงานหรือเปล่า นอกจากนัยน์ตาที่หันมามองอย่างดุๆ แล้ว ผิวแก้มของพิงภพถึงดูเหมือนเรื่อสีแดงขึ้นมาด้วย
   
“ไม่มีหรอก จะปาร์ตี้ที่ไหนเราก็ทำตัวเหมือนเดิมทุกที ไม่มีอะไรต้องแอบเว่ย”
   
“ถ้าอยากจะเมาก็ได้นะ พรุ่งนี้ลางานเผื่อไว้แล้วนี่”
   
พิงภพกลอกตา หลังเดินกันไปสักพักก็เลี้ยวเข้าไปที่ซุ้มขายเครื่องดื่ม จากนั้นก็เดินกลับมายื่นถังพลาสติกขนาดเล็กสีแดงแปร๊ดให้
   
“ไม่รู้ที่ออสเตรเลียมีหรือเปล่า แต่มาเมืองไทยต้องกินแบบนี้แหละ เครื่องดื่มประจำงานปาร์ตี้”
   
อทิตยะมองเครื่องดื่มสีฟ้าในถังซึ่งโปะน้ำแข็งและเยลลี่เม็ดกลมหลากสีจนพูน หน้าตาเหมือนขนมหวานมากกว่าจะเป็นเครื่องดื่ม พิงภพเห็นเขาทำสีหน้าระแวงก็เลยยกขึ้นดูดผ่านหลอดให้ดูก่อน
   
“อื้ม รสชาติถูกต้อง เอ้า ลองดู”
   
พิงภพยิ้มร่าพลางยื่นถังให้อีกครั้ง อทิตยะเลยลองดูดอึกเล็กๆ และเบ้หน้าทันทีกับรสหวานจัดเหมือนน้ำเชื่อม
   
“นี่มันอะไรเนี่ย?”
   
“เหล้าปั่นไง แต่ละร้านก็มีสูตรของตัวเอง แต่ส่วนมากก็ใช้ฉลามหรือกระทิงแดงผสมเหล้ากับน้ำหวาน บางเจ้าก็ใส่กัมมี่หรือปีโป้ด้วย บางร้านนี่ถ้ากินหมดแล้วไปเติมกับเขาก็ได้ส่วนลดด้วยนะ”
   
พิงภพเอ่ยแล้วเดินต่อไปซุ้มที่ขายลูกชิ้นทอด เสร็จแล้วก็ซื้อมันฝรั่งที่ไสเป็นเกลียวเสียบไม้ทอดจากอีกร้าน ท่าทางเอ็นจอยอีทติ้งสุดขีดทำเอาอทิตยะส่ายหน้า
   
“ไม่อยากนึกเลยว่าถ้าคุณอายุมากขึ้นจะเป็นโรคอะไรบ้าง”
   
“แหม ตอนนี้ยังหนุ่มแน่น กินได้ก็กินไปก่อนน่า เต็มนั่นแหละจะรีบเฮลตี้ไปไหน”
   
“ก็แค่ไม่อยากกินจังก์ฟู้ดให้มากนัก คนรู้จักก็ป่วยให้เห็นหลายคนอยู่ แต่เอาเถอะ ได้เห็นคุณกินแล้วอร่อยเราก็แฮปปี้”
   
แก้มของพิงภพเจือสีระเรื่ออีกครั้งทั้งที่กำลังเคี้ยวอาหารจนแก้มตุ่ย อทิตยะเห็นเข้าก็ยิ้มมุมปากจนโดนเหล่ตาใส่
   
“นี่ถ้าไม่เห็นว่ากินเหล้าปั่นไปนิดเดียวคงนึกว่าเมาแล้ว”
   
“เราไม่เมาง่ายเหมือนคุณหรอก ว่าแต่ไม่ชอบให้สวีตทอล์กเหรอ หรือชอบแบบเสียงเข้มๆ แมนๆ มากกว่า? “นี่พุธ กินเยอะขนาดนี้ระวังรูดซิปเว็ทสูทไม่ได้นะ”
   
พิงภพหัวเราะพรืดเมื่ออทิตยะแสร้งทำเสียงทุ้มในคอเหมือนเสียงพากย์พระเอกละคร แต่พอหัวเราะก็เลยสำลักจนไอ อทิตยะรีบยื่นถังเหล้าปั่นให้เจ้าตัวดูดอึกใหญ่พร้อมกับลูบหลัง พอเริ่มหายใจเป็นปกติได้พิงภพก็ใช้หลังมือเช็ดริมฝีปาก
   
“ถ้ารูดซิปไม่ได้ก็เปลี่ยนไซส์ ยังไงเว็ทสูทก็ยืดได้เยอะอยู่แล้ว ว่าแต่ตรงนี้ไม่ค่อยมีอะไรเลย ไปดูที่เขาควงกระบองไฟตรงโน้นกันดีกว่า”
   
ไม่รู้นั่นเป็นคำพูดแก้เขินรึเปล่า เพราะเจ้าตัวพูดยังไม่ทันจบก็รีบเดินหนี แต่อทิตยะก็ไม่ได้มีอะไรที่อยากดูเป็นพิเศษ เขาจึงทิ้งถังเหล้าปั่นที่เหลือแค่น้ำแข็งกับเยลลี่ใส่ถังขยะแล้วเดินเอื่อยๆ ตาม

   
++------++


ผีเข้า...วันนี้หมอนี่ต้องผีเข้าแน่ๆ เมื่อคืนยังมู้ดดี้แล้วตัดพ้อต่อว่าเขาอยู่เลย มาวันนี้ทั้งซื้อขนมมาง้อมั่งล่ะ ปากหวานใส่มั่งล่ะ เป็นไบโพลาร์หรือไงกัน
   
พิงภพคิดขณะจิ้มลูกชิ้นเข้าปากอีกลูก พอหมดก็ทิ้งถุงใส่ถังขยะแล้วเลียซอสที่ติดบนนิ้ว เขาพยายามทำตัวตามปกติ แต่ก็ต้องยอมรับว่ายากเพราะเจ้าคนที่มาด้วยกันนี่แหละ เกิดมาเขาก็เพิ่งจะเคยมีคนมาทำท่าหวานแหววใส่เพราะแม้แต่แฟนเก่าที่เป็นผู้หญิงก็ไม่เคยกุ๊กกิ๊กกัน จู่ๆ พอมีคนมาดูแลเทคแคร์แถมเป็นผู้ชายอายุน้อยกว่า จะให้ไม่รู้สึกจั๊กจี้ยังไงไหว
   
“เดินดูทางด้วย เหม่อไปไหนแล้ว”
   
“อ๊ะ ซอรี่”
   
พิงภพหันไปขอโทษกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่นั่งดื่มเบียร์อยู่บนหาดทรายและเกือบโดนเขาเหยียบ หลังเดินห่างออกมาสักพักก็ตระหนักว่าอทิตยะยังไม่ปล่อยมือที่กุมไว้ ถ้าเมื่อครู่หมอนี่ไม่ช่วยฉุดก็สงสัยว่าเขาคงได้เหยียบขาใครบางคนไปแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ต้องจับมือกันแล้วก็ได้มั้ง
   
ชายหนุ่มพยายามดึงมือออก แต่กลับโดนกระชับมือแน่นขึ้นทันทีจนเผลอทำปากยื่น

“นี่”
   
“หือ?”
   
เจ้าคนตัวสูงกว่าเลิกคิ้วแล้วปรายตามอง ถึงแม้สีหน้าจะไม่ได้แสดงอารมณ์เป็นพิเศษ แต่พิงภพเห็นประกายในแววตาก็รู้ทันทีว่ากำลังโดนยียวน
   
“ปล่อยมือได้แล้ว คราวนี้ไม่เผลอซุ่มซ่ามอีกหรอกน่ะ”
   
“อาจไม่ซุ่มซ่ามอีก แต่กลายเป็นโดนใครก็ไม่รู้ฉุดไปแทนก็ได้นี่ เดินจูงมือกันไว้แบบนี้แหละจะได้ปลอดภัย”
   
คราวนี้จากที่กุมมือเฉยๆ อทิตยะเปลี่ยนเป็นสอดห้านิ้วมาประสานกับเขาแล้วกุมกระชับกว่าเดิม ถ้าแค่นั้นว่าแย่แล้ว พิงภพยิ่งเหวอขึ้นไปอีกเมื่ออีกฝ่ายยกมือเขาขึ้นไปเลียเบาๆ บนปลายนิ้ว
   
“เฮ้ย! ไอ้ทะลึ่ง!!”
   
“ก็เห็นคุณเลียน้ำจิ้มลูกชิ้นออกไม่หมด เราเลยช่วยทำให้มันสะอาดขึ้น”
   
มีคนรอบข้างเห็นท่าทางของพวกเขาสองคน บ้างก็ชูนิ้วโป้งให้ บ้างก็ยิ้มเป็นเชิงกระเซ้า ทำเอาพิงภพนึกอยากจะวิ่งลงทะเลแล้วว่ายกลับเกาะเต่าเดี๋ยวนี้เลย ถึงหมอนี่จะหน้าด้านก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะด้านตามนะ
   
“ไป เดินดูปาร์ตี้กันต่อดีกว่า”
   
อทิตยะยิ้มบางๆ ด้วยท่าทีไม่สนใจใครทั้งสิ้น พิงภพรู้แล้วว่าคงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย แต่ออกเดินกันได้ไม่กี่ก้าวก็โดนคนที่กำลังเต้นอยู่บนหาดทรายหมุนตัวมาชนเข้า
   
“ว้าย! ขอโทษค่ะ”
   
“ไม่เป็นไรครับ”
   
พิงภพรีบโบกมือข้างที่ไม่ถูกจูงไว้ หญิงสาวคนนั้นหน้าตาน่ารัก ปากนิดจมูกหน่อย แต่ส่วนที่ดึงดูดสายตามากกว่าคือส่วนโค้งเว้าในชุดเดรสสั้นซึ่งท่อนบนแทบจะเบียดล้นขอบชุด แต่พอเหลือบไปเห็นคนที่น่าจะมากับสาวน้อย แวบแรกเขาแค่รู้สึกคลับคล้ายคลับคลา ก่อนที่สองตาจะเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
   
“หนิง?”
   
“พุธ? เฮ้ย! ใช่จริงๆ ด้วย โคตรบังเอิญเลยมาเจอกันที่นี่”
   
คราวนี้ทั้งอทิตยะและสาวน้อยหุ่นอึ๋มต่างหันมามองพวกเขาสองคน พิงภพอ้าปากค้างเพราะไม่อยากเชื่อสายตา นลินคือหญิงสาวที่เขาสนิทที่สุดสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นเธออาจจะไม่ค่อยแต่งตัวตามแฟชั่น แต่อย่างน้อยก็ไว้ผมยาวและใส่เครื่องประดับบ้าง แต่ตอนนี้ ‘สาวหล่อ’ ที่ตัดผมไถข้างกัดสีน้ำตาล ใส่เสื้อกล้ามรัดอกและเจาะคิ้วรวมถึงหูข้างหนึ่งเรียงกันเป็นพืดช่างต่างจากความทรงจำจนแทบเหมือนคนละคน
   
นลินคงจะอ่านสีหน้าเขาออก หรือไม่ก็คงได้รับปฏิกิริยาแบบนี้จากคนรู้จักจนชิน จึงยกมือเท้าเอวแล้วยักคิ้วให้ยิ้มๆ
   
“ไงจ๊ะ เห็นแฟนเก่าแล้วตะลึงขนาดนั้นเลยเหรอ?”
   
พิงภพยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก จู่ๆ ก็เหมือนวงจรความคิดถูกไฟช็อต กระทั่งจะเรียบเรียงคำพูดให้เป็นประโยคก็ยังลำบาก
   
“เอ๋? แฟนเก่าของพี่หนิง?”
   
สาวน้อยที่มากับนลินหันมามองเขาอย่างพิจารณา เขาไม่แน่ใจว่าเธอเห็นอะไร แต่เจ้าตัวก็หันกลับไปมองคนที่มาด้วยกันราวจะขอคำยืนยัน
   
“อู้ย ตั้งแต่สมัยพี่เรียน ป.ตรีแน่ะหนู ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ตอนนั้นก็เหมือนเด็กๆ คบกัน ค้นหาตัวตนกันอะไรทำนองนั้นแหละเนอะ”
   
ท้ายประโยค ‘สาวหล่อ’ หันมาตบบ่าพิงภพพลางยิ้มกว้าง สายตาของเธอเลื่อนไปจับที่อทิตยะก่อนจะไล่ต่ำลงหามือที่ประสานกันของทั้งคู่ คราวนี้รอยยิ้มดูเปล่งประกายเจิดจ้ามากขึ้นอีก
   
“น่าจะไม่ผิดละ...ตอนนั้นเป็นช่วงค้นหาตัวตนจริงๆ ด้วย”
   
น้ำเสียงยั่วหยอกของเจ้าหล่อนดึงสติของพิงภพกลับมา เขาพยายามชักมือออกจากมือที่กุมเอาไว้ แต่ก็จนใจเพราะอทิตยะแรงเยอะเหลือเกิน
   
“ไม่นึกว่าแฟนเก่าคุณเท่ขนาดนี้ หวัดดีครับ ผมเต็ม แฟนปัจจุบันของพุธ”
   
อทิตยะยิ้มพลางเอ่ยทักทายอย่างคล่องปาก นลินเอียงหน้าเล็กน้อยพร้อมกับเลิกคิ้วข้างหนึ่งให้พิงภพ เขาได้แต่ถอนหายใจแล้วพยักหน้า
   
“ก็ตามนั้นแหละ”
   
“อื้อฮือ โคตรพีคอะ นี่ถ้าพวกเพื่อนๆ มาเห็นพวกเราตอนนี้คงอึ้งจนพูดไม่ออก”
   
นลินหัวเราะพลางโอบเอวหญิงสาวที่มาด้วยกัน ความที่เธอรูปร่างสูงโปร่งจึงดูดีในเสื้อผ้าผู้ชาย ส่วนแฟนสาวก็เหมือนพริตตี้งานมอเตอร์โชว์ พอยืนคู่กันแล้วพิงภพจึงนึกชมว่าดูสมกันยิ่งกว่าเขากับ ‘แฟนปัจจุบัน’ เสียอีก
   
“ไม่กวนสาวๆ แล้วดีกว่านะ ไหนบอกว่าอยากไปดูเวทีตรงโน้นไม่ใช่เหรอพุธ?”
   
พิงภพหันไปทำหน้างุนงง แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าอทิตยะคงกำลังช่วยหาทางปลีกตัว นลินก็คงดูออกเหมือนกัน เธอหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าคาดเอวแล้วส่งให้พิงภพ
   
“อุตส่าห์ได้เจอกันทั้งที ขอไลน์ไว้หน่อยสิพุธ เผื่อวันหลังจะได้ถามเรื่องเรียนดำน้ำ ยังเป็นครูที่เกาะเต่าอยู่ใช่ไหม?”
   
“อื้อ ถ้าจะมาก็บอกได้เลย คงเป็นคนแรกล่ะเพราะยังไม่มีเพื่อนสมัยเรียนมาหาสักคน”
   
ยกเว้นแค่เพื่อนมัธยมคนนั้น...ทันทีที่คิดขึ้นมาพิงภพก็รีบเบนความสนใจด้วยการพิมพ์ไลน์ไอดีแล้วส่งโทรศัพท์คืน นลินแตะที่จอสองสามครั้งก่อนจะยิ้มให้เขา
   
“โอเค งั้นไว้ค่อยคุยกัน เอ้อ ลืมแนะนำ นี่น้องไมร่าแฟนเรา เป็นน้องสาวของเพื่อนที่ทำงาน”
   
“นึกว่าจะลืมหนูแล้ว พี่หนิงอะ พรากผู้เยาว์แล้วยังชอบเมินหนูอีก”
   
“ฮื้อ หนูออกจะโตขนาดนี้ จะหาว่าพี่พรากผู้เยาว์ได้ไงคะ”
   
เอ่ยจบเจ้าตัวก็เลื่อนมือที่โอบเอวคอดขึ้นขยุ้มเบาๆ บนความอวบอิ่มข้างหนึ่ง สาวน้อยร้องว้ายก่อนจะหัวเราะคิกคัก ทั้งคำพูดสองแง่สองง่ามและมาดเพลย์บอยทำเอาพิงภพเขินแทน เลยโบกมือลาแล้วก็รีบฉุดอทิตยะให้ห่างมาจากทั้งคู่ พอพ้นระยะที่น่าจะได้ยินแล้วเจ้าคนตัวโตก็หัวเราะ
   
“เราเชื่อแล้วที่คุณเคยบอกว่าแฟนเก่าเป็นคนห้าวๆ แต่เรื่องไม่ค่อยหวานแหววนี่น่าจะไม่จริงนะ”
   
“พอเถอะ ตอนนั้นเขาคงแค่อยากพิสูจน์ตัวเองจริงๆ นั่นแหละ ถึงได้ข้อสรุปว่าคบกับผู้ชายมันไม่แนว”
   
พิงภพตอบพลางฉุกคิด บางทีอาจเพราะคนที่คบด้วยคือเขาซึ่งแสนจะไร้เสน่ห์ทางเพศก็เป็นได้ นลินถึงได้มั่นใจกับรสนิยมของตัวเอง แถมตอนนี้ยังแปลงร่างจนเปล่งออร่าความเป็นชายยิ่งกว่าเขาเสียอีก เฮ้อ...ถ้ารู้ว่ากะจะมาทางนี้เขาคงเชียร์ให้เปิดตัวไปนานแล้ว
   
“แต่เราดีใจนะที่บังเอิญเจอกันแล้วได้เห็นแฟนเก่าคุณเป็นแบบนั้น เพราะถ้าเขายังเหมือนเดิม คุณอาจลังเลเรื่องที่คบกับเราก็ได้ใช่ไหมล่ะ?”
   
อทิตยะเอ่ยพลางมองไปข้างหน้า แต่ถ้อยคำนั้นทำให้พิงภพสำรวจคนข้างตัวอย่างครุ่นคิด เอาอีกแล้ว ไม่ว่าจะคำถามเมื่อคืนหรือประโยคเมื่อกี้ก็เถอะ ตกลงว่าตอนนี้พวกเขา...ไม่ได้แค่คบกันเล่นๆ แล้วใช่ไหม
   
“เราไม่ใช่คนโลเลแบบนั้นสักหน่อย เวลาคบใครก็โฟกัสแค่ที่คนนั้นแหละ อีกอย่างสมมติว่าเรานึกอยากกลับไปคบกับหนิง เทียบกับน้องไมร่าแล้วหนิงก็คงไม่เอาเราหรอก”
   
“อย่างน้อยเราก็พอจะเก็ทว่าทำไมเมื่อก่อนเขาถึงเลือกคบคุณนะ”
   
“หมายความว่าไง? เดี๋ยวๆๆ อย่าตอบดีกว่า จะบอกว่าเพราะเราดูไม่น่ามีพิษภัยล่ะสิ”
   
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนเราคิดว่าเพราะบางทีคุณก็ทำท่าทางที่ชวนให้เห็นแล้วมันเขี้ยว เหมือนที่เขารู้สึกมันเขี้ยวกับแฟนเมื่อกี้น่ะ”
   
พิงภพเกือบหันไปโวยหลังประโยคแรก แต่ประโยคถัดจากนั้นทำเอาแทบได้ยินเสียงระเบิดบรึ้มในหัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออีกฝ่ายเอียงหน้ามามองด้วยนัยน์ตาแพรวพราว ภาพของตัวอย่างที่ยกขึ้นมาก็ยิ่งติดตามากขึ้นไปอีก
   
โอย คืนนี้เขาจะหลอนภาพที่หนิงบีบนมน้องไมร่าทั้งคืนไหมละเนี่ย ว่าแต่ที่หมอนี่บอกว่าเห็นเขาแล้วมันเขี้ยวคืออะไร คงไม่ใช่ว่าอยากทำแบบเดียวกันหรอกนะ?
   
“ฮึ โลกนี้มันคงไม่ได้มีคนที่ชวนมันเขี้ยวอยู่แค่คนเดียวหรอก เคยพูดแบบนี้ไปกับกี่คนแล้วล่ะ?”
   
“ไม่ต้องสนใจหรอกว่ากี่คน ในเมื่อตอนนี้คนที่เราพูดด้วยก็มีแต่คุณ”
   
พิงภพไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะตอบแล้วหันมาหา เขาแค่ตั้งใจจะเบนความสนใจไปจากตัวเอง แต่กลายเป็นว่าโดนหมอนี่ย้อนกลับเข้าจังๆ เท่านั้นไม่พอยังเอาแต่มองหน้าแล้วก็ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม เออ...รู้แหละว่าตอนนี้สีหน้าของเขาคงดูตลกมาก แต่จะต้องแกล้งให้ระทวยเหมือนแมงกะพรุนเกยตื้นรึไงถึงจะพอใจ
   
“เราไม่ได้อึ๋มแบบน้องไมร่านะ”
   
อทิตยะเลิกคิ้ว “แหงสิ ถ้าเป็นแบบนั้นเราก็ไม่ขอคบคุณหรอก อีกอย่างเอมี่ก็สนิทกับเราจะตาย นอนเตียงเดียวกันออกจะบ่อย เรายังไม่เคยคิดจะแตะแม้แต่ปลายเล็บ”
   
คำตอบของอทิตยะทำให้เขานึกขึ้นได้ จริงด้วย เพื่อนสาวลูกครึ่งของอทิตยะยังดูเซ็กซี่มีเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ ชวนให้เห็นแล้วใจเต้นกว่าน้องไมร่าตั้งเยอะ แปลว่าหมอนี่ไม่สนใจผู้หญิงเลยจริงๆ สิเนี่ย
   
ยิ่งคิดพิงภพก็ยิ่งรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ แถมคืนนี้ยังออกมาเดทกันสองต่อสองท่ามกลางผู้คนที่ไม่รู้จัก เท่ากับว่าไม่มีเพื่อนฝูงให้ดึงมาเป็นโล่กำบังสักคน เขารีบถอยพร้อมกับใช้มือหนึ่งดันไหล่อทิตยะเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็ทำท่าจะก้มลงหา
   
จะมานึกมันเขี้ยวอะไรท่ามกลางประชาชีแบบนี้เล่า นี่มันไม่เหมือนเวลาอยู่กันสองคนที่อพาร์ตเมนต์นะ!
   
อทิตยะเลิกคิ้ว แต่พิงภพเดาได้ว่าจงใจจะแกล้ง เลยรีบฉุดแขนพาไปทางที่ผู้คนกำลังกระโดดโลดเต้นตามนักร้องบนเวที

“เอาล่ะๆ ไหนๆ คืนนี้ก็อุตส่าห์มาถึงนี่ ไปทำตัวให้สมกับมาฟูลมูนปาร์ตี้ดีกว่า จะได้ไม่เสียดายค่าตั๋วเรือ”


++---TBC--++


A/N: แล้วมาติดตามต่อว่าสองคนนี้ทำตัวให้สมกับมาฟูลมูนปาร์ตี้ยังไงบ้างในตอนหน้านะคะ  :-[

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
Full moon party จะมีอะไรพิเศษขึ้นไปอีกหรือเปล่าหนอ~~~ อิอิอิอิ
รอตอนต่อไป…

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ตะวันพิงภพ บทที่ 17

ตีสอง...หลังจากอทิตยะกับพิงภพ ‘ทำตัวสมกับมาฟูลมูนปาร์ตี้’ ด้วยการไปร่วมเต้นกับคนแปลกหน้า เข้าบูธระบายสีเรืองแสงบนตัว เล่นเกมกระโดดลอดห่วงไฟ ชนแก้วเบียร์กับคนไม่รู้จักจนเริ่มเหนื่อย พวกเขาก็พากันเดินปลีกตัวห่างออกมาจากบริเวณที่จัดงาน ตามพื้นทรายบางทีก็เจอคนเมาหลับบ้าง ข้าวของมีค่าที่ตกหล่นโดยไม่รู้ว่าเจ้าของรู้ตัวหรือเปล่าบ้าง แสงไฟที่ยังเรืองๆ มาจากบริเวณจัดงานรวมกับแสงจากพระจันทร์เต็มดวงช่วยให้พวกเขาเดินไปตามทางได้โดยไม่ยากเย็นนัก
   
“นี่...พวกเราจะเดินกันไปถึงไหนเนี่ย?”
   
พิงภพถามอย่างสงสัย เขารู้ตัวว่าเมาแต่ก็ยังไม่มากเท่าคืนที่เลี้ยงต้อนรับอทิตยะ แล้วก็ไม่ได้เพลียจนหมดแรง เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าเจ้าคนที่จูงมือเขานี่ตั้งใจจะเดินวนรอบเกาะหรือไง
   
“ไม่รู้สิ ไหนๆ ก็ยังอีกนานกว่าจะเช้า ถือว่าเดินเล่นให้สร่างก็แล้วกัน”
   
อทิตยะตอบ จากน้ำเสียงแล้วพิงภพเดาว่าอีกฝ่ายกำลังอารมณ์ดี เขาเลยได้แต่ยอมโดนจูงเหมือนเด็กที่เดินตามแม่ หลังทิ้งห่างจากจุดจัดงานไปอีกสักพัก อทิตยะก็หยุดเดินแล้วหันมาหา
   
“อื๋อ?”
   
พิงภพส่งเสียงอย่างงุนงงเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็ประคองหน้าเขาขึ้นแล้วแนบริมฝีปากลงมา ความที่กำลังเมากรึ่มๆ ก็เลยไม่ได้แสดงปฏิกิริยาโต้ตอบ กลิ่นแอลกอฮอลล์และบุหรี่ทำให้เขาเผยอริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว สัมผัสนุ่มหยุ่นและปลายลิ้นที่แลบออกมาแตะปลายลิ้นเขาอย่างแผ่วเบาทำให้พิงภพหายใจผิดจังหวะ กระทั่งเสียงครางหวิวที่หลุดผ่านลำคอก็มั่นใจว่าไม่เคยทำมาก่อน
   
อทิตยะคงรับรู้ถึงไหล่ที่สั่นสะท้านและลมหายใจที่ขาดห้วง ก็เลยถอนริมฝีปากออกแล้วมองเขานิ่ง สายตาที่ชินกับแสงจันทร์เต็มดวงช่วยให้พิงภพเห็นคนตรงหน้าได้ชัดเจน ใบหน้าคมดุที่ปกติดูเฉยชา ถ้ายิ้มบ้างก็แค่บนมุมปากหรือยิ้มยียวน แต่คืนนี้กลับหัวเราะและยิ้มกว้างให้เห็นหลายครั้ง แล้วเวลานี้เจ้าตัวก็กำลังมองเขาด้วยแววตาที่อธิบายไม่ถูก
   
“ไปหาที่นั่งกันไหม?”
   
“...ก็ดีเหมือนกัน”
   
พิงภพตอบอย่างเบลอๆ คราวนี้อทิตยะสอดแขนมาโอบเอวแล้วพาเดินไปพร้อมกัน ไม่รู้เพราะความรู้สึกว่าแขนตัวเองว่างหรืออะไรดลใจ พิงภพก็เลยยกแขนไปโอบเอวตอบจนโดนปรายตามอง
   
“คืนนี้คุณขยันทำตัวน่ามันเขี้ยวจังนะ”
   
“หา?”
   
ฤทธิ์แอลกอฮอลล์ทำให้พิงภพคิดคำเอาคืนไม่ทัน อทิตยะหัวเราะก่อนจะก้มจูบหน้าผาก พิงภพไม่แน่ใจว่าควรปลื้มที่โดนชมว่าน่ามันเขี้ยวดีไหม เขายกมือที่ว่างขึ้นลูบแก้ม สัมผัสอุ่นๆ ที่ส่งผ่านมาบนปลายนิ้วนั้นยากจะบอกว่าเป็นเพราะเบียร์ที่ดื่มไปหลายขวดหรือเพราะว่าเขินกันแน่
   
พวกเขาเดินมาจนถึงบริเวณชายหาดที่เต็มไปด้วยโขดหิน ตรงนี้ไร้แสงไฟหรือผู้คนโดยสิ้นเชิง ถึงจะมีกองขยะจากนักดื่มที่คงมาตั้งวงกันเมื่อหัวค่ำ แต่หลังใช้ไฟฉายโทรศัพท์ส่องทางและเดินลึกเข้าไปในซอกโขดหินที่คลื่นซัดไม่ถึง ในที่สุดพวกเขาก็หามุมที่สามารถนั่งพิงหลังได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกหินบาดหรือกลิ้งตกน้ำ
   
สายลมช่วยพัดเหงื่อที่ผุดซึมและทำให้ร่างกายเย็นลง สมองก็ปลอดโปร่งขึ้นแม้จะยังไม่แจ่มใสเต็มร้อย แต่พิงภพก็รู้ตัวว่าพวกเขากำลังนั่งชิดกันแค่ไหน ทั้งที่พื้นหินตรงนั้นกว้างพอจะทิ้งระยะกันได้เป็นเมตร
   
มือที่โอบเอวกันถูกปล่อยไปตั้งแต่ตอนที่ปีนป่ายโขดหิน พิงภพเริ่มคอแห้งและนึกเสียดายที่ไม่ได้ซื้อน้ำไว้ เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอย่างเหม่อๆ และพบว่ามีลูกอมที่ได้รับแจกจากบูธสปอนเซอร์ในงานอยู่หนึ่งซอง เขารีบหยิบออกมาฉีกแล้วส่งเม็ดหนึ่งเข้าปาก ก่อนจะชูซองไปข้างหน้าอทิตยะ
   
“เอาไหม ลูกอมที่เราได้แจกในงานเมื่อกี้ ยังเหลืออีกเม็ดนึง อมแล้วเย็นๆ ชุ่มคอดีด้วย”
   
“อร่อยเหรอ?”
   
“ลองดูดิ”
   
“โอเค”
   
พิงภพนึกว่าอทิตยะจะรับซองลูกอมไปจากมือ แต่กลับโดนทำให้แปลกใจเมื่ออีกฝ่ายรั้งไหล่เข้าหา ก่อนจะแนบหน้าลงมาแบบไม่ให้ตั้งตัว นัยน์ตาเขาเบิกกว้างเมื่อรับรู้ถึงสัมผัสลื่นๆ ที่สอดเข้ามาในปาก
   
“อื๊อออ”
   
ยากจะบอกว่าเสียงที่ดังจากลำคอเป็นเสียงประท้วงหรือแสดงอารมณ์อื่น รู้แต่ว่าลิ้นอุ่นๆ ที่กำลังม้วนไล้กับลิ้นของเขาทำให้พิงภพเผยอริมฝีปากมากขึ้นและตอบรับอย่างไม่ประสีประสา กระทั่งมือก็กำเสื้ออีกฝ่ายแน่น สัมผัสเย็นซ่านของลูกอมคละเคล้ากับความอบอุ่นของปลายลิ้น กระทั่งพิงภพกลืนน้ำลายเพราะรู้สึกเหมือนจะสำลัก อทิตยะถึงค่อยถอนริมฝีปากออก และครั้งนี้พิงภพมั่นใจว่าไม่ใช่เขาคนเดียวที่หอบ
   
“อร่อยจริงด้วย ยังเหลืออีกเม็ดใช่ไหม?”

ถ้าคนอื่นพูดแบบนี้ก็คงเป็นแค่การขอขนม แต่พอเป็นอทิตยะแล้วพิงภพมั่นใจว่าหมอนี่คงถามเพราะอยากทำอะไรทะลึ่งๆ แน่ ก็เลยยัดซองลูกอมใส่มือแล้วรีบใช้อีกมือปิดปากตัวเอง
   
“กินไปเองคนเดียวเลย ไม่ต้องแบ่ง”   
   
อทิตยะหัวเราะก่อนจะหยิบลูกอมใส่ปากแล้วเก็บซองใส่กระเป๋ากางเกง ส่วนพิงภพพยายามกลืนน้ำลาย กลิ่นหวานหอมของลูกอมรสองุ่นยังอวลในปาก แต่ที่ต่างไปจากตอนแรกคือเหมือนมันจะมีกลิ่นของอทิตยะผสมปนเปมาด้วย
   
ยอมให้หมอนี่ได้ใจขนาดนี้จะดีเหรอเนี่ย...
   
“ง่วงหรือเปล่า? ถ้าง่วงจะนอนพิงไหล่เราก็ได้”
   
คำถามนั้นดึงสายตาของพิงภพกลับไป ไม่น่าเชื่อว่าแสงจันทร์จะสว่างจนเห็นหน้ากันได้ชัดขนาดนี้ แต่ความที่คืนก่อนเขานอนหลับไม่สนิทจึงทำให้รู้ว่าอทิตยะก็คงไม่ต่างกัน
   
“เมื่อคืนนี้เต็มก็แทบไม่ได้นอนไม่ใช่เหรอ ไม่เหนื่อยบ้างหรือไง?”
   
อทิตยะเลิกคิ้ว ก่อนจะดึงมือเขาไปกุมหลวมๆ แล้วเอนศีรษะพิงโขดหิน พิงภพเห็นอย่างนั้นก็เลยหลับตาแล้วทำตาม เสียงคลื่นและกลิ่นทะเลอันคุ้นเคยทำให้หัวใจของเขาสงบลง แต่ครู่ถัดมาก็ลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงคนข้างๆ
   
“ขอโทษนะที่ถามแบบนั้นไปเมื่อคืน เราผิดเองที่หงุดหงิดใส่ทั้งที่คุณไม่อยากรบกวนเรา ไม่ผิดหรอกที่คุณจะโมโห”
   
พิงภพเอียงหน้าไปมอง ความจริงตอนนี้เขาเริ่มสะลึมสะลือ แต่พอฉุกคิดได้ว่านี่อาจเป็นเวลาที่อทิตยะ ‘ลดการ์ดลง’ ก็พยายามฝืนตัวเองให้ตื่น
   
“ไม่เป็นไร เราก็ไม่ควรอารมณ์เสียเหมือนกัน ทั้งที่ควรจะทำตัวให้สมเป็นผู้ใหญ่กว่าแท้ๆ”
   
“ก็เกิดก่อนแค่สองปีเอง ไม่ต้องรีบทำตัวแก่ก็ได้”
   
“ไม่ได้รีบแก่เว่ย! แค่พูดว่าควรเป็นผู้ใหญ่กว่าเฉยๆ”
   
พิงภพเตะเท้าข้างที่อยู่ใกล้ตัว แต่เพราะทั้งคู่นั่งกันชิดมากเลยเหมือนสะกิดหยอก อทิตยะยิ้มแล้วก้มลงมากระซิบเสียงต่ำ
   
“อย่าทำตัวให้น่ามันเขี้ยวนักสิ เดี๋ยวคืนนี้จะไม่ได้นอน”
   
เสียงกระเส่าริมหูทำเอาพิงภพตัวแข็ง แต่พอได้ยินเสียงหัวเราะก็รู้ว่าโดนแกล้ง ได้แต่พยายามเก็บไม้เก็บมือไว้กับตัว ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่าทางแบบไหนไปจี้โดนต่อมมันเขี้ยวของหมอนี่
   
“เป็นสารไวไฟ สปาร์กปุ๊บไฟลุกปั๊บรึไงกัน”
   
อทิตยะหัวเราะเมื่อได้ยินเขาบ่นอุบอิบ หลังนั่งฟังเสียงคลื่นกันครู่หนึ่งก็หันมาถาม
   
“นี่ เราสังเกตมาตั้งแต่รู้จักกันแล้วว่าคุณตั้งใจเก็บเงินมาก มีโครงการอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?”
   
พิงภพเลิกคิ้ว เขาตั้งใจทำงานและประหยัดอดออมจนเป็นความเคยชิน ก็เลยไม่นึกว่าจะมีคนสังเกตเห็นจนถึงกับตั้งคำถาม
   
“เราดูเป็นคนขี้เหนียวเหรอ?”
   
“ก็...คุณพูดเองนะ เราไม่ได้พูด”
   
พิงภพเขม่นมองคนข้างตัวอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะเบนสายตาไปยังท้องทะเลสีน้ำหมึกที่กำลังสะท้อนภาพจันทร์เต็มดวง คนที่ใกล้ชิดกับทะเลต่างรู้กันดีว่าระดับน้ำจะขึ้นสูงสุดในวันขึ้น 15 ค่ำ และแรม 15 ค่ำเสมอ เพียงแต่ฝั่งอ่าวไทยนี้คลื่นจะไม่หนุนเท่าฝั่งอันดามันเพราะแผ่นดินลาดเอียงน้อยกว่า
   
“เราได้เรียนดำน้ำครั้งแรกตอน ม.6 เพราะพ่อซื้อคอร์สให้เป็นของขวัญ”
   
นั่นไม่ใช่คำตอบที่ตรงคำถามนัก แต่อทิตยะคงรู้ว่ามีอะไรมากกว่านั้นจึงแค่ตอบรับสั้นๆ
   
“แล้ว?”
   
“ทีแรกเราก็แค่สนใจเพราะเห็นสารคดีนักสำรวจใต้น้ำแล้วคิดว่ามันเท่ดี ในสารคดีนั่นเขาไปถ่ายทำกันใต้ทะเลแดงที่อียิปต์ ได้เห็นปลาแปลกๆ ทั้งฉลามหัวค้อนเป็นฝูง แมงกะพรุนตัวเท่าคน ปลาหมึกยักษ์ แล้วก็สัตว์น้ำที่ไม่เคยเห็นเต็มไปหมด เราเลยบอกพ่อว่าเนี่ย อยากเรียนดำน้ำแล้วสักวันจะไปที่นั่นบ้าง พ่อเลยบอกว่าจะออกเงินค่าเรียนให้ แล้วพอได้ไปดำน้ำที่ทะเลแดงเมื่อไหร่ต้องถ่ายรูปมาให้ดูด้วย”
   
มือที่กุมกันอยู่ออกแรงบีบเขาทีหนึ่ง “หลังจากนั้นพ่อก็เสียหลังคุณเข้ามหา’ลัย”
   
“อืม ช่วงเวลาหลังจากที่รู้ว่าพ่อเป็นมะเร็งจนถึงเวลาที่เขาเสียมันสั้นมาก เราเรียนอยู่ต่างจังหวัดแต่ก็พยายามกลับบ้านให้บ่อยเท่าที่ทำได้ แต่ถึงอาการจะทรุดลงเรื่อยๆ พ่อก็ยังชอบแซวว่าต้องรอดูรูปถ่ายของเรากับทะเลแดงให้ได้ก่อน มาถึงตอนนี้มันก็ไม่ทันแล้วล่ะ แต่เราก็ยังอยากทำตามที่สัญญากันไว้ ส่วนเป้าหมายอีกอย่างที่ทำให้เก็บเงิน...เพราะเรารู้แล้วว่าอนาคตอยากทำอะไร”
   
“หือ? คุณอยากทำอะไร?”
   
อทิตยะหันมาถามอย่างสนใจ พิงภพยิ้มเขินเพราะนี่เป็นเป้าหมายที่แม้แต่กับเพื่อนฝูงก็ไม่เคยบอก
   
“กว่าจะมาเป็นครูสอนดำน้ำได้มันมีหลายขั้นตอนนะ แต่ละขั้นก็ต้องจ่ายค่าเรียนแพงๆ ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ ไหนจะต้องเก็บสะสมจำนวนไดฟ์เพื่อสอบเอาใบประกาศ แต่การเป็นครูสอนดำน้ำก็แค่ก้าวแรกในสายอาชีพนี้ ถ้าอยากจะไปให้สุดก็ต้องเป็นคอร์สไดเร็กเตอร์ซึ่งเหมือนเป็นครูใหญ่ของบรรดาครูสอนดำน้ำอีกที ตอนนี้บ้านเราน่าจะมีครูสอนดำน้ำหลายร้อยคน แต่ที่ได้เป็นคอร์สไดเร็กเตอร์กลับมีไม่ถึงสิบ เราคิดว่าอยากจะค่อยๆ เก็บประสบการณ์เพราะการจะสอบเป็นคอร์สไดเร็กเตอร์ได้ต้องมีวุฒิภาวะ แต่ก่อนหน้านั้นก็คงไปทะเลแดงก่อนเพราะใช้เงินน้อยกว่า ถึงยังไงมันก็ต้องใช้เงินเยอะทั้งคู่ อีกอย่างเราเจียดเงินแต่ละเดือนส่งให้แม่ด้วย มันก็เลยต้องใช้ที่เหลืออย่างประหยัดหน่อย”
   
พิงภพเพิ่งรู้สึกตัวว่าอทิตยะนั่งฟังโดยไม่พูดแทรกเลย พอหันไปเพราะนึกว่าหลับก็เห็นว่ากำลังมองมา แถมบนมุมปากยังมีรอยยิ้มอ่อนๆ
   
“แล้วไงต่อ เล่าอีกสิ ฟังคุณเล่าแล้วสนุกดี”
   
“หมดแค่นั้นแหละ โทษที ได้คุยเรื่องดำน้ำทีไรลืมตัวทุกที”
   
“แต่เราว่าดีนะที่คุณมีเรื่องที่ชอบทำแล้วก็เป้าหมายชัดเจน ขอโทษด้วยที่เคยหาว่าคุณไม่คิดถึงอนาคต ทั้งที่ความจริงออกจะมีแผนการชัดเจนขนาดนี้”
   
“ห้ะ? เต็มเคยพูดแบบนั้นกับเราด้วยเหรอ?”
   
อทิตยะกลอกตา “ถ้าจำไม่ได้ก็ช่างเถอะ ถือว่าเราขอโทษย้อนหลังก็แล้วกัน คงดีนะถ้าคุณทำเป้าหมายสำเร็จได้เร็วๆ”
   
“อื้ม”
   
พิงภพส่งเสียงตอบในคอ เสียงคลื่นที่ซัดเข้ามาเป็นระยะบวกกับสายลมทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เขายกมือขึ้นปิดปากหาว แล้วก็หลุดหัวเราะเมื่อเห็นอทิตยะหาวเหมือนกัน
   
“น่าขำตรงไหนคุณ เวลาเห็นคนหาวมันก็อยากหาวตามอยู่แล้วนี่”
   
“นั่นก็ใช่ แต่จังหวะเมื่อกี้มันตลกดี”
   
พูดจบเขาก็หัวเราะอีก อทิตยะเลยปล่อยมือที่กุมไว้แล้วเลื่อนมาบีบต้นขา พิงภพเลยเอี้ยวไหล่ไปดันไหล่อีกฝ่าย อดคิดไม่ได้ว่าพวกเขาตอนนี้ช่างดูเหมือนเด็กกำลังแกล้งกัน
   
“นี่ เราอุตส่าห์เล่าเรื่องของตัวเองไปตั้งเยอะ ขอฟังเรื่องของเต็มมั่งสิ”
   
ไม่รู้เพราะลมหยุดพัดชั่วขณะ หรือเพราะประสาทตาล้าจนเห็นภาพลวงตา แต่คล้ายกับว่าไหล่ของอทิตยะจะเกร็งขึ้นเล็กน้อย เขาเลยสอดนิ้วประสานเหมือนที่เจ้าตัวทำเมื่อช่วงค่ำแล้วบีบเบาๆ อึดใจหนึ่งอทิตยะก็แสดงท่าทางผ่อนคลายลงและบีบมือตอบ
   
“ของเราน่าเบื่อจะตายไป อยากฟังในแง่ไหนล่ะ?”
   
พิงภพส่งเสียงหึขึ้นจมูก แค่บางเรื่องที่พอรู้ก็คิดว่าชีวิตหมอนี่ห่างไกลคำว่าน่าเบื่อไปหลายปีแสง แต่ก็ยังหวังว่าคืนนี้อทิตยะอาจเปิดใจพอที่จะแย้มเรื่องราวส่วนตัวจากปากตัวเอง
   
“เอ่อ...ก่อนหน้านี้เราก็เคยเล่าเรื่องที่บ้านไปสองสามครั้งแล้วใช่ไหมล่ะ แต่จนป่านนี้ยังไม่เคยได้ยินเต็มพูดถึงครอบครัวตัวเองเลย เป็นแฟนกันก็ควรจะรู้เรื่องพวกนี้บ้างใช่ไหม?”
   
ทั้งที่คิดเอาไว้ดิบดี แต่พอต้องถามจริงๆ เขาก็อึกอัก เพราะไม่แน่ใจว่านี่เป็นเรื่องที่อทิตยะไม่อยากแตะต้องหรือเปล่า แต่กลับกลายเป็นว่าถูกเจ้าตัวย้อนถามอย่างแปลกใจ
   
“อ้าว? น้าบุ๋มไม่เคยเล่าเหรอ? เห็นออกจะสนิทกัน เราก็นึกว่าเขาคงเม้าท์ให้คุณฟังไปแล้วซะอีก”
   
ไม่รู้ทำไมหน้าของพิงภพถึงร้อนฉ่า ถ้าตอบรับก็เท่ากับขายบุณฑริก แต่ครั้นจะปฏิเสธ...จากท่าทีของเขาก็คงไร้ข้อกังขาแล้ว
   
“ก็...คนอื่นเล่ากับเจ้าตัวเล่ามันไม่เหมือนกันนี่ อีกอย่างเต็มเพิ่งรู้จักพี่บุ๋มหลังไปอยู่ที่ออสไม่ใช่เหรอ เขาก็คงไม่ได้รู้เรื่องวัยเด็กละเอียดขนาดนั้นมั้ง”
   
“จะว่างั้นก็ได้ น้าบุ๋มเล่าว่าอะไรมั่งล่ะ เราจะได้รู้ว่าเขาตกหล่นอะไรไปบ้าง”
   
เฮ้อ...ขอโทษนะฮะพี่บุ๋ม “ก็แค่เล่าว่าตอนเด็กพ่อแม่ของเต็มแยกทางกัน หลังแม่เสียพ่อก็รับเต็มมาอยู่ด้วย แต่ว่า เอ่อ...มีปัญหากับภรรยาใหม่ของพ่อนิดหน่อย ก็เลยถูกส่งไปอยู่ที่เมลเบิร์น ให้พี่บู๊ที่เป็นเพื่อนของพ่อช่วยดูแล”
   
“อืม หลักๆ ก็มีแค่นั้นแหละ ถือว่าน้าบุ๋มก็เล่าครบสมบูรณ์ดี”
   
พิงภพเดาะลิ้นอย่างขัดใจ อทิตยะหัวเราะก่อนจะอธิบายต่อ “รายละเอียดนอกเหนือจากนั้นก็คือตอนเด็กเราโตมากับแม่ที่ลำปาง แม่เป็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้าที่เก่งมาก เลี้ยงดูเราคนเดียวจนเสีย แล้วเราก็ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อเลยยกเว้นรูปถ่าย แถมช่วงวัยรุ่นใครๆ ก็คงมีโมเมนต์ที่ต่อต้านผู้ใหญ่เหมือนกัน เราปรับตัวเข้ากับพ่อและแม่เลี้ยงที่เหมือนคนแปลกหน้าไม่ได้ เขาก็เลยต้องหาที่ทางให้ไป โชคดีว่าลุงบู๊ช่วยอบรมดี เราก็เลยโตมาโดยไม่เสียคนมากนัก ทั้งหมดก็มีเท่านี้แหละ”
   
น้ำเสียงของอทิตยะเรียบเรื่อย พอเล่าจบก็หยิบหินก้อนเล็กๆ โยนให้สะท้อนไปบนผิวน้ำ เงาของพระจันทร์เต็มดวงจึงแตกกระเพื่อม พิงภพมองตามแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้ามีคนถามแบบนี้กับอทิตยะที่ยังเด็ก เจ้าตัวคงจะไม่เล่าด้วยท่าทางสงบนิ่งแบบนี้แน่

“...สรุปก็คือเราไม่จำเป็นสำหรับคุณสินะ?”
   
นั่นคงเป็นคำถามที่ฝังใจหลังสูญเสียแม่แล้วยังถูกพ่อที่จำแทบไม่ได้ส่งไปอยู่ต่างประเทศ พอเจอเหตุการณ์ที่กระตุ้นความทรงจำก็เลยเปิดแผลนั้นอีกครั้ง แต่แค่นั้นไม่น่าจะทำให้อทิตยะอารมณ์เสียได้ถึงขนาดนั้น ถ้าคิดดูดีๆ เจ้าตัวก็แสดงท่าทางประหลาดตั้งแต่ตอนนั่งกินมื้อเย็นที่ชายหาดแล้ว
   
ถ้าหากเขาถามเพิ่มขึ้นอีกนิด...จะยังโอเคไหมนะ
   
“แล้วดิวล่ะ?”
   
คราวนี้อทิตยะหันขวับจนพิงภพตกใจ ถึงพระจันทร์จะกระจ่างแต่เขาก็ไม่แน่ใจว่านั่นคือเหตุผลที่ใบหน้าของอทิตยะดูซีดขาวหรือเปล่า มันแทบจะคล้ายกับท่าทางเมื่อเย็นวานนี้ที่หาดทรายใกล้บลูแซนด์ไม่มีผิด
   
“คุณได้ยินชื่อดิวมาจากไหน?”
   
เสียงของอทิตยะเข้มขึ้น พิงภพกลืนน้ำลายก่อนจะพยายามตอบเสียงนิ่ง
   
“จำวันที่เต็มเมาหนักแล้วกลับมาที่ห้องตอนเช้าได้ไหม? วันนั้นเราช่วยเปลี่ยนเสื้อให้ แล้วเต็มก็ละเมอพูดชื่อนี้ออกมา”
   
ไม่จำเป็นต้องบอกว่าสถานการณ์ตอนนั้นเขาถูกดึงเข้าไปกอดด้วย เพราะถึงอย่างไรตอนนี้อทิตยะก็ทำอะไรเกินกว่านั้นไปเยอะแล้ว
   
สายลมพัดแรงขึ้นจนเสื้อลู่ติดตัว กระทั่งคลื่นที่ซัดเข้าโขดหินด้านล่างก็ดังขึ้น พิงภพยกมือกอดอกด้วยรู้สึกหนาว ยังอีกหลายชั่วโมงกว่าฟ้าจะสว่างและได้เวลาขึ้นเรือกลับ เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าการที่มานั่งตากลมริมทะเลกันทั้งคืนแบบนี้เป็นความคิดที่ดีหรือเปล่า
   
ท่าทางของเขาคงดึงความสนใจของอทิตยะ อีกฝ่ายรูดซิปกระเป๋าคาดอกแล้วหยิบเสื้อแจ็กเก็ตกันน้ำแบบที่ม้วนแล้วเล็กเท่ากำปั้นออกมาสะบัด จากนั้นก็คลุมลงบนไหล่ของเขา
   
สองมือของอทิตยะยังจับอยู่บนชายเสื้อ นัยน์ตาจ้องมองเขาอย่างที่พิงภพอธิบายไม่ถูก แต่มันต่างกับตอนที่ทั้งคู่จูบกันบนหาดทรายเมื่อราวหนึ่งชั่วโมงก่อนโดยสิ้นเชิง
   
“ถ้าคุณอยากรู้ เราก็จะเล่า”
   
“ไม่เป็นไร คืนนี้เราง่วงแล้ว ไว้อยากฟังเมื่อไหร่ค่อยขอให้เล่าใหม่ก็แล้วกัน”
   
อทิตยะเลิกคิ้ว พิงภพจับแขนอีกฝ่ายไว้แล้วรีบพูดต่อ เขาไม่รู้หรอกว่าเคยเกิดอะไรขึ้นกับคนชื่อดิว แต่ถ้ามันเป็นเรื่องที่อทิตยะไม่อยากนึกถึง เขาก็ไม่ควรอ้างสิทธิ์ของแฟนแล้วบังคับให้ฝืนเล่าออกมา
   
“ถึงคบกันก็ไม่ต้องทำตามที่ขอทุกอย่างก็ได้ ถ้ายังไม่พร้อมหรือไม่สบายใจก็ไม่ต้องเล่าหรอก บางเรื่องของอีกฝ่าย ถ้าเราไม่รู้อาจจะดีกับทั้งคู่มากกว่า”
   
พิงภพพูดโดยไม่ละสายตาจากคนตรงหน้าแม้แต่แวบเดียว อทิตยะสบตาเขา อึดใจหนึ่งก็หลับตาลงแล้วแนบหน้าผากกับหน้าผากของเขา ลมหายใจอุ่นระลงบนริมฝีปากจนพิงภพแทบกลั้นหายใจ
   
“ขอบคุณมาก พุธ”
   
หัวใจของพิงภพเต้นแรงขึ้น น้อยครั้งเวลาคุยกันที่อทิตยะจะเรียกชื่อเขาตรงๆ และในช่วงเวลาเช่นนี้ มันราวกับว่าถ้อยคำที่เพิ่งเอ่ยแฝงความหมายลึกซึ้งมากกว่านั้น
   
พวกเขานั่งกันอยู่ท่านั้นครู่หนึ่ง ความง่วงงุนที่ฝืนมานานก็ถ่วงเปลือกตาจนพิงภพเริ่มทนไม่ไหว ท่าทางโงกเงกของเขาคงทำให้อทิตยะรู้สึกตัว อีกฝ่ายก็เลยขยับแล้วจัดแจงเปลี่ยนท่า พอรู้ตัวอีกที เจ้าคนตัวโตกว่าก็นั่งพิงหินแล้วกางสองขาขนาบขาเขาไว้ ส่วนตัวเขานั่งพิงอกอีกฝ่ายไปเสียแล้ว
   
“ท่านี้มันอะไรเนี่ย?”
   
“ง่วงแล้วใช่ไหมล่ะ แถมลมกำลังเย็นๆ ด้วย นอนแบบนี้แล้วกันจะได้ไม่หนาว ขืนคุณเป็นหวัดเดี๋ยวดำน้ำไม่ได้”
   
อทิตยะเอ่ยพร้อมกับโอบสองแขนมากักตัวเขาไว้ อุณหภูมิที่ส่งผ่านมาสร้างความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งพิงเตาอุ่นๆ แต่ก่อนจะผล็อยหลับพิงภพก็นึกขึ้นได้ เลยดันตัวออกแล้วถอดเสื้อแจ็คเก็ตคืน
   
“เสื้อตัวนี้ใหญ่อยู่ เต็มเอาคลุมตัวไว้ดีกว่า ยังไงท่านี้เราก็อุ่นกว่าอยู่แล้ว จะได้ไม่ต้องตื่นมาเห็นแฟนเราเป็นปอดบวม”
   
ความง่วงทำให้พิงภพพูดคำว่า ‘แฟนเรา’ ได้อย่างคล่องปาก แต่วินาทีนั้นสมองของเขาแทบจะหยุดทำงานไป 90% แล้ว อทิตยะยิ้มก่อนจะรับเสื้อแจ็คเก็ตไปสวม จากนั้นก็ดึงพิงภพกลับมาพิงอกโดยให้สาบเสื้อแจ็คเก็ตช่วยบังลมและกอดเขาแน่น
   
“กู้ดไนต์ เจอกันพรุ่งนี้เช้า”
   
“กู้ดไนต์ เต็ม”
   
อทิตยะกดจมูกหนักๆ บนขมับของเขา พิงภพระบายลมหายใจยาวขณะหลับตาฟังเสียงคลื่น แต่ก่อนที่จะจมดิ่งสู่ห้วงนิทราอย่างสมบูรณ์ ชั่ววูบหนึ่งที่เขาคิดว่าไม่อยากให้รุ่งเช้ามาถึงเลย


++---TBC---++


A/N: คืนนี้พระจันทร์หวานสำหรับสองคนนี้ซะจริงๆ แต่จะหวานได้นานแค่ไหนน้า รอติดตามต่อกันตอนหน้านะคะ

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
จะหวานแค่ไอซิ่งโรยหน้ากาแฟดำหรือเปล่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ตะวันพิงภพ บทที่ 18

คลื่นที่ซัดสาดโขดหินช่วงเช้ามืดสงบลงกว่าเมื่อคืน สายลมก็อ่อนแรงลงเหมือนกัน อทิตยะมองเส้นขอบฟ้าที่ตอนแรกยังเป็นสีน้ำเงินเข้มจนแทบแยกผืนน้ำกับท้องฟ้าไม่ออก กระทั่งเริ่มเห็นแนวเส้นสีแสดค่อยๆ ผุดขึ้นตลอดแนว ขยายตัวขึ้นกลืนกินสีน้ำเงินเบื้องบนและผลักดันความมืดมิดออกทีละน้อย

พิงภพยังคงหลับสนิทในอ้อมแขนของเขา ท่าทางคงอุ่นสบายจนส่งเสียงกรนขึ้นจมูกแผ่วเบา อันที่จริงจะบอกว่าตัวเขาเองไม่หนาวเลยก็ไม่ใช่ เพราะแจ็คเก็ตที่สวมเป็นเพียงผ้าที่กันน้ำกับลมแต่ไม่ช่วยกันความเย็นจากหินที่พิงอยู่มากนัก ส่วนมากเขาเลยหลับๆ ตื่นๆ จนสุดท้ายก็ตัดสินใจตื่นเต็มที่มารอดูพระอาทิตย์ขึ้นซะเลย เพราะหาดที่จัดฟูลมูนปาร์ตี้ของเกาะพะงันหันไปทางตะวันออก ซึ่งต่างกับบลูแซนด์ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเกาะเต่า ดังนั้นวิวเด่นของทั้งสองแห่งนี้จึงต่างกันโดยสิ้นเชิง

รัศมีโค้งของพระอาทิตย์เริ่มเผยตัวเหนือผิวน้ำมากขึ้น อทิตยะมองนาฬิกาข้อมือและเห็นว่าเกือบหกโมงเช้าแล้ว จากตรงนี้เดินไปจุดที่จอดมอเตอร์ไซค์ไว้ก็คงสิบนาที ขับรถกลับไปคืนร้านแถวท่าเรืออีกราวครึ่งชั่วโมง ไหนจะต้องเผื่อเวลาเช็กอินก่อนเรือจะออก พอคำนวณเวลาที่เหลือพอให้ได้อิ่มเอมกับช่วงเวลานี้ เขาก็ได้แต่นึกเสียดาย

อทิตยะชันเข่าสลับเหยียดทีละข้างเพื่อคลายอาการเมื่อยขบ การนั่งหลับท่านี้ไม่ได้สบายตัวนัก แต่ไม่รู้เพราะปริมาณของเบียร์ที่ดื่มเข้าไปหรือความอ่อนเพลียจากเมื่อวาน พิงภพถึงหลับสนิทคล้ายไม่รับรู้การเคลื่อนไหวของเขาทั้งสิ้น ชายหนุ่มยกมือขึ้นเสยผมที่ค่อนข้างยุ่งของอีกฝ่ายจากหน้าผาก การทำงานกลางแจ้งเป็นประจำทำให้ผิวของพิงภพส่วนที่ตากแดดค่อนข้างกร้านคล้ำ ผมก็แห้งและช่วงปลายออกสีน้ำตาลแดงเพราะถูกกัดด้วยแสงแดดและน้ำทะเลวันละหลายชั่วโมง แต่สำหรับเขามันกลับช่วยขับเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใครของเจ้าตัวให้เจิดจ้ายิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ได้เห็นอีกฝ่ายมุ่งมั่นใช้ชีวิตในแบบที่เลือกเอง

กระแสอุ่นร้อนแผ่ซ่านในอกดุจตาน้ำ อทิตยะรู้ว่าเขาไม่ควรรู้สึกเช่นนี้ มันเติบโตและแผ่ขยายจากจุดเล็กๆ ที่เริ่มด้วยคำว่า  ‘น่าสนใจ’ อย่างรวดเร็วเกินไป เขาย่อมรู้ดีในเมื่อนี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ก็เหมือนพระจันทร์ที่มีทั้งด้านมืดและสว่าง ถึงด้านหนึ่งเขาจะพึงพอใจกับความสุขที่กำลังดำเนินอยู่ อีกด้านก็มีความหวาดหวั่นที่ไม่รู้จะหมุนเวียนมาเผยตัวเมื่อไหร่

“อืม”

ดูเหมือนพิงภพจะเริ่มรู้สึกตัวตื่น จากที่คอพับพิงไหล่เขาข้างเดียวมาตลอด ในที่สุดก็มีการขยับตัวและเอียงหน้ามาทางซอกคอ นัยน์ตาดำขลับปรือขึ้นอย่างเชื่องช้าเหมือนยังไม่หลุดจากความฝัน

อทิตยะเห็นแล้วนึกมันเขี้ยว เขาใช้มือหนึ่งเชยคางอีกฝ่ายให้เงยหน้าขึ้น จากนั้นก็แนบริมฝีปากลงหา มันอาจไม่ใช่จูบที่สร้างอารมณ์หวามไหว แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้พิงภพตื่นเต็มตาและยกมือขึ้นทุบอกเขา

“กู้ดมอร์นิ่ง”

“มอร์นิ่งอะไรล่ะ ปลุกกันแบบดีๆ ไม่ได้หรือไง?”

น้ำเสียงแหบแห้งงัวเงียทำให้ดีกรีความหงุดหงิดลดไปหลายขีด อทิตยะยิ้มเพราะรู้ดีจากประสบการณ์ว่าจูบแรกหลังตื่นนอนนั้นไม่ว่าจะรสหรือกลิ่นก็ไม่น่าพิสมัย เขาเกยคางลงบนไหล่อีกฝ่ายแล้วเอ่ยเสียงนุ่ม

“พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว”

“เห็นแล้ว...ตาไม่ได้บอด”

“แฮปปี้เบิร์ธเดย์”

พิงภพหันขวับมาด้วยสีหน้าแปลกใจ อทิตยะเลยแนบริมฝีปากลงบนซอกคอเบาๆ จนอีกฝ่ายหดคออย่างจั๊กจี้

“รู้ได้ไงว่าวันนี้วันเกิดเรา?”

“จะไปยากอะไรล่ะ ถามน้าบุ๋มเอาสิ ที่เราชวนคุณมาปาร์ตี้ที่นี่ก็เพราะจะได้ฉลองกันแค่สองคนนี่แหละ”

เจ้าของวันเกิดกะพริบตา ก่อนจะส่งเสียง “อ้อ” เบาๆ หลังทิ้งช่วงนิดหนึ่งก็ตามด้วย “แต๊งกิ้ว” แล้วทิ้งตัวพิงอกเขาต่อ อทิตยะโอบเอวอีกฝ่ายเข้าใกล้อีกครั้ง ทั้งคู่นั่งมองพระอาทิตย์ลอยสูงขึ้นจนพ้นผิวน้ำก่อนที่พิงภพจะหันมาหา

“เราควรจะไปกันได้แล้วสิ จำได้ว่าแถวท่าเรือมีร้านกาแฟ เดี๋ยวไปหาสักร้านนั่งรอเรือออกก็แล้วกัน”

อทิตยะพยักหน้าแม้จะยังไม่อยากไป พวกเขาไต่โขดหินกลับลงไปบนทางเดินเพื่อไปยังจุดที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ พอขับไปถึงบริเวณท่าเรือก็พบว่ามีคนเต็มไปหมด เพราะแต่ละวันจะมีเรือเฟอร์รี่ที่เดินทางไปหลายที่นอกจากเกาะเต่า และบางลำก็ออกไปตั้งแต่เช้ามืด

หลังคืนรถมอเตอร์ไซค์แล้วทั้งคู่ก็ไปเช็กอินที่ท่าเรือเพื่อรับสติกเกอร์ ก่อนจะเดินหาร้านกาแฟเพื่อกินมื้อเช้าและใช้ห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน แต่พอได้นั่งที่โต๊ะพิงภพก็ฟุบหน้าลงอีกรอบ

“จะนอนต่ออีกเหรอคุณ ไม่กินข้าวเช้าเหรอ?”

“กินไปก่อนเลย ได้เวลาไปเมื่อไหร่ปลุกด้วย”

พิงภพโบกมือหนึ่งให้โดยไม่เงยหน้า อทิตยะก็เลยสั่งแค่กาแฟร้อนมาจิบเพื่อรอกลับไปกินมื้อเช้าที่เกาะเต่าด้วยกัน บริเวณท่าเรือมีทั้งคนที่จะเดินทางไปที่อื่นและคนที่เพิ่งมาถึง ความจอแจรอบตัวทำให้เขาไม่ง่วงงุนสักนิด

“เฮ้ ไม่นึกว่าเช้านี้ก็เจอกันอีก ขอนั่งด้วยได้ไหม?”

อทิตยะเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าคนทักคือสาวหล่ออดีตแฟนเก่าของพิงภพ ด้านหลังคือแฟนสาวที่เช้านี้สวมเสื้อถักนิตติ้งชายยาวคลุมกางเกงขาสั้น ตาข่ายเสื้อเนื้อโปร่งอวดเอวคอดรำไร คอเสื้อกว้างอวดร่องอกลึกและเนินเนื้ออวบขาวที่ขนาดเขาไม่สนใจผู้หญิงก็ยังอดมองไม่ได้

“เอาสิ แต่พุธหลับอยู่นะ”

“ขี้เซาจริงหมอนี่”

หญิงสาวเอ่ยยิ้มๆ ขณะเลื่อนเก้าอี้นั่ง ในแววตาฉายความเอ็นดู แฟนสาวที่เขาจำได้เลาๆ ว่าชื่อไมร่าทำแก้มอูมนิดหน่อยขณะนั่งลงบ้าง อทิตยะเห็นพวกเธอไม่สั่งอะไรก็นึกสงสัย

“ไม่กินอะไรกันเหรอ?”

“อ๋อ เรือไปสมุยของพวกเราออกตอนแปดโมง อีกเดี๋ยวก็ต้องไปแล้ว พอดีเห็นก็เลยแวะมาทัก แล้วนี่เรือไปเกาะเต่าออกกี่โมง?”

“แปดครึ่ง แต่พุธลางานไว้แล้ว ถึงเรือเลทก็ไม่ได้ต้องรีบร้อน”

อทิตยะเอ่ยพลางยกกาแฟขึ้นจิบ วันนี้นลินสวมเสื้อยืดแขนสั้นขนาดพอดีตัวกับกางเกงห้าส่วนและรองเท้าผ้าใบ บนศีรษะสวมหมวกแก๊ปกับแว่นกันแดดสีชา เธอนั่งไขว่ห้างแบบพับขากว้างได้เป็นธรรมชาติจนจนเขานึกภาพสมัยที่ทำตัวเป็นผู้หญิงไม่ออก

“นี่คบกันนานหรือยัง?”

จู่ๆ นลินก็ถามพลางชี้นิ้วระหว่างเขากับพิงภพ เขาเหลือบมองคนที่ยังหลับก่อนจะตอบอย่างระวัง

“ก็ไม่เท่าไหร่”

“ไม่ต้องห่วง พุธน่ะถ้าหลับก็คือหลับ ไม่มีการแอ๊บหลับเพื่อแอบฟังหรอก หมอนี่ขี้เซาจะตาย”

หญิงสาวเอ่ยกลั้วหัวเราะ ไมร่าหยิบหูฟังขึ้นมาเสียบกับโทรศัพท์เหมือนไม่อยากอยู่ในวงสนทนา นลินกอดอกมองท่าทางของแฟนสาวอย่างเอ็นดู

“ทำไมสมัยเรียนถึงคบกับพุธได้ล่ะ?”

อทิตยะถามบ้าง นลินเบนสายตากลับมาพลางอมยิ้ม “ยังไงดีล่ะ เพราะเขาดูใสๆ ดีมั้ง? ตอนอยู่มหา’ ลัยเราอยากรู้ว่าตัวเองยังชอบผู้ชายได้หรือเปล่า แล้วเวลาคุยกับพุธก็รู้สึกว่าเคมีเข้ากันได้เลยชวนมาคบกัน เขาเทคแคร์เราดีมากเลยนะ แต่นอกจากความรู้สึกเหมือนเพื่อนสนิทแล้วเราก็ไม่เคยนึกพิศวาสพุธเลย เจ้าตัวเองก็น่าจะไม่เคยรู้สึกอะไรกับเราเหมือนกัน”

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว พิงภพเคยเล่าให้ฟังแล้วว่าสมัยที่คบกับนลินนั้นเหมือนเป็นเพื่อนกันมากกว่าแฟน แต่ไม่ได้เอ่ยเรื่องความรู้สึกเชิงชู้สาวให้ได้ยิน

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ?”

“ทำไมเหรอ...นั่นสินะ ว่าแต่พุธยังพกไอ้พวงกุญแจรูปกัปตันอเมริกาอยู่ไหม?”

ความเงียบของเขาคงแทนคำตอบได้ดี นัยน์ตาของนลินฉายแววรู้ทัน ขณะเดียวกันก็แฝงความเห็นใจ

“ยังอยู่สินะ แสดงว่าตุ๊กตาตัวนั้นคงมีความหมายมาก เราจำได้ว่าพุธชอบหยิบมันออกมานั่งจ้องทีละนานๆ เลยถามไปครั้งนึงว่าได้มาจากไหนเพราะเห็นมันน่ารักดี พุธบอกว่าเพื่อนตอน ม.ปลายซื้อให้ เสร็จแล้วก็ตัดบทไปไม่พูดถึงอีกเลย แต่เราจำได้ว่าพุธเคยหลุดปากพูดถึงเพื่อนสนิทที่ชอบไปดูหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่ด้วยกัน ก็เลยเดาได้ว่าคนให้ตุ๊กตามาก็คงเป็นเพื่อนคนนั้นแหละ แล้วพุธก็คงสับสนในตัวเองเหมือนกันแต่ไม่รู้ตัว เราก็เลยเลิกถามแล้วคบกันมาจนใกล้จะเรียนจบ ตอนนั้นก็มั่นใจแล้วว่าไม่อยากหลอกตัวเองไปตลอด ก็เลยบอกพุธว่าเราคบกันแบบเพื่อนดีกว่า รู้ไหมเขาตอบว่าไง  ‘ก็ดีนะ หนิงจะได้เจอคนที่เหมาะสมกว่าเรา’ ดูพูดเข้าสิ จะรั้งกันไว้สักคำก็ไม่มี ทำยังกับรอให้เราบอกเลิกมาตลอดงั้นแหละ”

นลินเอ่ยกลั้วหัวเราะ อทิตยะจิบกาแฟโดยไม่ออกความเห็น ไมร่าที่ดูเหมือนกำลังฟังเพลงดึงหูฟังออกแล้วเชิดคางขึ้น

“นี่ถ้าได้เจอกันตั้งแต่ตอนนั้นนะ หนูจีบพี่หนิงไปก่อนแล้ว จะได้ไม่ต้องพิสูจน์ตัวเองให้เสียเวลา”

“สมัยพี่เรียนมหา’ ลัยหนูยังอยู่แค่ ม.ต้น ขืนคบกันพี่คงโดนข้อหาพรากผู้เยาว์จริงๆ สิคะ”

ไมร่าทำเสียงฮึดฮัด แต่ความจริงจังในแววตาและคำพูดทำให้อทิตยะรู้ว่าเธอคงไม่ได้คบกับนลินแค่เพราะเห็นว่าเป็นทอมที่เท่ดี นั่นทำให้ภาพลักษณ์ของเธอดีขึ้นเล็กน้อยในสายตาเขา

“อีกสิบนาทีจะแปดโมงแล้ว”

ชายหนุ่มปรายตามองนาฬิกาแล้วเอ่ยเตือน นลินหันไปพยักหน้าให้ไมร่าแล้วลุกขึ้นพร้อมกัน

“ฝากลาพุธด้วยก็แล้วกัน ถ้าโชคดีคงได้เจอกันอีก ยังไงก็ขอให้มีความสุข คบกันยืดๆ นะ”

นลินหยิบกระเป๋าของไมร่ามาถือ หลังโบกมือลาเธอก็โอบเอวสาวน้อยแล้วพาเดินไปที่ท่าเรือ อทิตยะมองตามครู่หนึ่งก่อนจะจิบกาแฟที่เย็นชืดจนหมด กระทั่งเห็นว่าได้เวลาที่ควรจะไปขึ้นเรือบ้างจึงปลุกพิงภพ

“คุณ ไปกันเถอะ จะได้รีบจองที่นั่งบนเรือ”

“หา? ...อืม...”

ถึงจะหน้าตาไม่ค่อยเต็มใจ แต่พิงภพก็ยอมลุกแล้วเดินตามไปรอขึ้นเรือแต่โดยดี พวกเขาเลือกนั่งในห้องติดเครื่องปรับอากาศชั้นล่าง การเดินทางกลับเกาะเต่ากินเวลาถึงสองชั่วโมงทำให้พิงภพผล็อยหลับอีกครั้ง กระทั่งใกล้ถึงฝั่งอทิตยะจึงสะกิดให้ตื่น

“นี่นอนเก็บชั่วโมงเหรอคุณ เรายังไม่เคยเห็นใครนิ่งเป็นหลับได้ขนาดนี้สักคน”

“การนอนน้อยไม่ดีต่อร่างกายนะ แถมสมองจะไม่แจ่มใสด้วย ถ้ามีเวลาก็ควรนอนไว้เยอะๆ สิ”

พิงภพตอบหน้าตายขณะเข้าแถวรอออกจากเรือ อทิตยะทำเสียงหึขึ้นจมูกจนโดนเขม่นใส่ พอเดินข้ามสะพานไม้มาถึงฝั่งแล้วพิงภพก็กระตุกชายเสื้อเขา

“เราหิวจนจะเห็นภาพซ้อนแล้วอะ เดี๋ยวแวะร้านพี่ขจรแล้วสั่งกับข้าวร้านข้างๆ ไปนั่งกินกันดีกว่า เสร็จแล้วค่อยไปบลูแซนด์”

“โอเค”

พวกเขาเดินไปเอารถมอเตอร์ไซค์ที่จอดฝากไว้แถวท่าเรือ จากนั้นก็ขับไปจอดหน้าร้านกาแฟของขจรซึ่งอยู่ก่อนถึงบลูแซนด์ พอขจรเห็นพิงภพก็ร้องทักอย่างอารมณ์ดี

“อ้าวเว้ย ไม่เจอกันตั้งหลายวัน นึกว่าลืมกันอีกแล้ว”

“ใครจะกล้าลืมพี่ขจร แค่ช่วงนี้งานเยอะผมเลยต้องรีบเมคมันนี่ก่อน”

“ฮ่าๆๆ เอ้ามา เมนูประจำใช่ไหม?”

“อื้อ เดี๋ยวผมขอเดินไปซื้อกับข้าวร้านข้างๆ มากินที่นี่นะ เต็มจะสั่งอะไร เดี๋ยวซื้อมาให้”

“เอาเหมือนคุณก็ได้”

พิงภพพยักหน้าแล้วก็เดินออกไปร้านอาหารตามสั่งที่อยู่ติดกัน อทิตยะมองตามก่อนจะหันกลับมาหาขจร และเห็นว่าอีกฝ่ายมองมาคล้ายกำลังพิจารณา แววตาของเขาจึงเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที

“ผมขออเมริกาโนเย็นครับ ไม่ใส่น้ำตาล”

“โอเค เลือกโต๊ะได้เลย เดี๋ยวผมยกไปให้”

อทิตยะเคยมาร้านนี้กับเอมี่ตั้งแต่ตอนที่เธอแวะมาหา เขาเลือกเดินไปนั่งที่โต๊ะญี่ปุ่นริมระเบียง จากนั้นก็เคาะบุหรี่ออกมาจุดสูบ ดูเหมือนร้านอาหารตามสั่งคงจะมีลูกค้าเยอะ เพราะไม่นานกาแฟที่สั่งไว้ก็มาเสิร์ฟก่อนพิงภพจะกลับมาเสียอีก

“นี่ครับ อเมริกาโนเย็น กับเมนูประจำของพุธ”

“อ้อ ของพุธนี่แช่ตู้เย็นไว้ก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวมันละลายก่อนเขามา”

อทิตยะตอบเสียงเรียบ ขจรมองหน้าเขา ก่อนจะยิ้มอ่อนๆ แล้วยกกาแฟของพิงภพกลับไป ไม่รู้ทำไมท่าทางเมื่อกี้ถึงทำให้ชายหนุ่มนึกฉุน

แววตาเมื่อกี้นี่มันอะไรกัน หรือพุธเคยมาเล่าเรื่องของเขาให้ฟัง?

“มาแล้วๆ โทษทีวันนี้คิวยาวมาก รอตั้งนานกว่าจะได้”

พิงภพเดินเข้ามาพร้อมถาดใส่ข้าวราดไก่ผัดพริกแกง ไข่ดาวและถ้วยน้ำซุปสองชุด อทิตยะขยี้ก้นบุหรี่กับที่รองแล้วช่วยยกจานอาหารออกจากถาด

“คุณนี่เหมือนป๋าเลย ชอบกินอาหารรสจัดตั้งแต่มื้อแรกของวัน”

“ป๋า?”

พอเห็นสีหน้างุนงงของพิงภพ อทิตยะก็นึกได้ว่านอกจากบุณฑริกก็คงไม่มีใครรู้ว่าเขาเรียกบูรพาว่าป๋า

“ก็เจ้าของบลูแซนด์ไง พี่ชายของน้าบุ๋มน่ะ ปกติคุณเรียกเขาว่าอะไรล่ะ?”

“อ๋อ หมายถึงพี่บู๊เหรอ ปีนึงเขากลับมาแค่ครั้งสองครั้งเอง เราเลยไม่รู้หรอกว่าเขาชอบกินอาหารแนวไหน อ้อ ขอบคุณฮะพี่ขจร”

ท้ายประโยคพิงภพหันไปขอบคุณขจรที่ยกกาแฟมาเสิร์ฟ อีกฝ่ายหัวเราะขณะตบไหล่เขาเบาๆ

“ไม่รู้น้ำมะพร้าวรอบนี้หวานพอรึเปล่านะ แต่ตอนนี้พุธกินอะไรก็คงหวานไปหมดแหละมั้ง”

พิงภพทำหน้าเหลอ อทิตยะชักสีหน้าไม่พอใจและถามขึ้นหลังขจรเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์

“สนิทกับเขามากเหรอ?”

“กับพี่ขจรน่ะเหรอ? ก็พอสมควรนะ มีช่วงนึงไปกินข้าวด้วยกันประจำ ถ้ามีเรื่องที่อยากบ่นแต่ไม่อยากให้คนที่บลูแซนด์รู้ก็มาคุยกับเขานี่แหละ”

พิงภพตอบพลางดึงยางรัดผมบนข้อมือออกมารวบผมด้านหน้าขึ้นมัดไว้กลางกระหม่อม เสื้อกล้ามตัวหลวมโคร่งกับกางเกงบอลขาสั้นอาจทำให้คนที่ไม่รู้มองเผินๆ นึกว่าเป็นกรรมกรต่างด้าว แต่ลุคเกรียมแดดแบบนี้เป็นเรื่องปกติสำหรับอทิตยะซึ่งอาศัยอยู่ออสเตรเลียมาหลายปี เพราะที่นั่นแสงแดดร้อนแรง แถมเมืองใหญ่ก็มักอยู่ติดชายหาดจนมีกิจกรรมทางทะเลเต็มไปหมด เขาพอจะรู้ว่าเทรนด์ความสวยหล่อของเมืองไทยต่างจากที่นั่นมาก แต่ค่านิยมเหล่านั้นดูจะไม่ส่งอิทธิพลกับคนตรงหน้าสักนิด บางทีการทำอาชีพที่ไม่เน้นภาพลักษณ์มากเท่าความสามารถก็คงมีส่วนทำให้พิงภพไม่แคร์สายตาใครด้วย

“มีแต่ฉันนี่แหละที่รู้ว่าวันพุธตรงสเป็กนาย ทั้งอายุมากกว่า แล้วก็นิสัยร่าเริงไม่มืดมน”

คำพูดของเอมี่ดังขึ้นในหัว ขณะเดียวกันคำถามของพิงภพถึงใครบางคนที่หายจากชีวิตไปนานแล้วก็คล้ายหมอกหนารบกวนจิตใจ เขาไม่รู้เลยว่าเคยละเมอถึงดิฐาถ้าพิงภพไม่บอก การได้เห็นเงาของใครบางคนที่คล้ายเจ้าตัวเมื่อไม่กี่วันก่อนยิ่งเหมือนลางร้ายที่ทำให้ไม่อาจวางใจกับความสุขในปัจจุบัน

“นี่ ไม่หิวเหรอ หรือว่าไม่ชอบไก่ผัดพริกแกง เดี๋ยวเราไปสั่งอย่างอื่นให้เอาไหม?”

คำถามของพิงภพดึงอทิตยะออกจากภวังค์ เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่านั่งกอดอกจ้องจานข้าวโดยไม่แตะอาหารสักคำ ส่วนพิงภพกินไปค่อนจานแล้ว

“เชื่อแล้วว่าคุณหิว นี่ไม่ได้เคี้ยวเลยสิท่า”

“จะบ้าเรอะ! เคี้ยวเว่ย แค่เคี้ยวคำละสองสามที”

พิงภพตอบพร้อมกับหัวเราะขำ อทิตยะนึกอยากเตือนว่าควรเคี้ยวให้ละเอียดแต่ก็หักใจเงียบ ต้องโทษเอมี่ที่เป็นเจ้าแม่ด้านโภชนาการและชีวจิต แถมยังชอบสอนคนรอบตัวจนเขาซึมซับตามมาด้วย

หลังทั้งคู่กินข้าวเสร็จแล้วก็จ่ายค่ากาแฟ ขจรบอกว่าจะยกถาดอาหารไปคืนให้เพราะจะไปสั่งข้าวกลางวันอยู่แล้ว พวกเขาก็เลยตัดสินใจจอดรถทิ้งไว้หน้าร้านแล้วลงเดินบนหาดทรายไปที่บลูแซนด์ ตลอดทางก็เจอนักท่องเที่ยวทั้งต่างชาติและชาวไทยขวักไขว่เต็มหาด

“คนเพียบเลย สมแล้วที่เป็นวันหยุดยาว ทุกทีหลังจบฟูลมูนก็จะมีคนมาเที่ยวที่นี่ต่อเยอะเหมือนกัน”

“เขาก็มาร่วมฉลองวันเกิดให้คุณไง ยินดีด้วยที่ยี่สิบหกแล้ว”

พิงภพย่นจมูก ยากจะบอกว่าเป็นกริยาแสดงความดีใจหรือไม่ยี่หระกับอายุที่เพิ่มขึ้น อทิตยะเห็นแล้วนึกอยากหันไปบีบจมูกรั้นๆ นั่น แต่แล้วทั้งสองก็ถูกเสียงแหลมเล็กเรียกความสนใจ

“อาพุธ อาพุธๆๆ !!!”

“เฮ่ย! ยิหวา!?”

ตรงหน้าพวกเขาทั้งสองคือเด็กหญิงในชุดว่ายน้ำแบบแขนยาวขายาวมิดชิด ผมถักเปียสองข้างส่ายตามจังหวะที่วิ่งย่ำทรายเข้ามาหา พิงภพยิ้มกว้างพลางย่อตัวลงอ้าแขนรับหลานสาวซึ่งพุ่งเข้ามากอด

“อาพุธไปไหนมา ยิหวามาถึงตั้งแต่เช้าแล้ว แต่เพื่อนอาพุธบอกว่าไปเที่ยวยังไม่กลับ”

“อาพุธก็เพิ่งกลับมาเนี่ยแหละ แล้วนี่ทำไมไม่บอกกันก่อนว่าจะมา จองห้องพักที่บลูแซนด์ไว้แล้วใช่ไหม?”

“ช่ายยย พ่อกับแม่นั่งกินกาแฟอยู่ แต่มาคราวนี้ยิหวามีเซอร์ไพรส์มาให้เป็นของขวัญอาพุธด้วยนะ”

เด็กน้อยเอ่ยเสียงแจ๋วพร้อมกับยิ้มแป้น นาทีนั้นเองที่อทิตยะสังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูงที่เดินตามยิหวามา ภาพตรงหน้าคล้ายกับลดความเร็วจนเป็นสโลว์โมชั่น พิงภพที่ตอนแรกมุ่นคิ้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแล้วทำหน้าแปลกใจ ขณะที่ผู้ชายผิวขาวตัวสูงเดินยิ้มอย่างดีใจเข้ามาหา

“พุธ ไม่เจอกันตั้งนาน”


++---TBC---++


A/N: นานๆ ทีตัวละครจะได้ออกหน้ากันครบชุด แล้วมาติดตามความคืบหน้ากันต่อในตอนหน้านะคะ ^^

ออฟไลน์ blackboy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
รอติดตามต่อออออ

ออฟไลน์ sexysunn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
สนุกอ่าาา ติดตามครับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด