[จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 28 คห. 108 [P.4, 20-12-2020]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 28 คห. 108 [P.4, 20-12-2020]  (อ่าน 14181 ครั้ง)

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-12-2020 02:49:27 โดย ซินเอ๋อร์ »

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
บทที่ 1 ตายใต้ดอกโบตั๋น ข้าเป็นผี ข้าไม่สำราญ[1]



อยู่ดีไม่ว่าดี...ข้าก็ตายเสียแล้ว



ตายภายใต้ดอกโบตั๋นงดงามที่บานสะพรั่งพร้อมกันสามร้อยนาง ช่างเป็นการตายอันคาวโลกีย์สมเกียรติสมศักดิ์ศรีของเยี่ยอู๋จวิน ผู้มีสมญานามว่าปรมาจารย์วังวสันต์ดีแท้



เรื่องสาเหตุการตายของข้านั้น อันที่จริงก็ไม่รู้ว่าจะไปกล่าวโทษใครดี เหตุเกิดขึ้นเพราะความเข้าใจผิดของฮ่องเต้หน้าโง่นั่นแท้ๆ แรกเริ่มคงต้องเล่าย้อนก่อนว่าตัวข้าแท้จริงแล้วเป็นบุตรชายคนโตจากสกุลเยี่ยอันยิ่งใหญ่ในโลกผู้ฝึกวิชาบำเพ็ญเพียร หากผู้อื่นในใต้หล้าต่างรู้จักคุณชายเยี่ยอู๋จวินว่าเป็นอัจฉริยะตัวบัดซบ หลงใหลสุรานารีจนถึงขั้นหันหน้าฝึกวิชามารนอกรีต ใช้สตรีเป็นเตาหลอมเพื่อดูดพลังหยินแทนการบำเพ็ญเพียรเพื่อเพิ่มพลังฝึกปรือ



พูดไปแล้วก็น่าหัวร่อ วิชาวสันต์เริงร่าที่ข้าค้นพบขณะลักลอบอ่านหนังสือวังวสันต์เล่มหนึ่งเมื่อตอนสิบห้าปีนั้นใช่ว่าจะเป็นวิชานอกรีตที่ใช้พลังหยินอย่างเดียวเสียเมื่อไร หากมีความลับอย่างหนึ่งที่ข้าเก็บซ่อนเอาไว้มิให้คนภายนอกได้รับรู้ เรื่องที่ว่าเคล็ดวิชานี้จะต้องรักษาสมดุลหยินหยางให้ดีถึงจะสามารถก่อกำเนิดพลังวัตรที่แข็งแกร่งและมีคุณภาพเหมาะสมแก่การใช้งาน



กล่าวง่ายๆ คือหากข้าหลับนอนกับสตรีสามนาง ข้าต้องหลับนอนกับบุรุษอีกผู้หนึ่งเพื่อถ่วงดุลหยินหยาง ส่วนที่ว่าเหตุใดสัดส่วนจึงเป็นสามต่อหนึ่งนั้น เป็นเพราะว่าข้าเป็นบุรุษอยู่แล้วถือว่าหยางมากหยินน้อย สัดส่วนนี้จึงพอดียิ่ง หากเป็นสตรีฝึกวิชาเดียวกับข้าก็ย่อมต้องกลับกันเป็นหยางสามหยินหนึ่งแทน แต่เกรงว่าแม่นางที่ดีงามฝึกวิชานี้คงจะไม่เหมาะสมเท่าไรนักหรอก



ข้านั้นแท้จริงแล้วไม่ได้ชอบตัดแขนเสื้อ แต่นิยมชมชอบสตรีเป็นอย่างยิ่ง แม่นางที่เอวบางก็ดี แม่นางที่สะโพกผึ่งผายก็ดี แม่นางที่หน้าอกอวบอิ่มยิ่งดี หากชีวิตก็เป็นเช่นนี้ เมื่อริใช้หนทางลัดเพื่อฝึกวิชาเป็นเทพเซียน บางครั้งก็ต้องฝืนทนเพื่อผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่เสียบ้าง แต่ถ้าเป็นหนุ่มน้อยหน้ามนเรือนร่างอ้อนแอ้น อาจจะฝืนทนน้อยลงนิดหน่อย อา...ข้ายอมรับก็ได้ว่าออกจะหรรษาไม่ใช่น้อย



ใครใช้ให้โอรสสวรรค์เป็นชายหนุ่มหน้าหยก ดวงตาหงส์งดงาม ขนตาเป็นแพยาว รูปร่างเพรียวบางกำลังดีกันเล่า อีกอย่างมิใช่แค่ลักษณะหน้าตาถูกต้องตรงใจข้าเพียงเท่านั้น ไอหยางจากร่างเขายังนับเป็นพลังชั้นดี หากพลีกายให้ข้าซวงซิวสักคืนย่อมสามารถทดแทนการหลับนอนกับบุรุษได้หลายคน หากเขาติดใจพลีกายให้ข้าสักสามเดือนครึ่งปี ย่อมทำให้พลังฝึกปรือของข้าก้าวหน้าพุ่งพรวด จากไม่เกินสามปี คงกลายเป็นไม่ถึงปี ข้าที่ฝึกปรือวิชานอกรีตโดยละเว้นจิตมารคงเหาะเหินขึ้นสวรรค์กลายเป็นเทพเซียนได้



รัชศกสุ่ยเต๋อปีที่สิบสองฝนแล้งนัก ข้าจึงใช้ชื่อตระกูลเยี่ยอันเกรียงไกรเข้าไปเป็นราชครูให้คำปรึกษาอยู่ข้างกายจักรพรรดิอยู่ครึ่งค่อนปี ใช้พลังเล็กน้อยช่วยเขาเรียกลมเรียกฝนกำจัดภัยแล้งอันแสนทุกข์ยากของราษฎร จวบจนถึงฤดูเก็บเกี่ยวนั่นล่ะ ฮ่องเต้ออกปากขอบใจข้าและจะมอบรางวัลให้เป็นอย่างงาม



ข้าหลงกระหยิ่มยิ้มย่องคิดว่าเขาคงใช้กายตอบแทน หากรางวัลพระราชทานงดงามดียิ่งกลับมิใช่กายงามดั่งหยกของโอรสสวรรค์ ข้าถูกฮ่องเต้วางยาปลุกกำหนัดในสุราแล้วส่งตัวเข้าไปในหมู่นางกำนัลถึงสามร้อยนาง คนเอ่ยปากว่าเสพสมไม่ครบไม่ต้องออกมา มิหนำซ้ำพอยาใกล้หมดฤทธิ์ก็ให้คนจุดกำยานปลุกกำหนัดเพิ่มเพื่อหวังให้ข้าหลับนอนกับบุปผางามนับสามร้อยจริงๆ



แม้ร่างกายข้าจะสามารถต้านพิษได้หลากหลายชนิด แต่ยาปลุกกำหนัดวรุณคลั่งรักวสันต์รัญจวนใจของวังหลวงนับว่าแข็งแกร่งยิ่งนัก ยิ่งผสมสุราชั้นดีเข้าไปยิ่งออกฤทธิ์จนข้านึกว่าตนเองเป็นม้าศึกคึกคะนอง แท่งหยกของข้าถูกหมู่มวลบุปผาครอบครองอยู่เจ็ดวันเจ็ดคืน ที่จริงพลังฝึกปรือเช่นข้าไม่กินดื่มครึ่งปีย่อมยังมีชีวิตอยู่ได้ หากวันที่แปดก็กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะธาตุไฟเข้าแทรกขาดใจตายท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเหล่านางกำนัลสามร้อยนาง ด้วยเหตุว่าร่างกายหยางพร่องเพราะดูดซับไอหยินจากสตรีมากเกินไป



มาก! เกิน! ไป!



ฝึกปรือเคล็ดวิชามาสิบเก้าปี จากที่อีกสามปีจะได้โบยบินเป็นเซียน บุรุษผู้ขึ้นชื่อว่าปรมาจารย์วังวสันต์ผู้เชี่ยวชาญกามาราคะยิ่งกว่าใครกลับขาดใจตายภายใต้ดงสตรี ใจหนึ่งก็อับอาย แต่อีกใจก็คิดว่าช่างตายสมกับเป็นข้ายิ่งนัก มิรู้ว่าเรื่องราวของข้าจะเล่าขานไปอย่างไรบ้าง ด้านหนึ่งคงทำให้เหล่าชายฉกรรจ์ในใต้หล้าอิจฉาริษยา อีกด้านคงเป็นบทเรียนให้ผู้คนได้รู้ว่าฝักใฝ่ตัณหามากไปก็ไม่ใช่เรื่องดี



เมื่อตายแล้วข้าเฝ้ามองเหตุการณ์ในวังหลังเฝ้ารอยมทูตหน้าดำหน้าขาวเฮยไป๋อู๋ฉางมารับไปยมโลก รอได้สักครึ่งก้านธูปก็ไม่เห็นว่าสองคนนั้นจะมาสักที กอปรกับเห็นภาพชวนสลดเบื้องหน้าพักนึงก็ไม่อยากมองอีกต่อไปแล้ว โดยเฉพาะใบหน้าหล่อเหลาของตนเองที่ทั้งซีดเซียวทั้งเปรอะเปื้อนรอยเลือดยิ่งไม่น่ามองเข้าไปใหญ่ ตั้งแต่เล็กยันโตจนถึงวัยสวมกวานข้าเฝ้าดูแลทั้งหน้าตาและรูปลักษณ์ภายนอกของตนเองเป็นอย่างดี เจอภาพแบบนี้เข้าไปย่อมทำใจไม่ได้



มนุษย์ไม่นึกถึงความตาย เมื่อไม่ถึงยามตาย ยามนี้ข้าตายแล้วนอกจากนึกเจ็บใจที่ฝึกเคล็ดวิชาไม่ทันได้สำเร็จดั่งใจฝัน ก็พลันนึกถึงใบหน้าของมารดาขึ้นมา ในโลกหล้านี้จะมีใครรักและห่วงใยข้าเท่านางกันเหล่า ข้าที่ใครว่าเลวชั่วช้ามั่วโลกีย์ นางยังอ้าแขนกางปีกปกป้องได้อยู่เนิ่นนานจนข้าทนมิไหวมิอาจอยู่ในตระกูลให้เสื่อมเสียเกียรติมารดา ตอนนี้ข้าซึ่งเป็นบุตรชายคนโตจากบุตรทั้งสามที่นางรักถนอมเป็นที่สุดกลับตายกลายเป็นผี มิรู้ว่านางจะร้องไห้เศร้าโศกเสียใจปานใด



หวนคิดมารดาเพียงชั่วครู่ เมื่อรู้ตัวอีกครั้ง คราวนี้ข้ามิได้อยู่ในตำหนักในวังหลวงอีกต่อไปแล้ว เบื้องหน้าของข้าคือเตียงไม้สี่เสาแกะสลักสวยงาม บนเตียงมีเงาร่างของชายหญิงคู่หนึ่งนอนเคียงข้าง โชคดีเป็นอย่างยิ่งที่นกยวนยางคู่นี้มิได้กำลังเปลือยกายกอดรัดกันแต่อย่างใด ถึงข้าจะเชี่ยวชาญเรื่องพิรุณหลั่งวสันต์โปรยเพียงใด คงมิอาจทำใจเห็นภาพยามบิดามารดาร่วมหลับนอนกันได้...



เหยียนโหรว มารดายังงดงามเหมือนในภาพทรงจำวัยเด็กของข้าไม่มีผิด แม้จะอายุใกล้หกสิบปีแต่ด้วยการบำเพ็ญเพียรทำให้ผิวพรรณของนางยังเรียบเนียนคล้ายดรุณีวัยไม่เกินยี่สิบ กระทั่งยามหลับฝันท่าทางยังคงสูงส่งเรียบร้อย ริมฝีปากบางยังขยับเป็นรอยยิ้มเบาบาง เพียงแค่มองข้าก็ปวดร้าวไปทั่วหัวใจ แต่เมื่อหันไปมองชายที่นอนเคียงข้างก็ยิ่งปวดใจกว่าเดิม



ผู้นำตระกูลเยี่ยที่ยามปรกติวางท่าขึงขัง บัดนี้นอนเบียดชิดภรรยารองสองแขนก่ายนางคล้ายกลัวว่าจะถูกคนทอดทิ้ง หน้าตาที่คล้ายคลึงข้าอยู่หกส่วน แต่ทั้งหางคิ้ว หางตาและมุมปากล้วนตกห้อยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก มองแล้วเหลาะแหละอ่อนแอยิ่งนัก ข้าอยากรู้นักว่าบุรุษปวกเปียกดีแต่กะล่อนเจ้าชู้ไปวันๆ พลังฝึกปรือไม่คืบหน้ามายี่สิบปีเช่นเขามีดีอะไรถึงแต่งสุดยอดห้าดุรณีในสมัยนั้นมาเป็นภรรยาและอนุได้



ข้าเห็นใบหน้ายิ้มหวานชวนน่าขนลุกของบิดาก็นึกสงสัยขึ้นมาว่าคนหลับฝันอะไรอยู่กันแน่ พอชะโงกหน้าเข้าไปมองก็กลายเป็นว่าเข้าไปอยู่ในความฝันของเขาเสียแล้ว ภาพที่เห็นทำให้บุตรชายคนโตที่ออกนอกตระกูลไปแล้วเช่นข้า มิรู้ว่าควรจะเอื้อนเอ่ยวาจาใดดี



ในห้วงฝันนั้นข้าเห็นคนผู้หนึ่งหน้าตาเหมือนข้าวางท่างดงามสูงสง่าคล้ายคุณชายตระกูลบัณฑิตนั่งอยู่ท่ามกลางดรุณีวัยแรกแย้มหน้าตางดงามดั่งนางฟ้านางสวรรค์ถึงห้าคน ใบหน้าแม้ยิ้มแย้มสงบนิ่งรักษาอาการ หากแขนซ้ายโอบที่เอวสตรีนางหนึ่ง แขนขวาโอบที่บ่าสตรีอีกนาง สตรีอีกสองนางนั่งอยู่กับพื้นเบื้องล่างคอยนวดขาแช่เท้าให้กับเขา เบื้องหลังยังมีอีกคนคอยป้อนผลไม้ให้เขา



ใบหน้านั้นย่อมเป็นใบหน้าข้ามิผิด แม่นางทางด้านซ้ายคงเป็นฮูหยินรองหรือมารดาข้าในวัยสาว ส่วนทางด้านขวาคือเยี่ยฮูหยินผู้เป็นมารดาใหญ่ของข้าเป็นแน่ ที่ป้อนผลไม้คงเป็นท่านน้าฮูหยินสาม และที่นั่งอยู่กับพื้นคงไม่พ้นเป็นท่านน้าอนุสี่และท่านน้าอนุห้า



กลางค่ำกลางคืนบิดาฝันเห็นตนเองเป็นบุรุษผู้องอาจ มีเหล่าภรรยาปรนนิบัติพัดวี ทั้งที่ความจริงสกุลเยี่ยยั่งยืนทุกวันนี้ได้เพราะมีภรรยาและอนุเกื้อหนุนดูแล มิหนำซ้ำยังใช้ใบหน้าข้ามาลวนลามมารดา...คนจะไร้ยางอายเกินไปแล้ว!



ข้าสะบัดฝ่ามือไปหนึ่งครั้งเหล่าแม่นางทั้งห้าก็สลายหายไปเป็นหมอกควัน เยี่ยหย่งฟางมีสีหน้างุนงงอยู่ไม่น้อย ครู่หนึ่งคนก็เพิ่งตระหนักได้ถึงการมีอยู่ของข้า ใบหน้าที่เหมือนข้าทั้งสิบส่วนคราวนี้กลับฉายแววตระหนกตกใจ นิ้วชี้มาที่ข้าด้วยเสียงสั่นเครือ “เจ้า...เจ้าลูกทรพี แม้แต่ในฝันจะยังมาหลอกหลอนข้าอีกหรือ! ”



ข้าแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม ยิ่งเห็นเขาใช้ใบหน้าของข้าแสดงท่าทางหวาดกลัวเหมือนหนูเจอแมวก็ยิ่งรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาทุกที ข้าปราดเข้าไปยืนเบื้องหน้าเขา ใช้สองแขนกดลงบนบ่าของบิดาด้วยท่าทางอันเปี่ยมไปด้วยรักยิ่ง “ย่อมเป็นลูกอกตัญญูผู้นี้เอง มิยักทราบว่าท่านตอนหนุ่มๆ หน้าตาเหมือนข้าถึงเพียงนี้”



“เพราะ...เพราะอู๋เกอหน้าตาดีเหมือนพ่อต่างหากเล่า” จากลูกทรพี ข้าได้เลื่อนขั้นเป็นอู๋เกอในทันใด ครั้นพูดจบใบหน้านั้นก็ซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม เห็นแล้วหงุดหงิดใจยิ่งนัก แม้เป็นในฝันแต่ข้าคงมิสามารถปล่อยให้เขาใช้ใบหน้าของข้ากระทำเรื่องยวนยางกับเหล่ามารดาทั้งห้าได้ จึงใช้ฝ่ามือขึ้นลูบตามผิวแก้ม ไม่นานก็ปรากฏชายวัยใกล้เคียงกับข้า แต่ยังคงมีหางคิ้วตกท่าทางอมทุกข์ คล้ายคลึงกับตาแก่หัวขาวที่นอนหลับอยู่ในโลกความจริงไม่น้อย



“บิดาฟังข้าให้ดี” ข้ารีบเข้าประเด็นก่อนที่จะเสียเวลากับคนน่าตายไปมากกว่าเดิม น้ำเสียงช่างโหดร้ายสมกับเป็นลูกอกตัญญูแห่งยุคจริงๆ “ข้าได้รับพลังหยินมากเกินไป จึงตายไปเสียแล้ว แต่ยังมีห่วงหนึ่งที่อยากให้ท่านเป็นธุระจัดการให้เสียหน่อย”



“เจ้าตายแล้วหรือ...อู๋เกอตายแล้วหรือ” ประโยคแรกคล้ายงุนงง แต่ประโยคหลังปิดความยินดีไม่มิดทีเดียว มิพบเจอกันหลายปี มิรู้ว่าสมองของเขามีปัญหาหรือเปล่า บัดนี้ถึงได้กลายเป็นคนพูดจาอะไรซ้ำซ้อนเช่นนี้ ข้ากดฝ่ามือย้ำลงไปบนบ่าหนักๆ อีกครั้ง เตือนให้คนหยุดพูดเสียก่อนที่ข้าจะเกิดอารมณ์โมโหขึ้นมา



“ข้าตายแล้วตอนนี้เป็นเพียงแค่วิญญาณ แต่มีสิ่งหนึ่งที่อยากขอร้องท่านในฐานะบิดาให้ช่วยเหลือเสียหน่อย เวลานี้เฮยไป๋อู๋ฉางยังไม่มารับตัวข้า หากท่านเผากระดาษเงินกระดาษทอง จุดธูปเทียนเผากำยานให้มากหน่อย ไม่แน่ว่าน่าจะขอร้องให้ข้าอยู่ในโลกนี้ฝึกวิชาต่อได้อีกสองสามปี ยังมีโอกาสได้ฝึกปรือจนกลายเป็นอ๋องผีก็เป็นได้” ข้าร่ายความคิดที่อยู่ในสมองออกมา ฝึกวิชามาจนใกล้เหาะเหินขึ้นสวรรค์เช่นนี้จะให้ข้าเข้าสู่วัฏสงสารเพื่อเริ่มใหม่ในชาติหน้าก็เสียเวลาโดยแท้ แต่ถ้าได้อยู่บนโลกต่ออาจพอมีวิธีต่อชีวิตตนเองได้ ต่อให้เป็นแค่ผีหรือมารไม่ได้เป็นเทพเซียน อย่างน้อยที่ผ่านมาก็ไม่สูญเปล่าแล้ว



“เหอะ เรื่องอะไรข้าจะต้องช่วยเหลือเจ้าเล่า แค่เจ้าเกิดมาก็ยื้อแย่งความรักของโหรวโหร่วจากข้าไปหมดแล้ว โตมายังฝึกวิชานอกรีตมั่วโลกีย์จนชื่อเสียงตระกูลฉ่าวโฉ่ไปหมด” ปากพูดแบบนั้นแต่แววตากลับฉายแววอิจฉาริษยาอย่างเต็มที่ วาจาที่กล่าวมาจากคนกะล่อนเจ้าชู้หลายใจผู้นี้ย่อมเชื่อถือไม่ได้อยู่แล้ว



“เช่นนั้นท่านก็เลือกดูเถิด ระหว่างช่วยเหลือข้าเพื่อเป็นกุศลหรือจะให้ข้ามาเข้าฝันหลอกหลอนท่านทุกวันทุกคืนให้ท่านไม่ได้หลับไม่ได้นอน จะไปหลับนอนกับใครก็มิได้” คราวนี้ข้าตีหน้าเหี้ยมขู่จริงจังเสียยิ่งกว่าเดิม ตอนที่กำลังควักไส้ตนเองออกมานั้น เยี่ยหย่งฟางก็กล่าวด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักขึ้นมาทันที



“ติดสินบนยมทูตใช้เงินไม่น้อย ไม่รู้ว่าต้องเผากระดาษ...”



“เงินส่วนใหญ่ในตระกูลมิใช่ว่ามาจากร้านค้าของมารดาหรอกหรือ” ข้ากล่าวตัดบทพร้อมกับเหวี่ยงไส้ในมือตนเองเล่น ภรรยารองของสกุลเยี่ยมาจากตระกูลคหบดีที่ร่ำรวยของทางใต้ ความรับผิดชอบทางด้านการเงินล้วนมีนางเป็นผู้ดูแล ทั้งยังมีตั๋วเงินมากมายที่ข้าได้มาจากการขายหนังสือวังวสันต์เคล็ดลับกามารมณ์ที่ข้าเป็นผู้เขียนคอยส่งให้นางทุกเดือน บิดาที่ไม่ได้รักใคร่อะไรข้ามากมายจะไม่ช่วยเหลือข้าก็แล้วไปเถิด แต่มารดาข้าย่อมยินดี



คิดได้ดังนี้ก็รู้สึกว่าตนเองมิควรมาเสียเวลากับบิดาเลยจริงๆ ข้าหันหลังกลับหวังจะไปเข้าฝันมารดา แต่กลับได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลังเสียก่อน



“อู๋เกอ...” บิดาเรียกเสียงอ่อยคงรู้แล้วว่าข้าหมดวาจาจะกล่าวกับเขาจริงๆ ครู่หนึ่งข้ารู้สึกคล้ายว่าเยี่ยหย่งฟางมีน้ำเสียงอ่อนโยนเป็นห่วงเป็นใยข้าอย่างยิ่ง “เรื่องที่เจ้าขอบิดาจะช่วยเจ้าเอง เจ้าฝึกวิชาพลาดหรือถึงได้รับพลังหยินมากไป สรุปแล้วเจ้าเป็นอะไรตายกันแน่”



ข้าถอดถอนใจก่อนจะตอบอย่างเสียไม่ได้ “สุ่ยเต๋อฮ่องเต้วางยาปลุกกำหนัดข้าแล้วโยนเข้าไปในตำหนักที่มีบุปผาสามร้อยนาง ข้าร่วมสังวาสอยู่เจ็ดวันถึงได้ตาย”



“สนมสามร้อยนาง...สนมสามร้อยนาง” เยี่ยหย่งฟางผู้หลงใหลในสตรีพึมพำด้วยน้ำเสียงชวนน่าขนลุก ฉับพลันข้าเริ่มเห็นหมอกควันรวมตัวกันเป็นสตรีมากหน้าหลายตาขยับคืบคลานเข้าไปหาร่างของบิดา เพียงเท่านี้ข้าก็ทนมองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว



จากนี้ไปหากมีใครด่าว่าเยี่ยอู๋จวินมีจิตฝักใฝ่โลกีย์ ข้าจะไปหลอกหลอนมันให้ผมบนศีรษะร่วงโกร๋นจนสิ้น ข้าปรมาจารย์วังวสันต์หลับนอนกับสตรีเพื่อฝึกวิชา...ส่วนบิดาข้าเป็นตัวบ้าตัณหาอย่างแท้จริง



โปรดติดตามตอนต่อไป...


**************************


[1] ล้อสำนวน ตายใต้ดอกโบตั๋น เป็นผีก็สำราญ มีความหมายว่าต่อให้ถูกหญิงงามทำร้ายจนตายก็ยังยินดี ตายเป็นผีก็ยังคงเจ้าชู้สำราญ เปรียบหญิงงามเป็นดอกโบตั๋น



ซินเอ๋อร์: 

เรื่องนี้เป็นนิยายที่เขียนขึ้นแก้เครียด ไม่มีพล็อต ไม่มีโครง ใช้ความลามกเป็นตัวนำนะคะ แต่จะพยายามเขียนออกมาให้ดีที่สุดค่ะ ยังไงฝากเยี่ยอู๋จวินไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ

ขอบคุณค่ะ พบกันใหม่ตอนหน้าน้าา



ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
บทที่ 2 ท่านอย่าได้เสียใจไป หากใช้เงินให้ถูกที่ มิว่าสิ่งใดก็ซื้อได้



ครั้นออกมาจากความฝันสยิวของเยี่ยหย่งฟางก็เห็นท่าทางคนละเมอยิ้มหวานมือเริ่มลวนลามมารดา ด้วยความขวางหูขวางตาข้าซึ่งเป็นลูกทรพีจึงซัดฝ่ามืออันเปี่ยมไปด้วยพลังหยินใส่เขาสักที พอเห็นใบหน้าบิดาแสดงท่าทางอึดอัดดูไม่ได้ก็สบายใจขึ้นมาบ้าง ข้าค้อมกายคำนับขออนุญาตร่างหลับใหลของมารดาก่อนจะย่างก้าวเข้าไปในห้วงฝันของนาง



คนชั่วช้าย่อมมีห้วงฝันอันชั่วช้า คนดีงามย่อมมีความฝันที่ดีงาม...วาจานี้กล่าวได้ถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง ห้วงฝันของภรรยารองสกุลเยี่ยคือฤดูใบไม้ผลิในปีหนึ่ง มารดาของข้าในวัยสาวนั่งอยู่บนม้านั่งหินอ่อนที่ศาลากลางสวน สองมือโอบอุ้มเด็กน้อยวัยไม่เกินห้าขวบที่คล้ายก้อนซาลาเปาขาวอวบ ดวงตาดั่งเมล็ดซิ่งหลุบลงต่ำ ริมฝีปากแย้มยิ้มอ่อนหวานงดงามยิ่งนัก



“อู๋เกอเด็กดี...เหตุใดจึงโตเร็วยิ่งนัก อยู่เป็นเพื่อนเล่นกับแม่นานๆ มิได้หรือ” นางเอื้อมมือไปหยิกแก้มซาลาเปาทั้งสองข้างของอู๋เกอตัวจิ๋ว หยิกแล้วก็ยังไม่หนำใจจนต้องก้มลงไปหอมแก้มนิ่มอีกหลายครั้งจนใบหน้าน้อยแดงก่ำ เด็กน้อยผู้นั้นดิ้นขลุกขลักพร้อมกับหัวเราะเสียงใสคล้ายชอบใจ ฝ่ามือขาวเล็กโอบรอบคอเล็กของนางขยับกายไปอิงแอบแนบชิดด้วยความวางใจเป็นอย่างยิ่ง



“อู๋เกอจะไม่ไปไหน อู๋เกอย่อมอยู่กับท่านแม่ตลอดไป” เสียงเล็กตอบด้วยความใสซื่อยิ่งนัก ข้าฟังแล้วรู้สึกหัวใจหนักอึ้งอยู่ไม่น้อย มิรู้ว่ากี่สิบปีแล้วที่ข้ามิได้เอ่ยปากเรียกท่านแม่ หากแต่เรียกมารดาดั่งเช่นคุณชายตระกูลใหญ่คนอื่นๆ ในห้วงฝันมักปรากฏความต้องการในเบื้องลึกของตนเองออกมา เฉกเช่นบิดาที่ฝันเห็นสตรีน้อยใหญ่ปรนนิบัติเขามิห่าง ส่วนมารดาต้องการให้ข้าเป็นเด็กน้อยเรียกนางว่าท่านแม่เพียงเท่านั้น



“ฮึ เจ้าเด็กปากหวานจอมหลอกลวง เติบใหญ่แล้วเจ้าก็ระหกระเหินเที่ยวเล่นหยอกล้อสตรีไปทั่ว ไม่มีสองตามาแลมารดาแก่เฒ่าที่บ้านแล้ว” น้ำเสียงของเหยียนโหรวในวัยยี่สิบห้าทั้งตัดพ้อทั้งกระเง้ากระงอด หากวาจานี้คล้ายผิดแผกจากความเป็นจริงอยู่บ้าง เมื่อข้าอายุห้าขวบกว่ามารดาก็ให้กำเนิดน้องชายคนรอง ปีต่อมาให้กำเนิดน้องสาวอีกคน เด็กทั้งสองร่างกายอ่อนแอและงอแงยิ่งนัก สองข้างกายนางมีเด็กหญิงเด็กชายคอยรบกวนอยู่ตลอด ทำให้ยิ่งเติบใหญ่ข้าก็ยิ่งเหินห่างกับผู้ให้กำเนิดขึ้นทุกที



เมื่ออายุสิบสามข้าถูกส่งเข้าสำนักเซียนแห่งหนึ่งจึงห่างเหินจากมารดายิ่งกว่าเดิม ครั้นอายุสิบหกข้าก็ออกจากบ้านไปเฟ้นหาวิธีฝึกปรือตามเคล็ดวิชา แรกเริ่มยังกลับบ้านทุกสิ้นปี หากพออายุยี่สิบสี่ชื่อเสียงเหม็นโฉ่ของข้าก็เลื่องลือไปทั่วทุกตระกูลผู้บำเพ็ญเพียร สุดท้ายจึงออกจากตระกูลไปเพราะมิอยากให้ชื่อเสียงดีงามของมารดาต้องหม่นหมอง วันนี้แม้มิได้รู้สึกถึงอารมณ์รักลึกซึ้งระหว่างบุตรและมารดา แต่ความรู้สึกรักเอ็นดูที่นางเคยมอบให้ข้ายังจดจำได้ไม่น้อย



ถึงจะผีแต่ฤทธิ์วิชาของข้ายังคงใช้งานได้อยู่บ้าง ข้าผิวปากแผ่วเบาเรียกให้เยี่ยอู๋จวินตัวน้อยปีนลงจากตักของมารดา พอเห็นเขาทำท่าจะออกไปเล่นต่อในสวน สตรีผู้นั้นก็ก้มหน้ากล่าวเบาๆ ว่า “อย่าเล่นซนเกินไปเล่า หากเหนื่อยแล้วก็กลับมาหาแม่นะ” ข้ารอจนเขาวิ่งเตาะแตะหายไปจนลับสายตาสักพักหนึ่ง ข้าจึงเดินสวนไปทางที่เขาจากมาเห็นมารดากำลังก้มหน้าปักเสื้อเด็กอยู่



“กลับมาแล้วหรือ อู๋เกอสนุกหรือไม่” นางเงยหน้าขึ้นขยับยิ้มกว้างให้กับอู๋เกอที่เติบใหญ่เป็นบุรุษเต็มตัวแล้ว ร่างของชายวัยสามสิบสี่ปีคุกเข่าทรุดนั่งอยู่กับพื้นแทบเท้า ข้าโอบกอดสองขาของนางเอาไว้ เกยคางตนลงบนตักนิ่มด้วยท่าทางออดอ้อนเหมือนเด็กคนหนึ่ง มารดาเห็นท่าทางของข้าจึงงานปักในมือลง คนลูบศีรษะปลอบโยนอย่างแผ่วเบา “เล่นซนมากไปจนเหนื่อยแล้วล่ะสิ อู๋เกอพักก่อนแล้วค่อยไปเที่ยวเล่นต่อนะ”



“ท่านแม่...” ข้าเอ่ยวาจาด้วยเสียงหวานตามที่นางอยากได้ยิน ด้วยรู้ว่าสตรีล้วนชอบความอ่อนหวานยิ่งนัก ก่อนจะกล่าวความจริงในประโยคถัดมา “อู๋เกอของท่านคงมิอาจเที่ยวเล่นได้อีกต่อไป ข้าตายเสียแล้ว”



“...” เหยียนโหรวในวัยสาวนิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหัวเราะอย่างแผ่วเบา แต่มือที่ลูบศีรษะข้าอยู่นั้นสั่นไหวอยู่บ้าง กระทั่งวาจายังสั่นเครือ “อู๋เกอล้อแม่เล่นแล้ว เจ้าแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นจะตายได้เยี่ยงไร”



“เป็นลูกเองที่อกตัญญูต่อท่านแม่ วันนี้ข้าธาตุไฟเข้าแทรกขาดใจตายไปเสียแล้ว ทำได้เพียงเข้าฝันมาบอกท่านเท่านั้น” ข้าเงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อยแต่ไม่อาจสบสายตากับนางได้เพราะความรู้สึกอึดอัดบางอย่างในใจ สิ้นประโยคนั้นใบหน้าของก็เปียกชื้นด้วยหยดน้ำตาราวไข่มุกที่ร่วงหล่นลงมา มารดาผู้ให้กำเนิดหลั่งน้ำตาได้งดงามราวกับดอกสาลี่ยามต้องฝนฤดูใบไม้ผลิ สองมือของนางประคองสองแก้มข้าแล้วลูบไล้เบามือ



“อู๋เกอ...” นางร้องไห้สะอึกสะอื้นจนไม่เหลือมาดของฮูหยินรองสกุลเยี่ยที่งดงามสูงส่งอีกต่อไป อันที่จริงท่าทางเช่นนี้ของนางข้าก็มิเคยเห็นมาก่อนเช่นกัน เหยียนโหรวทรุดตัวลงกับพื้นแล้วโอบกอดข้าเอาไว้แน่นหนาเหมือนครั้งที่ข้าเป็นเด็กอีกครั้ง ข้านิ่งชะงักไปเล็กน้อย แม้เคยปลอบสตรีมามากมาย แต่พอถึงคราวมารดาตนก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี สุดท้ายแล้วจึงได้แต่ยกมือขึ้นตบหลังปลอบนางเบาๆ



“ท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ข้าคิดวิธียืดเวลาไปปรโลกได้อยู่วิธีหนึ่ง” เมื่อได้ยินดังนั้นมารดาก็คลายความเศร้าโศกลงได้บ้าง ดวงตาที่ยังเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำมองข้าด้วยสายตางุนงงยิ่ง ข้าจึงอธิบายแผนการติดสินบนเฮยไป๋อู๋ฉางเหมือนที่บอกกล่าวกับบิดาให้นางฟังอีกครั้ง ยิ่งได้ฟังเท่าไรนางก็ยิ่งเบิกตากว้างขึ้นเรื่อยๆ



“ต้องเผามากมายเพียงใดกันจึงจะรั้งเอาไว้ได้สักสามสี่ปี” ถึงจะหลั่งน้ำตาอย่างเงียบงัน แต่มารดากลับมีสีหน้าครุ่นคิดเหมือนปรกติขึ้นมาแล้ว เช่นนี้หัวใจที่หนักอึ้งของข้าจึงเบาลงมาได้สักหน่อย



“หากรบกวนเงินสกุลเยี่ยมากเกินไปคงไม่ดี มิรู้ว่าเงินทองที่ข้าส่งให้ท่านทุกเดือนป่านนี้มีเท่าใด สามารถดึงเงินส่วนนั้นมาใช้ได้บ้างหรือไม่” ถึงเหินห่างและมิทำหน้าที่บุตรได้ไม่ดีนัก แต่ข้าก็ยังคอยส่งเงินมาไม่ขาด คงเป็นความรับผิดชอบอย่างหนึ่งที่จุดด่างพร้อยในตระกูลเซียนเช่นข้าจะสามารถทำได้



“เงินที่ส่งมาแม่เก็บเอาไว้ไม่เคยใช้แม้แต่อีแปะเดียว ตรวจนับเมื่อเดือนก่อนมีอยู่แปดหมื่นตำลึงทองได้” ข้าย่อมรู้ว่าเขียนหนังสือวังวสันต์นั้นรายได้ดี แต่มิยักรู้ว่าหลายปีที่คอยส่งเงินกลับบ้านจะเป็นเงินจำนวนมหาศาลปานนี้ พอเห็นข้านิ่งเงียบไปบ้างมารดาจึงรีบกล่าวสำทับ “อู๋เกอไม่ต้องกังวล เงินจากร้านค้าและกิจการของแม่ยังมีอยู่มากมายนัก ต่อให้เจ้าจะกลายเป็นอ๋องผีหรือเป็นมาร แม่ก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือเจ้าอย่างแน่นอน”



“พระคุณของท่านข้าจะไม่ลืมเลือน”



เหยียนโหรวในวัยสาวไม่ตอบรับคำพูดของข้า นางเพียงจับจ้องใบหน้าข้าด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกและรอยยิ้มอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง ปลายนิ้วของนางลากไปตามข้างแก้มของข้าเบาๆ ครู่หนึ่งก็รู้สึกคล้ายทั้งโลกสั่นไหว ข้ากลับมายืนอยู่ที่ข้างเตียงสี่เสาอีกครั้ง ส่วนมารดาในวัยห้าสิบกว่าปีผุดลุกขึ้นนั่งด้วยใบหน้าที่ยังอาบไปด้วยหยดน้ำตา



มารดาร่ำไห้เสียใจคงต้องปล่อยให้คนปวกเปียกแซ่เยี่ยเป็นผู้ปลอบใจ ส่วนเหตุการณ์ต่อจากนั้นข้าก็ไม่อยากมองอีกต่อไปแล้ว ยิ่งเห็นผู้คนคุ้นเคยร้องไห้ให้กับการจากไป ข้าก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจขึ้นทุกที หนึ่งคงเพราะข้ายังมิได้จากไปไหน ยังมิได้ไปเดินเล่นที่น้ำพุเหลือง สองคงเพราะไม่คิดว่าตัวสารเลวเช่นข้าจะยังมีใครเสียใจกับการจากไปอีกหรือ



ข้าไปหลบตัวอยู่ในภูเขาแห่งหนึ่งที่มิไกลจากบ้านสกุลเยี่ยนัก แม้เห็นความเป็นไปห่างๆ แต่ไม่ได้รับรู้รายละเอียดถึงขั้นว่าสกุลเยี่ยส่งคนไปรับข้าจากวังหลวงของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ ทั้งยังจัดพิธีฝังศพข้าในสุสานประจำตระกูลตามฐานะดั้งเดิมของข้าอย่างใหญ่โตไม่น้อยหน้าใคร นอกจากมารดาแล้วยังมีคนอื่นที่สูญเสียน้ำตาให้ข้ามากมายและมีคนหัวเราะสะใจในหายนะของข้าอยู่ไม่น้อยเช่นกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ข้ารู้ก็คือบิดามารดาได้จัดการตามคำสั่งเสียของข้าได้ดียิ่ง



เริ่มแรกข้าเห็นควันจากเตาไฟในเรือนพักของมารดาที่พุ่งพวยตลอดเวลานับตั้งแต่นางลืมตาตื่นจากห้วงฝันครั้งนั้น วันต่อมาเห็นว่าตำแหน่งควันย้ายไปที่สวนสกุลเยี่ย คนเผากระดาษเงินกระดาษทองจุดธูปเทียนทั้งวันทั้งคืนมิได้หยุดได้หย่อน หลังจากพิธีฝังศพของข้าได้สามวันกลุ่มควันก็แผ่ขยายไปทั่วเมืองจนคล้ายปกคลุมด้วยหมอกควัน อีกเจ็ดวันเริ่มมีชาวบ้านรวมตัวมาเคาะประตูร้องทุกข์ว่าเดือดร้อนเพราะควันไฟจากตระกูลเซียนที่มิรู้ว่าจะเผาสิ่งใดได้ทั้งวัน ผู้คนรอบข้างต่างใช้ชีวิตลำบากแล้ว



เมื่อได้รับคำร้องทุกข์เช่นนั้นสกุลเยี่ยที่เป็นสกุลผู้บำเพ็ญเพียรชื่อดังย่อมมิสามารถปล่อยให้ประชาชนเดือดร้อน ข้าลอบเข้าไปสังเกตการณ์ก็พบว่ามารดาได้สั่งให้คนย้ายสถานที่ก่อวินาศกรรมเผาสิ่งของติดสินบนยมทูตไปยังอารามร้างที่ห่างไกลจากผู้คนแห่งหนึ่ง



หลายวันมานี้ที่กลายสภาพเป็นผีเร่ร่อนชั่วคราว ข้ามิเคยได้รับข่าวคราวจากเฮยไป๋อู๋ฉางแม้แต่น้อย ระหว่างนั้นข้าที่ไม่มีงานการสิ่งใดทำจึงได้ไปเดินเล่นในสุสานประจำเมือง พูดคุยกับบรรดาวิญญาณผีบรรพบุรุษจากตระกูลต่างๆ เดินหมากร้องบทละครพูดคุยเรื่องวังวสันต์ตามประสาผู้ว่างงาน ก็ได้ยินข่าวลือจากเหล่าวิญญาณที่ยังคงวนเวียนในภพนี้ว่ากระดาษเงินกระดาษทองและธูปเทียนกำยานสำหรับจุดบูชาขาดตลาดเป็นอย่างมาก มิใช่เพียงแค่ในละแวกนี้เพียงเท่านั้น หากแต่เหนือจรดใต้แม้แต่แคว้นใกล้เคียง สกุลเยี่ยยังสั่งให้คนไปกวาดซื้อข้าวของจนหมด...นี่คล้ายว่าข้าจะสร้างเรื่องขึ้นมาอีกแล้ว



สกุลเยี่ยเผากระดาษเงินกระดาษทองธูปเทียนกำยานอยู่เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน ข้าก็คิดว่าควรแก่เวลาแล้ว พอไปเข้าฝันมารดานางจึงบอกว่าเตรียมข้าวของไว้มากมายยังเผาไม่หมดจึงขอยืดเวลาออกไปก่อน จวบจนเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดวัน...เผากันจนเขม่าจับพระพุทธรูปและอารามร้างแห่งนั้นกลายเป็นสีดำสนิทมองแล้วดุดันน่ากลัวยิ่ง เบื้องหน้าของข้าที่กำลังนั่งฟังเรื่องราวรักใคร่ของชนรุ่นหลังจากผู้เฒ่าสกุลลู่ก็ปรากฏชายสองคนในชุดขาวดำ



ผีสกุลลู่เห็นเฮยไป๋อู๋ฉางก็รีบเผ่นหนีทันที เพราะกลัวว่าจะถึงเวลาหมดสัญญาหมดหน้าที่ผีประจำตระกูลและถูกเอาตัวไปปรโลก ข้าเงยหน้าขึ้นมองยมทูตทั้งสองด้วยความกังวลอยู่หลายส่วน แต่พอเห็นใบหน้าอิ่มเอิบไปด้วยสินบนของทั้งคู่ก็รู้สึกวางใจจนสามารถขยับยิ้มกว้างออกมาได้ ทั้งสองมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนยมทูตชุดดำจะเป็นผู้เริ่มเอ่ยวาจา



“เผามากมายขนาดนั้นคงพอได้แล้วกระมังเยี่ยอู๋จวิน” ปากบอกแบบนั้นแต่ใบหน้าเฉยชากลับสดใสส่องประกายราวหยกมันแพะ ข้าที่มีอำนาจต่อรองน้อยกว่าจึงได้แต่หัวเราะแห้งๆ อันที่จริงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทางที่บ้านจัดการติดสินบนไปเท่าไรกันแน่ แต่หากถึงขั้นเฮยอู๋ฉางเอ่ยปากว่าพอได้แล้วก็คงจะไม่เล็กน้อยจนน่าเกลียดเป็นแน่



“พวกข้าสองคนได้ปรึกษาเรื่องนี้กับท่านยมบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” คำพูดของไป๋อู๋ฉางแปลง่ายๆ ว่าสินบนที่เจ้าส่งไปตอนนี้พวกข้าเอาไปแบ่งกันเรียบร้อย แต่ผีที่ดีเช่นข้าย่อมมิเปิดเผยคำพูดนั้นออกมา ได้แต่พยักหน้ารับฟังอย่างว่าง่าย “เจ็ดปี...ปรโลกจะให้เจ้าเป็นผีเร่ร่อนได้เจ็ดปีโดยที่ไม่มีใครมาตามล่าตัวเจ้าไปชดใช้บุญกรรมหรือเข้าวัฏสงสาร”



ได้ยินคำกล่าวดังนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของข้าก็กว้างขึ้นกว่าเดิม ตอนแรกคิดว่าคงยืดเวลาได้อย่างเก่งไม่เกินสามปี ใครจะรู้เล่าว่าผลของการทุ่มทุนจากสกุลเยี่ยทำให้ข้ายังสามารถอยู่ในภพนี้ได้นานกว่าเดิมมากนัก ข้าค้อมกายคำนับยมทูตทั้งสองเป็นการขอบพระคุณ ตอนที่กำลังคิดว่าจะว่ากล่าวสิ่งใดดี ยมทูตชุดดำก็สั่งสอนวิธีการเป็นผีที่ดีให้ข้าอยู่หลายข้อ



ข้อแรกคือในช่วงเจ็ดปีนี้มิต้องให้ใครเผาสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว ถึงจะสามารถติดสินบนปรโลกได้ แต่มากไปก็เป็นการแทรกแซงความเป็นตายกันเสียเปล่าๆ หากสวรรค์ตรวจพบเข้าจะเป็นการสร้างปัญหาเสียมากกว่า มิหนำซ้ำจะเดือดร้อนกันไปทั่ว มีเงินเป็นเรื่องดี แต่อย่างไรก็ควรจะใช้เงินให้ถูกที่ถูกทาง



ข้อสองเป็นเรื่องการระมัดระวังผู้บำเพ็ญเพียร ผู้ฝึกผี และนักพรตทั้งหลาย หากเผลอทำวิญญาณแตกซ่านเป็นเศษเสี้ยว เกรงว่าหนทางจะเข้าสู่วัฏสงสารก็คงจะยากแล้ว และหากไปทำสัญญากับใครเข้า แม้ว่าจะคงสภาพวิญญาณได้เกินเจ็ดปี แต่นานวันเข้ามีแต่จะกลายเป็นวิญญาณทาส สุดท้ายแล้วก็มิสามารถมีสมองนึกคิดเป็นของตนเองได้



ข้อสามเฮยอู๋ฉางกล่าวถึงการฝึกตน หากจะเป็นอ๋องผีมิจำเป็นต้องหากายเนื้อมาทดแทน เมื่อพลังแข็งแกร่งถึงสูงสุดย่อมกายเนื้อของอ๋องผีจะปรากฏขึ้นมาเอง หากจะสิงร่างใครก็อย่าเลือกคนที่พลังหยางสูงมากนัก เพราะจะเป็นการทำร้ายทั้งตนเองและแก่นวิญญาณผู้เป็นเจ้าของร่าง ควรหยิบยืมสิงร่างชั่วคราว มิควรยึดร่างมาเป็นของตน สาเหตุนั้นสัมพันธ์กับข้อที่สี่



ข้อสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือการระวังพฤติกรรมมิให้สร้างบาปจนเกินไปนัก แม้ตอนนี้ปรโลกยังไม่นำตัวกลับไป ใช่ว่าบาปบุญจะถูกเมินเฉยแต่อย่างใด หากข้าก่อกรรมทำเข็ญเข่นฆ่าคนจนเกิดจิตมาร แต่ยังมิทันกลายสภาพเป็นมารภายในเจ็ดปี เมื่อไปพบท่านยมบาลย่อมต้องได้รับโทษทัณฑ์ที่หนักหนากว่าเดิม ทางที่ดีเป็นผีที่สร้างกุศลช่วยเหลือคนเป็นก็จะดีไม่ใช่น้อย



“ถือว่าคนกันเอง ข้าจะตักเตือนเจ้าอีกอย่างหนึ่ง” ข้าฟังแล้วก็คิดขึ้นได้ว่าหากเงินถึงก็สามารถเป็นคนกันเองกับเฮยไป๋อู๋ฉางได้เหมือนกัน แต่ทางที่ดีเก็บปากเก็บคำไว้ดีกว่า “เจ้าอย่าได้ไปเที่ยวเข้าฝันคนเป็นบ่อยนัก ยิ่งถ้าไปเข้าฝันคนที่มีจิตผูกพันกับเจ้ามากเข้า อาจทำให้คนเกิดหลงทาง บำเพ็ญเพียรไม่สำเร็จได้”



แต่ไหนแต่ไรข้าเยี่ยอู๋จวินมิเคยใช่คนโง่เขลา ได้ยินคำดังนั้นย่อมรู้ว่าเขาหมายถึงการเข้าฝันมารดา ยิ่งข้าพบเจอนางบ่อยเท่าใดจะยิ่งเป็นการขัดขวางการเป็นเทพเซียนของนางเปล่าๆ ข้าคำนับขอบคุณยมทูตทั้งสองจากใจจริงพลางจดจำคำเตือนต่างๆ จนขึ้นใจ เฮยไป๋อู๋ฉางจึงวางใจ ปล่อยให้วิญญาณร่ำรวยเช่นข้าอยู่ในโลกได้ต่อไป



รอจนประตูยมโลกเปิดขึ้น เฮยไป๋อู๋ฉางหวนกลับสู่พิภพของตน ข้าจึงทดลองโคจรพลังอีกครั้งเพื่อตรวจสอบพลังฝึกปรือที่ยังเหลือฝังอยู่ในจิตวิญญาณ แม้ว่าพลังจะหายไปสองส่วนเพราะปราศจากร่างกายแต่ก็นับว่าไม่เลวนัก มิหนำซ้ำก่อนตายข้าได้พลังหยินจากบุปผาสามร้อยนางจนเกิดพิกัด หากยังฝึกฝนด้วยมรรคาเดิมย่อมเพื่อเปลี่ยนสภาพให้ตนเองเป็นอ๋องผี คงต้องใช้พลังหยางอยู่มากเพื่อมาเติมเต็มส่วนที่ขาดสมดุล เกรงว่าจากวันนี้เยี่ยอู๋จวินคงมิจำเป็นต้องซวงซิวกับสตรีอีกต่อไปแล้ว



ข้าเหม่อมองทิวทัศน์บ้านเกิดแล้วถอดถอนหายใจอีกครั้ง ข้าคงจะไปเข้าฝันบอกกล่าวมารดาและบอกลานางสักครั้ง จากนี้ไปคงต้องหาสถานที่สักแห่ง หาผู้คนดวงตกที่ชีวิตมีปัญหาสักคนที่จะสามารถหลับนอนกับบุรุษได้ หากข้าสามารถช่วยเหลือชีวิตเขาได้ก็ดี หากคนงามยินยอมให้ซวงซิวได้ยิ่งดีไปใหญ่ เพราะถือเป็นการสร้างกุศลต่อวิญญาณข้าทั้งสิ้น



นับจากนี้เป็นต้นไป...หนทางการเป็นผีลามกเพื่อเปลี่ยนสภาพเป็นอ๋องผีผู้เกรียงไกรของข้าก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว



โปรดติดตามตอนต่อไป...


*********************

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
บทที่ 3 ถ้าเจ้าคึกได้แค่นั้น อย่าริเรียกตนว่านักรักเลย



“ดีหรือไม่ย่าเอ๋อร์” เสียงแหบแห้งจากร่างยักษ์ที่ทาบทับอยู่ด้านบนเอ่ยถามพร้อมใบหน้าเหยเกคล้ายสุขสมยิ่ง ครั้นได้ยินคนงามใต้ร่างครวญครางหอบหายใจกระเซ่าคนก็ยิ่งกระทั้นกายเข้าไปดุดันหนักหน่วงเสียจนทั้งเตียงโยกคลอน มิหนำซ้ำยังกระทำการรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมเอ่ยถามด้วยวาจาหยาบโลนเช่นเคย “ย่าเอ๋อร์...นายท่านผู้ทำรักเจ้าได้ดียิ่งใช่หรือไม่”



ทำรักกับผีน่ะสิ! เครื่องเพศคึกเพียงแค่นั้นมิสมควรนำมาใช้งานต่อแล้ว ตัวเจ้าราวหมูป่าปานนั้นยังจะกดทับอีกฝ่ายไว้ใต้ร่างอีก ที่ย่าเอ๋อร์ใบหน้าแดงก่ำนั้นอาจไม่ใช่เพราะรู้สึกเสียวกระสันสุขสมแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเจ้าทับร่างเขาไว้จนหายใจไม่ออกใกล้จะขาดใจตาย ปล่อยย่าเอ๋อร์ไปได้แล้ว!



ข้าที่ยื่นชมภาพการร่วมสังวาสระหว่างหมูตอนตัวอ้วนและมนุษย์ร่างบอบบางอยู่พักหนึ่งก็ทนมองไม่ไหวอีกต่อไป จำเป็นต้องถอนสายตาจากเตียงไม้มายังวิญญาณชายชราที่อยู่ข้างกาย แม้จะตายกลายเป็นผีมานานปีแต่ใบหน้าแก่ๆ ของผีสกุลลู่นั้นซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด ข้าที่เสียสายตาเป็นอย่างยิ่งเห็นเขาแล้วแล้วก็อดเหน็บแนมไม่ได้ “รสนิยมใต้เท้าลู่เป็นเช่นนี้นี่เอง คนแซ่เยี่ยได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”



วิญญาณตาแก่สกุลลู่แกล้งทำเป็นสำลักตั้งหน้าตั้งตาไอกลบเกลื่อนจนหนวดกระเพื่อม เรียกว่ามิสามารถเอ่ยกล่าววาจาใดตอบโต้กลับได้ ข้าทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ในห้องตัวหนึ่งปล่อยให้เขาไอจนสมใจ จนผีชราทนไม่ไหวต้องหันมาแทบจะกราบกรานข้าแทน “ท่านเยี่ย...ท่านเยี่ยเห็นใจข้าด้วยเถิด ลูกหลานสกุลลู่เป็นเช่นนี้ข้าย่อมตายตาไม่หลับ เห็นท่านมีชื่อเสียงขจรไกล มิหนำซ้ำยังมีอำนาจมากมายขนาดเฮยไป๋อู๋ฉางยังต้องละเว้น ปรมาจารย์เช่นท่านย่อมสามารถช่วยเหลือเขาได้”



ผายลมแล้วเจ้าคนสกุลลู่ ตายตาไม่หลับบ้านเจ้าหรือ เห็นวันก่อนยังเห็นเจ้าเริงร่าจิบสุราดีที่ลูกหลานนำมาเซ่นไหว้ เขียนเพลงแต่งกลอนเกี้ยวฮูหยินผู้เฒ่าที่กิริยามารยาทงดงามจากสกุลเจียง สังสรรค์กับเหล่าผีแก่จากตระกูลนั้นตระกูลนี้ ชีวิตหลังความตายสุขสบายเต็มที่ ตอนนี้พาข้ามาดูลูกหลานไม่ได้เรื่องกลับมาตีท่าสลดใจ ไม่อับอายชนรุ่นหลังบ้างหรือไร



ข้าเหลือบมองชายร่างหมูตอนซึ่งยังคงกระทำย่ำยีชายงามสามย่าเอ๋อร์บนเตียงอย่างไม่จบไม่สิ้นก่อนจะหันกลับมามองบรรพบุรุษโคตรเหง้าที่หน้าเขียวหน้าแดงท่าทางคล้ายถูกรังแก สกุลลู่ลำบากแล้วจริงๆ ต้นตระกูลเป็นสกุลบัณฑิตรับราชการตำแหน่งเป็นถึงเสนาบดีกรมการยุติธรรม ผีแซ่ลู่สมัยยังมีชีวิตอยู่ก็เคร่งขรึมท่าทางคงแก่เรียนน่าเคารพนับถือยิ่งนัก พอมาถึงรุ่นหลานมิรู้ว่าเกิดอาเพศสิ่งใดถึงได้มีหมูตอนมาถือกำเนิดในตระกูลได้



“ฉงซานแท้จริงแล้วเป็นเด็กดียิ่งนัก แต่เพราะลูกชายโง่เง่าปล่อยให้นางจิ้งจอกเข้ามาควบคุมดูแลบ้าน หลานชายคนโตของข้าจึงเป็นคนเหลาะแหละไม่เอาความเช่นนี้” ข้าเหลือบสายตามองผีสกุลลู่เพื่อบอกให้อีกฝ่ายเงียบปากได้แล้ว เรื่องจำพวก ภรรยาหลวงตาย สามีปล่อยให้อนุรังแกลูกภรรยาข้านั้นฟังมาจนเอียนจะแย่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอนุสกุลลู่เลี้ยงดูเจ้าหมูอย่างเต็มที่ ข้าวของที่ใช้ล้วนต้องเป็นของดีที่สุด ปล่อยให้คนนิสัยเกะกะเกเรเอาแต่ใจ สุดท้ายก็กลายเป็นตัวไร้ประโยชน์เสพสมสุรานารีรอวันตาย



ผีสกุลลู่เอาเรื่องนี้มาบอกเล่าเฝ้าขอร้องจนพาข้ามาดูให้เห็นทั้งสองตาแล้วจะเกิดสิ่งใดได้ ข้าเป็นปรมาจารย์วังวสันต์เก่งกาจช่ำชองเรื่องทุกข์สุขบนเตียงยามเปลื้องผ้า คงไม่สามารถช่วยหมูที่ตกลงไปในปลักโคลนชีวิตให้กลับมาเป็นชายหนุ่มที่ดีงามได้กระมัง



พอข้าอ้าปากจะปฏิเสธ บรรพบุรุษแซ่ลู่ก็ทิ้งตัวลงคุกเข่าใช้หน้าผากกระแทกกับพื้นเสียงดังปัง น่าเสียดายที่เสียงดังขนาดนั้นแต่คนในโลกมนุษย์กลับไม่ได้ยิน หมูฉงซานจึงยังคงมัวเมากับชายหนุ่มหน้าหยกนามย่าเอ๋อร์นั้นมิสร่าง ข้าถอดถอนใจเริ่มรู้สึกโมโหตัวเองที่ตามเขามาแต่แรกแล้ว “ใต้เท้าลู่ ข้าเลื่องชื่อเรื่องวังวสันต์ มิได้เก่งกาจเปลี่ยนใจดัดนิสัยคน ท่านคงมาขอความช่วยเหลือผิดคนแล้ว”



ตาแก่แซ่ลู่ได้ยินดังนั้นจึงรีบตอบทันควัน “ไม่ผิดคนอย่างแน่นอน มิใช่ว่าท่านเชี่ยวชาญด้านจิตใจคนหรอกหรือ ท่านคบหาหลับนอนกับยอดสตรีในใต้หล้านี้มากมาย ข้ายังไม่เคยได้ยินข่าวคราวสักนิดว่ามีครั้งใดสตรีเหล่านั้นก่อปัญหาให้ท่าน แม้แต่ทะเลาะวิวาทหึงหวงก็ยังมิเคยปรากฏ เช่นนั้นท่านเยี่ยต้องเก่งกาจทั้งเรื่องรักบนเตียงทั้งเรื่องจัดการผู้คนเป็นแน่”



เรื่องที่บรรพบุรุษสกุลลู่กล่าวมาล้วนถูกต้องดีแท้ ข้าสามารถจัดการทั้งสตรีและบุรุษได้อย่างเงียบเชียบเรียบร้อยดีนัก แต่สาเหตุเป็นเพราะว่าข้าวางขอบเขตความสัมพันธ์ไว้เพียงเชิงใคร่ตั้งแต่แรก เมื่อมิได้มีใครก้าวมาในเชิงรัก ปัญหาหึงหวงไล่ตามสารพัดอย่างเฉกเช่นที่ชายเสเพลผู้อื่นต้องผจญจึงไม่ค่อยได้ย่างกรายมารบกวนข้าเท่าไรนัก



“ฉงซานนอกจากจะนิสัยไม่เอาไหนไม่สนใจการงานแล้วยังเจ้าชู้ไม่เลือกหน้า ท่านเยี่ยดูเถิด หลานชายข้าอายุสิบแปด ยังไม่แต่งภรรยาเอกแต่มีอนุหญิงสามคน อนุชายอีกหกคน ไม่นับรวมสาวใช้อุ่นเตียงอีกห้าคน แต่ละวันผู้คนตบตีทะเลาะแย่งชิงความรักจากเขาจนบ้านสกุลลู่มิต่างอะไรกับโรงงิ้ว โชคดีที่เขายังไม่มีบุตร มิเช่นนั้นคงได้วุ่นวายกว่าเดิมนัก”



ลู่ฉงซานมีบุตรได้ก็คงอัศจรรย์ คนน้ำหนักตัวมากมายถึงเพียงนี้ มิหนำซ้ำยังเจ้าชู้มักมากจนไม่ว่างเว้นจากการเสพกามา ดูจากใบหน้าดำคล้ำไม่สดใสก็รู้ว่าพลังหยางอ่อนแอยิ่งนัก คนจะเอาน้ำยาอะไรไปผลิตทายาทกันเล่า กระทั่งเครื่องเพศที่ถูกพุงกระเพื่อมบดบังยังแข็งขืนได้ไม่ถึงครึ่งของบุรุษทั่วไป ที่ยังใช้งานได้อยู่นั้นก็นับว่าเป็นบุญอย่างยิ่งแล้ว



“เฮยไป๋อู๋ฉางมิได้บอกให้ท่านเยี่ยสร้างกุศลมิใช่หรือ...หากช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากย่อมเป็นบุญอย่างยิ่ง ขอเพียงท่านช่วยชี้ทางให้เขาสักเล็กน้อย มิต้องให้ดีเลิศเหมือนคุณชายสกุลอื่นก็ได้ เพียงแค่ให้เขาสามารถควบคุมดูแลมิให้อนุทะเลาะเบาะแว้งกัน แค่นั้นบ้านสกุลลู่ก็คงสงบสุขดีแล้ว” วิญญาณชราสกุลลู่ช่างกล่าววาจาได้น่าหัวร่อยิ่งนัก หมูตอนสกุลลู่มันตกทุกข์ได้ยากตรงไหน ออกจะสุขสมจนเกิดพอดีเสียด้วยซ้ำ อีกอย่างตอนนั้นที่รีบหายตัวไป สุดท้ายแล้วนิสัยเสียแอบฟังคนคุยกันมิใช่หรือ



ข้าลอยละลิ่วออกจากห้องประกอบกิจสังวาสของเจ้าหมูสกุลลู่มายืนเหม่อมองเรือนน้อยใหญ่ด้วยความครุ่นคิด อันที่จริงที่นี่ก็เหมาะสมกับการฝึกวิชาของข้ามิใช่น้อย ข้าหันไปมองวิญญาณสกุลลู่ที่ตามมาก็ถอนหายใจอีกครั้งทั้งที่ไม่มีลมหายใจ น้ำเสียงที่กล่าวออกไปปั้นปึ่งเย็นชาอยู่หลายส่วน “ระหว่างที่ข้ารั้งอยู่ ท่านอย่าได้มาวนเวียนที่นี่อีก ลู่ถงซานมิได้แข็งแกร่งพอจะรับไอหยินจากวิญญาณสองตนได้”



ครั้นเห็นว่าข้ายอมตกปากรับคำ ผีแก่สกุลลู่ก็รีบคุกเข่าขอบคุณและจรลีกลับไปที่สุสานประจำเมืองอันเป็นแหล่งรวมตัวของบรรดาผีบรรพบุรุษในทันที ที่ข้าพูดไปนั้นเป็นเพียงความจริงกึ่งหนึ่ง ความจริงอีกอย่างตอนนี้คงมิเหมาะจะเปิดเผยให้ตาแก่ได้รู้ในตอนนี้



ความจริงครึ่งแรกคือร่างกายหมูอ้วนทรุดโทรม ไอหยินลอยวนเวียนน่าหวั่นใจยิ่งนัก ผีปู่ของเขามิได้เชี่ยวชาญการมองหยินหยางเช่นข้า จึงมิได้รู้ว่าหากปล่อยให้หลานชายเป็นอย่างนี้ต่อไป เกรงว่าไม่นานเจ้าหมูตอนคงได้พบหน้าปู่เร็วกว่ากำหนดแน่ ความจริงครึ่งต่อมาคือลู่ถงซานแล้วเป็นพวกต้วนซิ่ว แต่งอนุภรรยาหญิงหลับนอนกับสาวใช้เพียงเบื้องหน้า หากเบื้องหลังความมากรักหลายใจของเขาคืออนุชายทั้งหกผู้หน้าตางดงามไอหยางเต็มเปี่ยมเหมือนอย่างย่าเอ๋อร์ที่ใกล้หมดลมคนนั้นต่างหาก



ระหว่างที่เจ้าหมูตอนยังคงกระทำย่ำยีย่าเอ๋อร์มิหยุดหย่อน ข้าก็เริ่มทำการสำรวจทรัพยากรพลังหยางในเรือนน้อยใหญ่ของบ้านสกุลลู่ด้วยความตั้งใจ อย่างไรแล้วก็คงต้องอยู่ที่นี่สักพักหนึ่ง เหตุใดมิหาความสำราญและหาวิธีฝึกปรือไปพร้อมกันเล่า



หน้าตาของลู่ฉงซานแม้จะดูไม่ได้ แต่รสนิยมนับว่าดีเลิศโดยแท้ นอกจากห้องหับที่ตกแต่งอย่างดี อนุชายทั้งหกคนของเขานับว่ารวบรวมคนงามมาไว้ในอุ้งมือ แม้ว่าจะมิใช่บุตรชายจากตระกูลดีอะไร แต่ทั้งหกคนหน้าตาบุคลิกท่าทางแตกต่าง มีทั้งบอบบาง อ่อนโยน ออดอ้อน แข็งกร้าว เผ็ดร้อน มิหนำซ้ำบางคนพลังหยางยังมากมายกว่าบุรุษปรกติทั่วไป คล้ายว่าเป็นผู้ฝึกตนอยู่บ้าง นี่นับว่าหมูตอนตัวนี้ช่างเก่งกาจในการหาความสำราญดียิ่ง



เมื่อศึกหนักระหว่างชายหน้าหยกและหมูป่าเงียบเสียงลง ข้าจึงตัดสินใจโผล่เข้าไปในความฝันเจ้าตัวไม่ได้ความสกุลลู่ ตอนแรกทำใจไว้แล้วในระดับหนึ่งว่าคงได้เห็นความฝันอันแสนน่าอเนจอนาถ คงได้เห็นหมูตอนตัวขาวเปลือยกายย่ำยีคนงามอีกรอบ แต่เมื่อเข้าไปกลับพบว่าลู่ถงซานกลับยืนตัวกลมอยู่ในสวน ในมือถือขลุ่ยลำหนึ่งพร้อมกับเป่าเพลงท่วงทำนองรื่นเริงของฤดูร้อน ท่าทางดั่งคุณชายตระกูลใหญ่ผู้แสนดีช่างขัดกับรูปร่างหน้าตา



คนเป่าจนจบก็รีบสอดขลุ่ยเข้าไปในแขนเสื้อ น้ำเสียงแหบแห้งลากยาวอ่อนหวานจนน่าขนลุกยิ่งนัก “อาหมิ่นหรือ” พอเห็นว่าไม่ใช่คนตามชื่อเรียกประกายในดวงตายิบหยีพลันเลือนแสงลง แต่มุมปากกลับขยับยิ้มกว้างจนน่าขนลุก “พี่ชายผู้นี้หน้าตาหล่อเหลายิ่งนัก ข้าเคยเห็นหน้าท่านมาก่อนหรือไม่ ท่านเป็นชายในฝันของข้าเช่นนั้นหรือ”



“ผิดแล้ว” ข้าตอบกลับทันควันด้วยน้ำเสียงติดเย็นชา แต่ลู่ฉงซานกลับอ่านบรรยากาศไม่ออก สองตาที่อับแสงไปตอนแรกกลับทอประกายระยิบระยับยิ่งกว่าเดิม มืออวบอ้วนคล้ายกีบหมูเอื้อมมาคว้ามือข้าเอาไว้ในทันใด ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือจนสมควรโดนฝ่ามือซัดเข้าที่บ้องหูสักที



“เมื่อไม่ใช่ไยจึงปรากฏตัวในฝันของข้าเหล่า แม้ท่านจะรูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางองอาจผึ่งผายไปบ้าง ด้วยหน้าตาเช่นนี้ ถ้าได้พบกันนอกความฝัน ข้าย่อมส่งคนไปสู่ขอท่านเป็นแน่ ตำแหน่งภริยาเอกของข้ายังว่างอยู่ หากมีท่านเคียงข้างกายชีวิตรักของนายท่านลู่ย่อมมิต้องการสิ่งใดอีกแล้ว ข้าจะใช้ยอดมังกรปรนนิบัติท่านให้ร้องครางชื่อข้าทั้งคืนเชียว”



ริมฝีปากของข้ากดเป็นรอยยิ้มเย็นเหยียบ วาจาเช่นนี้ช่างเป็นลูกไม้คุณชายเสเพลอันแสนกระจอกยิ่งนัก ข้าซัดฝ่ามือเข้าไปที่กกหูของนายท่านลู่ตามที่คิดเอาไว้ตั้งแต่แรก ด้วยพลังหยินเข้มข้นในตอนนี้ย่อมทำให้ลู่ฉงซานก้าวเข้าใกล้ปรโลกไปมากยิ่งกว่าเดิม หากเจ้าตัวยังคงมิได้รับรู้ หมูตัวขาวหันกลับมามองข้าด้วยสายตาคล้ายไม่ได้รับความยุติธรรม ก่อนที่เขาจะร้องไห้งอแง ข้าก็กดฝ่ามืออันหนักอึ้งของตนลงบนบ่าอวบอ้วนนั้นเอาไว้



“อย่าได้เรียกสิ่งนั้นของเจ้าว่ายอดมังกรเลย เกรงว่าจะเป็นการลบหลู่มังกรไปเสียเปล่าๆ เรียกว่าไส้เดือนดินคงเหมาะสมกว่ามาก” ได้ฟังวาจาตรงไปตรงมาทิ่มแทงจิตใจเข้าไป หมูตอนก็หลั่งน้ำตาออกมาหยดหนึ่ง ข้าถือคติจะตีเหล็กต้องตีตอนร้อน อยากให้เขาพัฒนาตนย่อมต้องทำลายความภาคภูมิใจของเขาเสียก่อน “เจ้าเคยเห็นเครื่องเพศของบุรุษคนอื่นหรือไม่ ย่อมต้องเคยเห็นเพราะมีอนุชายมากมายเช่นนั้น เจ้ามิรู้หรือว่าอย่างเจ้านั้นมิเรียกแข็งขืนเป็นแท่งหยกเสียด้วยซ้ำ”



“ขะ ข้า” หมูตอนร้องอู๊ดๆ ขึ้นมาแล้ว มิหนำซ้ำยังตั้งหน้าตั้งตาเถียงเสียจนหน้าดำหน้าแดง “ข้าไม่เชื่อที่ท่านพูดหรอก ที่ท่านพูดเช่นนี้ย่อมต้องเป็นเพราะริษยาที่ข้ามีอนุงดงามถึงหกคนแน่ๆ ข้าเคยได้ยินมาก่อนว่าบุรุษองอาจเช่นท่านแท้จริงแล้วมิสามารถทำรักได้เพราะเสื่อมสมรรถภาพ ที่ลบหลู่มังกรของข้า เป็นเพราะเครื่องเพศท่านเป็นไส้เดือนมุดดินกระมัง”



ข้าน่ะหรือจะไปอิจฉาริษยา ปรมาจารย์วังวสันต์เช่นข้าเพียงแค่กระดิกนิ้วเกรงว่าจะมีคนงามทั้งหญิงชายพร้อมพลีกายให้ ข้าเริ่มรำคาญเสียงร้องโหยหวนของหมูฉงซานขึ้นมาแล้ว จึงปลดสายคาดเอวถอดกางเกงให้เขาดูเสียให้จบเรื่อง คนเหลือบมองท่อนล่างที่เปิดเผยโจ่งแจ้งแล้วตะลึงงัน ปากหมูอ้าค้างตกลงมาจะถึงคางอยู่แล้ว



“ท่าน...ท่าน ท่านเป็นใครกันแน่”



“ข้าเยี่ยอู๋จวิน มิทราบว่าเคยได้ยินชื่อมาก่อนหรือไม่” ข้าใส่กางเกงผูกผ้าคาดเอวให้รัดแน่นเรียบร้อย สายตาที่มองอีกฝ่ายยามนี้ย่อมคล้ายมองหนอนแมลงตัวหนึ่ง



“ที่แท้คือท่านเยี่ย ปรมาจารย์วังวสันต์ผู้เลื่องชื่อ” คนมากรักคาวโลกีย์มีหรือจะไม่เคยได้ยินชื่อของข้า ดวงตายิบหยีเบิกกว้างเสียจนน่าตลก กล่าวจบแล้วเจ้าหมูตอนก็คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตึง คนกระแทกหน้าผากกับพื้นพลางร้องดังลั่น “ท่านเยี่ยได้โปรดรับข้าน้อยเป็นลูกศิษย์ด้วยเถิด ข้าน้อยยอมเป็นดั่งม้าดั่งวัวให้ท่านเรียกใช้ มิว่าท่านอยากได้สิ่งได้ ข้าน้อยจะเซ่นไหว้ไปให้”



วันนี้เป็นวันอะไรกันทั้งปู่ทั้งหลานต่างมาคุกเข่าโขกหัวให้ข้าเต็มไปหมด แต่ไหนแต่ไรข้ามิเคยรับศิษย์ เนื่องจากเคล็ดวิชาของข้าซับซ้อนมากกว่าที่ผู้คนมากมายคาดคิด กระทั่งข้ายังใช้ตนเองทดลองวิชา สำเร็จออกมาประการใดยังมิอาจรู้ได้แน่ชัด อีกทั้งหากไม่ระมัดระวังอาจเกิดจิตมารหรือถูกธาตุไฟเข้าแทรก ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือข้าผู้นี้และสนมสามร้อยนางของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้มิใช่หรือ



“ข้ามิรับศิษย์ เพียงผ่านทางมากับใต้เท้าสกุลลู่ เห็นเจ้าทรมานผู้คนเช่นนั้นย่อมทนไม่ได้ สิ่งที่เจ้ากระทำมิได้เรียกว่าทำรักแล้ว” จะให้พาดพิงว่าผู้เฒ่าลู่มาขอความช่วยเหลือก็คงไม่ดี ตอนนี้เขาเข้าใจว่าข้ามาช่วยเบิกเนตรสั่งสอนเรื่องวังวสันต์ก็ปล่อยให้เขาคิดไปเช่นนั้นก่อนเถิด เรื่องอื่นๆ จะดีหรือร้ายกว่าเดิมข้ายังมิอาจรับประกัน เรียกว่าต้องดูไปตามสถานการณ์เสียก่อน



“เป็นท่านปู่พาท่านมานี่เอง” หมูสกุลลู่มีท่าทางครุ่นคิด ดวงตาเล็กกลอกไปมาอย่างรวดเร็ว คนรีบกระโจนเข้ามาในบ่วงกับดักที่ข้าวางเอาไว้โดยไม่ทันได้รู้ตัว “เช่นนั้นข้าต้องทำเยี่ยงไรบ้าง ขอให้ท่านสั่งมาข้าจะยอมทำทุกอย่าง”



“สามเดือนนี้เจ้าห้ามหลับนอนกับทั้งสตรีและบุรุษ ให้เปลี่ยนเวลานอนเป็นนอนยามไฮ่ตื่นยามเหม่า[1] ตื่นแล้วให้ฝึกเพลงยุทธกระบวนท่าเมฆคล้อยตะวันลับทุกวัน ส่วนอาหารการกินจะต้องกินตามสูตรเพิ่มพลังชายที่ข้าเข้าฝันมาบอกเจ้าเท่านั้น” ข้าร่ายยาวไม่เปิดโอกาสให้คนได้ตั้งตัว คัมภีร์เมฆคล้อยตะวันลับเป็นคัมภีร์ฝึกการขั้นต้นที่ข้าเคยเขียนเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน ปัจจุบันยังมีวางขายทั่วไป ภายในมีทั้งเคล็ดลับการหายใจและการฝึกกาย เป้าหมายเพื่อคติที่ข้าวางเอาไว้ว่ายวนยางอันมีคุณภาพเริ่มจากร่างกายที่แข็งแรง



ได้ยินดังนั้นลู่ถงซานก็ดูเชื่อฟังและกระตือรือร้นอย่างมาก ดวงตาหมูยิบหยีเหลือบมองใต้ผ้าคาดเอวของข้าแล้วสลับไปมองของตนเองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยภาพฝันอันแสนหอมหวาน ถึงจะต้องอดยวนยางแต่เพื่ออนาคตอันเสียวซ่านเขาย่อมยอมทนได้ “ทำเช่นนี้แล้วจะสามารถองอาจเก่งกาจเรื่องสังวาสเหมือนท่านได้หรือ”



ข้ากระตุกยิ้มเย็นชาให้เป็นคำตอบ คล้ายให้คนไปคิดหาคำตอบเอาเอง ที่จริงแล้วการทำเช่นนั้นย่อมมิอาจทำให้เขาเก่งกาจสามารถได้ ประโยชน์จากการฝึกตนทั้งหมดเป็นเพียงการทำให้หมูตอนลดน้ำหนักและพุงหนาลงให้กลายเป็นมนุษย์ปรกติ เพื่อยามที่ข้าหยิบยืมร่างกายของเขาร่วมรักดูดซับไอหยางจากคนงามทั้งหก ข้าจะได้มิรู้สึกรังเกียจเรือนร่างนี้จนเกินไปนัก ลู่ฉงซานที่มิได้รับรู้ข้อนี้จึงมองข้าด้วยสายตาชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง



ผิวปากครั้งหนึ่งทั้งข้าและหมูตอนก็กลับสู่โลกความเป็นจริง ยามนี้ฟ้าเริ่มสางแล้ว ลู่ฉงซานตื่นขึ้นมาก็ปฏิบัติตามคำสั่งสอนได้อย่างดี รีบใช้คนออกไปหาซื้อคัมภีร์ที่ว่ามา ให้สาวใช้ตามพ่อบ้านมาสั่งงานเรื่องอาหารการกินของเขาที่เปลี่ยนไปไม่กินมันมาก ไม่กินเนื้อมาก เพิ่มปริมาณทั้งผักทั้งเนื้อปลาให้มากกว่าเดิม ท่าทางเอาจริงเอาจังเสียจนน่าตกใจ



ฝั่งย่าเอ๋อร์เห็นสามีของตนรีบลุกมาทำเรื่องวุ่นวายตั้งแต่เช้าก็งัวเงียเงยหน้าขึ้นจากเตียง หัวไหล่ขาวที่โผล่พ้นผ้าห่มนั้นเปิดเปลือยให้เห็นร่องรอยรักบางส่วน ร่างกายบอบบางเอวอ่อนของเขาไถลตัวนอนต่อบนฟูกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเรียกสั่งให้คนยกน้ำร้อนเข้ามา ชายผู้นี้นับเป็นอนุรักคนหนึ่งของเจ้าหมูจึงสามารถกระทำการสิ่งใดตามใจตนเองได้อยู่หลายอย่าง ท่าทางเกียจคร้านเหมือนลูกแมวเช่นนี้ทำให้ข้าคันยุบยิบในหัวใจอยากจะขบฟันลงไปบนไหล่มนนั้นนัก



อืม...อีกสามเดือนกระมังร่างนั้นจึงจะใช้งานได้ เช่นนั้นก็ปล่อยหมูตอนวิ่งวุ่นไปก่อนเถิด ยามนี้ข้าไปดูคนงามอาบน้ำเพื่อกักเก็บไอหยางบางส่วนจะดีกว่า



โปรดติดตามตอนต่อไป..

^ [1] ยามไฮ่คือช่วง 21:00 - 22:59 ยามเหม่าคือช่วง 05:00 - 06:59

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
บทที่ 4 หนึ่งคนมีหนึ่งใจ แล้วจะเลือกรักใครเล่า



หมูตอนสกุลลู่ฝึกตนได้เคร่งครัดเป็นอย่างยิ่ง คนยอมกินผักกินปลาฝึกวิชานอนเหงาเปล่าเปลี่ยวอยู่ผู้เดียวไม่พบปะใคร ครั้นฝนตกไม่ทั่วฟ้าได้เจ็ดวัน เหล่าบรรดาบ้านเล็กบ้านน้อยเริ่มกระสับกระส่าย จากที่เคยทะเลาะเบาะแว้งกลับเงียบกริบ พอผ่านไปเดือนครึ่งสีหน้าของแต่ละคนก็มองดูไม่ได้แล้ว หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าเหล่าอนุชายที่ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้คงต้องถูกทิ้งขว้างให้ออกนอกตระกูลไปเป็นแน่



เช้าตรู่ของวันหนึ่งหลังจากที่นายท่านลู่ไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนอนุคนใดมาเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน ยังไม่ทันที่ย่าเอ๋อร์อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ อนุฝาแฝดนามต้าฟ่านและเสี่ยวฟ่านก็มานั่งรอคนถึงข้างในเรือน ใบหน้าสะสวยชวนมองที่คล้ายคลึงกันจนแยกไม่ออกคราวนี้เต็มไปด้วยความร้อนใจ ยังไม่ได้ทันได้ปรึกษาหารืออะไรกัน สาวใช้คนหนึ่งก็มาเชิญทั้งสามไปที่สวนดอกไม้เสียก่อน บอกว่าอาหมิ่นจัดงานเลี้ยงน้ำชาขึ้น อยากให้พี่น้องอนุภรรยาทั้งหลายได้พบปะสังสรรค์กันบ้าง



ข้าที่เป็นผีวนเวียนอยู่ในคฤหาสน์สกุลลู่ได้เดือนครึ่งมานี้ นอกจากจะซึมซับไอหยางบางส่วนของเหล่าคนงามขณะอาบน้ำเปลือยกาย ก็ยังได้ศึกษาความสัมพันธ์และขั้วอำนาจของเหล่าอนุภรรยาเจ้าหมูตอนจนเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ สุดท้ายจึงสามารถสรุปเรื่องราวได้ดังนี้



บ้านเล็กของเจ้าหมูอ้วนแบ่งฝักฝ่ายได้เป็นสองพวก ฟากหนึ่งคือพรรคพวกของอาหมิ่น เจ้าของนามที่หมูสกุลลู่เรียกขานในฝันครั้งนั้น อาหมิ่นปีนี้อายุได้ยี่สิบสี่ปี แม้จะไม่ได้งดงามอ่อนหวาน แต่นับเป็นคนหน้าตาหมดจดกิริยามารยาทดี อาจไม่ได้รับความรักความเมตตาเท่ากับย่าเอ๋อร์ แต่เขาเป็นอนุชายคนแรกที่ลู่ฉงซานรับเข้าบ้านมา จึงได้รับความเคารพจากคนในบ้านอยู่ไม่น้อย อนุสองคนที่เลือกอยู่ข้างของอาหมิ่น คนหนึ่งเรียกกันว่าอาตวนท่าทางคล้ายบัณฑิตผู้มีความรู้ท่าทางสง่าผ่าเผย ส่วนอีกคนอายุอานามเพียงสิบห้าปี มีชื่อเรียกว่าเจียวมี่ หน้าตาน่ารัก ดวงตากลมโต ลักษณะเรียบร้อยใสซื่อไม่ทันคนอยู่มาก



หากพรรคพวกของอาหมิ่นมีอบอุ่นกิริยานิ่มนวลเป็นลักษณะเด่น อีกฝั่งนั้นคงเรียกว่ามีหน้าตาเป็นอาวุธ แม่ทัพหน้าคือเจ้าของใบหน้างดงามย่าเอ๋อร์ที่เผ็ดร้อนเอวอ่อนบอบบาง ขุนศึกที่เหลือคือฝาแฝดเสี่ยวต้าฟ่านที่หน้าตาสะสวยเสียยิ่งกว่าอิสตรี ทั้งสามแต่งกายงดงามเหมาะสม มีกลิ่นอายของคนงามสูงส่งที่ยากจะเข้าถึงได้



ดั่งที่ข้าเคยกล่าวเอาไว้ว่ารสนิยมของหมูตอนถือว่าดีงามจนสมควรได้รับคำชมเชย คนงามทั้งหกหากอยู่ภายนอกบ้านสกุลลู่คงนับว่าเป็นผู้มีฝีมืออนาคตสดใสอยู่ไม่น้อย มิรู้ด้วยว่าเรื่องราวหนหลังประการใดจึงทำให้คนละทิ้งชีวิตมาเป็นอนุชายที่ไม่มีวันเจริญก้าวหน้าของหมูตัวหนึ่งเช่นนี้



กระทั่งการนั่งในงานเลี้ยงยังแบ่งฝักฝ่ายชัดเจน หัวโต๊ะเป็นอาหมิ่นที่อายุมากกว่าใคร ริมฝีปากหยักขยับรอยยิ้มบางสุภาพอ่อนน้อม ด้านข้างซ้ายขวาคืออาตวนและเจียวมี่ ถัดออกมาจึงจะเป็นที่นั่งของพวกย่าเอ๋อร์ ส่วนอนุหญิงทั้งหลายเพียงไม้ประดับนับว่าต่างคนต่างอยู่มิค่อยได้มีบทบาทอะไรมากนัก หากไม่อยู่โดดเดี่ยวไม่เกาะกุมกับใคร ที่เหลือก็มักจะพึ่งพิงอาหมิ่นเอาไว้ก่อน พวกนางจึงถูกแยกไปที่โต๊ะอีกตัวหนึ่ง นั่งจิบน้ำชาชมดอกไม้ได้สงบเสงี่ยมดี



“นายท่านมิร่วมหลับนอนกับใครมาได้เดือนกว่าแล้ว” ยังมิทันได้เริ่มงานอะไรเป็นกิจจะลักษณะ ก็เป็นย่าเอ๋อร์ที่อดรนทนไม่ได้เปิดประเด็นขึ้นมาก่อน สาวใช้ที่กำลังรินน้ำชาให้ถึงกับชะงักตน รีบถอยหลังไปมิกล้ารับฟังถ้อยคำต่อ เพราะคนงามผู้นี้อารมณ์ร้ายเป็นอย่างยิ่ง หากอะไรหงุดหงิดสักเล็กน้อยพร้อมขว้างปาข้าวของลงมือกับผู้คนได้ทันที



อาหมิ่นไม่ได้ตอบคำถามในทันที นิ้วมือเรียวงามยกถ้วยชาขึ้นเป่าเบาๆ ก่อนจะจิบชาด้วยท่าทางดั่งคนได้รับการศึกษามาดี รอพักหนึ่งค่อยตอบกลับด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ย่าเอ๋อร์เดือดร้อนถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”



ได้ยินดังนั้นย่าเอ๋อร์จึงแค่นเสียงหัวเราะดูแคลนออกมา “หึ ข้าย่อมเดือดร้อน แล้วเจ้ามิเดือดร้อนหรือ หากมิเดือดร้อนไยวันนี้จึงจัดงานเลี้ยงบัดซบนี่ขึ้นมาเล่า เลิกตีหน้าวางท่าสูงส่งเสียเถิด แต่ก่อนฝนตกไม่ทั่วฟ้า เจ้ายังเดือดร้อนขนาดวางยาให้ข้าผื่นขึ้นเต็มตัว ต้องพักฟื้นอยู่เป็นเดือน มายามนี้ฝนสักเม็ดยังไม่มี หนองน้ำเหือดแห้ง ผู้ขาดแคลนความรักเช่นเจ้ามีหรือจะไม่ลงมือทำสิ่งใด”



“ครั้งนั้นข้าไม่ได้วางยาเจ้า” อีกฝ่ายตอบกลับในทันที สีหน้าของอาหมิ่นแม้จะยังเรียบเฉย แต่ดวงตาเรียวยาวนั้นเป็นประกายวาวโรจน์ “เรื่องใช้เล่ห์กลมารยาในสกุลลู่ยังจะมีใครสู้เจ้าอีกหรือ คราวนั้นนายท่านค้างกับข้าคืนหนึ่ง อาตวนคืนหนึ่ง เจียวมี่อีกคืนหนึ่ง พอวันต่อมาเจ้าถึงกลับเล่นลูกไม้ป่วยไข้ใกล้ตายต้องให้นายท่านไปดูใจ หญิงคณิกายังไม่มากมารยาเท่าเจ้าเลยกระมัง”



“ลบหลู่ดูหมิ่นกันเกินไปแล้ว เจ้าเองเป็นเพียงหมาป่าตาขาวขาพิการ ยังจะมีหน้ามาว่าข้าเป็นนางโลมอีกหรือ” ย่าเอ๋อร์เป็นเดือดเป็นร้อนยิ่งกว่าเดิม คนคว้าถ้วยชาขึ้นแล้วขว้างใส่อนุภรรยาคนแรกของเจ้าหมูโดยแรง แต่อาหมิ่นกลับหลบได้ทัน ทิ้งไว้เพียงรอยน้ำชาที่เปื้อนชุดของเขาเป็นทางยาว



จากนั้นคือเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทระหว่างอนุภรรยาทั้งสองฝ่าย ย่าเอ๋อร์ขว้างปาข้าวของใส่ผู้สูงวัยกว่าไม่หยุด ขณะที่อาหมิ่นขยับตัวหลบไปมา แม้จะเดินขากะเผลกข้างหนึ่งแต่ก็ยังมีความพลิ้วไหวอยู่หลายส่วน คราวนี้ย่าเอ๋อร์ที่มีกำลังภายในพอสมควรถึงกลับยกเก้าอี้ขึ้นหวังโยนใส่ อาหมิ่นจึงพลิกโต๊ะไม้ขึ้นใช้ป้องกันการโจมตี ทำเอาเหล่าถ้วยชาป้านชาและจานใส่ขนมของว่างแตกกระจายไปทั่ว



ข้าเฝ้ามองเหตุการณ์เหล่าลูกแมวฟัดกันด้วยความสนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง เห็นต้าฟ่านวิ่งเข้าใส่อาตวน แต่อีกฝ่ายใช้ด้ามพัดจิ้วเคาะหน้าผากสวยๆ หลายทีเป็นการตอบกลับคล้ายเย้าแหย่คนเล่น ส่วนเจียวมี่ถูกเสี่ยวฟ่านจับตัวเอาไว้ได้แล้ว ฝ่ามือเล็กฟาดลงไปบนก้นของคนอ่อนวัยจนเด็กน้อยผู้นั้นร้องไห้น้ำตาคลอ



สักพักหนึ่งลู่ฉงซานก็วิ่งกระหืดกระหอบออกมาจากเรือนของตน แต่คนเฝ้ามองอยู่ไกลๆ ไม่กล้าเข้ามาในวงล้อม ตอนนี้เขาไม่ใช่เจ้าหมูตอนอีกแล้ว เวลาผ่านไปสี่สิบเก้าวันนี้นับว่ามีพัฒนาการอย่างมาก จากพุงกระเพื่อมสามชั้น ลดลงเป็นเพียงชายรูปร่างอวบท้วมผิวขาวจัด มีเค้าโครงหน้าตาดีอยู่ไม่น้อย คาดว่าหากกำจัดความอ้วนออกไปจากชีวิตได้มากกว่านี้ คงจะนับเป็นชายหนุ่มน่ามองคนหนึ่ง



“ลู่ฉงซาน” ข้าลอยกลับไปอยู่ข้างกายของเจ้าคนไม่ได้ความแซ่ลู่ จากคราวนั้นที่เขาโดนข้าซัดฝ่ามือหยินใส่จนใกล้ความตายมากขึ้น กอปรกับที่ข้าได้รับพลังหยางมาบางส่วน ทำให้ช่วงนี้เขาสามารถมองเห็นวิญญาณข้าได้รางๆ ซ้ำยังสามารถพูดคุยกับข้าได้แม้ไม่ได้อยู่ในฝัน “พวกเขาทะเลาะกันเช่นนี้เพราะแย่งชิงความรักจากเจ้า สาเหตุคือเจ้าไม่ชัดเจนมากพอ หากเลือกจะรักใครก็เลือกสักคน หากไม่รักก็ไม่ต้องรั้งใครเอาไว้ ปล่อยเขาไปเจออิสระเถิด”



“ข้า...ข้ารักพวกเขาทุกคน! อนุภรรยาของข้าเป็นอิสระไม่ได้ หากออกจากบ้านไปล้วนแต่ใช้ชีวิตได้ยากลำบากกันทั้งสิ้น” อดีตหมูตอนรีบละล่ำละลักตอบในทันที ก่อนจะขยายความเพิ่ม “อาหมิ่นเป็นรักแรกของข้า...เขาเป็นญาติผู้พี่ที่สกุลมารดาส่งมาช่วยดูแลข้า ตอนยังเด็กข้าเกือบถูกม้าพยศเหยียบตาย เขาช่วยเหลือข้าไว้จนตนเองขาหัก ทุกวันนี้มิอาจเดินได้เป็นปรกติ เขาดีกับข้าถึงเพียงนั้นข้ายังเข้าหาปลุกปล้ำเอาเขามาเป็นอนุ”



นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้ลู่ฉงซานวางอนุชายคนแรกของเขาไว้เสียสูงแต่ไม่กล้าแสดงความรักใคร่กระมัง ทำแบบนี้เกรงว่าจะไม่ถูกต้องอยู่หลายส่วนแล้ว



“แล้วย่าเอ๋อร์เล่า”



“ย่าเอ๋อร์แท้จริงแล้วเป็นหลานชายฉู่อ๋อง มีนามว่าหลานจื่อเย่” แค่ได้ยินชื่อฉู่อ๋องข้าก็พอเดาเหตุการณ์ได้แล้ว แปดปีก่อนฉู่อ๋องเห็นบัลลังก์ของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ยังมีสถานะไม่มั่นคงจึงร่วมมือกับแม่ทัพเฒ่าแซ่หลิ่วคิดผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน สุดท้ายสุ่ยเต๋อฮ่องเต้เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ สายเลือดหนึ่งร้อยสี่สิบเจ็ดคนของฉู่อ๋องจึงถูกประหารเสียสิ้น ส่วนหลานจื่อเย่ตอนนั้นยังเด็กจัดคงหลบหนีออกมาได้ “ย่าเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอ เงินทองร่อยหรอจึงถูกผู้ติดตามทอดทิ้ง สุดท้ายข้าพบเจอเขาเป็นขอทานอยู่ข้างทางจึงได้ช่วยเหลือเอาไว้”



จากนั้นนายท่านสกุลลู่ก็เล่าเรื่องประวัติความเป็นมาของอนุที่เหลือทั้งหมดด้วยความรวดเร็ว ข้าสรุปได้อย่างรวดรัดได้ความว่า อาตวนเป็นเด็กกำพร้าไร้พ่อแม่ มีเพียงพี่ชายคนหนึ่ง แต่เป็นบัณฑิตผู้มีความสามารถที่สมควรจะสอบเคอจวี่ผ่านได้รับราชการอนาคตไกล แต่พี่ชายของเขากลับไปมีเรื่องกับท่านโหวน้อยตระกูลเฮ่อ สุดท้ายพี่ชายถูกฆ่าตาย ตัวเขาโดนรังแกถูกคนลากไปซ้อมในคืนก่อนสอบอยู่สามปีรวด จนมิอาจสอบผ่านได้ ซ้ำยังกลายเป็นคนหมดอนาคต ลู่ฉงซานพบเจอเขาหน้าตาสะบักสะบอมอยู่ในตรอกลึกจึงพากลับมาด้วย



เสี่ยวต้าฟ่านเป็นบุตรของคณิกาชื่อดังกับนายท่านคนหนึ่ง มารดาคลอดบุตรแล้วตายทำให้แม่เล้ามองว่าแฝดคู่นี้เป็นตัวอัปมงคล ตอนเด็กใช้ชีวิตอยู่ในมุมมืดของเมืองอย่างยากลำบาก พอโตขึ้นหน้าตาสะสวยโดดเด่นก็ถูกจับขายหอชายงามให้ประกอบอาชีพเดียวกับผู้เป็นแม่ ขายตัววันแรกลู่ฉงซานรู้สึกถูกชะตาจึงไถ่ตัวกลับมาทั้งคู่ ส่วนเจียวมี่ที่เด็กสุดหนีภัยแล้งมากับยายของตน สุดท้ายยายขาดใจตายหน้าจวนสกุลลู่จึงไม่รู้ว่าจะไปที่ใดต่อ ลู่ฉงซานจึงได้รับเขาเอาไว้ในบ้าน



ชีวิตแต่ละคนช่างรันทดชวนเศร้ายิ่งนัก หากเขียนละครสักเรื่อง เรื่องราวในบ้านสกุลลู่คงเป็นเรื่องของวีรบุรุษผู้ช่วยเหลือชายงาม เสียแต่วีรบุรุษที่ว่ามิใช่ชายหนุ่มผู้องอาจหล่อเหล่า แต่เป็นเพียงหมูตอนตัวหนึ่งเท่านั้น จะว่าไปหากคิดดูแล้วก็เป็นจริงอย่างที่เขากล่าวเอาไว้ อนุทั้งหกหากไม่มีนายท่านสกุลลู่ก็เป็นดั่งนกปีกหัก ไม่มีที่มา ไม่มีที่ไป ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตภายนอกได้อย่างไรดี



“หากจะรักทั้งหมดย่อมต้องดูแลพวกเขาให้ดี อย่าให้เขารู้สึกเหมือนตนไม่ได้รับความรักไม่ได้รับความยุติธรรม เจ้าปล่อยไว้เช่นนี้พวกเขามีแต่ทะเลาะเบาะแว้งกันเอง ภายในบ้านไม่รักใคร่ปรองดอง นอกบ้านยิ่งครหานินทา สุดท้ายแล้วตัวเจ้าก็ต้องพบเจอปัญหาไม่จบไม่สิ้น”



สีหน้าของลู่ฉงซานคล้ายถูกคนใช้ของแข็งตีใส่ศีรษะเข้าโดยแรง อันที่จริงเรื่องนี้เขาน่าจะเคยได้ยินผ่านหูมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่มีใครเอ่ยถึงสาเหตุนี้มาก่อน บิดามารดาเลี้ยงของเขาดุด่าเพียงว่าเขาไร้ความสามารถไม่สามารถดูแลเรื่องในบ้านให้ดี ส่วนตัวเขาทั้งรักทั้งหวงอนุชายทุกคนแต่ไม่รู้จะจัดการอย่างไรได้ นานวันเข้าจึงปล่อยให้เขาทะเลาะตบตีกันเองจนพอใจ พอทะเลาะกันเสร็จแล้วจึงค่อยไปปลอบใจทำรักมอบข้าวของให้ทีละคนทีละคืน



หันกลับไปอีกทีคราวนี้เป็นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นกว่าเดิมแล้ว ไม่รู้ว่าย่าเอ๋อร์ไปคว้ากระบี่อ่อนมาจากใคร ขณะนี้กำลังเริ่มตวัดกระบี่ใช้เพลงดาบฟาดฟันฝ่ายตรงข้ามเสียแล้ว ท่ามกลางเหตุการณ์นองเลือด อนุภรรยาคนอื่นได้แต่เบิกตามองด้วยความงุนงง เจียวมี่ที่เยาว์วัยถึงกับร้องไห้โฮ ข้าเหลือบมองรูปร่างท้วมของลู่ฉงซานพลันคิดว่าน่าจะใช้การได้ก่อนกำหนดกระมัง



ในจังหวะที่อาหมิ่นเสียจังหวะเพราะขาข้างที่ไม่ดี นายท่านของทุกคนซึ่งถูกข้ายึดครองร่างก็ถลาเข้ามาคั่นกลาง ลู่ฉงซานที่ฝึกวิชาเมฆคล้อยตะวันลับจึงทำให้มีกำลังภายในอยู่บ้าง มือข้างหนึ่งโอบเอวอาหมิ่นที่เสียการทรงตัวเอาไว้ มืออีกข้างบิดข้อมือย่าเอ๋อร์เบาๆ จนกระบี่อ่อนเล่มนั้นหลุดร่วงจากปลายนิ้ว ข้าเอื้อมมือไปโอบรอบสะโพกเขาเอาไว้ทันที



เห็นชายหนุ่มแปลกหน้าท่าทางไม่คุ้นเคยเข้ามาขัดขวาง มิหนำซ้ำมือยังวางได้ถูกที่ เหล่าอนุภรรยาได้แต่หันมองหน้ากันด้วยความตะลึงงัน อาหมิ่นและย่าเอ๋อร์จับจ้องมาที่ใบหน้าซึ่งเค้าโครงสันกรามเริ่มชัดเจน หยาดน้ำก็คลายปรากฏขึ้นในดวงตา แม้ไม่ถูกน้ำหน้าแต่ทั้งคู่กลับกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน “นายท่าน...”



“ย่อมเป็นข้าเอง” ข้าปล่อยคนงามทั้งสองออกจากอ้อมแขนแล้วยกยิ้มมุมปากให้กับทั้งคู่ สิ้นเสียงนั้นเหล่าอนุภรรยาก็ร่ำไห้ ต่างยินดีกับการเปลี่ยนแปลงในรูปร่างของลู่ฉงซานด้วยกันทั้งนั้น ตอนนี้พวกเขาคงเข้าใจแล้วว่าที่คนหายหน้าหายตาไปไม่ปรากฏตัว คงเพราะแอบไปลดความอ้วนจนออกมาดูดีขึ้นเช่นนี้



“ย่าเอ๋อร์ไม่ได้เห็นนายท่านมานานเหลือเกิน ท่านหล่อเหลายิ่งนัก” มือเล็กขาวราวหยกไล้ปลายนิ้วไปตามผิวแก้มชวนจั๊กจี้ ข้ากดจูบบนปลายนิ้วของเขาอย่างแผ่วเบาก่อนจะเหลือบมองอีกด้าน อาหมิ่นยังคงนิ่งเงียบมิกล่าววาจาอันใด แต่นัยน์ตายามจับจ้องมาที่ข้ากลับเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจยิ่งนัก



“นายท่านหายไปนานเช่นนี้ พวกเราเหล่าอนุภรรยาต่างจิตใจวุ่นวายจนก่อเรื่องน่าอายขึ้นแล้ว” อาหมิ่นนับว่ารู้จักสถานการณ์ดียิ่งนัก เรื่องทะเลาะเบาะแว้งถึงขั้นใช้กระบี่ไล่ฟันกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยเพราะจิตใจวุ่นวายเสียแล้ว ตัวเขาจัดการเรื่องในบ้านแทนภรรยาเอกมาหลายปี คงรู้ว่าเจ้าหมูหลีกเลี่ยงเรื่องแบบนี้เสียยิ่งกว่าอะไร



“พวกเจ้าเดือดเนื้อร้อนใจเช่นนี้ นายท่านเช่นข้าต้องปลอบใจเสียแล้วกระมัง” ข้ากล่าวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ เหล่าอนุภรรยาต่างเฝ้ามองด้วยสายตาเฝ้าคอยเป็นอย่างยิ่ง จะร่วมหลับนอนกับอนุภรรยาของเจ้าหมู ข้าย่อมต้องสอบถามเขาเสียก่อน ครั้งนี้ที่ข้ายืมใช้ร่างของลู่ฉงซานนั้นมิได้ขับไล่วิญญาณเขาออกไปแต่อย่างใด ยังเปิดช่องให้การรับรู้ของเขาเป็นปรกติเสียด้วยซ้ำ เพียงเท่านี้เจ้าคนแซ่ลู่ก็รับรู้แล้วว่าข้าจะเริ่มกระทำการสอนวิชาร่วมรักแบบปฏิบัติจริงให้เขาแล้ว



‘เจ้าจะเลือกใครเล่า อาหมิ่นหรือว่าย่าเอ๋อร์’



‘...’ เจ้าอ้วนเงียบงันไปครู่หนึ่งคล้ายครุ่นคิดอยู่บ้าง ด้านหนึ่งเป็นดวงตาออดอ้อนของย่าเอ๋อร์ อีกด้านกลับเป็นอาหมิ่นที่หลุบตาลงต่ำ ท่าทางคล้ายปลดปลงอยู่หลายส่วน มองแล้วก็ชวนให้ปวดใจอยู่ไม่ใช่น้อย ‘อาหมิ่นก็เป็นอนุคนแรกของข้า อย่างไรเสียก็ต้องให้เกียรติเขาบ้าง’



ฟังแค่นั้นข้าก็พอเข้าใจแล้วว่าพื้นที่ในใจของลู่ฉงซานมีใครกันแน่ ข้าขยับยิ้มอ่อนโยนให้กับเหล่าอนุภรรยาทั้งหมด



“เช่นนั้นคืนนี้นายท่านจะพักค้างกับอาหมิ่นก็แล้วกัน”



อาหมิ่นมองกลับมาด้วยดวงตาเบิกกว้างคล้ายไม่เชื่อสายตา ส่วนย่าเอ๋อร์ท่าทางคล้ายว่าถูกรังแก น้ำตาหยดเผาะเต็มสองแก้มเสียแล้ว





ค่ำคืนนั้นยามข้าก้าวเท้าเข้าไปในเรือน ข้ามิได้ให้คนไปเรียกอนุภรรยาเพื่อให้ออกมาต้อนรับแต่อย่างใด จึงพบอาหมิ่นนั่งอยู่หน้ากระจกทองเหลือง เรือนผมยาวสยายทิ้งตัวดังม่านราตรี ท่าทางคล้ายยังแต่งตัวไม่เสร็จดี ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีล้วนแต่ชอบการเอาใจทั้งนั้น ข้าจึงหยิบหวีมาช่วยสางผมให้กับเขา อาหมิ่นตกใจอยู่บ้างตั้งใจจะแย่งเอาหวีคืน แต่เมื่อนายท่านของเขาขยับยิ้มหวานทำท่าต้องการคล้ายจะเอาใจ สุดท้ายคนก็ยอมรับแต่โดยดี



สางเรือนผมให้จนเรียงตัวดี ข้าก็โน้มตัวลงเกยคางกับบ่าของเขา สองแขนโอบรอบเอวสอบที่แข็งแกร่งสมเป็นบุรุษ กลิ่นกายหลังอาบน้ำของอาหมิ่นหอมสะอาดคล้ายดอกบัวไม่มีผิด ข้าใช้ปลายจมูกคลอเคลียไปตามลำคอขาว เสียงของลู่ฉงซานแหบพร่าอยู่แล้วเมื่อใช้น้ำเสียงข้าเข้าไปจึงยิ่งคล้ายล่อลวงคนมากยิ่งกว่าเดิม “หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว”



อีกฝ่ายหันหน้ากลับมามองพลางเปิดริมฝีปากขึ้นราวกับต้องการเอ่ยอะไรบางอย่าง ข้ามิให้อาหมิ่นได้มีโอกาสได้ว่ากล่าวสิ่งใด กลับกดจุมพิตแนบแน่นช่วงชิงริมฝีปากนิ่มไปเสียก่อน ปลายลิ้นสอดรุกไล่เข้าไปในโพรงปากร้อนของเขา กวาดเลียซึมซับทั้งรสหวานและพลังหยางที่อบอวลจากร่างของเขา ข้านับว่าเป็นผีที่ดีเป็นอย่างยิ่ง พลังส่วนหนึ่งดึงเข้าวิญญาณตนอีกส่วนทิ้งไว้ในร่างของลู่ฉงซานเพื่อรักษาอาการหยินมากหยางพร่อง ต่ออายุชีวิตให้คนมากขึ้นกว่าเดิม



อาหมิ่นที่ถูกล่อล่วงด้วยจุมพิตหวานล้ำ เมื่อรู้ตนอีกทียามข้าถอนจูบออกก็พบว่าตนเอนตัวนอนอยู่บนพื้นเตียง สาบเสื้อเปิดอ้าจนเห็นยอดอกสีก่ำที่ตัดกับแผ่นอกขาว ข้าไล่ริมฝีปากขบเม้มไปตามลำคอก่อนจะเลื่อนลงต่ำจนครอบครองดูดดุนปุ่มนูนกลางหน้าอกของเขาในที่สุด



“อื้อ...” เมื่อถูกกระตุ้นอารมณ์มากเข้า เสียงครวญในลำคอดังก็ขึ้นแผ่วเบา แม้จะเป็นชายมากรักแต่ลู่ฉงซานกระทำเรื่องเล่านี้ได้ไร้ศาสตร์และศิลป์ยิ่งนัก คราวนี้ข้าอ่อนโยนกับอาหมิ่นเป็นพิเศษ คนจึงรู้สึกแปลกใหม่และให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ครั้นข้าปลดสายคาดเอวของเขาโยนทิ้งไปข้างเตียง ขาทั้งสองข้างของคนงามผู้เงียบขรึมก็แยกออกจากกัน ข้าวาดมือลูบไล้ตามเพรียวขาที่ไร้ไขมัน ช้อนขาข้างซ้ายของเขาขึ้นมาพาดไว้บนบ่า บีบนวดจากปลายเท้าขึ้นมาถึงรอยแผลเป็นหน้าขาก่อนจะกดจูบลงไปหนักๆ แสดงความรักตามที่เจ้าหมูแซ่ลู่สมควรจะทำ



“นายท่าน...” ดวงตาเรียวที่เต็มไปด้วยอารมณ์หวามไหวคู่นั้นปรือลงต่ำ ใบหน้าชวนมองในยามปรกติของอาหมิ่นยามนี้ขึ้นสีแดงก่ำดูเย้ายวนกว่าเดิมอยู่หลายส่วน ข้าขบกัดตามรอยแผลที่สมานตัวดีแล้วช้าๆ ขณะที่มือข้างหนึ่งเอื้อมลงไปเบื้องล่าง เมื่อปลายนิ้วกดสอดไปตามปากทางอันอ่อนนุ่มก็รับรู้ได้ว่าคนเบื้องหน้าเตรียมตัวขยายตนมาส่วนหนึ่งแล้ว สาเหตุคงเพราะเจ้าหมูไม่รู้จักถนอมคนเช่นเคย



ข้าขยับนิ้วหมุนวนไปตามผนังอ่อนนุ่มที่บีบรัดเป็นจังหวะ เพียงไม่นานเห็นท่าทางหมดความอดทนใกล้จะร่ำไห้ของคนก็ดึงปลายนิ้วออกเพื่อจ่อความแข็งขืนเข้าไปแทนที่ แท่งหยกของเจ้าอ้วนถึงจะไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย พอไม่มีพุงหนาบดบังก็ไม่น่าเกลียดเท่าตอนแรกแล้ว



“อะ...อ๊า...” สอดกายเข้าไปในช่องทางรักอันรัดรึงพลางกระทั้นกายไม่กี่ครั้ง ข้าก็พบเจอจุดอ่อนไหวที่สร้างความรัญจวนใจให้กับอาหมิ่นได้มากยิ่งกว่าเคย คนปิดเปลือกตาลงพร้อมกับเปิดปากร้องเสียงหวาน เพราะมิสามารถกักเก็บอารมณ์อันพุ่งสูงได้อีกต่อไป



“เจ้าอย่าได้กังวลใจ มิว่าข้าจะมีใครมากมาย แต่อาหมิ่นยังเป็นรักแรกของลู่ฉงซานเสมอ” ข้าโน้มตัวลงกระซิบถ้อยคำหวานที่ข้างหู ก่อนจะขบเม้มติ่งหูนิ่มของเขาอย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงเอ่ยถ้อยคำสัญญาที่ลู่ฉงซานตัวจริงจะต้องทำได้อย่างแน่นอน หรือต่อให้ทำไม่ได้ข้าก็จะบังคับให้เขาทำเอง “ข้าจะดูแลมอบความรักให้เจ้ามากกว่านี้ ที่ผ่านมาอย่าได้ถือสากันเลย”



อาหมิ่นร้องครางเสียงต่ำในลำคอ คนพยักหน้ารับทั้งที่หางตายังคลอหน่วยด้วยหยดน้ำตา ข้าขยับปลายนิ้วสางเรือนผมยาวที่เปียกชื้นของเขา แล้วกดจูบซับหยาดน้ำให้อย่างแผ่วเบา เรียวขาแข็งแกร่งโอบรัดรอบเอวข้าแน่นหนาขึ้นกว่าเดิม สะโพกขยับสอดรับทุกการขยับเสียดสี ท่าทางอาหมิ่นยิ่งเปี่ยมสุขคล้ายตกอยู่ในห้วงรักจนเต็มหัวใจ



“ฉงซาน...ข้าเองก็รักท่าน”



ข้าซึ่งเป็นปรมาจารย์ด้านวังวสันต์ย่อมรู้ว่าความรักของเขาเป็นเรื่องจริง เพราะเรื่องแสดงละครเสแสร้งทำเป็นรัก ข้าเยี่ยอู๋จวินเก่งกาจเสียยิ่งกว่าใคร



เสียแต่ว่าใจของข้าไม่ได้มีไว้มอบความรักให้ใครเลยสักคน



โปรดติดตามตอนต่อไป...


ออฟไลน์ ง่วงนอน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
บทที่ 5 ว่างงานจนเกินไป ย่อมทำให้จิตใจฟุ้งซ่าน



ข้าใช้ร่างอวบท้วมของลู่ฉงซานมอบความสุขสมให้กับอาหมิ่นอยู่ครึ่งค่อนคืน เสร็จกิจเรียบร้อยก็ออกจากร่าง ปล่อยให้สามีผู้แสนดีนอนกอดก่ายอนุภรรยาแสนรักต่อไป ถึงยามเหม่าก็เข้าไปหลอกหลอนควักไส้มาพันรอบคอคน ปลุกให้เจ้าอ้วนลุกขึ้นมาฝึกวิชาต่อไป ถึงจะยังง่วงงุนและแววตาเลื่อนลอยคล้ายยังติดใจรสรักเมื่อคืน แต่เจ้าตัวไม่ได้ความแซ่ลู่ยังอุตส่าห์คุกเข่าขอบคุณที่ชี้แนวทางให้เขา พร้อมรีบสำทับว่าหากจะใช้ร่างเมื่อไร เขาย่อมยินดี



คนที่สมองเต็มไปด้วยเรื่องตัณหา ย่อมถูกผีลามกอย่างข้าชักจูงได้ง่าย ลู่ฉงซานเป็นเช่นนี้แม้จะเป็นประโยชน์ต่อข้า หากแท้จริงแล้วอันตรายต่อเขาอยู่ไม่น้อย อายุสิบแปดจิตใจมัวเมาอยู่กับเรื่องเช่นนี้ คล้ายว่าจะไม่เหมาะสมอยู่มาก ชายวัยนี้เป็นวัยกระตือรือร้นขวนขวายเรียนรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งมิใช่หรือ บ้างบ้าวิทยายุทธ์ บ้างบ้าท่องตำรา ตัวข้าเมื่ออายุเท่านั้นยังร่อนเร่พเนจรไปทั่วเหนือจรดใต้เพื่อพัฒนาเคล็ดวิชาของตนเอง เจ้าหมูตัวนี้กลับวันๆ เสพสุขอยู่ในบ้าน มิออกไปเผชิญโลกกว้าง นับว่าว่างงานเกินไปแล้ว



ถ้าจะโทษตามจริงต้องโทษที่การเลี้ยงดูของสกุลลู่ บิดาของเจ้าหมูพอเห็นลูกชายไม่ได้เรื่องได้ราวก็ไม่ได้สนใจจะแก้ไขอะไร ตราบใดที่ไม่สร้างเรื่องเดือดร้อนใหญ่โตก็ปล่อยให้เขาเสพสุขไปตามประสา ส่วนความรักความใส่ใจเลี้ยงดูทั้งหมดกลับมอบให้บุตรชายคนรองจากอีกภรรยาเสียหมด ลู่ฉงซานไม่อยากเล่าเรียนศึกษารับราชการก็มิเป็นไร ตราบใดที่น้องชายของเขายังเล่าเรียนดีอนาคตไกลพร้อมรับราชการสืบทอดสกุล ว่าแล้วเรื่องน้ำเน่าเหม็นหึ่งพรรค์นี้ก็น่ารำคาญอยู่ไม่ใช่น้อย



ข้าเหลือบมองอดีตหมูตอนที่ยามนี้ฝึกวิชาอย่างขยันขันแข็งพลันนึกคิดขึ้นมาได้ ลู่ฉงซานก็ดี อนุภรรยาของเขาก็ดี ล้วนต่างเป็นผู้ว่างงานจนจิตใจฟุ้งซ่านด้วยกันทั้งสิ้น หากแก้ไขตรงนี้ได้ก็น่าจะลดนิสัยเหลาะแหละไม่เอาความของเจ้าหมูได้อยู่บ้าง ส่วนอนุชายของพวกเขาก็คงจะทะเลาะเบาะแว้งสร้างเรื่องก่อราวน้อยลงกว่าเดิม เช่นนี้ถือว่าข้าไม่ผิดต่อผีแก่สกุลลู่แล้ว



“นอกจากอนุภรรยาเหล่านั้นแล้ว เจ้ายังพอมีความสนใจสิ่งใดอยู่บ้าง” ได้ยินข้าถามขึ้นมาอย่างไม่มีที่มาที่ไปเช่นนี้ เจ้าอ้วนถึงกับชะงักตนเบิกตามองข้าด้วยความโง่งมเป็นอย่างยิ่ง คนเอ่ยปากกำลังจะบอกปฏิเสธว่าไม่มีความสนใจเรื่องราวอะไร แต่เมื่อข้าจ้องเขม็งยิ่งขึ้นพร้อมขยับยิ้มริมฝีปากเบาบางเหมือนเวลายามข้าลงโทษที่เขาฝึกวิชาไม่ได้ดั่งใจ หมูตอนสกุลลู่พลันตัวสั่นระริกในทันที



“แม้มิได้สนใจมากมาย แต่พอมีความรู้เรื่องผ้าไหมใบชาอยู่บ้าง” ครุ่นคิดเงียบงั้นไปครู่หนึ่ง ลู่ฉงซานจึงหาคำตอบที่ไม่น่าเกลียดนักออกมาได้ ยามท่าทางของคนนอบน้อมยิ่งนัก ใบหน้าก้มต่ำคล้ายไม่กล้ามองหน้าข้า คล้ายว่าละอายใจที่ตนไม่มีความรู้ด้านการศึกษาวิชาปราชญ์เหมือนเช่นคุณชายบ้านอื่น



ผ้าไหมนั้นคงเป็นเพราะย่าเอ๋อร์ชอบแต่งตัว ส่วนใบชาคงเป็นเพราะอาหมิ่นชอบชงชา คำตอบของเจ้าหมูสมแล้วกับเป็นชายมากรัก ตนเองชอบอะไรสนใจสิ่งใดยังไม่รู้ แต่ถ้าเป็นเรื่องสิ่งของที่ต้องใช้เอาใจเหล่าอนุกลับรู้จักดี ข้าลองทดสอบความรู้สอบถามชื่อผ้าไหมและชื่อชาเพื่อให้เขาตอบแหล่งที่มา ลู่ฉงซานตอบได้ฉะฉานยิ่งนัก ซ้ำยังสามารถอธิบายได้ละเอียดว่าเดือนไหนต้องสรรหาของจากที่ไหน นับว่าไม่ธรรมดาแล้วจริงๆ



“ความรู้ของเจ้านับว่าประเสริฐดียิ่ง” เมื่อได้รับคำชม ใบหน้าอวบก็ปรากฏรอยยิ้มกว้างพร้อมดวงตาเป็นประกายระยิบระยับคล้ายดีใจยิ่งนัก ทุกสิ่งล้วนบ่งบอกให้รู้อย่างชัดเจนว่าชีวิตเจ้าอ้วนขาดแคลนคำชม มิเช่นนั้นเรื่องเล็กน้อยแค่นี้คงไม่สามารถทำให้เขาเปี่ยมสุขขนาดนี้ได้ “เช่นนั้นไยมิลองศึกษาเพื่อทำการค้าขายดูเล่า เจ้ามีเงินทองมากมาย เปิดร้านขายของดีมีระดับ รู้จักสรรหาสิ่งของมาขายตามฤดูกาล ร้านค้าของเจ้าย่อมมีอนาคตไกล”



หากเจ้าอ้วนเปิดร้านค้าได้จริงย่อมทำให้ผู้คนรอบข้างวุ่นวายกว่าเดิม ร้านใบชาให้อาหมิ่นดูแล ร้านผ้าไหมให้ย่าเอ๋อร์จัดการ ส่วนเจ้าตัววิ่งวุ่นหาสินค้าเข้ามาเติมในคลัง อนุภรรยาคนอื่นก็สามารถช่วยเหลืองานมากมายล้นมือเหล่านั้นได้ เพียงเท่านี้คนว่างงานก็จะไม่ว่างงานอีกต่อไป เมื่อไม่ว่างแล้วเวลาที่จะนำมาใช้กับเรื่องไร้สาระย่อมลดน้อยลง



“ท่านเยี่ยยกย่องกันเกินไปแล้ว ความรู้ของข้ามีเพียงน้อยนิด ไฉนจะสามารถนำไปใช้ขายของได้ อีกอย่างลงทุนเปิดร้านเช่นนี้ต้องใช้เงินทองมากมาย อาชีพพ่อค้าไม่ใช่อาชีพชั้นสูงเท่าไร เกรงว่าท่านพ่อคงจะไม่อนุญาต” คนกลับไปทำตัวลีบเล็กเป็นผักกาดขาวใต้ดินที่น่าสงสารอีกครั้ง ช่างไม่เหมาะกับรูปร่างท้วมของเขาเลยสักนิด เห็นทีว่าการใช้คำชมคงไม่เพียงพอที่จะหลอกล่อให้ลู่ฉงซานรู้จักพากเพียรขึ้นมาได้ แต่ผีเช่นข้าย่อมมีหนทางช่วยกล่อมเกลา สิ่งใดเหล่าจะใช้หลอกล่อคนลามกได้ดีเท่าเรื่องเช่นนั้น



“ลองดูก่อนก็ไม่เสียหายมิใช่หรือ หากร้านค้าของเจ้าประสบความสำเร็จล่ะก็...” ข้าขยับเข้าไปใกล้เจ้าอ้วนมากขึ้น ลดระดับเสียงลงจนแทบเป็นเสียงกระซิบ “ข้าจะสอนวิถีร่วมสามหรรษาสุขสันต์ระหว่างเจ้ากับเสี่ยวต้าฟ่านให้”



ได้ยินดังนั้นใบหน้าขาวอวบพลันแดงก่ำจนถึงติ่งหู แม้จะเป็นเวลาเช้าตรู่ คนกำลังฝึกวิชาลมปราณเพื่อสร้างร่างกายให้แข็งแกร่งขึ้น แต่เลือดกำเดาของนายท่านลู่ก็ไหลพุ่งทะลักออกมาแล้ว



แน่นอนว่าคนรับปากเป็นอันว่าตกลง



ยามเช้าเกลี้ยกล่อมเจ้าอ้วนเป็นอันเรียบร้อย ตกยามค่ำคืนข้าก็เข้าสิงยืมใช้ร่างของลู่ฉงซานเช่นเคย คืนก่อนปรนเปรออาหมิ่นจนรักใคร่สุขสมดีแล้ว คืนนี้ย่อมต้องไปปลอบใจคนงามคนอื่นเสียบ้าง ริจะเป็นชายเจ้าชู้มากรักก็ลำบากเช่นนี้ หากฝนตกไม่ทั่วฟ้าดุลอำนาจในบ้านไม่สมดุล ต่อไปเรื่องราวทะเลาะเบาะแว้งของเหล่าอนุภรรยาในสกุลลู่คงได้วุ่นวายกว่าเดิมเป็นแน่



เมื่อวานครั้งไปหาอาหมิ่นข้ามิได้ให้คนรับใช้ไปบอกให้เขาออกมารับ แต่ครั้งนี้เมื่อไปหาย่าเอ๋อร์ ข้ากลับไม่ได้บอกให้คนรู้ตัวเสียด้วยซ้ำ ปล่อยให้เขาคิดว่าข้าคงพักค้างกับศัตรูคนละฝ่ายของเขาอีกคืน จุดประสงค์ข้าในครั้งนี้ หนึ่งเป็นเพราะต้องการดัดนิสัยโดดเด่นเอาแต่ใจของคนงามผู้นี้บ้าง มิใช่คอยตามใจเขาตลอดเวลาเหมือนที่เจ้าอ้วนทำ สองคือยามคนไม่ได้เตรียมพร้อมมักจะแสดงตัวตนออกมามากที่สุด ข้าเพียงอยากเห็นอาการโดยธรรมชาติปราศจากการแสดงของอนุภรรยารักเพียงเท่านั้น



สิงสถิตอยู่ในจวนสกุลลู่มานานนับเดือน ข้าย่อมรู้ว่าเวลาประมาณนี้เป็นยามที่ย่าเอ๋อร์ผู้มีรสชาติเผ็ดร้อนกำลังเปลื้องผ้าแช่กายในน้ำร้อนอยู่เป็นแน่ เมื่อข้าใช้ก้าวเดินไร้เสียงเข้าไปจนถึงภายในก็พบว่าเป็นจริงดังคาด อดีตทายาทของฉู่อ๋องหันหลังให้กับฉากกั้น ลำตัวเอนผิงขอบถังคล้ายคนไร้เรี่ยวแรง เส้นผมยาวสยายปกคลุมไหล่ลาดเล็กที่สั่นระริก ท่าทางคล้ายลูกนกเปียกน้ำที่ต้องการความอบอุ่นเป็นอย่างมาก



“ใครน่ะ” คนพอมีวิทยายุทธอยู่บ้าง ไม่นานจึงสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของผู้บุกรุก ย่าเอ๋อร์หันหลังกลับมาด้วยความรวดเร็ว...รวดเร็วเสียจนคนยังไม่ทันได้เช็ดหยดน้ำบนใบหน้า ภาพดวงหน้าขาวจัดซีดเซียวตัดกับเรือนผมเปียกลู่สีเข้มและน้ำร้อนที่สาดกระจายเป็นระลอกคลื่นล้วนทำให้ตาพร่าอยู่บ้าง แต่หัวใจคันยุบยิบอยู่มาก เศษเสี้ยวความรู้สึกหนึ่งของเจ้าหมูที่ข้าสัมพันธ์ได้คล้ายว่าหัวใจของเขาเจ็บแปลบยิ่งนัก นึกอยากจะขยับไปตระกองกอดคนเบื้องหน้าเอาไว้และลูบหัวจูบแก้มพร่ำบอกมิให้เขากังวลต่อสิ่งใด



“นายท่าน...” ย่าเอ๋อร์รีบยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของตนเอง ทำท่าทางราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น คนงามเกาะขอบอ่างมองตรงมายังข้าด้วยท่าทางเง้างอด ปากแดงจัดว่ากล่าววาจาประชดประชัน หากดวงตากลมโตนั้นยังคงแดงระเรื่อ “คิดว่าท่านเสพสุขอยู่ที่เรือนตะวันตก จนไม่มีวันมาเหยียบเรือนตะวันออกของข้าอีกต่อไปแล้ว”



เห็นน้ำตาของเขา ซ้ำยังได้ยินเขาตัดพ้อถึงเพียงนี้ มีหรือที่ข้าจะไม่กล้าปลอบโยน ข้าถอดรองเท้าก้าวเข้าไปหาเรือนร่างเปลือยเปล่าในถังน้ำ เอื้อมมือไปแตะผิวแก้มเนียนละเอียดก่อนจะใช้ปลายนิ้วของตนแตะกับขอบตาแดงระเรื่อของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา “ทำให้เจ้าน้อยใจเข้าแล้ว ต้องชดเชยอย่างไรดีเล่า”



ย่าเอ๋อร์คล้ายพอใจกับคำพูดนั้นไม่น้อย เขาขยับใบหน้าคลอเคลียไปตามฝ่ามือของข้า ท่าทางราวกับลูกแมวยามออดอ้อนเจ้านายไม่มีผิด เด็กหนุ่มแนบจูบลงบนปลายนิ้วเบาๆ เลียนแบบอากัปกิริยาที่ข้าทำกับเขาเมื่อวานนี้ แต่นำไปปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นด้วยการใช้แนวฟันขาวขบกัดตามข้อนิ้วของข้าโดยไล่เพิ่มน้ำหนักมากขึ้นทุกที “ขอเพียงท่านยังรักและเมตตาย่าเอ๋อร์ก็พอใจแล้ว”



ดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นบ่งบอกความจริงในถ้อยคำของเขาอยู่ครึ่งหนึ่ง เรื่องที่ต้องการให้รักและเมตตาล้วนเป็นความจริง หากแต่ว่าสองสิ่งนั้นคงมิสามารถทำให้หลานจื่อเย่พอใจได้ จากนิสัยดั้งเดิมของเขาคงมีเพียงการครอบครองทุกสิ่งอย่างของลู่ฉงซานกระมังจึงจะทำให้พึงพอใจได้­



เพียงเท่านี้ข้าก็เข้าใจเรื่องราวภายในบ้านสกุลลู่มากยิ่งกว่าเดิม ปัญหาหลักของอาหมิ่นคือการที่สามีไม่แสดงความรักใคร่ให้เขาเท่าไรนัก ปัญหาหลักของย่าเอ๋อร์คือการต้องการครอบครองมากจนเกินไป เจ้าหมูมีอนุภรรยาและสาวใช้อุ่นเตียงนับรวมกันแล้วเกินสิบ เป็นพวกมากรักหลายใจ แล้วจะสามารถทุ่มเทความรักให้เขาคนเดียวได้อย่างไรเล่า



อนุชายผู้นี้นับว่าโง่งมอยู่มาก ยึดถือสามีเป็นดั่งโลกของตนจนมิสนใจสิ่งอื่น หึงหวงจนเกิดพอดี หากหาสิ่งใดที่เหมาะสมมาดึงความสนใจของเขาออกไปได้บ้าง ให้เขารู้จักทุ่มเทบางสิ่งเพื่อตนเองบ้าง เวลานั้นบ้านสกุลลู่ก็คงอยู่ได้อย่างสงบแล้ว เขาคงไม่หลอกล่อกล่าววาจาปั่นหัวฝาแฝดเสี่ยวต้าฟ่านและไม่หาเรื่องทะเลาะทำร้ายร่างกายอาหมิ่นและพรรคพวกอีกต่อไป



เห็นข้ายิ้มแย้มไม่ตอบรับคำพูดของเขาแต่อย่างใด คนก็คล้ายจะร้อนใจขึ้นมาบ้าง ย่าเอ๋อร์ที่รู้ใจสามีของตนเองดีว่าเนื้อแท้เขาไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย ไม่เคยนำตนไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาใดๆ ก็รีบเปลี่ยนสีหน้าในทันที คนหรี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมขยับรอยยิ้มหวานเชิญชวน ช่างเป็นเจ้าตัวเล็กที่แสดงละครเก่งเหลือเกิน “นายท่านรอสักครู่ได้หรือไม่ ข้าของล้างตัวอีกไม่นานแล้วจะไปปรนนิบัติรับใช้ท่านเป็นอย่างดี”



“เช่นนั้นไยย่าเอ๋อร์ไม่ปรนนิบัติข้าอาบน้ำเสียเล่า” เรื่องแสดงละครเช่นนี้ข้าเองก็ไม่น้อยหน้าใครเช่นกัน กล่าวจบข้าก็ปลดสายคาดเอวพร้อมเสื้อผ้าของลู่ฉงซานออกไปเสียหมด มิได้สนใจดวงตากลมโตที่เบิกกว้างขึ้นคล้ายตกใจและไม่เชื่อสายตา เมื่อร่างอวบท้วมก้าวเข้าไปในถังน้ำใบเดียวกับอนุภรรยาคนงาม น้ำร้อนด้านในพลันกระฉอกออกมากเกินครึ่ง ความจริงทำเรื่องยวนยางขณะเปลือยกายอาบน้ำมิได้มีจุดประสงค์เพื่อการชำระล้างร่างกาย หากมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มความแปลกใหม่ให้กับชีวิตคู่รัก น้ำเต็มถังก็ดี ครึ่งถังก็ดี เวลาตกอยู่ให้ห้วงหฤหรรษ์แล้วสมองเจ้าจะมีพื้นที่ให้นึกคิดสิ่งใดอีกหรือ



แม้ขนาดร่างกายของย่าเอ๋อร์จะไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก แต่ด้วยขนาดตัวเจ้าตัวไม่ได้ความสกุลลู่ พอเข้าไปเบียดในถังน้ำย่อมทำให้รู้สึกคับแคบอยู่บ้าง ใบหน้างดงามสมกับมีเชื้อสายราชวงศ์ของย่าเอ๋อร์ฉายแววงุนงงไม่รู้ว่าจะจัดการมือเท้าตนเองอย่างไรดี จนกระทั่งข้าวางมือโอบเอวของเขาเอาไว้พร้อมกับรั้งร่างเพรียวขึ้นมาซ้อนทับบนหน้าขา ท่าทางแปลกใหม่ใกล้ชิดเช่นนี้ทำให้ผิวแก้มคนงามเริ่มเจือสีระเรื่อด้วยความขัดเขินขึ้นมาบ้าง



“อยู่อย่างนี้แล้วจะอาบน้ำให้นายท่านได้อย่างไรกัน” ริมฝีปากแดงก่ำกล่าววาจาออกมาได้น่ารักยิ่งนัก ข้าลากปลายนิ้วไปตามผิวเนื้อเนียนนุ่มบนเอวบางที่กว้างเพียงแค่หนึ่งฝ่ามือก่อนจะเค้นคลึงเล่นอย่างแผ่วเบา ส่วนมืออีกข้างก็จับมือนิ่มของอีกฝ่ายเอาไว้ นัยน์ตาจับจ้องลึกเข้าไปในดวงตาหงส์คู่นั้น ความรู้สึกหวั่นไหวจากย่าเอ๋อร์ทำให้เสี้ยววิญญาณของลู่ฉงซานเป็นสุขยิ่งนัก



“ตรงไหนที่ควรสัมผัส...ย่าเอ๋อร์ย่อมรู้ดีมิใช่หรือ” ข้าวางฝ่ามือเล็กลงบนแผ่นอกของตนเอง จากนั้นจึงค่อยจับลากลงต่ำให้มือนิ่มสัมผัสไปตามเรือนร่างผู้เป็นสามี ครั้นเมื่อเลื่อนลงไปเบื้องล่างยิ่งขึ้น ข้ากลับละมือออกให้เขาเป็นอิสระ ย่าเอ๋อร์ที่มิเคยมีโอกาสได้เป็นผู้ควบคุมบทเพลงรักมาก่อนพลันเข้าใจได้ทันทีว่าต้องทำสิ่งใดต่อไป นิ้วเรียวกอบกุมส่วนกลางร่างกายของข้าเอาไว้ก่อนจะเริ่มรูดรั้งอย่างเงอะงะท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูเป็นอย่างยิ่ง



ข้าส่งเสียงครางต่ำๆ ในลำคอคล้ายเป็นการให้กำลังใจอีกฝ่าย ยิ่งได้ยินเสียงสุขสมเช่นนี้ คนชอบครอบครองเป็นเจ้าข้าวเจ้าของย่อมย่ามใจอยากกระทำการมากยิ่งกว่าเดิม ปลายนิ้วขยับรัดแน่นยิ่งขึ้น กระทั่งจังหวะขยับมือยังหนักหน่วงปลุกเร้าเสียจนส่วนที่หลับใหลแข็งขืนขึ้นตามมือของเขา



กระทำการปรนเปรอได้ดีเช่นนี้ข้าย่อมต้องให้รางวัล ข้าแนบจูบลงบนลำคอขาวผ่องก่อนจะขบฟันลงไปจนเป็นรอยเขี้ยว เสียงร้องประท้วงเบาๆ พร้อมกับนิ้วมือที่กำรั้งแน่นขึ้นยิ่งแสดงให้เห็นว่าคนเบื้องหน้าช่างเรียนรู้วิธีการทรมานผู้คนได้เก่งกาจเป็นอย่างยิ่ง บทเพลงรักยิ่งเร่งจังหวะโหมกระหน่ำมากขึ้นทุกขณะ มือข้างหนึ่งของข้าทั้งนวดคลึงยอดอกที่ชูชันทั้งใช้ปลายเล็บสะกิดหยอกล้อคน เช่นเดียวกับมืออีกข้างที่บีบเค้นสะโพกอิ่มจนย่าเอ๋อร์หลุดครางแผ่วเบา



นักเรียนชั้นดีเพียงใดคงมิสามารถต่อกรกับปรมาจารย์วังวสันต์เช่นช้าได้ ขณะที่หลานจื่อเย่ยังคงวุ่นวายกับการยั่วเย้าท่อนเนื้อร้อนของสามีไม่หยุด ปลายนิ้วของข้าก็ลากตามร่องสะโพกจนแตะที่รอยพับจีบหน้าปากทางอันปิดแน่นเสียแล้ว อาศัยความชุ่มชื้นจากน้ำอุ่นทำให้ข้าสอดนิ้วเข้าไปภายในได้โดยไม่ยากนัก ถูกรุกรานกะทันหันเช่นนี้ย่อมทำให้คนงามหยุดชะงักมือ ย่าเอ๋อร์พยายามขยับหลีกหนีแต่ผิวกายร้อนผะผ่าวของเขากลับแนบชิดเข้ามาใกล้ข้ายิ่งกว่าเดิม ข้าประกบริมฝีปากมอบจูบเร่าร้อนแนบแน่นให้กับคนเบื้องหน้าพร้อมกับที่กดกระแทกปลายนิ้วขยับขยายช่องทางรักไปด้วย



เทียบกับรสรักเมื่อคืนก่อนกับอาหมิ่นผู้แสนเรียบร้อยว่าง่าย นับว่าคนงามผู้นี้ใจถึงและกล้าแสดงออกกว่ามาก เพียงแตะปลายลิ้นไล่เลียชักนำไม่กี่ครั้ง ย่าเอ๋อร์ก็สอดลิ้นเข้ามาเป็นฝ่ายรุกล้ำแทน ข้าได้แต่หัวเราะในใจ ยอมเป็นผู้ตามแต่โดยดี หากมือเบื้องล่างกลับสอดนิ้วที่สองเข้าไปเสียแล้ว กางปลายนิ้วรุกล้ำเสียดสีความคับแคบหยอกล้อกับจุดอ่อนไหวจนเอวอ่อนยวบยาบอยู่ครู่หนึ่ง อนุภรรยาผู้แสนเอาแต่ใจก็หมดความอดทนเสียก่อน



“อึก...ไม่ไหวแล้ว” เขาถอนริมฝีปากออกมาแล้วมองข้าด้วยสายตาเว้าวอน กลีบปากที่บวมเจ่อเล็กน้อยดูยั่วเย้าราวมารน้อยที่พร้อมปั่นหัวทุกคน สองแขนเล็กโอบรอบลำคอของข้าเอาไว้ “ข้าต้องการนายท่าน”



“ย่าเอ๋อร์...เด็กดี” ข้ากดจูบลงบนขมับของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา ท่าทีอันอ่อนโยนที่แสดงออกมาขัดกับนิ้วที่ถูกกระชากออกด้วยความรวดเร็ว ข้ายกสะโพกของย่าเอ๋อร์ขึ้นก่อนจะกดรั้งลงมาให้แกนกายของตนจ่อที่ปากทาง ครั้นกดตัวเขาลงมาจนสุดโคน ร่างเพรียวบางพลันสั่นระริกขึ้นมา ริมฝีปากอิ่มอ้าออกเล็กน้อยเพื่อผ่อนลมหายใจราวกับต้องการระบายความรู้สึกเจ็บแปลบระคนเสียวซ่านออกมา



น้ำที่กระฉอกออกมาจากถังน้ำจนเหลือไม่มากแล้ว คราวนี้กลับยิ่งสั่นไหวกระเด็นเซ็นซ่านเสียยิ่งกว่าเดิม ข้าจับบั้นเอวของอีกฝ่ายเอาไว้เพื่อออกแรงชักนำให้คนกดสะโพกลงมาเสียดสีเพื่อเติมเต็มความต้องการของอนุชายคนงามด้วยรสรักอย่างที่เขามิเคยได้สัมผัสมาก่อน ย่าเอ๋อร์ชื่นชอบความรู้สึกได้เป็นฝ่ายควบคุมเช่นนี้ไม่นานก็รู้จักแอ่นสะโพกกดกระแทกด้วยตัวเอง ซ้ำยังรู้จักเปิดปากร้องครวญครางเสียงหวานยั่วเย้าผู้อื่นเสียอีก



เอวอ่อนของอนุคนงามขยับส่ายบดเบียดเสียดสีอยู่พักหนึ่ง ย่าเอ๋อร์ก็เสร็จสมจนถึงฝั่งฝัน ข้าโอบอุ้มสะโพกอิ่มของเขาพลางก้าวเดินไปยังเตียงนอนไม้มิได้สนใจหยาดน้ำที่ไหลรินลงพื้น แกล้งดึงรั้งให้ผนังอ่อนอันแสนร้อนผ่าวและบีบรัดกระทั้นลงมาทุกยามที่ข้าขยับตัว ครั้นวางร่างเขาไว้บนเตียงทั้งที่สองร่างยังคงเชื่อมต่อ คนก็พลิกตัวขึ้นมาคร่อมหน้าตักของข้าในทันที



“ลู่ฉงซาน...” เสียงหวานของคนคราวนี้เริ่มแหบพร่า ดวงตางดงามคู่นั้นเหลือบมองข้าด้วยอารมณ์อันเปี่ยมไปด้วยความรักเป็นอย่างยิ่ง “ท่านรักข้าหรือไม่”



คำถามนี้นับว่าเป็นคำถามสามัญประจำเวลาร่วมรักดีแท้ คนคาดหวังคำตอบอย่างไรกัน เพราะเมื่อถามตอนกำลังสุขสมคำตอบย่อมมิอาจเป็นอื่นได้ หากข้ามิใช่คนจิตใจหยาบช้าเช่นนั้น คำตอบจึงไม่ใช่ความคิดของข้า แต่เป็นความจริงในจิตใจจากผู้เป็นเจ้าของร่าง “ลู่ฉงซานผู้นี้ในใจย่อมมีเจ้า”



“เหมือนดั่งเช่นที่มีอาหมิ่น อาตวน เจียวมี่และฝาแฝดเสี่ยวต้าฟ่านน่ะหรือ” ย่าเอ๋อร์ผู้นี้ไม่รู้จักจบจักสิ้นดีแท้ ขนาดผนังอ่อนบีบรัดดูดกลืนท่อนเนื้อถึงเพียงนั้น คนยังอุตส่าห์ตัดพ้อได้ถึงเพียงนี้



แต่ไหนแต่ไรเมื่อถูกตัดพ้อเช่นนี้ ลู่ฉงซานมิเคยสามารถหาวาจาใดมากล่าวตอบโต้ออกไปได้ เหตุผลคงเพราะสมองของเจ้าหมูมิได้ฉลาดเฉลียวพอจะสรรหาคำตอบที่เหมาะสมออกมาได้ “รักใครมากกว่าน้อยกว่า ข้าย่อมมิสามารถตอบได้ ในเมื่อพวกเจ้าเหล่าอนุภรรยาล้วนเป็นผู้ที่อยู่ในใจข้าทั้งสิ้น...หากรักถนอมเจ้าต่อไปเช่นนี้มิได้หรือ”



ย่าเอ๋อร์ไม่ตอบคำถามของข้า หากนัยน์ตาเลื่อนลอยคู่นั้นกลับฉายแววครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ข้ารู้ดีว่าปล่อยเขาคิดฟุ้งซ่านไปในเวลานี้ย่อมไม่ใช่เรื่องดีและไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม สองแขนจึงโอบกอดเข้าเอาไว้ หวังให้ความรุ่มร้อนของร่างกายทำให้จิตใจของเขาอบอุ่นขึ้นมาบ้าง



“ย่าเอ๋อร์...ข้าย่อมรู้ดีว่าเจ้ารักข้ายิ่งกว่าสิ่งใด หากชีวิตของเจ้ายังเยาว์วัยนัก ผูกติดอยู่กับข้าเพียงอย่างเดียวเกรงว่าจะไม่คุ้มที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เสียแล้ว หากเจ้าชอบผ้าไหมผืนงามๆ ชอบเรียนวิชากระบี่ ข้าจะเปิดร้านขายผ้าไหมให้เจ้า รวมถึงให้คนมาสอนวิชากระบี่ให้เจ้าเพิ่มดีหรือไม่” กล่าวจบข้าก็รั้งเอวบางของเขาเอาไว้ มิหนำซ้ำยังขยับสวนแก่นกายให้กระแทกย้ำไปยังจุดกระสันเพื่อให้คนเลิกฟุ้งซ่านและกลับมาอยู่กับปัจจุบันเสียที



ร่างกายของย่าเอ๋อร์สั่นระริกด้วยความรู้สึกกระสันซ่านที่คล้ายทำให้ร่างกายของเขาชาวาบตั้งแต่เส้นผมจนจรดปลายเท้า คนงามได้แต่ร้องครวญครางเสียงหวานน่าฟัง จนไม่รู้ว่าคำตอบที่เอ่ยออกมาอย่างไม่เป็นภาษานั้น แท้จริงแล้วกำลังหมายถึงเรื่องใดกันแน่ “ดี...อะ...อื้อ! ดียิ่งนัก”



ได้ฟังเช่นนั้นย่อมทำให้รอยยิ้มบนริมฝีปากของข้าขยับกว้างยิ่งกว่าเดิม แผนการสร้างความสงบในสกุลลู่ของข้า แม้ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมาย แต่หากทุกอย่างอย่างราบรื่นเป็นไปได้ด้วยดี หนทางการสร้างกุศลของข้าและการดึงพลังหยางจากเหล่าอนุชายหน้าหยกเพื่อฝึกปรือของข้าก็คงมิลำบากอีกต่อไปแล้ว



เหล่าคนงามรสชาติยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ มีพลังหยางให้ข้าหยิบยืมใช้ถึงเพียงนั้น มิเสียทีจริงๆ ที่รั้งอยู่ตามคำขอร้องจากผีบรรพบุรุษสกุลลู่ เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้เขาเสียแล้ว



โปรดติดตามตอนต่อไป...


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
เรื่องราวในบ้านใครก็หัดจัดการกันเองเถิด



สองเดือนหลังจากที่ข้าชี้แนะแนวทางให้กับลู่ฉงซาน แม้ว่าจะต้องบังคับเคี่ยวเข็ญทั้งปลอบทั้งขู่ สุดท้ายความตั้งใจกึ่งจำยอมของเจ้าอ้วนก็เป็นรูปเป็นร่าง วันที่ฤกษ์งามยามดีเหมาะสมสำหรับเริ่มต้นสิ่งใหม่ ร้านค้าผ้าไหมและร้านค้าใบชาสกุลลู่ก็เปิดขึ้นที่ถนนการค้าสายหลักจนได้



ร้านใบชาตั้งอยู่บนถนนด้านทิศตะวันออก ส่วนอีกร้านหนึ่งตั้งอยู่บนถนนด้านทิศตะวันตก สถานที่เหล่านี้ล้วนเป็นข้าบอกกล่าวสรรหามาให้ ปากบอกว่าทำเลดีฮวงจุ้ยเหมาะสม ไม่นานย่อมรับทรัพย์ประสบความสำเร็จ แท้จริงแล้วข้าตั้งใจให้ทั้งสองร้านอยู่ห่างกันสักหน่อย หากเปิดร้านประชันหน้ากันย่อมเป็นผลร้ายมากกว่าดี จากที่จะหางานให้เหล่าอนุภรรยาเพื่อสร้างความสงบ จะกลายเป็นการแข่งขันประชันระหว่างบ้านเล็กทั้งสองฝั่งไปเสียอีก



กว่าที่เจ้าคนไม่ได้ความจะเปิดร้านค้าเป็นของตัวเองได้นั้นนับว่าเป็นเรื่องลำบากอยู่ไม่น้อย เนื่องจากคุณชายตระกูลขุนางใหญ่โตเช่นเขาจะลดตัวมาทำการค้าย่อมเกิดข้อครหาจากคนรอบข้าง กล่าวได้ว่าใช้แค่แรงใจและความรู้อย่างเดียวไม่เพียงพอ มิหนำซ้ำยังต้องใช้เงินทุนมากมายในระยะแรก ลู่ฮูหยินผู้เป็นมารดาเลี้ยงคัดค้านจนเกือบจะเอาหัวโขกกำแพงตายอยู่หลายรอบ บิดาของเขาก็ไม่พอใจ สุดท้ายแล้วข้าจึงต้องใช้ไม้แข็ง



ไม้แข็งที่ว่าไม่ใช่อะไร เป็นผีตาแก่โคตรเหง้าสกุลลู่นั่นเอง ข้าเพียงบอกไปว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของลู่ฉงซาน ผีปู่เห็นว่าให้เขาค้าขายยังดีกว่าให้เขาอยู่อย่างไร้ประโยชน์ จึงรีบตีหน้าขรึมดุดันไปเข้าฝันใต้เท้าสกุลลู่ผู้เป็นบุตรชายในทันที ชี้หน้าด่าต่อว่าอยู่ครึ่งค่อนคืน เช้าวันต่อมาคนนัยน์ตาลึกโหลท่าทางเหมือนโดนเผาผลาญอายุขัยไปสองปีก็ยอมยื่นตั๋วเงินจำนวนสามหมื่นตำลึงและโฉนดร้านค้าบนถนนสายหลักไปให้ลูกชายคนโตตั้งแต่ยามเช้าตรู่ พร้อมยังขู่เข็ญคนว่านี่จะเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่จะมอบให้เขา หากค้าขายขาดทุนย่อยยับก็จงไสหัวออกไปจากจวนเสีย



คนเราจะค้าขายสิ่งใด มิใช่ว่าหลับตาตื่นจากฝันแล้วจะกระทำการประสบความสำเร็จได้โดยง่าย ทั่วเมืองนี้ผู้คนต่างรับรู้พฤติกรรมมากรักหลายใจนิสัยไม่ได้ความของเจ้าอ้วน ต่อให้เขากลายเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาดี ดวงตาสดใส รอยยิ้มเจิดจ้า ภาพลักษณ์ดูดีขึ้นมาก ก็ยังมิอาจลบล้างเรื่องราวในอดีตทั้งหมดได้ แต่หนทางที่จะทำให้ร้านค้าของเขาไปได้รอดนั้นมิใช่เรื่องยากเช่นกัน



เนื่องจากเป้าหมายหลักของข้ามิใช่การเผยแพร่เคล็ดลับการค้าแต่อย่างใด เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ข้าเยี่ยอู๋จวินจึงขอเล่าเรื่องราวแต่โดยสังเขป เอาเป็นว่าร้านผ้าไหมและใบชาของลู่ฉงซานในช่วงวันแรกขายได้ดีพอควร แต่สักพักกลับเงียบสนิท ข้าจึงกระตุ้นยอดขายด้วยการไปเข้าฝันบิดาของข้าเยี่ยหย่งฟาน บังคับให้ไปสั่งซื้อของจากร้านค้าทั้งสองเสีย แม้จะไม่ยินยอมแต่เมื่อโดนข้าหลอกหลอนอยู่หลายวัน คนก็ยอมแพ้อย่างเสียมิได้



สกุลเซียนชื่อดังอย่างเช่นสกุลเยี่ยสั่งผ้าไหมและใบชาจากร้านสกุลลู่เป็นจำนวนมาก เพียงไม่นานคนทั่วทั้งเจียงหนานก็เกิดความสนใจขึ้นจนเข้ามาซื้อของกันเต็มร้านไปหมด อีกทั้งสินค้าที่ขายในร้านค้าทั้งสองร้านล้วนเป็นของดีที่ราคาเหมาะสม สองเดือนนับจากเปิดร้านมา กิจการของเจ้าอ้วนก็ประคับประคองเอาตัวรอดได้อย่างสวยงาม



หกเดือนที่ข้ารั้งอยู่...ลู่ฉงซานจากเจ้าหมูตอนกลายเป็นชายหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลา จากขยะประจำสกุลกลายเป็นเจ้าของกิจการที่มีรายรับเพียงพอเลี้ยงตนเองและอนุภรรยานับสิบ แม้บิดาจะไม่ได้เชิดหน้าชูตาอะไรเขามากมาย แต่ก็มิได้มองข้ามเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป บ่าวไพร่ในบ้านล้วนเคารพรักใคร่ ผู้คนในเมืองล้วนชื่นชมนายท่านสกุลลู่ที่ขายของดีไม่ขูดรีดใคร



ส่วนเหล่าคนงามที่สร้างปัญหาน่ะหรือ บัดนี้แบ่งงานกันได้ดียิ่งนัก ฝั่งร้านใบชามีอาหมิ่นดูแลเรื่องสินค้าต่างๆ มีเจียวมี่คอยช่วยอบรมพนักงานดูแลลูกค้า ฝั่งร้านผ้าไหมให้ย่าเอ๋อร์เป็นผู้เลือกลายผ้ามาวางขาย คนปากหวานเช่นต้าฟ่านจึงช่วยดูแลลูกค้า ส่วนอาตวนที่เป็นบัณฑิตเก่าความรู้มากคอยดูแลบัญชีของทั้งสองร้านโดยมีเสี่ยวฟ่านที่คิดเลขได้เก่งคอยเป็นลูกมือช่วยงาน



เวลากลางวันคนหัวหมุนดูแลกิจการร้านค้า ตกกลางคืนปรนนิบัตินายท่านด้วยใจเปี่ยมรัก เรียกว่าอนุทั้งหกรักใคร่สมัครสมานกันดีกว่าเดิมมาก บ้านสกุลลู่ได้เวลาอันแสนสุขสงบกลับคืนมาแล้ว



สรุปแล้วเรื่องน้ำเน่าบางครั้งก็จบลงง่ายๆ เช่นนั้นเอง...แต่บางเรื่องก็ยังคงไม่จบกระมัง



“ท่านเยี่ย...” อดีตเจ้าอ้วนเรียกข้าด้วยน้ำเสียงลากยาว แม้ว่าไอหยินในร่างจะลดน้อยลงจนคนไม่ใกล้ความตายเหมือนตอนแรก แต่เนื่องจากข้าดึงธาตุหยางจากคนมาได้ไม่น้อย กลายเป็นผีที่ใช้พลังได้มากกว่าเดิม จึงสามารถปรากฏตัวให้มนุษย์ปรกติเห็นได้โดยไม่เปลืองพลังมากนัก เห็นข้าเหลือบมองด้วยสายตามีอะไรให้รีบว่ามา ลู่ฉงซานจึงรีบละล่ำละลักตอบเหมือนหนูกลัวแมว “ตอนนี้ทั้งร้านใบชาผ้าไหมต่างประสบความสำเร็จดีแล้ว เรื่องที่ท่านเยี่ยได้กล่าวเอาไว้วันนั้น มิรู้ว่าจะยังจดจำได้หรือไม่”



ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่ดียิ่งอะไรเช่นนี้ ความกล้าหาญปรกติที่จะออกปากแทนอนุภรรยารักยังไม่มีแม้แต่ส่วน มาเวลานี้กลับใช้ความกล้าหาญเหล่านั้นออกปากขอร้องให้ข้าช่วยสอนวิธีหลับนอนกับชายหนุ่มสองคนในเวลาเดียวกัน พัฒนาตนเองได้ดีเช่นไร แต่หมูลามกก็ยังเป็นหมูลามกอยู่วันอย่างค่ำจริงๆ



“เจ้าลองไปถามฝาแฝดเสียก่อนเถิดว่ายินยอมจะเข้าห้องหอยวนยางกับเจ้าพร้อมกันหรือไม่” รับปากคนเอาไว้แล้ว แม้จะรู้สึกเหนื่อยหน่ายใจ อย่างไรก็ต้องรักษาสัญญา พอได้ยินดังนั้นเจ้าคนแซ่ลู่ก็มีสีหน้าชื่นมื่นเป็นอย่างดี คนรีบรับปากว่าจะรีบจัดการเรื่องนี้เป็นอย่างดี จากนั้นก็รีบไสหัวเผ่นร่างไป มิได้สนใจไยดีข้าอีกต่อไป



วันนี้เป็นวันหยุดที่ทั้งสองร้านค้ามิได้เปิดกิจการ ข้าที่เป็นผีว่างงานซึ่งหมดความสนใจในตัวนายท่านสกุลลู่จึงล่องลอยไปสอดส่องว่าเหล่าอนุภรรยาทั้งหลายยามนี้กำลังทำสิ่งใดกันอยู่ ได้ยินว่าอาหมิ่นจัดงานเลี้ยงขึ้นอีกครั้ง หากคราวนี้คงมิได้นองเลือดกระมัง ถึงได้ไม่มีเสียงดังเอะอะโวยวายออกมาเหมือนคราวก่อน



เหล่าอนุภรรยานั่งเรียงรายอยู่ในศาลากลางสวน เบื้องหน้าแต่ละคนมีถ้วยชาและขนมของว่างวางอยู่ งานเลี้ยงที่ว่าคงจะจัดขึ้นได้ครู่หนึ่งแล้ว อาหมิ่นยังคงนั่งด้วยสีหน้าสงบนิ่งอ่อนโยน ส่วนย่าเอ๋อร์คราวนี้ไม่ได้มีท่าทีขัดแย้งพร้อมโจมตีอีกฝ่ายเหมือนเช่นเคย แต่ดูจากหัวคิ้วแล้วคล้ายว่ามีสิ่งใดครุ่นคิดอยู่ในใจ



“พักหลังมานี้นายท่านเปลี่ยนไปมาก” ย่าเอ๋อร์ผู้เผ็ดร้อนเป็นคนเปิดปากตั้งประเด็นเหมือนเช่นคราวก่อน สายตาจากผู้อื่นถึงกลับจ้องมองมาที่เขาเป็นทางเดียว คนงามมีท่าทางอึดอัดใจอยู่บ้างจึงรีบขยายความ “จริงอยู่ว่าเปลี่ยนไปในทางที่ดี เวลาอยู่บนเตียงถึงจะอ่อนโยนขึ้น ฝีมือเก่งกาจอาจหาญ...แต่คล้ายมิใช่คนเดิม”



กล่าวจบก็เหลือไว้เพียงแต่ความเงียบงัน ระหว่างคนงามทั้งหกเกิดสถานการณ์ลำบากใจที่เรียกว่าข้ามองหน้าเจ้า เจ้ามองหน้าข้า ต่างคนต่างไม่รู้ว่าควรจะว่ากล่าววาจาสิ่งใดดี อย่าว่าแต่อนุชายของลู่ฉงซานเลย ข้าเองที่เป็นผีวิญญาณยังรู้สึกร้อนรนขึ้นมา ย่าเอ๋อร์ผู้นี้ดูเบามิได้เลยจริงๆ ตัวเขายามกระทำรักทั้งร้องครวญครางทั้งให้ความร่วมมืออย่างสุขสมปานนั้น แต่กลับยังอุตส่าห์แยกแยะได้อีกว่าข้ามิใช่สามีตัวจริง



อาหมิ่นยกชาขึ้นจิบ ท่าทางคล้ายถอดอาลัยอยู่ไม่น้อย “หลายเดือนมานี้ข้าก็สัมผัสได้อยู่เหมือนกัน นายท่านเอาใจใส่พวกเรามากขึ้น อ่อนโยนมากขึ้นอย่างที่ย่าเอ๋อร์ว่า แต่ดวงตานั้นกลับคล้ายไม่มีพวกเราอยู่เหมือนเคย”



“ฮึก หรือว่าใจของนายท่านแปรเปลี่ยนเป็นอื่นไปแล้ว” น้ำตาเม็ดโตร่วงพราวจากดวงตาของเจียวมี่เสียแล้ว เด็กหนุ่มสะอึกสะอื้นแล้วยกผ้าซับน้ำตาด้วยความอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง คำพูดนั้นทำเอาอนุชายคนอื่นหน้าซีดเผือดจนดูไม่ได้ “คราวก่อนข้าได้ยินนายท่านละเมอถึงคนแซ่เยี่ย บางครั้งก็พูดถึงคนแซ่เยี่ยอยู่คนเดียว มิรู้ว่าไปต้องตาต้องใจใครเข้า”



ได้ยินดังนั้นข้าย่อมรู้สึกพูดไม่ออกอยู่มาก นึกอยากจะหวดก้นกลมของเจียวมี่แรงๆ สักหลายทีเพื่อเป็นการสั่งสอน ไม่รู้ว่าเจ้าหนูนี่ไปเอาความคิดแบบนี้มาจากใครกัน ที่ลู่ฉงซานเอ่ยถึงข้าก็เป็นเพราะกำลังพูดคุยอยู่กับปรมาจารย์วังวสันต์ผู้นี้อยู่มิใช่หรือ ต้องตาต้องใจบ้านเจ้าน่ะสิ



“เรื่องนั้นคงมิใช่หรอก” อาตวนรีบตัดบทเปลี่ยนเรื่องก่อนที่จินตนาการของเด็กน้อยใสซื่อบื้อจะไปไกลยิ่งกว่าเดิม เขาใช้ด้ามพัดเคาะที่ข้างขมับของเจียวมี่เบาๆ คล้ายต้องการตักเตือน “เวลานี้เขาดูแลเอาใจใส่พวกเรากว่าแต่ก่อนเสียอีก เรื่องเล็กน้อยสิ่งใดล้วนสังเกตเห็นหมด”



“จริงด้วย” เสี่ยวฟ่านปรบมือเข้าหากันคล้ายคิดอะไรออก แฝดผู้น้องหันไปมองพี่ชายแล้วรีบเล่าเรื่องราวออกมาสำทับ “แต่ก่อนนายท่านมิเคยแยกแยะข้ากับต้าฟ่านออก แต่เมื่อเดือนก่อนพี่ชายของข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายตัว ข้าจึงย่องขึ้นเตียงนายท่านแทนเขา ไม่น่าเชื่อว่านายท่านกลับเรียกชื่อข้าถูกตั้งแต่แค่เหลือบมอง นี่ผิดปรกติแล้ว! ”



เอาใจใส่มากเกินไป...เรื่องเช่นนี้ยังจะนำมาจับผิดกันได้อีกหรือ อันที่จริงวิธีการแยกแยะเสี่ยวต้าฟ่านนั้นไม่ยากเท่าไรหรอก ข้านั้นแค่มองด้วยหางตายังสามารถจำแนกได้ แล้วเจ้าคนสกุลลู่เป็นสามีประสาอะไรกันจึงมิสามารถแยกภรรยาทั้งสองของตนเองออก นี่สมควรประณามหยามเหยียดแล้ว



“นายท่านบางครั้งก็คล้ายเป็นตัวเอง บางครั้งก็คล้ายมิใช่ตัวเอง” คนงามพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาคล้ายต้องการพึมพำกับตัวเอง พักหนึ่งดวงตากลมโตของย่าเอ๋อร์ก็เบิกกว้างยิ่งกว่าเดิมราวกับคิดสิ่งใดขึ้นมาได้ และสิ่งที่เขาคิดได้นั้น คงมิเป็นผลดีต่อข้าเท่าไรนักหรอก “หรือว่านายท่านจะถูกผีเข้าสิง! ”



คราวนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาแล้ว แต่ละคนยิ่งขุดเรื่องราวพฤติกรรมของข้าที่แตกต่างจากเจ้าหมูตัวจริงขึ้นมาพูดกันไม่หยุดไม่หย่อน ทุ่มเถียงกันได้พักใหญ่ก็ได้ข้อสรุปและทางออกที่ทำให้ผีลามกเช่นข้าหมดที่อยู่อาศัยอีกต่อไป



“หากรบกวนสกุลเยี่ยด้วยเรื่องนี้อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตจนเกินไป” อาหมิ่นย่อมคิดถึงหน้าตาของบ้านสกุลลู่อยู่บ้าง จะไปขอความช่วยเหลือจากตระกูลใหญ่ประจำเมืองก็เกรงว่าเรื่องราวเล็ดลอดออกไปจะส่งผลกระทบต่อกิจการร้านค้าได้ จึงต้องหาทางเลือกอื่นแทน “ข้าได้ยินว่าช่างนี้มีผู้ฝึกเซียนจากทางทิศตะวันตกท่านหนึ่งพักแรมอยู่ในเมือง หากเชิญเขาเข้ามาพักในจวน จากนั้นค่อยขอร้องให้ช่วยตรวจสอบสิ่งอัปมงคล ดีร้ายอย่างไรก็ยังรักษาหน้าตาสกุลลู่ได้บ้าง”



ข้าที่ถูกลดระดับไปเป็นสิ่งอัปมงคลย่อมมิอาจทำใจเย็นได้อีกต่อไป หากเขาเชิญคนสกุลเยี่ยมา ข้าย่อมสามารถพูดคุยเจรจาได้ แต่หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรจากสกุลอื่น เรื่องราวย่อมกลายเป็นอีกอย่าง ผู้ที่ออกเดินทางรอนแรมเช่นนี้มักเป็นผู้ที่กำลังออกเดินทางฝึกวิชาในยุทธภพ พบเจอผีมีฤทธิ์วิชาเข้าอย่างหนึ่งคือกำราบผีนำกลับไปเป็นเครื่องมือใช้งาน อีกอย่างคือทำลายวิญญาณเสียสิ้น ไม่ว่าทางไหนก็ไม่ดีต่อตัวข้าทั้งนั้น



รั้งอยู่มาได้หกเดือนครึ่งปี ความตั้งใจของข้านั้นวันใดวันหนึ่งข้าย่อมต้องออกจากจวนสกุลเยี่ยอยู่แล้ว เหตุเพราะข้ามิสามารถยืมใช้ร่างนายท่านสกุลลู่ได้ตลอดไป เสียแต่ว่าเวลาที่ว่านั้นมาถึงเร็วไปสักนิด ข้าซึ่งตัดสินใจดีแล้วได้แต่ไปบอกลาเจ้าอ้วนที่น้ำตาไหลอาบหน้าด้วยความเสียใจจากการจากลา แต่อย่าได้ร้องไห้ฟูมฟายไปเลยลู่ฉงซาน ข้าคงมิได้มีโอกาสสอนเจ้าร่วมหลับนอนสามหรรษาอีกต่อไปแล้ว จะโทษใครก็จงโทษเหล่าอนุภรรยาของเจ้าเถิด คนเขาตั้งใจจะขับไล่ถึงเพียงนี้ เจ้ายังจะหน้าด้านอยู่ให้วิญญาณแตกสลายอีกหรือ





ออกจากบ้านสกุลลู่มาได้ข้าก็กลับไปที่สุสานฝังศพของตนเอง มิได้มาเยี่ยมเยือนเป็นครึ่งปี แต่ทุกอย่างยังเรียบร้อยสะอาดสะอ้านดีนัก กระทั่งดอกเบญจมาศขาวที่หน้าหลุมศพยังคงสดใหม่เหมือนเพิ่งเปลี่ยนได้ไม่กี่วัน ข้าตัดสินใจว่าจะพักอยู่แถวนี้สักสองสามวัน ตั้งใจจะคิดวางแผนก่อนว่าจะจัดการเช่นไรกับการบำเพ็ญเพียรเพื่อเป็นอ๋องผีในระยะเวลาหกปีครึ่งที่เหลือนี้ดี จะรั้งอยู่ในเจียงหนานหรือจะเป็นผีเร่ร่อนท่องเที่ยวไปยังดินแดนอื่น



ระหว่างที่ข้ายังคิดไม่ตกดี วันแรกก็พบว่ามีคนเผาชุดผ้าไหมตัดเย็บอย่างดีมาให้ ถึงข้าจะตายด้วยร่างกายเปลือยเปล่า แต่อย่างน้อยร่างวิญญาณก็ยังอยู่ในชุดขาวจืดชืดเหมือนกับผีตนอื่นๆ ยามนี้เมื่อเห็นเสื้อตัวในและสายคาดเอวสีม่วง ตามด้วยเสื้อคลุมตัวดำก็รู้สึกคล้ายกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง จะเสียดายก็แค่ป้ายหยกที่ข้าแขวนอยู่เป็นประจำ ที่ป่านนี้คงฝังไปพร้อมกับกายเนื้อของข้าแล้ว ข้ารีบเปลี่ยนชุดด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง นี่คงจะเป็นคำขอบคุณของเจ้าอ้วนลู่ฉงซานมอบให้ข้าเสียกระมัง



วันที่สองยังคงเงียบสงบดีจนกระทั่งตอนที่ฟ้าเริ่มมืด พระอาทิตย์เริ่มตกดิน หน้าหลุมศพของข้าก็ปรากฏวิญญาณชายชราหน้าตาถมึงทึง ใบหน้าแก่ๆ ของผีบรรพบุรุษสกุลลู่เป็นสีแดงจัดราวกับจะมีไฟปะทุออกมาได้ พอข้าแย้มยิ้มเอ่ยปากจะทักทาย เขาก็ยกมือขึ้นชี้หน้าข้าพร้อมกับแผดเสียงใส่เสียจนข้าหูชาไปหมด



“เจ้า! เจ้าตัวบัดซบสกุลเยี่ย! ” หนวดของใต้เท้าสกุลลู่กระตุกขึ้นตามคำพูด ท่าทางผีแก่จะโมโหจัดเสียแล้ว “หลานชายข้าแต่ก่อนถึงจะไม่ได้เรื่องเช่นใดก็เพียงแค่เจ้าชู้หลายใจ แต่เจ้ากลับเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นต้วนซิ่ว! กลายเป็นคนลักเพศไปแล้ว! ”



ฟังคำพูดเขาก็ช่างชวนให้น่าถอดถอนใจดีแท้ มนุษย์ปุถุชนช่างเอาใจยากเย็นยิ่งนัก หากเจ้ามีประโยชน์เขาก็เรียกเจ้าว่าท่านเยี่ย พอเจ้าหมดประโยชน์เขาก็เรียกเจ้าว่าตัวบัดซบแซ่เยี่ย ลู่ฉงซานแต่ไหนแต่ไรก็รักบุรุษมิสนใจสตรี มาถึงคราวนี้เขาเปิดเผยตัวแล้วจะกลายเป็นข้าไปเปลี่ยนแปลงเขาได้เช่นไรเล่า



“เขาถึงกลับไล่อนุภรรยาหญิงและสาวใช้อุ่นเตียงออกจากบ้านไปทั้งหมด มิหนำซ้ำจะยกเจ้าเด็กหลิวหมิ่นขึ้นมาเป็นภรรยาเอก ให้เจ้าเด็กเหลือขอย่าเอ๋อร์เป็นภรรยารอง หากมิใช่เพราะเจ้าชักจูงปั่นหัว เขาจะตัดสินใจเช่นนั้นหรือ บ้านสกุลลู่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกันเล่า” ผีโคตรเหง้าสกุลลู่เล่าไปก็หอบหายใจ พอด่าจบสีหน้าโกรธขึ้งก็ดีขึ้นเล็กน้อยเหมือนว่าได้ระบายอารมณ์ แต่สายตาที่มองข้ายังคงเหมือนจะฆ่าฟันกันอยู่ดี



ลู่ฉงซานนับว่ามีพัฒนาการที่ดีมากนัก ข้าออกจากจวนตระกูลลู่ได้แค่สองวัน คนก็ยกย่องคนรักมาเป็นภรรยาเอกภรรยารองเสียแล้ว ส่วนที่ผีสกุลลู่ผายลมออกมานั้นเหมือนจะเกินจริงไปอยู่มาก ดินแดนเจียงหนานเรียกได้ว่ารักอิสรเสรียิ่งกว่าแว่นแคว้นอื่น บุรุษผู้หนึ่งจะรักใคร่จนแต่งบุรุษอีกผู้หนึ่งมาเป็นภรรยาเอกล้วนเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ มิจำเป็นต้องรู้สึกอับอายขายหน้าถึงขนาดนั้น



“หน้าแก่ๆ ของเจ้าก็วางไว้ที่เดิมของมันเถิด! ” เสียงห้าวหาญดังขึ้นจากทางด้านซ้าย วิญญาณชายแก่ที่เหมือนจะเป็นแม่ทัพเฒ่าแซ่ถังปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับมองผีแซ่ลู่ด้วยสายตาเย็นชา “รักบุรุษชอบตัดแขนเสื้อแล้วอย่างไรเล่า มิใช่ว่าลู่ฉงซานบ้านเจ้าจากหมูตอนกลายเป็นคุณชายผู้งามสง่าหรอกหรือ บัดนี้ใครจะสั่งสินค้าที่ร้านของเขายังต้องสั่งจองนัดล่วงหน้าหลายวัน ควรนับเป็นความภาคภูมิใจได้แล้ว”



กล่าวจบผีแม่ทัพเฒ่าในชุดเกราะเต็มตัวกระแทกตัวกับพื้นเพื่อนั่งคุกเข่าต่อหน้าข้า มิหนำซ้ำยังโขกศีรษะกับพื้นดังตึงจนรู้สึกได้ว่าพื้นอิฐหน้าหลุมศพข้ากำลังสั่นสะเทือน “ท่านเยี่ยโปรดเมตตาด้วยเถิด อาหู่บ้านข้านั้นอายุสิบเจ็ดปีกลับไม่ได้ความ แต่ละวันนอกจากกัดหมามั่วโลกีย์ก็เกะกะระรานชาวบ้านไปทั่ว วันหน้าย่อมต้องลำบากเป็นแน่ ข้านั้นมิคาดหวังสิ่งใดมากมาย หากท่านช่วยชี้แนะให้เขาดูแลตนเองได้เป็นพอ”



“ท่านเยี่ยเมตตาด้วย เยี่ยนเอ๋อร์บ้านข้าก็ก่อปัญหามากมายเช่นกัน” จู่ๆ ด้านข้างก็ปรากฏวิญญาณชายชราคล้ายเป็นผีบรรพบุรุษสกุลใหญ่ขึ้นมาอีกคนหนึ่ง เขายังเล่าเรื่องไม่จบดีก็มีเสียงที่สามโผล่ขึ้นมาอีก



“ท่านเยี่ยเจ้าคะ บ้านของข้าก็มีหลานชายไม่ได้ความอยู่คนหนึ่งเช่นกัน จะเป็นต้วนซิ่วก็ดี จะเป็นอะไรก็ช่าง ท่านเยี่ยโปรดช่วยชี้แนะด้วยเถิด” คราวนี้เป็นฮูหยินชราบ้านสกุลเจียงที่มีชื่อเสียงเรื่องกิริยามารยาทดีงามผู้นั้นเอง



หลังจากนั้นรอบกายข้าก็มีวิญญาณผีบรรพบุรุษปรากฏตัวออกมาเต็มไปหมด มองดูแล้วไม่ต่ำกว่าสิบตน แต่ละคนล้วนนั่งคุกเข่าโขกศีรษะพร่ำพรรณนาโอดครวญบอกเล่าเรื่องราวของลูกหลานไม่ได้ความในบ้านตนเอง คนนั้นนิสัยเสียอย่างนั้น คนนี้เลวทรามอย่างนี้ ข้าฟังแล้วก็รู้สึกรำคาญขึ้นมาบ้างแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าจึงเฉยชายิ่งกว่าเดิม



ผีแก่พวกนี้ตอนมีชีวิตอยู่ไยไม่รู้จักสั่งสอนลูกหลานตนเองเล่า พอตายตกกลับต้องมาร้องขอผู้อื่นให้ไปช่วยอบรมสั่งสอน มิรู้จักอับอายชนรุ่นหลังบ้างหรือ



ครั้นข้าเอ่ยปากจะตัดบทเหล่าวิญญาณบรรพบุรุษทั้งหลาย หางตาพลันคล้ายเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ชวนคุ้นเคยอยู่ทางซ้ายลิบๆ เป็นบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้รู้สึกหนาวสันหลังดีแท้ เมื่อข้าหันไปมองก็พบกับชายเสื้อคลุมสีขาวสะอาดปักด้วยลายไผ่มงคลสีเขียวโบกสะบัดขึ้นตามแรงลมที่พัดพาเข้ามาประกอบให้ภาพดูสวยงามจนเกินพอดี



ข้าเยี่ยอู๋จวินทำบาปกรรมสิ่งใดไว้กัน ใต้หล้านี้มีฝึกตนบำเพ็ญเพียรเพื่อเป็นเทพเซียนมากมาย หากถามว่าข้ามิอยากพบเจอใครมากที่สุดก็คงจะเป็นสกุลไป๋กระมัง แล้วชุดเครื่องแบบนี้จะเป็นใครไปได้นอกเสียจากบุตรหลานสายตรงสกุลไป๋จากหุบเขาไผ่ศักดิ์สิทธิ์แห่งซีเปียนจิ่ง สกุลนี้นับว่าสูงส่งงามสง่าไปมาลึกลับต่างกับปรมาจารย์กามโลกีย์อย่างข้ายิ่งนัก สาเหตุเพราะพวกเขาล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรผู้สืบทอดสายเลือดมาจากบริวารของหวังซีหมู่แห่งเทือกเขาคุนหลุน จึงมักเป็นผู้ถือตัวเข้าหาได้ยากอยู่มาก



สกุลไป๋ต่อให้เป็นใครข้าก็ไม่อยากพบเจอทั้งนั้น แผ่นดินกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ มิรู้ว่าเหตุใดคนสกุลไป๋ถึงซัดเซพเนจรจากทางตะวันตกมาถึงที่เจียงหนานนี่ได้ นี่เรียกว่าศัตรูมักพบพานในทางแคบโดยแท้



ข้าซัดฝ่ามือออกไปครั้งหนึ่ง ขับไล่เหล่าผีแก่ที่น่ารำคาญออกไปจนหมด จากนั้นค่อยรีบเผ่นออกจากสุสานของตนเองก่อนที่จะถูกผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นสังเกตเห็นเข้า ด้วยพลังหยางที่ข้าเพิ่งฟื้นฟูขึ้นมาในระดับนี้ หากต้องสู้รบตบมือกับผู้ฝึกเซียนระดับสูงคงจะตึงมืออยู่มาก พลาดพลั้งขึ้นมา ข้ายังไม่อยากลดระดับจากผีลามกไปเป็นผีทาสหรือวิญญาณแตกสลายไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด นั่นมิน่าสมเพชเกินไปหรอกหรือ



เห็นทีว่าต้องบอกลาบ้านเกิด ข้าคงรั้งอยู่เจียงหนานต่อไปไม่ได้แล้ว



โปรดติดตามตอนต่อไป...



*******************



ซินเอ๋อร์ : 

ตอนนี้ก็จบเรื่องราวของสกุลลู่แล้วนะคะ ส่วนตอนต่อไปผีลามกเยี่ยอู๋จวินจะไปสร้างวีรกรรมที่ไหนนั้น ต้องรอดูกันต่อไปค่ะ แต่แน่นอนว่ายังคงไร้สติ ไม่เน้นสาระเหมือนเดิมค่ะ


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
บทที่ 7 ธาตุหยางที่ดีย่อมมาจากความยินยอม



“อยู่นิ่งๆ เถิด แล้วข้าจะตกรางวัลให้เจ้าอย่างงาม” ปลายเล็บแหลมคมไล้ไปตามผิวแก้มของร่างที่ข้าหยิบยืมใช้อยู่ในขณะนี้ เจ้าของนิ้วเรียวที่ลากลูบจากแก้มลงไปตามลำคอนับว่าเป็นคนงามล่มเมืองโดยแท้ ใบหน้าสวยหวานไม่บ่งบอกเพศยื่นเข้ามาใกล้เสียจนริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงสดราวลูกอิงเถาเกือบแนบจูบลงมา ท่าทางร้อนแรงเย้ายวนจนเหนือมนุษย์ปุถุชนอยู่มาก ครั้นสบตบกับนัยน์ตาหยาดเยิ้มสีแดงก่ำดั่งเปลวเพลิงแผดเผา ก็ทำให้รู้ว่าคนงามผู้นี้มิใช่มนุษย์ทั่วไปแล้ว แต่คงเป็นมารที่เข้ามาเพ่นพ่านอาละวาดในโลกมนุษย์เสียมากกว่า



“เด็กดี...อย่างนั้นล่ะ” กลีบปากอิ่มแนบจูบลงไปบนตำแหน่งชีพจรบนลำคอของข้า กลิ่นหอมอบอวลคล้ายกลิ่นกุหลาบแดงโชยแตะจมูก หากจิตใจไม่แข็งกล้าพอคงจะมึนเมาไปตามกลิ่นเข้มข้นที่หลอกล่อผู้คนเป็นแน่ เสียแต่ว่าข้าเป็นผู้ฝึกตนที่มีจิตใจแข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้า ถ้าหลงกลตกอยู่ในมนต์สะกดของมารชั้นต่ำเช่นนี้ก็ไม่สมควรเรียกตัวเองว่าปรมาจารย์วังวสันต์แล้ว



มือเรียวยามนี้ซุกซนจนเลื่อนลงไปทุกขณะ ตอนแรกเป็นสายคาดเอวสีเทาที่ถูกโยนทิ้งไป จากนั้นจึงเป็นกางเกงสีใกล้เคียงกันที่ถูกปลดออกตาม ริมฝีปากสวยลากลงมาจนถึงแผ่นอกและลากต่ำจนถึงหน้าท้องราบ เมื่อใกล้ถึงตำแหน่งที่อันตรายยิ่งขึ้น คนงามกลับเงยหน้าขึ้นพร้อมแย้มยิ้มพริ้มพราย นัยน์ตาแดงดั่งเลือดส่องประกายแปลกประหลาด นี่คงตั้งใจสะกดคนอีกแล้วกระมัง “พลังหยางทั้งหมดของเจ้าจงมอบให้ข้ามารราตรีชาดเสียเถิด”



กล่าวจบมารที่เรียกตนเองว่าราตรีชาดก็โน้มกายลงต่ำ แนบกลีบปากสวยสดลงไปท่อนเนื้อที่ยังคงสงบนิ่ง ปลายลิ้นแดงสดเริ่มขยับริมรสไปตามแนวความยาว ท่าทางเย้ายวนยิ่งนัก ยิ่งปรนเปรอมากขึ้นเท่าไร กลิ่นกุหลาบจากร่างงดงามยิ่งอบอวลเข้มข้นขึ้นเสียจนข้าชักจะรำคาญใจ ข้าได้แต่ขยับข้อมือทั้งสองข้างที่ถูกเชือกกักเซียนรัดตรึงเอาไว้ ร่างนี้มิมีพลังเซียนแข็งแกร่งอะไรมากมายจึงมิสามารถต้านทานเชือกกักเซียนได้ แต่ที่หงุดหงิดใจมากกว่าคือเจ้ามารบัดซบนี่เอาแต่เลียอยู่ได้ หากหวังจะสูบพลังหยาง ไยมิกลืนกินไปทั้งหมดเล่า



เหตุใดปรมาจารย์วังวสันต์เช่นข้าจึงต้องมาพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ คงจะต้องย้อนไปก่อนหน้านี้ประมาณสักสามสี่วันก่อน





สามสี่วันก่อน



หลังจากล่องลอยเผ่นจากสุสานของตนเอง ข้าก็คิดว่าจะหวนกลับไปยังแคว้นจิ่วโจวอีกครั้ง คราวนั้นที่สุ่ยเต๋อฮ่องเต้ลอบวางยาปลุกกำหนัดแล้วโยนข้าเข้าไปในตำหนักโบตั๋นสามร้อยนาง แม้ข้าจะพลาดท่าตายตกมิได้คิดแค้นอะไร แต่อย่างไรแล้วเรื่องแบบนี้ก็ต้องชำระความกันบ้าง อย่างน้อยก็ต้องสั่งสอนไอ้ลูกเต่าโอรสสวรรค์ให้ได้รู้ว่าวันหน้าวันหลังอย่าได้กระทำการเล่นพิเรนทร์เช่นนั้นอีก กระทั่งผู้เชี่ยวชาญกามโลกีย์อย่างข้ายังเอาชีวิตไม่รอด แล้วคนธรรมดาจะรอดได้หรือ



ถึงจะเป็นเพียงวิญญาณไม่มีกายเนื้อ แต่การเดินทางไปแคว้นจิ่วโจวมิใช่เรื่องง่ายนัก มิได้สามารถย่นระยะทางเพียงชั่วพริบตาเหมือนดั่งยามที่มายังเจียงหนาน เกรงว่าสาเหตุที่ข้ากลับมาปรากฏกายที่บ้านสกุลเยี่ยในทันทีนั้น คงจะเป็นเพราะทั้งข้าและมารดาต่างมีใจคิดถึงกัน จิตของมารดาจึงดึงวิญญาณของข้าข้ามระยะทางมาอย่างง่ายดาย แต่ครั้งนี้สุ่ยเต๋อฮ่องเต้คงมิได้มีใจคิดถึงข้า ระยะทางหลายร้อยลี้คงต้องหาหนทางไปเองเสียแล้ว



แม้จะมิสามารถใช้กระบี่เหาะเหินได้เหมือนครั้งยังมีชีวิตอยู่ แต่เป็นภูตผีก็ดีตรงที่สามารถเร่งเดินทางได้ทั้งยามกลางวันและกลางคืน จะทะลุสิ่งของใดก็ไม่ใช่เรื่องยาก ล่องลอยเอ้อระเหยอยู่คืนหนึ่งข้าก็เดินทางไปได้สามส่วน ครั้นมาถึงเทือกเขาสลับซับซ้อนอันเป็นเขตชายแดนของแคว้นจิ่วโจว พลันได้พบเจอกับสิ่งที่ไม่อยากจะพบพานอีกครั้ง



มิรู้ว่าช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝึกวิชาล่าประสบการณ์ หรือเป็นช่วงตกอับของข้าเยี่ยอู๋จวินกันแน่ หนีจากเจียงหนานหวังไปจิ่วโจว ตั้งใจจะหลีกเลี่ยงเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรมากเพียงใด วันนี้กลับต้องมาพบเจอเหล่าผู้ฝึกเซียนเป็นโขยงจากหลากหลายสำนักมือข้างหนึ่งถือยันต์มืออีกข้างถือกระบี่เดินขวักไขว่กันเต็มป่าไปหมด นี่คงรวมตัวกันมาปราบผีปีศาจกันกระมัง



ข้าเก็บกลิ่นอายและพลังของตนเองพยายามฝืนแสดงออกว่าเป็นวิญญาณธรรมดาที่บังเอิญผ่านมาแถวนี้ หากจืดจางจนคนมิทันได้สังเกตย่อมเป็นการดี จังหวะที่กำลังจะเผ่นอ้อมไปอีกทางกลับชนทะลุผ่านคุณชายน้อยหน้าตาหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาเสียก่อน ซ้ำคนยังรั้งตัวข้าเอาไว้



“แถวนี้มีผู้บำเพ็ญเพียรสูญหายไปหลายครั้ง แม้ผู้อาวุโสจะเป็นวิญญาณที่มีวิชา หากมีโอกาสก็ควรหลบเลี่ยงออกไปเสียเถิด” กล่าวเสร็จคนก็ค้อมศีรษะให้ข้าหนึ่งที่แล้วหมุนตัวกลับไป วาจาท่าทางดีมีมารยาทอ่อนน้อมยิ่งนัก เมื่อข้าจ้องมองเขาด้วยความคิดพิจารณาอีกที คราวนี้กลับรู้สึกชาวาบไปทั้งหนังศีรษะ หนุ่มน้อยวัยไม่เกินสิบแปดปีผู้นี้สวมใส่ชุดขาวเสื้อคลุมสีเทา ซ้ำลายปักสีดำตรงชายเสื้อคลุมนั้นมิใช่ลายสวัสติกะอันหมายถึงความเป็นอนันต์ไม่มีที่สิ้นสุดหรอกหรือ...เครื่องแบบเช่นนี้คงมีแต่คนจากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ สำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์กระมัง



หากถามว่ายอดเขาอัสนีพิสุทธิ์แห่งสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับข้า คงต้องตอบกันตามตรงว่าข้านั้นก่อนจะมาฝึกเคล็ดวิชาวสันต์เริงร่าอันเป็นวิชานอกรีต ในตอนอายุสิบสามปีได้เคยกราบอาจารย์หญิงแซ่เจิ้ง ได้เป็นศิษย์ในของยอดเขาที่ขึ้นชื่อว่ารวบรวมไว้แต่ยอดอัจฉริยะเหนืออัจฉริยะมาก่อน



เฉลียวฉลาด แข็งแกร่ง สง่างาม สูงส่ง บริสุทธิ์เหนือโลกีย์ รวมไว้ซึ่งความสมบูรณ์แบบ นั่นคือคำขวัญของยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ที่สืบทอดกันมาหลายต่อหลายรุ่นไม่รู้กี่พันกี่หมื่นปี ส่วนคนที่เชี่ยวชาญเรื่องกามาราคะเช่นข้าก็ขออภัยด้วยเถิด คงมิสามารถร่วมมรรคาเดียวกันได้ ด้วยเหตุผลหลายอย่างจึงทำให้ข้ากราบลาอาจารย์หญิง ก้าวขาออกจากสำนักในตอนที่ตนเองอายุได้สิบหกปี แม้จะตัดขาดอย่างไรก็ยังคงไม่สิ้นเยื่อใย มาวันนี้ได้พบเจอเด็กหนุ่มท่าทางลักษณะดีที่สมควรเรียกขานข้าว่าศิษย์พี่ จิตใจย่อมรู้สึกสั่นไหวอยู่บ้าง



ยามแรกข้ายังลังเลว่าควรจะติดตามคนผู้นี้ไปสักพักหนึ่งหรือจะรีบเผ่นหนีมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของแคว้นจิ่วโจวดี หากเมื่อพบเจอความชุลมุนวุ่นวายของผู้บำเพ็ญเพียรรุ่นเล็กนับสิบคนก็รู้สึกสนุกสนานชวนหวนคิดถึงวันคืนเก่าๆ อยู่ไม่น้อย เหล่าคนหนุ่มสาวต่างพูดคุยเล่าเรื่องราวแลกเปลี่ยนความรู้ทั้งเรื่องมีสาระและเรื่องไร้สาระ บ้างพูดคุยเรื่องพืชวิเศษสัตว์อสูรหายากอาวุธวิเศษในตำนาน บ้างก็พูดคุยเรื่องรายชื่อสาวงามจากสำนักต่างๆ ล้วนแต่เป็นเรื่องเหมาะสมของคนวัยนี้ดีแท้



แฝงตัวเป็นวิญญาณจืดจางไร้พิษภัยติดตามกลุ่มคนห่างๆ อยู่หนึ่งชั่วยาม จากบทสนทนาก็ได้รู้ว่าเด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งหน้าตาหล่อเหลากิริยามารยาทงดงามเหมาะสมผู้นั้นมีนามว่าหานเฉิงรุ่ย อายุอานามเพิ่งได้สิบเจ็ดปี จากความรู้ ระดับฝึกปรือและความเคารพนับถือจากผู้คนรอบข้างถือว่าเขาเป็นยอดอัจฉริยะอนาคตไกล สมแล้วที่เป็นศิษย์ในของยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์



เสียแต่ว่าอัจฉริยะอนาคตไกลผู้นี้ซื่อบื้ออยู่ไม่น้อย เดินทางมาครึ่งค่อนวันพลัดหลงกับกลุ่มเซียนส่วนใหญ่ คนก็ยังไม่มีท่าทีอะไร จวบจนตะวันตกดินกลุ่มคนที่ติดตามเขามาเริ่มทยอยหายไปทีละคนสองคน หานเฉิงรุ่ยก็ยังคงไม่รู้สึกตัว เกรงว่าจนทั้งป่าเหลือเขาคงเดียว เจ้าหนูนี่ก็ยังคงไม่รู้สึกอะไรกระมัง คล้ายจะติดนิสัยจากอาจารย์หญิงมามากเกินไปแล้ว



“คืนนี้ลมแรงยิ่งนัก ศิษย์น้องเส้ารักษาสุขภาพด้วย” เจ้าคนซื่อแซ่หานหันกลับไปมองข้างกาย แต่กลับพบว่าศิษย์น้องเส้าจากยอดเขาอสูรคำรามหายตัวไปเสียแล้ว หันกลับมาอีกด้านก็ไม่เหลือใคร กลายเป็นว่ารอบกองไฟนี้มีแต่ตนเพียงผู้เดียว คนทั่วไปเจอเหตุการณ์เช่นนี้ย่อมต้องบอกว่าผีหลอกวิญญาณหลอน แต่หานเฉิงรุ่ยกลับยังคงสงบนิ่งและยกขากระต่ายย่างขึ้นกินด้วยท่าทางสุภาพเรียบร้อยมิตื่นตระหนกแต่อย่างใด



นิสัยเช่นนี้คงมิใช่สุขุมนุ่มลึกอีกต่อไปแล้ว น่ากลัวว่าสัญชาตญาณเตือนภัยของคนผู้นี้คงมีสิ่งใดผิดพลาดเป็นแน่ ชีวิตบนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์คงจะสงบสุขเกินไปกระมัง ถึงได้ถือกำเนิดเจ้าตัวซื่อบื้อเช่นนี้ขึ้นมาได้ ในฐานะผู้เคยร่วมสำนักข้านั้นรู้สึกอับอายยิ่งนัก



บางครั้งเรื่องราวเช่นนี้คงต้องให้คนหัดเรียนรู้กันบ้าง หานเฉิงรุ่ยแทะน่องกระต่ายไปไม่กี่คำ ร่างสูงโปร่งของเขาก็พลันเอนล้มลงข้างกองไฟ ก่อนที่จะมีเงาร่างหนึ่งอุ้มเขาขึ้นพาดบ่าลักพาตัวเด็กหนุ่มผู้ไม่รู้จักระแวดระวังภัยไปแล้ว จะให้ข้าเยี่ยอู๋จวินที่เป็นเพียงวิญญาณสวมบทวีรบุรุษช่วยเหลือผู้คนก็คงจะลำบากไปสักนิด ไม่มีกายเนื้อแล้วจะหอบหิ้วร่างเขากลับไปได้อย่างไร อีกอย่างหากจะจัดการสิ่งใดย่อมต้องจัดการให้ถึงต้นตอ มิสู้ให้ข้าสิงร่างเขาแฝงตัวติดตามไปแล้วค่อยหาหนทางเอาข้างหน้าเล่า



หานเฉิงรุ่ยถูกพาตัวไปจนถึงเขตอาคมที่ซ่อนตัวลึกอยู่ในป่า ครั้งก้าวเข้าไปภายในกลับปรากฏบ้านร้างหลังใหญ่โต คล้ายว่าเป็นบ้านตากอากาศของขุนนางใหญ่สักคน เด็กหนุ่มถูกลากตัวไปยังห้องลับใต้ดินที่มีทางเข้าสลับซับซ้อน ก่อนจะถูกเชือกกักเซียนมัดตัวเอาไว้ทั้งมือเท้าและวางกองเอาไว้รวมกับเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่น ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็คล้ายแต่จะมีคนคุ้นหน้าคุ้นตาทั้งนั้น เกรงว่าขบวนไขปริศนาปราบผีวิญญาณครั้งนี้จะพลาดท่าเสียทีกันหมดกระมัง ชนรุ่นหลังพวกนี้ใช้การไม่ได้เลยจริงๆ



ข้าออกจากร่างของคนแซ่หานได้ก็เริ่มสำรวจรอบข้าง คุกใต้ดินแห่งนี้นับว่าแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย อย่างแรกคือผู้ที่ถูกจับตัวมาล้วนมีแต่ผู้ฝึกตนเพศชายทั้งสิ้น อย่างที่สองคือแต่ละคนล้วนมีสีหน้าเคลิบเคลิ้มคล้ายตกอยู่ในมนต์สะกดของบางสิ่งทั้งที่ทั่วร่างไอหยางพร่องไอหยินลอยวนเวียน อาการขาดธาตุหยางเช่นนี้คล้ายกับอาการก่อนตายของข้าไม่มีผิด เกรงว่าหลายคนในที่นี้อีกไม่กี่อึดใจคงได้ขาดหยางจนขาดใจตายเป็นแน่



ยามที่คนสกุลหานลืมตาขึ้นมาก็พบกลับศิษย์น้องเส้าที่ถูกลากกลับเข้ามาด้วยสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยไม่เรียบร้อย คนค่อยๆ ตะเกียกตะกายขยับร่างไปหาคนคุ้นเคยทันที เด็กหนุ่มเปล่งเสียงเรียกชื่อทั้งเขย่าตัวอยู่หลายครั้ง เสียแต่ว่าดวงตาทั้งคู่กลับเลื่อนลอยไร้จุดหมาย จวบจนหานเฉิงรุ่ยที่ขึ้นชื่อว่าภาพลักษณ์สง่างามบริสุทธิ์ใช้หน้าผากโขกเข้าหน้าผากอีกฝ่ายจนเต็มแรง นัยน์ตาคู่นั้นจึงกลับมาสะท้อนภาพศิษย์ร่วมสำนักของตนได้



“ศิษย์น้องเส้า! เกิดสิ่งใดขึ้นกับเจ้า”



“ศิษย์พี่...” คนแซ่เส้าขยับยิ้มกว้าง สีหน้าเปี่ยมสุขจนน่าขนลุก ซ้ำยังเอาแต่พึมพำถ้อยคำซ้ำไปซ้ำมาเหมือนคนเสียสติไปแล้ว “มารราตรีชาดช่างดียิ่งนัก...ดียิ่ง” พร่ำเพ้อไม่พร่ำเพ้อเปล่า ร่างกายเบื้องล่างกลับแข็งขืนขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ หานเฉิงรุ่ยเห็นแล้วถึงกลับผงะไป ศิษย์น้องเส้าล้มตัวลงนอนด้วยท่าทางหลงใหลมัวเมาในตัณหา พอขยับตัวก็ยิ่งทำให้เห็นร่องรอยรักมากมายเต็มกระจัดกระจายเต็มร่าง คนยังขยับสะโพกถูไถไปมามองแล้วน่าสังเวชเป็นอย่างยิ่ง



คราวนี้ดวงหน้าคมคายซีดเผือดจนแทบไร้สี หานเฉิงรุ่ยเบือนหน้าไปอีกทางทั้งยังปิดเปลือกตาคล้ายมิต้องการรับรู้สิ่งใดทั้งสิ้น ปล่อยให้ในคุกใต้ดินมีเพียงเสียงเนื้อผ้าเสียดสีและเสียงครางแผ่วเบาจากคนแซ่เส้าเพียงเท่านั้น อย่างว่าแต่เจ้าเด็กแซ่หานเลย กระทั่งข้าผู้ซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวพบเจอทั้งบุรุษสตรีมากหน้าหลายตาที่ตกอยู่ในห้วงดำฤษณายังรู้สึกว่าสถานการณ์ในขณะนี้ชวนกระอักกระอ่วนยิ่งนัก



วิธีการของมารราตรีชาดผู้นี้ต้องบอกว่าข้าคุ้นเคยดีเป็นอย่างยิ่ง ดึงธาตุหยางจากบุรุษเพื่อนำไปใช้หลอมรวมเป็นพลังฝึกปรือ นี่ไม่คล้ายคลึงกับเคล็ดวิชาวสันต์เริงร่าที่ข้าเป็นคนค้นพบหรอกหรือ เพียงแต่การกระทำของคนผู้นี้นับว่าอาจหาญอหังการเกินไปมาก แม้ข้าจะดูดซับไอหยินหยางเวลาร่วมรัก แต่ข้าเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ หนึ่งคือคนจะต้องยินยอมพร้อมใจมอบกายให้กับข้า สองคือพลังที่ดึงมานั้นต้องไม่มากจนเกินไปจนส่งผลต่ออายุขัยของอีกฝ่าย มิใช่ดูดกลืนดึงพลังธาตุใดธาตุหนึ่งออกมาหมดจนเสียสมดุล มิเช่นนั้นจะเป็นบาปกรรมคร่าชีวิตกันเสียมากกว่า



แม้ข้าจะไม่เคยได้ยินชื่อมารราตรีชาดมาก่อน แต่มารสารเลวตัวนี้ก็ช่างเน้นปริมาณได้อย่างชั่วช้าดีแท้ ลักพาตัวผู้ฝึกเซียนอายุน้อยที่มีพลังหยางมากกว่าคนปรกติ ใช้มนต์สะกดให้คนลุ่มหลงมัวเมาในกามราคะ ซ้ำยังรีดเค้นพลังหยางจนผู้คนล้มตาย จำแนกความผิดแล้วนอกจากสมควรตายยังควรจะทำลายวิญญาณให้แตกซ่าน อย่าให้ได้ผุดได้เกิดมาก่อกรรมทำเข็ญกับผู้ใดอีก



ดวงตาของข้าเย็นเยียบมากขึ้นทุกที จากที่ตั้งใจเก็บกลิ่นอายตนก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นอีกต่อไป ข้าขยับเข้าไปใกล้ร่างของหานเฉิงรุ่ยจนแทบจะแนบชิดร่าง ไม่นานเมื่อสัมผัสไอเย็นที่แผ่ซ่านมาจากจิตวิญญาณของปรมาจารย์แซ่เยี่ยผู้นี้ เปลือกตาที่ปิดสนิทของคนก็เปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า ยามที่เขามองเห็นใบหน้าเฉยชาของข้า คนก็เสียอาการอยู่ไม่น้อย



“ผู้อาวุโส...” ยามที่เขาพูดคุยกับข้าในป่า เจ้าเด็กแซ่หานสัมผัสได้เพียงว่าข้าเป็นผีที่มีฤทธิ์วิชา แต่มิได้รู้ว่าข้านั้นนับเป็นวิญญาณระดับสูงที่ฝึกปรือมากเข้าย่อมกลายเป็นอ๋องผีผู้ปกครองวิญญาณได้ ท่าทางจากสูงส่งสงบนิ่งสิ่งใดบัดนี้ย่อมมิอาจรักษาได้อีกต่อไปแล้ว มีแต่ท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออกคล้ายไม่รู้จะว่ากล่าวสิ่งใดดี เกรงว่ายามนี้หานเฉิงรุ่ยคงกำลังสับสนว่าควรผีเช่นข้ามีเป้าหมายสิ่งใดกันแน่



“ข้าถึงตายเป็นผี แต่อาจารย์เจิ้งจากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์เคยมีบุญคุณต่อข้ามาก่อน” เปิดประเด็นเช่นนี้ย่อมทำให้คนคลายความสงสัยลงไปได้มาก เสียแต่ว่าข้าไม่มีเวลาจะมาเล่าย้อนอดีตความหลังและไม่อยากจะให้เจ้าเด็กนี่รู้ว่าตนเองเคยเป็นศิษย์ร่วมยอดเขาร่วมสำนักกับเขามากก่อน จึงมองว่าเล่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว “คราวนี้เรื่องราวเป็นมาอย่างไร สิ่งใดที่เจ้ารับรู้จงเล่าออกมาให้หมด”



ข้อมูลที่หานเฉิงรุ่ยเล่าออกมา ข้าสามารถสรุปได้โดยคร่าวดังนี้ หกเดือนครึ่งปีมานี้ทางทิศใต้ของแคว้นจิ่วโจวมีมารออกอาละวาด เริ่มจากการหายตัวไปของผู้คนที่เดินทางผ่านเส้นทางนี้ จำนวนและความถี่ไม่มีลดน้อยลงมีแต่เพิ่มขึ้น จนกลายเป็นเรื่องเล่าขานว่ามีผีลักพาออกอาละวาด สุดท้ายหลากหลายสำนักต่างส่งคนมาล้อมปราบ หากกลับเป็นว่าลูกศิษย์ชายที่มาปราบกลับหายตัวไปแทน



หกเดือนครึ่งปีมนุษย์ธรรมดาโดนลักพาไปแล้วสิบหกคน ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรกลับมีจำนวนมากกว่าถึงยี่สิบสามคน รวมแล้วเป็นสามสิบเก้าชีวิตที่หายไปอย่างไม่มีร่องรอย แม้จะแค่ส่งคนมาตรวจสอบเขตอาคมที่อำพรางอยู่ คณะผู้ตรวจสอบเหล่านั้นยังหายตัวไป คราวนี้โลกผู้ฝึกเซียนย่อมอยู่ไม่สงบแล้ว ห้าสำนักใหญ่จึงรวมตัวกันส่งลูกศิษย์ที่นับว่ายอดฝีมือยอดอัจฉริยะมาจัดการ แต่ลองเบิกตามองให้ดีเถิด สุดท้ายยอดฝีมือเหล่านั้นกลับพลาดท่ากลายเป็นเตาหลอมพลังหยางไปแล้วมิใช่หรือ



“เรื่องที่ทำเป็นพลาดท่าจนถูกลักพาตัวมานี้ย่อมเป็นแผนการ ไม่มีใครรู้ว่าเขตอาคมที่ซ่อนตัวนั้นอยู่ที่ใด จะบุกทะลวงเข้ามาภายในมีแต่จะเสียแรงโดยเปล่าประโยชน์ มิสู้ใช้ตนเป็นเหยื่อหลอกล่อให้มารร้ายพากลับมารังแทนเล่า” แผนการนี้เรียกว่าโง่อวดฉลาดดีแท้ จะใช้ตนเป็นเหยื่อล่อย่อมต้องรู้จักประเมินกำลังศัตรู ต้องรู้ว่าเมื่อใดควรบุกเมื่อใดควรถอย มิใช่ปล่อยให้โดนลักพาตัวหายไปทีละคนสองคนจนครบทั้งขบวนเช่นนี้ เจ้าหนูนี่แม้จะพอมีความรู้แต่นับว่าไร้ประสบการณ์อยู่มาก



“แต่หากต้องให้ข้าแปดเปื้อนเสียบริสุทธิ์ให้กับมารราตรีชาด หานเฉิงรุ่ยผู้นี้ขอกัดลิ้นตายเสียยังจะดีกว่า” กล่าวจบเจ้าเด็กซื่อบื้อก็ตั้งท่าจะกัดลิ้นฆ่าตัวตายเข้าจริงๆ แม้ยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์จะครองตัวสูงส่งบริสุทธิ์เพียงใดก็มิควรยึดติดถึงขนาดนี้ อาจารย์หญิงนึกคิดสิ่งใดกันแน่จึงได้รับเจ้าคนทื่อมะลื่อเช่นนี้เข้ามา แต่มองดูแล้วก็ไม่แปลกใจเท่าไรนัก หลังจากที่รับข้าเป็นศิษย์เมื่อปีนั้น รสนิยมของอาจารย์หญิงก็คล้ายจะซับซ้อนมากขึ้นทุกที



“จะรีบร้อนไปไย เรื่องนี้หากเกินกำลังก็ให้ผู้อาวุโสเป็นผู้จัดการเองเถิด” ข้าซัดฝ่ามือไอหยินใส่หานเฉิงรุ่ยไปหนึ่งครั้ง ดวงตาของเขาแม้จะฉายแววตระหนกตกใจ แต่สุดท้ายก็อ่อนแสงลงด้วยความสงบนิ่งคล้ายยินยอมแต่โดยดี คนยึดมั่นกับพรหมจรรย์เช่นเขาควรปล่อยให้อยู่ในห้วงฝันอันแสนบริสุทธิ์จะดีกว่า เรื่องราวยุดแย่งธาตุหยางด้วยกามโลกีย์เช่นนี้ควรเป็นหน้าที่ของตัวบัดซบมั่วตัณหาอย่างข้ามิใช่หรือ



ข้าที่หยิบยืมใช้ร่างของหานเฉิงรุ่ยแสร้งทำทีเป็นทำสมาธิเข้าณานมิสนใจสิ่งรอบข้าง มารชาดราตรีผู้นี้ก็รู้จักทรมานผู้คนดีแท้ อาศัยแสงอาทิตย์ที่ลอดมาเล็กน้อยทำให้ข้าพอเดาได้ว่าผ่านไปแล้วสองวันสองคืนแล้วที่ถูกกักขังอยู่ที่นี่ ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นล้วนแต่ถูกลากตัวออกไปคนแล้วคนเล่า หลายคนที่หายไปนั้นมิได้กลับมา จนสุดท้ายเหลือเพียงข้าและศิษย์จากยอดเขาอสูรคำรามแซ่เส้าที่พลังหยางบางเบา คนใกล้มอดม้วยเต็มที



จวบจนคืนวันที่สาม...ข้าถูกคนลากตัวออกไปแล้วโยนเข้าไปในห้องหนึ่ง ครั้นลืมตาขึ้นก็พบว่าตนเองอยู่บนเตียงไม้แกะสลักสวยงาม เบื้องหน้าคือรอยยิ้มหวานหยดย้อยจากใบหน้างดงามล่มเมือง มารราตรีชาดขยับกายเข้ามาใกล้ข้าจนแนบชิด จากนั้นใช้ปลายเล็บแหลมคมไม่เหมือนมนุษย์ลากไล้ไปตามกรอบหน้าของหานเฉิงรุ่ย



“อยู่นิ่งๆ เถิด แล้วข้าจะตกรางวัลให้เจ้าอย่างงาม”



ข้าที่ใช้ใบหน้าหล่อเหลาเยาว์วัยของคนแซ่หานขยับริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มบางเบา หากดวงตาที่สะท้อนมาจากนัยน์ตาสีเลือดของมารราตรีชาดกลับเป็นประกายวาววับยิ่งกว่าประกายเพลิง



ข้าน่ะสิที่จะตกรางวัลให้เจ้าอย่างงาม...



โปรดติดตามตอนต่อไป...




ออฟไลน์ ง่วงนอน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ลงรัวๆ เลย ดีงาม  :pighaun:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
ลงรัวๆ เลย ดีงาม  :pighaun:

มันยังมีสต็อกอยู่ค่า เลยลงรัวๆ ช่วงนี้ 55556

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์ในด้านนี้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
บทที่ 8 จะใช้วิธีใด หากปราบมารได้ ปลายทางก็เหมือนกัน



ข้าปล่อยให้มารชั่วกระทำการอาจหาญตามใจชอบ เฝ้ามองพฤติกรรมและวิธีสูบพลังหยางที่สมควรตายเหล่านั้น เริ่มแรกมันใช้กลิ่นกายหอมอบอวลคล้ายกุหลาบหลอกล่อให้ผู้คนหลงใหลเมามาย หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเยาว์วัยจิตใจไขว้เขวได้ง่ายย่อมคล้อยตามการชักนำ เมื่อรับกลิ่นหวานจัดจนสมองมึนงงสับสน มารราตรีชาดคงจะมอบความซ่านกระสันสุขสมให้ทันทีกระมัง แต่ละคนถึงได้มีสภาพออกมาเหมือนกับเจ้าเด็กแซ่เส้านั่นได้



สายคาดเอวและกางเกงของหานเฉิงรุ่ยก็หลุดลอยออกจากร่างไป จากนั้นริมฝีปากอิ่มจึงไล่จากจุดชีพจรบนลำคอลงต่ำไปตามแผงอกและหน้าท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ก่อนจะเลื่อนลงไปถึงส่วนกลางลำตัว ดวงหน้างามล่มบ้านล่มเมืองพลันเงยหน้าขึ้นสบตากับข้า กลีบปากขยับแย้มยิ้มเย้ายวนเสียยิ่งกว่าสตรีในหอนางโลม แม้จะใช้มนต์สะกดหลอกล่อผู้อื่น แต่นัยน์ตาสีแดงสดของมันวาววับราวได้พบกับเหยื่อที่ถูกใจ



ผู้บำเพ็ญเพียรหนุ่มน้อยอนาคตไกล หน้าตาหล่อเหลาคมคาย ร่างกายแข็งแกร่งไร้ซึ่งไขมัน ไหนจะพลังหยางที่มากมายอีกเล่า เตาหลอมชั้นดีถึงเพียงนี้มิใช่ว่าใต้หล้าพบเจอกันได้ง่ายๆ นี่ถือว่าเป็นโชคลาภอย่างหนึ่งแล้ว



“พลังหยางทั้งหมดของเจ้าจงมอบให้ข้ามารราตรีชาดเสียเถิด” เสียงหวานเอ่ยขึ้นแผ่วเบาคล้ายเสียงกระซิบ เห็นข้าขยับยิ้มบางแสร้งทำทีเป็นเคลิบเคลิ้ม มารราตรีชาดก็โน้มตัวลงต่ำ กลีบปากอวบอิ่มแนบลงกับแกนกลางร่างกายที่ยังคงสงบนิ่ง ปลายลิ้นสีแดงสดแลบเลียลิ้มรสลากจากส่วนปลายไปจนถึงโคน ยิ่งขยับไล้เลียมากขึ้นเท่าใด กลิ่นกุหลาบที่คล้ายจะสะกดใจผู้อื่นให้หลงเมามายกับกามตัณหาก็ยิ่งเข้มข้นยิ่งขึ้น ข้าได้กลิ่นชวนปวดหัวนี่มากเข้าก็ชักจะรำคาญใจเสียแล้ว



ท่าทางของมารราตรีชาดก็เย้ายวนรัญจวนใจดีหรอก เสียแต่ว่าฝีมือรสรักยังอ่อนด้อยอยู่มาก กลีบปากอิ่มและลิ้นร้อนควรได้ใช้ประโยชน์มากกว่าเพียงไล้เลียภายนอกเช่นนี้ หากคิดจะสูบไอหยางพร้อมยั่วยวนให้คนหลงใหลก็ควรดูดกลืนปรนเปรอให้หมดสิ้นมิใช่หรือ



เห็นอีกฝ่ายใช้ปลายลิ้นไล่เลียคล้ายลูกแมวหยอกล้อกันเช่นนั้น ข้าก็ขยับข้อมือที่ถูกเชือกกักเซียนมัดเอาไว้ด้วยความหงุดหงิดใจ มารชั่วช้าสัมผัสได้ว่าข้ามีปฏิกิริยาตอบโต้ไม่เหมือนกับเหยื่อคนอื่นๆ ก็รู้สึกแปลกใจ ครั้นเงยขึ้นมองเห็นใบหน้าไม่บอกอารมณ์และหัวคิ้วที่กระตุกหากัน คนงามยิ่งประหลาดใจถึงขั้นหลุดปากถามออกมา “เจ้ามิได้รู้สึกดีหรือ”



“มิใช่เช่นนั้น” ข้าขยับยิ้มหวานดั่งที่ทำมาไม่รู้จักกี่ครั้ง แม้ว่าหน้าตาของหานเฉิงรุ่ยจะด้อยกว่าข้าอยู่สามส่วน แต่ก็มากเพียงพอที่จะหว่านเสน่ห์คนแล้ว ดวงตาหรี่มองคนงามเบื้องหน้าอย่างมีเลศนัย “ท่านปรนเปรอข้าอยู่เพียงผู้เดียวย่อมทำให้รู้สึกไม่ยินยอมอยู่บ้าง ไยท่านมิปล่อยให้ข้ามอบความสุขให้ท่านบ้างเล่า”



นัยน์ตาสีชาดปรากฏแววฉงนงงงวยอยู่ไม่น้อยคล้ายมิเคยได้ยินวาจาเช่นนี้มาก่อน คนงามนิ่งงันไปชั่วครู่หนึ่งคล้ายยังตัดสินใจไม่ได้ “มิใช่ว่าปล่อยแล้วเจ้าจะหนีไปหรอกหรือ”



ข้าหัวเราะในลำคอเบาๆ รอยยิ้มยิ่งฉีกกว้างเปล่งประกายเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม ท่าทีไม่มีพิษไม่มีภัยเป็นอย่างยิ่ง “ท่านงดงามยั่วยวนถึงเพียงนี้ ใครเล่าจะพลาดโอกาสโอบกอดท่านได้” มิว่าใครหน้าไหนก็ชื่นชอบคำชมด้วยกันทั้งสิ้น ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะคิกคักแผ่วเบาคล้ายชอบอกชอบใจ คนเอื้อมแขนไปยังมือของข้าที่ถูกมัดไพล่หลังเอาไว้ ขยับนิ้วกรีดปลายเล็บเบาๆ เชือกกักเซียนก็ขาดสะบั้นในทันที



“แบบนี้คงพอใจแล้วใช่หรือไม่” วาจานั้นกล่าวจบลง กลีบปากงามพลันเลื่อนลงไปกดจูบลงบนตำแหน่งเดิมเพื่อกระทำการสานต่อสิ่งที่ทำค้างเอาไว้ ข้าขยับข้อมือที่รู้สึกชาเล็กน้อยไปมาก่อนจะยันตัวขึ้นนั่ง ครั้นริมฝีปากอิ่มครอบลงที่ส่วนปลายอย่างแผ่วเบา ข้าก็เอื้อมมือไปยังเรือนผมนุ่มสลวย กดรั้งศีรษะเขาเข้าหาพร้อมกับหยัดสะโพกขึ้นเพื่อดุนดันส่วนที่แข็งขืนให้รุกล้ำเข้าไปลึกยิ่งขึ้น



มารราตรีชาดมิเคยใช้ริมฝีปากดูดกลืนเต็มส่วนมาก่อนจึงย่อมรู้สึกขลุกขลักอยู่บ้าง ดวงตางดงามคราวนี้เบิกกว้างด้วยความตกใจ ทั้งยังปรากฏหยดน้ำตาแวววาวราวไข่มุกที่หางตา การชะงักค้างไปเช่นนี้ยิ่งเป็นช่วงโอกาสที่ข้าจะดึงรั้งให้เขารับแก่นกายเข้าไปลึกกว่าเดิม ร่างกายนี้ช่างสร้างมาเพื่อกามราคะดีแท้ เพียงครั้งแรกช่องคอก็เปิดรับสิ่งแปลกปลอมเสียแล้ว



ข้าสอดนิ้วเข้าไปในเส้นผมนุ่มราวเส้นไหมแล้วค่อยๆ จับให้อีกฝ่ายเริ่มใช้ริมฝีปากรูดรั้งปรนเปรอ สองข้างแก้มของมารราตรีชาดที่เพิ่งเคยถูกผู้อื่นบีบบังคับให้กระทำการน่าอายยามนี้เริ่มระเรื่อด้วยสีเลือด มิรู้ว่าเกิดจากความตื่นเต้นหรือว่าความอับอายกันแน่ มารชั่วที่ดูดกลืนพลังหยางผู้คนมามากมายช่างเรียนรู้ได้เร็วยิ่งนัก ยิ่งได้สัมผัสรสชาติแปลกใหม่ ไม่นานเขาก็เป็นฝ่ายซ้ำขยับศีรษะเข้าออกดูดกลืนเสียดสีได้อย่างเร่าร้อน ซ้ำยังรู้จักขยับลิ้นตวัดเลียปรนเปรอเร่งเร้า ใช้ฟันคมครูดกับส่วนปลายเบาๆ จนข้าต้องสูดลมหายใจลึก



ภายในห้องมีเพียงเสียงจาบจ้วงน่าบัดสี ทั้งโพรงปากและช่องคอของมารราตรีชาดนับว่าเป็นของดีเลิศรสอยู่ไม่น้อย ยิ่งกระทั้นกายเท่าไร ยิ่งร้อนร่านดูดกลืนคล้ายไม่รู้จักพอ จะหลอกให้เขาตายใจได้ข้าย่อมต้องให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ครั้นอารมณ์พุ่งขึ้นสูงก็สอดนิ้วดึงรั้งเส้นผมดำขลับไว้แรงขึ้น ก่อนจะปลดปล่อยทุกหยาดหยดเข้าไปในริมฝีปากที่เฝ้ารออยู่



“อื้อ...” เสียงหวานครางแผ่วเบาในลำคอด้วยความพอใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อรั้งกายออกมาก็พบว่าอีกฝ่ายดูดกลืนหยาดน้ำไปทั้งหมดสิ้น ปลายลิ้นสีสดตวาดเลียริมฝีปากคล้ายติดใจในรสรักจดมิอาจให้เหลือรอดไปได้สักหยด ใบหน้างามฉายแววพึงพอใจจนปรากฏรอยยิ้มหวานฉ่ำ “ช่างเป็นธาตุหยางที่แข็งแกร่งยิ่งนัก”



จะตกปลาอย่างไรก็ต้องใช้เหยื่อล่อ พลังหยางแกร่งกล้าสดใหม่นี้ย่อมเป็นพลังธาตุที่มาจากร่างของหานเฉิงรุ่ย เกรงว่ามารสีชาดผู้นี้คงใช้วิธีซับพลังจากหยาดน้ำรักที่เหล่าชายหนุ่มปลดปล่อยมากระมัง แม้จะทำให้ได้รับไอหยางมากมายโดยตรง แต่เช่นนี้มิควรเรียกว่าการสูบธาตุหยางแล้ว สมควรเรียกว่าการดูดน้ำจนตัวเหี่ยวแห้งมากกว่า ช่างเป็นวิธีการต่ำช้าเสียจริง



ปรมาจารย์วังวสันต์ผู้สูงส่งเช่นข้าเชยคางอีกฝ่ายขึ้นก่อนจะมอบจุมพิตอันหอมหวานด้วยกลิ่นอายหยางเป็นรางวัลให้กลีบปากงาม เมื่อปลายลิ้นสอดเข้าไปรุกล้ำเกี่ยวกระหวัดกันภายใน มารราตรีชาดพลันยันลำตัวขึ้นจนอยู่ระดับเดียวกับข้า สะโพกกลมย้ายขึ้นมานั่งคร่อมหน้าตักที่เปลือยเปล่า เรียวขาทั้งสองข้างเกี่ยวกระหวัดเข้าที่รอบเอวสอบของหานเฉิงรุ่ย ข้าสอดมือเข้าไปตามรอยแยกของชุด ปลดเปลื้องกางเกงออกไปก็พบว่ามารชั่วมิได้ใส่ชั้นใน กระทั่งปากทางด้านหลังยังคงชุ่มฉ่ำคล้ายรอคอยการเติมเต็มเสียแล้ว



มิต้องปลุกเร้าประการใด ท่อนเนื้อที่เพิ่งได้รับการปลดปล่อยอารมณ์ไปเมื่อครู่ ก็กลับมาตั้งตระหง่านอีกครั้ง ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะกลิ่นกุหลาบแดงเข้มข้นนั้นมีฤทธิ์ปลุกเร้าร่างกาย อีกส่วนคือข้าจงใจมอบรสรักที่มิรู้ลืมให้อีกฝ่ายได้สัมผัส ข้าจับรวบแก่นกายของอีกฝ่ายเข้ากับกายเนื้อของตนเอง ขยับมือพร้อมลำตัวเสียดสีเพื่อปลุกเร้าอารมณ์วาบหวามยิ่งขึ้น ร่างกายเพรียวบางจึงเริ่มสั่นระริกขึ้นมาบ้างแล้ว



“อ๊า...เจ้า...” มารน้อยบิดเร้าลำตัว เมื่อข้าสอดปลายนิ้วสองนิ้วเข้าไปภายในช่องทางอันชุ่มชื้น ทั้งยังขยับเสียดสีไปทั่วจนกระแทกเข้ากับปุ่มเนื้อภายในที่ทำให้ผู้คนซ่านเสียวด้วยราคะยิ่งกว่าเดิม นัยน์ตาสีโลหิตเข้มขึ้นคล้ายทนไม่ไหวอีกต่อไป คนงามเริ่มส่ายสะโพกวนไปมาราวกับอยากให้นิ้วทั้งสองเข้าไปลึกยิ่งขึ้น “เมื่อไรจะเข้ามาสักทีเล่า! ”



เผ่ามารนั้นไม่ว่าจะเกิดมาเป็นมารหรือเปลี่ยนจากมนุษย์ที่เกิดจิตมารล้วนแต่ขึ้นชื่อเรียกการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาทั้งสิ้น คราวอนุภรรยาของนายท่านลู่ ย่าเอ๋อร์ยังทำเพียงแค่ร้องขอแสดงความต้องการ มาคราวนี้อีกฝ่ายกลับเร่งเร้าข้าขึ้นมาเสียแล้ว ข้าดึงรั้งนิ้วทั้งหมดออกมาก่อนจะแกล้งขยับปลายนิ้วลากไล่ตามรอยพับจีบที่หน้าปากทาง มารราตรีชาดส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ คงจะอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว



สะโพกมนยกขึ้นสูงพร้อมกับนิ้วมือเรียวที่คว้าท่อนลำที่แข็งขืนเต็มที่ของหานเฉิงรุ่ยเอาไว้ ข้าเพียงแต่ขยับยิ้มบางปล่อยให้เขากระทำการตามใจชอบ คนงามค่อยๆ จ่อส่วนปลายแก่นกายที่หน้าปากทางพร้อมกับกดเอวลงมาอย่างเชื่องช้า ข้าเห็นดังนั้นจึงเอื้อมมือทั้งสองข้างไปจับเอวคอดแล้วกระแทกร่างของเขาให้ทิ้งดิ่งดูดกลืนเข้าไปจนหมด



“อึก...อื้อ...ลึกยิ่งนัก” มารราตรีชาดหลุดร้องเสียงหวานกระเส่าเมื่อข้าเริ่มกระแทกกายเสียดสีกับช่องทางร้อนฉ่าด้วยความรุนแรง ร่างกายส่ายวนตอบรับทุกจังหวะด้วยความกระสันซ่าน แต่ก่อนมีแต่มัดร่างผู้อื่นไว้ไม่ให้ขยับกาย คราวนี้ถูกปรนเปรอจากยอดฝีมือ นอกจากแปลกใหม่แล้วย่อมต้องรู้สึกเคลิบเคลิ้มราวล่องลอยอยู่บนสวรรค์



นัยน์ตาสีเพลิงเหม่อลอยไร้จุดหมายได้น่ารักยิ่งนัก ข้ารั้งร่างอีกฝ่ายขึ้นมาจนคล้ายจะโอบอุ้มคนงามเอาไว้พร้อมกับที่ขยับเสียดสีช่องทางสีสดอย่างจาบจ้วง เสียงหอบหายใจสลับกับเสียงร้องครวญครางจากมารราตรีชาดดังขึ้นที่ข้างหู เมื่ออีกฝ่ายถึงฝั่งฝันไปก่อน ข้าก็ยิ่งกระทั้นส่วนแข็งขืนหนักหน่วงกว่าเดิม จนสุดท้ายก็ปลดปล่อยเข้าไปภายใน



เรียวขางามทั้งสองข้างเกี่ยวกระหวัดแน่นราวกับไม่ต้องการให้ข้าถอนกายออกไป ข้าปล่อยให้มารสารเลวดูดกลืนธาตุหยางบางส่วนไปด้วยความใจกว้าง ชุดที่หมิ่นเหม่ของมารราตรีชาดถูกดึงทึ้งออกกองอยู่บนเตียงอย่างสิ้นสภาพ ส่วนร่างเพรียวบางถูกโอบอุ้มขึ้นมา คนงามแม้งุนงงอยู่บ้างแต่ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี สองแขนโอบรัดรอบลำคอข้าเอาไว้ ท่าทางยังอิ่มเอมเปี่ยมไปด้วยอารมณ์หวานฉ่ำยิ่งนัก



ข้ากดแผ่นหลังมารราตรีชาดลงกับกำแพงห้อง เมื่อครู่ได้ยินว่าเขาชื่นชอบที่ได้กลืนกินผู้อื่นอย่างลึกล้ำ ตอนนี้จึงได้เสนอท่วงท่าที่ทำให้หลืบร่องรักถูกย่ำยีได้ลึกกว่าเดิม ครานี้คล้ายว่ามารชั่วไม่รู้ตนอีกต่อไป ทำได้เพียงรองรับการจ้วงกระทั้นกายจากข้าและเปล่งเสียงครางด้วยความสุขสม ทั้งยังปลดปล่อยห้วงอารมณ์ออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า คล้ายปล่อยตัวปล่อยใจบ้างแล้ว



“เจ้าดี...ดียิ่ง” เสียงพูดคล้ายไม่เป็นภาษาแต่ยังพอจับใจความได้ ร่างเปลือยเปล่านอนแผ่หลาลงบนพื้นเตียง หากสะโพกกลมยังหยัดขึ้นรองรับแท่งหยกด้วยความเสียวซ่าน จนยามนี้จะดูดซับพลังหยางยังลืมเลือน มีแต่ดวงตาเลื่อนลอยหวานฉ่ำที่เฝ้ามองข้าด้วยความหลงใจจนคล้ายว่าตกอยู่ในห้วงสิเน่หา “เจ้าชื่ออะไรกัน...”



ร่วมรักอย่างต่อเนื่องมาสองวันสองคืนหลากหลายกระบวนท่า ถึงเวลานี้กลับเพิ่งมาถามชื่อนับว่าเป็นเรื่องตลกดีแท้ จะให้ข้าบอกชื่อจากหานเฉิงรุ่ยคงไม่เหมาะสมนัก เพราะตอนนี้จิตวิญญาณผู้เป็นเจ้าของร่างยังคงสลบไสลไม่ได้สติอยู่ในห้วงฝันอันดีงามที่ข้าสร้างขึ้นมา อย่างไรเสียมารราตรีชาดก็ควรได้รู้จักชื่อผู้ที่จะคร่าชีวิตเขาบ้าง จึงได้กระซิบเข้าที่ข้างหูอย่างแผ่วเบาพร้อมมกับขบเม้มติ่งหูขาวแรงๆ “เยี่ยอู๋จวิน”



“เจ้ายอดเยี่ยมยิ่งนัก...มาอยู่กับข้าเสียเถิด ข้าจะเลี้ยงดูเป็นอย่างดี” จุดประสงค์ที่ลักพาตัวเป็นเตาหลอมได้ถูกแปรเปลี่ยนไปเสียแล้ว ไม่ว่าจะมาร มนุษย์หรือเทพเซียน หากได้รับการปรนเปรอบนเตียงเป็นอย่างดีย่อมทำให้จิตใจไขว่เขว้และสับสนได้มากนัก นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ข้ามิอยากให้ใครใช้วิธีเดียวกันฝึกปรือวิชา แม้ปราศจากความรัก หากตัณหาราคะนั้นเมื่อลุ่มหลงแล้วก็ถอนตัวได้ยากจริงๆ



“อะ...อา...เยี่ยอู๋จวิน” มารราตรีชาดร่ำร้องเสียงหวานยามที่ข้ากดกระแทกท่อนเนื้อร้อนเข้ากับจุดอ่อนไหวภายในร่างพร้อมกับปลายนิ้วที่กดบดขยี้ส่วนปลายแก่นกายของเขา ครั้นเรียกชื่อข้ามากขึ้นเอวอ่อนเผ็ดร้อนก็คล้ายจะแข็งเกร็งขึ้นมา นัยน์ตาสีแดงเข้มขึ้นเหมือนกลับมามีสติรับรู้ตนอีกครั้ง



“เยี่ยอู๋จวิน...ที่แท้เจ้าคือปรมาจารย์วังวสันต์ เยี่ยอู๋จวิน! ” เมื่อรู้ว่าข้าเป็นใคร ร่างเพรียวบางผวาขึ้นมาทั้งที่ส่วนแข็งขืนยังสอดลึกล้ำอยู่ในกายของเขา มารราตรีชาดครานี้มิได้ตกอยู่ในห้วงอารมณ์วาบหวามอีกต่อไป แต่มีสีหน้าว้าวุ่นร้อนใจยิ่งนัก มือข้างหนึ่งตะปบเข้าที่ต้นแขนจนปลายเล็บคมจิกเข้าไปในเนื้อ



ชั่วครู่หนึ่งข้ารู้สึกคล้ายพลังหยางทั้งจากร่างของหานเฉิงรุ่ยและทั้งจากจิตวิญญาณตนถูกอีกฝ่ายสูบออกไปอย่างรวดเร็ว มารชั่วตนนี้เมื่อรู้ว่าข้าเป็นใครก็ไม่เสียเวลาสอบถามว่าความกันอีกต่อไป หากแต่ฉวยจังหวะดึงพลังทั้งหมดของข้าไป หากเรื่องฉวยโอกาสฉวยจังหวะ ข้าเยี่ยอู๋จวินก็ไม่เป็นรองใครเช่นกัน



กระบวนวิชาวสันต์เริงร่า ท่าดาราหวนกลับ



สองมือของหานเฉิงรุ่ยภายใต้การควบคุมของข้ารวบเข้ากับลำคองาม อีกฝ่ายขยับตัวดิ้นรนอย่างยากลำบาก ก่อนที่จะใช้พลังมารตอบโต้กลับ ไอยางที่ดูดกลืนจากข้าไปสองวันสองคืนยามนี้กลับกลายเป็นพลังร้อนดั่งเปลวเพลิงที่วิ่งแล่นไปทั่วร่าง ซ้ำยังชักนำให้ธาตุหยางทั้งหมดที่เขามีพุ่งตรงมาให้ข้าดูดซับอย่างง่ายดาย เพียงแค่ชั่วพริบตาสถานการณ์ก็แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง



ยิ่งข้าออกแรงบีบรัดลำคอระหงมากขึ้นเท่าใด พลังหยางทั้งจากร่างและจิตวิญญาณของอีกฝ่ายยิ่งหลั่งไหลออกมาและถูกข้าดูดกลืนมากขึ้นเท่านั้น รูปร่างอันสวยสดงดงามคราวนี้กลับซูบซีดจนมิเหลือสภาพ ผิวหนังฉ่ำน้ำเริ่มแห้งกร้านเหี่ยวแห้ง ริมฝีปากอิ่มแตกระแหงยิ่งกว่าหนองน้ำในยามหน้าแล้ง เส้นผมสีดำขลับเริ่มหยาบกระด้างก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวด้วยความรวดเร็ว มารราตรีชาดจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของข้า สิ่งที่สะท้อนกลับมามีเพียงผีตายซากที่สภาพยิ่งกว่ามนุษย์วัยชรา กระทั่งเรือนผมยังร่วงหายจนเหลือเพียงศีรษะเกือบล้านเลี่ยน



“เยี่ยอู๋จวิน! เจ้าตัวสารเลว!” เสียงหวานที่เคยล่อลวงมนุษย์มากหน้าหลายตาคราวนี้กลับแหบแห้งไม่ชวนฟัง มารชั่วพยายามขยับตัวดิ้นออกจากการเกาะกุมของข้า หากแต่คงจะสายเกินไปเสียแล้ว เพราะทั้งร่างกลับสลายกลายเป็นเพียงฝุ่นผงที่ปลิดปลิวไปตามแรงลม เหลือเพียงลูกกลอนมารทิ้งไว้ในกองผ้าบนเตียงและดวงจิตที่ล่องลอยรอการมารับของเฮยไป๋อู๋ฉาง



หากคิดจะกำจัดมาร ย่อมกำจัดให้ถึงต้นตอ ยามนี้เมื่อได้ธาตุหยางมหาศาลจากอีกฝ่าย พลังวิญญาณของข้าย่อมแข็งแกร่งหาผีตัวใดเปรียบ ข้าซัดฝ่ามือใส่ดวงจิตของมารราตรีชาด ซ้ำยังดูดกลืนพลังที่ยังคงเหลือจนธาตุวิญญาณแตกสลาย เกรงว่ามารตนนี้คงมิได้ผุดได้เกิดในวัฏสงสารอีกต่อไปแล้ว



ข้าเหลือบมองลูกกลอนสีแดงเลือดนกที่กลิ้งอยู่บนเตียงด้วยสายตาเย็นชา ลูกกลอนมารนี้แม้จะมีประโยชน์ต่อการฝึกปรืออยู่บ้าง แต่หากมิระวังให้ดีอาจส่งผลกระทบให้ผู้บำเพ็ญเพียรเกิดจิตมารได้ ให้หานเฉิงรุ่ยเก็บเอาไว้อาจส่งผลร้ายมากกว่าดี ไยไม่ทำลายทิ้งให้หมดสิ้นเสียเล่า



ด้วยพลังที่เพิ่มมากขึ้น ข้าออกแรงบีบเพียงชั่วครู่ ลูกกลอนปราณก็แตกสลายกลายเป็นธุลี มารราตรีผู้ลักพาตัวชายหนุ่มที่ชายป่าแคว้นจิ่วโจวในยามค่ำคืน บัดนี้คงเหลือเพียงตำนานเรื่องเล่าขานเสียกระมัง



ข้าหยิบเครื่องแบบยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นมาใส่ด้วยท่าทางสุขุมราวกับไม่เคยมีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นมาก่อน ครั้นสำรวจคฤหาสน์ร้างแห่งนี้ก็ไม่พบเจอสิ่งอื่นใดที่น่าสนใจอีก เหล่าทาสรับใช้ของมารราตรีชาดเกรงว่าจะเป็นภูตกระดาษที่ขาดพลังของนายก็ล้มตายไม่เหลือเศษซาก ส่วนคนอื่นๆ ที่ถูกลักพาตัวมานั้นไม่มีแม้แต่ศพให้เห็น มีแต่ลูกกลอนปราณราวสามสิบสี่สิบลูกที่เก็บซ่อนเอาไว้ในกล่องไม้ที่ช่องลับใต้เตียง เกรงว่าจะสูญสิ้นชีวิตกันไปหมดแล้วกระมัง



ข้าเก็บกล่องไม้จันทน์หอมที่บรรจุเหล่าลูกกลอนปราณเข้าไปในแขนเสื้อของหานเฉิงรุ่ย สุดท้ายแล้วจึงกลับไปหาคนแซ่เส้าในคุกใต้ดิน เมื่อไม่มีมนต์สะกดของมารราตรีชาด คนจากยอดเขาอสูรคำรามก็กลายเป็นเพียงซากศพมีชีวิต พอมีสติรับรู้ขึ้นมาเจ้าหนูก็มีท่าทางหมดอาลัยตายอยากน้ำตาไหลอาบหน้า น่ากลัวว่าจะรับรู้เรื่องราวที่ตนเองแปดเปื้อนให้มารชั่วไปแล้ว หากมีเรี่ยวแรงมากกว่านี้คงลุกขึ้นมาผูกคอตายไปแล้วกระมัง



“ศิษย์พี่หาน...” ท่าทางอยากตายของเขาทำให้ข้ารู้สึกสงสารอยู่ไม่น้อย ด้วยรู้ว่าคำขอของคนสกุลเส้าคงไม่พ้นฆ่าเขาให้ตายเสีย ข้าจึงจี้สกัดจุดให้คนสลบไป แนบจูบกับริมฝีปากแห้งกร้านเพื่อถ่ายเทพลังหยางกลับคืนให้ไปไม่น้อย จากนั้นจึงอุ้มเรือนร่างผอมแห้งพาดบ่า ที่ชั่วช้าอัปมงคลเช่นนี้ไม่ควรรั้งอยู่อีกต่อไปแล้ว



เวลานี้พระอาทิตย์เริ่มขึ้นจากขอบฟ้า สัตว์ป่าสัตว์อสูรในแถบนี้ไม่ได้ชุกชุมดุร้ายเหมือนยามค่ำคืน ก้าวเท้าเดินขึ้นเหนือมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงแคว้นจิ่วโจวได้ราวสิบลี้ ข้าพบต้นท้อใหญ่ต้นหนึ่งท่าทางเต็มเปี่ยมด้วยพลังคล้ายเป็นภูตที่ฝึกบำเพ็ญเพียรมาหลายปี ก็คิดว่าจะปล่อยร่างของหานเฉิงรุ่ยและศิษย์แซ่เส้าจากยอดเขาอสูรคำรามทิ้งไว้ที่นี่ ดูท่าแล้วคงจะมิอันตรายเท่าใดนัก



พบเจอหานเฉิงรุ่ยในครั้งนี้นับว่าเป็นวาสนาของข้าดีแท้ แม้จะต้องวุ่นวายใช้วิธีที่เหล่าผู้ฝึกเซียนเรียกกันว่าหยาบช้านอกรีตกำราบมาร แต่ข้าก็ได้กำไรกลับมาไม่น้อย ธาตุหยางที่มารราตรีชาดสั่งสมมาหกเดือนครึ่งปีนับว่าช่วยให้ข้ากลายเป็นวิญญาณขั้นสูงเสียยิ่งกว่าเดิม ส่วนลูกกลอนปราณจากคนตายแม้จะสามารถเพิ่มพลังให้ข้าได้ แต่สมควรให้คนแซ่หานเก็บไว้มากกว่า อย่างน้อยลูกกลอนเหล่านั้นก็ควรหวนกลับคืนสำนักคืนตระกูลของตนมิใช่หรือ



ถึงจะเป็นผีลามก แต่ข้าเยี่ยอู๋จวินผู้เป็นผีที่ดียิ่งนัก ทั้งปราบมารได้ ทั้งมิละโมบโลภมาก เกรงว่าใต้หล้านี้จะหาผีที่ดีเช่นนี้มิได้อีกแล้ว



ข้ากระหยิ่มยิ้มย่องล่องลอยไปทางทิศเหนือได้ไม่นาน จู่ๆ สัญชาตญาณผีก็กรีดร้องพร่ำบอกว่าข้างหลังมีบางสิ่งผิดปรกติ แม้จะตายกลายเป็นผีไปแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกหนาวสันหลังขนลุกตั้งชันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ครั้นจะหันกลับไปมองเบื้องหลัง ข้ากลับได้ยินเสียงวัตถุบางสิ่งแหวกผ่านอากาศมาเสียก่อน



แส้สายหนึ่งฟาดเข้าที่ด้านหลังของข้าอย่างแม่นยำ ก่อนปลายแส้จะตวัดรัดรอบลำคออย่างผิดธรรมชาติ เกรงว่าแส้นี้คงขยับตามการควบคุมของผู้ฝึกเซียนกระมังจึงโจมตีได้ดั่งอสรพิษซ้ำยังสามารถรัดรึงภูตผีให้อยู่ใต้อาณัติได้เช่นนี้ ถึงจะไม่มีร่างแต่ข้าก็รู้สึกแข็งเกร็งไปตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทันใดนั้นก็รู้สึกคล้ายถูกอัสนีบาตรฟาดเปรี้ยงเข้าที่ลำคอ...หากฟาดแรงกว่านี้เกรงว่าวิญญาณจะแตกสลายได้กระมัง



ข้ายังไม่ทันได้หันไป ยังไม่ทันได้โอดครวญ ก็ได้ยินคำเรียกขานชื่อตนเองเสียก่อน เสียงนั้นเย็นเยียบเสียยิ่งกว่าหิมะกลางฤดูหนาว ยิ่งกว่ายอดน้ำแข็งแห่งแดนคุนหลุน หากกลับเป็นเสียงที่ข้าคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่ละพยางค์เน้นชัดยิ่งนัก



“เยี่ย...อู๋...จวิน! ”



โปรดติดตามตอนต่อไป...


ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะะ ตอนนี้ยังมีสต็อก ยังลงได้เรื่อยๆ ค่า

ออฟไลน์ คนคิ้วท์คิ้วท์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 339
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
สนุกกกก แบบเร้าใจ แหะๆ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ ง่วงนอน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
บทที่ 9 เป็นผีได้รับความอยุติธรรม จะร้องเรียนที่ใดได้



ลงมือก่อนแล้วค่อยพูดจาสอบถามเช่นนี้จะเป็นใครได้นอกจากอดีตคนคุ้นเคยเก่าแก่ของข้า คุณชายน้อยจากสกุลผู้บำเพ็ญเพียรชื่อดัง ศิษย์สายตรงจากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ ผู้ซึ่งโด่งดังเป็นอันดับต้นๆ ของผู้ฝึกเซียนในยุคสิบปีหลังผู้นั้น...ไป๋เจี๋ย



หรือก็คือคนที่ข้าไม่อยากพบเจอมากที่สุดในใต้หล้านี้...ศัตรูมักพบพานบนทางแคบจริงแท้



เรื่องราวระหว่างข้ากับคุณชายสกุลไป๋นั้นเป็นเรื่องราวครั้งเก่าเมื่อราวยี่สิบปีก่อน หากจะเล่าเกรงว่าต้องย้อนความสืบประวัติกันอยู่มาก หากบอกกล่าวง่ายๆ คือเขามีศักดิ์เป็นศิษย์น้องในช่วงระหว่างที่ข้าพำนักอยู่บนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ด้วยฐานะศิษย์คนแรกของอาจารย์หญิงแซ่เจิ้ง จึงเรียกว่าเคยมีอดีตความหลังฝังใจกันมาก่อนอยู่ไม่น้อย



“อาเจี๋ย...” น้ำเสียงข้าถอดยาวด้วยความอบอุ่นยิ่งนักเหมือนที่เคยเรียกขานคนตลอดสองปีที่ข้าดูแลเขามา พอปลายเสียงจบข้าหันไปมอง กลับไม่พบเด็กชายตัวน้อยตาใสเหมือนเช่นเคย หากเป็นชายหนุ่มผิวราวหิมะ รูปร่างสูงโปร่ง ริมฝีปากบางเฉียบใบหน้างดงามเฉยชาราวหยกสลัก ภาพลักษณ์ดีงามทั้งสิ้นยกเว้นเพียงดวงตาหงส์ดำขลับทั้งคู่เป็นประกายวาวโรจน์เสียยิ่งกว่าสัตว์อสูรบ้าคลั่ง



ไม่ได้พบเจอหลายปี เห็นหน้าอีกครั้งกับพบแต่สิ่งที่เกิดคาดคิดเต็มไปหมดจนข้ามิรู้ว่าควรประหลาดใจกับสิ่งไหนก่อนดี วันสุดท้ายที่ข้าได้เห็นหน้าไป๋เจี๋ยคือวันที่ข้าก้าวเท้าลาออกจากสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ เด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปีในวันนั้นน้ำตาไหลอาบหน้าร้องเรียกว่าอู๋เกออย่าจากไป จากวันนั้นถึงตอนนี้เป็นเวลากว่าสิบแปดปี คนย่อมเติบโตขึ้นเป็นธรรมดา



สิ่งที่เหนือความคาดหมายคืออีกฝ่ายมิได้อยู่ในชุดเครื่องแบบของยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์อีกต่อไป แต่กลับเป็นเสื้อผ้าสีเขียวอ่อนชุดคลุมสีขาวชายเสื้อปักลายไผ่เขียวมงคลแปดต้นแห่งตระกูลไป๋ เบื้องหลังยังมีชายหนุ่มตัวสูงใหญ่กำยำในชุดแบบเดียวกัน เสียแต่ว่าสวมหมวกม่านมาลาจนใบหน้าถูกผ้าขาวบดบังไปเสียสิ้น



เกรงว่าผู้บำเพ็ญเพียรจากสกุลไป๋ที่ข้าพบที่สุสานของตนเองเมื่อหลายวันก่อนจะเป็นอดีตศิษย์น้องของข้าผู้นี้เสียแล้ว



“ยังจะมีหน้า...ยังจะมีหน้าเรียกข้าแบบนั้น” อีกฝ่ายกล่าวด้วยท่าทางเหลืออด ข้ามิได้ถือสาเขาด้วยเรื่องแค่นี้หรอก คิดเพียงว่าหลายสิ่งหลายอย่างแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่น้ำเสียงของไป๋เจี๋ยก็ยังคงคล้ายปีนั้นไม่มีผิด เนื้อเสียงใสไพเราะราวแก้วกระจก ส่วนที่ไม่เหมือนเดิมคงเป็นความเย็นชาห่างเหินที่เพิ่มขึ้นมากระมัง



ข้าเหม่อลอยได้เพียงชั่วลมหายใจ สายฟ้าก็ฟาดเข้าที่ต้นคออีกครั้ง แม้ไม่ได้รุนแรงขึ้น แต่ก็ทำให้เจ็บปวดรวดร้าวคล้ายทั่วทั้งวิญญาณถูกดึงทึ้งออกจากกัน คราวนี้นัยน์ตาของข้าเบิกโพลงขึ้นด้วยความฉงนใจ นี่ไม่ใช่ท่าอัสนีลงทัณฑ์จากเคล็ดวิชาลับเจ็ดอัสนีสวรรค์ที่มอบให้เพียงผู้สืบทอดยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์มิใช่หรือ “เจ้าสำเร็จวิชาเคล็ดวิชาเจ็ดอัสนีสวรรค์แล้วหรือ...เกิดอะไรขึ้นกับอาจารย์เล่า หรือว่านางบำเพ็ญเพียรสำเร็จเหาะเหินขึ้นสวรรค์เป็นเซียนไปแล้ว”



เอ่ยปากถามออกไปข้าก็ยิ่งไม่เข้าใจ เมื่อไป๋เจี๋ยสำเร็จวิชาแล้วย่อมต้องได้เป็นเจ้ายอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ต่อจากอาจารย์หญิง แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นเหตุใดจึงไม่สวมใส่เครื่องแบบของสำนัก แต่กลับสวมใส่เครื่องแบบประจำตระกูลแทนเล่า นี่คล้ายมีบางสิ่งไม่ถูกต้องเข้าแล้ว เกรงว่าข้าไม่ได้ติดตามข่าวคราวของเหล่าสำนักเซียนและตระกูลใหญ่มาหลายปี เรื่องราวภายในเป็นอย่างไรก็ตามไม่ทันเสียแล้ว



“ตัวบัดซบเช่นเจ้ายังจะกล้าถามถึงอาจารย์อีกหรือ” หากแววตาของอีกฝ่ายเป็นคมกระบี่ ข้าเยี่ยอู๋จวินคงได้ตายซ้ำตายซากไม่มีทางได้ผุดได้เกิดต่อให้เผากระดาษเงินกระดาษทองเท่าไรก็คงไม่ช่วยแล้ว วันเวลาช่างโหดร้ายยิ่งนัก แต่ก่อนเขาเรียกข้าว่าอู๋เกอทุกคำ มาตอนนี้คำแรกก็บัดซบ คำหนึ่งต่อไปคงไม่พ้นสารเลว ข้าในสายตาของคนสกุลไป๋คงไม่พ้นเป็นตัวต่ำช้าบ้ากามราคะเป็นแน่



“ไม่ให้ถามถึงอาจารย์หญิงแล้วจะให้ถามถึงใครเล่า” เห็นหน้าตาท่าทางเขาหงุดหงิด ข้าก็อดที่จะเล่นหยอกล้อกับเขาหน่อยไม่ได้ ด้วยมั่นใจว่าแส้ที่พันอยู่รอบคอคงไม่ทำให้ข้าถึงขั้นดับสลายแน่ ถ้าตั้งใจจะทำอย่างนั้นจริง คนแซ่ไป๋คงลงมือไปแล้ว ไม่ปล่อยให้เวลาลากยาวมาถึงเวลานี้ “เช่นนั้นถามถึงไก่ของอาจารย์อาเหลียงดีหรือไม่ หรือถามถึงนิสัยชอบถ้ำมองของอาจารย์อาโจว...”



จะว่าไปสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ก็เลี้ยงตัวประหลาดเอาไว้อยู่ไม่น้อย สมัยนั้นอาจารย์หญิงเจิ้งปิงฉินแห่งยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ นิสัยเย็นชาไร้หัวใจ ไม่รู้จักแยกแยะหนักเบา มีปัญหาอะไรก็โยนใส่ข้าอยู่ตลอดเวลา อาจารย์อาเหลียงเหลียงเหลียง[1]แห่งยอดเขาอสูรคำราม ชื่อเสียงเรียงนามชวนถอนหายใจชนิดไม่รู้ว่าบิดามารดาท่านไม่มีชื่อคนตายอื่นมาตั้งแล้วหรือ แม้ระดับฝึกปรือจะด้อยกว่าผู้อื่นเพราะมิได้มีกระดูกเซียน แต่ก็พอมีความสามารถอยู่บ้าง สัตว์อสูรใต้หล้ามีเป็นร้อยพันแต่กลับตัดสินใจเลี้ยงแม่ไก่สีน้ำตาลหนึ่งตัวไว้บนยอดเขา ซ้ำยังตั้งชื่อให้อย่างเพราะพริ้งว่าเฟยจูเชวี่ย จากไก่อ้วนกลายเป็นหงส์แดงทะยานบินไปเสียได้ ตั้งชื่อได้ลบหลู่สัตว์เทพในตำนานได้ดียิ่งนัก



ส่วนอาจารย์อาโจวอี้กั๋วแห่งยอดเขานภาไร้สรรพเสียง หน้าตางามสง่าท่าทางมากวิชาความรู้ทั้งกลอนปราชญ์ประวัติศาสตร์สมมาจากตระกูลใหญ่ พลังฝึกปรือก็ไม่เป็นรองใคร หากชอบทำตัวว่างงานคล้ายตำแหน่งเจ้ายอดเขาไม่งานการใดให้ทำ วันๆ ไม่เป็นอันทำอะไรนอกจากมายืนเกาะต้นไผ่เฝ้ามองอาจารย์หญิง พอโดนใครพบเห็นก็ทำท่ากางพัดท่องบทกลอน แก้ตัวแต่ว่าเห็นอากาศแจ่มใสจึงบังเอิญผ่านมา เห็นฝนตกกระหน่ำจึงบังเอิญผ่านมา เห็นหิมะโปรยปรายจึงบังเอิญผ่านมา คนอะไรบังเอิญผ่านมาได้ทุกสองสามชั่วยาม เกรงว่าเอาไปหลอกทารกยังเชื่อถือไม่ได้เลยกระมัง



เวลาเหล่าผู้อาวุโสสามคนนี้ยามแยกกันอยู่ก็ดูภูมิฐานงามสง่าดีอยู่แล้ว หากรวมตัวกันแล้วคล้ายว่าไม่รู้จะไปในทิศทางใดกันแน่ พอยิ่งพูดคุยด้วยแล้วยิ่งรู้สึกปวดหัวขึ้นมา...ยังไม่นับเรื่องราวรักสามเส้าของพวกเขาอีก การมีอาจารย์เช่นนี้ล้วนทำให้ชนรุ่นหลังเจ็บปวดใจดีแท้



“หุบปาก เจ้าอย่าได้พูดจามั่วซั่วไป” สีหน้าของไป๋เจี๋ยจริงจังเงียบขรึมเสียยิ่งกว่าเดิม “ยามนี้เรื่องราวต่างๆ ล้วนไม่เหมือนเดิม อาจารย์อาเหลียงสิ้นแล้ว อาจารย์อาโจวธาตุไฟเข้าแทรกเสียสติเตลิดหายไป ส่วนอาจารย์เร้นกายมิมีผู้ใดพบเจอมาหลายปี”



“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น” เรื่องราวชักจะไปกันใหญ่เสียแล้ว จุดจบของเจ้ายอดเขาทั้งสามล้วนไม่อาจเรียกว่าเป็นเรื่องดีได้ มิน่าเชื่อว่าข้าเร่ร่อนไปทั่วไม่ได้ติดตามข่าวคราวหลายปีกลับต้องมาได้ยินอะไรเช่นนี้



คนสกุลไป๋ถอนหายใจ มือขยับตวัดแส้ลากร่างวิญญาณของข้าเข้าไปใกล้ ท่าทางคนไม่ค่อยอยากจะเล่า แต่เห็นว่าอย่างไรข้าก็เป็นคนคุ้นเคยของเหล่าผู้อาวุโสมาก่อน จึงเล่าเรื่องออกมาอย่างเสียมิได้ด้วยน้ำเสียงชืดชา “สิบสี่ปีก่อนอาจารย์คล้ายปลงใจเลือกอาจารย์อาเหลียง จากนั้นมิรู้ว่าอาจารย์อาโจวกินดีหมีหัวใจเสือจากที่ใดจึงถือกระบี่บุกขึ้นยอดเขาอสูรคำราม ครั้นหาตัวอาจารย์อาเหลียงไม่เจอจึงมุ่งเป้าไปที่เฟยจูเชวี่ยแทน ร่ายรำกระบี่อยู่หลายกระบวนท่าก็สังหารแม่ไก่ตัวนั้นจนไม่เหลือแต่ซาก”



“อาจารย์อาเหลียงกลับมาเห็นเข้าจึงโมโหจัดเลือดขึ้นหน้า ประมือกันอยู่หลายชั่วยาม มิรู้ว่าอาจารย์อาโจวใช้เล่ห์กลสิ่งใด อาจารย์อาเหลียงที่ไม่มีกระดูกเซียนซ้ำพลังฝึกปรือชนกำแพงมิอาจฝ่าด่าน กลับสามารถเรียกด่านอัสนีขึ้นมาได้ อัสนีนั้นรวมตัวเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าสาย อาจารย์อาเหลียงมิทันเตรียมตัวกลับต้องรับมือกับด่านอัสนี สายแรกผ่าลงมาอาจารย์อาเหลียงยังมิทันได้เป็นไร แต่สายต่อมาเห็นว่าเส้นผมกลับเริ่มหยิกไหม้ พอถึงสายสุดท้ายหมดลงใครเห็นก็คิดว่าอาจารย์อาคงเอาชีวิตไม่รอด”



ขนาดผู้บำเพ็ญเพียรที่เตรียมตัวรับด่านอัสนียังสิ้นชีพไปไม่รู้จักกี่คน อาจารย์อาเหลียงเหลียงเหลียงที่พลังฝึกปรือไม่คืบหน้ามาหลายสิบปี จู่ๆ จะต้องมาฝ่าด่าน ท่าทางจะลำบากยากเย็นแล้ว ฟังไปฟังมาข้าก็รู้สึกสนใจมีส่วนร่วมอยู่ไม่น้อยจึงอดเอ่ยปากถามไม่ได้ “แล้วรอดหรือไม่”



“จะรอดได้เช่นไร สุดท้ายอาจารย์อาเหลียงเหลือแต่เถ้าธุลี” คนเบื้องหน้าถอดถอนใจราวกับว่าภาพเหตุการณ์นั้นยังติดตา “อาจารย์มาถึงทำได้เพียงหยิบเอาลูกแก้วปราณของอาจารย์อาเหลียงมาเก็บรักษาเอาไว้ ส่วนดวงจิตคนกลับเข้าสู่วัฏสงสารเสียแล้ว นางจึงรีบถ่ายทอดวิชาลับให้ข้า ตั้งข้าเป็นผู้สืบทอดแล้วลงจากเขาเพื่อตามหาคนรักในชาติภพต่อไป ส่วนอาจารย์อาโจวธาตุไฟเข้าแทรกหนีหายไปในวันนั้นเอง”



ข้าถอนหายใจร่วมไว้อาลัยให้แก่อาจารย์ทั้งสามแห่งสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ด้วยความสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง สุดท้ายจุดจบของรักสามเส้าบัดซบดีแท้ เรื่องราวที่ควรดีงามเหมาะสมกลับกลายเป็นเช่นนี้จะโทษใครได้เล่า ข้าได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างเชื่องช้า ครั้นเห็นคนแซ่ไป๋จ้องมองกลับมา จึงสบตากับนัยน์ตาคมของอีกฝ่ายแล้วขยับยิ้มบางเบาคล้ายเหนื่อยใจสองส่วนปลงตกสามส่วนเอาใจอีกห้าส่วน



“ความรักนี่ไม่ง่ายเลยสักนิด”



ชั่วครู่หนึ่งข้าคล้ายมองเห็นระลอกคลื่นในดวงตาหงส์ หากกลับไม่แน่ใจเพราะสายตาที่ไป๋เจี๋ยมองกลับมานั้นเย็นชาเสียงยิ่งกว่าเดิม คนหัวเราะในลำคอเบาๆ ราวกับเย้ยหยันบางสิ่ง มือข้างที่ถือแส้กำแน่นขึ้นพร้อมกับที่แส้สายนั้นบีบรัดคอข้าเสียจนใกล้กลายสภาพเป็นวิญญาณคอขาด



“ได้ยินว่าหกเดือนก่อนปรมาจารย์จากสกุลเยี่ยพลาดพลั้งรับพลังหยินมากเกินไปจนธาตุไฟขาดแทรกจบชีวิต หลงนึกว่าชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้พบเจอกันอีก” แม้น้ำเสียงครึ่งแรกของอีกฝ่ายไม่ได้มีแววโศกเศร้า หากทำให้ข้ารู้สึกปวดใจอยู่ไม่น้อย แต่พอได้ยินคำพูดครึ่งหลัง ความรู้สึกปวดใจก็กลายเป็นปวดหัวแทน “ไม่คิดว่าแท้จริงแล้วผู้สูงส่งอย่างเยี่ยอู๋จวินกลับกลายมาเป็นผีคอยลักพาตัวผู้บำเพ็ญเพียรไปสูบพลังหยางอยู่แถวนี้”



“เรื่องนี้เข้าใจผิดแล้ว…” ปฏิเสธได้ประโยคเดียวไม่ได้อธิบายความเพิ่มแม้แต่นิด ไป๋เจี๋ยพลันสะบัดข้อมือจนแส้คล้ายออก ข้ายังไม่ทันได้โล่งใจดี มือขาวเรียวดั่งหยกก็สะบัดอีกครั้ง คราวนี้แม้แส้จะไม่ได้รัดรึงรอบลำคอเหมือนรอบก่อน หากฟาดเข้ากลางลำตัวอีกหลายครั้ง แต่ละครั้งเจ็บปวดราวกับฉีกกระชากวิญญาณออกมาเป็นชิ้นๆ แส้บัดซบนี่เป็นของวิเศษปราบผีปราบมารชนิดใดกัน หากรู้ตัวว่าใครเป็นคนสร้าง ข้าจะไปหลอกหลอนควักไส้มามารดามันเสีย



“เข้าใจผิดอย่างนั้นหรือ” หน้าตาเย็นชานิ่งเฉย ริมฝีปากแม้รอยยิ้มสะใจสักนิดก็ยังไม่มี หากฝีมือการตวัดแส้แต่ละครั้งบ้าคลั่งเหลือเกินราวกับโกรธแค้นกันมายี่สิบปี ยิ่งข้าขยับหลบหลีกเท่าไร เจ้าตัวน่าตายแซ่ไป๋ยิ่งฟาดแส้แรงขึ้นเท่านั้น มิรู้ว่าหลายปีมานี้คนพบเจอเรื่องใดมา ศิษย์น้องผู้แสนน่ารักน่าเอ็นดูของข้าจึงกลายเป็นคนป่าเถื่อนรุนแรงเช่นนี้ ส่วนเจ้าคนที่อยู่ด้านหลังก็ช่างเลือดเย็นเหลือเกิน ตั้งแต่ต้นจนจบนอกจากยืนมองเฉยๆ แล้วยังไม่ปริปากพูดสักคำ



“หากข้าเข้าใจผิด แล้วทำไมวิญญาณที่ควรมีพลังหยินอบอวล เพียงหกเดือนถึงได้มีธาตุวิญญาณหยางสูงส่งขึ้นมาได้ ซ้ำพลังวิญญาณยังมากมายเช่นนี้ ไม่เกินสองสามปีเกรงว่าจะกลายเป็นอ๋องผีกระมัง”



สายตาของไป๋เจี๋ยช่างแหลมคมดีแท้ พูดจามาหลายประโยคเรียกว่าวิเคราะห์ได้เป็นจริงดังตาเห็นภาพเกือบทุกประโยค เสียแต่ว่าประโยคที่ผิดดันเป็นใจความสำคัญเสียได้ ข้าเป็นเพียงผู้กำจัดมารราตรีชาดและรับผลประโยชน์เป็นธาตุหยางมาหลายส่วน ใช่ว่าข้าเป็นคนกระทำการลักพาตัวผู้คนเหล่านั้นมาเสียเมื่อไรเล่า



ข้ากัดฟันอดทนรับความเจ็บปวดคล้ายถูกมีดกรีดตามวิญญาณได้อยู่ครึ่งค่อนชั่วยาม รอให้คนฟาดจนพอใจเสียก่อนค่อยคิดหนทางบอกเล่าว่ากล่าวกันอีกที เจ้าเด็กสกุลไป๋นี่ก็ช่างมือหนักดีแท้ หากฟาดแรงกว่านี้อีกสักหน่อยเกรงว่าคงได้สิ้นชื่อผีลามกเยี่ยอู๋จวินก็วันนี้



“ข้ามิได้ลักพาตัวใครมาจริงๆ แต่เป็นฝีมือของตัวต่ำช้ามารราตรีชาด” เห็นเขานิ่งเงียบข้าก็รีบร้อนอธิบาย สองมือยกชูขึ้นคล้ายว่ายอมแพ้แต่โดยดี ทั้งที่ใจจริงอยากหนีจนใจจะขาดแต่ก็มิอาจทำได้ หากรีบเผ่นหนีไปตอนนี้ ไม่แน่ว่าจะถูกคนสกุลไป๋เรียกตระกูลตนเองและเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรทั้งโลกผู้ฝึกเซียนมาตามล่าตัวข้าเสียมากกว่า หนทางการได้เป็นอ๋องผีก็คงจบอนาถลงตรงนี้เอง



“แล้วมารราตรีชาดผู้นั้นอยู่ที่ใดเล่า” สีหน้าไป๋เจี๋ยไม่มีความเชื่อถือในคำพูดข้าแม้เพียงส่วน จะปล่อยให้เขาเข้าใจผิดต่อไปย่อมมิอาจเกิดผลดี ข้าทำบาปกรรมสิ่งใดไว้กัน แต่ก่อนข้าเยี่ยอู๋จวินมิเคยต้องมาเฝ้าอธิบายความ มิเคยต้องรู้สึกตกต่ำต้องหวาดกลัวเหมือนหนูกลัวแมวเช่นนี้ มาวันนี้กลับถูกเด็กน้อยที่เคยดูแลมาสองปีข่มขู่เสียได้ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ถูกโรคกับคุณชายสกุลไป๋ผู้นี้จริงๆ



“ข้าใช้ร่างศิษย์แซ่หานของเจ้ากำจัดมันแล้ว จึงได้ธาตุหยางจากมันมาไม่น้อย แต่ทั้งดวงจิตทั้งลูกกลอนมารก็ทำลายไปเสียสิ้น หากแต่ลูกกลอนปราณของผู้ที่ถูกลักพาตัวมาข้าให้หานเฉิงรุ่ยไว้ส่งคืนสำนัก ตอนนี้เขากับคนจากยอดเขาอสูรคำรามคงอยู่ใต้ต้นท้อภูตทางทิศใต้กระมัง”



“จัดการทุกอย่างได้หมดจดเรียบร้อยเป็นอย่างยิ่ง สมเป็นเยี่ยอู๋จวินแล้ว” คำพูดเย็นชาเต็มสิบส่วนนั้นไม่รู้ว่าเป็นคำชมหรือคำประชดประชันกันแน่ ครั้นเห็นเขาเป็นอย่างนี้ข้าย่อมรู้สึกปวดใจ ปีที่อาจารย์เจิ้งรับเขาเข้าเป็นศิษย์ของยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ ไป๋เจี๋ยที่อายุเพียงสิบสองปียังเป็นเด็กขี้แย นิดหน่อยก็น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม มาตอนนี้กลับกลายเป็นก้อนน้ำแข็งบ้าเลือดไปเสียได้ แม้จะถูกฟาดไปหลายสิบแผลก็ยังรู้สึกสงสารเวทนาอยู่บ้าง หลายปีที่ผ่านมาเด็กคนนี้คงมิได้มีชีวิตที่ดีเท่าไรนัก



อันที่จริงการหวนกลับมาพบกันในรอบสิบแปดปีระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องที่รักใคร่สมานสามัคคีควรเป็นฉากอันงดงามน่าประทับใจ ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงกลายเป็นฉากนองเลือดของข้าไปเสียได้



“เช่นนั้นก็กลับไปดูหานเฉิงรุ่ย”



ไม่มีวาจาใดจะช่วยแก้ต่างเท่ากับการพิสูจน์อีกแล้ว ตัดสินใจได้ดังนั้นไป๋เจี๋ยจึงหันกลับไปมองด้านหลังเพียงเล็กน้อย บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้มีผ้าคลุมหน้าผู้นั้นก็ขยับเข้ามาในทันที ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยได้ดีเสียจนน่ามีเอาไว้ใช้งานสักคน สองมือที่ยื่นออกมา ข้างหนึ่งถือเจดีย์กักวิญญาณ ข้างหนึ่งถือโซ่ตรึงวิญญาณ ท่าทางสงบนิ่งไร้การเคลื่อนไหวเหมือนว่าที่ถืออยู่นั้นเป็นของหวานสำหรับเด็ก



“เลือกเสีย” ไม่ต้องรอให้เขาขยายความ สายตาที่บ่งบอกว่าข้าคงไม่ปล่อยให้เจ้าล่องลอยไปตามใจชอบหรอกนะก็ช่วยอธิบายได้ทุกอย่างแล้ว



ข้าเหลือบมองเจดีย์กักวิญญาณสลับกับโซ่ตรึงวิญญาณ แต่ละอย่างล้วนเป็นของดีสำหรับปราบผีร้ายทั้งสิ้น ผีที่ถูกขังอยู่เจดีย์กักวิญญาณจะถูกควบคุมการเคลื่อนไหวเหลือเพียงประสาทรับรู้บางเบาคล้ายตกอยู่ในภวังค์ หากอยู่นานเข้าย่อมเสียสติจนกลายเป็นทาสของผู้ใช้งาน ส่วนโซ่ตรึงวิญญาณก็ไม่ได้ดีกว่ากันเท่าไรนัก วิญญาณจะถูกโซ่ตรวนผูกรั้งเอาไว้ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เลี้ยง เหมาะสำหรับการใช้อาวุธปราบผีเฆี่ยนตีทรมานกันยิ่งนัก...



ข้าเยี่ยอู๋จวินเป็นผีลามกเพียงเท่านั้น ยังมิทันได้เป็นผีร้ายวิญญาณโฉดแต่อย่างใด เหตุใดจึงถูกผู้บำเพ็ญเพียรที่ใต้หล้ายกย่องให้เป็นไผ่หยกผู้บริสุทธิ์สง่างามเหนือใครปฏิบัติด้วยเยี่ยงนี้



“เลือก” น้ำเสียงของไป๋เจี๋ยเรียบเฉยจนไม่สามารถหาสิ่งใดที่เรียบเฉยกว่านี้มาเปรียบเทียบได้แล้ว ข้าเหลือบมองแส้ที่คนสามารถควบคุมและฟาดตีวิญญาณได้ดั่งใจนึก หันกลับมามองโซ่ตรึงวิญญาณทีหนึ่ง เหลือบมองเจดีย์กักวิญญาณอีกทีหนึ่ง พอเห็นหัวคิ้วคนสกุลไป๋กระตุกเข้าหากัน ก็ต้องจำใจเลือกสิ่งหนึ่งอย่างเสียไม่ได้



“โซ่ตรึงวิญญาณก็แล้วกัน”



ไป๋เจี๋ย...เจ้าช่างเป็นดาวพิฆาตของข้าผู้นี้ดีแท้



โปรดติดตามตอนต่อไป...



เชิงอรรถ

^ เหลียงเหลียงเหลียง 梁良良 แซ่เหลียง ชื่อเหลียงเหลียงแปลประมาณว่าแสนดี ดีมากๆ อารมณ์ประมาณว่าคนแซ่เหลียงผู้แสนดี

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
เป็นผีใช่สบาย

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
เป็นชนรุ่นหลังก็อย่าได้ขยันหาเรื่องมากนักเลย



คำว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเป็นอย่างไร คงจะเป็นอย่างข้าเยี่ยอู๋จวินกระมัง



ริอ่านเป็นผีมีพลังพบเจอผู้บำเพ็ญก็ว่าลำบากแล้ว พบใครไม่พบยังมาพบคนคุ้นเคยที่กลายสภาพเป็นคนเถื่อนบ้าความรุนแรง ซ้ำยังโดนเข้าใจผิดว่าเป็นมารชั่วคอยดักลักพาตัวผู้อื่น ถูกตีตรวนล่ามคอด้วยโซ่ตรึงวิญญาณยังไม่พอ ครั้นจะหาพยานหลักฐานมาแก้ต่างให้ตนเอง มาถึงใต้ต้นท้อใหญ่ต้นนั้น ทั้งหานเฉิงรุ่ยและศิษย์แซ่เส้าก็หายไปเสียแล้ว



ใบหน้างามราวหยกของสกุลไป๋ยามนี้มิต้องหันไปมองยังรู้ว่าคงทะมึนเย็นชาเพียงใด ปลายโซ่ตรึงวิญญาณที่ผูกติดกับแหวนเงินบนนิ้วมือของอีกฝ่ายถูกกระตุกแรงเสียจนผีอย่างข้าเกือบล้มหน้าทิ่ม คนเอื้อมมือไปแตะแส้ที่ม้วนเก็บไว้ข้างเอวเสียแล้ว นี่คิดจะลงทัณฑ์เฆี่ยนกันด้วยแส้กันอีกกระมัง



“...” ยังไม่ทันที่คนจะได้ลงมือก็มีคนช่วยเหลือวิญญาณผู้น่าสงสารเช่นข้าเอาไว้เสียก่อน บุรุษผู้ปิดบังหน้าตาเดินรอบต้นท้ออยู่รอบหนึ่งคล้ายสำรวจบางสิ่ง จากนั้นจึงขยับเข้ามาแตะปลายนิ้วกับหลังมือขวาของไป๋เจี๋ย เขาชี้มือไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือแล้วกล่าวถ้อยคำออกมาคำหนึ่ง “เมือง...”



คนผู้นี้ช่างไม่รู้จักอ้อมค้อมวกวน กล่าววาจาได้กระชับตรงใจความยิ่งนัก หากมิฟังให้ดีคงไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไรกันแน่ จากคำพูดนั้นตีความได้ว่าทั้งหานเฉิงรุ่ยและศิษย์แซ่เส้าผู้นั้นก็คงเดินทางไปยังเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วกระมัง ซึ่งคิดดูแล้วจากที่ข้าทิ้งร่างของศิษย์สำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์เอาไว้เมื่อย่ำรุ่งก็ผ่านไปกว่าชั่วยาม คนย่อมไม่รั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไป อดีตศิษย์น้องของข้าพยักหน้ารับคำคล้ายเห็นด้วยอยู่ไม่น้อย ก่อนจะยื่นมือไปตบบ่าของชายผู้นั้นเบาๆ พร้อมยังเอ่ยปากชม “เก่งมากเสี่ยวเจิ้น”



ได้ฟังก็รู้สึกลำบากใจแทนเสี่ยวเจิ้นตามคำเรียกขึ้นมาบ้าง รูปร่างของเขาสูงใหญ่ไล่เลี่ยกับข้าเสียด้วยซ้ำ ความสูงเรียกว่ามากกว่าไป๋เจี๋ยกว่าหนึ่งช่วงศีรษะ คนกลับมีน้ำหน้าไปเรียกเขาว่าเสี่ยวเจิ้น ต่อให้เขาจะเยาว์วัยกว่า แต่หากมองด้วยภายนอกแล้วจะไม่เป็นการฝืนทนกันเกินไปหรอกหรือ



“น้องชายผู้นี้เป็นใครกัน เป็นญาติผู้น้องของอาเจี๋ยใช่หรือไม่” ข้าเอ่ยถามคำถามที่สงสัยมาแล้วพักหนึ่ง เริ่มสนใจชายผู้ปิดบังใบหน้าราวสตรีในห้องหออยู่ไม่น้อย พอขยับตนเข้าไปใกล้คนมากขึ้น กลับถูกกระตุกปลายโซ่จนร่างถลากลับไปหาไป๋เจี๋ยเสียก่อน หน้าตาคนสกุลไป๋คราวนี้ยิ่งเย็นชาเสียจนสัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บไปถึงจิตวิญญาณ



“นี่คือเหล่ยเจิ้นยวี่[1] เป็นเด็กกำพร้าที่ข้าเก็บได้เมื่อสิบกว่าปีก่อน เขาพอใช้การได้บ้างจึงให้เป็นศิษย์นอกสำนัก เสียแต่ว่าใบหน้ามีรอยแผลเป็นอัปลักษณ์จึงต้องปิดบังเอาไว้” ไป๋เจี๋ยเรียกได้ว่ามองการณ์ไกลดียิ่ง ศิษย์นอกสำนักจึงมิจำเป็นต้องสวมใส่เครื่องแบบ ซ้ำยังสามารถรั้งตัวคนไว้ข้างกาย แต่เมื่อได้ยินว่าหมวกม่านมาลามีไว้ปิดบังความอัปลักษณ์ จากความสนใจที่พอจะมีอยู่บ้าง ก็พลันสลายหายไปทันที ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทพเซียน หรือมารปีศาจล้วนมีเกล็ดย้อนกันอยู่ทุกคน มีประโยชน์อันใดเล่าที่ข้าจะต้องไปยุ่งวุ่นวายไปจุดอ่อนของเขา



จะว่าไปการตั้งชื่อของไป๋เจี๋ยนับว่ามีปัญหาอยู่บ้าง ใครรู้ประวัติความเป็นมาของเขา คงจะเดาได้ในทันทีว่าถูกเก็บมาเลี้ยงในวันฝนตกกระหน่ำ ความทื่อมะลื่อเช่นนี้ของไผ่หยกงามแห่งโลกผู้ฝึกเซียนคงจะได้รับสืบทอดมาจากอาจารย์หญิงกระมัง



“เขานิ่งเงียบเช่นนี้ใช้ชื่อเหล่ยเจิ้นยวี่เกรงว่าคงไม่เหมาะสมอยู่บ้าง” นามเรียกตัวนั้นย่อมแสดงถึงคน ชื่อเช่นนี้เหมาะสมสำหรับผู้ที่เสียงดังโวยวายกล่าววาจาห้าวหาญมิกลัวใคร มิใช่คนที่ครึ่งค่อนวันกล่าววาจาออกมาแค่คำเดียวครึ่งเสียง “เป็นข้าคงเรียกเขาว่าหนิงเทียน[2]”



ไป๋เจี๋ยปรายตามองข้าด้วยหางตาคล้ายมองตัวโง่งมที่มิอาจโง่งมไปได้กว่านี้แล้ว “พบเจอเขาในวันฝนตกฟ้าคะนอง มิใช่วันที่ฟ้าสงบ ใช้ชื่อว่าหนิงเทียนก็คงจะผิดต่อเขาแล้ว”



ข้ารู้สึกคล้ายหมดวาจาจะว่ากล่าวบ้างแล้ว ด้านไป๋เจี๋ยแม้จะยังมีท่าทางใบหน้าเย็นชา แต่จากหัวคิ้วก็พอเดาได้ว่าคนเริ่มจะรำคาญขึ้นบ้างเหมือนกัน เขาชักกระบี่เหล็กนามธารน้ำแข็งจากข้างเอวขึ้นมาก่อนจะใช้พลังขยับไปยืนบนคมกระบี่ ด้านเหล่ยเจิ้นยวี่ก็ชักกระบี่ออกมาเช่นกัน ประกายสีเงินที่ปรากฏนอกจากจะทำให้ผีวิญญาณตาพร่ายังทำให้ข้าชะงักค้างอยู่บ้าง



“นี่มิใช่กระบี่พันหมื่นแสงดาราหรอกหรือ” ทั้งอาจารย์และศิษย์ในชุดขาวมิมีใครตอบคำถามนั้น หากต่างคนต่างบังคับกระบี่ให้เหาะเหินขึ้นอากาศมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือในทันที ส่วนผีที่โดนโซ่ตรึงวิญญาณล่ามตรวนเอาไว้กับนิ้วของคนน่ะหรือ จะมีสภาพเช่นไรได้นอกจากห้อยโหนต่องแต่งอยู่กลางอากาศปล่อยให้สายลมตีปะทะร่างวิญญาณจนหูอื้ออึงไปเสียหมด



เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้ข้าหวนคิดถึงเรื่องราวในปีนั้น ยามที่เฟยจูเชวี่ย แม่ไก่สีน้ำตาลของอาจารย์อาเหลียงเหลียงเหลียงออกไข่สีขาวมาฟองหนึ่ง อาจารย์อาเหลียงนำมามอบให้อาจารย์เจิ้งเป็นของแทนใจ หากสตรีดีงามผู้วันๆ วุ่นวายอยู่กับการให้อาหารปลาทองยักษ์ หยอกล้อผู้คนเล่น ย่อมมิสามารถเจียดเวลาไปดูแลไข่ไก่ฟองนั้นได้ สุดท้ายแล้วนางจึงโยนให้ข้าดูแลแทน



เฝ้าดูแลอยู่หลายคืนลูกเจี๊ยบสีทองเหลืองอร่ามตัวกลมก็กะเทาะเปลือกไข่ออกมาจนได้ มันเฝ้าเดินตามข้าอยู่สองวัน จนกระทั่งวันที่สามขณะที่ข้ากำลังโปรยข้าวเปลือกให้มันที่ลานฝึกบนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ เจ้าตัวเหลืองที่อาจารย์หญิงยังไม่ทันได้ตั้งชื่อก็ถูกกรงเล็บพญาอินทรีที่ญาติผู้น้องของอาจารย์อาโจวอี้กั๋วเป็นคนเลี้ยงไว้ฉกเข้าที่ลำตัว จากนั้นก็บินหายลับไปเหลือไว้เพียงข้าวเปลือกหลายชั่งที่ข้าเพิ่งเบิกมาจากคลังสำนัก



ความรู้สึกของลูกไก่ที่โดนพญาอินทรีโฉบกลับไปกินที่รังเป็นเยี่ยงไร คงเป็นอย่างข้าตอนนี้กระมัง โชคดีที่สิ้นชีพไปแล้วจึงไม่อาจตกใจตายได้อีก ห้อยโหนอยู่สักพักหนึ่งจึงรู้สึกสนุกสนานแปลกใหม่ไม่น้อย พอไป๋เจี๋ยหันกลับมาเห็นข้ามีท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใสดี ข้าก็ได้รับหางตาค้อนงามๆ จากเขาครั้งหนึ่ง จนทำให้คันหัวใจยุบยิบอย่างบอกไม่ถูก ในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรจะมีใครงามสง่าเท่าไผ่หยกแห่งสกุลไป๋อีกกัน เสียแต่ว่าหน้าตาคนบึ้งตึงไม่รู้จักยิ้มแย้ม ความงามจึงลดทอนลงไปเสียมากมาย



เดินทางด้วยกระบี่ย่อมช่วยร่นระยะเวลานับร้อยลี้ให้เหลือเพียงไม่ถึงเค่อ กระบี่ทั้งสองร่อนลงกับพื้นดินเมื่อใกล้ถึงประตูเมืองเจี้ยน ก่อนที่คนจะเก็บกระบี่เข้าฝักตามเดิม ข้าก็ลอบเหลือบมองสำรวจกระบี่ของเหล่ยเจิ้นยวี่อีกครั้ง แม้ฝักกระบี่จะไม่คุ้นตา แต่ภายในย่อมต้องเป็นพันหมื่นแสงดารา...กระบี่ที่อาจารย์หญิงตีให้ข้าเป็นแน่ คราวที่กราบอาจารย์ลาออกจากสำนัก ข้าได้มอบคืนให้นางไป มิใช่ว่าเวลานี้กระบี่เล่มนั้นควรหลับใหลอยู่ที่สุสานกระบี่บนยอดเขากระบี่ร้อยรบหรอกหรือ



ท่าทางเงียบงันไม่รู้ไม่สนใจของไป๋เจี๋ยเมื่อครู่นี้ ข้าย่อมรู้ว่าเขามิอยากพูดถึงเรื่องกระบี่พันหมื่นแสงดาราอีกต่อไป จากวันนั้นถึงวันนี้ท้องทะเลกลายเป็นท้องนา ผู้คนย่อมแปรเปลี่ยนไปพร้อมกับความลับที่มิอยากเอ่ยถึงที่เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ในเมื่อคนไม่อยากพูดก็ช่างเขาเถิด ข้าเยี่ยอู๋จวินมิเคยต้องบังคับขู่เข็ญใคร ในเมื่อยังมีวิธีอีกมากมายให้คนปริปากได้มิใช่หรือ โอกาสนี้ไม่ได้ใช่ว่าโอกาสหน้าจะไม่มี ยามนี้เรื่องของหานเฉิงรุ่ยมิใช่สำคัญกว่าหรือ



บุรุษในเครื่องแบบสกุลทั้งสองเดินเข้าประตูเมืองพร้อมกับลากวิญญาณของข้าไปตามถนนหนทาง โชคอันดีแล้วที่เมืองเจี้ยนแม้จะเป็นทางผ่านแต่ก็มิใช่เมืองที่มีผู้ฝึกเซียนอยู่ครึกครื้น มิเช่นนั้นปรมาจารย์วังวสันต์เช่นข้าต้องมาถูกพบในสภาพถูกล่ามคอลากจูงเช่นนี้ ถึงจะหน้าด้านไร้ยางอายเพียงใด อย่างไรก็ต้องมีความรู้สึกหดหู่อยู่บ้าง



การตามหาศิษย์จากสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ทั้งสองคนเรียกได้ว่าลำบากอยู่ไม่น้อย ไป๋เจี๋ยเดินตรงเข้าไปที่จวนเจ้าเมือง สืบความอยู่ครึ่งชั่วยามก็มิได้เรื่องราวอะไร นอกเสียจากว่าช่วงนี้มีสัตว์อสูรอาละวาดอยู่ทางชายป่าทิศใต้ ดูท่าอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับทั้งสองคนนั้น เห็นทีจะไม่ได้ความ เหล่าตระกูลใหญ่จะทำงานใดก็ล้วนเข้าตามตรอกออกตามประตู ไม่รู้จักลัดเลี้ยวหาทางลัด เรื่องราวแบบนี้ถามหลงจู๊ในโรงเตี๊ยมอาจจะได้รู้เรื่องราวมากกว่าเสียอีก



ไป๋เจี๋ยได้ยินความคิดเห็นนี้แล้ว แม้จะไม่ค่อยยินดียินร้ายเท่าใด แต่ก็ยังมุ่งหน้าไปยังย่านโรงเตี๊ยมผ่านในเมือง ลูกศิษย์ของเขาโยนหินก้อนกลมลงบนพื้น ปล่อยให้หินกลิ้งเสี่ยงทายหาคนไปตามทาง จนกระทั่งหยุดลงที่หน้าโรงเตี๊ยมขนาดกลาง ไม่หรูหราจนเกินไป ไม่ทรุดโทรมจนเกินไป เหมาะสมแก่การสืบหาข่าวคราวอยู่ไม่น้อย



“ท่านเซียนแซ่หานกับแซ่เส้าหรือ” หน้าตาจืดชืดคล้ายตัวประกอบฉากทั่วไปของหลงจู๊มีท่าทางครุ่นคิดอยู่ไม่น้อย เกรงว่ากับข้าวสองจาน ชาหนึ่งกาคงจะไม่เพียงพอสำหรับจะเปิดปากคนเสียแล้ว ถ้าให้ดีควรสั่งสุราสักสองสามไห เสียแต่ว่าคนสกุลไป๋ไม่นิยมร่ำสุรานารี ไป๋เจี๋ยเหลือบมองข้าที่มนุษย์ธรรมดามองไม่เห็นราวกับว่าล่วงรู้ความคิดของข้า จากนั้นควักถุงเงินออกมายัดใส่มือหลงจู๊ถุงหนึ่ง เพียงเท่านั้นสมองก็ทำงานปากก็เปิดวาจาขึ้นมาทันที



“คล้ายว่าพบเห็นอยู่เมื่อสองสามยามก่อนนี่เอง ทั้งสองท่านสั่งอาหารจนเต็มโต๊ะ ดื่มกินกันอยู่เต็มที่ พอได้ยินว่านอกเมืองทางทิศมีสัตว์อสูรระดับสูงอาละวาด จึงเสนอตัวไปจัดการสัตว์อสูรและช่วยเหลือชาวบ้านที่โดยจับตัวไป”



หานเฉิงรุ่ยช่างเป็นวีรบุรุษในฝันของสตรีในห้องหอดีแท้ ปราบปรามคนชั่ว อภิบาลคนดี ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก สภาพของพวกเขาเพิ่งรอดพ้นจากมารราตรีชาดมาได้ก็เตรียมตัวหาเคราะห์ภัยใหม่เสียแล้ว ดีงามเช่นนี้สมควรเรียกว่าตัวซวยขยันสรรหาเรื่องใช่หรือไม่ ซื่อบื้อไม่ทันคนเช่นนี้เกรงว่าสักวันหนึ่งจะต้องตกหลุมพรางคนเลวเข้าเป็นแน่



“ท่านทั้งสองตามหาเซียนแซ่หานอยู่หรือ” บุรุษในชุดสีเข้มโต๊ะไม่ไกลนักหันกลับมาเมื่อได้ยินหลงจู๊พูดถึงหานเฉิงรุ่ย ท่าทางเป็นมิตรยิ้มแย้มแจ่มใส ดูแล้วลักษณะคล้ายพวกจอมยุทธหรือคนจากสำนักคุ้มภัยในละแวกนี้ พอเห็นไป๋เจี๋ยมีสีหน้านิ่งเฉยก็เหิมเกริมถึงขั้นยกเก้าอี้มานั่งร่วมโต๊ะ “ข้าน้อยหูสุนเป็นคนสำนักคุ้มภัยในเมืองนี้ เพิ่งพาเซียนแซ่หานและสหายไปส่งใกล้จุดที่สัตว์อสูรอาละวาดนี่เอง หากท่านสนใจ ข้าน้อยย่อมนำทางไปได้”



เพียงไม่ทันใดก็มีคนเสนอตัวมาจนได้ เกรงว่าเมื่อครู่นี้เหล่าศิษย์รุ่นเล็กของสำนักบรรพตสวรรค์ก็คงได้ยินเรื่องราวประมาณนี้เช่นกัน หานเฉิงรุ่ยจะต้องสมองทึบถึงเพียงไหนจึงได้เชื่อใจรับข้อเสนอจากคนเช่นนี้ ด้านคนสกุลไป๋ที่คงคาดเดาเหตุการณ์ได้ จึงควักถุงเงินอีกถุงออกมาจากอกเสื้อส่งให้หูสุนทำทีเป็นตกหลุมพราง กระทั่งสีหน้ายังไม่เปลี่ยนเลยสักนิด ไม่รู้ว่าป่านนี้ในใจคนบัญชีแค้นยาวไปแค่ไหนแล้ว



เหล่ยเจิ้นยวี่จัดการอาหารทั้งหมดบนโต๊ะเสร็จด้วยท่าทางเรียบร้อยสง่างามด้วยระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ ขบวนของผู้บำเพ็ญเพียรในชุดคลุมสีขาวก็เดินตามคนจากสำนักคุ้มกันภัยแซ่หูเดินออกจากประตูทิศใต้ของเมืองเจี้ยน เดินเข้าไปสักสิบกว่าลี้ก็พบเจอป่าทึบแห่งหนึ่ง ยิ่งก้าวเดินมากขึ้นเท่าไร ต้นไม้รอบข้างยิ่งรกชัฏมากขึ้นทุกที พร้อมกับที่หูสุนเริ่มเพิ่มความเร็วจังหวะย่างก้าวมากขึ้น ซ้ำยังเดินอย่างสลับซับซ้อน เดี๋ยวเดินไปทางซ้ายทีขวาที กลัวคนไม่รู้หรือว่ากำลังหลอกล่อวางกับดักให้พวกข้าเข้าไปในเขตอาคมพรางตาที่ถูกวางเอาไว้แล้ว



สัตว์อสูรอาละวาดอันใดเล่า เกรงว่าจะเป็นลูกไม้เบี่ยงเบนความสนใจของใครเข้าแล้ว ใช้ข้ออ้างสัตว์อสูรออกอาละวาดจับชาวบ้านคนหาของป่าไปกิน สักพักหนึ่งพอมีกลุ่มคนรวมตัวกันมาปราบสัตว์อสูร กลุ่มคนเหล่านั้นก็สูญหายกันไปอีก จนเหลือเพียงไม่กี่คนออกมาบอกเล่าประสบการณ์เฉียดตาย ดูลักษณะแล้วนี่ไม่ใช่เล่ห์กลประเภทเดียวกับมารราตรีชาดหรอกหรือ แค่แนบเนียนกว่าและไม่ทำการโจ่งแจ้งจนเป็นที่ดึงดูดของเหล่าผู้ฝึกเซียนเพียงเท่านั้น



“ข้าแยกกับท่านเซียนแซ่หานและแซ่เส้าตรงนี้เอง” หูสุนขยับยิ้มซื่อตามบทชาวบ้านทั่วไป แล้วค่อยค้อมกายลงเล็กน้อยเหมือนว่าจะบอกลา คนสกุลไป๋เหลือบมองเล็กน้อยก่อนจะมองตรงไปยังทิศใต้ แม้จะมีกลิ่นอายสัตว์อสูรระดับสูงบางเบา แต่หากตรงไปเบื้องหน้าสิ่งที่พบเจออาจมิใช่เพียงแค่สัตว์อสูรกระมัง



สองร่างในชุดคลุมสีขาวลายไผ่มงคลเดินพ้นบุรุษในชุดสีครามได้ไม่เท่าไร ดวงตาทั้งคู่ของหูสุนก็เป็นประกายวาววาบสีดำเข้ม คนคว้าอาวุธลับที่เกรงว่าจะเป็นเข็มพิษออกมาแล้วซัดไปทางไป๋เจี๋ยและเหล่ยเจิ้นยวี่ในทันที ข้าเห็นดังนั้นจึงยกมือขึ้นสะบัดพลังหยินสกัดเข็มพิษเอาไว้ เสียแต่ว่าโซ่ตรึงวิญญาณทำให้พลังหายไปหลายส่วน จึงทำได้เพียงให้เข็มพิษลอยเบี่ยงเปลี่ยนทิศไปทางอื่น โชคดีที่หูสุนเป็นเพียงมารชั้นต่ำจึงมิทันได้สังเกตการมีอยู่ของข้า ส่วนศิษย์อาจารย์คู่นั้นกลับควักกระบี่ออกมาแล้วทั้งคู่



“ยังมิทันไรก็โผล่หางออกมาแล้วหรือ” ไป๋เจี๋ยหัวเราะเสียงต่ำในลำคอ นัยน์ตาคู่งามเย็นชาเสียยิ่งกว่าเดิม มือจับกระบี่คล้ายเตรียมตั้งท่าพร้อมรบแล้ว ส่วนวิญญาณที่ใช้พลังได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยอย่างข้าน่ะหรือ เสียใจด้วย เจ้าจงยืนมองอยู่ตรงนี้เถิด ถูกมนต์ตรึงที่จากคนแซ่ไป๋ไปเรียบร้อยแล้ว



หูสุนหัวเราะหยันเป็นการตอบกลับ “นึกไม่ถึงว่าสกุลไป๋จะสืบสาวเรื่องราวมาได้ถึงขนาดนี้”



เปล่าเลย...สกุลไป๋ไม่ได้สืบสาวเรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่เจ้านั่นแหละที่โง่งมเอาตัวมาข้องเกี่ยวกับผู้คน ทั้งหมดไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือวาสนากันแน่ ไม่ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังของเหตุการณ์สัตว์อสูรอาละวาดที่ทิศใต้เมืองเจี้ยนจะเป็นอย่างไร แต่สกุลไป๋คราวนี้ได้รับผลประโยชน์ไปเต็มๆ แล้ว



จากนั้นเป็นการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายโดยมีข้าปรมาจารย์วังวสันต์ยืนมองอย่างใกล้ชิด หูสุนคว้าดาบที่ข้างเอวออกมาแล้วฟาดฟันร่ายรำเพลงดาบที่เต็มไปด้วยลูกล่อลูกชนเพลงหนึ่ง กลิ่นอายดำมืดของมารที่ปกปิดไว้คราวนี้กลับแผ่กระจายไปทั่ว ส่วนไป๋เจี๋ยสะบัดข้อมือรับเพลงดาบสลับกับขยับเบี่ยงตัวหลบได้โดยไม่เปลืองแรงสักนิด ครั้นเห็นว่าอีกฝ่ายแทบมิใช้เรี่ยวแรงต่อสู้ ซ้ำเหล่ยเจิ้นยวี่ยังว่างงานเพียงยืนดูจึงเกิดโทสะขึ้นมาบ้างแล้ว หูสุนผิวปากครั้งหนึ่งร่างมารอีกสี่ตนก็ปรากฏขึ้นโดยรอบ คราวนี้เจ้าหนูแซ่เหล่ยคงไม่สามารถอยู่นิ่งได้แล้ว



กระบี่พันหมื่นแสงดาราฟาดฟันครั้งใด แสงสีเงินคล้ายแสงดาวตกก็ส่องประกายจากคมกระบี่ในทุกครั้ง อาจารย์หญิงกล่าวว่านางใช้หินดาวตกหลายก้อนสกัดออกมาได้ธาตุประหลาดคล้ายเหล็กจึงนำมาตีกระบี่ให้ข้า แต่ก่อนนั้นมองเห็นแสงเจิดจ้าบาดตาทีไรข้าก็นึกรำคาญอยู่มาก แต่พอคราวนี้มานั่งดูเพลงกระบี่ฝีมือของเหล่ยเจิ้นยวี่ก็พบว่าเป็นภาพที่งดงามอลังการตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อย เกรงว่าด้วยสาเหตุนี้ทำให้หลังประลองกระบี่กับศิษย์จากยอดเขาอื่นถึงได้มีศิษย์น้องศิษย์พี่หญิงมากมายเข้ามาพูดคุยส่งมอบของแทนใจให้ข้ากระมัง



ฝีมือของเหล่ยเจิ้นยวี่นับว่าไม่เสียทีที่มีอาจารย์จากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ คนลงมือได้อย่างโหดเหี้ยมโจมตีแต่เพียงจุดตาย เพียงไม่นานมารที่มาสมทบก็ล้มลงร่างหนึ่ง ส่วนอีกสองร่างที่เหลือจะรับมือกับเขาก็นับว่าตึงมืออยู่มาก หูสุนเห็นดังนั้นจึงกัดฟันใช้นิ้วกดขย้ำไปที่ตำแหน่งหัวใจของตนเอง คงจะเป็นวิชาลับกระตุ้นพลังบางอย่างของทางฝั่งมารเป็นแน่ เพียงชั่วพริบตาไอมารเข้มข้นก็แพร่พุ่งออกมา กล้ามเนื้อทั่วร่างขยายขนาดขึ้นจนเห็นเส้นเอ็นและเส้นเลือดมองดูแล้วคล้ายใกล้จะปริแตก ซ้ำความเร็วยังเพิ่มขึ้นมาเป็นหลายเท่า



ไป๋เจี๋ยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวจึงเสียจังหวะไปเล็กน้อย มารชั่วเห็นดังนั้นจึงสะบัดคมดาบถาโถมแรงทั้งหมดที่มีใส่คนสกุลไป๋ หากแต่ความเร็วก็ยังมิสู้เหล่ยเจิ้นยวี่ที่ถลาตัวเข้ามาขวางแนวดาบเอาไว้ ร่างสูงกำยำดันร่างของอาจารย์ไปด้านหลังของตนเอง กระบี่พันหมื่นแสงดาราถูกยกขึ้นกันพลังมารก่อนจะเกิดแรงสะท้อนมหาศาลกลับไปยังหูสุน ร่างมารกระเด็นไปหลายจั้งจนกระแทกกับต้นไม้ต้นหนึ่ง ส่วนคนแซ่เหล่ยมิรู้ว่าได้รับบาดเจ็บภายในเช่นใดบ้าง หากแต่เสื้อผ้าของเขาบางส่วนขาดหลุดรุ่ย ซ้ำหมวกม่านมาลาสีขาวยังอยู่ในสภาพขาดหมิ่นเหม่เกือบจะร่วงลงมาอยู่ทุกเมื่อ



เห็นดังนั้นข้าก็คาดเดาบางอย่างได้บ้างแล้ว ไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดอันใดที่บริสุทธิ์ใจเสียไปทั้งหมด แม้ไป๋เจี๋ยจะรู้จักวางตัวเว้นระยะห่าง แม้คนแซ่เหล่ยจะมองว่าอีกฝ่ายมีบุญคุณในฐานะอาจารย์ผู้ชุบเลี้ยง แต่จากท่าทางปกป้องจนเกินพอดีนั่นมิได้หมายความว่าเบื้องลึกภายในจิตใจของเขากำลังคิดไม่ซื่อกับอาจารย์ตนเองหรอกหรือ ข้ามิเชื่อหรอกว่าในจิตใจของเขาจะไม่มีคนสกุลไป๋แม้แต่ส่วน



หากข้าต้องการหลบหนีจากทั้งคู่ย่อมไม่เป็นการง่าย จากอากัปกิริยาเย็นชาที่อดีตศิษย์น้องมีให้ข้า เกรงว่าเรื่องราวในหนหลังจะยกมาอย่างไรก็มิอาจทำให้คนใจอ่อนยอมปล่อยข้าไปได้ ทัพของไผ่หยกแห่งสกุลไป๋ช่างตีแตกได้ยากเย็นยิ่งนัก หากลำบากเช่นนั้นไยมิตีทัพเหล่ยเจิ้นยวี่ที่อ่อนกำลังกว่าก่อนเล่า ครั้นสะสมกำลังพลให้พร้อมรบแล้วค่อยวกกลับไปโจมตีไป๋เจี๋ยก็ใช่ว่าจะไม่สายเกินไปนัก



มารที่ยังเหลือรอดชีวิตอยู่ยามนี้ถูกคมกระบี่ของคนแซ่ไป๋สังหารจนหมดสิ้น เหลือเพียงหูสุนที่นอนหายใจรวยรินอยู่ใต้ต้นไม้ ดวงตาสีดำเข้มทอประกายโกรธแค้นจนหยดเลือดไหลรินออกมา



“พวกเจ้าอย่าได้ใจไปเลย” หูสุนกระอักโลหิตสีดำออกมาหนึ่งคำ เกรงว่ามารผู้นี้คงสมองมิได้ฉลาดเฉลียวเท่าใดนัก ขนาดถึงปลายทางของชีวิตยังจะมีเวลามาเพ้อพร่ำบอกตัวตนหัวหน้าของตนเองอีก ลูกน้องแบบนี้ใช้การไม่ได้แล้ว “พวกเจ้าทำร้ายข้า กำจัดมารราตรีชาด มารทิวาม่วงย่อมมิปล่อยให้พวกเจ้ามีชีวิตอีกต่อไปแน่”



พูดข่มขู่ได้จบคำ กระบี่ธารน้ำแข็งของไป๋เจี๋ยก็แทงซ้ำเข้าที่ตำแหน่งหัวใจ แววตาคนชุดขาวฉายแววรำคาญใจเล็กน้อย คงเพราะหูสุนเปิดปากพล่ามมากจนเกินไปเป็นแน่แท้ คนผู้นี้ยิ่งโตก็ยิ่งใจร้อน ขัดกับท่าทางเย็นชาที่แสดงออกมายิ่งนัก



เป้าหมายต่อไปคงมิพ้นมารทิวาม่วงตามที่หูสุนได้กล่าวเอาไว้ ในเขตอาคมพรางตาแห่งนี้ต้องมีสักแห่งเป็นที่เก็บซ่อนตัวของมันเป็นแน่ พอเก็บกวาดเป็นอันเรียบร้อย ศิษย์และอาจารย์หันกลับมาสนใจข้าที่ถูกตรึงวิญญาณเอาไว้อีกครั้ง ขณะที่เหล่ยเจิ้นยวี่ปลดมนต์ออกนั้นมิรู้ว่าด้วยสาเหตุอันใดกลับมีลมสายหนึ่งพัดผ่านมา ทำเอาหมวกสีขาวที่สภาพจวนเจียนจะพังเต็มทีจากการรับคมดาบแทนไป๋เจี๋ยเมื่อครู่ปลิวร่วงหล่นลงกับพื้น ใบหน้าที่อาจารย์ของเขาเรียกว่าอัปลักษณ์มิอาจให้ผู้คนมองเห็นได้จึงปรากฏขึ้นในสายตา



เบื้องหลังหมวกม่านมาลาสีขาวสะอาดตา มิได้มีแผลเป็นใหญ่โตแต่อันใด กลับเป็นผิวเรียบสะอาดสะอ้านของเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดสิบแปด ดวงหน้านี้มิอาจเรียกได้ว่าอัปลักษณ์ รูปหน้าเรียวคมจนเห็นทั้งรูปคางและสันกรามที่เด่นชัด สันจมูกเรียวตรงได้รูป คิ้วกระบี่ที่เฉียงขึ้นเข้มหนาทั้งยาวจนเกือบจรดไรผม ส่วนโดดเด่นที่สุดคงไม่พ้นดวงตาเรียวคมกริบราวพญาเหยี่ยว หากจัดอันดับชายงามรุ่นเยาว์เขาย่อมเอาชนะหานเฉิงรุ่ยจนติดอันดับหนึ่งได้อย่างแน่นอน



หากแต่ปัญหาเดียวเท่านั้นที่ปรากฏ เพียงแค่ปัญหาเดียว...



ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเหล่ยเจิ้นยวี่...มิใช่ว่าคล้ายคลึงกับข้าไปแทบทุกส่วนหรอกหรือ



โปรดติดตามตอนต่อไป...


เชิงอรรถ

[1]^ 雷阵雨 เหล่ยเจิ้นยวี่ แปลว่าฝนตกฟ้าคะนองชนิดมีฟ้าแลบฟ้าร้อง
[2]^ 宁天 หนิงเทียน แปลว่า ฟ้าสงบ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด