[จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 28 คห. 108 [P.4, 20-12-2020]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 28 คห. 108 [P.4, 20-12-2020]  (อ่าน 14249 ครั้ง)

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
บทที่ 18 ความรู้สึกลึกซึ้งอันแสนพูดยากเมื่อปีนั้น (4)



บุรุษสองคนร่วมรักกันเช่นไร แม้ข้าเยี่ยอู๋จวินเคยเห็นหนังสือสอนรักมามากมาย หากยังมิเคยได้ลงมือปฏิบัติจริงสักครั้ง สิ่งหนึ่งที่รู้คือรสรักนั้นสามารถสุขสมได้มิต่างอันใดไปจากคู่ยวนยางทั่วไป แต่อย่างไรเสียควรกระทำการด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง มิเช่นนั้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเจ็บตัวเอาได้



ดวงใจข้ายามนี้ล้วนมีแต่ศิษย์น้องอยู่เต็มเปี่ยม ย่อมมิอาจปล่อยให้ตนเองสุขสมอยู่เพียงผู้เดียว ขณะที่อีกฝ่ายต้องเจ็บปวดได้ บทเรียนถ้อยคำจากตำราสอนรักว่าอย่างไร ข้าก็ทำไปตามนั้น เมื่อละจุมพิตออกมาจากริมฝีปากแดงเรื่อมาได้ ข้าจึงเริ่มพรมจูบไปตามผิวขาวเรียบเนียนดั่งเนื้อหยกเย็น ขบเม้มตำแหน่งชีพจรบนลำคอจนร่างในอ้อมแขนสั่นสะท้าน มือเบื้องล่างปลดเปลื้องชุดสำนักออกไป ส่วนไหนที่เขาว่าไวสัมผัสล้วนไล้ท้องนิ้วลากผ่านด้วยความตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง คอยเฝ้าดูปฏิกิริยาตอบสนองจากผู้คนและเฝ้าปรนเปรอให้มากยิ่งขึ้น



แต่ไหนแต่ไรใช่ว่าข้าจะมีความอดทนมากมายนัก หากยามนี้กับยินดีอดทนเฝ้ารอเป็นอย่างยิ่ง ศิษย์น้องนั่งซ้อนทับอยู่บนตักถูกนวดเค้นบีบคลึงไปได้ไม่นาน ทั้งร่างก็อ่อนยวบจนแทบทรงตัวเอาไว้ไม่ได้ ข้ากดแผ่นหลังเล็กให้แนบไปกับโต๊ะเขียนอักษร ข้าจับเรียวขาข้างหนึ่งของเขาชันขึ้นก่อนจะลากมือจากปลีน่องไล่ไปถึงต้นขาด้านใน ครั้นแตะปลายนิ้วกับแท่งหยกที่ชูชันสั่นระริกจนน่าสงสาร คนกลับสะดุ้งตัวรีบยกมือขึ้นปิดหน้าตนเองไว้



“รู้สึกแย่หรือ” เห็นอาการเขาดังนั้นมือของข้าจึงหยุดชะงักไปบ้าง ทั้งข้าและศิษย์น้องต่างฝ่ายต่างเป็นเด็กไม่รู้ประสาขนยังไม่ทันขึ้นครบกันทั้งคู่ เกรงว่าถึงเวลาต้องร่วมรักจริงศิษย์น้องคงรู้สึกแย่ขึ้นมากระมัง หากพอจะรั้งมือออก ไป๋เจี๋ยกลับยันตัวขึ้นมากคว้าแขนข้าเอาไว้ก่อน ดวงตาหงส์ยามนี้คลอหน่วยด้วยหยาดน้ำตาจนมองแล้วงดงามเฉิดฉันยิ่งกว่าเดิม



“ไม่แย่...แต่รู้สึกแปลกๆ” กลีบปากแดงก่ำเม้มเข้าหากันคล้ายลังเลอยู่หลายส่วน ข้าแกล้งขยับมือสาวรูดแกนกายเล็กเบามือก่อนขยับสาวรูดเป็นจังหวะตามที่ข้าได้เรียนรู้จากการแอบออกไปปลดเปลื้องอารมณ์ตอนกลางดึก ปลายนิ้วบดเบียดกับจุดอ่อนไหวไวสัมผัสที่ส่วนปลาย เด็กหนุ่มเบื้องหน้าหยัดตัวแหงนหน้าขึ้นพลางร้องครางออกมาอย่างอดไม่ไหว เล็บที่ตัดเจียนจนสั้นเป็นระเบียบครูดไปกับแขนของข้าจนเกิดรอยแดงยาว



“ฮึก! อู๋เกอ...ท่าน...” น้ำเสียงหวานที่เจือไปด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านพร่ำเรียกข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับว่ามิสามารถนึกคิดสิ่งอื่นใดได้ เด็กหนุ่มขยับกายบิดเร้าไปมาคล้ายสุขสมคล้ายทรมาน ความรู้สึกซ่านเสียวอันแปลกใหม่ทำให้เรือนกายขาวผ่องแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ ข้าเร่งขยับมือกอบกุมแท่งหยกในมือเร็วยิ่งขึ้น อีกครู่เดียวลมหายใจของไป๋เจี๋ยพลันขาดห้วงพร้อมกับที่ทั้งร่างกระตุกแผ่วเบา หางตาหงส์และขนตายาวปรากฏหยาดน้ำกลมวาวราวไข่มุก หากมองแล้วกลับปลุกเร้าความปรารถนามากกว่าชวนให้เวทนาสงสาร



ไป๋เจี๋ยหันหน้าไปทางด้านหนึ่งพลางหอบหายใจช้าๆ คนไม่อยากมองหน้าข้าเพราะรู้สึกเขินอายก็ไม่เป็นไร ยามนี้เขามิได้มีท่าทีขัดขืนปฏิเสธมิใช่หรือ ข้าถดตัวลงมาเล็กน้อยก่อนจะแกล้งแนบจูบกับเรียวขาขาวฝ่ายอย่างแผ่วเบา มือข้างหนึ่งค่อยแหวกเนื้อกลมนิ่มอันบดบังหลืบร่องลับที่มิเคยมีผู้ใดรุกล้ำเข้ามาไปก่อน นิ้วที่เปรอะเปื้อนไปด้วยอารมณ์รักครั้งแรกของศิษย์น้องเริ่มชโลมหยดน้ำสีขุ่นไปตามกลีบดอกเบญจมาศ หากกลับรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี



อ่านตำรารักมามากมายเพียงใด มีหรือจะเทียบเท่าการปฏิบัติจริง ยามนี้ข้าอ่อนหัดอยู่มาก ย่อมรู้สึกหวั่นเกรงว่าหาสอดแทรกปลายนิ้วเข้าไปอาจทำให้คนที่ตนรักต้องเจ็บตัวได้ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงคิดได้ว่าวันก่อนเพิ่งได้ขี้ผึ้งบำรุงริมฝีปากมาจากยอดเขาบุปผาโปรย ยามนี้อาจารย์หญิงปิดด่านเก็บตัวไปแล้ว เอาไว้ให้ข้าหาของมาคืนคงมิเป็นไรกระมัง คิดได้ดังนั้นข้าจึงควักกระปุกขี้ผึ้งที่เก็บไว้ในแขนเสื้อออกมา ปาดเนื้อกึ่งข้นกึ่งเหลวไปตามรอยพับจีบและทานิ้วตนเองจนชุ่ม ก่อนเริ่มกดนิ้วชำแรกเข้าไปภายในอย่างเชื่องช้า



เรียวคิ้วงามของศิษย์น้องขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความอึดอัด ข้าเอ่ยปลอบใจผู้คนอดทนสักหน่อยพลางค่อยๆ ขยับปลายนิ้วหมุนวนอย่างเชื่องช้าเพื่อขยายช่องทางที่คับแคบ คนแซ่เยี่ยผู้นี้แม้อายุสิบห้าแต่นอกจากร่างกายสูงใหญ่เกินเหล่าศิษย์ในวัยเดียวกัน ยามออกทำภารกิจอาบน้ำร่วมกับศิษย์ยอดเข้าอื่นยังพบว่าเครื่องเพศตนยังล้ำหน้าไปไกลกว่าคนอื่นมากนัก หากหุนหันแทรกกายเข้าไปในร่างคนสกุลไป๋คงทำให้เจ็บปวดมากกว่าสุขสมกระมัง



ผ่านไปชั่วอึดใจหนึ่งนิ้วทั้งสามของข้าก็ขยับหมุนวนเสียดสีไปตามผนังอ่อนได้อย่างไหลลื่นยิ่งขึ้น ครั้นแตะลงบนจุดที่นูนออกมาเล็กน้อยภายใน ทั้งร่างของศิษย์น้องพลันสั่นเกร็งตอดรัดดึงดูดนิ้วแน่นหนายิ่งกว่าเดิม ไป๋เจี๋ยเปิดปากร้องครางอย่างลืมอาย มือควานสะเปะสะปะไปจนเจอกระดาษที่ข้าใช้คัดบทธรรมคำสอนของพระพุทธองค์เพื่อสงบจิตใจ คนจิกขยำเสียงจนหมดสภาพ ข้าได้แต่ร้องขออภัยอยู่ในใจ มาถึงขั้นนี้แล้วยังจะมีจิตใจมาคิดถึงสิ่งใดอีกเล่า



“อาจอึดอัดสักหน่อย หากทนไม่ไหวให้บอกข้า” ข้าโน้มตัวลงไปจนลำตัวแนบชิดกายอีกฝ่าย มือเบื้องล่างถอดถอนออกก่อนจะปลดกางเกงจ่อส่วนที่แข็งขืนของตนเองที่ปากทาง ไป๋เจี๋ยพยักหน้ารับคำ หากความกังวลยังคงปรากฏให้เห็นที่หางตา ข้าแนบจุมพิตปลอบโยนคลอเคลียริมฝีปากบางพร้อมกับสอดแทรกกายเข้าไปเชื่องช้า



ความอุ่นร้อนแปลกใหม่ที่โอบรัดทำให้นึกอยากกระแทกกายเข้าไปทั้งตัว แต่เมื่อสัมผัสถึงร่างกายสั่นเกร็งจึงต้องสะกดกลั้นอารมณ์อันพลุ่งพล่านของตนเอาไว้ เปลี่ยนไปใช้กลีบปากกดจูบแนบแน่น ฝ่ามือลากไล้ปลุกเร้าอารมณ์ผู้คนแทน จวบจนผนังอ่อนอันบีบรัดเริ่มคลายตัวต่อต้านสิ่งแปลกปลอมน้อยลง ข้าจึงเริ่มกดสอดเข้าไปยังส่วนที่ลึกกว่าเดิมก่อนขยับถูไถไปตามสัญชาตญาณ



แรกเริ่มยังคงทุกลักทุเลกันอยู่ไม่น้อย ทั้งด้วยข้ามือใหม่ใจร้อนและศิษย์น้องที่ยังไม่คุ้นเคยกับแรงตัณหาอันแปลกใหม่ ครั้นส่วนแข็งขืนของข้าถูไถเขากับจุดไวสัมผัสภายใน เสียงหวานดังแก้วหยกกระจกใสพลันสั่นเครือ ดวงหน้างดงามส่ายไปมาคล้ายรับมือกับอารมณ์ไม่ถูก ไป๋เจี๋ยรั้งมือตนเองขึ้นตั้งใจหวังกัดหลังมือระบายอารมณ์ หากข้ากลับรั้งร่างของเขาขึ้นมาจากโต๊ะเสียก่อน จัดท่าทางให้สองแขนโอบรอบลำคอสองขาโอบรอบเอวตนเองเอาไว้



“อื้อ! อู๋เกอ แบบนี้มัน...” ไป๋เจี๋ยเกยคางกับไหล่เปลือยเปล่าของข้าพลางครางกระเส่าเป็นถ้อยคำจับใจความไม่ได้ ข้าได้ยินกลับยิ่งได้ใจ มือที่จับบั้นเอวบางยิ่งเร่งเร้ากระแทกร่างศิษย์น้องลงมาสวนกับจังหวะบดเบียดรุนแรงตามสัญชาตญาณของตนจนในห้องหนังสือมีเพียงเสียงเนื้อเสียดสีเฉอะแฉะแสนลามก หลืบรักนั้นช่างอุ่นร้อนกระชับแน่นรัดรึงไปทั่วทุกส่วนดีแท้ คนสกุลไป๋ทิ้งน้ำหนักตัวสองเล็บลากจิกไปตามแผ่นหลังของข้าอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ก่อนครู่ต่อมาคนจะถึงฝั่งฝันร่างเล็กกระตุกเกร็งพร้อมกับหยาดน้ำอุ่นร้อนที่สาดเปื้อนเปรอะตามหน้าท้อง



ยามปรกติคนสกุลไป๋งดงามเพียงใด คงต้องบอกว่างดงามล่มบ้านล่มเมือง หากยามนี้คำว่าล่มบ้านล่มเมืองคงมิเพียงพอเสียแล้ว ขาวเรียบเนียนดั่งหยกอันเจือด้วยฝาดเลือด นัยน์ตาดำขลับอันเป็นประกายพร่างพราวยามแสงดาราในฤดูหนาว ริมฝีปากแดงเรื่ออันเผยอออกหอบหายใจ...ล้วนเป็นความงดงามที่ทำให้สองตาของข้าพร่าเลือน ช่างดียิ่งนักที่เยี่ยอู๋จวินผู้นี้ได้ครอบครองเขาทั้งกายและใจ ชั่วชีวิตนี้ข้าย่อมมิอาจปล่อยเขาไปได้อีกแล้ว



ร่างกายเบื้องล่างยิ่งสอดแทรกเข้าไปหนักหน่วงขึ้นเมื่อห้วงอารมณ์ใกล้ถึงจุดซ้าย ข้าทิ้งรอยรักไว้ตามลำคอขาวผ่องก่อนจะปลดปล่อยเขื่อนทำนบที่อดกลั้นมาหลายเดือนเข้าไปภายในเสียหมดสิ้น ความรู้สึกยามร่วมรักกับคนที่ตนมอบใจให้ช่างดียิ่ง....ใจผูกพัน กายผูกรัก สองกายใจเป็นหนึ่งเดียวคงเป็นเช่นนี้กระมัง



ในความคิดของข้ามีเพียงถ้อยคำที่ผูกสัตย์สาบานกับตนเองว่าจะรักเขาให้มาก ดีกับเขาให้มาก ยามข้ามองคนสกุลไป๋ในใจมีเพียงอยากให้เขามีความสุข มิว่าสิ่งใดที่ข้าสามารถทำให้เขาสุขสำราญปลอดภัยใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มได้ตลอดไป ผู้แซ่เยี่ยย่อมยอมทำทุกหนทาง อาจหาญสมเป็นชายชาตรีดีแท้



ข้าโอบอุ้มร่างของไป๋เจี๋ยกลับไปห้องนอนด้วยความสุขอันเปี่ยมล้นไปเต็มหัวใจ แม้คิดว่าจะรักถนอมผู้คน แต่อาจเพราะสายเลือดจากตัวลามกเยี่ยหย่งฟางกระมัง จึงทำให้ข้าติดใจในรสรักอันแสนหวานล้ำอยู่ไม่น้อย เรื่องราวหลังจากนั้นกลายเป็นว่าข้าล่อลวงให้คนสานสัมพันธ์กับตนอยู่หลายครั้งหลายครา ยามที่อาจารย์หญิงปิดด่านเร้นกายหรือไปธุระนอกสำนัก บรรยากาศบนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์จึงหวานชื่นความรักอบอวลอย่างยิ่ง



คืนวันบนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ผ่านไปอย่างสงบสุขสันโดษ ข้าคิดแต่ว่าที่รักไป๋เจี๋ยล้วนเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น แม้ยามนี้พวกข้าสองคนยังเยาว์วัย หากได้เฝ้าดูแลกันและกันจากเติบใหญ่ไปด้วยกัน ตั้งแต่ช่วงวัยที่ดีที่สุดของชีวิตจนถึงช่วงเวลาแก่ชราคงดียิ่งขึ้นไปอีก



ผ่านไปหกเดือนครึ่งปีถึงเดือนแปดยามถึงวันเกิดข้า ไป๋เจี๋ยได้มอบป้ายหยกขาวชิ้นหนึ่งให้เป็นทั้งของขวัญวันเกิดทั้งของแทนใจ ป้ายหยกสมปรารถนาอันมีฤทธิ์ช่วยขับไล่สัตว์มีพิษแผ่นนี้ ผู้คนได้เก็บเงินจากการทำภารกิจมาซื้อให้ข้าโดยเฉพาะ เนื่องจากเขายังไม่ได้ถูกรับเข้าสกุลไป๋ มิอาจสลักสัญลักษณ์ต้นไผ่ประจำตระกูลได้ สุดท้ายจึงสลักคำว่าเจี๋ยอันเป็นชื่อตนแทน ข้ายกป้ายยกเย็นเฉียบนั้นขึ้นมาแนบริมฝีปากอย่างรักใคร่หวงแหน หลังจากนั้นก็แขวนป้ายหยกขาวเอาไว้ไม่เคยห่างกายสักวัน คิดว่าวันเกิดเขาย่อมต้องมอบของแทนใจให้เขาไม่ต่างกัน



ครั้นถึงสิ้นปีที่เป็นวันเกิดเขา ข้าจึงมอบป้ายหยกสีดำสลักลายใบหยินซิ่ง[1]สามใบอันเป็นสัญลักษณ์ของสกุลเยี่ยแห่งเจียงหนานมอบให้เขา ดูแล้วคล้ายของแทนใจและของหมั้นไปพร้อมกัน หากปากบอกคนว่าป้ายหยกนี้ช่วยคุ้มภัยได้ ยามที่ไป๋เจี๋ยมีอันตรายถึงชีวิต อาคมในหยกจะช่วยคุ้มครองเขาได้ครั้งหนึ่ง ศิษย์น้องของข้าดีใจจนน้ำตาหลั่งริน เอาแต่เอ่ยวาจาว่าอู๋เกอท่านดีที่สุดออกมาไม่หยุด



ความจริงแล้วไหนเลยจะมีป้ายหยกที่มีคุณสมบัติดีเลิศเช่นนั้น ข้าเพียงใช้คาถาอาคมติดตามตัวชนิดหนึ่งเชื่อมป้ายหยกของเขาและของตนเอาไว้ด้วยกัน ยามใดที่คนรักเกิดอันตรายจนถึงชีวิต ป้ายหยกขาวข้างกายข้าจะแปรเปลี่ยนเป็นหินร้อนมอดไหม้ย้ำเตือนให้ข้าไปช่วยเหลือผู้คน เหตุเพราะเยี่ยอู๋จวินยังคงหวาดระแวงจากเหตุการณ์คราวไป๋หลี่เหอเล่นแง่กับเขาคราวก่อนอยู่ไม่น้อย สิบเดือนหนึ่งปีที่ผ่านมาข้าติดตามเขาไปภารกิจจนมิห่างกาย ตามติดเสียจนอาจารย์ออกปากว่าอย่าได้คุ้มครองผู้คนจนมากเกินไป มีข้าคอยปกป้องตลอดแล้วศิษย์น้องจะพัฒนาก้าวหน้าได้หรือ



ข้ารับคำอาจารย์หญิงอย่างขอไปที เพราะมีหรือที่จะปล่อยวางได้จริง หลังจากนั้นแม้มิได้ตามออกไปล่าภารกิจเหมือนแต่ก่อน หากยังอุ่นใจที่ข้างกายเขายังมีป้ายหยกดำของข้าเอาไว้เตือนภัย แต่ทางที่ดีอย่าให้มันได้ใช้งานเลย ปล่อยมันเป็นของแทนใจเหมือนดั่งความคิดแรกคงดีแล้ว



แม้มีคนรักต้องคอยรักใคร่ดูแลหนึ่งคน หากข้ายังคงใช้ชีวิตโดดเด่นสมเป็นเยี่ยอู๋จวินอัจฉริยะแห่งยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ไม่ต่างจากวันวานเดิม ตบะฝึกฝนยามนี้ก้าวไกลก้าวหน้าไปกว่าเหล่าอาจารย์อาที่มีตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสจากยอดเขาอื่นเสียด้วยซ้ำ เดิมทีข้ามีนิสัยเป็นมิตรพูดจาง่าย แต่คราวนี้ยิ่งไม่ต้องไว้หน้าใคร ซ้ำยังมีประวัติเคยทำร้ายศิษย์แซ่ไป๋จนพลังถดถอยไปหลายขั้น ในสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ไหนจะมีใครกล้ามีปัญหากับข้ากัน



หากยังมีคนหนึ่งที่คนแซ่เยี่ยยังไม่ได้ชำระความ คนสกุลหม่าที่บังอาจมาสอนเรื่องราวไม่เหมาะสมให้กับศิษย์น้องของข้า คงรู้ตัวกระมังจึงทำตัวได้นกรู้ดีนัก จากที่เคยมาส่งมอบยาให้ยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ก็ส่งศิษย์ผู้อื่นมาแทน สักพักเดี๋ยวปิดด่าน เดี๋ยวออกไปหาสมุนไพร เดี๋ยวออกไปรักษาคนไข้ สิบเดือนหนึ่งปีมิเคยโผล่ศีรษะมาให้เห็นหน้า แต่หม่าฮุ่ยเหวินจะหนีไปตลอดชีวิตคงทำไม่ได้ ตัวเขาแอบชอบศิษย์น้องหญิงแซ่หวังจากเขาบุปผาโปรย จึงไปดักพบส่งยาลูกกลอนให้นาง หาได้รู้ไม่ว่าข้าดักรออยู่ที่นั่นแล้ว



“ศิษย์พี่หม่า”



เจ้าของชื่อตกใจจนแทบทิ้งล่วมยาในมือ เขารีบกระโจนไปด้านข้างด้วยความรวดเร็ว คงเพราะเคยได้ยินเรื่องข้าถีบยอดอกไป๋หลี่เหอเมื่อคราวก่อน คนจึงไม่หันกลับมามองข้าเสียด้วยซ้ำ เขาเผ่นหนีไปทางหนึ่งคล้ายกระต่ายคล้ายจิ้งจอกหนีนายพราน หม่าฮุ่ยเหวินทั้งวิ่งทั้งใช้วิชาตัวเบาเหาะเหินจากยอดเขาบุปผาโปรยไปยังยอดเขากระบี่ร้อยรบ คนสกุลหม่าปีนี้อายุยี่สิบเป็นพวกเหลาะแหละไม่สนใจการบำเพ็ญเพียรฝึกฝนเท่าไร จึงตบะมิได้แรงกล้านัก หากความว่องไวในการหลบหนีไม่น้อยหน้าใครดีแท้ สุดท้ายข้าไล่ตามไปจนถึงป่ารกชัฏของยอดเขาทิพย์โอสถ ชักนึกรำคาญใจขึ้นมาจึงดีดหินใส่ข้อพับเขาครั้งหนึ่ง



“ไว้ชีวิตด้วย! ศิษย์น้องโปรดไว้ชีวิตด้วย!! ” หม่าฮุ่ยเหวินร้องลั่นเสียจนหมดสภาพความเป็นศิษย์พี่ ครั้นเห็นรอบข้างไม่มีผู้คนเหมาะสมแก่การลงมือคร่าชีวิต ร่างกายที่ไม่นับว่าแข็งแกร่งจึงสั่นระริกมากกว่าเดิม “ยามนั้นเพียงล้อศิษย์น้องของเจ้าเล่นเท่านั้น มิได้มีเจตนาร้ายอันใดทั้งสิ้น หากจะฆ่าจะแกงกัน โปรดเห็นแก่อาจารย์ผู้แก่เฒ่าของข้าที่ยังต้องการศิษย์ผู้สืบทอดด้วยเถิด ไหนจะคนไข้คนเจ็บที่เฝ้ารอหมอรอคอยยา เห็นแก่ตระกูลหม่าที่มีบุตรชายเพียงคนเดียว หรือหากเจ้าโมโหมากนัก อย่าได้ฆ่าล้างตระกูลกันเลย ทั้งหมดเป็นเพราะข้าหม่าฮุ่ยเหวินไม่รักดีเอง ศิษย์น้องเยี่ยโปรดไว้ชีวิตด้วย! ”



คนผู้นี้ยิ่งพูดจายิ่งไปกันใหญ่ พูดจาอันใดล้วนจับสาระไม่ได้ดีแท้ นี่คงขุดมาอ้างจนหมดสำนักหมดโคตรเหง้าเหล่าตระกูลแล้วกระมัง ข้าหรี่ตาลงมองใบหน้าจืดชืดของอีกฝ่ายด้วยแววตาครุ่นคิด คนเห็นข้ายังไม่ลงมือก็รีบมากอดขาข้างหนึ่งเอาไว้ ศักดิ์ศรีสิ่งใดคงกลืนลงท้องไปหมดแล้ว “ศิษย์น้องเยี่ยช่างสูงส่งสง่างามสมเป็นศิษย์ของอาจารย์อาเจิ้ง คงมิถือสาอันใดศิษย์พี่ผู้ใช้การไม่ได้ผู้นี้กระมัง”



หม่าฮุ่ยเหวินพยายามบีบน้ำตาทำหน้าน่าสงสาร หากที่จริงแล้วแอบลอบกัดโคจรพลังซัดใส่ข้าอยู่ ครั้นไม่เกิดปฏิกิริยาอันใดคนจึงชะงักค้างไปบ้าง ใบหน้าที่เงยมองข้าปรากฏความชื่นชมห้าส่วนตระหนกตกใจอีกห้าส่วน น้ำเสียงไม่จริงใจที่พล่ามมาแต่ก่อนหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสั่นไหวขึ้นมา “ไม่พบเจอสิบเดือนเจ้าก้าวหน้าไปถึงขั้นนี้แล้วหรือเยี่ยอู๋จวิน นี่มิใช่ว่ายามนี้เจ้าเหนือกว่าจูไห่คังแห่งยอดเขากระบี่ร้อยรบแล้วหรือ”



จูไห่คังเป็นศิษย์ที่เข้าสำนักมากก่อนหน้าข้าถึงยี่สิบปี ปีนี้อายุได้ยี่สิบเจ็ด ก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของสำนัก เหตุเพราะตบะแกร่งกล้า ฝึกวิชาก้าวหน้าว่องไว แต่ยามนี้ตำแหน่งนั้นกลับถูกข้าสั่นคลอนได้อย่างง่ายดายเสียแล้ว โชคดีที่ว่าทั้งข้าและเขาต่างเป็นน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง ต่างคนต่างไม่สนใจไม่สานสัมพันธ์ไม่มีปัญหากัน ยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์และยอดเขากระบี่ร้อยรบถึงยังสามารถรักษาความสัมพันธ์ได้ดังเดิม



คนแซ่หม่าจากที่คิดหนีกลายเป็นรั้งร่างข้าให้ลงมานั่งกับพื้นตรงข้ามเขา ปากพร่ำบอกว่าร่างกายของข้าคงมีสิ่งใดพิเศษเป็นแน่ต้องให้เขาตรวจดูสักหน่อย ข้าเห็นเขาตั้งใจก็คิดอดร่วมสนุกไม่ได้ หม่าฮุ่ยเหวินถือวิสาสะจับมือข้าเอาไว้แล้วถ่ายพลังสายหนึ่งเข้ามา สุดท้ายกลับถูกซัดกลับไปจนกระอักโลหิตออกมาคำโต ส่วนข้ายามแรกคิดว่าคงไม่มีปฏิกิริยาอันใด เลือดกำเดาที่จมูกกลับทะลักพรั่งพรูออกมาเสียได้



“ศิษย์น้อง เจ้า...” หม่าฮุ่ยเหวินอ้าพะงาบๆ แล้วมิได้กล่าววาจาอันใดออกมาอีก คนแตะปลายนิ้วกับชีพจรที่ข้อมือข้าแล้วนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดคล้ายใช้สมาธิเป็นอย่างยิ่ง ศิษย์เอกของยอดเขาทิพย์โอสถมิได้สนใจเลือดที่ยังคงทะลักออกมาจากจมูกของข้าเลยแม้แต่น้อย จวบจนผ่านไปครึ่งค่อนวัน ใบหน้าที่ปรกติมีเพียงรอยยิ้มแหยกลับปรากฏความเครียดขึ้งออกมาทั้งจากแววตาหางคิ้ว มองแล้วสมเป็นว่าที่เจ้ายอดเขาทิพย์โอสถดียิ่ง “เหตุใดจึงใช้วิธีฝึกวิชาเช่นนี้ มิกลัวตายหรือเยี่ยอู๋จวิน”



ฟังคำถามจบข้าได้แต่กระตุกคิ้วเข้าหากัน ข้าฝึกวิชาด้วยวิถีเดิมตามที่แม่นางแซ่เจิ้งตั้งใจสอนบ้างไม่ตั้งใจสอนบ้าง ไหนเลยจะมีวิธีอื่นใดอีก “วิธีเช่นใดกัน ศิษย์พี่หม่ากล่าววาจาให้ชัดเจนด้วย”



“มิใช่ว่าเจ้าสรรหาวิธีลอบเพิ่มพูนธาตุหยางเพื่อกระตุ้นให้ตนเองก้าวหน้าว่องไวขึ้นหรอกหรือ” หม่าฮุ่ยจวินกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดราวหมอสอนสั่งคนไข้ “บุรุษมีไอหยางมากกว่าปรกตินั้นถือเป็นเรื่องดี เพราะช่วยในการฝึกวิชาให้โดดเด่นก้าวหน้าเหนือผู้อื่น แต่ทุกสิ่งบนโลกนี้ล้วนมากไปย่อมไม่ดี น้อยไปย่อมไม่ดี พระพุทธองค์ถึงบอกให้เลือกเดินทางสายกลาง เจ้ากระทำการเช่นนี้เรียกว่ารนหาที่ตายแล้ว”



พอเห็นข้านิ่งเงียบไม่กล่าววาจาใดตอบโต้ คนที่นึกว่าข้าใช้วิชานอกรีตจึงรีบสำทับอธิบายความมากกว่าเดิม “ผู้อื่นใช้วิธีนี้แต่พอดีคงมิเป็นปัญหา แต่พลังหยางมากมายเช่นเจ้ามิใช่ว่าเป็นพิษต่อร่างกายหรอกหรือ ระยะเวลาเพียงสิบเดือนเจ้าเก่งกาจมากกว่าคนที่ฝึกฝนมาเป็นสิบปี เผาผลาญอายุตนเป็นพลังตบะไปแล้วเท่าใดก็มิอาจรู้ได้ ยามนี้แม้ยังมิออกอาการยังมิเป็นอันตราย เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่เกินยี่สิบสามสิบปีอายุขัยคงไม่เหลือหลอ”



คำพูดของคนแซ่หม่าคล้ายเป็นค้อนขนาดใหญ่ที่ทุบลงมากลางศีรษะของข้า เวลาที่ผ่านมานอกจากฝึกวิชาดั่งเดิม พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปก็มีเพียงการหลับนอนกับคนรักของตนเพียงเท่านั้น หากยิ่งคิดมากเข้าหัวใจกลับยิ่งสั่นไหว เส้นเอ็นที่ขมับยิ่งเต้นหนักกว่าเดิม



ข้าเคยอ่านตำราโบราณมองเห็นผ่านตาเรื่องการใช้ธาตุหยางช่วยฝึกวิชาอยู่บ้าง ความจริงแล้วหนทางการรับพลังหยางมีหลากหลายวิธีด้วยกัน หากวิธีหนึ่งคือการซวงซิวใช้บุรุษเป็นเตาหลอม เกรงว่าที่อาจารย์กล่าวไว้ว่าศิษย์น้องของข้ามีกระดูกเซียนแน่นหนารากฐานแข็งแกร่ง คงเพราะเขามีธาตุหยางบริสุทธิ์เต็มเปี่ยมอยู่เต็มร่าง ข้าหลับนอนกับเขาหลายครั้งหลายคราย่อมทำให้ดูดซับไอหยางเข้มข้นจากเขาโดยไม่รู้ตัว จนกลายเป็นว่าความก้าวหน้าในมรรคาเซียนสูงส่งยิ่งกว่าเจ้าของธาตุหยางเสียอีก



เวลาเพียงยี่สิบสามสิบปีช่างสั้นนักเมื่อเทียบกับมรรคาเซียนอันแสนยาวนาน ข้ามิรู้สึกเสียใจเลยสักนิด หากต้องตายเพราะครั้งหนึ่งได้รักศิษย์น้องของตนเอง แต่ถ้าไป๋เจี๋ยรับรู้เรื่องนี้เขา มันจะมิกลายเป็นตราบาปตลอดชีวิตของเขาหรอกหรือ



“เจ้าอย่าเพิ่งทำสีหน้าเช่นนั้นเลย ใช่ว่าจะไม่มีหนทางแก้ไข” หม่าฮุ่ยเหวินเอื้อมมือมาตบไหล่ปลอบใจข้า คนหลงคิดไปว่าข้าหวาดกลัวต่อความตาย “หากหยางมากไปก็หาหยินมาเติมช่วยรักษาสมดุล ศิษย์น้องเยี่ยหน้าตาหล่อเหลาเช่นนี้ ไอหยินจากปราณบริสุทธิ์ไร้มลทินย่อมหาไม่ยากอยู่แล้ว”



ประโยคนี้มิใช่ว่ามีความนัยให้ข้าหาสตรีมาหลับนอนเพิ่มธาตุหยินหรอกหรือ ไหนเลยข้าจะทำตามที่ตัวน่าตายแซ่หม่าแนะนำได้ กระทำการเช่นนั้นย่อมมิต่างอะไรกับการให้ข้านอกกายนอกใจทำร้ายคนที่ข้ารัก ตอนแรกข้านึกอยากด่าโคตรเหง้าของหม่าฮุ่ยเหวินสักทีที่เลี้ยงดูเขาออกมาเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อย้อนคิดว่าเขาทำไปตามหน้าที่ตามสัญชาตญาณของเขาพลันรู้สึกหมดวาจาจะกล่าวขึ้นมา



“ขอบคุณศิษย์พี่หม่าที่ชี้แนะ เรื่องนี้ท่านอย่าได้ปริปากบอกใครไป” ข้าคำนับเขาด้วยใจจริง ก่อนจะบอกลาด้วยความรู้สึกชืดชา บุญคุณความแค้นที่เขากลั่นแกล้งศิษย์น้องของข้ายังจะมีอารมณ์ใดมาคิดถึงได้อีก



ข้าใช้กระบี่พันหมื่นแสงดาราเหาะเหินกลับมาถึงยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ด้วยระยะเวลาเพียงเค่อเดียว แต่กลับรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายและใจเต็มที ยามนี้คิดถึงแต่หน้าคนรัก มิรู้ว่าควรต้องพูดจาบอกกล่าวอย่างไรว่าข้าคงอยู่ได้แค่ยี่สิบสามสิบปี หากมิยอมร่วมหลับนอนกับเหล่าสตรี สุดท้ายเมื่อตามหาเขาจนเจอจึงได้แต่รั้งร่างเล็กบางมาในอ้อมกอดแนบจูบแนบแน่น มิสนใจด้วยซ้ำว่าตนกำลังอยู่ในคลังเก็บของของอาจารย์หญิง



วันนี้สวรรค์คงไม่เข้าข้างข้าเยี่ยอู๋จวินกระมัง เพียงถ้อยคำจากหม่าฮุ่ยเหวินคงทำร้ายจิตใจข้ามิมากพอ ครั้นยามผละจูบออกจากไป๋เจี๋ยเปลี่ยนมากระชับกอดเขาเอาไว้ สายตากลับมองเห็นหญิงงามล่มเมืองนางหนึ่งยืนมองพวกข้าทั้งสองอยู่ที่ขอบประตู



เจิ้งปิงฉินในชุดขาวบริสุทธิ์มองมาด้วยสายตาเย็นยะเยือกส่งตรงถึงจิตวิญญาณ...ซึ่งมิรู้ว่านางยืนมองมานานเท่าใดแล้ว ใบหน้างามแม้ยังเรียบเฉย แต่ดวงตาดั่งเมล็ดซิ่งกลับให้ความรู้สึกดุดันกว่าทุกครา นางจับจ้องข้ามิวางตาคล้ายกำลังสำรวจลึกเข้าไปจนถึงจิตใจ อาจารย์หญิงมิได้กล่าววาจาใดแม้แต่คำหนึ่ง มิได้ส่งเสียงให้ไป๋เจี๋ยที่อยู่ในอ้อมแขนข้ารู้ตัว หากเพียงสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปด้วยท่าทางเย็นชาอย่างยิ่ง



ข้ารู้สึกคล้ายคนถูกน้ำเย็นสาดหน้าให้ตื่นจากห้วงนิทรา สองแขนกระชับกอดร่างศิษย์น้องในอ้อมแขนแน่นขึ้น หากในใจสับสนวุ่นวาย เคยคิดว่ารอเวลาผ่านไปสักสองสามปี รอไป๋เจี๋ยเติบโตขึ้นกว่านี้แล้วค่อยบอกเรื่องราวความสัมพันธ์ให้อาจารย์ได้รับรู้ ถึงวันนี้นางกลับมาพบเห็นด้วยตนเอง ซ้ำยังเดินจากไปด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างมาก เช่นนี้แล้วข้าควรบอกเล่าอธิบายเหตุการณ์ให้อาจารย์หญิงฟังอย่างไรเล่า



มิรู้ว่าโชคชะตาเล่นตลกหรือไร เกิดมาจนถึงตอนนี้ไม่ว่าสิ่งในชีวิตของข้าล้วนราบเรียบง่ายดายไร้ซึ่งอุปสรรคมาโดยตลอด หากถึงเวลาที่ข้าเยี่ยอู๋จวินตกหลุมรักใครสักคน อยากใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขาตลอดไป ความรักนั้นกลับมิง่ายดายเลยสักนิด...



ไม่ง่ายดายเลยจริงๆ



โปรดติดตามตอนต่อไป...


****

ซินเอ๋อร์:

ตอนนี้ยาวเป็นพิเศษเลย ตอนแรกลังเลว่าจะเขียน NC สักนิดดีไหม แต่ไม่ได้เขียนหลายตอนแล้ว เอาสักนิดให้กระชุ่มกระชวยหัวใจค่ะ จริงๆ คิดว่าเฉลยเรื่องปมต่างๆ ไปพอสมควรเลย เรื่องราวในอดีตเหลืออีกตอนก็จะจบแล้วนะคะ ส่วนจะจบยังไงต้องติดตามกันตอนต่อไปค่า 

จากนิยายกามๆ เขียนเอามันในตอนแรกกลายเป็นแบบนี้ไปแล้วค่ะะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ ทุกกำลังใจจริงๆ นะคะ 

พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ซินเอ๋อร์หนีไปนอนก่อนนะคะ <3

เชิงอรรถ

^ ใบแปะก๊วย

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
เห็นด้วยครับว่าอู๋เกอนี่เท่มาก! /ยกนิ้วให้ด้วยความชื่นชม โอ้โห นัยยะ “เวลาเพียงแค่ยี่สิบสามสิบปีมันช่างสั้นเมื่อเทียบกับมรรคาเซียนอันแสนยาวนาน แต่หากถ้าต้องตายเพราะครั้งหนึ่งได้รักไป๋เจี๋ย เขาก็ไม่มีวันรู้สึกเสียใจสักนิด” ประโยคนี้มาทีนี่ผมสะอึกเลยนะครับ พระเอกอย่างหาที่ใดเปรียบไม่ได้ แถมยังคิดถึงคนรักของตัวเองอย่างสุดๆ ว่าถ้าเกิดเยี่ยอู๋จวินต้องตายจริงๆ แล้วไป๋เจี๋ยต้องมารู้ว่าเป็นเพราะตัวเอง ไป๋เจี๋ยจะโทษตัวเองขนาดไหน อู๋เกอตั้งใจจะไม่ยอมให้ศิษย์น้องรับรู้ความรู้สึกที่ว่าตัวเองต้องเป็นตราบาป เขาตั้งใจจะรักษาความรู้สึกของไป๋เจี๋ยไปตลอดชีวิต ขอเพียงไป๋เจี๋ยมีความสุข อาจจะมีความรักใหม่กับคนอื่นก็ได้ แต่เยี่ยอู๋จวินจะไม่มีวันยอมให้ตัวเองเป็นสาเหตุของความทุกข์ที่คนรักต้องรู้สึกเป็นอันขาด

อะไรจะเท่ขนาดนี้เนี่ย! (ฮือ น้ำตาไหล หวีดอย่างแรงเลย ชอบมากครับ!) นี่มันไม่ใช่ผีลามกครับ นี่มันสุดยอดแห่งพระเอกเก้ากระบี่พิชิตมังกรชัดๆ ไม่เคยเจอพระเอกเท่ๆขนาดนี้มานานแล้ว นี่ถึงขนาดให้หยกแทนใจไว้เลยนะครับ สลักตราประจำตระกูลไว้ให้ด้วย แถมยังใช้เป็นเครื่องรางคุ้มภัยว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ไป๋เจี๋ยมีอันตราย เขาจะรีบร้อนถ่อไปหาเพื่อช่วยเหลือทันที สุดยอดเลยท่านอู๋ (ผมว่าปัจจุบัน ทั้งสองคนก็ยังพกหยกสองอันนี้ติดตัวอยู่นะ ยิ่งถ้าไป๋เจี๋ยหลุดออกมาอย่าให้เจออีกครั้ง เพราะจะรั้งให้อยู่ตลอดด้วยไป แสดงว่าเขาเก็บหยกไว้แน่ๆ และผมว่าอย่างเยี่ยอู๋จวิน ปากอย่างใจอย่างขนาดไหน หยกขาวนั่นก็น่าจะเก็บอยู่ใกล้ตัวเป็นอย่างดี)

ที่เยี่ยอู๋จวินตัดสินใจออกจากสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ โดยเฉพาะออกจากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ที่ว่ารับศิษย์ยากนักหนา แล้วก็ฝีมือล้ำเลิศ คงเป็นเพราะไม่อยากให้ไป๋เจี๋ยต้องแบกรับสิ่งที่ไม่ดีหลายๆอย่าง อย่างเช่น เจิ้งปิงฉินมาเห็น อู๋เกอของเราก็อาจจะคิดว่านางไม่เห็นชอบ ดังนั้นถ้าเรายังอยู่ด้วยกัน เดี๋ยวต้องมีเภทภัยอะไรมาหาไป๋เจี๋ยแน่ ดังนั้นก็เลยคิดว่าออกจากสำนักดีกว่า ไป๋เจี๋ยไม่น่าจะเป็นอะไร แล้วตัวเขาเองก็เอาตัวรอดได้อยู่แล้วสบายๆ แถมถ้าออกไป ก็จะทำให้ไป๋เจี๋ยไม่ต้องรู้สึกผิดอีกว่าตัวเองเป็นสาเหตุให้เยี่ยอู๋จวินต้องตายไว เพราะถ้าอยู่ด้วยกัน ยังไงเยี่ยอู๋จวินก็รักไป๋เจี๋ยอยู่แล้ว ความรู้สึกไม่มีสั่นคลอน ผมชอบวลีหนักแน่นของเยี่ยอู๋จวินในตอนที่แล้วนะครับ “เมื่อเยี่ยอู๋จวินผู้นี้ตัดสินใจรักเจ้า ย่อมไม่มีวันรู้สึกเสียใจเช่นกัน” แถมยังบอกย้ำอีกว่าเขาตกหลุมรักไป๋เจี๋ย อยากใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับไป๋เจี๋ยตลอดไป ประโยคพวกนี้มันบอกชัดถึงปณิธานแน่วแน่ของเยี่ยอู๋จวินเลย ทำไมอู๋เกอถึงเท่อย่างนี้เนี่ย!

แต่ส่วนตัวผมว่าเจิ้งปิงฉินไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องศิษย์สองคนรักกันนะครับ ผมว่าปัญหาคือเรื่องชาติกำเนิดของไป๋เจี๋ยมากกว่า ผมว่าเจิ้งปิงฉินต้องรู้อะไรมาสักอย่าง แล้วการที่สองคนนั้นรักกัน มันจะทำให้เกิดปัญหาบางอย่างในอนาคต ยิ่งสถานะตอนนี้ของเจิ้งปิงฉินคือหายสาบสูญ เนื่องจากคนรักสองคนตีกันจนตายกับเป็นบ้า เจิ้งปิงฉินคงได้บทเรียนบางอย่างแล้ว ผมว่าตัวละครตัวนี้อาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการที่ผีเยี่ยอู๋จวินอาจจะกลับมาเป็นคนได้อีกครั้ง หรือว่าจะมาปลดล็อกทำให้ไป๋เจี๋ยได้รับรู้ความคิดที่แท้จริงของอู๋เกอ หรืออาจจะมาเฉลยเรื่องของไป๋เจี๋ยให้เยี่ยอู๋จวินรับรู้ก็เป็นได้

ผมชอบตอนนี้มากเลยนะครับ พาร์ทย้อนอดีตนี่ทำให้เราเห็นมิติของตัวละครปัจจุบันเยอะขึ้น แล้วก็เฉลยหลายสิ่งที่อาจนำไปสู่กุญแจในการไขพล็อตหลักด้วย เขียนได้ดีครับ

ปล1. ถึงจะทำให้พล็อตหลักเข้มข้น แต่เนื่องจากโทนเรื่องเป็นผีลามก เราจะใส่ฉากเรทๆหรือกามๆที่ดุเด็ดเผ็ดมันเข้ามาเพื่อคุมโทนเรื่องไม่ให้ซีเรียสเกินไป หรือทำให้มันเฮฮาหน่อย ก็ทำได้นะครับ :laugh:

ปล2. เฉลยเรื่องสัดส่วนรูปร่างของผีลามกแล้วว ถึงจะยังเป็นวัยรุ่น 15 แต่ท่าทางจะไม่เบาเลยนะครับ ล้ำหน้าคนอื่นไปไกล นี่ถ้าตอนเจริญพันธุ์เต็มที่นี่จะขนาดไหน แสดงว่าหานเฉิงรุ่ยที่ว่าร่างกายสูงใหญ่ หรือเหล่ยเจิ้นยวี่ที่แม้จะพิมพ์หน้าตารูปร่างสมัยสิบเจ็ดสิบแปดมา ก็ยังไม่น่าจะสู้กับพระเอกเยี่ยอู๋จวินของเราในร่างจริงนะครับ อยากเห็นจังเลยยย :m25:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-10-2019 12:40:52 โดย Grey Twilight »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ ง่วงนอน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
นั่งไทม์แมชชีนมาจนจะจบแล้ววว พระเอกนี่หื่นแต่เด็กเลยนะ ดูดซับพลังหยางได้มากขนาดนั้นอาทิตย์นึงทำไปกี่รอบเนี่ย   :hao6:

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
ความรู้สึกลึกซึ้งอันแสนพูดยากเมื่อปีนั้น (5)



วันต่อมาข้าตื่นตั้งแต่ก่อนยามเหม่าไปนั่งคุกเข่าอยู่หน้าห้องนอนของอาจารย์ สมองครุ่นคิดถ้อยคำอธิบายที่จะบอกเล่าให้แม่นางแซ่เจิ้งฟังถึงความรู้สึกของตนที่มีต่อศิษย์น้อง นั่งอยู่ได้ครึ่งค่อนชั่วยามอาจารย์กลับเรียกให้ข้าไปช่วยแต่งตัวเหมือนยามต้องไปธุระข้างนอก นางส่งปิ่นบุปผามุกให้ข้าช่วยประดับเรือนผม จากนั้นจึงสะบัดแขนเสื้อเดินนำไปที่ห้องหนังสือด้วยท่าทางสงบเยือกเย็นยิ่งนัก



อาจารย์เพียงชี้นิ้วสั่งให้ข้าทำความสะอาดกระบี่เล่มหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะคัดอักษร คราแรกข้านึกว่าเป็นกระบี่เกล็ดน้ำค้างของอาจารย์หญิง หากพิศดูแล้วกลับพบว่าแม้รูปลักษณ์คล้ายคลึงแต่มีบางส่วนที่แตกต่างกันอยู่ไม่น้อย ทั้งน้ำหนักที่เบากว่ารูปร่างที่เพรียวกว่า ฝักกระบี่สลักลายเกล็ดน้ำค้างแข็งคล้ายกระบี่ประจำกายของแม่นางแซ่เจิ้ง หากฝีมือประณีตอ่อนช้อยกว่ามาก คล้ายว่ากระบี่เกล็ดน้ำค้างตีขึ้นก่อนแล้วค่อยตีกระบี่เล่มนี้ตามมาเป็นกระบี่คู่อย่างไรอย่างนั้น



“กระบี่เล่มนี้คือกระบี่ธารน้ำแข็ง เป็นกระบี่ที่ข้าตีขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน” อาจารย์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้คนงาม สายตาที่มองตรงมายังข้านอกจากความเฉื่อยชาเจ็ดส่วนยังมีแวววูบไหวประหลาดอยู่อีกสามส่วน “เจ้าคงสงสัยกระมังว่าเหตุใดข้าจึงหยิบกระบี่เล่มนี้ออกมา”



ข้ามิได้ตอบคำถามอันใด นอกจากส่งกระบี่ที่เช็ดถูทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วส่งวางบนโต๊ะ ส่วนตนเองกลับไปนั่งคุกเข่าเช่นเดิม เมื่อวานเจิ้งปิงฉินพบเจอความสัมพันธ์ระหว่างข้าและคนสกุลไป๋ วันนี้นางย่อมมิอาจทำตัวเมินเฉย คงมีหลากหลายวาจาที่ต้องพูดจากับข้าเป็นแน่



“เจ้าเคยได้ยินเรื่องราวของสองเหมันต์แห่งยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์หรือไม่ ไม่สิ...ตอนนั้นเจ้ายังไม่เกิดเลยกระมัง” นางแค่นหัวเราะด้วยน้ำเสียงชืดชาออกมาคำหนึ่ง ปลายนิ้วขาวไล้ไปตามลายสลักของฝักกระบี่คล้ายใจลอย นัยน์ตาดำสนิทแปรเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นจนเห็นได้ชัด “ยามเจิ้งปิงฉินดีดพิณ ยาม[1]ร้องเพลง แม้แต่นกสกุณายังต้องหยุดร้องรอฟัง ช่างเป็นคำกล่าวที่น่าขันยิ่งนัก”



แม้ยามนั้นข้าเยี่ยอู๋จวินยังมิได้ลืมตาขึ้นมาบนโลก แต่ก็เคยได้ยินจากบิดาที่เคยเป็นศิษย์ร่วมสำนักรุ่นใกล้เคียงกับแม่นางแซ่เจิ้งว่าอาจารย์เคยมีศิษย์น้องร่วมยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์อยู่ผู้หนึ่ง ทั้งสองล้วนแต่เป็นดรุณีน้อยหน้าตาแช่มช้อยล่มเมือง กิริยาท่าทางงดงาม ฝีมือเก่งกาจอาจหาญยากหาผู้ใดมาเทียบ มิว่าไปที่ใดล้วนแต่ดึงดูดสายตาผู้คน คนกะหล่อนเจ้าชู้เช่นเยี่ยหย่งฟางจึงจดจำได้ขึ้นใจ



นามเรียกตัวคนหนึ่งคือพิณน้ำแข็ง คนหนึ่งคือหยกหิมะ เจิ้งปิงฉินเก่งกาจด้านเพลงพิณสมดังชื่อ ส่วนชวีเสวี่ยจิงร้องเพลงร่ายรำได้ไพเราะงดงาม ทั้งสองสนิทสนมรักใคร่กลมเกลียวไม่ว่าไปที่ไหนก็ไปด้วยกัน จึงเกิดเป็นคำเรียกขานแม่นางทั้งคู่ว่าสองดรุณีเหมันต์แห่งยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ แต่หลังจากเจิ้งปิงฉินได้รับเลือกเป็นผู้สืบทอดต่อจากอาจารย์ปู่ มิรู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น ชวีเสวี่ยจิงจึงตัดสินใจออกจากสำนักออกเดินทางท่องเที่ยว จากนั้นได้หายตัวสาบสูญไป มิมีผู้ใดพบเจอนางอีก



นัยน์ตาคู่งามคล้ายเหม่อลอยคล้ายจับจ้องมายังข้า มุมปากของเจิ้งปิงฉินยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเบาบาง ก่อนจะบอกเล่าเรื่องราวในอดีตด้วยน้ำเสียงสดใสอยู่สองส่วน “ตอนข้าอายุสิบเอ็ดอยู่บนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ได้ห้าปี วันหนึ่งอาจารย์ปู่ของเจ้าที่ออกท่องเที่ยวกลับมาพร้อมทารกหญิงในห่อผ้า บอกว่าเป็นเด็กกำพร้าที่เก็บได้กลางทาง เห็นนางไม่มีที่พึ่งพิงจึงคิดนำมาเลี้ยงดู นางมีผิวขาวราวหิมะ หน้าตาน่ารักยิ่งกว่าเด็กคนใดที่ข้าเคยเห็นมาก่อน เสียงร้องสดใสกังวาลสั่นสะเทือนไปทั้งยอดเขา ข้าจึงตั้งชื่อให้นางว่าเสวี่ยจิง ส่วนแซ่ใช้ตามแซ่ของอาจารย์”



“ยิ่งเติบใหญ่จิงจิงยิ่งแข็งแกร่ง แรกเริ่มข้าคิดว่านางเพียงมีกระดูกเซียนแข็งแกร่งมีรากฐานปราณแน่นหนา หากนางอายุเพียงสามขวบกลับสามารถล้มสัตว์อสูรขั้นสูงที่หลุดมาจากยอดเขาอสูรคำรามได้ด้วยมือเปล่า ซ้ำยังอาละวาดเสียจนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ย่อยยับหมดสภาพ ยามนั้นอาจารย์จึงยอมบอกเล่าความลับในชาติกำเนิดของนางให้ข้าได้ฟัง มารดาของจิงจิงเป็นสหายผู้ฝึกเซียนคนหนึ่งของอาจารย์ นางพบรักกับเซียนสวรรค์ผู้มาเผชิญด่านรักในโลกมนุษย์ท่านหนึ่ง แต่ด่านเคราะห์ของเขาคือพลัดพรากจากความรัก สุดท้ายจึงกลับคืนสวรรค์ชั้นฟ้าไป เหลือไว้เพียงเลือดเนื้อเชื้อไขเอาไว้ในครรภ์ของนาง”



“เซียนสวรรค์ผู้นั้นไหนเลยจะเป็นเซียนธรรมดา หากเป็นถึงสัตว์เทพบรรพกาลมังกรทองห้าเล็บ” เจิ้งปิงฉินหลุบสายตาลงมองข้าครู่หนึ่งแล้วหลุดหัวเราะออกมาแผ่วเบา “มังกรทองห้าเล็บสูงส่งเพียงใดเจ้าคงพอรู้กระมัง”



ข้านิ่งเงียบด้วยไม่กล้าปริปากกล่าววาจาอันใดขัดอาจารย์ หากตำนานของมังกรทองห้าเล็บข้าและเหล่าผู้ฝึกเซียนทั้งหลายย่อมเคยเห็นผ่านตามาก่อน สายเลือดสูงส่งเช่นนั้นมีเพียงชนชั้นผู้ปกครองสวรรค์องค์จักรพรรรดิของเหล่าเทพเซียน ซ่างเสินผู้ที่มาเผชิญด่านรักในครั้งนั้นคงเป็นองค์ชายสักคนกระมัง



แรกเริ่มข้ายังไม่เข้าใจว่าอาจารย์หญิงเล่าเรื่องราวอาจารย์อาชวีเสวี่ยจิงให้ข้าฟังด้วยเหตุผลประการใด หากยามนี้กลับสังหรณ์ใจในบางอย่าง ซ้ำยังเป็นสังหรณ์ที่ทำให้ภายในใจรู้สึกสั่นไหวจนบอกไม่ถูก ข้าอยากร้องบอกอาจารย์ให้นางหยุดเล่าเรื่องราวต่อจากนี้ไปเสียที หากแม่นางแซ่เจิ้งไหนเลยจะยอมกระทำการตามนั้น



“ชวีเสวี่ยจิงได้รับสายเลือดและพรสวรรค์ของมังกรทองห้าเล็บมาเต็มตัว แม้เป็นสตรีแต่กลับมีกายหยางบริสุทธิ์หาใครเทียบได้ อาจารย์ปู่ของเจ้าพยายามใช้อาคมสะกดพลังเอาไว้เพื่อไม่ให้พลังนั้นนำพาภัยอันตรายมาให้นาง แต่ก็ทำได้เพียงชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้น สามเดือนครึ่งปีต้องคอยช่วยกันข่มสายเลือดสวรรค์เอาไว้”



ยามกล่าวอีกหลายประโยคถัดมา สีหน้าของแม่นางแซ่เจิ้งพลันอ่อนโยนยิ่งขึ้นกว่าเดิม “แม้เป็นเช่นนั้นหากนางกลับเติบใหญ่มาได้อย่างดียิ่ง เก่งกาจงดงามอุปนิสัยสดใสร่าเริงต่างจากคนชืดชาเช่นข้ามากนัก ข้าช่วยอาจารย์เลี้ยงดูนางมาจนเติบใหญ่ นางเคารพรักข้าเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าไปไหนก็คอยมาเกาะแขนร้องเรียกปิงเจี่ยอย่างนั้นปิงเจี่ยอย่างนี้ ข้าคิดว่าวันหน้าผู้สืบทอดยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ย่อมต้องมีกระบี่ดีๆ ใช้สักเล่ม ครั้นนางอายุสิบสี่ข้าจึงตั้งใจตีกระบี่ให้เล่มหนึ่ง กระบี่ธารน้ำแข็งเล่มนี้เหนือกว่ากระบี่เกล็ดน้ำค้างของข้าไม่รู้จักกี่สิบกี่ร้อยเท่า ข้ากลับมองว่าเหมาะสมกับนางดีแล้ว”



อาจารย์หญิงกดปลายนิ้วตามรอยสลักบนด้ามกระบี่ด้วยแรงที่มากขึ้น ใบหน้าจากอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาเครียดขึ้ง ดวงตาคู่นั้นปรากฏร่องรอยเจ็บปวดจนมิอาจปิดบังได้ “ยามที่นางอายุสิบหก นางตามข้าไปทำภารกิจปราบมารชั่วตนหนึ่ง ตัวข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนนางบาดเจ็บภายนอกเล็กน้อยเพียงเท่านั้น เมื่อกลับมาถึงสำนักผู้คนเอาแต่สนใจช่วยยื้อชีวิตข้า ครั้นข้าอาการหายดีกลับพบว่าพลังฝึกปรือของศิษย์น้องกลับถดถอยลงไปมาก มารชั่วพวกนั้นถึงกับลงมือใช้พิษสลายปราณกับนาง”



คำว่าพิษสลายปราณทำให้ข้ารู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาถึงไขกระดูก สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรเป็นเซียนทุกคนคงไม่มีสิ่งใดน่าหวาดผวาได้เทียบเท่ากับพิษชนิดนี้ของเหล่ามารอีกแล้ว เมื่อถูกพิษในเบื้องต้นจะทำให้พลังตบะถดถอยไปหลายขั้น หากทิ้งเอาไว้นานจนพิษเข้าสู่จุดตันเถียนจะทำให้รากฐานปราณทั้งหมดสูญสลายจนกลายเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาไม่อาจฝึกปรือได้อีก แต่พิษสลายปราณนับว่าเป็นพิษที่หายากที่สุดก็ว่าได้ ความน่ากลัวของมันทำให้เมื่อพันปีก่อนเหล่าเซียนและผู้ฝึกเซียนลงมือกวาดล้างพิษชนิดนี้ไปเสียสิ้น ไม่คาดคิดว่าจะยังมีหลงเหลือมาจนถึงอาจารย์อาชวีได้



“เวลานั้นพิษเข้าสู่จุดตันเถียนไปได้หลายเดือนแล้ว นางมีพลังมากมายจึงยิ่งคล้ายกาน้ำรั่วที่มีแต่น้ำไหลออก แม้อาจารย์จะหาวิธีชะล้างไขกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็นอย่างไร แต่ร่างกายของจิงจิงบอบช้ำจนมิอาจรักษาได้ นางกลับยังยิ้มแย้มบอกข้าว่ายามนี้นางยังมีพลังฝึกปรือหลงเหลือพอดูแลตนเองได้บ้าง ใต้หล้านี้ยังมีหลายสิ่งมากมายมิเคยได้พบเห็น ยังมีหลายสิ่งที่มิเคยสัมผัส นางขอลงจากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ออกเดินทางท่องเที่ยวก่อนที่จะกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาเสียดีกว่า”



“ชวีเสวี่ยจิงออกจากยอดเขาไปทั้งอย่างนั้นเอง ปีต่อมาอาจารย์ปู่ของเจ้าแต่งตั้งข้าเป็นผู้สืบทอด ส่วนตัวเขาไม่สามารถผ่านด่านเคราะห์อัสนีได้จึงต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีกครั้ง ข้ารอให้ทุกสิ่งเข้าที่เข้าทางอยู่หลายปีจึงออกเดินทางตามหาศิษย์น้อง สิบหกปีก่อนพบนางกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะเชือดไก่ นางแต่งกายคล้ายสาวชาวบ้านอาศัยอยู่แถวซีเปียนจิ่ง” อาจารย์นิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจับจ้องข้าไม่วางตา ภาพสะท้อนจากนัยน์ตาดำขลับคือแววตาของข้าที่สั่นไหวจนคล้ายหวาดกลัว ปลายนิ้วเริ่มสั่นระริกอย่างไม่ทราบสาเหตุ เกรงว่าเรื่องราวต่อจากนี้ไปคงเป็นเรื่องที่ข้ามิอยากรับรู้มากที่สุดแล้วกระมัง



“พบเจอคราวนั้นนางตั้งครรภ์ได้หลายเดือนแล้ว จิงจิงบอกข้าว่าสามีของนางเป็นผู้สืบทอดสกุลเซียน เป็นบุรุษที่ดีกับนางเป็นอย่างยิ่ง อีกไม่นานนางจะให้กำเนิดบุตรสาวบุตรชายผู้มีความสามารถแกร่งกล้าตามสายเลือดสัตว์เทพบรรพกาลให้เขาคนหนึ่ง บุตรของนางต้องเก่งกาจยิ่งกว่าใคร วันหนึ่งได้ผู้นำเซียนที่ยิ่งใหญ่กว่าใครในใต้หล้า วันหนึ่งได้เหาะเหินกลับไปสวรรค์ชั้นฟ้ากลายเป็นเทพเซียนที่ยิ่งใหญ่กว่าเทพเซียนทั่วไป ชั่วชีวิตนี้นางมีความสุขดีมากแล้วในฐานะหญิงสาวผู้หนึ่ง ข้ามิจำเป็นต้องวิตกกังวลเป็นห่วงเป็นใยอีกต่อไปแล้ว”



ข้าเปิดปากขึ้นพยายามบอกอาจารย์ว่ามิจำเป็นต้องเล่าอีกต่อไป หากกลับไม่มีเสียงใดหลุดรอดออกมาทั้งสิ้น เจิ้งปิงฉินทำเหมือนไม่รับรู้ความรู้สึกของข้า ริมฝีปากแดงดั่งผลอิงเถาขยับออกกล่าวถ้อยคำไม่หยุด



“กิจการงานของสำนักวุ่นวายอยู่หลายปี ข้ากลับไปเยี่ยมนางอีกเจ็ดปีต่อมากลับไม่พบทั้งนางไม่พบทั้งบุตรที่ว่า แรกเริ่มคิดว่านางย้ายบ้านหรือย้ายเข้าสกุลของสามีไปแล้วกระมัง หากต่อมากลับสืบพบว่านางถูกภรรยาหลวงของสามีแสนดีผู้นั้นอาละวาดจนขาดใจตายไปแล้วเมื่อปลายปี ส่วนบุตรชายระหกระเหินไปอยู่แห่งหนใดก็ไม่อาจรู้ได้ ข้าออกตามหาบุตรของศิษย์น้องอยู่หลายปีจึงพบเขาเป็นขอทานสกปรกอยู่ข้างถนน ต้องถูกผู้คนทุบตี ต้องแย่งข้าวสุนัขกิน...ทั้งที่เขามีสายเลือดสูงส่งถึงเพียงนั้น ทั้งที่เขาหน้าตางดงามถึงเพียงนั้น”



“อู๋จวิน...ทั้งเจ้าและไป๋เจี๋ยล้วนแต่เกิดมาหนทางแตกต่าง ศิษย์น้องของเจ้าสืบทอดพลังจากมารดามาเต็มสิบส่วน ซ้ำยังได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์จากพระแม่ซีหวังหมู่ที่แฝงเร้นอยู่ในสายเลือดของคนสกุลไป๋ วันหนึ่งเขาต้องกลับซีเปียนจิ่งไปเป็นผู้นำสกุลไป๋ วันหนึ่งเขาต้องเหาะเหินขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้ากลับไปเป็นหนึ่งในสายเลือดของผู้ปกครองสวรรค์ ส่วนเจ้า...” อาจารย์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งคล้ายอยากเอ่ยวาจาบางอย่าง หากกลับคิดเปลี่ยนใจเสียก่อน “เจ้ายังมีหนทางของเจ้าอีกยาวไกล อีกสองปีเมื่ออายุสิบแปด ข้าจะแต่งตั้งเจ้าเป็นผู้สืบทอดยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์”



“แต่ข้าและเขารักกันด้วยใจจริง ต่อให้เขาเป็นขอทานน้อยก็ดี ต่อให้เขาเป็นเทพสวรรค์ก็ดี ข้าล้วนแต่รักเขาทั้งสิ้น ขอเพียงพวกข้ารักกันด้วยความรู้สึกหนักแน่นมั่นคงตลอดไป ไยถึงมิสามารถรักกันได้” ข้าโพล่งออกไปด้วยความรู้สึกหลากหลายอย่างผสมปนเปกันจนเหลือจะกล่าว มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นเพื่อพยายามสกัดกั้นอารมณ์ของตนเอาไว้



“ชีวิตนี้ไหนเลยจะมีคำว่ามั่นคงตลอดไป! วันนี้รัก พรุ่งนี้ไม่รัก ใครเล่าจะตอบเจ้าได้” เจิ้งปิงฉินกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเหลืออด หากเมื่อมองเห็นหน้าตาข้าดูไม่ได้มากเข้า นางจึงพยายามใช้น้ำอดน้ำทนขึ้นมากกว่าเดิม “เจ้าและเขาวันหนึ่งย่อมต้องลาจากกัน รอให้ถึงเวลานั้นจะมิยิ่งเจ็บช้ำกว่าเดิมหรือ เวลานี้พวกเจ้ายังเยาว์วัยยังใช้เวลาฟื้นฟูตนเองได้ทัน แม้แรกเริ่มอาจเจ็บปวดใจอยู่บ้าง แต่เวลาผ่านไปย่อมไม่รู้สึกสิ่งใดแล้ว”



แม่นางแซ่เจิ้งถึงกลับใช้ถ้อยคำที่ข้าเคยบอกกล่าวกับนางในวันนั้นมาย้อนคืนข้าในวันนี้ ยิ่งคิดตามเท่าไรกลับยิ่งรู้สึกว่าคำพูดของนางนั้นเป็นจริงได้อยู่หลายส่วน ด้วยสายเลือดมังกรสวรรค์ย่อมทำให้ไป๋เจี๋ยกลายเป็นเทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างง่ายดาย หากมนุษย์ปุถุชนเช่นข้ายามผ่านด่านอัสนียังมิอาจล่วงรู้ได้ว่าจะสามารถรอดเคราะห์ไปได้ กระทั่งอาจารย์ปู่ชวีเองก็ยังมิรอดหรอกหรือ



ข้าสั่นศีรษะไล่ความรู้สึกสับสนออกไป ดวงตาร้อนผ่าวจับจ้องอาจารย์ด้วยความรู้สึกไม่ยินยอม “ทั้งหมดล้วนแต่เป็นวาจาของท่านทั้งสิ้น ไป๋เจี๋ยคิดเห็นตัดสินใจเช่นไรก็ยังมิรู้ได้...”



“เช่นนั้นเจ้าก็ลองถามเขาดูว่าเขาอยากเลือกอยู่กับเจ้าไปตลอดชีวิต หรืออยากเป็นเซียนสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่เหนือใครกันแน่” เจิ้งปิงฉินระบายลมหายใจยาวคล้ายเหนื่อยล้าเต็มที “ความรู้สึกบางครั้งก็คล้ายจริงคล้ายลวงตา วันนี้ตัดรักไปยังคงความสัมพันธ์เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันได้ ลองไตร่ตรองให้ดีเถิดอู๋จวิน”



ข้าเดินโซเซออกมาอย่างหมดเรี่ยวแรงจนลืมแม้กระทั่งบอกคำนับลาอาจารย์หญิง ครั้นกลับไปถึงเรือนพักกลับพบว่าคนรักของตนไม่อยู่ คงไปฝึกวิชาเหมือนดั่งทุกที รอจนค่ำมืดให้เขากลับมาจึงได้แต่ดึงเขามากอดเอาไว้แน่นหนาด้วยความคิดที่ตีกันจนสับสนอลหม่าน ข้าเยี่ยอู๋จวินมีชีวิตอยู่ได้เพียงยี่สิบสามสิบปีเพราะรับหยางบริสุทธิ์ ส่วนไป๋เจี๋ยวันหนึ่งต้องกลับคืนสวรรค์ชั้นฟ้า...หนทางรักช่างยากลำบากดีแท้


*ตัดค่า ตัวอักษรเกิน*

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0




คืนนั้นข้ามิอาจข่มตาหลับได้ทั้งคืน ซ้ำยังได้ยินเสียงพิณเป็นทำนองเพลงเศร้าแผ่วเบาจากเรือนพักของแม่นางแซ่เจิ้ง ยิ่งทำให้ขข้ามิอาจทำใจให้สงบได้ ยามที่ตระกองกอดคนเอาไว้ในอ้อมอกจึงได้ตัดสินใจเอ่ยปากถามเขาไปประโยคหนึ่ง “อาเจี๋ย...ชีวิตนี้ความฝันของเจ้าคือสิ่งใดหรือ”



“ความฝันเช่นนั้นหรือ” ศิษย์น้องที่กำลังลากนิ้ววาดบ่าของข้าเล่นทวนคำถามด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสะลึมสะลือ เสียงหวานอันเลื่อนลอยกลับคล้ายมีดน้ำแข็งที่แทงเข้ากลางใจของข้า ทั้งเจ็บปวด ทั้งเย็นเหยียบจนไม่อยากหายใจ “แต่ก่อนข้าลำบากมามาก คิดว่าหากวันหน้าได้เก่งกาจอยู่เหนือใครเป็นที่ยอมรับของใต้หล้าคงดีไม่น้อย”



“แล้วท่านเล่าอู๋เกอ ท่านนึกฝันสิ่งใดกัน”



ข้านิ่งเงียบไปพักหนึ่งเพราะความรู้สึกเจ็บแปลบกลางใจ ปลายนิ้วลากลูบไปตามผิวแก้มนิ่มอย่างแผ่วเบาด้วยความทะนุถนอมก่อนจะกระซิบตอบคนที่หลับฝันไปแล้วถึงความในใจของตนเอง “ความฝันของข้าคือการได้อยู่กับเจ้า ได้ปกป้อง ได้รักเจ้าตลอดไป...”



เขานึกฝันอยากเป็นใหญ่ ส่วนข้านึกฝันมาตลอดว่าถ้าได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับอาเจี๋ยตลอดไปคงดีไม่น้อย ด้วยความสามารถสูงส่งเช่นนั้นความฝันของไป๋เจี๋ยคงอาจเป็นจริง หากความฝันของข้าอย่างไรก็คงเป็นได้เพียงความฝัน แม้สวยงามเพียงใดไหนเลยจะมีคำว่าตลอดไป...สุดท้ายในวันหนึ่งคนเราก็ต้องลืมตาตื่นอยู่ดี



ข้ามิรู้ว่าควรต้องใช้ข้ออ้างอันใดในการบอกตัดความสัมพันธ์กับผู้คน ในเมื่อข้ายังคงมีเขาอยู่เต็มหัวใจ แม้พยายามเหินห่าง แต่ไป๋เจี๋ยยังคงเข้ามาใกล้ชิด สุดท้ายแล้วจึงนึกถึงคำพูดของศิษย์พี่หม่าแห่งยอดเขาทิพย์โอสถขึ้นมาได้ ในเมื่อยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังมากมายที่มิอาจให้เขารู้ได้ ไยข้ามิทำตัวบัดซบสารเลวให้เขานึกเกลียดตนเองเล่า เพียงข้าหลับนอนกับเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องหญิงที่อยากมีบุพเพน้ำค้างชั่วข้ามคืนกับข้า คนสกุลไป๋ยังจะรักข้าลงอีกหรือ



สามเดือนหลังจากนั้นข้ากระทำการชั่วช้าเพียงใดคงมิจำเป็นต้องอธิบายให้มากความกระมัง วันหนึ่งไป๋เจี๋ยเห็นข้าหลับนอนกับศิษย์น้องหญิงต่างยอดเขาถึงห้าคน คนมองข้าด้วยดวงตาแดงก่ำที่อาบไปด้วยหยดน้ำตาพลางเอ่ยพูดกับข้าว่า “อู๋เกอ เหตุใดท่านจึงได้ทำเช่นนี้”



หัวใจข้าเจ็บปวดจนชาหนึบไปหมด แม้อยากดึงเขาเข้ามากอดปลอบใจเพียงใด แต่กลับเลือกกล่าววาจาทำร้ายจิตใจเขาแทน “ข้าฝึกวิชาที่คิดค้นเองชนิดหนึ่งอยู่ จำเป็นต้องหลับนอนกับทั้งชายหญิงเพื่อเพิ่มพูนพลังฝึกปรือ ศิษย์น้องคงไม่ข้องใจแล้วกระมัง”



“ที่ท่านมีสัมพันธ์กับข้าเป็นเพราะท่านฝึกวิชานอกรีตเช่นนั้นหรือ” น้ำเสียงของไป๋เจี๋ยสั่นระริกคล้ายคนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ข้าได้แต่หลุบตามองต่ำเพราะมิกล้าสบตา แต่เลือกใช้ความเงียบงันเป็นคำตอบแทน ผ่านไปครู่หนึ่งอีกฝ่ายจึงหมดความอดทนขึ้นมา คนสกุลไป๋ซัดฝ่ามือใส่ข้าด้วยความเดือดดาล ข้ารู้สึกคล้ายถูกน้ำตาอุ่นร้อนของเขาทำให้ปวดแสบปวดร้อนไปจนถึงวิญญาณและดวงจิต “อู๋เกอ...ท่านมันตัวสารเลวบัดซบ! ”



ไป๋เจี๋ยมิกล่าววาจาอันใดกับข้าอีกต่อไป คนย้ายกลับไปยังห้องนอนเดิมของเขา ส่วนข้ายังคงหลับนอนกับศิษย์หญิงร่วมสำนักอย่างมากหน้าหลายตา แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นยามที่คนสกุลไป๋เหลือบมองมาด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อย ข้ามองเห็นแล้วยิ่งรู้สึกเจ็บแปลบจนมิอาจต้านทาน สุดท้ายก็คิดได้ว่าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปย่อมมิสามารถตัดความสัมพันธ์รักได้จริง มีแต่อยากพร่ำขอโทษเขา อยากรักถนอมเขาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด เป็นแบบนี้มิสู้ออกจากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ไปเป็นตายเอาข้างหน้ามิดีกว่าหรือ นอกจากนั้นตัวเขาที่มิได้พบเห็นข้าอีกต่อไปย่อมสามารถตัดใจได้เป็นแน่



วันหนึ่งข้าบุกไปหาอาจารย์หญิงที่เรือนของนางตั้งแต่เช้าตรู่ รอจนช่วยนางจัดแจงแต่งกายใส่เครื่องประดับจนเสร็จสิ้นจึงค่อยแจ้งความประสงค์ว่าข้าขอลาออกจากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์และสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ จากนี้ไปจะท่องเที่ยวใต้หล้าฝึกวิชาตามมรรคาของตนเอง



“คิดดีแล้วหรืออู๋จวิน” แม้ดวงตาทั้งคู่จะสั่นไหวแต่แม้นางแซ่เจิ้งกลับยังรักษาความสงบนิ่งไว้ได้ดีเป็นอย่างยิ่ง นางคงรับรู้ถึงพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมของข้าในช่วงนี้มาบ้างไม่น้อย “แม้เจ้าจะเป็นเช่นไร หากความตั้งใจที่จะให้เจ้าเป็นผู้สืบทอดตามที่บอกไปในตอนนั้นยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง”



“ข้าใช้สตรีเป็นเตาหลอมเพื่อฝึกวิชานอกรีตคงไม่เหมาะกับภาพลักษณ์สง่างามสูงส่งบริสุทธิ์ของยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์กระมัง” ข้าแสร้งหัวเราะแผ่วเบาพลางหรี่ตามองอาจารย์ปิดบังความรู้สึกภายในไว้ด้วยสีหน้ากะล่อนทะเล้น “อีกอย่างศิษย์น้องเหมาะสมกับข้ามากนัก เรื่องสืบทอดสกุลไป๋ค่อยว่ากันทีหลังก็ยังได้ รอให้เขาหาศิษย์ผู้สืบทอดที่เหมาะสมแล้วค่อยกลับไปคงไม่สาย ไป๋หล่างคงไม่รีบตายในสามสิบสี่สิบปีนี้แน่”



บิดาของไป๋เจี๋ยคงไม่ตาย แต่คนที่อาจตายในช่วงเวลานั้นอาจเป็นข้าเองก็เป็นได้



เจิ้งปิงฉินเม้มริมฝีปากเข้าหากันคล้ายคิดคำพูดฉุดรั้งไม่ออก ผ่านไปครึ่งค่อนวันนางจึงระบายลมหายใจยืดยาวออกมา “หากคิดดีแล้วก็ตามใจเจ้า”



ข้าปลดกระบี่พันหมื่นแสงดาราส่งคืนให้กับอาจารย์ ดวงตาของแม่นางฉายแววเข้มขึ้น น้ำเสียงที่กล่าววาจาออกมาสั่นไหวจนไม่เหมือนพิณน้ำแข็งแห่งยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ผู้เดิมเลยสักนิด “พันหมื่นแสงดารามีจิตวิญญาณมีจิตสำนึกของมัน กระบี่เล่มนี้แต่เดิมข้าตั้งใจตีเพื่อมอบให้เจ้าเพียงผู้เดียว มิว่าจะอยู่ในสถานะใด แม้ออกจากสำนักไปเจ้ายังได้ใช้เป็นกระบี่คู่กาย หากมิต้องการก็ไม่จำเป็นต้องส่งคืนให้ข้า นำไปทิ้งที่สุสานกระบี่บนยอดเขากระบี่ร้อยรบเถิด”



มือที่ชะงักค้างไปของข้าได้แต่เก็บกระบี่พันหมื่นแสงดารากลับไปแต่โดยดี สีหน้าของอาจารย์ดีขึ้นจนกลับมาราบเรียบเช่นเคย เจิ้งปิงฉินกวาดตามองข้าครั้งหนึ่งคล้ายครุ่นคิดบางอย่างแล้วค่อยเอ่ยปากสั่งความอีกหลายประโยค “เจ้าใช้วิธีฝึกปรือเช่นนี้ย่อมเกิดจิตมารพลาดพลั้งเดินทางที่ผิดได้ง่าย เป็นไปได้ให้ตัดรักออกเสีย”



ความรักไหนเลยจะตัดออกจากอารมณ์ความรู้สึกได้ง่ายดายปานนั้น หากข้าทำได้จริงคงมิตัดสินใจออกจากสำนักเพราะตัดใจจากไป๋เจี๋ยไม่ได้กระมัง แต่ข้าก็ยังคงรับความหวังดีของอาจารย์แต่โดยดี ซ้ำยังกล่าวถ้อยคำล้อนางเล่นอีกหลายประโยค



“จากนี้ไปไม่มีใครช่วยดูแลยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ ไป๋เจี๋ยใช่ว่าจะรู้ความจัดการเรื่องราวได้อย่างข้า ยามท่านออกท่องเที่ยวก็อย่าได้เก็บอะไรประหลาดกลับมาบ่อยนัก ส่วนอาจารย์อาโจวและอาจารย์อาเหลียงอย่าได้ปล่อยให้ค้างคาไป ยามนี้อาจารย์อาโจวคล้ายโรคจิตเข้าทุกที ส่วนอาจารย์อาเหลียงคล้ายสติปัญญาอ่อนด้อยเข้าทุกวัน”



เมื่อได้ฟังถ้อยคำข้าวิพากษ์วิจารณ์คนรักทั้งสองของนาง ทำเอาอาจารย์หญิงหลุดหัวเราะออกมาเสียงหนึ่งอย่างหาได้ยาก “อืม รู้แล้ว”



ข้าคุกเข่าลงโขกศีรษะเก้าครั้งแทนคำขอบคุณและคำขอโทษที่อกตัญญูต่อแม่นางแซ่เจิ้ง แม้เป็นเวลาเพียงไม่กี่ปี หากนางก็อบรมชุบเลี้ยงข้ามาอย่างดี ครั้นเงยหน้าขึ้นกลับพบว่าเจิ้งปิงฉินถอนหายใจยาวครั้งหนึ่ง นางหลุบสายตามองข้าด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกเหมือนเช่นทุกที นางขยับตัวเล็กน้อยจนทำให้ปิ่นทองระย้าบนเรือนผมกระทบกันจนเกิดเสียงแผ่วเบา เกรงว่าจากนี้ไปคงไม่มีข้าเกล้าผมเลือกเสื้อผ้าเครื่องประดับให้นางอีกต่อไปแล้ว



“เช่นนั้นข้าเยี่ยอู๋จวินขอลา”



อาจารย์เพียงพยักหน้าครั้งหนึ่งจากนั้นก็ไม่ได้ว่ากล่าวสิ่งใดอีก



ทรัพย์สินและข้าวของของข้าบนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์มีไม่มากนัก เสื้อผ้าสิ่งใดที่เป็นของสำนักล้วนแต่นำส่งคืนยอดเขาปราการโลหิต ส่วนที่เก็บไว้ติดตัวมีเพียงป้ายหยกขาวอันสลักนามของคนที่ข้ารักจนหมดใจ ยามบ่ายคล้อยข้าก็จัดการเรื่องราวได้จนหมดสิ้น ครั้นเดินหันหลังออกจากเรือนพักได้ไม่นานกลับได้ยินเสียงใสอันแสนคุ้นเคยเรียกขึ้นเสียก่อน



“อู๋เกอ ท่านจะไปจริงๆ หรือ”



ข้าหันกลับไปมองคนสกุลไป๋ที่ยืนกำหมัดร่างกายสั่นระริกอยู่ทางด้านหลัง คนคงได้ยินข่าวเรื่องข้าลาออกจากสำนักจึงได้รีบมาหาข้าที่นี่ ทั้งขอบตาและดวงตาหงส์แดงก่ำราวหยาดน้ำใสจะหลั่งรินออกมาได้ทุกเมื่อ ข้ากวาดสายตามององคาพยพอันแสนงดงามแล้วพยายามจดจำใบหน้าของเขาเอาไว้ในใจ จากนั้นจึงขยับยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนให้เขาเป็นครั้งสุดท้าย “คนเราเกิดมาล้วนมีเส้นทางแตกต่างกัน ข้าเยี่ยอู๋จวินไม่รักดีเลือกใช้วิชานอกรีตต่างจากมรรคาเซียนทั่วไป จากนี้จึงขอเดินตามเส้นทางของตนคงดีกว่า”



ฟังข้าพูดได้จบประโยค ไข่มุกแวววาวก็ร่วงหล่นเป็นสายธารน้ำตาที่ยิ่งเห็นก็ยิ่งเจ็บปวดใจ ข้าฝืนกดอารมณ์ความรู้สึกของตนเองเอาไว้ ก่อนจะยกมือคำนับเขาด้วยรอยยิ้มดังเดิม “แม้จะไม่ได้อยู่ในฐานะเดิมอีกต่อไป คนแซ่เยี่ยขอให้คุณชายสกุลไป๋ประสบความสำเร็จในมรรคาเซียนด้วยดี ขอให้โดดเด่นเหนือใครสมนามมงคลที่แม่นางแซ่เจิ้งมอบให้ หากพบเจอกันวันหน้าทักทายกันบ้างก็เป็นพอ”



ข้าหันหลังก้าวเดินต่อไปและตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่กลับไปมองเขาอีก หากไป๋เจี๋ยยังคงตะโกนร้องเรียกไม่หยุด เสียงร้องของเขายิ่งทำให้สองเท้าของข้าไม่มั่นคงเสียยิ่งกว่าเดิม



“เยี่ยอู๋จวิน! ”



“หากท่านจากไป ชาตินี้ทั้งชาติข้าไป๋เจี๋ยจะไม่ขอพบหน้าท่านอีก หากท่านตายก็จะไม่ไปฝัง ไม่แม้แต่จะเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ท่าน ปล่อยให้ท่านต้องทุกข์ทรมานยิ่งกว่าที่ข้าเจ็บช้ำใจ" ประโยคเยิ่นยาวของเขาเจือไปด้วยเสียงสะอื้นไห้ ทั้งอ่อนแอทั้งน่าเวทนายิ่งนั้น แต่ข้าต้องทำใจแข็งมุ่งหน้าเดินต่อไปโดยไม่หันกลับไปมอง เหตุเพราะยามเห็นหน้าย่อมมิอาจตัดรัก ยามเห็นน้ำตาย่อมมิอาจตัดใจ



“อู๋เกอ...ท่านอย่าไปเลย”



นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ข้าได้ยิน ก่อนที่ข้าจะใช้กระบี่เหาะขึ้นออกจากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ ยามนั้นเมฆหนาทึบจนท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่นานก็กลายเป็นเม็ดฝนสาดลงมาจนทั้งกายเปียกโชก



ข้ายกมือเช็ดใบหน้าที่ชุ่มน้ำของตนเอง...ฝนกระหน่ำถึงเพียงนี้จึงมิอาจรู้ได้ว่าน้ำเหล่านี้เป็นหยาดฝนหรือน้ำตาของตนกันแน่



โปรดติดตามตอนต่อไป...


********


ซินเอ๋อร์:

มาแล้วค่าา ไหนตอนแรกบอกเป็นนิยายตลก ไปๆ มาๆ ชักจะไม่ตลกซะแล้ว ไม่ได้ตั้งใจหลอกลวงผู้บริโภคนะคะ (แงงง)

จบพาร์ทอดีตก็ถือว่าเป็นการจบพาร์ทแรกของเป็นผีลามกแล้วนะคะะ ไม่กล้าบอกว่าเป็นครึ่งแรกของเรื่องหรือเปล่า เพราะไม่รู้ว่าที่เหลือจะยาวแค่ไหน แต่เอาเป็นว่าหลังจากตอน 20 เป็นต้นไป จะเริ่มพาร์ทต่อไปของเรื่องค่า ก่อนขึ้นพาร์ทใหม่จะมีตอนพิเศษสักตอนนะคะะ จะเป็นเรื่องอะไร ถ้าเขียนเสร็จจะเอามาลงค่าา

สำหรับทุกคอมเม้นท์ ซินเอ๋อร์อ่านทุกอันเลยนะคะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม ทุกกำลังใจจริงๆ จากนี้อาจจะอัพช้าหน่อย แต่จะให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละตอนค่ะ ซินเอ๋อร์ทั้งเรียน ทั้งทำงาน ชีวิตเลยวุ่นวายนิดหน่อยค่ะ

พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ คำผิดตอนนี้อาจเยอะหน่อย เพราะเขียนตอนตีสามตีสี่ มันก็จะเบลอๆ ค่ะ

ปล.ป้ายหยกพกของไป๋เจี๋ยที่ให้เยี่ยอู๋จวินไว้ ตอนปัจจุบันไปอยู่ไหนแล้ว เคยพาดพิงเอาไว้ในตอน 5 แล้วน้า <3



เชิงอรรถ

^ 屈雪晶 ชวีเสวี่ยจิง แปลว่า คริสตัลหิมะ แต่เนื่องจากอยากให้เป็นอารมณ์จีนโบราณ จึงขอแปลเป็นหยกหิมะแทนค่ะ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
จากไปทั้งที่ยังรัก

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ง่วงนอน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
ตอนพิเศษ โดดเด่นเหนือใคร




เขาเคยนึกคิดสงสัยมาตลอดว่าตนเองเป็นใครและเกิดมาเพื่อสิ่งใด





ครั้งที่เขาเป็นเพียงเด็กน้อย มารดาเคยกอดเขาเอาไว้ในอ้อมแขนหอมแก้มเขาแรงๆ พลางพูดว่า “อาเป่าคนดี เจ้าเกิดมาสูงส่งเกินใคร วันหนึ่งต้องได้เป็นผู้นำเหล่าผู้บำเพ็ญเพียร วันหนึ่งต้องได้เหาะเหินกลับสวรรค์ชั้นฟ้าเป็นเทพเซียน”





ตอนนั้นเขายังเด็กจัด อายุเพียงสามสี่ขวบเท่านั้นย่อมไม่เข้าใจว่าผู้บำเพ็ญเพียรคือสิ่งใด เทพเซียนคือสิ่งใด และสวรรค์ชั้นฟ้าคือสิ่งใด หากแต่ในชีวิตมีเพียงมารดาผู้แสนดีและรักใคร่เขายิ่งกว่าใคร ฉะนั้นเมื่อนางสอนให้เดินลมปราณดูดซับปราณฝึกบำเพ็ญเพียรฝึกฝนร่างกาย เขาจึงทำตามแต่โดยดี คาดหวังเพียงว่ามารดาจะมอบรอยยิ้มอันแสนงดงามพร้อมเรียกเขาว่าอาเป่าเด็กดีซ้ำแล้วซ้ำเล่า





วันหนึ่งมีสตรีแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันบาดตาพร้อมผู้คนมากมายบุกมาถึงบ้าน มารดานำตัวเขาไปซ่อนเอาไว้ในตู้ใช้พลังเฮือกสุดท้ายสร้างอาคมพรางตาเอาไว้ไม่ให้ผู้คนพบเห็นโดยง่าย สตรีผู้นั้นทั้งด่าทอทั้งตบตีมารดาอยู่ครู่ใหญ่ ใช้เวลาอยู่ครึ่งค่อนวันนางถึงยอมจากไป พอเขาออกไปก็พบว่าท่านแม่ของเขาหน้าตาบวมช้ำมีแต่เลือดและน้ำตาเต็มหน้าไปหมด นางพร่ำบอกเพียงว่า “อาเป่าเด็กดี วันนี้แม้ต้องโดนกดขี่รังแก แต่วันหน้าเจ้าต้องอยู่เหนือผู้อื่น สัญญากับแม่สิว่าเจ้าต้องแข็งแกร่งกว่าใคร แข็งแกร่งยิ่งกว่าบุตรไม่ได้ความของหญิงชั่วสกุลจิน”





เขาที่อายุห้าขวบพอรู้ความอยู่บ้างว่าถ้อยคำจากมารดาทั้งใหญ่โตทั้งหนักหน่วงเกินกว่าสองมือของเขาจะรับได้ หากด้วยความเป็นห่วงเป็นใยจึงตกปากรับคำนางเป็นอย่างดี เขาช่วยประคองมารดาขึ้นเตียง หาน้ำมาให้นางดื่ม หาผ้าสะอาดชุบน้ำมาเช็ดใบหน้าทำความสะอาดให้ เขารอจนนางหลับไปแล้วค่อยวางใจได้บ้าง





แต่ไหนแต่ไรมารดามักจะนอนหลับนานๆ อยู่แล้ว นางบอกเขาว่าร่างกายนางอ่อนแอจำเป็นต้องนอนให้มาก เขากลัวมารดาตื่นจึงนั่งรอเงียบๆ พยายามขยับตัวให้น้อยที่สุด หากคราวนี้มารดาหลับไปนานเหลือเกิน จนเขาง่วงต้องปีนไปนอนข้างกาย นางคงยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น จนยามเช้าเขาตื่นขึ้นมาจนเขาเริ่มรื้อค้นอาหารในบ้านกิน นางก็ยังหลับใหลไม่ได้สติ





เขาเฝ้ารอมารดาตื่นขึ้นมาจนตะวันตกไปได้เจ็ดครั้ง จนวันที่แปดที่หิมะตกหนักก็มีคนเปิดประตูเข้ามา เนื่องจากชาวบ้านสังเกตว่าแม่นางแซ่ชวีและลูกชายไม่ออกจากบ้านให้ผู้คนพบเห็นหลายวันแล้ว บางคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับนางจึงนึกเป็นห่วงเป็นใยขึ้นมา ครั้นบุกเข้ามากลับพบว่าชวีเสวี่ยจิงสิ้นใจตายไปแล้ว ข้างกายคือบุตรชายวัยห้าปีที่คอยเฝ้าดูแลศพเหมือนเฝ้าดูแลคนป่วยอยู่หลายวัน





แรกเริ่มเขาไม่เชื่อว่ามารดาตายจากโลกนี้ไปแล้ว เขาอาละวาดใส่ชาวบ้านอยู่นาน ผู้คนถึงนำศพมารดาใส่โลงและนำไปฝังได้ ยายซุนที่อยู่ท้ายหมู่บ้านนึกสงสารจึงพาเขากลับไปที่บ้านของนางด้วย เขาไม่พูดไม่จากับใครอยู่สามเดือนกว่า ใช้ชีวิตเหมือนตุ๊กตามีชีวิตที่ถึงเวลากินก็กิน ถึงเวลานอนก็นอน วันหนึ่งยายซุนออกไปหาของป่าถูกงูกัดตาย เด็กในหมู่บ้านเรียกเขาว่าเป็นตัวซวย เพราะอยู่กับมารดา มารดาก็ตาย พอมีคนรับไปเลี้ยง นางก็ตายตกไปเช่นเดียวกัน





หลังจากนั้นเขาถูกเด็กวัยไล่เลี่ยกันและเด็กโตปาหินและข้าวของใส่เวลาเดินออกจากบ้าน ทนอยู่ได้เพียงไม่ถึงเดือนจนอาหารหมด เงินเหลืออยู่ไม่มาก ประจวบเหมาะในหมู่บ้านมีสัตว์ร้ายอาละวาดกัดผู้ชายตายไปสองคน เขาจึงถูกเรียกว่าเป็นตัวซวยตัวกาลกิณี สุดท้ายจึงถูกขับไล่ออกไป ต้องหอบข้าวของและเงินบางส่วนออกเดินทางระหกระเหินไม่รู้ว่าควรไปที่ใดดี





เขาเดินเท้าจากหมู่บ้านหนึ่งไปยังหมู่บ้านหนึ่งไปจนถึงเมืองหนึ่ง ครั้งมีเงินยังพอซื้ออาหารของกินได้บ้าง แต่ไม่นานก็ไม่เหลือเงินสักอีแปะ มารดาเคยบอกว่าเขาเป็นเด็กรู้ความมากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน เขาในวัยหกขวบรู้จักหาถ่านหาฝุ่นมาทาหน้าทาตาให้ขะมุกขะมอม แล้วพูดให้น้อยลงยิ้มให้น้อยลงจนไม่พูดไม่ยิ้มอีกต่อไป แม้รู้จักตัวอักษรพออ่านออกเขียนได้ก็แสร้งทำเป็นโง่งมเหมือนเด็กกำพร้าข้างถนนคนอื่นๆ กลายเป็นขอทานซุกหัวนอนข้างถนนแย่งเศษอาหารสุนัขกินเหมือนมุสิกที่ใช้ชีวิตแค่พอเอาตัวรอดไปวันๆ





ด้วยนิสัยดุร้ายไม่พูดไม่จาคล้ายเป็นบ้าใบ้จึงทำให้เขาไม่เป็นทั้งที่ชื่นชอบของใครเท่าใดนัก หลายครั้งถูกเด็กชายสูงวัยกว่าทุบตี เขาก็ใช้ฟันกัดผู้อื่นเสียจมเขี้ยว ซ้ำยังถือคติว่าหากเนื้อไม่หลุดจะไม่ยอมปล่อยเป็นอันขาด สุดท้ายได้ชื่อเรียกว่าเสี่ยวโก่ว...เสี่ยวโก่วผู้บ้าคลั่ง





ใช้ชีวิตข้างถนนอย่างไร้จุดหมายมาหลายปี เขาเฝ้าถามตัวเองหลายครั้งหลายคราว่าตนเองเป็นใครและเกิดมาเพื่อสิ่งใด บางคราเขานึกถึงวาจาของมารดาที่เฝ้าบอกว่าอาเป่าต้องสูงส่งเกินใคร หากกลับไม่รู้หนทางว่าจะต้องทำอย่างไรจึงจะสูงส่งเกินใครได้





วันหนึ่งในฤดูหนาวเขาที่ผอมกะหร่องมีเพียงกระดูกถูกอันธพาลในเมืองทุบตีเสียจนหน้าตาบวมปูดเป็นหัวหมู ขณะที่กำลังคิดว่าวันนี้คงไม่รอดชีวิตแล้ว หางตากลับเห็นชายเสื้อสีขาวบริสุทธิ์อย่างที่มิอาจมีผ้าผืนใดขาวสะอาดเทียบเท่า เบื้องหน้าของเขาคือเซียนสวรรค์ที่เหาะเหินลงมาบนผืนดิน เทพธิดาผู้นี้มีใบหน้างดงามหากด้วยความเย็นชาทำให้ยังด้อยกว่ามารดาผู้แสนอ่อนหวานในความทรงจำอันแสนเลือนรางของเขาอยู่สองส่วน นางสะบัดชายเสื้อครั้งหนึ่งอันธพาลที่รุมตีเขาอยู่ก็กระเด็นหายไป





“เจ้าคือบุตรของชวีเสวี่ยจิงหรือ” เทพธิดาในชุดขาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบรื่น เขาไม่กล้าสบตานางจึงได้แต่ก้มหน้ามองต่ำ หากยังพอจำชื่อของมารดาได้จึงพยักหน้ากลับไป “เช่นนั้นไปกับข้าเถิด”





เขาไม่ทันได้ตอบคำถาม เทพเซียนกลับหยิบผ้าสีน้ำตาลผืนหนาออกมาจากความว่างเปล่าแล้วห่อตัวจนหนาแน่น นางหอบเขาขึ้นมาเหมือนหยิบปุยนุ่น จากนั้นเหยียบกระบี่และเหาะขึ้นจากพื้นพาเขาที่ยังคงงุนงงไม่เข้าใจอันใดนักกลับไปด้วย





ชั่วครู่หนึ่งนางร่อนลงบนยอดเขาแห่งหนึ่งที่มีหิมะขาวโปรยปราย เขาได้ยินเสียงแตกพร่าใครคนหนึ่งพูดจากับเทพธิดาในชุดขาวและร้องเรียกนางว่าอาจารย์ พอเงยหน้ามองจนผ้าสีน้ำตาลเลื่อนหลุดไป กลับพบเด็กหนุ่มหน้าตาคมคายหล่อเหลาสะดุดตา รูปร่างกำยำสูงใหญ่ คนผู้นี้ตัวโตกว่าพวกอันธพาลที่ลากเขาไปทุบตีเสียอีก หากไม่ได้ยินเสียงคงคิดว่าเป็นชายหนุ่มเต็มตัวแล้วกระมัง





“อาบน้ำหาเสื้อผ้าให้เขา เสร็จแล้วพาไปพบข้า” นางเซียนส่งเขาให้เด็กหนุ่มผู้นั้น เขาอยากขยับตัวดิ้นหนี หากถูกอีกฝ่ายโอบอุ้มเดินเข้าเรือนไปเสียแล้ว ตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่ชอบบุรุษที่อายุมากกว่าเลยสักนิด คนพวกนี้มีแต่เอารัดเอาเปรียบชอบรังแกชอบทุบตี ยิ่งเห็นอีกฝ่ายพาเขาไปยังถังน้ำที่รองน้ำไว้จนเต็ม จึงคิดว่าคงต้องโดนกดน้ำตายวันนี้เป็นแน่





เขาดิ้นสุดตัวออกหมัดต่อสู้ทุบตีร่างสูงใหญ่เท่าที่ตนเองมีแรง ครั้นคว้ามือหนาได้ก็กัดเข้าไปจมเขี้ยว ในใจคิดเพียงว่าจะกัดจนกว่าเนื้อจะหลุดออกมา พอเห็นอีกฝ่ายขยับมือก็เปลี่ยนไปกัดนิ้วมือเอาไว้แทน หากคนผู้นั้นกลับขยับยิ้มหวานเย็นเยือก ซ้ำยังสอดนิ้วเข้ามาในปาก กดปลายเล็บไล่ไปตามแนวฟันพลางกล่าวว่า “อยากกัดก็กัดไปเถิด ฟันซี่ไหนที่เจ้าใช้กัด คนแซ่เยี่ยรับรองว่าจะถอนฟันซี่นั้นออกมาแล้วโยนให้หมากิน”





ฟันถือว่าเป็นอาวุธที่ดีที่สุดของเขาในตอนนี้ ถ้าปล่อยให้ถูกถอนไปจริงคงใช้การต่อไม่ได้แล้ว เขารีบปล่อยมือคนแซ่เยี่ยอย่างรวดเร็ว แม้ไม่ค่อยพอใจซ้ำยังหนาวเหน็บจนต้องขดตัวนั่งผิวกายสั่นระริก แต่ก็ต้องฝืนทนให้อีกฝ่ายอาบน้ำเช็ดถูร่างกายให้อย่างเสียไม่ได้ ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงถูกจับแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าใหญ่โคร่งและถูกพาไปพบเทพธิดาผู้นั้นอีกครั้ง





แท้จริงแล้วสตรีในชุดขาวมิใช่เทพเซียนจากสวรรค์ชั้นฟ้า หากเป็นเจิ้งปิงฉินผู้ปกครองยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์แห่งสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ ส่วนเด็กหนุ่มที่ขู่จะถอนฟันเขาคือเยี่ยอู๋จวินศิษย์เอกของนาง ยามนั้นเขามิได้รู้เรื่องราวความเป็นไปในโลกผู้บำเพ็ญเพียร แต่หวนนึกถึงคำของมารดาได้ว่าเขาเกิดมาสูงส่งเกินใคร ต้องได้เป็นผู้นำของเหล่าผู้ฝึกเซียน จึงยอมคุกเข่ากราบนางเป็นอาจารย์แต่โดยดี





วันนั้นเขาได้นามมงคลอันมีความหมายคล้ายเป็นเป้าหมายเตือนใจ เขาคือไป๋เจี๋ย...ไป๋เจี๋ยที่เกิดมาโดดเด่นเหนือใคร





เมื่อมีข่าวคราวว่าแม่นางแซ่เจิ้งรับศิษย์คนใหม่นามไป๋เจี๋ย เพียงไม่นานผู้นำสกุลไป๋ก็ส่งเทียบเชิญขอพบอาจารย์และเขาในที่สุด ไป๋หล่างในตอนแรกยังคงวางท่าสง่างามลึกลับสมเป็นคนจากหุบเขาไผ่ศักดิ์สิทธิ์ แต่เมื่อเห็นใบหน้าของเขา คนพลันถลาเข้ามาและรั้งเข้าไปกอดขอโทษขอโพยพร่ำเพ้ออยู่นานตนเองมีความผิดที่ทำให้เขาต้องลำบากอยู่หลายปี น่าแปลกที่เขากลับไม่รู้สึกอันใดเลยสักนิด คิดเพียงว่าคนผู้นี้ทั้งอ่อนแอทั้งไม่เข้มแข็ง หากแข็งแกร่งจริงย่อมต้องสามารถปกป้องมารดาได้ไม่ใช่หรือ





อาจารย์กล่าวถ้อยคำเพียงว่านางเบื่อหน่ายละครฉากใหญ่ของคนสกุลไป๋เต็มทน ในเมื่อไป๋หล่างไม่มีความสามารถพอจะปกป้องดูแลอบรมสั่งสอนบุตรชายที่เกิดจากศิษย์น้องของนางได้ จากนี้ไปเจิ้งปิงฉินจะเป็นคนเลี้ยงดูเขาเอง ส่วนเรื่องหวนคืนกลับไปสกุลไป๋ก็เป็นการตัดสินใจของไป๋เจี๋ยในอนาคตแล้ว หากด้วยฝีมืออันยอดเยี่ยมสมเป็นตำนานของนาง ศิษย์ผู้นี้ย่อมต้องแข็งแกร่งกว่าบุตรไม่ได้ความทั้งสามของฮูหยินจากสกุลจินแน่





ได้ฟังถ้อยคำของอาจารย์แล้วทำให้จิตใจพองโตขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่ก่อนเขาเคยถูกรังแกอยู่มาก ยามนี้ได้โอกาสงดงามเช่นนี้ย่อมไม่อาจปล่อยให้หลุดมือ เขามิอาจทำให้อาจารย์ที่เชื่อมั่นในตัวเขาผิดหวังได้ จึงตัดสินใจแน่วแน่ตั้งปณิธานว่าตนเองต้องเก่งกาจแข็งแกร่งให้ได้โดยเร็ว หากวันใดเป็นอันดับหนึ่งของผู้ฝึกเซียนได้จะยิ่งดี





เมื่อเลือกหนทางนี้ย่อมมิอาจเปลี่ยนใจได้ แต่ละวันอาจารย์หาศิษย์มากมายจากยอดเขาอื่นมาประลองฝีมือ ไป๋เจี๋ยได้เรียนรู้มากก้าวหน้าว่องไว แต่ก็ถูกทุบตีมากเสียยิ่งอยู่ข้างถนนเสียอีก เขากัดฟันทนไม่ปริปากบ่นสิ่งใด แต่ตอนกลางคืนมักฝันร้ายเสมอ หลายครั้งหลายคราตื่นมาพบว่าตนเองเหงื่อท่วมตัว กระทั่งวันหนึ่งเขาขาหักเพราะคู่ประลองไม่รู้จักออมมือ ยามนอนได้แต่กระสับกระส่ายไม่สบายตัวด้วยพิษไข้และฝันร้ายอันยาวนาน ยามตื่นขึ้นมากลับพบว่าเบื้องหน้ามีใครคนหนึ่งมองเขาอยู่ ซ้ำคนผู้นั้นยังดึงเข้าไปนอนกอดเสียแนบแน่น





เขาไม่เคยชื่นชอบเยี่ยอู๋จวินเลยสักนิดเหมือนกับที่เขาไม่เคยชื่นชอบเด็กหนุ่มคนอื่นๆ ที่สูงวัยกว่าเขา ทำให้หลายเดือนมานี้เขาไม่เคยเรียกอีกฝ่ายว่าศิษย์พี่เลยสักครั้ง แม้ว่าผู้อื่นจะทำดีด้วยทั้งหาอาหารหายาทั้งคอยช่วยทำแผล มาคืนนี้คนแซ่เยี่ยกลับโอบกอดเขาแน่นเหมือนที่มารดาเคยกอดปลอบเขาในยามเป็นเด็ก ซ้ำยังบอกกับเขาว่า “อู๋เกอจะดีกับอาเจี๋ยให้มาก”





หลังจากวันนั้นความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองสนิทสนมแน่นแฟ้นเสียยิ่งกว่าเดิม จนความใกล้ชิดผูกผันทำให้ความรู้สึกอย่างหนึ่งปรากฏขึ้นในหัวใจ ช่วงเวลาเพียงปีกว่าบนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงความคิดไปได้มาก ใช่ว่าบนโลกนี้ไม่มีน้ำใสใจจริงเสียหน่อย ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร จะกระหายใฝ่หาความสำเร็จก้าวหน้าเพียงไหน บนโลกนี้จะยังมีอาจารย์หญิงและอู๋เกอดีกับเขาอยู่เสมอ





เยี่ยอู๋จวินดีกับเขาสมกับที่เคยรับปากเอาไว้จริงๆ วันหนึ่งเขาเกิดภัยอันตรายขึ้นอีกฝ่ายก็รีบเร่งรุดไปช่วยชีวิตเอาไว้จากปีศาจกลืนจิต เขาถึงกับร้องขอจุมพิตจากอู๋เกอในวันนั้นเอง...ไป๋เจี๋ยชื่นชอบความรู้สึกสงบใจยามที่ได้อยู่ใกล้คนสกุลเยี่ยเป็นอย่างยิ่ง ซ้ำยังคิดว่าหากมีอู๋เกอชีวิตนี้คงดียิ่งนัก





หม่าฮุ่ยเหวินเล่าเรื่องการกระทำระหว่างคนรักให้เขาได้ฟัง ครั้นเขาไปพูดระบายความในใจกับอู๋เกอกลับได้ร่วมรักกับผู้คนเข้าจริงๆ แม้ว่าจะรู้สึกเหมือนตนเองโดนกลืนลงท้อง แต่ไป๋เจี๋ยกลับมีความสุขเป็นอย่างมาก เขากล้ายอมรับได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเขารักเยี่ยอู๋จวินเข้าจริงๆ





เขาตั้งใจอยากมอบของขวัญวันเกิดสักชิ้นให้กับอู๋เกอ จึงนำเงินที่มีไปหาซื้อป้ายหยกสีขาวเนื้อดีมาได้อันหนึ่งและสั่งสลักอักษรเจี๋ยให้เป็นของแทนใจ พอถึงวันเกิดเขากลับได้ป้ายหยกดำที่สลักตราประจำตระกูลเยี่ยกลับมา มูลค่าของหยกนี้ไม่รู้ว่ามากมายเท่าใด แต่มันยิ่งมีมูลค่ามากยิ่งขึ้นอีกเมื่อเป็นของที่เยี่ยอู๋จวินมอบให้





ไป๋เจี๋ยคิดว่าเขาคงเกิดมาเพื่อเป็นที่รักของใครคนหนึ่งกระมัง...แต่ชีวิตที่ดำเนินไปเช่นนี้ช่างดียิ่งนัก ดีเสียจนเหมือนกับฝันดีอันยาวนานที่เกิดขึ้นจริง หากวันหนึ่งอู๋เกอถามเขาว่าความฝันของเขาคือสิ่งใด ยามนี้เขามีเยี่ยอู๋จวินอยู่ข้างกายแล้วย่อมไม่ต้องการอะไรอีก นอกจากสิ่งที่มารดาและอาจารย์ที่เขารักฝากฝังเอาไว้ เขาอยากแข็งแกร่ง อยากเก่งกาจอยู่เหนือใครคงจะดี





ไม่รู้ว่าเขาตอบสิ่งใดผิดพลาดไป อู๋เกอจึงเริ่มเหินห่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งพยายามเข้าหาเท่าไร อีกฝ่ายยิ่งถอยหนีราวเขาเป็นมารชั่ว ซ้ำร้ายไปกว่านั้นกลับพบว่าเยี่ยอู๋จวินเอาใจออกห่าง คนสกุลเยี่ยนอกใจไปหลับนอนกับสตรีมากหน้าหลายตาจากยอดเขาอื่น พอเขาเค้นถามคำตอบอู๋เกอกลับตอบเพียงว่าทั้งหมดเป็นการฝึกวิชานอกรีตใช้ชายหญิงเป็นเตาหลอมเพียงเท่านั้น





ความรู้สึกถูกทรยศหักหลังเป็นเช่นใด...ก็คงเป็นเช่นนี้เอง เขาทั้งรักทั้งชังคนสกุลเยี่ย ใจหนึ่งไม่อยากเห็นหน้า อีกใจหนึ่งกลับอยากอ้อนวอนขอคืนดีให้อีกฝ่ายกลับมาหาเขาอีกครั้ง แม้จะเป็นเตาหลอมหรือเป็นสิ่งใดเขายินยอมทั้งสิ้น หากไป๋เจี๋ยมิทันได้บอกถ้อยคำนั้นออกไป เยี่ยอู๋จวินกลับลาออกจากสำนักเหาะเหินจากไปโดยไม่สนใจเขาที่คุกเข่านั่งร้องไห้เลยสักนิด





เย็นวันนั้นอาจารย์มาพบเจอเข้า นางช่วยเขาเช็ดน้ำตาและกล่าวปลอบใจเพียงว่า “มนุษย์เกิดมาแตกต่างล้วนมีหนทางไม่เหมือนกัน ศิษย์พี่ของเจ้าเขาเพียงไปหามรรคาฝึกปรือในแบบของเขา ส่วนเจ้าก็ยังมีมรรดาเซียนอีกยาวไกลให้ต้องเดิน ในเมื่อไม่มีเขาแล้วก็ทำใจเสียเถิด”





เขาได้แต่พยักหน้าตอบรับอาจารย์และฝึกฝนบำเพ็ญเพียรอย่างขยันขันแข็งทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สาสิ่งใดอีกต่อไป แม้ว่าในใจจะยังคงเจ็บปวดและหวนนึกถึงเยี่ยอู๋จวินอยู่เสมอ ยามค่ำคืนไป๋เจี๋ยมักขว้างป้ายหยกดำของแทนใจจากคนแซ่เยี่ยทิ้งระบายอารมณ์ จากนั้นค่อยหยิบมาแนบจูบซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยอารมณ์สับสน สุดท้ายแล้วได้แต่นอนร้องไห้กอดป้ายหยกลายใบหยินซิ่งหลับไป





 

 

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
ตอนพิเศษ โดดเด่นเหนือใคร (ต่อ)



เมื่ออายุได้สิบหก เขาขึ้นชื่อว่าเป็นยอดอัจฉริยะเหตุเพราะพลังฝึกปรือก้าวหน้ามากกว่าเยี่ยอู๋จวินในยามอายุเท่ากันเสียอีก ไป๋หล่างได้ขอร้องอาจารย์ขอให้เขากลับเข้าสกุลไป๋เต็มตัว เขากลายเป็นคุณชายสี่แห่งหุบเขาไผ่ศักดิ์สิทธิ์ที่เก่งกาจสามารถยิ่งกว่าพี่ชายทั้งสามเก่งกาจยิ่งกว่าบิดา...เก่งกาจยิ่งกว่าคนสกุลไป๋ผู้ใดเสียอีก มิแปลกใจเท่าใดเมื่อเขากลายเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่งไปเสียแล้ว





เขาไปเยี่ยมเยียนสกุลไป๋ปีละไม่กี่วันเพียงเท่านั้น ไป๋ฮูหยินจากสกุลจินแม้ใบหน้ายิ้มแย้มพยายามทำดีกับเขา แต่กลับจริงใจสู้อาจารย์ที่นิสัยเฉยชาดุจน้ำแข็งไม่ได้เลยสักส่วน เหล่าพี่ชายที่เรียกขานเขาว่าน้องสี่คอยมาทำเหมือนดูแลแต่นัยน์ตาแห้งแล้ง เทียบกับที่อู๋เกอดีกับเขาไม่ได้เลยสักเสี้ยว





ปีหนึ่งเมื่ออายุได้สิบแปด เขาถูกเชื้อเชิญไปงานวันเกิดครบรอบสองร้อยปีของผู้เฒ่าสกุลจินในฐานะคุณชายน้อยสกุลไป๋ หากถึงเวลาไป๋เจี๋ยกลับล้มป่วยเสียก่อน เขานอนพักอยู่ที่หุบเขาไผ่ศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่กี่วัน คนสกุลหม่าก็มารับตัวกลับไปรักษาที่สำนัก ครั้นฟื้นมากลับพบว่าสกุลจินถูกศัตรูฆ่าล้างสกุลก่อนถึงงานเลี้ยงเพียงวันเดียว ในจำนวนเกือบสี่ร้อยชีวิตยังมีพี่ชายต่างมารดาของเขาทั้งสามคน ไป๋ฮูหยินแม้รอดชีวิตมาได้กลับสติฟั่นเฟือน ส่วนบิดาของเขาแก่เฒ่าลงไปหลายสิบปี





ไป๋เจี๋ยไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอันใดกับความสูญเสียของสกุลไป๋ หากโชคชะตาคงเล่นตลกให้เขาได้รับรู้ถึงความรู้สึกสูญเสียเข้ากับตัว เหล่าอาจารย์ทั้งสามที่ติดอยู่ในวังวนรักสามเส้าเกิดอาเพศขึ้นมา อาจารย์อาเหลียงตายภายใต้เคราะห์อัสนี อาจารย์อาโจวธาตุไฟเข้าแทรกสติฟั่นเฟือนหนีหายไป ส่วนอาจารย์หญิงเพียงดึงเขามาสั่งความ ถ่ายถอดวิชาเจ็ดอัสนีสวรรค์และบอกเล่าถึงสายเลือดมังกรทองห้าเล็บที่แฝงอยู่ในตัว จากนั้นนางก็รีบร้อนจากไป...สูญหายไปจากยุทธภพไม่มีใครได้พบเจออีก





ยามเยี่ยอู๋จวินจากไปในชีวิตของเขายังคงมีอาจารย์เจิ้งเอาไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจ ยามนี้แม้แต่นางยังจากไป เจ้ายอดเขาอัสนีพิสุทธิ์สกุลไป๋จึงรู้สึกคล้ายตนเองเป็นเรือสำเภาหางเสือหักลอยเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางลมพายุ เขาฝึกวิชาหนักขึ้นราวกับว่าชีวิตมีเพียงการบำเพ็ญเพียรเท่านั้นที่เขาสามารถสัมผัสถึงได้ เมื่อแข็งแกร่งมากพอก็เริ่มออกเดินทางปราบมารปราบปีศาจปราบสัตว์อสูรช่วยเหลือชาวบ้านอย่างบ้าคลั่ง ชื่อเสียงของไป๋เจี๋ยในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรยอดอัจฉริยะก็แผ่ไปไกลยิ่งขึ้น





หลายคราที่เขาได้ยินข่าวคราวของเยี่ยอู๋จวินว่าบัดนี้จากอัจฉริยะอนาคตไกลในอดีตกลับตกต่ำผันตัวไปฝึกวิชานอกรีต จนกลายเป็นปรมาจารย์วังวสันต์หลับนอนกับสตรีไม่เลือกหน้า ซ้ำคนยังทำมาหากินด้วยการเขียนหนังสือลามกขาย เขาหยิบหนังสือวังวสันต์มาเปิดดูครั้งหนึ่งกลับทำให้น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ได้แต่สั่งห้ามนำคัมภีร์เหล่านั้นเข้ามาบนยอดเขา หากภาพคืนวันอันแสนหวานหวนกลับคืนมา...แท้จริงแล้วความทรงจำที่เขามีต่ออู๋เกอไม่เคยจางหายไปไหน หากมันถูกเก็บซ่อนลึกเอาไว้ในใจและเฝ้ารอวันให้เขาย้อนนึกถึงมันเพียงเท่านั้น





ชั่วชีวิตนี้เขาคงมิอาจลืมเยี่ยอู๋จวินได้จริงๆ





เมื่ออายุยี่สิบเอ็ดเขาพบเจอเด็กหน่วยก้านดีคนหนึ่งจากสกุลมู่จึงรับเข้ามาเป็นศิษย์ของยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ ปีต่อมาระหว่างที่เขาไปปราบสัตว์อสูรอาละวาดในวันที่ฝนตกกระหน่ำ ไป๋เจี๋ยได้พบกับเด็กกำพร้าคนหนึ่งที่รอดชีวิตมาจากสัตว์ร้ายได้ แรกเริ่มเขารู้สึกว่าเด็กคนนี้น่าสงสารเหมือนกับเขาในยามเด็ก หากเมื่อช่วยเช็ดหน้าเช็ดตาพิศมองดูให้ดีแล้วกลับพบว่าขอทานน้อยหน้าตาเหมือนอู๋เกอของเขาถึงแปดส่วน ทั้งคิ้วกระบี่คมเข้ม ทั้งดวงตาคมกริบดังเหยี่ยว...สุดท้ายเขาจึงนำผู้คนกลับยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์มาด้วย ซ้ำยังตั้งชื่อให้ว่าเหล่ยเจิ้นยวี่ ตามสภาพอากาศที่ได้พบกันในวันนั้น





มู่หยางเค่อเป็นคนทะเยอทะยานใฝ่หาความสำเร็จเหมือนกับเขา นิสัยคิดเล็กคิดน้อยคงไม่อดทนได้หากเพิ่งเข้าสำนักแล้วดันมีศิษย์น้องเพิ่มขึ้นมาอีกคน เขาจึงให้เหล่ยเจิ้นยวี่เป็นเพียงศิษย์นอกสำนัก แม้อยู่ข้างกายแต่ไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องราวของยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ได้





เหล่ยเจิ้นยวี่แม้หน้าตาเหมือนเยี่ยอู๋จวิน แต่นิสัยกลับไม่เหมือนกันเลยสักส่วน ศิษย์น้อยวัยเจ็ดปีของเขาเป็นคนนิ่งเงียบสงบปากสงบคำหน้าตาไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกคล้ายสติปัญญาอ่อนด้อยอยู่หลายส่วน ส่วนอู๋เกอเป็นคนพูดจาฉะฉานสติปัญญาฉลาดเฉลียวหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงทำให้ยามมองใบหน้าของลูกศิษย์จิตใจของเขาสงบขึ้นมาก





เมื่อเหล่ยเจิ้นยวี่อายุได้สิบสองปี เขาคิดว่าควรหากระบี่วิเศษให้ลูกศิษย์สักเล่มหนึ่ง หากเจ้ายอดเขากระบี่ร้อยรบคงอยากผูกสัมพันธ์กับเขา จึงอนุญาตให้คนสกุลเหล่ยไปทำพิธีเลือกกระบี่จากสุสานกระบี่ได้ ไม่รู้ว่าสวรรค์เล่นตลกโชคชะตากลั่นแกล้งหรืออย่างไร กระบี่ที่เลือกเหล่ยเจิ้นยวี่เป็นเจ้านายกลับเป็นพันหมื่นแสงดาราของเยี่ยอู๋จวิน เขามองแล้วหัวใจเจ็บแปลบขึ้นมาจึงทำฝักกระบี่ใหม่ให้เสีย ซ้ำยังสั่งให้คนใส่หมวกม่านมาลาปิดบังหน้าตา วันหลังออกเดินทางไปที่ใดจะได้ไม่ถูกผู้คนสับสนกับคุณชายสกุลเยี่ย





ปีต่อมาเมื่อเห็นว่ามู่หยางเค่อคงก้าวหน้าในมรรคาเซียนดีสามารถดูแลยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ได้ เขาจึงลาออกจากการเป็นเจ้ายอดเขากลับไปเป็นทายาทผู้สืบทอดสกุลไป๋ แรกเริ่มยังไม่คุ้นชินเท่าใดนักที่ทั้งตนและเหล่ยเจิ้นยวี่ต้องเปลี่ยนจากเครื่องแบบยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ไปเป็นเสื้อคลุมสีขาวปักลายไผ่แปดต้นของสกุลไป๋ แต่นานวันเข้าเริ่มคุ้นชินขึ้นมา คืนวันก็คล้ายผ่านไปอย่างรวดเร็ว





บางครายามที่ตื่นจากฝันร้ายในยามค่ำคืน เขามักนึกถามว่าตนเองเป็นใครและเกิดมาเพื่ออะไร ยามนี้เขาคือนายน้อยสกุลไป๋ผู้เลื่องชื่อเข้าสู่ทำเนียบผู้ฝึกเซียนยอดฝีมืออนาคตไกล...สูงส่งโดดเด่นยิ่งกว่าใครๆ





หลายปีหลังจากนั้นเขาก็ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน เขายังคงบำเพ็ญเพียรฝึกวิชาและออกไปปราบมารช่วยเหลือชาวบ้านอย่างขยันขันแข็ง ข่าวคราวมากมายผ่านเข้ามาให้ได้ยินอยู่ไม่ขาด ไม่ว่าจะเป็นศิษย์แซ่มู่ของเขารับศิษย์ใหม่แซ่หานเข้าสำนักมา ศิษย์พี่หม่าจากยอดเขาทิพย์โอสถได้รับเลือกเป็นเจ้าสำนักเจ็ตบรรพตสวรรค์เอาชนะจูไห่คังจากยอดเขากระบี่ร้อยรบไปได้





หากวันหนึ่งเขากลับได้ยินข่าวที่มิเคยคาดคิดว่าจะเป็นจริงไปได้...





ข่าวที่ว่าเยี่ยอู๋จวินธาตุไฟเข้าแทรกตายตกไปเสียแล้ว





เขาหยิบป้ายหยกที่เก็บซ่อนเอาไว้อย่างดีไม่กล้านำออกมาหยิบจับอยู่หลายปีเพราะกลัวหวนคิดถึงผู้เป็นเจ้าของ ยามนี้ป้ายหยกดำปรากฏรอยแตกร้าวอยู่เต็มเนื้อหยก...คงเพราะเยี่ยอู๋จวินจากไปแล้ว อาคมใดที่เขาเคยลงไว้คงสูญสลายจนทำลายเนื้อหยกไปด้วยกระมัง





ไป๋เจี๋ยฝืนใจจัดการกิจธุระของสกุลไป๋อยู่ครึ่งปี ก่อนจะสั่งความว่าจะออกเดินทางท่องยุทธภพสักพัก เขาเก็บของที่จำเป็นขี่กระบี่ธารน้ำแข็งเหาะเหินออกจากหุบเขาไผ่ศักดิ์สิทธิ์ เบื้องหลังคือเหล่ยเจิ้นยวี่ที่ตามเขามาไม่ห่าง เขาเดินทางเพียงคืนเดียวก็ถึงเจียงหนาน เมื่อไปถึงหลุมศพของเยี่ยอู๋จวนที่ประดับด้วยเบญจมาศขาวมากมาย ความรู้สึกหลากหลายอย่างพลันตีขึ้นมาถึงอก





“เจ้าหันหลังไป” เขาเอ่ยสั่งความเหล่ยเจิ้นยวี่ก่อนที่น้ำเสียงจะสั่นเครือ ขอบตาทั้งสองข้างแดงก่ำและร้อนผ่าว เพียงไม่นานหยดน้ำตาก็หลั่งรินออกมาตามหางตา ไป๋เจี๋ยทรุดตัวคุกเข่าลงนั่งร้องไห้อย่างไร้เสียงท่ามกลางความเงียบงันในสุสาน...เขาเคยคิดว่าวันหนึ่งหากได้พบเจอจะลองประมือกับเยี่ยอู๋จวิน หาทางใช้เล่ห์กลให้คนกลับมารักเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับสายไปเสียแล้ว ผู้อื่นตายจากไปก่อนเสียแล้ว





“อาจารย์...” น้ำเสียงแผ่วเบาของคนแซ่เหล่ยดังขึ้น เด็กหนุ่มขยับตัวคุกเข่าก่อนจะโอบกอดเขาเอาไว้จากด้านหลัง อากัปกิริยาเช่นนี้ทำให้หวนคิดถึงอ้อมกอดที่มิได้สัมผัสมาสิบแปดปี ร่างกายของไป๋เจี๋ยสั่นสะท้านยิ่งกว่าเดิม หยาดน้ำใสไหลรินจนกระทบลงกับพื้น เหล่ยเจิ้นยวี่เห็นแล้วยิ่งตกใจได้แต่เฝ้ากระซิบถ้อยคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา “ท่านอย่าร้องเลย...ท่านอย่าร้อง”





ชั่วครู่นั้นไป๋เจี๋ยเฝ้าถามว่าตนเป็นใครและเกิดมาเพื่อสิ่งใด





เขาคือผู้อาวุโสสกุลไป๋อดีตเจ้ายอดเขาอัสนีพิสุทธิ์แห่งสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ นายน้อยของสกุลไป๋แห่งหุบเขาไผ่ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ฝึกเซียนอันดับหนึ่งที่ร้อยปีพันปีมานี้มิอาจมีใครเทียบเคียงได้ ผู้คนในใต้หล้าแม้เป็นผู้นำสกุลใหญ่ยามพบเจอยังต้องค้อมเอวด้วยความยำเกรงอยู่หลายส่วน





หากครั้งหนึ่งเขาคืออาเจี๋ย...อาเจี๋ยอันเป็นที่รักของใครคนหนึ่ง ใครคนนั้นที่ดีกับเขาเป็นที่สุด...และใครคนนั้นที่ตายจากลาโลกนี้ไปเสียแล้ว





เขาคือไป๋เจี๋ย นามมงคลที่อาจารย์หญิงมอบให้หมายถึงโดดเด่นเหนือใคร หากชีวิตนี้มิเคยคาดคิดว่าการที่โดดเด่นเหนือใครกลับต้องแลกมากับความโดดเดี่ยวตลอดไป





โปรดติดตามตอนต่อไป...

 



ซินเอ๋อร์:

     เอาตอนพิเศษมาส่งค่าา จบเฟสแรกของเรื่องแล้ว เย้! ตอนต่อไปขึ้นเฟสใหม่นะคะ จะกลับมาเฮฮาสักหน่อยค่ะ หลังจากหม่นหมองประคองอารมณ์มาหลายตอนแล้ว

     ตอนนี้บทบรรยายเยอะมากกก แทบไม่มีบทสนทนาเลย จริงๆ อยากบอกว่าซินเอ๋อร์เป็นคนชอบเขียนบทบรรยายค่ะ 555 สามารถเขียนบรรยายไปได้เรื่อยๆ แบบทั้งตอนไม่มีตัวละครพูดคุยกันเลยก็ยังได้ แต่คนอ่านเบื่อกันพอดี ยังไงจะพยายามเขียนให้เฉลี่ยๆ กันไปนะคะ

     ถ้ามีคำผิดหรือเขียนอะไรตรงไหนแปลกๆ ไว้จะมาเช็กอีกทีนะคะ ช่วงนี้คือยุ่งมาก เขียนตอนดึกๆ หลังเลิกเรียน หลังเลิกงาน บางทีก็เบลอๆ ค่ะ อาจใช้คำซ้ำหรือมีคำที่ความหมายแปลกบ้าง ถ้าเจอทักได้เลยนะคะ ;w; ไม่อยากให้มาตรฐานการเขียนตกเลยค่ะ แงงง

     ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามกันมาโดยตลอดค่ะ ดีใจจริงๆ ค่ะที่มีคนชอบ

     พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-11-2019 18:21:56 โดย ซินเอ๋อร์ »

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ง่วงนอน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
บทที่ 20 คิดสั้นไปไย หนทางแก้ไขยังพอมี


ยามนั้นข้าคิดว่าการตัดรักตามวาจาของอาจารย์ช่างเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญเกินกว่ามนุษย์หนึ่งจะทำได้ หากเมื่อวันเวลาผ่านไปเนิ่นนานสิบแปดปี ถึงวันนี้ข้ากลับตัดเยื่อใยความรักได้จนหมดสิ้นชนิดที่เรียกได้ว่าความรักเป็นเช่นใด ถ้ามิได้สิงร่างผู้อื่นก็คงมิสามารถสัมผัสได้เสียแล้ว



นี่คล้ายว่าอารมณ์ความรู้สึกรักของข้าตายจากไปตั้งแต่ก่อนข้าหมดลมหายไปเสียจริง น่าขันที่ว่าคนสกุลไป๋มิเคยได้รับรู้ความจริงที่ว่าเขานอกจากจะเป็นคนผู้แรกและคนเดียวที่เยี่ยอู๋จวินรัก แม้วันนี้ข้ามิอาจรักเขาได้เหมือนวันเก่า แต่ความรักทั้งหมดที่ข้าเคยมีได้หยุดนิ่งอยู่ที่เขาไปเสียแล้ว



เวลานี้ผู้แซ่เยี่ยเป็นเพียงผีลามก มิรู้ภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไร หากอนาคตของคนสกุลไป๋ยังคงสดใสมีหนทางยาวไกลอีกมากมาย ให้เขาก้าวเดินต่อไปกับคนที่รักเขาอย่างเต็มหัวใจเช่นเหล่ยเจิ้นยวี่มิดีกว่าหรือ ดีชั่วเช่นไรก็ยังคงเป็นมนุษย์ เป็นผู้ฝึกเซียน ดีกว่าเป็นวิญญาณไร้ร่างไร้รักอย่างข้าเป็นไหนๆ



เรื่องราวความรักของตนทั้งปีนั้นและปีนี้จัดการได้บัดซบชั่วช้าเช่นนี้ ข้าถึงมิกล้าออกตัวเรียกตนเองว่าเป็นนักรัก หากเป็นเพียงปรมาจารย์วังวสันต์ผู้เชี่ยวชาญด้านกิจการงานบนเตียงก็พอแล้ว เรื่องรักใคร่ผูกพันอันใดเห็นว่าคงซับซ้อนวุ่นวายจนเกินความสามารถของข้าเกินไปกระมัง



หลุดพ้นจากอดีตคนคุ้นเคยมาได้แล้ว ผีลามกเช่นข้าก็ยังคงต้องหาหนทางดูดซับธาตุยางเพื่อการเป็นอ๋องผีต่อไป คราวนี้ที่ได้ร่วมรักกับคนสกุลไป๋ผู้มีร่างหยางบริสุทธิ์และสายเลือดมังกรทองห้าเล็บทำให้ข้าได้รับพลังมาไม่น้อย ถือว่าที่ลงแรงไปนั้นได้กำไรมากกว่าขาดทุนแล้ว



มิรู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือชะตาลิขิตจากฟ้าหรืออย่างไร หนึ่งฝ่ามือของไป๋เจี๋ยซัดข้ามาไกลจนถึงเมืองหลวงของแคว้นจิ่วโจว หลังจากที่ข้าทะลุฝาบ้านใครต่อใครมากมายก็พบว่าตนเองหยุดลงที่หน้าเตียงของใครก็มิทราบได้ บนเตียงมีคู่ยวนยางเล่นพลิกผ้าห่มควบขี่กันอย่างเผ็ดร้อนรุนแรง ข้าซับไอหยางบางส่วนมาอย่างหน้าไม่อายแล้วทะลุกำแพงหาทางออกจากเรือนหลังนี้ หากทะลุไปทะลุมากลับพบเจอแค่ภาพเหตุการณ์คล้ายคลึงกันไปเสียหมด สุดท้ายจึงได้ข้าสรุปมาอย่างหนึ่ง



ที่แท้ข้ากำลังอยู่ในหอวาดจันทร์อันเป็นหอคณิกาชื่อดังที่มีจุดเด่นเป็นเหล่าบุรุษหน้าหยกผู้มีหน้าตาสวยสดงดงามของแคว้นจิ่วโจว เรียกได้ว่าช่างเป็นสถานที่โลกียวิสัยเหมาะกับข้าดีแท้



แม้ใจอยากจะพุ่งตรงไปยังตำหนักในของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้นามเฮ่อฉีแทบขาดใจ หากด้วยไอศักดิ์สิทธิ์ของวังหลวงและจักรพรรดิที่สวรรค์ยังให้ความเมตตาดูแลอยู่บางส่วน ผีที่ริอ่านอยากเป็นอ๋องผีเช่นข้าคงไม่สามารถผลุนผลันบุกทะลวงเข้าไปภายในได้ง่ายดายนัก ฉะนั้นแล้วไยไม่รั้งอยู่ที่นี่สักชั่วคราวหาหนทางแทรกซึมเข้าไปเล่า คงต้องมีขุนนางสักคนที่มาเยี่ยมเยียนหอชายงามบ้างกระมัง ทั้งระหว่างนี้ยังพอซับธาตุหยางจากการร่วมรักอันแสนดุเดือดได้อยู่ไม่น้อย ถึงจะไม่ใช่ของดีอะไรมากมาย แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลยไม่ใช่หรือ



ข้าล่องลอยไปมาในหอวาดจันทร์ด้วยท่าทางสุขุมไร้ความกระดากอาย เป้าหมายหนึ่งเพื่อหาคนดวงตกเพื่อเข้าไปช่วยเหลือสร้างกุศล อีกเป้าหมายหนึ่งคือหาคนงามที่พลังหยางเต็มเปี่ยม หากหอคณิกาแห่งนี้คงไม่มีเด็กหนุ่มที่เคยฝึกวิชาทั้งกำลังภายในและบำเพ็ญเพียรมาก่อนกระมัง ถึงได้ธาตุหยางดาษดื่นทั่วไปจนชวนเศร้าเช่นนี้



ยังไม่ทันได้ถอดถอนใจ ข้ากลับสัมผัสได้ถึงไอหยินจำนวนมากอันบ่งบอกถึงความตายจากห้องที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก เมื่อไปถึงก็พบกับเรือนร่างสูงโปร่งไม่แบบบางไม่แข็งแกร่งในชุดสีแดงลอยเคว้งอยู่ในอากาศ เส้นผมสีดำปล่อยยาวสยายปิดบังใบหน้าจนเสียหมดสิ้น เบื้องบนคือผ้าแพรขาวบริสุทธิ์ราวหิมะแรกในฤดูหนาวที่ผูกติดกับขื่อคานและพันรอบลำคอ ธาตุหยินมหาศาลและลมหายใจเบาบางเช่นนี้...เกรงว่าขาทั้งสองข้างคงเตรียมก้าวลงปรโลกแล้วกระมัง



ดวงวิญญาณที่แสนเศร้าหมองดวงหนึ่งลอยหลุดออกมาจากร่างนั้นอย่างเชื่องช้า ข้าเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเข้าไปสวมร่างก่อนที่กายเนื้อของเขาจะขาดวิญญาณจนหมดลมหายใจกลายเป็นศพคนตาย ยามคนเราคิดไม่ตกบางครั้งอาจตัดสินใจเลือกเดินในหนทางผิดพลาดกันได้ หากคิดสั้นไปแล้วครั้นกลายเป็นผีอยากหวนกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่งก็คงไม่ทันแล้ว เรื่องนี้วิญญาณที่ตายก่อนวัยอันควรเช่นข้ารู้ดีที่สุดมิใช่หรือ



พบคนใกล้ตายไม่เข้าไปช่วยเหลือก็ไม่สมควรเรียกตนเองว่าผีลามกที่ดีแล้ว



เมื่อได้ร่างใกล้ตายมาแล้วข้าก็สะบัดข้อมือครั้งหนึ่งจนผ้าแพรขาวขาดสะบั้น ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาพลิกตัวยืนบนพื้นอย่างมั่นคง วิญญาณในชุดแดงเห็นว่าร่างของตนกลับขยับเขยื้อนได้พลันเบิกตากว้างอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ใช้เวลาอีกครู่หนึ่งเขาถึงค่อยแหกปากร้องโวยวายขึ้นมา เสียแต่ว่าไม่มีใครได้ยินแล้วนอกจากคนสกุลเยี่ย



“ไม่ตายหรอกหรือ เหตุใดจึงไม่ตายเล่า! ”



อะไรจะอยากตายถึงเพียงนั้น...หากอยากตายจริง มิต้องกังวลไป เยี่ยอู๋จวินย่อมสังเคราะห์ให้เจ้าได้ ขอเพียงข้าละทิ้งร่างแค่ไม่ถึงหนึ่งก้านธูป คราวนี้เจ้าได้ลงไปเดินเล่นน้ำพุเหลืองชมดอกปี่อั้น ข้ามสะพานไน่เหอ อ่านเรื่องราวในชาติก่อนและชาตินี้จากหินสามชาติ แล้วดื่มน้ำแกงยายเมิ่งเพื่อมาเกิดใหม่อีกรอบเป็นแน่



วิญญาณตัวไม่รักชีวิตนั่งคุกเข่าลงกับพื้นห้องแล้วเริ่มต้นร้องไห้สะอึกสะอื้น น้ำเสียงของเขาแม้ไม่ได้มีเนื้อเสียงใดดั่งแก้วกระจกเช่นไป๋เจี๋ย แต่ถือว่ามีเนื้อเสียงไพเราะดั่งนกสกุณาเหมาะกับการร้องเพลงร่ายกลอนอยู่ไม่น้อย ซ้ำหน้าตาก็นับว่างามเฉิดฉายเป็นคนสวยบาดตาผู้หนึ่ง คงเป็นชายงามอันดับต้นๆ ของหอวาดจันทร์เสียกระมัง



คนงามเจ็บช้ำน้ำใจจนต้องผูกคอตายตัดปัญหาเช่นนี้มีเหตุผลน้ำเน่าอยู่ไม่กี่ประการเท่านั้น หนึ่งคือคนรักในกาลก่อนยามนี้ได้แต่งงานไปกับคนใหม่เสียแล้ว สองคือมีนายท่านชั้นต่ำนิสัยเกะกะเกเรมาขอไถ่ถอนตัวจากหอคณิกาให้ไปเป็นชายบำเรอในบ้านโดยที่เจ้าตัวไม่เต็มใจ ส่วนอย่างสุดท้ายคือชายงามผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นพวกคุณชายสกุลใหญ่ที่บังเอิญตกยาก เมื่อจับพลัดจับผลูมาเป็นคณิกาก็ขายศิลปะไม่ขายเรือนร่าง ถึงเวลานี้ถูกบังคับขายเรือนร่างเปิดพรหมจรรย์เข้าแล้ว ด้วยศักดิ์ศรีที่มีจึงทำให้มิสามารถกลั้นใจทนมีชีวิตอยู่ต่อได้ เรื่องน้ำเน่าเช่นนี้ ข้าเคยได้ยินมาไม่รู้เท่าใดต่อเท่าใด



“ท่านเป็นใครกัน เป็นภูตผีเทพเซียนองค์ใดหรือ เหตุใดต้องช่วยชีวิตข้าน้อยเอาไว้ด้วย ปล่อยให้ข้าน้อยตายไปเถิด” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น ท่าทางหมดอาลัยตายอยากเป็นวิญญาณคนเป็นที่เศร้าหมองดีแท้ ชายงามผู้นี้อายุน่าจะเพียงสิบแปดสิบเก้าเองกระมัง



“ข้าเป็นผีที่ผ่านทางมาเท่านั้น ยามนี้เพียงรักษาเจ้าไว้เพียงชั่วคราว หากอยากตายจริงย่อมปล่อยให้ตายได้” ข้าทรุดนั่งบนเตียงมองอีกฝ่าย เห็นคนร้องไห้ได้งดงามดั่งดอกสาลี่ต้องฝนก็รู้สึกสงสารขึ้นมาไม่น้อย “เจ็บช้ำน้ำใจประการใดจนต้องคิดสั้นก็เล่ามาเถิด”



คนงามมีท่าทีลังเลอยู่ชั่วครู่ หากพอเห็นข้าพยักหน้าเบาๆ เปิดโอกาสให้ได้เล่าเรื่องราว เขาก็เริ่มปริปากเล่าสิ่งที่คับแค้นอยู่ในใจออกมา ชีวิตของคนผู้นี้ไม่พ้นจากที่คาดเดาเอาไว้ เขาเป็นบุตรชายคนเล็กของสกุลขุนนางตกอับสกุลตู้ในเมืองหลวง บิดาต้องคดีจนถูกโทษประหาร ผู้คนสกุลเดียวกันถูกเนรเทศพันลี้ มีเขาเป็นลูกอนุหน้าตาดีกว่าใครจึงถูกขายเข้าหอคณิกา ชื่อจริงถูกลบเลือนทิ้งไปใช้ชื่อใหม่ว่าโม่ลี่



โม่ลี่นอกจากมีหน้าตางดงามโดดเด่นยังมีพรสวรรค์เก่งกาจด้านเพลงพิณและมีเสียงไพเราะหาตัวจับได้ยาก ซ้ำกิริยาเรียบร้อยมารยาทงดงามสมเป็นอดีตคุณชายจากสกุลขุนนาง จึงสามารถประกอบอาชีพคณิกาประเภทขายศิลปะไม่ขายเรือนร่างมาได้หลายปี คนเก็บเงินได้ก้อนใหญ่หวังวันหนึ่งไถ่ถอนตนเองออกไปทำงานสอนดนตรี รับซ่อมพิณเล็กๆ น้อยๆ ตามความรู้ความสามารถที่ตนมีคงดีไม่น้อย



ชีวิตคนเราหากง่ายดายเช่นนั้นก็คงไม่มีเรื่องน้ำเน่ากันแล้ว ครึ่งปีก่อนนายท่านสกุลถังลูกค้าขาประจำได้พาสหายผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่จากไหนมิอาจรู้ได้นามว่าท่านแปดมาเที่ยวหอวาดจันทร์ ท่านแปดแม้ว่าความเป็นมาไม่ชัดเจนแน่นอน แต่นับว่าเป็นคนร่ำรวยเงินทองทรัพย์สินมากมีอย่างแท้จริง นอกจากนั้นยังหน้าตาหล่อเหลาไม่ใช่ย่อยจนเหล่าคณิกาล้วนจับจ้องตาเป็นมันหวังรับทรัพย์ก้อนโต ท่านแปดชอบคนสวยเป็นทุนเดิมย่อมเลือกค้างแรมร่วมรักกับหูเตี๋ยคนงามอันดับหนึ่งในตอนนั้น



หูเตี๋ยยิ้มร่าด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง คืนนั้นเลือกเสื้อผ้าชุดใหม่ที่งดงามที่สุดแต่งกายแต่งหน้าเสียจนสวยล่มเมืองเพื่อสร้างความประทับใจ คนมาบอกเล่าโม่ลี่ที่ขายแต่ศิลปะด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยว่าจะปรนนิบัติท่านแปดเป็นอย่างดีให้ลืมไม่ลง เผื่อโชคดีอีกฝ่ายติดใจอาจได้ไถ่ถอนเป็นชายบำเรอเป็นอนุในบ้าน



มิรู้ว่าหูเตี๋ยสร้างความสำราญได้ยอดเยี่ยมประการใด สามวันต่อมาเขากลับถูกหามออกมาจากห้องหอด้วยสภาพที่ดูไม่ได้ ทั้งเรือนร่างหน้าตาเต็มไปด้วยรอยรักและบาดแผลรอยช้ำมากมาย จนถึงทุกวันนี้ก็ยังมิหายดีมิอาจรับแขกชั้นสูงได้อีก จึงถูกส่งไปเป็นคณิกาชั้นล่างขายร่างกายให้กับเหล่าคนงานในเมืองที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย ซ้ำยังร่วมรักรุนแรง หูเตี๋ยแม้ขายบริการแต่มิเคยประสบความลำบากเช่นนั้น เมื่อต้องพบเจอกับชายฉกรรจ์หยาบกร้านไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผามากเข้า สุดท้ายก็ผูกคอตายไปแล้วเมื่อวานก่อนนี้เอง



นอกจากหูเตี๋ยที่เคราะห์ร้ายยังมีอาฉา อาซิ่ง ตู้เจวียน และเหลียนเอ๋อร์ที่ประสบเคราะห์ร้ายชะตากรรมเดียวกัน แต่ละคนล้วนแต่เป็นคนงามเฉิดฉันกันสิ้น จุดจบสุดท้ายไม่พ้นถูกขายไปในราคาถูกก็กลายเป็นคณิการาคาต่ำชนิดเรียกได้ว่าอยู่ไม่สู้ตาย มีแค่อาฉาโชคดีมีคนซื้อไปเป็นชายบำเรอจึงมีชีวิตที่พอลืมตาอ้าปากได้บ้าง ส่วนที่เหลือไม่คิดสั้นฆ่าตัวตายเช่นหูเตี๋ยก็ดีเท่าไรแล้ว



หอวาดจันทร์เสียชายงามหลายคนควรเดือดร้อนหาวิธีจัดการรับมือกับท่านแปด แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่เพราะคนผู้นี้รู้จักใช้เงินแก้ปัญหาก่อนล่วงหน้าชนิดที่ว่าจ่ายคืนหนึ่งเพื่อกลืนกินคนงามไม่น้อยกว่าสามหมื่นตำลึงทอง บางคืนแปดหมื่นตำลึงทองพร้อมทั้งไข่มุกอีกหลายหีบ หน้าที่อกสั่นขวัญแขวนไม่รู้วันใดตนเองจะเป็นผู้เคราะห์ร้ายจึงตกเป็นปัญหาของเหล่าคณิกา แต่ละคนได้แต่เฝ้าภาวนาขอให้ตนไม่ไปเป็นที่ถูกใจต้องตาของท่านแปดผู้นั้น จะเผาธูปเทียนกระดาษน้ำมันก็ดี สวดมนต์ภาวนาก็ดี บริจาคเงินเพื่อทะนุบำรุงวัดก็ดี กลายเป็นว่าหกเดือนครึ่งปีมานี้วัดวาอารามในเมืองหลวงเจริญดียิ่งจนคล้ายว่าเป็นยุคทองก็ว่าได้



เคราะห์ร้ายที่ว่าตกมาถึงโม่ลี่เมื่อเดือนก่อนนี่เอง ท่านแปดคงเบื่อหน่ายรสชาติของเหล่าคนงามที่ขายเรือนร่างเชี่ยวชาญงานบนเตียงเสียแล้วกระมังหรือไม่ก็เป็นรักแท้ยังมีอยู่จริงตามที่ปากคนว่า วันหนึ่งเขาได้ยินเสียงพิณและเสียงร้องเพลงของโม่ลี่จึงรู้สึกสนใจผู้คนขึ้นมา เส้นสายเงินตรามากมายเพียงใดล้วนใช้เพื่อขอพบยลโฉมคนงามเพียงสักครั้ง ครั้นได้พบก็หลงละเมอหวังเอื้อมคว้าดอกมะลิอันแสนบริสุทธิ์ดอกนี้มาร่วมเรียงเคียงหมอนให้ได้ แต่โม่ลี่คิดขายเพียงศิลปะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ยอมขายเรือนร่าง ฝีมือของเขาสูงส่งเพียงนั้นยังสามารถใช้ทำมาหากินได้อีกหลายปี หากตัดสินใจเลือกขายตัวแล้วย่อมมิอาจหวนคืนหนทางเดิมได้ง่าย



ดื้อดึงยื้อยุดอยู่เป็นเดือน ท่านแปดที่ทำได้เพียงชมโฉมคนงามยินเสียงดนตรีคงหมดความอดทนเข้าแล้ว มิรู้ว่าด้วยวิธีเล่ห์กลอันใดคนจึงบีบบังคับให้หอชายงามแห่งนี้เปิดประมูลบริสุทธิ์ของโม่ลี่จนได้ ค่ำคืนแรกถูกท่านแปดประมูลไปด้วยราคาสูงที่สุดในประวัติศาสตร์แคว้นจิ่วโจว ด้วยเงินถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงทองและไข่มุกอีกยี่สิบหีบ มากมายเพียงพอจนกล่าวได้ว่าชีวิตที่เหลือของโม่ลี่จะถูกขายไปให้หอคณิกาชั้นล่างด้วยราคาเพียงไม่กี่สิบตำลึงก็ถือว่าไม่ขาดทุน



โม่ลี่ร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือดอยู่หลายวัน แต่ยังไม่ทรุดโทรมเพราะถูกบำรุงให้สดสวยด้วยยาล้ำค่าและหลากหลายสมุนไพรอยู่ตลอดเวลา คนคิดไม่ตกว่าควรต้องทำเช่นไร วันพรุ่งนี้ก็ต้องเข้าห้องหอมอบค่ำคืนแรกให้ท่านแปดผู้นั้นเสียแล้ว



“ข้าเคยคิดว่าวันหนึ่งจะเป็นอิสระได้โผบินมีครอบครัวเล็กๆ อยู่อย่างอบอุ่นสุขสันต์ มาวันนี้อนาคตดำมืดมิรู้ว่าต่อไปจะเป็นเช่นไร หากต้องฝืนทนให้ร่างกายแปดเปื้อนตกระกำลำบากจนต้องคิดสั้นฆ่าตัวตายเช่นหูเตี๋ย ไม่สู้ผูกคอตายตอนนี้อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องมิดีกว่าหรือ” วิญญาณยังคงยกมือปาดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงด้วยท่าทางงดงามเปี่ยมเสน่ห์ มองแล้วอ่อนแอน่าสงสารยิ่งนัก



“เรื่องแบบนี้มีสิ่งที่เรียกว่าดีอยู่ด้วยหรือ” ข้าตอบกลับด้วยความเฉยชา น้ำเสียงหวานเช่นนี้ช่างไม่คุ้นเคยดีแท้ “บนโลกนี้ตายก็คือตาย ยังจะมีการตายอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างไรกัน ลงปรโลกไปแล้วใช่ว่ายายเมิ่งจะถามเจ้าเสียหน่อยว่าร่างกายเจ้าผ่านชายหญิงมาเท่าใด อีกทั้งเจ้าประกอบอาชีพคณิกา แม้อยากขายศิลปะไปชั่วชีวิตแต่วันหนึ่งแห้งเหี่ยวโรยราจะหนีโชคชะตาที่ต้องขายเรือนร่างไปได้หรือ”



หยาดน้ำตาของวิญญาณผู้เศร้าหมองยิ่งไหลพรากกว่าเดิม ข้าหลุบสายตามองต่ำปล่อยให้เขาคร่ำครวญเสียจนพอใจ อันที่จริงท่านแปดที่เขากล่าวถึงนั้นใช่ว่าเยี่ยอู๋จวินจะคาดเดาตัวตนความเป็นมาอันแท้จริงไม่ได้ ยามที่ข้ายังเป็นราชครูในวังหลวง หากได้ยินชื่อว่าท่านแปดย่อมนึกถึงใครไปไม่ได้นอกจากอดีตองค์ชายแปดจากฮ่องเต้พระองค์ก่อน ผู้ที่ปัจจุบันมีราชทินนามว่าผิงอ๋อง น้องชายต่างมารดาคนหนึ่งของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้



นามปลอมว่าท่านแปดนี่ยังเรียกว่าชื่อปลอมได้อีกหรือ ตั้งชื่อเช่นนี้ไม่รู้ว่าจงใจประกาศให้ใต้หล้าได้รับรู้ตัวตนหรืออย่างไร ถึงได้ใช้ชื่อที่สามารถเชื่อมโยงได้ง่ายดายเหลือเกิน หรือสมองผู้คนไม่สามารถใช้การได้เสียแล้ว



ยามนั้นข้ามิได้สนใจเหล่าอ๋องน้องชายของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้เท่าใดนัก เหตุเพราะสมองและสองตามีแต่อยากจะกลืนโอรสสวรรค์ลงท้องพร้อมสูบพลังหยางอันแข็งแกร่ง แต่ด้วยตำแหน่งราชครูย่อมทำให้พอรู้ความเป็นมาเป็นไปอยู่ไม่น้อย ผิงอ๋องผู้รักสงบแท้จริงแล้วมีเพียงราชทินนามไม่ได้มียศตำแหน่งหน้าที่สำคัญอันใดในแว่นแคว้นเลยแม้แต่น้อย จะมีก็แต่เงินทองทรัพย์มากมายให้ล้างผลาญจนทั้งชาติก็ยังใช้ไม่หมดไม่สิ้น



มารดาของเขาคืออดีตซูกุ้ยเฟยผู้เป็นที่โปรดปรานเหนือตำหนักในของฮ่องเต้พระองค์ก่อน ส่วนสุ่ยเต๋อฮ่องเต้หรือองค์ชายใหญ่ในยามนั้นเป็นบุตรของฮองเฮาที่สมรสกับฮ่องเต้เพราะการเมืองและไม่ได้ถือครองอำนาจมากมายนัก โอรสที่เกิดจากซูกุ้ยเฟยย่อมมีโอกาสมากมายในการแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาท หากแต่เฮ่อยวนองค์ชายแปดกลับเป็นบุตรคนที่สามของนางจึงไม่ได้รับความสำคัญเท่าใดนัก ไม่เหมือนกับองค์ชายสามเฮ่อเหว่ยและองค์หญิงใหญ่เฮ่อหยู่เยียนพี่น้องร่วมอุทร ตอนยังเล็กมักเจ็บป่วยออดแอดแทบเอาชีวิตไม่รอด ซ้ำสติปัญญายังไม่ปราดเปรื่องโดดเด่น ในศึกชิงบัลลังก์มังกรเขาจึงอยู่อย่างสงบเสงี่ยมจนคล้ายไม่มีตัวตน ไม่เป็นที่สนใจจากใคร



ผู้ชนะในท้ายที่สุดอย่างที่รู้กันคือองค์ชายใหญ่เฮ่อฉีหรือสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ในปัจจุบัน ต่อมาสกุลเดิมของซูกุ้ยเฟยคิดก่อกบฏจึงมีจุดจบไม่สวยงามเท่าใดนัก สกุลซูถูกประหารเจ็ดชั่วโคตรและที่เหลือถูกเนรเทศไปหลายพันลี้ ทรัพย์สินทั้งหมดของสกุลที่ร่ำรวยที่สุดถูกยึดนำไปเติมคลังหลวง องค์ชายสามเฮ่อเหว่ยถูกประหารด้วยการมอบเหล้าพิษ องค์หญิงใหญ่เฮ่อหยู่เยียนผู้พอใช้การได้บ้างถูกส่งไปสมรสเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นใต้อาณัติที่คิดแข็งข้อ มีชีวิตลำบากยากเย็นไม่สูงศักดิ์เหมือนเคย การกระทำดั่งเขียนเสือให้วัวกลัวเช่นนี้ของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ทำให้หลังจากนั้นสถานการณ์ในเมืองหลวงที่สั่นคลอนถึงดีขึ้นได้บ้าง



สุ่ยเต๋อฮ่องเต้เป็นคนมีคุณธรรมกตัญญูต่อบิดามารดามีเมตตาต่อพี่น้อง องค์ชายแปดนามเฮ่อยวนที่ผ่านมาล้วนแต่ใช้ชีวิตเหมือนไม่มีตัวตนต่างจากพี่ชายพี่สาวย่อมได้รับการอภัยโทษ เขาได้รับพระราชทานราชทินนามว่าผิงอ๋องผู้รักสงบพร้อมกับจวนใหญ่หลังหนึ่งในแถบชานเมืองและทรัพย์สินเงินทองจำนวนมากที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของบรรพบุรุษ เรียกได้ว่าใช้ชีวิตอย่างสุขสบายจนเป็นที่อิจฉาของอ๋องคนอื่นเสียอีก



เบื้องหน้าผิงอ๋องใช้ชีวิตภายในจวนอย่างเงียบสงบเจียมตัวไม่เกะกะระรานใครคล้ายเกรงกลัวว่าจะมีจุดจบเหมือนพี่ชายพี่สาวและคนสกุลซู หากเบื้องหลังแท้จริงแล้วกลับมีนิสัยและรสนิยมตัดแขนเสื้อซ้ำยังชอบใช้ความรุนแรงจนจึงขั้นวิปริต จะบอกว่าเป็นเสือหมอบมังกรซ่อนก็กล่าวได้ไม่เต็มวาจานัก เนื่องจากเขาก็มิได้วางแผนร้ายอันใดต่อฮ่องเต้และแผ่นดิน มีแต่อารมณ์พลุ่งพล่านรุนแรงที่นำมาใช้กับเหล่าคณิกาคนงาม นี่คงเป็นเพราะเก็บกดมาตั้งแต่สมัยยังเยาว์เสียกระมัง



เจ้าเด็กเฮ่อยวนนี่สร้างปัญหาเก่งเสียจริง ออกอาละวาดเพียงไม่นานก็ทำให้คณิกาที่ปรกติเผ็ดร้อนไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด กลายเป็นหนูกลัวแมวไปเสียได้ หากจัดการปัญหาที่ผิงอ๋องเป็นผู้ก่อขึ้นได้จากต้นตอ ย่อมสามารถทำให้เหล่าผู้คนที่มีชีวิตกลางคืนในแคว้นจิ่วโจวสามารถใช้ชีวิตไปตามวิถีของคนโดยมิต้องเกรงกลัวอีกต่อไป ต่อให้ไม่ได้มีผลตอบแทนเป็นพลังหยางมากมายเหมือนคราวก่อน แต่ก็นับว่าเป็นการสร้างกุศลอย่างยิ่งมิใช่หรือ



“ชีวิตเจ้าใช่ว่าจะสิ้นไร้หนทาง หากคิดให้ดีย่อมมีวิธีจัดการท่านแปดของเจ้าอยู่”



โม่ลี่ที่เริ่มทำใจได้แล้วเลิกคิ้วขึ้นมองเล็กน้อย เขาห่อริมฝีปากอิ่มเข้าหากันดูแล้วท่าทางน่ารักแต่แฝงด้วยจริตมารยาดั่งที่เคยได้รับการสั่งสอนมา “ท่านมีแผนการอันใด จะสามารถรับมือกับท่านแปดได้จริงหรือ ข้าได้ยินมาว่าฝีมือของเขาเก่งกาจ ยามร่วมรักแรกเริ่มมักหลอกล่อให้คนตายใจ จากนั้นค่อยกระทำการย่ำยีราวคนเป็นลูกไก่ในอุ้งมือมาร หากพลาดพลั้งไปแล้วย่อมต้องเจ็บทั้งกายเจ็บทั้งใจ”



“แค่เด็กคนหนึ่งเพียงเท่านั้น” เฮ่อยวนปีนี้อายุได้เพียงยี่สิบสี่ เก่งเกาจเพียงใดมีหรือจะอาจหาญมาสู้ข้าได้ ยามที่ข้าได้เรียนบทรักมีความสัมพันธ์กับคนสกุลไป๋เป็นครั้งแรก เจ้าหนูนั่นน่าจะยังขุดไส้เดือนเล่นอยู่เลยกระมัง “เรื่องเช่นนี้ข้าเยี่ยอู๋จวินย่อมมีหนทางรับมือ หากต้องขอความร่วมมือจากเจ้าบางส่วน”



“ที่แท้ผู้อาวุโสคือปรมาจารย์วังวสันต์ผู้เลื่องชื่อ” ชายงามแห่งหอวาดจันทร์เบิกตากว้าง คาดว่าคัมภีร์สอนรักของข้าคงถูกเผยแพร่ในกลุ่มคณิกาไม่มากก็น้อยกระมัง ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากชื่นชมเยิ่นเย้อให้มากความ ข้าก็โบกมือส่งสัญญาณให้คนเงียบเสียก่อน โม่ลี่ขยับเข้ามาใกล้แทบเกาะขาของข้า ท่าทางเศร้าหมองหมดหวังเลือนหายไปจนเกือบหมดสิ้น สองตายังเป็นประกายเจิดจ้าคล้ายพบเจอความหวังเข้าแล้ว “แผนการท่านเป็นเช่นใด โปรดสงเคราะห์ผู้น้อยด้วยเถิด”



ข้ากระตุกยิ้มเย็นเหยียบก่อนเปิดปากเล่าแผนการ วันพรุ่งนี้เจ้าลูกหมูเฮ่อยวนจะได้รับบทเรียนทั้งลึกทั้งซึ้งจนถึงแก่นแท้อย่างแน่นอน



โปรดติดตามตอนต่อไป...





ซินเอ๋อร์:

มาแล้วค่าาา

กลับมาเฮฮาตามประสาผีลามกแล้วนะคะ ถ้ายังดราม่าอีก ก็ไม่สมควรเรียกตัวเองว่าเป็นนิยายเบาสมองเน้นฮาแล้วววว 5555 อยู่กับอู๋เกอวัยใสมา 5 ตอนรวด กลับมาหาเยี่ยอู๋จวินผู้ปากร้ายแซะเก่งกันดีกว่าค่ะ ตอนหน้าผีลามกจะเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับท่านแปดและโม่ลี่อย่างไร ต้องติดตามกันต่อไปค่ะะะ ซึ่งแน่นอน 100% ว่า มีฉากระวังหลังอย่างแน่นอน แต่จะเขียนออกมาอย่างไรนั้น ยังไม่รู้ค่า (อ้าาาาววววว)

ช่วงนี้เรียนหนักงานหนัก อาจจะมาแบบดีเลย์ๆ เลทๆ ไปบ้างนะคะ แถมที่นี่อากาศเริ่มเปลี่ยน เปลี่ยนจากหนาวไปหนาวมากๆ กลางคืนเริ่มแตะ 0 องศาแล้ว ซินเอ๋อร์อาการเปลี่ยนทีไรป่วยเละเทะทุกทีค่ะ ฝืนอยู่ดึกไม่ได้เลย เพราะจะน็อคตลอดเวลา ฉะนั้นถ้าช้าไปบ้างต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะคะ T_T

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามด้วยค่ะะ ขอบคุณทุกกำลังใจที่มอบให้นะคะ มันก็มีบางทีที่เหงาๆ บ้าง กลัวคนอ่านหาย (แง) ยังไงช่วยรีวิวช่วยแชร์หน่อยในทวิตหรือในเฟซจะขอบคุณมากๆ เลยค่ะ เห็นคนอ่านเยอะก็มีแรงเขียนน้าาา

พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-11-2019 00:09:50 โดย ซินเอ๋อร์ »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ง่วงนอน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตามอ่านเรือยๆ จ้า  :mew1:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
ผีลามกกลับมาแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
*คำเตือน*

เนื้อหาในตอนนี้มีฉากร่วมรักที่ไม่สมยอม (Dub-Con) อยู่นะคะ หากใครรับเนื้อหาไม่ได้ ข้ามตอนได้เลยน้า



บทเรียนที่ทั้งลึกทั้งซึ้งถึงแก่นแท้



ถึงวันส่งตัวเข้าหอมอบคืนแรกให้กับท่านแปดก็มีเด็กรับใช้นามเสี่ยวเถาและอดีตคณิกาชายที่ผันตนเองไปเป็นผู้ดูแลมาปลุกโม่ลี่ตั้งแต่ยามเฉิน ข้าในร่างของคนงามถูกจับอาบน้ำลอยกลีบดอกไม้ขัดผิวด้วยสารพัดเครื่องหอม วุ่นวายยิ่งกว่าเจ้าสาวในวันส่งตัวเสียอีก คนหยิบชุดผ้าแพรเบาบางจนเห็นเนื้อหนังภายในมาให้ข้าเลือกสรร มิรู้ว่าจะต้องเลือกไปทำไม สุดท้ายแล้วต้องถอดทิ้งอยู่ดีมิใช่หรือ ท่านแปดเสียเงินมากมายเช่นนั้นคงหวังเล่นพลิกผ้าห่มจับชายงามกลืนลงท้องมากกว่ามานั่งพิจารณาผ้าแพรจากแคว้นสู่กระมัง



ข้าสุ่มเลือกชุดหนึ่งมาอย่างไม่ตั้งใจเท่าใดนัก ผู้คนจับข้านั่งหน้ากระจกช่วยเช็ดเส้นผมดำวาวของโม่ลี่จนแห้ง ชายงามคนหนึ่งหยิบแป้งและชาดออกมาหวังแต่งเติมใบหน้า เห็นแล้วรู้สึกอ้างว้างเป็นอย่างยิ่ง ถูกจับอาบน้ำก็แล้ว ถูกจับแต่งตัวก็แล้ว หากต้องมาถูกจับแต่งหน้าอีกคงยากเย็นเกินทำใจยอมรับได้



“มิต้องแต่งหรอก ปล่อยไว้เช่นนี้คงดีกว่า” ข้าหลุบสายตาลงต่ำพูดด้วยน้ำเสียงเนิบช้าเหมือนโม่ลี่ตัวจริง ท่าทางปลดปลงสามส่วน อ่อนแอสามส่วน น่าสงสารเวทนาอีกสองส่วน “ไร้แป้ง ไร้ชาด อาจทำให้ท่านแปดหงุดหงิดใจน้อยลงได้กระมัง”



พูดจบประโยคเด็กรับใช้ประจำตัวของโม่ลี่ก็ถึงขั้นน้ำตาหยดแหมะลงมาที่ข้างแก้ม ข้าเหลือบตามองเขาเห็นว่าเป็นเด็กชายหน้าตาหมดจดโตขึ้นไปคงงดงามอยู่ไม่น้อยจึงเอื้อมมือไปแตะข้างแก้มของเขาแล้วขยับยิ้มบางเบา เยี่ยอู๋จวินช่างเสแสร้งเล่นละครเก่งขึ้นทุกวันดีแท้ “เจ้าจะร้องไห้ไปไย ถูกขายคืนแรกด้วยเงินถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงทอง แผ่นดินจิ่วโจวคงมิใครเทียบเคียงได้ ถือว่ามีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เหมือนกันมิใช่หรือ”



“โม่เกอ...ท่าน...” เด็กรับใช้อ้าปากพะงาบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโถมตัวใส่ข้าทั้งที่น้ำตานองหน้า ส่วนอดีตคณิกาอีกคนได้แต่แอบปาดน้ำตาอย่างเงียบงันด้วยความเศร้าสร้อย “พี่ชายเหตุใดท่านจึงมิโชคดีมีคนไถ่ตัวออกไปก่อนต้องขายตัวบ้าง ท่านแปดบัดซบนั้นล้วนแต่เป็นลูกเต่าสารเลวทั้งนั้น! ”



ด่าจบจนหนำใจแล้วเสี่ยวเถาค่อยร้องไห้โฮๆ ไม่หยุด ส่วนวิญญาณของโม่ลี่ที่แฝงตัวลึกพอมีสติรับรู้อยู่ในร่างก็ร่ำไห้น้ำตาเป็นสายเลือดอยู่เช่นกัน คนหอวาดจันทร์ช่างขี้แยขยันเสียน้ำตากันดีแท้ ส่วนข้าได้แต่วางท่าทางสงบเงียบราวกับทำใจมาแล้วว่าพ้นคืนพรุ่งนี้ไปชีวิตงดงามดั่งดวงจันทร์วันเพ็ญคงกลายเป็นเพียงอดีต จากนั้นค่อยปลอบใจทั้งเด็กรับใช้ผู้นั้นและชายงามสูงวัยอยู่พักใหญ่คนถึงออกจากห้องให้ข้าได้เตรียมตัวเฝ้ารอนายท่านผู้นั้น ก่อนออกไปเด็กน้อยยังอุตส่าห์แอบยัดกระดาษห่อยาผงสองห่อให้ข้ากับมือ



“ยาในห่อกระดาษนี้ห่อหนึ่งเป็นยาปลุกกำหนัดสูตรเฉพาะจากหมอถง ดีร้ายอย่างไรหากท่านมีความรู้สึกร่วมด้วยคงไม่เจ็บตัวมากนัก” เขาดึงให้ข้าก้มลงมาแล้วกระซิบที่ข้างหู หอคณิกาชายแห่งนี้ช่างสั่งสอนผู้คนได้ดียิ่ง เสี่ยวเถาอายุแค่เก้าขวบก็รู้จักไปหายาปลุกกำหนัดมาเสียแล้ว “ส่วนอีกห่อคือยาสงบใจ หากท่านรู้สึกเศร้าสร้อยอยากตายขึ้นมา ก็จงผสมยานี้กินเถิด อย่างน้อยก็ทำให้ความคิดฟุ้งซ่านสงบลงได้ชั่วคราว”



ข้าเหลือบมองห่อยาทั้งสองห่อที่หน้าตาคล้ายคลึงกันเก้าส่วนแล้วอดเอ่ยปากถามออกมาไม่ได้ “แล้วยาห่อใดเป็นชนิดใดเล่า”



ดวงตากลมโตเบิกขึ้นกว้างคล้ายตกใจ ใบหน้าหมดจดของเขาแปรเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ขึ้นมาทันที เด็กรับใช้ประจำตัวของโมลี่เปิดปากขึ้นตอบขึ้นด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “ข้า ข้า...ข้าก็จำไม่ได้เหมือนกันโม่เกอ” เขาชี้ไปที่ห่อยาห่อหนึ่งในมือข้า “หากยาห่อนี้เป็นยาปลุกกำหนัด อีกห่อก็คงเป็นยาสงบใจ หรือถ้ายาอีกห่อเป็นยาปลุกกำหนัด ยาห่อนี้คงเป็นยาสงบใจกระมัง”



ควรเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วมิใช่หรือ เจ้าซื้อยามาสองชนิด หากมันเป็นยาชนิดเดียวกันทั้งสองห่อ หรือเป็นยาชนิดอื่นไปได้สมควรต้องไปเผาร้านขายยาแล้วกระมัง ข้าหลุดหัวเราะออกมาในสติปัญญากึ่งดีกึ่งแย่ของเสี่ยวเถาพร้อมกับเอื้อมมือไปลูบศีรษะของเขาแผ่วเบา น้ำใจเจ้าทั้งข้าและเจ้าของรับรู้ดีแล้ว หากวันหน้าโม่ลี่มีชีวิตที่ดีขึ้น ย่อมไม่ปล่อยให้ผู้คนใช้ชีวิตในหอคณิกาอีกต่อไปแน่ เด็กรู้ความเช่นนี้สมควรสนับสนุนส่งเสริมมิใช่หรือ



ข้านั่งรออยู่ในห้องรับฟังเรื่องราวชีวิตดั่งละครของโม่ลี่อยู่จนพระอาทิตย์ตกดินจึงค่อยมีคนเชิญตัวไปยังห้องสำหรับค่ำคืนนี้ที่ตกแต่งด้วยสีแดงหรูหรา กระทั่งผ้าปูเตียงยังปักลายนกยวนยางและดอกมู่ตัน หากมิบอกคงคิดว่าเป็นคืนเข้าหอของคุณหนูคุณชายสกุลใหญ่เสียกระมัง



ผ่านไปเกือบชั่วยามประตูค่อยเปิดออกพร้อมร่างสูงโปร่งกำยำในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มที่เดินโซซัดโซเซเข้ามา ข้าขยับเข้าไปช่วยประคองผู้คน มือวางนาบกับเอวสอบอันเป็นเส้นโค้งแข็งแกร่งของอีกฝ่าย พร้อมกับลอบพิจารณาอ๋องแปดแห่งแคว้นจิ่วโจว เฮ่อยวนนับว่าเป็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลาสะดุดตาเสียยิ่งกว่าสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ที่เป็นบุรุษหน้าหยกเสียด้วยซ้ำ สมควรแล้วที่เป็นบุตรของซูกุ้ยเฟยผู้งดงามเหนือตำหนักใน หากสิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือนัยน์ตาดอกท้อพร่างพราวคล้ายฉาบด้วยหยาดน้ำอยู่ชั้นหนึ่ง มีดวงตาเช่นนี้นอกจากล่อดอกท้อแล้วคงล่อเหล่าหมู่ภมรด้วยเป็นแน่



“คนงามมารับข้าหรือ” เขาหัวเราะในลำคอท่าทางรื่นเริง ลมหายใจร้อนผะผ่าวมีกลิ่นสุรารสร้อนแรงแฝงอยู่หลายส่วน คนใช้ปลายนิ้วเชยปลายคางของข้าแล้วแย้มยิ้มกว้างด้วยความยินดี ปลายนิ้วเลื่อนมาเกลี่ยตามกลีบปากอิ่ม ดวงตาฉ่ำน้ำยิ่งเป็นประกายคล้ายลูกแก้วใสแววววาว “วันนี้โม่ลี่งดงามยิ่ง รอท่านแปดผู้นี้นานหรือไม่”



แม้ริมฝีปากหยัดยิ้มออกเป็นรอยยิ้มเขินอาย หากในใจข้ากลับยิ้มหยันขบขันผู้คน ผิงอ๋องเล่นละครเก่งกาจสมเป็นคนจากราชวงศ์ แรกเริ่มทำเป็นพยัคฆ์ห่มหนังสุกรล่อหลอกให้คนหลงตายใจ จากนั้นค่อยย่ำยีผู้อื่นอย่างโหดร้ายจนเกือบสิ้นสติ วิธีการเสแสร้งเช่นนี้มิรู้ว่าหากสุ่ยเต๋อฮ่องเต้รู้เรื่องเข้าคงคิดระแวงในตัวเขาขึ้นมาเป็นแน่



ข้าประคองผิงอ๋องไปจนถึงเตียงไม้ที่กลางห้อง คนเอนตัวลงนั่งก่อนมือทั้งคู่จะเอื้อมมือจับรอบเอวดึงรั้งร่างสูงโปร่งดังต้นไผ่ของโม่ลี่เข้าไปในอ้อมกอด เมื่อร่างกายแนบชิดกันดีแล้วเขาจึงค่อยโน้มใบหน้าหล่อเหลาเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น กลีบปากหยักได้รูปทาบทับลงมาเสียจนแน่นสนิท ข้าปล่อยให้เฮ่อยวนได้ใช้โอกาสในตอนนี้เป็นฝ่ายชักนำทั้งแทะเล็มริมฝีปากแดงอิ่มดังย้อมผลอิงเถา ทั้งสอดแทรกปลายลิ้นไล่เลียตามแนวฟันและรุกล้ำเข้ามาเกี่ยวกระหวัดจนเกิดเสียงเฉอะแฉะขึ้นมา



รสสุราร้อนแรงที่ยังค้างคาอยู่ในโพรงปากร้อนของเฮ่อยวนเรียกได้ว่าหอมหวานสมเป็นสุราชั้นดี แต่สิ่งที่หอมหวานกว่าคือธาตุหยางอันรุนแรงที่แพ่พุ่งมาจากทั้งร่างและจิตวิญญาณของอีกฝ่าย อ๋องแปดผู้นี้มีพลังหยางด้อยกว่าสุ่ยเต๋อฮ่องเต้เพียงส่วนเดียวเท่านั้น โชคชะตาเช่นนี้สั่นคลอนบัลลังก์ได้เลยทีเดียว ในศึกชิงตำแหน่งรัชทายาทคราวนั้นเขาเพียงแค่สิบเอ็ดปี ซ้ำยังทำตัวจืดชืดไม่โดดเด่นจึงสามารถหลุดรอดพ้นสายตาผู้คนไปได้ ช่วยเหลือโม่ลี่ครั้งนี้นอกจากเป็นการทำกุศล ขอเพียงได้ซวงซิวกับอีกฝ่าย คนสกุลเยี่ยก็ถือว่าได้กำไรแล้ว



ลิ้นร้อนของท่านแปดยังลงขยับเกี่ยวพันหยอกล้อกับปลายลิ้นของข้าอย่างไม่มีวี่แววว่าจะผละออกไปโดยง่าย แรกเริ่มยังเป็นจังหวะอ่อนโยนอยู่บ้าง หากไม่นานเมื่อถูกข้าดูดดุนเรียวลิ้นหนักเข้าก็คล้ายไปปลุกสัญชาตญาณป่าเถื่อนของคนขึ้นมา ผิงอ๋องใช้มือข้างหนึ่งยึดคางเรียวเอาไว้ก่อนจะบดเบียดจุมพิตเข้ามาแนบแน่นและแปรเปลี่ยนจังหวะให้กลายเป็นเผ็ดร้อนขึ้นมา ฝ่ามือของเขานวดคลึงไปตามบั้นเอวจนถึงสะโพกกลม



ใบหน้าของโม่ลี่ภายใต้การควบคุมของเยี่ยอู๋จวินเรียกได้ว่าเคลิบเคลิ้มจนแทบหลอมละลายไปกับรสจุมพิตนั้น เช่นเดียวกับโม่ลี่ตัวจริงที่จิตรับรู้ล่องลอยไปกับการชักนำของผิงอ๋องเสียแล้ว ข้าสอดมือเข้าไปตามสาบเสื้อของอีกฝ่ายก่อนจะลากไล้ไปตามแผ่นอกคล้ายต้องการยั่วเย้า สัมผัสแผ่วเบาทำให้เฮ่อยวนลมหายใจกระตุกเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น ฟันคมพลันขบกัดลงมาเสียจนริมฝีปากบวมเจ่อ ตอนนี้กัดได้ก็กัดไปเถิด เหตุเพราะเยี่ยอู๋จวินบันทึกลงบัญชีแค้นเอาไว้ในใจเป็นที่เรียบร้อย



ใช้ริมฝีปากและปลายลิ้นพัวพันกันอยู่เกือบเค่อ เฮ่อยวนถึงได้ยอมละจูบออกมา เขาเฝ้าคลอเคลียดูดเม้มกลีบปากไม่หยุดเสียจนข้านึกรำคาญใจขึ้นมาว่าชาติก่อนอ๋องแปดคงเกิดเป็นสุนัขกระมัง อีกฝ่ายปลดรั้งผ้าแพรสีแดงเบาบางบนร่างของข้าออกด้วยความเร่งรีบ เมื่อไม่ได้ดั่งใจก็ฉีกทิ้งเสียจนผ้าราคาแพงจากแคว้นสู่พวกนั้นขาดวิ่นไม่เหลือสภาพ จากนั้นค่อยใช้มือฟอนเฟ้นแผ่นอกขาวอย่างหยาบกระด้าง คนเลื่อนปลายนิ้วไปยังยอดอกนูนสองข้างทั้งเด็ดดึงทั้งบีบเคล้น ความอ่อนโยนอันใดคงลืมเสแสร้งไปหมดแล้ว อาการหื่นกระหายไร้ยางอายเช่นนี้ใช่ว่าข้าจะไม่เคยเห็นมาก่อน



ยิ่งเขาคลั่งเท่าใด ยิ่งดีต่อข้าเท่านั้น ข้ายกเข่าขึ้นใช้หน้าขาเสียดสีกับส่วนกลางร่างกายของท่านแปดจนส่วนนั้นพองนูนแข็งขืนขึ้นมาจนคล้ายจะระเบิด เฮ่อยวนไล่ขบกัดลำคอของข้าเสียจนเป็นรอยช้ำ นัยน์ตาดอกท้อทั้งคู่มัวเมาไปด้วยแรงกำหนัดอันพุ่งสูงขึ้นทุกขณะ เขาดึงรั้งกางเกงของข้าออกให้พ้นทาง ก่อนที่มือสารเลวทั้งคู่จะจับสองขาแยกออกจากกัน ปรมาจารย์วังวสันต์เช่นข้ากลับพลิกตัวให้เขาเป็นฝ่ายอยู่เบื้องล่างพร้อมกับขยับยิ้มเย้ายวนตามที่ฝึกมาหน้ากระจกเมื่อคืนนี้ หากเจ้าอยากเป็นฝ่ายกระทำ อย่าได้เผลอตนอ้าขาให้ใครเป็นอันขาด



“ให้บ่าวได้ปรนนิบัติท่านแปดเถิด” ข้าเอื้อมมือไปปลดเข็มขัดหยกที่เอวของเขาออกพลางเอ่ยถ้อยคำด้วยน้ำเสียงหวานหยดย้อย ครั้นเหลือบมองเขาด้วยอากัปกิริยามากจริตมารยา เฮ่อยวนที่มีสีหน้าลังเลเล็กน้อยในตอนแรกก็พยักหน้าตอบรับ นัยน์ตาที่ฉาบไปด้วยหยาบน้ำมีแววโง่งมอยู่ไม่น้อย ข้าดึงรั้งกางเกงของเขาไปกองที่ตำแหน่งข้อเข่าทั้งสองข้าง ท่อนเนื้อสีเข้มอันแข็งขืนจนเห็นเส้นเอ็นให้เห็นแก่สายตา ส่วนปลายของมันเริ่มมีหยาดน้ำใสผุดออกมาพร้อมกับกระตุกเบาๆ คล้ายว่าใกล้ความอดทนขึ้นทุกที



หากเฮ่อยวนมีสตินึกคิดบ้างสักนิด ควรจะต้องรู้ว่าโม่ลี่ตัวจริงแม้เป็นคณิกา แต่ก็ขายแค่ศิลปะยังไม่เคยผ่านมือชายและคืนนี้คือค่ำคืนแรกของผู้คน ฉะนั้นโม่ลี่ที่ดีควรมีท่าทีเขินอายอยู่หลายส่วน มิใช่เยี่ยอู๋จวินตัวสารเลวในคราบคนงามที่ยางอายคือสิ่งใดไม่ได้รู้จักมาเนิ่นนาน ข้ากอบกุมแท่งหยกของเขาแล้วขยับรูดรั้งอย่างหนักหน่วงโดยไม่ทันให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว ปลายเล็บที่เจียนไว้เสียสวยงามเกลี่ยหยอกล้อลงบนรูเล็กที่มีน้ำเอ่อนอง



สะโพกของผิงอ๋องกระตุกเล็กน้อยพร้อมกับเสียงครางต่ำด้วยความสุขสมในลำคอ เขาเอนลำตัวส่วนบนลงไปบนเตียงจนคล้ายกึ่งนั่งกึ่งนอน ข้ากำรอบส่วนโคนเอาไว้ก่อนโน้มตัวลงไปใช้ริมฝีปากดูดดุนส่วนหยักของท่อนลำ ปลายลิ้นตวัดเลียอย่างเชี่ยวชาญยิ่งทำให้ผู้คนเตลิดเปิดเปิงยิ่งไปอีก น้ำเสียงของเฮ่อยวนที่เอ่ยสั่งเริ่มแหบพร่าขึ้นทุกที “ลึกกว่านี้อีก”



คนกดศีรษะของข้าลงให้ส่วนแข็งขืนของเขากระทั้นเข้าไปในโพรงปากมากขึ้น ข้าแสร้งทำคล้ายจะสำลักเพราะไม่คุ้นชินกับความใหญ่โตให้สมบทบาทของโม่ลี่เสียหน่อย ภาพคนงามครอบครองแท่งหยกของเขาเอาไว้เต็มปาก ใบหน้าแดงระเรื่อและมุกน้ำตาผุดพรายเกาะตามขนตาคงยิ่งทำให้เฮ่อยวนคึกคักยิ่งกว่าเดิม คนจิกเรือนผมของข้าแล้วบังคับให้เร่งรีบกลืนกินให้เร็วยิ่งขึ้น ความรู้สึกชาหนึบที่หนังหัวทำให้โม่ลี่ตัวจริงถึงกับหวีดร้องโวยวายในใจ ด้วยกลัวว่าเส้นผมเงางามที่เขาบำรุงมาอย่างดีจะหลุดร่วง เจ้าใจเย็นก่อนเถิด...นั่นเหมือนจะผิดประเด็นผิดกาลเทศะกระมัง



ทั้งดูดเลียทั้งขบเม้มทั้งปล่อยให้คนกดกระแทกแก่นกายเข้าไปลึกจนถึงลำคอ จนเกิดเสียงเฉอะแฉะลามกที่ดังได้อยู่เกือบเค่อ แท่งหยกอันแข็งขืนพลันกระตุกเบาๆ ก่อนจะพ่นหยาดน้ำออกมาเสียหมดสิ้น เจ้าลูกเต่าแซ่เฮ่อยิ่งกดศีรษะของโม่ลี่ให้กลืนกินรสคาวออกไปเสียหมด



เมื่อผละออกมาแล้ว ข้าแลบปลายลิ้นเลียริมฝีปากตนเองเพื่อเย้ายวนกระตุ้นคนยิ่งกว่าเดิม ท่านแปดเหม่อมองข้าพลางแย้มยิ้มบางคล้ายหลงใหลกันเข้าแล้ว ดวงตาดอกท้อพร่างพราวด้วยความสุขสมสบายตัวเป็นอย่างยิ่ง จังหวะที่เขาลดการป้องกันตนเองลง ไม่ทันได้ระมัดระวังเช่นนี้หากคิดการใหญ่อันใดไว้ก็ควรจะลงมือได้แล้ว ข้าคว้าเข็มขัดหยกที่ปลดวางไว้ด้านข้างขึ้นมาแล้วรวบมือทั้งสองข้างของเฮ่อยวนเข้ามามัดรวบเป็นเงื่อนตายด้วยความเร็วเกินกว่าที่ผู้คนจะตั้งตัวทันได้ หยกดีมีมูลค่าเทียมเมืองปานใด เวลานี้คงมิสำคัญแล้ว



“เจ้าจะทำอะไร” ท่านแปดที่เริ่มมีสติรับรู้ขึ้นมาแล้วเบิกตาขึ้นกว้าง คนสะบัดข้อมือแกะสิ่งพันธนาการออก แต่ไหนเลยจะสามารถแกะได้โดยง่าย เฮ่อยวนพยายามใช้สองข้างเตะถีบข้าออกไป แต่กางเกงที่คนแซ่เยี่ยวางหลุมพรางรั้งมันไว้ที่ข้อเข่ากลับทำให้เขาขยับตัวได้อย่างยากลำบาก



“บ่าวจะปรนนิบัติท่านอย่างดีเอง” ข้าชักเริ่มรำคาญท่าทางของคนขึ้นมาบ้างแล้วจึงพลิกร่างให้ผิงอ๋องคว่ำหน้า มือทั้งสองข้างยกสะโพกหนั่นขึ้นสูงให้เข่าทั้งสองข้างชันกับพื้นเตียง จากนั้นค่อยควานหาตลับขี้ผึ้งในกองผ้าแพรสีแดงของตนเอง ไม่ได้สนใจเสียงหัวเราะคิกคักด้วยความสะใจของโม่ลี่ในจิตสำนึกและเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้นและถ้อยคำผรุสวาทของเฮ่อยวนเลยสักนิด



“สารเลว! เจ้าคิดกระทำการใดกัน อย่าให้ข้าหลุดออกไปได้ ข้าจะสับเจ้าให้เป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น! ”



ถึงเวลานั้นหากยังมีแรงสับกันก็สับไปเถิด กลัวแต่ว่าจะหมดแรงเสียก่อนมากกว่า ข้าเปิดตลับออกแล้วควักขี้ผึ้งสีขาวราวมันแพะขึ้นมาก้อนหนึ่ง จากนั้นค่อยแหวกเนื้อกลมออกให้เห็นช่องทางสีแดงสดที่มิเคยมีใครรุกล้ำมาก่อน ตอนที่ข้าป้ายขี้ผึ้งลงไปที่ปากทาง เฮ่อยวนก็ด่าโม่ลี่ไปถึงโคตรเหง้าเหล่าสกุล ถ้อยคำหยาบคายเช่นนี้คนแซ่เยี่ยเริ่มชักไม่อยากฟัง ข้าจึงเอื้อมมือไปคว้ากางเกงชั้นในผ้าไหมด้านข้างแล้วยัดเข้าไปในโพรงปากที่พ่นแต่วาจาไม่งามของเขาเสีย หน้าตาของผิงอ๋องในยามนี้เป็นเช่นไร คงต้องบอกว่าอัปยศอดสูเป็นอย่างยิ่ง



สิ่งใดที่กระทำการไปแล้วก็สมควรกระทำการต่อ ขี้ผึ้งที่เตรียมเอาไว้ทำให้ข้าสามารถสอดปลายนิ้วเข้าไปในช่องทางได้ง่ายดายยิ่งขึ้น ความรู้สึกไม่คุ้นชินทำให้ผิงอ๋องหดเกร็งร่างกายเสียจนเห็นแนวกระดูกสันหลังบนแผ่นหลัง ซ้ำผนังอ่อนภายในยังยิ่งบีบรัดแน่น ข้ากระแทกปลายนิ้วเสียดสีช่องทางอย่างไม่ถนอมผู้คนเท่าใดนักแล้วค่อยเพิ่มจำนวนนิ้วมากขึ้นทุกที เพียงครู่เดียวเสียงฮึดฮัดไม่พอใจกลับกลายเป็นเสียงครวญแผ่วเบาราวลูกแมว สองข้าของเขาอ้าออกกว้างยิ่งขึ้นอย่างไม่รู้ตัว แท่งหยกเบื้องหน้ากลับมาแข็งขืนอีกครั้งหนึ่ง



สาเหตุที่ทำให้คนเคลิบเคลิ้มเกิดอารมณ์ตามอย่างง่ายดายเป็นเพราะข้าเยี่ยอู๋จวินมีฝีมือที่ดียิ่งกว่าเขามากนัก สอดแทรกควานนิ้วไม่นานก็พบเจอปุ่มกระสันภายใน ข้ากระแทกใช้ปลายนิ้วเสียดสีกระตุ้นให้คนรู้สึกดีเจียนคลั่ง คิดอยากปราบคนเช่นนี้ต้องทำให้เขาได้รับบทเรียนอย่างถึงใจ เป้าหมายของข้ามีเพียงทำให้เขามิอาจลืมเลือนบทรักอันสุขสมร้อนแรงได้ จนวันหน้ามิอาจเสร็จสมยามไม่ถูกย่ำยีทางเบื้องหลังได้ยิ่งดี...ท่านแปดแม้เก่งกาจปานใด หากถูกฝึกให้เชื่องไปเสียแล้วจะยังไปพยศที่ใดได้อีก



ยามที่ถอนปลายนิ้วออกมา สะโพกของอีกฝ่ายยังขยับตามด้วยความไม่รู้จักพอ ข้าได้แต่หัวเราะแผ่วเบาก่อนจะตบเนื้อกลมของเขาครั้งหนึ่งจนเป็นรอยฝ่ามือแดง ความเจ็บนั้นคงทำให้ผิงอ๋องพอมีสตินึกคิดขึ้นมาได้ เขาพยายามคลานหนีอย่างยากลำบาก แต่กลับถูกรั้งตัวเอาไว้ไม่ให้ขยับไปได้ ข้าจ่อแก่นกายที่ชูชันจ่อเข้ากับปากทาง จากนั้นจึงกระแทกลำตัวเข้าไปจนสุดความยาว



แท่งหยกที่ขนาดใหญ่โตไม่น้อยหน้าใครรุกล้ำเข้ามาอย่างกะทันหันย่อมทำให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกจุกแน่นและเจ็บเสียดขึ้นมาเป็นแน่ หากเสียงครางแผ่วเบากลับบ่งบอกว่าเขากำลังรู้สึกได้รับการเติมเต็มอย่างแปลกประหลาด เฮ่อยวนโน้มลำตัวท่อนบนลงต่ำจนแนบกับเตียง ไหล่กว้างสั่นระริกคล้ายจำยอม ผิงอ๋องที่หมดหนทางสู้เช่นนี้น่ารักอยู่ไม่น้อยทีเดียว ข้าใช้มือหนึ่งจับสะโพกเอาไว้ก่อนกระแทกแก่นกายเสียดสีกับรอยพับจีบที่ตอดรัดเป็นจังหวะ มืออีกข้างตบบั้นท้ายแน่นของเขาจนบวมแดง



ข้าขยับสะโพกเข้าออกอย่างหนักหน่วงเสียจนในห้องมีแต่เสียงจาบจ้วงหยาบโลน แล้วค่อยโน้มตัวริมฝีปากพรมจูบไปตามแนวสันหลังทั้งขบเม้มทั้งขบกัดทิ้งร่องรอยเอาไว้ทั่ว เฮ่อยวนผู้นี้เกรงว่าจะชอบความเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย ยามที่ข้าใช้ฟันขบไปตามร่างของเขา ผนังอ่อนด้านในกลับยิ่งบีบรัดมากยิ่งขึ้น ข้าหัวเราะในลำคอและทิ้งรอยฟันเอาไว้จนถึงต้นคอขาว ปลายลิ้นไล้เลียที่หลังใบหูของเขาก่อนกระซิบถ้อยคำหยาบโลน “ดีหรือไม่ บ่าวรับใช้ท่านดีหรือไม่”



“อึก...อื้อ! ” ผ้าไหมเนื้อดีที่อุดปากเขาอยู่ย่อมทำให้เฮ่อยวนไม่สามารถตอบคำถามของข้าได้ หากแต่คนแซ่เยี่ยยังอยากล้อเขาเล่นอยู่จึงนึกใจดีดึงมันออกให้ ผิงอ๋องเป็นคนสูงส่งในเมืองหลวงเช่นใด ไหนเลยจะได้ยินถ้อยคำหวานล้ำ แม้น้ำเสียงจะขาดห้วงจากความสุขสมแทบขาดใจ คนยังคิดหาถ้อยคำมาด่าข้าได้ ใจความนั้นคือ “โม่ลี่ เจ้าเดรัจฉาน ขอให้เจ้าไม่ตายดี ข้าจะใช้ม้าแยกร่างเจ้า ข้าจะตัดเอวเจ้า ข้าจะเฉือนเนื้อเจ้าออกมาเป็นพันชิ้น”



เกรงว่าผิงอ๋องจะขุดวิธีการประหารมาหมดตำราแล้วกระมัง ข้ากระแทกท่อนลำของโม่ลี่เข้าไปเสียดสีกับจุดอ่อนไหวรุนแรงเสียจนเสียงด่ากลายเป็นเสียงครางหวานกระเส่า ครู่ต่อมาเฮ่อยวนก็มิอาจทนรับได้อีกต่อไป หยดน้ำสีขุ่นพลันพุ่งพวยออกมาจากท่อนเนื้อที่แข็งขืนเต็มที่ ข้าไม่ทันรอให้เขาปลดปล่อยจนเสร็จ แต่เร่งสาวกายเข้าออกเน้นย้ำไปยังจุดกระสันอย่างหนักหน่วงแทน ท่านแปดที่เคยกลืนคนงามลงท้องไปหลายต่อหลายคนถึงกับเสร็จสมอีกครั้งในทันที



พบเจอเรื่องราวเช่นนี้ย่อมทำให้ร่างกายสูงโปร่งของเขาอ่อนระทวยราวกับไร้กระดูก ข้าพลิกตัวให้เฮ่อยวนนั่งซ้อนอยู่บนหน้าตัก ท่วงท่าเช่นนี้ทำให้แท่งหยกสามารถรุกล้ำเข้าไปในส่วนที่ลึกกว่าเดิม แก่นกายที่อ่อนตัวไปแล้วพลันชูชันดีดผึงขึ้นมา ผิงอ๋องที่รู้จักเสพสมความสุขกลับเริ่มเป็นฝ่ายโยกสะโพกควบขี่ด้วยตนเอง เห็นผู้อื่นตั้งใจเช่นนี้ ข้าจึงมอบรางวัลให้เป็นการขบกัดปุ่มนูนแดงบนยอดอกเสียจนเลือดซิบ



ผิงอ๋องถูกจับพลิกไปพลิกมาเรียนรู้บทเพลงหลากหลายท่าอยู่ครึ่งค่อนคืน หลังจากเสร็จสมจนนับจำนวนครั้งไม่ได้ ดวงหน้าหล่อเหลาในยามแรกกลายเป็นดวงหน้าที่แสดงออกได้เพียงอารมณ์ราคะเสียแล้ว นัยน์ตาดอกท้อมีเพียงภาพสะท้อนใบหน้างดงามของโม่ลี่ คนอ้าปากหอบหายใจพลางร้องบอกเสียงขาดห้วง “พอแล้ว...ปล่อยข้าไปเถิด ไม่เอาแล้ว”



นี่เพิ่งผ่านไปได้แค่ครู่เดียวเองมิใช่หรือ เฮ่อยวนยามใช้บริการคณิกาในหอวาดจันทร์นั้นทำรักคนงามทั้งหลายได้ถึงสองวันสองคืน ผู้คนร้องขอความเมตตาเพียงใดก็มิเคยคิดใส่ใจ ยามที่เขาย่ำยีรังแกผู้อื่นจนอยู่มิสู้ตายคงมีเสียงร่ำไห้ขอความเมตตามากมายกระมัง ยามนี้เปลี่ยนเป็นฝ่ายถูกเคี่ยวกรำจะมีหน้ามาร้องขอความเมตตาได้หรือ



หากพระอาทิตย์ยังไม่ตกลงไปสองครั้ง หากท่อนหยางของเขายังสามารถมีหยาดน้ำอันใดหลั่งรินออกมาได้ ข้าเยี่ยอู๋จวินย่อมมิยอมปล่อยให้เขานอนหลับได้อย่างสงบสุขเป็นแน่



โปรดติดตามตอนต่อไป...





ซินเอ๋อร์:

เรทกระจายกันอีกแล้วค่ะ 55555 กว่าจะเขียนจบก็แทบหมดแรง เหมือนน้ำตาลตก ขอน้ำหวานให้ซินเอ๋อร์ด้วยค่าา

ช่วงนี้พังมากๆ ค่ะ ปัญหารุมเร้ามาก ทั้งเรียน ทั้งงาน ทั้งสุขภาพ T_T จะเขียนนิยายก็ไม่ว่างเขียนเลย ทุกวันนี้ความสุขเล็กๆ คือการเขียนนิยาย นั่งอ่านเม้นท์ค่ะ อ่านฟีดแบ็กแล้วรู้สึกมีแรงขึ้นมา ถ้าใครชอบจะเม้นท์หรือกดบวกให้ก็ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ หรือจะรีวิวให้หน่อยก็ได้ค่า อยากมีคนอ่านเยอะๆ บ้าง (ฮาาาาาา)

ซินเอ๋อร์มีทวิตเตอร์ด้วยนะคะ เข้าไปคุยเล่นกันได้นะคะที่ @7xiner บางทีอาจเขียนอะไรเล็กๆ น้อยๆ หรือเบื้องหลังที่ไม่ได้ลงในทอล์กค่า

พบกันใหม่ตอนหน้า เมื่อมีเวลาและมีแรงเขียนนะคะ

คำผิดเดี๋ยวตื่นมาแก้เหมือนเดิมค่ะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
โอ้โหหห /หัวเราะลั่นพลางทุบโต๊ะ

ต้องชมปรมาจารย์วังวสันต์จริงๆครับ! ยอดเยี่ยมมากเยี่ยอู่จวิน พลิกเกมรับเป็นเกมรุกได้ ถือว่าข้าน้อยคารวะ แม้จะอยู่ในกายชายเอวบางร่างน้อย ท่านยังสามาถพลิกกลับมาเป็นฝ่ายรุกจนทำให้เฮ่อยวนได้รู้สำนึกได้ ถือว่ายอดเยี่ยม! เพียงเท่านี้องค์ชายแปดที่พลังหยางสูงส่งก็จะไม่มีพฤติกรรมวิปริตอีกต่อไป เพราะถูกสั่งสอนบนเตียงจนทำให้เข็ดหลาบ

บทนี้ทำให้เห็นได้ว่า องค์ชายแปด ที่แม้จะถูกบรรยายว่ามีพลังหยางสูงส่ง ทำรักได้ถึงสองวันสองคืนในหอคณิกา แต่ก็มีพฤติกรรมชั่วร้าย เป็นซาดิสม์ทำให้ผู้ร่วมรักเสียโฉม ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์และโทสะ สร้างความเดือดร้อนแก่เหล่าชาวคณิกา แม้จะมีภัยแบบนี้ เยี่ยอู่จวินเองก็ยังสามารถแก้ไขได้ ผมนับถือวิธีที่เขาใช้เลย ใช้เกลือจิ้มเกลือ ทำให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความเจ็บปวดแล้วก็รับรู้ถึงสิ่งที่อีกฝ่ายต้องเผชิญ (แต่แปลกใจว่าท่อนเนื้อของโม่ลี่มันใหญ่โตขนาดนั้นเลยเรอะครับ ผิดธรรมชาติคณิกานะนั่น หรือว่าท่านปรมาจารย์วังวสันต์ใช้พลังดึงขนาดของตัวเองมาใส่แทน (ฮา)) วิธีแก้ปัญหาแบบนี้จะทำให้อีกฝ่ายเรียนรู้แน่นอนแล้วจะหลาบจำ ผมชอบบทนี้มากนะครับ กระบวนการหลายอย่างถือว่าดีเลย การทำรักแบบ Dub-con โดยใช้ binding มาตรึงตอนแรกเพื่อทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถหลบบทลงโทษได้ จุดประสงค์เพื่อการทำให้รู้สำนึก แล้วพอทำไปเรื่อยๆ ท่านเยี่ยอู่จวินก็ไม่ปราณีเลย (ฮา) เล่นทำให้องค์ชายแปดถึงจุดสุดยอดไม่รู้กี่ครั้งจนหมดแรง ความหฤหรรษ์ที่มาพร้อมความเจ็บปวดจะกระตุ้นจิตสำนึกให้รู้คิดมากขึ้น ทำให้น่าจะหลาบจำและหยุดพฤติกรรมแบบที่ตัวเองทำมาตลอด

ชอบอีกอย่างคือตอนที่องค์ชายแปดตื่นตระหนกแล้วพ่นคำด่าบริภาษน่ะครับ แล้วท่านเยี่ยหัวเราะหึๆ ว่าถ้ามีแรงเหลือจะด่าก็ลองดู สะใจมาก! /หัวเราะ ต้องอย่างนี้สิครับพระเอกผม! จัดการสั่งสอนมัน!! ว่าแต่เสียดายนิดหนึ่งที่ท่านเยี่ยทำแรงไปหน่อย เดี๋ยวอนาคตองค์ชายแปดจะกลายเป็นรับซะได้นี่ เสียเครดิตที่อุตส่าห์เป็นรุกมาตลอด แถมรูปร่างหน้าตาแล้วก็ขนาดไม่เอื้อเลยนะนั่น (ฮา) แต่มันก็แสดงถึงความเก่งกาจในฝีมือทำรักของปรมาจารย์วังวสันต์เลยครับ ทั้งทักษะการใช้นิ้ว การล่อหลอกด้วยแรงพิศวาส

ผมยังยืนยันคำเดิมว่าความสามารถในการเขียนบทอัศจรรย์ร่วมไปกับการบรรยายเนื้อเรื่องเพื่อทำให้เนื้อเรื่องก้าวต่อไป อธิบายพล็อตและแสดงปมหรือรายละเอียดต่างๆในเรื่อง(ทั้งคาแรกเตอร์. พล็อตเรื่อง) ผ่านฉากแบบนี้ เป็นความสามารถที่น่าสนใจและประทับใจมากครับ มีน้อยคนที่จะทำได้เหมือนอย่างคุณซินเอ๋อร์ พยายามต่อไปครับ เขียนได้สนุกมาก

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
ไม่รู้จะสงสารหรือสมหน้าดี

ออฟไลน์ ง่วงนอน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
OMG ชอบมาก ตอนแกนึกว่าปรมาจารย์วังวสันต์จะโดนขืนใจ ที่ไหนได้... :pighaun:

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
*คำเตือน*

เนื้อหาในตอนก็ยังคงมีนี้มีฉากร่วมรักที่ไม่สมยอมแบบ Dub-Conอยู่นะคะ รับไม่ได้เลื่อนผ่านไปอ่านย่อหน้าท้ายๆ เลยน้า



บทที่ 22 จริตมารยานางสนมหรือจะสู้เสน่ห์มารยาคณิกา



ผิงอ๋องถูกหยามเกียรติอยู่สองคืนกับอีกหนึ่งวัน ถูกกระทำจนสลบไสลไม่ได้สติจนฟื้นมาใหม่อยู่สามครั้ง ถูกทำให้เสร็จสมแม้แต่ในยามที่ส่วนปลายแก่นกายไม่สามารถปลดปล่อยสิ่งใดได้อีกหลายครั้ง ข้าจึงคิดว่าเป็นเวลาเหมาะสมแล้วกระมัง บทเรียนราคาแพงหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงทองที่ผู้คนทุ่มทุนจ่ายไปคงต้องยุติสักที อีกทั้งร่างบอบบางของโม่ลี่หมดเรี่ยวแรงไปเนิ่นนานแล้ว ที่ยังสามารถขยับเขยื้อนร่างกายอยู่ได้เป็นเพราะข้าใช้ธาตุหยางค้ำจุนไว้ทั้งนั้น



“ที่แท้...รสรักที่เขาว่ากันนั้นยอดเยี่ยมเช่นนี้นี่เอง” คนงามแห่งหอวาดจันทร์กระซิบด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะครึ่งหนึ่ง น้ำเสียงเคลิบเคลิ้มสุขสม หากครู่หนึ่งคนก็ถอนหายใจแผ่วเบา คล้ายนึกคิดความจริงขึ้นได้ว่าตนเองเป็นคณิกา หน้าที่กระทำรักส่วนใหญ่ย่อมเป็นของนายท่านที่เสียเงินซื้อความสุข แม้โม่ลี่ชื่นชอบความรู้สึกได้รุกล้ำผู้อื่นเพียงใด แต่เมื่อถึงเวลาขายเรือนร่างย่อมมิอาจทำเช่นนั้นได้เป็นที่แน่นอน



“แต่ไหนแต่ไรผู้อื่นมักบอกว่าแท่งหยกของข้าน้อยมีขนาดเกินกว่าชายงามทั่วไปย่อมไม่เหมาะสมอยู่บ้าง” โม่ลี่ส่ายศีรษะอย่างแผ่วเบา ก่อนน้ำเสียงใสจะหัวเราะแผ่วเบาในห้วงสำนึก “มิคาดคิดว่าหากนำมาใช้งานเช่นนี้กลับถึงใจผู้อื่นอยู่มากนัก”



คำพูดของเหล่าคณิกาที่บอกกล่าวโม่ลี่นั้นเป็นจริงอยู่มาก แขกที่มาซื้อบริการย่อมมิอยากถูกทำลายความมั่นใจด้วยความใหญ่โตของชายงามที่สมควรจะอ้าปากร้องครวญครางอยู่ภายใต้ร่างกระมัง หากแผนการเป็นไปตามที่เยี่ยอู๋จวินคาดการณ์ไว้ ดอกมะลิดอกนี้คงได้ใช้งานแท่งหยกขนาดเกินมาตรฐานทั่วไปของเขาอีกหลายครั้งเป็นแน่



ข้าใช้ผ้าชุดน้ำมาเช็ดร่างกายมีค่าดั่งทองของท่านแปด ผู้คนยอมสละทรัพย์สินในคลังจวนผิงอ๋องมากมายปานนั้น จะช่วยให้เขานอนหลับหลังถูกขย้ำอย่างเนิ่นนานก็คงไม่เลวร้ายเท่าใดนัก เรือนร่างของเฮ่อยวนยามนี้มีแต่รอยรักและรอยขบกัดอยู่เต็มร่าง ข้อมือทั้งสองข้างแม้ถูกปล่อยออกไปตั้งนานแล้วแต่ก็ยังปรากฏรอยจ้ำเลือดอยู่บ้าง ข้านวดซ้ำแผ่วเบาเพื่อให้รอยเลือดคลายตัวลงอีกสักเล็กน้อย ครั้นเช็ดทำความสะอาดไปถึงเบื้องล่าง สภาพเครื่องเพศอันหมดสิ้นเรี่ยวแรงของเขามองแล้วช่างน่าสงสารยิ่งนัก ส่วนช่องทางด้านหลังที่อ้าออกเล็กน้อยนั้นบวมแดงจนไม่เหลือสภาพ หยาดน้ำสีขาวขุ่นยังค่อยไหลทะลักออกมาอย่างเชื่องช้า มองแล้วช่างเปี่ยมไปด้วยรสกามโลกีย์เป็นอย่างยิ่ง



“ท่านแปดผู้นี้ก็น่าย่ำยีอยู่ไม่น้อย” น้ำเสียงหวานใสแข็งกร้าวผิดจากภาพลักษณ์นุ่มนวลอ่อนหวาน ชั่วครู่หนึ่งใบหน้าของโม่ลี่แสดงสีหน้าราวกับเสียงครางกระเส่าผสมถ้อยคำบริภาษของท่านแปดจารึกเข้าไปในความทรงจำ นี่มิใช่ว่าข้าได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับผู้คนเข้าเสียแล้วหรอกหรือ ประโยคถัดมาของเขาแฝงด้วยความเสียดายอยู่เต็มสิบส่วน “แต่เรือนร่างเขากำยำถึงเพียงนั้น หากไม่มีท่านเยี่ยให้ความช่วยเหลือให้หยิบยืมพลัง ไหนเลยข้าน้อยจะมีเรี่ยวแรงไปรับมือกับเขาได้”



โม่ลี่กล่าวออกมาเช่นนี้ย่อมเข้าทางตามแผนการที่ข้าคิดเอาไว้ตั้งแต่แรก ร่างกายของเขาตอนนี้แม้มิได้อ้อนแอ้นจนเกินพอดี แต่ก็บอบบางว่าบุรุษทั่วไปอยู่ไม่น้อย จะให้ใช้เรี่ยวแรงเข้าข่มผิงอ๋องที่เคยฝึกยุทธ์มาบ้างคงไม่ง่ายดายนัก สมควรต้องเตรียมพร้อมร่างกายเอาไว้บ้าง ในคัมภีร์เมฆคล้อยตะวันลับที่ข้าเคยเขียนเอาไว้มีกระบวนท่าฝึกพลังภายในที่เหมาะสมกับเขาอยู่หลายกระบวนท่า หากฝึกฝนสักสองสามเดือน แม้ร่างกายภายนอกจะยังบอบบาง แต่กำลังภายในจากที่ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะฆ่าไก่ก็คงมีเรี่ยวแรงเชือดวัวได้แล้ว



เพียงได้ยินชื่อตำราเมฆคล้อยตะวันลับเข้า เจ้าของดวงหน้างดงามก็ยิ่งกระตือรือร้นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก โม่ลี่เล่าด้วยน้ำเสียงคล้ายเด็กน้อยต้องการอวดความดีของตนให้บิดามารดาได้ยลว่าเขาติดตามผลงานของข้ามาได้สามปี ตำราเล่มไหนที่เขาสามารถหาซื้อได้ย่อมกวานซื้อมาไว้ในครอบครองทั้งหมด หากแต่คัมภีร์เมฆคล้อยตะวันลับเป็นการฝึกฝนร่างกายที่มิได้มีความจำเป็นต่ออาชีพคณิกา ทั้งยังอ่านไม่ค่อยเข้าใจจึงได้แต่เก็บไว้ใต้ก้นหีบมิได้นำมาเปิดดู



แม้จะเป็นเพียงคำเยินยอเชื่อถือมากไม่ได้ แต่กลับทำให้ข้ารู้สึกเวทนาสงสารชายงามผู้นี้ขึ้นมาหลายส่วน เด็กเฉลียวฉลาดจิตใจดีงามรู้จักอ่านสีหน้าผู้คนเช่นเขา หากเกิดในสกุลที่เหมาะสมย่อมได้รับการขัดเกลาจนกลายเป็นหยกเนื้อดี แต่ใครใช้ให้คนสกุลตู้เป็นตัวสารเลวกันเล่า บาปกรรมกลับตกมาถึงลูกหลานต้องมาขายตัวเป็นคณิกาให้บุรุษเพศเชยชม เช่นนี้เรียกได้ว่ายุติธรรมหรือ



ลิขิตสวรรค์แต่ไหนแต่ไรไหนเลยจะมีคำว่ายุติธรรม เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ปุถุชนแล้วคงหลีกเลี่ยงสิ่งบัดซบสารเลวที่เรียกว่าโชคชะตาได้ยากนัก นี่คือความจริงอย่างหนึ่งที่คนแซ่เยี่ยรู้สึกยากเกินรับได้ หากสวรรค์กำหนดมาให้ข้าต้องตายในวัยหนุ่มมิมีวันได้หลุดพ้นจากการเป็นมนุษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร เยี่ยอู๋จวินก็ต้องก้มหน้ายอมรับเช่นนั้นหรือ หากข้ายอมรับมิได้แต่หาหนทางฝึกตนเป็นอ๋องผีผู้ปกครองวิญญาณ ถึงเวลานั้นจะโดนสวรรค์ลงทัณฑ์เพราะคิดแหกคอกหรือไม่ ก็ยังมิอาจรู้ได้



เรื่องบางเรื่องเมื่อยังมิเกิดขึ้นก็สมควรปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต ยามนี้ข้าทำความสะอาดร่างกายของผิงอ๋องเสียจนหมดจน ซ้ำยังช่วยจัดเสื้อผ้าให้เหมาะสมตามฐานะของท่านแปด ส่วนโม่ลี่ใช้เพียงแค่เสื้อคลุมเบาบางหลุดลุ่ยห่มกาย สาบเสื้อรั้งต่ำจนเห็นไหล่ขาวเนียนที่มีร่องรอยรักทั้งรอยกัดรอยข่วนอยู่ประปราย หน้าที่แสดงละครฉากหนึ่งต่อไปนี้สมควรมอบคืนให้เจ้าของร่างแล้ว เมื่อถอนวิญญาณออกมา ทั้งร่างพลันอ่อนยวบราวไร้กระดูกหมดเรี่ยวแรงท่าทางคล้ายผ่านบทเพลงรักอันหนักหน่วงมาอย่างยาวนาน



ร้องเรียกผู้คนอยู่ได้ไม่นาน ประตูห้องหอก็เปิดออกกว้างพร้อมกับบุรุษร่างกำยำสองคนผู้มีหน้าที่ตรวจตราคุ้มภัยหอชายบำเรอแห่งนี้ที่เดินก้าวเข้ามา ภายในห้องยามนี้สภาพเละเทะราวสนามรบหลังผ่านศึกหนัก กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์หลังร่วมรักคละคลุ้งอยู่ภายในห้องเสียจนแทบหายใจไม่ออก ชายผู้หนึ่งขยับเดินตรงเข้ามายังเตียงไม้ด้วยหน้าตาเศร้าสลดสงสารในชะตากรรมคนงาม คงคิดว่ายามนี้ต้องมาหามร่างโม่ลี่ผู้เป็นดั่งแสงดาวส่องสกาวในหอคณิกาชายแห่งนี้ไปรักษาตัวกระมัง



“พี่ชายท่านนั้น ช่วยข้าด้วยเถิด” โม่ลี่กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่าจนแทบไม่เหลือเนื้อเสียง หากใบหน้างามที่แดงระเรื่อช้อนตามองและเรือนร่างขาวที่เห็นร่องรอยจากสงครามที่ผ่านมาสองคืนกลับมองดูแล้วทั้งน่าสงสารและน่าย่ำยีไปพร้อมกัน “ท่านแปดหมดแรงสลบไปแล้ว ข้าไร้เรี่ยวแรงจะส่งเขาได้ มิรู้ว่าผู้ติดตามของเขาอยู่ที่ใด ท่านโปรดช่วยข้าที”



จริตมารยาของคนผู้นี้มิแพ้เหล่าสนมจิ้งจอกในวังหลังเลยสักนิด ชายผู้นั้นได้แต่นิ่งอึ้งชะงักไปมิกล้าก้าวเข้ามาใกล้ คล้ายกังวลว่าหากขยับตัวสักนิดภาพของชายงามเบื้องหน้าจะสลายไปราวกับความฝัน เมื่อดึงสติกลับมาจากภาพงดงามเย้ายวนแล้วกลับยิ่งตกตะลึงยิ่งกว่า โม่ลี่ผู้สูญเสียคืนแรกแม้จะมีท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงแต่หน้าตายังคงสวยสดเหมือนเดิม มิได้สูญเสียความงามถูกทุบตีมีรอยช้ำหัวหูบวมเป็นหัวหมูเฉกเช่นคนอื่น ซ้ำคนที่สลบไสลไม่ได้สติกลับไม่ใช่เขา แต่เป็นนายท่านแปดผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่แทน



ผู้คุ้มกันทั้งสองคนมองหน้ากันอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนองครักษ์ในนามผู้ติดตามของผิงอ๋องจะพุ่งตรงเข้ามาภายในห้อง แรกเริ่มคล้ายจะเกิดเรื่องวุ่นวายเข้าแล้ว แต่เมื่อพิศดูแล้วเห็นเพียงร่องรอยความเหนื่อยล้าจากภายนอก มิได้มีคนถอดเสื้อผ้าพลิกตัวเขาดูภายใน แม้แต่แขนเสื้อยังไม่มีใครเลิกดู สภาพของเฮ่อยวนย่อมองแล้วยังคงปลอดภัยดี นัยน์ตาวาวโรจน์อำมหิตค่อยจางหายไป กลายเป็นสายตาว่างเปล่าไร้อารมณ์เช่นเคย



ท่านแปดถูกผู้คนอุ้มพากลับไปโดยไม่กล่าววาจาใดสักคำ หอวาดจันทร์ได้รับทั้งเงินและไข่มุกครบจำนวนแล้วย่อมปล่อยผู้คนกลับไปแต่โดยดี ส่วนโม่ลี่ถูกพากลับไปยังห้องพักของตนเองท่ามกลางสายตามึนงงของผู้คนที่พบเห็นเหตุการณ์เป็นอย่างยิ่ง เถ้าแก่ผู้เป็นเจ้าของหอชายบำเรอหวังเข้ามาพูดคุยกับเขาให้รู้ความว่าเหตุใดเขาจึงรอดพ้นมาจากเงื้อมมือของนายท่านแปดได้ แต่มาถึงผู้อื่นกลับนอนหลับไม่ได้สติไปแล้วจะให้ปลุกคนที่เหนื่อยล้าขึ้นมาเถ้าแก่ก็ยังมีมนุษยธรรมอยู่บ้าง จึงปล่อยให้เขานอนพักแต่โดยดี



เมื่อฟื้นขึ้นมาแล้วโม่ลี่ย่อมปิดปากเงียบไม่บอกเล่าเรื่องราวตามที่ได้ตกลงกับข้าเอาไว้ เรื่องน่าอับอายของผิงอ๋องสมควรเก็บไว้กับตัวไม่แพร่งพรายออกไปอย่างน้อยก็พอมีสิ่งใดใช้ต่อรองกับผู้อื่นได้บ้าง คนเมื่อใครถามสิ่งใคร คนงามทำเพียงแย้มยิ้มน้อยๆ อย่างมีเลศนัยให้ผู้คนสงสัย ตามจริงเมื่อขายคืนแรกไปแล้วคนย่อมกลายเป็นคณิกาขายเรือนร่างเต็มตัว หากเถ้าแก่ยังพอมีน้ำใจเห็นว่าเขายังเหนื่อยล้าจากการปรนนิบัติผู้คนซ้ำยังได้เงินมามากมายเกินกว่าค่าตัวของเขาทั้งชีวิตกระมัง ดีร้ายอย่างไรก็สมควรสร้างหนี้น้ำใจเอาไว้บ้างจึงยังปล่อยให้เขาละเว้นหน้าที่ ปล่อยให้เหล่านายท่านที่ได้ยินเสียงเลื่องลือถึงความสามารถบนเตียงอันแสนเผ็ดร้อนได้แต่เฝ้ารอวันที่จะสามารถหลับนอนกับคนงามได้สักที



โม่ลี่ใช้ชีวิตอย่างเงียบเชียบเก็บตัวไม่สุงสิงกับใครนอกจากเสี่ยวเถาที่คอยเฝ้าดูแลเขาด้วยน้ำใสใจจริง เมื่อไม่มีใครก็มักแอบฝึกวิชาตามคัมภีร์ของข้าด้วยความขยันขันแข็งเป็นอย่างยิ่ง แม้วันเวลาผ่านไปหลายวันคนก็ยังคงสงบเยือกเย็นไม่แสดงอาการสับสนร้อนรนให้เห็นเลยสักนิด อาจเป็นเพราะข้าเปรียบเสมือนฟางเส้นหนึ่งที่ลอยผ่านคนจมน้ำกระมัง ยามนั้นสามารถช่วยเหลือให้เขาพ้นความตายพ้นวิกฤติมาได้ ยามนี้เขาย่อมนับถือเชื่อฟังคำพูดข้าเป็นอย่างดี ด้วยหวังเพียงว่าวันหนึ่งชีวิตคงหลุดพ้นจากการขายเรือนร่างให้บริการผู้คนเสียที โม่ลี่คนเดิมผู้อ่อนแอเศร้าหมองคงตายจากไปในคืนนั้นแล้ว จากนี้มีเพียงโม่ลี่คนใหม่ที่เข้มแข็งยิ่งกว่าเดิม



เฮ่อยวนเงียบหายไปจนไม่ได้ข่าวคราวอยู่หลายวัน ความจริงแล้วแผนการเช่นนี้คล้ายเล่นกับความรู้สึกนึกคิดของท่านอยู่ไม่น้อย หากเขาคิดแค้นฝังใจจนใช้อำนาจบีบบังคับให้หอวาดจันทร์ขายโม่ลี่ไปยังหอคณิกาชั้นล่าง เรื่องราวย่อมพลิกผันไปในทางที่เลวเป็นแน่แท้ แต่จากการที่เขายังคงเงียบหายมิออกมาโวยวายหาเรื่องหาราวผู้คนเช่นนี้ย่อมเป็นสัญญาณอันดีเข้าแล้ว



ผ่านไปได้เจ็ดวันเจ็ดคืนก็สมควรแก่เวลาตามที่ข้าคาดการณ์เอาไว้แล้ว คืนวันที่แปดเฮ่อยวนบุกเข้ามาในหอวาดจันทร์ด้วยความเอิกเกริกเป็นอย่างยิ่ง คนบุกเข้ามาจนถึงห้องพักส่วนตัวของโม่ลี่แต่กลับถูกเสี่ยวเถาขวางเอาไว้ที่หน้าประตูเสียก่อน เสียงของเจ้าเด็กน้อยยังดังแว่วผ่านลอดเข้ามาในประตู “โม่เกอไม่รับแขก หากท่านอยากพบเขาต้องนัดหมายล่วงหน้ามิใช่ว่าอยากจะบุกเข้ามาก็บุกเข้ามาได้”



“เป็นเพียงชายขายตัวยังจะเรื่องมากอีกหรือ บิดาคิดอยากมาเยี่ยมเยือนก็ถือว่ามีเมตตาต่อเขาเท่าใดแล้ว” เฮ่อยวนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเดือดดาล สายตาที่มองมาราวกับอยากหักคอเด็กชายตัวเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มผู้นี้แล้วจับตุ๋นทำน้ำแกงเสีย ข้าที่ชะโงกตัวออกไปดูพอดีจึงเห็นเขาควักตั๋วเงินขึ้นมาใบหนึ่งแล้วยัดใส่มือของเสี่ยวเถาด้วยท่าทางก้าวร้าวเป็นอย่างยิ่ง “คืนนี้ข้าซื้อตัวโม่ลี่แล้ว หากเงินเท่านี้ไม่พอก็บอกจี้โหย่วเผิงให้ไปเบิกเงินมาเพิ่ม”



กล่าวจบเขาก็โยนร่างของเสี่ยวเถาที่ขวางทางอยู่ไปให้องครักษ์นามจี้โหย่วเผิง เฮ่อยวนกระแทกเท้าเดินเข้ามาในห้องก่อนกระแทกแตกประตูปิดลงกลอนอย่างดุร้าย ไม่สนใจเสียงร้องโวยวายเบื้องนอกเลยสักนิด เมื่อหันกลับมาอีกครั้งหน้าตาถมึงทึงเต็มไปด้วยโทสะของเขาถึงกลับชะงักไปอยู่บ้าง เพราะเห็นคนงามร่างสูงเพรียวยืนอยู่เบื้องหน้า กลีบปากอิ่มแดงขขยับแย้มยิ้มหวานเชื่อมมองแล้วงดงามนุ่มนวลเป็นอย่างยิ่ง



คนงามที่ว่าไหนเลยจะเป็นคนงามตัวจริง หากเป็นเยี่ยอู๋จวินยึดครองร่างเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่รอให้ผู้คนเปิดปากเอ่ยวาจาให้มากความ ข้าก็ใช้แขนทั้งสองข้างรั้งลำคอของอีกฝ่ายลงมาก่อนจะประกบจุมพิตเข้าหาเขาเสียจนแนบชิด ผิงอ๋องยังไม่ทันได้ตั้งตัวย่อมทำให้เป็นรองอยู่มาก ข้าใช้ริมฝีปากขบเม้มสลับดูดดุนกลีบปากล่างของผิงอ๋องออดอ้อนซ้ำไปซ้ำมาราวกับตนเองเป็นสุนัขที่ร้องขอความเมตตาจากผู้เป็นเจ้าของ จากนั้นจึงไล้เลียตามช่องว่างเล็กและใช้ปลายลิ้นแซะแทรกเข้าไปในโพรงปากร้อน



เมื่อสอดแทรกเข้าไปภายในตวัดกดปลายลิ้นกวาดเลียไปตามแนวฟันอย่างอุกอาจห้าวหาญ เฮ่อยวนที่มีสตินึกคิดขึ้นมาก็ขบกัดเรียวลิ้นเสียเต็มแรงจนหยาดโลหิตหลั่งริน ข้าหัวเราะในลำคอปล่อยให้เขาได้ทำตามใจประสงค์ หากมือกลับกดรั้งท้ายทอยผู้อื่นให้ริมฝีปากบดเบียดได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ข้าตวัดลิ้นให้รสคาวฝาดเลือดแพร่กระจายไปทั่วแล้วค่อยเกี่ยวพันหยอกล้อกับอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ



อ๋องแปดผู้รักสงบชื่นชอบการเสพสุขถูกกระตุ้นรุกล้ำมากเข้าย่อมถูกแรงตัณหาชักจูงไปอย่างง่ายดาย ทั้งเขาและข้าต่างใช้เรียวลิ้นฟาดฟันเอาชนะคะคานกันอย่างไม่มีใครยอมแพ้ใคร ผ่านไปอีกครู่หนึ่งค่อยถอนริมฝีปากออกมาอย่างเชื่องช้า ข้าแนบจุมพิตซับหยดน้ำสีที่มุมปากของเขาอย่างแผ่วเบา



“บ่าวนึกว่าท่านแปดจะไม่มาหาบ่าวอีกแล้ว บ่าวคิดถึงท่านยิ่งนัก” โม่ลี่ที่ควบคุมร่างของตนได้ครึ่งหนึ่งบีบน้ำตาออกมาสองหยดแล้วพูดด้วยท่าทางน่ารักน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง ปลายนิ้วเรียวลากไล่ไปตามกรอบหน้าคมสันของผิงอ๋อง ในยามแรกนัยน์ตาดอกท้อคู่ฉ่ำน้ำยังเปล่งประกายวูบไหวบางอย่างออกมาให้เห็น แต่เพียงครู่หนึ่งกลับกลายเป็นความโกรธขึ้งอีกครั้ง



“ยังจะมีน้ำหน้ามาพูดอีกหรือ” เรียวคิ้วของท่านแปดกระตุกเข้าหากันแน่น เขาปัดมือของชายงามออกจนเกิดเสียงดังเพี๊ยะขึ้นมา เฮ่อยวนใช้มือหนาบีบปลายคางข้าเอาไว้แน่นจนเป็นรอยนิ้ว คราวนี้คนดูท่าจะโมโหเดือดดาลเข้าจริงๆ แล้ว “คืนนั้นเจ้าทำข้าได้เจ็บแสบยิ่งนัก หากคืนนี้หากมิได้เฆี่ยนตีสั่งสอนเจ้า อย่าได้เรียกบิดาว่าท่านแปดอีกต่อไปเลย”



“หากมิเรียกว่าท่านแปด...เรียกว่าที่รักแทนดีหรือไม่” น้ำเสียงหวานที่กล่าวออกไปนั้นเรียกได้ว่าจริงใจเสียจนมองไม่เห็นว่าล้อกันเล่น ข้ามิรอให้ผิงอ๋องคว้าแซ่หนังที่ข้างเอวของเข้ามาสะบัดเฆี่ยนตีกันก็ใช้แรงกดร่างให้แผ่นหลังแข็งแกร่งแนบชิดกับบานประตู ใต้หล้านี้มีเพียงไป๋เจี๋ยใช้แส้ตีข้าคนเดียวก็เพียงพอแล้ว หากผู้อื่นคิดอยากตีบ้างจงหันบั้นท้ายมาให้ข้าเฆี่ยนตีแทนเสียเถิด



“ที่รักมารดาเจ้าสิ!” เฮ่อยวนด่าออกมาได้ประโยคหนึ่งแส้หนังกลับถูกข้าโยนทิ้งไปไกล ซ้ำข้อมือยังถูกตรึงไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อนได้อีกครั้ง นัยน์ตาคู่วาวน้ำเบิกกว้างขึ้นเมื่อรู้ตนว่าวันนี้คงพลาดท่าเหมือนกับวันก่อน พอจะเอ่ยปากบริภาษกลับถูกข้าดึงรั้งกางเกงออกไปเสียก่อน



“นายท่านร้อนผ่าวถึงเพียงนี้ ให้บ่าวช่วยทำให้ท่านสบายตัวเถิด” กล่าวจบมือเรียวสวยภายใต้การควบคุมของผู้แซ่เยี่ยก็รวบเข้ากับท่อนเนื้อที่เริ่มตื่นจากหลับใหลเสียแล้ว ข้าขยับมือสาวรูดเพียงไม่กี่ครั้งแท่งหยกพลันแข็งขืนเต็มสิบส่วน ผิงอ๋องครวญในลำคอแผ่วเบา หัวคิ้วขมวดแน่นด้วยความรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก



ข้าไม่รั้งรอให้ผู้คนเสร็จสมสบายตัวตามที่ว่าไว้ หากกลับปลดกางเกงตนเองออกและยกรั้งขาข้างหนึ่งของเฮ่อยวนขึ้นมา คราวก่อนที่ถูกย่ำยีผิงอ๋องทั้งเมามายด้วยฤทธิ์สุราทั้งถูกเตรียมพร้อมขยับขยายเสียจนทั้งร่างกระสันการถูกเติมเต็ม มาคราวนี้ลองให้ผู้คนมีสติรับรู้เต็มที่ขณะถูกกระทำคงรู้สึกอัปยศกว่าเดิมเป็นแน่



“เจ้าจะทำอะไร อ๊า! ” ท่านแปดหลุดร้องออกมาเมื่อข้ากระทั้นร่างเข้าไปในช่องทางของเขาเต็มแรง หน้าตาหล่อเหลาเต็มไปด้วยความทรมานจากความรู้สึกเจ็บเสียดราวทั้งร่างถูกแยกออกจากกันเป็นสองซีก เขาสูดลมหายใจลึกร่างกายสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ แต่เมื่อเริ่มขยับเสียดสีกับรอยจีบในผนังอ่อนมากเข้าคนก็เปลี่ยนเสียงร้องทรมานกลายเป็นเสียงครวญครางไปเสียแล้ว



ข้าช้อนเข่าทั้งสองข้างของอ๋องแปดให้ขนาบกับข้างเอวตนเองไว้ ส่วนมือก็ขยับไปยึดที่แข็งแกร่งเพื่อให้สามารถสอดแทรกกายเข้าไปย่ำยีภายในได้ถนัดกว่าเดิม ท่วงท่าเช่นนี้ยิ่งทำให้แท่งหยกอันร้อนผ่าวแข็งเกร็งกดลึกเข้าไปในช่องทางรักได้มากยิ่งขึ้น เฮ่อยวนไหนเลยจะปากมากด่าทอผู้คนได้อีก ยามนี้ไม่ต้องตรึงข้อมือเอาไว้อีกต่อไป เพราะเขากลับเป็นฝ่ายยกแขนมาโอบรั้งรอบลำคอระหงของโม่ลี่เอาไว้ด้วยตัวเอง



ภายในห้องมีเพียงเสียงเสื้อผ้าเสียดสีและเสียงเนื้อกระทบกันเป็นจังหวะหยาบโลนลามกเป็นอย่างยิ่ง ข้าใช้ร่างของโม่ลี่ร่วมรักกับเขาอย่างรุนแรงเสียจนเฮ่อยวนปลดปล่อยออกมาที่หน้าประตูครั้งหนึ่งแล้วขยับไปกระแทกกระทั้นกันบนเตียงจนสุขสมอีกครั้งหนึ่ง เมื่อช่วยเช็ดทำความสะอาดร่างกายผู้คนจนเรียบร้อยก็ให้เจ้าของร่างนอนตระกองกอดนายท่านแปด พอยามเช้าค่อยเรียกจี้โหย่วเผิงมารับคนกลับไป



สองวันต่อมาเฮ่อยวนยังคงบุกเข้ามาด้วยความรู้สึกเดือดดาลอาละวาดอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยถูกกระทำย่ำยีอีกครั้งจนร้องครางกระเส่าไม่เป็นภาษา ครั้งที่สามเรื่องราวยังคงเป็นไปในลู่ทางเช่นเดิม จนกระทั่งถึงครั้งที่สี่ข้าก็ไม่ต้องใช้เรี่ยวแรงข่มเหงผู้คนอื่นต่อไป เหตุเพราะคนยินยอมพลีกายให้โม่ลี่ได้เชยชมด้วยความเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง ซ้ำเมื่อทำรักได้อ่อนโยนเกินไปไม่รุนแรงไม่ถึงใจ ยังมีเสียงบริภาษตามมาเสียอีก...เกรงว่าพยศใดทั้งหมดของผิงอ๋องจะถูกปราบลงเสียหมดแล้ว



หลังจากนั้นผิงอ๋องเทียวมาเทียวไปหอวาดจันทร์ค้างอ้างแรมอยู่กับชายงามคนเดียวอยู่นับเดือน กระทั่งเถ้าแก่ยังเกรงใจไม่กล้าขายร่างเขาให้ชายอื่นได้เชยชม กลายเป็นคำเลื่องลือว่าลีลารักบนเตียงของโม่ลี่เก่งกาจสามารถเสียจนปราบปรามท่านแปดได้อยู่หมัด ยามมีใครถามถึงเคล็ดลับบนเตียงคนงามก็แสร้งหลุบตามองตำราสอนรักผลงานของปรมาจารย์วังวสันต์เยี่ยอู๋จวินที่วางเอาไว้เห็นในห้อง จนได้ยินเสียงพูดคุยกันว่าว่ายามนี้ตำราสอนรักของข้าบนแผ่นดินจิ่วโจวขาดตลาดไปเสียแล้ว เรียกได้ว่าจากที่โด่งดังอยู่บ้างกลายเป็นหนังสือหายาก เพราะเหล่าคณิกาต่างเฟ้นหาเพื่อนำมาเรียนรู้วิธีมัดใจชาย...โม่ลี่ช่างกตัญญูดีแท้



ท่านแปดที่ออกอาละวาดทำร้ายคณิกาชายไปหลายคนก็จบสิ้นปิดตำนานไปเช่นนี้เอง หากความตั้งใจของข้าที่คิดช่วยเหลือโม่ลี่ให้ถึงที่สุดรวมถึงความไว้เนื้อเชื่อใจที่เขามอบให้ คนสกุลเยี่ยจึงมิอาจปล่อยทิ้งเขาเอาไว้กลางคันได้ อีกทั้งพลังหยางอันล้นเหลือของผิงอ๋องก็ช่วยทำให้พลังฝึกปรือของข้าก้าวหน้าขึ้นมาไม่น้อย จะรั้งไปอีกพักหนึ่งคงไม่เป็นปัญหาอันใดกระมัง



ความสัมพันธ์ของโม่ลี่และผิงอ๋องพัฒนาไปได้อย่างดียิ่ง จนข้านึกสงสัยขึ้นมาว่าคนที่หวั่นไหวได้กับผู้คนที่ทำร้ายย่ำยีตนเอง จิตใจภายในคงผิดเพี้ยนไม่ผิดปรกติแล้วกระมังกระทั่งคืนหนึ่งเฮ่อยวนเข้ามาด้วยสีหน้าไม่ดีเท่าใดนัก ใบหน้าหล่อเหลาซีดเซียวเสียจนดูไม่ได้ยิ่งกว่าครั้งแรกที่ข้าใช้กำลังข่มเหงเขาเสียอีก วันนี้ผู้คนมิได้รั้งชายงามมาจุมพิตด้วยท่าทางเร่าร้อนเปี่ยมด้วยราคะ หากเขาเพียงลมตัวนอนลงบนตักของโม่ลี่ด้วยท่าทางเหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง



“เจ้าเคยคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของข้าหรือไม่” ท่านแปดผู้ความเป็นมาลึกลับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเบาหวิวราวเสียงลม เมื่อเห็นชายงามส่ายหน้าไปมาเชื่องช้าไปคำตอบก็พลันยิ้มออกมา เรื่องนี้โม่ลี่ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ แต่เป็นเพราะข้ามิได้บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของคนผู้นี้ให้เขาได้รับรู้ เรื่องเช่นนี้ให้เขาทั้งสองบอกเล่ากันเองมิดีกว่าหรือ



“ท่านแปดหรือก็คืออ๋องแปด ผิงอ๋องแห่งแคว้นจิ่วโจว ชื่อปลอมคาดเดาได้โดยง่ายเช่นนี้ เจ้ายังนึกไม่ถึงอีกหรือ” ผิงอ๋องกล่าวออกมาอย่างราบเรียบง่ายดายราวกับว่ามันมิใช่เรื่องใหญ่โตประการใด ดวงตาคู่งามของโม่ลี่เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนเขาจะแก้ตัวออกมาด้วยท่าทางน่ารักว่าตนเองเป็นเพียงคณิกาด้อยความรู้สติปัญญาต้อยต่ำ ไหนเลยจะรู้ได้ว่าท่านแปดคือผิงอ๋อง



เฮ่อยวนยันหัวเราะในลำคอด้วยท่าทีสุขุมนุ่มลึกต่างจากทุกที เขายันตัวขึ้นก่อนแนบจูบลงบนผิวแก้มเรียบเนียนของชายงาม สองแขนโอบกระชับเรือนร่างที่เริ่มแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน วาจาที่กล่าวออกมาไหนเลยจะมาจากท่านแปดผู้ดุร้ายผู้นั้นได้อีก “โม่ลี่...ข้าจะไถ่ตัวเจ้าไปเป็นผิงหวางเฟย”



“ให้ข้าได้อยู่กับเจ้าเถิด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายจนเกินไป เกรงว่าจากนี้ไปข้าคงเหลือเวลาไม่มากแล้วกระมัง”



ถ้อยคำของเฮ่อยวนช่างเหมือนคนป่วยเป็นโรคร้ายใกล้ถึงเวลาตายดีแท้ หากร่างของเขายังคงมีพลังหยางเต็มเปี่ยม นอกจากให้ข้าดูดซับแล้วก็มิได้มีพลังรั่วไหลออกไปเหมือนคนใกล้สิ้นชีพ วาจาแช่งตนเองเช่นนี้คงไม่เหมาะสมเท่าใดนักกระมัง หากเมื่อข้าก้มมองสายตาอ้างว้างแห้งแล้งต่างจากนัยน์ตาดอกท้อฉ่ำด้วยหยดน้ำก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมา



ในแคว้นจิ่วโจวนี้หากใครจะสามารถกำหนดความเป็นความตายของผิงอ๋องได้อย่างง่ายดาย...จะเป็นใครได้นอกจากคนที่อยู่ในวังหลวงผู้นั้น



โปรดติดตามตอนต่อไป...





ซินเอ๋อร์:

อะ อ้าววว ไหนร่าเริงกันได้ 3 ตอน พอร์นกันมาอีกตอนนิดๆ สุดท้ายถึงได้หักมาทรงนี้ได้หนอ 55555

ตอนนี้ท่านแปดก็โดนอีกแล้ววว เรื่องราวของคู่นี้น่าจะ 2-3 ตอนจะถึงบทสรุปนะคะ จริงๆ อยากเขียนแนวผัวออกสาวมานานแล้ว เขียนไปเขียนมาก็คิดว่าโม่ลี่นี่ก็แนวผัวออกสาวอยู่เหมือนกันนะ จริตมารยาใช้ได้เลย รู้สึกว่าคู่นี้จริงๆ ก็มีอะไรบางอย่างน่ารักดี (มั้ง)

ช่วงนี้ก็ยังคงยุ่งเหมือนเดิมค่ะ ยุ่งจนแบบ ไม่ไหวแล้ววว ทำไมชีวิตมันยากนัก เลยแอบเทมาเขียนนิยายหนีความจริง อยากเขียนให้ได้วันละตอนจัง อาจตายก่อนได้ เพราะไม่ได้นอน ฉะนั้นแล้วเพื่อสุขภาพของคนเขียน ขอสัปดาห์ละตอนเหมือนเดิมแล้วกันน้าาา ถ้าหายไปโปรดรู้ไว้ว่าโดนการบ้านและงานทับตายไปแล้วค่า

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะะ พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

ปล. มีแฮชแท็กในทวิตด้วยนะคะ #ผีลามกบัดซบจริงๆ ถึงจะเล่นคนเดียวก็จะเล่น แง้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-12-2019 17:33:10 โดย ซินเอ๋อร์ »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ yaoigirl

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :katai2-1:รอตอนต่อไป จ้า

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
เมื่อเป็นขยะไร้ค่าต้องใช้การไม่ได้ให้ถึงที่สุด



เมืองหลวงแคว้นจิ่วโจวยามนี้มีข่าวใหญ่โตด้วยกันถึงสองเรื่อง ที่แปลกประหลาดคือทั้งสองเรื่องล้วนแต่เป็นเรื่องราวของคนผู้หนึ่งซึ่งมิเคยอยู่ในสายตาของผู้ใดมาก่อนนานกว่าสิบปี คนผู้นั้นคือผิงอ๋องผู้เก็บตัวเงียบอยู่ในจวนที่ฝั่งทิศตะวันตกของเมืองตั้งแต่ยามที่สกุลซูของฝั่งมารดาถูกประหารหลังก่อกบฏหวังแย่งชิงบัลลังก์ให้องค์ชายสามเฮ่อเหว่ย อ๋องแปดเหมือนไม่มีตัวตนอยู่ในเมืองนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร หากปรากฏตัวครานี้กับสร้างความสะเทือนเลื่อนลั่นเป็นอย่างยิ่ง



เริ่มจากวันหนึ่งสุ่ยเต๋อฮ่องเต้เรียกเขาเข้าพบในท้องพระโรงพร้อมขุนนางผู้มีตำแหน่งสูงศักดิ์ในราชสำนัก เขามิเคยออกนอกจวนมาให้ผู้ใดยลโฉมย่อมทำให้ผู้คนแตกตื่นยามเห็นหน้าตาหล่อเหลาโดดเด่นสะดุดตา เฮ่อยวนได้รับพระราชโองการแต่งตั้งให้เข้าไปทำงานกรมโยธาแทนเหวินกั๋วกงที่เพิ่งสิ้นใจตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บเมื่อเดือนก่อน แม้ไม่ได้อวยยศให้คนอย่างเป็นทางการ แต่บรรดาขุนนางที่รายรอบล้วนรู้ดีว่าจากนี้ผิงอ๋องคงมีหน้ามีตาขึ้นบ้างแล้ว จากวันนี้ไปคงต้องประจบเอาใจคนให้มากเสียหน่อย ผู้ใดที่ยังมีบุตรสาวงดงามถึงคราวออกเรือนก็เริ่มคิดคำนวณในใจ เป็นอนุก็ดี เป็นเช่อเฟยก็ดี เป็นหวางเฟยยิ่งดี หากได้แต่งเข้าจวนผิงอ๋องย่อมนับว่ามีโชคลาภใหญ่โตแล้ว



เฮ่อยวนได้รับตำแหน่งคราวนี้ แต่ละคนต่างวาดฝันไปใหญ่โต ใครจะไปรู้เล่าว่าจักรพรรดิเพิ่งออกคำสั่งให้คนไปดูแลการซ่อมแซมเขื่อนกั้นน้ำทางทิศตะวันตกก่อนถึงฤดูน้ำหลาก ท่านอ๋องผู้รักสงบกลับก่อเรื่องก่อราวเสียก่อน คนคุกเข่าลงกับพื้นหน้าพระที่นั่งเสียงดังตึง จากนั้นใบหน้าหล่อเหลาก็เริ่มบูดเบี้ยวจนเสียสภาพ



คนน้ำหูน้ำตาไหลรินร้องไห้สะอึกสะอื้นปานจะขาดใจตาย ปากร้องคำหนึ่งว่าเสด็จพี่ผู้แสนดี อีกคำหนึ่งว่าฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์ เขาเกิดมาเป็นขยะไร้ค่าไร้ความสามารถไร้การอบรมสั่งสอนสติปัญญาอ่อนด้อยเขียนอ่านไม่แตกฉานร่างกายอ่อนแอรู้จักแต่เสพสุขซ้ำยังชอบสูบฝิ่น ไหนเลยจะสามารถรับราชการรับผิดชอบเรื่องราวต่างๆ ได้ หากส่งไปซ่อมแซมเขื่อนคงได้ตายเพราะความยากลำบากเป็นแน่



ได้ยินได้เห็นสภาพเช่นนั้นของเฮ่อยวนเข้า ไหนเลยสุ่ยเต๋อฮ่องเต้จะสามารถยั้งอารมณ์อยู่ได้ เขาปาจอกน้ำชาในมือใส่อีกฝ่ายแล้วยังไม่พอใจ จึงคว้าแท่นหมึกจากขุนนางผู้มีหน้าที่จดบันทึกประวัติศาสตร์ที่นั่งงุนงงไม่รู้จะบันทึกเรื่องราวของผิงอ๋องอย่างไรดีแล้วขว้างแท่นหมึกใส่ร่างที่คุดคู้อยู่บนพื้นด้วยความเดือดดาล จนน้ำหมึกสาดกระจายเปื้อนเลอะเสื้อผ้าอาภรณ์ผ้าไหมที่ตัดเย็บมาอย่างดีเสียสิ้น ท่ามกลางเสียงร้องฝ่าบาทระงับโทสะด้วย เจ้าตัวน่าตายที่ก่อเรื่องก็ถูกผู้คนหามออกไป



เรื่องใหญ่โตเรื่องแรกเพิ่งเล่าลือไปทั่วเมืองหลวงตั้งแต่เหนือจรดใต้ตั้งแต่ตะวันออกจรดตะวันตก สร้างความขบขันให้กับผู้คนไปทั่ว ยังไม่ทันที่เหล่าเด็กน้อยจะได้แต่งเพลงมาร้องล้อเลียน ผิงอ๋องก็ก่อเรื่องต่อมาเสียก่อน



นับจากวันที่เรียกเข้าเฝ้ารอบก่อนได้สิบวัน คราวนี้เฮ่อยวนถูกเรียกตัวเข้าวังอีกครั้งที่หน้าพระที่นั่งท่ามกลางขุนนางใหญ่เช่นเคย สุ่ยเต๋อฮ่องเต้ใช้เวลาหลายวันคิดไตร่ตรองหาเหตุผลว่าเหตุใดอ๋องแปดจึงทำตัวออกนอกลู่นอกทางได้เช่นนี้ ก็ได้คำตอบว่าเป็นเพราะชีวิตที่ผ่านมาของผิงอ๋องล้วนถูกปล่อยปละละเลย ไม่มีใครสนใจดูแล ทำให้เขาได้แต่ใช้ชีวิตไปวันๆ คราวนี้หากหาสตรีสักคนมาคอยดูแลให้กำลังใจ เขาย่อมกลายเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้แน่



ม้วนภาพคุณหนูสกุลใหญ่ผู้มีกิริยามารยาทเรียบร้อยนิสัยอ่อนโยนดีงามล้วนถูกกางออกให้ผิงอ๋องได้ยลโฉม สุ่ยเต๋อฮ่องเต้กล่าวว่าหากรักชอบถูกใจแม่นางคนใดจะมอบสมรสพระราชทานให้ตามใจหวัง ยามนี้ขุนนางที่ยังมีบุตรสาวมิได้ออกเรือไหนจะตื่นเต้นยินดีเหมือนหลายวันก่อน ต่างคนต่างคิดว่าอย่าให้อ๋องแปดเลือกบุตรสาวของตนเลยพร้อมกับสาปแช่งให้ลูกสาวศัตรูเป็นฝ่ายถูกเลือก คนยังมิได้เหลือบมองรูปภาพพวกนั้นด้วยซ้ำกลับกระแทกตัวคุกเข่ากับพื้นเสียงดังตึง ผู้คนที่อยู่รอบข้างทั้งขุนนางก็ดี ขันทีก็ดี องครักษ์ก็ดี ได้แต่มองหน้ากันด้วยความระทึกใจว่าคราวนี้ท่านอ๋องผู้รักสงบจะพ่นวาจาอันน่าตื่นตะลึงอันใดออกมาอีก



“ข้าเป็นต้วนซิ่ว รักชอบบุรุษได้เพียงเท่านั้น ไหนเลยจะแต่งงานกับสตรีได้” เฮ่อยวนประกาศด้วยน้ำเสียงกึกก้องฟังแล้วดูห้าวหาญ ยามเรื่องนี้เล่าขานกันต่อไป ถ้อยคำนี้ถูกถ่ายทอดว่าเป็นคำพูดที่องอาจที่สุดในชีวิตของผิงอ๋องแล้ว สุ่ยเต๋อฮ่องเต้ถูกฉีกหน้าท่ามกลางผู้คนเช่นนั้นย่อมเกิดความรู้สึกโมโหเดือดดาลขึ้นมาอีกครั้ง แต่อ๋องแปดกลับยังไม่หยุดยั่วโทสะฝ่าบาทไม่รู้คนว่าไปกินดีหมีหัวใจเสือจากที่ใดมากันแน่



“ข้าเฮ่อยวนมีคนที่ปักใจรักลึกซึ้งอยากแต่งเขามาเป็นหวางเฟยชายของจวนผิงอ๋อง ขอให้ฝ่าบาทโปรดเมตตาด้วย” เขาโขกศีรษะกับพื้นร้องขอความเมตตามองแล้วน่าสงสารอยู่ไม่น้อย นัยน์ตาดอกท้อทั้งคู่แดงก่ำด้วยเส้นเลือดราวหยดน้ำตาจะกลั่นตัวออกมาอยู่ได้ทุกเมื่อ แคว้นจิ่วโจวแม้ไม่ได้มีกฎเกณฑ์เคร่งครัด หลายจวนมีชายบำเรอมีอนุชายให้เห็นกันมากมาย กระทั่งอดีตฮ่องเต้ยังเคยแต่งตั้งบุรุษเป็นสนมเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่เคยถึงขั้นแต่งเป็นภริยาเอก เป็นหวางเฟย หรือเป็นฮองเฮามาก่อน



ผิงอ๋องนับว่าเป็นชายรูปงามยามนี้มาคุกเข่าทำท่าคล้ายจะร่ำไห้ย่อมทำให้ผู้คนรู้สึกเวทนา ฮ่องเต้ผู้ปกครองแคว้นจิ่วโจวถอนหายใจก่อนเอ่ยถามราวปลงใจแล้วหลายส่วนว่า “เป็นบุตรบ้านใดเล่า”



เฮ่อยวนเงยหน้าขึ้นพลางริมฝีปากหยักแย้มยิ้มเบาบาง สองตาเปล่งประกายราวดวงดารา อากัปกิริยาคล้ายผู้ตกอยู่ในห้วงรักยากเกินถอนตัว “เป็นยอดคณิกานามโม่ลี่จากหอวาดจันทร์พ่ะย่ะค่ะ”



สิ้นเสียงของเฮ่อยวนภายในท้องพระโรงที่ว่าราชการก็ปรากฏแต่ความเงียบงัน หอวาดจันทร์เป็นสถานที่อย่างไรผู้คนล้วนรู้จักกันดี ผิงอ๋องนับว่าน่านับถือในใจอาจหาญที่มุ่งมั่นในทางสารเลวยิ่งนัก เป็นอ๋องลอยชายไม่เอาการเอางานไม่พอ มีใจชื่นชมบุรุษมิอาจแต่งสตรีได้ก็ยังไม่พอ คนในดวงใจที่ว่ายังเป็นชายงามที่ขายเรือนร่างแลกเงินไปเสียได้ จิตใจมั่นคงเช่นนี้มิรู้ว่าถือกำเนิดมาในราชวงศ์ได้อย่างไร หากสกุลซูรู้ว่าทายาทที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวมีสภาพเป็นเช่นนี้ ถึงตายเป็นผีไปแล้วก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนดี



แต่ละคนต่างจมอยู่ในห้วงคิดของตนเอง ผ่านไปครู่หนึ่งคล้ายมีคนคิดสิ่งใดขึ้นมาได้และหลุดปากพึมพำออกมาแผ่วเบาว่า “มิใช่ว่าโม่ลี่ที่ผ่านมาขายเรือนร่างให้เพียงท่านแปดผู้เดียวหรอกหรือ หรือว่าท่านแปดผู้มากโลกีย์ชอบย่ำยีคณิกาชายผู้นั้นจะเป็น...” พูดยังไม่ทันได้จบประโยคก็มีมือยื่นมาปิดปากขุนนางหนุ่มปากเปราะเสียก่อน หากยังรักชีวิตก็อย่าได้กล่าวออกมาจนครบถ้วนใจความเลย หัดอ่านสีหน้าบ้างเถิดว่ายามนี้พระพักตร์ของฝ่าบาทเครียดขึ้งปานใด



มือเรียวของจักรพรรดิขว้างจอกน้ำชาที่ใกล้มือใส่ผิงอ๋องเสียจนแก้วกระเบื้องแตกกระจาย ขุนนางผู้มีหน้าที่จดบันทึกขยับเลื่อนแท่นหมึกไปใกล้มือของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้มากขึ้นหวังให้ฝ่าบาทคว้าได้รวดเร็วทันใจ วันนี้อ๋องแปดใส่ชุดสีดำคล้ายเตรียมใจมาแล้วว่าหากถูกคว้าหมึกใส่อีกครั้งคงไม่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนเหมือนคราวก่อนเป็นแน่ แต่คราวนี้สิ่งที่คว้าขึ้นมาได้กลับไม่ใช่แท่นหมึก แต่กลับเป็นแส้ม้าอันหนึ่งขององครักษ์ข้างกาย เฮ่อฉีฟาดแส้ในมือใส่น้องชายร่วมบิดาเสียจนเต็มแรง คราวนี้กระทั่งเสียงห้ามสักคำของเหล่าขุนนางก็ไม่มี คงกลัวว่าเป้าหมายของแส้จะเปลี่ยนมาเป็นตนเองกระมัง



เฮ่อยวนถูกเฆี่ยนตีอยู่หลายนานเกือบชั่วยามก็ถูกหามออกไปด้วยสภาพเนื้อตัวแตกเลือดซิบ หากคนคงกลัวว่าเรื่องราวในวันนี้คงไม่เอิกเกริกพอกระมัง ยามที่เขาถูกพากลับจวนพลันเป็นจังหวะเดียวกับที่เกี้ยวแดงใหญ่โตคล้ายเกี้ยวเจ้าสาวเคลื่อนขบวนมาถึงจวนผิงอ๋องพอดี หน้าขบวนคือใบหน้าเฉยชาของจี้โหย่วเผิงองครักษ์ประจำกายที่ยังคงไร้ซึ่งอารมณ์เหมือนทุกที ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ผู้คนมากมายก็หายเข้าไปหลังกำแพงเสียหมด เหลือแต่ข่าวซุบซิบจากชาวบ้านรอบข้างที่ร่วมกันเป็นสักขีพยาน ครั้นข่าวคราวจากท้องพระโรงวันนี้ร่ำลือออกมากอปรกับข่าวจากภายนอก ข้อสรุปในวันนี้ก็มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น



มิทราบว่าอ๋องแปดไปสืบมาจากที่ใดว่าสุ่ยเต๋อฮ่องเต้วางแผนจัดงานวิวาห์ให้กับเขา ยามเช้าคนเข้าวังไปเข้าเฝ้าตามคำสั่ง แต่อีกทางหนึ่งกลับให้คนแซ่จี้ขนเงินหลายหมื่นตำลึงพร้อมไข่มุกอีกหลายสิบหีบไปไถ่ถอนตัวโม่ลี่กลับมา ซ้ำยังจัดเกี้ยวจัดขบวนใหญ่โตราวกับแต่งหวางเฟย คราวนี้หากโอรสสวรรค์คิดอยากลงมือกำจัดชายงามผู้นั้นก็คงไม่ทันการเสียแล้ว โม่ลี่ย้ายตนเข้าจวนผิงอ๋องไปเรียบร้อย ต่อให้มีอำนาจมากมายเพียงใดในเมื่อเขามิได้กระทำสิ่งใดสั่นคลอนบัลลังก์นอกจากยั่วยวนผู้คน ไหนเลยจะไปกระชากคนมาจัดการสิ่งใดได้อีก



ภายหลังได้ยินว่าสุ่ยเต๋อฮ่องเต้กริ้วหนักถึงขั้นล้มลงไปด้วยลมโทสะ ต้องให้หมอหลวงหลายคนมาฝังเข็มช่วยนวดศีรษะนวดหัวใจอยู่เป็นช่วงยามถึงจะสงบสติอารมณ์ได้ ค่ำวันนั้นฮ่องเต้ส่งหมอหลวงมาให้ทำการรักษาบาดแผลผู้คน พร้อมเกากงกงขันทีคู่กายมามอบราชโองการซึ่งมีเนื้อหาเป็นการตักเตือนว่าโม่ลี่นับว่าเป็นนางโลมย่อมมิสามารถนำออกมาเชิดหน้าชูตาได้ จะกระทำการสิ่งใดอย่าให้ออกนอกหน้าไปนัก ตัวเขาที่เป็นพี่ชายทั้งเจ็บปวดใจทั้งสงสารอ๋องแปดยิ่งนัก จี้โหย่วเผิงที่มารับราชโองการแทนผู้เป็นนายที่บาดเจ็บลุกไม่ขึ้นก็ทำไปตามหน้าที่แล้วกลับไปถ่ายทอดเนื้อความให้เฮ่อยวนฟังด้วยสีหน้าราบเรียบดังเดิม หากแววตาที่มองไปยังผิงอ๋องกลับมีระลอกคลื่นคล้ายห่วงใยอยู่ไม่น้อย



ผู้อื่นห่วงใยมีหรือจะสู้คนในดวงใจห่วงใย ผิงอ๋องยามนี้นอนคว่ำหน้าให้คนทายาทำแผล คางเกยอยู่บนตักคนงามที่นั่งสะอึกสะอื้นข้างแก้มมีน้ำตาไหลสองสายคอยบีบมือปลอบโยนให้กำลังใจราวภรรยาแสนดีคอยอยู่เคียงข้างสามีในวันทุกข์ยาก หากใครจะคาดคิดเล่าว่าเวลาอยู่สองต่อสองในห้องหอบนเตียงบทบาทหน้าที่ของทั้งสองนั้นสลับกันสิ้นเชิง ความห้าวหาญของเฮ่อยวนก็มีเพียงแค่ยามครวญครางหวีดร้องด่าทอว่าเรี่ยวแรงไปไหนหมดไยเจ้าไม่กระแทกแรงขึ้นเท่านั้นกระมัง



เรื่องราวใหญ่โตแสนตลกขบขันที่ว่าไหนเลยจะเป็นความโง่งมเป็นเรื่องบังเอิญ หากแต่ล้วนเป็นละครสร้างชื่อเสียงฉาวโฉ่ด้วยความตั้งใจของผู้คนทั้งสิ้น เหตุการณ์แรกเป็นความคิดของผิงอ๋องที่หวังทำลายชื่อเสียงของตนเองเพื่อไม่ให้วันหน้าถูกเรียกใช้งานได้อีก ส่วนเหตุการณ์ที่สองต้นคิดย่อมเป็นข้าผู้นี้เอง



หลังจากทำเป็นอ่อนแอจนถูกหมึกสาดใส่ เฮ่อยวนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็พุ่งตรงมาหาโม่ลี่ด้วยท่าทางอ่อนล้าดั่งที่ข้าเคยเล่าไปแล้วเมื่อก่อนหน้านั้น ครั้นได้ฟังถ้อยคำราวไม้ใกล้ฝั่งของผิงอ๋อง ด้วยความสงสัยจึงทำให้ข้ายอมปรากฏตัวเพื่อสอบถามเรื่องราวจากเขาว่าเกิดสิ่งใดขึ้น จากความทรงจำเมื่อปีก่อนที่เคยได้คลุกคลีกับสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ โอรสสวรรค์ผู้นี้มิได้จิตใจดีงามดั่งพระโพธิสัตว์แต่ก็มิใช่คนจิตใจเหี้ยมโหดคิดกำจัดพี่น้องให้พ้นทาง อีกทั้งยามนี้บัลลังก์มังกรมั่นคงดีแล้ว เหตุใดอ๋องลอยชายเช่นอ๋องแปดจึงต้องมาระแวงโทษตายอีก



แรกเริ่มผิงอ๋องย่อมตกใจในการปรากฏตัวของข้า รอพักหนึ่งเมื่อสงบลงได้บ้างค่อยอธิบายบอกเล่าเรื่องสำคัญบางอย่างเช่นว่า ก่อนตายข้าเคยเป็นราชครูรับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ ยามเป็นผีเคยได้ช่วยชีวิตโม่ลี่ที่ตั้งใจฆ่าตัวตายเอาไว้ ส่วนเรื่องที่ข้าได้ใช้ร่างชายงามกระทำย่ำยีเขาต้องละเว้นไปเป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว ผิงอ๋องมิเคยเข้าวังรับราชการจึงมิเคยเห็นหน้าตาราชครูมาก่อน แต่ก็เคยได้ยินอยู่ว่าเมื่อแปดเดือนก่อนราชครูแซ่เยี่ยอู๋จวินได้สิ้นใจตายในวังหลวง



จากนั้นอีกฝ่ายจึงเริ่มเล่าให้ข้าฟังว่าแท้จริงแล้วแปดเดือนมานี้คล้ายเกิดอาเพศขึ้นมา เหล่าบรรดาอ๋องและขุนนางใหญ่ไม่ว่าจะเป็นแคว้นใต้อาณัติหรือในแคว้นจิ่วโจวล้วนทยอยตายไปกันทีละคนสองคน บ้างถูกฆ่า บ้างประสบเคราะห์ภัยแตกต่างกันออกไป แต่กว่าครึ่งกลับป่วยไข้ตายด้วยโรคประหลาด หมอหลวงพยายามรักษาสุดฝีมือเพียงใดกลับไม่สามารถรักษาให้คนรอดได้ ครั้นตรวจพิษแล้วก็ไม่พบว่าถูกวางยาแต่อย่างใด



เริ่มจากจวนรุ่ยชินอ๋องเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ในคืนหนึ่ง กว่าจะดับไฟได้กลับพบว่าอ๋องสี่สำลักควันตายในกองเพลิงเสียแล้ว ตามด้วยหลี่อ๋องที่พลัดหลงกับองครักษ์จนถูกฝูงหมาป่าขย้ำตาย ตวนอ๋องสำลักสุราระหว่างงานเลี้ยงแต่งงานของขุนนางหนุ่มคนหนึ่ง จับไข้ได้ไม่กี่วันก็สิ้นใจตาย อีกสองเดือนต่อมาไหวอ๋องผู้หลังกลับจากตรวจตรวจสอบคดีขุนนางชั่วและภาษีค้าเกลือทางทิศใต้พลันล้มป่วยลงอาการหนักยังรักษามิหาย



เวลาเพียงแปดเดือน...รุ่ยชินอ๋อง หลี่อ๋อง ตวนอ๋อง ซึ่งเคยคุ้นหน้าคุ้นตาเคยทักทายร่ำสุราในงานเลี้ยงอยู่หลายงาน ยามนี้มิมีใครเหลือรอดชีวิตล้วนตายตกกันไปหมดแล้ว ส่วนไหวอ๋องหรืออดีตองค์ชายเจ็ดยามนี้เจ็บไข้ได้ป่วยไร้เรี่ยวแรงได้แต่เก็บตัวอยู่ในจวน ใช้ยาล้ำค่าและสมุนไพรยื้ออาการไปวันต่อวัน เหล่าองค์ชายจากอดีตฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่รอดชีวิตมาจนเติบใหญ่ยามนี้เหลือเพียงผิงอ๋องและอ๋องสิบเอ็ดวัยสิบสี่ผู้ยังไม่มีราชทินนามที่ยังอยู่รอดดี



เรื่องราวมองแล้วมิน่าเกี่ยวข้องกัน แต่เฮ่อยวนผู้ถือตนเป็นคนนอกมาตลอดหลายปีย่อมจับสังเกตบางสิ่งได้ ก่อนตายได้หลายเดือนพี่ชายของเขาเหล่านั้นล้วนได้รับตำแหน่งหน้าที่สำคัญในแคว้นจิ่วโจว ถือได้ว่าเป็นคนหนุ่มที่ควรมีชีวิตเจริญก้าวหน้าใช้ชีวิตเสพสุขได้อย่างน้อยอีกยี่สิบสามสิบปี ผ่านไปไม่นานต่างประสบเคราะห์กรรมตายจากกันไปอย่างรวดเร็ว ครั้นผิงอ๋องถูกเรียกตัวเข้าเฝ้าในเวลาราชการจึงคาดเดาได้ว่าเวลาของตนคงใกล้มาถึงแล้ว โชคอันดีที่ว่าก่อนไฟจะไหม้จวนรุ่ยชินอ๋อง เขาเคยได้ยินข่าวคราวมาว่าพี่สี่เอาใจออกห่างฮ่องเต้ ชายหนุ่มจึงเริ่มทำตัวเหลวแหลกใช้ฉายาที่เปิดเผยตัวจริงไปครึ่งหนึ่งตระเวนเที่ยวคณิกาชาย หวังเป็นเพียงแจกันเป็นถุงฟางข้าวที่ไม่มีประโยชน์ ข้ออ้างที่นำไปกล่าวอ้างจึงฟังขึ้นอยู่ไม่น้อย



หากสุ่ยเต๋อมีใจคิดร้ายจริงอย่างที่คนคาดเดา เฮ่อยวนย่อมถูกเรียกใช้งานอีกครั้งเป็นแน่ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งข้าจึงบอกเล่าแผนการไร้ค่าอย่างถึงที่สุดให้กับผู้คนได้รับรู้ ผิงอ๋องใช้ชีวิตไร้จุดหมายมานานหลายปี ถึงยามนี้ชีวิตมิได้ต้องการสิ่งใด จะลำบากก็ดี อดมื้อกินมื้อยังทนได้ ขอแค่ความสุขสงบในยามอยู่กับคนที่รักก็เพียงพอแล้ว ฟังไปฟังมาช่างชวนให้ขมวดคิ้วอยู่ไม่น้อย ที่จริงคนมีรสนิยมบนเตียงรุนแรงเช่นเจ้ามิน่าเรียกว่าสงบสุขได้กระมัง...



ความคิดเช่นเขาใช่ว่าข้าจะไม่เข้าใจเสียเมื่อไร แต่ก่อนนี้ผู้แซ่เยี่ยก็อยากอยู่อย่างสงบตลอดไปกับคนสกุลไป๋มิใช่หรือ ข้าถอนหายใจยาวแม้ไม่มีลมหายใจก่อนขอยืมร่างโม่ลี่ให้เสี่ยวเถาหาหมึกและกระดาษมาหลายแผ่น จากนั้นจึงเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงน้องชายนามเยี่ยจิ้นฝานที่ช่วยมารดาค้าขายเปิดกิจการหลายอย่างอยู่ที่เจียงหนาน พับจดหมายเป็นรูปกระเรียนเผาไฟใช้อาคมส่งข่าวให้กับผู้คนที่อยู่ในระยะไกลหลายร้อยลี้ กระดาษอีกแผ่นที่เขียนข้อความลงอาคมแล้วให้โม่ลี่เก็บเอาไว้ ยามจวนตัวค่อยเผาไฟเหมือนกระเรียนตัวเมื่อครู่



ถึงวันนี้เฮ่อยวนได้ก่อเรื่องราววุ่นวายถึงสองเรื่องด้วยกัน กลายเป็นที่ตลกขบขันและที่จับตามองของคนทั้งเมือง แม้ต้องใช้แผนเจ็บตัวอยู่บ้างแต่ก็ได้ผลอยู่ไม่น้อย หากสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ยังไม่คลายข้องใจหายระแวงและคิดเล่นงานเขาอีกครั้งจนสิ้นชื่อคล้ายพี่ชายสามคนก่อนหน้า เยี่ยอู๋จวินก็เตรียมวิธีการรับมือเอาไว้แล้ว เพียงแต่ว่าทั้งโม่ลี่และผิงอ๋องต้องยอมเสียสละความสุขสบายในชีวิตไปบ้างเล็กน้อย



“ท่านอ๋อง...เห็นท่านเจ็บตัวแล้วบ่าวปวดใจยิ่งนัก” โม่ลี่ยังคงสะอื้นไห้ปลายนิ้วบีบมือของคนที่นอนตักตนเองแน่นขึ้น ท่าทางอ่อนแอน่าสงสารเสียจนเสี่ยวเถาที่ถูกซื้อตามมาด้วยเสียน้ำตาตาม “หากบ่าวแข็งแกร่งจนสามารถปกป้องท่านได้ ท่านคงมิต้องบาดเจ็บหนักเช่นนี้”



ต่อให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นจนสามารถล้มเสือได้ด้วยมือเปล่าก็เกรงว่าจะช่วยเหลือเฮ่อยวนในยามนี้มิได้กระมัง ตรองดูเถิดว่าองครักษ์แต่ละคนของเขาใช่ว่าจะร่างกายแบบบางเหมือนเจ้าเสียเมื่อใด ด้วยกำลังของจี้โหยว่เผิงหากคิดหักคอสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ด้วยมือเดียวคงทำได้ แต่เสนอหน้าออกไปปกป้องเจ้านายที่สมควรมีภาพลักษณ์ไม่ได้เรื่องได้ราวในวังหลวงเช่นนั้น คงเรียกว่าไม่รักชีวิตของตนกันแล้วกระมัง



“ตัวเจ้าบางปลิวลมเช่นนี้มีหรือจะสามารถปกป้องข้าได้ ข้าที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ต้องเป็นฝ่ายปกป้องเจ้ามิใช่หรือ” ผิงอ๋องหัวเราะเสียงใสพยายามข่มกลั้นไม่ให้ตนเองแสดงความรู้สึกเจ็บปวดออกมาจนอีกฝ่ายต้องเป็นห่วงเป็นใย แผ่นหลังที่เคยขาวเนียนยามนี้แตกซิบด้วยรอยแส้หลายรอย ชั่วครู่หนึ่งที่หมอหลวงป้ายยาคล้ายเห็นว่าไหล่ทั้งสองข้างของเขาสั่นไหวเล็กน้อย รอจนไล่หมอหลวงไล่คนอื่นออกไปแล้ว คนค่อยเก็บอาการเปลี่ยนท่าทีไปหยอกล้อโม่ลี่แทน “ถึงยามนี้ยังจะเรียกตนว่าเป็นบ่าวอีกหรือ แม้ฝ่าบาทมิให้ข้าแต่งตั้งเจ้าเป็นหวางเฟย แต่ในใจข้ามีใครครอบครองเจ้าคงรู้ดี”



เสี่ยวเถาตัวน้อยที่อยู่นอกห้องได้ยินถ้อยคำดังนั้นถึงกับหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอายจนเผลอไปกระตุกชายเสื้อขององครักษ์แซ่จี้เข้า จี้โหย่วเผิงแม้มีหน้าตาเฉยชาแต่ฟังทั้งสองคนหยอกล้อเกี้ยวพากันนานเข้าใบหูทั้งสองข้างกลับขึ้นสีระเรื่อขึ้นมาแล้ว ส่วนข้าที่ล่องลอยฟังอยู่ในห้องก็รู้สึกหวานเลี่ยนจวนอาเจียนเหมือนกัน เกรงว่าทั้งเฮ่อยวนและโม่ลี่คงมีจิตใจที่ผิดเพี้ยนด้วยกันทั้งคู่กระมัง จึงสามารถตกหลุมรักกันและกันได้ แต่เรื่องราวเป็นเช่นนี้ย่อมไม่ก่อให้เกิดเป็นภาระแก่ผู้อื่น ช่างน่ายินดียิ่งนัก ช่างน่าชื่นชมยิ่งนัก



เรื่องราวที่ควรจัดการได้ก็จัดการไปหมดแล้ว เหลือเพียงรอเวลาให้ผู้คนได้ใช้แผนการสุดท้ายเพียงเท่านั้น ข้าย้อนคิดภาพในท้องพระโรงในวันนี้ที่ตนเองสิงป้ายหยกของเฮ่อยวนติดตามเขาไปด้วยเพื่อเฝ้ามองเหตุการณ์แล้วสะท้อนใจอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ ยามนั้นเห็นผู้คนมากหน้าหลายตาทั้งคนเก่าที่เคยพบเจอกันมาก่อนทั้งคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามา พูดถึงคนคุ้นเคยแล้ว นอกจากรุ่ยชินอ๋องสิ้นใจตายในกองเพลิงหลังจากข้าตายไปได้เดือนกว่า ยังมีอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้ปรากฏตัวมิใช่หรือ



ยามที่ข้ายังเป็นราชครูในวังหลวง สุ่ยเต๋อฮ่องเต้มีคนสนิทด้วยกันสามคน หนึ่งคือข้าผู้เป็นราชครู สองคือรุ่ยชินอ๋องผู้เป็นน้องชายร่วมอุทร ส่วนอีกคนคือแม่ทัพปราบบูรพาหรือเทพสงครามแห่งโคว้นจิ่วโจวผู้มีนามว่าจ้าวซิ่นจง เขาเป็นขุนนางบู๊ตำแหน่งใหญ่โตนิสัยจริงจังขยันขันแข็ง ยามอยู่ในเมืองหลวงมิอาจละทิ้งการงานได้สักวัน วันนี้ที่หน้าพระที่นั่งมิได้พบเจอคนนับว่าเป็นเรื่องแปลกแล้ว



ข้ารอให้คู่รักเบื้องหน้าหยอกล้อกันจนหนำใจแล้วค่อยกระแอมไอขึ้นมาครั้งหนึ่ง ครั้นเฮ่อยวนเหลือบมองร่างวิญญาณของข้า แม้ไม่ได้แสดงอาการอะไรมากมาย แต่ก็เห็นความรู้สึกเคารพนับถือสามส่วนในแววตา คนคงนึกขอบคุณที่ข้าทำให้เขารับโม่ลี่มาอยู่ในจวนได้อย่างออกหน้าออกตากระมัง



“วันนี้ในวังหลวงกลับไม่เห็นจ้าวซิ่นจง แม่ทัพจ้าวผู้นั้นหายตัวไปไหนแล้วเล่า”



เฮ่อยวนถึงเก็บตัวอยู่ในจวนแต่มีวิธีสรรหาข่าวได้เก่งยิ่งนัก เกรงว่าคงรู้กระมังว่าข้าและคนสกุลจ้าวในยามก่อนแม้จะทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่หลายครั้งแต่ก็สนิทกันไม่น้อย ดวงหน้าของผิงอ๋องที่แรกเริ่มก็ซีดเผือดอยู่แล้วยิ่งซีดเผือดกว่าเดิม คนส่ายหน้าไปมาก่อนตอบอย่างเชื่องช้าคล้ายลังเลใจไม่รู้ว่าจะว่ากล่าวเช่นใดดี



“แม่ทัพจ้าวล้มป่วยลงเมื่อสามเดือนก่อน อาการป่วยหนักหนาจนมิอาจทำงานได้มาเดือนกว่าแล้ว” เฮ่อยวนเม้มริมฝีปากเข้าหากันนัยน์ตาดอกท้อหลุบลงต่ำคล้ายต้องการปิดบังความรู้สึกหวั่นไหวสะเทือนใจบางอย่าง “ป่านนี้เกรงว่าชีวิตคงร่อยหรอเต็มที่แล้วกระมัง”



ได้ฟังแล้วข้าถึงกับขมวดคิ้วมุ่นเข้าหากันด้วยความขัดหูเป็นอย่างยิ่ง คนกระดูกเหล็กฆ่าไม่ตายอย่างจ้าวซิ่นจงน่ะหรือจะล้มป่วยได้ แม้ไม่ได้เป็นผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรเป็นเซียน แต่ผู้ฝึกวิชายุทธ์อย่างเขานับว่ามีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าปุถุชนทั่วไปอยู่มากนัก ในสายตาข้าผู้ที่กำจัดได้ยากเย็นที่สุดในแผ่นดินจิ่วโจวก็คงเป็นเทพสงครามผู้นี้กระมัง แต่ข้าเองที่บำเพ็ญเพียรเป็นเซียนใกล้จะสำเร็จยังพลาดพลั้งตายได้ นับประสาอะไรกับคนสกุลจ้าวกัน



หากมิได้เห็นกับตาว่าจ้าวซิ่นจงป่วยหนักใกล้ตายด้วยสองตาของตนเองจริง เห็นทีว่าข้าเยี่ยอู๋จวินคงไม่สามารถปักใจเชื่อได้โดยง่ายเป็นแน่ เมื่อเห็นร่างข้าล่องลอยขยับไกลออกไปขึ้นทุกขณะ โม่ลี่จึงร้องถามขึ้นมาด้วยอาการตกใจ “ท่านเยี่ย! ท่านจะไปที่ใดกัน”



ข้ามุ่นคิ้วแล้วตอบกลับไปเพียงประโยคหนึ่ง



“ไปจวนสกุลจ้าว”



โปรดติดตามตอนต่อไป...





ซินเอ๋อร์:

มาลงก่อนที่จะโดนงานทับตายค่ะ มีพรีเซ้นท์งานอาทิตย์หน้า อาทิตย์นี้คงลงนิยายได้แค่เรื่องเดียว พอดีเขียนผีลามกเพลิน จบตอนเฉย ดองโฮสต์โง่ซะงั้น 555555

อู๋เกอยังคงคอนเซ็ปต์ไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องชาวบ้านเหมือนเดิมค่ะ แต่ด้วยความเป็นผีลามกเราก็จะไม่ทิ้งความลามกไปนะคะ อีกอย่างรู้สึกว่าพักหลังอู๋เกอไม่ค่อยได้แซะคนมาหลายตอนแล้ว เพราะฉะนั้นต่อให้มีปริศนาในเรื่องยังไง ซินเอ๋อร์ก็จะพยายามคงความลามกและความขี้แซะให้ได้นะคะ ซึ่งก็ขอให้รอดค่า (อ้าวววว)

เรื่องราวของโม่ลี่และผิงอ๋องถือว่าจบแบบยังไม่จบดีนะคะ บทสรุปของคู่นี้ตอนนี้แฮปปี้ดีแล้ว แต่จะเป็นยังไงต่อจะมีเล่าในตอนต่อๆ ไปนะคะะ ส่วนใครที่รอกัน มาแล้วค่ะ กำลังจะมาแล้ว สุ่ยเต๋อฮ่องเต้ที่เล่นเอาอู๋เกอของเราตายอนาถ แต่จะออกมาจนเกิดเรือใหม่หรือโดนสาปแช่ง อันนี้ต้องแล้วแต่คนอ่านน้าาา

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด