[จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 28 คห. 108 [P.4, 20-12-2020]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 28 คห. 108 [P.4, 20-12-2020]  (อ่าน 14213 ครั้ง)

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
ทำไมหน้าเหมือนกันอ่ะ

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
*คำเตือน*

เนื้อเรื่องในตอนนี้มีฉาก Beastiality (สมสู่กับสัตว์) อยู่เล็กน้อยนะคะ ส่วนนั้นจะใส่สีกรมไว้ หากใครรับเนื้อหาไม่ได้สามารถเลื่อนข้ามได้เลยนะคะ



บทที่ 11 ปริศนาอย่าได้มากมายเกินไป มิเช่นนั้นจะเหนื่อยล้าได้





เมื่อพิศดูให้ดีอีกครั้งกลับพบว่าใบหน้าของเหล่ยเจิ้นยวี่ไม่ได้เหมือนกับข้าเต็มสิบส่วน หากองคาพยพกลับคล้ายคลึงอย่างน้อยแปดเก้าส่วนทีเดียว ส่วนที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดคือริมฝีปากที่บางเฉียบและผิวขาวจัดราวเนื้อหยก สองส่วนที่ไม่เหมือนข้านั้นกลับไปเหมือนคนคุ้นเคยเสียได้ รูปปากแบบนี้ สีผิวแบบนี้ มิใช่ว่าไป๋เจี๋ยก็มีเหมือนกันหรอกหรือ



หากข้าเยี่ยอู๋จวินมิได้ฝึกวิชานอกรีตสูบพลังหยินหยางใช้กายผู้อื่นแทนเตาหลอม ปีนั้นคงได้หมั้นหมายและเข้าห้องหอบำเพ็ญเพียรร่วมกับแม่นางสกุลใหญ่สักคนไปแล้ว ถ้าแต่งงานมีบุตรชายสักคน อายุก็คงรุ่นราวคราวเดียวกับเหล่ยเจิ้นยวี่กระมัง



ข้าเหลือบมองลูกศิษย์นอกสำนักของไป๋เจี๋ยครู่หนึ่ง จากนั้นเหลือบมองอาจารย์ของเขาอีกครู่หนึ่ง คนสกุลไป๋แม้จะยังมีใบหน้าเฉยชาแต่ดวงตาคู่นั้นกลับฉายแววเครียดขึ้งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ซ้ำบรรยากาศโดยรอบยังหนาวเย็นขึ้นมากะทันหัน หากจะบอกว่าเขามิรู้สึกอะไรเลยสักนิดก็คงไม่ได้แล้ว



“ที่แท้...” ข้าจ้องมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของเหล่ยเจิ้นยวี่ด้วยสายตาสำรวจตรวจตรา ยิ่งมองก็ยิ่งพบว่าเจ้าเด็กคนนี้หน้าตานับว่าล่อดอกท้อหญิงชายมากกว่าข้าอยู่ส่วนหนึ่งเลยทีเดียว ต้องปิดบังใบหน้าเช่นนั้นก็สงสารเขาขึ้นมาบ้างแล้ว “ที่แท้ปีนั้นเจ้าก็ให้กำเนิดบุตรออกมาคนหนึ่งนี่เอง”



“เจ้า! ” ริมฝีปากของไป๋เจี๋ยเปิดขึ้นเล็กน้อยคล้ายจะกล่าววาจาบางอย่างแต่กลับนึกคำไม่ออก ดวงหน้างดงามคราวนี้เริ่มเห็นสีแดงระเรื่อซึ่งมิรู้ว่ามาจากความโกรธเคืองหรือความเขินอายกันแน่ เห็นท่าทางน่ารักเช่นนี้ข้าจึงอดหยอกล้อเขาเพิ่มอีกสองประโยคไม่ได้



“ปล่อยให้แม่ลูกต้องลำบากมาหลายปี ข้าเยี่ยอู๋จวินถือว่าทำผิดต่อพวกเจ้ามากแล้ว”



นัยน์ตาของเหล่ยเจิ้นยวี่มีประกายบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ภายใน หากพูดจาชักจูงอีกสองสามประโยคไม่แน่ว่าเขาอาจจะคุกเข่าลงกับพื้นโขกหัวให้ข้าแล้วร้องเรียกว่าบิดา หากแต่ว่าคนแซ่ไป๋ย่อมไม่ปล่อยให้ข้ากระทำการเช่นนั้น แส้หนังที่ถูกม้วนเก็บเข้าไปแล้วฟาดลงที่กลางหลังของข้าทันที ตามด้วยอัสนีสายหนึ่งที่ตามมาด้วยความเร็วไม่ต่างกัน



“ใจเย็นก่อน อย่าเพิ่งฟาดแรงขนาดนั้น” แต่ละครั้งที่คนสกุลไป๋สะบัดแส้ เขาไม่รู้จักยั้งมือเลยสักนิด ต่างจากครั้งก่อนที่คนยังเบามืออยู่บ้าง ข้ารู้สึกคล้ายวิญญาณใกล้แตกสลายเป็นเศษเสี้ยวอยู่ทุกเมื่อ จะโทษใครได้นอกจากโทษตนเองที่ไปล้อเล่นมากเกินไป เรื่องราวในปีนั้นคงมิใช่ความทรงจำที่สวยงามเท่าไรนัก ไม่แปลกอะไรที่เขาไม่อยากจดจำและไม่อยากให้ใครเอ่ยถึง



“ข้าเพียงนึกสงสารเขาเพราะเขาหน้าตาคล้ายเจ้า” เมื่อถูกกระตุ้นมากเข้า ทั้งยังได้ฟาดข้าระบายอารมณ์ คนก็ปริปากพูดความรู้สึกในใจออกมาบ้างแล้ว ครั้นหลุดปากออกมาแล้วจึงคล้ายรู้ตัวขึ้นมา มือที่ขยับฟาดแส้ก็ละลงข้างกาย ดวงตาแดงก่ำใบหน้าย่ำแย่เหมือนกับเด็กน้อยถูกจับได้ว่าทำความผิด ท่าทางน่าเอ็นดูเหมือนอาเจี๋ยที่วิ่งตามไล่ข้าสมัยก่อนอยู่ไม่น้อย



“อาเจี๋ย...” ข้าขยับเข้าไปใกล้คนมากขึ้น ปลายนิ้วแตะกับข้างแก้มไป๋เจี๋ยอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงและรอยยิ้มบนใบหน้าอ่อนโยนอย่างถึงที่สุดคล้ายว่าข้ากับเขาย้อนกลับไปเมื่อสิบแปดสิบเก้าปีก่อน “เจ้ายังชอบข้าอยู่หรือ”



“เกรงว่าผู้อาวุโสแซ่เยี่ยจะเข้าใจอะไรผิดแล้ว” เสียแต่ว่าคนไม่รู้สึกเคลิบเคลิ้มด้วยเลยสักนิด นอกจากน้ำเสียงห่างเหินราวคนแปลกหน้า อดีตศิษย์ผู้น้องยังปัดมือข้าออกอย่างไม่ไยดี หมดอารมณ์หมดวาจาจะกล่าวแล้ว เขาหันตัวกลับไปสนใจลูกศิษย์ของตน ร่ายคาถาซ่อมแซมเสื้อผ้าที่เสียหายให้พร้อมกับมอบยาลูกกลอนรักษาอาการบาดเจ็บภายในให้ลูกหนึ่ง ท่าทางอ่อนโยนผิดกับอาการที่แสดงออกกับข้าอย่างสิ้นเชิง ครู่หนึ่งข้าเห็นระลอกคลื่นในดวงตาของเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับข้าอีกครั้ง



เกิดเป็นเหล่ยเจิ้นยวี่ที่มีหน้าตาเหมือนกับปรมาจารย์วังวสันต์ถึงแปดเก้าส่วนก็นับว่าลำบากมากแล้ว แม้จะเยาว์วัยกว่าแต่ผู้คนรอบข้างย่อมเพ่งเล็งเป็นธรรมดา หากข้ามิได้ฝึกวิชาวสันต์เริงร่าและรู้แก่ใจดีว่าที่ผ่านมาการร่วมรักบำเพ็ญเพียรของข้ามิอาจทำให้สตรีนางใดตั้งครรภ์ได้ คงคิดว่าเขาเป็นบุตรนอกสมรสของตนเองเป็นแน่ มิแปลกใจอันใดหากไป๋เจี๋ยให้เขาปิดบังหน้าตาเอาไว้ แต่เขาหน้าตาเหมือนข้าถึงเพียงนั้น จะบอกว่าสาเหตุเป็นเพราะหน้าตาอัปลักษณ์นี่มิใช่ใจร้ายกันเกินไปหน่อยหรือ



ความสัมพันธ์ระหว่างข้าและไป๋เจี๋ยเมื่อปีนั้น นอกจากความเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมอาจารย์ร่วมสำนัก ยังมีความสำคัญทางใจกันอยู่มากนัก เรียกได้ว่าเขาห่วงใยข้า ข้าห่วงใยเขา ส่วนเรื่องอื่นๆ ...คงมิต้องบอกเล่าให้มากความกระมัง



ด้วยมรรคาการบำเพ็ญเพียรของข้าคงไม่เหมาะสมกับการรั้งใครไว้เคียงคู่ บวกกับคนสกุลไป๋มีนิสัยขี้หึงอยู่ไม่น้อย สุดท้ายเมื่อเขาพบว่าข้าหลับนอนกับศิษย์น้องหญิงจากยอดเขากระบี่ร้อยรบสองคนและศิษย์พี่หญิงจากยอดเขานภาไร้สรรพเสียงอีกสามคน ศิษย์น้องของข้าในยามนั้นก็น้ำตาไหลอาบหน้า พูดเพียงว่า อู๋เกอท่านมันตัวเลวบัดซบ จากนั้นก็มิยอมพูดคุยกับข้าอีกต่อไป



สำหรับข้าแล้วสาเหตุที่ไปเจี๋ยเก็บคนหน้าตาเหมือนข้าไว้ข้างกายให้เป็นลูกศิษย์นอกสำนักนั้น ข้ายังพอเข้าใจได้ หากแต่ที่มาของเหล่ยเจิ้นยวี่ยังคลุมเครือไม่ชัดเจน หน้าตาคล้ายคลึงไม่พอยังสามารถใช้กระบี่เก่าของข้าได้อีก ดีไม่ดีคนผู้นี้อาจสมควรใช้แซ่เยี่ยเหมือนกับข้า เหมือนกับบรรดาน้องหญิงชายกว่าสิบชีวิตในจวนสกุลเยี่ย มิรู้ว่าเยี่ยหย่งฟานหน้ามืดไปปลุกปล้ำสตรีที่ดีงามผู้ใดจนให้กำเนิดบุตรนอกสมรสขึ้นมาหรือไม่ หากหลุดพ้นจากไป๋เจี๋ยไปได้และเสร็จสิ้นธุระกับสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ สงสัยว่าจะต้องกลับไปชำระความกับผู้คนเสียหน่อยแล้วกระมัง



เรื่องในอดีตปล่อยให้อยู่ในอดีต เรื่องของอนาคตย่อมต้องจัดการในอนาคต ยามนี้วิญญาณข้าถูกโซ่ตรึงวิญญาณบนนิ้วของไป๋เจี๋ยลากดึงไปตามทาง ทั้งสองมุ่งหน้าเดินทางไปยังทิศใต้ตามกลิ่นอายเบาบางของสัตว์อสูรระดับสูงที่มีใครจงใจวางอุบายเอาไว้ เดินอยู่เป็นชั่วยามจึงพบกับจวนใหญ่หลังหนึ่ง หน้าตาคล้ายคลึงกับจวนของมารราตรีชาดไม่มีผิด มีมารออกอาละวาดลักพาตัวผู้คนในบริเวณใกล้เคียงกันถึงเพียงนี้ แต่เรื่องราวที่ไปถึงโลกผู้บำเพ็ญเพียรกลับไม่ใหญ่โต เหล่าสำนักใหญ่ส่งเพียงคนหนุ่มสาวมาสร้างผลงาน เกรงว่าจะมีลับลมคมในบางอย่างแล้ว



หากไม่มีอาคมพรางตา จวนร้างหลังใหญ่ขนาดนี้ย่อมเป็นที่สังเกตของผู้คนที่ผ่านทาง หากยิ่งก้าวเข้าใกล้ตัวเรือนเท่าใด บรรยากาศยิ่งคล้ายหนักอึ้งมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ฝีเท้าฉับไวรวดเร็วของไป๋เจี๋ยและศิษย์ยังเชื่องช้าลงอยู่บ้าง กระทั่งข้าที่มีเพียงร่างวิญญาณยังรู้สึกคล้ายมีบางสิ่งถ่วงร่างให้ขยับได้ยากลำบากยิ่งนัก



ไป๋เจี๋ยบุกเข้ามาอย่างองอาจมิรู้จักปิดบังตัวตนเช่นนี้ย่อมดึงดูดความสนใจจากมารชั้นต่ำที่ทำหน้าที่เฝ้าเวรยามโดนรอบ มารนับสิบกรูเข้ามาล้อมรอบราวกับมดตอมขนมหวาน หากคนสกุลไป๋ย่อมมิใช่ตะเกียงไร้น้ำมัน กระบี่ธารน้ำแข็งถูกชักขึ้นจากฝักก่อนจะโบยบินเป็นอิสระอยู่เบื้องหลังผู้เป็นนายคอยฟาดฟันเอาชีวิตเหล่ามารชั่วมิให้เข้าใกล้คนจนเกินไป เมื่อศัตรูมีมากเข้าคนสกุลไป๋ก็ควักแส้ออกมาสะบัดข้อมือหนึ่งทีเรียกอัสนีลงทัณฑ์มาจัดการให้จบเรื่องจบราว



ที่ผ่านมาคำว่าเบามือมากแล้วเป็นอย่างไร ข้าก็เพิ่งจะรับรู้ในคราวนี้ อัสนีลงทัณฑ์เพียงสายเดียวก็มากเพียงพอแล้วให้มารเหล่านั้นกลายเป็นเพียงลูกกลอนมารกลิ้งเกลือกอยู่กับพื้น ยิ่งอัสนีที่ยืมพลังจากสวรรค์ทรงอานุภาพมากเท่าไร ย่อมหมายความว่าผู้ใช้งานต้องแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น นอกจากฝึกฝนบำเพ็ญเพียรอย่างหนักหน่วงยังต้องมีพรสวรรค์ที่หาได้ยาก สมแล้วที่คนสกุลไป๋ผู้นี้เป็นสุดยอดอัจฉริยะเหนืออัจฉริยะ กระดูกเซียนแน่นหนาตามที่อาจารย์ได้บอกเอาไว้เสียจริง



เรื่องราวการต่อสู้นั้นเกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องสำคัญที่จะต้องอธิบายทุกขั้นตอน ข้าจึงขอเล่าอย่างรวบรัดว่าไป๋เจี๋ยและเหล่ยเจิ้นยวี่ลากวิญญาณของข้าเยี่ยอู๋จวินบุกทะลวงฆ่าฟันเหล่าลูกน้องของมารที่น่าจะชื่อทิวาม่วงได้อย่างองอาจยิ่งนัก เรียกได้ว่าเจอใครหน้าไหน หากหันดาบหันอาวุธเข้าใส่ก็ลงท้ายด้วยความตายเสียเถิด มารที่ยังพอมีสมองอยู่บ้างย่อมรู้ว่ามิควรรั้งอยู่อีกต่อไปแล้ว เวลานี้การหนีเอาชีวิตรอดคงจะเหมาะสมที่สุดกระมัง



ครั้นเมื่อบุกเข้าไปจนถึงหน้าประตูเรือนหลักกลับพบค่ายกลแปลกประหลาดค่ายหนึ่ง หากใจร้อนฝ่าเข้าไปอาจได้รับพลังสะท้อนกลับจนบาดเจ็บภายในถึงชีวิตได้ วิธีการผ่านเข้าไปคล้ายว่าต้องคำนวณระยะก้าวเดินแปดแปดหกสิบสี่ก้าวให้ถูกตำแหน่งตามทิศทั้งแปด หากมิเคยพบเจอสิ่งนี้มาก่อนคงจะมิสามารถจัดการได้ถูกวิธี ค่ายกลนี้สำหรับศิษย์จากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ภายใต้การดูแลของเจิ้งปิงฉินย่อมรู้จักเป็นอย่างดี เหตุเพราะอาจารย์หญิงมักใช้ค่ายกลนี้ทั้งทดสอบและลงโทษข้าและไป๋เจี๋ยอยู่หลายครั้ง



สีหน้าของคนสกุลไป๋เครียดขึ้งขึ้นเช่นเดียวกับหัวใจข้าที่หนักอึ้งขึ้นมาทุกที พบเจอเรื่องราวแบบนี้คนย่อมต้องหวาดหวั่นว่าอาจารย์ของตนอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหล่าบรรดามารชั่วที่ลากผู้คนมาสูบพลังหยางเป็นที่สุด หากบุกเข้าไปจนถึงตัวการใหญ่แล้วพบเจิ้งปิงฉิน มิใช่ว่าเรื่องราวจากนั้นจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมเข้าหรอกหรือ



ก้าวพ้นประตูเรือนหลักเข้าไปกลับพบว่าภายในตกแต่งได้งดงามเยี่ยงจวนขุนนางใหญ่ ซ้ำยังมีสาวรับใช้หน้าตาหมดจดสองคนออกมาต้อนรับ หากก่อนหน้ามิได้มีเหตุการณ์นองเลือดและบรรยากาศยามนี้มิได้หนักอึ้งกลิ่นอายบางอย่างอบอวลจนฉุนจมูก คงหลงคิดไปว่ามาเยี่ยมเยียนใต้เท้าท่านใดแล้วกระมัง



“นายท่านรอท่านทั้งสามอยู่แล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้คนหนึ่งย่อกายลงก่อนจะเดินนำไปทางหนึ่งด้วยรอยยิ้มหวานหยดย้อย ทั้งร่างของพวกนางสัมผัสไม่ได้ถึงพลังชีวิต ดูแล้วคงมิใช่มารแต่คงเป็นภูตกระดาษ หากเป็นภูตกระดาษชั้นสูงเป็นแน่ ถึงได้มองเห็นการมีอยู่ของข้าได้



ก่อนที่จะก้าวขาเดินตามสาวใช้ภูตกระดาษไป ข้าเหลือบมองไป๋เจี๋ยด้วยความจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง เพียงสายตาที่ส่งไป คนก็สามารถเข้าใจความนัยที่ข้าต้องการสื่อถึงได้ แม้ไป๋เจี๋ยจะมีพลังมีความสูงส่ง แต่เวลานี้สถานการณ์ไม่ปรกติ มิรู้ว่าจะมีเหตุการณ์พลิกผันอันใดเกิดขึ้น ซ้ำเหล่ยเจิ้นยวี่ก็ยังเป็นเพียงผู้ฝึกเซียนรุ่นเยาว์ ความสามารถถึงจะโดดเด่นแต่จะรับมือกับมารชั่วโดยตรงก็ยังยากนัก อย่างไรเสียผีลามกเช่นข้าก็มีพลังวิญญาณทั้งหยินหยางที่ยังพอเป็นกำลังช่วยเหลือเขาได้บ้าง ปล่อยให้ข้าเป็นอิสระจากโซ่ตรึงวิญญาณไม่ดีกว่าหรือ



ไป๋เจี๋ยสะบัดปลายนิ้วครั้งหนึ่งโซ่ตรึงวิญญาณที่รั้งคออยู่ก็ปลิดปลิวออกไป ส่วนสาวใช้ของมารชั่วเดินนำมาจนถึงห้องหนึ่งที่อยู่ใจกลางเรือน จากตำแหน่งแล้วควรจะเป็นห้องนอนประมุขของบ้าน เชิญผู้คนเข้าไปพูดคุยในห้องนอน ไม่รู้ว่าต้องมีรสนิยมอย่างไรกันแน่ แต่คงมิใช่ตัวดีอะไรนัก



ครั้งประตูเปิดออก ข้าก็ต้องขอบคุณสวรรค์แล้วที่หัวหน้าใหญ่ของเหล่ามารไม่ใช่อาจารย์หญิงผู้งดงามของข้า หากแต่ภาพเบื้องหน้าห่างไกลสิ่งที่เรียกว่าดีงาม สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรถือพรหมจรรย์รักษากายใจบริสุทธิ์สมควรเรียกว่าน่าอดสูชวนสะอิดสะเอียนเป็นอย่างยิ่ง



เบื้องหน้าคือเหล่าชายหนุ่มนับสิบที่เปลือยกายใช้ร่างพัวพันร่วมสังวาสกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดหน่าย แต่ละคนมีสารรูปผอมแห้งจนเห็นกระดูกซี่โครง สภาพมิต่างอะไรจากศพที่ถูกขุดมาจากสุสาน หยินมากหยางพร่องจวนเจียนจะหมดลมหายใจได้ทุกเมื่อ พลังชีวิตเฮือกสุดท้ายล้วนนำมากอดก่ายปรนเปรอกันและกันอย่างมิกลัวความตาย ศพมีชีวิตเหล่านี้คงมิพ้นถูกยาสั่งมนต์สะกดเข้าแล้ว ยิ่งร่วมรักกันเท่าไรสิ่งเลวทรามที่ใช้ปลุกกำหนัดก็ยิ่งแพร่กระจายรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นอายฉุนจมูกชวนเวียนหัวที่สัมผัสได้ตั้งแต่ก้าวเข้าเรือนมาคงจะเป็นกลิ่นอายกามาราคะจากร่างกว่าสิบเบื้องหน้าเป็นแน่



แม้ข้าจะเคยเห็นภาพผู้คนเปลือยเปล่ามากกว่านี้มาไม่รู้จักกี่เท่า ครั้งที่ตกตายภายใต้บุปผาสามร้อยนางในตำหนักของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ ก็ยังรู้สึกว่าเหล่าบรรดาผีตายซากที่กระทำการหยาบช้ากันพวกนี้ไม่น่ามองเป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อยนางสนมเหล่านั้นยังมีรูปลักษณ์สวยสดงดงามอยู่บ้าง แต่นี่คล้ายพบเห็นสิ่งชวนสยองขวัญเข้าแล้ว



สีหน้าของผู้ดีงามจากสกุลไป๋ทั้งสองคงมิต้องอธิบายกระมังว่าย่ำแย่เพียงใด ยิ่งไล่สายตาไปถึงกลางห้องบนแท่นหินหยกขนาดใหญ่คล้ายไว้ประกอบพิธีกรรมก็รู้สึกสังเวชใจยิ่งกว่าเดิม มิรู้ว่าเป็นเคราะห์กรรมตั้งแต่ชาติภพไหนของศิษย์แส่เส้าจึงได้พบเจอกับเรื่องราวน่าอัปยศอย่างต่อเนื่องกันเช่นนี้



ศิษย์จากยอดเขาอสูรคำรามบัดนี้ไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าสักชิ้นติดกาย ร่างกายเปลือยเปล่าอยู่ตรงกลางอยู่ระหว่างกลางบุรุษผู้หนึ่งและเดรัจฉานตัวหนึ่ง สะโพกขาวถูกยกขึ้นสูงให้พยัคฆ์ขาวลายพาดกลอนตัวหนึ่งขยับลำลึงค์หน้าตาประหลาดครูดไถไปตามช่องทางรัก ลำตัวท่อนบนกดลงต่ำจนเกือบติดพื้นเตียง ขณะที่ริมฝีปากครอบครองเครื่องเพศของชายอีกคน ซ้ำยังดูดดุนปรนเปรอด้วยความหลงใหลเสียจนแก้มตอบ



คนผู้นี้มิหลงเหลือสติรับรู้อันใดอีกต่อไป มีเพียงร้องครวญครางแผ่วเบาด้วยความสุขสมคล้ายว่ามิต้องการสิ่งใดแล้วนอกจากรสรักอันแสนพิกลนี้ เพลิดเพลินไปกับการถูกปฏิบัติอย่างไม่ต่างอะไรจากของเล่นชิ้นหนึ่ง อาการหนักหนาสาหัสเสียยิ่งกว่าคราวมารราตรีชาดเสียอีก หากมีสติฟื้นมาได้คราวนี้ คนสกุลเส้าจะทนรับความอัปยศได้หรือ



“มิได้ออกไปต้อนรับท่านเซียนทั้งหลายด้วยตนเอง ข้ามารทิวาม่วงถือว่าเสียมารยาทแล้ว” บุรุษร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลาที่อยู่บนเตียงเอ่ยขึ้นพร้อมกับเหลือบตาขึ้นมองมายังพวกข้าด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรเรียบง่าย ท่าทางเหมือนเจ้าบ้านผู้แสนดีขัดกับบรรยากาศรอบข้างและคนแซ่เส้าที่ยังใช้ริมฝีปากทำรักให้เขาไม่หยุด



ไป๋เจี๋ยมิได้กล่าววาจาตอบโต้ใดกลับ นอกเสียงจากหยัดยิ้มมุมปากคล้ายเย้ยหยันเย็นชาดียิ่ง นัยน์ตาคู่สีดำสนิทเป็นประกายวาววาบเช่นเดียวกับคมกระบี่ธารน้ำแข็งที่เปล่งแสงคล้ายกระหายเลือดขึ้นมาบ้างแล้ว



“นับถือปรมาจารย์เยี่ยอู๋จวินยิ่งนัก แม้ตายเป็นผียังสามารถกำจัดน้องชายของข้าได้อย่างหมดจดเรียบร้อย กระทั่งดวงจิตให้ไปเกิดใหม่ยังไม่มีเหลือ” นัยน์ตาสีม่วงอ่อนที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาตเหลือบมองมาทางข้า “คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าพวกท่านจะต้องสืบความมาถึงที่นี่จนได้ ระหว่างรอข้าจึงขอเล่นสนุกกับศิษย์ทั้งสองจากสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์เสียหน่อย หวังว่าจะไม่ถือโทษโกรธกันนัก”



สาเหตุนั้นแท้จริงแล้วเป็นเพราะข้าเห็นคนแซ่หานแล้วหวนถึงวันคืนเก่าๆ ขึ้นมาจึงได้ติดตามเขาอยู่ครู่หนึ่ง เรื่องราวทั้งหมดใช่ว่าข้าจะจงใจสืบเสาะหาที่มาเสียเมื่อไร มีแต่วาสนาและโชคชะตาเท่านั้นที่นำพามาถึงที่นี่



ข้าเหลือบมองไปทางข้างเตียงเห็นหานเฉิงรุ่ยถูกเชือกกักเซียนมัดติดกับเก้าอี้คนงามตัวหนึ่ง สองตาปิดแน่นคล้ายไม่ต้องรับรู้เรื่องราวอันใดทั้งสิ้น หากแต่ข้างขมับตามไรผมกลับผุดด้วยเม็ดเหงื่อมากมาย ก้มมองดูเบื้องล่างก็พบว่าส่วนกลางร่างกายแข็งขืนขึ้นมาแล้ว ด้วยความสามารถของเขาคงมิสามารถต้านทานกลิ่นปลุกกำหนัดรุนแรงเช่นนี้ได้



“อาจารย์ปู่...ผู้อาวุโส” คนแซ่หานเอ่ยวาจาได้เพียงเท่านั้นก็กระอักเลือดออกมาคล้ายว่าเกินจะฝืนทนเข้าแล้ว หานเฉิงรุ่ยทนไม่ได้ แล้วเหล่ยเจิ้นยวี่จะทนได้หรือ ไป๋เจี๋ยมัวแต่จับจ้องมารทิวาม่วงปลดปล่อยจิตสังหารจึงไม่ทันได้สนใจบุรุษร่างสูงใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง เพียงชั่วพริบตาเหล่ยเจิ้นยวี่ขยับเข้ามาจนแนบชิดใกล้ สองแขนโอบรัดร่างที่เล็กกว่าของผู้เป็นอาจารย์อย่างแนบแน่น ปลายจมูกโด่งกดลงซุกไซร้กับคอเสื้อของคนสกุลไป๋เสียแล้ว



มารทิวาม่วงหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง ท่าทางสมใจยิ่งนักที่เห็นลูกศิษย์นอกสำนักของคนสกุลไป๋กระทำการอาจหาญกับอาจารย์ตนเอง มนต์สะกดปลุกราคะของมันมิใช่ว่ายิ่งพัวกันกันเท่าใดก็ยิ่งรุนแรงขึ้นหรอกหรือ แผนการเช่นนี้นับว่าต่ำช้าอยู่ไม่น้อย นอกจากข้าที่เป็นผีวิญญาณแล้ว ต่อให้ไป๋เจี๋ยมีจิตแกร่งกล้าเพียงใดก็ยากจะควบคุมตนเองได้แล้ว



“เสี่ยวเจิ้น! ” ไป๋เจี๋ยร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความไม่ยินยอมที่ยังพอหลงเหลืออยู่บ้าง เสียแต่ว่าเสี่ยวเจิ้นยามนี้จะมีสติรับรู้อะไรได้อีก คนเชยคางอาจารย์ของตนขึ้นก่อนจะใช้มือบีบสันกรามโดยแรงคล้ายบังคับให้คนสกุลเจี๋ยเปิดปากออก หากข้าย่อมมิอาจปล่อยให้เหล่ยเจิ้นยวี่กระทำการตามแผนของมารทิวาม่วงได้เป็นแน่ ถึงการใช้ร่างโดยปราศจากการเห็นชอบจากเจ้าตัวจะมิเป็นการดีเท่าไร แต่ข้าก็ขยับมายืมใช้ร่างของเขาเสียแล้ว ปล่อยให้จิตวิญญาณของเด็กหนุ่มที่แอบหลงรักอาจารย์ของตนเองหลับลึกอยู่ในห้วงฝันแทน



ริมฝีปากที่ประกบเข้าหากลีบปากบางของไป๋เจี๋ยจึงมิใช่สติรับรู้ของเหล่ยเจิ้นยวี่อีกต่อไป หากเป็นข้าที่บดเบียดจูบเข้าไปเสียจนแนบชิด ขบเม้มริมฝีปากของผู้คนเสียจนเกือบช้ำ ซ้ำยังสอดแทรกปลายลิ้นเข้าไปในโพรงปากร้อน กวาดกระหวัดรสหวานที่มิได้สัมผัสมาสิบแปดปี คนสกุลไป๋ที่โดนมนต์ปลุกราคะอยู่บ้างย่อมมิได้ปฏิเสธการรุกล้ำแต่อย่างใด กลับรั้งลำคอของข้าลงมาและขยับลิ้นตอบโต้กลับราวกระหายในรสรักของข้าเป็นอย่างยิ่ง



น่าแปลกที่หัวใจของข้าในยามนี้กลับเจ็บแปลบจนชาหนึบไปหมด แม้เรียวลิ้นจะขยับเกี่ยวพันหยอกล้อกับคนเบื้องหน้า หากความจริงแล้วข้าได้ลอบถ่ายทอดพลังหยางสายหนึ่งเข้าไปกดมนต์ปลุกกำหนัดของมารทิวาม่วง เพียงครู่หนึ่งไป๋เจี๋ยก็ได้สติขึ้นมา ผลตอบแทนที่ข้าได้รับคือฟันคมที่กัดลงมาบนลิ้นเสียจนเลือดซิบ ข้าต้องรีบถอนจูบออกก่อนที่ลิ้นของเหล่ยเจิ้นยวี่จะไม่ได้อยู่ที่เดิมของมันอีกต่อไป



“เหิมเกริมเช่นนี้...อย่าได้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเลย” ไป๋เจี๋ยใช้ปลายแขนเสื้อเช็ดมุมปากลวกๆ ก่อนจะสะบัดแส้ในมือฟาดเข้ากับร่างของมารทิวาม่วง มารชั่วผลักร่างของคนแซ่เส้าออกไปด้านหนึ่ง ปล่อยให้พยัคฆ์ขาวย่ำยีเรือนร่างที่ตกอยู่ในห้วงดำฤษณาต่อไป มือข้างหนึ่งดึงรั้งแส้หนังเอาไว้ ขณะที่มืออีกข้างถือดาบเหล็กขนาดใหญ่ที่มีหนามพิษปรากฏอยู่โดยทั่ว



ลำแสงจากกระบี่ธารน้ำแข็งปะทะเข้ากับพลังของมารทิวาม่วงอยู่ครู่หนึ่ง ส่วนข้ามิอาจเรียกว่ายืนหายใจอยู่เฉยๆ ได้ เนื่องจากร่างผีตายซากนับสิบจากที่เสพสังวาสกันอยู่กลับกรูกันเข้ามาหาข้าคล้ายมองเห็นขนมหวานชิ้นหนึ่ง คนเหล่านี้เกรงว่าจะอยู่ภายใต้การควบคุมของมารทิวาม่วงเข้าแล้ว ข้าชักกระบี่พันหมื่นแสงดาราออกจากฝัก สัมผัสได้ถึงความยินดีของมันที่ได้พบเจอกับเจ้าของที่แท้จริงอีกครั้ง หากแต่ไม่ได้มีเวลาชื่นชมอะไรนานนัก เพราะต้องตั้งจิตมิให้กระบี่ฟาดฟันเหล่าร่างผอมแห้งพวกนั้นจนถึงแก่ชีวิต



สายฟ้ารุนแรงสายหนึ่งผ่าลงมาจากเบื้องบนทำลายแม้กระทั่งอาคมของมารทิวาม่วงจนไม่เหลือซาก ด้วยพลังรุนแรงเช่นนี้ข้าย่อมคิดว่ามารสารเลวคงสิ้นชื่อก็คงจะคราวนี้ หากแต่เมื่ออัสนีและควันรอบข้างสูญสลายไป เงาร่างสูงใหญ่ของมันยังคงอยู่ที่เดิม



“อัสนีลงทัณฑ์” มารทิวาม่วงกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง แต่ท่าทางยังสมบูรณ์พร้อมดีมิได้ดับสูญเหมือนกับมารตนอื่นๆ ที่พบเจออัสนีลงทัณฑ์เข้าไป “สมแล้วที่เป็นผู้อาวุโสสกุลไป๋แห่งยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์”



กล่าวเพียงจบประโยคอัสนีอีกสายก็ผ่าฟาดเข้าที่กลางร่างของมารทิวาม่วงอีกครั้ง คราวนี้มิใช่อัสนีลงทัณฑ์เช่นเคยหากแต่เป็นอัสนีชำระล้างอันเป็นอัสนีสายที่ทรงพลังที่สุด วิชาที่ส่งมอบให้เฉพาะผู้สืบทอดยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์นั้นมีความลับซุกซ่อนเอาไว้อยู่ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่เก่งกาจเพียงใดก็ยืมเรียกอัสนีสวรรค์ได้วันหนึ่งไม่เกินเจ็ดสาย หากเกินกว่านั้นจะเป็นการฝืนกฎสวรรค์พลังอาจย้อนเข้าทำร้ายตนเองได้ เพียงวันนี้วันเดียวไป๋เจี๋ยก็ใช้สายฟ้าฟาดข้ามาถึงสามสี่ครั้งแล้ว จะกำจัดมารทิวาม่วงจึงต้องใช้สายฟ้าที่แรงที่สุดให้จบสิ้นภายในครั้งเดียว ซ้ำยังต้องรีบทำตอนที่มันยังไม่ได้ตั้งตัว



ร่างของมารทิวาม่วงแม้แข็งแกร่งเพียงใด เมื่อเจออัสนีชำระล้างเข้าไปย่อมมิสามารถฝืนทนได้อีก บนพื้นเตียงปรากฏเพียงลูกกลอนมารสีม่วงใสลูกหนึ่ง ส่วนดวงจิตมิรู้ว่าเข้าสู่วัฏสงสารแล้วหรือว่าสิ้นสลายไปพร้อมกับอัสนีชำระล้าง การตายอย่างง่ายดายของมันทำให้ข้ารู้สึกเสียดายพลังหยางที่สูญสลายไปอยู่ไม่น้อย แต่อย่างน้อยก็โชคดีที่ว่ามนต์สะกดชั่วช้าทั้งหลายได้สูญสิ้นไปแล้ว



“ข้ามิเชื่อหรอกว่าเรื่องราวจะจบง่ายดายเพียงนี้” ไป๋เจี๋ยเก็บลูกกลอนมารขึ้นมาถือในมือก่อนจะกำหมัดออกแรงบีบให้ลูกแก้วสีม่วงแหลกสลายจนเหลือเพียงฝุ่นผง ข้าเหลือบมองเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะใช้ร่างของเหล่ยเจิ้นยวี่เข้าไปแกะเชือกกักเซียนที่มัดร่างของหานเฉิงรุ่ยที่มีใบหน้าซีดเซียวดูไม่ได้ จากนั้นจึงดึงร่างของคนแซ่เส้าที่สลบไสลไม่ได้สติออกจากสัตว์อสูรตัวนั้น หาเสื้อผ้าใส่ให้เรียบร้อยและประคองเขาขึ้นมา



เห็นท่าทางโกรธขึ้งเย็นชาของคนสกุลไป๋ ข้าก็รู้ว่าคนอย่างเขาย่อมต้องหาหนทางสืบความชำระเรื่องราวอย่างไม่จบสิ้น จากเหนือจรดใต้ตะวันตกจรดตะวันออกเขาจะออกตามล่ามารชั่วจนกว่าจะพบตัวตนผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ เรื่องราวที่ค้างคาใจว่าเหตุใดค่ายกลนั้นจึงเหมือนกับค่ายกลของอาจารย์หญิงจะต้องกระจ่างแจ้ง นิสัยผูกใจฝังแค้นคล้ายว่าคนมีมาตั้งแต่เด็กแล้วกระมัง



เห็นทีว่าจะไม่ได้ความ ผูกติดกับศิษย์อาจารย์คู่นี้ต่อไปเห็นทีว่าหนทางการเป็นอ๋องผีของข้าคงไม่คืบหน้า อนาคตคงไม่สดใส ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหรือต่อให้วิญญาณจะต้องแหลกสลายอย่างไร ข้าเยี่ยอู๋จวินเห็นที่ก็ต้องหาหนทางสละไป๋เจี๋ยออกไปให้จงได้



โปรดติดตามตอนต่อไป...


ใกล้หมดสต็อกแล้วค่าาา  :hao7:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
เดี๋ยวปรากฏถ้าเป็นเรื่องจริงขึ้นมา (ไป๋เจี๋ยท้อง) ปรมาจารย์เยี่ยอู่จวินจะร้องไม่ออกนะครับ แซวเขานักน่ะ (ฮา)

เขียนได้ดีครับ ขอชมเลย คงกลิ่นอายของมาตรฐานวรรณกรรมเยาวชนแบบจีนได้ดี ตั้งชื่อได้ตรงตามโทนวรรณกรรมจีน (ไม่ว่าจะเป็นชื่อสถานที่อย่างสำนัก ชื่อสิ่งของอย่างกระบี่ หรือแม้แต่ชื่อคน) บรรยายได้น่าสนใจและน่าติดตาม อธิบายท้องเรื่องของจักรวาลผ่านการบรรยายได้ไหลลื่นและดูไม่ยัดเยียดจนเกินไป ทำให้สามารถกระตุ้นความอยากอ่านต่อของนักอ่านได้ดี มีการซ่อนปมต่างๆผ่านการบรรยายเหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันได้สวยงาม บางปมก็คลายออกได้เร็วเพื่อตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของนักอ่านด้วย ถือว่ามาถูกทางเลยครับ ผมคิดว่าเส้นเรื่องหลักคือการพยายามเป็นอ๋องผีของปรมาจารย์วังวสันต์เยี่ยอู่จวิน (วังฤดูใบไม้ผลิ ชื่อสำนักบ่งบอกความสำราญของเจ้าสำนักมาก (ฮา)) แต่สุดท้ายแล้ว ผลมันจะกลายเป็นอ๋องผีหรือไม่ อันนี้ผมคิดว่าเราพลิกได้นะครับ เพราะเอาจริง แม้ว่าผู้เขียนจะบอกว่าโทนเรื่องสบายๆ แต่ผมดูศักยภาพแล้ว เป็นโรแมนติกคอเมดี้ที่อาจขึ้นหิ้งให้คนชื่นชมได้เลยนะครับ ศักยภาพเรื่องสามารถพัฒนาเป็นวรรณกรรมเยาวชนที่อ่านสนุก เพลิน และสร้างพล็อตที่น่าติดตามจนคนอ่านอยากรู้และอยากอ่านต่อได้ แต่การจะทำแบบนี้ได้เราอาจจะต้องวางกรอบสักนิดหนึ่ง ทำให้พล็อตมันดูอลังการแล้วจบให้น่าสนใจและอิ่มเอมกับผู้อ่านที่สุด

ทีนี้เรามาดูกันทีละจุด จุดแรก คาแรกเตอร์ของเยี่ยอู่จวิน ทำได้ดีมากแล้วครับ ผมยังชอบเลย (ฮา) ผีอะไรคูลชะมัด! มีทั้งขี้เล่นบ้าง แถมยังมีประชดประชันด้วยน้อยๆ แต่ดูท่าทางเจ้าสำราญพอสมควร ไม่แปลกใจเลยทำไมทั้งสาวทั้งหนุ่มติดกันเกรียวครับ แถมเซียนหานยังนับถือเป็นอาจารย์ (แต่เรียกอาจารย์ปู่นี่แก่ไปนะ ศิษย์พี่ก็พอมั้งครับ (ฮา))

เคสของเยี่ยอู่จวินนี่ตอนแรกผมก็ยังงงๆนะว่า เอ๊ะเราจะหาคู่ของเยี่ยอู่จวินจากไหน แต่พอเห็นมีบรรยายเรื่องสำนักไผ่ขาวก่อนที่จะเจอไป๋เจี๋ย ก็เริ่มรู้สึกแล้วละครับว่าน่าจะต้องมีปมกับใครสักคนในสำนักนี้ แต่พอเห็นไป๋เจี๋ยออกมา ใช่เลยครับ! เคมีคู่นี้แหละอย่างเหมาะ! (ฮา) คนนึงก็ขี้เล่นเจ้าสำราญ อีกคนก็ขยันซึน มือหนัก ขี้งอน แต่ก็ท่าทางน่ารักและยังชอบท่านพี่เยี่ยอยู่เสมอเลย ประเด็นคือเรามีเหล่ยเจิ้นยวี่เข้ามาเกี่ยวด้วย ผมเลยไม่แน่ใจว่าเรื่องจะพลิกยังไงสำหรับคู่นี้ เพราะน้องเองก็ดูจะแอบชอบไป๋เจี๋ยอยู่ไม่น้อย (แต่อายุก็ห่างกันมากเลยนะ 555) ปัญหาคือหน้าตาของเหล่ยเจิ้นยวี่ดันเหมือนเยี่ยอู่จวินผสมไป๋เจี๋ย ดังนั้นผมเลยคิดว่าผมชอบรูท เยี่ยอู่จวิน x ไป๋เจี๋ย เพราะดูเคมีของสองคนโอเค แถมเยี่ยอู่จวินยังหลุดออกมาว่าหัวใจเจ็บแปลบเมื่อจูบกับไป๋เจี๋ย แสดงว่าต้องมีความรู้สึกผิดซ่อนอยู่ในใจบ้างไม่มากก็น้อย การเชียร์คู่นี้ก็น่าจะเป็นไปได้ครับ

ดังนั้นนี่จึงนำพามาสู่จุดที่สองที่ผมจะพูดถึง นั้นคือพล็อตที่ใส่เข้ามาอย่างแนบเนียน ผ่านมิติของการบรรยาย ทั้งแบบการสนทนา หรือความทรงจำของเยี่ยอู่จวินที่อธืบายให้คนอ่านรับรู้ ตอนนี้ปมพล็อตเยอะและน่าสนใจมากเลยนะครับ คำถามแรกของผมก็ยังเป็นประเด็นอยู่เหล่ยเจิ้นยวี่มาจากไหน? ถูกเก็บได้? แล้วเก็บมาจากไหน เกิดมายังไง? เป็นลูกของไป๋เจี๋ยกับเยี่ยอู่จวินรึเปล่า? เพราะเรื่องก็บอกลางๆว่าสองคนนี้เคยนอนด้วยกันแน่ๆ แต่ว่าการเกิดขึ้นของเหล่ยเจิ้นยวี่ถ้าไม่ใช่ลูกจริง แล้วจะมีความเกี่ยวข้องกับแผนของเหล่าบรรดามารที่เริ่มมีแผนการสูบพลังหยางจากเหล่าชาวยุทธรึเปล่า? แล้วจะเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ที่ส่งเยี่ยอู่จวินไปตายกับสาวสามร้อยนางรึเปล่า? เพราะแผนมารมันเกิดขึ้นหลังจากเยี่ยอู่จวินตายพอดี มันพอดิบพอดีเกินกว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ ถ้าเราขมวดปมทั้งหมดเป็น Grand Scale ได้ แล้วค่อยๆใส่อีเวนต์มาทีละอันๆ เพื่ออธิบายคนอ่าน มันจะเป็นนวนิยายที่ชวนอ่านและน่าติดตามได้อย่างไม่ยากเลยครับ

นี่ยังไม่นับว่า สิบสี่ปีก่อน ช่วงที่เยี่ยอู่จวินยังอยู่ แต่อาจารย์ทั้งสามแห่งสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ (อ่านชื่อแล้วนึกถึงเจ็ดเซียนแห่งเทือกเขาบู๊ตึ้งเลยครับ อ้างอิงได้ดีนะ) เกิดอาเพศอะไรขึ้นแล้วเหตุการณ์ต่อจากนั้นเป็นยังไง? กระบี่พันหมื่นแสงดาราที่เยี่ยอู่จวินคืนอาจารย์ไปแล้วมาอยู่กับเหล่ยเจิ้นยวี่ได้ยังไง? ไป๋เจี๋ยให้? ถ้าให้แล้วให้เพราะอะไร? หน้าเหมือน? หรือว่าเป็นลูก? เพราะว่าการที่เยี่ยอู่จวินคิดมาประโยคหนึ่งว่า ‘ใช้กระบี่พันหมื่นแสงดาราได้’ แปลว่ากระบี่มันเลือกคนใช้ครับ ถ้าตีให้ใคร คนอื่นจะใช้มันต้องมีสัมพันธ์อะไรบางอย่าง แค่หน้าเหมือนไม่น่าจะทำให้ใช้กระบี่ได้

ผมคิดว่าผู้เขียนทำได้ดีแล้วนะครับ ผมไม่มีอะไรที่จะติเลย อย่างไรก็ตาม อาจจะมีแค่บางอย่างที่อยากจะเห็นเพิ่มเฉยๆ เช่น ถ้าธีมเรื่องเป็นโรแมนติกคอเมดี้ แล้วตัวชื่อเรื่องและเยี่ยอู่จวินเองก็คงสามารถในด้านการหลับนอน อยากจะให้บรรยายตรงนี้เพิ่มเติมหน่อย แบบเดียวกับองค์แรกที่ไปช่วยเทรนเจ้าหมูน้อยนั่นแหละครับ ให้อารมณ์อาจารย์ผู้แข็งแกร่งและเชี่ยวชาญด้านนี้มาก (ฮา) อย่างตอนที่สิงร่างน้องเหล่ยแล้วบดปากกับไป๋เจี๋ยนี่เท่มากเลยนะครับ สุดคูลไปเลย! อยากเห็นฉากแบบนี้อีกมากหน่อย เพื่อกู้ชื่อด้านความเท่ให้กับปรมาจารย์วังวสันต์ ไม่งั้นมันจะคอเมดี้มากไปนิดนึงน่ะครับ

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
บทที่ 12 เรื่องของหัวใจอย่าได้ปล่อยให้ค้างคาเรื้อรัง



หลังจากกำจัดมารทิวาม่วงเป็นอันเรียบร้อยแล้ว ข้าจึงใช้ร่างของเหล่ยเจิ้นยวี่โอบอุ้มศิษย์แซ่เส้าเอาไว้พร้อมกับเดินตามคนสกุลไป๋กลับไปยังเมืองเจี้ยนอีกครั้ง การเดินกลับครั้งนี้ช่างเป็นไปอย่างทุลักทุเลเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากหานเฉิงรุ่ยที่หมดสภาพไร้เรี่ยวแรงได้แต่เดินโซเซก็ขยันเอนตัวมาพิงข้าบ่อยยิ่งนัก กว่าจะลากคนทั้งสองเข้าประตูเมืองมาได้ ข้ารู้สึกเปลืองเรี่ยวแรงอยู่ไม่น้อย



ถึงจะห้าวหาญแข็งแกร่งมีกระดูกเซียนแน่นหนาเพียงใด ใบหน้าเฉยชาของไผ่หยกแห่งสกุลไป๋ก็ปรากฏร่องรอยความเหนื่อยล้าบ้างแล้ว เมื่อข้าเอ่ยปากจะไปหาห้องพักสำหรับคืนนี้ คนจึงมิได้เอ่ยปากว่าอันใด เพียงแค่ควักถุงเงินยัดใส่มือข้า จากนั้นจึงกล่าวว่าเขาจะมุ่งหน้าไปยังจวนเจ้าเมืองเสียก่อน อย่างไรเสียอีกสิบกว่าชีวิตที่ใกล้ตายอยู่ในเรือนร้างของมารทิวาม่วงก็ยังต้องได้รับการดูแลให้น้ำให้อาหารส่งคืนกลับบ้านอยู่ดี



คนกำชับข้าอยู่หลายประโยคว่าเสร็จธุระแล้วจะรีบกลับมา มิรู้ว่าหลงลืมไปหรือเปล่าว่าบัดนี้เหล่ยเจิ้นยวี่นั้นมิใช่เหล่ยเจิ้นยวี่คนเดิม หากแต่เป็นวิญญาณของเยี่ยอู๋จวินสิงร่างอยู่ แต่เห็นท่าทางรีบเร่งและอ่อนล้าข้าก็หยอกล้อเขาไม่ลง ได้แต่เอ่ยปากรับคำแต่โดยดี



มิรู้ว่าในเมืองเจี้ยนมีงานเทศกาลหรือมีสิ่งใดกัน ข้าเดินทุลักทุเลหาโรงเตี๊ยมอยู่ครู่หนึ่งจึงพบโรงเตี๊ยมที่มีห้องว่างสองห้องสำหรับบุรุษสี่คนพอดี เพียงเท่านี้คงเพียงพอแล้ว สภาพใกล้ตายของคนแซ่เส้าและท่าทางปลกเปลี้ยของหานเฉิงรุ่ย เวลานี้ยังจะเลือกมากนอนแยกห้องอีกหรือ



ข้าสั่งผู้คนไว้ว่าให้ไปแจ้งที่จวนเจ้าเมืองว่าคณะของท่านเซียนไป๋พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ จากนั้นจึงกำชับว่าพวกข้าต้องการความสงบ หากเกิดสิ่งใดอย่าได้มารบกวน แล้วจึงค่อยลากคนทั้งสองขึ้นห้องพัก ครั้นวางศิษย์แซ่เส้าลงบนเตียงก็รู้สึกถอดถอนใจอยู่บ้าง เพิ่งถ่ายทอดไอหยางให้ไป บัดนี้หยินมากหยางพร่องอีกแล้ว คนผู้นี้มิรู้ว่ามีโชคชะตาคราวเคราะห์บัดซบขนาดไหน ชีวิตจึงได้พบเจอเหตุการณ์อัปยศถึงสองวันติด ซ้ำครั้งล่าสุดมิรู้ว่าต้องทำเช่นไรจึงจะล้างความอับอายออกไปได้



คราวแรกข้ายังคิดว่าพยัคฆ์ขาวลายพาดกลอนตัวนั้นแท้จริงแล้วเป็นสัตว์อสูรที่มารทิวาม่วงใช้บังหน้า เมื่อสืบความดูให้ดีกลับพบว่าสัตว์หน้าขนตัวนั้นมีเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่ทำพันธะสัญญากับคนแซ่เส้าซึ่งตอนนี้กลับเข้าไปอยู่ในกำไลผนึกสัตว์เรียบร้อย หากพูดให้ชวนเจ็บปวดกว่าเดิมคือศิษย์จากยอดเขาอสูรคำรามผู้นี้ถูกสัตว์เลี้ยงของตนกระทำชำเราเสียแล้ว



หากมันสามารถบำเพ็ญเพียรก้าวหน้าจนได้ร่างมนุษย์ก็ดีไป อยู่ด้วยกันนานเข้าอาจมีจิตปฏิพัทธ์ได้ครองคู่ เหตุการณ์นั้นให้ถือเป็นเพียงทดลองร่วมหอลงโลงเพื่อทดสอบรสนิยมรักก็ยังได้ สมัยที่ข้าร่อนเร่ฝึกวิชาไปทั่วใต้หล้ายังเคยได้ยินเรื่องเล่าขานว่ามีเซียนบางคนชื่นชอบเรื่องราวเช่นนี้อยู่บ้าง คราวนั้นยังรู้สึกว่าแปลกใหม่พิกล แต่จะให้ลองเชยชมเห็นทีคงมิใช่รสนิยมข้า



“ผู้อาวุโสกำลังทำสิ่งใดกัน” หานเฉิงรุ่ยที่กินยาลูกกลอนเข้าไปจนกำลังวังชาดีขึ้นบ้างร้องเสียงดังลั่นเมื่อข้าปลดเปลื้องเสื้อผ้าของคนแซ่เส้าอีกครั้ง ครั้นมองเห็นร่องรอยรักบนร่างกายของศิษย์ผู้น้อง ใบหน้าหล่อเหลาก็พลันขึ้นสีระเรื่อขึ้นมาเสียอย่างนั้น



“ร่างกายศิษย์น้องของเจ้าถูกมารเสพสมถึงสองตน ถือว่ามีชะตาดึงดูดราคะเข้าแล้ว ยามนี้เพียงหยินมากหยางน้อย หากอาการอื่นมิรู้ว่าบุบสลายอย่างไร แต่พบเจอเหตุการณ์เช่นนี้กายใจย่อมมิอาจรักษาความบริสุทธิ์ได้เช่นเคย วันหน้าหนทางมรรคาเซียนของเขาอาจลำบากบ้างแล้ว”



ข้าพลิกตรวจร่างกายที่สลบไสลของคนสกุลเส้า จัดเสื้อผ้าคืนที่ให้อีกครั้งแล้วว่ากล่าวไปตามจริง ยามคนผู้นี้มีสติฟื้นขึ้นมายังไม่แน่ว่าจะสติวิปลาสหรือไม่ ซ้ำร่างกายแปดเปื้อนถึงเพียงนี้ หากไม่ขจัดกลิ่นอายมารที่ติดกายออกไปบ้าง ครั้นยามผ่านอัสนีสวรรค์อาจหนักหนาสาหัสได้จนเอาชีวิตไม่รอดได้ หรือหากเกิดจิตมารขึ้นมา จิตมารยิ่งเติบโตได้ง่ายดายยิ่งกว่าอะไร



“เรื่องของเส้าหมิงนั้นเป็นความผิดของข้าเอง” เด็กหนุ่มทรุดนั่งคุกเข่าอยู่ข้างหน้าเตียง หน้าตาเครียดขึ้งเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาที่มองผู้ที่สลบอยู่บนเตียงนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความรู้สึกเสียใจ “แรกเริ่มอาจารย์อาหลัวจากยอดเขาอสูรคำรามก็มิได้อยากให้เขาเข้าร่วมขบวนแต่อย่างไร เพียงแต่เขานึกเป็นห่วงข้าจึงได้ติดตามมาด้วย เคราะห์กรรมที่เกิดขึ้นนั้นนับว่าเป็นความผิดของข้าหลายส่วน จากนี้มิว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นข้าจะปกป้องดูแลเขาเอง”



“ในเมื่อเจ้าคิดดังนั้น ไยมิสละกายเจ้าใช้ตัวบำเพ็ญเพียรเคียงคู่” หานเฉิงรุ่ยเงยหน้าขึ้นสบตาคล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เสียแต่ว่าทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของข้าล้วนจริงจังไม่ได้ล้อเล่นแต่ประการใด คนจึงได้แต่นิ่งเงียบคล้ายว่ายังต้องใช้สมองครุ่นคิดการบางสิ่งอยู่บ้าง



การใช้กายบำเพ็ญเพียรเคียงคู่ย่อมเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาคิดตัดสินใจเป็นธรรมดา สาเหตุหนึ่งคือทั้งชีวิตคล้ายจะต้องผูกติดกับคนผู้หนึ่ง เหล่าผู้ฝึกเซียนที่แต่งงานมีสามีภรรยานั้นเป็นเรื่องปรกติ แต่จะให้บำเพ็ญเพียรร่วมกันถือว่าไม่ง่ายนัก หนทางการเป็นเซียนเพียงหนึ่งคนยังลำบากมากมาย แต่นี่สองคนย่อมต้องยากเย็นยิ่งกว่าเก่า หากถึงเวลาคนหนึ่งเหาะเหินขึ้นไปเป็นเซียนทิ้งอีกคนไว้เบื้องล่างก็ถือเป็นบาปกรรมแล้ว ส่วนมากผู้ที่บำเพ็ญเพียรร่วมกันจึงมักเป็นคู่เซียนระดับสูง หรือไม่ก็มั่นใจแล้วว่าชั่วชีวิตนี้มิอาจเป็นเซียนได้



“ร่างกายของเส้าหมิงยามนี้ได้รับพิษราคะจากไอมารมากเกินไปจนเข้าสู่จุดตันเถียน วิธีแก้คือต้องใช้กลีบดอกสัตตบุษย์น้ำค้างแข็งจากยอดเขาคุนหลุนมาปรุงโอสถถอนพิษชนิดหนึ่ง ตำรานั้นได้ยินว่าเจ้ายอดเขาทิพย์โอสถถือครองเอาไว้อยู่” สีหน้าของหานเฉิงรุ่ยดีขึ้นบ้างเมื่อได้ยินวิธีแก้พิษ แม้แต่ภัยอันตรายที่จะไปล่วงล้ำดินแดนของเจ้าแม่หวังหมู่ก็ยังไม่เกรงกลัว “แต่การไปเก็บดอกสัตตบุษย์น้ำค้างแข็งย่อมมิใช่เรื่องง่าย ซ้ำร่างกายเขาอาจเกิดอาการกำเริบ ห้าวันเจ็ดวันต้องหาบุรุษมาร่วมรักดูดซับพลังหยางเพื่อกดพิษไว้ในร่าง มิเช่นนั้นธาตุไฟจะเข้าแทรกถึงแก่ชีวิตได้”



คราวนี้ใบหน้าของเด็กหนุ่มถึงกับดูไม่ได้บ้างแล้ว เห็นท่าทางอึกอักตอบได้ไม่เต็มปาก ข้าก็พอเดาเรื่องราวบางอย่างได้บ้าง พอเหลือบมองดวงหน้าที่มิได้ขี้ริ้วอะไรของเส้าหมิง ซ้ำอนาคตจะยิ่งงดงามเย้ายวนมากขึ้น จึงอดสงสารอนาคตของเขาไม่ได้ ช่วยเหลือผู้คนตกทุกข์ได้ยากเช่นนี้ มิใช่ว่าเป็นหน้าที่ของผีที่ดีหรอกหรือ



“ในใจเจ้าคงมีผู้อื่นอยู่แล้ว” หานเฉิงรุ่ยนับว่าเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีอนาคตไกล ซ้ำยังมีสกุลหานหนุนหลัง องค์ประกอบล่อดอกท้อเช่นนี้มีหรือจะไม่มีเรื่องรักใคร่ของคนหนุ่มสาวเข้ามาเกี่ยวพัน หานเฉิงรุ่ยอยู่ยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ เส้าหมิงอยู่ยอดเขาอสูรคำราม คิดไปคิดมาข้าก็นึกถึงเรื่องราวขึ้นมาได้จึงได้เอ่ยวาจาบางอย่างออกไปเพิ่มเติม “คงมิใช่ว่าใจเจ้าผูกอยู่กับศิษย์จากยอดเขานภาไร้สรรพเสียงอีกคนกระมัง”



ดวงตาของหานเฉิงรุ่ยถึงกับเบิกกว้าง เขามองมาที่ข้าอย่างไม่เชื่อในสายตา “ความลับประการใดมิอาจปิดบังผู้อาวุโสได้เลยจริงๆ อันที่จริงข้ามิได้มีผู้ใดอยู่ในใจ หากสามปีก่อนข้าเคยมีสัญญาใจกับศิษย์พี่เหยาชื่อซิ่นจากยอดเขานภาไร้สรรพเสียงว่าจะอยู่เคียงข้างเขาในยามทุกข์และสุข แต่คราวนั้นก็สัญญากับศิษย์น้องเส้าไว้เช่นกันว่าจะคอยปกป้องดูแลเขา คราวนี้มิรู้ว่าต้องทำเช่นไรจึงจะไม่ผิดสัญญากับทั้งสองคน”



ได้ฟังแล้วก็อยากถอดถอนใจแรงๆ สักที ประวัติศาสตร์มีไว้ซ้ำรอยดีแท้ มิรู้ว่าคนจากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์มีปัญหาอันใดกับยอดเขาอสูรคำรามและยอดเขานภาไร้สรรพเสียงจึงมักมีปัญหารักสามเส้าวุ่นวายตัดมิขาดอย่างนี้อยู่เรื่อยไป คราวอาจารย์หญิงก็มิใช่ว่านางเลือกไม่ถูกระหว่างอาจารย์อาเหลียงและอาจารย์อาโจวจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมรัก คนหนึ่งตาย คนหนึ่งบ้า อีกคนสูญหายไปในยุทธภพหรอกหรือ เหล่าชนรุ่นหลังมิเคยรับรู้เรื่องราวของพวกอาจารย์บรรพบุรุษบ้างหรือไร ไยมิรู้จักเรียนรู้บทเรียนจากอดีต เหตุใดจึงได้กล้าเดินตามรอยเท้าถึงเพียงนี้



เวลานั้นยามที่ข้ายังเป็นศิษย์ของสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ ช่วงปีสุดท้ายข้าเองก็เคยยุ่งเกี่ยวกับศิษย์พี่ศิษย์น้องหญิงภายในสำนักอยู่หลายคนเพื่อฝึกวิชาวสันต์เริงร่า มองแล้วอาจคล้ายว่าข้าหลับนอนกับสตรีไม่เลือกหน้า อันที่จริงข้ามีกฎที่ตนวางเอาไว้อย่างเคร่งครัดอยู่ นอกจากผู้คนต้องสมยอมมิได้หวังจะมอบใจให้ข้าแล้ว ยังมีอีกข้อกฎนั้นคืออย่าได้ดำเนินตามรอยของอาจารย์เด็ดขาด หากเลือกยุ่งเกี่ยวกับคนจากยอดเขาอสูรคำรามแล้วอย่าได้ไปยุ่งเกี่ยวกับยอดเขานภาไร้สรรพเสียง



เหล่าศิษย์พี่น้องหญิงทั้งหลายนั้นจึงมาจากยอดเขากระบี่ร้อยรบ ยอดเขาอสูรคำราม ยอดเขาบุปผาโปรย ยอดเขาทิพย์โอสถ ยอดเขาปราการโลหิต แต่ไม่มียอดเขานภาไร้สรรพเสียงสักคน



จะว่าไปแล้วชื่อของเหยาชื่อซิ่นข้าก็รู้สึกคุ้นหูอยู่บ้าง คล้ายว่าเป็นญาติฝั่งมารดาของอาจารย์อาโจว เคยมาเยี่ยมเยียนนำของมาฝากให้อาจารย์หญิงอยู่บ้าง เมื่อตอนนั้นเขายังเป็นเพียงทารกอายุสี่ห้าปีก็มีนิสัยเสียเอาแต่ใจ ซ้ำยังมากด้วยเล่ห์กล เดี๋ยวเรียกเยี่ยอู๋จวินข้าจะเล่นอันนั้น เยี่ยอู๋จวินข้าจะกินอันนี้ พอไม่ตามใจก็ร้องไห้อาละวาดราวกับข้าไปทำร้ายบิดามารดามันเข้า สุดท้ายจบที่ข้าโดนอาจารย์หญิงลงโทษให้นั่งคุกเข่าอยู่หลายชั่วยาม ยามเด็กนิสัยเช่นนี้ โตมาไม่รู้ว่าจะกลายเป็นตัวร้ายกาจเพียงใด หานเฉิงรุ่ยซื่อบื้อถึงเพียงนั้นคงหลงกลคนเข้ากระมัง



“หากมิสามารถตัดสินใจเลือกใครได้ก็อย่าให้เรื่องราวยากเย็นยิ่งกว่าเดิม” ข้าเห็นท่าทางคิดไม่ตกของหานเฉิงรุ่ยก็รู้สึกเอือมระอาใจขึ้นมาแล้ว จึงอดสั่งสอนไปอีกหลายประโยคไม่ได้ “เรื้อรังไปมีแต่จะเป็นปัญหาไม่จบไม่สิ้น ยอมเป็นคนชั่วช้าผิดสัญญาทำร้ายจิตใจใครสักคนมิดีกว่าหรือ แม้แรกเริ่มจะเจ็บปวดใจอยู่มาก แต่วันเวลาผ่านไปย่อมมิรู้สึกอะไรอีกต่อไปแล้ว”



หานเฉิงรุ่ยมีสีหน้าย่ำแย่เสียยิ่งกว่าเดิม ข้ามองเข้าก็รู้สึกรำคาญใจมากกว่าเดิมจึงหมดอารมณ์จะพูดจา พอลุกขึ้นหวังจะกลับห้องพักของตนเอง เส้าหมิงที่สลบไสลก็ฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้ว เขาลืมตาขึ้นหันมองรอบข้างด้วยความตื่นตระหนก ครั้นเห็นใบหน้าของศิษย์พี่ขอบตาทั้งสองข้างก็แดงก่ำ



“ศิษย์พี่หาน...” เสียงแหบแห้งกล่าวขึ้นแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน พอหานเฉิงรุ่ยขยับเข้าไปประคอง หยดน้ำตาก็ร่วงเผาะเต็มสองแก้ม คนขยับตัวหลบหลีกเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายแตะต้องเนื้อตัว ท่าทางน่าสงสารคล้ายลูกกระต่ายตัวน้อยอย่างบอกไม่ถูก “ได้รับความอัปยศถึงเพียงนี้ ข้ามิอาจมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว”



ศิษย์พี่หานยังมิได้เอ่ยปากปลอบใจ นัยน์ตาของคนแซ่เส้าพลันปรากฏแววอำมหิตฉายวาบ ไม่รู้ว่านึกอะไรเข้าจึงดูมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้าง “แต่ตอนนี้ยังตายไม่ได้ ข้าจะต้องผ่าท้องเสี่ยวอวิ๋นถลกหนังมันไปทำเสื้อขน เนื้อและกระดูกที่เหลือต้องนำไปตุ๋นน้ำแกง จากนั้นตัดหัวมารสารเลวแล้วทำลายดวงจิตมัน”



แต่ไหนแต่ไรความแค้นก็เป็นสิ่งขับเคลื่อนชีวิตมนุษย์ปุถุชนอยู่แล้ว ถือว่าเส้าหมิงผู้นี้ยังใช้การได้อยู่บ้างที่หัดหาอะไรมารั้งชีวิตเอาไว้ เสียแต่ว่าบางครั้งควรจะให้คนอยู่กับความจริง ข้าจึงเอ่ยวาจาด้วยท่าทางเรียบเฉยยิ่งนัก “มารทิวาม่วงถูกจัดการไปแล้ว ส่วนพยัคฆ์ขาวตัวนั้นแต่เดิมก็เป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้า สัตว์อสูรระดับนั้นหากฆ่าตายไปจะหาใหม่มาทดแทนได้ง่ายดายหรือ”



สีหน้าของเส้าหมิงเป็นอย่างไรข้าคงไม่จำเป็นต้องอธิบายกระมัง สกุลเส้าในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรไม่นับว่าเป็นสกุลเซียนด้วยซ้ำ ตัวเขาเองก็พอมีความสามารถอยู่บ้างถึงได้รับพยัคฆ์ขาวลายพาดกลอนจากอาจารย์มาเป็นสัตว์เลี้ยงคู่กาย ต่อให้สมองของผู้คนใช้การไม่ได้อย่างไร ก็ควรจะรู้จักคิดไตร่ตรองได้อยู่ไม่น้อยว่าหากกระทำการวู่วามลงไปคงไม่เป็นการดีต่อทั้งชีวิตและครอบครัวแน่



“ผู้อาวุโสท่านนี้ช่วยพวกเราเอาไว้ตั้งแต่คราวมารราตรีชาด จนวันนี้คราวมารทิวาม่วงก็ตามอาจารย์ปู่มาช่วย” หานเฉิงรุ่ยช่วยเอ่ยแนะนำข้าและเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้ผู้เป็นศิษย์น้อง เขาคงมิรู้กระมังว่าแท้จริงแล้วร่างนี้มิใช่ร่างของข้า หากแต่เป็นคนหน้าตาคล้ายคลึงกันเท่านั้น ถึงข้าจะอายุมากกว่าเหล่ยเจิ้นยวี่สิบกว่าปี แต่ผู้บำเพ็ญเพียรถึงจุดหนึ่งจะสามารถรักษาความเยาว์วัยเอาไว้ได้ วิญญาณของข้าจึงดูเหมือนอายุไม่ต่างจากร่างนี้มากเท่าไรนัก กอปรกับเขามิเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเหล่ยเจิ้นยวี่มาก่อน คนจึงเข้าใจไปเองว่าเมื่อวานนั้นเป็นข้าถอดวิญญาณออกมา



เวลาเช่นนี้เส้าหมิงยังอุตส่าห์แสดงท่าทางสำนึกในบุญคุณได้ ก่อนที่เขาจะคุกเข่าโขกหัว ข้าก็โบกมือห้ามไปครั้งหนึ่ง ทั้งยังรีบบอกกล่าวเรื่องราวสำคัญให้กับเจ้าตัวได้รับรู้ “ร่างกายเจ้ายามนี้ได้รับพิษราคะ จำเป็นต้องใช้กลีบดอกสัตตบุษย์น้ำค้างแข็งมาปรุงโอสถถอนพิษ หากพิษนี้มิอาจบอกได้ว่าจะออกฤทธิ์เมื่อใด ทำได้เพียงกดอาการเอาไว้เท่านั้น”



“จะกดพิษเช่นไรได้” ยอดเขาคุนหลุนแม้จะมีภัยอันตรายมากมายเพียงใด แต่ก็ยังพอเดินทางไปเสาะหาของวิเศษได้ เส้าหมิงผู้นี้มีดีอยู่อย่างหนึ่งที่พอไม่คิดจะตายแล้วก็ไม่กลับไปอยากตายอีก ไม่รู้ว่าทำใจปลงตกได้หรือด้วยสาเหตุใด อาจเป็นเพราะหวนคิดถึงบ้านสกุลเส้าที่มิได้มีความเป็นอยู่สุขสบายนักก็เป็นได้



“ต้องร่วมรักกับบุรุษเพื่อใช้พลังหยาง หากคนเดียวหยางไม่พอก็ต้องใช้หลายคน กว่าจะถอนพิษได้ห้ามหลับนอนกับสตรีอีก ไอหยินเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้เจ้าจบสิ้นชีวิตได้” พอกล่าวจบ หยดน้ำตาเม็ดหนึ่งพลันกลิ้งลงมาจากหางตาของเส้าหมิง หานเฉิงรุ่ยยกมือขึ้นลูบหลังปลอบใจศิษย์น้อง หากจู่ๆ เนื้อตัวของคนแซ่เส้ากลับสั่นระริกขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ คนล้มตัวลงบนเตียงอีกครั้งก่อนจะดึงมือบุรุษอีกคนมากอดก่ายเอาไว้ ร่างกายพลันปรากฏกลิ่นหอมหวานคล้ายกลิ่นของมารราตรีชาดและมารทิวาม่วงผสมผสานกัน



“กะ...เกิดอะไรขึ้น” เส้าหมิงหอบหายใจพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงขาดห้วง สองแก้มแดงระเรื่อคล้ายคนมีพิษไข้ “เหตุใดข้าจึงรู้สึกร้อนรุ่มไปหมด”



พิษราคะช่างเลือกเวลาออกฤทธิ์ได้ดีนัก เร็วกว่านี้ก็ไม่ออกฤทธิ์ต้องรอให้ข้าสาธยายจนจบใจความสำคัญก่อน จะรอให้ช้ากว่านี้ก็ไม่ได้ ช่างเป็นพิษที่รู้จักเวลาดีแท้ ข้าเหลือบมองใบหน้าตื่นตระหนกของหานเฉิงรุ่ยด้วยหางตา กลิ่นกายจากเส้าหมิงแม้ไม่อาจมอมเมาผู้คนได้เทียบเท่ากับมารชั่วทั้งสอง แต่ก็ทำให้ผู้คนมึนงงได้ไม่น้อย



ข้าวางมือบนบ่าของศิษย์แซ่เส้า ใช้จังหวะที่เขายังมีสติบอกเล่าเรื่องราว “เวลานี้พิษออกฤทธิ์แล้ว ร่างกายเจ้าจะกระสันซ่านจนเกินพอดี หากเจ้าฝืนทนมิรับพลังหยางนานวันเข้าจะแย่เอาได้”



เส้าหมิงร้องแผ่วเบาคล้ายเสียงลูกแมว มิรู้ว่าตอบรับหรือว่าร้องครางประการใด หานเฉิงรุ่ยถึงกระตุกแขนเสื้อของข้าด้วยความร้อนใจอย่างยิ่ง “จะทำเช่นไรดีเล่า” จากนั้นปากก็ปากพร่ำเพ้อถ้อยคำออกมาจนข้าอยากซัดฝ่ามือใส่เขาสักที “ผู้อาวุโสคล้ายจะมีความรู้ความสามารถด้านนี้ยิ่งนัก หากท่านพลีกายสละธาตุหยางช่วยเหลือศิษย์น้องเส้า เรื่องราวคราวนี้ย่อมนับว่าสกุลหานติดค้างหนี้น้ำใจท่าน”



ผายลมแล้วเจ้าคนสกุลหาน เวลานี้ถึงกลับยกหนี้น้ำใจมาพูด สกุลหานบ้านเจ้าใหญ่โตเพียงใด ก็คงมิใหญ่โตสู้สกุลเยี่ยแห่งเจียงหนานที่มีมารดาทั้งห้าเป็นอดีตห้ายอดดรุณีแห่งยุคของข้ากระมัง ที่สำคัญกว่านั้นอำนาจชาติสกุลใช่สิ่งที่ข้าต้องการไม่ หากข้ายึดถือสิ่งเหล่านั้นเป็นสรณะจริง คงไม่ออกจากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ทั้งที่ตนเป็นผู้สืบทอดของอาจารย์หญิง ออกจากตระกูลทั้งที่ตนเป็นบุตรชายคนโต และร่อนเร่ไปทั่วเหนือใต้ตั้งแต่อายุสิบหกสิบเจ็ดเป็นแน่



คนอย่างเยี่ยอู๋จวินแท้จริงแล้วมิใช่คนไร้น้ำใจ การปราบมารราตรีชาดที่ผ่านมาข้าได้พลังหยางมามากมายก็จริง แต่ได้แบ่งให้เส้าหมิงส่วนหนึ่ง ส่วนที่มากพอจะทำให้ร่างกายเขาเต็มเปี่ยมด้วยหยางสามารถฝึกวิชาได้ก้าวหน้าโดดเด่น หลังจากนั้นยังแบ่งพลังอีกส่วนไปช่วยรั้งไป๋เจี๋ยจากมนต์ปลุกกำหนัดของมารทิวาม่วงอีก มารชั่วสิ้นสูญไอหยางสักเศษเสี้ยวก็ไม่เหลือให้ข้าดูดซับ หากจะให้ข้าต้องสละธาตุหยางอีก มิใช่ว่าข้าปรมาจารย์วังวสันต์ผู้นี้นอกจากจะไม่ได้กำไรแล้วยังจะขาดทุนย่อยยับอีกหรือ



“เจ้าเองก็มีธาตุหยางแข็งแกร่งมิใช่หรือ” มิเช่นนั้นจะถูกจับตัวไปเป็นเตาหลอมถึงสองครั้งสองคราได้อย่างไร ซ้ำยังเป็นเตาหลอมที่มารชั่วตั้งใจจะใช้ท้ายสุดอีก มีของดีอยู่กับตัวไยไม่ใช้งานเล่า หากแต่เรื่องเหล่านี้เห็นทีไม่ควรจะพูดกล่าวออกไป ข้าจึงดึงสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจของเขาออกมาพูดแทน “หรือจะกล่าวว่าส่วนหนึ่งของใจเจ้าไม่มีเศษเสี้ยวของเส้าหมิงอยู่สักนิด”



ได้ยินอย่างนี้มีหรือที่คนจะไม่หยุดชะงัก หากแต่ข้าเริ่มรำคาญอาการท่ามากของหานเฉิงรุ่ยแล้วจึงโน้มลำตัวเข้าหาคนแซ่เส้าเล็กน้อย ใช้ปลายนิ้วดีดที่หน้าผากแรงๆ เรียกสติคนให้กลับมา “เจ้ายังมีสติดีอยู่หรือไม่ หากทนมิไหวจริงๆ ก็ปล่อยเจ้าสัตว์หน้าขนเสี่ยวอวิ๋นออกมาเถิด อย่างน้อยเจ้าเป็นเจ้านาย มันคงปรนเปรอเจ้าได้บ้าง”



“ผู้อาวุโสใจเย็นก่อน” หานเฉิงรุ่ยรีบเข้ามาขวางก่อนที่ศิษย์น้องของเขาจะเรียกสัตว์อสูรตัวนั้นออกมาสมสู่ด้วยจริงๆ สีหน้าร้อนรนของคนยามนี้สมควรจะส่งกระจกสำริดให้เขาส่องหน้าตนเองเป็นอย่างยิ่ง “ความบริสุทธิ์ของข้าย่อมสามารถสละให้ศิษย์น้องได้”



เสียใจด้วยความบริสุทธิ์ของเจ้ามิได้หลงเหลืออยู่อีกต่อไป เพราะถูกข้าทำลายไปพร้อมกับมารราตรีชาดเสียแล้ว เห็นเขาตัดสินใจขึ้นมาได้แล้วข้าก็อดเอ่ยถามไม่ได้ “แล้วเหยาชื่อซิ่นเล่า”



“เรื่องของศิษย์พี่ยังพูดคุยกันภายหลังได้” คนแซ่หานเหลือบมองร่างที่เริ่มบิดเร้าด้วยความร้อนเร่าอยู่บนพื้นเตียง เส้าหมิงยามนี้ครางกระเส่าขยับกายเสียดสีตนกับพื้นเตียง แต่คงมิอาจทุเลาความกำหนัดลงได้ “ยามนี้ศิษย์น้องเส้ามิใช่ว่ากำลังทรมานมากอยู่หรอกหรือ”



เห็นทีคราวนี้เรื่องราวคงจะยิ่งพัวพันไปกันใหญ่ หากผู้อื่นยินยอม หานเฉิงรุ่ยคงได้มีภรรยาซ้ายขวาเป็นบุรุษจากยอดเขาอสูรคำรามและยอดเขานภาไร้สรรพเสียงแล้ว ใต้หล้านี้เจ้าจะเป็นต้วนซิ่วก็เป็นไปเถิด ใครจะทำสิ่งใดได้นอกจากติฉินนินทา แต่มิรู้ว่าเหยาชื่อซิ่นผู้นั้นจะอาละวาดประการใดบ้าง เส้าหมิงจะรับมือเช่นไรก็ยังไม่รู้ ยิ่งหากวันหนึ่งพยัคฆ์ขาวลายพาดกลอนเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้สำเร็จแล้วหวังอยากเสพสมรสรักจากเจ้านายแย่งชิงตัวคนอื่น ความสัมพันธ์สี่เส้าบัดซบคงได้กลายเป็นเรื่องสนุกสนานให้ชนรุ่นหลังได้รับชมกันอีกแล้วกระมัง



เรื่องราววุ่นวายในอนาคตของพวกเขาย่อมมิใช่เรื่องของข้า หานเฉิงรุ่ยไม่รู้จักจัดการความสัมพันธ์ของตนเอง วันหนึ่งต้องพบเจอเรื่องลำบากจะสมน้ำหน้ากันก็ไม่ผิดแล้ว เวลานี้ควรปล่อยให้เขาทั้งสองได้ใช้เวลาร่วมกัน อีกทั้งข้าเองก็มีเรื่องราวของตนที่จะต้องจัดการอยู่เหมือนกัน “เช่นนั้นก็ลงมือเสียเถิด ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว”



“ผู้อาวุโส...” หานเฉิงรุ่ยกล่าวเสียงอ่อย ซ้ำยังดึงแขนเสื้อข้าเอาไว้ไม่ให้ไปไหน หน้าตาหล่อเหลาเต็มไปด้วยความหนักใจ พอเห็นแววตาเย็นชาของข้า คนจึงรีบละล่ำละลักบอก “ข้ามิรู้ว่าจะต้องทำเช่นไรบ้าง กลัวผิดพลาดขึ้นมาแล้วอาการของศิษย์น้องเส้าจะหนักหนายิ่งกว่าเดิม”



มิได้เกิดและเติบโตอยู่ในอารามชีหรือสำนักสงฆ์จะไม่รู้ความเลยสักนิดก็คงจะเกินไปแล้ว เรื่องพรรค์นี้มิใช่ว่าทำเป็นตามธรรมชาติหรอกหรือ อายุอานามขนาดนี้แล้วอย่างน้อยก็ควรจะเห็นตำราสอนรักบ้าง “มิเคยอ่านหนังสือวังวสันต์บ้างหรือไร”



“เคยเห็นศิษย์จากยอดเขาอื่นอ่านผลงานของปรมาจารย์วังวสันต์ หากแต่ยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ห้ามนำหนังสือวังวสันต์เข้ามาเป็นอันขาด โดยเฉพาะตำราของท่านเยี่ยอู๋จวินถือว่าเป็นของต้องห้าม”



คงเป็นฝีมือของไป๋เจี๋ยกระมังที่ออกกฎข้อห้ามเช่นนั้นไว้ ท่านเยี่ยอู๋จวินที่ว่าได้ยินแล้วก็รู้สึกสงสารเขาอยู่บ้าง สุดท้ายจึงสลัดมือเขาออกแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เฉยชาอยู่เจ็ดส่วนเห็นใจอยู่สามส่วน



“ปลดเสื้อผ้าออกเสีย อย่าได้ชักช้าเสียเวลาไป”



โปรดติดตามตอนต่อไป...


************

ซินเอ๋อร์:

ขอบคุณขาประจำทุกท่านที่ติดตามนะคะ และขอบคุณคอมเมนท์ของคุณ Grey Twilight มากเลยค่ะ ไม่เคยได้รับคอมเมนท์ยาวๆ แบบนี้เลย ขอบคุณสำหรับคำชมมากๆ ซินเอ๋อร์ดีใจมากเลยค่ะที่คุณ Grey Twilight อ่านและวิเคราะห์เนื้อเรื่องได้ละเอียดมากๆ สิ่งที่ดีใจที่สุดคือปมหลายอย่างที่โยนทิ้งไว้มีคนสังเกตเห็นด้วย ปรกติไม่มีใครทักเลยค่ะ จนแอบคิดว่า เอ๊ะ หรือจะไม่มีใครเห็นปมพวกนี้นะ

ตอนแรกที่เริ่มเขียน เริ่มเขียนด้วยความคึกมีพล็อตคร่าวๆ แค่พระเอกเป็นผีลามกไปทั่วและหาเรื่องหนีกิ๊กเก่า สังเกตได้จากตอนแรกๆ ที่รายละเอียดปมอะไรจะยังไม่ได้มากมาย เขียนไปเขียนมาก็เริ่มหาเหตุผลมาใส่ให้เนื้อเรื่องเรื่อยๆ เพื่อให้เรื่องสมเหตุสมผลและสอดคล้องกับที่เขียนเอาไว้แรกสุดให้มากสุดเท่าที่จะทำได้ จนกลายเป็นว่ามีเนื้อเรื่องขึ้นมา จริงๆ แอบกังวลว่าจะทำให้คนอ่านหายด้วยหรือเปล่า แต่ถ้าไปไกลได้ถึงนิยายโรแมนติกคอมเมดี้ที่อ่านเพลินๆ สนุกๆ ได้จริงก็คงดีค่ะ สำหรับข้อแนะนำจะลองปรับปรุงแก้ไขดูนะคะะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
การมีเนื้อเรื่องไม่ทำให้คนอ่านลดลงหรอกครับผม จะทำให้มากขึ้นเสียด้วยซ้ำ อย่าสับสนกับพวกนวนิยายปกขาวประโลมโลกนะครับ อันนั้นน่ะเน้นแต่ฉากเพศสัมพันธ์จนไม่มีอะไรเลย อ่านระบายอารมณ์ไป คุณค่าวรรณกรรมจะไม่ค่อยมีครับ แต่เรื่องนี้มีเนื้อเรื่อง มีปม แถมพระเอกมีคาแรกเตอร์น่าสนใจขนาดนี้ (ขี้เล่น + เจ้าสำราญ + มีความเท่เย็นชาบ้าง) มันมีอนาคตครับผม

เดี๋ยวเราจะได้เห็นฝีมือการเทรนลูกศิษย์คนที่สองของปรมาจารย์วังวสันต์แล้ววว (ฮา) ดูท่าคนนี้จะมีพละกำลังน้ำอดน้ำทนมากกว่าน้องหมูน้อยคนที่แล้วอยู่โขนะครับ ยังไม่นับเครื่องเพศที่ก็น่าจะพอใช้ได้ (ไม่อยากอวยของผีพระเอก ยังไม่เคยเห็นฉากบรรยาย  :laugh: :laugh: ) รับรองไปได้โลด แต่ท่านอาจารย์อาจต้องสอนวิชาสามคนเริงร่าบนเตียงไว้ด้วย เพราะดูท่าแล้วลูกศิษย์คนที่สองของท่านเยี่ยต้องได้ใช้แน่ในอนาคต (ฮา) ส่วนท่านไป๋นี่ท่าทางซึนอาฆาต โดนพิษท่านพี่ทิ้งไปนิดเดียว ถึงขั้นแบนตำราทั้งสำนัก แถมยิ่งถ้าเป็นตำราท่านพี่นี่มีห้ามเด็ดขาด เจอแล้วเผาแน่ๆ แสดงว่าของในนั้นมันอันตรายมากเลยเรอะ เป็นวิชาสอนรักที่เค้าเคยสอนท่านไป๋รึเปล่า  :m20: :m20:

ลืมบอกไปในคอมเมนท์ที่แล้ว ผมคิดว่าความสามารถการเขียนลักษณะฉากเพศสัมพันธ์ของผู้เขียนทำได้ดีเลยนะครับ ไม่โจ่งแจ้งและไม่เล้าหลือเกินไป ให้อารมณ์สวยงามและชัดเจน สังเกตง่ายๆเลยคือตรงบรรยายฉากที่เข้าไปเจอมารทิวาม่วงที่เห็น Exhibitionism (Public Sex) และฉากร่วมสัมพันธ์แบบ Beastiality ผมอ่านแล้วไม่รู้สึกว่ามันผิดแปลกหรือขยะแขยง แต่มันลื่นไหลเหมือนกับเราอ่านฉากบรรยายทั่วไปครับ ฉากที่เห็นซากบุรุษที่ถูกรีดพลังหยางร่วมประเวณีก็ให้ความรู้สึกน่ากลัวและสะอิดสะเอียนตรงตามสิ่งที่สื่อ เช่นเดียวกับฉาก Beastiality ที่ให้ความรู้สึกน่าหวาดๆเล็กน้อยตามการบรรยายรูปร่างพยัคฆ์ขาวลายพาดกลอน ก็ทำออกมาได้ตรงตามจุดประสงค์

นั่นแปลว่าผู้เขียนสามารถบรรยายฉากเพศสัมพันธ์แบบนี้ได้ออกมาละเมียดละไมและลื่นไหลต่ออารมณ์ผู้อ่าน โดยที่คงธีมของเนื้อเรื่องไว้ได้ (จีนโบราณ) มันเป็นสกิลที่ดีนะครับ และหายาก ดังนั้น ด้วยทักษะแบบนี้ ผมเลยจะบอกว่าการร่วมสัมพันธ์แบบแปลกๆอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Bondage, Deep throat, Masturbation, etc. ที่น่าจะเป็นอีเวนต์ซึ่งตรงตามธีมของท่านพระเอกลามกของเราด้วย (ฮา) ผู้เขียนก็น่าจะทำออกมาได้ดีแบบนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น คำเตือนที่เขียนไว้ สำหรับผมมันไม่จำเป็นเลยนะครับ เพราะฉากนั้นคุณทำออกมาได้ดีครับ อันนี้ขอชม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-10-2019 16:50:21 โดย Grey Twilight »

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nizxx

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เรื่องนี้สนุกมากเลยค่ะ ยิ่งอ่านยิ่งติดตาม ทำไปทำมาว่าที่เซียนลามกดูจะไปไหนไม่ได้เสียแล้ว ศิษย์คนนั้นจริงๆไม่ได้เป็นลูกของพี่เยี่ยกับน้องไป๋หรอ แต่คือคงเป็นไปได้ยากที่จะมีลูกกัน แต่ได้หน้าตาทั้งคู่มาเลยแฮะ ความสัมพันธ์ยุ่งเหยิงขึ้นทุกที เข้าใจที่พี่เยี่ยนังไม่รักใครเลย อาจจะมีส่วนลึกๆที่ยังมีใจให้น้องไป๋อยู่แต่วิธีการฝึกตนของอีพี่มันต้องใช้เซ็กส์อะถ้ามีความสัมพันธ์กับใครเป็นจริงจังคงจะหาทางฝึกตนไม่ได้เลย

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
วางท่าเสียมากมาย ใช่ว่ายางอายเจ้าจะมี



หานเฉิงรุ่ยถอดเสื้อผ้าถอดบนเสร็จกลับเหลือท่อนล่างเอาไว้ไม่รู้ว่าด้วยเขินอายหรืออะไรกันแน่ เวลานี้คนยังมีหน้ามาอายผีอย่างข้าอีกหรือ ข้าเคยยึดครองร่างกายเคยใช้งานแท่งหยกของเขาถึงหลายบทเพลงรัก เห็นทะลุปรุโปร่งมาหมดแล้วกระมัง หากเขายังอยากใส่กางเกงอยู่ก็ปล่อยเขาเถิด เดี๋ยวคนใกล้จะได้รู้ว่าสุดท้ายแล้วเมื่อทนความต้องการไม่ไหว ถึงหน้าบางเพียงไหน ยางอายกลับหายสิ้นอยู่ดี



“ถอดเสื้อผ้าของศิษย์น้องเจ้าออกให้หมดเสีย” สิ้นเสียงคำสั่งคนแซ่หานพลันหันกลับมามองข้าด้วยสายตาโง่งม คล้ายต้องการขอความช่วยเหลือ เส้าหมิงช่างรู้จักเวลาได้ดียิ่งนัก เด็กหนุ่มเริ่มรั้งสาบเสื้อตนเองออก ทั้งยังเริ่มดึงทึ้งกางเกงเสียจนหมดสภาพ ศิษย์พี่ของเขาไม่อยากเอื้อมมือไปเปลื้องผ้าเพียงใด หากคิดอยากให้เขาได้มีเสื้อผ้าใส่ในวันพรุ่งนี้อยู่ก็ต้องเข้าไปช่วยถอดเสียแล้ว



ศิษย์จากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ยอมปีนขึ้นเตียงแล้ว ถือว่าหลอกล่อคนได้ประการหนึ่ง การปลดเปลื้องเสื้อผ้าของคนที่ตกอยู่ภายใต้พิษราคะเป็นไปด้วยความราบรื่นยิ่งนัก ยามเมื่อฝ่ามือและปลายนิ้วของหานเฉิงรุ่ยสัมผัสโดนส่วนใด ร่างกายที่ไม่นับว่าแบบบางก็สะท้านขึ้นตามฝ่ามือคล้ายเรียกร้องให้นิ้วเรียวลูบผ่านผิวกายเขามากยิ่งกว่าเดิม คราวนี้ใบหน้าหล่อเหลาของคนสกุลหานขึ้นสีแดงระเรื่อขึ้นมา นัยน์ตาปรากฏหยดน้ำฉ่ำวาว ภายในใจคงปั่นป่วนเข้าแล้ว



“ศิษย์พี่...ข้าร้อนไปหมด” คนแซ่เส้ารั้งมือหนาไปกอดแนบลำตัว ซ้ำยังใช้แรงบังคับให้ศิษย์พี่ลากฝ่ามือไปตามแผ่นอกขาวที่ปรากฏร่องรอยรักไปทั่ว หานเฉิงรุ่ยหันกลับมามองข้าคล้ายเป็นทารกน้อยที่รอคอยคำสั่งจากบิดามารดา ข้าเห็นดังนั้นจึงขยับเข้าไปใกล้ กระซิบข้างใบหูคนก่อนจะเป่าลมร้อนเข้าไปเพื่อหยอกเย้าคนเล่น



“แม้ยามนี้ศิษย์น้องของเจ้าจะมีอารมณ์เต็มเปี่ยม หากวิธีการปลุกเร้าก็สมควรเรียนรู้เอาไว้ จุดอ่อนไหวบนร่างกายของบุรุษแท้จริงแล้วมิได้ต่างจากสตรีเท่าไรนัก” ข้าขบกัดติ่งหูของหานเฉิงรุ่ยอย่างแผ่วเบาทั้งยังแตะปลายลิ้นเลียซ้ำดั่งแมลงปอแตะผิวน้ำ ลมหายใจของเขาพลันกระตุกเล็กน้อย ท่าทางโง่งมดีแท้ “อย่างเช่นติ่งหู ใบหู ยอดอก มิใช่ว่าต้องปลุกเร้าเพียงเครื่องเพศเท่านั้น”



ข้าเอื้อมมือข้างหนึ่งไปหาร่างท่อนบนของคนแซ่เส้า ก่อนสะกิดปลายเล็บตัดสั้นเป็นระเบียบลงบนปุ่มนูนสีแดงจัดที่ชูชันขึ้นตามแรงตัณหา เส้าหมิงครางฮือในลำคอด้วยเสียงแผ่วเบา ดวงตาคู่นั้นฉายแววพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง หานเฉิงรุ่ยเป็นนักเรียนที่ดีนัก คนขยับปลายนิ้วเลียนแบบข้า จากนั้นจึงบีบเคล้นยอดอกอีกข้างเพื่อกระตุ้นศิษย์น้องยิ่งกว่าเดิม เค้นคลึงไปมาอยู่ได้ครู่หนึ่งพลันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้ข้าใช้ริมฝีปากหยอกเย้าใบหูของเขาเล่น ศิษย์ผู้สูงส่งจากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์คราวนี้โน้มลำตัวลงต่ำ กลีบปากหยักไล่ขบเม้มไปตามติ่งเนื้ออย่างแผ่วเบา ซ้ำยังรู้จักดูดดุนปรนเปรอ หนทางของการเข้าสู่มรรคาราคะสดใสดีแท้



ส่วนกลางร่างกายของเส้าหมิงคราวนี้ฉ่ำเยิ้มเพียงใดคงมิต้องเสียเวลาอธิบายกันต่อไปแล้ว ข้านั่งลงที่ขอบเตียงเคียงข้างกับหานเฉิงรุ่ย จับมือเขาขยับลากไล้ไปตามหน้าท้องที่มีมัดกล้ามเบาบางของร่างที่อยู่ด้านใต้ เกลี่ยปลายนิ้วหยอกล้อกับหน้าท้องและสะดือ จวบจนถึงจุดที่สำคัญที่สุดของบุรุษเพศทุกคน แรกเริ่มเด็กหนุ่มยังขยับมือกอบกุมอย่างเก้กัง แต่เมื่อคนแซ่เส้าปล่อยเสียงครวญครางเปี่ยมสุข คนพลันได้รับขวัญกำลังใจขยับมือถี่กระชั้นจนหยดน้ำตาเอ่อคลอที่หางตาอีกฝ่ายด้วยความสุขสม



“อะ อ๊า ศิษย์พี่...ข้าไม่ไหว” เสียงหวานพร่ำเรียกหาศิษย์พี่ไม่หยุด ร่างเพรียวบิดเร้าด้วยความรัญจวนใจก่อนสายธารแห่งความสุขสมจะไหลรินเต็มฝ่ามือของหานเฉิงรุ่ย ได้ปลดเปลื้องอารมณ์ตัณหาครั้งหนึ่ง เส้าหมิงคล้ายมีสติขึ้นมาเล็กน้อย แววตาจากเลื่อนลอยกลับมามีจุดหมายอีกครั้ง หากยามนี้มาถึงเวลาสำคัญ เขาจะกล่าววาจาขัดขวางอันใดคงไม่ทันแล้วกระมัง ข้าจับเข่าทั้งสองข้างของร่างที่อยู่ทางใต้แยกกว้างออกจากกัน เผยให้เห็นส่วนเร้นลับที่ช่วยบรรเทาอาการกระสันซ่านของเขาได้ดีที่สุด



“ตะ...ต้องทำสิ่งใดต่อเล่า” ตัวซื่อบื้อเหลือบมองตามรอยพับจีบซึ่งบวมแดงจากการสอดแทรกอันแสนทารุณที่ผ่านมา เส้าหมิงที่ได้ยินทั้งใบหน้าใบหูต่างขึ้นสีแดงจัด คนบิดลำตัวหวังยกสะโพกหนีท่วงท่าอันแสนน่าอาย หากถูกข้ากดรั้งให้ร่างแนบติดอยู่กับพื้นเตียงเสียก่อน เสร็จสมเพียงรอบเดียวแต่ยังมิได้รับธาตุหยางเข้าร่าง พิษที่ออกฤทธิ์อยู่จึงมิอาจนับว่าทุเลาได้



“ส่วนนี้ย่อมเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการช่วยถ่ายธาตุหยาง แรกเริ่มเจ้ายังไม่รู้จักควบคุมพลัง เพียงร่วมรักและปลดปล่อยภายในร่างเขาก็ถือว่าใช้ได้แล้ว” หลักการนี้คล้ายกับมารราตรีชาดที่สูบหยางจากเหล่าชายหนุ่มทั้งหลาย หานเฉิงรุ่ยมิได้เชี่ยวชาญด้านหยินหยางเช่นข้า หากทำอะไรมั่วซั่วย่อมเป็นอันตรายต่อผู้คนได้ “ช่องทางนี้ต้องขยับขยายให้ดีเสียก่อน หากฝืนสอดใส่เข้าไปจะสร้างความเจ็บปวดให้เขามากกว่าสุขสันต์”



หานเฉิงรุ่ยพยักหน้ารับฟังอย่างตั้งใจยิ่งนัก คนมิเคยมีประสบการณ์เรื่องนี้มาก่อน ได้พบเรือนร่างที่เปี่ยมไปด้วยความต้องการและให้ความร่วมมืออย่างดียิ่งเช่นนี้ ยิ่งทำให้รู้สึกแปลกใหม่น่าสนใจอยู่มาก ข้าอธิบายเพิ่มเติมให้เขาหัดหาขี้ผึ้งสักกระปุกเอาไว้ใช้ยามหลับนอนกับผู้อื่น ยามนี้คับขันหาสิ่งใดไม่ได้จริงๆ ก็ยังใช้หยาดน้ำที่เส้าหมิงเพิ่งปลดปล่อยมาเมื่อครู่แทนไปก่อนยังมิน่าเกลียดมากนัก



ปลายนิ้วของคนแซ่หานที่ชุ่มฉ่ำแตะกับปากทางอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันกลับมาถามข้าคล้ายเด็กน้อยผู้หนึ่ง “ผู้อาวุโส...เหตุใดเขาจึงกระตุกเช่นนั้น”



นิ้วเรียวค่อยขยับชำแรกเข้าไปตามช่องทางที่บวมแดงเล็กน้อย เรือนร่างเพรียวสั่นสะท้านเสียยิ่งกว่าเดิม คนได้แต่อ้าปากร้องครวญครางอย่างมิอาจคิดหาคำพูดอื่นใดมาพูดได้ ข้าเห็นแล้วจึงแย้มยิ้มบาง หันไปบอกหานเฉิงรุ่ยด้วยความปรานียิ่ง “ร่างกายเขายิ่งกระสันทรมานมากขึ้นแล้ว เจ้าจงช่วยคลายความปรารถนานั้นเถิด”



“นี่คล้ายดูดกลืนนิ้วข้าเสียหมดสิ้น” หานเฉิงรุ่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก ปลายนิ้วยิ่งสอดลึกเข้าไปในร่องหลืบนั้นยิ่งขึ้น มิต้องรอให้ข้าสอนสั่งเพิ่มคนก็เริ่มขยับนิ้วเสียดสีกับช่องทางนั้น จากนิ้วแรกค่อยเพิ่มจำนวนไปเรื่อยจนถึงนิ้วที่สาม เพียงไม่นานเส้าหมิงก็หวีดร้องเสียงดังขึ้น เกรงว่าศิษย์ผู้พี่ของเขาคงแตะโดนจุดกระสันภายในเสียแล้ว



“ศิษย์พี่ตรงนั้น...อย่า อื้อ! ” เสียงร้องหวานฉ่ำถึงจะเอ่ยห้ามแต่แฝงแววออดอ้อนอยู่ถึงสองส่วน ได้ยินเช่นนี้มีหรือที่ผู้คนจะหยุดมือได้ คนแซ่หานยิ่งเร่งกดกระแทกปลายนิ้วเข้ากับจุดเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนร่างกายของเส้าหมิงบิดเร้ารัญจวนใจเป็นอย่างมาก เจ้าเด็กผู้นี้ไม่ทันไรก็รู้จักรังแกผู้คนเสียแล้ว ดูหน้าตาของศิษย์น้องเจ้าบ้างเถิด ยามนี้เขาทั้งสุขสมทั้งกระวนกระวาย หากมิเร่งรีบเติมเต็มความปรารถนา มิรู้ว่าธาตุไฟจะเข้าแทรกถึงตายหรือไม่



“จากนั้นควรทำเช่นไรต่อ”



มาถึงขั้นนี้แล้วยังต้องถามอีกหรือ ข้าชักสงสัยในการเลี้ยงดูของสกุลหานมากขึ้นทุกที ข้าอายุสิบเอ็ดสิบสองก็รู้แล้วกระมังว่าเรื่องร่วมรักโรมรันบนเตียงนั้นเป็นเช่นไร



“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้างเล่า” ข้าหรี่ตามองเจ้าตัวโง่งมแซ่หานด้วยสายตาขบขัน เบื้องล่างแข็งขืนจนดุดันเนื้อผ้าเสียขนาดนั้น เขาเองคงใกล้จะหมดความอดทนแล้วกระมัง



“ข้า...ข้า...ข้า” เจ้าหนุ่มที่ยังคิดว่าตนเองบริสุทธิ์อยู่กล่าวอ้ำอึ้ง ดวงหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อคล้ายยังละอายใจท่ามากอยู่บ้าง หากปลายนิ้วกลับมิเขินอายตามผู้คน เขายังคงเสียดสีปลายนิ้วบดเบียดกับช่องทางที่มิรู้จักพอของศิษย์จากยอดเขาอสูรคำรามอย่างต่อเนื่อง กระนั้นประโยคต่อมายังกล่าวได้เหนียมอายสมดั่งสตรีในห้องหอ “ตรงนั้น...ปวดหนึบไปหมดแล้ว”



“คงรู้แล้วกระมังว่าควรทำเช่นไร”



หานเฉิงรุ่ยพยักหน้าตอบรับทั้งที่ยังเม้มริมฝีปากตีหน้าขวยเขินอยู่ คนรีบกระชากปลายนิ้วออกและปลดสายคาดเอวรวมทั้งกางเกงตัวนอกตัวในออกโยนทิ้งไปอย่างรวดเร็ว หลืบร่องรักของเส้าหมิงยิ่งกระตุกถี่กระชั้นราวกับต้องการบางสิ่งมาเติมเต็ม ดวงตายามมองข้าช่างหวานเยิ้มเปี่ยมไปด้วยตัณหา แต่สายตาที่ส่งคนแซ่หานให้กลับพบเจอความรักความหลงใหลอยู่หลายส่วน แม้ความเป็นจริงจะโหดร้ายที่ว่าภายใต้แรงราคะขอเพียงมีแท่งหยกมิว่าบุรุษคนใดคงเหมือนกัน แต่ภายในใจของเขาศิษย์พี่ต่างยอดเขาไม่ว่าอย่างไรก็ยึดครองอันดับหนึ่งเอาไว้แล้ว



“อึก...ศิษย์พี่หาน ท่าน...อ๊า” เส้าหมิงหวีดร้องเสียงหวานเมื่ออีกฝ่ายสอดแทรกส่วนปลายแก่นกายเข้าไปภายใน ศิษย์พี่หานของเขาเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น เกรงว่าใจหนึ่งคงอย่างทะนุถนอมอ่อนโยน แต่สัญชาตญาณภายในคงร้องขัดแย้งให้กระทำการรุนแรงขึ้น เม็ดเหงื่อผุดพรายตามหน้าผากและไรผมของหานเฉิงรุ่ย คนกดแทรกท่อนลำที่แข็งแกร่งเข้าไปจนเกือบสุดความยาวจากนั้นทั้งสองต่างหลุดถอนหายใจให้กับความสุขสมอันเกิดขึ้น



ตัวซื่อบื้อแซ่หานใช้สองมือจับประคองบั้นเอวของอีกฝ่ายไว้ก่อนจะเริ่มขยับกายเข้าออกข่องทางรักอย่างเนิบนาบแล้วค่อยทวีความเร็วขึ้นทุกขณะ เรียวขาทั้งสองข้างของศิษย์แซ่เส้าอ้าออกกว้างเสียจนผิดธรรมชาติ สะโพกหยัดขึ้นสูงรองรับทุกแรงกระทำของศิษย์พี่เป็นอย่างดี



“ศิษย์พี่แรงๆ อื้อ! ...แรงอีก! ” เด็กหนุ่มผู้อยู่เบื้องล่างร้องขออย่างลืมอาย สองมือจิกทึ้งผ้าปูเตียงตามอารมณ์หฤหรรษ์ที่เพิ่มขึ้นมากทุกที ได้รับขวัญกำลังใจเพียงนี้ผู้ที่เพิ่งเรียนรู้บทรักเป็นครั้งแรกก็ยิ่งได้ใจ หานเฉิงรุ่ยกระทั้นแก่นกายรุนแรงขึ้นเสียจนร่างกายของเส้าหมิงสั่นคลอน ซ้ำยังจงใจขยับถูไถกับปุ่มอ่อนไหวภายในเรียกเสียงร้องกระเส่าหาศิษย์พี่ไม่มีหยุด ใจหนึ่งข้ารู้สึกนับถือคนเป็นอย่างยิ่ง เวลานี้ยังจะมาเรียกศิษย์พี่ศิษย์น้องกันได้อีก



ก่อนที่ทั้งคู่จะดำดิ่งในห้วงอารมณ์จนไม่สามารถแยกแยะสิ่งใดออกยังมีอีกเรื่องราวหนึ่งที่ข้าสมควรช่วยเหลือพวกเขาอยู่บ้าง ข้าที่แรกเริ่มนั่งอยู่ปลายเตียงข้างกับหานเฉิงรุ่ย ได้ย้ายไปนั่งหัวเตียงเคียงข้างกับศิษย์แซ่เส้าผู้เอาแต่ร้องครางไม่เป็นภาษาแทน กวาดตามองเรือนร่างที่เต็มไปด้วยร่องรอยรักของเขาแล้วรู้สึกถอดถอนใจขึ้นมา



เส้าหมิงผู้นี้นับว่าเป็นคนจิตอ่อน จิตใจไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากนัก ถูกล่อลวงเสียหน่อยก็เตลิดไปไกลไม่หลงเหลือสติประคองตัว กลีบดอกสัตตบุษย์น้ำค้างแข็งแม้จะช่วยแก้อาการพิษราคะได้ แต่คงมิสามารถแก้ไขเรื่องที่เขาไม่มีวิชาติดตัวจนโดนผู้คนข่มเหงได้ หากเป็นแบบนี้มากเข้าสักวันต้องตกตายด้วยฝีมือมารชั่วเป็นแน่



“ยังพอมีสติบ้างหรือไม่” ข้าโน้มตัวลงไปหาเส้าหมิงพลางเอ่ยถามหยั่งเชิง คนมิตอบคำถามอันใดเพียงรั้งมือข้างหนึ่งมาประคองใบหน้าข้าก่อนยันตัวขึ้นมา โน้มใบหน้าเข้าใกล้ราวกับจะปล้นชิงจุมพิตจากข้า ผู้เชี่ยวชาญย่อมมิอาจปล่อยให้เด็กอมมือข่มเหงได้ จึงเบี่ยงหน้าเล็กน้อยให้ริมฝีปากแดงเรื่อนั้นแตะที่ข้างแก้มแทน ตัวเขาไม่เหลือสติอันใดมีแต่ความใคร่ครอบครองสมอง หากเวลานี้เป็นเวลาสมควรแก่การสอนวิชาวสันต์เริงร่ากระบวนท่าดาราหวนกลับที่สุดแล้ว แต่ใช่ว่าข้าจะไม่มีหนทางจัดการผู้คนเสียเมื่อไร



ช่องทางเบื้องหลังได้รับการเติมเต็มอย่างอิ่มเอมจากชายอันเป็นที่รัก เส้าหมิงยามนี้จึงสุขกายสุขใจปล่อยกายปล่อยใจไปกับตัณหาอารมณ์อย่างเต็มที่ ในเมื่อพูดคุยกันดีๆ ไม่ได้ ข้าย่อมต้องใช้วิธีชั่วร้ายดึงสติผู้คนกลับมา แท่งหยกของคนแซ่เส้ายามนี้ตั้งตระหง่าน ส่วนปลายยอดปรากฏหยาดน้ำแวววาวเหตุเพราะใกล้ปลดปล่อยห้วงอารมณ์อีกครั้ง ข้าเอื้อมมือไปกอบกุมแกนกายของเขาเอาไว้ แสยะยิ้มให้เขาคราวหนึ่ง จากนั้นจึงกำรอบส่วนโคนเอาไว้แน่น ใช้ปลายนิ้วบดขยี้ลงบนรูเล็กที่ปริ่มน้ำปิดกั้นไม่ให้เขาได้เสร็จสมอย่างเต็มที่



“อ๊ะ! อ๊า! ท่าน...ท่าน” ริมฝีปากแดงอ้าค้างพลางร้องเรียกข้าไม่มีหยุด ดวงตาหยดน้ำตากลมโตราวไข่มุกพรั่งหรูออกมาจากหางตาหลั่งไหลลงมาจนถึงข้างแก้ม ร่างกายบิดเร้าและสั่นสะท้านมองแล้วงดงามเย้ายวนเสียยิ่งกว่าเดิม หานเฉิงรุ่ยเห็นท่าทางทรมานอัดอั้นของศิษย์น้อง แทนที่จะรู้สึกสงสารอนาทร กลับกลายเป็นตะเกียงได้เติมน้ำมัน แท่งหยกของเขากลับยิ่งแข็งขืนใหญ่โตมากกว่าเดิม คนขยับสะโพกจ้วงแทงเข้าไปในหลืบรักจนเกิดเสียงเฉอะแฉะน่าอาย



การกระทำของหานเฉิงรุ่ยทำให้ข้าแปลกใจอยู่ไม่น้อย ที่แท้คนก็มิได้ทื่อมะลื่อจนเกินไปนัก หากแต่ยังรู้จักวิธีกลั่นแกล้งรังแกทรมานผู้คนอยู่ไม่น้อย เส้าหมิงถูกหยอกเย้ารุนแรงทั้งจุดอ่อนไหวเบื้องหน้าเบื้องหลังเช่นนี้มีหรือจะอดทนอีกต่อไปได้ อยากปลดปล่อยแทบขาดใจแต่ทำไม่ได้เช่นนี้ ต่อให้เตลิดไปแค่ไหนสติก็หวนกลับมาบ้างแล้ว



“คราวนี้ฟังรู้เรื่องแล้วใช่หรือไม่” เห็นข้าขยับยิ้มอบอุ่นบางเบา หัวคิ้วของเขายิ่งขมวดมุ่นเข้าหากัน คนแซ่เส้าพยักหน้ารับคำอย่างเสียมิได้ ข้าจึงได้ช่องจังหวะอธิบายความต่อไป “หลายวันมานี้เจ้าล้วนถูกมารชั่วสูบพลังหยางมาโดยตลอด หากมิรู้จักป้องกันตนเองบ้าง วันหน้าเจอเหตุการณ์เช่นนี้อีกคงเอาตัวรอดได้ลำบาก”



ดวงตาโง่งมคู่นั้นพลันฉายแววอำมหิตออกมาครู่หนึ่ง อาการไม่ยินยอมพร้อมใจรับเคราะห์กรรมเช่นนี้นับว่าเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเขาแล้ว เห็นเขาว่าง่ายข้าจึงโน้มตัวลงต่ำยิ่งขึ้น กดจูบที่ใบหูและไล้เลียแผ่วเบาเป็นการให้รางวัล จากนั้นจึงกระซิบถ้อยคำสอนสั่งท่าดาราหวนกับให้เขา



เส้าหมิงที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาให้ถึงกับตะลึงงันไปบ้าง ข้าแย้มยิ้มอ่อนโยนให้เขาครั้งหนึ่ง ยกมือลูบเรือนผมที่เปียกชื้นเหงื่ออีกครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงปล่อยมือออกจากการกอบกุมทรมานผู้คน คนแซ่เส้าย่อมรู้ว่าเวลานี้เหมาะสมที่สุดแล้วที่จะทดลองวิชา ขาเรียวขยับเกี่ยวกระหวัดรอบเอวสอบของหานเฉิงรุ่ย นอกจากยกสะโพกรับแรงกระทั้นรุนแรงแล้ว คนยังเริ่มหัดเกร็งร่างให้ช่องทางตอดรัดส่วนแข็งขืนที่รุกล้ำเข้ามามากขึ้น



ศิษย์จากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ครางต่ำในลำคอพร้อมสูดลมหายใจลึก ทั้งสองร่างเสียดสีอย่างล้ำลึกเพียงไม่นานสายธารก็หลั่งทะลักเข้าไปในเรือนร่างของผู้เป็นศิษย์น้องพร้อมกับธาตุหยางอันทรงพลัง เส้าหมิงดึงพลังบางส่วนเข้าไปในจุดตันเถียนเพื่อกดพิษราคะในร่าง สิ่งที่ข้าสั่งสอนเขาย่อมทำให้เขาได้รับประโยชน์จากการร่วมรักกว่าเดิม หากคราวหน้าเขาถูกกระทำชำเราอีกให้ใช้ท่าดาราหวนกลับที่ข้าปรับปรุงให้เขาโดยเฉพาะรีดไอหยางจากอีกฝ่ายเสีย เรื่องอะไรเล่าที่จะยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ผู้เดียวกันเล่า



บทรักอันแสนยาวนานบทแรกจบไป หานเฉิงรุ่ยคราวนี้ไม่เหลือยางอายอีกต่อไปแล้ว คนโน้มตัวลงไปมอบจุมพิตหวานล้ำให้กับศิษย์น้องของตน จากนั้นร่างกายเบื้องล่างก็กลับมาแข็งขืนอีกครั้ง ตัวโง่งมที่ติดใจในบทรักจึงไม่รั้งรอกระทำการต่อเนื่องในทันที เมื่อเขาถอนริมฝีปากออกมาและจดจ่อกับเพลงรักต่อ นิ้วมือเรียวของเส้าหมิงขยับเอื้อมมาปลดสายคาดเอวของช้า คนช้อนตามองซ้ำยังขยับยิ้มหวานเอาอกเอาใจ



“ผู้อาวุโสมิอึดอัดบ้างหรือ...ให้ข้าปรนนิบัติท่านดีหรือไม่”



ย่อมไม่ดีอยู่แล้ว อย่าว่าแต่จะให้ข้าดูดซับธาตุหยางเลย ร่างกายเขายามนี้เองก็ต้องการหยางมาส่งเสริมตนเองไม่ต่างกัน นอกจากนั้นชนรุ่นหลังพวกนี้ล้วนถือพรหมจรรย์ถือบริสุทธิ์ได้ไร้สาระยิ่งนัก มิรู้ว่าเหล่ยเจิ้นยวี่เองจะถือเรื่องราวพรรค์นี้ด้วยหรือไม่ หากคนมารับรู้ภายหลังว่าได้เส้าหมิงมาปรนนิบัติใช้ปากปรนเปรอให้สุขถึงสวรรค์ มิใช่คนที่เขาพึงใจอย่างไป๋เจี๋ย มิกลายเป็นปัญหาใหญ่โตหรอกหรือ



“น้ำใจเจ้าข้ารับรู้ดีแล้ว มิจำเป็นต้องตอบแทนบุญคุณข้าหรอก” ข้าลูบศีรษะเขาอย่างแผ่วเบาเหมาะสมกับตำแหน่งผู้อาวุโสอย่างยิ่ง จากนั้นจึงลุกจากเตียงมาปล่อยให้ทั้งสองจมอยู่ในห้วงราคะต่อไป คนหนุ่มพวกนี้ช่างคึกคักแข็งแรงดียิ่งนัก เมื่อวานนี้และเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนยังเพิ่งประสบเคราะห์ภัยอันตรายกันอยู่ มาถึงเวลานี้กลับกระทำการฮึกเหิมเยี่ยงม้าศึกเสียแล้ว เสียงเตียงกระทบกับพื้นไม้ดังลั่นเช่นนี้ มิรู้ว่าพรุ่งนี้ต้องหาข้อแก้ตัวกับเถ้าแก่โรงเตี๊ยมอย่างไรบ้าง



ในส่วนที่ข้าสามารถช่วยเหลือหานเฉิงรุ่ยและเส้าหมิงได้ ข้าได้ช่วยเหลือไปแล้ว จึงว่าจบสิ้นหน้าที่ของผีลามกเยี่ยอู๋จวิน ส่วนเรื่องราวรักสามเส้าหรือสี่เส้าของพวกเขาจะเป็นเช่นไรต่อไป เกรงว่าคงต้องปล่อยให้คนไปจัดการดูแลความสัมพันธ์กันเอาเอง เนื่องจากปรมาจารย์ผู้นี้ยังมีสิ่งอื่นใดต้องกระทำอีกมากมาย ซ้ำยังต้องหนีจากไป๋เจี๋ยอีก มิรู้ว่าวิธีที่คิดเอาไว้จะใช้ได้ผลเพียงใด คนสกุลไป๋นี้ช่างเป็นดาวข่มของข้าเสียจริง



สองร่างบนเตียงกระทั้นกระแทกรุนแรงเยี่ยงไรก็ช่างพวกเขาเถิด ยามนี้ข้าคงต้องพูดคุยกับเจ้าคนประหยัดวาจาเหล่ยเจิ้นยวี่สักที ข้าทรุดนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งใช้มือยันหน้าผากเอาไว้ก่อนเข้าไปในห้วงฝันของคนผู้นั้น



จากประสบการณ์เข้าฝันผู้อื่นมาหลายครั้ง ห้วงฝันมักสะท้อนตัวตนและความคิดของผู้เป็นเจ้าของ อย่างที่เคยกล่าวเอาไว้ว่าคนชั่วช้าย่อมมีห้วงฝันอันชั่วช้า คนดีงามย่อมมีความฝันที่ดีงาม แต่มิรู้ว่าเหล่ยเจิ้นยวี่เป็นคนเช่นใดกันแน่ เหตุเพราะห้วงฝันของเขาไม่มีสิ่งใดนอกจากหิมะขาวอันไกลสุดลูกหูลูกตาและต้นเหมยแดงที่ออกดอกพร่างพราวกลางหิมะ หิมะยิ่งขาวเท่าใด ดอกเหมยยิ่งแดงเท่านั้น



ห้วงฝันนี้เรียกว่าเป็นทิวทัศน์ที่งดงามอยู่ไม่น้อย แต่บรรยากาศเช่นนี้คล้ายคุ้นตาข้าอย่างบอกไม่ถูก คงคล้ายคลึงกับยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ในยามฤดูหนาวกระมัง หากข้ามิได้เข้าฝันเขาเพื่อมาชื่นชมความงามของดอกเหมยแต่อย่างใด ครั้นสอดส่องสายตาหาเจ้าของร่างกลับพบเพียงเด็กชายวัยไม่ถึงสิบปีคนหนึ่ง ร่างผอมเล็กในเสื้อผ้ามอมแมมนั่งขดอยู่กับพื้น แม้เป็นห้วงฝันที่มิอาจสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็น แต่ร่างผอมกลับสั่นระริกราวกับจะขาดใจตายได้ทุกเมื่อ



ในห้วงฝันของเขาผีมีฤทธิ์เดชเช่นข้าย่อมสามารถควบคุมเหตุการณ์บางอย่างได้ ในมือของข้าปรากฏเสื้อขนจิ้งจอกสีขาวตัวหนึ่ง พอขยับเข้าไปใกล้ห่มขนจิ้งจอกให้บนไหล่เล็ก เหล่ยเจิ้นยวี่พลันเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาไม่บ่งบอกความรู้สึก แม้ไม่ได้กล่าววาจาออกมาสักคำ แต่ท่าทางไม่ประหลาดใจอันใดที่เห็นข้า คงรับรู้ว่านี่เป็นเพียงความฝันเท่านั้น



“เจ้ารออาเจี๋ยหรือ”



อีกฝ่ายเพียงพยักหน้าตอบรับ จากนั้นเหม่อมองไปอย่างไร้จุดหมาย ท่าทางล้วนชวนให้สงสัยขึ้นมาว่าเขามีครบสามจิตเจ็ดวิญญาณ[1]หรือไม่ หรือมีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา[2]ไม่ครบจึงดูคล้ายไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึกไร้วาจาเช่นนี้ ข้าทรุดนั่งลงเคียงข้างเขาจากนั้นจึงจ้องมองใบหน้าเด็กชายที่มีเค้าคลึงคล้ายข้าด้วยสายตาครุ่นคิด ครู่หนึ่งจึงเอ่ยวาจาออกมาได้ “เจ้าชอบอาเจี๋ยใช่หรือไม่”



ดวงหน้าเหล่ยเจิ้นยวี่ที่หันกลับมาปรากฏร่องรอยตกใจเป็นอย่างยิ่งที่มีคนล่วงรู้ความลับในใจ เด็กชายก้มหน้างุดลงกับเสื้อคลุมขนจิ้งจอกจนเหลือเพียงลูกตาสีดำขลับ ข้ารออยู่ครู่หนึ่งมิเห็นเขาตอบรับสิ่งใดจึงถือว่าเขามิได้ตอบปฏิเสธ คำถามเพื่อความสมัครใจในการใช้ร่างจึงดำเนินการต่อไป



“อยากครอบครองเขาหรือไม่”



นัยน์ตาสีดำกลอกไปมาเล็กน้อยก่อนจะมองข้าอย่างเงียบงัน ครู่หนึ่งข้าเห็นอารมณ์มากมายปรากฏขึ้นในดวงตาคู่นั้นทั้งหนักใจลังเลหวาดกลัวทั้งเปี่ยมไปด้วยความหวัง รอเขานิ่งเงียบอยู่ครึ่งค่อนวัน เหล่ยเจิ้นยวี่ก็เอ่ยวาจาที่ยาวที่สุดตั้งแต่ที่ข้าได้พบกับเขาออกมา “แต่เขาชอบท่าน”



“เพียงเจ้าตอบรับมา...ข้าเยี่ยอู๋จวินผู้นี้ย่อมมีวิธีจัดการ”



ได้ยินเช่นนั้นแล้วเขาจะตอบรับเช่นไรได้



โปรดติดตามตอนต่อไป...




เชิงอรรถ
^ [1] สามจิต-เจ็ดวิญญาณ (三魂七魄) เป็นความเชื่อของเต๋าที่กล่าวถึงจิตและวิญญาณที่อยู่ในร่างของมนุษย์ หากมีครบทั้งหมดจึงจะเป็นมนุษย์ที่มีตัวตนสมบูรณ์ ไม่ปัญญาอ่อน
^ [2] อารมณ์ทั้งเจ็ดได้แก่ ยินดี โทสะ เศร้าโศก สุขสันต์ ความรัก ความชัง ความปรารถนา ปรารถนาทั้งหก หรือฉันทาทั้งหก คือจิตใจเอนเอียงเพราะรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และมโนสำนึก


ซินเอ๋อร์:
สต็อกใกล้หมดแล้วค่า เย้ จริงๆ ไม่ค่อยได้เขียนฉากเรทเท่าไร เรื่องนี้เรื่องเดียวมากเท่ากับทุกเรื่องที่เคยเขียนรวมกันเลยค่ะ หลายปีมานี้เคยแต่เขียนอ่านเล่นกับเพื่อน พอเอามาลงเว็บก็มีหวั่นๆ + เขินเหมือนกัน 5555

ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกคำชมและทุกท่านที่ติดตามนะคะ พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-10-2019 05:51:09 โดย ซินเอ๋อร์ »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
บทที่ 14 ผลกระทบจากอารมณ์ผู้คนช่างน่ากลัวยิ่งนัก



ปล่อยเวลาเลยผ่านเสียจนท้องฟ้ามืดพระอาทิตย์ตกดิน เมื่อกลับไปยังห้องพักที่ได้ตระเตรียมเอาไว้ให้กับไผ่หยกงามแห่งสกุลไป๋ กลับพบว่าคนมาถึงเสียแล้ว ซ้ำยังทิ้งตัวนอนคว่ำบนเตียงราวหมดเรี่ยวแรง ไม่สนใจแม้แต่จะถอดเสื้อคลุมตัวนอกหรือแกะกวานรัดผมออกแต่อย่างใด กระทั่งรองเท้าก็ยังไม่มีแก่ใจจะถอดออก ยังดีที่ว่ากระบี่คู่กายนามธารน้ำแข็งยังวางอยู่บนโต๊ะ มิได้ถูกทิ้งขว้างวางบนพื้นแต่อย่างใด



คนผู้นี้มีนิสัยเช่นนี้เอง...เป็นนิสัยที่ได้รับการสืบทอดโดยตรงมาจากแม่นางแซ่เจิ้งหรืออาจารย์ของพวกเรา หากเกิดความรู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาจนไม่อยากทำอะไร มักทิ้งตัวลงบนเตียงโดยไม่สนใจเรื่องราวอื่นใดอีกต่อไปแล้ว หลับก็ดี ไม่หลับก็ดี ขอเพียงปล่อยให้นอนเกลือกกลิ้งสักพักไม่นานจะฟื้นแรงขึ้นมาเอง



เห็นเขาเอนกายนอนทั้งที่ยังแต่งตัวเต็มยศก็รู้สึกว่าคงนอนไม่สบายอยู่บ้าง ข้าปิดประตูถอดเสื้อคลุมวางข้าวของอย่างแผ่วเบาก่อนเดินไปที่ปลายเตียงเพื่อปลดรองเท้าออกให้ จากนั้นนั่งลงเคียงข้างใช้สองแขนพลิกตัวเขาให้หงายขึ้นถอดเสื้อนอกและกวานบนเรือนผมออกไป ปรนนิบัติดูแลผู้คนเหมือนกับว่าข้าทำสิ่งนี้เป็นประจำมาเนิ่นนานหลายปี



“ขอบใจมาก ลำบากเจ้าแล้ว” ไป๋เจี๋ยพึมพำอย่างแผ่วเบาทั้งที่สองตายังคงปิดสนิท ท่าทางคนปล่อยตัวผ่อนคลายมิได้วางท่าปั้นปึ่งเย็นชาเหมือนยามปรกติ พบเจอกันคราวนี้ข้ายังมิได้จับจ้องมองเขาให้ดี คนผู้นี้อายุอานามเด็กกว่าข้าไม่กี่ปี แต่ยังดูเยาว์วัยอยู่มาก ดวงหน้างดงามช่างชวนให้คนหวั่นไหวดีแท้ มิรู้ว่าด้วยความรู้สึกในใจเหล่ยเจิ้นยวี่หรือสิ่งใด แพขนตายาวนั้นทำให้ในหัวใจคันยุบยิบเสียจนอดยื่นนิ้วไปลูบเปลือกตาของเขาไม่ได้ เรียวคิ้วกระตุกเข้าหากันคล้ายรำคาญใจจากสัมผัสเบาบาง ขนตาหนาดั่งปีกผีเสื้อสั่นไหวเล็กน้อย “เด็กดี...อย่าซน”



หากเป็นเหล่ยเจิ้นยวี่ตัวจริงได้ยินอาจารย์กล่าวเช่นนั้นย่อมต้องหยุดซุกซน หากเป็นเหล่ยเจิ้นยวี่ตัวจริงที่กำลังอยู่ในห้วงรักอย่างมิอาจถอนตัวได้ยินเช่นนั้นย่อมมิอาจหยุดมือได้ ข้าลากปลายนิ้วจากเปลือกตาบางไปยังหางตาของคนสกุลไป๋คล้ายความทะนุถนอมเป็นอย่างยิ่ง ไล้ท้องนิ้วไปจนถึงข้างแก้มคนก็ลืมตาขึ้นมองด้วยความเกียจคร้าน นัยน์ตาหงส์ปรากฏร่องรอยความปรานีที่เขาไม่เคยมีให้ข้าเลยสักนิด



“ซุกซนใหญ่แล้ว” เสียงนุ่มทุ้มแฝงไปด้วยความขบขัน ไป๋เจี๋ยจ้องมองใบหน้าของร่างนี้อยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามในสิ่งที่ไม่ได้เกี่ยวกับเหล่ยเจิ้นยวี่เลยสักนิด “เยี่ยอู๋จวินเล่า”



คำถามนี้ข้าย่อมเตรียมคำตอบเอาไว้อยู่แล้ว สิ่งที่ออกจากปากไปจึงสั้นกระชับประหยัดคำพูดได้สมกับเป็นคนแซ่เหล่ยอย่างยิ่ง “เจดีย์”



ไผ่หยกสกุลไป๋พยักหน้ารับคำก่อนปิดเปลือกตาลงอีกครั้งทั้งที่ยังเอนหลังพิงลำตัวข้าอยู่ ร่องรอยความเหนื่อยล้าบนใบหน้าจางหายไปบ้างแล้ว แต่คนยังเลือกพักสายตามิสนใจสิ่งอื่นใดต่อ เห็นท่าทางผ่อนคลายของเขาจิตใจข้าก็รู้สึกอ่อนยวบ อดลูบผิวแก้มเนียนละเอียดดั่งเนื้อหยกชั้นดีอีกหลายครั้งไม่ได้



ทุกคราที่ข้ายึดครองร่างผู้อื่นมักสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างจากผู้เป็นเจ้าของร่างอยู่เสมอ เพียงไม่กี่ชั่วยามที่สิงร่างของเหล่ยเจิ้นยวี่ สิ่งที่ข้าสัมผัสได้มีเพียงความรักและความห่วงใยอันมีต่อผู้ถือศักดิ์เป็นอาจารย์อยู่เต็มหัวใจ ความรู้สึกที่ชัดเจนรุนแรงคล้ายทำให้ภายในหัวใจข้าได้เติมเต็มสิ่งหนึ่ง...สิ่งที่ข้ามิอาจสัมผัสถึงได้มานานหลายปี



แม้ว่าแท้จริงแล้วใจของข้าจะไม่ได้มอบความรักให้ใครเลยสักคน หากที่ผ่านมามิว่าบุพเพน้ำค้างหรือยึดครองร่างใคร เรื่องแสดงละครเสแสร้งทำเป็นรัก ข้าเก่งกาจเสียยิ่งกว่าใคร แต่คราวนี้กลับไม่เหมือนการแสดงแกล้งทำ ยามข้ามองคนสกุลไป๋ในใจมีเพียงอยากให้เขามีความสุข มิว่าสิ่งใดที่ข้าสามารถทำให้เขาสุขสำราญปลอดภัยใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มได้ตลอดไป เยี่ยอู๋จวินผู้นี้ย่อมยอมทำทุกหนทาง



การสิงร่างคนคลั่งรักเหล่ยเจิ้นยวี่เกรงว่าคงส่งผลกระทบต่อข้าไม่น้อย กระทั่งสายตายามเหลือบมองอีกฝ่ายยังอ่อนแสงอ่อนโยนจนตนเองยังตกใจ ข้าสอดแขนโอบรั้งเอวสอบกระชับร่างของเขาเข้ามาตระกองกอดจากด้านหลัง สัมผัสใกล้ชิดเกิดศิษย์อาจารย์ทำให้ร่างในอ้อมแขนแข็งทื่อไปบ้าง ไป๋เจี๋ยเปิดเปลือกขึ้นเหลือบมองข้าเหมือนไม่เข้าใจสถานการณ์เท่าใดนัก



ชีวิตนี้ข้าเยี่ยอู๋จวินโกหกหน้าตายเพียงใดก็มิเคยหลบตาผู้ใด คราวนี้ความรู้สึกเจ็บแปลบแปลกประหลาดในใจกลับทำให้ข้ามิอาจสบตากับไป๋เจี๋ยได้ ข้าเกยคางกับบ่าลาดใช้ปลายจมูกคลอเคลียไปตามลำคอระหง ก่อนที่ริมฝีปากจะแตะกับตำแหน่งหลังใบหู กลิ่นไผ่อ่อนๆ จากร่างกายเขาทำให้จิตใจสงบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถึงเวลานี้แล้วต่อให้ในใจจะมีสิบหมื่นวาจาเพียงใด ถ้อยคำที่สมควรพูดก็ควรพูดออกไปได้แล้ว



“เป็นข้ามิได้หรือ...” น้ำเสียงที่คล้ายคลึงกับข้าถึงเก้าส่วนกล่าวออกไปแผ่วเบาราวกับลมสายหนึ่งที่พัดผ่านเข้ามาและพัดจากไปด้วยความรวดเร็ว ไป๋เจี๋ยมีตบะสูงส่งเพียงนั้นเสียงกระซิบข้างหูใกล้เพียงนี้มีหรือที่เขาจะไม่ได้ยิน ร่างกายที่แข็งทื่ออยู่แล้วคราวนี้ยิ่งแข็งทื่อเสียยิ่งกว่าเดิม ข้าแสร้งทำเป็นปล่อยให้ผู้คนได้ใช้เวลาคิดทบทวนบางสิ่งในใจ หากแต่กดจูบกับเรือนผมดำขลับนุ่มนวลราวม่านน้ำตกแสดงความรักอันท่วมท้น การกระทำเช่นนี้ย่อมทำให้คนใจสับสนยิ่งขึ้น



ภายในห้องเหลือเพียงความเงียบงันจนได้ยินเสียงหายใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นไป๋เจี๋ยวางมือบนหลังมือของข้า คนมิได้มีอาการปัดป้องหลีกหนีจากอ้อมกอดของเหล่ยเจิ้นยวี่แต่อย่างใด หากกลับถอนหายใจขึ้นมาครั้งหนึ่ง ปลายนิ้วเรียวจับฝ่ามือข้าหงายออกแล้วลูบไล่แผ่วเบา



“นึกเปรียบเทียบตนเองกับเขาอยู่หรือ” น้ำเสียงของคนสกุลไป๋มีแววถอดถอนใจอยู่หลายส่วน คนหันกายกลับมาหาข้าแล้วยกมือขึ้นเสยเส้นผมที่ปรกหน้าของเหล่ยเจิ้นยวี่ด้วยความอ่อนโยนเหมือนเช่นทุกครา “เจ้าคือเจ้า เขาคือเขา เหตุใดต้องนึกคิดในสิ่งที่มิควรคิด”



มิต้องบีบเค้นอารมณ์แต่ประการใด ความรู้สึกรักฝังลึกของเหล่ยเจิ้นยวี่ทำให้หยาดน้ำตาสายหนึ่งปรากฏที่หางตา เห็นดังนั้นไป๋เจี๋ยย่อมตะลึงลานไปไม่น้อย เขายกมือขึ้นช่วยเช็ดน้ำตาที่ข้างแก้มราวกับต้องการปลอบใจเด็กน้อย ข้าใช้จังหวะนั้นคว้ามือของเขาเอาไว้ แนบริมฝีปากจูบไล่ไปตามข้อนิ้วขาวผ่องจนถึงข้อมือขาว จากนั้นเอ่ยถามด้วยถ้อยคำที่คล้ายคลึงเดิมเกือบแทบทุกคำ “...ชอบข้ามิได้หรือ”



ริมฝีปากบางแดงระเรื่อของไป๋เจี๋ยเปิดขึ้นคล้ายทั้งอยากและไม่อยากเอื้อนเอ่ยวาจาสิ่งใด ดวงตาหงส์แสนงดงามเกิดรอยระลอกคลื่นสั่นไหวเสียยิ่งกว่าทุกครา ก่อนที่คนจะว่ากล่าวอันใดออกมา ข้าก็แนบจูบลงไปบนกลีบปากนั้นอย่างแผ่วเบา แล้วค่อยเริ่มขยับริมฝีปากแทะเล็มหนักหน่วงขึ้นทุกขณะ เห็นคนมิได้ผลักออกหรือขัดขืนจึงถือโอกาสกดสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากร้อนกวาดเลียสำรวจ ซุกซนได้ไม่นานปลายลิ้นร้อนของเขาก็เริ่มขยับตอบโต้เกี่ยวพันกับข้าด้วยความนิ่มนวลเป็นอย่างยิ่ง



จุมพิตคราวนี้มีได้เร่าร้อนรุนแรงเหมือนคราวที่ไป๋เจี๋ยตกอยู่ใต้มนต์สะกดของมารทิวาม่วง หากแต่อ่อนหวานเหลือคณา เวลานี้ไผ่หยกงามผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องแห่งโลกผู้บำเพ็ญเพียรกระหวัดปลายลิ้นตอบสนองข้าในแทบทุกการเคลื่อนไหว เขาทำตัวน่ารักถึงเพียงนี้ ข้าจึงจงใจขบเม้มริมฝีปากอีกฝ่ายหนักๆ พอได้ยินเสียงร้องประท้วงในลำคอก็รู้สึกขบขันขึ้นมาบ้างแล้ว ยามถอนจูบออกมาเห็นมุมปากคนงามมีหยดน้ำวาวใสทำเอาข้าหัวใจกระตุกอีกครั้ง อดขยับเข้าไปจูบซับตำแหน่งนั้นซ้ำอีกไม่ได้



“พอใจแล้วกระมัง” คนสกุลไป๋หอบหายใจเบาๆ กลีบปากบางทั้งแดงก่ำทั้งชุ่มฉ่ำจากรสจุมพิตเมื่อครู่นี้ นัยน์ตายามที่เขามองข้ายังคงแววตาหวานเยิ้ม เขาเป็นเช่นนี้ข้าจะตอบสิ่งใดได้เล่า



“ไม่พอ...” กล่าวจบข้าพลันประกบจูบทาบทับลงบนตำแหน่งเดิม แม้มิได้สอดแทรกปลายลิ้นเข้าไป แต่ยังแนบจูบคลอเคลียซ้ำดูดเม้มกลีบปากบางเล่นมิห่าง เป็นเหล่ยเจิ้นยวี่ดีอยู่อย่างหนึ่งที่สามารถพูดจาแสดงอารมณ์ความรู้สึกได้สั้นง่ายกระชับไม่ต้องพูดมากไม่ต้องตีความ ครู่หนึ่งความรู้สึกต้องการครอบครองทั้งกายทั้งใจคนสกุลไป๋พลันเกิดขึ้นในห้วงคิด มือทั้งสองข้างของข้าช่างขยับได้รวดเร็วตามใจคิดดีแท้ ยังมิทันผละริมฝีปากออกอีกครั้ง สายคาดเอวสีเขียวอ่อนก็หลุดร่วงลงข้างเตียง สาบเสื้อเปิดอ้าเสียจนเห็นแนวกระดูกไหปลาร้าและแผ่นอกขาวราวหิมะ



เกี่ยวปลายลิ้นพัวพันอยู่อีกครู่ เสื้อผ้าคนคราวนี้ก็ไม่เหลือติดกายแล้ว เห็นคนเคลิบเคลิ้มรับตอบแต่โดยดี ใจหนึ่งเกิดความคิดขึ้นมาว่าเขาคงมิใจให้เหล่ยเจิ้นยวี่อยู่บ้าง หากเปลี่ยนเป็นข้าคงโดนแส้ฟาดจนหมดสภาพไปแล้วกระมัง ถึงเวลานี้แล้วเรื่องไร้สาระพรรค์นี้มิควรคิดให้เปลืองสมองอีกต่อไป ปลดปล่อยอารมณ์ไปตามใจมิดีกว่าหรือ ครั้นละจูบออกมาได้ ข้าเริ่มลากริมฝีปากพรมจูบไปตามผิวขาวเนียนสมกับเป็นคนสกุลไป๋ จากลำคอไล่จูบลงต่ำไปจนถึงหน้าอกราบ ฉกปลายลิ้นหยอกล้อปุ่มนูนสีหวานบนแผ่นอก เห็นร่างกายที่สะท้านขึ้นมาเล็กน้อยและเสียงครางต่ำเบาๆ จึงอดแย้มยิ้มออกมาไม่ได้



ข้าขยับตัวพลิกให้แผ่นหลังของผู้อื่นแนบชิดติดกับพื้นเตียง ลิ้มรสผลอิงเถาแสนหวานทั้งคู่จนพอใจแล้วค่อยไล่ริมฝีปากขบเม้มทิ้งรอยรักตามหน้าท้องขาว ปลายนิ้วลากซุกซนไปจนถึงปากทางด้านหลัง อีกฝ่ายคงห่างหายจากเรื่องพรรค์นี้ถือตัวเป็นดอกบัวขาวบนยอดดอยอยู่สิบแปดปีถึงได้คับแน่นราวไม่เคยมีใครแตะต้องส่วนนี้มาก่อน หากฝืนแทรกกายสอดใส่เข้าไปคงเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย



ทั้งสมองของข้าในยามนี้มีแต่พร่ำบอกให้ทะนุถนอมเขาให้ถึงที่สุด ร่างเหล่ยเจิ้นยวี่ถดลงต่ำยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับสองมือข้าที่แยกเข่าของเขาออกจากกัน ก่อนคนจะร้องประท้วงอันใด ข้าก็แนบริมฝีปากไปกับรอยพับจีบที่ปิดสนิทเสียแล้ว จากจูบที่แสนแผ่วเบากลายเป็นปลายลิ้นอันสอดเข้าไปจนสุดความยาวเพื่อไล้เลียให้น้ำลายตนช่วยหล่อลื่นช่องทางคับแคบได้มากที่สุด



“ฮึก...อื้อ...! ” ไป๋เจี๋ยจะทำสิ่งใดได้นอกจากหวีดร้องเสียงเบาจากความซ่านเสียว สองมือดึงรั้งผ้าปูเตียงเสียจนยับยู่ยี่ ท่าทางน่ารักถึงเพียงนี้ ข้าตกรางวัลเป็นการขยับลิ้นสอดแทรกเข้าไปด้วยจังหวะและสัมผัสที่หนักหน่วงยิ่งขึ้น รอจนความคับแน่นเริ่มคลายตัวจึงกดชำนิ้วตนเข้าไปภายใน เวลาเลยผ่านมาสิบแปดปีข้ายังจดจำได้ดีว่าส่วนอ่อนไหวของเขาอยู่ที่ใด เพียงแตะสัมผัสแผ่วเบา ร่างเพรียวบางพลันกระตุกสั่นเทาด้วยความกระสันซ่านเต็มที



เตรียมพร้อมมาถึงตอนนี้ ผีลามกเช่นข้าก็อดรนทนไม่ไหวเข้าบ้างแล้ว ข้าประคองเอวเขาไว้เดี๋ยวมือข้างหนึ่ง จ่อส่วนแข็งขืนของตนกดสอดส่วนบนเข้าไปอย่างเชื่องช้า กระทั่งผนังอ่อนกลืนกินเข้าไปจนหมด อีกฝ่ายเม้มริมฝีปากลมหายใจกระตุกคล้ายอึดอัดไม่น้อย เวลานี้ข้าใจเย็นเป็นอย่างยิ่ง ได้แต่แช่กายค้างเอาไว้รอจนคนคุ้นชิน พอช่องทางหดเกร็งน้อยลงพร้อมเปิดรับสิ่งแปลกปลอมที่รุกล้ำจึงเริ่มขยับกายเข้าออกเป็นจังหวะเชื่องช้า แต่กดสัมผัสหนักหน่วงเพื่อแสดงความรักใคร่และความเป็นเจ้าของมากขึ้นทุกที



บดเบียดกายเนิบนาบนิ่มนวลอยู่พักหนึ่ง คงไม่เพียงพอต่อความปรารถนาที่เพิ่มพูนขึ้นของอีกฝ่าย ไป๋เจี๋ยสอดแขนคล้องรอบลำคอข้า ปลายนิ้วจิกเข้าไปในแผ่นหลังลากขูดเป็นรอยเล็บในยามที่ข้ากลั่นแกล้งเสียดสีจุดกระสันภายในซ้ำแล้วซ้ำอีก ระหว่างที่ข้าขบเม้มไล่เลียติ่งหูขาวเล่นก็ได้ยินเสียงเรียกร้องแผ่วเบาจากคนเบื้องล่าง “อืม..เร็วหน่อยเถิด”



ร่างกายส่วนล่างที่เชื่อมประสานจากเชื่องช้าแผ่วเบากลายเป็นสัมผัสหนักหน่วงรุนแรงขึ้นจากการกระตุ้นของมารน้อยสกุลไป๋ ช่องทางที่อ่อนนิ่มทั้งร้อนทั้งคับแน่นราวกับเฝ้ารอการเติมเต็มเช่นนี้มานานแสนนาน



การสานสัมพันธ์บนเตียงเช่นนี้ย่อมมิใช่ครั้งแรกระหว่างเราทั้งสอง หากปีนั้นเขายังเด็กจัดอายุเพียงไม่เท่าไรจึงยังเหนียมอายอยู่ไม่น้อย มาคราวนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว รสรักส่วนที่อ่อนหวานกลายเป็นหวานซึ้งเสียยิ่งกว่าเดิม รสรักส่วนที่เรียบง่ายอ่อนโยนกลับกลายเป็นเผ็ดร้อนขึ้นมา



สองแขนของไป๋เจี๋ยโอบรอบลำคอของข้าเอาไว้ เช่นเดียวกับเรียวขาที่กระหวัดรัดรอบเอว ผนังอ่อนอันแสนเร่าร้อนภายในกระตุกตอดรัดส่วนที่รุกล้ำเข้าไปราวกับจะดูดกลืนให้หมดสิ้น สะโพกงามยกขึ้นสวนทุกจังหวะที่ข้าขยับกายเสียดสี กลีบปากบางอ้าออกเล็กน้อยพลางครวญครางแผ่วเบาคล้ายสุขสมเป็นอย่างยิ่ง...รสชาติของไผ่หยกผู้นี้แม้ไม่ดุดันเผ็ดร้อนเหมือนดั่งมารราตรีชาด หากอากัปกิริยาทุกสัมผัสที่เขาตอบสนองนับว่ายอดเยี่ยมล้ำเลิศจนหาใครเทียบได้ยากทีเดียว



ร่างเพรียวขยับขึ้นมานั่งเกยบนหน้าขาของข้า จากนั้นไผ่หยกผู้ล่อลวงผู้คนได้เก่งไม่น้อยหน้าใครก็เริ่มเป็นฝ่ายขยับสะโพกควบขี่ได้อย่างงดงามราวแม่ทัพใหญ่ควบอาชาขาวออกสู้รบ นัยน์ตาหงส์เป็นประกายแวววาวดั่งแสงดารายามจันทร์ดับ เพียงไม่นานสายธารแห่งความปรารถนาก็หลั่งรินเข้าไปในหลืบรักอันแสนอุ่นร้อน กลีบปากแดงบวมเจ่อเปิดออกเพื่อหอบหายใจเบาๆ มองแล้วชวนเย้ายวนใจอย่างบอกไม่ถูก



ครั้นสุขสมสบายกายกันทั้งคู่ บทรักได้ผ่านไปแล้วถึงสองครั้งสองครา ข้าพลันคิดได้ว่าผู้อื่นเหน็ดเหนื่อยมาไม่น้อย เวลานี้ควรหยุดทรมานผู้คนได้แล้ว อีกฝ่ายคงมีความคิดไม่ต่างกัน ร่างเพรียวบางเอนกายลงนอนด้วยความผ่อนคลาย ข้าขยับแขนไปโอบรอบเอวสอบ รั้งให้แผ่นหลังเปลือยเปล่าของไปเจี๋ยแนบชิดกับลำตัวตนเองเอาไว้



นอนกอดก่ายเขาอยู่ครึ่งค่อนคืนจวบจนฟ้าเริ่มสางแม้รู้สึกอิ่มเอมอบอุ่นใจเพียงใดก็คิดว่าควรจะไปได้สักที จึงแนบจูบที่เรือนผมนุ่มลื่นราวเส้นไหมเป็นครั้งสุดท้ายด้วยความรู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่ไม่น้อย ถอนหายใจได้ครั้งหนึ่งอีกฝ่ายกลับรู้ตัวเสียก่อน



“จะไปแล้วหรือ” คนงามสกุลไป๋ขยับตัวเงยหน้ามอง ผ้าห่มที่คลุมร่างเอาไว้ไหลลงเบื้องล่างจนเผยให้เห็นไหล่ขาวกลมมนที่มีรอยรักเบาบาง ข้าส่ายหน้าแผ่วเบาแล้วเอื้อมมือไปรั้งผ้าห่มคืนให้เขาด้วยความทะนุถนอม จากที่จะออกจากร่างเหล่ยเจิ้นยวี่จึงรู้สึกลังเลอยู่บ้าง นึกไม่ถึงว่าไป๋เจี๋ยกลับลุกตัวขึ้นนั่งขยับยิ้มบางพร้อมกับมองตรงมายังข้า



“แผนการเป็นอย่างไรต่อเยี่ยอู๋จวิน ใช้ร่างลูกศิษย์มาหลับนอนร่วมรักให้ข้าตายใจ แล้วจะหนีออกไปอย่างไรเล่า” ริมฝีปากบางกล่าวเรื่องราวออกมาได้เรียบเฉยธรรมดายิ่งนัก คนยกมือขึ้นแตะที่ข้างแก้มของข้าอย่างแผ่วเบาแววตาเต็มไปด้วยความรู้ทัน “คิดหรือว่าข้าจะไม่รู้ว่าเป็นท่านตั้งแต่แรกเริ่ม”



ปรมาจารย์วังวสันต์ผู้นี้ช่างโง่งมดีแท้ ผู้อื่นชอบข้ามาหลายปีไหนเลยจะแยกแยะความแตกต่างไม่ออก นึกไปแล้วก็ถอดถอนใจอยู่ไม่น้อย วันเวลาเลยผ่านมาสิบแปดปีแต่คนเบื้องหน้ายังคงฝังใจลืมข้าไม่ลง กระทั่งคนข้างกายที่แอบรักเขาอยู่เขายังไม่แยแส ข้าที่เกลียดเรื่องราวรักสามเส้าบัดซบเสียยิ่งกว่าสิ่งใด รู้ตัวอีกทีตนองก็เข้ามาอยู่ในวังวนนี้เสียแล้ว



“อาเจี๋ย...เหล่ยเจิ้นยวี่รักเจ้าจนหมดใจถึงเพียงนั้น ทั้งยังยอมเป็นตายเพื่อเจ้า หน้าตารูปร่างหรือก็คล้ายคลึงข้าจนแทบทุกส่วน เจ้าเลือกเขามิดีกว่าหรือ” พูดมาถึงตอนนี้แววตาของคนสกุลไป๋ก็เกิดระลอกคลื่นมากมาย ข้ายิ่งใช้โอกาสว่ากล่าวให้เขาตัดใจจากข้ายิ่งกว่าเดิม “อย่าได้ผูกใจไปกับคนเช่นข้าเลย ยามนี้ข้าเป็นเพียงผีวิญญาณ วันหน้าอาจเป็นอ๋องผีอาจเป็นมารร้าย ย่อมมิอาจร่วมมรรคาเซียนกับเจ้าได้”



“เขาย่อมเป็นเขา ท่านย่อมเป็นท่าน ใครแทนใครได้หรือ” ไป๋เจี๋ยหัวเราะเบาแต่แววตาไม่มีร่องรอยขบขันอยู่เพียงส่วน คนเลือกไม่ตอบโต้หลายประโยคที่ข้าพูดไป หากแต่กล่าวถึงเรื่องที่ขุ่นข้องในใจแทน “แต่ไหนแต่ไรทั้งหมดล้วนเป็นเพียงการฝึกวิชานอกรีตของท่านเท่านั้น ที่รั้งอยู่บนโลกนี้คงเพราะห่วงว่าตนเองฝึกวิชาไม่สำเร็จกระมัง”



ความเป็นจริงที่ทิ่มแทงทำให้ทั้งข้าและเขาต่างนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่นานไป๋เจี๋ยก็เป็นฝ่ายเอ่ยวาจาขึ้นมาก่อน เขาเรียกข้าด้วยถ้อยคำเดิมเหมือนเมื่อปีนั้น น้ำเสียงแฝงรอยร้าวรานจนปิดไม่มิด



“อู๋เกอ...ที่ผ่านมาใจของท่านเคยมีข้าบ้างหรือไม่”



คำถามนี้ข้ามิอาจตอบเขาได้ชัดถ้อยชัดคำ ได้แต่หลุบตาลงต่ำ ภายในใจพร่ำบอกว่าความรักที่มีให้เขามิอาจถอดถอน หากความรู้สึกนี้คล้ายจริงคล้ายลวงตา เกรงว่าจะเป็นเพียงความรักอันท่วมท้นของเหล่ยเจิ้นยวี่ที่มีต่ออาจารย์ จนทำให้ผีบัดซบที่มิรู้จักความรักเช่นข้าพาลรู้สึกเช่นนั้นไปด้วย “เวลานั้นรู้สึกเช่นไรยากจะพูดได้ แต่เวลานี้กลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นแล้ว”



ไป๋เจี๋ยแค่นหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง ขอบตาแดงก่ำหากไม่ปรากฏร่องรอยน้ำตาแม้สักหยด นัยน์ตาดำขลับฉายแววมาดมั่นคล้ายตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ประโยคถัดมาพูดออกมาได้อย่างเข้มแข็งยิ่งนัก “หากท่านจะไปก็ไปเถิด หนีไปให้ไกล อย่าให้ข้าหาท่านเจอ”



ริมฝีปากบางคลี่ออกเป็นรอยยิ้มงดงามอย่างยิ่ง “หากพบเจอกันคราวหน้าข้าย่อมมิอาจปล่อยท่านไปได้อีก”



กล่าวจบไผ่หยกแห่งสกุลไป๋ซัดฝ่ามือใส่ข้าฝ่ามือหนึ่ง ฝ่ามือนี้มิใช่พลังรุนแรงร้ายกาจ แต่เป็นลมสายหนึ่งที่พัดกระโชกแรงจนวิญญาณข้าหลุดจากร่างของเหล่ยเจิ้นยวี่ ซ้ำยังกระเด็นล่องลอยไปไกลนับร้อยลี้ ร่างวิญญาณทะลุผ่านฝาบ้านของใครไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร หากสมองยังคงครุ่นคิดเรื่องราวหนึ่งอยู่ในใจ เรื่องราวที่ข้ามักปล่อยเลยผ่านซ้ำยังมิเคยลงสำรวจความรู้สึกของตนเองเลยสักนิด



ความรู้สึกปีนั้นเป็นเช่นไร ความรู้สึกปีนี้เป็นเช่นไร ข้ายังตอบไม่ได้แล้วใครเล่าจะตอบได้...



โปรดติดตามตอนต่อไป...



*****


ซินเอ๋อร์:

ตอนนี้เขียนด้วยความรู้สึกเหมือนกินน้ำตาลไหม้ยังไงพิกลค่ะ หวานๆ ขมๆ จบตอนแบบนี้อย่าเพิ่งปารองเท้าใส่ซินเอ๋อร์น้าาาา เรื่องราวของเยี่ยอู๋จวิน ไป๋เจี๋ย และเหล่ยเจิ้นยวี่จะเป็นยังไงต่อ ต้องติดตามกันต่อไปค่ะะ

ขอบคุณทุกท่านที่ให้กำลังใจจริงๆ รู้สึกเขียนเรื่องนี้ออกมาได้สนุกมากๆ เลยค่ะ พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ nizxx

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พี่เยี่ยเป็นปรมาจารย์ลามกดีแท้ ไปสอนสั่งข้างเตียงไปเลยจ้ะ จุกๆ ดูอีพี่ไม่ใช่คนที่จะหื่นกามนะ แต่ประมาณว่าที่ต้องทีอะไรกับใครก็เพื่อฝึกวิชาเท่านั้น(หรอ) พี่เยี่ยนังก็รู้สึกกับน้องไป๋อยู่แหละ ลึกๆก็สับสนว่าที่รู้สึกรักขนาดนี้เป็นเพรัตัวเองหรือร่างของศิษย์เหล่ย แต่พี่เยี่ยพยายามคิดในมุมมองวิญญาณ จะมาครองรักกับน้องไป๋มันไม่ใช่เรื่องง่าย มันน่าสงสารไปหมด พี่เยี่ยนังก็รู้สึกแหละแต่แค่ไม่รู้ว่ารู้สึกไปแค่ไหน เป็นผีที่ไม่หมดห่วงที่แท้ น้องไป๋คือยอมรับไปเลยว่ายังจมอยู่ในห้วงวังวนเดิมๆต่อมห้เขาจะใจร้ายยังไงน้องไป๋ก็ยังคงรัก ถึงขั้นเก็บเอาคนที่หน้าตาคล้ายคลึงคนรักเก่ามาเลี้ยง งี้จะให้คิดยังไง ส่วนศิษย์เหล่ยนี่เหมือนลูกปิงปองเลย แค่เพราะหน้าคล้ายพี่เยี่ย แค่เพราะใกล้น้องไป๋แล้วก็มีความรู้สึกดีๆพี่เยี่ยเลยดึงน้องมาใช้ สงสารอะ ไม่ผิดที่น้องไป๋อาจจะรู้สึกอะไรกับศิษย์บ้าง แต่จริงๆก็รู้อยู่ที่มาไกลถึงขั้นนี้เพราะในร่างมีพี่เยี่ย มันเส้าอะไรเบอร์นี้นะ ศิษย์เหล่ยเหมียนโดนหลอกใช้ความรู้สึก หลอกใช้ร่างกาย กอดๆนะรู้ก

ออฟไลน์ Frankdar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สงสารไป๋เจี๋ย นี่จิ้นเป็นหน้าอี้ป๋อยิ่งอิน  นางคงรักของนางมาก รักมากเจ็บมาก คนพี่ก็ไม่รักใครเลย นอกจากรักตัวเอง จะมาคิดได้ตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วเนาะ   :z3: :z3:

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
บทที่ 15 ความรู้สึกลึกซึ้งอันแสนพูดยากเมื่อปีนั้น (1)



เรื่องราวในปีนั้นเป็นเช่นไร คงต้องเล่าย้อนความตั้งแต่เมื่อยี่สิบเอ็ดปีก่อน



แรกเริ่มข้ามิได้แตกต่างจากคุณชายสกุลใหญ่คนอื่นแต่อย่างใด แม้เป็นลูกภรรยารองมีบิดาไม่ได้ความ แต่มารดาพึ่งพาได้ ซ้ำยังเป็นบุตรชายคนโต เรียกได้ว่าชีวิตสะดวกสบายอยู่ไม่น้อย จนกระทั่งอายุสิบสามจึงได้ออกจากบ้านเพื่อเข้าร่วมสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์เพื่อหาวิชาความรู้ติดกาย



สำนักเซียนชื่อดังแห่งนี้มักเปิดรับศิษย์อย่างเป็นทางการทุกห้าปี เยี่ยหย่งฟานอยากให้ข้าเข้าร่วมสำนักตั้งแต่อายุแปดขวบ ปากบอกว่าวางรากฐานแต่เยาว์วัยย่อมไปได้ไกลว่าฝึกตอนโต แต่แท้จริงแล้วคนเพียงต้องการกำจัดข้าให้พ้นทางด้วยข้อหาแย่งความรักจากเหยียนโหรวผู้เป็นหวานใจ มารดาเห็นข้าอายุยังน้อยเกินไปจึงขอยืดเวลาไปครั้งต่อไปในอีกห้าปี อย่างไรแล้วอยู่ในตระกูลข้าก็ถือเป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นเกินพี่น้อง นางสำทับว่าออกจากบ้านยามรู้ความแล้วคงดีกว่าไปเป็นเด็กน้อยสร้างภาระให้กับผู้อื่น



ดีชั่วเช่นไรเยี่ยหย่งฟางก็เคยเป็นศิษย์ในจากยอดเขาปราการโลหิตมาก่อน แม้ชื่อจะโอ่อ่าอลังการแต่แท้จริงแล้วเป็นยอดเขาที่รับหน้าที่จัดการเรื่องทั่วไปในสำนัก คล้ายเสมียณ คล้ายพ่อบ้าน ถึงพอจับกระบี่สู้รบได้บ้าง แต่มิได้มีความสามารถสิ่งใดเป็นพิเศษนอกจากทำบัญชีจัดการเรื่องทั่วไป มีอดีตเช่นนั้น คนจึงคาดหวังว่าอย่างน้อยบุตรชายคนโตเช่นข้าที่ใครต่อใครเรียกขานว่าเป็นอัจฉริยะคงได้อยู่ยอดเขากระบี่ร้อยรบอันเลื่องชื่อด้านการสู้รบฝึกวิชา เหมือนดั่งเช่นความใฝ่ฝันครั้งยังเป็นเด็กของเขาและความใฝ่ฝันของบุรุษทั่วใต้หล้า



หากบิดายังประเมินข้าต่ำเกินไป ด้วยความสามารถเช่นข้ามีหรือจะได้อยู่ยอดเขาป่าเถื่อนเช่นนั้น ระหว่างที่ผู้อื่นกำลังเหวี่ยงขวานผ่าฟืนแสดงกำลังกาย กำลังภายในและรากฐานปราณ ตัวข้าที่เพียงสะบัดมือเบาๆ กลับทำให้ท่อนไม้กลายเป็นฟืนขนาดกำลังดีไม่ใหญ่ไปไม่เล็กไปก็ได้ไปถูกตาต้องใจเหล่าอาจารย์มากมาย และขณะที่ผู้คนทะเลาะแย่งตัวข้าเยี่ยอู๋จวินกันเสียวุ่นวาย กลับมีแม่นางหน้าตางดงามผู้หนึ่งปรายตามองข้า นางกล่าวออกมาเพียงประโยคเดียวการถกเถียงไม่จบสิ้นพลันจบลงอย่างง่ายดาย “เด็กคนนี้เป็นของข้า”



ดรุณีผู้เย็นชาราวเกล็ดน้ำค้างแข็งผู้นี้มิใช่ใครที่ไหน หากเป็นแม่นางแซ่เจิ้งผู้ไปมาลึกลับความสามารถล้นเหลือ สุดยอดฝีมือที่ผู้คนในโลกผู้ฝึกเซียนต่างกล่าวขานว่าเป็นตำนานเหนือตำนาน เจิ้งปิงฉิน[1]...พิณน้ำแข็งแห่งยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์



เพียงชื่อยอดเขาของนางก็ข่มยอดเขาอื่นๆ จนกลายเป็นเพียงเด็กเล็ก ยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์นั้นขึ้นชื่อเรื่องการรับศิษย์ยากเย็น ไม่เคยมีอาจารย์คนใดเคยรับศิษย์เกินสามคน ยิ่งภายใต้การดูแลของแม่นางแซ่เจิ้งยิ่งแล้วใหญ่ ตลอดยี่สิบปีมานี้นางมิเคยรับผู้ใดเป็นศิษย์สักคน สาเหตุคงเพราะจะหาใครเทียบเคียงคำขวัญของยอดเขาคงลำบากเกินไปสักหน่อย



เฉลียวฉลาด แข็งแกร่ง สง่างาม สูงส่ง บริสุทธิ์เหนือโลกีย์ รวมไว้ซึ่งความสมบูรณ์แบบ นั่นคือคุณสมบัติเบื้องต้นของศิษย์จากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ ซ้ำเล่าขานกันว่าคนยังต้องมีสกุลรุนชาติมาจากตระกูลที่ดีงาม หากแต่ตระกูลที่ดีงามเหล่านั้นก็ใช่ว่าจะมีลูกหลานที่เก่งกาจมากความสามารถเสมอไป ครั้นมีความสามารถก็หยิ่งยโสจนใช้ปลายจมูกมองสีหน้าผู้อื่น ขอโทษด้วยเถิด สูงส่งนั้นคือพฤติกรรมดีงามสูงส่ง มิใช่วางตัวไว้สูงส่ง สุดท้ายแล้วเจิ้งปิงฉินหาลูกศิษย์อยู่ยี่สิบปีก็ไม่มีใครเข้าตา จนกระทั่งพบเจอข้าเยี่ยอู๋จวินเข้า



แม่นางแซ่เจิ้งหรืออาจารย์หญิงของข้าเป็นคนเช่นไร คงใช้คำอธิบายง่ายๆ ว่าเป็นคนแปลกประหลาดยิ่งนัก สตรีผู้นี้มิรู้ว่าอายุอานามจริงประมาณเท่าไร แต่ยามนั้นคงอย่างน้อยสี่สิบปี นางมีรูปลักษณ์งดงามสูงส่งสมกับเป็นเจ้ายอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ ชุดขาวกรุยกรายบริสุทธิ์ผุดผ่อง ใบหน้าเยาว์วัยงดงามคล้ายดรุณีอายุสิบหกสิบเจ็ด ผิวขาวผ่องดั่งหิมะ ฟันขาวเรียงตัวเป็นระเบียบ ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงสดราวลูกอิงเถา เหนือหว่างคิ้วแต้มดอกไม้สีแดงสดอันเป็นสัญลักษณ์ผู้สืบทอด ทุกอย่างล้วนดีงามเว้นแต่เพียงดวงตากลมโตที่แฝงแววเฉยชาเกียจคร้านอยู่หลายส่วน หากกล่าวถึงนิสัยของนางก็เป็นดั่งแววตานั่นโดยแท้



คุกเข่ากราบนางเป็นอาจารย์เรียบร้อย ข้าก็ย้ายไปพักอาศัยบนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ เนื่องจากยอดเขานี้แต่ไหนแต่ไรมีลูกศิษย์น้อยมาโดยตลอด ถึงมีเรือนพักขนาดเล็กเพียงสองเรือนเท่านั้น เรือนหนึ่งเป็นเรือนของอาจารย์ อีกเรือนย่อมเป็นของศิษย์ แต่เรือนศิษย์ปิดตายทรุดโทรมมาหลายสิบปี อาจารย์หญิงปรายตามองข้าแล้วบอกให้ไปพักที่ห้องข้างของนางเสียก่อน สตรีบุรุษห้ามอยู่ไกลกันก็ช่างมันเถิด ใครกล้าครหาคงมิอยากมีลิ้นไว้พูดจาแล้ว



ขีวิตช่วงแรกบนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์นับว่าลำบากอยู่ไม่น้อย หรือกล่าววาจาชัดเจนก็คือลำบากมากนัก เรื่องฝึกฝนกายใจบำเพ็ญเพียรฝึกตนนั้นยังมิค่อยเท่าไร ต่อให้ต้องคัดอักษรท่องคัมภีร์วันละหมื่นตัวอักษรหรือนั่งสมาธิในถ้ำน้ำแข็งอันแสนหนาวเย็น เยี่ยอู๋จวินผู้นี้ก็มิหวั่นไหว หวั่นไหวอย่างเดียวคือเรื่องอาหารการกิน



แม่นางแซ่เจิ้งมีพลังตบะขั้นสูงมิต้องกินดื่มสิ่งใดเป็นเดือนยังอยู่ได้ ส่วนข้าเป็นเพียงคุณชายน้อยที่เติบโตมาท่ามกลางบริวารมากมาย อยากกินสิ่งใดก็ได้กิน อาจารย์หญิงนางถือคติว่าสิ่งที่กินได้ต่อให้ผสมกันมั่วซั่วเพียงใดก็ยังกินได้ ฉะนั้นไม่ว่าเป็นวัตถุดิบชนิดใดก็จงลงไปนอนต้มในหม้อเสียเถิด ข้าทรมานสารร่างด้วยปลาต้ม เนื้อต้ม ผักกาดดองต้ม สมุนไพรต้ม สารพัดต้มตุ๋นอยู่เดือนหนึ่ง พลันเกิดจิตตั้งมั่นศึกษาวิธีการทำอาหารด้วยตนเองได้ สุดท้ายหน้าที่หุงหาข้าวปลาอาหารจึงเป็นของข้า จากนั้นไม่ว่าสิ่งอื่นใดล้วนเป็นหน้าที่ของเยี่ยอู๋จวินไปทั้งสิ้น



สุดท้ายพักอยู่บนยอดเขาได้สามเดือน นอกจากการฝึกวิชาอันแสนทรมานไปทั้งร่างกายและจิตใจในแต่ละวัน ข้ายังมีหน้าที่คอยต้มน้ำอาบให้อาจารย์หญิง ระหว่างนางอาบน้ำก็ตระเตรียมเสื้อผ้าเครื่องประดับให้เหมาะสม ครั้นนางอาบน้ำเสร็จก็ต้องช่วยแต่งตัวเกล้าผม แรกเริ่มไม่ถูกใจคนมิได้ดุด่าเพียงแต่ให้ข้าวิ่งขึ้นลงเขาสักหลายรอบ นานวันเข้าข้าเริ่มตาถึงเข้าใจในศิลปะความงามของสตรี เสื้อผ้าแบบใดเข้ากับเครื่องประดับแบบใดและทรงผมแบบใด การปรากฏตัวในโลกภายนอกของเจิ้งปิงฉินนับวันยิ่งงดงามตระการตามากขึ้น ภายหลังคิดขึ้นมาได้ว่าที่ข้ารู้ใจสตรีจนเข้าหาพวกนางได้ง่ายดาย คงเพราะวิธีการเลี้ยงดูของแม่นางแซ่เจิ้งเป็นแน่



อยู่นานวันเข้าความเคยชินบังเกิดพลอยรู้สึกว่าชีวิตไม่ยากลำบากเท่าใดแล้ว รากฐานปราณข้านั้นแข็งแกร่งกว่าผู้อื่นอยู่หลายส่วน ทำให้พลังฝึกปรือก้าวหน้าว่องไวดียิ่ง อีกทั้งกิจธุระของยอดเขายังสามารถจัดการได้เป็นอย่างดี อาจารย์หญิงวางใจจนปล่อยข้าทิ้งเอาไว้ผู้เดียวได้ ส่วนนางออกเดินทางเหนือใต้เจ็ดวันสิบวันเดือนหนึ่งจะกลับมาที



ที่จริงแล้วชีวิตดำเนินเรียบง่ายเช่นนี้ก็ดีไม่น้อย หากชีวิตไหนเลยจะง่ายดายปานนั้น ปีนั้นข้าอายุได้สิบสี่กราบคนเป็นอาจารย์มาได้ปีกว่า อาศัยอยู่ที่นี่จนเข้ากลางฤดูหนาว ยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ฤดูนี้ถือว่างดงามอย่างยิ่ง ทิวทัศน์รอบข้างรายล้อมด้วยเหมยแดงที่ออกดอกสะพรั่ง วันหนึ่งอาจารย์ที่หายไปได้ครึ่งเดือนกลับมาพร้อมกลับผ้าสีน้ำตาลหอบหนึ่งในมือ



“คารวะอาจารย์ เดินทางครั้งนี้เหน็ดเหนื่อยหรือไม่” ยามที่นางกลับมาข้ากำลังล้างธัญพืชต้มโจ๊กสำหรับอาหารเย็นอยู่ สมองพลันคิดคำนวณว่าคงต้องต้มเพิ่มอีกสักครึ่งส่วนสำหรับอาจารย์ ธัญพืชสดใหม่ที่คนจากป้อมปราการโลหิตส่งมาให้คงถูกปากนางไม่น้อย



อาจารย์มิได้ตอบกล่าวสิ่งใดนอกจากพยักหน้าให้ข้าครั้งหนึ่งทั้งตอบและไม่ตอบคำถามพร้อมกัน ครั้นสายตาเหลือบไปเห็นผ้าที่ห่อบางสิ่งในมือของอาจารย์ก็ชะงักค้างไปบ้าง แม่นางแซ่เจิ้งผู้นี้เป็นคนจิตใจดีงามยิ่งนัก คนมักเก็บสัตว์สารพัดอย่างกลับมาด้วย หากใช้ประโยชน์ได้ก็ยกให้ยอดเขาอสูรคำราม หากใช้ประโยชน์ไม่ได้ก็เก็บไว้ดูเล่น คราวนี้ที่เก็บมาได้ดูแล้วขนาดตัวใหญ่ไม่น้อย เกรงว่าจะเป็นหมาป่าหรือลูกหมีกระมัง ข้ามองแล้วอดเอ่ยปากถามไปไม่ได้ “ครั้งนี้เก็บตัวอะไรมาได้หรือ”



ตัวอะไรที่ว่าขยับตัวเบาๆ ผ้าสีน้ำตาลจึงหลุดออกจนเห็นนัยน์ตาดำขลับอันจับจ้องเขม็งมายังข้า แม้จะตกใจเล็กน้อยแต่ข้ายังคงรั้งสติวางมาดนิ่งเฉยได้ ถึงใบหน้ามอมแมมฝุ่นควันจนมองผิวกายที่แท้จริงไม่ออก แต่นี่ย่อมเป็นมนุษย์มิใช่หมาป่าหรือลูกหมี อาจารย์ช่างมีพัฒนาการยิ่งนัก คราวนี้นางถึงขั้นเก็บคนเป็นๆ กลับมา คราวหน้ามิรู้ว่าจะเป็นสิ่งใด ข้านิ่งคิดหาวาจาอยู่ครู่หนึ่ง อาจารย์หญิงกลับส่งหอบผ้านั้นให้ข้าพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเป็นอย่างยิ่ง “อาบน้ำหาเสื้อผ้าให้เขา เสร็จแล้วพาไปพบข้า”



กล่าวจบนางพลันสะบัดแขนเสื้อสีขาวหนึ่งครั้งแล้วเดินกลับเรือนไป คงตรงไปยังห้องหนังสือเหมือนเช่นทุกครา ข้าเหลือบมองผู้อื่นที่อยู่ในอ้อมแขนพลันนึกสงสัยว่าอาจารย์คิดทำสิ่งใดกันแน่ หากคิดไปคงไม่ได้คำตอบ จึงเตรียมต้มน้ำใส่ถังทำตามคำสั่งของอาจารย์แทน เด็กผู้นี้ช่างทำให้ผู้คนปวดหัวยิ่งนัก แม้ไม่ได้ส่งเสียงร้องโวยวายอะไร แต่พอเห็นถังน้ำกลับดิ้นปัดออกอาการต่อต้านอย่างชัดเจน ยิ่งข้าพยายามถอดเสื้อผ้าซ่อมซ่อที่มองสีจริงไม่ออก คนยิ่งแสดงอาการไม่พอใจ นอกจากออกหมัดต่อยเตะสะเปะสะปะ ยังถึงขั้นกัดมือข้าเสียจมเขี้ยว



“จะทำเช่นนี้หรือ” ข้าเหลือบมองตัวมอมแมมที่งับมือข้ามิคลาย พอเห็นข้าขยับมือออกเขาก็เปลี่ยนมากัดนิ้วของข้าแทน เห็นดังนั้นข้าจึงหมดอารมณ์ดึงมือออก หากใช้วิธีกดนิ้วเข้าไปในปากผู้อื่นจนลึกยิ่งขึ้นโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด จากนั้นขยับยิ้มอ่อนโยนเป็นมิตรอย่างยิ่ง “อยากกัดก็กัดไปเถิด ฟันซี่ไหนที่เจ้าใช้กัด คนแซ่เยี่ยรับรองว่าจะถอนฟันซี่นั้นออกมาแล้วโยนให้หมากิน”



ได้ยินเช่นนั้นหากยังไม่ยอมปล่อยก็คงพูดจาไม่เข้าใจกันแล้ว เขายอมปล่อยมือออกแล้วทำหน้าคล้ายอยากร้องไห้ยามที่ข้าปลดเสื้อผ้าสกปรกออกจนเหลือร่างกายเปลือยเปล่า ว่ากันตามจริงร่างนี้ไม่น่ามองเลยสักนิด นอกจากซีดเซียวผอมกะหร่องจับตรงไหนมีแต่กระดูก ทั้งเนื้อตัวยังมีแต่แผลฟกช้ำจนผิวกลายเป็นสีเขียวคล้ำเป็นจ้ำเต็มไปหมด หน้าตายามล้างออกแล้วยังบวมเหมือนหัวหมูมองไม่ออกว่าเค้าโครงหน้าเป็นอย่างไรกันแน่ มีเพียงดวงตากลมโตดำขลับที่มองแล้วชื่นตาไม่น้อย สภาพเช่นนี้มิรู้ว่าถูกใครทำร้ายทารุณกรรมมาบ้าง เกิดมาข้าเคยเห็นแต่น้องสาวน้องชายสภาพอ้วนท้วนสมบูรณ์ เห็นเขาแล้วยิ่งแสนสงสารยิ่งแสนเวทนา มือข้าที่ช่วยสางผมเหนียวหนะจับตัวเป็นก้อนจึงขยับเบาแรงอ่อนโยนขึ้นมาก



เสียเวลาอาบน้ำให้ผู้คนเป็นชั่วยาม ร่างที่สกปรกมอมแมมดูสะอาดสะอ้านห่างไกลจากขอทานข้างถนนขึ้นมาบ้าง ผู้คนก็มีท่าทางสงบเสงี่ยมเรียบร้อยขึ้นมากเหมือนกัน บนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์นี้มีเพียงข้าเป็นศิษย์ผู้เดียว เสื้อผ้ามีแต่ชุดสำนัก สุดท้ายเลยจับเขาใส่ชุดสีเทาลายสวัสติกะของตน



ข้าอายุสิบสี่แต่ร่างกายสูงใหญ่กว่าคนวัยเดียวกันอยู่มาก อีกฝ่ายอายุน่าจะเพียงแปดเก้าปีเตี้ยกว่าข้าเกินช่วงศีรษะ สภาพตอนนี้เหมือนทารกน้อยขโมยชุดบิดามารดามาใส่ ดูท่าข้าคงต้องขอเบิกเสื้อผ้าจากคลังสำนักมาหลายชุด ครั้นพับชายเสื้อชายกางเกงให้เสร็จ ข้าที่คิดว่าเขาเด็กกว่ามากจึงอุ้มเขาไปหาอาจารย์หญิงโดยไม่สนใจอาการขัดขืน ภายหลังเมื่อรู้ว่าเขาอายุสิบสองเด็กกว่าข้าเพียงสองปี ทำเอาตกใจไม่ใช่น้อย



เดินไปถึงห้องหนังสือ กลับพบว่าอาจารย์หญิงนั่งเหม่อมองหมุนปิ่นบุปผามุกอันหนึ่งในมือเล่น ข้าวางอดีตตัวมอมแมมลงบนพื้น เจิ้งปิงฉินกวาดมองเด็กชายแล้วพยักหน้าครั้งหนึ่งคล้ายพอใจอยู่มาก “พอสะอาดก็ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาแล้ว”



โกหกหลอกลวงกันแล้วกระมัง สภาพของเขาตอนนี้ถึงสะอาดสะอ้านแต่ก็ไม่เรียกว่าดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้ เหตุเพราะหน้าตาบวมปูดและเนื้อตัวช้ำเลือดช้ำหนอง ท่าทางน่าเวทนาจนหาคำอื่นใดมาอธิบายไม่ได้ อาจารย์คล้ายล่วงรู้ความคิดในใจข้าจึงกระดิกนิ้วเรียกเขาไปหา เด็กชายผู้นี้เรียกว่ารู้ความไม่น้อย กับผู้อื่นอาจต่อต้านอาละวาด กับอาจารย์หญิงมีหรือที่เขากล้าดื้อดึง กระทั่งนางส่งลูกกลอนสีสดใสให้เขายังยอมกลืนลงคอแต่โดยดี ยาเม็ดนี้ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บภายนอกได้ไม่น้อย หัวหมูที่บวมช้ำถึงยังไม่กลับสภาพเป็นหัวคน แต่ไม่ย่ำแย่เท่าเดิมแล้ว



เด็กคนนั้นคล้ายตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง เขาจ้องมองอาจารย์คล้ายมองเห็นเทพเซียน ข้าเห็นแล้วได้แต่กลั้นยิ้มอยู่เบื้องหลัง ส่วนแม่นางแซ่เจิ้งแม้มิได้มีรอยยิ้มอ่อนโยนงดงามเหมือนสตรีผู้ดีงามคนอื่น หากนัยน์ตาของนางยังฉายแววปรานีไม่น้อย น้ำเสียงที่เอ่ยถามก็ไม่ได้เย็นชาเท่าใดนัก “เจ้าชื่ออะไร”



คนเงียบงันเหมือนดั่งเช่นที่เขามิเคยเปิดปาก ข้านึกว่าเขาเป็นใบ้มิสามารถพูดจาได้กำลังจะเอ่ยแทรก หากน้ำเสียงใสไพเราะราวแก้วกระจกกระทบกันกลับดังขึ้นเสียก่อน หน้าตาท่าทางหนักใจไม่น้อย “เขาเรียกข้าเสี่ยวโก่ว[2]”



คำเรียกนั้นจะเป็นชื่อคนได้หรือ ขนาดชื่อเหลียงเหลียงเหลียงของอาจารย์อาแห่งยอดเขาอสูรคำรามยังนับว่าดีกว่ามาก ใบหน้าอาจารย์หญิงคราวนี้เย็นชายิ่งกว่าหิมะอันโปรยปรายอยู่ด้านนอก หนาวเหน็บเสียจนข้ารู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “แต่ก่อนมารดาเรียกเจ้าว่าอะไร”



อดีตตัวมอมแมมนิ่งเงียบคล้ายครุ่นคิดหนักเป็นอย่างยิ่ง ผ่านไปครึ่งค่อนวันถึงอ้าปากพูดต่อได้ “นางคล้ายเคยเรียกข้าว่าอาเป่า”



“ชื่อพวกนั้นคงไม่อาจนับว่าเป็นชื่อคนได้” อาจารย์เจิ้งกล่าวถ้อยคำออกมาได้ตรงใจข้ายิ่งนัก ชื่อจำพวกเป่าเป้ย[3]เป็นชื่อที่บิดามารดาใช้เรียกยังพอรับได้ หากใช้มาเป็นชื่อตนคงน่าอายเสียมากกว่า



“ในเมื่อไม่มีชื่อ ข้าก็จะตั้งให้” อาจารย์หญิงวางปิ่นไข่มุกในมือลงบนกล่องเก็บเครื่องประดับ นัยน์ตายามมองเขาปรากฏประกายแปลกประหลาดยิ่งนัก “ได้พบเจอถือว่ามีบุพเพต่อกัน ชะตาชีวิตคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เจ้ามีรากฐานปราณสูงส่ง กระดูกเซียนแน่นหนา วันข้างหน้าคงได้อยู่เหนือผู้คนมากมาย ฉะนั้นชื่อเจี๋ยอันหมายถึงโดดเด่นเหนือใคร[4]คงเหมาะสม”



อาจารย์หญิงตั้งชื่อได้ยิ่งใหญ่เป็นมงคลยิ่งนัก ชะตาชีวิตที่โดดเด่นเหนือใครล้วนเป็นชีวิตที่ไม่ว่าใครก็ใฝ่ฝันถึงทั้งนั้น หากใจหนึ่งข้ากลับรู้สึกขัดแย้งอยู่บ้าง คำว่าเจี๋ยยังมีอีกตัวอักษรที่หมายถึงโดดเดี่ยว[5]มิใช่หรือ หากแต่เจตนาของอาจารย์คงมิใช่เช่นนั้น บางทีข้าอาจคิดมากเกินไปกระมัง



“เจ้าเป็นทายาทของสกุลไป๋ จากนี้ไปให้ใช้ชื่อว่าไป๋เจี๋ย” อาจารย์กล่าวอย่างเรียบง่ายราวกับแซ่ของเขาไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร หากคนฟังเช่นข้ากลับรู้สึกหนังหัวชาวาบ



สกุลไป๋แม้ไม่ใช่สกุลใหญ่โตในหมู่ผู้ฝึกเซียน หากเป็นสกุลเก่าแก่ที่มีความเป็นมายาวนาน เล่าขานกันว่าโคตรเหง้าบรรพบุรุษเป็นบริวารของซีหวังหมู่มาก่อน กระทั่งไผ่แปดต้นอันเป็นชื่อเรียกของหุบเขาไผ่ศักดิ์สิทธิ์แห่งแห่งซีเปียนจิ่งยังมีตำนานว่าพระแม่ซีหวังหมู่เป็นผู้ปลูกขึ้นด้วยตนเอง สูงส่งงามสง่าไปมาลึกลับจึงเป็นภาพลักษณ์ที่ใต้หล้ารู้จักผู้คนแซ่ไป๋ และด้วยสาเหตุนานัปการทำให้สกุลนี้มีกฎข้อห้ามประจำสกุลแสนเคร่งครัดมากมาย ข้อห้ามสำคัญข้อหนึ่งคืออย่ามักมากประพฤติผิดในกาม ซึ่งหมายความว่าบุรุษสกุลไป๋สามารถมีฮูหยินเอกได้เพียงหนึ่งเดียว



ผู้นำสกุลไป๋รุ่นนี้เป็นบุตรคนเดียวไม่มีพี่น้องอื่นใด ย่อมหมายความว่าตัวมอมแมมคือบุตรชายนอกสมรสที่มิสมควรมีตัวตนอยู่ คิดถึงเรื่องเล่าลือที่มารดาเคยพูดคุยกับเหล่ามารดาคนอื่นๆ คล้ายว่าหลายปีก่อนไป๋ฮูหยินจับได้ว่านายท่านไป๋แอบมีความสัมพันธ์ลับกับสตรีธรรมดานางถึง ไป๋ฮูหยินผู้นี้มาจากสกุลจินอันร่ำรวยเงินทอง หากแต่มีนิสัยขี้หึงอย่างร้ายกาจ ยามนั้นนางจึงอาละวาดใหญ่โตยิ่งกว่าซีเปียนจิ่งเกิดภัยพิบัติ สุดท้ายมิรู้ว่าแม่นางผู้นั้นมีชะตาชีวิตเช่นใดบ้าง แต่พยานรักของทั้งสองคงเป็นไป๋เจี๋ยผู้นี้เสียแล้ว



ตระกูลไป๋ยามนี้มิได้รุ่งเรืองใหญ่โตเหมือนแต่ก่อน เหตุเพราะขาดทรัพยากรบุคคลหนุ่มสาวที่มากความสามารถ ไป๋ฮูหยินสกุลจินมีบุตรชายถึงสามคนก็จริง หนึ่งในสามพลังปราณอ่อนด้อยไม่มีรากฐานเซียน กระทั่งศิษย์นอกของสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ยังมิสามารถเป็นได้ ส่วนอีกสองคนที่เหลือคนหนึ่งได้เป็นเพียงศิษย์นอกของยอดเขาทิพย์โอสถ อีกคนมีความสามารถธรรมดาทั่วไปเหนือกว่าพี่น้องคนอื่นอยู่บ้าง แต่ก็ได้เป็นเพียงศิษย์ในของยอดเขาปราการโลหิต ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ช่วยของอาจารย์ผู้แจกจ่ายภารกิจเพียงเท่านั้น



นิสัยของทั้งสองคนเป็นเช่นไร ข้าคงมิสามารถแจกแจงได้มากนัก เนื่องจากมิได้มีความสนิทสนมอันใด เคยพูดจาเพียงผิวเผินก็คิดว่าพวกเขาสุภาพเรียบร้อยค่อนข้างถือตัวเย็นชาห่างเหิน มิได้เป็นมิตรน่าคบหาเท่าใดนัก ข้าที่ขยันพูดจากับผู้คนไปทั่วยังรู้สึกเหนื่อยหน่ายมิค่อยอยากเสวนาด้วย



“คุกเข่าลงเสีย” เสียงใสเย็นเยียบของอาจารย์หญิงดังขึ้นเรียกข้าลุกขึ้นจากภวังค์ ไป๋เจี๋ยแม้ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์หากยอมคุกเข่าไปโดยดี ต่อไปย่อมเป็นการกราบอาจารย์เข้าเป็นศิษย์ แม้มิได้เข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ตามปรกติ แต่เมื่ออาจารย์พึงใจเลือกเจ้าแล้ว ยังจะต้องมีการคัดเลือกอันใดอีกเล่า “จากนี้ไปเจ้าคือไป๋เจี๋ยศิษย์ในของยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์สำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์”



ดวงตาดำขลับส่องประกายวาววับจนทำให้ใบหน้าบวมน่ามองขึ้นหลายส่วน ข้าได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ แม้รู้สึกว่าวันข้างหน้าต้องดูแลผู้คนถึงสองคนคงลำบากขึ้นแล้ว แต่กลับไม่มีความรู้สึกไม่ยินยอมแม้แต่ส่วน สมองมีเพียงความคิดว่าชีวิตไป๋เจี๋ยที่ผ่านมายากลำเค็ญเช่นไร คุณชายผู้มีชีวิตสุขสบายมาทั้งชีวิตคงไม่ค่อยเข้าใจ การที่อาจารย์รับเขาศิษย์ของยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ล้วนเป็นเรื่องเหมาะสมดีแล้ว ดีกว่าปล่อยให้เขาไปใช้ชีวิตอย่างสะเปะสะปะ คราวนี้อนาคตจะเป็นเช่นไรต่างขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้คน



เจิ้งปิงฉินครองยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์มายี่สิบปีมิเคยรับศิษย์สักคน ยามที่ข้ากราบนางเป็นอาจารย์ผู้คนต่างเล่าขานว่าคุณชายใหญ่สกุลเยี่ยบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ชาตินี้คงได้เป็นผู้สืบทอดเป็นแน่ ที่ไหนรับข้ามาได้เพียงปีกว่ากลับรับตัวมอมแมมมาเป็นศิษย์เพิ่มอีกคนเสียแล้ว โชคชะตาช่างเล่นตลกดีแท้



เวลานั้นข้ายังเยาว์วัยอยู่มาก ไหนเลยจะเข้าใจคำว่าโชคชะตาเล่นตลกกับผู้คนที่แท้จริงแล้วเป็นเช่นไร



โปรดติดตามตอนต่อไป...





ซินเอ๋อร์:

พูดเกริ่นถึงเรื่องราวเมื่อปีนั้นมาหลายครั้งแล้ว เพราะงั้นขอเล่าย้อนหน่อยนะคะว่าในปีนั้นมีอะไรกันแน่ จากนี้จะเป็นการย้อนอดีตสมัยอู๋เกอวัยใสและอาเจี๋ยวัยรุ่นค่ะะ แล้วค่อยเป็นการผจญภัยของอู๋เกอต่อไป ส่วนพาร์ทอดีตจะมีฉากตัดเข้าโคมไฟไหม ต้องติดตามกันตอนต่อไปค่ะะ

ตอนนี้ฟุตโน้ตเยอะหน่อย เรื่องชื่อของอาเจี๋ยนี่เถียงกันตั้งแต่ตอนอาเจี๋ยยังไม่เปิดตัวว่าควรจะมีความหมายว่าอะไรดีถึงจะสอดคล้องกับเรื่อง สุดท้ายเลยออกมาเป็นไป๋เจี๋ยที่หมายถึงโดดเด่นค่ะ ขอบคุณและขอโทษหมีย์ด้วยที่โดนใช้เปิดดิกหาศัพท์อยู่หลายวัน

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่า





เชิงอรรถ

^ [1] 郑冰琴 แซ่เจิ้ง นามปิงฉิน ปิงฉินมีความหมายว่าพิณน้ำแข็ง
^ [2] 狗 โก่ว มีความหมายถึงสุนัข ชื่อจึงมีความหมายทำนองว่าเจ้าหมา
^ [3] 宝贝 เป่าเป้ย หมายถึงสิ่งมีค่า ใช้เรียกเด็กเล็กๆ หรือลูกหลาน
^ [4] 杰 เจี๋ย ใช้อักษรตัวนี้ หมายถึงโดดเด่นเหนือใคร หรือวีรบุรษก็ได้
^ [5] 孑 เจี๋ย ใช้อักษรตัวนี้หมายถึงโดดเดี่ยว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-10-2019 01:46:27 โดย ซินเอ๋อร์ »

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
ความรู้สึกลึกซึ้งอันแสนพูดยากเมื่อปีนั้น (2)



ครั้นอาจารย์หญิงรับไป๋เจี๋ยมาเป็นลูกศิษย์อีกคน ยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์จากที่เคยเงียบสงบกลับคึกคักขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แรกเริ่มเป็นเหล่าผู้อาวุโสและเจ้ายอดเขาต่างๆ ภายในสำนักที่มา ‘ดูตัว’ ศิษย์คนใหม่ กระทั่งบิดาและพี่ชายของเขายังมาเยี่ยมเยียน ปิดประตูพูดคุยกับแม่นางแซ่เจิ้งอยู่พักใหญ่ มิรู้ว่านางว่ากล่าวสิ่งใด คนจึงกลับไปด้วยใบหน้าซีดเซียวหมดสภาพผู้นำสกุลเซียนอันศักดิ์สิทธิ์เสียสิ้น



ดูตัวเห็นหน้ากันครบถ้วนทุกกระบวนความแล้ว ความสุขสงบก็ควรกลับคืนมาเช่นเคย แท้จริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ทุกสองสามวันมักจะมีลูกศิษย์จากยอดเขาอสูรคำรามและยอดเขานภาไร้สรรพเสียงมาประลองฝีมือประลองกำลังกับศิษย์น้องของข้าตั้งแต่เช้าจรดเย็น ผ่านไปสามเดือนครึ่งปีผู้อื่นที่จากร่างกายผอมกะหร่องอุตส่าห์อ้วนท้วนสมบูรณ์จนมองเห็นเค้าโครงความงามบนใบหน้าแล้วกลับต้องมาโดนทุบตีทุกวัน มิรู้ว่าศิษย์พวกนั้นรับสินบนสินน้ำใจจากไป๋หลี่เหอหรือไป๋หลี่ฟู่บุตรชายทั้งสองของไป๋ฮูหยิน นับวันจึงยิ่งลงมือหนักขึ้นจนหน้าหยกของไป๋เจี๋ยกลับมาบวมปูดอีกครั้ง น่าเวทนาสงสารยิ่งนัก



“เจ็บหรือ” อาจารย์เจิ้งหลุบสายตามองไป๋เจี๋ยที่นั่งอยู่บนพื้นด้วยอาการสะบักสะบอม นางอยู่ในจุดที่สูงกว่าย่อมทำให้ภาพลักษณ์ดูสูงส่งสง่างามกว่าปรกติ น้ำเสียงยามสั่งสอนเย็นชาจนไม่มีความเมตตาแม้แต่ส่วน “เจ็บกายเจ็บใจแล้วอย่างไรเล่า หากวันหน้ามิรู้จักแข็งแกร่งขึ้น ถูกผู้คนรังแกจะเรียกร้องสิ่งใดได้หรือ”



ช่างเป็นการสั่งสอนแสนเหี้ยมโหดราวกับแม่เสือที่ผลักลูกลงเหวโดยแท้ กระทั่งยาลูกกลอนรักษาอาการบาดเจ็บนางยังไม่มอบให้ศิษย์คนใหม่สักลูก หลายครั้งข้าทนมองศิษย์น้องโดนรังแกไม่ได้จึงแอบดีดลูกหินใส่ศิษย์จากยอดเขาอื่นหรือไม่ก็แอบเอายาผสมอาหารให้เขากิน เมื่ออาจารย์รู้เข้าย่อมถูกลงโทษ ครั้งแรกนางนำไก่เฟยจูเชวี่ยของอาจารย์อาเหลียงไปปล่อยไว้ในป่าของยอดเขานภาไร้สรรพเสียงแล้วออกคำสั่งให้ข้าไปตามหา ครั้งต่อมานางจับข้าไปขังไว้ในถ้ำน้ำแข็งพร้อมวางค่ายกลแปดทิศซ้อนอาคมสายฟ้า แต่ละครั้งกว่าจะรอดมาได้เรียกว่าหมดสภาพแท้ๆ



ข้าเห็นเขาเจ็บตัวทุกวันถ้าไม่รู้สึกอะไรคงโกหกกันแล้ว วันหนึ่งไป๋เจี๋ยถูกศิษย์ที่มีระดับบำเพ็ญเพียรสูงกว่าตีเสียจนขาหัก ข้าทำแผลป้อนยาให้เขาเสร็จแล้วรู้สึกทนไม่ไหวบากหน้าไปหาอาจารย์หญิง เสนอตัวเป็นคู่ฝึกซ้อมของศิษย์น้องแทน ดีร้ายอย่างไรข้ายังรู้จักออมมือย่อมไม่ปล่อยให้คนเจ็บตัวถึงเพียงนี้ เจิ้งปิงฉินเหลือบมองข้าด้วยสายตาเกียจคร้านเฉยชา นางตอบเพียงว่า “ศิษย์พี่ศิษย์น้องควรรักใคร่กลมเกลียว เรื่องกดดันสร้างความเกลียดชังปล่อยให้เป็นหน้าที่ผู้อื่นเถิด”



ได้ยินเช่นนั้นแล้วข้าจะว่ากล่าวสิ่งใดได้ ชะตาชีวิตของพี่น้องสกุลไป๋ภายภาคหน้าคงลำบากแย่แล้ว ข้ายังคงทำหน้าที่ศิษย์พี่ได้ดีเป็นอย่างยิ่ง ทั้งผูกมิตรกับศิษย์จากยอดเขาทิพย์โอสถเพื่อหว่านล้อมให้ช่วยแบ่งยามาให้ คอยทำแผลที่บาดเจ็บให้ผู้คน สั่งสอนไป๋เจี๋ยให้อ่านเขียนฝึกเคล็ดวิชาต่างๆ นอกจากนั้นคือการศึกษาอาหารการกินที่ช่วยบำรุงร่างกายและรากฐานปราณ ใจหวังเพียงว่าศิษย์น้องเอ๋ย...เจ้าจงแข็งแกร่งขึ้นเร็วๆ เถิด



ไป๋เจี๋ยยามกลางวันเข้มแข็งเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้ถูกซ้อมจนเจ็บกายเจ็บใจเพียงใดก็มิเคยปริปากร้องอ้อนวอนขอความเมตตา หากยามกลางคืนคนมักฝันร้ายยาวนานทั้งคืน มิรู้ว่าฝันถึงสิ่งใดแต่ร่ำไห้น้ำตาหลั่งรินเต็มสองข้างแก้ม เมื่อเขาไม่เคยเอ่ยปากข้าย่อมทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ยามนี้ข้าและเขาย้ายมาอยู่เรือนพักศิษย์ด้วยกันสองคน เรื่องนี้จึงไม่ถูกแพร่งพรายออกไป จนกระทั่งวันที่เขาถูกตีจนขาหักกลับมา เยี่ยอู๋จวินผู้นี้กลับหมดความอดทนเสียแล้ว



กลางดึกคืนนั้นข้าค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปในห้องพักที่หน้าตาเหมือนห้องของข้าทุกประการ เห็นศิษย์ผู้น้องนอนอยู่บนเตียงด้วยท่าทางกระสับกระส่าย เหงื่อกาฬผุดพรายเต็มใบหน้าคล้ายเจ็บปวดอย่างมาก ริมฝีปากแตกระแหงเปิดออกละเมอเป็นถ้อยคำอันจับใจความไม่ได้ แม้ดวงตาจะปิดสนิท แต่หางตายังคงปรากฏหยาดน้ำตาไหลริน ข้างแก้มมีน้ำตาสองสายดั่งคนร้องไห้มายาวนานต่อเนื่อง



ข้าถอนหายใจแผ่วเบาแล้วแตะมือกับหน้าผากที่ร้อนผะผ่าวด้วยพิษไข้ ไม่รู้ว่ามือข้าเย็นหรืออย่างไร คนจึงคว้าตรึงเอาไว้ซุกข้างแก้มซ้ำยังคลอเคลียซุกไซ้ราวสัตว์ตัวน้อยที่ออดอ้อนเจ้าของ คราวนี้เสียงร่ำไห้พึมพำไม่หยุดเงียบลงไปบ้างแล้ว หากหยดน้ำราวไข่มุกที่เกาะบนแพขนตาหนากลับทำให้ข้ารู้สึกเจ็บปวดใจกว่าเดิม แรกเริ่มเพียงต้องการมาดูอาการหายาให้ผู้คนเพียงเท่านั้น ครั้นรู้ตัวอีกทีข้าก็อุ้มไป๋เจี๋ยกลับห้องนอนตนเองเสียแล้ว



ยามเลือกห้องนอนข้าถือตนเองเป็นศิษย์พี่อาศัยที่นี่มานานกว่า ซ้ำยังมีหน้าที่ดูแลความเป็นอยู่ชีวิตประจำวันของทั้งอาจารย์และศิษย์น้อง ข้าจึงถือวิสาสะยึดครองห้องที่เตียงกว้างใหญ่ที่สุดเพื่อการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ มาเวลานี้ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องดีแล้ว ถึงไป๋เจี๋ยตัวไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่เด็กหนุ่มวัยกำลังโตอย่างพวกข้าให้นอนเบียดกันมากนักคงไม่ดีเท่าใด



ข้าวางร่างไป๋เจี๋ยลงบนพื้นเตียง หาผ้าชุบน้ำมาเช็ดเหงื่อที่หน้าและลำคอจนสะอาดเรียบร้อย จากนั้นก้าวขึ้นไปบนเตียงก่อนจัดท่านอนห่มผ้าให้เขาใหม่ ครั้นจะขยับมือออกศิษย์น้องกลับคว้ามือข้าเอาไว้ก่อน นัยน์ตาดำขลับที่ยังฉ่ำน้ำด้วยพิษไข้มองมาด้วยความไม่พอใจราวกับร้องถามว่าข้ากำลังทำการชั่วร้ายอันใดอยู่



“นอนเสีย” ข้าเอื้อมมือไปลูบศีรษะของศิษย์น้องเบาๆ แล้วล้มตัวนอนลงเคียงข้าง ไป๋เจี๋ยขยับกายออกจนเกือบตกเตียง คนผู้นี้ช่างไม่รู้จักสำเหนียกตนเองดีแท้ ขาหักเป็นสองท่อนแล้วยังไม่รู้จักถนอมตน ข้าสอดแขนรั้งรอบเอวของเขาเอาไว้ โอบร่างเข้ามากอดหลวมๆ เวลาน้องสาวน้องชายฝันร้ายแต่เข้าไปรบกวนมารดาไม่ได้ก็เคยปีนขึ้นเตียงขอให้ข้านอนกอดเช่นนี้ ไป๋เจี๋ยที่ฝันร้ายถ้ามีคนนอนกอดไว้คงอาการดีบ้างขึ้นกระมัง



ศิษย์น้องตัวแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ เขาพยายามแกะมือข้าออก ยิ่งแกะมากขึ้นเท่าไร ข้ากลับยิ่งรั้งเขาเข้ามาใกล้ขึ้นเท่านั้นจนใบหน้าแนบชิดกับแผ่นอก ข้าอดปลอบเขาสองสามประโยคไม่ได้ “อาจารย์มิได้อยู่ที่นี่ เจ้ามิต้องแสร้งทำเป็นแข็งแกร่งแล้ว ข้าเป็นศิษย์พี่ของเจ้า เจ้าอ่อนแอต่อหน้าศิษย์พี่ย่อมไม่มีใครสามารถตำหนิได้”



ไป๋เจี๋ยนิ่งเงียบไปพักใหญ่จนข้านึกว่าเขาหลับไปแล้ว กระทั่งสัมผัสได้ถึงความร้อนวาบราวไฟแนบจากน้ำตาที่หยดซึมผ่านเนื้อผ้ามาถึงผิวเนื้อ การร้องไห้อันเงียบงันไร้เสียงกลับทำให้ข้ารู้สึกสงสารเวทนาจนเจ็บปวดใจยิ่งกว่ายามเห็นเขานอนละเมอร่ำไห้เสียอีก ข้าเอื้อมมือไปตบหลังเขาเบาๆ พลางเอ่ยปลอบใจ “บางสิ่งฝืนทนมากไปย่อมไม่เกิดผลดี ทุกวันนี้มิใช่ว่าฝืนทนจนฝันร้ายอยู่ทุกคืนมิใช่หรือ จากนี้ไปมานอนกับข้าเถิด อยากร้องไห้เท่าใดก็ร้องได้”



“หากมิแข็งแกร่งขึ้น...อาจารย์จะไม่พอใจได้” ไป๋เจี๋ยตอบเสียงเบาหวิวราวลมพัด ปรกติเขาเป็นคนปากหนักพูดน้อย ได้เอ่ยปากระบายความอัดอั้นในใจบางคงดีไม่น้อย ฟังแล้วข้าได้แต่ส่ายหน้าในใจ ทุกวันนี้มิใช่ว่าฝีมือเขาไม่ก้าวหน้า ถูกเคี่ยวกรำอย่างกดดันเช่นนี้มีหรือจะไม่เก่งกาจขึ้น หากแต่ศิษย์ที่อาจารย์อาโจวและอาจารย์อาเหลียงพามาฝึกกับเขาล้วนแต่เปลี่ยนเป็นคนที่มีระดับสูงกว่าเขาหลายขั้นอยู่เสมอ ที่เห็นหน้าตาคล้ายเดิมนั้นเป็นเพียงกลหลอกลวงกันเท่านั้น



“อาจารย์ถูกผู้คนตามใจจนเสียนิสัยหมดแล้ว นางมิใช่มารดาของเจ้า หากนางไม่พอใจก็ปล่อยนางไปเถิด” คำพูดนี้ฟังตรงไหนก็ไม่มีส่วนที่ไม่เหมาะสม หากเด็กในอ้อมแขนกลับสะอื้นไห้ขึ้นมากะทันหัน ข้านิ่งชะงักไปบ้างพลางคิดขึ้นได้ว่าไป๋เจี๋ยสูญเสียมารดาไปตั้งแต่เยาว์วัย พออาจารย์เก็บเขากลับมาเลี้ยงดูซ้ำยังตั้งนามมงคลให้ เกรงว่าศิษย์น้องคงมองนางเป็นมารดาเป็นครอบครัวของตนไปแล้วกระมัง



อาจารย์หญิงที่อบรมสั่งสอนคล้ายเป็นผู้มีพระคุณดั่งมารดาคนที่สองของเหล่าศิษย์...เรื่องนี้ยังยอมรับได้บ้าง หากแต่คนอย่างแม่นางแซ่เจิ้งจะเป็นมารดาใครได้กัน มารดาควรทำอาหารได้ปลอบลูกชายเป็น อาจารย์หญิงแม้เลี้ยงดูศิษย์เป็นอย่างดี แต่นางทำอาหารไม่ได้ ปลอบโยนใครก็ไม่เป็น ความสำราญนอกจากการทรมานปั่นหัวผู้คนคือการให้อาหารปลาทองยักษ์ ยกนางเป็นมารดาชีวิตเจ้าจะไม่อับจนเกินไปหรอกหรือ



“นอกจากท่านแม่กับอาจารย์...ก็ไม่มีใครดีกับข้าแล้ว” แม้มองไม่เห็นหน้าแต่ข้ายังคงเดาได้ว่าสีหน้าของไป๋เจี๋ยยามนี้คงย่ำแย่มากนัก ข้าถอนหายใจแผ่วเบาแล้วกระชับเขาแน่นขึ้น คุณชายที่มีชีวิตสุขสบายมาโดยตลอดเช่นข้าย่อมไม่อาจเข้าใจความยากลำบากของเขาได้ แต่ความรู้สึกสงสารกลับมีอยู่เต็มหัวใจเลยทีเดียว



“มีศิษย์พี่ก็เหมือนมีพี่ชาย นับจากนี้ถือเสียว่าข้าเป็นครอบครัวของเจ้าคนหนึ่ง ครอบครัวที่ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ล้วนอยู่ข้างกายก้าวข้ามอุปสรรคไปด้วยกัน” ข้ากล่าวได้องอาจจริงจังยิ่งนัก ที่ผ่านมาไป๋เจี๋ยเป็นตายร้ายดีไม่รู้ว่าสาเหตุใดก็ดื้อดึงไม่ยอมเรียกข้าว่าศิษย์พี่ มาคราวนี้ให้เรียกว่าพี่ชายแทนไม่รู้ว่าผู้อื่นจะยอมเรียกหรือไม่



“...” ไป๋เจี๋ยเงียบหายไปอีกครั้ง จนข้ารู้สึกคับข้องใจว่าเยี่ยอู๋จวินผู้นี้มีส่วนไหนที่ไม่ดีกัน สกุลเยี่ยเป็นสกุลเซียนใหญ่มีอำนาจเงินตราเสียกว่าสกุลไป๋เสียอีก ทั้งหน้าตาทั้งรากฐานปราณสำหรับศิษย์ในรุ่นเดียวกันถือว่าข้าเป็นอันดับหนึ่ง อุปนิสัยร่าเริงเข้ากับคนง่ายจิตใจดี ล้วนดีงามทั้งสิ้นมิใช่หรือ จิตฟุ้งซ่านอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายคิดขึ้นว่าควรเข้านอนได้แล้ว พอปิดเปลือกตาลงกลับได้ยินเสียงใสอันแฝงด้วยความลังเลดังขึ้นอย่างแผ่วเบา “...อู๋เกอ”



ริมฝีปากที่บึ้งตึงคลี่ออกเป็นรอยยิ้มเมื่อไรข้าเองก็ไม่ทันได้รู้ตัว ปลายนิ้วตบแผ่นหลังเล็กอย่างแผ่วเบา เสียงที่เอ่ยออกไปอ่อนโยนยิ่งกว่าเวลาข้าปลอบน้องหญิงชายของตนเสียอีก ภายหลังมาย้อนคิดดูนี่คงเป็นความหวั่นไหวใกล้ชิดอย่างหนึ่ง “อืม...จากนี้ไปอู๋เกอจะดีกับอาเจี๋ยให้มาก นอนได้แล้ว”



พ้นจากคืนนั้นระยะห่างที่อีกฝ่ายเคยมีพลันลดลงเสียจนไม่มีช่องว่างตรงกลางอีกต่อไป ยามกลางวันข้าฝึกวิชาของข้า จัดการกิจธุระการงานของอาจารย์ หากมีเวลาว่างค่อยไปนั่งดูการแลกเปลี่ยนวิชาระหว่างไป๋เจี๋ยและศิษย์จากยอดเขาอื่น ตกเย็นหลังหุงหาอาหารแล้วจึงกลับถึงเรือนพักทำแผลให้ศิษย์น้อง คอยชี้แนะเคล็ดวิชาบางอย่างที่พอแนะนำได้ ยามดึกนอนข้างกาย เวลาเขาละเมอร้องไห้ก็คอยปลอบ บางครั้งโอบกอดเขาจนถึงเช้ายังมี ผ่านไปหลายเดือนนิสัยนอนละเมอลดลงจนหายไปแล้ว สิ่งที่เพิ่มมาเป็นความเคยชินที่ต้องมีข้านอนเคียงข้าง สุดท้ายไป๋เจี๋ยจึงย้ายห้องมาถาวรโดยมิบอกอาจารย์



เมื่อศิษย์น้องเข้าสำนักมาได้เกือบหนึ่งปี ฝีมือคนเร่งรุดก้าวหน้าจนตามหลังข้าอยู่ไม่ไกลนัก จากเคยโดนผู้อื่นทุบตีกลายเป็นทุบตีผู้อื่นแทน ศิษย์จากยอดเขาอสูรคำรามและยอดเขานภาไร้สรรพเสียงคงรวมตัวร้องเรียนท่านเจ้าสำนักกันกระมัง อาจารย์อาเสิ่นถึงได้เดินหน้าเคร่งมาหาอาจารย์หญิงถึงยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งคนก็จากไป การแลกเปลี่ยนวิชาระหว่างสามยอดเขาจึงถึงคราวจบลง ท่ามกลางความยินดีของเหล่าศิษย์รักของอาจารย์อาโจวและอาจารย์อาเหลียงพร้อมคำร่ำลือว่าศิษย์ของเจิ้งปิงฉินทั้งสองคนล้วนเป็นอัจฉริยะเหนืออัจฉริยะ แม่นางแซ่เจิ้งช่างตาถึงดีแท้



ยามนี้ไป๋เจี๋ยมิได้ถูกผู้คนทุบตีอีกต่อไป ใบหน้าย่อมไม่บวมช้ำน่าสลดเหมือนแต่ก่อนแล้ว แม้ยังเยาว์วัยแต่องคาพยพและผิวขาวจัดดั่งหิมะล้วนประกอบกันได้เหมาะเจาะดียิ่ง กอปรกับนิสัยขยันไขว่คว้าหาความรู้ยิ่งทำให้รวมกันแล้วดูแล้วเป็นเด็กหนุ่มหน้าตางดงามอนาคตไกลไม่น้อยหน้าคุณชายจากสกุลใหญ่เลยสักนิด



อาจารย์หญิงมีมรรคาในการสั่งสอนเหล่าศิษย์ได้แปลกประหลาดตามนิสัยของนาง นอกเหนือไปจากการสอนสั่งรายเฉพาะบุคคลแบบพิเศษที่เดือนสองเดือนจะมีครั้ง ส่วนใหญ่แล้วมักเป็นช่วงเวลาอิสระอยากเรียนรู้สิ่งใดก็แล้วแต่ความพากเพียรของเจ้าเถิด ภายใต้การอบรมเลี้ยงดูจากแม่นางแซ่เจิ้งไม่ถึงปี ไป๋เจี๋ยก็กลายเป็นคนกระหายความก้าวหน้าใฝ่หาความสำเร็จไปเสียแล้ว เมื่อไม่มีศิษย์จากยอดเขาอื่นมาให้ทะเลาะวิวาท ซ้ำยังเรียนรู้ได้ว่องไว เขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายเป็นการออกล่าภารกิจที่สำนักรับเรื่องร้องเรียนต่างๆ มาจากทั่วสารทิศแทน สามวันห้าวันหายตัวไปครั้งหนึ่ง พอกลับมาก็ขนข้าวของเงินตรามากมายกลับมาด้วย ทำให้อาหารการกินความเป็นอยู่ยิ่งสะดวกสบายดีขึ้น ช่างเป็นตัวเรียกความมั่งคั่งดีแท้



ตั้งแต่มีศิษย์น้องเพิ่มเข้ามาให้ข้าดูแล เยี่ยอู๋จวินจากมีชื่อเคยเป็นยอดฝีมือแถวหน้าในรุ่นเดียวกันพลันเก็บตัวเงียบหายหน้าหายตา เวลาที่ผ่านมาใช่ว่าตบะไม่คืบหน้า เพียงแต่ข้ามัววุ่นวายจัดการเรื่องราวต่างๆ จนมิได้มีโอกาสไปทำภารกิจสร้างชื่อเท่านั้น ครั้นเห็นไป๋เจี๋ยแข็งแกร่งขึ้นดูแลตนเองได้ มิใช่ขอทานน้อยผู้อ่อนแอโดนรังแกได้ง่ายดายเหมือนแต่ก่อน จึงคิดได้ว่าเอ้อระเหยลอยชายมาเป็นครึ่งปีแล้ว คราวนี้สมควรปิดด่านเก็บตัวทะลวงระดับเสียที



แจ้งความต้องการกับอาจารย์ขอใช้ถ้ำน้ำแข็งเป็นที่เรียบร้อย ข้ากล่าวลาพร้อมสอนสั่งไป๋เจี๋ยอยู่อีกหลายคำว่าให้เขาดูแลตนเองให้ดี อย่าได้ทะเยอทะยานเกินไปจนเป็นภัย เห็นศิษย์น้องเรียกอู๋เกอขอบตาแดงเรื่อก็ได้แต่ตบบ่าปลอบใจว่าข้าเพียงเก็บตัวทะลวงขั้นมิได้เสี่ยงตายถึงแก่ชีวิตเสียเมื่อไร หากระดับแค่นี้ยังผ่านไม่ได้ เคราะห์อัสนียามเลื่อนระดับเป็นเซียนคงไม่รอดกันแล้ว



เดิมทีระยะเวลาที่ปิดด่านกินเวลาราวสามเดือน ข้ากลับใช้เวลาเพียงเจ็ดวันเท่านั้น รอจนคิดว่ารากฐานแข็งแรงดีจึงเก็บข้าวของออกมาจากถ้ำน้ำแข็ง ในยามนี้ข้าถือว่ามีระดับสูงสุดในบรรดาอนุชนและศิษย์รุ่นใกล้เคียงกัน ต่อให้ไม่ได้มีนิสัยหยิ่งผยอง แต่คราวนี้มิต้องไว้หน้ากว่าใครยิ่งกว่าเดิมแล้ว



ข้าเดินกลับเรือนพักของตนเพื่อไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชำระกาย เหลือบเห็นอาจารย์อาโจวหน้าตาคมคายท่าทางสูงสง่ายืนแอบหลังต้นไผ่แล้วอดคิ้วกระตุกขึ้นมาไม่ได้ สายตาของโจวอี้กั๋วจับจ้องไปยังแม่นางแซ่เจิ้งที่ยืนให้อาหารปลาทองยักษ์สัตว์เลี้ยงสุดโปรดของนางอยู่กลางสะพาน เวลานี้คนมิต้องพาศิษย์มาแลกเปลี่ยนความรู้อีกต่อไป จึงมิได้มีกิจธุระให้มาพบปะสตรีผู้ดีงามได้บ่อยๆ อีกต่อไปแล้ว อาจารย์อาแซ่โจวอันที่จริงมีบุคลิกงามสง่ามิใช่หรือ ไยกระทำการดังคนโรคจิตชอบแอบดูเช่นนี้



ความสัมพันธ์รักสามเส้าของอาจารย์หญิง อาจารย์อาเหลียงและอาจารย์อาโจวนับวันยิ่งผลักดันให้คนเพี้ยนหนักยิ่งกว่าเดิมแล้ว อาจารย์อาโจวชอบมาเกาะต้นไผ่แอบมองแม่นางแซ่เจิ้งแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อาจารย์อาเหลียงยามเห็นแม่นางแซ่เจิ้งก็มือไม้พันกันพูดจาฟังไม่รู้เรื่อง ถึงผู้เยาว์ไม่ควรไปวุ่นวายเรื่องราวของผู้อาวุโส แต่ปล่อยผู้คนเอาไว้เช่นนี้ย่อมไม่เป็นการดี เกรงว่าข้าต้องหาเวลาพูดคุยกับเจิ้งปิงฉินสักหน่อย



ข้าทำเป็นไม่เห็นภาพน่าอดสูเบื้องหน้าแล้วเดินเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง อาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกายจนเสร็จ ค่อยออกเดินหาศิษย์น้อง แต่ทั่วทั้งยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์กลับไม่พบเจอผู้คน ไป๋เจี๋ยคงไปรับภารกิจหาวิธีฝึกปรือตัวเองเหมือนเช่นเคย ข้าเองก็ห่างหายจากการลงเขาออกนอกสำนักไปเนิ่นนาน จึงคิดว่าควรไปรับภารกิจบ้างเช่นกัน เดือนหน้าจะเป็นวันครบรอบหนึ่งปีที่ศิษย์น้องเข้าสำนักและถือว่าเป็นวันเกิดของเขาอีกด้วย ปีนี้คนอายุสิบสาม ควรมีของดีติดกายเสียบ้าง



พอไปถึงยอดเขาปราการโลหิตกลับพบว่าอาจารย์อาซูผู้แจกจ่ายภารกิจให้กับเหล่าศิษย์ในสำนักมิได้อยู่ประจำที่เช่นเคย หากมีแต่ศิษย์พี่ตู้ผู้มีนิสัยเรียบร้อยจริงจังคอยส่งป้ายหยกจำแนกตามระดับให้กับศิษย์จากยอดเขาอื่นๆ อยู่ คนเงยหน้ามองข้าที่เพิ่งเลื่อนระดับด้วยสายตาอันเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม ยังไม่ทันได้เลือกหาภารกิจที่เหมาะสมกับตนกลับได้ยินเสียงหนึ่งจากด้านหลังเสียก่อน



“ทำแบบนี้จะดีหรือศิษย์พี่ไป๋ ใช้โอกาสที่ศิษย์พี่เยี่ยเก็บตัวฝ่าด่านมอบภารกิจยากเย็นเช่นนั้นให้ไป๋เจี๋ย หากคนล่วงรู้เข้าจะไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรือ” ได้ยินเสียงที่พาดพิงทั้งตนเองและศิษย์น้อง ย่อมทำให้ป้ายหยกที่ถืออยู่ในมือชะงักค้างไป ข้าเหลือบมองหางตาเห็นเป็นศิษย์น้องหญิงคนหนึ่งกำลังพูดจากับพี่ชายต่างมารดาของไป๋เจี๋ยอยู่



“ข้าหรือจะเกรงกลัวคนแซ่เยี่ย” เสียงหัวเราะของไป๋หลี่เหอดังทิ่มแทงโสตประสาทยิ่งนัก คนสกุลไป๋อายุมากกว่าข้าห้าหกปี เข้าสำนักมาก่อนรุ่นหนึ่ง แต่ก่อนมีระดับสูงกว่าขั้นหนึ่งจึงคิดว่าสามารถรับมือข้าได้ไม่ยากนั้น หากเขายังไม่รู้ว่าข้าออกจากการกักตนซ้ำระดับยังเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าเดิมก้าวหน้ากว่าเขาหลายขั้น “กว่าเยี่ยอู๋จวินจะออกมา เจ้าหมาป่าตาขาวตัวนั้นคงไม่เหลือแม้แต่เสี้ยววิญญาณกระมัง”



ศิษย์พี่ตู้เห็นหน้าตาข้าเครียดขึ้งจนส่งรังสีอำมหิตออกมาทั่วก็รีบร้อนส่งป้ายหยกภารกิจอันหนึ่งให้ด้วยมืออันสั่นเทา ข้ากวาดตาอ่านตัวอักษรด้วยความรู้สึกหนาวเหน็บ เมืองเฮ่าทางที่ราบตอนเหนือมีปีศาจกลืนจิตออกอาละวาด ปีศาจตนนี้เริ่มจากกลืนจิตหมู่บ้านเล็กๆ ทางทิศตะวันออก จากนั้นย้ายมาเมืองเฮ่า ใช้เวลาเพียงสิบวันกลืนจิตผู้คนมากมายทั่วเมืองจนชาวบ้านหลบหนีทั้งเมืองเหลือแต่เมืองร้าง



ปีศาจกลืนจิตมีลักษณะคล้ายหมอกควันสีดำชนิดหนึ่ง แม้มิใช่ปีศาจที่มีตบะแกร่งกล้า แต่มันกลับรู้จักจับจุดอ่อนของมนุษย์ยิ่งนัก มันลอบเข้าไปในความนึกคิดและจิตใจเพื่อดึงนำความทรงจำอันเลวร้ายดำมืดออกมา เฝ้ารอให้คนเป็นบ้าคลุ้มคลั่งอาละวาดแล้วจึงกินดวงจิตดวงวิญญาณ ปีศาจตัวนี้กลืนจิตผู้คนไปทั้งเมือง มิรู้ว่ายามนี้ดุร้ายถึงเพียงใด อันที่จริงควรเป็นภารกิจสำหรับศิษย์ที่มีระดับสูงอย่างน้อยกลุ่มใหญ่สักสิบคน การส่งไป๋เจี๋ยผู้มีอดีตน่าสงสารไปเพียงผู้เดียว มิใช่ว่าส่งเขาไปหาความตายหรอกหรือ



ศิษย์จากยอดอัสนีพิสุทธิ์ควรระงับเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาเพื่อแผ้วทางการบำเพ็ญเพียรเป็นเซียนไว้ล่วงหน้า แต่ยามนี้ข้าเกิดโทสะถึงขีดสุดแล้ว ข้าส่งป้ายหยกคืนให้กับศิษย์พี่ตู้แล้วพุ่งตัวไปหาตัวสวะแซ่ไป๋ผู้นั้นทันที



“ดียิ่งนักไป๋หลี่เหอ” เจ้าของชื่อเพียงหันกลับมาตามคำเรียก ข้าก็เท้ายกขึ้นถีบพี่ชายของไป๋เจี๋ย ผู้คนไม่ทันได้ตั้งตัวจึงคนถลาไปชนโต๊ะข้าวของร่วงแตกมากมาย ตามกฎแล้วห้ามศิษย์สำนักเดียวกันทำร้ายกันเองนอกสนามประลอง ยามนี้ข้าเยี่ยอู๋จวินเลือดขึ้นหน้ามีหรือจะสนใจกฎบ้าบออันใดอีก เขากล้าเล่นแง่ย่อมควรรู้ว่าอาจได้รับผลสิ่งใดกลับไปบ้าง “ข้าปิดด่านเพียงไม่กี่วัน เจ้าถึงขั้นส่งเขาไปหาความตาย ปีศาจกลืนจิตเช่นนั้นหรือ...ช่างดียิ่งนัก”



“ศิษย์พี่เยี่ยโปรดระงับโทสะด้วย” เสียงร้องโวยวายของศิษย์จากยอดเขาปราการโลหิตและยอดเขาอื่นๆ ดังขึ้นทั่ว แต่ศิษย์พี่เยี่ยที่ว่ามีหรือจะสนใจ เพียงปลดปล่อยแรงกดดันออกมาร่างนับสิบก็ร่วงหล่นอยู่บนพื้นด้วยความอึดอัดทรมาน ข้าคว้ารอบลำคอของไป๋หลี่เหอยกคนขึ้นมาด้วยมือเพียงข้างเดียว ผู้อื่นพยายามใช้ทั้งแรงกายและพลังปราณตอบโต้ แต่ไหนเลยจะสามารถสู้ศิษย์ของแม่นางแซ่เจิ้งได้ เห็นเขาหน้าเขียวหน้าแดงใกล้หมดลม ข้าจึงโยนร่างผู้สูงวัยกว่าลงบนพื้น คนแซ่เยี่ยยังไม่เสร็จธุระกับคนผู้นี้ ย่อมไม่อนุญาตให้เขาขาดใจตายได้



“คิดรังแกเขาก็เหมือนหาเรื่องข้าเยี่ยอู๋จวินแห่งยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์”



กระบี่พันหมื่นแสงดาราที่อาจารย์มอบให้เมื่อวันเกิดอายุสิบห้าปีปักดินกับเฉียดข้างแก้มของไป๋หลี่เหอจนปรากฏเส้นเลือดตามรอยกระบี่ ข้าใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบบนหน้าอกของอีกฝ่ายไว้ ริมฝีปากกระตุกเป็นรอยยิ้มเย็นเยียบราวฉาบด้วยเกล็ดน้ำค้างแข็ง ตัวบัดซบสกุลไป๋กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง แม้จะพยายามเก็บอาการไว้เพียงใด หากแววตาและน้ำเสียงต่างสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว “แค่เด็กที่ไม่ควรมีชีวิตอยู่เพียงผู้เดียว เจ้ากลับกล้าล่วงเกินสกุลไป๋และสกุลจิน คิดว่าตนเก่งกาจอยู่เหนือใครหรือเยี่ยอู๋จวิน! ”



“เก่งกาจอยู่เหนือเจ้าก็คงพอกระมัง” ข้าถ่มน้ำลายใส่ผู้ที่นอนอยู่บนพื้น จากนั้นเลื่อนเท้าไปกระทืบจุดตันเถียนบนหน้าท้องของไป๋หลี่เหออีกครั้งหนึ่งเพื่อระบายโทสะ เพียงเท่านั้นพลังปราณที่มิอาจนับได้ว่าแข็งแกร่งพลันสูญสลายไปเสียครึ่ง ตบะที่บำเพ็ญเพียรมาอย่างยากลำบากถดถอยไปหลายขั้น ความจริงข้าออมแรงไว้มากนัก หากออกแรงเพิ่มขึ้นอีกส่วนชีวิตสารเลวนี้คงไม่ต้องเก็บเอาไว้อีกต่อไปแล้ว



“แต่ไหนแต่ไรข้ากล่าวสิ่งใดทำสิ่งนั้น ให้ฟ้าดินและศิษย์พี่ศิษย์น้องของเจ้าเป็นพยานเถิดไป๋หลี่เหอ” ข้ากวาดตามองเหล่าศิษย์ในชุดสีแดงเข้มของยอดเขาปราการโลหิตด้วยสายตาอำมหิต เห็นแต่ละคนตัวเล็กลีบแทบไม่กล้าหายใจ ไหนเลยจะมีใครกล้าร้องบอกว่าศิษย์พี่เยี่ยระงับโทสะด้วยได้อีก “หากศิษย์น้องของข้ามีหนึ่งบาดแผล ข้าทุบตีเจ้าสิบบาดแผล หากเขากระดูกหักหนึ่งท่อน ข้าหักกระดูกเจ้าสิบท่อน”



ข้าชักกระบี่พันหมื่นแสงดาราเก็บกลับเข้าไปในฝักกระบี่แล้วประกาศกร้าวด้วยถ้อยคำที่ไม่ใช่เพียงคำข่มขวัญ แต่เป็นคำสัตย์สาบานที่ทำได้จริง



“หากเขาไม่รอดชีวิตกลับมา สิ่งที่สกุลไป๋จะได้รับจากคนสกุลเยี่ยคงไม่พ้นเถ้ากระดูกของเจ้าและน้องชายอีกคนที่อยู่ยอดเขาทิพย์โอสถเป็นแน่! ”



โปรดติดตามตอนต่อไป...





ซินเอ๋อร์:


เขียนแล้วก็รู้สึกว่าอู๋เกอวัยใสนี่เท่มาก ตอนโตดันเป็นผีลามกไปซะได้ นี่คือชีวิตคนเราไม่แน่ไม่นอนค่ะ (?) ตอนย้อนอดีตน่าจะมีอีก 2-3 ตอนจะจบนะคะ เรื่องบางเรื่องก็จะเฉลยค่ะ โดยเฉพาะความรู้สึกของอู๋เกอที่ว่ารักหรือไม่รักอาเจี๋ยกันแน่ แต่อ่านมาถึงตอนนี้คิดว่าน่าจะเดากันได้แล้วว่าในอดีตอู๋เกอรู้สึกยังไงกันแน่ ส่วนในปัจจุบันจะเล่ากันต่อไปในโอกาสหน้าค่าาา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-10-2019 03:29:27 โดย ซินเอ๋อร์ »

ออฟไลน์ Frankdar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อิพี่ใส่ใจขนาดนี้จะไม่ให้น้องรักได้ยังไง สงสารอาเจี๋ย ต้องเจออะไรบ้าง  :hao5:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ ง่วงนอน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ลุ้นคู่พระนายมาก ใครคู่ใครหนอ

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
บทที่ 17 ความรู้สึกลึกซึ้งอันแสนพูดยากเมื่อปีนั้น (3)



เมืองเฮ่าอยู่ห่างไกลเพียงใด ผู้ฝึกเซียนทั่วไปขี่กระบี่บินยังต้องใช้เวลาสองสามวัน ข้าเยี่ยอู๋จวินร้อนใจเพียงใด พุ่งทะยานมาหนึ่งคืนเต็มถึงยามรุ่งสางก็ถึงที่ราบทางตอนเหนือจนได้ บริเวณรอบนอกท้องฟ้าเริ่มกระจ่างเห็นแสงทองร่ำไร หากพอเข้าเขตเมืองเฮ่ากลับเห็นทั้งเมืองมีหมอกดำปกคลุมกลางวันกลางคืนแยกความต่างไม่ออก ถึงจิตใจสั่นไหวเพียงใด สิ่งที่ทำได้เพียงการลดระดับกระบี่ลงเมื่อเข้าเขตเมือง หมอกดำหนาเช่นนี้ต่อให้อยู่ที่สูงเพียงใดก็ยังคงบดบังทัศนวิสัย ซ้ำพลังปราณยังอาจดึงดูดปีศาจกลืนจิตเข้ามาเสียอีก



ไอทะมึนปกคลุมทั้งเมืองกินระยะหลายสิบลี้บ่งบอกว่าปีศาจกลืนจิตตนนี้ยิ่งทวีความแข็งแกร่งมากกว่าเดิมนัก ผู้ฝึกเซียนที่จิตใจไม่มั่นคงเข้มแข็งพอย่อมมิอาจรับมือมันได้ง่ายดาย แค่อาการร้อนใจเพียงเล็กน้อยที่ข้าแสดงออกมาก็เรียกกลุ่มไอดำมืดเข้ามาล้อมรอบกาย หมอกควันเหล่านั้นพยายามชอนไชจากหูและจมูกเพื่อฝังตัวเข้ามาในร่างค้นหาความทรงจำที่แสนเลวร้ายและเล่นตลกกับจิตใจของมนุษย์ หากแต่กลับถูกข้าใช้พลังปราณบางส่วนทำลายไปเสียก่อน



วิธีรับมือปีศาจกลืนจิตเหล่านี้คือต้องมีจิตใจที่แน่วแน่แรงกล้า ข้าผ่อนลมหายใจพยายามคลายความวิตกกังวลต่างๆ นานาออกไป จากนั้นหยิบเอาปิ่นเงินเล็กเรียวที่อาจารย์หญิงใช้ให้นำไปทำซ่อมแซมมากำไว้ในมือซ้าย ปล่อยให้ปลายปิ่นอันแหลมคมแทงเข้าไปกลางฝ่ามือเพื่อเรียกสติของตนเองไว้ ให้สมองมีเพียงความมุ่งมั่นที่จะตามหาศิษย์น้องผู้มีชะตาชีวิตน่าสงสารผู้นั้น ทั้งพยายามอดกลั้นไม่ให้อารมณ์ลบอื่นใดมาเจือปน ด้านมือขวาชักกระบี่พันหมื่นแสงดาราออกจากฝักเพื่อใช้รัศมีสีเงินของกระบี่ช่วยปัดเป่าขับไล่ไอหมอกบางส่วนออกไป



กระบี่พันหมื่นแสงดาราสมแล้วที่เจิ้งปิงฉินแห่งยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ตีขึ้นด้วยตนเอง นอกจากพลังอันแข็งแกร่งแล้ว จิตวิญญาณของกระบี่ยังทั้งศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ อาจารย์เคยกล่าวว่ากระบี่เล่มนี้มีสัมพันธ์เชื่อมโยงกับจิตใจผู้เป็นเจ้าของ ข้าอาจมีรากฐานปราณแข็งแกร่งมีจิตใจแข็งกล้า หากบางส่วนยังเป็นมนุษย์ปุถุชนยังมิได้บริสุทธิ์ถึงเพียงนั้น เพียงเพราะพันหมื่นแสงดารารับข้าเป็นเจ้านาย พลังบางส่วนจึงถ่ายทอดมาถึงจิตวิญญาณ จนเกิดภาพที่ว่าข้าเยี่ยอู๋จวินเดินผ่านไปที่ใด หมอกควันของปีศาจกลืนล้วนพลันสลายไปตามทาง



การเดินตามหาคนในเมืองร้างช่างเสียเวลาอย่างยิ่ง เพราะไม่เห็นแสงอาทิตย์ทำให้แยกแยะไม่ออกระหว่างกลางวันและกลางคืน ข้าโยนลูกหินเสี่ยงทายปล่อยให้มันกลิ้งนำทางไปตามพื้น ครั้นเดินถึงใจกลางเมืองเฮ่าก็คิดว่าเวลาคงผ่านไปสักสองชั่วยามได้แล้ว บริเวณนี้มีหมอกควันดำปกคลุมมากที่สุด ข้าสัมผัสได้ถึงจิตสังหารและความไม่พอใจอย่างรุนแรงที่มีต่อแสงสีเงินของกระบี่พันหมื่นแสงดาราที่โอบล้อมกายมากขึ้นทุกที เกรงว่าร่างต้นกำเนิดของปีศาจกลืนจิตคงอยู่แถบนี้



ลูกหินกลมหยุดลงเมื่อข้าเดินไปถึงคฤหาสน์หรูหรามีป้ายติดด้านหน้าว่าคล้ายเป็นจวนเจ้าเมือง ก้าวเข้าไปจนถึงในสวน รัศมีสีเงินจากกระบี่สาดส่องให้เห็นร่างคุ้นตาในชุดสีเทาลายสวัสติกะที่นอนคุดคู้อยู่หลังภูเขาจำลอง ข้าเก็บกระบี่รีบพุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยความรวดเร็ว จากนั้นจึงโอบอุ้มคนขึ้นมาแนบกับอก ไป๋เจี๋ยอยู่ในเมืองบัดซบนี่มาเกือบสี่วัน แม้ร่างกายไม่ปรากฏบาดแผลใหญ่โต แต่มิรู้ว่าภายในจะเป็นเช่นไรบ้าง หากบาดเจ็บไปถึงดวงจิตอาจส่งผลกระทบต่อหนทางเซียนในภายภาคหน้าได้



“อู๋เกอ...” แพขนตายาวเปิดขึ้นจนเห็นดวงตาที่แดงก่ำ กลีบปากบางแตกระแหงจนเห็นเลือดซิบที่มุมปาก คนกระซิบแผ่วเบาอย่างอ่อนระโหยโรยแรงเป็นอย่างยิ่ง ปลายนิ้วแตะลงบนท่อนแขนของข้าคล้ายต้องการพึ่งพิง ลมหายใจบางเบาจนคล้ายจะปลิดปลิวทุกที “เป็นท่านหรือ...”



“ย่อมเป็นข้า...อาเจี๋ยอดทนสักหน่อย ข้าจะพาเจ้าออกไปเอง” ข้าตอบกลับด้วยความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เขายังมีชีวิตอยู่ แม้ปีศาจกลืนจิตตนนี้จะแข็งแกร่งเพียงใดกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย ในใจมีเพียงความหาญกล้าดั่งลูกวัวไม่กลัวเสือ ข้าเยี่ยอู๋จวินรากปราณแข็งแกร่งมีอาวุธวิเศษที่อาจารย์ตีให้ ซ้ำยังเป็นอัจฉริยะผู้หนึ่งของยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ หากปีศาจสารเลวแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ วันข้างหน้าก็ไม่ต้องเป็นเซียนมันแล้ว



“ข้า...ข้าทรมานยิ่งนัก” ร่างกายในอ้อมกอดสั่นระริก ไป๋เจี๋ยขยับดิ้นไปมาด้วยความทรมาน มือทั้งสองข้างเลื่อนจากท่อนแขนมาเป็นบ่า ไม่รู้เมื่อใดที่ไอหมอกสีดำรอบล้อมกายเสียจนกระทั่งแค่ปลายเท้ายังมองไม่เห็น แต่ข้าสายตาดีกว่าที่ผู้คนคิดเอาไว้มากมายนัก ฉะนั้นมีหรือจะมองดวงตาสีแดงก่ำดังโลหิตอันเต็มไปด้วยรังสีสังหารไม่ออก ดวงหน้าซีดเซียวที่ยังงดงามของศิษย์ผู้น้องบิดเบี้ยวคล้ายเจ็บปวดยิ่งนัก เสียงใสกังวานละล่ำละลักตะโกนบอกข้าด้วยความสับสน “หนีไปอู๋เกอ! ก่อนที่ข้าจะฆ่าท่าน! ”



สิ้นคำเตือนมือทั้งสองที่เกาะอยู่บนบ่าก็เลื่อนมากำรอบลำคอข้าด้วยแรงมหาศาล ไอหมอกสีดำแพร่กระจายออกมาจากร่างเพรียวเล็ก ซ้ำพยายามชอนไชเข้าสมองจากทั้งทางหูจมูกปาก ปีศาจกลืนจิตตนนี้ช่างดียิ่งนัก ถึงกับใช้ร่างของไป๋เจี๋ยมาลอบทำร้ายข้า คิดหรือว่ากลลวงหลอกเด็กเพียงเท่านี้ข้าจะมองไม่ออก แรงรัดรึงรอบลำคอทรมานข้าไม่น้อย หากข้ากลับรั้งร่างศิษย์น้องเข้ามาแนบชิดยิ่งขึ้น กดฝ่ามือลงบนแผ่นหลังเล็กพร้อมกับควบคุมให้กระบี่พันหมื่นแสงดาราเลื่อนออกจากฝัก จากนั้นจึงถ่ายทอดพลังบริสุทธิ์เข้าไปทำลายปีศาจชั่วจากภายใน



เสียงกรีดร้องแหบแห้งโหยหวนของปีศาจกลืนจิตดังขึ้นจากริมฝีปากบาง ร่างเล็กสั่นระริกดิ้นปัดป่ายไปมามองดูแล้วน่าสงสารน่าเวทนา ข้าเร่งให้กระบี่รีบสำแดงฤทธิ์เดชมากยิ่งขึ้น พร้อมกับที่กระชับกอดเขาแน่นขึ้นพลางแนบริมฝีปากกับขมับเอ่ยถ้อยคำปลอบใจเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า “อดทนอีกนิด ใกล้จบแล้ว...หากเสร็จธุระแล้วอู๋เกอจะเอาขนมให้เจ้า”



“อู๋เกอ...หนีไป ข้าไม่อยากฆ่าท่าน” ชั่วครู่หนึ่งเสียงร้องกลับมาเป็นไป๋เจี๋ยอีกครั้ง หางตาหงส์ปรากฏหยาดน้ำตาแวววาวที่เริ่มไหลริน พลังอันรุนแรงที่ข้าทุ่มเข้าไปโดยไม่สนใจว่าจะเผาผลาญอายุขัยหรือพลังปราณเท่าใด ย่อมทำให้ปีศาจกลืนจิตต้านไม่ไหวอีกต่อไป หมอกดำที่สิงสู่ร่างของศิษย์น้องเริ่มไหลทะลักออกมาจากทางช่องปากเพื่อหนีตาย ข้ามีหรือที่จะปล่อยให้มันรอดไปได้



ยามนั้นไม่รู้ว่าสิ่งใดดลใจหรือสมองไม่สั่งการ เพื่อสกัดกั้นปีศาจกลืนจิตไม่ให้หนีออกมาได้ ข้าถึงกลับใช้ปากตนเองแนบเข้ากับกลีบปากบางของไป๋เจี๋ย แรกเริ่มเป็นเพียงการทาบทับแผ่วเบาเท่านั้น แต่ครู่หนึ่งกลับรู้สึกว่าริมฝีปากของศิษย์น้อง แม้จะแตกระแหงอยู่บ้างแต่กลับนุ่มมาก ข้านึกสงสารเขาขึ้นมาจึงแลบลิ้นเลียให้มันกลับมาชุ่มชื้นอีกครั้ง เมื่อทำครั้งหนึ่งแล้วกลับรู้สึกดีอยู่ไม่น้อยจึงไล่เลียซ้ำไปมาอย่างอดใจไม่อยู่ กระทั่งปีศาจกลืนจิตถูกพลังของข้าและรัศมีสีเงินจากกระบี่พันหมื่นแสงดาราทำลายไปแล้ว ข้าก็ยังคงแนบจุมพิตคลอเคลียไม่ห่างอยู่อย่างนั้น



ถูกก่อกวนไม่หยุดเช่นนั้น ไป๋เจี๋ยคงอาจนึกรำคาญใจขึ้นมากระมัง เขาถึงขยับริมฝีปากขบเม้มปลายลิ้นที่ซุกซนของข้าอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นทำให้ข้ารู้สึกสั่นสะท้านชาวาบเหมือนมีขนนกปัดผ่านทั้งร่างกายทั้งหัวใจ ข้ารีบถอนตัวผละออกมาทันทีด้วยความตื่นตกใจ ครั้นเหลือบมองกลับพบว่าสองตาของเขายังคงปิดสนิทไม่ได้สติ แต่กลีบปากกลับแวววาวด้วยหยาดน้ำใส ข้าลอบกลืนน้ำลายเบาๆ ความรู้สึกเสียดายพลุ่งพล่านอยู่เต็มหัวใจ ก่อนต้องรีบข่มกลั้นกดอารมณ์นั้นลงไปอย่างรวดเร็ว



ข้าที่เป็นศิษย์พี่ควรปกป้องดูแลเขาอย่างพี่ชายกลับฉวยโอกาสล่วงเกินศิษย์น้องในยามที่เขาไม่ได้สติ! ข้ามันเป็นตัวลามกบัดซบเยี่ยอู๋จวิน! คงเพราะสืบทอดสายเลือดมาจากเยี่ยหย่งฟางเป็นแน่แท้ ข้าจึงได้กระทำการสารเลวพรรค์นั้นลงไปได้ ข้าได้แต่ตีอกชกหัวอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งหมอกดำสลายไปหลายส่วนจนเห็นแสงอาทิตย์สาดส่องจากฟากฟ้า สติที่หลุดลอยไปก็หวนกลับคืนมาจนได้



การเอาชนะปีศาจกลืนจิตแม้ไม่ได้ยากเย็นแสนเข็ญ แต่ก็ทำให้ข้าหมดเรี่ยวแรงไปได้ไม่น้อย จึงคิดว่าหากต้องขี่กระบี่บินกลับสำนักตอนนี้คงเป็นการฝืนแรงกันมากเกินไป ซ้ำไป๋เจี๋ยยังอ่อนแอต้องการการพักผ่อนอยู่มาก ข้าข่มความรู้สึกผิดแล้วช้อนร่างเบาหวิวของเขาขึ้นมา เดินอยู่ในเมืองไม่นานก็พบโรงเตี๊ยมร้างขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง แม้ห้องพักมีมากมายแต่ข้าคิดว่านอนพักห้องเดียวกันนั้นเหมาะสมแล้ว หลายเดือนมานี้เขานอนเคียงข้างข้ามาโดยตลอด ตื่นมาจากครั้งนี้คนย่อมขวัญเสีย หากพบศิษย์พี่ที่ไว้วางใจ อาจทำให้อาการดีขึ้นได้บ้าง...ช่างหาเหตุผลได้เหมาะสมดีนัก



ข้าเช็ดตัวทำความสะอาดและเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ให้ไป๋เจี๋ยจนเสร็จเรียบร้อย ผู้คนก็ยังคงไม่ได้สติ แรกเริ่มคิดว่าควรป้อนยาลูกกลอนบำรุงกายให้เขาสักเม็ด แต่พอจ้องริมฝีปากมากเข้าจิตใจกลับคิดแต่เรื่องหน้าไม่อายเสียได้ สุดท้ายแล้วจึงได้แต่ทอดถอนใจ ล้มตัวนอนข้างกายแล้วดึงเขามากอดเอาไว้ รอให้คนฟื้นขึ้นมาเสียก่อนค่อยว่ากัน มิรู้ว่าต้องตามหาหลักฐานการทำลายปีศาจกลืนจิตด้วยหรือไม่ ข้าใช้วิธีพิสดารกำจัดปีศาจ ลูกกลอนปีศาจย่อมไม่มีเหลือ ป่านนี้คงถูกคนสกุลไป๋ดูดกลืนเสริมพลังไปหมดแล้วกระมัง หวังว่าไอหมอกบางส่วนที่ข้าเก็บใส่ขวดกระเบื้องไว้จะใช้ยืนยันภารกิจเสร็จสิ้นได้ เสียเวลาเสียแรงกายแรงใจเช่นนี้ สิ่งของที่ควรได้รับเป็นรางวัลจากยอดเขาปราการโลหิตอย่างไรก็ต้องได้



ข้าพักสายตาหลับใหลตั้งแต่เย็นจนถึงเวลาแสงอาทิตย์ส่องรำไรอีกครั้ง ความฝันอันยาวนานล้วนเป็นเรื่องลามกมิถูกมิควรดั่งภาพในคัมภีร์สอนรักทั้งสิ้น ยามตื่นนอนขึ้นมาร่างกายเบื้องล่างยังแข็งขืนชูชันขึ้นมาเสียได้ การมองใบหน้ายามหลับใหลของไป๋เจี๋ยไม่อาจทำให้ความรู้สึกรุ่มร้อนจนรวดร้าวสงบได้เลยสักนิด ข้าต้องหลับตากลั้นใจนึกถึงปลาทองยักษ์ของอาจารย์หญิง แม่ไก่ของอาจารย์อาเหลียง พอนึกถึงภาพมันบินไล่จิกข้าเมื่อปีก่อนก็รู้สึกทรมานน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด เฟยจูเชวี่ยช่างทรงพลังดีแท้



“อู๋เกอ...” เสียงกระซิบของร่างในอ้อมกอดดังขึ้นพร้อมกับลมหายใจอุ่นร้อนที่ปะทะกับปลายคางชวนจั๊กจี้ ครั้นลืมตาขึ้นก็เห็นไป๋เจี๋ยที่ตื่นแล้วในนัยน์ตาหงส์อันคลอหน่วยไปด้วยน้ำตาจับจ้องข้าไม่วางตา เขายกมือขึ้นแตะปลายนิ้วกับแก้มของข้าอย่างแผ่วเบา พอเห็นร่องรอยช้ำบนผิว คนพลันชะงักมือในทันที หยาดน้ำใสร่วงเผาะเป็นสายไหลซึมหายไปตามไรผม “เป็นข้าทำร้ายท่านใช่หรือไม่ ข้าเกือบฆ่าท่านแล้วใช่หรือไม่”



“ไม่ใช่เช่นนั้น” ข้าตอบกลับไปทันที ร่องรอยพวกนี้ไหนจะเป็นฝีมือของเขา ล้วนแต่เป็นข้าชกต่อยตนเองเพื่อเรียกสติทั้งนั้น แต่ให้ตอบเช่นนั้นคงมิใช่ที สุดท้ายจึงโกหกหน้าตายเอาตัวรอดออกไป “ต่อสู้กับปีศาจบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยจะเป็นเช่นไรได้ เจ้าอาการหนักหนากว่ามากนัก กินยาสักหน่อยเถิด”



ข้ายันตัวขึ้นนั่งแล้วป้อนลูกกลอนบำรุงกายให้เขาถึงริมฝีปาก ไป๋เจี๋ยดูคล้ายยังเสียขวัญอยู่ไม่น้อย ผู้อ่อนวัยกว่าเอาแต่เกาะดึงชายแขนเสื้อของข้าไม่หยุด สุดท้ายจึงกึ่งนั่งกึ่งนอนกอดปลอบกันอยู่บนเตียงอย่างนั้น ข้าได้แต่ตบหลังปลอบใจเขาเบา ๆ เหมือนยามที่อยู่บนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ไม่มีผิด “มีเรื่องใดไม่สบายใจหรือ”



“ข้าฝันเห็นแต่เรื่องเลวร้ายเต็มไปหมด บางครั้งเห็นตนเองฆ่าอาจารย์ บางครั้งก็เห็นว่ากำลังลงมือฆ่าท่าน แยกแยะมิออกว่าสิ่งใดฝันสิ่งใดจริง” มือทั้งสองข้างของคนสกุลไป๋สั่นระริกจนข้าสัมผัสได้ แต่ครู่หนึ่งก็หยุดลงคล้ายว่าคนตั้งสติกลับมาได้แล้ว นัยน์ตาคู่งามเหลือบมองข้าด้วยสายตาเป็นประกายระยิบระยับ “แต่สิ่งหนึ่งคล้ายปลุกข้าขึ้นมาได้...”



“สิ่งใดกัน”



“มิรู้ว่าฝันหรือจริง...แต่ข้าเห็นอู๋เกอใช้ริมฝีปากแตะข้า ยามนั้นเหมือนช่วยให้ใจสงบขึ้นมาได้” ได้ยินเช่นนั้นข้าถึงกลับชะงักไปไม่น้อย แต่กลับนึกขึ้นได้ว่าตอนนั้นตนเองจูบข้างขมับปลอบใจไป๋เจี๋ย อีกฝ่ายคงจำเรื่องราวได้บ้าง ข้าแนบริมฝีปากลงบนกลางหน้าผากแผ่วเบาเหมือนแมลงปอแตะผิวน้ำ



“มิใช่ตรงนี้” น้ำเสียงของไป๋เจี๋ยสั่นไหวเล็กน้อย ข้ากลั้นยิ้มแล้วขยับไปกดจูบลงบนข้างแก้มแทน ประโยคถัดมาของศิษย์น้องยิ่งสั่นเครือกว่าเดิม “ตรงนี้ก็มิใช่”



จากนั้นก็ไม่มีวาจาอันใดเอื้อนเอ่ยออกมาอีก กลีบปากบางถูกข้าครอบครองไปเสียแล้ว แนบจุมพิตข้างได้ไม่นาน ลมหายใจร้อนและเสียงหัวใจเต้นรัวของคนสกุลไป๋กลับยิ่งดึงดูดให้ข้าลิ้มลองเขามากยิ่งขึ้น ไล่แทะเล็มสัมผัสนิ่มอย่างเชื่องช้า ค่อยขบเม้มหนักขึ้นจนคนหลุดเสียงร้องออกมาแล้วใช้จังหวะนั้นสอดลิ้นรุกล้ำเข้าไปภายใน



แม้จะเป็นครั้งแรกแต่ข้ากลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างมีรสชาติหวานล้ำยิ่งกว่าน้ำผึ้งชั้นดี ยิ่งกวาดกระหวัดไล้เลียมากเท่าไรภายในใจยิ่งรู้สึกวาบหวามขึ้นเท่านั้น หยอกเย้าเพียงไม่นานคนก็เริ่มคล้อยตามการชักนำของข้าเป็นอย่างดี ขยับลิ้นเกี่ยวพันอยู่ครู่หนึ่งจนสัมผัสได้ว่าลมหายใจอีกฝ่ายเริ่มขาดห้วง ข้าจึงยอมถอนริมฝีปากออกมาอย่างอ้อยอิ่งเสียดาย แล้วค่อยช่วยซับหยดน้ำที่ข้างมุมปากด้วยความทะนุถนอม สายตาที่มองศิษย์น้องล้วนอบอุ่นอ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม



เรื่องราวหลังจากนั้นมิได้เกิดเหตุการณ์เกินเลยอันใดไปมากกว่านั้น หากข้าและศิษย์น้องกลับมีความลับร่วมกันอยู่อย่างหนึ่ง จุมพิตแสนหวานที่ได้ลิ้มลองเมื่อคราวนั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นพฤติกรรมความเคยชินไปอย่างหนึ่ง ยามลับตาผู้คนหรือยามอยู่ในเรือนพักสองคน ต่างฝ่ายต่างใช้ริมฝีปากคลอเคลียกันคล้ายไม่รู้จักพอ ไป๋เจี๋ยบอกว่าตนเองรู้สึกสงบใจ หาได้รู้ไม่ว่าข้ามีแต่ความร้อนรุ่มทุรนทุราย ทุกวันหลังเขาหลับไปแล้วจำเป็นต้องออกหนีออกไปปลดเปลื้องอารมณ์สักครั้งหนึ่ง



เวลาผ่านไปอีกหลายเดือน ผู้คนหลงคิดไปว่าเยี่ยอู๋จวินซึ่งถูกกักบริเวณหลังจากเหตุการณ์อาละวาดใหญ่โตใส่ไป๋หลี่เหอคราวนั้น รู้จักเก็บตัวสงบเสงี่ยมสำนึกตนได้ดีสมเป็นศิษย์จากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง หาได้รู้ไม่ว่าในใจข้ามิได้มีความสนใจพี่ชายสารเลวสกุลไป๋แม้แต่ส่วน แต่ละวันมีแต่ถูกเพลิงแผดเผาจนแทบจะขอยืมถ้ำน้ำแข็งจากอาจารย์หญิงปิดด่านเพื่อสงบจิตสงบใจ หากเมื่อนางได้ยินดังนั้นกลับสั่งให้ข้าไปคัดคัมภีร์คำสอนของพระพุทธองค์แทน



เจิ้งปิงฉินยืนมองดูข้าคัดอักษรด้วยท่าทางเกียจคร้านเป็นอย่างยิ่ง ข้าเห็นว่าคงไม่มีโอกาสอันใดเหมาะสมที่จะพูดเรื่องค้างคาใจเท่าตอนนี้อีกแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์หญิงแล้วพูดจาว่ากล่าวขึ้นมาเหมือนรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วไป “วันก่อนข้าเห็นอาจารย์อาโจวเกาะต้นไผ่แอบมองท่านอยู่ ส่วนเมื่อวานนี้ก็ได้รับเทียบเชิญจากอาจารย์อาเหลียงเชิญท่านไปดูสัตว์อสูรตัวใหม่ที่ยอดเขาอสูรคำราม”



“พวกเขาช่างวุ่นวายดีแท้ หากวันหลังพบเจอก็อย่าได้ไปใส่ใจอีก”



“พวกเขาเฝ้าไล่ตามท่านตลอดเวลาเช่นนี้ หากไม่ใส่ใจคงจะไม่ได้” เนื่องจากข้าทำหน้าที่ประหนึ่งพ่อบ้านของยอดเขา เทียบเชิญอันใดล้วนแต่ต้องผ่านมือ บางคราดึกดื่นเห็นอาจารย์อาจากยอดเขานภาไร้สรรพเสียงมายืนอยู่ก็ต้องออกไปไล่ไม่ให้มารบกวนผู้คน ได้ยินคำว่าบังเอิญผ่านมาของโจวอี้กั๋วจนรู้ว่าคำต่อไปเขาจะพูดว่าอะไร “ขออภัยที่ศิษย์ล่วงเกินเถิดอาจารย์ แต่ศิษย์เห็นว่าอาจารย์อาทั้งสองล้วนมีใจปฏิพัทธ์ต่อท่าน ซ้ำยังมีความรักลึกซึ้งมากมายนัก”



ได้ยินดังนั้นอาจารย์ถึงกับนิ่งอึ้งไป ใจจริงข้าชื่นชมอาจารย์อาโจวที่รูปลักษณ์สง่างามสมเป็นผู้อาวุโสผู้ทรงความรู้มากกว่าคนธรรมดาสามารถหน้าตาราบเรียบราวเต้าหู้อย่างอาจารย์อาเหลียง เสียแต่ว่าข้ามิสามารถเลือกแทนนางได้ จึงได้เอ่ยถ้อยคำบางอย่างออกไปแทน “ข้าเกรงแต่ว่าวันหนึ่งอาจารย์อาทั้งสองจะก่อเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันเองได้ หากปล่อยเรื้อรังไปมีแต่จะเป็นปัญหาไม่จบไม่สิ้น ไยท่านมิเลือกสักหนึ่งคนไว้เคียงคู่ แม้แรกเริ่มผู้อื่นอาจเจ็บปวดใจอยู่มาก แต่วันเวลาผ่านไปย่อมมิรู้สึกอะไรอีกต่อไปแล้ว”



คิ้วงามของอาจารย์หญิงกระตุกเข้าหากัน แววตาที่เฉยชาเกียจคร้านปรากฏร่องรอยวูบไหวบางอย่าง นางมิได้ว่ากล่าวอันใดที่ข้าถือวิสาสะไปว่ากล่าวเรื่องรักส่วนตัวของนาง เจิ้งปิงฉินถอนหายใจครั้งหนึ่งแล้วกล่าวขึ้นคล้ายไม่อนาทรต่อสิ่งใด “ข้าจะปิดด่านเก็บตัวสักสองสามเดือน เจ้าจงดูแลกิจธุระภายในยอดเขาให้ดี อย่าได้ออกเพ่นพ่านไปทั่วทั้งศิษย์พี่ศิษย์น้อง”



พูดจบแม่นางแซ่เจิ้งก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปโดยไม่รอให้ข้ารับคำเสียด้วยซ้ำ มิรู้ว่าแท้จริงแล้วตั้งใจปิดด่านฝึกวิชาหรือปิดด่านใคร่ครวญสิ่งใดกันแน่ กิจธุระของยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ข้าล้วนดูแลมาตลอดหลายปีไหนเลยจะมีสิ่งอื่นใดให้ต้องดูแลให้ดีอีก คำเตือนของนางคงไม่พ้นเรื่องที่ข้าไปหาเรื่องศิษย์ในสำนักจนกลายเป็นเรื่องเป็นราวอีกเสียมากกว่า ข้ายิ้มหยันชืดชาแล้วก้มหน้าคัดอักษรต่อ หากแต่เวลาอันแสนสงบกลับถูกคนผู้หนึ่งรบกวนเสียก่อน



จากหางตาเหลือบเห็นไป๋เจี๋ยยืนเกาะขอบประตูชะเง้ออยู่คล้ายไม่กล้าเข้ามา ข้าเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยรอยยิ้มเจิดจ้าดั่งดวงตะวัน ก่อนเรียกให้เขาขยับเข้ามาหามิต้องทำตัวแอบมองผู้คนเลียนแบบตัวอย่างที่ไม่ดีจากยอดเขานภาไร้สรรพเสียง คนสกุลไป๋เดินเข้ามาก็มีสีหน้ากระวนกระวาย ข้าจ้องมองอยู่พักหนึ่งจึงต้องออกปากถาม “อาเจี๋ยมิสิ่งใดหรือ”



“วันนี้ศิษย์พี่หม่าจากยอดเขาทิพย์โอสถนำยาลูกกลอนมาแจก เขาพูดคุยกับข้าอยู่หลายเรื่อง...” หม่าฮุ่ยเหวินจากยอดเขาทิพย์โอสถถือว่าเป็นสหายของข้าคนหนึ่ง คนผู้นี้แก่กว่าข้าสี่ปี มีฝีมือปรุงยาแกร่งกล้าจนได้เป็นศิษย์ผู้สืบทอดยอดเขาทิพย์โอสถ ผู้แซ่หม่านิสัยดีแต่พูดจามากความ คุยไปคุยมาจึงพบว่าเขาพล่ามเรื่องไร้สาระได้หลายชั่วยาม กว่าจะยอมหยุดได้แทบเอาผู้ฟังขาดใจตาย



แรกเริ่มข้าคิดเพียงว่าศิษย์น้องคงบ่นเรื่องที่ต้องเสียเวลามากมายคุยกับคนแซ่หม่า แต่จู่ ๆ ไป๋เจี๋ยกลับถามคำถามที่หาต้นสายปลายเหตุไม่เจอเสียได้ “อู๋เกอ...ท่านรักข้าหรือ”



ข้าได้ยินแล้วถึงกับสำลักลมขึ้นมา ศิษย์น้องเห็นจึงรีบเข้ามาช่วยตบหลังพลางอธิบายเพิ่มเติม



“ศิษย์พี่หม่าบอกว่าคนรักกันเท่านั้นจึงสามารถจุมพิตกันได้” พูดจบแล้วไป๋เจี๋ยกลับชะงักค้างไปบ้าง คนกล่าวประโยคถัดมาซ้ำไปซ้ำมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “แต่ข้ากับท่าน...ข้ากับท่าน”



เส้นเอ็นที่ขมับปวดตุ้บขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ข้าไม่รู้ว่าควรจะพูดจาเช่นไรดี ครั้นนึกถึงใบหน้าแดงก่ำและริมฝีปากมันวาวที่บ่วมเจ่อขึ้นเล็กน้อยหลังจุมพิต ข้าจึงถามคำถามมั่วซั่วออกไปคำถามหนึ่งแทน “เจ้ารู้สึกไม่ดีเช่นนั้นหรือ”



“ไม่ใช่...ข้ารู้สึกดีเป็นอย่างยิ่ง” สองแก้มขาวเริ่มซับสีเลือดขึ้นมาบ้างแล้ว หากครู่หนึ่งความเขินอายกลับเลือนหายไป ไป๋เจี๋ยมีท่าทีร้อนใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด มือจับแขนข้าเอาไว้คล้ายจะเขย่าขึ้นมาเสียแล้ว “แต่ในเมื่อเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องของคนรักกัน แต่ท่านไม่ได้รักข้า จะไม่ถือว่าทำผิดหรอกหรือ”



จู่ๆ ข้ารู้สึกคล้ายตนเองถูกโจมตีโดยไม่ทันได้ตั้งตัว นะ...นี่ไม่ใช่ว่าเขากำลังสารภาพรักกับข้าอยู่หรอกหรือ ดวงใจข้าคล้ายกระตุกไปจังหวะหนึ่ง นอกจากความรู้สึกตะลึงงันแล้ว ยังมีความรู้สึกอิ่มเอมเปรมปรีดิ์เป็นอย่างยิ่ง ข้าพยายามควบคุมมุมปากทั้งสองข้างไม่ให้ขยับเป็นรอยยิ้ม วาจาที่เก็บเอาไว้ในใจมาพักใหญ่ถูกกล่าวออกไปอย่างหนักแน่นไม่มีความลังเลแม้แต่ส่วน “จะผิดได้เช่นไร ข้าเยี่ยอู๋จวินมีหรือที่จะไม่รักเจ้า”



ข้าคิดว่าคำตอบที่มาจากใจจริงย่อมทำให้ไป๋เจี๋ยรู้สึกพึงพอใจ แต่ไหนเลยคนกลับมีสีหน้าเศร้าโศกยิ่งกว่าเก่า มือที่เกาะแขนข้าอยู่ขยำแขนเสื้อเสียจนยับยู่ยี่ เขาใช้ใบหน้าเจ็บปวดราวสัตว์ตัวน้อยยามได้รับบาดเจ็บจ้องหน้าข้า หยาดน้ำตาแทบจะไหลลงมาอยู่รอมร่อ “อู๋เกอ...หากท่านรักข้า ไยท่านไม่กระทำการเช่นคนรักกับข้า”



ยามได้ยินคำถามนั้นข้ารู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก กระทั่งคอยังแห้งผากจนเสียงที่ตอบกลับไปพลอยแหบพร่าไปด้วย “กระทำการเช่นใด”



“ศิษย์พี่หม่ากล่าวว่าคนรักกันต้องหลับนอนร่วมรักกัน”



หม่าฮุ่ยเหวินเจ้าตัวน่าตาย! เจ้าสอนอะไรให้ศิษย์น้องของข้า!!



ข้าก่นด่าโคตรเหง้าทั้งสกุลหม่าจนพอใจแล้วค่อยถอนหายใจอย่างแผ่วเบา แต่ละวันที่ต้องหักห้ามใจมิให้กระทำล่วงเกินผู้คนยามหลับทำให้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอยู่ไม่น้อย “อาเจี๋ย...ทำเช่นนั้นแล้ววันหน้าเจ้าอาจเสียใจได้”



กล่าววาจาตักเตือนไปเช่นนั้น ในห้าส่วนย่อมหมายถึงการตัดใจตัดรัก หากศิษย์น้องกลับขยับเข้ามาใกล้เสียจนได้กลิ่นหอมจางจากเรือนร่าง ซ้ำยังกระซิบถ้อยคำด้วยน้ำเสียงหวาน ใครเล่าจะสามารถตัดใจตัดรักได้ “ข้าไป๋เจี๋ยตัดสินใจแล้ว ย่อมไม่มีวันรู้สึกเสียใจ...”



ถ้อยคำของอีกฝ่ายช่างเป็นการยั่วเย้าเผาผลาญจิตใจดีแท้ แววตาของข้าที่สะท้อนออกมาจากนัยน์ตาหงส์ดำขลับคู่นั้นปรากฏเปลวเพลิงโหมไหม้มองแล้วอันตรายยิ่งนัก ข้ารั้งร่างของไป๋เจี๋ยให้ขยับมานั่งซ้อนทับบนตักของตนเอง ริมฝีปากพรมจูบไปตามผิวแก้มขาวก่อนจะหยุดลงบนกลีบปากแดงระเรื่อ บดเบียดขบเม้มแนบชิดเพื่อยึดครองเป็นเจ้าข้าวเจ้าของผู้อื่นให้หมดสิ้น



สติที่ใกล้ขาดผึงของข้ายังอุตส่าห์ตอบเขากลับในใจ



เมื่อเยี่ยอู๋จวินผู้นี้ตัดสินใจรักเจ้า ย่อมไม่มีวันรู้สึกเสียใจเช่นกัน



โปรดติดตามตอนต่อไป...



*************

ซินเอ๋อร์:

หมดสต็อกแล้วน้า > <

เขียนตอนนี้ด้วยความรู้สึกเขินๆ ค่ะ ไม่ได้เขียนฉากรักมุ้งมิ้งมานาน รู้สึกเป็นป้าแก่ๆ ที่หัวใจกระชุ่มกระชวยดีแท้ ในเรื่องตอนนี้อู๋เกอวัยใสอายุ 15 อาเจี๋ย 13 กลายเป็นโชตะซะได้ค่ะ อู๋เกอนี่เด็กลามกจริงๆ (ฮาาา)

เรื่องราวในอดีตน่าจะอีก 2 ตอนจบแล้วค่ะ พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ ง่วงนอน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ Frankdar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
จริงๆมันควรจบลงด้วยดี  ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ ฮือออ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด