บทที่ 2 หลังจบการดำน้ำภาคบ่ายเรือก็พาทุกคนกลับฝั่ง คนที่จะไม่ลงดำน้ำภาคค่ำต้องเอาอุปกรณ์ไปคืนที่ห้องเก็บของ ลูกทีมของพิงภพให้เขาช่วยเซ็นชื่อในสมุดพกของนักดำน้ำก่อนจะกล่าวลา หลังแยกกันเขาก็เดินไปล้างตัวที่ข้างสระ เปลี่ยนใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นแล้วเดินไปที่ห้องสำนักงาน
“มาลงเวลาฮะพี่บุ๋ม”
“ทำไมเร็วจัง? อ้อ กลุ่มของพุธไม่ลงไนต์ไดฟ์กันสินะ งั้นวันนี้ก็กลับไปพักเถอะ โทษทีที่ให้มาทำงานในวันหยุด”
“ไม่เป็นไร ถึงยังไงก็คงมานั่งเล่นที่นี่อยู่ดีเพราะไม่รู้จะไปไหน ว่าแต่แก้มเป็นไงบ้าง?”
“ได้นอนพักก็คงดีขึ้นแล้วมั้ง เพราะเพิ่งไลน์มาว่าพรุ่งนี้น่าจะทำงานได้”
“เหรอ...งั้นพรุ่งนี้มีนักเรียนใหม่หรือกลุ่มฟันไดฟ์ให้ผมหลีดมั่งไหมอะ”
บุณฑริกเบนสายตาจากคอมพิวเตอร์ พอเห็นสีหน้าของเขาก็หันมาหาทั้งตัว
“เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมหน้าตาดูหงอยๆ โฮมซิกเหรอ?”
“เปล่า แค่อยู่ดีๆ ก็เซ็ง เลยคิดว่าเอาเวลาที่เซ็งมาทำงานหาเงินดีกว่า”
“เฮ้ย เพิ่งเบญจเพสเองไม่ใช่เหรอ จะรีบเซ็งเซิงอะไร เจ๊อายุปูนนี้แล้วยังไม่เซ็งเลย”
บุณฑริกหัวเราะพลางหันไปดูคอมพิวเตอร์อีกครั้ง แต่พิงภพรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเช็กตารางงานให้ ถึงจะอายุสี่สิบกว่าแล้ว แต่บุณฑริกเป็นเวิร์คกิ้งวูแมนที่กระฉับกระเฉงและเอาใจใส่พนักงานทุกคน ตอนพิงภพมาเริ่มงานเมื่อสามปีก่อนก็ได้เธอช่วยแนะนำห้องเช่าและการใช้ชีวิตบนเกาะจนปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว
“วันพรุ่งนี้เต็มเพราะจัดกลุ่มลงตัวแล้ว เดี๋ยวพี่ลงชื่อพุธไว้วันมะรืนก็แล้วกัน ถ้ามีลูกค้ามาจะได้ยกให้เป็นคิวแรกเลย”
“ขอบคุณฮะ งั้นวันพรุ่งนี้ผมมานั่งเล่นแถวนี้ก็แล้วกัน เผื่อใครจะมีอะไรให้ช่วย”
“เผื่อมีอะไรให้ช่วยเหรอ...แป๊บนึง เหมือนจะมีอยู่นะ”
“หือ?”
พิงภพมองบุณฑริกที่ทำตาวาวเหมือนนึกอะไรออก เธอคลิกเมาส์สองสามทีก่อนจะดีดนิ้วดังเปาะ
“พอดีเลย จำที่เมื่อเช้าบอกว่ามีเอเจนซี่มาถ่ายโฆษณาได้ไหม? วันพรุ่งนี้เขาอยากไปถ่ายทำรอบๆ เกาะก็เลยจะขอคนของเราคนนึงไปช่วยแนะนำสถานที่ ตอนแรกพี่จะให้น้องในออฟฟิศไป แต่ถ้าพุธว่างก็ไปแทนหน่อยแล้วกัน”
“หา? พี่บุ๋มจะให้ผมไปเป็นไกด์เนี่ยนะ? ได้เงินรึเปล่า?”
“งานฟรีจ้ะ เอาน่า เกาะเรามันก็ไม่ได้ใหญ่โตมากมาย ดีกว่าอยู่ว่างๆ ไม่แน่อาจได้เข้าซีนเป็นตัวประกอบด้วยนะ”
“แหม ผมว่าแบบนั้นพี่บุ๋มเหมาะกว่าเยอะ เผื่อเข้าตาผู้กำกับแล้วได้ประกบคู่กับพระเอก”
“อู๊ยยย ถ้าเข้าตาผู้กำกับจริงฉันก็ไม่ได้มานั่งทำงานอยู่นี่แล้ว ตกลงจะทำไหมล่ะ ได้กินข้าวฟรีสามมื้อกับพวกทีมงานด้วยนะ”
คีย์เวิร์ดท้ายประโยคทำเอาพิงภพหูผึ่ง “ข้าวฟรีเหรอ งั้นทำก็ได้ ไม่ได้เงินแต่ไม่ต้องจ่ายค่าข้าวก็โอเค้”
“งั้นก็ตามนั้น พรุ่งนี้มาเจอทีมงานตอนเจ็ดโมงนะ จะได้กินข้าวเช้าแล้วก็บรีฟกับเขาให้เสร็จก่อนออกไป”
หลังตกลงกันเสร็จเรียบร้อย พิงภพก็นั่งคุยสัพเพเหระกับบุณฑริกก่อนจะออกจากสำนักงาน แต่เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงเรียก
“เฮ้พุธ ไปกินข้าวเย็นด้วยกันไหม?”
“มาริอุส? ลีด้วย? ฉันนึกว่าพวกนายไปลงไนต์ไดฟ์กันซะอีก”
พิงภพเดินเข้าไปหาเพื่อนครูสอนดำน้ำชาวบราซิลกับชาวจีนที่กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างสำนักงาน ทั้งสองพากันสูดควันอึกสุดท้ายก่อนจะขยี้ก้นบุหรี่ทิ้งถังขยะ
“กลุ่มของฉันขอเลื่อนเป็นคืนพรุ่งนี้ ส่วนของลีไม่มีคิวลงไนต์ไดฟ์ตั้งแต่แรกแล้ว”
“สเวนล่ะ? อ้อ ลืมไปว่าวันนี้หมอนั่นต้องประสานงานกับเรือทั้งวัน”
สเวนเป็นผู้ช่วยครูสอนดำน้ำชาวสวีเดนซึ่งอายุมากกว่าพวกเขาเพราะปีนี้ก็ 29 แล้ว ในบรรดาครูสอนดำน้ำทั้งหมด สามคนนี้ค่อนข้างสนิทกับพิงภพมากที่สุด
“แล้วจะกินอะไรกันดี? อาหารตามสั่ง? พิซซ่า? หมูกระทะ?”
“ถ้านายกลับไปบราซิลเมื่อไหร่ต้องคิดถึงหมูกระทะแหงๆ”
“แต่พิซซ่าก็ดีนะ เฮ้ย! วันนี้ร้านของเปาโลมีโปรโมชั่นหนึ่งแถมหนึ่งนี่นา สามคนกินสองถาดก็คุ้มอยู่”
ลีเอ่ยเมื่อนึกขึ้นได้ ทั้งสามจึงพากันเดินไปที่ร้านอาหารอิตาเลียนเก่าแก่ไม่ไกลจากรีสอร์ต โดยรอบเต็มไปด้วยผับบาร์และร้านอาหารซึ่งคึกคักไปด้วยลูกค้า
“ช่วงไฮซีซันนี่ก็ดีอย่าง เวลาอุดหนุนร้านไหนแล้วไม่ค่อยรู้สึกผิดกับร้านอื่น”
มาริอุสเอ่ยหลังจากนั่งลง เปาโลซึ่งเป็นเจ้าของร้านเดินมารับออเดอร์จากพวกเขาโดยตรง ชายสูงวัยเปิดร้านอาหารบนเกาะร่วมกับภรรยาชาวไทยได้สิบกว่าปีแล้ว เป็นหนึ่งในร้านขึ้นชื่อที่นักท่องเที่ยวต้องอุดหนุนให้ได้ถ้ามาเกาะเต่า
เบียร์สามขวดถูกยกมาเสิร์ฟเป็นอย่างแรก ตามด้วยพิซซ่าซีฟู้ดกับเป๊ปเปอโรนีอย่างละถาด พิงภพหยิบพิซซ่าชิ้นหนึ่งขึ้นกินพลางชวนคนอื่นคุย
“พรุ่งนี้พวกนายทำอะไรกันบ้าง?”
“ของฉันมีสอนนักเรียนใหม่ที่เป็นคู่ฮันนีมูนจากไต้หวัน นายล่ะมาริอุส?”
“มีสอนเหมือนกันแต่เป็นคอร์สแอดวานซ์ให้กลุ่มที่มาจากสเปน ช่วงนี้พวกครูที่พูดสเปนได้ไม่อยู่สักคน ดีนะที่แม่เคี่ยวเข็ญให้ฉันเรียนภาษาสเปนแต่เด็กก็เลยใช้ทำงานได้”
“อ้อ เพราะปกติคนบราซิลใช้ภาษาโปรตุเกสนี่นะ ของฉันสิต้องไปเป็นไกด์ให้เอเจนซี่ที่จะถ่ายโฆษณาวันพรุ่งนี้”
“พวกที่ขนอุปกรณ์อะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมดน่ะเหรอ ฉันกำลังสงสัยพอดีว่ามาทำอะไรกัน”
พวกเขากินกันไปคุยกันไป ระหว่างนั้นเปาโลแวะมานั่งคุยด้วยครู่หนึ่ง จนเมื่อทั้งสามอิ่มก็จ่ายเงินแล้วแยกย้ายกัน อพาร์ตเมนต์ที่ลีกับมาริอุสเช่าอยู่ไม่ไกลจากร้านของเปาโล จึงมีแต่พิงภพที่ต้องเดินกลับไปเอารถมอเตอร์ไซค์ที่หน้ารีสอร์ต
ชายหนุ่มล้วงกุญแจออกมาเสียบรถมอเตอร์ไซค์ แต่บิดแล้วสตาร์ทไม่ติด เขามุ่นคิ้วแล้วดึงกุญแจออกมาเสียบใหม่ แต่ไม่ว่าจะลองสตาร์ทด้วยมือหรือเท้าก็ไม่เกิดอะไรขึ้น หลังพยายามอยู่หลายครั้งก็มั่นใจว่ารถมีปัญหา
ให้มันได้อย่างนี้สิ ตอนเช้าก็โดนโทรปลุกมาทำงาน พรุ่งนี้ก็ต้องไปเป็นไกด์ฟรีให้คนแปลกหน้า คืนนี้ก็ยังต้องเดินกลับหออีกเหรอเนี่ย...
เหงื่อเม็ดใสเริ่มซึมบนหน้าผาก ถึงห้องเช่าของเขาจะอยู่ห่างในระยะขับรถแค่สิบนาที แต่ถ้าเดินเท้าก็มากกว่าครึ่งชั่วโมงเพราะเป็นทางขึ้นเนิน อีกทางเลือกคือโบกรถสองแถวซึ่งเริ่มต้นที่สามร้อยบาท และเขาไม่ยอมเสียเงินขนาดนั้นแน่ๆ
“เฮ้อออ ไปขอค้างกับลีก็ได้วะ”
ชายหนุ่มบ่นหลังความพยายามสตาร์ทรถอีกครั้งไม่เป็นผล เขาเหลียวมองรถมอเตอร์ไซค์ที่อยู่ถัดไปไม่ไกลเมื่อได้ยินเสียงสตาร์ท แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นว่าคนขับคือเจ้าคนข้างห้องผู้ไร้มนุษยสัมพันธ์
ที่แย่กว่านั้น...หมอนั่นก็หันมาเห็นเขาแล้วด้วย
ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน อึดใจหนึ่งอีกฝ่ายก็ทำลายความเงียบก่อน
“รถเสีย?”
พิงภพใช้เวลาครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจว่าถูกถาม เพราะเคยนึกว่าหมอนี่คงไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้าเสียอีก
“อือ สตาร์ทไม่ติด”
เขาตอบด้วยโทนเสียงไม่เป็นทางการเหมือนกัน จากลักษณะท่าทางและการใช้คำพูด พิงภพเดาว่าอีกฝ่ายน่าจะอายุน้อยกว่าที่เคยคิดไว้
“กำลังจะกลับพอดี จะมาด้วยกันก็ได้”
คนพูดเอ่ยพลางถอยรถออกจากช่องที่จอด พิงภพยังคงยืนอึ้ง จนเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นนั่นล่ะ เขาถึงค่อยรู้สึกตัวแล้วเดินเข้าไปหา
“ขอบคุณ เอ่อ...แล้วไม่มีคนอื่นไปด้วยเหรอ?”
“ไม่มีนี่ ก็อยู่คนเดียวประจำ”
แล้วไอ้ที่เห็นเมื่อเช้านั่นวิญญาณเจ้าที่หรือไง...พิงภพคิดพลางก้าวขึ้นคร่อมเบาะหลัง วันนี้เขาฝากกระเป๋าอุปกรณ์ไว้ที่สำนักงาน บนตัวก็เลยมีแค่เป้ใส่ของใบเล็ก
“ขยับเข้ามาหน่อยก็ได้ น้ำหนักมันไม่สมดุล”
พอโดนบอกอย่างนั้นพิงภพเลยต้องกระถดตัวไปข้างหน้า แต่อานรถคันนี้เป็นแบบเชิดท้ายสูงและไม่มีราวให้จับ การพยายามจะนั่งให้ปลอดภัยโดยไม่โดนตัวอีกฝ่ายจึงท้าทายพอสมควร
“นี่ไม่เคยซ้อนมอเตอร์ไซค์เหรอ?”
“หา? เคยดิ”
“งั้นไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ ถึงจับเอวก็ไม่กัดหรอก ไม่ซ้อนให้ดีเดี๋ยวก็หงายหลัง”
“เหวอ!”
พิงภพรีบคว้าเอวคนข้างหน้าเมื่อรถพุ่งออกโดยไม่ให้สัญญาณ เสียงลมที่พัดผ่านหูหวีดหวิวจนแทบไม่ได้ยินเสียงอื่น แต่ก็มั่นใจจากไหล่ที่สั่นนิดๆ ว่าหมอนี่กำลังหัวเราะ
กวนประสาทแบบนี้คงเด็กกว่าแน่นอน นี่ถ้าไม่กลัวรถคว่ำจะจี้เอวให้สักที
ชายหนุ่มคิดอย่างหมั่นไส้ หลังขับขึ้นเนินจนมาถึงโรงจอดรถของอพาร์ตเมนต์ พิงภพก็จี้เอวอีกฝ่ายจริงๆ หลังก้าวลงจากรถที่จอดสนิท
“เฮ่ย! เล่นอะไรเนี่ย!”
“อ้าว ถ้าเงียบไว้ก็ไม่รู้นะเนี่ยว่าบ้าจี้”
พิงภพหัวเราะเมื่อเห็นคู่สนทนายกมือกอดอกพลางทำหน้ามุ่ย แต่ที่ไม่คาดว่าจะได้เห็นคือริมฝีปากที่ยื่นอย่างไม่พอใจนั้นเหยียดออกเป็นรอยหยักยิ้ม ถึงจะเป็นยิ้มที่น้อยเสียจนอยากใช้แว่นขยายส่อง
“เอาเถอะ ตรงนี้ไม่มีคนอื่นเห็น จะยกให้สักทีนึง”
“โทษๆ ยังไงก็ขอบคุณมากที่อุตส่าห์รับมาด้วย ไม่นึกว่ารถจะเสียเพราะเมื่อเช้ายังวิ่งได้ปกติอยู่เลย”
“ไม่เป็นไร ก็แค่บังเอิญไปจอดอยู่แถวนั้นเหมือนกัน”
อีกฝ่ายพูดพลางใช้โซ่คล้องรถไว้กับรั้ว พิงภพรู้สึกผิดคาด ถึงจะพูดไม่ได้ว่าคนข้างห้องของเขา ‘เฟรนด์ลี่’ แต่ก็ไม่ถึงกับไร้มนุษยสัมพันธ์ ขณะที่คิดอย่างนั้น คนตัวสูงกว่าก็เดินลิ่วไปที่บันไดอพาร์ตเมนต์จนเขาต้องรีบตาม
“นี่ พรุ่งนี้ต้องไปไหนหรือเปล่า จะว่าอะไรไหมถ้าจะขอยืมรถ?”
“ห้ะ?”
คนที่เดินนำหันมามุ่นคิ้วใส่ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้พิงภพคงไม่คิดจะถาม แต่หลังได้คุยกันเมื่อไม่กี่อึดใจก่อน เขาก็มั่นใจว่าหมอนี่ไม่ใช่คนแล้งน้ำใจ
“ก็อย่างที่เห็นว่ารถเราเสีย แต่ว่าพรุ่งนี้ต้องไปทำงานตั้งแต่เช้า พวกร้านมอเตอร์ไซค์ให้เช่ากว่าจะเปิดกันก็เก้าโมงสิบโมง ขอยืมไม่เกินหนึ่งวันหรอก เพราะถ้าต้องเอารถเข้าอู่ก็คงเช่าคันอื่นมาใช้แทน”
พิงภพมองคนที่ทอดสายตาไปทางอื่นเหมือนชั่งใจ อึดใจหนึ่งใบหน้าที่ดูไม่ค่อยรับแขกก็หันกลับมา
“พรุ่งนี้ต้องไปทำงานกี่โมง?”
“นัดไว้เจ็ดโมง แต่กะว่าจะไปเร็วกว่านั้นหน่อยเพราะจะได้กินข้าวก่อน”
“นัดเช้าเป็นบ้า แต่ให้ยืมไม่ได้หรอกเพราะทางนี้ก็ต้องใช้รถ”
ก็คิดอยู่แล้วว่าคงไม่ได้...พิงภพไหล่ตกลงนิดหนึ่ง แต่แล้วก็เลิกคิ้วเมื่อได้ยินประโยคถัดไป
“เอาเป็นว่าพรุ่งนี้จะพาไปส่งก็แล้วกัน หกโมงครึ่งเจอกันที่รถ”
พูดจบเจ้าคนหน้ามุ่ยก็เดินดุ่มๆ ขึ้นบันได พิงภพเสียอีกที่ยืนอยู่กับที่ด้วยความเหวอ แต่พอตั้งตัวได้ก็รีบสาวเท้าตามไปคว้าประตูห้อง
“ขอบคุณนะ งั้นพรุ่งนี้เช้าเจอกัน”
“อือ”
คนตอบดึงประตูปิดโดยไม่มองหน้าเขา แต่เหตุการณ์ในคืนนี้ทำให้พิงภพเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับหนุ่มข้างห้องไปมาก เพราะถึงเจ้าหนุ่มยิ้มยากคนนี้จะนิสัยดิบไปหน่อย พูดจามะนาวไม่มีน้ำไปนิด แต่กลับมีน้ำใจอย่างไม่น่าเชื่อ ที่สำคัญได้เพื่อนใหม่อีกคนก็ย่อมดีกว่าคนข้างห้องที่ไม่พูดไม่จากันอยู่แล้ว
++------++
เช้าวันถัดมาพิงภพตื่นตั้งแต่หกโมง เขาล้างหน้าแปรงฟันอย่างไม่รีบร้อน พอใกล้จะหกโมงครึ่งก็เดินผ่านหน้าห้องของเจ้าหนุ่มยิ้มยากลงไปชั้นล่าง และเห็นว่ามอเตอร์ไซค์ยังโดนคล้องโซ่ไว้เหมือนเมื่อคืน
ชายหนุ่มมองชื่อร้านและหมายเลขที่ติดอยู่บนรถ มอเตอร์ไซค์คันนี้ก็เป็นมอเตอร์ไซค์เช่าเหมือนของเขา นักท่องเที่ยวและคนที่มาทำงานบนเกาะส่วนใหญ่มักเช่ามอเตอร์ไซค์เพราะเป็นวิธีเดินทางที่ง่ายและประหยัดที่สุด คนที่ขับรถใหญ่กว่านั้นมีแต่คนท้องถิ่นกับโรงแรมที่ต้องรับส่งลูกค้า ดูจากบุคลิกของคนข้างห้อง เขาเชื่อว่าถ้าเจอกันที่กรุงเทพฯ หมอนั่นคงจะขับบิ๊กไบค์หรือซุปเปอร์คาร์ พิงภพโตมาในร้านสักตั้งแต่เด็กย่อมดูออก ลวดลายที่อยู่บนตัวผู้ชายคนนั้นเป็นงานออกแบบเฉพาะโดยช่างฝีมือดีที่ราคารวมอาจจะถึงแสน แถมเสื้อผ้าและนาฬิกาที่ใช้ก็ไม่ใช่ยี่ห้อบ้านๆ ถึงเจ้าตัวจะไม่ทำท่าโอ้อวดก็ตาม
ว่าแต่หมอนั่นจะมาอยู่ที่เกาะนานแค่ไหนนะ เพิ่งเรียนจบก็เลยมาเที่ยว? กำลังรอเปลี่ยนงานก็เลยมาพักร้อน? หรือตั้งใจจะมาหางานทำที่นี่เป็นเรื่องเป็นราว?
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ พิงภพซึ่งนั่งรอบนแคร่ใต้ต้นไม้เริ่มกระวนกระวาย พอหกโมงห้าสิบเขาก็ตัดสินใจเดินกลับขึ้นไปชั้นบน แต่พอจะเคาะประตูถึงนึกได้ว่ายังไม่รู้ชื่อเจ้าของห้อง
เอาวะ ยังไงก็ลองดูก่อน...
“ก๊อกๆ”
ไม่มีเสียงตอบหลังการเคาะครั้งแรก พิงภพเงี่ยหูกับประตูก็ไม่ได้ยินอะไร เขาพ่นลมหายใจแล้วลองเคาะอีกครั้ง คราวนี้ได้ผลเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าก่อนประตูจะถูกกระชากเปิด
“เอ่อ...โทษทีที่ปลุก แต่ว่านี่จะเจ็ดโมงแล้ว”
ชายหนุ่มพยายามยิ้มสู้เสือแม้ในใจจะเริ่มลีบ สภาพของคนที่ยืนอยู่หลังประตูบอกชัดเจนว่าเพิ่งตื่น ผมเผ้ายุ่งกระเซิง คิ้วหนาขมวดมุ่น นัยน์ตาหยีเหมือนไม่พร้อมรับแสงยามเช้า รอยสักที่พาดบนคอและบ่า ยาวลงมาตามต้นแขน แผ่นอกและสีข้างดึงดูดให้มองตามโดยไม่ตั้งใจ สุดท้ายก็สะดุดเข้ากับกางเกงบ็อกเซอร์เข้ารูปที่แทบปิดอาการเคารพธงชาติไม่มิด
พิงภพรีบดึงสายตาขึ้นทันที แต่พอเจ้าคนหน้าง่วงส่งเสียงหึขึ้นจมูกก็ร้อนผิวแก้มไปหมด
“ยิ้มทำไม ไม่ได้ตั้งใจจะมองสักหน่อย”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ ถึงมองจนตาหลุดก็เอาไปไม่ได้อยู่แล้ว”
คนพูดเอ่ยด้วยน้ำเสียงกวนๆ พลางยกมือลูบขอบกางเกงเหมือนตั้งใจจะดึงสายตาเขาลงไปอีก พิงภพเริ่มสองจิตสองใจระหว่างเดินหนีกับฮุกหมัดขวาใส่เจ้าคนหน้าด้านนี่สักที
“ถ้าไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร ขอโทษที่ปลุก กลับไปนอนต่อเถอะ”
“เดี๋ยว แล้วจะไปยังไง?”
น้ำเสียงของคนถามดูตื่นตัวมากขึ้น พิงภพเลยโบกมือขณะก้าวขาไปทางบันได
“เดี๋ยวเรียกรถสองแถวเอา ถ้าไม่ใช่นักท่องเที่ยวเขาคงลดราคาให้หน่อย”
“จะลดให้ได้สักกี่บาท ลงไปรอที่รถก่อน เดี๋ยวใส่เสื้อผ้าแล้วตามไป”
“ก็บอกว่าไม่ต้อง...”
ประตูห้องปิดก่อนเขาจะพูดจบ พิงภพเลยต้องเดินลงไปรอข้างล่าง คราวนี้ไม่ต้องรอนานเพราะเจ้าของรถแทบจะตามมาติดๆ ท่าทางคงจะหยิบเสื้อกับกางเกงมาใส่โดยไม่ล้างหน้าแปรงฟัน พอมาถึงรถก็ไขกุญแจที่คล้องโซ่แล้วสตาร์ทรถทันที
“ขึ้นมาเร็วสิ ชักช้าเดี๋ยวก็ยิ่งสาย”
แล้วสายเพราะใครล่ะโว้ย! พิงภพคิดแต่ก็รีบก้าวขึ้นซ้อน ความเคยชินจากเมื่อคืนทำให้นั่งใกล้อีกฝ่ายโดยไม่ต้องเตือน ขณะรถวิ่งออกมาบนถนนใหญ่ ลมที่พัดกรูก็พากลิ่นแชมพูกรุ่นเข้าจมูก พิงภพเพิ่งตระหนักว่าต้นขาของเขาแนบชิดกับสะโพกของคนข้างหน้าจนแทบไม่มีที่ว่าง แต่จะขยับตัวหนีระหว่างรถวิ่งก็ทุลักทุเลพิกล
“เมื่อเช้าขอโทษนะที่ไปปลุก” ...แก้เก้อด้วยการชวนคุยแล้วกัน
“ไม่เป็นไร เราออกตัวเองนี่ว่าจะพาคุณไปส่ง พอดีเมื่อคืนลืมตั้งนาฬิกาก็เลยหลับเพลินไปหน่อย”
สรรพนามที่อีกฝ่ายใช้ชวนให้รู้สึกทะแม่ง พิงภพถึงนึกได้ว่าควรจะแนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการสักที
“นี่ ชื่ออะไรน่ะ?”
“อยู่ห้องติดกันมาเป็นอาทิตย์แล้วเพิ่งอยากรู้เหรอ?”
“เอ้า ก่อนหน้านี้เคยคุยกันซะที่ไหน ที่ถามเพราะจะได้เรียกถูก เราชื่อพุธ ทำงานเป็นครูสอนดำน้ำที่บลูแซนด์”
“อันนั้นรู้ ก็เห็นใส่เสื้อยืดรีสอร์ตอยู่ทุกวัน”
อีกฝ่ายพูดจบแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ พิงภพไม่อยากเซ้าซี้ก็เลยเงียบตามจนกระทั่งรถไปจอดที่หน้ารีสอร์ต
“ขอบคุณ...”
ตอนนี้เจ็ดโมงสิบห้าแล้ว เสียงเพลง ‘It’s My Life’ ดังจากโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงจนพิงภพต้องรีบหยิบออกมาดู พอเห็นชื่อบุณฑริกก็รู้ทันทีว่าโดนโทรตาม
“เต็ม”
“ฮะ??”
พิงภพชะงักฝีเท้าที่กำลังจะก้าวเข้ารีสอร์ต คนที่ยังนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์มองเขาพลางขมวดคิ้ว “ก็ชื่อเราไง เมื่อกี้ถามไม่ใช่เหรอ กำลังบอกอยู่นี่ไงว่าชื่อเต็ม”
ลำแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามและรอยสักยกขึ้นกอดอก พิงภพเริ่มเดาได้ว่าเวลาหมอนี่ไม่พอใจจะทำตัวเหมือนเด็กน้อยขี้โมโห ความเอ็นดูทำให้เผลอยื่นมือไปตบไหล่ก่อนจะทันได้ห้ามตัวเอง
“โอเค ขอบคุณนะเต็มที่มาส่ง แล้วไว้ค่อยเจอกัน”
“ต้องให้มารับหลังเลิกงานด้วยหรือเปล่า?”
เสียงเพลงของบอง โจวี่ยังดังไม่หยุด พิงภพยกนิ้วชี้ขึ้นเป็นสัญญาณขอเวลาพลางกดรับโทรศัพท์ “ฮัลโหล โทษทีพี่บุ๋ม รถผมเสียแต่นี่มาถึงรีสอร์ตแล้ว พวกทีมงานยังอยู่กันใช่ไหม? โอเค กำลังจะเดินเข้าไปแล้วครับ บอกเขาว่ารอแป๊บนึง”
ชายหนุ่มกดตัดสายแล้วมองหน้าคนข้างห้อง สีหน้าไร้อารมณ์ทำให้เดาไม่ถูกว่ากำลังโดนประชดหรือเพราะมีน้ำใจจริงๆ กระทั่งเห็นคิ้วหนาเลิกขึ้นถึงรู้ว่าต้องตอบ
“ยังไม่รู้เลยว่าวันนี้จะเลิกกี่โมง แต่คงไม่รบกวนล่ะ เดี๋ยวฝากคนที่ออฟฟิศเอารถไปซ่อมให้ แล้วก็คงเช่าคันใหม่จากร้านแถวนี้แหละ”
“งั้นก็ตามนั้น”
ร่างสูงเบนหัวรถแล้วขับจากไป พิงภพมองตามกระทั่งรถของอีกฝ่ายพ้นหัวมุม ก่อนจะยักไหล่แล้วรีบไปที่ห้องอาหารเพราะสายมากแล้ว
++------++
อทิตยะขับมอเตอร์ไซค์ตรงกลับอพาร์ตเมนต์ หลังจอดรถและคล้องโซ่กับรั้วก็เดินขึ้นห้อง เหงื่อที่ซึมเพราะแดดทำให้รู้สึกเหนอะหนะจนต้องอาบน้ำ พอเช็ดตัวเสร็จก็ใช้ผ้าพันเอวแล้วเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่ชาร์จไว้ข้างเตียง
ภาพหน้าจอบอกว่าแบตเตอรี่เต็มแล้ว เขาดึงสายชาร์จออกแล้วก็เปิดเครื่อง ความจริงเมื่อคืนวานเขาไม่ได้ลืมตั้งนาฬิกาปลุก แต่เพราะรำคาญที่มีสายโทรเข้าไม่หยุดก็เลยปิด จากนั้นก็นอนหลับยาวจนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูเมื่อเช้านั่นแหละ
โดยปกติเขาไม่ใช่คนชอบแสดงน้ำใจเรี่ยราด การที่ไปจอดมอเตอร์ไซค์แถวบลูแซนด์เมื่อเย็นวานและได้พาคนข้างห้องกลับมาเป็นเรื่องบังเอิญโดยแท้ ถ้าเขาไม่หันไปเห็นหมอนั่นทำตาละห้อย และถ้าไม่ใช่เพราะเห็นหน้ากันทุกวันเพราะห้องอยู่ติดกันก็คงไม่เสนอตัว แต่ที่คิดไม่ถึงคือหมอนั่นจะกล้าแหย่เขาเล่น ที่ผ่านมาคนที่เพิ่งรู้จักกันมักไม่ค่อยกล้ายุ่งกับเขาเพราะใบหน้าไร้อารมณ์และรอยสักเต็มตัว พอเจอคนที่ไม่สนใจเกราะเหล่านี้ก็เลยแปลกใจอยู่บ้าง
เอาเถอะ...เห็นว่าเป็นพนักงานในสังกัดของป๋าหรอก...
ชายหนุ่มหยิบหมอนขึ้นพิงหัวเตียงแล้วก็เอนตัวกึ่งนอน พอเลื่อนจอมือถือแล้วเห็นว่ามีมิสคอลยี่สิบกว่าสายจากหมายเลขเดียวกันก็ไล่ลบออกจากประวัติการโทร ยังไม่ทันจะลบได้หมด เครื่องก็สั่นพร้อมกับหมายเลขเดิมสว่างวาบขึ้น
ให้ตายสิ ถ้าไม่คุยสักทีก็จะไม่เลิกโทรสินะ...
อทิตยะสูดหายใจลึกก่อนจะกดรับสาย เขาฟังคู่สนทนาส่งเสียง “ฮัลโหล ฮัลโหล” อยู่สี่ห้าครั้งถึงตอบเสียงเนือย
“อือ”
“เต็ม? นี่หายไปอยู่ไหน? รู้ไหมว่าพ่อโทรหายูกี่ครั้งจนนึกว่าเกิดอะไรขึ้นซะอีก”
“จะเกิดอะไรได้ ผมออกจะหัวแข็งตายยาก แข่งรถมาหลายหนก็ยังไม่เคยเจ็บหนักสักที”
“นี่พ่อซีเรียสนะ แล้วตอนนี้อยู่ไหน ไม่ได้อยู่กรุงเทพใช่ไหม? ยามที่คอนโดบอกว่าไม่เห็นยูมาเป็นอาทิตย์แล้ว”
“ก็ตามที่เขาบอก ผมเบื่อก็เลยอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ไม่แปลกนี่”
“พ่อรู้ว่ายูชอบสันโดษ แต่จะไปไหนมาไหนก็บอกกันหน่อย ไม่ใช่คิดว่าโตแล้วทำอะไรก็ได้ คุณหล้าเขาก็เป็นห่วง”
ชื่อคนถูกอ้างทำเอาชายหนุ่มเสียงแข็งขึ้น เขาพยายามกดคลื่นอารมณ์ร้อนระอุให้ย้อนกลับลงไปแล้วตอบเสียงนิ่ง “เอาเป็นว่าผมสบายดี ยังไม่ตายก็แล้วกัน ถ้าไม่มีอะไรอีกผมจะวางสายล่ะ เดี๋ยวถ้าจะกลับผมก็กลับเองนั่นแหละ”
“เดี๋ยวก่อน เต็ม...”
อทิตยะกดตัดสาย ใจหนึ่งก็อยากเขวี้ยงโทรศัพท์มือถือระบายอารมณ์ แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กวัยรุ่นอายุสิบสี่สิบห้าที่ไม่เห็นคุณค่าของข้าวของ หลังเดินออกไปสูบบุหรี่ที่ระเบียงจนหมดไปสองมวน เขาก็หยิบโทรศัพท์มาไล่หาหมายเลขที่ต้องการ
“เอมี่? ตื่นหรือยัง? พอดีกำลังเซ็งๆ ถ้าวันนี้ไม่มีอะไรทำก็มาเจอกันหน่อย”
“ฮะ? นายโทรปลุกฉันแต่เช้าเพราะเซ็งเนี่ยนะ? เออๆ จะให้ไปเจอที่ไหนก็ไลน์มาแล้วกัน”
คู่สนทนาตอบอย่างง่วงงุนก่อนจะตัดสาย อทิตยะหยิบบุหรี่ขึ้นจุดสูบอีกมวน เขาปรายตาไปทางระเบียงห้องที่อยู่ติดกัน เสื้อยืดสกรีนชื่อบลูแซนด์รีสอร์ตหลากสี รวมทั้งกางเกงบ็อกเซอร์หลายตัวแขวนตากอยู่บนราว ยิ่งมองก็ยิ่งนึกถึงคนที่มาเคาะประตูเมื่อเช้า ความพยายามกลบเกลื่อนสีหน้าตอนเห็นสรีระของเขาทำให้รู้สึกอยากแกล้ง อทิตยะไม่ได้เจอคนที่หน้าแดงเพราะเขามานานแล้วเลยอดจะแหย่ไม่ได้
ชายหนุ่มพ่นเสียงหึทางจมูก หลังคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พิมพ์ชื่อสถานที่นัดพบให้หญิงสาวที่เคยมานอนร่วมห้อง ก่อนจะขยี้ก้นบุหรี่แล้วเดินกลับเข้าไปแต่งตัว
++---TBC---++
A/N: ช่วงแรกนี้กะว่าจะลงตอนใหม่ทุกเย็นวันพฤหัส มาทำความรู้จักตัวละครไปด้วยกันนะคะ ถ้าใครกำลังติดตามก็มาลงชื่อกันได้น้า ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ล่วงหน้าด้วยค่ะ