ตะวันพิงภพ บทที่ 18 หน้า 3 {อัพ 14.08.20}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ตะวันพิงภพ บทที่ 18 หน้า 3 {อัพ 14.08.20}  (อ่าน 10550 ครั้ง)

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


*******************************************************

ตะวันพิงภพ

พิงภพใช้เวลาแต่ละวันเป็นครูสอนดำน้ำ บนเกาะที่ห้อมล้อมด้วยชายหาดและเกลียวคลื่น ใครเลยจะรู้ว่าสายน้ำจะพาตะวันสองดวงเข้ามาในชีวิตของเขา
ภาณุกร เปรียบดั่งตะวันยามเช้าอบอุ่น ทอแสงสดใสเหมือนเสียงกระซิบให้เริ่มต้นวันใหม่
อทิตยะ คือตะวันยามบ่ายเจิดจ้า พร้อมจะสาดแสงแผดเผาต่อให้หลบหลังเงากำบัง
เมื่อตะวันสองดวงล้วนปรารถนาที่หยุดพัก แต่พิงภพสามารถโอบอุ้มความร้อนของตะวันได้เพียงดวงเดียว แล้วตะวันดวงไหนที่จะได้ทอแสงในใจของเขา

****************************


บทนำ

สายลมยามบ่ายพัดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องเรียน แรงลมเกือบพัดกระดาษปลิวจากโต๊ะถ้าเด็กหนุ่มคนหนึ่งไม่ตะปบไว้เสียก่อน
   
“ซัน อย่ามัวแต่เล่นเกมดิวะ กรอกแบบสอบถามให้เสร็จๆ จะได้เอาไปส่งอาจารย์นุช”
   
พิงภพเอ่ยพลางจิ้มนิ้วลงบนกระดาษ ตอนนี้เลิกเรียนแล้ว แต่เขากับภาณุกรยังนั่งอยู่ในห้อง กระดาษบนโต๊ะคือแบบสอบถามแผนการศึกษาต่อที่อาจารย์แนะแนวแจกให้นักเรียนชั้น ม.5/4 หลายคนกรอกและส่งคืนไปแล้ว มีแต่เจ้าเพื่อนเขานี่ละที่อิดออดไม่กรอกสักที

“ฮะ? ไอ้นี่น่ะเหรอ? ก็ยังไม่รู้จะเขียนอะไรนี่นา”

นัยน์ตาของคนตอบจดจ่ออยู่กับเกมในโทรศัพท์ พิงภพเห็นแล้วอยากตบกะโหลกเพื่อนด้วยความหมั่นไส้ อันที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากจ้ำจี้จ้ำไชหรอก แต่อาจารย์นุจรีดันฝากให้ช่วยตามนี่สิ
   
ภาณุกรเป็นเพื่อนที่สนิทกับพิงภพที่สุดมาตั้งแต่มัธยมต้น ไม่รู้เพราะผลการเรียนไล่เลี่ยกันหรือเพราะนามสกุลขึ้นต้นด้วย ว.แหวนเหมือนกัน พวกเขาถึงมักได้อยู่ห้องเดียวกันทุกปี สำหรับคนทั้งห้อง...อันที่จริงต้องบอกว่าทั้งโรงเรียนจะดีกว่า ภาณุกรค่อนข้างจะโดดเด่นเพราะเป็นลูกครึ่ง ยีนจากพ่อชาวแคเนเดียนฉายชัดบนจมูกโด่ง ผิวสีน้ำนมและโครงร่างเพรียวสูง ส่วนคิ้วกับนัยน์ตาคมเข้มก็ได้รับจากแม่ซึ่งเป็นคนไทย เคยมีแมวมองจากหลายเอเจนซี่มาทาบทามให้ไปรับงานบันเทิง แต่แม่ของภาณุกรปฏิเสธมาตลอดเพราะอยากให้ตั้งใจเรียนก่อน

“จะไม่รู้ได้ไง ของช่องมหา’ลัยก็เขียนตามที่เคยคุยกันไว้ดิ ส่วนช่องอาชีพก็ไม่ต้องจริงจังมากหรอก ขนาดพ่อกูเรียนจบรัฐศาสตร์ยังมาเปิดร้านสักเลย”
   
พิงภพเอ่ยพลางลากเก้าอี้มานั่งข้างเพื่อน อาชีพของพ่อทำให้เด็กหนุ่มชินกับปฏิกิริยาหลากหลายของเหล่าอาจารย์และเพื่อนร่วมโรงเรียน บางคนก็คิดว่าเขาคงเกเรขวางโลก บางคนก็สนใจขอตามไปที่ร้านจนพ่อต้องปิดประกาศไม่ต้อนรับเด็กในเครื่องแบบ ส่วนพวกอาจารย์ที่ไม่เคยสอนเขาก็มองอย่างระแวง ยังดีที่ผลการเรียนของพิงภพไม่แย่จึงไม่โดนเพ่งเล็งมากนัก พ่อเสียอีกที่คอยกำชับไม่ให้เที่ยวโอ้อวดเรื่องร้านสักกับคนอื่น แต่กับร้านทำเล็บของแม่ให้โฆษณาได้เต็มที่

แสงแดดยามบ่ายสะท้อนฝุ่นชอล์กที่ลอยในอากาศ ความเงียบในอาคารบ่งบอกว่านักเรียนส่วนใหญ่คงกลับบ้านกันแล้ว ครู่หนึ่งภาณุกรก็เหลือบตาขึ้นแล้วยื่นมือมาหา
   
“มึงซุ่มยกเวทแล้วไม่บอกกูใช่ปะ กล้ามถึงได้ปูดยังกะลูกเทนนิส”
   
“ไอ้ทะลึ่ง! ไม่ต้องมาแซว รีบๆ เขียนให้เสร็จสักที”
   
เด็กหนุ่มตีมือเพื่อนที่กำลังบีบต้นแขน ช่วยไม่ได้นี่ เขากับภาณุกรมักไปไหนมาไหนด้วยกัน คนรอบข้างเลยชอบเปรียบเทียบความแตกต่าง จริงอยู่ว่าพอยืนคู่กันแล้วเขาจืดสนิท ดังนั้นถ้าอยากทำให้ตัวเองดูดีขึ้นบ้างก็ไม่ผิดสักหน่อย
   
“ขี้เกียจเขียนอะ อีกอย่างมึงก็พูดถูก เป้าหมายอนาคตมันเปลี่ยนง่ายจะตาย บางอย่างถึงเราไม่อยากทำ แต่ถ้าผู้ใหญ่บอกว่าต้องทำก็ขัดไม่ได้”
   
“พูดอะไร พ่อกับแม่เขาเคยขัดใจมึงด้วยเหรอ เห็นสปอยล์จะตายยกเว้นเรื่องที่ไม่ให้เข้าวงการ” 
   
“เขาสปอยล์กูเฉพาะเรื่องจิ๊บจ๊อย พอเป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆ ก็ไม่ฟังหรอก ใครจะเหมือนมึงที่เถียงทุกคนในบ้านได้เป็นวรรคเป็นเวร”
   
“เฮ่ยๆๆ นี่คุยเรื่องมึงกันอยู่ ไม่ต้องวกมาแขวะกูเลย”
   
พิงภพผลักไหล่คนข้างตัว พยายามไม่ทักว่าอีกฝ่ายก็กล้ามแน่นใช่เล่น ตอนนี้พวกเขายังอายุแค่สิบหก ไม่รู้ว่าพอเข้ามหา’ลัยแล้วเจ้าเพื่อนลูกครึ่งของเขาจะขยายไซส์ไปเท่ากัปตันอเมริกาหรือเปล่า หน้าตามันยิ่งมีเค้าคล้ายๆ อยู่ด้วย
   
เด็กหนุ่มแทบอยากเตะตัวเองกับความคิดนั้น เขารู้มานานแล้วว่าภานุกรหน้าตาดี ครั้งแรกที่ได้เจอกันตอนรับน้องเข้า ม.1 เขานึกว่าเจ้าเด็กหน้าฝรั่งนี่คงหยิ่ง แต่ก็ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อเห็นอีกฝ่ายเต้นเพลงรับน้องได้รั่วแถมยังทำทุกอย่างตามที่รุ่นพี่สั่ง เวลารุ่นพี่ผู้หญิงแซวก็เขินจนหน้าแดงแจ๋ แต่ทั้งหมดนั้นเป็นอดีตไปแล้ว เดี๋ยวนี้ภาณุกรไม่เคยแสดงท่าทีเขินอายเมื่อโดนแซว แถมพิงภพก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เพื่อนสนิทเริ่มพูดน้อยลง ไม่บอกเล่าความลับทุกอย่างกับเขาเหมือนแต่ก่อน
   
นั่นทำให้พิงภพนึกขึ้นได้ เหตุผลอะไรกันที่ทำให้ภาณุกรไม่อยากกรอกแบบสอบถามอนาคต ทั้งที่ปกติก็เป็นคนชอบทำอะไรให้เสร็จๆ ไปเหมือนเขาแท้ๆ
   
“ซัน? ทำไมเงียบไปอะ เฮ่ย”
   
เขาผลักไหล่เพื่อนอีกครั้ง และครั้งนี้ถึงได้สังเกตเห็นริมฝีปากรูปกระจับที่เม้มแน่นจนสะดุดใจ
   
“...ซัน?”
   
“กูคงไม่ได้เรียนมหา’ลัยเดียวกับมึงแล้วไปเช่าห้องด้วยกันแล้วนะ จำได้ไหมว่าปู่กูเพิ่งเสียเมื่อปีก่อน ตอนนี้ย่าก็เริ่มเป็นอัลไซเมอร์ พ่อเลยจะพาทั้งครอบครัวย้ายไปอยู่กับย่าที่แคนาดา เดี๋ยวสิ้นเดือนนี้พวกกูก็จะบินแล้ว”
   
จู่ๆ พิงภพก็รู้สึกเหมือนแก้วหูลั่น นัยน์ตาดำขลับเบิกจ้องเพื่อนที่คบกันมาห้าปี คนที่มักเลือกที่นั่งติดกัน คนที่พอพักเที่ยงก็ต้องไปกินข้าวด้วยกัน คนที่พอถึงวันหยุดก็เรียนกวดวิชาแล้วกลับไปเล่นเกมที่บ้านด้วยกัน พวกเขาเคยวางแผนว่าหลังมัธยมปลายจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ต่างจังหวัดแล้วแชร์ห้องเช่า แต่สิ่งที่เพิ่งได้ยินทำลายภาพฝันนั้นลงโดยสิ้นเชิง
   
“ทำไมถึงไม่บอกกูก่อนหน้านี้”
   
พอหลุดคำตัดพ้อไปแล้วพิงภพก็ชะงัก เขาไม่มีสิทธิ์ใช้คำพูดเห็นแก่ตัวแบบนี้ เรื่องที่จะเช่าหอพักด้วยกันเป็นเพียงการวาดฝันในอากาศ พวกเขาก็แค่เด็กวัยรุ่นที่อยากใช้ชีวิตอย่างอิสระกับเพื่อนสนิท แต่ความฝันนั้นเลือนรางลงทุกทีที่เห็นขอบตาแดงเรื่อตรงหน้า
   
“ขอโทษ...กูไม่อยากทำให้มึงผิดหวัง”
   
“แล้วบอกตอนนี้กูไม่ผิดหวังเหรอ? แล้วอะไรคือจะบินสิ้นเดือนนี้? ที่เคยบอกว่าต้องซ่อมบ้านตั้งแต่เดือนที่แล้ว ที่จริงคือเพราะเก็บของเตรียมย้ายมานานแล้วใช่ไหม?”
   
ความสงสัยที่เคยวูบขึ้นเป็นระยะพลันคลี่คลาย จู่ๆ เดือนที่แล้วภาณุกรก็บอกเขาว่าต้องซ่อมหลังคาบ้านเลยไม่สะดวกให้ไปหา พอผ่านไปสักพักก็บอกว่าต้องซ่อมห้องน้ำกับโรงรถ เนื่องจากบ้านของทั้งสองไม่ได้อยู่ใกล้กัน เขาก็เลยไม่เคยเอะใจว่าต้องไปดูให้เห็นกับตา ที่ไหนได้...เขาถูกเพื่อนที่ไว้ใจที่สุดโกหกมาเกือบสองเดือนแล้ว
   
“พุธ ขอโทษ ถึงกูไม่อยู่เมืองไทยแต่เรายังติดต่อกันได้นี่”
   
ภาณุกรยื่นมือมาหาแต่ถูกปัดออกอย่างแรง พิงภพรีบหยิบกระเป๋าแล้วลุกขึ้น แต่แล้วก็ตัวแข็งทื่อเพราะอ้อมแขนที่โอบรัดจากด้านหลัง ลมหายใจร้อนและเสียงสั่นเครือข้างหูทำเอากระเป๋าเกือบหลุดจากมือ
   
“มึงอย่าทำอย่างนี้สิ กูไม่ได้อยากจากกับมึงแบบนี้นะ”
   
อ้อมแขนที่โอบกอดกระชับยิ่งขึ้น เสียงเล็กๆ ในหัวบอกพิงภพว่านี่ไม่ใช่อ้อมกอดของเพื่อนที่อยากง้อเพื่อน ขณะเดียวกันก็ชวนให้นึกถึงแขนที่มักพาดมากอดก่ายเวลาไปนอนค้างที่บ้าน เมื่อก่อนเขาไม่เคยติดใจเพราะนึกว่าภาณุกรคงละเมอ แต่ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าทุกสัมผัสที่ผ่านมาล้วนมีความหมาย
   
ขอบตาของเด็กหนุ่มร้อนผ่าว ในอกหนึบหน่วงจนแทบหายใจไม่ได้

“ปล่อย กูไม่มีเพื่อนชอบโกหก”
   
พิงภพเอ่ยเสียงแข็ง เขาแงะแขนที่โอบกอดแล้ววิ่งออกจากห้องพร้อมกระเป๋านักเรียน เท้าทั้งสองไม่ชะลอความเร็วถึงแม้จะไม่ได้ยินเสียงวิ่งตาม ไม่มีการหยุดแล้วหันกลับไปหา ไม่มีคำอำลาอันน่าซาบซึ้ง สิ่งเดียวที่รู้คือความอึดอัดในอกที่ไม่เคยสัมผัส ตามมาด้วยน้ำอุ่นร้อนที่กบเต็มขอบตา

++------++
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-08-2020 17:14:59 โดย bellbomb »

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
บทที่ 1

“It's my life. It's now or never. I ain't gonna live forever…”
   
เสียงเพลง It’s My Life ของบอง โจวี่ดังจากโทรศัพท์ที่ชาร์จอยู่ข้างเตียง ระดับเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ปลุกคนที่กำลังงัวเงียให้หยิบเครื่องมากดรับอย่างไม่เต็มใจ
   
“ฮัลโหล...”
   
“พุธ ขอโทษที่โทรมาปลุกแต่เช้านะ วันนี้เข้ามาหลีดกรุ๊ปให้หน่อยสิ แก้มเพิ่งไลน์มาบอกว่าท้องเสีย วันนี้คงลงน้ำไม่ไหว”
   
“หือ...แล้วคนอื่นไม่ว่างกันเหรอพี่บุ๋ม?”
   
“ไม่มีใครว่างแล้ว นี่มันไฮซีซันนะเธอ แค่จะหาครูมาสอนนักเรียนใหม่ให้ครบยังแทบแย่ มีแต่เธอที่ลาหยุดวันนี้ ถ้าไม่ติดอะไรก็เข้ามาหน่อยแล้วกัน เรือออกเจ็ดครึ่งนะ”
   
หลังพูดรัวเป็นพายุแล้วคนโทรก็ตัดสายไปดื้อๆ พิงภพอ้าปากหาวพลางขยี้ตา ตัวเลขบนหน้าจอโทรศัพท์บอกเวลาหกโมงกว่า

เอาวะ อย่างน้อยก็ได้เงิน...

ชายหนุ่มขยี้ผมที่ยุ่งเหยิงขณะลุกไปเข้าห้องน้ำ เขาทำงานเป็นครูสอนดำน้ำที่บลูแซนด์รีสอร์ตบนเกาะเต่าได้สามปีแล้ว คนที่เพิ่งโทรมาคือบุณฑริกซึ่งเป็นผู้จัดการ เนื่องจากบลูแซนด์เป็นกิจการรีสอร์ตควบโรงเรียนสอนดำน้ำ พนักงานฝั่งโรงแรมจะเป็นพนักงานประจำกินเงินเดือน แต่ฝั่งโรงเรียนสอนดำน้ำจะเป็นฟรีแลนซ์ที่คำนวณค่าจ้างรายวัน เพราะครูสอนดำน้ำส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่ไม่ได้อยู่เมืองไทยถาวร

ความจริงแล้วสายการเรียนของพิงภพไม่ได้เกี่ยวกับท้องทะเลสักนิด เขาเลือกเรียนนิเทศศาสตร์ตอนมหาวิทยาลัย แต่กลับรู้ตัวตั้งแต่ได้หัดดำน้ำแบบสกูบ้าตอน ม.6 ว่าอาชีพที่อยากทำคือครูสอนดำน้ำ ระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยก็เลยเรียนดำน้ำชั้นสูงควบในวันหยุด ทันทีที่เรียนจบปีสี่ก็สมัครงานที่รีสอร์ตนี้ พอสอบผ่านจนได้ใบรับรองก็ทำอาชีพครูสอนดำน้ำทันที เรียกได้ว่าเส้นทางชีวิตแตกต่างจากเพื่อนฝูงโดยสิ้นเชิง
   
ว่าแต่ไม่ได้ฝันถึงเรื่องสมัย ม.ปลายนานแค่ไหนแล้วนะ...
   
พิงภพยืนมองตัวเองในกระจกขณะแปรงฟัน อันที่จริงแล้วจะเรียกสิ่งที่เขาเห็นก่อนตื่นว่าความฝันก็ไม่ถูกในเมื่อมันเคยเกิดขึ้นจริง เหมือนกับว่าจู่ๆ สมองก็เล่นตลก รื้อฟื้นความหลังเมื่อเก้าปีก่อนขึ้นมาตอกย้ำความทรงจำเสียอย่างนั้น

นับตั้งแต่เหตุการณ์หลังเลิกเรียนวันนั้น ถึงจะเจอกับภาณุกรที่โรงเรียนเขาก็ไม่ทักทายหรือพูดด้วย กระทั่งที่นั่งก็ขอแลกกับเพื่อนผู้หญิงที่แอบชอบเจ้าตัว โซเชียลมีเดียทุกช่องทางที่ติดต่อกันได้ก็บล็อกชื่อ กระทั่งวันที่ภาณุกรต้องเดินทางก็ไม่ไปลา เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองในตอนนั้นถึงทิฐินัก ตอนเล่าให้พีรัช พี่ชายที่แก่กว่าห้าปีฟังเรื่องที่ทะเลาะกับภาณุกรโดยไม่บอกเรื่องที่ถูกกอด พี่ชายเขายังเหน็บว่า “ทำไมขี้งอนเหมือนผู้หญิงจังวะ” เขาเลยแกล้งทำน้ำปลาหกใส่มาม่าให้กินจนท้องเสียไปหนึ่งครั้ง

เหตุการณ์นั้นเป็นบทเรียนที่ทำให้พิงภพเป็นผู้ใหญ่ขึ้น อาจเพราะเมื่อก่อนเขายึดติดกับภาณุกรมากเกินไป พออีกฝ่ายไม่อยู่เขาถึงตระหนักว่าไม่มีเพื่อนคนอื่นที่สนิทเท่า ก็เลยตัดสินใจสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ชลบุรีซึ่งไม่มีเพื่อนมาจากโรงเรียนเดียวกัน ระหว่างนั้นก็เริ่มคบหาเพื่อนใหม่ เวลาโรงเรียนเก่าจัดงานรวมรุ่นก็ไม่ไปร่วม บ่อยครั้งที่เขาพยายามนึกย้อนถึงชีวิตตอน ม.5-6 ที่ไม่มีภาณุกรอยู่ข้างๆ แต่กลับจำอะไรแทบไม่ได้ มีแต่เรื่องที่พ่อยอมจ่ายค่าเรียนดำน้ำให้เป็นของขวัญวันเกิดที่จำได้แม่นยำ รวมถึงของขวัญที่แอบขอจากพ่อโดยปิดเป็นความลับกับแม่และพี่ชายมาถึงทุกวันนี้
   
ความคิดถึงพ่อกระตุกมุมปากให้หยักยิ้ม ตอนเด็กพิงภพสนิทกับพ่อมากและเคยอยากเจริญรอยตามด้วยซ้ำ แต่ทักษะวาดภาพไม่เอาไหนก็เลยไม่เหมาะจะเป็นช่างสัก ไม่เหมือนพีรัชที่เรียนรู้ทุกอย่างที่พ่อถ่ายทอดให้ได้หมด ตอนที่พ่อเสียหลังรู้ว่าเป็นมะเร็งลำไส้ไม่กี่เดือน พีรัชก็รับช่วงดูแลร้านสักพร้อมกับดูแลภรรยาและลูกสาววัยเตาะแตะไปด้วย ส่วนแม่รับดูแลค่าใช้จ่ายของพิงภพที่ยังเรียนไม่จบ ชีวิตช่วงนั้นไม่ถึงกับลำบากแต่ก็ไม่สบาย พิงภพพยายามทำงานพิเศษจิปาถะเพื่อจ่ายค่าเรียนดำน้ำเอง นั่นทำให้เขาไม่รู้สึกว่าสร้างภาระให้แม่มากนักระหว่างที่เป็นนักศึกษา
   
ชีวิตเรานี่ก็เปลี่ยนจากที่เคยคิดไว้เยอะเหมือนกันนะ แล้วป่านนี้ซันที่อยู่แคนาดาจะเป็นไงบ้าง จะแต่งงานมีครอบครัวไปแล้วหรือเปล่า...
   
พิงภพรีบปัดความคิดฟุ้งซ่านที่ผุดขึ้นมา หันไปแขวนผ้าเช็ดตัวแล้วเดินออกจากห้องน้ำ ป่วยการที่จะนึกถึงอดีตซึ่งแก้ไขไม่ได้ ตอนนี้เขาควรให้ความสนใจกับปัจจุบันมากกว่า

“ชิบเป๋ง! จะเจ็ดโมงแล้วนี่หว่า ไปหาอะไรกินที่รีสอร์ตแล้วกันวะ”

เวลาบนนาฬิกาแขวนผนังเตือนสติได้ชะงัด พิงภพคว้าเสื้อยืดที่ใกล้มือที่สุดมาสวม ถึงรายได้ของการเป็นครูสอนดำน้ำจะไม่แย่แต่ก็ไม่ได้ดีเลิศ ดังนั้นนอกจากจะประหยัดเงินด้วยการเช่าห้องพักราคาถูก อีกวิธีที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายก็คือใส่เสื้อยืดสตาฟของรีสอร์ตซึ่งไม่ต้องซื้อ
   
หลังหย่อนโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง หยิบกระเป๋าอุปกรณ์ดำน้ำแล้วออกจากห้องเช่า พิงภพก็ล็อกประตูด้วยพวงกุญแจรูปกัปตันอเมริกาที่เก่าจนกระดำกระด่าง แต่พอจะออกเดินไปทางบันไดก็เกือบชนคนที่ออกมาจากห้องติดกัน
   
“ขอโทษครับ”
   
นั่นเป็นเสียงของพิงภพเอง เพราะอีกฝ่ายแค่เหลือบมองเขาเงียบๆ เรือนร่างสูงที่มีมัดกล้ามได้รูปเพียงแค่หมุนตัวเดินไปทางบันได กิริยาท่าทางชวนให้นึกว่าฟังที่เขาพูดไม่ออก แต่เขารู้ว่าหมอนี่เป็นคนไทยเพราะเคยได้ยินตอนโทรคุยกับเจ้าของอพาร์ตเมนต์ แต่บุคลิกที่ไร้มนุษยสัมพันธ์อย่างนี้แหละทำให้ไม่เคยคุยกันทั้งที่เป็นเพื่อนร่วมหอได้เกินสัปดาห์แล้ว
   
เสียงการเคลื่อนไหวจากในห้องดึงดูดสายตาของพิงภพ พอปรายตามองผ่านประตูที่ปิดไม่สนิทก็เห็นหญิงสาวชาวต่างชาติกำลังลุกจากเตียง เรือนร่างสูงเพรียวสวมแค่เสื้อกล้ามเอวลอยกับกางเกงใน พอเธอเห็นเขาก็โบกมือแล้วยิ้มหวาน พิงภพเลยรีบดึงสายตากลับแล้วเดินเร็วๆ ลงชั้นล่าง ห้องพักที่นี่ไม่ได้ใหญ่โตนัก ระยะห่างไม่กี่เมตรเมื่อครู่เลยเผยทรวดทรงของสาวเจ้าให้เห็นจนหน้าร้อนไปหมด
   
มอเตอร์ไซค์เช่าของเขาจอดอยู่ในโรงรถข้างอาคาร พิงภพวางกระเป๋าอุปกรณ์ไว้บนตักแล้วสตาร์ทรถ ตอนเลี้ยวออกจากรั้วก็เห็นเจ้าผู้ชายไร้มารยาทกำลังยืนซื้อโจ๊กจากรถเข็น เสื้อกล้ามตัวหลวมเผยให้เห็นรอยสักบนแผ่นหลังซึ่งแผ่ยาวลงมาบนแขนทั้งสองข้าง ช่วงขาที่โผล่พ้นกางเกงขาสั้นข้างหนึ่งก็มีรอยสักเหมือนกัน คนทั่วไปอาจนึกขยาดเมื่อเห็นคนที่เต็มไปด้วยรอยสักแบบนี้ แต่สำหรับพิงภพที่นั่งดูพ่อทำงานมาตั้งแต่จำความได้ มันก็คืองานศิลปะบนร่างกายที่ต้องใช้รสนิยมกับความเจ็บแลกมาเท่านั้นเอง
   
ชายหนุ่มไม่ใส่ใจคนข้างห้องอีก เขารอจนไม่เห็นรถวิ่งสวนมาแล้วก็บิดมอเตอร์ไซค์ออกไปบนถนน จึงไม่รู้ตัวว่ามีสายตามองตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนชื่อรีสอร์ตที่หลังเสื้อยืดจนกระทั่งรถของเขาพ้นสายตา

++------++
   
เกาะเต่าจัดเป็นเกาะขนาดกลางๆ ในบรรดาเกาะทั้งหมดของเมืองไทย  แต่กลับโด่งดังในฐานะแหล่งเรียนดำน้ำยอดนิยมหนึ่งในสิบของโลก แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งไหลมาหลายหมื่นคน ยิ่งเดือนกรกฎาตรงกับวันหยุดฤดูร้อนของประเทศฝั่งตะวันตก นักท่องเที่ยวจำนวนมากมักจะพ่วงการเรียนดำน้ำเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ต้องทำ ยิ่งไม่กี่ปีมานี้กระแสการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ช่วยให้คนไทยสนใจดำน้ำเยอะขึ้น อาชีพครูสอนดำน้ำก็เลยเป็นที่ต้องการมากตามไปด้วย

ห้องเช่าของพิงภพอยู่ห่างจากบลูแซนด์แค่สิบนาที หลังจอดมอเตอร์ไซค์แล้วเขาก็รีบหยิบกระเป๋าพุ่งตรงไปยังห้องสำนักงาน  ในนั้นมีพนักงานของรีสอร์ตและครูสอนดำน้ำเดินเข้าออกขวักไขว่ พิงภพทักทายเพื่อนร่วมงานก่อนจะเดินเข้าไปหาบุณฑริกที่โต๊ะด้านในสุด
   
“หวัดดีฮะพี่บุ๋ม”
   
“เอ้า พี่กำลังจะโทรตามอยู่เชียว เดี๋ยวเซ็นชื่อเข้ากะให้หน่อย กรุ๊ปของพุธช่วงเช้ามีลูกค้าสามคนนะ เห็นว่าเคยดำน้ำคนละสิบกว่าไดฟ์”
   
“ยังค่อนข้างจะมือใหม่สินะ แล้วนี่เขาอยู่ไหนกันล่ะพี่บุ๋ม?”
   
“พี่ให้เขาไปนั่งรอที่ห้องอาหารหน้าหาด น้องในกลุ่มคนนึงผมสีชมพูแปร๋นเลย รับรองเห็นปุ๊บรู้ปั๊บ ไปทักทายเขาก่อนลงเรือด้วยแล้วกัน”

“โอเค เออพี่บุ๋ม ผมเห็นหน้ารีสอร์ตมีรถกระบะขนของยังกับจะมาถ่ายหนัง จะจัดอิเวนต์อะไรเหรอ?”

พิงภพถามพลางลงชื่อในสมุด เพราะรถขนของเมื่อเช้านั่นเลยทำให้เขาต้องไปหาจุดจอดมอเตอร์ไซค์ไกลกว่าปกติ
   
“อ๋อ เอเจนซี่มาถ่ายโฆษณาน่ะ เห็นว่าติดต่อผ่านพี่บู๊ไว้ แกคงนึกว่าช่วงไฮซีซันนี่พวกเรางานยุ่งไม่พอละมั้ง”
   
บุณฑริกบ่นกระปอดกระแปดถึงพี่ชายซึ่งเป็นเจ้าของรีสอร์ต พิงภพพยักหน้าเข้าใจก่อนจะฝากของมีค่าในล็อกเกอร์ เขาเดินออกไปทักทายกลุ่มลูกค้าที่ห้องอาหารตามที่บุณฑริกบอก ปกติแล้วคนที่เพิ่งมาสมัครเรียนดำน้ำจะได้ลงสอบภาคปฏิบัติในทะเลกับครูผู้สอน แต่ถ้าลูกค้าเคยเรียนดำน้ำมาก่อนแล้วสนใจแพคเกจดำน้ำรายวัน ทางรีสอร์ตจะให้ครูหรือผู้ช่วยครูที่ว่างมาดูแลในอัตราหนึ่งต่อสี่เพื่อความปลอดภัย
   
กลุ่มลูกค้าที่พิงภพต้องดูแลเป็นสาวๆ นักศึกษาที่แบกเป้มาเที่ยวกันเอง อายุที่มากกว่าไม่กี่ปีทำให้เขาสนทนากับพวกเธอเรื่องชีวิตวัยเรียนได้อย่างสนุกสนาน กระทั่งเจ็ดโมงครึ่ง เจ้าหน้าที่ประสานงานของเรือก็แจ้งให้ทุกคนไปขึ้นเรือเล็กที่หน้าหาด เพราะต้องไปต่อขึ้นเรือลำใหญ่เพื่อไปยังจุดดำน้ำอีกที
   
“ตอนขึ้นเรือใหญ่ไม่ต้องรีบนะครับ ค่อยๆ ต่อแถวขึ้นไปทีละคน ชั้นล่างของเรือจะเป็นพื้นที่แต่งตัวก่อนลงน้ำ ส่วนชั้นบนเป็นที่นั่งพัก ชากาแฟกับขนมทุกอย่างหยิบกินได้ตามสบาย นี่ผมก็กะกินพวกนั้นเป็นมื้อเช้านี่แหละ”

สมาชิกในกลุ่มพากันหัวเราะคิกคัก เช้านี้มีลูกค้าบนเรือสี่สิบกว่าคน ไม่นับรวมสตาฟอีก กราบซ้ายขวาของเรือจึงเกิดความชุลมุนย่อมๆ ทุกครั้งที่ต้องสวมอุปกรณ์ เคยมีเพื่อนนอกวงการถามเขาว่าลงน้ำทุกวันไม่เบื่อหรือ แต่สำหรับพิงภพ เสน่ห์ของงานนี้คือการที่เขาได้พบเจอคนใหม่ๆ ทุกวัน แถมเวลาลงน้ำแต่ละครั้งก็ยังได้ลุ้นว่าจะเจอสัตว์น้ำแบบไหนบ้าง หรือสัตว์ตัวที่เคยเจอจะยังอยู่ที่เดิมไหม แล้วความแตกต่างของสภาพน้ำในแต่ละวันก็ยิ่งทำให้เขาไม่เคยนึกเบื่องานนี้สักที
   
ในช่วงเช้าเรือพาไปดำน้ำสองแห่ง ระหว่างที่พักจากการดำน้ำแต่ละแห่งทุกคนจะขึ้นไปนั่งบนดาดฟ้า บ้างก็อวดรูปถ่ายของตัวเองจากกล้องใต้น้ำ ความสดใสของสาวๆ นักศึกษาในกลุ่มทำให้พิงภพนึกถึงตัวเองสมัยเรียน ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาเพิ่งผ่านพ้นช่วงเวลาคล้ายกันเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง
   
“ครูพุธๆ”
   
“ครับ?”
   
ระหว่างพักเที่ยงบนเรือจะจัดอาหารให้ตักกินแบบบุฟเฟต์ พิงภพเงยหน้าขึ้นจากจานเมื่อได้ยินเสียงเรียก และเห็นสมาชิกกลุ่มคนที่ผมสีชมพูชี้เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ

“ไอ้ฮั้วมันสงสัยค่ะ ว่าครูพุธมีแฟนหรือยัง”
   
“เฮ้ย! ไอ้บ้า! ฉันก็บอกอยู่ว่าไม่ต้องถาม!”
   
เด็กสาวชื่อฮั้วตบไหล่เพื่อนดังป้าบ แต่สีหน้าท่าทางดูไม่เขินอายสักนิด พิงภพหัวเราะเพราะรู้ว่าเจ้าหล่อนคงไม่ได้สนใจเขาเป็นพิเศษ
   
“สมัยเรียนเคยมี แต่พอเรียนจบแล้วทำงานคนละที่ก็เลยเลิกกันครับ แต่ว่าเลิกกันด้วยดีนะ”
   
“โห แต่ก็จริงนะ พี่สาวของเนมก็เลิกกับแฟนเพราะหลังเรียนจบแฟนไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น เพื่อนๆ พากันเตือนว่าคบทางไกลมันไม่รอดหรอก สุดท้ายก็เป็นตามนั้นจริงๆ เพราะแฟนเขาไปได้แฟนใหม่ที่โน่น”
   
“หา? เจ้หน่องอะเหรอ แสดงว่าเพิ่งเลิกกันไม่นานนี้เองดิ”
   
เด็กสาวอีกคนโพล่งขึ้น พิงภพเห็นว่าหัวข้อสนทนาไม่เกี่ยวกับเขาแล้วก็เลยลุกเอาจานไปใส่กะละมัง จากนั้นก็เดินลงไปชงกาแฟที่เคาน์เตอร์ชั้นล่าง วันนี้คลื่นไม่ค่อยแรง แสงแดดสะท้อนผิวน้ำจนเป็นเงาระยับ ส่วนท้ายเรือนั้นเหล่าลูกเรือกำลังใช้ท่อเติมอากาศใส่ถังเสียงดังฟู่
   
คำถามของเหล่าเด็กสาวทำให้พิงภพนึกถึงเรื่องที่ลืมไปแล้ว สมัยเรียนเขาเคยมีแฟนจริงๆ แต่ที่คบกันก็เพียงเพราะเรียนเอกเดียวกัน พวกเขาไม่เคยพัฒนาความรู้สึกลึกซึ้งจนคิดไปไกลถึงอนาคต พอเรียนจบก็เลยตัดสินใจลงเอยด้วยมิตรภาพ
   
แต่ทำไมตอนได้ยินคำว่า ‘คบทางไกลไม่รอด’ เขาดันนึกถึงซันแทนที่จะเป็นแฟนเก่านะ...
   
“เป็นไรเพื่อน ทำหน้ายังกับท้องผูก”
   
คำถามกวนๆ เป็นภาษาอังกฤษสำเนียงจีนกับแขนที่พาดไหล่ทำเอาพิงภพกลอกตา ลีเป็นครูสอนดำน้ำชาวจีนที่เริ่มทำงานที่บลูแซนด์ในเวลาไล่เลี่ยกับเขา อายุที่ใกล้เคียงกันทำให้สนิทกันอย่างรวดเร็ว
   
“หน้านายสิเหมือนอึไม่ออก ฉันแค่นอนน้อยเพราะพี่บุ๋มโทรตามแต่เช้าต่างหาก”
   
“อ๋อ เลยต้องมาทำงานแทนแก้มสินะ เอาน่า จะได้เก็บเงินไปดำน้ำที่กาลาปากอสไง”
   
ลีพูดแล้วหัวเราะร่วน ระหว่างนั้นครูสอนดำน้ำบางส่วนพากันลงมาชั้นล่าง พวกเขาจึงเข้าไปร่วมวงด้วย เหล่าครูสอนดำน้ำของบลูแซนด์มาจากแทบทุกทวีปทั่วโลก ภาษาอังกฤษที่สื่อสารก็มีสารพันสำเนียง บ่อยครั้งพิงภพจึงแทบลืมว่าเขาอยู่เมืองไทย

ไม่ช้าเสียงหัวเราะเฮฮาของพวกเขาก็ดึงดูดพวกนักเรียนให้เดินตามลงมา ประจวบเหมาะกับที่เรือออกแล่นเพื่อไปยังจุดดำน้ำถัดไป ผู้จัดการของเรือเดินมากลางวงแล้วประกาศเสียงดัง
   
“กัปตันบอกว่ามีเรือประมงเห็นฉลามวาฬที่ไวท์ร็อค จุดแรกที่พวกเราจะไปดำน้ำช่วงบ่ายก็คือไวท์ร็อคพอดี เดี๋ยวทุกคนรีบแต่งตัวแล้วช่วยกันภาวนาว่ามันจะยังอยู่ก็แล้วกัน”
   
มีเสียงกรี๊ดกร๊าดจากเหล่าสมาชิกที่แตกฮือไปแต่งตัว บรรดาครูสอนดำน้ำก็ผละจากวงสนทนาเพื่อไปดูแลสมาชิกของตัวเอง พิงภพเหลียวมองบรรยากาศอันจอแจรอบตัวแล้วก็ยิ้ม นี่คือเส้นทางชีวิตที่เขาเลือกแล้ว และเขาพอใจกับมันจนไม่คิดจะหวนกลับไปเปลี่ยนสิ่งใดในอดีตทั้งสิ้น

++---TBC---++

มาเปิดเรื่องใหม่หลังห่างหายเล้าเป็ดไปนานมาก ขอฝากนิยายเรื่องล่าสุดด้วยนะคะ สำหรับเรื่องนี้ ตัวเอกจะติสต์หน่อยๆ มีฟีลรักสามเส้า (เคล้าน้ำตาไหม...ไม่บอก) และหาดทราย สายลม แสงแดด จะพยายามมาอัพอย่างสม่ำเสมอค่ะ
 :katai2-1:   :mew1:   :mc4:

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
เลือกไม่ถูกเลยว่าจะเชียร์ใครดี
ขอติดตามทำความรู้จักกับหนุ่มๆด้วยคนนะคะ :3123:

 :pig4:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ถ้าจะกลับมาจีบน่าจะยาก

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ติดตามจ้า  :L2:

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
ติดตาม ชอบนักเขียนค่ะ

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
หูยยยยยย นิยายคุณ bellbomb ไม่ได้อ่านเรื่องใหม่นานมากกกกก ดีใจจังค่ะ welcome back นะคะ   :กอด1:

Location เป็นทะเล ตัวเอกเป็นครูสอนดำน้ำ แปลกดีจังไม่ค่อยเจอเลยค่ะ บรรยากาศ หาดทราย สายลม ใต้น้ำ สวยๆ ใสๆ คงไม่ดราม่ามากหรอกเนอะ อิอิ

ชอบค่ะ ติดตามๆ มาอัพบ่อยๆนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์นะคะ จะพยายามมาลงสัปดาห์ละตอน ไม่วันพฤหัสก็วันศุกร์ค่า  :mew1:

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
บทที่ 2
 
หลังจบการดำน้ำภาคบ่ายเรือก็พาทุกคนกลับฝั่ง คนที่จะไม่ลงดำน้ำภาคค่ำต้องเอาอุปกรณ์ไปคืนที่ห้องเก็บของ ลูกทีมของพิงภพให้เขาช่วยเซ็นชื่อในสมุดพกของนักดำน้ำก่อนจะกล่าวลา หลังแยกกันเขาก็เดินไปล้างตัวที่ข้างสระ เปลี่ยนใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นแล้วเดินไปที่ห้องสำนักงาน
               
“มาลงเวลาฮะพี่บุ๋ม”
             
“ทำไมเร็วจัง? อ้อ กลุ่มของพุธไม่ลงไนต์ไดฟ์กันสินะ งั้นวันนี้ก็กลับไปพักเถอะ โทษทีที่ให้มาทำงานในวันหยุด”

“ไม่เป็นไร ถึงยังไงก็คงมานั่งเล่นที่นี่อยู่ดีเพราะไม่รู้จะไปไหน ว่าแต่แก้มเป็นไงบ้าง?”               

“ได้นอนพักก็คงดีขึ้นแล้วมั้ง เพราะเพิ่งไลน์มาว่าพรุ่งนี้น่าจะทำงานได้”               

“เหรอ...งั้นพรุ่งนี้มีนักเรียนใหม่หรือกลุ่มฟันไดฟ์ให้ผมหลีดมั่งไหมอะ”               

บุณฑริกเบนสายตาจากคอมพิวเตอร์ พอเห็นสีหน้าของเขาก็หันมาหาทั้งตัว               

“เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมหน้าตาดูหงอยๆ โฮมซิกเหรอ?”               

“เปล่า แค่อยู่ดีๆ ก็เซ็ง เลยคิดว่าเอาเวลาที่เซ็งมาทำงานหาเงินดีกว่า”               

“เฮ้ย เพิ่งเบญจเพสเองไม่ใช่เหรอ จะรีบเซ็งเซิงอะไร เจ๊อายุปูนนี้แล้วยังไม่เซ็งเลย”               

บุณฑริกหัวเราะพลางหันไปดูคอมพิวเตอร์อีกครั้ง แต่พิงภพรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเช็กตารางงานให้ ถึงจะอายุสี่สิบกว่าแล้ว แต่บุณฑริกเป็นเวิร์คกิ้งวูแมนที่กระฉับกระเฉงและเอาใจใส่พนักงานทุกคน ตอนพิงภพมาเริ่มงานเมื่อสามปีก่อนก็ได้เธอช่วยแนะนำห้องเช่าและการใช้ชีวิตบนเกาะจนปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว               

“วันพรุ่งนี้เต็มเพราะจัดกลุ่มลงตัวแล้ว เดี๋ยวพี่ลงชื่อพุธไว้วันมะรืนก็แล้วกัน ถ้ามีลูกค้ามาจะได้ยกให้เป็นคิวแรกเลย”               

“ขอบคุณฮะ งั้นวันพรุ่งนี้ผมมานั่งเล่นแถวนี้ก็แล้วกัน เผื่อใครจะมีอะไรให้ช่วย”             

“เผื่อมีอะไรให้ช่วยเหรอ...แป๊บนึง เหมือนจะมีอยู่นะ”               

“หือ?”
               
พิงภพมองบุณฑริกที่ทำตาวาวเหมือนนึกอะไรออก เธอคลิกเมาส์สองสามทีก่อนจะดีดนิ้วดังเปาะ               

“พอดีเลย จำที่เมื่อเช้าบอกว่ามีเอเจนซี่มาถ่ายโฆษณาได้ไหม? วันพรุ่งนี้เขาอยากไปถ่ายทำรอบๆ เกาะก็เลยจะขอคนของเราคนนึงไปช่วยแนะนำสถานที่ ตอนแรกพี่จะให้น้องในออฟฟิศไป แต่ถ้าพุธว่างก็ไปแทนหน่อยแล้วกัน”                 

“หา? พี่บุ๋มจะให้ผมไปเป็นไกด์เนี่ยนะ? ได้เงินรึเปล่า?”

“งานฟรีจ้ะ เอาน่า เกาะเรามันก็ไม่ได้ใหญ่โตมากมาย ดีกว่าอยู่ว่างๆ ไม่แน่อาจได้เข้าซีนเป็นตัวประกอบด้วยนะ”               

“แหม ผมว่าแบบนั้นพี่บุ๋มเหมาะกว่าเยอะ เผื่อเข้าตาผู้กำกับแล้วได้ประกบคู่กับพระเอก”               

“อู๊ยยย ถ้าเข้าตาผู้กำกับจริงฉันก็ไม่ได้มานั่งทำงานอยู่นี่แล้ว ตกลงจะทำไหมล่ะ ได้กินข้าวฟรีสามมื้อกับพวกทีมงานด้วยนะ”               

คีย์เวิร์ดท้ายประโยคทำเอาพิงภพหูผึ่ง “ข้าวฟรีเหรอ งั้นทำก็ได้ ไม่ได้เงินแต่ไม่ต้องจ่ายค่าข้าวก็โอเค้”               

“งั้นก็ตามนั้น พรุ่งนี้มาเจอทีมงานตอนเจ็ดโมงนะ จะได้กินข้าวเช้าแล้วก็บรีฟกับเขาให้เสร็จก่อนออกไป”
               
หลังตกลงกันเสร็จเรียบร้อย พิงภพก็นั่งคุยสัพเพเหระกับบุณฑริกก่อนจะออกจากสำนักงาน แต่เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงเรียก               

“เฮ้พุธ ไปกินข้าวเย็นด้วยกันไหม?”               

“มาริอุส? ลีด้วย? ฉันนึกว่าพวกนายไปลงไนต์ไดฟ์กันซะอีก”

พิงภพเดินเข้าไปหาเพื่อนครูสอนดำน้ำชาวบราซิลกับชาวจีนที่กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างสำนักงาน ทั้งสองพากันสูดควันอึกสุดท้ายก่อนจะขยี้ก้นบุหรี่ทิ้งถังขยะ               

“กลุ่มของฉันขอเลื่อนเป็นคืนพรุ่งนี้ ส่วนของลีไม่มีคิวลงไนต์ไดฟ์ตั้งแต่แรกแล้ว”

“สเวนล่ะ? อ้อ ลืมไปว่าวันนี้หมอนั่นต้องประสานงานกับเรือทั้งวัน”               

สเวนเป็นผู้ช่วยครูสอนดำน้ำชาวสวีเดนซึ่งอายุมากกว่าพวกเขาเพราะปีนี้ก็ 29 แล้ว ในบรรดาครูสอนดำน้ำทั้งหมด สามคนนี้ค่อนข้างสนิทกับพิงภพมากที่สุด               

“แล้วจะกินอะไรกันดี? อาหารตามสั่ง? พิซซ่า? หมูกระทะ?”

“ถ้านายกลับไปบราซิลเมื่อไหร่ต้องคิดถึงหมูกระทะแหงๆ”               

“แต่พิซซ่าก็ดีนะ เฮ้ย! วันนี้ร้านของเปาโลมีโปรโมชั่นหนึ่งแถมหนึ่งนี่นา สามคนกินสองถาดก็คุ้มอยู่”               

ลีเอ่ยเมื่อนึกขึ้นได้ ทั้งสามจึงพากันเดินไปที่ร้านอาหารอิตาเลียนเก่าแก่ไม่ไกลจากรีสอร์ต โดยรอบเต็มไปด้วยผับบาร์และร้านอาหารซึ่งคึกคักไปด้วยลูกค้า               

“ช่วงไฮซีซันนี่ก็ดีอย่าง เวลาอุดหนุนร้านไหนแล้วไม่ค่อยรู้สึกผิดกับร้านอื่น”               

มาริอุสเอ่ยหลังจากนั่งลง เปาโลซึ่งเป็นเจ้าของร้านเดินมารับออเดอร์จากพวกเขาโดยตรง ชายสูงวัยเปิดร้านอาหารบนเกาะร่วมกับภรรยาชาวไทยได้สิบกว่าปีแล้ว เป็นหนึ่งในร้านขึ้นชื่อที่นักท่องเที่ยวต้องอุดหนุนให้ได้ถ้ามาเกาะเต่า               

เบียร์สามขวดถูกยกมาเสิร์ฟเป็นอย่างแรก ตามด้วยพิซซ่าซีฟู้ดกับเป๊ปเปอโรนีอย่างละถาด พิงภพหยิบพิซซ่าชิ้นหนึ่งขึ้นกินพลางชวนคนอื่นคุย               

“พรุ่งนี้พวกนายทำอะไรกันบ้าง?”               

“ของฉันมีสอนนักเรียนใหม่ที่เป็นคู่ฮันนีมูนจากไต้หวัน นายล่ะมาริอุส?”               

“มีสอนเหมือนกันแต่เป็นคอร์สแอดวานซ์ให้กลุ่มที่มาจากสเปน ช่วงนี้พวกครูที่พูดสเปนได้ไม่อยู่สักคน ดีนะที่แม่เคี่ยวเข็ญให้ฉันเรียนภาษาสเปนแต่เด็กก็เลยใช้ทำงานได้”               

“อ้อ เพราะปกติคนบราซิลใช้ภาษาโปรตุเกสนี่นะ ของฉันสิต้องไปเป็นไกด์ให้เอเจนซี่ที่จะถ่ายโฆษณาวันพรุ่งนี้”           

“พวกที่ขนอุปกรณ์อะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมดน่ะเหรอ ฉันกำลังสงสัยพอดีว่ามาทำอะไรกัน”               

พวกเขากินกันไปคุยกันไป ระหว่างนั้นเปาโลแวะมานั่งคุยด้วยครู่หนึ่ง จนเมื่อทั้งสามอิ่มก็จ่ายเงินแล้วแยกย้ายกัน อพาร์ตเมนต์ที่ลีกับมาริอุสเช่าอยู่ไม่ไกลจากร้านของเปาโล จึงมีแต่พิงภพที่ต้องเดินกลับไปเอารถมอเตอร์ไซค์ที่หน้ารีสอร์ต
               
ชายหนุ่มล้วงกุญแจออกมาเสียบรถมอเตอร์ไซค์ แต่บิดแล้วสตาร์ทไม่ติด เขามุ่นคิ้วแล้วดึงกุญแจออกมาเสียบใหม่ แต่ไม่ว่าจะลองสตาร์ทด้วยมือหรือเท้าก็ไม่เกิดอะไรขึ้น หลังพยายามอยู่หลายครั้งก็มั่นใจว่ารถมีปัญหา               

ให้มันได้อย่างนี้สิ ตอนเช้าก็โดนโทรปลุกมาทำงาน พรุ่งนี้ก็ต้องไปเป็นไกด์ฟรีให้คนแปลกหน้า คืนนี้ก็ยังต้องเดินกลับหออีกเหรอเนี่ย...               

เหงื่อเม็ดใสเริ่มซึมบนหน้าผาก ถึงห้องเช่าของเขาจะอยู่ห่างในระยะขับรถแค่สิบนาที แต่ถ้าเดินเท้าก็มากกว่าครึ่งชั่วโมงเพราะเป็นทางขึ้นเนิน อีกทางเลือกคือโบกรถสองแถวซึ่งเริ่มต้นที่สามร้อยบาท และเขาไม่ยอมเสียเงินขนาดนั้นแน่ๆ               

“เฮ้อออ ไปขอค้างกับลีก็ได้วะ”               

ชายหนุ่มบ่นหลังความพยายามสตาร์ทรถอีกครั้งไม่เป็นผล เขาเหลียวมองรถมอเตอร์ไซค์ที่อยู่ถัดไปไม่ไกลเมื่อได้ยินเสียงสตาร์ท แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นว่าคนขับคือเจ้าคนข้างห้องผู้ไร้มนุษยสัมพันธ์

ที่แย่กว่านั้น...หมอนั่นก็หันมาเห็นเขาแล้วด้วย                 

ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน อึดใจหนึ่งอีกฝ่ายก็ทำลายความเงียบก่อน 

“รถเสีย?”               

พิงภพใช้เวลาครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจว่าถูกถาม เพราะเคยนึกว่าหมอนี่คงไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้าเสียอีก               

“อือ สตาร์ทไม่ติด”               

เขาตอบด้วยโทนเสียงไม่เป็นทางการเหมือนกัน จากลักษณะท่าทางและการใช้คำพูด พิงภพเดาว่าอีกฝ่ายน่าจะอายุน้อยกว่าที่เคยคิดไว้               

“กำลังจะกลับพอดี จะมาด้วยกันก็ได้”               

คนพูดเอ่ยพลางถอยรถออกจากช่องที่จอด พิงภพยังคงยืนอึ้ง จนเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นนั่นล่ะ เขาถึงค่อยรู้สึกตัวแล้วเดินเข้าไปหา               

“ขอบคุณ เอ่อ...แล้วไม่มีคนอื่นไปด้วยเหรอ?”               

“ไม่มีนี่ ก็อยู่คนเดียวประจำ”               

แล้วไอ้ที่เห็นเมื่อเช้านั่นวิญญาณเจ้าที่หรือไง...พิงภพคิดพลางก้าวขึ้นคร่อมเบาะหลัง วันนี้เขาฝากกระเป๋าอุปกรณ์ไว้ที่สำนักงาน บนตัวก็เลยมีแค่เป้ใส่ของใบเล็ก               

“ขยับเข้ามาหน่อยก็ได้ น้ำหนักมันไม่สมดุล”               

พอโดนบอกอย่างนั้นพิงภพเลยต้องกระถดตัวไปข้างหน้า แต่อานรถคันนี้เป็นแบบเชิดท้ายสูงและไม่มีราวให้จับ การพยายามจะนั่งให้ปลอดภัยโดยไม่โดนตัวอีกฝ่ายจึงท้าทายพอสมควร               

“นี่ไม่เคยซ้อนมอเตอร์ไซค์เหรอ?”               

“หา? เคยดิ”               

“งั้นไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ ถึงจับเอวก็ไม่กัดหรอก ไม่ซ้อนให้ดีเดี๋ยวก็หงายหลัง”               

“เหวอ!”               

พิงภพรีบคว้าเอวคนข้างหน้าเมื่อรถพุ่งออกโดยไม่ให้สัญญาณ เสียงลมที่พัดผ่านหูหวีดหวิวจนแทบไม่ได้ยินเสียงอื่น แต่ก็มั่นใจจากไหล่ที่สั่นนิดๆ ว่าหมอนี่กำลังหัวเราะ               

กวนประสาทแบบนี้คงเด็กกว่าแน่นอน นี่ถ้าไม่กลัวรถคว่ำจะจี้เอวให้สักที               

ชายหนุ่มคิดอย่างหมั่นไส้ หลังขับขึ้นเนินจนมาถึงโรงจอดรถของอพาร์ตเมนต์ พิงภพก็จี้เอวอีกฝ่ายจริงๆ หลังก้าวลงจากรถที่จอดสนิท               

“เฮ่ย! เล่นอะไรเนี่ย!”               

“อ้าว ถ้าเงียบไว้ก็ไม่รู้นะเนี่ยว่าบ้าจี้”               

พิงภพหัวเราะเมื่อเห็นคู่สนทนายกมือกอดอกพลางทำหน้ามุ่ย แต่ที่ไม่คาดว่าจะได้เห็นคือริมฝีปากที่ยื่นอย่างไม่พอใจนั้นเหยียดออกเป็นรอยหยักยิ้ม ถึงจะเป็นยิ้มที่น้อยเสียจนอยากใช้แว่นขยายส่อง

“เอาเถอะ ตรงนี้ไม่มีคนอื่นเห็น จะยกให้สักทีนึง”               

“โทษๆ ยังไงก็ขอบคุณมากที่อุตส่าห์รับมาด้วย ไม่นึกว่ารถจะเสียเพราะเมื่อเช้ายังวิ่งได้ปกติอยู่เลย”               

“ไม่เป็นไร ก็แค่บังเอิญไปจอดอยู่แถวนั้นเหมือนกัน”               

อีกฝ่ายพูดพลางใช้โซ่คล้องรถไว้กับรั้ว พิงภพรู้สึกผิดคาด ถึงจะพูดไม่ได้ว่าคนข้างห้องของเขา ‘เฟรนด์ลี่’ แต่ก็ไม่ถึงกับไร้มนุษยสัมพันธ์ ขณะที่คิดอย่างนั้น คนตัวสูงกว่าก็เดินลิ่วไปที่บันไดอพาร์ตเมนต์จนเขาต้องรีบตาม               

“นี่ พรุ่งนี้ต้องไปไหนหรือเปล่า จะว่าอะไรไหมถ้าจะขอยืมรถ?”

“ห้ะ?”               

คนที่เดินนำหันมามุ่นคิ้วใส่ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้พิงภพคงไม่คิดจะถาม แต่หลังได้คุยกันเมื่อไม่กี่อึดใจก่อน เขาก็มั่นใจว่าหมอนี่ไม่ใช่คนแล้งน้ำใจ               

“ก็อย่างที่เห็นว่ารถเราเสีย แต่ว่าพรุ่งนี้ต้องไปทำงานตั้งแต่เช้า พวกร้านมอเตอร์ไซค์ให้เช่ากว่าจะเปิดกันก็เก้าโมงสิบโมง ขอยืมไม่เกินหนึ่งวันหรอก เพราะถ้าต้องเอารถเข้าอู่ก็คงเช่าคันอื่นมาใช้แทน”

พิงภพมองคนที่ทอดสายตาไปทางอื่นเหมือนชั่งใจ อึดใจหนึ่งใบหน้าที่ดูไม่ค่อยรับแขกก็หันกลับมา               

“พรุ่งนี้ต้องไปทำงานกี่โมง?”               

“นัดไว้เจ็ดโมง แต่กะว่าจะไปเร็วกว่านั้นหน่อยเพราะจะได้กินข้าวก่อน”               

“นัดเช้าเป็นบ้า แต่ให้ยืมไม่ได้หรอกเพราะทางนี้ก็ต้องใช้รถ”

ก็คิดอยู่แล้วว่าคงไม่ได้...พิงภพไหล่ตกลงนิดหนึ่ง แต่แล้วก็เลิกคิ้วเมื่อได้ยินประโยคถัดไป 

“เอาเป็นว่าพรุ่งนี้จะพาไปส่งก็แล้วกัน หกโมงครึ่งเจอกันที่รถ”

พูดจบเจ้าคนหน้ามุ่ยก็เดินดุ่มๆ ขึ้นบันได พิงภพเสียอีกที่ยืนอยู่กับที่ด้วยความเหวอ แต่พอตั้งตัวได้ก็รีบสาวเท้าตามไปคว้าประตูห้อง

“ขอบคุณนะ งั้นพรุ่งนี้เช้าเจอกัน”               

“อือ”               

คนตอบดึงประตูปิดโดยไม่มองหน้าเขา แต่เหตุการณ์ในคืนนี้ทำให้พิงภพเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับหนุ่มข้างห้องไปมาก เพราะถึงเจ้าหนุ่มยิ้มยากคนนี้จะนิสัยดิบไปหน่อย พูดจามะนาวไม่มีน้ำไปนิด แต่กลับมีน้ำใจอย่างไม่น่าเชื่อ ที่สำคัญได้เพื่อนใหม่อีกคนก็ย่อมดีกว่าคนข้างห้องที่ไม่พูดไม่จากันอยู่แล้ว 

++------++               

เช้าวันถัดมาพิงภพตื่นตั้งแต่หกโมง เขาล้างหน้าแปรงฟันอย่างไม่รีบร้อน พอใกล้จะหกโมงครึ่งก็เดินผ่านหน้าห้องของเจ้าหนุ่มยิ้มยากลงไปชั้นล่าง และเห็นว่ามอเตอร์ไซค์ยังโดนคล้องโซ่ไว้เหมือนเมื่อคืน               

ชายหนุ่มมองชื่อร้านและหมายเลขที่ติดอยู่บนรถ มอเตอร์ไซค์คันนี้ก็เป็นมอเตอร์ไซค์เช่าเหมือนของเขา นักท่องเที่ยวและคนที่มาทำงานบนเกาะส่วนใหญ่มักเช่ามอเตอร์ไซค์เพราะเป็นวิธีเดินทางที่ง่ายและประหยัดที่สุด คนที่ขับรถใหญ่กว่านั้นมีแต่คนท้องถิ่นกับโรงแรมที่ต้องรับส่งลูกค้า ดูจากบุคลิกของคนข้างห้อง เขาเชื่อว่าถ้าเจอกันที่กรุงเทพฯ หมอนั่นคงจะขับบิ๊กไบค์หรือซุปเปอร์คาร์ พิงภพโตมาในร้านสักตั้งแต่เด็กย่อมดูออก ลวดลายที่อยู่บนตัวผู้ชายคนนั้นเป็นงานออกแบบเฉพาะโดยช่างฝีมือดีที่ราคารวมอาจจะถึงแสน แถมเสื้อผ้าและนาฬิกาที่ใช้ก็ไม่ใช่ยี่ห้อบ้านๆ ถึงเจ้าตัวจะไม่ทำท่าโอ้อวดก็ตาม               

ว่าแต่หมอนั่นจะมาอยู่ที่เกาะนานแค่ไหนนะ เพิ่งเรียนจบก็เลยมาเที่ยว? กำลังรอเปลี่ยนงานก็เลยมาพักร้อน? หรือตั้งใจจะมาหางานทำที่นี่เป็นเรื่องเป็นราว?                 

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ พิงภพซึ่งนั่งรอบนแคร่ใต้ต้นไม้เริ่มกระวนกระวาย พอหกโมงห้าสิบเขาก็ตัดสินใจเดินกลับขึ้นไปชั้นบน แต่พอจะเคาะประตูถึงนึกได้ว่ายังไม่รู้ชื่อเจ้าของห้อง               

เอาวะ ยังไงก็ลองดูก่อน...

“ก๊อกๆ”               

ไม่มีเสียงตอบหลังการเคาะครั้งแรก พิงภพเงี่ยหูกับประตูก็ไม่ได้ยินอะไร เขาพ่นลมหายใจแล้วลองเคาะอีกครั้ง คราวนี้ได้ผลเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าก่อนประตูจะถูกกระชากเปิด               

“เอ่อ...โทษทีที่ปลุก แต่ว่านี่จะเจ็ดโมงแล้ว”               

ชายหนุ่มพยายามยิ้มสู้เสือแม้ในใจจะเริ่มลีบ สภาพของคนที่ยืนอยู่หลังประตูบอกชัดเจนว่าเพิ่งตื่น ผมเผ้ายุ่งกระเซิง คิ้วหนาขมวดมุ่น นัยน์ตาหยีเหมือนไม่พร้อมรับแสงยามเช้า รอยสักที่พาดบนคอและบ่า ยาวลงมาตามต้นแขน แผ่นอกและสีข้างดึงดูดให้มองตามโดยไม่ตั้งใจ สุดท้ายก็สะดุดเข้ากับกางเกงบ็อกเซอร์เข้ารูปที่แทบปิดอาการเคารพธงชาติไม่มิด               

พิงภพรีบดึงสายตาขึ้นทันที แต่พอเจ้าคนหน้าง่วงส่งเสียงหึขึ้นจมูกก็ร้อนผิวแก้มไปหมด                 

“ยิ้มทำไม ไม่ได้ตั้งใจจะมองสักหน่อย”               

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ ถึงมองจนตาหลุดก็เอาไปไม่ได้อยู่แล้ว”               

คนพูดเอ่ยด้วยน้ำเสียงกวนๆ พลางยกมือลูบขอบกางเกงเหมือนตั้งใจจะดึงสายตาเขาลงไปอีก พิงภพเริ่มสองจิตสองใจระหว่างเดินหนีกับฮุกหมัดขวาใส่เจ้าคนหน้าด้านนี่สักที                 

“ถ้าไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร ขอโทษที่ปลุก กลับไปนอนต่อเถอะ”

“เดี๋ยว แล้วจะไปยังไง?”               

น้ำเสียงของคนถามดูตื่นตัวมากขึ้น พิงภพเลยโบกมือขณะก้าวขาไปทางบันได               

“เดี๋ยวเรียกรถสองแถวเอา ถ้าไม่ใช่นักท่องเที่ยวเขาคงลดราคาให้หน่อย”                 

“จะลดให้ได้สักกี่บาท ลงไปรอที่รถก่อน เดี๋ยวใส่เสื้อผ้าแล้วตามไป”               

“ก็บอกว่าไม่ต้อง...”               

ประตูห้องปิดก่อนเขาจะพูดจบ พิงภพเลยต้องเดินลงไปรอข้างล่าง คราวนี้ไม่ต้องรอนานเพราะเจ้าของรถแทบจะตามมาติดๆ ท่าทางคงจะหยิบเสื้อกับกางเกงมาใส่โดยไม่ล้างหน้าแปรงฟัน พอมาถึงรถก็ไขกุญแจที่คล้องโซ่แล้วสตาร์ทรถทันที               

“ขึ้นมาเร็วสิ ชักช้าเดี๋ยวก็ยิ่งสาย”               

แล้วสายเพราะใครล่ะโว้ย! พิงภพคิดแต่ก็รีบก้าวขึ้นซ้อน ความเคยชินจากเมื่อคืนทำให้นั่งใกล้อีกฝ่ายโดยไม่ต้องเตือน ขณะรถวิ่งออกมาบนถนนใหญ่ ลมที่พัดกรูก็พากลิ่นแชมพูกรุ่นเข้าจมูก พิงภพเพิ่งตระหนักว่าต้นขาของเขาแนบชิดกับสะโพกของคนข้างหน้าจนแทบไม่มีที่ว่าง แต่จะขยับตัวหนีระหว่างรถวิ่งก็ทุลักทุเลพิกล

“เมื่อเช้าขอโทษนะที่ไปปลุก” ...แก้เก้อด้วยการชวนคุยแล้วกัน

“ไม่เป็นไร เราออกตัวเองนี่ว่าจะพาคุณไปส่ง พอดีเมื่อคืนลืมตั้งนาฬิกาก็เลยหลับเพลินไปหน่อย”               

สรรพนามที่อีกฝ่ายใช้ชวนให้รู้สึกทะแม่ง พิงภพถึงนึกได้ว่าควรจะแนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการสักที               

“นี่ ชื่ออะไรน่ะ?”               

“อยู่ห้องติดกันมาเป็นอาทิตย์แล้วเพิ่งอยากรู้เหรอ?”               

“เอ้า ก่อนหน้านี้เคยคุยกันซะที่ไหน ที่ถามเพราะจะได้เรียกถูก เราชื่อพุธ ทำงานเป็นครูสอนดำน้ำที่บลูแซนด์”               

“อันนั้นรู้ ก็เห็นใส่เสื้อยืดรีสอร์ตอยู่ทุกวัน”               

อีกฝ่ายพูดจบแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ พิงภพไม่อยากเซ้าซี้ก็เลยเงียบตามจนกระทั่งรถไปจอดที่หน้ารีสอร์ต               

“ขอบคุณ...”               

ตอนนี้เจ็ดโมงสิบห้าแล้ว เสียงเพลง ‘It’s My Life’ ดังจากโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงจนพิงภพต้องรีบหยิบออกมาดู พอเห็นชื่อบุณฑริกก็รู้ทันทีว่าโดนโทรตาม               

“เต็ม”               

“ฮะ??”               

พิงภพชะงักฝีเท้าที่กำลังจะก้าวเข้ารีสอร์ต คนที่ยังนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์มองเขาพลางขมวดคิ้ว “ก็ชื่อเราไง เมื่อกี้ถามไม่ใช่เหรอ กำลังบอกอยู่นี่ไงว่าชื่อเต็ม”               

ลำแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามและรอยสักยกขึ้นกอดอก พิงภพเริ่มเดาได้ว่าเวลาหมอนี่ไม่พอใจจะทำตัวเหมือนเด็กน้อยขี้โมโห ความเอ็นดูทำให้เผลอยื่นมือไปตบไหล่ก่อนจะทันได้ห้ามตัวเอง

“โอเค ขอบคุณนะเต็มที่มาส่ง แล้วไว้ค่อยเจอกัน”               

“ต้องให้มารับหลังเลิกงานด้วยหรือเปล่า?”               

เสียงเพลงของบอง โจวี่ยังดังไม่หยุด พิงภพยกนิ้วชี้ขึ้นเป็นสัญญาณขอเวลาพลางกดรับโทรศัพท์ “ฮัลโหล โทษทีพี่บุ๋ม รถผมเสียแต่นี่มาถึงรีสอร์ตแล้ว พวกทีมงานยังอยู่กันใช่ไหม? โอเค กำลังจะเดินเข้าไปแล้วครับ บอกเขาว่ารอแป๊บนึง”               

ชายหนุ่มกดตัดสายแล้วมองหน้าคนข้างห้อง สีหน้าไร้อารมณ์ทำให้เดาไม่ถูกว่ากำลังโดนประชดหรือเพราะมีน้ำใจจริงๆ กระทั่งเห็นคิ้วหนาเลิกขึ้นถึงรู้ว่าต้องตอบ               

“ยังไม่รู้เลยว่าวันนี้จะเลิกกี่โมง แต่คงไม่รบกวนล่ะ เดี๋ยวฝากคนที่ออฟฟิศเอารถไปซ่อมให้ แล้วก็คงเช่าคันใหม่จากร้านแถวนี้แหละ”

“งั้นก็ตามนั้น”               

ร่างสูงเบนหัวรถแล้วขับจากไป พิงภพมองตามกระทั่งรถของอีกฝ่ายพ้นหัวมุม ก่อนจะยักไหล่แล้วรีบไปที่ห้องอาหารเพราะสายมากแล้ว

++------++

อทิตยะขับมอเตอร์ไซค์ตรงกลับอพาร์ตเมนต์ หลังจอดรถและคล้องโซ่กับรั้วก็เดินขึ้นห้อง เหงื่อที่ซึมเพราะแดดทำให้รู้สึกเหนอะหนะจนต้องอาบน้ำ พอเช็ดตัวเสร็จก็ใช้ผ้าพันเอวแล้วเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่ชาร์จไว้ข้างเตียง               

ภาพหน้าจอบอกว่าแบตเตอรี่เต็มแล้ว เขาดึงสายชาร์จออกแล้วก็เปิดเครื่อง ความจริงเมื่อคืนวานเขาไม่ได้ลืมตั้งนาฬิกาปลุก แต่เพราะรำคาญที่มีสายโทรเข้าไม่หยุดก็เลยปิด จากนั้นก็นอนหลับยาวจนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูเมื่อเช้านั่นแหละ               

โดยปกติเขาไม่ใช่คนชอบแสดงน้ำใจเรี่ยราด การที่ไปจอดมอเตอร์ไซค์แถวบลูแซนด์เมื่อเย็นวานและได้พาคนข้างห้องกลับมาเป็นเรื่องบังเอิญโดยแท้ ถ้าเขาไม่หันไปเห็นหมอนั่นทำตาละห้อย และถ้าไม่ใช่เพราะเห็นหน้ากันทุกวันเพราะห้องอยู่ติดกันก็คงไม่เสนอตัว แต่ที่คิดไม่ถึงคือหมอนั่นจะกล้าแหย่เขาเล่น ที่ผ่านมาคนที่เพิ่งรู้จักกันมักไม่ค่อยกล้ายุ่งกับเขาเพราะใบหน้าไร้อารมณ์และรอยสักเต็มตัว พอเจอคนที่ไม่สนใจเกราะเหล่านี้ก็เลยแปลกใจอยู่บ้าง

เอาเถอะ...เห็นว่าเป็นพนักงานในสังกัดของป๋าหรอก...                 

ชายหนุ่มหยิบหมอนขึ้นพิงหัวเตียงแล้วก็เอนตัวกึ่งนอน พอเลื่อนจอมือถือแล้วเห็นว่ามีมิสคอลยี่สิบกว่าสายจากหมายเลขเดียวกันก็ไล่ลบออกจากประวัติการโทร ยังไม่ทันจะลบได้หมด เครื่องก็สั่นพร้อมกับหมายเลขเดิมสว่างวาบขึ้น                 

ให้ตายสิ ถ้าไม่คุยสักทีก็จะไม่เลิกโทรสินะ...               

อทิตยะสูดหายใจลึกก่อนจะกดรับสาย เขาฟังคู่สนทนาส่งเสียง “ฮัลโหล ฮัลโหล” อยู่สี่ห้าครั้งถึงตอบเสียงเนือย               

“อือ”               

“เต็ม? นี่หายไปอยู่ไหน? รู้ไหมว่าพ่อโทรหายูกี่ครั้งจนนึกว่าเกิดอะไรขึ้นซะอีก”               

“จะเกิดอะไรได้ ผมออกจะหัวแข็งตายยาก แข่งรถมาหลายหนก็ยังไม่เคยเจ็บหนักสักที”               

“นี่พ่อซีเรียสนะ แล้วตอนนี้อยู่ไหน ไม่ได้อยู่กรุงเทพใช่ไหม? ยามที่คอนโดบอกว่าไม่เห็นยูมาเป็นอาทิตย์แล้ว”               

“ก็ตามที่เขาบอก ผมเบื่อก็เลยอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ไม่แปลกนี่”               

“พ่อรู้ว่ายูชอบสันโดษ แต่จะไปไหนมาไหนก็บอกกันหน่อย ไม่ใช่คิดว่าโตแล้วทำอะไรก็ได้ คุณหล้าเขาก็เป็นห่วง”               

ชื่อคนถูกอ้างทำเอาชายหนุ่มเสียงแข็งขึ้น เขาพยายามกดคลื่นอารมณ์ร้อนระอุให้ย้อนกลับลงไปแล้วตอบเสียงนิ่ง “เอาเป็นว่าผมสบายดี ยังไม่ตายก็แล้วกัน ถ้าไม่มีอะไรอีกผมจะวางสายล่ะ เดี๋ยวถ้าจะกลับผมก็กลับเองนั่นแหละ”               

“เดี๋ยวก่อน เต็ม...”               

อทิตยะกดตัดสาย ใจหนึ่งก็อยากเขวี้ยงโทรศัพท์มือถือระบายอารมณ์ แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กวัยรุ่นอายุสิบสี่สิบห้าที่ไม่เห็นคุณค่าของข้าวของ หลังเดินออกไปสูบบุหรี่ที่ระเบียงจนหมดไปสองมวน เขาก็หยิบโทรศัพท์มาไล่หาหมายเลขที่ต้องการ               

“เอมี่? ตื่นหรือยัง? พอดีกำลังเซ็งๆ ถ้าวันนี้ไม่มีอะไรทำก็มาเจอกันหน่อย”               

“ฮะ? นายโทรปลุกฉันแต่เช้าเพราะเซ็งเนี่ยนะ? เออๆ จะให้ไปเจอที่ไหนก็ไลน์มาแล้วกัน”               

คู่สนทนาตอบอย่างง่วงงุนก่อนจะตัดสาย อทิตยะหยิบบุหรี่ขึ้นจุดสูบอีกมวน เขาปรายตาไปทางระเบียงห้องที่อยู่ติดกัน เสื้อยืดสกรีนชื่อบลูแซนด์รีสอร์ตหลากสี รวมทั้งกางเกงบ็อกเซอร์หลายตัวแขวนตากอยู่บนราว ยิ่งมองก็ยิ่งนึกถึงคนที่มาเคาะประตูเมื่อเช้า ความพยายามกลบเกลื่อนสีหน้าตอนเห็นสรีระของเขาทำให้รู้สึกอยากแกล้ง อทิตยะไม่ได้เจอคนที่หน้าแดงเพราะเขามานานแล้วเลยอดจะแหย่ไม่ได้               

ชายหนุ่มพ่นเสียงหึทางจมูก หลังคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พิมพ์ชื่อสถานที่นัดพบให้หญิงสาวที่เคยมานอนร่วมห้อง ก่อนจะขยี้ก้นบุหรี่แล้วเดินกลับเข้าไปแต่งตัว
 

++---TBC---++


A/N: ช่วงแรกนี้กะว่าจะลงตอนใหม่ทุกเย็นวันพฤหัส มาทำความรู้จักตัวละครไปด้วยกันนะคะ ถ้าใครกำลังติดตามก็มาลงชื่อกันได้น้า ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ล่วงหน้าด้วยค่ะ  :-[

 

 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-10-2019 22:15:55 โดย bellbomb »

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 2 จ้า {อัพ 03.10.19}
«ตอบ #11 เมื่อ03-10-2019 20:08:37 »

เต็มทั้งขี้กวนขี้แกล้ง
พุธก็ดูไม่ใช่ประเภทปล่อยให้ตัวเองโดนแกล้งฝ่ายเดียว
แกล้งมาแกล้งกลับไม่โกงทั้งคู่แบบนี้
ยิ่งอยู่ห้องข้างๆกันคงหายเซ็งเป็นปลิดทิ้ง :hao3:

 :pig4:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 2 จ้า {อัพ 03.10.19}
«ตอบ #12 เมื่อ03-10-2019 21:41:52 »

 :3123: :pig4: :3123:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 2 จ้า {อัพ 03.10.19}
«ตอบ #13 เมื่อ04-10-2019 12:44:17 »

 :pig4:
 :katai2-1:

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 2 จ้า {อัพ 03.10.19}
«ตอบ #14 เมื่อ04-10-2019 15:44:34 »

เจอเด็กขี้เก๊ก ขี้อ่อย 1 อัตรา / เจอคนขี้แกล้ง 1 อัตรา   :mew1:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 2 จ้า {อัพ 03.10.19}
«ตอบ #15 เมื่อ06-10-2019 20:49:27 »

คู่นี้ดูเหมาะกันอยู่นะเนี่ย555

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 2 จ้า {อัพ 03.10.19}
«ตอบ #16 เมื่อ10-10-2019 17:59:40 »

บทที่ 3

 
พิงภพรีบเดินกึ่งวิ่งไปที่ห้องอาหารหน้าหาด ชั่วโมงนี้นักท่องเที่ยวและนักดำน้ำของรีสอร์ตกำลังนั่งกินอาหารเช้าจนแทบไม่มีโต๊ะว่าง เขาโบกมือทักทายบรรดาเพื่อนครูสอนดำน้ำแล้วเดินตรงไปโต๊ะที่บุณฑริกนั่งอยู่

“หวัดดีฮะพี่บุ๋ม ขอโทษที่มาสาย”

“มาซักที ไม่ต้องขอโทษฉันย่ะ ขอโทษคุณปัทมนนี่”

“เรียกเปิ้ลก็ได้ค่ะ สวัสดีค่ะน้องพุธ”

หญิงสาวที่น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานกองถ่ายทักทายเขา พิงภพรีบยกมือไหว้เพราะมั่นใจว่าเธอคงอายุมากกว่า

“ขอโทษด้วยนะครับ รถผมเสียตั้งแต่เมื่อคืน เมื่อเช้าให้เพื่อนมาส่งก็เลยถึงช้าไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณพระเอกเขาก็ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย เดี๋ยวน้องพุธกินข้าวรอก่อนก็ได้ สักแปดโมงเราค่อยออกกัน”

พิงภพผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก เขาไหว้ทักทายทีมงานคนอื่นๆ ก่อนจะเดินไปตักอาหาร ปกติแล้วไลน์อาหารบุฟเฟต์นี้สงวนไว้ให้แขกของรีสอร์ตเท่านั้น ถ้าครูสอนดำน้ำจะกินก็ต้องหักจากค่าแรง แต่ในเมื่อวันนี้บุณฑริกอนุญาตให้เขากินฟรี เรื่องอะไรจะไม่ใช้สิทธิ์ให้เต็มที่

พอเจ็ดโมงครึ่งห้องอาหารก็เริ่มโล่งเพราะนักดำน้ำทยอยไปลงเรือ เหลือแต่แขกที่มาพักผ่อนตากอากาศกับพวกทีมงานถ่ายโฆษณา พิงภพกินข้าวพลางสอบถามรายละเอียดของงานไปพลาง โชคดีที่เขาจบนิเทศศาสตร์และเคยฝึกงานสมัยเรียนจึงไม่ตื่นเต้นมากนัก

“สินค้าของเราคือไอติมแบบถ้วยน้ำแข็งไส มีทั้งหมดสามรสก็เลยจะถ่ายโฆษณาสามเรื่องให้ลิงก์กัน เรื่องแรกนี้พระเอกกับนางเอกที่ไม่รู้จักกันต่างมาเที่ยวเกาะ ทั้งคู่เจอกันหน้าตู้แช่ไอติม พระเอกเห็นว่าเหลือแค่ถ้วยเดียวก็เลยยกให้นางเอก เรื่องที่สองนางเอกพยายามจะเดินหาเก้าอี้นั่งริมหาด พอเห็นเก้าอี้ใกล้พระเอกว่างก็เลยไปซื้อไอติมมาให้แล้วขอนั่งด้วย ส่วนเรื่องสุดท้ายนางเอกกำลังจะขึ้นเรือกลับกรุงเทพฯ พระเอกก็เลยซื้อไอติมให้แล้วเขียนไลน์ไอดีของตัวเองไว้บนฉลาก นี่แหละค่ะ ก็เลยอยากให้น้องพุธช่วยแนะนำจุดถ่ายทำสวยๆ ที่ไม่ซ้ำกันสำหรับทั้งสามเรื่องให้หน่อย”

“เข้าใจละ น่าเสียดายนะครับที่มีไอติมแค่สามรส”

“ทำไมล่ะ?”

ผู้กำกับซึ่งเป็นชายผิวคล้ำใส่แว่นถาม พิงภพเลยชี้สตอรี่บอร์ดที่วางแผ่บนโต๊ะ

“ก็ถ้ามีสี่รสจะได้ให้กลับไปเจอกันที่กรุงเทพฯ จะได้จบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง”

ทีมงานพากันหัวเราะ สาวน้อยที่จะเล่นเป็นนางเอกก็เช่นกัน ตั้งแต่เขามา ‘ติดเกาะ’ เมื่อสามปีก่อน นอพิงภพก็ไม่ค่อยได้ติดตามข่าวสารดารา แต่ก็คุ้นหน้าเธอจากป้ายโฆษณาอยู่บ้าง

“นี่ ใครก็ได้โทรตามสุดหล่อทีสิ งานใหญ่งานแรกไม่ใช่เหรอ ถ้ายิ่งเริ่มถ่ายช้าก็ยิ่งเสร็จช้านะ”

“เดี๋ยวเปิ้ลโทรตามให้ค่ะพี่โอ อ้าว นั่นไงมาแล้ว ซัน ทางนี้ๆ”

“ขอโทษครับ โทรศัพท์คุยกับที่บ้านนานไปหน่อย”

เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นขยุ้มหัวใจ ตอนแรกที่ได้ยินชื่อซันเขายังไม่คิดอะไรมาก แต่พอได้ยินเสียงพูด คอของพิงภพก็คล้ายเป็นอัมพาตขึ้นมาทันที เขาไม่ได้หันไปตามทิศทางที่ทุกคนหัน แต่ยิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าก็ยิ่งใจเต้นแรง

ใจเย็นไว้ อาจจะไม่ใช่ก็ได้ เขาไม่ได้ยินเสียงของภาณุกรมานานเลยจำผิด บางทีอาจเป็นคนที่บังเอิญชื่อเหมือนและเสียงคล้ายกันเท่านั้น...

“ไม่เป็นไรจ้ะ ว่าแต่จะกินข้าวก่อนไหม เพราะเดี๋ยวคงถ่ายกันยาวเลยกว่าจะได้พักกลางวัน”

“ไม่ต้องหรอกครับพี่เปิ้ล มื้อเช้าผมไม่ค่อยกินอะไรอยู่แล้ว ไปกันเลยก็ได้”

“โอเค งั้นขอพี่แนะนำก่อน นี่คุณบุ๋ม ผู้จัดการของบลูแซนด์ วันนี้คุณบุ๋มไม่ได้ไปกับเราแต่ส่งตัวแทนมาช่วยเรื่องสถานที่ ชื่อน้องพุธ น่าจะอายุรุ่นเดียวกับซัน”

“สวัสดีครับ...”

เสียงของคนทักสะดุดไป พิงภพช้อนตาขึ้นและเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า แล้วได้แต่บอกตัวเองให้พยายามวางตัวเป็นธรรมชาติแม้ว่ามันจะยากเหลือเกิน

คนที่เขาเห็นตอนนี้ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ไม่สิ...ความเปลี่ยนแปลงภายนอกนั้นมีอยู่แล้ว แต่โครงหน้าคมสัน จมูกโด่งชัด รวมทั้งนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่มองตรงมา สิ่งเหล่านี้ไม่เปลี่ยนไปจากความทรงจำแม้แต่นิดเดียว

“สวัสดีครับ ซัน”

“อุ่ย ทำไมหนูรู้สึกเหมือนได้ยินซาวด์แทร็กเพลง Only You”

“ว้าย ละออตา ไปแซวพี่เค้า”

หญิงวัยกลางคนที่นั่งข้างๆ หันไปตีแขนนางเอกสาวที่หัวเราะคิกคัก ประพิมประพายคล้ายกันบ่งบอกว่าคงเป็นแม่ พิงภพนึกทึ่งตัวเองที่ยังอุตส่าห์เหลือพื้นที่ในสมองไปชื่นชมว่าเธอช่างตั้งชื่อลูกสาวได้เก๋

“ก็จริงๆ นี่นา เมื่อกี้พี่ซันชะงักกึกตอนเห็นหน้าพี่พุธยังกับมีสปอตไลต์ส่องแน่ะ”

“คงอึ้งอยู่น่ะครับ พวกเราเคยเรียนห้องเดียวกันตอน ม.ปลาย นี่ก็ไม่ได้เจอกันมาเก้าหรือสิบปีได้แล้วมั้ง”

พิงภพบังคับลิ้นที่แข็งทื่อให้เอ่ยคำอธิบาย ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ความลับ ที่สำคัญหากบอกว่าเป็นแค่เพื่อนร่วมชั้นย่อมเข้าใจง่ายกว่า ‘อดีตเพื่อนสนิทที่ไม่คุยกันมาตลอดเก้าปี’

“จริงเหรอซัน? พี่นึกว่าเราเรียน ม.ปลายที่แคนาดาซะอีก”

ปัทมนหันไปถาม ภาณุกรมองหน้าเขาชั่วอึดใจก่อนจะพยักหน้า

“จริงครับ ตอน ม.1 ถึง 4 ผมยังเรียนที่เมืองไทย พอ ม.5เทอมสองถึงค่อยย้ายไปแคนาดา”

“โห บังเอิญมากเลย ซันก็เพิ่งจะกลับมาเมืองไทยได้ไม่นานเองนี่ โชคดีจังนะที่ได้เจอเพื่อนเก่า”

“ครับ โชคดีจริงๆ ด้วย”

พิงภพแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้กับคำตอบของภาณุกร แต่สมองกลับบันทึกรายละเอียดทุกคำ เพิ่งกลับมาไม่นานหรือ...มิน่าล่ะเขาถึงไม่รู้ แต่ก็ไม่แปลกในเมื่อเขาไม่เคยติดต่อเพื่อนมัธยมสักคน

“ถ้าทุกคนพร้อมแล้วก็ไปกันเถอะ คิวงานเราแน่นนะวันนี้”

ผู้กำกับเอ่ยแล้วก็ลุกจากโต๊ะเป็นคนแรก คนอื่นๆ ทยอยหยิบสัมภาระแล้วเดินตามไป พิงภพนึกขึ้นได้เลยรีบเรียกบุณฑริกก่อนเธอจะกลับสำนักงาน

“พี่บุ๋ม รบกวนหน่อยสิ ฝากใครก็ได้เอารถมอเตอร์ไซค์ผมไปที่ร้านน้าเหยินให้หน่อย แล้วถ้ามันยังซ่อมไม่เสร็จวันนี้ก็เช่าคันอื่นให้ด้วย ไม่งั้นผมไม่มีรถใช้”

“อ้าว? ตกลงรถเสียจริงๆ เหรอ งั้นเอากุญแจมา แล้วไลน์ทะเบียนรถกับยี่ห้อมาให้พี่ด้วย”

“ได้ๆ ผมถ่ายรูปไว้ เดี๋ยวส่งให้ มันจอดอยู่เลยทางเข้ารีสอร์ตไปนิดเดียวแหละ”

ชายหนุ่มหยิบพวงกุญแจขึ้นมาถอดเฉพาะลูกกุญแจรถส่งให้ ยังไม่ทันจะหย่อนพวงกุญแจรูปกัปตันอเมริกากลับลงกระเป๋าก็เห็นรอยยิ้มของคนที่กำลังยืนมอง

ตอนนี้แหละที่เขาเพิ่งนึกได้ว่าใครเป็นคนให้พวงกุญแจอันนี้มา

“ยังใช้อยู่อีกเหรอพุธ สีซีดเชียว”

“ก็ของมันยังไม่เสีย จะโยนทิ้งทำไม”

พิงภพตอบแล้วรีบเดินไปทางลานจอดรถ แต่ก็ยังทันเห็นรอยยิ้มที่กว้างขึ้นของหนุ่มลูกครึ่ง ถึงจะไม่แน่ใจว่ารู้สึกอย่างไรที่ได้เจอกันอีกโดยไม่คาดฝัน ก็ได้แต่บอกตัวเองว่าเสียงหัวใจที่เต้นรัวตอนนี้เป็นเพราะดื่มกาแฟมากไปเท่านั้น



++------++



“มึงชอบกัปตันอเมริกาใช่มะ อ้ะ กูให้”

“อารมณ์ไหนวะ วันเกิดกูก็ไม่ใช่ แล้วทำไมมันดูกิ๊กก๊อกจัง?”

“ไอ้นี่...นี่สินค้าลิขสิทธิ์แท้เลยนะโว้ย ถ้าไม่เอาก็คืนมา”

“เรื่องอะไร ให้แล้วก็ให้เลยดิ เอาเป็นว่าแต๊งกิ้ว ไว้ภาคต่อไปก็ไปดูเป็นเพื่อนกูด้วยนะ”



พิงภพยืนพิงต้นไม้เพื่อหลบแดด ขณะเดียวกันก็มองไปบนหาดทรายด้านหน้า ผู้กำกับและทีมงานกำลังอธิบายคิวการถ่ายทำกับภาณุกรและละออตา ถึงแม้เรื่องราวในสตอรี่บอร์ดจะเรียงจากหนึ่งไปสาม แต่เห็นว่าผู้กำกับอยากถ่ายทำเรื่องที่สามก่อน พิงภพก็เลยเสนออ่าวโฉลกบ้านเก่าเพราะไม่พลุกพล่านมากเกินไปเหมือนหาดทรายรี

วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสจนแทบไม่เห็นปุยเมฆ หลังผู้กำกับคุยเสร็จก็เดินไปนั่งหลังกล้อง ปล่อยให้พระเอกกับนางเอกแสดงตามคิวที่ตกลงไว้ เขาได้ยินตอนยังอยู่ห้องอาหารว่านี่เป็นงานใหญ่งานแรกของภาณุกร แสดงว่าก่อนหน้านี้คงเคยรับงานเล็กๆ มาบ้างแล้ว

ในที่สุดน้านิดก็ยอมให้เข้าวงการได้แล้วสินะ...

ช่วงมัธยมเขากับภาณุกรไปมาหาสู่กันจนคุ้นเคยกับทั้งสองครอบครัว เขายังจำได้ว่าแม่ของภาณุกรต่างจากแม่คนอื่นตรงที่ไม่อยากให้ลูกชายเป็นดารา ส่วนเจ้าเพื่อนหน้าหล่อของเขาก็ไม่เคยสนวงการบันเทิง แต่ในเมื่อตอนนี้เรียนจบและเพิ่งกลับเมืองไทย ก็เป็นไปได้ที่อยากลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำดูบ้าง

ผู้กำกับสั่งคัทและเทคใหม่เป็นระยะ หลังยืนดูครู่หนึ่งพิงภพก็เริ่มหมดความสนใจ เขาเห็นโขดหินว่างบนหาดใต้ต้นมะพร้าวเลยเดินไปหย่อนตัวนั่ง พระอาทิตย์ลอยสูงขึ้นทุกทีเช่นเดียวกับอุณหภูมิ เปลวแดดสะท้อนริ้วคลื่นและเรือของโรงเรียนดำน้ำที่วิ่งสวนกันขวักไขว่ เหตุผลหนึ่งที่เกาะเต่าเต็มไปด้วยโรงเรียนสอนดำน้ำ ก็เพราะความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิตใต้น้ำจนบางหาดแค่เดินลงไปก็เห็นได้ทั้งปลาและปะการัง

ฟ้าใสแบบนี้ใต้น้ำน่าจะสวย ถ้าวันนี้อดเจอน้องจุดเพราะต้องมาช่วยงานทางนี้นะ...ฮึ่ม...

น้องจุดหรือพี่จุดคือชื่อเล่นที่นักดำน้ำชอบใช้เรียกฉลามวาฬ ปลาใหญ่แห่งท้องทะเลซึ่งไม่ทำร้ายคน เมื่อวานเรือของเขาคลาดกับฉลามวาฬที่เรือประมงพบ ดังนั้นวันนี้พวกที่ออกไปดำน้ำก็มีโอกาสลุ้น จริงอยู่ว่าเขาได้เจอสัตว์น้ำขนาดใหญ่มาหลายครั้งตั้งแต่เริ่มดำน้ำตอนอายุสิบเจ็ด แต่การได้เจอเจ้าพวกนี้ก็ยังนับเป็นไฮไลต์ทุกครั้งที่ได้ลงน้ำอยู่ดี

แต่เสียดายไปก็เท่านั้นเพราะตอนนี้ตัวเขาอยู่บนบก พิงภพถอนใจพลางเบนสายตากลับไปยังการถ่ายทำ พอนั่งดูสักพักก็คิดว่าคงจริงที่งานนี้เป็นงานใหญ่งานแรกของภาณุกร หนุ่มลูกครึ่งไม่ถึงกับเล่นแข็งเป็นตอไม้ แต่ก็ไม่เป็นธรรมชาติเท่าไหร่เมื่อเทียบกับละออตาที่ผ่านงานบันเทิงมามากกว่า

ผู้กำกับสั่งเทคใหม่อีกครั้ง แต่ภาณุกรก็ไม่ได้แสดงออกว่าไม่พอใจ หนุ่มลูกครึ่งแค่พยักหน้าและยิ้มรับ วิธียิ้มที่แสดงออกทั้งปากและนัยน์ตาช่างเหมือนในความทรงจำจนพิงภพเผลอจ้องโดยไม่รู้ตัว

มือของเขาเลื่อนลงกำพวงกุญแจรูปกัปตันอเมริกาที่ห้อยออกจากกระเป๋ากางเกง เหงื่อจากฝ่ามือทำให้รู้สึกว่าตุ๊กตายางเรซินอุ่นและชื้นนิดๆ ราวสัมผัสของผิวคนจริง นี่เป็นของขวัญที่ภาณุกรให้เขาตอนม.4 และอาจนับเป็นของชิ้นเดียวจากช่วงวัยรุ่นที่พกติดตัวนานที่สุด ขณะไล้นิ้วโป้งไปบนตุ๊กตา คำถามที่เคยลืมไปนานก็ผุดขึ้นในหัวอีกครั้ง

ตอนนั้นซันซื้อตุ๊กตาตัวนี้ให้ในฐานะเพื่อนสนิท หรือเพื่อเป็นตัวแทนความรู้สึกที่เกินเลยจากมิตรภาพไปแล้วกันแน่...

“น้องพุธ พี่ขอปรึกษาเรื่องโลเกชั่นหน่อยสิจ๊ะ”

“ได้ครับพี่เปิ้ล อยากได้แบบไหนครับ?”

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นยิ้มตอบ ปัทมนนั่งลงแล้วกางแผนที่เกาะบนตัก พิงภพอาศัยความคุ้นเคยอธิบายสถานที่ต่างๆ อย่างคล่องแคล่ว งานสอนดำน้ำทำให้ต้องเจอลูกค้าร้อยพ่อพันแม่ เขาก็เลยได้พัฒนาทักษะการปิดสวิตช์อารมณ์ตัวเองเมื่อจำเป็นโดยปริยาย

ส่วนมากสถานที่ที่ต้องช่วยแนะนำคือชายหาดหรือจุดชมวิวซึ่งไม่ยากสำหรับพิงภพ พอเที่ยงกว่าๆ พวกเขาก็พักกินข้าวกลางวันก่อนขึ้นรถไปยังจุดถ่ายทำต่อไป โฆษณาเรื่องที่สองนี้ปัทมนเลือกฉากถ่ายทำเป็นร้านกาแฟซึ่งได้ติดต่อมาล่วงหน้าแล้ว ตามเนื้อเรื่อที่นางเอกเดินหาเก้าอี้ริมหาด ฉากนี้จึงต้องถ่ายทำกลางแจ้งเป็นส่วนใหญ่

ร้านกาแฟนี้เป็นร้านเปิดใหม่ที่พิงภพยังไม่เคยอุดหนุน แต่ก็พอจะรู้ว่าร้านสวยจนมีคนถ่ายรูปไปลงอินสตาแกรมเป็นประจำ เหล่าทีมงานเองก็ดูตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อได้เห็นสถานที่

“สวยดีเนอะ ขาวๆ ฟ้าๆ ยังกับซานโตรินี่”

ปัทมนเดินเข้าไปคุยกับผู้จัดการในร้านขณะคนอื่นช่วยกันขนอุปกรณ์ลงจากรถ สายตาของพิงภพเหลียวไปทางภาณุกรโดยไม่ตั้งใจ ภาพที่เห็นทำให้ตัดสินใจเดินเข้าไปหา

“ตอนนี้แดดร้อน เข้าไปนั่งข้างในเถอะ กล่องตรงนี้เดี๋ยวช่วยยกให้”

“ได้ยังไง คนอื่นก็ช่วยกันหมด”

“บอกว่าไปนั่งข้างในก็ไปเหอะน่า เฮ้ย! ซัน!”

โชคดีที่พิงภพยังไม่ได้ยกอะไรจากพื้น ไม่อย่างนั้นเขาอาจเข้าประคองคนตัวสูงกว่าที่จู่ๆ ก็ล้มคะมำไม่ทัน เมื่อกี้เขาสังหรณ์ตั้งแต่เห็นผิวหน้าที่แดงผิดปกติแล้วว่าน่าเป็นห่วง แต่ไม่นึกว่าภาณุกรจะเป็นลมจริงๆ

“เกิดอะไรขึ้น? ซันเป็นอะไร?”

“ไม่ได้เป็นอะไรมากครับ แค่หน้ามืดนิดหน่อย”

ภาณุกรพยายามยิ้มให้พวกทีมงานที่รุมล้อมเข้ามาหา แต่พิงภพรีบคว้าแขนข้างหนึ่งมาพาดไหล่เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะเข่าอ่อนอีกหน

“คงเป็นลมเพราะอากาศร้อนน่ะครับ ให้เข้าไปนั่งข้างในก่อนดีกว่า”

ทีมงานอีกคนเข้ามาช่วยพยุงแขนอีกข้าง ส่วนคนที่เหลือช่วยกันยกของให้เสร็จ ปัทมนหน้าตื่นเมื่อเห็นสภาพโดนหิ้วปีกของภาณุกร

“เป็นอะไรน่ะซัน? ไหวไหม?”

“ขอโทษครับพี่เปิ้ล ขอนั่งพักสักเดี๋ยวคงดีขึ้น”

“เดี๋ยวผมเอายามาให้นะครับ”

“ขอน้ำหวานด้วยก็ดีครับ เมื่อกลางวันเขาไม่ค่อยได้กินอะไร”

พิงภพบอกผู้จัดการร้านซึ่งพยักหน้ารับก่อนเดินไปหลังเคาน์เตอร์ เขาพยายามทำเป็นไม่เห็นสายตาของคนที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่ หลังผู้จัดการยกถาดที่มีทั้งผ้าเย็น เหยือกน้ำหวานพร้อมคุกกี้และยาดมมาให้ ทีมงานก็กระจายกันนั่งรอคำสั่งว่าจะทำอย่างไรต่อ

“เอาอย่างนี้ไหมคะ ไหนๆ ก็มาถึงที่กันแล้ว ถ่ายฉากที่มีแต่หนูก่อนก็ได้ค่ะ”

ครู่หนึ่งละออตาก็เอ่ยขึ้น ปัทมนหันไปปรึกษาผู้กำกับก่อนจะพยักหน้า

“เอาตามนั้นก็ได้ เรื่องที่สองนี่เน้นนางเอกมากกว่าอยู่แล้วด้วย ระหว่างนี้ซันพักก่อนแล้วกันจ้ะ”

“ขอโทษนะครับ ทำให้วุ่นวายกันไปหมดเลย”

“ไม่เป็นไรๆ ช่วยไม่ได้นี่นา แดดวันนี้แรงด้วย งั้นพี่ฝากพุธอยู่เป็นเพื่อนซันหน่อยนะจ๊ะ”

ปัทมนเอ่ยแล้วเดินตามทีมงานออกไปนอกร้าน พิงภพเลิกคิ้ว พอคล้อยหลังทุกคนก็พยายามชักมือออกจากอุ้งมือที่กุมมือเขาไว้ แต่พอรู้ตัวปุ๊บภาณุกรก็กระชับมือแน่นขึ้นทันที

“นี่! ...จะจับทำไม!”

พิงภพพยายามกดเสียงให้เบา ถึงในร้านตอนนี้จะมีแค่พวกเขากับพนักงานที่หลังเคาน์เตอร์ แต่ไม่ต้องเรียกความสนใจเจ้าหล่อนให้ออกมาดูก็ได้

“แล้วเมื่อกี้ใครนะที่ดึงแขนเราไปพยุง ทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย”

“ไม่ได้เป็นอะไรมาก...แหม รู้งี้น่าจะปล่อยให้หน้าทิ่มอยู่บนหาดให้รู้แล้วรู้รอด”

เขานึกว่าภาณุกรจะเถียงต่อ แต่ก็ผิดคาดเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะ

“ล้อเล่น ขอบคุณนะ ไม่นึกเหมือนกันว่าจะหน้ามืด สงสัยเพราะเล่นแต่กีฬาในร่มเลยไม่ชินกับแดดแรงๆ”

หนุ่มลูกครึ่งยอมปล่อยมือเพื่อคลี่ผ้าเย็นวางบนหน้าผาก พิงภพมองคนที่หลับตาพลางพิงพนักด้านหลังมากขึ้น ปลายนิ้วที่สูญเสียสัมผัสไปกระตุกเล็กน้อยจนเขาต้องกำมือไว้

จะมารู้สึกเสียดายอะไรนะเรา...

“ที่ว่าเล่นกีฬาในร่มนี่เล่นอะไร หมากรุก?”

“ทำไมเดาไปทางนั้นล่ะ เล่นหมากรุกจะมีกล้ามแบบนี้เหรอ?”

ภาณุกรยิ้มขำพลางเกร็งแขนให้ดู พิงภพเห็นกล้ามที่นูนเป็นลูกแล้วก็เหล่ตามองอย่างหมั่นไส้

“ใครจะไปรู้ คนเล่นหมากรุกอาจเข้าฟิตเนสด้วยก็ได้นี่”

“ก็จริง แต่ไม่ได้เล่นหมากรุกหรอก เล่นไอซ์ฮอกกี้กับคาราเต้ต่างหาก”

น้ำเสียงสดใสสะท้อนว่านี่คงเป็นกิจกรรมที่คนพูดสนใจจริงๆ มิน่าล่ะ เขาก็สงสัยอยู่ว่าแค่มีเชื้อลูกครึ่งจะทำให้หมอนี่บึกบึนได้ขนาดนี้หรือ

“ว่าแต่เซอร์ไพรส์นะที่ได้รู้ว่าพุธเป็นครูสอนดำน้ำ”

“ทำไม ดูบุคลิกไม่ให้หรือไง?”

“ยังไงดี ก็สมัยเรียนพุธไม่เคยพูดว่าสนใจการดำน้ำ ตอนได้ฟังจากเฮียพีตอนแรกก็ยังไม่ค่อยจะเชื่อ...”

ภาณุกรยกมือปิดปากแต่ช้าไป เพราะชื่อ ‘เฮียพี’ ทำเอาคิ้วของพิงภพเลิกสูงแทบชนตีนผม

“เฮีย? เฮียบอกเหรอ? นี่ไปคุยกันตั้งแต่เมื่อไหร่?”

ผิวหน้าที่เริ่มหายแดงของภาณุกรเริ่มซับสีเลือดขึ้นมาอีก และถ้าไม่ติดว่ากลัวคนอื่นเข้าใจผิด พิงภพคงรั้งไหล่อีกฝ่ายมาเขย่าเต็มแรงไปแล้ว

“ก็...หลังกลับเมืองไทยไม่นานก็พยายามถามเพื่อนๆ ม.ปลายว่าใครติดต่อพุธได้บ้าง แต่ไม่มีใครมีเบอร์สักคน บอกแค่ว่าทำงานอยู่ต่างจังหวัด โชคดีที่ร้านสักของน้าชัยไม่ได้เปลี่ยนชื่อ แค่เสิร์ชในกูเกิลก็เจอแล้ว ไม่นึกเหมือนกันว่าจะได้คุยกับเฮียแล้วก็น้ายูงด้วย เสียใจด้วยนะเรื่องของน้าชัย”

ไม่รู้ว่าภาณุกรจงใจหรือเปล่า แต่พอถูกตบท้ายด้วยเรื่องของพ่อ ความสับสนปนโมโหที่พีรัชไม่ยอมบอกว่าได้คุยกับภาณุกรก็คลายลง พิงภพพ่นลมหายใจขณะเทน้ำใส่แก้วให้ตัวเอง

“มันช่วยไม่ได้ กว่าพ่อจะยอมไปตรวจมะเร็งมันก็ลามจนเกินรักษาแล้ว ยังดีที่หมอช่วยให้อยู่ต่อได้อีกครึ่งปี เขาเลยมีเวลาถ่ายทอดงานให้เฮียดูแลต่อ”

“แต่จำได้ว่าเฮียก็หัดสักมาตั้งแต่เด็กแล้วนี่ น้ายูงยังชมเลยว่าตอนนี้มีลูกค้าประจำเพียบ อีกเรื่องที่เซอร์ไพรส์ก็คงจะเรื่องที่ลูกสาวเฮียอายุแปดขวบแล้ว แสดงว่ามีหลังซันไปแคนาดาไม่นานเองสิ”

พิงภพเกือบสำลักน้ำเมื่อได้ยินสรรพนามแทนตัว แต่พอเหลือบมองภาณุกรก็ตระหนักว่าพวกเขาไม่ได้คุยกันมานาน จู่ๆ จะให้กลับไปใช้สรรพนามเหมือนเมื่อก่อนก็คงกระดากปาก

“เฮียมันทำวีรกรรมไว้ เพราะตอนแรกคนที่บ้านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเฮียแอบคบเด็กพาณิชย์ที่เจอในร้านเหล้า ความมาแตกตอนเฮียทำเขาท้องก่อนจะเรียนจบ ครอบครัวพี่อายเขาอยู่ต่างจังหวัดด้วย ตอนนั้นพ่อกับแม่เต้นผางเลย บอกว่ายังไงก็ห้ามทำแท้ง แล้วก็พากันยกโขยงไปขอขมาครอบครัวพี่อายแล้วสู่ขออย่างเป็นทางการ ดีที่ช่วงนั้นพ่อพี่อายเขาบวชอยู่ ก็เลยอนุโมทนาแทนที่จะเอามีดมาไล่ฟันเฮีย”

“มิน่าล่ะ ก็นึกอยู่ว่าทำไมลูกโตจัง”

“นี่แค่โทรหาหรือว่าไปเจอมาแล้ว ทำไมรู้เยอะนัก?”

หน้าของภาณุกรแดงก่ำอีกครั้ง พิงภพเห็นแล้วชักคันไม้คันมือ อยากจะหยิกหรือหาเรื่องแกล้งหนุ่มลูกครึ่งขึ้นมาจริงๆ

“หลังโทรคุยก็นัดไปหาเฮียที่ร้าน เสียดายวันนั้นคนอื่นไม่อยู่ เฮียเอารูปของพี่อายกับยิหวาให้ดูด้วย น่ารักดีนะ เท่าที่ได้ฟังจากเฮียคงจะเป็นเด็กที่แก่นเซี้ยวน่าดู”

รอยยิ้มของพิงภพกว้างขึ้น อรดีซึ่งเป็นพี่สะใภ้ของเขาท้องตอนอายุสิบเก้า ตอนนั้นเขาอายุสิบเจ็ด พอยิหวาคลอดออกมาคนทั้งบ้านก็เห่อกันใหญ่ ขนาดเขาที่ไปเรียนมหา’ ลัยต่างจังหวัดยังชอบซื้อเสื้อผ้าหรือของเล่นส่งไปให้ เวลากลับบ้านทีก็เล่นกับหลานเหมือนเป็นน้องสาวคนสุดท้อง

“บ้านนี้เลี้ยงลูกไม่เหมือนบ้านอื่นอยู่แล้ว ยิ่งอะไรที่บ้านอื่นห้ามบ้านนี้ยิ่งสนับสนุน ลูกสาวอยากเล่นทะโมนเหมือนเด็กผู้ชายก็เออออหมด”

“อืม จริง เรื่องที่บ้านนี้เลี้ยงลูกได้มีเอกลักษณ์ทุกคนนี่ยอมรับเลย”

ภาณุกรเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม แล้วจู่ๆ บทสนทนาก็ขาดช่วงเหมือนต่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ พิงภพหยิบแก้วน้ำขึ้นจิบแก้เก้อ พอถึงตอนนี้ค่อยรู้ตัวว่าทางร้านเปิดเพลงแนวบอสซาไว้ กระดิ่งลมบนกรอบหน้าต่างก็ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง แต่เมื่อครู่เขามัวแต่สนใจบทสนทนาจนไม่รับรู้สิ่งเหล่านี้

ถ้าหลังเลิกเรียนวันนั้นเขาไม่ได้วิ่งหนีมา ตอนนี้พวกเขาสองคนจะเป็นยังไงนะ จะคุยเล่นกันได้อย่างสนิทสนม หรือไปถึงจุดที่แค่เห็นหน้าก็แทบทนไม่ไหว...แทนที่จะเหมือนคนแปลกหน้าอย่างตอนนี้หรือเปล่า...

“แดดร่มแล้วแฮะ ไม่เวียนหัวแล้วด้วย เดี๋ยวซันออกไปทำงานต่อก็แล้วกัน”

การเคลื่อนไหวของคนข้างๆ ดึงความสนใจของพิงภพ เขาแหงนหน้าขึ้นมองคนที่ลุกขึ้นยืน วินาทีนั้นในหัวว่างเปล่าไร้คำพูด ก็เลยแค่พยักหน้าให้คนที่หมุนตัวเดินออกไปนอกร้าน

ทั้งใบหน้าคมสันที่เพิ่งได้เห็นอย่างใกล้ชิด ทั้งเสียงทุ้มลึกกว่าที่จำได้ ทั้งแผ่นหลังตั้งตรงต่างจากเด็กหนุ่มที่เคยเดินหลังค่อม ไม่ว่าจะมองอย่างไร พิงภพก็ต้องยอมรับว่าอดีต ‘เพื่อนสนิท’ ของเขาสลัดคราบเดิมจนแทบจำไม่ได้จริงๆ

ชายหนุ่มทอดสายตามองท้องทะเลผ่านหน้าต่าง เรือที่ทอดสมอโยกไกวตามแรงคลื่น แต่เรือเป็นสิ่งของที่ไม่มีความคิดหรือความทรงจำ และบางที...เขาก็ควรจะเลิกตั้งคำถามกับอดีตที่ไม่มีวันหวนคืนมาเสียที

 

++---TBC---++

 

A/N: ได้เจอตัวละครหลักกันครบแล้ว อนาคตของเพื่อนเก่าที่ได้กลับมาพบกันอีกจะเป็นอย่างไร แล้วคนข้างห้องที่พุธเพิ่งได้คุยด้วยล่ะ? ไว้มาติดตามกันต่อในตอนหน้านะคะ ^^

 


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 3 จ้า {อัพ 10.10.19}
«ตอบ #17 เมื่อ10-10-2019 18:53:57 »

 :L2: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 3 จ้า {อัพ 10.10.19}
«ตอบ #18 เมื่อ10-10-2019 22:16:21 »

ถ่านไฟเก่ายังร้อน รอวันรื้อฟื้น  แล้วคนมาทีหลัง~~ ไม่!  เรื่องนี้  ฉันเชียร์คนข้างห้อง ฉันจะเอาน้ำทะเลสาดไม่ให้ถ่านเก่าคุเลย จริงจริ๊งงง

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 3 จ้า {อัพ 10.10.19}
«ตอบ #19 เมื่อ11-10-2019 04:03:03 »

เชียร์ลูกชายเจ้าของบริษัทดำน้ำ5555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 3 จ้า {อัพ 10.10.19}
« ตอบ #19 เมื่อ: 11-10-2019 04:03:03 »





ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 3 จ้า {อัพ 10.10.19}
«ตอบ #20 เมื่อ11-10-2019 13:44:23 »

เชียร์ใครดี เห็นแบบนี้แล้วก็อยากให้ถ่านไฟเก่ามันคุพอ ๆ กับอยากเชียร์คนข้างห้องด้วยอ่ะ
ทำไงดีอยากเก็บเธอไว้ทั้ง 2 คนเลย

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 3 จ้า {อัพ 10.10.19}
«ตอบ #21 เมื่อ17-10-2019 19:51:47 »

ตะวันพิงภพ บทที่ 4


พอการถ่ายทำจบลง ทีมงานก็ขนของกลับบลูแซนด์ด้วยความเหน็ดเหนื่อย มีบางฉากที่อาจต้องถ่ายทำเพิ่มในวันรุ่งขึ้น แต่พิงภพไม่ต้องไปช่วยแนะนำสถานที่แล้ว ซึ่งเขาก็ไม่มีปัญหาเพราะอยากกลับไปสอนดำน้ำมากกว่า

“งั้นระหว่างนี้ทุกคนพักผ่อนตามสบายนะ หกโมงเย็นค่อยมาเจอกันที่ล็อบบี้ หรือถ้าใครจะตามไปทีหลังก็เสิร์ชร้านไวท์เพิร์ลในกูเกิลแมปได้เลย เดินเลียบหาดไปไม่นานก็ถึง น้องพุธก็มาด้วยนะจ๊ะ ถือว่าเลี้ยงตอบแทนที่ไปเหนื่อยด้วยกันวันนี้”

“ได้ครับพี่เปิ้ล”

พิงภพยิ้มรับคำเชิญด้วยความยินดี ไวท์เพิร์ลเป็นรีสอร์ตที่หรูหรากว่าบลูแซนด์มาก และขึ้นชื่อเรื่องอาหารค่ำแบบบุฟเฟต์ว่าดีและแพงที่สุดบนเกาะ เขาเองก็เคยได้ไปกินครั้งเดียวตอนแม่กับพี่ชายมาเยี่ยมหลังเริ่มงานที่เกาะใหม่ๆ

“งั้นเย็นนี้เจอกันนะ”

ภาณุกรบอกกับเขาก่อนจะตามทีมงานกลับห้องพัก พิงภพเหลียวมองห้องอาหารที่ค่อนข้างเงียบเหงา ครั้นจะไปห้องสำนักงานก็กลัวว่าบุณฑริกอาจติดงานยุ่ง สุดท้ายก็เลยเดินไปร้านกาแฟซึ่งอยู่ห่างจากบลูแซนด์ไม่กี่นาที

“เฮ้ย!วันนี้ลมอะไรพัดมา ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”

“เว่อร์ไปพี่ขจร ผมก็เดินผ่านอยู่บ่อยๆ แค่ไม่ได้เข้ามาอุดหนุนแค่นั้น”

“นั่นแหละ ไม่เข้ามาอุดหนุนถือว่าไม่เจอ วันนี้จะกินอะไร เอาเหมือนเดิมมั้ย?”

“เหมือนเดิม ถ้าน้ำมะพร้าวสด”

“สดดิวะ เฉาะเองกับมือทุกลูก ร้านนี้ไม่เคยเอาน้ำมะพร้าวกล่องมาขายครับคุณ”

พิงภพหัวเราะ ขจรเป็นเจ้าของร้านกาแฟที่ฮิปปี้ที่สุดที่เขารู้จัก เพราะถึงจะโตที่เกาะเต่า แต่กลับเลือกไปเรียนและทำงานเป็นครูที่เชียงราย จากนั้นก็ลาออกไปตระเวณแบ็คแพ็คทั่วทวีปเอเชีย จนกระทั่งเดินทางอิ่มตัวแล้วก็กลับมาเปิดร้านกาแฟในบ้านของปู่ที่เสียไป พิงภพชอบที่นี่เพราะบุคลิกไม่ปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของร้านหรือตัวบ้านที่สร้างมาหลายสิบปี โต๊ะไม้เตี้ยและเบาะนั่งที่ผ่านการใช้งานจนนุ่มยวบ ถึงดูเผินๆ จะไม่มีมุมไหนเหมือนร้านสักของพ่อที่ตอนนี้พี่ชายของเขารับช่วง แต่บรรยากาศของการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นก็สร้างความรู้สึกคุ้นเคยได้ไม่ยาก

ด้านในร้านมีลูกค้าประปราย พิงภพยืนคุยสัพเพเหระกับขจรระหว่างรอเมนูเอสเปรสโซเย็นราดน้ำมะพร้าวสด พอได้แล้วก็ถือแก้วไปนั่งตรงระเบียงหน้าหาด หลังคาที่ยื่นมาเหนือชานช่วยบังแสงแดดยามบ่าย เมื่อมองไปกลางทะเลก็เห็นเรือเล็กกำลังแล่นเข้าไปรับนักดำน้ำจากเรือใหญ่ เขาเลยกะว่าเดี๋ยวจะกลับไปถามเพื่อนๆ ว่าวันนี้ดำน้ำไปเจออะไรกันบ้าง

“อ้าว?”

เสียงอุทานของหญิงสาวจากโต๊ะใกล้กันทำเอาพิงภพสะดุ้ง พอหันไปก็แปลกใจที่พบว่าเป็นหญิงสาวชาวต่างชาติ เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นหน้าเธอ แต่ก็นึกไม่ออกว่าจากที่ไหน

“Yes?”

“อุ๊ย พูดไทยได้ค่ะ ไม่ต้องใช้ภาษาอังกฤษก็ได้”

หญิงสาวพูดแล้วหัวเราะคิก ผมหยักศกของเธอเป็นสีบลอนด์และจมูกโด่งอย่างธรรมชาติ แต่พอพิงภพสังเกตดีๆ ก็เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลและโคนผมสีดำ

“เป็นลูกครึ่งเหรอครับ?”

“ช่าย ที่กัดสีผมเพราะจะไปโกรกสีม่วง แต่พอใครๆ เห็นว่าผมทองก็นึกว่าเป็นฝรั่งกันหมด”

พูดจบเธอก็แกล้งสะบัดผมเหมือนในโฆษณาแชมพู ท่าทางขี้เล่นเรียกเสียงหัวเราะจากพิงภพ เธอยิ้มชอบใจก่อนจะย้ายแก้วเครื่องดื่มมาวางบนโต๊ะของเขา

“อุตส่าห์ได้คุยกันทั้งที ขอนั่งด้วยเลยละกันเนอะ เพื่อนฉันก็ไม่รู้หายไปไหน อ้อ ฉันชื่อเอมี่ค่ะ”

“เอ่อ...ได้ครับ พุธครับ”

“ว้าย ชื่อเล่นก็น่ารัก พุทธไหนคะ ชาวพุทธ? ดาวพุธ? หรือพุฒิที่แปลว่าเจริญ?”
 
คำชมของเธอเล่นเอาพิงภพเหวอเพราะเป็นครั้งแรกที่มีคนชมว่าชื่อน่ารัก แต่คำถามที่ตามมาบ่งบอกว่าเธอน่าจะแตกฉานภาษาไทยไม่น้อย

“พุธเพราะเกิดวันพุธครับ พ่อแม่ผมตั้งชื่อเล่นให้ด้วยเหตุผลง่ายๆ อย่างนี้แหละ”

“หืม แต่ก็เก๋ดีออกน้า”

เธอยิ้มพลางยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบ เป็นเรื่องปกติที่นักท่องเที่ยวต่างชาติมักจะผูกมิตรกับคนแปลกหน้าง่ายๆ แต่พิงภพก็ยังตงิดใจกับคำว่า ‘อ้าว’ เมื่อครู่

“ขอโทษนะครับ เอมี่เคยมาเรียนดำน้ำที่บลูแซนด์หรือเปล่า?”

“ไม่เคย ฉันว่ายน้ำเก่งนะแต่กลัวแมงกะพรุน ดังนั้นไม่กล้าดำน้ำหรอก”

หรือเราจะคิดมากไปเอง แต่ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงรู้สึกคุ้นหน้าเธอล่ะ...

“เอมี่...เธอใช้ฉันไปซื้อโรตีให้แล้วตัวเองก็มานั่งคุยกับผู้ชายเนี่ยนะ”

“เต็ม”

ทั้งเขาและเอมี่หันไปเอ่ยชื่อพร้อมกัน จากนั้นทั้งคู่ก็หันกลับมาทำตาโตใส่กัน

“อ้าว นี่รู้จักกันแล้วเหรอ?”

เอมี่ถามพลางชี้เขาสลับกับหนุ่มข้างห้อง พิงภพอ้าปากค้างเพราะนึกออกแล้วว่าเธอคือหญิงสาวที่นุ่งน้อยห่มน้อยอยู่ในห้องของหมอนี่เมื่อวันก่อน

“นี่โรตีช็อกโกบานาน่า วันนี้ร้านหน้าเซเว่นปิดฉันเลยต้องขับมอเตอร์ไซค์ไปซื้อจากเจ้าอื่น”

“มิน่าถึงหายไปตั้งนาน ขอบคุณนะที่รัก พอฉันเมนส์มาแล้วอะไรอ้วนๆ ก็อยากกินไปหมด”

หญิงสาวใช้ส้อมจิ้มโรตีเข้าปาก ก่อนจะกำมือทำตาหยีโค้งเหมือนได้กินของอร่อยที่สุดในโลก ชายหนุ่มที่เพิ่งมาถึงขยี้ผมหญิงสาวก่อนจะทรุดตัวนั่ง มุมนั้นเผยหัวไหล่หนาซึ่งหันข้างให้พอดี สายตาของพิงภพจึงถูกดึงไปยังรอยสักบริเวณนั้นโดยอัตโนมัติ

ตัวอักษรภาษาอังกฤษซึ่งสะกดว่า “Let Go” ตัวไม่ใหญ่นักอยู่ตรงกลางหัวไหล่ ตอนนี้มันแทบจะถูกกลืนด้วยลวดลายซับซ้อนที่ล้อมรอบ แต่พิงภพสังเกตเห็นตัวอักษรที่โย้เย้ ต่างจากความสมบูรณ์แบบของรอยสักส่วนอื่นแล้วก็คิดว่าคงเป็นฝีมือของช่างมือสมัครเล่น เผลอๆ อาจจะเป็นรอยสักแรกของเจ้าตัวเลยก็ได้

แต่ว่าทำไมถึงเป็น Let Go ไม่ใช่ Let’s Go นะ? ตั้งใจจะสักคำนี้อยู่แล้ว หรือว่าสะกดผิด?

พิงภพนึกสงสัย พอเหลือบตาขึ้นก็เห็นเจ้าของรอยสักจ้องเขาอยู่ก่อนด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่เอมี่กลับเท้าคางยิ้มแย้ม โรตีกล้วยราดช็อกโกแลตในจานหมดเกลี้ยงเหมือนไม่เคยมีอยู่

ผู้หญิงเวลาเมนส์มานี่น่ากลัวจริงๆ...

“วันพุธชอบรอยสักของเต็มเหรอ จ้องใหญ่เลย”

พิงภพกะพริบตาอีกครั้ง ถึงชื่อเล่นเขาจะมาจากวันเกิดจริงๆ แต่เพิ่งมีเอมี่นี่แหละที่เรียกเขาว่าวันพุธ มันทำให้ชื่อเล่นที่เคยคิดว่าแสนจะธรรมดาฟังแล้วตะมุตะมิพิกล

“ไม่ใช่หรอก คงเพราะไม่เคยเห็นคนมีรอยสักเต็มตัวใกล้ๆ ก็เลยสนใจ ก็แค่นั้น”

“รู้ได้ไงว่าไม่เคยเห็นใกล้ๆ พ่อเรายังสักเยอะกว่านี้อีก นอกจากหน้ากับฝ่าเท้าก็ไม่มีผิวตรงไหนว่างแล้วมั้ง"

พิงภพรีบออกตัว ไม่รู้ทำไมถึงร้อนหน้าหน่อยๆ ตอนหมอนี่ปรายตามามองแล้วเลิกคิ้วข้างหนึ่ง ส่วนเอมี่โน้มตัวมาข้างหน้าจนทรวงอกกลมกลึงเกยกับขอบโต๊ะ

“จริงเหรอ? เจ๋งอ้ะ!พ่อของวันพุธเป็นไบเกอร์เหรอ? หรือว่าเล่นคุณไสยก็เลยสักยันต์ทั้งตัว?”

ชายหนุ่มที่นั่งข้างเขามองหญิงสาวด้วยแววตาเอือมระอา มันทำให้พิงภพไม่แน่ใจว่าทั้งสองเป็นคู่รักที่คบกันมานาน หรือแค่เพื่อนต่างเพศที่สนิทกันมากกันแน่

“เปล่า พ่อเราเป็นช่างสัก มีร้านของตัวเองด้วย แต่ตอนนี้พี่ชายรับช่วงต่อเพราะพ่อเสียแล้ว”

เอมี่ตาวาวอย่างตื่นเต้นเมื่อได้ยินประโยคแรก แต่พอได้ฟังเรื่องของพ่อก็มองเขาอย่างเห็นใจ

“เสียใจด้วยนะวันพุธ พ่อเสียไปนานแล้วเหรอ?”

“นานไหม...ก็ราวๆ ห้าปีได้ ตอนนั้นเพิ่งเรียนปีสองเอง”

พิงภพตอบแล้วก็นึกขึ้นได้ ห้าปีแล้วหรือ ไม่น่าเชื่อว่าครอบครัวของเขาสูญเสียสมาชิกคนสำคัญไปนานขนาดนี้ แต่อาจเพราะตัวเขาทั้งเรียนและทำงานไกลบ้าน ถ้าไม่มีใครทักก็ลืมว่าพ่อไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว

“ตอนนั้นเรียนปีสอง...ถ้าปีสองก็น่าจะอายุสิบเก้ารึยี่สิบ งั้นตอนนี้วันพุธก็อายุยี่สิบห้าแล้วสิ?”

“ใช่ แต่ที่จริงเดือนหน้าก็จะยี่สิบหกแล้วล่ะ”

พิงภพตอบขณะมองเอมี่นับนิ้วและทำปากขมุบขมิบ เขาไม่เข้าใจว่าคำตอบของตัวเองน่าตื่นเต้นตรงไหน เพราะเธอมองเขาสลับกับคนข้างตัวแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“อันที่จริงนะ ฉันกับเต็ม...”

“เอมี่”

“อะไรเล่า แค่จะบอกว่าพวกเราพนันกันไว้ว่าคนข้างห้องแก่กว่าหรือเด็กกว่าเต็ม แบบนี้ก็เท่ากับฉันชนะพนันแล้ว อย่าลืมให้รางวัลด้วยล่ะ”

“ฉันบอกว่าจะพนันกับเธอตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ก็ตอนพนันไม่ได้ปฏิเสธนี่ ไม่ปฏิเสธก็เท่ากับยอมรับใช่ไหมล่ะ?”

พิงภพกลอกตามองทั้งคู่เถียงกันราวกำลังดูการแข่งเทนนิส แต่พอได้ยินประโยคสุดท้ายก็หัวเราะ สองหนุ่มสาวที่กำลังเถียงกันอยู่จึงชะงัก

“นี่พนันกันเรื่องอายุเราเหรอ?”

พิงภพนึกขำที่อายุของเขากลายเป็นหัวข้อพนันไปได้ และยิ่งหัวเราะมากขึ้นเมื่อเห็นคนตัวใหญ่กว่ายกมือขึ้นกอดอก

“บอกแล้วว่าเราไม่ได้พนันเรื่องคุณ ยายนี่ชอบทึกทักไปเองอยู่คนเดียว”

“ฮึ จะพูดอะไรก็เชิญ แต่ตอนท้าพนันเต็มบอกว่าคนข้างห้องไม่มีทางอายุเกินยี่สิบสองหรอก เป็นไงล่ะทีนี้ เขาแก่กว่านายตั้งสามปีแน่ะ”

“เต็มอายุยี่สิบสาม?”

“ถ้าใช่แล้วจะทำไม?”

คนถูกถามสวนกลับทันควัน แต่แทนที่พิงภพจะขยาด เขากลับฉีกยิ้มเพราะรู้สึกว่าเจ้าคนหน้าไม่รับแขกนี่ ‘น่าเอ็นดู’ ผิดคาด

“ก็ไม่ทำไม แค่คิดว่าดูเป็นผู้ใหญ่ดีจัง อ๊ะ...”

โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะสั่นเรียกความสนใจ พอสไลด์หน้าจอก็พบข้อความจากเพื่อนๆ ที่ถามว่าเขาอยู่ไหน พิงภพเลยเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนร่วมโต๊ะทั้งสอง

“โดนตามตัวแล้ว คงไม่อยู่เป็น ก.ข.ค.ละ ไว้วันหลังค่อยคุยกันใหม่”

พิงภพลุกเอาแก้วเครื่องดื่มไปคืนที่เคาน์เตอร์ เขาหันกลับไปโบกมือให้คู่หนุ่มสาวบนชานระเบียงก่อนออกจากร้าน จึงไม่ทันเห็นว่าเอมี่หันไปยิ้มกว้างกับคนที่เอาแต่นั่งจิบกาแฟไม่พูดไม่จา

“น่ารักจริงๆ ด้วยเนอะ มนุษยสัมพันธ์ก็ดี แล้วตกลงนายได้คุยกับเขาตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย? ทำไมไม่เห็นเล่าให้ฟังเลย”

“เล่าหรือไม่เล่าแล้วจะทำไม? เธอไม่ได้เป็นแม่ฉันสักหน่อย”

“โอ๊ย ทีเรื่องแบบนี้ล่ะอมพะนำดีนัก ฉันก็แค่เห็นว่าเขาคล้าย...”

“เอมี่ คิดให้ดีๆ ก่อนจะพูดอะไร ไม่งั้นผลลัพธ์มันอาจจะตรงข้ามกับที่เธอต้องการก็ได้”

หญิงสาวทำหน้ามุ่ยขณะมองอทิตยะเคาะบุหรี่ออกมาจุดสูบ ช่วยไม่ได้ที่พวกเขารู้จักกันมานานจนแทบจะไม่เหลือความลับระหว่างกันอีกต่อไป แต่พอนึกบางอย่างออกก็รีบเขย่าแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างตื่นเต้น

“เต็ม!วันพุธทำงานที่บลูแซนด์ด้วยนะ!”

“รู้ ก็เห็นหมอนั่นใส่เสื้อยืดของรีสอร์ตอยู่ทุกวัน”

“นี่! นายจะไม่สนใจเขาก็ช่างเถอะ แต่เมื่อไหร่จะเข้าไปที่บลูแซนด์ซักที? อุตส่าห์มาเช่าห้องอยู่ที่เกาะตั้งหลายวันแล้ว ไม่กลัวป๋ากับลุงธาตรีเป็นห่วงหรือไง?”

“ฉันยังไม่อยากให้พ่อรู้ว่าอยู่ที่นี่ อีกอย่างป๋าก็เคยบอกว่าพร้อมเมื่อไหร่ค่อยเข้าไป เธอไม่ต้องมาเร่งแทนหรอกน่า”

เอมี่ฟังแล้วทำปากยื่นอย่างขัดใจ เธอแกล้งทำท่าปัดควันบุหรี่ทั้งที่ตัวเองนั่งอยู่เหนือลม เลยโดนชายหนุ่มหันมาแกล้งพ่นควันใส่

“อ๊าย! อีตาบ้า! ฉันจะไม่แปลกใจเลยถ้าวันพุธเขาจะไม่ชอบนายเพราะนิสัยแบบนี้น่ะ”

“ไม่ชอบก็ไม่เห็นเป็นไร ก็แค่คนที่บังเอิญได้เช่าห้องติดกัน ไม่มีผลกับชีวิตฉันสักหน่อย”

อทิตยะสูบบุหรี่อึกสุดท้ายแล้วขยี้กับที่เขี่ย จากนั้นก็เอนตัวลงนอนหนุนตักของหญิงสาว เอมี่อ้าปากจะท้วงแต่แล้วก็เงียบ อทิตยะไม่ใช่เด็กไม่ประสีประสา แล้วเธอก็ไม่อาจทำตัวเหมือนเป็นพี่สาวได้ตลอด สุดท้ายก็เลยนั่งเท้าคางมองไปไกลๆ แทน ได้แต่หวังว่าสักวันจะมีคนเปลี่ยนมุมมองอันมืดมนของหมอนี่ให้สว่างสมชื่อเสียที



++---TBC---++


A/N: พอดีช่วงอาทิตย์หน้าติดธุระ สำหรับตอนหน้าอาจมาลงให้วันศุกร์ถ้าลงวันพฤหัสไม่ทันนะคะ ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-10-2019 19:57:57 โดย bellbomb »

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 4 จ้า {อัพ 17.10.19}
«ตอบ #22 เมื่อ17-10-2019 20:10:35 »

เต็มก็ชอบๆพุธแต่ไม่เดินหน้าจีบเพราะมีปมเรื่องความรักเหรอ?
เรียกพุธว่าวันพุธแล้วรู้สึกถึงความน่ารักเพิ่มขึ้นอีกร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มลองเรียกดูบ้างสิ  :hao3:
 
:pig4:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 4 จ้า {อัพ 17.10.19}
«ตอบ #23 เมื่อ17-10-2019 21:06:23 »

 :3123: :pig4: :3123:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 4 จ้า {อัพ 17.10.19}
«ตอบ #24 เมื่อ18-10-2019 00:22:44 »

เขามีปมอะไรกันอ่ะ?  ขอเผือกโหน่ย5555

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 4 จ้า {อัพ 17.10.19}
«ตอบ #25 เมื่อ18-10-2019 15:55:44 »

จีบเลยอย่าได้กลัวไป

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 5 จ้า {อัพ 24.10.19}
«ตอบ #26 เมื่อ24-10-2019 19:16:22 »

ตะวันพิงภพ บทที่ 5


พิงภพตื่นนอนตอนเช้าอย่างกระปรี้กระเปร่า นอกจากเพราะได้กินอาหารหรูเต็มคราบเมื่อคืนวาน ยังเป็นเพราะวันนี้จะได้กลับไปทำงานสอนดำน้ำที่ถนัด สำหรับช่วงเช้าจะเป็นการสอนทฤษฎีให้นักเรียนใหม่ เขาเลยกะว่าจะไปรีสอร์ตแต่เช้าหน่อยเพื่อจะได้มีเวลาเตรียมตัวก่อน

ชายหนุ่มสะพายเป้ออกจากห้องแล้วล็อกประตู แต่พอจะออกเดินก็ได้ยินเสียงฝีเท้าขึ้นบันได เขาเลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าคนที่เดินโซเซขึ้นมาคือเพื่อนข้างห้อง

“อ้าวเต็ม เพิ่งกลับเหรอ...”

ยังถามไม่จบประโยคก็ได้กลิ่นเหล้าโชยฟุ้ง พิงภพเพิ่งสังเกตเห็นใบหน้าซึ่งแดงเรื่อไปถึงแผ่นอก เขาย่นจมูกขณะรอให้อีกฝ่ายเข้าห้องจะได้เดินผ่าน แต่แล้วจู่ๆ คนตัวใหญ่กว่าก็หันไปโก่งคออาเจียนนอกระเบียงทางเดิน

“เฮ้ย! เป็นอะไรรึเปล่า?”

สัญชาตญาณครูบวกความรู้ด้านปฐมพยาบาลทำให้รีบเข้าไปช่วยลูบหลัง โชคดีว่าด้านล่างระเบียงคือแนวหญ้ารกสูง ไม่อย่างนั้นเจ้าของอพาร์ตเมนต์คงบ่นพวกเขาหูชาที่ทำพื้นชั้นหนึ่งเลอะเทอะ

“ไม่เป็นไรแล้ว...”

คนที่อาเจียนออกไปก๊อกใหญ่เอ่ยพลางใช้หลังมือเช็ดปาก ร่างสูงดันเขาออกแล้วหมุนตัวไปทางประตูห้อง แต่ดูเหมือนจะรู้ตัวว่าพิงภพยังไม่ไปไหนก็เลยหันมาถาม

“มีอะไร?”

“ไม่มี แค่อยากรอดูให้แน่ใจว่าเข้าห้องได้”

คนถูกรอทำหน้าไม่ค่อยพอใจ แต่แล้วก็ต้องหันไปใช้สมาธิกับการหาลูกกุญแจที่ถูกดอก หลังพยายามอยู่พักใหญ่จนพิงภพร่ำๆ จะช่วย ในที่สุดก็มีเสียง ‘คลิก’ ก่อนบานประตูจะถูกเปิด

“เข้าได้แล้ว เป็นไงล่ะ”

น้ำเสียงและสีหน้าเหมือนคนเพิ่งฝ่าด่านสำคัญในเกมได้ทำเอาพิงภพหลุดขำ แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วเมื่ออีกฝ่ายยกมือปิดปากก่อนจะรีบโผเข้าไปในห้อง

“เฮ้ย! เต็ม!”

พิงภพรีบก้าวตามไปทันที โชคดีที่ห้องน้ำอยู่ใกล้กับประตู เขาเลยทันเห็นเจ้าของห้องกำลังโก่งคออาเจียนอยู่เหนือโถชักโครก สภาพเหงื่อซึมหน้าผากทำเอาพิงภพเหลียวซ้ายแลขวา พอเห็นผ้าขนหนูผืนเล็กก็คว้ามาชุบน้ำเพื่อเช็ดเหงื่อให้ เขาชะงักมือเมื่ออีกฝ่ายเหลือบตาขึ้นมอง นัยน์ตาสีนิลที่ฉ่ำเพราะแอลกอฮอลล์จ้องเขานิ่งเหมือนไม่ได้เมาสักนิด

“ตามเข้ามาทำไม?”

ดูเหมือนเช้านี้คนข้างห้องจะมู้ดดี้เป็นพิเศษ แต่พิงภพยังคงเช็ดเหงื่อต่อเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น

“ทำไมเหรอ...ก็เห็นคนเมาอ้วกต่อหน้าเลยทนดูไม่ได้มั้ง”

อันที่จริงคือเขาไม่อยากกลับมาเจอหมอนี่ล้มหัวแตกหรือทำอะไรแผลงๆ จนกลายเป็นผีเฝ้าตึกต่างหาก แต่ก็คิดว่าอย่าพูดออกไปจะดีกว่า

“หึ...พ่อคนดี”

คนที่ดูเหมือนจะอ้วกหมดกระเพาะแล้วแค่นเสียงขึ้นจมูก ร่างสูงกดชักโครกก่อนจะดันตัวขึ้นบ้วนปากเหนืออ่างล้างหน้า พิงภพมองตามคนที่เดินเซไปนอนบนเตียง ใจหนึ่งก็อยากปล่อยเจ้าคนอวดดีไว้อย่างนี้ แต่อีกใจก็รู้สึกว่าปล่อยปละละเลยไม่ได้

“อะไรอีกล่ะ...”

นัยน์ตาซึ่งปิดไปแล้วปรือขึ้นเมื่อเตียงยวบลง หน้าตาที่ซีดเซียวแต่ยังพยายามวางมาดทำให้พิงภพนึกอยากบีบจมูกด้วยความหมั่นไส้

“ถ้าไม่อยากเป็นหวัดก็ลุกมาเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เหงื่อออกจนแฉะไปทั้งตัวแล้ว”

“โธ่เอ๊ย อยากเห็นคนอื่นโป๊ก็บอกมาเถอะ”

พิงภพสังหรณ์ว่าถ้าเป็นเวลาปกติคงได้เห็นสีหน้ายียวนของหมอนี่ แต่คงเพราะตอนนี้เมาจนไม่มีแรงก็เลยแค่พลิกตัวหนีเขาเฉยๆ

“หลงตัวเองไปหน่อยมั้ง อะไรที่ตัวเองมีเราก็มีเหมือนกัน มา ถ้าขี้เกียจนักเดี๋ยวช่วยถอดให้”

“หา...เฮ่ย! จะทำอะไร!?”

“ก็บอกแล้วว่าจะถอดให้ เมาจนลุกไม่ไหวก็นอนไป คิดซะว่าตัวเองเป็นผู้ป่วยอัมพาตก็แล้วกัน”

ชายหนุ่มเอ่ยพลางถอดเสื้อกับกางเกงขาสั้นของคนตัวใหญ่กว่าแบบไม่ให้ตั้งตัว เขาไม่แตะกางเกงในเพราะคิดว่าไม่จำเป็น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสังเกตเห็นเค้าโครงของสิ่งที่ซ่อนอยู่ด้านล่าง และภาพนั้นก็ทำเอาหน้าเห่อร้อนไปหมด เพราะมันชวนให้นึกถึงสถานการณ์คล้ายกันเมื่อวานนี้

โอเค...ขอเปลี่ยนคำพูดก็ได้ อะไรก็ตามที่หมอนี่มี เขาก็มีแต่น้อยกว่ากันเยอะ

พิงภพรีบหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่มาใส่ให้ พอเสร็จแล้วก็ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมพลางถอนใจโล่งอก

“เอาล่ะ ถือว่าหมดธุระกันแล้วนะ”

“...จะไปแล้วเหรอ?”

มือที่ยื่นมาจับแขนทำเอาพิงภพสะดุ้ง เมื่อครู่เขาแค่พูดลอยๆ ไม่นึกว่าหมอนี่จะยังไม่หลับ

“ต้องไปแล้วสิ จะถึงเวลาทำงานแล้วเนี่ย”

“ไปสายหน่อยไม่เป็นไรหรอกน่า”

“เฮ้ย!”

พิงภพร้องเมื่อถูกฉุดแขนจนหน้าทิ่มลงบนเตียง ยังไม่ทันจับต้นชนปลายก็ถูกแขนขายาวๆ รวบเข้าไปกอด ชายหนุ่มเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

“นี่! ล้อเล่นอะไรเนี่ย ปล่อยนะเว่ย! เต็ม!!”

“อย่าเพิ่งไปเลยนะ ดิว”

เสียงแหบต่ำกระซิบอยู่บนกระหม่อม พิงภพมุ่นคิ้วด้วยความสับสน แต่พออ้อมแขนที่โอบรัดเริ่มผ่อนแรงก็ดีดตัวลุกทันที เลยเห็นว่าคนที่ทำเขาใจหายใจคว่ำผล็อยหลับไปแล้ว

“ไอ้บ้า...ทำเอาตกใจหมด”

พิงภพบ่นพลางบีบนวดแขนที่โดนฉุด หัวใจเต้นแรงจนได้ยินเสียงตุบตับในหู แต่ตัวคนก่อเรื่องกลับหลับสนิทแถมกรนจนน่าถีบให้ตกเตียง

“ดีนะที่เราไม่ใช่ผู้หญิง ไม่งั้นได้แจ้งความข้อหาลวนลามกับเรียกค่าเสียหายแน่”

พอพูดไปแล้วพิงภพก็กลอกตา ไม่รู้ว่ายุคนี้จะยังเหลือผู้หญิงที่ถือสากับการถูกเนื้อต้องตัวสักกี่คน แต่ในเมื่อเขาไม่ใช่ผู้หญิงแล้วก็ไม่คิดจะหาเรื่องคนเมา ต่อให้บ่นไปก็เปลืองน้ำลายโดยใช่เหตุ

พิงภพหยิบรีโมทมากดปรับอุณหภูมิในห้อง จากนั้นก็ล็อกประตูแล้วเดินออกมา ดูจากเวลาที่เหลือแล้วถ้าเขาอยากกินมื้อเช้าก็คงได้แค่ขนมปังแทนที่จะเป็นข้าวต้มร้อนๆ แต่ขณะสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ที่เพิ่งเช่ามาใหม่ เขาก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าทำไมเมื่อครู่ถึงรู้สึกทะแม่ง

ชื่อที่หมอนั่นเพ้อถึงตอนที่เมาจนไม่รู้สึกตัวคือดิว...ไม่ใช่เอมี่



++------++



ปวดหัวชะมัด...

นั่นคือความคิดแรกที่ผุดขึ้นในหัวเมื่ออทิตยะลืมตา แสงเจิดจ้านอกหน้าต่างบ่งบอกว่าน่าจะเป็นเวลาบ่าย พอเห็นตัวเลข 13.22 บนนาฬิกามือถือก็ยืนยันว่าเขาเดาถูก

ร่างสูงดันตัวขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ อาศัยสายน้ำเย็นจัดจากฝักบัวช่วยขจัดอาการเมาค้างและกลิ่นเหงื่อ แต่พอเดินออกมาก็ถูกเสื้อกับกางเกงที่กองตรงมุมห้องดึงดูดความสนใจ

นั่นมันชุดที่เราใส่เมื่อวานนี่...

อทิตยะเหลียวกลับไปมองเสื้อผ้าอีกชุดที่เพิ่งถอดโยนลงตะกร้า เขาอาจจะเมาจนแทบจำไม่ได้ว่าเมื่อเช้าขับมอเตอร์ไซค์กลับมาถึงห้องได้ยังไง แต่ก็มั่นใจว่าเมื่อวานไม่ได้ใส่เสื้อยืดแขนสั้นแน่ๆ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเอมี่บังคับให้กินเหล้าหลายขนานเพื่อทำโทษที่แพ้พนันก็คงไม่เบลอขนาดนี้ สงสัยว่าพอกลับถึงห้องก็งัวเงียเปลี่ยนเสื้อก่อนจะหลับ ส่วนไออุ่นที่ได้สัมผัสชั่ววูบก็เป็นเพียงความฝัน

ในเมื่อเขากับดิวไม่มีวันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว...

ชายหนุ่มใช้ผ้าขนหนูขยี้ผมที่เปียกน้ำ แต่แล้วก็สบถเมื่อเหยียบโดนอะไรบางอย่าง คิ้วหนามุ่นขึ้นก่อนจะก้มลงหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาดู

ตุ๊กตายางเรซิ่นรูปกัปตันอเมริกาเก่าจนสีหลุดเป็นหย่อม หมุดบนหัวบ่งบอกว่าน่าจะหลุดออกมาจากพวงกุญแจ เขารู้สึกคุ้นตาแต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน ไม่แน่ว่าตอนที่เมาอาจจะเผลอไปคว้ากุญแจคนอื่นแล้วมันหลุดติดมือมา

จะทิ้งก็คงไม่ดีเพราะไม่รู้ว่าของใคร เก็บไว้ก่อนก็แล้วกัน...

อทิตยะเลื่อนลิ้นชักหน้ากระจกออกมาแล้วโยนตุ๊กตาใส่ พอแต่งตัวเสร็จก็ดึงผ้าปูเตียง ปลอกหมอนและเสื้อผ้าที่เก็บรวบรวมไว้ไปส่งซัก หลังแวะกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านข้างถนนก็กลับขึ้นห้อง จากนั้นก็เปิดโน้ตบุ๊ค ล็อกอินเข้าโปรแกรมแชตแล้วพิมพ์ทักคนที่ต้องการ

“Hey”

ชั่วอึดใจก็มีข้อความตอบกลับมา เขาเลยถือโน้ตบุ๊คออกไปนั่งบนระเบียงเพราะไม่อยากอุดอู้ในห้อง

“ไง หายไปเลย เช็กอีเมลหรือยัง?”

“ยัง นี่เพิ่งตื่น”

“อิจฉาคนติดเกาะจริง รอให้ฉันได้ลาหยุดมั่งเถอะ”

“มีงานทำก็ดีแล้วน่า พอดีเพิ่งนึกอะไรออก อยากปรึกษาหน่อย”

อทิตยะแชตไปเช็กอีเมลไป พอคุยธุระเสร็จก็จุดบุหรี่สูบ สายตาปรายมองไปทางระเบียงห้องข้างๆ โดยอัตโนมัติ

ตอนนี้คงทำงานอยู่ล่ะสิ...ว่าแต่ไม่คิดจะเก็บเสื้อผ้าเข้าห้องเลยหรือไง

เขาคิดพลางมองเสื้อยืดหลากสีที่แขวนบนระเบียง ท้องฟ้าที่สว่างสดใสเริ่มครึ้มเพราะเมฆลอยมาบังแสงอาทิตย์ อากาศบนเกาะทางใต้ก็แบบนี้ ปุบปับลมจะเปลี่ยนทิศ พายุจะเข้าก็ใช้เวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น

อทิตยะนึกถึงคนที่เดินสวนกันมาหลายวันแต่เพิ่งได้คุยกันเมื่อวานซืน ไม่รู้หมอนั่นคิดอย่างไรกับการได้เขาเป็นเพื่อนข้างห้อง แต่ไหนแต่ไรเขาไม่ใช่คนที่ชอบเข้าหาหรือทำความรู้จักคนอื่น แต่หมอนั่นกลับแสดงความคุ้นเคยหลังได้คุยกันแค่ไม่กี่คำ อาจเป็นเพราะทำงานที่ต้องพบปะผู้คนมากหน้าหลายตาก็เลยเข้ากับคนง่าย

แต่ไม่ใช่เพราะคนเป็นมิตรง่ายแบบนี้หรือที่ทำเขาเจ็บเจียนตายมาแล้ว

ชายหนุ่มอัดควันเข้าปอดอึกใหญ่ อารมณ์ที่แจ่มใสเมื่อครู่พลันหมองมัว ไม่ช้าหยดน้ำก็เริ่มโปรยเป็นสายจากเมฆฝนสีเทา



++------++



พิงภพมองฝนที่เทลงมาเหมือนฟ้ารั่ว โชคดีที่เขาสอนทักษะพื้นฐานในสระว่ายน้ำให้พวกนักเรียนเสร็จแล้ว ก็เลยให้ทุกคนเอาอุปกรณ์มาวางรวมกันไว้สำหรับเรียนต่อในวันรุ่งขึ้น

“พรุ่งนี้เจอกันเก้าโมงเหมือนเดิมนะครับ ผมจะสอนสกิลที่ยังเหลือให้ครบ ช่วงบ่ายก็เรียนทฤษฎีต่ออีกหน่อยก่อนจะสอบข้อเขียนกัน”

“มีสอบข้อเขียนด้วยเหรอพี่?”

หนึ่งในเด็กหนุ่มที่มาเรียนกับเพื่อนถามเสียงหลง กลุ่มนักเรียนของพิงภพครั้งนี้มีสี่คนซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดสำหรับการสอนแต่ละครั้ง เห็นว่าแต่ละคนยังอายุแค่ 17-18 ซึ่งทำให้เขานึกถึงสมัยที่ตัวเองเพิ่งหัดดำน้ำใหม่ๆ

“มีครับ แต่ไม่ยากหรอก ก็แค่ทดสอบว่าเราจำหลักการเบสิคได้”

“เคยมีคนสอบตกมั่งไหมครับ?”

“เท่าที่ผมสอนมายังไม่มีนะ เพราะทำไปเฉลยไป ถ้าตกก็แย่ละ”

ทุกคนหัวเราะ หลังสอบถามอีกนิดหน่อยก็พากันแยกย้าย พิงภพเดินลัดเลาะใต้ชายคาของรีสอร์ตเพื่อไปยังห้องอาหารริมหาด วันนี้เขาไม่ได้ออกไปดำน้ำในทะเลเพราะต้องสอนนักเรียนใหม่ในสระก่อน แต่แค่ได้ทำงานที่ถนัดก็ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว

ว่าแต่ป่านนี้เต็มจะตื่นหรือยังนะ หรือจะนอนยาวจนตื่นตอนกลางคืนแทน ไม่รู้ว่าหมอนั่นกินเหล้าไปเยอะแค่ไหนถึงเมาได้ขนาดนั้นซะด้วยสิ

พิงภพตระหนักดีว่าไม่ใช่ธุระกงการของเขาที่ต้องเป็นห่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อคนข้างห้องก็แสดงออกว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือ แต่ในเมื่อตอนนี้ไม่นับว่าเป็นคนแปลกหน้ากันแล้ว แถมตอนที่รถเขาเสียก็ได้อาศัยซ้อนท้ายหมอนั่นกลับห้องและมาทำงาน จะให้ทำตัวแล้งน้ำใจก็คงไม่ได้

“พุธ ทางนี้ๆ”

เสียงเรียกจากเพื่อนๆ ดึงความสนใจของพิงภพ ตอนนี้ห้องอาหารหน้าหาดแน่นขนัดไปด้วยเหล่านักดำน้ำที่เพิ่งกลับมา รวมถึงแขกของรีสอร์ตที่กำลังกินมื้อเย็น พิงภพเข้าไปเลื่อนเก้าอี้ว่างข้างลีแล้วก็นั่งลง

“วันนี้เป็นไงมั่ง ได้เจออะไรเด็ดๆ กันมั่งไหม?”

พิงภพถามหลังจากสั่งข้าวผัดไก่ไข่ดาวกับพนักงานเสิร์ฟ ทุกคนมองหน้ากันยิ้มๆ ก่อนสเวนจะยื่นกล้องถ่ายภาพใต้น้ำให้เขาดู

“เฮ้ย! น้องจุด! ทำไมวันนี้มาอ้ะ!!”

“สงสัยที่วันนั้นไม่ได้เจอเพราะนายอยู่ในเรือแน่เลย ต้องพิจารณาตัวเองแล้วนะพุธ”

“ไม่เกี่ยวสักหน่อย ก่อนหน้านี้ฉันก็เคยเจอตั้งหลายหน มันต้องเป็นใครสักคนบนเรือนั่นแหละที่ไม่มีดวง”

พิงภพโต้มาริอุสทันควันจนเรียกเสียงหัวเราะ เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะแซวกันเวลาไม่เจอสัตว์ที่อยากเจอว่าเพราะมีตัวโชคร้าย เมื่อก่อนเขาก็ไม่เคยนึกว่าชาวต่างชาติจะล้อกันเรื่องความเชื่อเหมือนคนไทยจนมาได้ยินกับหูตัวเอง

“พรุ่งนี้นายก็ยังต้องสอนในสระนี่นะ กว่าจะได้พานักเรียนลงทะเลก็มะรืนเลยสิ”

“แต่ถึงพุธได้ลงก็ต้องคอยเฝ้านักเรียนสอบทำสกิล ถึงฉลามวาฬมาก็ทิ้งนักเรียนไปว่ายตามไม่ได้อยู่ดี”

ทั้งลีทั้งมาริอุสพากันแซวเขาอย่างสนุกสนาน สเวนเพียงแต่ยิ้มขณะรับกล้องคืน แต่พิงภพดูออกว่าหนุ่มสวีเดนผู้ไม่ค่อยพูดจาก็กำลังขำเขาเหมือนกัน

“เอ๊อ ไว้รอให้นักเรียนฉันสอบเสร็จก่อนเถอะ รับรองเจอทุกอย่างแน่ ทั้งฉลามวาฬ บาราคูด้า แมนต้า ปลาหมึก เอามาให้หมด”

พวกเขาคุยกันไปกินข้าวกันไป บางทีครูสอนดำน้ำที่นั่งอยู่โต๊ะอื่นก็เดินมาคุยด้วยบ้าง พอฟ้าเริ่มมืด ฝนก็เริ่มซาจนเหลือเพียงละอองที่พรมอณูอากาศให้เย็นฉ่ำ พิงภพขอตัวลุกจากโต๊ะเพื่อไปเข้าห้องน้ำ แต่พอเดินออกมาก็เกือบชนคนที่กำลังจะเดินสวนกัน

“ขอโทษครับ...”

“พุธ กำลังหาตัวอยู่พอดีเลย”

หัวใจของพิงภพเต้นผิดไปหนึ่งจังหวะเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคือภาณุกร วันนี้หนุ่มลูกครึ่งสวมเสื้อเชิ้ตฮาวายสีเขียวนวล ข้างในสวมเสื้อกล้ามสีขาวค่อนข้างเข้ารูปจนเห็นเนินอกและมัดกล้ามหน้าท้องที่นูนขึ้นมา

แล้วนี่เขาจะมาสังเกตเรื่องพวกนี้ทำไมนะ...

พิงภพยกมือขึ้นถูหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติ พอเงยหน้ามองคู่สนทนาก็เห็นอีกฝ่ายกำลังยิ้มจนต้องย่นจมูกใส่

“หาทำไม?”

“คืนนี้ว่างหรือเปล่า?”

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว อันที่จริงหลังทำงานเสร็จในแต่ละวันเขาก็ไม่ค่อยได้ทำอะไร ถ้าขี้เกียจก็กลับห้องไปนั่งดูซีรีส์หรืออ่านหนังสือ ถ้าเหงาก็ออกมานั่งดื่มเบียร์กับเพื่อนครูด้วยกัน บางทีก็ไปขลุกกันที่ห้องใครสักคนเพื่อเล่นเกมฆ่าเวลา รีสอร์ตของพวกเขาตั้งอยู่บนหาดที่คึกคักที่สุดของเกาะอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้ทำมากนักนอกจากนี้

“ก็...ว่าง”

“ถ้างั้น...ไปหาร้านนั่งกันไหม อุตส่าห์ได้มาเจอกันทั้งที พอดีพรุ่งนี้ก็ต้องกลับแล้ว”

ภาณุกรเอ่ยพลางบุ้ยคางไปทางทีมงานที่กำลังนั่งกินข้าว พิงภพถึงนึกขึ้นได้ว่าพอถ่ายโฆษณาเสร็จแล้วคนพวกนี้ก็ต้องกลับกรุงเทพฯ เท่ากับว่าเขากับภาณุกรจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

ทั้งที่อุตส่าห์ได้กลับมาเจอกันหลังผ่านมาเก้าปี แต่เงื่อนไขของเวลาที่จะได้รื้อฟื้นมิตรภาพกลับสั้นเหลือเกิน

“...ก็ได้ ว่างอยู่ อยากนั่งร้านแนวไหนล่ะ ชิลๆ หรูๆ บ้านๆ หรืออยากได้แบบมีปุ๊นด้วย?”

คนตรงหน้าเขาทำสีหน้าเหมือนสำลักน้ำลาย ก่อนจะหัวเราะเมื่อเห็นพิงภพเลิกคิ้ว

“โทษที พอได้ยินจากปากพุธแล้วแปลกๆ สมแล้วที่อยู่เกาะมาสามปี นี่รู้จักร้านทุกแนวเลยสิท่า”

“รู้จักแต่ก็ไม่ได้เคยนั่งทุกร้านหรอก ค่าแรงครูสอนดำน้ำไม่ได้อู้ฟู่ขนาดนั้น ขืนตระเวณดริงค์ทุกคืนก็ไม่เหลือเงินกันพอดี”

“อืม ที่จริงก็ไม่ได้อยากนั่งร้านไหนเป็นพิเศษ ถ้างั้นซื้อเบียร์กับขนมไปนั่งกินกันที่ห้องของพุธก็ได้ จะได้ไม่เปลืองตังค์”

พิงภพกะพริบตา เขามองรอยยิ้มบนมุมปากของอีกฝ่าย ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าที่เห็นประกายเว้าวอนในดวงตาสีน้ำตาล

“จะดีเร้อ ห้องทั้งเล็กทั้งรก วิวทะเลก็ไม่มีให้ดู เดี๋ยวจะเซ็งซะเปล่าๆ”

“ไม่เป็นไร ถ่ายโฆษณามาสองวันนี่ก็ได้เห็นวิวเกือบทั้งเกาะแล้ว ไปดูให้เห็นว่าห้องพุธเป็นยังไงก็ดีเหมือนกัน จะได้กลับไปรายงานน้ายูงได้”

“อ้าว อะไรวะ นี่แม่ใช้ให้มาเป็นสปายเหรอ?”

เขาแกล้งชกไหล่จนภาณุกรหัวเราะ วูบหนึ่งที่บรรยากาศผ่อนคลายเหมือนสมัยมัธยมกลับคืนมา ในอกเหมือนมีกระแสอุ่นๆ ไหลเวียนจนเขายิ้มตาม

“งั้นเดี๋ยวไปซื้อเบียร์กับขนมที่ร้านแถวหอก็ได้ ขืนหิ้วจากแถวนี้เดี๋ยวซ้อนรถไม่ถนัด ขอไปบอกลาพวกเพื่อนๆ แป๊บ จะมาด้วยกันไหม?”

“เอาสิ”

พิงภพเดินกลับไปที่โต๊ะซึ่งเพื่อนๆ กำลังนั่งคุยกัน เขาแนะนำภาณุกรให้รู้จักก่อนจะขอตัวกลับ ขณะเดินไปที่รถหนุ่มลูกครึ่งก็เอ่ยทัก

“ดูพุธเข้ากับทุกคนที่นี่ได้ดีนะ ได้เพื่อนใหม่ที่เกาะเยอะเลยสิ”

“ทำงานแบบนี้ก็ต้องสนิทกันไว้แหละ เพราะแต่ละคนก็ไม่ได้กลับบ้านกันบ่อยๆ แถมงานสอนดำน้ำมันเฉพาะทางมาก จะว่าไปก็เหมือนอยู่โรงเรียนประจำ แต่ว่าเพื่อนๆ ไม่ได้อยู่หอเดียวกันเท่านั้นเอง”

เสียงฝีเท้าของคนด้านหลังเงียบไป พิงภพหันกลับไปมอง แสงจากเสาไฟข้างทางส่องมาไม่ถึงตรงนี้ สีหน้าของภาณุกรจึงอยู่ในเงามืด

“ขอโทษนะ ที่ตอนนั้นผิดสัญญาเรื่องที่จะไปเช่าหอด้วยตอนเรียนมหา’ ลัย”

ลมหายใจของพิงภพสะดุด เขาเคยได้ยินประโยคคล้ายกันนี้มาแล้วเมื่อเก้าปีก่อน ความรู้สึกผิดที่สะท้อนในแต่ละคำพูดยังคงบีบหัวใจไม่ต่างจากในห้องเรียนวันนั้น

“...ช่วยไม่ได้นี่ มันเป็นความจำเป็นของครอบครัว ได้ไปแล้วก็มีโอกาสลองทำอะไรหลายอย่างกว่าอยู่ที่นี่ใช่ไหมล่ะ? ย่าเองก็ได้มีลูกหลานไปอยู่ด้วย”

“ก็ใช่ แต่มันก็ทำให้เสียโอกาสอื่นไปเหมือนกัน”

คำพูดประโยคสั้นๆ แต่โอบอุ้มความหมายไว้มากเหลือเกิน พิงภพพยายามไม่ตีความให้ลึกซึ้ง เขารีบสอดมือลงกระเป๋ากางเกงแล้วออกเดินต่อ

“เหมือนเมฆฝนเริ่มมาอีกแล้วนะ เรารีบไปกันก่อนฝนจะตกดีกว่า...”

เสียงของพิงภพขาดหาย เขาหยุดเดินพลางคลำสิ่งที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงให้แน่ใจ ท่าทางผิดปกติทำให้ภาณุกรรีบก้าวมาเดินเคียงข้าง

“ทำไมเหรอพุธ? ลืมของเหรอ?”

“เปล่าๆ ตอนแรกนึกว่ากุญแจหายน่ะ แต่อยู่ในกระเป๋านี่แหละ”

ชายหนุ่มชูพวงกุญแจให้ดูแล้วก้าวเดินต่อ แต่ในใจกลับว้าวุ่น เขาไม่รู้ว่าวันนี้เผลอซุ่มซ่ามตอนไหน แต่พอรู้ตัวอีกที กัปตันอเมริกาที่พกติดตัวมาตลอดก็หายไปแล้ว...



++------++
 

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 5 จ้า {อัพ 24.10.19}
«ตอบ #27 เมื่อ24-10-2019 19:18:02 »

พวกเขาแวะร้านขายของทันก่อนฝนจะตก กระนั้นฟ้าก็ร้องเสียงดังสนั่นและลมพัดอู้ตลอดทางที่กลับอพาร์ตเมนต์ ฝนเม็ดแรกเทลงมาเมื่อพิงภพลากมอเตอร์ไซค์เข้าจอดใต้หลังคาพอดี หลังคล้องโซ่เรียบร้อย ทั้งสองก็รีบแบกถุงเสบียงที่ซื้อมาขึ้นอาคาร

“ตกแรงชะมัด ดีนะที่ซื้อของเสร็จก่อน”

พิงภพเอ่ยพลางสาวเท้าเร็วๆ ขึ้นบันไดซึ่งเปิดโล่งด้านข้าง ฝนที่สาดเข้ามานองเต็มพื้นปูนจนน่ากลัวจะลื่นล้ม เขานึกสงสัยที่ชั้นสองมืดผิดปกติ ยิ่งได้เห็นคนที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงระเบียงทางเดินก็ยิ่งแปลกใจ อีกฝ่ายเพียงแต่พ่นควันบุหรี่เงียบๆ พิงภพก็เลยเข้าไปทัก

“เต็ม ทำไมมายืนสูบบุหรี่ตรงนี้ล่ะ?”

“ไฟดับ เป็นเฉพาะชั้นบนนี่แหละ ดับมาตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว”

“หา? จริงดิ!?”

พิงภพรีบเดินผ่านไปไขกุญแจประตูห้อง พอลองเปิดสวิตช์ดูก็พบว่าไฟดับจริงๆ

“แล้วนี่ได้โทรบอกเจ้าของหอหรือยัง?”

“โทรแล้ว แต่วันนี้เขาข้ามไปชุมพรก็เลยบอกว่าพรุ่งนี้จะกลับมาดูให้ คืนนี้คงต้องอยู่แบบไม่มีไฟไปก่อน”

คำตอบที่ได้รับทำเอาพิงภพเบ้ปาก เขาเดินผ่านคนข้างห้องไปช่วยรับของจากภาณุกร แล้วก็นึกขึ้นได้เลยหันกลับไปแนะนำ

“เต็ม นี่เพื่อนเราชื่อซัน นี่เต็ม อยู่ห้องข้างกัน”

ทั้งสองพยักหน้าเป็นเชิงทักทายอย่างผิวเผิน พิงภพเดินนำเข้าห้องพร้อมกับใช้ไฟฉายจากมือถือกวาดไปทั่วๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ถึงเสื้อผ้าที่ตากไว้ตั้งแต่เมื่อวาน

“เฮ้ย! เปียกหมดแล้วแน่เลย!”

“อะไรเหรอ?”

ภาณุกรเดินตามมาถาม ความไม่คุ้นเคยทำให้สะดุดอะไรบางอย่าง เสียงอุทานเรียกพิงภพให้หันกลับไป คนที่กำลังเสียหลักเลยล้มคร่อมเขาบนปลายเตียงพอดี

“ขอโทษ ไม่รู้เหยียบโดนอะไรบนพื้น”

ฟ้าแลบแปลบก่อนจะตามมาด้วยเสียงกัมปนาท แสงที่สว่างวาบชั่วครู่ทำให้พิงภพเห็นว่าหน้าของภาณุกรอยู่ห่างไม่ถึงคืบนี่เอง ไออุ่นจากลมหายใจที่รดลงมาส่งผ่านความร้อนให้ซ่านทั่วใบหน้า

“...ไม่เป็นไร”

ทั้งคู่สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูซึ่งยังไม่ได้งับปิด พิงภพรีบยันตัวลุกขึ้นจากเตียง นึกขอบคุณที่โดนขัดจังหวะได้ถูกเวลา

“เต็ม...มีอะไรเหรอ?”

“ขอโทษที่เป็น กขค. พอดีตอนบ่ายฝนมันสาดก็เลยเก็บเสื้อที่แขวนนอกห้องไว้ให้”

อีกฝ่ายพูดพลางยื่นถุงพลาสติกที่ป่องเพราะยัดเสื้อไว้มาข้างหน้า พิงภพรับมาพลางมองตามคนที่เดินกลับไปห้องตัวเอง พอนึกได้ว่าทำไมคำพูดเมื่อครู่ถึงขัดหูก็รีบตามไปดันประตู

“เฮ้ย! เดี๋ยว เรากับซันเป็นแค่เพื่อนกันเว่ย!”

“ก็ทำให้เป็นมากกว่าเพื่อนซะสิ บรรยากาศคืนนี้ออกจะเป็นใจ ยังไงก็เก็บเสียงหน่อยแล้วกัน”

เจ้าของห้องเอ่ยแล้วงับประตูปิด ทิ้งให้พิงภพกะพริบตาปริบๆ พร้อมกับไอร้อนที่ซ่านขึ้นบนหน้า แต่ที่ต่างกับเมื่อครู่คือไม่รู้ไอร้อนนี้มาจากความอายหรือโมโห

ทะลึ่ง คิดได้ยังไงว่าเขากับเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันมาตั้งนานจะ...

ไอร้อนพลุ่งขึ้นเต็มหน้าอีกครั้ง พิงภพนึกดีใจที่ไฟดับ ไม่อย่างนั้นต่อให้หน้าเขาเกรียมแดดแค่ไหนก็ต้องดูออกแน่ว่ามันแดงผิดปกติ เขารีบกลับเข้าห้องแล้วปิดประตู จึงได้เห็นว่าภาณุกรกำลังใช้ไฟฉายส่องพื้นพลางเก็บสิ่งที่เกะกะไปวางมุมห้อง

“เฮ้ย ขอโทษ สองสามวันนี้ไม่ได้เก็บห้องก็เลยรกไปหมด”

“เหมือนเมื่อก่อนเลยนะ ตอนนั้นเวลาไปหาที่บ้านทีไรพุธก็ชอบพูดแบบนี้”

ภาณุกรเอ่ยยิ้มๆ ก่อนจะหัวเราะเมื่อโดนพิงภพแกล้งใช้ศอกกระทุ้งเอว บรรยากาศที่ชวนให้หายใจไม่ทั่วท้องเมื่อครู่หายไปแล้ว พิงภพลอบถอนใจอย่างโล่งอกแล้วยิ้มบ้าง

“รอแป๊บ จำได้ว่าเคยไฟดับแบบนี้ก็เลยซื้อเทียนไว้ น่าจะอยู่ในลิ้นชักแถวๆ นี้แหละ”

เขายัดถุงเสื้อเก็บเข้าตู้แล้วก็หาเทียนกับไฟแช็ก จากนั้นก็ลากโต๊ะญี่ปุ่นไปตั้งใกล้ประตูมุ้งลวดของระเบียงหลังห้อง พอจุดเทียนมาวางพร้อมกับขนมและเบียร์ที่ซื้อมาก็พอจะแก้ขัดได้

“แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ฝนตกก็เลยไม่ร้อน รู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติขึ้นมาเลย”

“แต่พอมองไปเห็นบ้านอื่นที่ไฟไม่ดับแล้วมันแปลกๆ น่ะสิ”

พิงภพเอ่ยขณะฉีกขนมกินแกล้มเบียร์ เขาลอบมองภาณุกรที่เท้าคางมองวิวหลังคาบ้านและต้นมะพร้าวด้านนอก คิดแล้วก็แปลกดีที่ไม่ได้เจอกันมาตั้งเก้าปี แต่ตอนนี้ทั้งคู่กลับนั่งดื่มเบียร์กันได้เหมือนไม่เคยมีเรื่องหมางใจมาก่อน

แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องหมางใจในอดีต คนที่เคยตั้งคำถามกับทุกอย่าง แล้วเอาแต่โทษทุกสิ่งรอบตัวก็มีแต่เขาไม่ใช่หรือไง...

“พรุ่งนี้ทำงานหรือเปล่า พุธ?”

“หือ? ทำสิ มีคลาสนักเรียนใหม่อยู่ ต้องสอนอีกสองวันถึงจะจบ”

“เหรอ ยากไหมกว่าจะได้เป็นครูสอนดำน้ำ?”

“ยากไหม...จะว่ายากก็ยาก แต่ก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น ไม่งั้นตอนนี้คงไม่มีคนที่เป็นครูสอนดำน้ำเต็มไปหมด”

พอได้เริ่มคุยเรื่องที่ตัวเองสนใจ พิงภพก็พรั่งพรูประสบการณ์ว่ากว่าจะได้เป็นครูสอนดำน้ำต้องผ่านอะไรบ้าง ถึงแม้เทียบกับครูรุ่นพี่แล้วอายุงานของเขาจะสั้นมาก แต่สามปีที่ผ่านมาก็มีเรื่องราวมากมายให้นึกถึงและเล่าได้ไม่มีวันจบ

สายลมพัดเมฆฝนให้ตกหนักสลับกับซาเป็นระยะ พวกเขาดื่มเบียร์ไปคุยกันไป กระทั่งเวลาล่วงเลยไปเกือบห้าทุ่ม ฝนก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดสนิท

“ท่าทางคงจะตกไปยันเช้านะ ถ้ามันยังไม่หยุดแบบนี้ล่ะก็”

พิงภพเอ่ยเมื่อเห็นว่าบ้านรอบๆ ปิดไฟกันหมดแล้ว เมฆที่ลอยต่ำเต็มฟ้าก็บดบังทั้งแสงเดือนและแสงดาว มีเพียงแสงเทียนริบหรี่บนโต๊ะที่เผยให้เห็นกระป๋องเบียร์เปล่าร่วมสิบกระป๋อง

“นั่นน่ะสิ สงสัยคงจะกลับโรงแรมลำบาก ถนนลงจากเขาน่าจะลื่น”

ภาณุกรเอ่ยพลางมองไปด้านนอก พิงภพเขย่ากระป๋องเบียร์ในมือ พอรู้ว่ามันเหลือเพียงก้นกระป๋องก็ยกดื่มจนหมด เขารับรู้ได้ว่าคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเบนสายตามาหา เสียงเล็กๆ ในจิตใต้สำนึกคล้ายกำลังกระซิบบอกอะไรบางอย่าง แต่ฤทธิ์แอลกอฮอลล์ทำให้ไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเสียงเตือนหรือเสียงยุกันแน่

“สภาพอากาศแบบนี้กลับโรงแรมไม่ได้หรอก คืนนี้นอนที่นี่ก็แล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยออกจากห้องกันแต่เช้าหน่อย”

“โอเค”

คำตอบง่ายๆ สั้นๆ ดึงสายตาของพิงภพให้เหลือบมองก่อนจะรีบเบนหนี กับอีแค่เขาเสนอว่าให้นอนค้างที่นี่ ทำไมจะต้องยิ้มดีใจขนาดนั้นด้วย

“เดี๋ยวหยิบเสื้อผ้าให้เปลี่ยน รอแป๊บ”

ชายหนุ่มยันตัวลุกแล้วก็แทบจะเซ เขารู้ตัวทันทีว่าดื่มเบียร์มากไป แต่ก็พยายามฝืนเชิดหน้าขึ้นแล้วเดินตรงไปเปิดตู้เสื้อผ้า

“พุธใส่แต่ฟรีไซส์ใช่ไหม?”

“หา? อื้อ”

พิงภพไม่รู้ว่าภาณุกรลุกตามมาตอนไหน แต่พอรู้ตัวอีกฝ่ายก็ยืนซ้อนหลังเขาอยู่ กลิ่นแอลกอฮอลล์ที่โชยมาเจือกับกลิ่นเหงื่ออ่อนๆ ทำให้ยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังเมาหนักกว่าเดิม

ตั้งสติหน่อย...โตป่านนี้แล้วจะมาทำคออ่อนเหมือนเด็กเพิ่งหัดดื่มได้ยังไง

ชายหนุ่มบอกตัวเอง แต่ว่าก็ห้ามมือที่สั่นนิดๆ ไม่ได้ พลันปลายนิ้วก็สัมผัสเข้ากับถุงพลาสติกที่ยัดเสื้อจนกลมเป็นลูกบอล เขาดึงเสื้อตัวหนึ่งออกจากถุง ขณะเดียวกันก็นึกถึงคำพูดของคนที่เอามาให้ไปด้วย

“ก็ทำให้เป็นมากกว่าเพื่อนซะสิ...ยังไงก็เก็บเสียงหน่อยแล้วกัน”

“ไอ้บ้า ไอ้ทะลึ่ง”

“หือ?”

เสียงแสดงความแปลกใจของภาณุกรทำเอาพิงภพรู้ตัวว่าเผลอสบถ เขายกมือถูหน้าก่อนจะหันกลับไปยื่นเสื้อให้

“โทษที พอดีกำลังนึกถึงคนอื่น ไม่ได้หมายถึงซันหรอก”

“งั้นก็แล้วไป ตกใจหมดว่าเผลอทำอะไรให้พุธอยากด่ารึเปล่า”

“ไอ้บ้า”

คราวนี้ชัดเจนว่าคนถูกด่าคือใคร ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ พิงภพเพิ่งสังเกตว่าเทียนบนโต๊ะดับไปแล้ว แต่ที่ยังพอเห็นอะไรอยู่บ้างก็เพราะสายตาเริ่มชินกับความมืด

“ซัน...ไปอาบน้ำก่อนไหม?”

เสียงที่เปล่งออกมาช่างแหบจนพิงภพต้องกลืนน้ำลาย เขาเพิ่งรู้ตัวตอนนี้เองว่าทั้งคู่อยู่ใกล้กันแค่ไหน ด้านหลังของเขาคือตู้เสื้อผ้า ส่วนด้านหน้าคือร่างสูงใหญ่ที่กำลังเป่าลมหายใจรดหน้าผาก และเขากล้าสาบานว่าไม่ได้จินตนาการภาพนี้เลยตอนเสนอให้ค้างด้วยกัน

“เมื่อเย็นอาบที่รีสอร์ตไปแล้ว คืนนี้ไม่ต้องอาบอีกก็ได้”

ภาณุกรเอ่ยเสียงเบา สัมผัสจากมือใหญ่บนต้นแขนทำเอาพิงภพกระตุก เบียร์ที่ดื่มไปกว่าครึ่งโหลทำให้สมองช้าจนไม่แน่ใจว่าควรแสดงปฏิกิริยาอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้

“ซัน อื้อ...”

สัมผัสอุ่นนุ่มบนมุมปากทำเอาพิงภพหลับตาปี๋ ไม่รู้ว่าภาณุกรตั้งใจ หรือเพราะฤทธิ์เหล้าบวกความมืดถึงได้จรดริมฝีปากลงไปตรงนั้น พิงภพแทบกลั้นหายใจเมื่อตระหนักว่ากำลังสูดกลิ่นอายของอีกฝ่ายราวเป็นขนมหวาน ศีรษะหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่ออ้อมแขนแข็งแรงเลื่อนมาโอบรอบเอว เขาก็พยายามยื้อสติที่เหลือแค่บางเบาไว้อย่างเต็มที่

“เราง่วงแล้วว่ะ ถ้าไม่อาบน้ำก็นอนกันเถอะ เดี๋ยวก็เช้าแล้ว”

ชายหนุ่มดันร่างสูงออกห่าง ถึงจะเวียนหัวจนแทบยกศีรษะไม่ไหว แต่ก็พยายามเหนี่ยวรั้งความยับยั้งชั่งใจไว้อย่างเหนียวแน่น นาทีนั้นเสียงฝนและเสียงลมราวกับจะดังก้องกว่าเก่าท่ามกลางความเงียบ

“...นั่นสินะ ดึกป่านนี้แล้ว ถ้างั้นพุธนอนก่อนก็ได้”

ครู่ใหญ่กว่าภาณุกรจะเอ่ยตอบ พิงภพรับรู้ได้ถึงไออุ่นที่ถอยห่างออกไป เขาหยีตาเมื่ออีกฝ่ายเปิดไฟฉายจากมือถือแล้วเดินเข้าห้องน้ำ มีเสียงกุกกักชั่วครู่ก่อนจะได้ยินเสียงเปิดฝักบัว ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนข้างในคงกำลังอาศัยน้ำเย็นดับความร้อนรุ่มของตัวเองอยู่

พิงภพอาศัยสติสัมปชัญญะที่ยังเหลือเพียงน้อยนิด ก้าวไปล้มตัวลงบนเตียงที่มุมห้อง เขาปิดตาแล้วพยายามข่มหัวใจที่เต้นรัวให้สงบลง ไม่ช้าหมอกสีดำทะมึนก็ปกคลุมในหัวจนไม่รับรู้อะไรอีกต่อไป



++---TBC---++



A/N: ตอนที่แล้วสั้นไปหน่อย หวังว่าตอนนี้คงยาวจุใจสำหรับคนที่รออ่านนะคะ :D
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-10-2019 21:42:22 โดย bellbomb »

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
เต็ม อย่าไปยุแบบน้านน เดี๋ยวก็ผีผลักจริงๆหรอก เขาถ่านไฟเก่ากันนะ

น้องเต็มอกหักหนีรักมาทะเลสินะ  ชอบค่าาาา มาต่อแบบจุใจๆ อย่างนี้ เร็วๆนะคะ   :mew1:

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ว่าที่คู่แข่งเรื่องหัวใจซันเต็มเจอกันครั้งแรก
เต็มยังพยายามปิดประตูใจตัวเองอยู่เลยส่วนซันรุกหนักจูบมุมปากวันพุธไปแล้ว!!!
แต่ซันกำลังจะกลับจะหาเหตุผลอะไรมาติดเกาะอีกคนไหมนะ

 :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด