ตะวันพิงภพ บทที่ 11สายลมยามดึกพัดแรงแต่เย็นสบายมากกว่าหนาว พิงภพฟังเสียงคลื่นกระทบหาดทรายและท้องเรือที่จอดทอดสมอด้วยความรู้สึกปลอดโปร่ง ถึงจะได้ยินเสียงนี้มาตลอดสามปีก็ไม่เคยเบื่อ แต่สิ่งที่ทำให้คืนนี้ต่างจากคืนอื่นๆ คือการออกมาเดินเล่นบนหาดซึ่งเงียบสงบห่างจากบลูแซนด์ และยิ่งไปกว่านั้น...คือการเดินจูงมือกับผู้ชายที่เมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนยังเป็นคนแปลกหน้า
ถ้าหากไปบอกใครคงไม่มีคนเชื่อ ขนาดพิงภพก็ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าไม่ได้ละเมอ แต่ไออุ่นจากนิ้วมือที่เกาะเกี่ยวกันตอกย้ำว่าเขากำลังจูงมือกับผู้ชายที่ชอบทำหน้าไม่รับแขก พูดน้อย รอยสักเต็มตัว แถมเพิ่งจะวิจารณ์เขาจนเสียศูนย์เมื่อไม่กี่วันก่อน แต่วันนี้กลับทำตัวเป็นคนดี นอกจากจะมาขอโทษถึงห้อง ยังนึกคึกอะไรไม่รู้ถึงชวนมาเดินเล่นเอาดึกดื่นแบบนี้
จะอย่างไรก็ตาม คนที่บ้าบอยิ่งกว่าคงจะเป็นเขาที่ตอบรับโดยไม่เสียเวลาคิด แถมตอนลงจากมอเตอร์ไซค์ก็ยังจะยื่นมือไปให้จูง อย่างกับย้อนไปเป็นเด็กห้าขวบที่เวลาไปไหนต้องจับมือใครสักคน พีรัชยังเคยแซวว่าเขาติดคนอื่นง่ายเพราะเป็นลูกคนสุดท้อง ครั้นจะเถียงก็ไม่เต็มปากในเมื่อเขาเป็นน้องเล็กของบ้านจริงๆ
“เอาหน่อยไหม?”
เสียงของคนข้างตัวดึงพิงภพให้หันไปหา เขามองขวดเบียร์ที่ถูกยื่นให้แล้วก็ช้อนตาขึ้นมองอทิตยะ
“ขออึกเดียวแล้วกัน ก่อนวันที่จะต้องดำน้ำตอนเช้าไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์เยอะ”
พิงภพรับขวดเบียร์มาจิบแล้วส่งคืนโดยไม่หยุดเดิน สองมือที่กุมกันของพวกเขาเป็นเพียงการเกี่ยวนิ้วหลวมๆ แต่ความรู้สึกอุ่นใจทำให้ไม่อยากปล่อยมือ
หมอนี่ก็จะคิดว่าเขาเป็นพวกขี้อ้อนเหมือนที่เฮียเคยแซวไหมเนี่ย...
“หือ...ดาวตก”
“หา? ไหนๆ”
“เมื่อกี้เห็นแว้บๆ ตรงขอบฟ้าทางโน้น เดี๋ยวก็มีอีกมั้ง”
อทิตยะตอบพลางใช้มือข้างที่ถือขวดเบียร์ชี้ไปบนฟ้า ทั้งสองต่างหยุดฝีเท้าแล้วยืนรอ สายลมปะทะหน้าและเสื้อจนลู่ไปกับตัว บนผืนน้ำไกลออกไปมีแสงของเรือประมงสว่างเป็นจุดๆ เสียงดนตรีคึกคักจากหาดอื่นลอยคลอเคลียมากับเสียงลม
จะว่าไป...เขาก็ไม่ได้เดินเล่นริมทะเลกับใครบางคนมานานแล้วนี่นะ...
พิงภพคิดพลางเหลือบมองคนข้างๆ เมื่อหันกลับไปมองท้องฟ้าอีกครั้งก็เขย่ามืออย่างตื่นเต้นเพราะเห็นดาวตกสองดวงติดต่อกัน หลังผ่านไปครู่หนึ่งอทิตยะก็เปรยขึ้นมา
“นี่...ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”
“อื้อ?”
พิงภพตอบรับ แต่คนถามกลับเงียบไปอึดใจใหญ่ก่อนจะเปิดปากอีกครั้ง
“คุณเคยมีแฟนมาก่อนหรือเปล่า?”
มันเป็นคำถามที่สุดแสนจะพื้นฐาน แต่พิงภพกลับร้อนหน้าอย่างไม่มีสาเหตุ เขาเผลอแกว่งมือที่กุมกันเบาๆ แล้วก็รีบหยุดเมื่อรู้ตัว
“เคยมีคนนึง สมัยเรียนมหา’ ลัย”
“ผู้หญิง?”
“ผู้หญิงสิ แต่ว่า...แมนมากนะ จนใครๆ พากันนึกว่าเป็นทอม”
พิงภพนึกถึงอดีตแฟนแล้วหัวเราะ สาวน้อยที่เขาเคยคบนั้นนอกจากเครื่องแบบนักศึกษาแล้วก็ไม่เคยสวมกระโปรง เวลาออกเดทก็ไม่เคยทำตัวหวานแหววหรือโพสต์ท่าสวยให้ถ่ายรูป บางทีเหตุผลที่พวกเขาเข้ากันได้ดีเพราะต่างคนต่างก็ไม่ชอบเรียกร้องความสนใจ
“แล้วทำไมถึงเลิกกันล่ะ?”
“ทำไมเหรอ ก็...มันถึงจุดที่คบกันแบบเพื่อนแล้วสบายใจกว่า อีกอย่างหลังเรียนจบก็สมัครงานคนละจังหวัด ดูท่าอนาคตคงเป็นเส้นขนานก็เลยเลิก แต่นานๆ ทีก็ยังโทรคุยกันอยู่นะ ว่าแต่ถามทำไมเนี่ย?”
เพราะอทิตยะดูไม่ใช่คนที่น่าจะสนใจเรื่องของคนอื่นเลย คนถูกถามยกมือที่จับกันขึ้นมาแล้วเขย่าเบาๆ
“แค่อยากรู้ ว่าคุณเคยพาแฟนไปเดินเล่นจูงมือแบบนี้หรือเปล่า?”
“หา? เคยดิ แต่เขาชอบบอกว่าตัวเองเหงื่อออกง่าย จับมือกันแล้วเหนอะหนะก็เลยแค่เดินด้วยกันเฉยๆ มากกว่า”
“แสดงว่าไม่เคยทำมากกว่าจับมือสินะ”
อทิตยะพูดต่อด้วยเสียงไม่สื่ออารมณ์ พิงภพไม่แน่ใจว่าจำเป็นต้องตอบไหม แต่ที่แน่ๆ อาการร้อนหน้ากลับมาอีกแล้ว
“ขอโทษด้วยถ้าถามเรื่องส่วนตัวมากไป”
“ไม่เป็นไร มันก็ไม่ได้เป็นความลับขนาดนั้น พวกเพื่อนสมัยเรียนยังเคยทักว่าพวกเราเหมือนพี่น้องกันมากกว่าแฟน”
พิงภพตอบ กับภาณุกรก็เหมือนกัน พวกเขาเคยสนิทกันมากจนพ่อกับแม่แซวว่ามีลูกชายอีกคน เขาเองก็เคยคล้อยตามคำพูดนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเกิดเหตุหลังเลิกเรียนในวันนั้นขึ้นมา...
“แล้วกับซันล่ะ? ที่คุณบอกว่าห่างกันไปนานก่อนกลับมาเจอกันใหม่นี่กี่ปี?”
พิงภพแทบสะดุ้งเพราะนึกว่าโดนอ่านใจได้ เขาเหลือบมองอทิตยะแต่อีกฝ่ายยังทอดตามองเรือในทะเล หลังชั่งใจครู่หนึ่งก็คิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบัง
“เรากับซันเรียนห้องเดียวกันตั้งแต่ ม.1 ก็อย่างที่เห็นว่าหมอนั่นเป็นลูกครึ่ง พ่อเป็นคนแคนาดา ตอน ม.5 ปู่ของซันเสียแล้วเหลือย่าอยู่คนเดียว พ่อก็เลยตัดสินใจพาครอบครัวย้ายไปอยู่ที่โน่น ซัน...สารภาพรักกับเราตอนนั้นแหละ ก็ผ่านมาเกือบจะสิบปีแล้ว”
จากเด็กหนุ่มสองคนก็เติบโตเป็นชายหนุ่มสองคน เพียงแต่ความรู้สึกของฝ่ายหนึ่งยังมั่นคง ในขณะที่อีกฝ่ายซึ่งก็คือเขา...ยังคงสับสนและกลัวการให้คำตอบมาจนถึงวันนี้
“ที่คุณไม่ตอบรับเพื่อนคุณ เพราะแค่ไม่อยากเสียเพื่อน หรือเพราะว่าจริงๆ แล้วไม่ได้ชอบผู้ชาย?”
“หา...เอ่อ...เราไม่เคยคิดเรื่องชอบหรือไม่ชอบผู้ชาย ยังไงดี...ที่เราคิดมากเพราะอีกฝ่ายคือซัน ต่อให้ซันเป็นผู้หญิง แต่ถ้าพวกเราสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เราก็คงลังเลที่จะให้คำตอบอยู่ดีแหละ”
คำถามของอทิตยะทำให้พิงภพตระหนักว่าเขาไม่เคยสนใจประเด็นนี้ ทั้งที่พวกสเวนกับมาริอุสก็เคยทักเรื่องนี้หลังได้พบภาณุกร หรือเขาจะเป็นคนคิดอะไรตื้นเขินเกินไปนะ?
“เท่าที่ฟังมา เหมือนคุณไม่ได้จำกัดตัวเองว่าจะต้องคบแค่ผู้ชายหรือผู้หญิงใช่ไหม? เพียงแต่ถ้าคบด้วยแล้วสบายใจก็ไม่เกี่ยง”
“เราไม่เคยนั่งวิเคราะห์ตัวเองแบบนั้น แต่อาจใช่ก็ได้มั้ง...จะแขวะว่าใจง่ายล่ะสิ”
“ยังไม่ได้พูดแบบนั้นสักคำ แต่ถ้าใจง่ายแล้วไม่ปิดโอกาสตัวเองก็ถือว่าเป็นความหมายที่โพสิทีฟ เราก็มีเพื่อนหลายคนที่ไม่จำกัดว่าต้องคบแต่เพศตรงข้าม บางทีเพศเดียวกันก็เข้ากันได้ทั้งนิสัยและเซ็กซ์มากกว่า”
พิงภพมั่นใจว่าถ้าหน้าเขายังร้อนกว่านี้อีกมันคงระเบิดแน่ ไม่รู้ว่าพื้นฐานอทิตยะเป็นคนพูดตรงอยู่แล้วหรือเพราะถูกสภาพแวดล้อมในต่างประเทศหล่อหลอม ถึงได้แสดงความคิดเห็นโจ่งแจ้งจนคนฟังกระดากแทน
“เต็มพูดแต่ละอย่าง เรารู้สึกยังกับตัวเองเป็นพวกอ่อนต่อโลกไปเลย”
“ก็อ่อนจริงๆ ไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องน้อยอกน้อยใจหรอก”
“ไม่ได้น้อยใจเว่ย! ไอ้บ้า จะปลอบกันหน่อยก็ไม่ได้ ดันมาเห็นด้วยอีก”
ชายหนุ่มบ่นกระปอดกระแปด ไม่น่าเชื่อว่าไม่กี่วันก่อนเขายังนึกหมั่นไส้สีหน้าไร้อารมณ์ของหมอนี่อยู่เลย มาวันนี้กลับได้เห็นทั้งรอยยิ้มและได้ยินเสียงหัวเราะ มันน่าถ่ายคลิปไว้ไปอวดคนอื่นชะมัด
“เคยจินตนาการว่าถ้าคุณคบกับหมอนั่นจริงๆ จะเป็นยังไงบ้างไหม?”
จู่ๆ อทิตยะก็วกประเด็นกลับมาที่ภาณุกร พิงภพย่นจมูก เผลอแกว่งมือที่กุมอยู่โดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง
“ไม่เคย จะว่าไงดี สมัยมัธยมเราสนิทกับซันมาก วันหยุดก็ไปเล่นเกมที่บ้านหรือไปดูหนังด้วยกันตลอด เลยนึกไม่ออกว่าถ้าคบกันแล้วมันจะต่างออกไปยังไง...”
ไม่สิ...พิงภพพลันนึกถึงคืนที่ภาณุกรมาค้างด้วยที่ห้อง ความตั้งใจของอีกฝ่ายชัดเจนไม่ว่าจะเป็นตอนที่จูบมุมปากหรือหอมแก้ม แต่อาจเพราะสมองเขารับจินตนาการที่เตลิดกว่านั้นกับอดีตเพื่อนสนิทไม่ไหว มันเลยชัตดาวน์ก่อนจะออกนอกลู่นอกทางทุกที
“คิดไปถึงไหนแล้ว เราแค่หมายถึงเรื่องทั่วๆ ไป อย่างดินเนอร์ ออกเดท หรือแค่เดินจูงมือกันต่างหาก ทะลึ่งเหมือนกันนี่เรา”
“เดี๋ยวๆ ใครกันแน่ที่มาพูดให้คิด ถ้าแค่เดินจูงมือตอนนี้ก็ทำอยู่นี่ไง”
พิงภพสวนกลับพร้อมกับชูมือที่กุมกันขึ้น ก่อนจะชะงักเพราะตระหนักถึงสิ่งที่พวกเขากำลังทำ รวมถึงบทสนทนาในตอนนี้ด้วย
ก็นี่มัน...เป็นสิ่งที่ปกติแฟนกันถึงจะทำนี่นา? ไม่งั้นเพื่อนผู้ชายที่ไหนจะมาเดินจูงมือกันริมทะเลตอนกลางค่ำกลางคืน นี่เขาโดนหมอนี่วิจารณ์จนสมองลัดวงจรหรือไงนะ?
“เอ่อ...”
ชายหนุ่มอ้ำอึ้ง มองมือที่กุมกันอยู่เหมือนกำลังมองผ่านสายตาบุคคลที่สาม แล้วก็นึกสงสัยว่าถ้าคนอื่นมาเห็นจะอ่านสถานการณ์นี้ว่าอย่างไร
“อยากทดสอบดูก่อนจะไปเจอหมอนั่นอีกครั้งไหมล่ะ?”
“หา? ...”
คืนนี้ดูเหมือนเขาจะส่งเสียงอุทานอย่างเซ่อซ่าหลายรอบแล้ว และพิงภพมั่นใจว่าคงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายขณะมุ่นคิ้วมองอทิตยะ
“บางทีนอกจากเรื่องที่ไม่อยากเสียเพื่อน อีกเหตุผลที่คุณยังไม่กล้าตัดสินใจก็เพราะไม่รู้ว่าผู้ชายคบกันแล้วเป็นยังไง เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นจะโดนมองแบบไหน ถ้าได้ทดลองก่อน คุณอาจมั่นใจมากขึ้นว่าจะตอบเยสหรือโนก็ได้”
“เรื่องนั้น...แต่ว่า...เราไม่มีคนที่จะคบด้วยแบบนั้นนี่”
นอกจากเจ๊เพ็ชชี่ที่แปลงเพศไปแล้ว...เขาก็ไม่สนิทกับใครที่เป็นเกย์สักคน จะชวนหนึ่งในพวกเพื่อนๆ ให้ลองคบกันก็คงดูประหลาด จะให้สมัครแอปหาคู่ก็ไม่ใช่แนวอีก
“ก็ยืนอยู่ตรงนี้คนนึงไง”
“ว้อท? ...ยืนอยู่ตรงนี้? หมายถึง...แล้วเอมี่ล่ะ?”
“เอมี่รู้จักกับเราตั้งแต่เด็กเหมือนคุณกับซันนั่นแหละ ยายนั่นคือคนแรกที่รู้ว่าเราเป็นเกย์ด้วยซ้ำ”
พิงภพฟังแล้วอ้าปากค้าง เขาพยายามทบทวนความทรงจำช่วงที่เห็นอทิตยะกับเอมี่อยู่ด้วยกัน จะว่าไป...ตอนนั้นเขาก็ไม่แน่ใจว่าสองคนนี้เป็นคนรักหรือแค่เพื่อนสนิทจริงๆ แต่เรื่องที่อทิตยะเป็นเกย์...ทำเอาพิงภพนึกถึงนิยาม ‘คนเราดูแค่ภายนอกไม่ได้’ ขึ้นมาทันที
“แต่น่าจะไม่ดีมั้ง...เต็มเป็นหลานเจ้าของรีสอร์ท ถึงจะบอกว่าคบกันเล่นๆ แต่มันดูเหมือนเราใช้ประโยชน์จากเต็มเพื่อให้ได้อภิสิทธิ์กว่าคนอื่นยังไงไม่รู้”
“ป๋ากับน้าบุ๋มแค่เรียกเราเป็นหลานเพราะเอ็นดู แต่เราไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไรกับบลูแซนด์ ถ้าใครหาว่าคุณคบเราหวังผลก็ตอบตามนี้ได้เลย เว้นว่าจะไม่อยากเพราะคิดว่าอยู่ใกล้เราอาจทำให้โดนมองว่าไม่ดีตามไปด้วย”
จู่ๆ บรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไป พิงภพมองรอยยิ้มที่เปลี่ยนเป็นรอยเหยียดมุมปากแล้วหัวใจกระตุก รีบกระชับมือที่กุมกันเพราะรู้ว่าอทิตยะกำลังจะปล่อย
“ไม่ใช่นะ แล้วทำไมเราต้องกลัวจะโดนมองว่าไม่ดีด้วยล่ะ ถ้าเรื่องรอยสักเต็มตัวล่ะก็เดี๋ยวนี้ก็มีคนสักกันเยอะแยะ เต็มก็แค่ชอบทำหน้าดุ พูดตรงจนไม่เข้าหู แต่ความจริงเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ รู้ตัวว่าพูดไม่ดีกับเราก็มาขอโทษ ตอนที่ยังไม่สนิทกันก็อุตส่าห์ตื่นมาขับรถไปส่งที่ทำงานกับเก็บเสื้อผ้าที่ตากไว้ให้ คนไม่ดีที่ไหนเขาจะทำเรื่องแบบนี้ให้คนอื่น”
มืออีกข้างของเขาวางทับมือที่กุมกันอยู่ พิงภพจ้องตาของอทิตยะเพื่อย้ำคำพูด ถึงเขาจะไม่ชอบคิดอะไรซับซ้อนแต่ก็เชื่อสัญชาตญาณว่าไม่เคยมองคนผิด อึดใจใหญ่อทิตยะก็หัวเราะออกมา
“เราเริ่มเข้าใจความรู้สึกของหมอนั่นแล้วสิ จะบอกว่าโชคดีหรือโชคร้ายดีล่ะเนี่ย”
พิงภพค่อยโล่งอกที่บรรยากาศน่าอึดอัดสลายไป แต่กลับงงเพราะคำพูดเมื่อครู่แทน
“หมายความว่าไง?”
“ไม่มีอะไร เราบ่นกับตัวเองเฉยๆ ...แล้วตกลงเอาไง สนใจจะลองคบกันดูหรือเปล่า?”
พิงภพสบตาคนถาม ตั้งแต่จูงมือเดินเล่นกันก็น่าจะครึ่งชั่วโมงแล้ว เขาไม่นึกรังเกียจสัมผัสนี้ แล้วก็ไม่ได้รังเกียจอทิตยะแม้จะไม่แน่ใจกับการเปลี่ยนสถานะจากคนข้างห้อง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า...มันจะช่วยให้เขาได้คำตอบสำหรับภาณุกรจริงหรือ?
“สมมติว่า แค่สมมติเฉยๆ นะว่าตกลงจะลองคบด้วย...แล้วเราต้องทำอะไรบ้าง?”
“ก็ทำเหมือนตอนที่คุณคบแฟนเก่า อันไหนฝืนใจก็ไม่ต้องทำ ถ้าตอนไหนคุณคิดว่าเบื่อแล้ว หรือว่าได้คำตอบให้ตัวเองแล้วก็บอกเลิกได้ตลอดเวลา”
“ง่ายขนาดนั้นเลย? แล้วเต็มจะได้อะไรล่ะ? นี่เหมือนมีแต่เราที่ได้ประโยชน์อยู่คนเดียวเลยนี่”
พิงภพถามอย่างระแวง เขาไม่ได้โลกสวยถึงขั้นจะเชื่อว่ามีคนยอมยื่นข้อเสนอที่ตัวเองขาดทุนให้คนอื่น ยิ่งเห็นรอยยิ้มน่าหมั่นไส้ก็ยิ่งมั่นใจว่าคิดถูก
“ได้ฆ่าเวลาล่ะมั้ง จะบอกให้รู้ก็แล้วกัน ที่เรามาทำงานที่บลูแซนด์ก็เพราะป๋าขอให้กลับมาเยี่ยมเมืองไทยบ้าง ไม่แน่แค่เดือนสองเดือนเราก็คงกลับเมลเบิร์นแล้ว ที่นี่เราไม่มีเพื่อน อย่างน้อยถ้าคบกับคุณเราก็จะได้มีคนคุยด้วย ยังไงก็ดีกว่าช่วยงานน้าบุ๋มไปวันๆ ใช่ไหมล่ะ?”
“นั่นก็...คงจะใช่”
คำตอบของอทิตยะช่วยให้พิงภพสบายใจขึ้น แม้จะรู้สึกโหวงๆ เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะอยู่ที่เกาะเพียงชั่วคราว แต่บางทีเขาควรจะโล่งอกว่า ‘การทดลอง’ นี้จะไม่กินเวลานานเกินกว่าที่จำเป็น
“สรุปว่าไง คุณโอเคกับข้อเสนอนี้หรือเปล่า? เราขี้เกียจทึกทักคำตอบเองคนเดียว”
“ถ้าหาก...ตกลง เต็มยืนยันว่าจะไม่ทำอะไรที่เราไม่ชอบใช่ไหม?”
“วางใจได้ เราเกลียดการฝืนใจคนอื่นที่สุด”
“ถ้างั้นก็...ลองดูก็แล้วกัน...”
พิงภพหลุบตามองมือที่ยังกุมกันอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะหลีกเลี่ยงการให้คำตอบกับภาณุกรมาเกือบสิบปี แต่กลับตอบตกลงคำชวนของอทิตยะที่ให้ทดลองคบกันในเวลาไม่กี่อึดใจ ความที่มัวแต่สับสนกับความลักลั่นของตัวเอง เขาเลยสะดุ้งเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายโน้มตัวเข้าหา
“เดี๋ยวๆๆ จะทำอะไร!? ไหนว่าเกลียดการฝืนใจคนอื่นไง!”
“ก็แค่จะทำสัญญาว่าตกลงคบกัน ไม่งั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับคบเป็นเพื่อนเฉยๆ สิ”
“เดี๊ยว! แต่นี่มันข้ามขั้นปั๊ย! เราเพิ่งตอบตกลงเมื่อกี้เอง อย่าเพิ่งทำให้ช็อกได้ไหม?”
พิงภพพูดพลางยันอกคนตัวสูงกว่า เขาหลับตาปี๋เมื่ออีกฝ่ายยิ้มแล้วก้มลงมาอีก ก่อนจะค่อยลืมตาเมื่อรับรู้ว่าส่วนที่ถูกประทับจูบคือหน้าผาก
ความรู้สึกจั๊กจี้แบบนี้มัน...จะว่ายังไงดีล่ะ....
“งั้นแค่นี้พอ เอาเป็นว่าการทดลองของพวกเราเริ่มตั้งแต่คืนนี้ นี่ก็ดึกมากแล้ว เดี๋ยวเราพาคุณไปส่งที่ห้อง”
“ทำเป็นพูดดี ได้ข่าวว่าตัวเองก็ต้องกลับไปที่เดียวกัน”
“ก็พูดให้ดูดีไว้ก่อนไง ตกลงว่าจะกลับด้วยไหมล่ะ?”
พิงภพเอามือลูบหน้าผากที่เพิ่งโดนจูบ มองสีหน้ายียวนของคนถามแล้วรู้สึกอยากหยิกขึ้นมาติดหมัด “กลับสิ ไม่ได้เอารถตัวเองมานี่นา พรุ่งนี้ก็ต้องตื่นแต่เช้าอีก”
อทิตยะหัวเราะหึๆ พลางจูงมือเขากลับไปที่รถ พิงภพมองคนเดินนำก่อนจะเบนสายตาขึ้นมองท้องฟ้า คืนนี้ดวงดาวทอแสงระยับ แต่มันก็คือดาวที่ฉายแสงอยู่ทุกคืน เกาะก็ยังเป็นเกาะเดิม กระทั่งเรือประมงที่เห็นอยู่ไกลลิบก็คงเป็นลำเดิม แต่สิ่งที่ต่างไปคือเขาเพิ่งตกลงจะ ‘ลองคบ’ กับเจ้าหนุ่มข้างห้องที่อายุน้อยกว่าสองปีคนนี้ไปหมาดๆ
หวังว่า...เขาจะไม่ได้กำลังขุดหลุมฝังตัวเองอยู่ก็แล้วกันนะ
++------++
เสียงเคาะประตูดังตั้งแต่เช้า พิงภพที่กำลังแปรงฟันมุ่นคิ้วแล้วเดินไปดูที่ช่องตาแมว พอเห็นว่าเป็นใครก็เปิดประตูให้
“เต็ม? มีอะไร?”
“มารอรับไง ต้องไปลงเรือรอบเจ็ดครึ่งไม่ใช่เหรอ ไม่รีบเดี๋ยวก็สายหรอก”
พิงภพกะพริบตามองคนที่แต่งตัวพร้อมไปทำงาน ซึ่งกับรีสอร์ทบนเกาะก็คือเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น เขามุ่นคิ้วแล้วเดินกลับไปบ้วนปากในห้องน้ำ
“ปกติเต็มไม่ได้ไปแต่เช้าไม่ใช่เหรอ ทำไมวันนี้ต้องรีบด้วยล่ะ?”
“อะไรกัน แค่ข้ามคืนก็ลืมแล้วเหรอ ในเมื่อตกลงว่าจะเป็นแฟนกันเราก็ต้องขับรถไปส่งไง ไหนๆ ก็ทำงานที่เดียวกันอยู่แล้ว จะขับคนละคันให้เปลืองน้ำมันทำไมล่ะ”
พิงภพได้ยินก็เกือบทำแก้วน้ำหล่น จริงด้วย เขาลืมไปสนิทว่าตกลงจะคบกับหมอนี่ แต่ไม่นึกว่าภารกิจของแฟนจะเริ่มตั้งแต่ไก่โห่แบบนี้
“เอ่อ...ก็ได้ งั้นรอแป๊บนึง”
“จะให้รอในห้อง หรือให้ไปรอที่รถ?”
คนที่ยืนอยู่หน้าประตูถามอีก พิงภพปรายตามอง ก่อนหน้านี้ที่อทิตยะมาขอนอนด้วยเพราะตุ๊กแกนั่นเขาไม่ได้คิดอะไร แต่ตอนนี้เป็นแฟนกันแล้ว พอคิดว่าจะให้นั่งบนเตียงที่เคยนอนด้วยกันก็รู้สึกจั๊กจี้
“ข้างล่างก็แล้วกัน เดี๋ยวเก็บของแล้วจะรีบลงไป”
“กลัวอดใจไม่ไหวสินะ งั้นรีบมาล่ะ ถ้าช้าจะขึ้นมาตามเอง”
อทิตยะแกล้งทำเสียงเดาะลิ้นก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้พิงภพหมั่นไส้จนอยากเขวี้ยงหมอนตาม
ก็เป็นซะแบบนี้ พอตอบรับเป็นแฟนก็ทะลึ่งเลย ถ้าเขาบอกว่าขอเลิกคบตั้งแต่ตอนนี้จะเร็วไปไหมเนี่ย?
หลังหยิบกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์แล้วพิงภพก็ออกจากห้อง เขาชะงักเมื่อเห็นตุ๊กตากัปตันอเมริกาที่ห้อยอยู่บนพวงกุญแจ แต่ก็รีบล็อกประตูแล้ววิ่งลงไปข้างล่าง
ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดถึงซันตอนนี้...
“มาแล้วๆ ไม่ต้องบีบแตรเรียกก็ได้ คนต้องไปเช้าเองยังไม่รีบเลย”
“ก็จะได้มีเวลากินมื้อเช้าก่อนไง วันๆ คุณกับเราทำงานคนละส่วน ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าน้าบุ๋มจะให้ไปช่วยประสานงานกับเรือเมื่อไหร่ ก็ต้องใช้เวลาด้วยกันให้มากที่สุดใช่ไหมล่ะ?”
อทิตยะตอบแล้วสตาร์ทรถ พิงภพที่กำลังซ้อนท้ายถึงนึกขึ้นได้ เวรละ เขาเองที่เป็นคนบอกจะทำโทษหมอนี่ด้วยการให้ไปช่วยงานที่เรือ แต่ในเมื่อตอนนี้คบกันแล้ว เท่ากับหลังจากนี้พวกเขาก็จะอยู่ด้วยกันแทบยี่สิบสี่ชั่วโมงน่ะสิ แล้วถ้าพวกเพื่อนๆ รู้จะไม่แซวกันสนุกเหรอเนี่ย
พิงภพคำรามในคอแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น พวกเขาแวะกินข้าวในตลาดก่อนจะเข้าไปที่ห้องสำนักงาน บุณฑริกกำลังเปิดสมุดให้พนักงานลงเวลา พอเห็นเขากับอทิตยะก็ทักทาย
“วันนี้เต็มมาเช้าแฮะ นี่มาพร้อมกับพุธเลยเหรอ?”
บุณฑริกเอ่ยอย่างแปลกใจ พิงภพได้แต่ยิ้มแห้งขณะรับสมุดมาลงเวลาบ้าง ต่างจากคนที่มาพร้อมกันซึ่งตอบเสียงฉะฉาน
“ใช่ครับ เพราะผมรอรับให้มาด้วยกัน”
เหล่าครูสอนดำน้ำที่เป็นคนไทยรวมทั้งบุณฑริกมองพวกเขาอย่างมีคำถาม ส่วนพวกที่ฟังภาษาไทยไม่ออกก็ทำหน้าฉงนกับท่าทีของพวกแรก พิงภพก้มหน้าแล้วได้แต่ลงชื่อเข้างานให้เร็วที่สุด
“เอ๋? รถเสียอีกแล้วเหรอพุธ?”
“ไม่ใช่ครับพี่บุ๋ม เอ่อ...”
ชายหนุ่มตอบเสียงอ้ำอึ้ง ท่าทางของเขาคงไม่เป็นที่สบอารมณ์เพราะอทิตยะเข้ามายืนข้างๆ แล้วโอบไหล่
“รถพุธไม่ได้เสียหรอกครับ แต่เราเพิ่งตกลงว่าจะคบกัน ดังนั้นตั้งแต่วันนี้พวกเราก็เลยจะมาและกลับพร้อมกันครับ”
“หา!?!”
เสียงนั้นดังมาจากทุกคนที่ฟังภาษาไทยออก ส่วนเจ้าพวกที่ฟังไม่ออกก็คงเดาจากภาษากายของอทิตยะแล้วพากันยิ้มจนพิงภพชูนิ้วกลางให้ บุณฑริกอ้าปากหวอก่อนจะนึกได้ว่าพวกเขาต้องลงเรือเลยรีบไล่ออกจากห้อง อทิตยะก้มลงกดจมูกบนขมับเขาหนักๆ แล้วโบกมือบ๊ายบาย แต่พิงภพมั่นใจว่าหมอนี่จงใจทำให้ทุกคนเห็นแน่ๆ
“พุธธธธธ ว้อทแฮปเป้นนนน”
“เงียบไปเลยพวกนาย ฉันไม่เล่าอะไรทั้งนั้น!”
พิงภพไล่เพื่อนๆ ที่พากันเข้ามารุมล้อมขณะแบกกระเป๋าอุปกรณ์ไปที่เรือ แต่ดันกลายเป็นว่ายิ่งไล่ยิ่งทำให้ทุกคนสนใจมากกว่าเก่า
“วันนี้นายโดนถามไม่เลิกแน่ เตรียมตอบคำถามทั้งวันได้เลย ฮ่าๆๆๆ”
++------++
อทิตยะออกมายืนมองความครื้นเครงที่หน้าหาด ก่อนจะยิ้มมุมปากแล้วเดินกลับห้องสำนักงาน บุณฑริกเพิ่งจะวางสายโทรศัพท์พอดี พอเห็นเขาก็รีบโบกมือให้นั่งลง
“เต็ม! เมื่อกี้มันอะไรเนี่ย? อำน้าเล่นหรือเปล่า?”
สีหน้าของบุณฑริกสะท้อนความอัศจรรย์ใจเต็มที่ อทิตยะเพียงยิ้มอ่อนๆ แต่กลับแทนคำยืนยันจนหญิงสาวทิ้งตัวพิงพนัก
“ตกลงว่าคบกันจริงสินะ...แม่เจ้า...นี่ไปล่อลวงอีท่าไหนพุธถึงตอบตกลงได้?”
“อ้าว ทำไมน้าบุ๋มไม่คิดว่าฝ่ายโน้นอาจจะล่อลวงผมบ้างล่ะ?”
“เพราะมันเป็นไปไม่ได้ อิมพอสสิเบิลล้านเปอร์เซ็นต์ แถมเมื่อวานเราเพิ่งคุยกันเรื่องที่พุธอ่อนต่อโลก จู่ๆ วันนี้มาบอกว่าคบกับเต็ม น้าก็ต้องสงสัยเราอยู่แล้วสิ”
“แหม ผมไม่ทำให้ลูกน้องของน้าบุ๋มเสียคนหรอก แค่พอดีพวกเราคุยกันแล้วคลิก ผมก็เลยชวนให้คบกันดูเท่านั้นเอง”
หญิงสาวค้อนปะหลับปะเหลือก “คลิกเนี่ยนะ เฮ้อ...ตามวัยรุ่นสมัยนี้ไม่ทันจริงๆ วันก่อนสาวๆ ฝั่งรีเซปชั่นยังมาถามอยู่เลยว่าเต็มมีแฟนไหม ถ้ารู้ว่าโดนพุธที่เป็นผู้ชายตัดหน้าคงพากันกรี๊ด”
“ถึงพุธไม่ตัดหน้า ผมก็ไม่มองพวกสาวๆ อยู่ดี”
บุณฑริกซึ่งเมื่อครู่ใช้มือกุมศีรษะตวัดสายตาขึ้น อทิตยะสบตาโดยไม่หลบ เธอมองเขาครู่หนึ่งก็ถอนหายใจ
“อย่างนั้นหรอกเหรอ พี่บู๊เขารู้อยู่แล้วใช่ไหม? แล้วเอมี่ล่ะ?”
“ถ้าทุกคนที่ออสก็รู้กันหมดแล้ว ป๋าคงคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอกน้าบุ๋มก็เลยไม่ได้พูด ส่วนผมเองก็ไม่รู้จะบอกตอนไหน แต่ไม่เคยตั้งใจจะปิดบัง”
“น้าเข้าใจ มันใช่เรื่องที่จู่ๆ จะต้องเดินมาบอกซะที่ไหน เอาเถอะ น้ายังไม่ช็อกเรื่องที่เต็มเป็นเกย์เท่าเรื่องที่บอกว่าคบกับพุธเลย ถ้าหากเป็นคนอื่นก็ว่าไปอย่าง”
คำตัดพ้อของบุณฑริกทำให้อทิตยะนึกขำ ดูเหมือนสำหรับคนรอบข้างแล้วพิงภพจะเปรียบดังผ้าขาวที่ไม่ควรแปดเปื้อน ช่างต่างกับเขาที่ใครๆ ชอบคิดว่าคุ้นเคยกับอบายมุขทุกรูปแบบราวฟ้ากับเหว
“ผมรับรองได้ว่าพวกเราคุยและตกลงคบกันแบบผู้ใหญ่ที่มีสติครบถ้วน ผมไม่ได้มอมเหล้าแล้วบังคับให้พุธตอบตกลงแน่นอน ไม่เชื่อก็เรียกเจ้าตัวมาถามได้เลย”
“เฮ้ย! น้าไม่ได้บอกว่าเราทำแบบนั้น! ถ้าอยากจะคบกันก็คบไปเถอะ ขอเวลาให้น้าหายช็อกแป๊บนึง เดี๋ยวเจอพุธอีกทีก็คงแซวได้คล่องแล้วล่ะ ป่านนี้พวกบนเรือก็คงรุมยิงคำถามจนพรุนแล้วมั้ง”
อทิตยะนึกภาพตามแล้วอมยิ้ม ก่อนจะนึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่ตกลงกับพิงภพไว้ก่อนจะไปเดินเล่นกันเมื่อคืน แต่เขาตัดสินใจบอกกับบุณฑริกแค่ว่าอยากลองศึกษางานในเรือแทนที่จะเล่าเหตุผลที่แท้จริง
“หืมมมม ถ้างั้นเต็มก็จะได้อยู่กับพุธวันละหลายชั่วโมงเลยสิ ข้าวใหม่ปลามันจริงนะเรา”
“ก็ไม่เชิง ผมแค่อยากลองทำหลายๆ อย่างระหว่างอยู่ที่นี่ บังเอิญจังหวะมันได้ก็เท่านั้นเอง”
“ย่ะพ่อคุณ แต่จังหวะดีจริงๆ นั่นแหละเพราะทิตย์หน้าจะมีครูลาพักร้อนหลายคน ไว้พวกนั้นกลับมาเย็นนี้แล้วน้าจะบอกให้ใครสักคนช่วยสอนงานเต็มก็แล้วกัน”
“ขอบคุณครับ”
“จ้า แล้วก็...เมื่อคืนคุณธาตรีโทรมาคุยกับน้า”
ชื่อที่เขาไม่อยากได้ยินทำให้รอยยิ้มเลือนหาย อทิตยะหลุบตาเพื่อซ่อนประกายกร้าวแล้วถามเสียงเรียบ
“คุยกันว่าไงครับ?”
“เอ่อ...ก็ถามทั่วไปว่ากิจการเป็นไงบ้าง แล้วก็ถามว่าเต็มอยู่ที่นี่ใช่ไหม เข้ากับทุกคนได้ดีหรือเปล่า”
“เขาคงไม่คิดว่าผมจะมีเพื่อนฝูงละมั้ง”
“อย่าเพิ่งคิดในแง่ลบสิ พ่อเขาก็แค่เป็นห่วง น้าเข้าใจว่าเต็มยังไม่หายโกรธ แต่เรื่องที่ผ่านมาหลายปีแล้วก็ควรปล่อยวางบ้าง พวกผู้ใหญ่เขาไม่ได้อยู่กับเราตลอดไปนะ”
ลมหายใจของอทิตยะรัวเร็วขึ้น แต่เขาพยายามกดอารมณ์ไว้ หลังผ่านไปครู่หนึ่งก็เลื่อนเก้าอี้ออก
“นี่ยังเช้าอยู่ ผมขอตัวไปสูบบุหรี่แป๊บนึง เดี๋ยวจะกลับมาช่วยงานต่อ”
“โอเคจ้ะ”
บุณฑริกเอนพิงเก้าอี้พลางตอบด้วยน้ำเสียงปลงๆ อทิตยะเดินออกจากห้องสำนักงานไปยังบริเวณที่สูบบุหรี่ มือที่ล้วงลงในกระเป๋าสั่นจนซองบุหรี่เกือบร่วงจากมือ เขาสบถก่อนจะต่อยกำปั้นข้างนั้นเข้ากับผนังปูนอย่างแรง
ใจเย็นไว้ อย่าปล่อยให้อารมณ์เป็นใหญ่ขึ้นมาอีก เขาเคยทำผิดอย่างไม่น่าให้อภัยมาแล้ว ดังนั้นจะถอยหลังไปสู่จุดตกต่ำแบบนั้นไม่ได้อีกเป็นอันขาด...
++---TBC---++
A/N: ถือโอกาสฤกษ์ดีวันปีใหม่ 1 เดือน 1 อัพเดทตอนที่ 11 เสียเลย เผื่อจะช่วยกระตุ้นให้ปี 2020 นี้เขียน+โพสต์นิยายได้สม่ำเสมอขึ้น หวังว่าจะไม่ทิ้งช่วงนานเกินไปนะคะ หลังจากนี้เราคงได้เห็นแง่มุมใหม่ๆ ของทั้งพุธและเต็มมากขึ้น แล้วมาคอยติดตามพัฒนาการของทั้งคู่กันนะ จะพยายามลงตอนใหม่ให้ได้ทุกสองสัปดาห์ สำหรับวันนี้ก็ขอสวัสดีปีใหม่อีกทีค่ะ
