ตะวันพิงภพ บทที่ 16เสียงดนตรีดังกระหึ่มทั่วหาดซึ่งเป็นสถานที่จัดงานฟูลมูนปาร์ตี้ ซุ้มขายอาหาร เครื่องดื่ม และกิจกรรมพิเศษต่างมีคนมุงคึกคัก นักท่องเที่ยวแน่นขนัดโดยเฉพาะตามตรอกซอยที่ผู้คนแทบไหลตามกันโดยไม่ต้องเดิน หลายคนเพ้นต์สีสันเรืองแสงบนตัว เมื่อรวมกับแสงจากหลอดไฟสารพัดสีและแบล็คไลต์จึงสร้างบรรยากาศเหมือนหลุดไปอีกโลก
อทิตยะมองบรรยากาศรอบตัวด้วยความสนใจ แต่ก็ยังไม่แสดงออกมากเท่าพิงภพทั้งที่ตอนชวนเมื่อวานยังทำเหมือนไม่ค่อยอยากมา ดูเหมือนว่าขนมที่เขาส่งไป ‘ขอสงบศึก’ เมื่อเช้าคงได้ผล เพราะตอนเจอหน้ากันช่วงที่เรือกลับเข้าฝั่งเมื่อกลางวัน ท่าทางของพิงภพดูไม่ปั้นปึ่งเท่าเมื่อคืนก่อน
เป็นคนที่ดื้อแต่ก็ขี้ใจอ่อนจริงๆ นั่นแหละ หรือจะเรียกว่าไม่คิดเล็กคิดน้อยดีนะ
“ตอนคุณมาครั้งแรกสมัยเรียนก็เป็นแบบนี้เหรอ?”
อทิตยะชวนคุยหลังจ่ายค่าผ่านเข้างานแล้ว พิงภพมองไปรอบๆ แล้วยักไหล่ “นั่นมันห้าหกปีมาแล้วมั้ง ก็คนเยอะอย่างนี้แหละ แต่ซุ้มกิจกรรมไม่ได้เยอะขนาดนี้”
พวกเขาต้องคุยกันเสียงดังพอควรเพื่อแข่งกับเสียงดนตรีจากลำโพง ความจริงเรือเฟอร์รี่มาเทียบท่าที่เกาะพะงันตั้งแต่ฟ้ายังสว่าง ก็เลยเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขับเที่ยวเพื่อฆ่าเวลา กว่าจะมาถึงหาดซึ่งเป็นสถานที่จัดงานฟูลมูนปาร์ตี้ก็พบกับรถติดและเสียเวลาวนหาที่จอดรถจนสามทุ่ม ดูจากบรรยากาศงานก็คงจะเริ่มมาได้พักใหญ่แล้ว
พิงภพโยกศีรษะเบาๆ ตามจังหวะดนตรี รอบตัวพวกเขามีหลายคนขึ้นไปเต้นบนเวทีหรือตามหาดทราย บ้างก็เดินถือเครื่องดื่มดูการแสดงแต่ละเวทีไปเรื่อย ที่มาเป็นคู่และแสดงความดื่มด่ำกับบรรยากาศแบบไม่สนใจใครก็มีไม่น้อย
“ปาร์ตี้ที่หน้าบ้านเราสู้ที่นี่ไม่ได้จริงๆ แหละ”
พิงภพเอ่ยพร้อมกับยิ้มอ่อนๆ อทิตยะเข้าใจได้ทันทีเพราะเคยเห็นปาร์ตี้ที่หน้าหาดของบลูแซนด์มาก่อน ทั้งด้านจำนวนคนและความสุดเหวี่ยงเทียบกับที่นี่ไม่ได้สักนิด
“ไหนๆ ก็มานี่แล้ว ถ้าคุณอยากทำอะไรที่ไม่กล้าทำให้เพื่อนๆ เห็นเราก็ไม่ว่านะ”
อทิตยะเอ่ยแล้วยักคิ้วให้ เขาไม่แน่ใจว่าเพราะแสงสปอตไลต์หลากสีในงานหรือเปล่า นอกจากนัยน์ตาที่หันมามองอย่างดุๆ แล้ว ผิวแก้มของพิงภพถึงดูเหมือนเรื่อสีแดงขึ้นมาด้วย
“ไม่มีหรอก จะปาร์ตี้ที่ไหนเราก็ทำตัวเหมือนเดิมทุกที ไม่มีอะไรต้องแอบเว่ย”
“ถ้าอยากจะเมาก็ได้นะ พรุ่งนี้ลางานเผื่อไว้แล้วนี่”
พิงภพกลอกตา หลังเดินกันไปสักพักก็เลี้ยวเข้าไปที่ซุ้มขายเครื่องดื่ม จากนั้นก็เดินกลับมายื่นถังพลาสติกขนาดเล็กสีแดงแปร๊ดให้
“ไม่รู้ที่ออสเตรเลียมีหรือเปล่า แต่มาเมืองไทยต้องกินแบบนี้แหละ เครื่องดื่มประจำงานปาร์ตี้”
อทิตยะมองเครื่องดื่มสีฟ้าในถังซึ่งโปะน้ำแข็งและเยลลี่เม็ดกลมหลากสีจนพูน หน้าตาเหมือนขนมหวานมากกว่าจะเป็นเครื่องดื่ม พิงภพเห็นเขาทำสีหน้าระแวงก็เลยยกขึ้นดูดผ่านหลอดให้ดูก่อน
“อื้ม รสชาติถูกต้อง เอ้า ลองดู”
พิงภพยิ้มร่าพลางยื่นถังให้อีกครั้ง อทิตยะเลยลองดูดอึกเล็กๆ และเบ้หน้าทันทีกับรสหวานจัดเหมือนน้ำเชื่อม
“นี่มันอะไรเนี่ย?”
“เหล้าปั่นไง แต่ละร้านก็มีสูตรของตัวเอง แต่ส่วนมากก็ใช้ฉลามหรือกระทิงแดงผสมเหล้ากับน้ำหวาน บางเจ้าก็ใส่กัมมี่หรือปีโป้ด้วย บางร้านนี่ถ้ากินหมดแล้วไปเติมกับเขาก็ได้ส่วนลดด้วยนะ”
พิงภพเอ่ยแล้วเดินต่อไปซุ้มที่ขายลูกชิ้นทอด เสร็จแล้วก็ซื้อมันฝรั่งที่ไสเป็นเกลียวเสียบไม้ทอดจากอีกร้าน ท่าทางเอ็นจอยอีทติ้งสุดขีดทำเอาอทิตยะส่ายหน้า
“ไม่อยากนึกเลยว่าถ้าคุณอายุมากขึ้นจะเป็นโรคอะไรบ้าง”
“แหม ตอนนี้ยังหนุ่มแน่น กินได้ก็กินไปก่อนน่า เต็มนั่นแหละจะรีบเฮลตี้ไปไหน”
“ก็แค่ไม่อยากกินจังก์ฟู้ดให้มากนัก คนรู้จักก็ป่วยให้เห็นหลายคนอยู่ แต่เอาเถอะ ได้เห็นคุณกินแล้วอร่อยเราก็แฮปปี้”
แก้มของพิงภพเจือสีระเรื่ออีกครั้งทั้งที่กำลังเคี้ยวอาหารจนแก้มตุ่ย อทิตยะเห็นเข้าก็ยิ้มมุมปากจนโดนเหล่ตาใส่
“นี่ถ้าไม่เห็นว่ากินเหล้าปั่นไปนิดเดียวคงนึกว่าเมาแล้ว”
“เราไม่เมาง่ายเหมือนคุณหรอก ว่าแต่ไม่ชอบให้สวีตทอล์กเหรอ หรือชอบแบบเสียงเข้มๆ แมนๆ มากกว่า? “นี่พุธ กินเยอะขนาดนี้ระวังรูดซิปเว็ทสูทไม่ได้นะ”
พิงภพหัวเราะพรืดเมื่ออทิตยะแสร้งทำเสียงทุ้มในคอเหมือนเสียงพากย์พระเอกละคร แต่พอหัวเราะก็เลยสำลักจนไอ อทิตยะรีบยื่นถังเหล้าปั่นให้เจ้าตัวดูดอึกใหญ่พร้อมกับลูบหลัง พอเริ่มหายใจเป็นปกติได้พิงภพก็ใช้หลังมือเช็ดริมฝีปาก
“ถ้ารูดซิปไม่ได้ก็เปลี่ยนไซส์ ยังไงเว็ทสูทก็ยืดได้เยอะอยู่แล้ว ว่าแต่ตรงนี้ไม่ค่อยมีอะไรเลย ไปดูที่เขาควงกระบองไฟตรงโน้นกันดีกว่า”
ไม่รู้นั่นเป็นคำพูดแก้เขินรึเปล่า เพราะเจ้าตัวพูดยังไม่ทันจบก็รีบเดินหนี แต่อทิตยะก็ไม่ได้มีอะไรที่อยากดูเป็นพิเศษ เขาจึงทิ้งถังเหล้าปั่นที่เหลือแค่น้ำแข็งกับเยลลี่ใส่ถังขยะแล้วเดินเอื่อยๆ ตาม
++------++
ผีเข้า...วันนี้หมอนี่ต้องผีเข้าแน่ๆ เมื่อคืนยังมู้ดดี้แล้วตัดพ้อต่อว่าเขาอยู่เลย มาวันนี้ทั้งซื้อขนมมาง้อมั่งล่ะ ปากหวานใส่มั่งล่ะ เป็นไบโพลาร์หรือไงกัน
พิงภพคิดขณะจิ้มลูกชิ้นเข้าปากอีกลูก พอหมดก็ทิ้งถุงใส่ถังขยะแล้วเลียซอสที่ติดบนนิ้ว เขาพยายามทำตัวตามปกติ แต่ก็ต้องยอมรับว่ายากเพราะเจ้าคนที่มาด้วยกันนี่แหละ เกิดมาเขาก็เพิ่งจะเคยมีคนมาทำท่าหวานแหววใส่เพราะแม้แต่แฟนเก่าที่เป็นผู้หญิงก็ไม่เคยกุ๊กกิ๊กกัน จู่ๆ พอมีคนมาดูแลเทคแคร์แถมเป็นผู้ชายอายุน้อยกว่า จะให้ไม่รู้สึกจั๊กจี้ยังไงไหว
“เดินดูทางด้วย เหม่อไปไหนแล้ว”
“อ๊ะ ซอรี่”
พิงภพหันไปขอโทษกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่นั่งดื่มเบียร์อยู่บนหาดทรายและเกือบโดนเขาเหยียบ หลังเดินห่างออกมาสักพักก็ตระหนักว่าอทิตยะยังไม่ปล่อยมือที่กุมไว้ ถ้าเมื่อครู่หมอนี่ไม่ช่วยฉุดก็สงสัยว่าเขาคงได้เหยียบขาใครบางคนไปแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ต้องจับมือกันแล้วก็ได้มั้ง
ชายหนุ่มพยายามดึงมือออก แต่กลับโดนกระชับมือแน่นขึ้นทันทีจนเผลอทำปากยื่น
“นี่”
“หือ?”
เจ้าคนตัวสูงกว่าเลิกคิ้วแล้วปรายตามอง ถึงแม้สีหน้าจะไม่ได้แสดงอารมณ์เป็นพิเศษ แต่พิงภพเห็นประกายในแววตาก็รู้ทันทีว่ากำลังโดนยียวน
“ปล่อยมือได้แล้ว คราวนี้ไม่เผลอซุ่มซ่ามอีกหรอกน่ะ”
“อาจไม่ซุ่มซ่ามอีก แต่กลายเป็นโดนใครก็ไม่รู้ฉุดไปแทนก็ได้นี่ เดินจูงมือกันไว้แบบนี้แหละจะได้ปลอดภัย”
คราวนี้จากที่กุมมือเฉยๆ อทิตยะเปลี่ยนเป็นสอดห้านิ้วมาประสานกับเขาแล้วกุมกระชับกว่าเดิม ถ้าแค่นั้นว่าแย่แล้ว พิงภพยิ่งเหวอขึ้นไปอีกเมื่ออีกฝ่ายยกมือเขาขึ้นไปเลียเบาๆ บนปลายนิ้ว
“เฮ้ย! ไอ้ทะลึ่ง!!”
“ก็เห็นคุณเลียน้ำจิ้มลูกชิ้นออกไม่หมด เราเลยช่วยทำให้มันสะอาดขึ้น”
มีคนรอบข้างเห็นท่าทางของพวกเขาสองคน บ้างก็ชูนิ้วโป้งให้ บ้างก็ยิ้มเป็นเชิงกระเซ้า ทำเอาพิงภพนึกอยากจะวิ่งลงทะเลแล้วว่ายกลับเกาะเต่าเดี๋ยวนี้เลย ถึงหมอนี่จะหน้าด้านก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะด้านตามนะ
“ไป เดินดูปาร์ตี้กันต่อดีกว่า”
อทิตยะยิ้มบางๆ ด้วยท่าทีไม่สนใจใครทั้งสิ้น พิงภพรู้แล้วว่าคงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย แต่ออกเดินกันได้ไม่กี่ก้าวก็โดนคนที่กำลังเต้นอยู่บนหาดทรายหมุนตัวมาชนเข้า
“ว้าย! ขอโทษค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
พิงภพรีบโบกมือข้างที่ไม่ถูกจูงไว้ หญิงสาวคนนั้นหน้าตาน่ารัก ปากนิดจมูกหน่อย แต่ส่วนที่ดึงดูดสายตามากกว่าคือส่วนโค้งเว้าในชุดเดรสสั้นซึ่งท่อนบนแทบจะเบียดล้นขอบชุด แต่พอเหลือบไปเห็นคนที่น่าจะมากับสาวน้อย แวบแรกเขาแค่รู้สึกคลับคล้ายคลับคลา ก่อนที่สองตาจะเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
“หนิง?”
“พุธ? เฮ้ย! ใช่จริงๆ ด้วย โคตรบังเอิญเลยมาเจอกันที่นี่”
คราวนี้ทั้งอทิตยะและสาวน้อยหุ่นอึ๋มต่างหันมามองพวกเขาสองคน พิงภพอ้าปากค้างเพราะไม่อยากเชื่อสายตา นลินคือหญิงสาวที่เขาสนิทที่สุดสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นเธออาจจะไม่ค่อยแต่งตัวตามแฟชั่น แต่อย่างน้อยก็ไว้ผมยาวและใส่เครื่องประดับบ้าง แต่ตอนนี้ ‘สาวหล่อ’ ที่ตัดผมไถข้างกัดสีน้ำตาล ใส่เสื้อกล้ามรัดอกและเจาะคิ้วรวมถึงหูข้างหนึ่งเรียงกันเป็นพืดช่างต่างจากความทรงจำจนแทบเหมือนคนละคน
นลินคงจะอ่านสีหน้าเขาออก หรือไม่ก็คงได้รับปฏิกิริยาแบบนี้จากคนรู้จักจนชิน จึงยกมือเท้าเอวแล้วยักคิ้วให้ยิ้มๆ
“ไงจ๊ะ เห็นแฟนเก่าแล้วตะลึงขนาดนั้นเลยเหรอ?”
พิงภพยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก จู่ๆ ก็เหมือนวงจรความคิดถูกไฟช็อต กระทั่งจะเรียบเรียงคำพูดให้เป็นประโยคก็ยังลำบาก
“เอ๋? แฟนเก่าของพี่หนิง?”
สาวน้อยที่มากับนลินหันมามองเขาอย่างพิจารณา เขาไม่แน่ใจว่าเธอเห็นอะไร แต่เจ้าตัวก็หันกลับไปมองคนที่มาด้วยกันราวจะขอคำยืนยัน
“อู้ย ตั้งแต่สมัยพี่เรียน ป.ตรีแน่ะหนู ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ตอนนั้นก็เหมือนเด็กๆ คบกัน ค้นหาตัวตนกันอะไรทำนองนั้นแหละเนอะ”
ท้ายประโยค ‘สาวหล่อ’ หันมาตบบ่าพิงภพพลางยิ้มกว้าง สายตาของเธอเลื่อนไปจับที่อทิตยะก่อนจะไล่ต่ำลงหามือที่ประสานกันของทั้งคู่ คราวนี้รอยยิ้มดูเปล่งประกายเจิดจ้ามากขึ้นอีก
“น่าจะไม่ผิดละ...ตอนนั้นเป็นช่วงค้นหาตัวตนจริงๆ ด้วย”
น้ำเสียงยั่วหยอกของเจ้าหล่อนดึงสติของพิงภพกลับมา เขาพยายามชักมือออกจากมือที่กุมเอาไว้ แต่ก็จนใจเพราะอทิตยะแรงเยอะเหลือเกิน
“ไม่นึกว่าแฟนเก่าคุณเท่ขนาดนี้ หวัดดีครับ ผมเต็ม แฟนปัจจุบันของพุธ”
อทิตยะยิ้มพลางเอ่ยทักทายอย่างคล่องปาก นลินเอียงหน้าเล็กน้อยพร้อมกับเลิกคิ้วข้างหนึ่งให้พิงภพ เขาได้แต่ถอนหายใจแล้วพยักหน้า
“ก็ตามนั้นแหละ”
“อื้อฮือ โคตรพีคอะ นี่ถ้าพวกเพื่อนๆ มาเห็นพวกเราตอนนี้คงอึ้งจนพูดไม่ออก”
นลินหัวเราะพลางโอบเอวหญิงสาวที่มาด้วยกัน ความที่เธอรูปร่างสูงโปร่งจึงดูดีในเสื้อผ้าผู้ชาย ส่วนแฟนสาวก็เหมือนพริตตี้งานมอเตอร์โชว์ พอยืนคู่กันแล้วพิงภพจึงนึกชมว่าดูสมกันยิ่งกว่าเขากับ ‘แฟนปัจจุบัน’ เสียอีก
“ไม่กวนสาวๆ แล้วดีกว่านะ ไหนบอกว่าอยากไปดูเวทีตรงโน้นไม่ใช่เหรอพุธ?”
พิงภพหันไปทำหน้างุนงง แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าอทิตยะคงกำลังช่วยหาทางปลีกตัว นลินก็คงดูออกเหมือนกัน เธอหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าคาดเอวแล้วส่งให้พิงภพ
“อุตส่าห์ได้เจอกันทั้งที ขอไลน์ไว้หน่อยสิพุธ เผื่อวันหลังจะได้ถามเรื่องเรียนดำน้ำ ยังเป็นครูที่เกาะเต่าอยู่ใช่ไหม?”
“อื้อ ถ้าจะมาก็บอกได้เลย คงเป็นคนแรกล่ะเพราะยังไม่มีเพื่อนสมัยเรียนมาหาสักคน”
ยกเว้นแค่เพื่อนมัธยมคนนั้น...ทันทีที่คิดขึ้นมาพิงภพก็รีบเบนความสนใจด้วยการพิมพ์ไลน์ไอดีแล้วส่งโทรศัพท์คืน นลินแตะที่จอสองสามครั้งก่อนจะยิ้มให้เขา
“โอเค งั้นไว้ค่อยคุยกัน เอ้อ ลืมแนะนำ นี่น้องไมร่าแฟนเรา เป็นน้องสาวของเพื่อนที่ทำงาน”
“นึกว่าจะลืมหนูแล้ว พี่หนิงอะ พรากผู้เยาว์แล้วยังชอบเมินหนูอีก”
“ฮื้อ หนูออกจะโตขนาดนี้ จะหาว่าพี่พรากผู้เยาว์ได้ไงคะ”
เอ่ยจบเจ้าตัวก็เลื่อนมือที่โอบเอวคอดขึ้นขยุ้มเบาๆ บนความอวบอิ่มข้างหนึ่ง สาวน้อยร้องว้ายก่อนจะหัวเราะคิกคัก ทั้งคำพูดสองแง่สองง่ามและมาดเพลย์บอยทำเอาพิงภพเขินแทน เลยโบกมือลาแล้วก็รีบฉุดอทิตยะให้ห่างมาจากทั้งคู่ พอพ้นระยะที่น่าจะได้ยินแล้วเจ้าคนตัวโตก็หัวเราะ
“เราเชื่อแล้วที่คุณเคยบอกว่าแฟนเก่าเป็นคนห้าวๆ แต่เรื่องไม่ค่อยหวานแหววนี่น่าจะไม่จริงนะ”
“พอเถอะ ตอนนั้นเขาคงแค่อยากพิสูจน์ตัวเองจริงๆ นั่นแหละ ถึงได้ข้อสรุปว่าคบกับผู้ชายมันไม่แนว”
พิงภพตอบพลางฉุกคิด บางทีอาจเพราะคนที่คบด้วยคือเขาซึ่งแสนจะไร้เสน่ห์ทางเพศก็เป็นได้ นลินถึงได้มั่นใจกับรสนิยมของตัวเอง แถมตอนนี้ยังแปลงร่างจนเปล่งออร่าความเป็นชายยิ่งกว่าเขาเสียอีก เฮ้อ...ถ้ารู้ว่ากะจะมาทางนี้เขาคงเชียร์ให้เปิดตัวไปนานแล้ว
“แต่เราดีใจนะที่บังเอิญเจอกันแล้วได้เห็นแฟนเก่าคุณเป็นแบบนั้น เพราะถ้าเขายังเหมือนเดิม คุณอาจลังเลเรื่องที่คบกับเราก็ได้ใช่ไหมล่ะ?”
อทิตยะเอ่ยพลางมองไปข้างหน้า แต่ถ้อยคำนั้นทำให้พิงภพสำรวจคนข้างตัวอย่างครุ่นคิด เอาอีกแล้ว ไม่ว่าจะคำถามเมื่อคืนหรือประโยคเมื่อกี้ก็เถอะ ตกลงว่าตอนนี้พวกเขา...ไม่ได้แค่คบกันเล่นๆ แล้วใช่ไหม
“เราไม่ใช่คนโลเลแบบนั้นสักหน่อย เวลาคบใครก็โฟกัสแค่ที่คนนั้นแหละ อีกอย่างสมมติว่าเรานึกอยากกลับไปคบกับหนิง เทียบกับน้องไมร่าแล้วหนิงก็คงไม่เอาเราหรอก”
“อย่างน้อยเราก็พอจะเก็ทว่าทำไมเมื่อก่อนเขาถึงเลือกคบคุณนะ”
“หมายความว่าไง? เดี๋ยวๆๆ อย่าตอบดีกว่า จะบอกว่าเพราะเราดูไม่น่ามีพิษภัยล่ะสิ”
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนเราคิดว่าเพราะบางทีคุณก็ทำท่าทางที่ชวนให้เห็นแล้วมันเขี้ยว เหมือนที่เขารู้สึกมันเขี้ยวกับแฟนเมื่อกี้น่ะ”
พิงภพเกือบหันไปโวยหลังประโยคแรก แต่ประโยคถัดจากนั้นทำเอาแทบได้ยินเสียงระเบิดบรึ้มในหัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออีกฝ่ายเอียงหน้ามามองด้วยนัยน์ตาแพรวพราว ภาพของตัวอย่างที่ยกขึ้นมาก็ยิ่งติดตามากขึ้นไปอีก
โอย คืนนี้เขาจะหลอนภาพที่หนิงบีบนมน้องไมร่าทั้งคืนไหมละเนี่ย ว่าแต่ที่หมอนี่บอกว่าเห็นเขาแล้วมันเขี้ยวคืออะไร คงไม่ใช่ว่าอยากทำแบบเดียวกันหรอกนะ?
“ฮึ โลกนี้มันคงไม่ได้มีคนที่ชวนมันเขี้ยวอยู่แค่คนเดียวหรอก เคยพูดแบบนี้ไปกับกี่คนแล้วล่ะ?”
“ไม่ต้องสนใจหรอกว่ากี่คน ในเมื่อตอนนี้คนที่เราพูดด้วยก็มีแต่คุณ”
พิงภพไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะตอบแล้วหันมาหา เขาแค่ตั้งใจจะเบนความสนใจไปจากตัวเอง แต่กลายเป็นว่าโดนหมอนี่ย้อนกลับเข้าจังๆ เท่านั้นไม่พอยังเอาแต่มองหน้าแล้วก็ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม เออ...รู้แหละว่าตอนนี้สีหน้าของเขาคงดูตลกมาก แต่จะต้องแกล้งให้ระทวยเหมือนแมงกะพรุนเกยตื้นรึไงถึงจะพอใจ
“เราไม่ได้อึ๋มแบบน้องไมร่านะ”
อทิตยะเลิกคิ้ว “แหงสิ ถ้าเป็นแบบนั้นเราก็ไม่ขอคบคุณหรอก อีกอย่างเอมี่ก็สนิทกับเราจะตาย นอนเตียงเดียวกันออกจะบ่อย เรายังไม่เคยคิดจะแตะแม้แต่ปลายเล็บ”
คำตอบของอทิตยะทำให้เขานึกขึ้นได้ จริงด้วย เพื่อนสาวลูกครึ่งของอทิตยะยังดูเซ็กซี่มีเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ ชวนให้เห็นแล้วใจเต้นกว่าน้องไมร่าตั้งเยอะ แปลว่าหมอนี่ไม่สนใจผู้หญิงเลยจริงๆ สิเนี่ย
ยิ่งคิดพิงภพก็ยิ่งรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ แถมคืนนี้ยังออกมาเดทกันสองต่อสองท่ามกลางผู้คนที่ไม่รู้จัก เท่ากับว่าไม่มีเพื่อนฝูงให้ดึงมาเป็นโล่กำบังสักคน เขารีบถอยพร้อมกับใช้มือหนึ่งดันไหล่อทิตยะเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็ทำท่าจะก้มลงหา
จะมานึกมันเขี้ยวอะไรท่ามกลางประชาชีแบบนี้เล่า นี่มันไม่เหมือนเวลาอยู่กันสองคนที่อพาร์ตเมนต์นะ!
อทิตยะเลิกคิ้ว แต่พิงภพเดาได้ว่าจงใจจะแกล้ง เลยรีบฉุดแขนพาไปทางที่ผู้คนกำลังกระโดดโลดเต้นตามนักร้องบนเวที
“เอาล่ะๆ ไหนๆ คืนนี้ก็อุตส่าห์มาถึงนี่ ไปทำตัวให้สมกับมาฟูลมูนปาร์ตี้ดีกว่า จะได้ไม่เสียดายค่าตั๋วเรือ”
++---TBC--++
A/N: แล้วมาติดตามต่อว่าสองคนนี้ทำตัวให้สมกับมาฟูลมูนปาร์ตี้ยังไงบ้างในตอนหน้านะคะ
