พิมพ์หน้านี้ - [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 28 คห. 108 [P.4, 20-12-2020]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 25-09-2019 00:31:31

หัวข้อ: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 28 คห. 108 [P.4, 20-12-2020]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 25-09-2019 00:31:31
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! [บทที่ 1, 25-9-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 25-09-2019 00:34:16
บทที่ 1 ตายใต้ดอกโบตั๋น ข้าเป็นผี ข้าไม่สำราญ[1]



อยู่ดีไม่ว่าดี...ข้าก็ตายเสียแล้ว



ตายภายใต้ดอกโบตั๋นงดงามที่บานสะพรั่งพร้อมกันสามร้อยนาง ช่างเป็นการตายอันคาวโลกีย์สมเกียรติสมศักดิ์ศรีของเยี่ยอู๋จวิน ผู้มีสมญานามว่าปรมาจารย์วังวสันต์ดีแท้



เรื่องสาเหตุการตายของข้านั้น อันที่จริงก็ไม่รู้ว่าจะไปกล่าวโทษใครดี เหตุเกิดขึ้นเพราะความเข้าใจผิดของฮ่องเต้หน้าโง่นั่นแท้ๆ แรกเริ่มคงต้องเล่าย้อนก่อนว่าตัวข้าแท้จริงแล้วเป็นบุตรชายคนโตจากสกุลเยี่ยอันยิ่งใหญ่ในโลกผู้ฝึกวิชาบำเพ็ญเพียร หากผู้อื่นในใต้หล้าต่างรู้จักคุณชายเยี่ยอู๋จวินว่าเป็นอัจฉริยะตัวบัดซบ หลงใหลสุรานารีจนถึงขั้นหันหน้าฝึกวิชามารนอกรีต ใช้สตรีเป็นเตาหลอมเพื่อดูดพลังหยินแทนการบำเพ็ญเพียรเพื่อเพิ่มพลังฝึกปรือ



พูดไปแล้วก็น่าหัวร่อ วิชาวสันต์เริงร่าที่ข้าค้นพบขณะลักลอบอ่านหนังสือวังวสันต์เล่มหนึ่งเมื่อตอนสิบห้าปีนั้นใช่ว่าจะเป็นวิชานอกรีตที่ใช้พลังหยินอย่างเดียวเสียเมื่อไร หากมีความลับอย่างหนึ่งที่ข้าเก็บซ่อนเอาไว้มิให้คนภายนอกได้รับรู้ เรื่องที่ว่าเคล็ดวิชานี้จะต้องรักษาสมดุลหยินหยางให้ดีถึงจะสามารถก่อกำเนิดพลังวัตรที่แข็งแกร่งและมีคุณภาพเหมาะสมแก่การใช้งาน



กล่าวง่ายๆ คือหากข้าหลับนอนกับสตรีสามนาง ข้าต้องหลับนอนกับบุรุษอีกผู้หนึ่งเพื่อถ่วงดุลหยินหยาง ส่วนที่ว่าเหตุใดสัดส่วนจึงเป็นสามต่อหนึ่งนั้น เป็นเพราะว่าข้าเป็นบุรุษอยู่แล้วถือว่าหยางมากหยินน้อย สัดส่วนนี้จึงพอดียิ่ง หากเป็นสตรีฝึกวิชาเดียวกับข้าก็ย่อมต้องกลับกันเป็นหยางสามหยินหนึ่งแทน แต่เกรงว่าแม่นางที่ดีงามฝึกวิชานี้คงจะไม่เหมาะสมเท่าไรนักหรอก



ข้านั้นแท้จริงแล้วไม่ได้ชอบตัดแขนเสื้อ แต่นิยมชมชอบสตรีเป็นอย่างยิ่ง แม่นางที่เอวบางก็ดี แม่นางที่สะโพกผึ่งผายก็ดี แม่นางที่หน้าอกอวบอิ่มยิ่งดี หากชีวิตก็เป็นเช่นนี้ เมื่อริใช้หนทางลัดเพื่อฝึกวิชาเป็นเทพเซียน บางครั้งก็ต้องฝืนทนเพื่อผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่เสียบ้าง แต่ถ้าเป็นหนุ่มน้อยหน้ามนเรือนร่างอ้อนแอ้น อาจจะฝืนทนน้อยลงนิดหน่อย อา...ข้ายอมรับก็ได้ว่าออกจะหรรษาไม่ใช่น้อย



ใครใช้ให้โอรสสวรรค์เป็นชายหนุ่มหน้าหยก ดวงตาหงส์งดงาม ขนตาเป็นแพยาว รูปร่างเพรียวบางกำลังดีกันเล่า อีกอย่างมิใช่แค่ลักษณะหน้าตาถูกต้องตรงใจข้าเพียงเท่านั้น ไอหยางจากร่างเขายังนับเป็นพลังชั้นดี หากพลีกายให้ข้าซวงซิวสักคืนย่อมสามารถทดแทนการหลับนอนกับบุรุษได้หลายคน หากเขาติดใจพลีกายให้ข้าสักสามเดือนครึ่งปี ย่อมทำให้พลังฝึกปรือของข้าก้าวหน้าพุ่งพรวด จากไม่เกินสามปี คงกลายเป็นไม่ถึงปี ข้าที่ฝึกปรือวิชานอกรีตโดยละเว้นจิตมารคงเหาะเหินขึ้นสวรรค์กลายเป็นเทพเซียนได้



รัชศกสุ่ยเต๋อปีที่สิบสองฝนแล้งนัก ข้าจึงใช้ชื่อตระกูลเยี่ยอันเกรียงไกรเข้าไปเป็นราชครูให้คำปรึกษาอยู่ข้างกายจักรพรรดิอยู่ครึ่งค่อนปี ใช้พลังเล็กน้อยช่วยเขาเรียกลมเรียกฝนกำจัดภัยแล้งอันแสนทุกข์ยากของราษฎร จวบจนถึงฤดูเก็บเกี่ยวนั่นล่ะ ฮ่องเต้ออกปากขอบใจข้าและจะมอบรางวัลให้เป็นอย่างงาม



ข้าหลงกระหยิ่มยิ้มย่องคิดว่าเขาคงใช้กายตอบแทน หากรางวัลพระราชทานงดงามดียิ่งกลับมิใช่กายงามดั่งหยกของโอรสสวรรค์ ข้าถูกฮ่องเต้วางยาปลุกกำหนัดในสุราแล้วส่งตัวเข้าไปในหมู่นางกำนัลถึงสามร้อยนาง คนเอ่ยปากว่าเสพสมไม่ครบไม่ต้องออกมา มิหนำซ้ำพอยาใกล้หมดฤทธิ์ก็ให้คนจุดกำยานปลุกกำหนัดเพิ่มเพื่อหวังให้ข้าหลับนอนกับบุปผางามนับสามร้อยจริงๆ



แม้ร่างกายข้าจะสามารถต้านพิษได้หลากหลายชนิด แต่ยาปลุกกำหนัดวรุณคลั่งรักวสันต์รัญจวนใจของวังหลวงนับว่าแข็งแกร่งยิ่งนัก ยิ่งผสมสุราชั้นดีเข้าไปยิ่งออกฤทธิ์จนข้านึกว่าตนเองเป็นม้าศึกคึกคะนอง แท่งหยกของข้าถูกหมู่มวลบุปผาครอบครองอยู่เจ็ดวันเจ็ดคืน ที่จริงพลังฝึกปรือเช่นข้าไม่กินดื่มครึ่งปีย่อมยังมีชีวิตอยู่ได้ หากวันที่แปดก็กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะธาตุไฟเข้าแทรกขาดใจตายท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเหล่านางกำนัลสามร้อยนาง ด้วยเหตุว่าร่างกายหยางพร่องเพราะดูดซับไอหยินจากสตรีมากเกินไป



มาก! เกิน! ไป!



ฝึกปรือเคล็ดวิชามาสิบเก้าปี จากที่อีกสามปีจะได้โบยบินเป็นเซียน บุรุษผู้ขึ้นชื่อว่าปรมาจารย์วังวสันต์ผู้เชี่ยวชาญกามาราคะยิ่งกว่าใครกลับขาดใจตายภายใต้ดงสตรี ใจหนึ่งก็อับอาย แต่อีกใจก็คิดว่าช่างตายสมกับเป็นข้ายิ่งนัก มิรู้ว่าเรื่องราวของข้าจะเล่าขานไปอย่างไรบ้าง ด้านหนึ่งคงทำให้เหล่าชายฉกรรจ์ในใต้หล้าอิจฉาริษยา อีกด้านคงเป็นบทเรียนให้ผู้คนได้รู้ว่าฝักใฝ่ตัณหามากไปก็ไม่ใช่เรื่องดี



เมื่อตายแล้วข้าเฝ้ามองเหตุการณ์ในวังหลังเฝ้ารอยมทูตหน้าดำหน้าขาวเฮยไป๋อู๋ฉางมารับไปยมโลก รอได้สักครึ่งก้านธูปก็ไม่เห็นว่าสองคนนั้นจะมาสักที กอปรกับเห็นภาพชวนสลดเบื้องหน้าพักนึงก็ไม่อยากมองอีกต่อไปแล้ว โดยเฉพาะใบหน้าหล่อเหลาของตนเองที่ทั้งซีดเซียวทั้งเปรอะเปื้อนรอยเลือดยิ่งไม่น่ามองเข้าไปใหญ่ ตั้งแต่เล็กยันโตจนถึงวัยสวมกวานข้าเฝ้าดูแลทั้งหน้าตาและรูปลักษณ์ภายนอกของตนเองเป็นอย่างดี เจอภาพแบบนี้เข้าไปย่อมทำใจไม่ได้



มนุษย์ไม่นึกถึงความตาย เมื่อไม่ถึงยามตาย ยามนี้ข้าตายแล้วนอกจากนึกเจ็บใจที่ฝึกเคล็ดวิชาไม่ทันได้สำเร็จดั่งใจฝัน ก็พลันนึกถึงใบหน้าของมารดาขึ้นมา ในโลกหล้านี้จะมีใครรักและห่วงใยข้าเท่านางกันเหล่า ข้าที่ใครว่าเลวชั่วช้ามั่วโลกีย์ นางยังอ้าแขนกางปีกปกป้องได้อยู่เนิ่นนานจนข้าทนมิไหวมิอาจอยู่ในตระกูลให้เสื่อมเสียเกียรติมารดา ตอนนี้ข้าซึ่งเป็นบุตรชายคนโตจากบุตรทั้งสามที่นางรักถนอมเป็นที่สุดกลับตายกลายเป็นผี มิรู้ว่านางจะร้องไห้เศร้าโศกเสียใจปานใด



หวนคิดมารดาเพียงชั่วครู่ เมื่อรู้ตัวอีกครั้ง คราวนี้ข้ามิได้อยู่ในตำหนักในวังหลวงอีกต่อไปแล้ว เบื้องหน้าของข้าคือเตียงไม้สี่เสาแกะสลักสวยงาม บนเตียงมีเงาร่างของชายหญิงคู่หนึ่งนอนเคียงข้าง โชคดีเป็นอย่างยิ่งที่นกยวนยางคู่นี้มิได้กำลังเปลือยกายกอดรัดกันแต่อย่างใด ถึงข้าจะเชี่ยวชาญเรื่องพิรุณหลั่งวสันต์โปรยเพียงใด คงมิอาจทำใจเห็นภาพยามบิดามารดาร่วมหลับนอนกันได้...



เหยียนโหรว มารดายังงดงามเหมือนในภาพทรงจำวัยเด็กของข้าไม่มีผิด แม้จะอายุใกล้หกสิบปีแต่ด้วยการบำเพ็ญเพียรทำให้ผิวพรรณของนางยังเรียบเนียนคล้ายดรุณีวัยไม่เกินยี่สิบ กระทั่งยามหลับฝันท่าทางยังคงสูงส่งเรียบร้อย ริมฝีปากบางยังขยับเป็นรอยยิ้มเบาบาง เพียงแค่มองข้าก็ปวดร้าวไปทั่วหัวใจ แต่เมื่อหันไปมองชายที่นอนเคียงข้างก็ยิ่งปวดใจกว่าเดิม



ผู้นำตระกูลเยี่ยที่ยามปรกติวางท่าขึงขัง บัดนี้นอนเบียดชิดภรรยารองสองแขนก่ายนางคล้ายกลัวว่าจะถูกคนทอดทิ้ง หน้าตาที่คล้ายคลึงข้าอยู่หกส่วน แต่ทั้งหางคิ้ว หางตาและมุมปากล้วนตกห้อยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก มองแล้วเหลาะแหละอ่อนแอยิ่งนัก ข้าอยากรู้นักว่าบุรุษปวกเปียกดีแต่กะล่อนเจ้าชู้ไปวันๆ พลังฝึกปรือไม่คืบหน้ามายี่สิบปีเช่นเขามีดีอะไรถึงแต่งสุดยอดห้าดุรณีในสมัยนั้นมาเป็นภรรยาและอนุได้



ข้าเห็นใบหน้ายิ้มหวานชวนน่าขนลุกของบิดาก็นึกสงสัยขึ้นมาว่าคนหลับฝันอะไรอยู่กันแน่ พอชะโงกหน้าเข้าไปมองก็กลายเป็นว่าเข้าไปอยู่ในความฝันของเขาเสียแล้ว ภาพที่เห็นทำให้บุตรชายคนโตที่ออกนอกตระกูลไปแล้วเช่นข้า มิรู้ว่าควรจะเอื้อนเอ่ยวาจาใดดี



ในห้วงฝันนั้นข้าเห็นคนผู้หนึ่งหน้าตาเหมือนข้าวางท่างดงามสูงสง่าคล้ายคุณชายตระกูลบัณฑิตนั่งอยู่ท่ามกลางดรุณีวัยแรกแย้มหน้าตางดงามดั่งนางฟ้านางสวรรค์ถึงห้าคน ใบหน้าแม้ยิ้มแย้มสงบนิ่งรักษาอาการ หากแขนซ้ายโอบที่เอวสตรีนางหนึ่ง แขนขวาโอบที่บ่าสตรีอีกนาง สตรีอีกสองนางนั่งอยู่กับพื้นเบื้องล่างคอยนวดขาแช่เท้าให้กับเขา เบื้องหลังยังมีอีกคนคอยป้อนผลไม้ให้เขา



ใบหน้านั้นย่อมเป็นใบหน้าข้ามิผิด แม่นางทางด้านซ้ายคงเป็นฮูหยินรองหรือมารดาข้าในวัยสาว ส่วนทางด้านขวาคือเยี่ยฮูหยินผู้เป็นมารดาใหญ่ของข้าเป็นแน่ ที่ป้อนผลไม้คงเป็นท่านน้าฮูหยินสาม และที่นั่งอยู่กับพื้นคงไม่พ้นเป็นท่านน้าอนุสี่และท่านน้าอนุห้า



กลางค่ำกลางคืนบิดาฝันเห็นตนเองเป็นบุรุษผู้องอาจ มีเหล่าภรรยาปรนนิบัติพัดวี ทั้งที่ความจริงสกุลเยี่ยยั่งยืนทุกวันนี้ได้เพราะมีภรรยาและอนุเกื้อหนุนดูแล มิหนำซ้ำยังใช้ใบหน้าข้ามาลวนลามมารดา...คนจะไร้ยางอายเกินไปแล้ว!



ข้าสะบัดฝ่ามือไปหนึ่งครั้งเหล่าแม่นางทั้งห้าก็สลายหายไปเป็นหมอกควัน เยี่ยหย่งฟางมีสีหน้างุนงงอยู่ไม่น้อย ครู่หนึ่งคนก็เพิ่งตระหนักได้ถึงการมีอยู่ของข้า ใบหน้าที่เหมือนข้าทั้งสิบส่วนคราวนี้กลับฉายแววตระหนกตกใจ นิ้วชี้มาที่ข้าด้วยเสียงสั่นเครือ “เจ้า...เจ้าลูกทรพี แม้แต่ในฝันจะยังมาหลอกหลอนข้าอีกหรือ! ”



ข้าแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม ยิ่งเห็นเขาใช้ใบหน้าของข้าแสดงท่าทางหวาดกลัวเหมือนหนูเจอแมวก็ยิ่งรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาทุกที ข้าปราดเข้าไปยืนเบื้องหน้าเขา ใช้สองแขนกดลงบนบ่าของบิดาด้วยท่าทางอันเปี่ยมไปด้วยรักยิ่ง “ย่อมเป็นลูกอกตัญญูผู้นี้เอง มิยักทราบว่าท่านตอนหนุ่มๆ หน้าตาเหมือนข้าถึงเพียงนี้”



“เพราะ...เพราะอู๋เกอหน้าตาดีเหมือนพ่อต่างหากเล่า” จากลูกทรพี ข้าได้เลื่อนขั้นเป็นอู๋เกอในทันใด ครั้นพูดจบใบหน้านั้นก็ซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม เห็นแล้วหงุดหงิดใจยิ่งนัก แม้เป็นในฝันแต่ข้าคงมิสามารถปล่อยให้เขาใช้ใบหน้าของข้ากระทำเรื่องยวนยางกับเหล่ามารดาทั้งห้าได้ จึงใช้ฝ่ามือขึ้นลูบตามผิวแก้ม ไม่นานก็ปรากฏชายวัยใกล้เคียงกับข้า แต่ยังคงมีหางคิ้วตกท่าทางอมทุกข์ คล้ายคลึงกับตาแก่หัวขาวที่นอนหลับอยู่ในโลกความจริงไม่น้อย



“บิดาฟังข้าให้ดี” ข้ารีบเข้าประเด็นก่อนที่จะเสียเวลากับคนน่าตายไปมากกว่าเดิม น้ำเสียงช่างโหดร้ายสมกับเป็นลูกอกตัญญูแห่งยุคจริงๆ “ข้าได้รับพลังหยินมากเกินไป จึงตายไปเสียแล้ว แต่ยังมีห่วงหนึ่งที่อยากให้ท่านเป็นธุระจัดการให้เสียหน่อย”



“เจ้าตายแล้วหรือ...อู๋เกอตายแล้วหรือ” ประโยคแรกคล้ายงุนงง แต่ประโยคหลังปิดความยินดีไม่มิดทีเดียว มิพบเจอกันหลายปี มิรู้ว่าสมองของเขามีปัญหาหรือเปล่า บัดนี้ถึงได้กลายเป็นคนพูดจาอะไรซ้ำซ้อนเช่นนี้ ข้ากดฝ่ามือย้ำลงไปบนบ่าหนักๆ อีกครั้ง เตือนให้คนหยุดพูดเสียก่อนที่ข้าจะเกิดอารมณ์โมโหขึ้นมา



“ข้าตายแล้วตอนนี้เป็นเพียงแค่วิญญาณ แต่มีสิ่งหนึ่งที่อยากขอร้องท่านในฐานะบิดาให้ช่วยเหลือเสียหน่อย เวลานี้เฮยไป๋อู๋ฉางยังไม่มารับตัวข้า หากท่านเผากระดาษเงินกระดาษทอง จุดธูปเทียนเผากำยานให้มากหน่อย ไม่แน่ว่าน่าจะขอร้องให้ข้าอยู่ในโลกนี้ฝึกวิชาต่อได้อีกสองสามปี ยังมีโอกาสได้ฝึกปรือจนกลายเป็นอ๋องผีก็เป็นได้” ข้าร่ายความคิดที่อยู่ในสมองออกมา ฝึกวิชามาจนใกล้เหาะเหินขึ้นสวรรค์เช่นนี้จะให้ข้าเข้าสู่วัฏสงสารเพื่อเริ่มใหม่ในชาติหน้าก็เสียเวลาโดยแท้ แต่ถ้าได้อยู่บนโลกต่ออาจพอมีวิธีต่อชีวิตตนเองได้ ต่อให้เป็นแค่ผีหรือมารไม่ได้เป็นเทพเซียน อย่างน้อยที่ผ่านมาก็ไม่สูญเปล่าแล้ว



“เหอะ เรื่องอะไรข้าจะต้องช่วยเหลือเจ้าเล่า แค่เจ้าเกิดมาก็ยื้อแย่งความรักของโหรวโหร่วจากข้าไปหมดแล้ว โตมายังฝึกวิชานอกรีตมั่วโลกีย์จนชื่อเสียงตระกูลฉ่าวโฉ่ไปหมด” ปากพูดแบบนั้นแต่แววตากลับฉายแววอิจฉาริษยาอย่างเต็มที่ วาจาที่กล่าวมาจากคนกะล่อนเจ้าชู้หลายใจผู้นี้ย่อมเชื่อถือไม่ได้อยู่แล้ว



“เช่นนั้นท่านก็เลือกดูเถิด ระหว่างช่วยเหลือข้าเพื่อเป็นกุศลหรือจะให้ข้ามาเข้าฝันหลอกหลอนท่านทุกวันทุกคืนให้ท่านไม่ได้หลับไม่ได้นอน จะไปหลับนอนกับใครก็มิได้” คราวนี้ข้าตีหน้าเหี้ยมขู่จริงจังเสียยิ่งกว่าเดิม ตอนที่กำลังควักไส้ตนเองออกมานั้น เยี่ยหย่งฟางก็กล่าวด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักขึ้นมาทันที



“ติดสินบนยมทูตใช้เงินไม่น้อย ไม่รู้ว่าต้องเผากระดาษ...”



“เงินส่วนใหญ่ในตระกูลมิใช่ว่ามาจากร้านค้าของมารดาหรอกหรือ” ข้ากล่าวตัดบทพร้อมกับเหวี่ยงไส้ในมือตนเองเล่น ภรรยารองของสกุลเยี่ยมาจากตระกูลคหบดีที่ร่ำรวยของทางใต้ ความรับผิดชอบทางด้านการเงินล้วนมีนางเป็นผู้ดูแล ทั้งยังมีตั๋วเงินมากมายที่ข้าได้มาจากการขายหนังสือวังวสันต์เคล็ดลับกามารมณ์ที่ข้าเป็นผู้เขียนคอยส่งให้นางทุกเดือน บิดาที่ไม่ได้รักใคร่อะไรข้ามากมายจะไม่ช่วยเหลือข้าก็แล้วไปเถิด แต่มารดาข้าย่อมยินดี



คิดได้ดังนี้ก็รู้สึกว่าตนเองมิควรมาเสียเวลากับบิดาเลยจริงๆ ข้าหันหลังกลับหวังจะไปเข้าฝันมารดา แต่กลับได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลังเสียก่อน



“อู๋เกอ...” บิดาเรียกเสียงอ่อยคงรู้แล้วว่าข้าหมดวาจาจะกล่าวกับเขาจริงๆ ครู่หนึ่งข้ารู้สึกคล้ายว่าเยี่ยหย่งฟางมีน้ำเสียงอ่อนโยนเป็นห่วงเป็นใยข้าอย่างยิ่ง “เรื่องที่เจ้าขอบิดาจะช่วยเจ้าเอง เจ้าฝึกวิชาพลาดหรือถึงได้รับพลังหยินมากไป สรุปแล้วเจ้าเป็นอะไรตายกันแน่”



ข้าถอดถอนใจก่อนจะตอบอย่างเสียไม่ได้ “สุ่ยเต๋อฮ่องเต้วางยาปลุกกำหนัดข้าแล้วโยนเข้าไปในตำหนักที่มีบุปผาสามร้อยนาง ข้าร่วมสังวาสอยู่เจ็ดวันถึงได้ตาย”



“สนมสามร้อยนาง...สนมสามร้อยนาง” เยี่ยหย่งฟางผู้หลงใหลในสตรีพึมพำด้วยน้ำเสียงชวนน่าขนลุก ฉับพลันข้าเริ่มเห็นหมอกควันรวมตัวกันเป็นสตรีมากหน้าหลายตาขยับคืบคลานเข้าไปหาร่างของบิดา เพียงเท่านี้ข้าก็ทนมองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว



จากนี้ไปหากมีใครด่าว่าเยี่ยอู๋จวินมีจิตฝักใฝ่โลกีย์ ข้าจะไปหลอกหลอนมันให้ผมบนศีรษะร่วงโกร๋นจนสิ้น ข้าปรมาจารย์วังวสันต์หลับนอนกับสตรีเพื่อฝึกวิชา...ส่วนบิดาข้าเป็นตัวบ้าตัณหาอย่างแท้จริง



โปรดติดตามตอนต่อไป...


**************************


[1] ล้อสำนวน ตายใต้ดอกโบตั๋น เป็นผีก็สำราญ มีความหมายว่าต่อให้ถูกหญิงงามทำร้ายจนตายก็ยังยินดี ตายเป็นผีก็ยังคงเจ้าชู้สำราญ เปรียบหญิงงามเป็นดอกโบตั๋น



ซินเอ๋อร์: 

เรื่องนี้เป็นนิยายที่เขียนขึ้นแก้เครียด ไม่มีพล็อต ไม่มีโครง ใช้ความลามกเป็นตัวนำนะคะ แต่จะพยายามเขียนออกมาให้ดีที่สุดค่ะ ยังไงฝากเยี่ยอู๋จวินไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ

ขอบคุณค่ะ พบกันใหม่ตอนหน้าน้าา


หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 1 [25-9-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 25-09-2019 15:38:06
บทที่ 2 ท่านอย่าได้เสียใจไป หากใช้เงินให้ถูกที่ มิว่าสิ่งใดก็ซื้อได้



ครั้นออกมาจากความฝันสยิวของเยี่ยหย่งฟางก็เห็นท่าทางคนละเมอยิ้มหวานมือเริ่มลวนลามมารดา ด้วยความขวางหูขวางตาข้าซึ่งเป็นลูกทรพีจึงซัดฝ่ามืออันเปี่ยมไปด้วยพลังหยินใส่เขาสักที พอเห็นใบหน้าบิดาแสดงท่าทางอึดอัดดูไม่ได้ก็สบายใจขึ้นมาบ้าง ข้าค้อมกายคำนับขออนุญาตร่างหลับใหลของมารดาก่อนจะย่างก้าวเข้าไปในห้วงฝันของนาง



คนชั่วช้าย่อมมีห้วงฝันอันชั่วช้า คนดีงามย่อมมีความฝันที่ดีงาม...วาจานี้กล่าวได้ถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง ห้วงฝันของภรรยารองสกุลเยี่ยคือฤดูใบไม้ผลิในปีหนึ่ง มารดาของข้าในวัยสาวนั่งอยู่บนม้านั่งหินอ่อนที่ศาลากลางสวน สองมือโอบอุ้มเด็กน้อยวัยไม่เกินห้าขวบที่คล้ายก้อนซาลาเปาขาวอวบ ดวงตาดั่งเมล็ดซิ่งหลุบลงต่ำ ริมฝีปากแย้มยิ้มอ่อนหวานงดงามยิ่งนัก



“อู๋เกอเด็กดี...เหตุใดจึงโตเร็วยิ่งนัก อยู่เป็นเพื่อนเล่นกับแม่นานๆ มิได้หรือ” นางเอื้อมมือไปหยิกแก้มซาลาเปาทั้งสองข้างของอู๋เกอตัวจิ๋ว หยิกแล้วก็ยังไม่หนำใจจนต้องก้มลงไปหอมแก้มนิ่มอีกหลายครั้งจนใบหน้าน้อยแดงก่ำ เด็กน้อยผู้นั้นดิ้นขลุกขลักพร้อมกับหัวเราะเสียงใสคล้ายชอบใจ ฝ่ามือขาวเล็กโอบรอบคอเล็กของนางขยับกายไปอิงแอบแนบชิดด้วยความวางใจเป็นอย่างยิ่ง



“อู๋เกอจะไม่ไปไหน อู๋เกอย่อมอยู่กับท่านแม่ตลอดไป” เสียงเล็กตอบด้วยความใสซื่อยิ่งนัก ข้าฟังแล้วรู้สึกหัวใจหนักอึ้งอยู่ไม่น้อย มิรู้ว่ากี่สิบปีแล้วที่ข้ามิได้เอ่ยปากเรียกท่านแม่ หากแต่เรียกมารดาดั่งเช่นคุณชายตระกูลใหญ่คนอื่นๆ ในห้วงฝันมักปรากฏความต้องการในเบื้องลึกของตนเองออกมา เฉกเช่นบิดาที่ฝันเห็นสตรีน้อยใหญ่ปรนนิบัติเขามิห่าง ส่วนมารดาต้องการให้ข้าเป็นเด็กน้อยเรียกนางว่าท่านแม่เพียงเท่านั้น



“ฮึ เจ้าเด็กปากหวานจอมหลอกลวง เติบใหญ่แล้วเจ้าก็ระหกระเหินเที่ยวเล่นหยอกล้อสตรีไปทั่ว ไม่มีสองตามาแลมารดาแก่เฒ่าที่บ้านแล้ว” น้ำเสียงของเหยียนโหรวในวัยยี่สิบห้าทั้งตัดพ้อทั้งกระเง้ากระงอด หากวาจานี้คล้ายผิดแผกจากความเป็นจริงอยู่บ้าง เมื่อข้าอายุห้าขวบกว่ามารดาก็ให้กำเนิดน้องชายคนรอง ปีต่อมาให้กำเนิดน้องสาวอีกคน เด็กทั้งสองร่างกายอ่อนแอและงอแงยิ่งนัก สองข้างกายนางมีเด็กหญิงเด็กชายคอยรบกวนอยู่ตลอด ทำให้ยิ่งเติบใหญ่ข้าก็ยิ่งเหินห่างกับผู้ให้กำเนิดขึ้นทุกที



เมื่ออายุสิบสามข้าถูกส่งเข้าสำนักเซียนแห่งหนึ่งจึงห่างเหินจากมารดายิ่งกว่าเดิม ครั้นอายุสิบหกข้าก็ออกจากบ้านไปเฟ้นหาวิธีฝึกปรือตามเคล็ดวิชา แรกเริ่มยังกลับบ้านทุกสิ้นปี หากพออายุยี่สิบสี่ชื่อเสียงเหม็นโฉ่ของข้าก็เลื่องลือไปทั่วทุกตระกูลผู้บำเพ็ญเพียร สุดท้ายจึงออกจากตระกูลไปเพราะมิอยากให้ชื่อเสียงดีงามของมารดาต้องหม่นหมอง วันนี้แม้มิได้รู้สึกถึงอารมณ์รักลึกซึ้งระหว่างบุตรและมารดา แต่ความรู้สึกรักเอ็นดูที่นางเคยมอบให้ข้ายังจดจำได้ไม่น้อย



ถึงจะผีแต่ฤทธิ์วิชาของข้ายังคงใช้งานได้อยู่บ้าง ข้าผิวปากแผ่วเบาเรียกให้เยี่ยอู๋จวินตัวน้อยปีนลงจากตักของมารดา พอเห็นเขาทำท่าจะออกไปเล่นต่อในสวน สตรีผู้นั้นก็ก้มหน้ากล่าวเบาๆ ว่า “อย่าเล่นซนเกินไปเล่า หากเหนื่อยแล้วก็กลับมาหาแม่นะ” ข้ารอจนเขาวิ่งเตาะแตะหายไปจนลับสายตาสักพักหนึ่ง ข้าจึงเดินสวนไปทางที่เขาจากมาเห็นมารดากำลังก้มหน้าปักเสื้อเด็กอยู่



“กลับมาแล้วหรือ อู๋เกอสนุกหรือไม่” นางเงยหน้าขึ้นขยับยิ้มกว้างให้กับอู๋เกอที่เติบใหญ่เป็นบุรุษเต็มตัวแล้ว ร่างของชายวัยสามสิบสี่ปีคุกเข่าทรุดนั่งอยู่กับพื้นแทบเท้า ข้าโอบกอดสองขาของนางเอาไว้ เกยคางตนลงบนตักนิ่มด้วยท่าทางออดอ้อนเหมือนเด็กคนหนึ่ง มารดาเห็นท่าทางของข้าจึงงานปักในมือลง คนลูบศีรษะปลอบโยนอย่างแผ่วเบา “เล่นซนมากไปจนเหนื่อยแล้วล่ะสิ อู๋เกอพักก่อนแล้วค่อยไปเที่ยวเล่นต่อนะ”



“ท่านแม่...” ข้าเอ่ยวาจาด้วยเสียงหวานตามที่นางอยากได้ยิน ด้วยรู้ว่าสตรีล้วนชอบความอ่อนหวานยิ่งนัก ก่อนจะกล่าวความจริงในประโยคถัดมา “อู๋เกอของท่านคงมิอาจเที่ยวเล่นได้อีกต่อไป ข้าตายเสียแล้ว”



“...” เหยียนโหรวในวัยสาวนิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหัวเราะอย่างแผ่วเบา แต่มือที่ลูบศีรษะข้าอยู่นั้นสั่นไหวอยู่บ้าง กระทั่งวาจายังสั่นเครือ “อู๋เกอล้อแม่เล่นแล้ว เจ้าแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นจะตายได้เยี่ยงไร”



“เป็นลูกเองที่อกตัญญูต่อท่านแม่ วันนี้ข้าธาตุไฟเข้าแทรกขาดใจตายไปเสียแล้ว ทำได้เพียงเข้าฝันมาบอกท่านเท่านั้น” ข้าเงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อยแต่ไม่อาจสบสายตากับนางได้เพราะความรู้สึกอึดอัดบางอย่างในใจ สิ้นประโยคนั้นใบหน้าของก็เปียกชื้นด้วยหยดน้ำตาราวไข่มุกที่ร่วงหล่นลงมา มารดาผู้ให้กำเนิดหลั่งน้ำตาได้งดงามราวกับดอกสาลี่ยามต้องฝนฤดูใบไม้ผลิ สองมือของนางประคองสองแก้มข้าแล้วลูบไล้เบามือ



“อู๋เกอ...” นางร้องไห้สะอึกสะอื้นจนไม่เหลือมาดของฮูหยินรองสกุลเยี่ยที่งดงามสูงส่งอีกต่อไป อันที่จริงท่าทางเช่นนี้ของนางข้าก็มิเคยเห็นมาก่อนเช่นกัน เหยียนโหรวทรุดตัวลงกับพื้นแล้วโอบกอดข้าเอาไว้แน่นหนาเหมือนครั้งที่ข้าเป็นเด็กอีกครั้ง ข้านิ่งชะงักไปเล็กน้อย แม้เคยปลอบสตรีมามากมาย แต่พอถึงคราวมารดาตนก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี สุดท้ายแล้วจึงได้แต่ยกมือขึ้นตบหลังปลอบนางเบาๆ



“ท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ข้าคิดวิธียืดเวลาไปปรโลกได้อยู่วิธีหนึ่ง” เมื่อได้ยินดังนั้นมารดาก็คลายความเศร้าโศกลงได้บ้าง ดวงตาที่ยังเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำมองข้าด้วยสายตางุนงงยิ่ง ข้าจึงอธิบายแผนการติดสินบนเฮยไป๋อู๋ฉางเหมือนที่บอกกล่าวกับบิดาให้นางฟังอีกครั้ง ยิ่งได้ฟังเท่าไรนางก็ยิ่งเบิกตากว้างขึ้นเรื่อยๆ



“ต้องเผามากมายเพียงใดกันจึงจะรั้งเอาไว้ได้สักสามสี่ปี” ถึงจะหลั่งน้ำตาอย่างเงียบงัน แต่มารดากลับมีสีหน้าครุ่นคิดเหมือนปรกติขึ้นมาแล้ว เช่นนี้หัวใจที่หนักอึ้งของข้าจึงเบาลงมาได้สักหน่อย



“หากรบกวนเงินสกุลเยี่ยมากเกินไปคงไม่ดี มิรู้ว่าเงินทองที่ข้าส่งให้ท่านทุกเดือนป่านนี้มีเท่าใด สามารถดึงเงินส่วนนั้นมาใช้ได้บ้างหรือไม่” ถึงเหินห่างและมิทำหน้าที่บุตรได้ไม่ดีนัก แต่ข้าก็ยังคอยส่งเงินมาไม่ขาด คงเป็นความรับผิดชอบอย่างหนึ่งที่จุดด่างพร้อยในตระกูลเซียนเช่นข้าจะสามารถทำได้



“เงินที่ส่งมาแม่เก็บเอาไว้ไม่เคยใช้แม้แต่อีแปะเดียว ตรวจนับเมื่อเดือนก่อนมีอยู่แปดหมื่นตำลึงทองได้” ข้าย่อมรู้ว่าเขียนหนังสือวังวสันต์นั้นรายได้ดี แต่มิยักรู้ว่าหลายปีที่คอยส่งเงินกลับบ้านจะเป็นเงินจำนวนมหาศาลปานนี้ พอเห็นข้านิ่งเงียบไปบ้างมารดาจึงรีบกล่าวสำทับ “อู๋เกอไม่ต้องกังวล เงินจากร้านค้าและกิจการของแม่ยังมีอยู่มากมายนัก ต่อให้เจ้าจะกลายเป็นอ๋องผีหรือเป็นมาร แม่ก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือเจ้าอย่างแน่นอน”



“พระคุณของท่านข้าจะไม่ลืมเลือน”



เหยียนโหรวในวัยสาวไม่ตอบรับคำพูดของข้า นางเพียงจับจ้องใบหน้าข้าด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกและรอยยิ้มอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง ปลายนิ้วของนางลากไปตามข้างแก้มของข้าเบาๆ ครู่หนึ่งก็รู้สึกคล้ายทั้งโลกสั่นไหว ข้ากลับมายืนอยู่ที่ข้างเตียงสี่เสาอีกครั้ง ส่วนมารดาในวัยห้าสิบกว่าปีผุดลุกขึ้นนั่งด้วยใบหน้าที่ยังอาบไปด้วยหยดน้ำตา



มารดาร่ำไห้เสียใจคงต้องปล่อยให้คนปวกเปียกแซ่เยี่ยเป็นผู้ปลอบใจ ส่วนเหตุการณ์ต่อจากนั้นข้าก็ไม่อยากมองอีกต่อไปแล้ว ยิ่งเห็นผู้คนคุ้นเคยร้องไห้ให้กับการจากไป ข้าก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจขึ้นทุกที หนึ่งคงเพราะข้ายังมิได้จากไปไหน ยังมิได้ไปเดินเล่นที่น้ำพุเหลือง สองคงเพราะไม่คิดว่าตัวสารเลวเช่นข้าจะยังมีใครเสียใจกับการจากไปอีกหรือ



ข้าไปหลบตัวอยู่ในภูเขาแห่งหนึ่งที่มิไกลจากบ้านสกุลเยี่ยนัก แม้เห็นความเป็นไปห่างๆ แต่ไม่ได้รับรู้รายละเอียดถึงขั้นว่าสกุลเยี่ยส่งคนไปรับข้าจากวังหลวงของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ ทั้งยังจัดพิธีฝังศพข้าในสุสานประจำตระกูลตามฐานะดั้งเดิมของข้าอย่างใหญ่โตไม่น้อยหน้าใคร นอกจากมารดาแล้วยังมีคนอื่นที่สูญเสียน้ำตาให้ข้ามากมายและมีคนหัวเราะสะใจในหายนะของข้าอยู่ไม่น้อยเช่นกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ข้ารู้ก็คือบิดามารดาได้จัดการตามคำสั่งเสียของข้าได้ดียิ่ง



เริ่มแรกข้าเห็นควันจากเตาไฟในเรือนพักของมารดาที่พุ่งพวยตลอดเวลานับตั้งแต่นางลืมตาตื่นจากห้วงฝันครั้งนั้น วันต่อมาเห็นว่าตำแหน่งควันย้ายไปที่สวนสกุลเยี่ย คนเผากระดาษเงินกระดาษทองจุดธูปเทียนทั้งวันทั้งคืนมิได้หยุดได้หย่อน หลังจากพิธีฝังศพของข้าได้สามวันกลุ่มควันก็แผ่ขยายไปทั่วเมืองจนคล้ายปกคลุมด้วยหมอกควัน อีกเจ็ดวันเริ่มมีชาวบ้านรวมตัวมาเคาะประตูร้องทุกข์ว่าเดือดร้อนเพราะควันไฟจากตระกูลเซียนที่มิรู้ว่าจะเผาสิ่งใดได้ทั้งวัน ผู้คนรอบข้างต่างใช้ชีวิตลำบากแล้ว



เมื่อได้รับคำร้องทุกข์เช่นนั้นสกุลเยี่ยที่เป็นสกุลผู้บำเพ็ญเพียรชื่อดังย่อมมิสามารถปล่อยให้ประชาชนเดือดร้อน ข้าลอบเข้าไปสังเกตการณ์ก็พบว่ามารดาได้สั่งให้คนย้ายสถานที่ก่อวินาศกรรมเผาสิ่งของติดสินบนยมทูตไปยังอารามร้างที่ห่างไกลจากผู้คนแห่งหนึ่ง



หลายวันมานี้ที่กลายสภาพเป็นผีเร่ร่อนชั่วคราว ข้ามิเคยได้รับข่าวคราวจากเฮยไป๋อู๋ฉางแม้แต่น้อย ระหว่างนั้นข้าที่ไม่มีงานการสิ่งใดทำจึงได้ไปเดินเล่นในสุสานประจำเมือง พูดคุยกับบรรดาวิญญาณผีบรรพบุรุษจากตระกูลต่างๆ เดินหมากร้องบทละครพูดคุยเรื่องวังวสันต์ตามประสาผู้ว่างงาน ก็ได้ยินข่าวลือจากเหล่าวิญญาณที่ยังคงวนเวียนในภพนี้ว่ากระดาษเงินกระดาษทองและธูปเทียนกำยานสำหรับจุดบูชาขาดตลาดเป็นอย่างมาก มิใช่เพียงแค่ในละแวกนี้เพียงเท่านั้น หากแต่เหนือจรดใต้แม้แต่แคว้นใกล้เคียง สกุลเยี่ยยังสั่งให้คนไปกวาดซื้อข้าวของจนหมด...นี่คล้ายว่าข้าจะสร้างเรื่องขึ้นมาอีกแล้ว



สกุลเยี่ยเผากระดาษเงินกระดาษทองธูปเทียนกำยานอยู่เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน ข้าก็คิดว่าควรแก่เวลาแล้ว พอไปเข้าฝันมารดานางจึงบอกว่าเตรียมข้าวของไว้มากมายยังเผาไม่หมดจึงขอยืดเวลาออกไปก่อน จวบจนเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดวัน...เผากันจนเขม่าจับพระพุทธรูปและอารามร้างแห่งนั้นกลายเป็นสีดำสนิทมองแล้วดุดันน่ากลัวยิ่ง เบื้องหน้าของข้าที่กำลังนั่งฟังเรื่องราวรักใคร่ของชนรุ่นหลังจากผู้เฒ่าสกุลลู่ก็ปรากฏชายสองคนในชุดขาวดำ



ผีสกุลลู่เห็นเฮยไป๋อู๋ฉางก็รีบเผ่นหนีทันที เพราะกลัวว่าจะถึงเวลาหมดสัญญาหมดหน้าที่ผีประจำตระกูลและถูกเอาตัวไปปรโลก ข้าเงยหน้าขึ้นมองยมทูตทั้งสองด้วยความกังวลอยู่หลายส่วน แต่พอเห็นใบหน้าอิ่มเอิบไปด้วยสินบนของทั้งคู่ก็รู้สึกวางใจจนสามารถขยับยิ้มกว้างออกมาได้ ทั้งสองมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนยมทูตชุดดำจะเป็นผู้เริ่มเอ่ยวาจา



“เผามากมายขนาดนั้นคงพอได้แล้วกระมังเยี่ยอู๋จวิน” ปากบอกแบบนั้นแต่ใบหน้าเฉยชากลับสดใสส่องประกายราวหยกมันแพะ ข้าที่มีอำนาจต่อรองน้อยกว่าจึงได้แต่หัวเราะแห้งๆ อันที่จริงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทางที่บ้านจัดการติดสินบนไปเท่าไรกันแน่ แต่หากถึงขั้นเฮยอู๋ฉางเอ่ยปากว่าพอได้แล้วก็คงจะไม่เล็กน้อยจนน่าเกลียดเป็นแน่



“พวกข้าสองคนได้ปรึกษาเรื่องนี้กับท่านยมบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” คำพูดของไป๋อู๋ฉางแปลง่ายๆ ว่าสินบนที่เจ้าส่งไปตอนนี้พวกข้าเอาไปแบ่งกันเรียบร้อย แต่ผีที่ดีเช่นข้าย่อมมิเปิดเผยคำพูดนั้นออกมา ได้แต่พยักหน้ารับฟังอย่างว่าง่าย “เจ็ดปี...ปรโลกจะให้เจ้าเป็นผีเร่ร่อนได้เจ็ดปีโดยที่ไม่มีใครมาตามล่าตัวเจ้าไปชดใช้บุญกรรมหรือเข้าวัฏสงสาร”



ได้ยินคำกล่าวดังนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของข้าก็กว้างขึ้นกว่าเดิม ตอนแรกคิดว่าคงยืดเวลาได้อย่างเก่งไม่เกินสามปี ใครจะรู้เล่าว่าผลของการทุ่มทุนจากสกุลเยี่ยทำให้ข้ายังสามารถอยู่ในภพนี้ได้นานกว่าเดิมมากนัก ข้าค้อมกายคำนับยมทูตทั้งสองเป็นการขอบพระคุณ ตอนที่กำลังคิดว่าจะว่ากล่าวสิ่งใดดี ยมทูตชุดดำก็สั่งสอนวิธีการเป็นผีที่ดีให้ข้าอยู่หลายข้อ



ข้อแรกคือในช่วงเจ็ดปีนี้มิต้องให้ใครเผาสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว ถึงจะสามารถติดสินบนปรโลกได้ แต่มากไปก็เป็นการแทรกแซงความเป็นตายกันเสียเปล่าๆ หากสวรรค์ตรวจพบเข้าจะเป็นการสร้างปัญหาเสียมากกว่า มิหนำซ้ำจะเดือดร้อนกันไปทั่ว มีเงินเป็นเรื่องดี แต่อย่างไรก็ควรจะใช้เงินให้ถูกที่ถูกทาง



ข้อสองเป็นเรื่องการระมัดระวังผู้บำเพ็ญเพียร ผู้ฝึกผี และนักพรตทั้งหลาย หากเผลอทำวิญญาณแตกซ่านเป็นเศษเสี้ยว เกรงว่าหนทางจะเข้าสู่วัฏสงสารก็คงจะยากแล้ว และหากไปทำสัญญากับใครเข้า แม้ว่าจะคงสภาพวิญญาณได้เกินเจ็ดปี แต่นานวันเข้ามีแต่จะกลายเป็นวิญญาณทาส สุดท้ายแล้วก็มิสามารถมีสมองนึกคิดเป็นของตนเองได้



ข้อสามเฮยอู๋ฉางกล่าวถึงการฝึกตน หากจะเป็นอ๋องผีมิจำเป็นต้องหากายเนื้อมาทดแทน เมื่อพลังแข็งแกร่งถึงสูงสุดย่อมกายเนื้อของอ๋องผีจะปรากฏขึ้นมาเอง หากจะสิงร่างใครก็อย่าเลือกคนที่พลังหยางสูงมากนัก เพราะจะเป็นการทำร้ายทั้งตนเองและแก่นวิญญาณผู้เป็นเจ้าของร่าง ควรหยิบยืมสิงร่างชั่วคราว มิควรยึดร่างมาเป็นของตน สาเหตุนั้นสัมพันธ์กับข้อที่สี่



ข้อสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือการระวังพฤติกรรมมิให้สร้างบาปจนเกินไปนัก แม้ตอนนี้ปรโลกยังไม่นำตัวกลับไป ใช่ว่าบาปบุญจะถูกเมินเฉยแต่อย่างใด หากข้าก่อกรรมทำเข็ญเข่นฆ่าคนจนเกิดจิตมาร แต่ยังมิทันกลายสภาพเป็นมารภายในเจ็ดปี เมื่อไปพบท่านยมบาลย่อมต้องได้รับโทษทัณฑ์ที่หนักหนากว่าเดิม ทางที่ดีเป็นผีที่สร้างกุศลช่วยเหลือคนเป็นก็จะดีไม่ใช่น้อย



“ถือว่าคนกันเอง ข้าจะตักเตือนเจ้าอีกอย่างหนึ่ง” ข้าฟังแล้วก็คิดขึ้นได้ว่าหากเงินถึงก็สามารถเป็นคนกันเองกับเฮยไป๋อู๋ฉางได้เหมือนกัน แต่ทางที่ดีเก็บปากเก็บคำไว้ดีกว่า “เจ้าอย่าได้ไปเที่ยวเข้าฝันคนเป็นบ่อยนัก ยิ่งถ้าไปเข้าฝันคนที่มีจิตผูกพันกับเจ้ามากเข้า อาจทำให้คนเกิดหลงทาง บำเพ็ญเพียรไม่สำเร็จได้”



แต่ไหนแต่ไรข้าเยี่ยอู๋จวินมิเคยใช่คนโง่เขลา ได้ยินคำดังนั้นย่อมรู้ว่าเขาหมายถึงการเข้าฝันมารดา ยิ่งข้าพบเจอนางบ่อยเท่าใดจะยิ่งเป็นการขัดขวางการเป็นเทพเซียนของนางเปล่าๆ ข้าคำนับขอบคุณยมทูตทั้งสองจากใจจริงพลางจดจำคำเตือนต่างๆ จนขึ้นใจ เฮยไป๋อู๋ฉางจึงวางใจ ปล่อยให้วิญญาณร่ำรวยเช่นข้าอยู่ในโลกได้ต่อไป



รอจนประตูยมโลกเปิดขึ้น เฮยไป๋อู๋ฉางหวนกลับสู่พิภพของตน ข้าจึงทดลองโคจรพลังอีกครั้งเพื่อตรวจสอบพลังฝึกปรือที่ยังเหลือฝังอยู่ในจิตวิญญาณ แม้ว่าพลังจะหายไปสองส่วนเพราะปราศจากร่างกายแต่ก็นับว่าไม่เลวนัก มิหนำซ้ำก่อนตายข้าได้พลังหยินจากบุปผาสามร้อยนางจนเกิดพิกัด หากยังฝึกฝนด้วยมรรคาเดิมย่อมเพื่อเปลี่ยนสภาพให้ตนเองเป็นอ๋องผี คงต้องใช้พลังหยางอยู่มากเพื่อมาเติมเต็มส่วนที่ขาดสมดุล เกรงว่าจากวันนี้เยี่ยอู๋จวินคงมิจำเป็นต้องซวงซิวกับสตรีอีกต่อไปแล้ว



ข้าเหม่อมองทิวทัศน์บ้านเกิดแล้วถอดถอนหายใจอีกครั้ง ข้าคงจะไปเข้าฝันบอกกล่าวมารดาและบอกลานางสักครั้ง จากนี้ไปคงต้องหาสถานที่สักแห่ง หาผู้คนดวงตกที่ชีวิตมีปัญหาสักคนที่จะสามารถหลับนอนกับบุรุษได้ หากข้าสามารถช่วยเหลือชีวิตเขาได้ก็ดี หากคนงามยินยอมให้ซวงซิวได้ยิ่งดีไปใหญ่ เพราะถือเป็นการสร้างกุศลต่อวิญญาณข้าทั้งสิ้น



นับจากนี้เป็นต้นไป...หนทางการเป็นผีลามกเพื่อเปลี่ยนสภาพเป็นอ๋องผีผู้เกรียงไกรของข้าก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว



โปรดติดตามตอนต่อไป...


*********************
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 2 [25-9-19]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-09-2019 16:02:45
 :katai2-1:
 o13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 2 [25-9-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 26-09-2019 00:00:36
บทที่ 3 ถ้าเจ้าคึกได้แค่นั้น อย่าริเรียกตนว่านักรักเลย



“ดีหรือไม่ย่าเอ๋อร์” เสียงแหบแห้งจากร่างยักษ์ที่ทาบทับอยู่ด้านบนเอ่ยถามพร้อมใบหน้าเหยเกคล้ายสุขสมยิ่ง ครั้นได้ยินคนงามใต้ร่างครวญครางหอบหายใจกระเซ่าคนก็ยิ่งกระทั้นกายเข้าไปดุดันหนักหน่วงเสียจนทั้งเตียงโยกคลอน มิหนำซ้ำยังกระทำการรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมเอ่ยถามด้วยวาจาหยาบโลนเช่นเคย “ย่าเอ๋อร์...นายท่านผู้ทำรักเจ้าได้ดียิ่งใช่หรือไม่”



ทำรักกับผีน่ะสิ! เครื่องเพศคึกเพียงแค่นั้นมิสมควรนำมาใช้งานต่อแล้ว ตัวเจ้าราวหมูป่าปานนั้นยังจะกดทับอีกฝ่ายไว้ใต้ร่างอีก ที่ย่าเอ๋อร์ใบหน้าแดงก่ำนั้นอาจไม่ใช่เพราะรู้สึกเสียวกระสันสุขสมแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเจ้าทับร่างเขาไว้จนหายใจไม่ออกใกล้จะขาดใจตาย ปล่อยย่าเอ๋อร์ไปได้แล้ว!



ข้าที่ยื่นชมภาพการร่วมสังวาสระหว่างหมูตอนตัวอ้วนและมนุษย์ร่างบอบบางอยู่พักหนึ่งก็ทนมองไม่ไหวอีกต่อไป จำเป็นต้องถอนสายตาจากเตียงไม้มายังวิญญาณชายชราที่อยู่ข้างกาย แม้จะตายกลายเป็นผีมานานปีแต่ใบหน้าแก่ๆ ของผีสกุลลู่นั้นซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด ข้าที่เสียสายตาเป็นอย่างยิ่งเห็นเขาแล้วแล้วก็อดเหน็บแนมไม่ได้ “รสนิยมใต้เท้าลู่เป็นเช่นนี้นี่เอง คนแซ่เยี่ยได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”



วิญญาณตาแก่สกุลลู่แกล้งทำเป็นสำลักตั้งหน้าตั้งตาไอกลบเกลื่อนจนหนวดกระเพื่อม เรียกว่ามิสามารถเอ่ยกล่าววาจาใดตอบโต้กลับได้ ข้าทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ในห้องตัวหนึ่งปล่อยให้เขาไอจนสมใจ จนผีชราทนไม่ไหวต้องหันมาแทบจะกราบกรานข้าแทน “ท่านเยี่ย...ท่านเยี่ยเห็นใจข้าด้วยเถิด ลูกหลานสกุลลู่เป็นเช่นนี้ข้าย่อมตายตาไม่หลับ เห็นท่านมีชื่อเสียงขจรไกล มิหนำซ้ำยังมีอำนาจมากมายขนาดเฮยไป๋อู๋ฉางยังต้องละเว้น ปรมาจารย์เช่นท่านย่อมสามารถช่วยเหลือเขาได้”



ผายลมแล้วเจ้าคนสกุลลู่ ตายตาไม่หลับบ้านเจ้าหรือ เห็นวันก่อนยังเห็นเจ้าเริงร่าจิบสุราดีที่ลูกหลานนำมาเซ่นไหว้ เขียนเพลงแต่งกลอนเกี้ยวฮูหยินผู้เฒ่าที่กิริยามารยาทงดงามจากสกุลเจียง สังสรรค์กับเหล่าผีแก่จากตระกูลนั้นตระกูลนี้ ชีวิตหลังความตายสุขสบายเต็มที่ ตอนนี้พาข้ามาดูลูกหลานไม่ได้เรื่องกลับมาตีท่าสลดใจ ไม่อับอายชนรุ่นหลังบ้างหรือไร



ข้าเหลือบมองชายร่างหมูตอนซึ่งยังคงกระทำย่ำยีชายงามสามย่าเอ๋อร์บนเตียงอย่างไม่จบไม่สิ้นก่อนจะหันกลับมามองบรรพบุรุษโคตรเหง้าที่หน้าเขียวหน้าแดงท่าทางคล้ายถูกรังแก สกุลลู่ลำบากแล้วจริงๆ ต้นตระกูลเป็นสกุลบัณฑิตรับราชการตำแหน่งเป็นถึงเสนาบดีกรมการยุติธรรม ผีแซ่ลู่สมัยยังมีชีวิตอยู่ก็เคร่งขรึมท่าทางคงแก่เรียนน่าเคารพนับถือยิ่งนัก พอมาถึงรุ่นหลานมิรู้ว่าเกิดอาเพศสิ่งใดถึงได้มีหมูตอนมาถือกำเนิดในตระกูลได้



“ฉงซานแท้จริงแล้วเป็นเด็กดียิ่งนัก แต่เพราะลูกชายโง่เง่าปล่อยให้นางจิ้งจอกเข้ามาควบคุมดูแลบ้าน หลานชายคนโตของข้าจึงเป็นคนเหลาะแหละไม่เอาความเช่นนี้” ข้าเหลือบสายตามองผีสกุลลู่เพื่อบอกให้อีกฝ่ายเงียบปากได้แล้ว เรื่องจำพวก ภรรยาหลวงตาย สามีปล่อยให้อนุรังแกลูกภรรยาข้านั้นฟังมาจนเอียนจะแย่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอนุสกุลลู่เลี้ยงดูเจ้าหมูอย่างเต็มที่ ข้าวของที่ใช้ล้วนต้องเป็นของดีที่สุด ปล่อยให้คนนิสัยเกะกะเกเรเอาแต่ใจ สุดท้ายก็กลายเป็นตัวไร้ประโยชน์เสพสมสุรานารีรอวันตาย



ผีสกุลลู่เอาเรื่องนี้มาบอกเล่าเฝ้าขอร้องจนพาข้ามาดูให้เห็นทั้งสองตาแล้วจะเกิดสิ่งใดได้ ข้าเป็นปรมาจารย์วังวสันต์เก่งกาจช่ำชองเรื่องทุกข์สุขบนเตียงยามเปลื้องผ้า คงไม่สามารถช่วยหมูที่ตกลงไปในปลักโคลนชีวิตให้กลับมาเป็นชายหนุ่มที่ดีงามได้กระมัง



พอข้าอ้าปากจะปฏิเสธ บรรพบุรุษแซ่ลู่ก็ทิ้งตัวลงคุกเข่าใช้หน้าผากกระแทกกับพื้นเสียงดังปัง น่าเสียดายที่เสียงดังขนาดนั้นแต่คนในโลกมนุษย์กลับไม่ได้ยิน หมูฉงซานจึงยังคงมัวเมากับชายหนุ่มหน้าหยกนามย่าเอ๋อร์นั้นมิสร่าง ข้าถอดถอนใจเริ่มรู้สึกโมโหตัวเองที่ตามเขามาแต่แรกแล้ว “ใต้เท้าลู่ ข้าเลื่องชื่อเรื่องวังวสันต์ มิได้เก่งกาจเปลี่ยนใจดัดนิสัยคน ท่านคงมาขอความช่วยเหลือผิดคนแล้ว”



ตาแก่แซ่ลู่ได้ยินดังนั้นจึงรีบตอบทันควัน “ไม่ผิดคนอย่างแน่นอน มิใช่ว่าท่านเชี่ยวชาญด้านจิตใจคนหรอกหรือ ท่านคบหาหลับนอนกับยอดสตรีในใต้หล้านี้มากมาย ข้ายังไม่เคยได้ยินข่าวคราวสักนิดว่ามีครั้งใดสตรีเหล่านั้นก่อปัญหาให้ท่าน แม้แต่ทะเลาะวิวาทหึงหวงก็ยังมิเคยปรากฏ เช่นนั้นท่านเยี่ยต้องเก่งกาจทั้งเรื่องรักบนเตียงทั้งเรื่องจัดการผู้คนเป็นแน่”



เรื่องที่บรรพบุรุษสกุลลู่กล่าวมาล้วนถูกต้องดีแท้ ข้าสามารถจัดการทั้งสตรีและบุรุษได้อย่างเงียบเชียบเรียบร้อยดีนัก แต่สาเหตุเป็นเพราะว่าข้าวางขอบเขตความสัมพันธ์ไว้เพียงเชิงใคร่ตั้งแต่แรก เมื่อมิได้มีใครก้าวมาในเชิงรัก ปัญหาหึงหวงไล่ตามสารพัดอย่างเฉกเช่นที่ชายเสเพลผู้อื่นต้องผจญจึงไม่ค่อยได้ย่างกรายมารบกวนข้าเท่าไรนัก



“ฉงซานนอกจากจะนิสัยไม่เอาไหนไม่สนใจการงานแล้วยังเจ้าชู้ไม่เลือกหน้า ท่านเยี่ยดูเถิด หลานชายข้าอายุสิบแปด ยังไม่แต่งภรรยาเอกแต่มีอนุหญิงสามคน อนุชายอีกหกคน ไม่นับรวมสาวใช้อุ่นเตียงอีกห้าคน แต่ละวันผู้คนตบตีทะเลาะแย่งชิงความรักจากเขาจนบ้านสกุลลู่มิต่างอะไรกับโรงงิ้ว โชคดีที่เขายังไม่มีบุตร มิเช่นนั้นคงได้วุ่นวายกว่าเดิมนัก”



ลู่ฉงซานมีบุตรได้ก็คงอัศจรรย์ คนน้ำหนักตัวมากมายถึงเพียงนี้ มิหนำซ้ำยังเจ้าชู้มักมากจนไม่ว่างเว้นจากการเสพกามา ดูจากใบหน้าดำคล้ำไม่สดใสก็รู้ว่าพลังหยางอ่อนแอยิ่งนัก คนจะเอาน้ำยาอะไรไปผลิตทายาทกันเล่า กระทั่งเครื่องเพศที่ถูกพุงกระเพื่อมบดบังยังแข็งขืนได้ไม่ถึงครึ่งของบุรุษทั่วไป ที่ยังใช้งานได้อยู่นั้นก็นับว่าเป็นบุญอย่างยิ่งแล้ว



“เฮยไป๋อู๋ฉางมิได้บอกให้ท่านเยี่ยสร้างกุศลมิใช่หรือ...หากช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากย่อมเป็นบุญอย่างยิ่ง ขอเพียงท่านช่วยชี้ทางให้เขาสักเล็กน้อย มิต้องให้ดีเลิศเหมือนคุณชายสกุลอื่นก็ได้ เพียงแค่ให้เขาสามารถควบคุมดูแลมิให้อนุทะเลาะเบาะแว้งกัน แค่นั้นบ้านสกุลลู่ก็คงสงบสุขดีแล้ว” วิญญาณชราสกุลลู่ช่างกล่าววาจาได้น่าหัวร่อยิ่งนัก หมูตอนสกุลลู่มันตกทุกข์ได้ยากตรงไหน ออกจะสุขสมจนเกิดพอดีเสียด้วยซ้ำ อีกอย่างตอนนั้นที่รีบหายตัวไป สุดท้ายแล้วนิสัยเสียแอบฟังคนคุยกันมิใช่หรือ



ข้าลอยละลิ่วออกจากห้องประกอบกิจสังวาสของเจ้าหมูสกุลลู่มายืนเหม่อมองเรือนน้อยใหญ่ด้วยความครุ่นคิด อันที่จริงที่นี่ก็เหมาะสมกับการฝึกวิชาของข้ามิใช่น้อย ข้าหันไปมองวิญญาณสกุลลู่ที่ตามมาก็ถอนหายใจอีกครั้งทั้งที่ไม่มีลมหายใจ น้ำเสียงที่กล่าวออกไปปั้นปึ่งเย็นชาอยู่หลายส่วน “ระหว่างที่ข้ารั้งอยู่ ท่านอย่าได้มาวนเวียนที่นี่อีก ลู่ถงซานมิได้แข็งแกร่งพอจะรับไอหยินจากวิญญาณสองตนได้”



ครั้นเห็นว่าข้ายอมตกปากรับคำ ผีแก่สกุลลู่ก็รีบคุกเข่าขอบคุณและจรลีกลับไปที่สุสานประจำเมืองอันเป็นแหล่งรวมตัวของบรรดาผีบรรพบุรุษในทันที ที่ข้าพูดไปนั้นเป็นเพียงความจริงกึ่งหนึ่ง ความจริงอีกอย่างตอนนี้คงมิเหมาะจะเปิดเผยให้ตาแก่ได้รู้ในตอนนี้



ความจริงครึ่งแรกคือร่างกายหมูอ้วนทรุดโทรม ไอหยินลอยวนเวียนน่าหวั่นใจยิ่งนัก ผีปู่ของเขามิได้เชี่ยวชาญการมองหยินหยางเช่นข้า จึงมิได้รู้ว่าหากปล่อยให้หลานชายเป็นอย่างนี้ต่อไป เกรงว่าไม่นานเจ้าหมูตอนคงได้พบหน้าปู่เร็วกว่ากำหนดแน่ ความจริงครึ่งต่อมาคือลู่ถงซานแล้วเป็นพวกต้วนซิ่ว แต่งอนุภรรยาหญิงหลับนอนกับสาวใช้เพียงเบื้องหน้า หากเบื้องหลังความมากรักหลายใจของเขาคืออนุชายทั้งหกผู้หน้าตางดงามไอหยางเต็มเปี่ยมเหมือนอย่างย่าเอ๋อร์ที่ใกล้หมดลมคนนั้นต่างหาก



ระหว่างที่เจ้าหมูตอนยังคงกระทำย่ำยีย่าเอ๋อร์มิหยุดหย่อน ข้าก็เริ่มทำการสำรวจทรัพยากรพลังหยางในเรือนน้อยใหญ่ของบ้านสกุลลู่ด้วยความตั้งใจ อย่างไรแล้วก็คงต้องอยู่ที่นี่สักพักหนึ่ง เหตุใดมิหาความสำราญและหาวิธีฝึกปรือไปพร้อมกันเล่า



หน้าตาของลู่ฉงซานแม้จะดูไม่ได้ แต่รสนิยมนับว่าดีเลิศโดยแท้ นอกจากห้องหับที่ตกแต่งอย่างดี อนุชายทั้งหกคนของเขานับว่ารวบรวมคนงามมาไว้ในอุ้งมือ แม้ว่าจะมิใช่บุตรชายจากตระกูลดีอะไร แต่ทั้งหกคนหน้าตาบุคลิกท่าทางแตกต่าง มีทั้งบอบบาง อ่อนโยน ออดอ้อน แข็งกร้าว เผ็ดร้อน มิหนำซ้ำบางคนพลังหยางยังมากมายกว่าบุรุษปรกติทั่วไป คล้ายว่าเป็นผู้ฝึกตนอยู่บ้าง นี่นับว่าหมูตอนตัวนี้ช่างเก่งกาจในการหาความสำราญดียิ่ง



เมื่อศึกหนักระหว่างชายหน้าหยกและหมูป่าเงียบเสียงลง ข้าจึงตัดสินใจโผล่เข้าไปในความฝันเจ้าตัวไม่ได้ความสกุลลู่ ตอนแรกทำใจไว้แล้วในระดับหนึ่งว่าคงได้เห็นความฝันอันแสนน่าอเนจอนาถ คงได้เห็นหมูตอนตัวขาวเปลือยกายย่ำยีคนงามอีกรอบ แต่เมื่อเข้าไปกลับพบว่าลู่ถงซานกลับยืนตัวกลมอยู่ในสวน ในมือถือขลุ่ยลำหนึ่งพร้อมกับเป่าเพลงท่วงทำนองรื่นเริงของฤดูร้อน ท่าทางดั่งคุณชายตระกูลใหญ่ผู้แสนดีช่างขัดกับรูปร่างหน้าตา



คนเป่าจนจบก็รีบสอดขลุ่ยเข้าไปในแขนเสื้อ น้ำเสียงแหบแห้งลากยาวอ่อนหวานจนน่าขนลุกยิ่งนัก “อาหมิ่นหรือ” พอเห็นว่าไม่ใช่คนตามชื่อเรียกประกายในดวงตายิบหยีพลันเลือนแสงลง แต่มุมปากกลับขยับยิ้มกว้างจนน่าขนลุก “พี่ชายผู้นี้หน้าตาหล่อเหลายิ่งนัก ข้าเคยเห็นหน้าท่านมาก่อนหรือไม่ ท่านเป็นชายในฝันของข้าเช่นนั้นหรือ”



“ผิดแล้ว” ข้าตอบกลับทันควันด้วยน้ำเสียงติดเย็นชา แต่ลู่ฉงซานกลับอ่านบรรยากาศไม่ออก สองตาที่อับแสงไปตอนแรกกลับทอประกายระยิบระยับยิ่งกว่าเดิม มืออวบอ้วนคล้ายกีบหมูเอื้อมมาคว้ามือข้าเอาไว้ในทันใด ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือจนสมควรโดนฝ่ามือซัดเข้าที่บ้องหูสักที



“เมื่อไม่ใช่ไยจึงปรากฏตัวในฝันของข้าเหล่า แม้ท่านจะรูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางองอาจผึ่งผายไปบ้าง ด้วยหน้าตาเช่นนี้ ถ้าได้พบกันนอกความฝัน ข้าย่อมส่งคนไปสู่ขอท่านเป็นแน่ ตำแหน่งภริยาเอกของข้ายังว่างอยู่ หากมีท่านเคียงข้างกายชีวิตรักของนายท่านลู่ย่อมมิต้องการสิ่งใดอีกแล้ว ข้าจะใช้ยอดมังกรปรนนิบัติท่านให้ร้องครางชื่อข้าทั้งคืนเชียว”



ริมฝีปากของข้ากดเป็นรอยยิ้มเย็นเหยียบ วาจาเช่นนี้ช่างเป็นลูกไม้คุณชายเสเพลอันแสนกระจอกยิ่งนัก ข้าซัดฝ่ามือเข้าไปที่กกหูของนายท่านลู่ตามที่คิดเอาไว้ตั้งแต่แรก ด้วยพลังหยินเข้มข้นในตอนนี้ย่อมทำให้ลู่ฉงซานก้าวเข้าใกล้ปรโลกไปมากยิ่งกว่าเดิม หากเจ้าตัวยังคงมิได้รับรู้ หมูตัวขาวหันกลับมามองข้าด้วยสายตาคล้ายไม่ได้รับความยุติธรรม ก่อนที่เขาจะร้องไห้งอแง ข้าก็กดฝ่ามืออันหนักอึ้งของตนลงบนบ่าอวบอ้วนนั้นเอาไว้



“อย่าได้เรียกสิ่งนั้นของเจ้าว่ายอดมังกรเลย เกรงว่าจะเป็นการลบหลู่มังกรไปเสียเปล่าๆ เรียกว่าไส้เดือนดินคงเหมาะสมกว่ามาก” ได้ฟังวาจาตรงไปตรงมาทิ่มแทงจิตใจเข้าไป หมูตอนก็หลั่งน้ำตาออกมาหยดหนึ่ง ข้าถือคติจะตีเหล็กต้องตีตอนร้อน อยากให้เขาพัฒนาตนย่อมต้องทำลายความภาคภูมิใจของเขาเสียก่อน “เจ้าเคยเห็นเครื่องเพศของบุรุษคนอื่นหรือไม่ ย่อมต้องเคยเห็นเพราะมีอนุชายมากมายเช่นนั้น เจ้ามิรู้หรือว่าอย่างเจ้านั้นมิเรียกแข็งขืนเป็นแท่งหยกเสียด้วยซ้ำ”



“ขะ ข้า” หมูตอนร้องอู๊ดๆ ขึ้นมาแล้ว มิหนำซ้ำยังตั้งหน้าตั้งตาเถียงเสียจนหน้าดำหน้าแดง “ข้าไม่เชื่อที่ท่านพูดหรอก ที่ท่านพูดเช่นนี้ย่อมต้องเป็นเพราะริษยาที่ข้ามีอนุงดงามถึงหกคนแน่ๆ ข้าเคยได้ยินมาก่อนว่าบุรุษองอาจเช่นท่านแท้จริงแล้วมิสามารถทำรักได้เพราะเสื่อมสมรรถภาพ ที่ลบหลู่มังกรของข้า เป็นเพราะเครื่องเพศท่านเป็นไส้เดือนมุดดินกระมัง”



ข้าน่ะหรือจะไปอิจฉาริษยา ปรมาจารย์วังวสันต์เช่นข้าเพียงแค่กระดิกนิ้วเกรงว่าจะมีคนงามทั้งหญิงชายพร้อมพลีกายให้ ข้าเริ่มรำคาญเสียงร้องโหยหวนของหมูฉงซานขึ้นมาแล้ว จึงปลดสายคาดเอวถอดกางเกงให้เขาดูเสียให้จบเรื่อง คนเหลือบมองท่อนล่างที่เปิดเผยโจ่งแจ้งแล้วตะลึงงัน ปากหมูอ้าค้างตกลงมาจะถึงคางอยู่แล้ว



“ท่าน...ท่าน ท่านเป็นใครกันแน่”



“ข้าเยี่ยอู๋จวิน มิทราบว่าเคยได้ยินชื่อมาก่อนหรือไม่” ข้าใส่กางเกงผูกผ้าคาดเอวให้รัดแน่นเรียบร้อย สายตาที่มองอีกฝ่ายยามนี้ย่อมคล้ายมองหนอนแมลงตัวหนึ่ง



“ที่แท้คือท่านเยี่ย ปรมาจารย์วังวสันต์ผู้เลื่องชื่อ” คนมากรักคาวโลกีย์มีหรือจะไม่เคยได้ยินชื่อของข้า ดวงตายิบหยีเบิกกว้างเสียจนน่าตลก กล่าวจบแล้วเจ้าหมูตอนก็คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตึง คนกระแทกหน้าผากกับพื้นพลางร้องดังลั่น “ท่านเยี่ยได้โปรดรับข้าน้อยเป็นลูกศิษย์ด้วยเถิด ข้าน้อยยอมเป็นดั่งม้าดั่งวัวให้ท่านเรียกใช้ มิว่าท่านอยากได้สิ่งได้ ข้าน้อยจะเซ่นไหว้ไปให้”



วันนี้เป็นวันอะไรกันทั้งปู่ทั้งหลานต่างมาคุกเข่าโขกหัวให้ข้าเต็มไปหมด แต่ไหนแต่ไรข้ามิเคยรับศิษย์ เนื่องจากเคล็ดวิชาของข้าซับซ้อนมากกว่าที่ผู้คนมากมายคาดคิด กระทั่งข้ายังใช้ตนเองทดลองวิชา สำเร็จออกมาประการใดยังมิอาจรู้ได้แน่ชัด อีกทั้งหากไม่ระมัดระวังอาจเกิดจิตมารหรือถูกธาตุไฟเข้าแทรก ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือข้าผู้นี้และสนมสามร้อยนางของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้มิใช่หรือ



“ข้ามิรับศิษย์ เพียงผ่านทางมากับใต้เท้าสกุลลู่ เห็นเจ้าทรมานผู้คนเช่นนั้นย่อมทนไม่ได้ สิ่งที่เจ้ากระทำมิได้เรียกว่าทำรักแล้ว” จะให้พาดพิงว่าผู้เฒ่าลู่มาขอความช่วยเหลือก็คงไม่ดี ตอนนี้เขาเข้าใจว่าข้ามาช่วยเบิกเนตรสั่งสอนเรื่องวังวสันต์ก็ปล่อยให้เขาคิดไปเช่นนั้นก่อนเถิด เรื่องอื่นๆ จะดีหรือร้ายกว่าเดิมข้ายังมิอาจรับประกัน เรียกว่าต้องดูไปตามสถานการณ์เสียก่อน



“เป็นท่านปู่พาท่านมานี่เอง” หมูสกุลลู่มีท่าทางครุ่นคิด ดวงตาเล็กกลอกไปมาอย่างรวดเร็ว คนรีบกระโจนเข้ามาในบ่วงกับดักที่ข้าวางเอาไว้โดยไม่ทันได้รู้ตัว “เช่นนั้นข้าต้องทำเยี่ยงไรบ้าง ขอให้ท่านสั่งมาข้าจะยอมทำทุกอย่าง”



“สามเดือนนี้เจ้าห้ามหลับนอนกับทั้งสตรีและบุรุษ ให้เปลี่ยนเวลานอนเป็นนอนยามไฮ่ตื่นยามเหม่า[1] ตื่นแล้วให้ฝึกเพลงยุทธกระบวนท่าเมฆคล้อยตะวันลับทุกวัน ส่วนอาหารการกินจะต้องกินตามสูตรเพิ่มพลังชายที่ข้าเข้าฝันมาบอกเจ้าเท่านั้น” ข้าร่ายยาวไม่เปิดโอกาสให้คนได้ตั้งตัว คัมภีร์เมฆคล้อยตะวันลับเป็นคัมภีร์ฝึกการขั้นต้นที่ข้าเคยเขียนเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน ปัจจุบันยังมีวางขายทั่วไป ภายในมีทั้งเคล็ดลับการหายใจและการฝึกกาย เป้าหมายเพื่อคติที่ข้าวางเอาไว้ว่ายวนยางอันมีคุณภาพเริ่มจากร่างกายที่แข็งแรง



ได้ยินดังนั้นลู่ถงซานก็ดูเชื่อฟังและกระตือรือร้นอย่างมาก ดวงตาหมูยิบหยีเหลือบมองใต้ผ้าคาดเอวของข้าแล้วสลับไปมองของตนเองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยภาพฝันอันแสนหอมหวาน ถึงจะต้องอดยวนยางแต่เพื่ออนาคตอันเสียวซ่านเขาย่อมยอมทนได้ “ทำเช่นนี้แล้วจะสามารถองอาจเก่งกาจเรื่องสังวาสเหมือนท่านได้หรือ”



ข้ากระตุกยิ้มเย็นชาให้เป็นคำตอบ คล้ายให้คนไปคิดหาคำตอบเอาเอง ที่จริงแล้วการทำเช่นนั้นย่อมมิอาจทำให้เขาเก่งกาจสามารถได้ ประโยชน์จากการฝึกตนทั้งหมดเป็นเพียงการทำให้หมูตอนลดน้ำหนักและพุงหนาลงให้กลายเป็นมนุษย์ปรกติ เพื่อยามที่ข้าหยิบยืมร่างกายของเขาร่วมรักดูดซับไอหยางจากคนงามทั้งหก ข้าจะได้มิรู้สึกรังเกียจเรือนร่างนี้จนเกินไปนัก ลู่ฉงซานที่มิได้รับรู้ข้อนี้จึงมองข้าด้วยสายตาชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง



ผิวปากครั้งหนึ่งทั้งข้าและหมูตอนก็กลับสู่โลกความเป็นจริง ยามนี้ฟ้าเริ่มสางแล้ว ลู่ฉงซานตื่นขึ้นมาก็ปฏิบัติตามคำสั่งสอนได้อย่างดี รีบใช้คนออกไปหาซื้อคัมภีร์ที่ว่ามา ให้สาวใช้ตามพ่อบ้านมาสั่งงานเรื่องอาหารการกินของเขาที่เปลี่ยนไปไม่กินมันมาก ไม่กินเนื้อมาก เพิ่มปริมาณทั้งผักทั้งเนื้อปลาให้มากกว่าเดิม ท่าทางเอาจริงเอาจังเสียจนน่าตกใจ



ฝั่งย่าเอ๋อร์เห็นสามีของตนรีบลุกมาทำเรื่องวุ่นวายตั้งแต่เช้าก็งัวเงียเงยหน้าขึ้นจากเตียง หัวไหล่ขาวที่โผล่พ้นผ้าห่มนั้นเปิดเปลือยให้เห็นร่องรอยรักบางส่วน ร่างกายบอบบางเอวอ่อนของเขาไถลตัวนอนต่อบนฟูกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเรียกสั่งให้คนยกน้ำร้อนเข้ามา ชายผู้นี้นับเป็นอนุรักคนหนึ่งของเจ้าหมูจึงสามารถกระทำการสิ่งใดตามใจตนเองได้อยู่หลายอย่าง ท่าทางเกียจคร้านเหมือนลูกแมวเช่นนี้ทำให้ข้าคันยุบยิบในหัวใจอยากจะขบฟันลงไปบนไหล่มนนั้นนัก



อืม...อีกสามเดือนกระมังร่างนั้นจึงจะใช้งานได้ เช่นนั้นก็ปล่อยหมูตอนวิ่งวุ่นไปก่อนเถิด ยามนี้ข้าไปดูคนงามอาบน้ำเพื่อกักเก็บไอหยางบางส่วนจะดีกว่า



โปรดติดตามตอนต่อไป..

^ [1] ยามไฮ่คือช่วง 21:00 - 22:59 ยามเหม่าคือช่วง 05:00 - 06:59
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 3 [26-9-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 26-09-2019 19:03:31
บทที่ 4 หนึ่งคนมีหนึ่งใจ แล้วจะเลือกรักใครเล่า



หมูตอนสกุลลู่ฝึกตนได้เคร่งครัดเป็นอย่างยิ่ง คนยอมกินผักกินปลาฝึกวิชานอนเหงาเปล่าเปลี่ยวอยู่ผู้เดียวไม่พบปะใคร ครั้นฝนตกไม่ทั่วฟ้าได้เจ็ดวัน เหล่าบรรดาบ้านเล็กบ้านน้อยเริ่มกระสับกระส่าย จากที่เคยทะเลาะเบาะแว้งกลับเงียบกริบ พอผ่านไปเดือนครึ่งสีหน้าของแต่ละคนก็มองดูไม่ได้แล้ว หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าเหล่าอนุชายที่ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้คงต้องถูกทิ้งขว้างให้ออกนอกตระกูลไปเป็นแน่



เช้าตรู่ของวันหนึ่งหลังจากที่นายท่านลู่ไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนอนุคนใดมาเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน ยังไม่ทันที่ย่าเอ๋อร์อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ อนุฝาแฝดนามต้าฟ่านและเสี่ยวฟ่านก็มานั่งรอคนถึงข้างในเรือน ใบหน้าสะสวยชวนมองที่คล้ายคลึงกันจนแยกไม่ออกคราวนี้เต็มไปด้วยความร้อนใจ ยังไม่ได้ทันได้ปรึกษาหารืออะไรกัน สาวใช้คนหนึ่งก็มาเชิญทั้งสามไปที่สวนดอกไม้เสียก่อน บอกว่าอาหมิ่นจัดงานเลี้ยงน้ำชาขึ้น อยากให้พี่น้องอนุภรรยาทั้งหลายได้พบปะสังสรรค์กันบ้าง



ข้าที่เป็นผีวนเวียนอยู่ในคฤหาสน์สกุลลู่ได้เดือนครึ่งมานี้ นอกจากจะซึมซับไอหยางบางส่วนของเหล่าคนงามขณะอาบน้ำเปลือยกาย ก็ยังได้ศึกษาความสัมพันธ์และขั้วอำนาจของเหล่าอนุภรรยาเจ้าหมูตอนจนเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ สุดท้ายจึงสามารถสรุปเรื่องราวได้ดังนี้



บ้านเล็กของเจ้าหมูอ้วนแบ่งฝักฝ่ายได้เป็นสองพวก ฟากหนึ่งคือพรรคพวกของอาหมิ่น เจ้าของนามที่หมูสกุลลู่เรียกขานในฝันครั้งนั้น อาหมิ่นปีนี้อายุได้ยี่สิบสี่ปี แม้จะไม่ได้งดงามอ่อนหวาน แต่นับเป็นคนหน้าตาหมดจดกิริยามารยาทดี อาจไม่ได้รับความรักความเมตตาเท่ากับย่าเอ๋อร์ แต่เขาเป็นอนุชายคนแรกที่ลู่ฉงซานรับเข้าบ้านมา จึงได้รับความเคารพจากคนในบ้านอยู่ไม่น้อย อนุสองคนที่เลือกอยู่ข้างของอาหมิ่น คนหนึ่งเรียกกันว่าอาตวนท่าทางคล้ายบัณฑิตผู้มีความรู้ท่าทางสง่าผ่าเผย ส่วนอีกคนอายุอานามเพียงสิบห้าปี มีชื่อเรียกว่าเจียวมี่ หน้าตาน่ารัก ดวงตากลมโต ลักษณะเรียบร้อยใสซื่อไม่ทันคนอยู่มาก



หากพรรคพวกของอาหมิ่นมีอบอุ่นกิริยานิ่มนวลเป็นลักษณะเด่น อีกฝั่งนั้นคงเรียกว่ามีหน้าตาเป็นอาวุธ แม่ทัพหน้าคือเจ้าของใบหน้างดงามย่าเอ๋อร์ที่เผ็ดร้อนเอวอ่อนบอบบาง ขุนศึกที่เหลือคือฝาแฝดเสี่ยวต้าฟ่านที่หน้าตาสะสวยเสียยิ่งกว่าอิสตรี ทั้งสามแต่งกายงดงามเหมาะสม มีกลิ่นอายของคนงามสูงส่งที่ยากจะเข้าถึงได้



ดั่งที่ข้าเคยกล่าวเอาไว้ว่ารสนิยมของหมูตอนถือว่าดีงามจนสมควรได้รับคำชมเชย คนงามทั้งหกหากอยู่ภายนอกบ้านสกุลลู่คงนับว่าเป็นผู้มีฝีมืออนาคตสดใสอยู่ไม่น้อย มิรู้ด้วยว่าเรื่องราวหนหลังประการใดจึงทำให้คนละทิ้งชีวิตมาเป็นอนุชายที่ไม่มีวันเจริญก้าวหน้าของหมูตัวหนึ่งเช่นนี้



กระทั่งการนั่งในงานเลี้ยงยังแบ่งฝักฝ่ายชัดเจน หัวโต๊ะเป็นอาหมิ่นที่อายุมากกว่าใคร ริมฝีปากหยักขยับรอยยิ้มบางสุภาพอ่อนน้อม ด้านข้างซ้ายขวาคืออาตวนและเจียวมี่ ถัดออกมาจึงจะเป็นที่นั่งของพวกย่าเอ๋อร์ ส่วนอนุหญิงทั้งหลายเพียงไม้ประดับนับว่าต่างคนต่างอยู่มิค่อยได้มีบทบาทอะไรมากนัก หากไม่อยู่โดดเดี่ยวไม่เกาะกุมกับใคร ที่เหลือก็มักจะพึ่งพิงอาหมิ่นเอาไว้ก่อน พวกนางจึงถูกแยกไปที่โต๊ะอีกตัวหนึ่ง นั่งจิบน้ำชาชมดอกไม้ได้สงบเสงี่ยมดี



“นายท่านมิร่วมหลับนอนกับใครมาได้เดือนกว่าแล้ว” ยังมิทันได้เริ่มงานอะไรเป็นกิจจะลักษณะ ก็เป็นย่าเอ๋อร์ที่อดรนทนไม่ได้เปิดประเด็นขึ้นมาก่อน สาวใช้ที่กำลังรินน้ำชาให้ถึงกับชะงักตน รีบถอยหลังไปมิกล้ารับฟังถ้อยคำต่อ เพราะคนงามผู้นี้อารมณ์ร้ายเป็นอย่างยิ่ง หากอะไรหงุดหงิดสักเล็กน้อยพร้อมขว้างปาข้าวของลงมือกับผู้คนได้ทันที



อาหมิ่นไม่ได้ตอบคำถามในทันที นิ้วมือเรียวงามยกถ้วยชาขึ้นเป่าเบาๆ ก่อนจะจิบชาด้วยท่าทางดั่งคนได้รับการศึกษามาดี รอพักหนึ่งค่อยตอบกลับด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ย่าเอ๋อร์เดือดร้อนถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”



ได้ยินดังนั้นย่าเอ๋อร์จึงแค่นเสียงหัวเราะดูแคลนออกมา “หึ ข้าย่อมเดือดร้อน แล้วเจ้ามิเดือดร้อนหรือ หากมิเดือดร้อนไยวันนี้จึงจัดงานเลี้ยงบัดซบนี่ขึ้นมาเล่า เลิกตีหน้าวางท่าสูงส่งเสียเถิด แต่ก่อนฝนตกไม่ทั่วฟ้า เจ้ายังเดือดร้อนขนาดวางยาให้ข้าผื่นขึ้นเต็มตัว ต้องพักฟื้นอยู่เป็นเดือน มายามนี้ฝนสักเม็ดยังไม่มี หนองน้ำเหือดแห้ง ผู้ขาดแคลนความรักเช่นเจ้ามีหรือจะไม่ลงมือทำสิ่งใด”



“ครั้งนั้นข้าไม่ได้วางยาเจ้า” อีกฝ่ายตอบกลับในทันที สีหน้าของอาหมิ่นแม้จะยังเรียบเฉย แต่ดวงตาเรียวยาวนั้นเป็นประกายวาวโรจน์ “เรื่องใช้เล่ห์กลมารยาในสกุลลู่ยังจะมีใครสู้เจ้าอีกหรือ คราวนั้นนายท่านค้างกับข้าคืนหนึ่ง อาตวนคืนหนึ่ง เจียวมี่อีกคืนหนึ่ง พอวันต่อมาเจ้าถึงกลับเล่นลูกไม้ป่วยไข้ใกล้ตายต้องให้นายท่านไปดูใจ หญิงคณิกายังไม่มากมารยาเท่าเจ้าเลยกระมัง”



“ลบหลู่ดูหมิ่นกันเกินไปแล้ว เจ้าเองเป็นเพียงหมาป่าตาขาวขาพิการ ยังจะมีหน้ามาว่าข้าเป็นนางโลมอีกหรือ” ย่าเอ๋อร์เป็นเดือดเป็นร้อนยิ่งกว่าเดิม คนคว้าถ้วยชาขึ้นแล้วขว้างใส่อนุภรรยาคนแรกของเจ้าหมูโดยแรง แต่อาหมิ่นกลับหลบได้ทัน ทิ้งไว้เพียงรอยน้ำชาที่เปื้อนชุดของเขาเป็นทางยาว



จากนั้นคือเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทระหว่างอนุภรรยาทั้งสองฝ่าย ย่าเอ๋อร์ขว้างปาข้าวของใส่ผู้สูงวัยกว่าไม่หยุด ขณะที่อาหมิ่นขยับตัวหลบไปมา แม้จะเดินขากะเผลกข้างหนึ่งแต่ก็ยังมีความพลิ้วไหวอยู่หลายส่วน คราวนี้ย่าเอ๋อร์ที่มีกำลังภายในพอสมควรถึงกลับยกเก้าอี้ขึ้นหวังโยนใส่ อาหมิ่นจึงพลิกโต๊ะไม้ขึ้นใช้ป้องกันการโจมตี ทำเอาเหล่าถ้วยชาป้านชาและจานใส่ขนมของว่างแตกกระจายไปทั่ว



ข้าเฝ้ามองเหตุการณ์เหล่าลูกแมวฟัดกันด้วยความสนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง เห็นต้าฟ่านวิ่งเข้าใส่อาตวน แต่อีกฝ่ายใช้ด้ามพัดจิ้วเคาะหน้าผากสวยๆ หลายทีเป็นการตอบกลับคล้ายเย้าแหย่คนเล่น ส่วนเจียวมี่ถูกเสี่ยวฟ่านจับตัวเอาไว้ได้แล้ว ฝ่ามือเล็กฟาดลงไปบนก้นของคนอ่อนวัยจนเด็กน้อยผู้นั้นร้องไห้น้ำตาคลอ



สักพักหนึ่งลู่ฉงซานก็วิ่งกระหืดกระหอบออกมาจากเรือนของตน แต่คนเฝ้ามองอยู่ไกลๆ ไม่กล้าเข้ามาในวงล้อม ตอนนี้เขาไม่ใช่เจ้าหมูตอนอีกแล้ว เวลาผ่านไปสี่สิบเก้าวันนี้นับว่ามีพัฒนาการอย่างมาก จากพุงกระเพื่อมสามชั้น ลดลงเป็นเพียงชายรูปร่างอวบท้วมผิวขาวจัด มีเค้าโครงหน้าตาดีอยู่ไม่น้อย คาดว่าหากกำจัดความอ้วนออกไปจากชีวิตได้มากกว่านี้ คงจะนับเป็นชายหนุ่มน่ามองคนหนึ่ง



“ลู่ฉงซาน” ข้าลอยกลับไปอยู่ข้างกายของเจ้าคนไม่ได้ความแซ่ลู่ จากคราวนั้นที่เขาโดนข้าซัดฝ่ามือหยินใส่จนใกล้ความตายมากขึ้น กอปรกับที่ข้าได้รับพลังหยางมาบางส่วน ทำให้ช่วงนี้เขาสามารถมองเห็นวิญญาณข้าได้รางๆ ซ้ำยังสามารถพูดคุยกับข้าได้แม้ไม่ได้อยู่ในฝัน “พวกเขาทะเลาะกันเช่นนี้เพราะแย่งชิงความรักจากเจ้า สาเหตุคือเจ้าไม่ชัดเจนมากพอ หากเลือกจะรักใครก็เลือกสักคน หากไม่รักก็ไม่ต้องรั้งใครเอาไว้ ปล่อยเขาไปเจออิสระเถิด”



“ข้า...ข้ารักพวกเขาทุกคน! อนุภรรยาของข้าเป็นอิสระไม่ได้ หากออกจากบ้านไปล้วนแต่ใช้ชีวิตได้ยากลำบากกันทั้งสิ้น” อดีตหมูตอนรีบละล่ำละลักตอบในทันที ก่อนจะขยายความเพิ่ม “อาหมิ่นเป็นรักแรกของข้า...เขาเป็นญาติผู้พี่ที่สกุลมารดาส่งมาช่วยดูแลข้า ตอนยังเด็กข้าเกือบถูกม้าพยศเหยียบตาย เขาช่วยเหลือข้าไว้จนตนเองขาหัก ทุกวันนี้มิอาจเดินได้เป็นปรกติ เขาดีกับข้าถึงเพียงนั้นข้ายังเข้าหาปลุกปล้ำเอาเขามาเป็นอนุ”



นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้ลู่ฉงซานวางอนุชายคนแรกของเขาไว้เสียสูงแต่ไม่กล้าแสดงความรักใคร่กระมัง ทำแบบนี้เกรงว่าจะไม่ถูกต้องอยู่หลายส่วนแล้ว



“แล้วย่าเอ๋อร์เล่า”



“ย่าเอ๋อร์แท้จริงแล้วเป็นหลานชายฉู่อ๋อง มีนามว่าหลานจื่อเย่” แค่ได้ยินชื่อฉู่อ๋องข้าก็พอเดาเหตุการณ์ได้แล้ว แปดปีก่อนฉู่อ๋องเห็นบัลลังก์ของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ยังมีสถานะไม่มั่นคงจึงร่วมมือกับแม่ทัพเฒ่าแซ่หลิ่วคิดผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน สุดท้ายสุ่ยเต๋อฮ่องเต้เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ สายเลือดหนึ่งร้อยสี่สิบเจ็ดคนของฉู่อ๋องจึงถูกประหารเสียสิ้น ส่วนหลานจื่อเย่ตอนนั้นยังเด็กจัดคงหลบหนีออกมาได้ “ย่าเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอ เงินทองร่อยหรอจึงถูกผู้ติดตามทอดทิ้ง สุดท้ายข้าพบเจอเขาเป็นขอทานอยู่ข้างทางจึงได้ช่วยเหลือเอาไว้”



จากนั้นนายท่านสกุลลู่ก็เล่าเรื่องประวัติความเป็นมาของอนุที่เหลือทั้งหมดด้วยความรวดเร็ว ข้าสรุปได้อย่างรวดรัดได้ความว่า อาตวนเป็นเด็กกำพร้าไร้พ่อแม่ มีเพียงพี่ชายคนหนึ่ง แต่เป็นบัณฑิตผู้มีความสามารถที่สมควรจะสอบเคอจวี่ผ่านได้รับราชการอนาคตไกล แต่พี่ชายของเขากลับไปมีเรื่องกับท่านโหวน้อยตระกูลเฮ่อ สุดท้ายพี่ชายถูกฆ่าตาย ตัวเขาโดนรังแกถูกคนลากไปซ้อมในคืนก่อนสอบอยู่สามปีรวด จนมิอาจสอบผ่านได้ ซ้ำยังกลายเป็นคนหมดอนาคต ลู่ฉงซานพบเจอเขาหน้าตาสะบักสะบอมอยู่ในตรอกลึกจึงพากลับมาด้วย



เสี่ยวต้าฟ่านเป็นบุตรของคณิกาชื่อดังกับนายท่านคนหนึ่ง มารดาคลอดบุตรแล้วตายทำให้แม่เล้ามองว่าแฝดคู่นี้เป็นตัวอัปมงคล ตอนเด็กใช้ชีวิตอยู่ในมุมมืดของเมืองอย่างยากลำบาก พอโตขึ้นหน้าตาสะสวยโดดเด่นก็ถูกจับขายหอชายงามให้ประกอบอาชีพเดียวกับผู้เป็นแม่ ขายตัววันแรกลู่ฉงซานรู้สึกถูกชะตาจึงไถ่ตัวกลับมาทั้งคู่ ส่วนเจียวมี่ที่เด็กสุดหนีภัยแล้งมากับยายของตน สุดท้ายยายขาดใจตายหน้าจวนสกุลลู่จึงไม่รู้ว่าจะไปที่ใดต่อ ลู่ฉงซานจึงได้รับเขาเอาไว้ในบ้าน



ชีวิตแต่ละคนช่างรันทดชวนเศร้ายิ่งนัก หากเขียนละครสักเรื่อง เรื่องราวในบ้านสกุลลู่คงเป็นเรื่องของวีรบุรุษผู้ช่วยเหลือชายงาม เสียแต่วีรบุรุษที่ว่ามิใช่ชายหนุ่มผู้องอาจหล่อเหล่า แต่เป็นเพียงหมูตอนตัวหนึ่งเท่านั้น จะว่าไปหากคิดดูแล้วก็เป็นจริงอย่างที่เขากล่าวเอาไว้ อนุทั้งหกหากไม่มีนายท่านสกุลลู่ก็เป็นดั่งนกปีกหัก ไม่มีที่มา ไม่มีที่ไป ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตภายนอกได้อย่างไรดี



“หากจะรักทั้งหมดย่อมต้องดูแลพวกเขาให้ดี อย่าให้เขารู้สึกเหมือนตนไม่ได้รับความรักไม่ได้รับความยุติธรรม เจ้าปล่อยไว้เช่นนี้พวกเขามีแต่ทะเลาะเบาะแว้งกันเอง ภายในบ้านไม่รักใคร่ปรองดอง นอกบ้านยิ่งครหานินทา สุดท้ายแล้วตัวเจ้าก็ต้องพบเจอปัญหาไม่จบไม่สิ้น”



สีหน้าของลู่ฉงซานคล้ายถูกคนใช้ของแข็งตีใส่ศีรษะเข้าโดยแรง อันที่จริงเรื่องนี้เขาน่าจะเคยได้ยินผ่านหูมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่มีใครเอ่ยถึงสาเหตุนี้มาก่อน บิดามารดาเลี้ยงของเขาดุด่าเพียงว่าเขาไร้ความสามารถไม่สามารถดูแลเรื่องในบ้านให้ดี ส่วนตัวเขาทั้งรักทั้งหวงอนุชายทุกคนแต่ไม่รู้จะจัดการอย่างไรได้ นานวันเข้าจึงปล่อยให้เขาทะเลาะตบตีกันเองจนพอใจ พอทะเลาะกันเสร็จแล้วจึงค่อยไปปลอบใจทำรักมอบข้าวของให้ทีละคนทีละคืน



หันกลับไปอีกทีคราวนี้เป็นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นกว่าเดิมแล้ว ไม่รู้ว่าย่าเอ๋อร์ไปคว้ากระบี่อ่อนมาจากใคร ขณะนี้กำลังเริ่มตวัดกระบี่ใช้เพลงดาบฟาดฟันฝ่ายตรงข้ามเสียแล้ว ท่ามกลางเหตุการณ์นองเลือด อนุภรรยาคนอื่นได้แต่เบิกตามองด้วยความงุนงง เจียวมี่ที่เยาว์วัยถึงกับร้องไห้โฮ ข้าเหลือบมองรูปร่างท้วมของลู่ฉงซานพลันคิดว่าน่าจะใช้การได้ก่อนกำหนดกระมัง



ในจังหวะที่อาหมิ่นเสียจังหวะเพราะขาข้างที่ไม่ดี นายท่านของทุกคนซึ่งถูกข้ายึดครองร่างก็ถลาเข้ามาคั่นกลาง ลู่ฉงซานที่ฝึกวิชาเมฆคล้อยตะวันลับจึงทำให้มีกำลังภายในอยู่บ้าง มือข้างหนึ่งโอบเอวอาหมิ่นที่เสียการทรงตัวเอาไว้ มืออีกข้างบิดข้อมือย่าเอ๋อร์เบาๆ จนกระบี่อ่อนเล่มนั้นหลุดร่วงจากปลายนิ้ว ข้าเอื้อมมือไปโอบรอบสะโพกเขาเอาไว้ทันที



เห็นชายหนุ่มแปลกหน้าท่าทางไม่คุ้นเคยเข้ามาขัดขวาง มิหนำซ้ำมือยังวางได้ถูกที่ เหล่าอนุภรรยาได้แต่หันมองหน้ากันด้วยความตะลึงงัน อาหมิ่นและย่าเอ๋อร์จับจ้องมาที่ใบหน้าซึ่งเค้าโครงสันกรามเริ่มชัดเจน หยาดน้ำก็คลายปรากฏขึ้นในดวงตา แม้ไม่ถูกน้ำหน้าแต่ทั้งคู่กลับกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน “นายท่าน...”



“ย่อมเป็นข้าเอง” ข้าปล่อยคนงามทั้งสองออกจากอ้อมแขนแล้วยกยิ้มมุมปากให้กับทั้งคู่ สิ้นเสียงนั้นเหล่าอนุภรรยาก็ร่ำไห้ ต่างยินดีกับการเปลี่ยนแปลงในรูปร่างของลู่ฉงซานด้วยกันทั้งนั้น ตอนนี้พวกเขาคงเข้าใจแล้วว่าที่คนหายหน้าหายตาไปไม่ปรากฏตัว คงเพราะแอบไปลดความอ้วนจนออกมาดูดีขึ้นเช่นนี้



“ย่าเอ๋อร์ไม่ได้เห็นนายท่านมานานเหลือเกิน ท่านหล่อเหลายิ่งนัก” มือเล็กขาวราวหยกไล้ปลายนิ้วไปตามผิวแก้มชวนจั๊กจี้ ข้ากดจูบบนปลายนิ้วของเขาอย่างแผ่วเบาก่อนจะเหลือบมองอีกด้าน อาหมิ่นยังคงนิ่งเงียบมิกล่าววาจาอันใด แต่นัยน์ตายามจับจ้องมาที่ข้ากลับเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจยิ่งนัก



“นายท่านหายไปนานเช่นนี้ พวกเราเหล่าอนุภรรยาต่างจิตใจวุ่นวายจนก่อเรื่องน่าอายขึ้นแล้ว” อาหมิ่นนับว่ารู้จักสถานการณ์ดียิ่งนัก เรื่องทะเลาะเบาะแว้งถึงขั้นใช้กระบี่ไล่ฟันกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยเพราะจิตใจวุ่นวายเสียแล้ว ตัวเขาจัดการเรื่องในบ้านแทนภรรยาเอกมาหลายปี คงรู้ว่าเจ้าหมูหลีกเลี่ยงเรื่องแบบนี้เสียยิ่งกว่าอะไร



“พวกเจ้าเดือดเนื้อร้อนใจเช่นนี้ นายท่านเช่นข้าต้องปลอบใจเสียแล้วกระมัง” ข้ากล่าวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ เหล่าอนุภรรยาต่างเฝ้ามองด้วยสายตาเฝ้าคอยเป็นอย่างยิ่ง จะร่วมหลับนอนกับอนุภรรยาของเจ้าหมู ข้าย่อมต้องสอบถามเขาเสียก่อน ครั้งนี้ที่ข้ายืมใช้ร่างของลู่ฉงซานนั้นมิได้ขับไล่วิญญาณเขาออกไปแต่อย่างใด ยังเปิดช่องให้การรับรู้ของเขาเป็นปรกติเสียด้วยซ้ำ เพียงเท่านี้เจ้าคนแซ่ลู่ก็รับรู้แล้วว่าข้าจะเริ่มกระทำการสอนวิชาร่วมรักแบบปฏิบัติจริงให้เขาแล้ว



‘เจ้าจะเลือกใครเล่า อาหมิ่นหรือว่าย่าเอ๋อร์’



‘...’ เจ้าอ้วนเงียบงันไปครู่หนึ่งคล้ายครุ่นคิดอยู่บ้าง ด้านหนึ่งเป็นดวงตาออดอ้อนของย่าเอ๋อร์ อีกด้านกลับเป็นอาหมิ่นที่หลุบตาลงต่ำ ท่าทางคล้ายปลดปลงอยู่หลายส่วน มองแล้วก็ชวนให้ปวดใจอยู่ไม่ใช่น้อย ‘อาหมิ่นก็เป็นอนุคนแรกของข้า อย่างไรเสียก็ต้องให้เกียรติเขาบ้าง’



ฟังแค่นั้นข้าก็พอเข้าใจแล้วว่าพื้นที่ในใจของลู่ฉงซานมีใครกันแน่ ข้าขยับยิ้มอ่อนโยนให้กับเหล่าอนุภรรยาทั้งหมด



“เช่นนั้นคืนนี้นายท่านจะพักค้างกับอาหมิ่นก็แล้วกัน”



อาหมิ่นมองกลับมาด้วยดวงตาเบิกกว้างคล้ายไม่เชื่อสายตา ส่วนย่าเอ๋อร์ท่าทางคล้ายว่าถูกรังแก น้ำตาหยดเผาะเต็มสองแก้มเสียแล้ว





ค่ำคืนนั้นยามข้าก้าวเท้าเข้าไปในเรือน ข้ามิได้ให้คนไปเรียกอนุภรรยาเพื่อให้ออกมาต้อนรับแต่อย่างใด จึงพบอาหมิ่นนั่งอยู่หน้ากระจกทองเหลือง เรือนผมยาวสยายทิ้งตัวดังม่านราตรี ท่าทางคล้ายยังแต่งตัวไม่เสร็จดี ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีล้วนแต่ชอบการเอาใจทั้งนั้น ข้าจึงหยิบหวีมาช่วยสางผมให้กับเขา อาหมิ่นตกใจอยู่บ้างตั้งใจจะแย่งเอาหวีคืน แต่เมื่อนายท่านของเขาขยับยิ้มหวานทำท่าต้องการคล้ายจะเอาใจ สุดท้ายคนก็ยอมรับแต่โดยดี



สางเรือนผมให้จนเรียงตัวดี ข้าก็โน้มตัวลงเกยคางกับบ่าของเขา สองแขนโอบรอบเอวสอบที่แข็งแกร่งสมเป็นบุรุษ กลิ่นกายหลังอาบน้ำของอาหมิ่นหอมสะอาดคล้ายดอกบัวไม่มีผิด ข้าใช้ปลายจมูกคลอเคลียไปตามลำคอขาว เสียงของลู่ฉงซานแหบพร่าอยู่แล้วเมื่อใช้น้ำเสียงข้าเข้าไปจึงยิ่งคล้ายล่อลวงคนมากยิ่งกว่าเดิม “หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว”



อีกฝ่ายหันหน้ากลับมามองพลางเปิดริมฝีปากขึ้นราวกับต้องการเอ่ยอะไรบางอย่าง ข้ามิให้อาหมิ่นได้มีโอกาสได้ว่ากล่าวสิ่งใด กลับกดจุมพิตแนบแน่นช่วงชิงริมฝีปากนิ่มไปเสียก่อน ปลายลิ้นสอดรุกไล่เข้าไปในโพรงปากร้อนของเขา กวาดเลียซึมซับทั้งรสหวานและพลังหยางที่อบอวลจากร่างของเขา ข้านับว่าเป็นผีที่ดีเป็นอย่างยิ่ง พลังส่วนหนึ่งดึงเข้าวิญญาณตนอีกส่วนทิ้งไว้ในร่างของลู่ฉงซานเพื่อรักษาอาการหยินมากหยางพร่อง ต่ออายุชีวิตให้คนมากขึ้นกว่าเดิม



อาหมิ่นที่ถูกล่อล่วงด้วยจุมพิตหวานล้ำ เมื่อรู้ตนอีกทียามข้าถอนจูบออกก็พบว่าตนเอนตัวนอนอยู่บนพื้นเตียง สาบเสื้อเปิดอ้าจนเห็นยอดอกสีก่ำที่ตัดกับแผ่นอกขาว ข้าไล่ริมฝีปากขบเม้มไปตามลำคอก่อนจะเลื่อนลงต่ำจนครอบครองดูดดุนปุ่มนูนกลางหน้าอกของเขาในที่สุด



“อื้อ...” เมื่อถูกกระตุ้นอารมณ์มากเข้า เสียงครวญในลำคอดังก็ขึ้นแผ่วเบา แม้จะเป็นชายมากรักแต่ลู่ฉงซานกระทำเรื่องเล่านี้ได้ไร้ศาสตร์และศิลป์ยิ่งนัก คราวนี้ข้าอ่อนโยนกับอาหมิ่นเป็นพิเศษ คนจึงรู้สึกแปลกใหม่และให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ครั้นข้าปลดสายคาดเอวของเขาโยนทิ้งไปข้างเตียง ขาทั้งสองข้างของคนงามผู้เงียบขรึมก็แยกออกจากกัน ข้าวาดมือลูบไล้ตามเพรียวขาที่ไร้ไขมัน ช้อนขาข้างซ้ายของเขาขึ้นมาพาดไว้บนบ่า บีบนวดจากปลายเท้าขึ้นมาถึงรอยแผลเป็นหน้าขาก่อนจะกดจูบลงไปหนักๆ แสดงความรักตามที่เจ้าหมูแซ่ลู่สมควรจะทำ



“นายท่าน...” ดวงตาเรียวที่เต็มไปด้วยอารมณ์หวามไหวคู่นั้นปรือลงต่ำ ใบหน้าชวนมองในยามปรกติของอาหมิ่นยามนี้ขึ้นสีแดงก่ำดูเย้ายวนกว่าเดิมอยู่หลายส่วน ข้าขบกัดตามรอยแผลที่สมานตัวดีแล้วช้าๆ ขณะที่มือข้างหนึ่งเอื้อมลงไปเบื้องล่าง เมื่อปลายนิ้วกดสอดไปตามปากทางอันอ่อนนุ่มก็รับรู้ได้ว่าคนเบื้องหน้าเตรียมตัวขยายตนมาส่วนหนึ่งแล้ว สาเหตุคงเพราะเจ้าหมูไม่รู้จักถนอมคนเช่นเคย



ข้าขยับนิ้วหมุนวนไปตามผนังอ่อนนุ่มที่บีบรัดเป็นจังหวะ เพียงไม่นานเห็นท่าทางหมดความอดทนใกล้จะร่ำไห้ของคนก็ดึงปลายนิ้วออกเพื่อจ่อความแข็งขืนเข้าไปแทนที่ แท่งหยกของเจ้าอ้วนถึงจะไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย พอไม่มีพุงหนาบดบังก็ไม่น่าเกลียดเท่าตอนแรกแล้ว



“อะ...อ๊า...” สอดกายเข้าไปในช่องทางรักอันรัดรึงพลางกระทั้นกายไม่กี่ครั้ง ข้าก็พบเจอจุดอ่อนไหวที่สร้างความรัญจวนใจให้กับอาหมิ่นได้มากยิ่งกว่าเคย คนปิดเปลือกตาลงพร้อมกับเปิดปากร้องเสียงหวาน เพราะมิสามารถกักเก็บอารมณ์อันพุ่งสูงได้อีกต่อไป



“เจ้าอย่าได้กังวลใจ มิว่าข้าจะมีใครมากมาย แต่อาหมิ่นยังเป็นรักแรกของลู่ฉงซานเสมอ” ข้าโน้มตัวลงกระซิบถ้อยคำหวานที่ข้างหู ก่อนจะขบเม้มติ่งหูนิ่มของเขาอย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงเอ่ยถ้อยคำสัญญาที่ลู่ฉงซานตัวจริงจะต้องทำได้อย่างแน่นอน หรือต่อให้ทำไม่ได้ข้าก็จะบังคับให้เขาทำเอง “ข้าจะดูแลมอบความรักให้เจ้ามากกว่านี้ ที่ผ่านมาอย่าได้ถือสากันเลย”



อาหมิ่นร้องครางเสียงต่ำในลำคอ คนพยักหน้ารับทั้งที่หางตายังคลอหน่วยด้วยหยดน้ำตา ข้าขยับปลายนิ้วสางเรือนผมยาวที่เปียกชื้นของเขา แล้วกดจูบซับหยาดน้ำให้อย่างแผ่วเบา เรียวขาแข็งแกร่งโอบรัดรอบเอวข้าแน่นหนาขึ้นกว่าเดิม สะโพกขยับสอดรับทุกการขยับเสียดสี ท่าทางอาหมิ่นยิ่งเปี่ยมสุขคล้ายตกอยู่ในห้วงรักจนเต็มหัวใจ



“ฉงซาน...ข้าเองก็รักท่าน”



ข้าซึ่งเป็นปรมาจารย์ด้านวังวสันต์ย่อมรู้ว่าความรักของเขาเป็นเรื่องจริง เพราะเรื่องแสดงละครเสแสร้งทำเป็นรัก ข้าเยี่ยอู๋จวินเก่งกาจเสียยิ่งกว่าใคร



เสียแต่ว่าใจของข้าไม่ได้มีไว้มอบความรักให้ใครเลยสักคน



โปรดติดตามตอนต่อไป...

หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 4 [26-9-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ง่วงนอน ที่ 26-09-2019 19:33:28
 o13  o13  :hao3:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 4 [26-9-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 26-09-2019 22:55:42
 o13


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 4 [26-9-19]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 27-09-2019 14:53:28
ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 4 [26-9-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 27-09-2019 16:47:04
บทที่ 5 ว่างงานจนเกินไป ย่อมทำให้จิตใจฟุ้งซ่าน



ข้าใช้ร่างอวบท้วมของลู่ฉงซานมอบความสุขสมให้กับอาหมิ่นอยู่ครึ่งค่อนคืน เสร็จกิจเรียบร้อยก็ออกจากร่าง ปล่อยให้สามีผู้แสนดีนอนกอดก่ายอนุภรรยาแสนรักต่อไป ถึงยามเหม่าก็เข้าไปหลอกหลอนควักไส้มาพันรอบคอคน ปลุกให้เจ้าอ้วนลุกขึ้นมาฝึกวิชาต่อไป ถึงจะยังง่วงงุนและแววตาเลื่อนลอยคล้ายยังติดใจรสรักเมื่อคืน แต่เจ้าตัวไม่ได้ความแซ่ลู่ยังอุตส่าห์คุกเข่าขอบคุณที่ชี้แนวทางให้เขา พร้อมรีบสำทับว่าหากจะใช้ร่างเมื่อไร เขาย่อมยินดี



คนที่สมองเต็มไปด้วยเรื่องตัณหา ย่อมถูกผีลามกอย่างข้าชักจูงได้ง่าย ลู่ฉงซานเป็นเช่นนี้แม้จะเป็นประโยชน์ต่อข้า หากแท้จริงแล้วอันตรายต่อเขาอยู่ไม่น้อย อายุสิบแปดจิตใจมัวเมาอยู่กับเรื่องเช่นนี้ คล้ายว่าจะไม่เหมาะสมอยู่มาก ชายวัยนี้เป็นวัยกระตือรือร้นขวนขวายเรียนรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งมิใช่หรือ บ้างบ้าวิทยายุทธ์ บ้างบ้าท่องตำรา ตัวข้าเมื่ออายุเท่านั้นยังร่อนเร่พเนจรไปทั่วเหนือจรดใต้เพื่อพัฒนาเคล็ดวิชาของตนเอง เจ้าหมูตัวนี้กลับวันๆ เสพสุขอยู่ในบ้าน มิออกไปเผชิญโลกกว้าง นับว่าว่างงานเกินไปแล้ว



ถ้าจะโทษตามจริงต้องโทษที่การเลี้ยงดูของสกุลลู่ บิดาของเจ้าหมูพอเห็นลูกชายไม่ได้เรื่องได้ราวก็ไม่ได้สนใจจะแก้ไขอะไร ตราบใดที่ไม่สร้างเรื่องเดือดร้อนใหญ่โตก็ปล่อยให้เขาเสพสุขไปตามประสา ส่วนความรักความใส่ใจเลี้ยงดูทั้งหมดกลับมอบให้บุตรชายคนรองจากอีกภรรยาเสียหมด ลู่ฉงซานไม่อยากเล่าเรียนศึกษารับราชการก็มิเป็นไร ตราบใดที่น้องชายของเขายังเล่าเรียนดีอนาคตไกลพร้อมรับราชการสืบทอดสกุล ว่าแล้วเรื่องน้ำเน่าเหม็นหึ่งพรรค์นี้ก็น่ารำคาญอยู่ไม่ใช่น้อย



ข้าเหลือบมองอดีตหมูตอนที่ยามนี้ฝึกวิชาอย่างขยันขันแข็งพลันนึกคิดขึ้นมาได้ ลู่ฉงซานก็ดี อนุภรรยาของเขาก็ดี ล้วนต่างเป็นผู้ว่างงานจนจิตใจฟุ้งซ่านด้วยกันทั้งสิ้น หากแก้ไขตรงนี้ได้ก็น่าจะลดนิสัยเหลาะแหละไม่เอาความของเจ้าหมูได้อยู่บ้าง ส่วนอนุชายของพวกเขาก็คงจะทะเลาะเบาะแว้งสร้างเรื่องก่อราวน้อยลงกว่าเดิม เช่นนี้ถือว่าข้าไม่ผิดต่อผีแก่สกุลลู่แล้ว



“นอกจากอนุภรรยาเหล่านั้นแล้ว เจ้ายังพอมีความสนใจสิ่งใดอยู่บ้าง” ได้ยินข้าถามขึ้นมาอย่างไม่มีที่มาที่ไปเช่นนี้ เจ้าอ้วนถึงกับชะงักตนเบิกตามองข้าด้วยความโง่งมเป็นอย่างยิ่ง คนเอ่ยปากกำลังจะบอกปฏิเสธว่าไม่มีความสนใจเรื่องราวอะไร แต่เมื่อข้าจ้องเขม็งยิ่งขึ้นพร้อมขยับยิ้มริมฝีปากเบาบางเหมือนเวลายามข้าลงโทษที่เขาฝึกวิชาไม่ได้ดั่งใจ หมูตอนสกุลลู่พลันตัวสั่นระริกในทันที



“แม้มิได้สนใจมากมาย แต่พอมีความรู้เรื่องผ้าไหมใบชาอยู่บ้าง” ครุ่นคิดเงียบงั้นไปครู่หนึ่ง ลู่ฉงซานจึงหาคำตอบที่ไม่น่าเกลียดนักออกมาได้ ยามท่าทางของคนนอบน้อมยิ่งนัก ใบหน้าก้มต่ำคล้ายไม่กล้ามองหน้าข้า คล้ายว่าละอายใจที่ตนไม่มีความรู้ด้านการศึกษาวิชาปราชญ์เหมือนเช่นคุณชายบ้านอื่น



ผ้าไหมนั้นคงเป็นเพราะย่าเอ๋อร์ชอบแต่งตัว ส่วนใบชาคงเป็นเพราะอาหมิ่นชอบชงชา คำตอบของเจ้าหมูสมแล้วกับเป็นชายมากรัก ตนเองชอบอะไรสนใจสิ่งใดยังไม่รู้ แต่ถ้าเป็นเรื่องสิ่งของที่ต้องใช้เอาใจเหล่าอนุกลับรู้จักดี ข้าลองทดสอบความรู้สอบถามชื่อผ้าไหมและชื่อชาเพื่อให้เขาตอบแหล่งที่มา ลู่ฉงซานตอบได้ฉะฉานยิ่งนัก ซ้ำยังสามารถอธิบายได้ละเอียดว่าเดือนไหนต้องสรรหาของจากที่ไหน นับว่าไม่ธรรมดาแล้วจริงๆ



“ความรู้ของเจ้านับว่าประเสริฐดียิ่ง” เมื่อได้รับคำชม ใบหน้าอวบก็ปรากฏรอยยิ้มกว้างพร้อมดวงตาเป็นประกายระยิบระยับคล้ายดีใจยิ่งนัก ทุกสิ่งล้วนบ่งบอกให้รู้อย่างชัดเจนว่าชีวิตเจ้าอ้วนขาดแคลนคำชม มิเช่นนั้นเรื่องเล็กน้อยแค่นี้คงไม่สามารถทำให้เขาเปี่ยมสุขขนาดนี้ได้ “เช่นนั้นไยมิลองศึกษาเพื่อทำการค้าขายดูเล่า เจ้ามีเงินทองมากมาย เปิดร้านขายของดีมีระดับ รู้จักสรรหาสิ่งของมาขายตามฤดูกาล ร้านค้าของเจ้าย่อมมีอนาคตไกล”



หากเจ้าอ้วนเปิดร้านค้าได้จริงย่อมทำให้ผู้คนรอบข้างวุ่นวายกว่าเดิม ร้านใบชาให้อาหมิ่นดูแล ร้านผ้าไหมให้ย่าเอ๋อร์จัดการ ส่วนเจ้าตัววิ่งวุ่นหาสินค้าเข้ามาเติมในคลัง อนุภรรยาคนอื่นก็สามารถช่วยเหลืองานมากมายล้นมือเหล่านั้นได้ เพียงเท่านี้คนว่างงานก็จะไม่ว่างงานอีกต่อไป เมื่อไม่ว่างแล้วเวลาที่จะนำมาใช้กับเรื่องไร้สาระย่อมลดน้อยลง



“ท่านเยี่ยยกย่องกันเกินไปแล้ว ความรู้ของข้ามีเพียงน้อยนิด ไฉนจะสามารถนำไปใช้ขายของได้ อีกอย่างลงทุนเปิดร้านเช่นนี้ต้องใช้เงินทองมากมาย อาชีพพ่อค้าไม่ใช่อาชีพชั้นสูงเท่าไร เกรงว่าท่านพ่อคงจะไม่อนุญาต” คนกลับไปทำตัวลีบเล็กเป็นผักกาดขาวใต้ดินที่น่าสงสารอีกครั้ง ช่างไม่เหมาะกับรูปร่างท้วมของเขาเลยสักนิด เห็นทีว่าการใช้คำชมคงไม่เพียงพอที่จะหลอกล่อให้ลู่ฉงซานรู้จักพากเพียรขึ้นมาได้ แต่ผีเช่นข้าย่อมมีหนทางช่วยกล่อมเกลา สิ่งใดเหล่าจะใช้หลอกล่อคนลามกได้ดีเท่าเรื่องเช่นนั้น



“ลองดูก่อนก็ไม่เสียหายมิใช่หรือ หากร้านค้าของเจ้าประสบความสำเร็จล่ะก็...” ข้าขยับเข้าไปใกล้เจ้าอ้วนมากขึ้น ลดระดับเสียงลงจนแทบเป็นเสียงกระซิบ “ข้าจะสอนวิถีร่วมสามหรรษาสุขสันต์ระหว่างเจ้ากับเสี่ยวต้าฟ่านให้”



ได้ยินดังนั้นใบหน้าขาวอวบพลันแดงก่ำจนถึงติ่งหู แม้จะเป็นเวลาเช้าตรู่ คนกำลังฝึกวิชาลมปราณเพื่อสร้างร่างกายให้แข็งแกร่งขึ้น แต่เลือดกำเดาของนายท่านลู่ก็ไหลพุ่งทะลักออกมาแล้ว



แน่นอนว่าคนรับปากเป็นอันว่าตกลง



ยามเช้าเกลี้ยกล่อมเจ้าอ้วนเป็นอันเรียบร้อย ตกยามค่ำคืนข้าก็เข้าสิงยืมใช้ร่างของลู่ฉงซานเช่นเคย คืนก่อนปรนเปรออาหมิ่นจนรักใคร่สุขสมดีแล้ว คืนนี้ย่อมต้องไปปลอบใจคนงามคนอื่นเสียบ้าง ริจะเป็นชายเจ้าชู้มากรักก็ลำบากเช่นนี้ หากฝนตกไม่ทั่วฟ้าดุลอำนาจในบ้านไม่สมดุล ต่อไปเรื่องราวทะเลาะเบาะแว้งของเหล่าอนุภรรยาในสกุลลู่คงได้วุ่นวายกว่าเดิมเป็นแน่



เมื่อวานครั้งไปหาอาหมิ่นข้ามิได้ให้คนรับใช้ไปบอกให้เขาออกมารับ แต่ครั้งนี้เมื่อไปหาย่าเอ๋อร์ ข้ากลับไม่ได้บอกให้คนรู้ตัวเสียด้วยซ้ำ ปล่อยให้เขาคิดว่าข้าคงพักค้างกับศัตรูคนละฝ่ายของเขาอีกคืน จุดประสงค์ข้าในครั้งนี้ หนึ่งเป็นเพราะต้องการดัดนิสัยโดดเด่นเอาแต่ใจของคนงามผู้นี้บ้าง มิใช่คอยตามใจเขาตลอดเวลาเหมือนที่เจ้าอ้วนทำ สองคือยามคนไม่ได้เตรียมพร้อมมักจะแสดงตัวตนออกมามากที่สุด ข้าเพียงอยากเห็นอาการโดยธรรมชาติปราศจากการแสดงของอนุภรรยารักเพียงเท่านั้น



สิงสถิตอยู่ในจวนสกุลลู่มานานนับเดือน ข้าย่อมรู้ว่าเวลาประมาณนี้เป็นยามที่ย่าเอ๋อร์ผู้มีรสชาติเผ็ดร้อนกำลังเปลื้องผ้าแช่กายในน้ำร้อนอยู่เป็นแน่ เมื่อข้าใช้ก้าวเดินไร้เสียงเข้าไปจนถึงภายในก็พบว่าเป็นจริงดังคาด อดีตทายาทของฉู่อ๋องหันหลังให้กับฉากกั้น ลำตัวเอนผิงขอบถังคล้ายคนไร้เรี่ยวแรง เส้นผมยาวสยายปกคลุมไหล่ลาดเล็กที่สั่นระริก ท่าทางคล้ายลูกนกเปียกน้ำที่ต้องการความอบอุ่นเป็นอย่างมาก



“ใครน่ะ” คนพอมีวิทยายุทธอยู่บ้าง ไม่นานจึงสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของผู้บุกรุก ย่าเอ๋อร์หันหลังกลับมาด้วยความรวดเร็ว...รวดเร็วเสียจนคนยังไม่ทันได้เช็ดหยดน้ำบนใบหน้า ภาพดวงหน้าขาวจัดซีดเซียวตัดกับเรือนผมเปียกลู่สีเข้มและน้ำร้อนที่สาดกระจายเป็นระลอกคลื่นล้วนทำให้ตาพร่าอยู่บ้าง แต่หัวใจคันยุบยิบอยู่มาก เศษเสี้ยวความรู้สึกหนึ่งของเจ้าหมูที่ข้าสัมพันธ์ได้คล้ายว่าหัวใจของเขาเจ็บแปลบยิ่งนัก นึกอยากจะขยับไปตระกองกอดคนเบื้องหน้าเอาไว้และลูบหัวจูบแก้มพร่ำบอกมิให้เขากังวลต่อสิ่งใด



“นายท่าน...” ย่าเอ๋อร์รีบยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของตนเอง ทำท่าทางราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น คนงามเกาะขอบอ่างมองตรงมายังข้าด้วยท่าทางเง้างอด ปากแดงจัดว่ากล่าววาจาประชดประชัน หากดวงตากลมโตนั้นยังคงแดงระเรื่อ “คิดว่าท่านเสพสุขอยู่ที่เรือนตะวันตก จนไม่มีวันมาเหยียบเรือนตะวันออกของข้าอีกต่อไปแล้ว”



เห็นน้ำตาของเขา ซ้ำยังได้ยินเขาตัดพ้อถึงเพียงนี้ มีหรือที่ข้าจะไม่กล้าปลอบโยน ข้าถอดรองเท้าก้าวเข้าไปหาเรือนร่างเปลือยเปล่าในถังน้ำ เอื้อมมือไปแตะผิวแก้มเนียนละเอียดก่อนจะใช้ปลายนิ้วของตนแตะกับขอบตาแดงระเรื่อของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา “ทำให้เจ้าน้อยใจเข้าแล้ว ต้องชดเชยอย่างไรดีเล่า”



ย่าเอ๋อร์คล้ายพอใจกับคำพูดนั้นไม่น้อย เขาขยับใบหน้าคลอเคลียไปตามฝ่ามือของข้า ท่าทางราวกับลูกแมวยามออดอ้อนเจ้านายไม่มีผิด เด็กหนุ่มแนบจูบลงบนปลายนิ้วเบาๆ เลียนแบบอากัปกิริยาที่ข้าทำกับเขาเมื่อวานนี้ แต่นำไปปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นด้วยการใช้แนวฟันขาวขบกัดตามข้อนิ้วของข้าโดยไล่เพิ่มน้ำหนักมากขึ้นทุกที “ขอเพียงท่านยังรักและเมตตาย่าเอ๋อร์ก็พอใจแล้ว”



ดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นบ่งบอกความจริงในถ้อยคำของเขาอยู่ครึ่งหนึ่ง เรื่องที่ต้องการให้รักและเมตตาล้วนเป็นความจริง หากแต่ว่าสองสิ่งนั้นคงมิสามารถทำให้หลานจื่อเย่พอใจได้ จากนิสัยดั้งเดิมของเขาคงมีเพียงการครอบครองทุกสิ่งอย่างของลู่ฉงซานกระมังจึงจะทำให้พึงพอใจได้­



เพียงเท่านี้ข้าก็เข้าใจเรื่องราวภายในบ้านสกุลลู่มากยิ่งกว่าเดิม ปัญหาหลักของอาหมิ่นคือการที่สามีไม่แสดงความรักใคร่ให้เขาเท่าไรนัก ปัญหาหลักของย่าเอ๋อร์คือการต้องการครอบครองมากจนเกินไป เจ้าหมูมีอนุภรรยาและสาวใช้อุ่นเตียงนับรวมกันแล้วเกินสิบ เป็นพวกมากรักหลายใจ แล้วจะสามารถทุ่มเทความรักให้เขาคนเดียวได้อย่างไรเล่า



อนุชายผู้นี้นับว่าโง่งมอยู่มาก ยึดถือสามีเป็นดั่งโลกของตนจนมิสนใจสิ่งอื่น หึงหวงจนเกิดพอดี หากหาสิ่งใดที่เหมาะสมมาดึงความสนใจของเขาออกไปได้บ้าง ให้เขารู้จักทุ่มเทบางสิ่งเพื่อตนเองบ้าง เวลานั้นบ้านสกุลลู่ก็คงอยู่ได้อย่างสงบแล้ว เขาคงไม่หลอกล่อกล่าววาจาปั่นหัวฝาแฝดเสี่ยวต้าฟ่านและไม่หาเรื่องทะเลาะทำร้ายร่างกายอาหมิ่นและพรรคพวกอีกต่อไป



เห็นข้ายิ้มแย้มไม่ตอบรับคำพูดของเขาแต่อย่างใด คนก็คล้ายจะร้อนใจขึ้นมาบ้าง ย่าเอ๋อร์ที่รู้ใจสามีของตนเองดีว่าเนื้อแท้เขาไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย ไม่เคยนำตนไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาใดๆ ก็รีบเปลี่ยนสีหน้าในทันที คนหรี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมขยับรอยยิ้มหวานเชิญชวน ช่างเป็นเจ้าตัวเล็กที่แสดงละครเก่งเหลือเกิน “นายท่านรอสักครู่ได้หรือไม่ ข้าของล้างตัวอีกไม่นานแล้วจะไปปรนนิบัติรับใช้ท่านเป็นอย่างดี”



“เช่นนั้นไยย่าเอ๋อร์ไม่ปรนนิบัติข้าอาบน้ำเสียเล่า” เรื่องแสดงละครเช่นนี้ข้าเองก็ไม่น้อยหน้าใครเช่นกัน กล่าวจบข้าก็ปลดสายคาดเอวพร้อมเสื้อผ้าของลู่ฉงซานออกไปเสียหมด มิได้สนใจดวงตากลมโตที่เบิกกว้างขึ้นคล้ายตกใจและไม่เชื่อสายตา เมื่อร่างอวบท้วมก้าวเข้าไปในถังน้ำใบเดียวกับอนุภรรยาคนงาม น้ำร้อนด้านในพลันกระฉอกออกมากเกินครึ่ง ความจริงทำเรื่องยวนยางขณะเปลือยกายอาบน้ำมิได้มีจุดประสงค์เพื่อการชำระล้างร่างกาย หากมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มความแปลกใหม่ให้กับชีวิตคู่รัก น้ำเต็มถังก็ดี ครึ่งถังก็ดี เวลาตกอยู่ให้ห้วงหฤหรรษ์แล้วสมองเจ้าจะมีพื้นที่ให้นึกคิดสิ่งใดอีกหรือ



แม้ขนาดร่างกายของย่าเอ๋อร์จะไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก แต่ด้วยขนาดตัวเจ้าตัวไม่ได้ความสกุลลู่ พอเข้าไปเบียดในถังน้ำย่อมทำให้รู้สึกคับแคบอยู่บ้าง ใบหน้างดงามสมกับมีเชื้อสายราชวงศ์ของย่าเอ๋อร์ฉายแววงุนงงไม่รู้ว่าจะจัดการมือเท้าตนเองอย่างไรดี จนกระทั่งข้าวางมือโอบเอวของเขาเอาไว้พร้อมกับรั้งร่างเพรียวขึ้นมาซ้อนทับบนหน้าขา ท่าทางแปลกใหม่ใกล้ชิดเช่นนี้ทำให้ผิวแก้มคนงามเริ่มเจือสีระเรื่อด้วยความขัดเขินขึ้นมาบ้าง



“อยู่อย่างนี้แล้วจะอาบน้ำให้นายท่านได้อย่างไรกัน” ริมฝีปากแดงก่ำกล่าววาจาออกมาได้น่ารักยิ่งนัก ข้าลากปลายนิ้วไปตามผิวเนื้อเนียนนุ่มบนเอวบางที่กว้างเพียงแค่หนึ่งฝ่ามือก่อนจะเค้นคลึงเล่นอย่างแผ่วเบา ส่วนมืออีกข้างก็จับมือนิ่มของอีกฝ่ายเอาไว้ นัยน์ตาจับจ้องลึกเข้าไปในดวงตาหงส์คู่นั้น ความรู้สึกหวั่นไหวจากย่าเอ๋อร์ทำให้เสี้ยววิญญาณของลู่ฉงซานเป็นสุขยิ่งนัก



“ตรงไหนที่ควรสัมผัส...ย่าเอ๋อร์ย่อมรู้ดีมิใช่หรือ” ข้าวางฝ่ามือเล็กลงบนแผ่นอกของตนเอง จากนั้นจึงค่อยจับลากลงต่ำให้มือนิ่มสัมผัสไปตามเรือนร่างผู้เป็นสามี ครั้นเมื่อเลื่อนลงไปเบื้องล่างยิ่งขึ้น ข้ากลับละมือออกให้เขาเป็นอิสระ ย่าเอ๋อร์ที่มิเคยมีโอกาสได้เป็นผู้ควบคุมบทเพลงรักมาก่อนพลันเข้าใจได้ทันทีว่าต้องทำสิ่งใดต่อไป นิ้วเรียวกอบกุมส่วนกลางร่างกายของข้าเอาไว้ก่อนจะเริ่มรูดรั้งอย่างเงอะงะท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูเป็นอย่างยิ่ง



ข้าส่งเสียงครางต่ำๆ ในลำคอคล้ายเป็นการให้กำลังใจอีกฝ่าย ยิ่งได้ยินเสียงสุขสมเช่นนี้ คนชอบครอบครองเป็นเจ้าข้าวเจ้าของย่อมย่ามใจอยากกระทำการมากยิ่งกว่าเดิม ปลายนิ้วขยับรัดแน่นยิ่งขึ้น กระทั่งจังหวะขยับมือยังหนักหน่วงปลุกเร้าเสียจนส่วนที่หลับใหลแข็งขืนขึ้นตามมือของเขา



กระทำการปรนเปรอได้ดีเช่นนี้ข้าย่อมต้องให้รางวัล ข้าแนบจูบลงบนลำคอขาวผ่องก่อนจะขบฟันลงไปจนเป็นรอยเขี้ยว เสียงร้องประท้วงเบาๆ พร้อมกับนิ้วมือที่กำรั้งแน่นขึ้นยิ่งแสดงให้เห็นว่าคนเบื้องหน้าช่างเรียนรู้วิธีการทรมานผู้คนได้เก่งกาจเป็นอย่างยิ่ง บทเพลงรักยิ่งเร่งจังหวะโหมกระหน่ำมากขึ้นทุกขณะ มือข้างหนึ่งของข้าทั้งนวดคลึงยอดอกที่ชูชันทั้งใช้ปลายเล็บสะกิดหยอกล้อคน เช่นเดียวกับมืออีกข้างที่บีบเค้นสะโพกอิ่มจนย่าเอ๋อร์หลุดครางแผ่วเบา



นักเรียนชั้นดีเพียงใดคงมิสามารถต่อกรกับปรมาจารย์วังวสันต์เช่นช้าได้ ขณะที่หลานจื่อเย่ยังคงวุ่นวายกับการยั่วเย้าท่อนเนื้อร้อนของสามีไม่หยุด ปลายนิ้วของข้าก็ลากตามร่องสะโพกจนแตะที่รอยพับจีบหน้าปากทางอันปิดแน่นเสียแล้ว อาศัยความชุ่มชื้นจากน้ำอุ่นทำให้ข้าสอดนิ้วเข้าไปภายในได้โดยไม่ยากนัก ถูกรุกรานกะทันหันเช่นนี้ย่อมทำให้คนงามหยุดชะงักมือ ย่าเอ๋อร์พยายามขยับหลีกหนีแต่ผิวกายร้อนผะผ่าวของเขากลับแนบชิดเข้ามาใกล้ข้ายิ่งกว่าเดิม ข้าประกบริมฝีปากมอบจูบเร่าร้อนแนบแน่นให้กับคนเบื้องหน้าพร้อมกับที่กดกระแทกปลายนิ้วขยับขยายช่องทางรักไปด้วย



เทียบกับรสรักเมื่อคืนก่อนกับอาหมิ่นผู้แสนเรียบร้อยว่าง่าย นับว่าคนงามผู้นี้ใจถึงและกล้าแสดงออกกว่ามาก เพียงแตะปลายลิ้นไล่เลียชักนำไม่กี่ครั้ง ย่าเอ๋อร์ก็สอดลิ้นเข้ามาเป็นฝ่ายรุกล้ำแทน ข้าได้แต่หัวเราะในใจ ยอมเป็นผู้ตามแต่โดยดี หากมือเบื้องล่างกลับสอดนิ้วที่สองเข้าไปเสียแล้ว กางปลายนิ้วรุกล้ำเสียดสีความคับแคบหยอกล้อกับจุดอ่อนไหวจนเอวอ่อนยวบยาบอยู่ครู่หนึ่ง อนุภรรยาผู้แสนเอาแต่ใจก็หมดความอดทนเสียก่อน



“อึก...ไม่ไหวแล้ว” เขาถอนริมฝีปากออกมาแล้วมองข้าด้วยสายตาเว้าวอน กลีบปากที่บวมเจ่อเล็กน้อยดูยั่วเย้าราวมารน้อยที่พร้อมปั่นหัวทุกคน สองแขนเล็กโอบรอบลำคอของข้าเอาไว้ “ข้าต้องการนายท่าน”



“ย่าเอ๋อร์...เด็กดี” ข้ากดจูบลงบนขมับของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา ท่าทีอันอ่อนโยนที่แสดงออกมาขัดกับนิ้วที่ถูกกระชากออกด้วยความรวดเร็ว ข้ายกสะโพกของย่าเอ๋อร์ขึ้นก่อนจะกดรั้งลงมาให้แกนกายของตนจ่อที่ปากทาง ครั้นกดตัวเขาลงมาจนสุดโคน ร่างเพรียวบางพลันสั่นระริกขึ้นมา ริมฝีปากอิ่มอ้าออกเล็กน้อยเพื่อผ่อนลมหายใจราวกับต้องการระบายความรู้สึกเจ็บแปลบระคนเสียวซ่านออกมา



น้ำที่กระฉอกออกมาจากถังน้ำจนเหลือไม่มากแล้ว คราวนี้กลับยิ่งสั่นไหวกระเด็นเซ็นซ่านเสียยิ่งกว่าเดิม ข้าจับบั้นเอวของอีกฝ่ายเอาไว้เพื่อออกแรงชักนำให้คนกดสะโพกลงมาเสียดสีเพื่อเติมเต็มความต้องการของอนุชายคนงามด้วยรสรักอย่างที่เขามิเคยได้สัมผัสมาก่อน ย่าเอ๋อร์ชื่นชอบความรู้สึกได้เป็นฝ่ายควบคุมเช่นนี้ไม่นานก็รู้จักแอ่นสะโพกกดกระแทกด้วยตัวเอง ซ้ำยังรู้จักเปิดปากร้องครวญครางเสียงหวานยั่วเย้าผู้อื่นเสียอีก



เอวอ่อนของอนุคนงามขยับส่ายบดเบียดเสียดสีอยู่พักหนึ่ง ย่าเอ๋อร์ก็เสร็จสมจนถึงฝั่งฝัน ข้าโอบอุ้มสะโพกอิ่มของเขาพลางก้าวเดินไปยังเตียงนอนไม้มิได้สนใจหยาดน้ำที่ไหลรินลงพื้น แกล้งดึงรั้งให้ผนังอ่อนอันแสนร้อนผ่าวและบีบรัดกระทั้นลงมาทุกยามที่ข้าขยับตัว ครั้นวางร่างเขาไว้บนเตียงทั้งที่สองร่างยังคงเชื่อมต่อ คนก็พลิกตัวขึ้นมาคร่อมหน้าตักของข้าในทันที



“ลู่ฉงซาน...” เสียงหวานของคนคราวนี้เริ่มแหบพร่า ดวงตางดงามคู่นั้นเหลือบมองข้าด้วยอารมณ์อันเปี่ยมไปด้วยความรักเป็นอย่างยิ่ง “ท่านรักข้าหรือไม่”



คำถามนี้นับว่าเป็นคำถามสามัญประจำเวลาร่วมรักดีแท้ คนคาดหวังคำตอบอย่างไรกัน เพราะเมื่อถามตอนกำลังสุขสมคำตอบย่อมมิอาจเป็นอื่นได้ หากข้ามิใช่คนจิตใจหยาบช้าเช่นนั้น คำตอบจึงไม่ใช่ความคิดของข้า แต่เป็นความจริงในจิตใจจากผู้เป็นเจ้าของร่าง “ลู่ฉงซานผู้นี้ในใจย่อมมีเจ้า”



“เหมือนดั่งเช่นที่มีอาหมิ่น อาตวน เจียวมี่และฝาแฝดเสี่ยวต้าฟ่านน่ะหรือ” ย่าเอ๋อร์ผู้นี้ไม่รู้จักจบจักสิ้นดีแท้ ขนาดผนังอ่อนบีบรัดดูดกลืนท่อนเนื้อถึงเพียงนั้น คนยังอุตส่าห์ตัดพ้อได้ถึงเพียงนี้



แต่ไหนแต่ไรเมื่อถูกตัดพ้อเช่นนี้ ลู่ฉงซานมิเคยสามารถหาวาจาใดมากล่าวตอบโต้ออกไปได้ เหตุผลคงเพราะสมองของเจ้าหมูมิได้ฉลาดเฉลียวพอจะสรรหาคำตอบที่เหมาะสมออกมาได้ “รักใครมากกว่าน้อยกว่า ข้าย่อมมิสามารถตอบได้ ในเมื่อพวกเจ้าเหล่าอนุภรรยาล้วนเป็นผู้ที่อยู่ในใจข้าทั้งสิ้น...หากรักถนอมเจ้าต่อไปเช่นนี้มิได้หรือ”



ย่าเอ๋อร์ไม่ตอบคำถามของข้า หากนัยน์ตาเลื่อนลอยคู่นั้นกลับฉายแววครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ข้ารู้ดีว่าปล่อยเขาคิดฟุ้งซ่านไปในเวลานี้ย่อมไม่ใช่เรื่องดีและไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม สองแขนจึงโอบกอดเข้าเอาไว้ หวังให้ความรุ่มร้อนของร่างกายทำให้จิตใจของเขาอบอุ่นขึ้นมาบ้าง



“ย่าเอ๋อร์...ข้าย่อมรู้ดีว่าเจ้ารักข้ายิ่งกว่าสิ่งใด หากชีวิตของเจ้ายังเยาว์วัยนัก ผูกติดอยู่กับข้าเพียงอย่างเดียวเกรงว่าจะไม่คุ้มที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เสียแล้ว หากเจ้าชอบผ้าไหมผืนงามๆ ชอบเรียนวิชากระบี่ ข้าจะเปิดร้านขายผ้าไหมให้เจ้า รวมถึงให้คนมาสอนวิชากระบี่ให้เจ้าเพิ่มดีหรือไม่” กล่าวจบข้าก็รั้งเอวบางของเขาเอาไว้ มิหนำซ้ำยังขยับสวนแก่นกายให้กระแทกย้ำไปยังจุดกระสันเพื่อให้คนเลิกฟุ้งซ่านและกลับมาอยู่กับปัจจุบันเสียที



ร่างกายของย่าเอ๋อร์สั่นระริกด้วยความรู้สึกกระสันซ่านที่คล้ายทำให้ร่างกายของเขาชาวาบตั้งแต่เส้นผมจนจรดปลายเท้า คนงามได้แต่ร้องครวญครางเสียงหวานน่าฟัง จนไม่รู้ว่าคำตอบที่เอ่ยออกมาอย่างไม่เป็นภาษานั้น แท้จริงแล้วกำลังหมายถึงเรื่องใดกันแน่ “ดี...อะ...อื้อ! ดียิ่งนัก”



ได้ฟังเช่นนั้นย่อมทำให้รอยยิ้มบนริมฝีปากของข้าขยับกว้างยิ่งกว่าเดิม แผนการสร้างความสงบในสกุลลู่ของข้า แม้ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมาย แต่หากทุกอย่างอย่างราบรื่นเป็นไปได้ด้วยดี หนทางการสร้างกุศลของข้าและการดึงพลังหยางจากเหล่าอนุชายหน้าหยกเพื่อฝึกปรือของข้าก็คงมิลำบากอีกต่อไปแล้ว



เหล่าคนงามรสชาติยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ มีพลังหยางให้ข้าหยิบยืมใช้ถึงเพียงนั้น มิเสียทีจริงๆ ที่รั้งอยู่ตามคำขอร้องจากผีบรรพบุรุษสกุลลู่ เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้เขาเสียแล้ว



โปรดติดตามตอนต่อไป...

หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 5 [27-9-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-09-2019 18:04:48
 :z1:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 5 [27-9-19]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 28-09-2019 13:17:07
รอๆ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 6 [28-9-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 28-09-2019 22:19:43
เรื่องราวในบ้านใครก็หัดจัดการกันเองเถิด



สองเดือนหลังจากที่ข้าชี้แนะแนวทางให้กับลู่ฉงซาน แม้ว่าจะต้องบังคับเคี่ยวเข็ญทั้งปลอบทั้งขู่ สุดท้ายความตั้งใจกึ่งจำยอมของเจ้าอ้วนก็เป็นรูปเป็นร่าง วันที่ฤกษ์งามยามดีเหมาะสมสำหรับเริ่มต้นสิ่งใหม่ ร้านค้าผ้าไหมและร้านค้าใบชาสกุลลู่ก็เปิดขึ้นที่ถนนการค้าสายหลักจนได้



ร้านใบชาตั้งอยู่บนถนนด้านทิศตะวันออก ส่วนอีกร้านหนึ่งตั้งอยู่บนถนนด้านทิศตะวันตก สถานที่เหล่านี้ล้วนเป็นข้าบอกกล่าวสรรหามาให้ ปากบอกว่าทำเลดีฮวงจุ้ยเหมาะสม ไม่นานย่อมรับทรัพย์ประสบความสำเร็จ แท้จริงแล้วข้าตั้งใจให้ทั้งสองร้านอยู่ห่างกันสักหน่อย หากเปิดร้านประชันหน้ากันย่อมเป็นผลร้ายมากกว่าดี จากที่จะหางานให้เหล่าอนุภรรยาเพื่อสร้างความสงบ จะกลายเป็นการแข่งขันประชันระหว่างบ้านเล็กทั้งสองฝั่งไปเสียอีก



กว่าที่เจ้าคนไม่ได้ความจะเปิดร้านค้าเป็นของตัวเองได้นั้นนับว่าเป็นเรื่องลำบากอยู่ไม่น้อย เนื่องจากคุณชายตระกูลขุนางใหญ่โตเช่นเขาจะลดตัวมาทำการค้าย่อมเกิดข้อครหาจากคนรอบข้าง กล่าวได้ว่าใช้แค่แรงใจและความรู้อย่างเดียวไม่เพียงพอ มิหนำซ้ำยังต้องใช้เงินทุนมากมายในระยะแรก ลู่ฮูหยินผู้เป็นมารดาเลี้ยงคัดค้านจนเกือบจะเอาหัวโขกกำแพงตายอยู่หลายรอบ บิดาของเขาก็ไม่พอใจ สุดท้ายแล้วข้าจึงต้องใช้ไม้แข็ง



ไม้แข็งที่ว่าไม่ใช่อะไร เป็นผีตาแก่โคตรเหง้าสกุลลู่นั่นเอง ข้าเพียงบอกไปว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของลู่ฉงซาน ผีปู่เห็นว่าให้เขาค้าขายยังดีกว่าให้เขาอยู่อย่างไร้ประโยชน์ จึงรีบตีหน้าขรึมดุดันไปเข้าฝันใต้เท้าสกุลลู่ผู้เป็นบุตรชายในทันที ชี้หน้าด่าต่อว่าอยู่ครึ่งค่อนคืน เช้าวันต่อมาคนนัยน์ตาลึกโหลท่าทางเหมือนโดนเผาผลาญอายุขัยไปสองปีก็ยอมยื่นตั๋วเงินจำนวนสามหมื่นตำลึงและโฉนดร้านค้าบนถนนสายหลักไปให้ลูกชายคนโตตั้งแต่ยามเช้าตรู่ พร้อมยังขู่เข็ญคนว่านี่จะเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่จะมอบให้เขา หากค้าขายขาดทุนย่อยยับก็จงไสหัวออกไปจากจวนเสีย



คนเราจะค้าขายสิ่งใด มิใช่ว่าหลับตาตื่นจากฝันแล้วจะกระทำการประสบความสำเร็จได้โดยง่าย ทั่วเมืองนี้ผู้คนต่างรับรู้พฤติกรรมมากรักหลายใจนิสัยไม่ได้ความของเจ้าอ้วน ต่อให้เขากลายเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาดี ดวงตาสดใส รอยยิ้มเจิดจ้า ภาพลักษณ์ดูดีขึ้นมาก ก็ยังมิอาจลบล้างเรื่องราวในอดีตทั้งหมดได้ แต่หนทางที่จะทำให้ร้านค้าของเขาไปได้รอดนั้นมิใช่เรื่องยากเช่นกัน



เนื่องจากเป้าหมายหลักของข้ามิใช่การเผยแพร่เคล็ดลับการค้าแต่อย่างใด เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ข้าเยี่ยอู๋จวินจึงขอเล่าเรื่องราวแต่โดยสังเขป เอาเป็นว่าร้านผ้าไหมและใบชาของลู่ฉงซานในช่วงวันแรกขายได้ดีพอควร แต่สักพักกลับเงียบสนิท ข้าจึงกระตุ้นยอดขายด้วยการไปเข้าฝันบิดาของข้าเยี่ยหย่งฟาน บังคับให้ไปสั่งซื้อของจากร้านค้าทั้งสองเสีย แม้จะไม่ยินยอมแต่เมื่อโดนข้าหลอกหลอนอยู่หลายวัน คนก็ยอมแพ้อย่างเสียมิได้



สกุลเซียนชื่อดังอย่างเช่นสกุลเยี่ยสั่งผ้าไหมและใบชาจากร้านสกุลลู่เป็นจำนวนมาก เพียงไม่นานคนทั่วทั้งเจียงหนานก็เกิดความสนใจขึ้นจนเข้ามาซื้อของกันเต็มร้านไปหมด อีกทั้งสินค้าที่ขายในร้านค้าทั้งสองร้านล้วนเป็นของดีที่ราคาเหมาะสม สองเดือนนับจากเปิดร้านมา กิจการของเจ้าอ้วนก็ประคับประคองเอาตัวรอดได้อย่างสวยงาม



หกเดือนที่ข้ารั้งอยู่...ลู่ฉงซานจากเจ้าหมูตอนกลายเป็นชายหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลา จากขยะประจำสกุลกลายเป็นเจ้าของกิจการที่มีรายรับเพียงพอเลี้ยงตนเองและอนุภรรยานับสิบ แม้บิดาจะไม่ได้เชิดหน้าชูตาอะไรเขามากมาย แต่ก็มิได้มองข้ามเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป บ่าวไพร่ในบ้านล้วนเคารพรักใคร่ ผู้คนในเมืองล้วนชื่นชมนายท่านสกุลลู่ที่ขายของดีไม่ขูดรีดใคร



ส่วนเหล่าคนงามที่สร้างปัญหาน่ะหรือ บัดนี้แบ่งงานกันได้ดียิ่งนัก ฝั่งร้านใบชามีอาหมิ่นดูแลเรื่องสินค้าต่างๆ มีเจียวมี่คอยช่วยอบรมพนักงานดูแลลูกค้า ฝั่งร้านผ้าไหมให้ย่าเอ๋อร์เป็นผู้เลือกลายผ้ามาวางขาย คนปากหวานเช่นต้าฟ่านจึงช่วยดูแลลูกค้า ส่วนอาตวนที่เป็นบัณฑิตเก่าความรู้มากคอยดูแลบัญชีของทั้งสองร้านโดยมีเสี่ยวฟ่านที่คิดเลขได้เก่งคอยเป็นลูกมือช่วยงาน



เวลากลางวันคนหัวหมุนดูแลกิจการร้านค้า ตกกลางคืนปรนนิบัตินายท่านด้วยใจเปี่ยมรัก เรียกว่าอนุทั้งหกรักใคร่สมัครสมานกันดีกว่าเดิมมาก บ้านสกุลลู่ได้เวลาอันแสนสุขสงบกลับคืนมาแล้ว



สรุปแล้วเรื่องน้ำเน่าบางครั้งก็จบลงง่ายๆ เช่นนั้นเอง...แต่บางเรื่องก็ยังคงไม่จบกระมัง



“ท่านเยี่ย...” อดีตเจ้าอ้วนเรียกข้าด้วยน้ำเสียงลากยาว แม้ว่าไอหยินในร่างจะลดน้อยลงจนคนไม่ใกล้ความตายเหมือนตอนแรก แต่เนื่องจากข้าดึงธาตุหยางจากคนมาได้ไม่น้อย กลายเป็นผีที่ใช้พลังได้มากกว่าเดิม จึงสามารถปรากฏตัวให้มนุษย์ปรกติเห็นได้โดยไม่เปลืองพลังมากนัก เห็นข้าเหลือบมองด้วยสายตามีอะไรให้รีบว่ามา ลู่ฉงซานจึงรีบละล่ำละลักตอบเหมือนหนูกลัวแมว “ตอนนี้ทั้งร้านใบชาผ้าไหมต่างประสบความสำเร็จดีแล้ว เรื่องที่ท่านเยี่ยได้กล่าวเอาไว้วันนั้น มิรู้ว่าจะยังจดจำได้หรือไม่”



ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่ดียิ่งอะไรเช่นนี้ ความกล้าหาญปรกติที่จะออกปากแทนอนุภรรยารักยังไม่มีแม้แต่ส่วน มาเวลานี้กลับใช้ความกล้าหาญเหล่านั้นออกปากขอร้องให้ข้าช่วยสอนวิธีหลับนอนกับชายหนุ่มสองคนในเวลาเดียวกัน พัฒนาตนเองได้ดีเช่นไร แต่หมูลามกก็ยังเป็นหมูลามกอยู่วันอย่างค่ำจริงๆ



“เจ้าลองไปถามฝาแฝดเสียก่อนเถิดว่ายินยอมจะเข้าห้องหอยวนยางกับเจ้าพร้อมกันหรือไม่” รับปากคนเอาไว้แล้ว แม้จะรู้สึกเหนื่อยหน่ายใจ อย่างไรก็ต้องรักษาสัญญา พอได้ยินดังนั้นเจ้าคนแซ่ลู่ก็มีสีหน้าชื่นมื่นเป็นอย่างดี คนรีบรับปากว่าจะรีบจัดการเรื่องนี้เป็นอย่างดี จากนั้นก็รีบไสหัวเผ่นร่างไป มิได้สนใจไยดีข้าอีกต่อไป



วันนี้เป็นวันหยุดที่ทั้งสองร้านค้ามิได้เปิดกิจการ ข้าที่เป็นผีว่างงานซึ่งหมดความสนใจในตัวนายท่านสกุลลู่จึงล่องลอยไปสอดส่องว่าเหล่าอนุภรรยาทั้งหลายยามนี้กำลังทำสิ่งใดกันอยู่ ได้ยินว่าอาหมิ่นจัดงานเลี้ยงขึ้นอีกครั้ง หากคราวนี้คงมิได้นองเลือดกระมัง ถึงได้ไม่มีเสียงดังเอะอะโวยวายออกมาเหมือนคราวก่อน



เหล่าอนุภรรยานั่งเรียงรายอยู่ในศาลากลางสวน เบื้องหน้าแต่ละคนมีถ้วยชาและขนมของว่างวางอยู่ งานเลี้ยงที่ว่าคงจะจัดขึ้นได้ครู่หนึ่งแล้ว อาหมิ่นยังคงนั่งด้วยสีหน้าสงบนิ่งอ่อนโยน ส่วนย่าเอ๋อร์คราวนี้ไม่ได้มีท่าทีขัดแย้งพร้อมโจมตีอีกฝ่ายเหมือนเช่นเคย แต่ดูจากหัวคิ้วแล้วคล้ายว่ามีสิ่งใดครุ่นคิดอยู่ในใจ



“พักหลังมานี้นายท่านเปลี่ยนไปมาก” ย่าเอ๋อร์ผู้เผ็ดร้อนเป็นคนเปิดปากตั้งประเด็นเหมือนเช่นคราวก่อน สายตาจากผู้อื่นถึงกลับจ้องมองมาที่เขาเป็นทางเดียว คนงามมีท่าทางอึดอัดใจอยู่บ้างจึงรีบขยายความ “จริงอยู่ว่าเปลี่ยนไปในทางที่ดี เวลาอยู่บนเตียงถึงจะอ่อนโยนขึ้น ฝีมือเก่งกาจอาจหาญ...แต่คล้ายมิใช่คนเดิม”



กล่าวจบก็เหลือไว้เพียงแต่ความเงียบงัน ระหว่างคนงามทั้งหกเกิดสถานการณ์ลำบากใจที่เรียกว่าข้ามองหน้าเจ้า เจ้ามองหน้าข้า ต่างคนต่างไม่รู้ว่าควรจะว่ากล่าววาจาสิ่งใดดี อย่าว่าแต่อนุชายของลู่ฉงซานเลย ข้าเองที่เป็นผีวิญญาณยังรู้สึกร้อนรนขึ้นมา ย่าเอ๋อร์ผู้นี้ดูเบามิได้เลยจริงๆ ตัวเขายามกระทำรักทั้งร้องครวญครางทั้งให้ความร่วมมืออย่างสุขสมปานนั้น แต่กลับยังอุตส่าห์แยกแยะได้อีกว่าข้ามิใช่สามีตัวจริง



อาหมิ่นยกชาขึ้นจิบ ท่าทางคล้ายถอดอาลัยอยู่ไม่น้อย “หลายเดือนมานี้ข้าก็สัมผัสได้อยู่เหมือนกัน นายท่านเอาใจใส่พวกเรามากขึ้น อ่อนโยนมากขึ้นอย่างที่ย่าเอ๋อร์ว่า แต่ดวงตานั้นกลับคล้ายไม่มีพวกเราอยู่เหมือนเคย”



“ฮึก หรือว่าใจของนายท่านแปรเปลี่ยนเป็นอื่นไปแล้ว” น้ำตาเม็ดโตร่วงพราวจากดวงตาของเจียวมี่เสียแล้ว เด็กหนุ่มสะอึกสะอื้นแล้วยกผ้าซับน้ำตาด้วยความอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง คำพูดนั้นทำเอาอนุชายคนอื่นหน้าซีดเผือดจนดูไม่ได้ “คราวก่อนข้าได้ยินนายท่านละเมอถึงคนแซ่เยี่ย บางครั้งก็พูดถึงคนแซ่เยี่ยอยู่คนเดียว มิรู้ว่าไปต้องตาต้องใจใครเข้า”



ได้ยินดังนั้นข้าย่อมรู้สึกพูดไม่ออกอยู่มาก นึกอยากจะหวดก้นกลมของเจียวมี่แรงๆ สักหลายทีเพื่อเป็นการสั่งสอน ไม่รู้ว่าเจ้าหนูนี่ไปเอาความคิดแบบนี้มาจากใครกัน ที่ลู่ฉงซานเอ่ยถึงข้าก็เป็นเพราะกำลังพูดคุยอยู่กับปรมาจารย์วังวสันต์ผู้นี้อยู่มิใช่หรือ ต้องตาต้องใจบ้านเจ้าน่ะสิ



“เรื่องนั้นคงมิใช่หรอก” อาตวนรีบตัดบทเปลี่ยนเรื่องก่อนที่จินตนาการของเด็กน้อยใสซื่อบื้อจะไปไกลยิ่งกว่าเดิม เขาใช้ด้ามพัดเคาะที่ข้างขมับของเจียวมี่เบาๆ คล้ายต้องการตักเตือน “เวลานี้เขาดูแลเอาใจใส่พวกเรากว่าแต่ก่อนเสียอีก เรื่องเล็กน้อยสิ่งใดล้วนสังเกตเห็นหมด”



“จริงด้วย” เสี่ยวฟ่านปรบมือเข้าหากันคล้ายคิดอะไรออก แฝดผู้น้องหันไปมองพี่ชายแล้วรีบเล่าเรื่องราวออกมาสำทับ “แต่ก่อนนายท่านมิเคยแยกแยะข้ากับต้าฟ่านออก แต่เมื่อเดือนก่อนพี่ชายของข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายตัว ข้าจึงย่องขึ้นเตียงนายท่านแทนเขา ไม่น่าเชื่อว่านายท่านกลับเรียกชื่อข้าถูกตั้งแต่แค่เหลือบมอง นี่ผิดปรกติแล้ว! ”



เอาใจใส่มากเกินไป...เรื่องเช่นนี้ยังจะนำมาจับผิดกันได้อีกหรือ อันที่จริงวิธีการแยกแยะเสี่ยวต้าฟ่านนั้นไม่ยากเท่าไรหรอก ข้านั้นแค่มองด้วยหางตายังสามารถจำแนกได้ แล้วเจ้าคนสกุลลู่เป็นสามีประสาอะไรกันจึงมิสามารถแยกภรรยาทั้งสองของตนเองออก นี่สมควรประณามหยามเหยียดแล้ว



“นายท่านบางครั้งก็คล้ายเป็นตัวเอง บางครั้งก็คล้ายมิใช่ตัวเอง” คนงามพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาคล้ายต้องการพึมพำกับตัวเอง พักหนึ่งดวงตากลมโตของย่าเอ๋อร์ก็เบิกกว้างยิ่งกว่าเดิมราวกับคิดสิ่งใดขึ้นมาได้ และสิ่งที่เขาคิดได้นั้น คงมิเป็นผลดีต่อข้าเท่าไรนักหรอก “หรือว่านายท่านจะถูกผีเข้าสิง! ”



คราวนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาแล้ว แต่ละคนยิ่งขุดเรื่องราวพฤติกรรมของข้าที่แตกต่างจากเจ้าหมูตัวจริงขึ้นมาพูดกันไม่หยุดไม่หย่อน ทุ่มเถียงกันได้พักใหญ่ก็ได้ข้อสรุปและทางออกที่ทำให้ผีลามกเช่นข้าหมดที่อยู่อาศัยอีกต่อไป



“หากรบกวนสกุลเยี่ยด้วยเรื่องนี้อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตจนเกินไป” อาหมิ่นย่อมคิดถึงหน้าตาของบ้านสกุลลู่อยู่บ้าง จะไปขอความช่วยเหลือจากตระกูลใหญ่ประจำเมืองก็เกรงว่าเรื่องราวเล็ดลอดออกไปจะส่งผลกระทบต่อกิจการร้านค้าได้ จึงต้องหาทางเลือกอื่นแทน “ข้าได้ยินว่าช่างนี้มีผู้ฝึกเซียนจากทางทิศตะวันตกท่านหนึ่งพักแรมอยู่ในเมือง หากเชิญเขาเข้ามาพักในจวน จากนั้นค่อยขอร้องให้ช่วยตรวจสอบสิ่งอัปมงคล ดีร้ายอย่างไรก็ยังรักษาหน้าตาสกุลลู่ได้บ้าง”



ข้าที่ถูกลดระดับไปเป็นสิ่งอัปมงคลย่อมมิอาจทำใจเย็นได้อีกต่อไป หากเขาเชิญคนสกุลเยี่ยมา ข้าย่อมสามารถพูดคุยเจรจาได้ แต่หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรจากสกุลอื่น เรื่องราวย่อมกลายเป็นอีกอย่าง ผู้ที่ออกเดินทางรอนแรมเช่นนี้มักเป็นผู้ที่กำลังออกเดินทางฝึกวิชาในยุทธภพ พบเจอผีมีฤทธิ์วิชาเข้าอย่างหนึ่งคือกำราบผีนำกลับไปเป็นเครื่องมือใช้งาน อีกอย่างคือทำลายวิญญาณเสียสิ้น ไม่ว่าทางไหนก็ไม่ดีต่อตัวข้าทั้งนั้น



รั้งอยู่มาได้หกเดือนครึ่งปี ความตั้งใจของข้านั้นวันใดวันหนึ่งข้าย่อมต้องออกจากจวนสกุลเยี่ยอยู่แล้ว เหตุเพราะข้ามิสามารถยืมใช้ร่างนายท่านสกุลลู่ได้ตลอดไป เสียแต่ว่าเวลาที่ว่านั้นมาถึงเร็วไปสักนิด ข้าซึ่งตัดสินใจดีแล้วได้แต่ไปบอกลาเจ้าอ้วนที่น้ำตาไหลอาบหน้าด้วยความเสียใจจากการจากลา แต่อย่าได้ร้องไห้ฟูมฟายไปเลยลู่ฉงซาน ข้าคงมิได้มีโอกาสสอนเจ้าร่วมหลับนอนสามหรรษาอีกต่อไปแล้ว จะโทษใครก็จงโทษเหล่าอนุภรรยาของเจ้าเถิด คนเขาตั้งใจจะขับไล่ถึงเพียงนี้ เจ้ายังจะหน้าด้านอยู่ให้วิญญาณแตกสลายอีกหรือ





ออกจากบ้านสกุลลู่มาได้ข้าก็กลับไปที่สุสานฝังศพของตนเอง มิได้มาเยี่ยมเยือนเป็นครึ่งปี แต่ทุกอย่างยังเรียบร้อยสะอาดสะอ้านดีนัก กระทั่งดอกเบญจมาศขาวที่หน้าหลุมศพยังคงสดใหม่เหมือนเพิ่งเปลี่ยนได้ไม่กี่วัน ข้าตัดสินใจว่าจะพักอยู่แถวนี้สักสองสามวัน ตั้งใจจะคิดวางแผนก่อนว่าจะจัดการเช่นไรกับการบำเพ็ญเพียรเพื่อเป็นอ๋องผีในระยะเวลาหกปีครึ่งที่เหลือนี้ดี จะรั้งอยู่ในเจียงหนานหรือจะเป็นผีเร่ร่อนท่องเที่ยวไปยังดินแดนอื่น



ระหว่างที่ข้ายังคิดไม่ตกดี วันแรกก็พบว่ามีคนเผาชุดผ้าไหมตัดเย็บอย่างดีมาให้ ถึงข้าจะตายด้วยร่างกายเปลือยเปล่า แต่อย่างน้อยร่างวิญญาณก็ยังอยู่ในชุดขาวจืดชืดเหมือนกับผีตนอื่นๆ ยามนี้เมื่อเห็นเสื้อตัวในและสายคาดเอวสีม่วง ตามด้วยเสื้อคลุมตัวดำก็รู้สึกคล้ายกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง จะเสียดายก็แค่ป้ายหยกที่ข้าแขวนอยู่เป็นประจำ ที่ป่านนี้คงฝังไปพร้อมกับกายเนื้อของข้าแล้ว ข้ารีบเปลี่ยนชุดด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง นี่คงจะเป็นคำขอบคุณของเจ้าอ้วนลู่ฉงซานมอบให้ข้าเสียกระมัง



วันที่สองยังคงเงียบสงบดีจนกระทั่งตอนที่ฟ้าเริ่มมืด พระอาทิตย์เริ่มตกดิน หน้าหลุมศพของข้าก็ปรากฏวิญญาณชายชราหน้าตาถมึงทึง ใบหน้าแก่ๆ ของผีบรรพบุรุษสกุลลู่เป็นสีแดงจัดราวกับจะมีไฟปะทุออกมาได้ พอข้าแย้มยิ้มเอ่ยปากจะทักทาย เขาก็ยกมือขึ้นชี้หน้าข้าพร้อมกับแผดเสียงใส่เสียจนข้าหูชาไปหมด



“เจ้า! เจ้าตัวบัดซบสกุลเยี่ย! ” หนวดของใต้เท้าสกุลลู่กระตุกขึ้นตามคำพูด ท่าทางผีแก่จะโมโหจัดเสียแล้ว “หลานชายข้าแต่ก่อนถึงจะไม่ได้เรื่องเช่นใดก็เพียงแค่เจ้าชู้หลายใจ แต่เจ้ากลับเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นต้วนซิ่ว! กลายเป็นคนลักเพศไปแล้ว! ”



ฟังคำพูดเขาก็ช่างชวนให้น่าถอดถอนใจดีแท้ มนุษย์ปุถุชนช่างเอาใจยากเย็นยิ่งนัก หากเจ้ามีประโยชน์เขาก็เรียกเจ้าว่าท่านเยี่ย พอเจ้าหมดประโยชน์เขาก็เรียกเจ้าว่าตัวบัดซบแซ่เยี่ย ลู่ฉงซานแต่ไหนแต่ไรก็รักบุรุษมิสนใจสตรี มาถึงคราวนี้เขาเปิดเผยตัวแล้วจะกลายเป็นข้าไปเปลี่ยนแปลงเขาได้เช่นไรเล่า



“เขาถึงกลับไล่อนุภรรยาหญิงและสาวใช้อุ่นเตียงออกจากบ้านไปทั้งหมด มิหนำซ้ำจะยกเจ้าเด็กหลิวหมิ่นขึ้นมาเป็นภรรยาเอก ให้เจ้าเด็กเหลือขอย่าเอ๋อร์เป็นภรรยารอง หากมิใช่เพราะเจ้าชักจูงปั่นหัว เขาจะตัดสินใจเช่นนั้นหรือ บ้านสกุลลู่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกันเล่า” ผีโคตรเหง้าสกุลลู่เล่าไปก็หอบหายใจ พอด่าจบสีหน้าโกรธขึ้งก็ดีขึ้นเล็กน้อยเหมือนว่าได้ระบายอารมณ์ แต่สายตาที่มองข้ายังคงเหมือนจะฆ่าฟันกันอยู่ดี



ลู่ฉงซานนับว่ามีพัฒนาการที่ดีมากนัก ข้าออกจากจวนตระกูลลู่ได้แค่สองวัน คนก็ยกย่องคนรักมาเป็นภรรยาเอกภรรยารองเสียแล้ว ส่วนที่ผีสกุลลู่ผายลมออกมานั้นเหมือนจะเกินจริงไปอยู่มาก ดินแดนเจียงหนานเรียกได้ว่ารักอิสรเสรียิ่งกว่าแว่นแคว้นอื่น บุรุษผู้หนึ่งจะรักใคร่จนแต่งบุรุษอีกผู้หนึ่งมาเป็นภรรยาเอกล้วนเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ มิจำเป็นต้องรู้สึกอับอายขายหน้าถึงขนาดนั้น



“หน้าแก่ๆ ของเจ้าก็วางไว้ที่เดิมของมันเถิด! ” เสียงห้าวหาญดังขึ้นจากทางด้านซ้าย วิญญาณชายแก่ที่เหมือนจะเป็นแม่ทัพเฒ่าแซ่ถังปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับมองผีแซ่ลู่ด้วยสายตาเย็นชา “รักบุรุษชอบตัดแขนเสื้อแล้วอย่างไรเล่า มิใช่ว่าลู่ฉงซานบ้านเจ้าจากหมูตอนกลายเป็นคุณชายผู้งามสง่าหรอกหรือ บัดนี้ใครจะสั่งสินค้าที่ร้านของเขายังต้องสั่งจองนัดล่วงหน้าหลายวัน ควรนับเป็นความภาคภูมิใจได้แล้ว”



กล่าวจบผีแม่ทัพเฒ่าในชุดเกราะเต็มตัวกระแทกตัวกับพื้นเพื่อนั่งคุกเข่าต่อหน้าข้า มิหนำซ้ำยังโขกศีรษะกับพื้นดังตึงจนรู้สึกได้ว่าพื้นอิฐหน้าหลุมศพข้ากำลังสั่นสะเทือน “ท่านเยี่ยโปรดเมตตาด้วยเถิด อาหู่บ้านข้านั้นอายุสิบเจ็ดปีกลับไม่ได้ความ แต่ละวันนอกจากกัดหมามั่วโลกีย์ก็เกะกะระรานชาวบ้านไปทั่ว วันหน้าย่อมต้องลำบากเป็นแน่ ข้านั้นมิคาดหวังสิ่งใดมากมาย หากท่านช่วยชี้แนะให้เขาดูแลตนเองได้เป็นพอ”



“ท่านเยี่ยเมตตาด้วย เยี่ยนเอ๋อร์บ้านข้าก็ก่อปัญหามากมายเช่นกัน” จู่ๆ ด้านข้างก็ปรากฏวิญญาณชายชราคล้ายเป็นผีบรรพบุรุษสกุลใหญ่ขึ้นมาอีกคนหนึ่ง เขายังเล่าเรื่องไม่จบดีก็มีเสียงที่สามโผล่ขึ้นมาอีก



“ท่านเยี่ยเจ้าคะ บ้านของข้าก็มีหลานชายไม่ได้ความอยู่คนหนึ่งเช่นกัน จะเป็นต้วนซิ่วก็ดี จะเป็นอะไรก็ช่าง ท่านเยี่ยโปรดช่วยชี้แนะด้วยเถิด” คราวนี้เป็นฮูหยินชราบ้านสกุลเจียงที่มีชื่อเสียงเรื่องกิริยามารยาทดีงามผู้นั้นเอง



หลังจากนั้นรอบกายข้าก็มีวิญญาณผีบรรพบุรุษปรากฏตัวออกมาเต็มไปหมด มองดูแล้วไม่ต่ำกว่าสิบตน แต่ละคนล้วนนั่งคุกเข่าโขกศีรษะพร่ำพรรณนาโอดครวญบอกเล่าเรื่องราวของลูกหลานไม่ได้ความในบ้านตนเอง คนนั้นนิสัยเสียอย่างนั้น คนนี้เลวทรามอย่างนี้ ข้าฟังแล้วก็รู้สึกรำคาญขึ้นมาบ้างแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าจึงเฉยชายิ่งกว่าเดิม



ผีแก่พวกนี้ตอนมีชีวิตอยู่ไยไม่รู้จักสั่งสอนลูกหลานตนเองเล่า พอตายตกกลับต้องมาร้องขอผู้อื่นให้ไปช่วยอบรมสั่งสอน มิรู้จักอับอายชนรุ่นหลังบ้างหรือ



ครั้นข้าเอ่ยปากจะตัดบทเหล่าวิญญาณบรรพบุรุษทั้งหลาย หางตาพลันคล้ายเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ชวนคุ้นเคยอยู่ทางซ้ายลิบๆ เป็นบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้รู้สึกหนาวสันหลังดีแท้ เมื่อข้าหันไปมองก็พบกับชายเสื้อคลุมสีขาวสะอาดปักด้วยลายไผ่มงคลสีเขียวโบกสะบัดขึ้นตามแรงลมที่พัดพาเข้ามาประกอบให้ภาพดูสวยงามจนเกินพอดี



ข้าเยี่ยอู๋จวินทำบาปกรรมสิ่งใดไว้กัน ใต้หล้านี้มีฝึกตนบำเพ็ญเพียรเพื่อเป็นเทพเซียนมากมาย หากถามว่าข้ามิอยากพบเจอใครมากที่สุดก็คงจะเป็นสกุลไป๋กระมัง แล้วชุดเครื่องแบบนี้จะเป็นใครไปได้นอกเสียจากบุตรหลานสายตรงสกุลไป๋จากหุบเขาไผ่ศักดิ์สิทธิ์แห่งซีเปียนจิ่ง สกุลนี้นับว่าสูงส่งงามสง่าไปมาลึกลับต่างกับปรมาจารย์กามโลกีย์อย่างข้ายิ่งนัก สาเหตุเพราะพวกเขาล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรผู้สืบทอดสายเลือดมาจากบริวารของหวังซีหมู่แห่งเทือกเขาคุนหลุน จึงมักเป็นผู้ถือตัวเข้าหาได้ยากอยู่มาก



สกุลไป๋ต่อให้เป็นใครข้าก็ไม่อยากพบเจอทั้งนั้น แผ่นดินกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ มิรู้ว่าเหตุใดคนสกุลไป๋ถึงซัดเซพเนจรจากทางตะวันตกมาถึงที่เจียงหนานนี่ได้ นี่เรียกว่าศัตรูมักพบพานในทางแคบโดยแท้



ข้าซัดฝ่ามือออกไปครั้งหนึ่ง ขับไล่เหล่าผีแก่ที่น่ารำคาญออกไปจนหมด จากนั้นค่อยรีบเผ่นออกจากสุสานของตนเองก่อนที่จะถูกผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นสังเกตเห็นเข้า ด้วยพลังหยางที่ข้าเพิ่งฟื้นฟูขึ้นมาในระดับนี้ หากต้องสู้รบตบมือกับผู้ฝึกเซียนระดับสูงคงจะตึงมืออยู่มาก พลาดพลั้งขึ้นมา ข้ายังไม่อยากลดระดับจากผีลามกไปเป็นผีทาสหรือวิญญาณแตกสลายไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด นั่นมิน่าสมเพชเกินไปหรอกหรือ



เห็นทีว่าต้องบอกลาบ้านเกิด ข้าคงรั้งอยู่เจียงหนานต่อไปไม่ได้แล้ว



โปรดติดตามตอนต่อไป...



*******************



ซินเอ๋อร์ : 

ตอนนี้ก็จบเรื่องราวของสกุลลู่แล้วนะคะ ส่วนตอนต่อไปผีลามกเยี่ยอู๋จวินจะไปสร้างวีรกรรมที่ไหนนั้น ต้องรอดูกันต่อไปค่ะ แต่แน่นอนว่ายังคงไร้สติ ไม่เน้นสาระเหมือนเดิมค่ะ

หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 6 [28-9-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 28-09-2019 23:42:07
 :z1:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 6 [28-9-19]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 29-09-2019 09:35:00
รอจ้า~
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 7 [29-9-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 29-09-2019 22:17:17
บทที่ 7 ธาตุหยางที่ดีย่อมมาจากความยินยอม



“อยู่นิ่งๆ เถิด แล้วข้าจะตกรางวัลให้เจ้าอย่างงาม” ปลายเล็บแหลมคมไล้ไปตามผิวแก้มของร่างที่ข้าหยิบยืมใช้อยู่ในขณะนี้ เจ้าของนิ้วเรียวที่ลากลูบจากแก้มลงไปตามลำคอนับว่าเป็นคนงามล่มเมืองโดยแท้ ใบหน้าสวยหวานไม่บ่งบอกเพศยื่นเข้ามาใกล้เสียจนริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงสดราวลูกอิงเถาเกือบแนบจูบลงมา ท่าทางร้อนแรงเย้ายวนจนเหนือมนุษย์ปุถุชนอยู่มาก ครั้นสบตบกับนัยน์ตาหยาดเยิ้มสีแดงก่ำดั่งเปลวเพลิงแผดเผา ก็ทำให้รู้ว่าคนงามผู้นี้มิใช่มนุษย์ทั่วไปแล้ว แต่คงเป็นมารที่เข้ามาเพ่นพ่านอาละวาดในโลกมนุษย์เสียมากกว่า



“เด็กดี...อย่างนั้นล่ะ” กลีบปากอิ่มแนบจูบลงไปบนตำแหน่งชีพจรบนลำคอของข้า กลิ่นหอมอบอวลคล้ายกลิ่นกุหลาบแดงโชยแตะจมูก หากจิตใจไม่แข็งกล้าพอคงจะมึนเมาไปตามกลิ่นเข้มข้นที่หลอกล่อผู้คนเป็นแน่ เสียแต่ว่าข้าเป็นผู้ฝึกตนที่มีจิตใจแข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้า ถ้าหลงกลตกอยู่ในมนต์สะกดของมารชั้นต่ำเช่นนี้ก็ไม่สมควรเรียกตัวเองว่าปรมาจารย์วังวสันต์แล้ว



มือเรียวยามนี้ซุกซนจนเลื่อนลงไปทุกขณะ ตอนแรกเป็นสายคาดเอวสีเทาที่ถูกโยนทิ้งไป จากนั้นจึงเป็นกางเกงสีใกล้เคียงกันที่ถูกปลดออกตาม ริมฝีปากสวยลากลงมาจนถึงแผ่นอกและลากต่ำจนถึงหน้าท้องราบ เมื่อใกล้ถึงตำแหน่งที่อันตรายยิ่งขึ้น คนงามกลับเงยหน้าขึ้นพร้อมแย้มยิ้มพริ้มพราย นัยน์ตาแดงดั่งเลือดส่องประกายแปลกประหลาด นี่คงตั้งใจสะกดคนอีกแล้วกระมัง “พลังหยางทั้งหมดของเจ้าจงมอบให้ข้ามารราตรีชาดเสียเถิด”



กล่าวจบมารที่เรียกตนเองว่าราตรีชาดก็โน้มกายลงต่ำ แนบกลีบปากสวยสดลงไปท่อนเนื้อที่ยังคงสงบนิ่ง ปลายลิ้นแดงสดเริ่มขยับริมรสไปตามแนวความยาว ท่าทางเย้ายวนยิ่งนัก ยิ่งปรนเปรอมากขึ้นเท่าไร กลิ่นกุหลาบจากร่างงดงามยิ่งอบอวลเข้มข้นขึ้นเสียจนข้าชักจะรำคาญใจ ข้าได้แต่ขยับข้อมือทั้งสองข้างที่ถูกเชือกกักเซียนรัดตรึงเอาไว้ ร่างนี้มิมีพลังเซียนแข็งแกร่งอะไรมากมายจึงมิสามารถต้านทานเชือกกักเซียนได้ แต่ที่หงุดหงิดใจมากกว่าคือเจ้ามารบัดซบนี่เอาแต่เลียอยู่ได้ หากหวังจะสูบพลังหยาง ไยมิกลืนกินไปทั้งหมดเล่า



เหตุใดปรมาจารย์วังวสันต์เช่นข้าจึงต้องมาพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ คงจะต้องย้อนไปก่อนหน้านี้ประมาณสักสามสี่วันก่อน





สามสี่วันก่อน



หลังจากล่องลอยเผ่นจากสุสานของตนเอง ข้าก็คิดว่าจะหวนกลับไปยังแคว้นจิ่วโจวอีกครั้ง คราวนั้นที่สุ่ยเต๋อฮ่องเต้ลอบวางยาปลุกกำหนัดแล้วโยนข้าเข้าไปในตำหนักโบตั๋นสามร้อยนาง แม้ข้าจะพลาดท่าตายตกมิได้คิดแค้นอะไร แต่อย่างไรแล้วเรื่องแบบนี้ก็ต้องชำระความกันบ้าง อย่างน้อยก็ต้องสั่งสอนไอ้ลูกเต่าโอรสสวรรค์ให้ได้รู้ว่าวันหน้าวันหลังอย่าได้กระทำการเล่นพิเรนทร์เช่นนั้นอีก กระทั่งผู้เชี่ยวชาญกามโลกีย์อย่างข้ายังเอาชีวิตไม่รอด แล้วคนธรรมดาจะรอดได้หรือ



ถึงจะเป็นเพียงวิญญาณไม่มีกายเนื้อ แต่การเดินทางไปแคว้นจิ่วโจวมิใช่เรื่องง่ายนัก มิได้สามารถย่นระยะทางเพียงชั่วพริบตาเหมือนดั่งยามที่มายังเจียงหนาน เกรงว่าสาเหตุที่ข้ากลับมาปรากฏกายที่บ้านสกุลเยี่ยในทันทีนั้น คงจะเป็นเพราะทั้งข้าและมารดาต่างมีใจคิดถึงกัน จิตของมารดาจึงดึงวิญญาณของข้าข้ามระยะทางมาอย่างง่ายดาย แต่ครั้งนี้สุ่ยเต๋อฮ่องเต้คงมิได้มีใจคิดถึงข้า ระยะทางหลายร้อยลี้คงต้องหาหนทางไปเองเสียแล้ว



แม้จะมิสามารถใช้กระบี่เหาะเหินได้เหมือนครั้งยังมีชีวิตอยู่ แต่เป็นภูตผีก็ดีตรงที่สามารถเร่งเดินทางได้ทั้งยามกลางวันและกลางคืน จะทะลุสิ่งของใดก็ไม่ใช่เรื่องยาก ล่องลอยเอ้อระเหยอยู่คืนหนึ่งข้าก็เดินทางไปได้สามส่วน ครั้นมาถึงเทือกเขาสลับซับซ้อนอันเป็นเขตชายแดนของแคว้นจิ่วโจว พลันได้พบเจอกับสิ่งที่ไม่อยากจะพบพานอีกครั้ง



มิรู้ว่าช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝึกวิชาล่าประสบการณ์ หรือเป็นช่วงตกอับของข้าเยี่ยอู๋จวินกันแน่ หนีจากเจียงหนานหวังไปจิ่วโจว ตั้งใจจะหลีกเลี่ยงเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรมากเพียงใด วันนี้กลับต้องมาพบเจอเหล่าผู้ฝึกเซียนเป็นโขยงจากหลากหลายสำนักมือข้างหนึ่งถือยันต์มืออีกข้างถือกระบี่เดินขวักไขว่กันเต็มป่าไปหมด นี่คงรวมตัวกันมาปราบผีปีศาจกันกระมัง



ข้าเก็บกลิ่นอายและพลังของตนเองพยายามฝืนแสดงออกว่าเป็นวิญญาณธรรมดาที่บังเอิญผ่านมาแถวนี้ หากจืดจางจนคนมิทันได้สังเกตย่อมเป็นการดี จังหวะที่กำลังจะเผ่นอ้อมไปอีกทางกลับชนทะลุผ่านคุณชายน้อยหน้าตาหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาเสียก่อน ซ้ำคนยังรั้งตัวข้าเอาไว้



“แถวนี้มีผู้บำเพ็ญเพียรสูญหายไปหลายครั้ง แม้ผู้อาวุโสจะเป็นวิญญาณที่มีวิชา หากมีโอกาสก็ควรหลบเลี่ยงออกไปเสียเถิด” กล่าวเสร็จคนก็ค้อมศีรษะให้ข้าหนึ่งที่แล้วหมุนตัวกลับไป วาจาท่าทางดีมีมารยาทอ่อนน้อมยิ่งนัก เมื่อข้าจ้องมองเขาด้วยความคิดพิจารณาอีกที คราวนี้กลับรู้สึกชาวาบไปทั้งหนังศีรษะ หนุ่มน้อยวัยไม่เกินสิบแปดปีผู้นี้สวมใส่ชุดขาวเสื้อคลุมสีเทา ซ้ำลายปักสีดำตรงชายเสื้อคลุมนั้นมิใช่ลายสวัสติกะอันหมายถึงความเป็นอนันต์ไม่มีที่สิ้นสุดหรอกหรือ...เครื่องแบบเช่นนี้คงมีแต่คนจากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ สำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์กระมัง



หากถามว่ายอดเขาอัสนีพิสุทธิ์แห่งสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับข้า คงต้องตอบกันตามตรงว่าข้านั้นก่อนจะมาฝึกเคล็ดวิชาวสันต์เริงร่าอันเป็นวิชานอกรีต ในตอนอายุสิบสามปีได้เคยกราบอาจารย์หญิงแซ่เจิ้ง ได้เป็นศิษย์ในของยอดเขาที่ขึ้นชื่อว่ารวบรวมไว้แต่ยอดอัจฉริยะเหนืออัจฉริยะมาก่อน



เฉลียวฉลาด แข็งแกร่ง สง่างาม สูงส่ง บริสุทธิ์เหนือโลกีย์ รวมไว้ซึ่งความสมบูรณ์แบบ นั่นคือคำขวัญของยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ที่สืบทอดกันมาหลายต่อหลายรุ่นไม่รู้กี่พันกี่หมื่นปี ส่วนคนที่เชี่ยวชาญเรื่องกามาราคะเช่นข้าก็ขออภัยด้วยเถิด คงมิสามารถร่วมมรรคาเดียวกันได้ ด้วยเหตุผลหลายอย่างจึงทำให้ข้ากราบลาอาจารย์หญิง ก้าวขาออกจากสำนักในตอนที่ตนเองอายุได้สิบหกปี แม้จะตัดขาดอย่างไรก็ยังคงไม่สิ้นเยื่อใย มาวันนี้ได้พบเจอเด็กหนุ่มท่าทางลักษณะดีที่สมควรเรียกขานข้าว่าศิษย์พี่ จิตใจย่อมรู้สึกสั่นไหวอยู่บ้าง



ยามแรกข้ายังลังเลว่าควรจะติดตามคนผู้นี้ไปสักพักหนึ่งหรือจะรีบเผ่นหนีมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของแคว้นจิ่วโจวดี หากเมื่อพบเจอความชุลมุนวุ่นวายของผู้บำเพ็ญเพียรรุ่นเล็กนับสิบคนก็รู้สึกสนุกสนานชวนหวนคิดถึงวันคืนเก่าๆ อยู่ไม่น้อย เหล่าคนหนุ่มสาวต่างพูดคุยเล่าเรื่องราวแลกเปลี่ยนความรู้ทั้งเรื่องมีสาระและเรื่องไร้สาระ บ้างพูดคุยเรื่องพืชวิเศษสัตว์อสูรหายากอาวุธวิเศษในตำนาน บ้างก็พูดคุยเรื่องรายชื่อสาวงามจากสำนักต่างๆ ล้วนแต่เป็นเรื่องเหมาะสมของคนวัยนี้ดีแท้



แฝงตัวเป็นวิญญาณจืดจางไร้พิษภัยติดตามกลุ่มคนห่างๆ อยู่หนึ่งชั่วยาม จากบทสนทนาก็ได้รู้ว่าเด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งหน้าตาหล่อเหลากิริยามารยาทงดงามเหมาะสมผู้นั้นมีนามว่าหานเฉิงรุ่ย อายุอานามเพิ่งได้สิบเจ็ดปี จากความรู้ ระดับฝึกปรือและความเคารพนับถือจากผู้คนรอบข้างถือว่าเขาเป็นยอดอัจฉริยะอนาคตไกล สมแล้วที่เป็นศิษย์ในของยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์



เสียแต่ว่าอัจฉริยะอนาคตไกลผู้นี้ซื่อบื้ออยู่ไม่น้อย เดินทางมาครึ่งค่อนวันพลัดหลงกับกลุ่มเซียนส่วนใหญ่ คนก็ยังไม่มีท่าทีอะไร จวบจนตะวันตกดินกลุ่มคนที่ติดตามเขามาเริ่มทยอยหายไปทีละคนสองคน หานเฉิงรุ่ยก็ยังคงไม่รู้สึกตัว เกรงว่าจนทั้งป่าเหลือเขาคงเดียว เจ้าหนูนี่ก็ยังคงไม่รู้สึกอะไรกระมัง คล้ายจะติดนิสัยจากอาจารย์หญิงมามากเกินไปแล้ว



“คืนนี้ลมแรงยิ่งนัก ศิษย์น้องเส้ารักษาสุขภาพด้วย” เจ้าคนซื่อแซ่หานหันกลับไปมองข้างกาย แต่กลับพบว่าศิษย์น้องเส้าจากยอดเขาอสูรคำรามหายตัวไปเสียแล้ว หันกลับมาอีกด้านก็ไม่เหลือใคร กลายเป็นว่ารอบกองไฟนี้มีแต่ตนเพียงผู้เดียว คนทั่วไปเจอเหตุการณ์เช่นนี้ย่อมต้องบอกว่าผีหลอกวิญญาณหลอน แต่หานเฉิงรุ่ยกลับยังคงสงบนิ่งและยกขากระต่ายย่างขึ้นกินด้วยท่าทางสุภาพเรียบร้อยมิตื่นตระหนกแต่อย่างใด



นิสัยเช่นนี้คงมิใช่สุขุมนุ่มลึกอีกต่อไปแล้ว น่ากลัวว่าสัญชาตญาณเตือนภัยของคนผู้นี้คงมีสิ่งใดผิดพลาดเป็นแน่ ชีวิตบนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์คงจะสงบสุขเกินไปกระมัง ถึงได้ถือกำเนิดเจ้าตัวซื่อบื้อเช่นนี้ขึ้นมาได้ ในฐานะผู้เคยร่วมสำนักข้านั้นรู้สึกอับอายยิ่งนัก



บางครั้งเรื่องราวเช่นนี้คงต้องให้คนหัดเรียนรู้กันบ้าง หานเฉิงรุ่ยแทะน่องกระต่ายไปไม่กี่คำ ร่างสูงโปร่งของเขาก็พลันเอนล้มลงข้างกองไฟ ก่อนที่จะมีเงาร่างหนึ่งอุ้มเขาขึ้นพาดบ่าลักพาตัวเด็กหนุ่มผู้ไม่รู้จักระแวดระวังภัยไปแล้ว จะให้ข้าเยี่ยอู๋จวินที่เป็นเพียงวิญญาณสวมบทวีรบุรุษช่วยเหลือผู้คนก็คงจะลำบากไปสักนิด ไม่มีกายเนื้อแล้วจะหอบหิ้วร่างเขากลับไปได้อย่างไร อีกอย่างหากจะจัดการสิ่งใดย่อมต้องจัดการให้ถึงต้นตอ มิสู้ให้ข้าสิงร่างเขาแฝงตัวติดตามไปแล้วค่อยหาหนทางเอาข้างหน้าเล่า



หานเฉิงรุ่ยถูกพาตัวไปจนถึงเขตอาคมที่ซ่อนตัวลึกอยู่ในป่า ครั้งก้าวเข้าไปภายในกลับปรากฏบ้านร้างหลังใหญ่โต คล้ายว่าเป็นบ้านตากอากาศของขุนนางใหญ่สักคน เด็กหนุ่มถูกลากตัวไปยังห้องลับใต้ดินที่มีทางเข้าสลับซับซ้อน ก่อนจะถูกเชือกกักเซียนมัดตัวเอาไว้ทั้งมือเท้าและวางกองเอาไว้รวมกับเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่น ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็คล้ายแต่จะมีคนคุ้นหน้าคุ้นตาทั้งนั้น เกรงว่าขบวนไขปริศนาปราบผีวิญญาณครั้งนี้จะพลาดท่าเสียทีกันหมดกระมัง ชนรุ่นหลังพวกนี้ใช้การไม่ได้เลยจริงๆ



ข้าออกจากร่างของคนแซ่หานได้ก็เริ่มสำรวจรอบข้าง คุกใต้ดินแห่งนี้นับว่าแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย อย่างแรกคือผู้ที่ถูกจับตัวมาล้วนมีแต่ผู้ฝึกตนเพศชายทั้งสิ้น อย่างที่สองคือแต่ละคนล้วนมีสีหน้าเคลิบเคลิ้มคล้ายตกอยู่ในมนต์สะกดของบางสิ่งทั้งที่ทั่วร่างไอหยางพร่องไอหยินลอยวนเวียน อาการขาดธาตุหยางเช่นนี้คล้ายกับอาการก่อนตายของข้าไม่มีผิด เกรงว่าหลายคนในที่นี้อีกไม่กี่อึดใจคงได้ขาดหยางจนขาดใจตายเป็นแน่



ยามที่คนสกุลหานลืมตาขึ้นมาก็พบกลับศิษย์น้องเส้าที่ถูกลากกลับเข้ามาด้วยสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยไม่เรียบร้อย คนค่อยๆ ตะเกียกตะกายขยับร่างไปหาคนคุ้นเคยทันที เด็กหนุ่มเปล่งเสียงเรียกชื่อทั้งเขย่าตัวอยู่หลายครั้ง เสียแต่ว่าดวงตาทั้งคู่กลับเลื่อนลอยไร้จุดหมาย จวบจนหานเฉิงรุ่ยที่ขึ้นชื่อว่าภาพลักษณ์สง่างามบริสุทธิ์ใช้หน้าผากโขกเข้าหน้าผากอีกฝ่ายจนเต็มแรง นัยน์ตาคู่นั้นจึงกลับมาสะท้อนภาพศิษย์ร่วมสำนักของตนได้



“ศิษย์น้องเส้า! เกิดสิ่งใดขึ้นกับเจ้า”



“ศิษย์พี่...” คนแซ่เส้าขยับยิ้มกว้าง สีหน้าเปี่ยมสุขจนน่าขนลุก ซ้ำยังเอาแต่พึมพำถ้อยคำซ้ำไปซ้ำมาเหมือนคนเสียสติไปแล้ว “มารราตรีชาดช่างดียิ่งนัก...ดียิ่ง” พร่ำเพ้อไม่พร่ำเพ้อเปล่า ร่างกายเบื้องล่างกลับแข็งขืนขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ หานเฉิงรุ่ยเห็นแล้วถึงกลับผงะไป ศิษย์น้องเส้าล้มตัวลงนอนด้วยท่าทางหลงใหลมัวเมาในตัณหา พอขยับตัวก็ยิ่งทำให้เห็นร่องรอยรักมากมายเต็มกระจัดกระจายเต็มร่าง คนยังขยับสะโพกถูไถไปมามองแล้วน่าสังเวชเป็นอย่างยิ่ง



คราวนี้ดวงหน้าคมคายซีดเผือดจนแทบไร้สี หานเฉิงรุ่ยเบือนหน้าไปอีกทางทั้งยังปิดเปลือกตาคล้ายมิต้องการรับรู้สิ่งใดทั้งสิ้น ปล่อยให้ในคุกใต้ดินมีเพียงเสียงเนื้อผ้าเสียดสีและเสียงครางแผ่วเบาจากคนแซ่เส้าเพียงเท่านั้น อย่างว่าแต่เจ้าเด็กแซ่หานเลย กระทั่งข้าผู้ซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวพบเจอทั้งบุรุษสตรีมากหน้าหลายตาที่ตกอยู่ในห้วงดำฤษณายังรู้สึกว่าสถานการณ์ในขณะนี้ชวนกระอักกระอ่วนยิ่งนัก



วิธีการของมารราตรีชาดผู้นี้ต้องบอกว่าข้าคุ้นเคยดีเป็นอย่างยิ่ง ดึงธาตุหยางจากบุรุษเพื่อนำไปใช้หลอมรวมเป็นพลังฝึกปรือ นี่ไม่คล้ายคลึงกับเคล็ดวิชาวสันต์เริงร่าที่ข้าเป็นคนค้นพบหรอกหรือ เพียงแต่การกระทำของคนผู้นี้นับว่าอาจหาญอหังการเกินไปมาก แม้ข้าจะดูดซับไอหยินหยางเวลาร่วมรัก แต่ข้าเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ หนึ่งคือคนจะต้องยินยอมพร้อมใจมอบกายให้กับข้า สองคือพลังที่ดึงมานั้นต้องไม่มากจนเกินไปจนส่งผลต่ออายุขัยของอีกฝ่าย มิใช่ดูดกลืนดึงพลังธาตุใดธาตุหนึ่งออกมาหมดจนเสียสมดุล มิเช่นนั้นจะเป็นบาปกรรมคร่าชีวิตกันเสียมากกว่า



แม้ข้าจะไม่เคยได้ยินชื่อมารราตรีชาดมาก่อน แต่มารสารเลวตัวนี้ก็ช่างเน้นปริมาณได้อย่างชั่วช้าดีแท้ ลักพาตัวผู้ฝึกเซียนอายุน้อยที่มีพลังหยางมากกว่าคนปรกติ ใช้มนต์สะกดให้คนลุ่มหลงมัวเมาในกามราคะ ซ้ำยังรีดเค้นพลังหยางจนผู้คนล้มตาย จำแนกความผิดแล้วนอกจากสมควรตายยังควรจะทำลายวิญญาณให้แตกซ่าน อย่าให้ได้ผุดได้เกิดมาก่อกรรมทำเข็ญกับผู้ใดอีก



ดวงตาของข้าเย็นเยียบมากขึ้นทุกที จากที่ตั้งใจเก็บกลิ่นอายตนก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นอีกต่อไป ข้าขยับเข้าไปใกล้ร่างของหานเฉิงรุ่ยจนแทบจะแนบชิดร่าง ไม่นานเมื่อสัมผัสไอเย็นที่แผ่ซ่านมาจากจิตวิญญาณของปรมาจารย์แซ่เยี่ยผู้นี้ เปลือกตาที่ปิดสนิทของคนก็เปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า ยามที่เขามองเห็นใบหน้าเฉยชาของข้า คนก็เสียอาการอยู่ไม่น้อย



“ผู้อาวุโส...” ยามที่เขาพูดคุยกับข้าในป่า เจ้าเด็กแซ่หานสัมผัสได้เพียงว่าข้าเป็นผีที่มีฤทธิ์วิชา แต่มิได้รู้ว่าข้านั้นนับเป็นวิญญาณระดับสูงที่ฝึกปรือมากเข้าย่อมกลายเป็นอ๋องผีผู้ปกครองวิญญาณได้ ท่าทางจากสูงส่งสงบนิ่งสิ่งใดบัดนี้ย่อมมิอาจรักษาได้อีกต่อไปแล้ว มีแต่ท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออกคล้ายไม่รู้จะว่ากล่าวสิ่งใดดี เกรงว่ายามนี้หานเฉิงรุ่ยคงกำลังสับสนว่าควรผีเช่นข้ามีเป้าหมายสิ่งใดกันแน่



“ข้าถึงตายเป็นผี แต่อาจารย์เจิ้งจากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์เคยมีบุญคุณต่อข้ามาก่อน” เปิดประเด็นเช่นนี้ย่อมทำให้คนคลายความสงสัยลงไปได้มาก เสียแต่ว่าข้าไม่มีเวลาจะมาเล่าย้อนอดีตความหลังและไม่อยากจะให้เจ้าเด็กนี่รู้ว่าตนเองเคยเป็นศิษย์ร่วมยอดเขาร่วมสำนักกับเขามากก่อน จึงมองว่าเล่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว “คราวนี้เรื่องราวเป็นมาอย่างไร สิ่งใดที่เจ้ารับรู้จงเล่าออกมาให้หมด”



ข้อมูลที่หานเฉิงรุ่ยเล่าออกมา ข้าสามารถสรุปได้โดยคร่าวดังนี้ หกเดือนครึ่งปีมานี้ทางทิศใต้ของแคว้นจิ่วโจวมีมารออกอาละวาด เริ่มจากการหายตัวไปของผู้คนที่เดินทางผ่านเส้นทางนี้ จำนวนและความถี่ไม่มีลดน้อยลงมีแต่เพิ่มขึ้น จนกลายเป็นเรื่องเล่าขานว่ามีผีลักพาออกอาละวาด สุดท้ายหลากหลายสำนักต่างส่งคนมาล้อมปราบ หากกลับเป็นว่าลูกศิษย์ชายที่มาปราบกลับหายตัวไปแทน



หกเดือนครึ่งปีมนุษย์ธรรมดาโดนลักพาไปแล้วสิบหกคน ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรกลับมีจำนวนมากกว่าถึงยี่สิบสามคน รวมแล้วเป็นสามสิบเก้าชีวิตที่หายไปอย่างไม่มีร่องรอย แม้จะแค่ส่งคนมาตรวจสอบเขตอาคมที่อำพรางอยู่ คณะผู้ตรวจสอบเหล่านั้นยังหายตัวไป คราวนี้โลกผู้ฝึกเซียนย่อมอยู่ไม่สงบแล้ว ห้าสำนักใหญ่จึงรวมตัวกันส่งลูกศิษย์ที่นับว่ายอดฝีมือยอดอัจฉริยะมาจัดการ แต่ลองเบิกตามองให้ดีเถิด สุดท้ายยอดฝีมือเหล่านั้นกลับพลาดท่ากลายเป็นเตาหลอมพลังหยางไปแล้วมิใช่หรือ



“เรื่องที่ทำเป็นพลาดท่าจนถูกลักพาตัวมานี้ย่อมเป็นแผนการ ไม่มีใครรู้ว่าเขตอาคมที่ซ่อนตัวนั้นอยู่ที่ใด จะบุกทะลวงเข้ามาภายในมีแต่จะเสียแรงโดยเปล่าประโยชน์ มิสู้ใช้ตนเป็นเหยื่อหลอกล่อให้มารร้ายพากลับมารังแทนเล่า” แผนการนี้เรียกว่าโง่อวดฉลาดดีแท้ จะใช้ตนเป็นเหยื่อล่อย่อมต้องรู้จักประเมินกำลังศัตรู ต้องรู้ว่าเมื่อใดควรบุกเมื่อใดควรถอย มิใช่ปล่อยให้โดนลักพาตัวหายไปทีละคนสองคนจนครบทั้งขบวนเช่นนี้ เจ้าหนูนี่แม้จะพอมีความรู้แต่นับว่าไร้ประสบการณ์อยู่มาก



“แต่หากต้องให้ข้าแปดเปื้อนเสียบริสุทธิ์ให้กับมารราตรีชาด หานเฉิงรุ่ยผู้นี้ขอกัดลิ้นตายเสียยังจะดีกว่า” กล่าวจบเจ้าเด็กซื่อบื้อก็ตั้งท่าจะกัดลิ้นฆ่าตัวตายเข้าจริงๆ แม้ยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์จะครองตัวสูงส่งบริสุทธิ์เพียงใดก็มิควรยึดติดถึงขนาดนี้ อาจารย์หญิงนึกคิดสิ่งใดกันแน่จึงได้รับเจ้าคนทื่อมะลื่อเช่นนี้เข้ามา แต่มองดูแล้วก็ไม่แปลกใจเท่าไรนัก หลังจากที่รับข้าเป็นศิษย์เมื่อปีนั้น รสนิยมของอาจารย์หญิงก็คล้ายจะซับซ้อนมากขึ้นทุกที



“จะรีบร้อนไปไย เรื่องนี้หากเกินกำลังก็ให้ผู้อาวุโสเป็นผู้จัดการเองเถิด” ข้าซัดฝ่ามือไอหยินใส่หานเฉิงรุ่ยไปหนึ่งครั้ง ดวงตาของเขาแม้จะฉายแววตระหนกตกใจ แต่สุดท้ายก็อ่อนแสงลงด้วยความสงบนิ่งคล้ายยินยอมแต่โดยดี คนยึดมั่นกับพรหมจรรย์เช่นเขาควรปล่อยให้อยู่ในห้วงฝันอันแสนบริสุทธิ์จะดีกว่า เรื่องราวยุดแย่งธาตุหยางด้วยกามโลกีย์เช่นนี้ควรเป็นหน้าที่ของตัวบัดซบมั่วตัณหาอย่างข้ามิใช่หรือ



ข้าที่หยิบยืมใช้ร่างของหานเฉิงรุ่ยแสร้งทำทีเป็นทำสมาธิเข้าณานมิสนใจสิ่งรอบข้าง มารชาดราตรีผู้นี้ก็รู้จักทรมานผู้คนดีแท้ อาศัยแสงอาทิตย์ที่ลอดมาเล็กน้อยทำให้ข้าพอเดาได้ว่าผ่านไปแล้วสองวันสองคืนแล้วที่ถูกกักขังอยู่ที่นี่ ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นล้วนแต่ถูกลากตัวออกไปคนแล้วคนเล่า หลายคนที่หายไปนั้นมิได้กลับมา จนสุดท้ายเหลือเพียงข้าและศิษย์จากยอดเขาอสูรคำรามแซ่เส้าที่พลังหยางบางเบา คนใกล้มอดม้วยเต็มที



จวบจนคืนวันที่สาม...ข้าถูกคนลากตัวออกไปแล้วโยนเข้าไปในห้องหนึ่ง ครั้นลืมตาขึ้นก็พบว่าตนเองอยู่บนเตียงไม้แกะสลักสวยงาม เบื้องหน้าคือรอยยิ้มหวานหยดย้อยจากใบหน้างดงามล่มเมือง มารราตรีชาดขยับกายเข้ามาใกล้ข้าจนแนบชิด จากนั้นใช้ปลายเล็บแหลมคมไม่เหมือนมนุษย์ลากไล้ไปตามกรอบหน้าของหานเฉิงรุ่ย



“อยู่นิ่งๆ เถิด แล้วข้าจะตกรางวัลให้เจ้าอย่างงาม”



ข้าที่ใช้ใบหน้าหล่อเหลาเยาว์วัยของคนแซ่หานขยับริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มบางเบา หากดวงตาที่สะท้อนมาจากนัยน์ตาสีเลือดของมารราตรีชาดกลับเป็นประกายวาววับยิ่งกว่าประกายเพลิง



ข้าน่ะสิที่จะตกรางวัลให้เจ้าอย่างงาม...



โปรดติดตามตอนต่อไป...



หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 7 [29-9-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ง่วงนอน ที่ 29-09-2019 22:55:41
ลงรัวๆ เลย ดีงาม  :pighaun:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 7 [29-9-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 29-09-2019 23:16:14
 :hao7:


  :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 7 [29-9-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 30-09-2019 00:43:27
ลงรัวๆ เลย ดีงาม  :pighaun:

มันยังมีสต็อกอยู่ค่า เลยลงรัวๆ ช่วงนี้ 55556
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 7 [29-9-19]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 30-09-2019 17:37:32
สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์ในด้านนี้
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 7 [29-9-19]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 30-09-2019 19:13:49
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 8 [1-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 02-10-2019 00:09:24
บทที่ 8 จะใช้วิธีใด หากปราบมารได้ ปลายทางก็เหมือนกัน



ข้าปล่อยให้มารชั่วกระทำการอาจหาญตามใจชอบ เฝ้ามองพฤติกรรมและวิธีสูบพลังหยางที่สมควรตายเหล่านั้น เริ่มแรกมันใช้กลิ่นกายหอมอบอวลคล้ายกุหลาบหลอกล่อให้ผู้คนหลงใหลเมามาย หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเยาว์วัยจิตใจไขว้เขวได้ง่ายย่อมคล้อยตามการชักนำ เมื่อรับกลิ่นหวานจัดจนสมองมึนงงสับสน มารราตรีชาดคงจะมอบความซ่านกระสันสุขสมให้ทันทีกระมัง แต่ละคนถึงได้มีสภาพออกมาเหมือนกับเจ้าเด็กแซ่เส้านั่นได้



สายคาดเอวและกางเกงของหานเฉิงรุ่ยก็หลุดลอยออกจากร่างไป จากนั้นริมฝีปากอิ่มจึงไล่จากจุดชีพจรบนลำคอลงต่ำไปตามแผงอกและหน้าท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ก่อนจะเลื่อนลงไปถึงส่วนกลางลำตัว ดวงหน้างามล่มบ้านล่มเมืองพลันเงยหน้าขึ้นสบตากับข้า กลีบปากขยับแย้มยิ้มเย้ายวนเสียยิ่งกว่าสตรีในหอนางโลม แม้จะใช้มนต์สะกดหลอกล่อผู้อื่น แต่นัยน์ตาสีแดงสดของมันวาววับราวได้พบกับเหยื่อที่ถูกใจ



ผู้บำเพ็ญเพียรหนุ่มน้อยอนาคตไกล หน้าตาหล่อเหลาคมคาย ร่างกายแข็งแกร่งไร้ซึ่งไขมัน ไหนจะพลังหยางที่มากมายอีกเล่า เตาหลอมชั้นดีถึงเพียงนี้มิใช่ว่าใต้หล้าพบเจอกันได้ง่ายๆ นี่ถือว่าเป็นโชคลาภอย่างหนึ่งแล้ว



“พลังหยางทั้งหมดของเจ้าจงมอบให้ข้ามารราตรีชาดเสียเถิด” เสียงหวานเอ่ยขึ้นแผ่วเบาคล้ายเสียงกระซิบ เห็นข้าขยับยิ้มบางแสร้งทำทีเป็นเคลิบเคลิ้ม มารราตรีชาดก็โน้มตัวลงต่ำ กลีบปากอวบอิ่มแนบลงกับแกนกลางร่างกายที่ยังคงสงบนิ่ง ปลายลิ้นสีแดงสดแลบเลียลิ้มรสลากจากส่วนปลายไปจนถึงโคน ยิ่งขยับไล้เลียมากขึ้นเท่าใด กลิ่นกุหลาบที่คล้ายจะสะกดใจผู้อื่นให้หลงเมามายกับกามตัณหาก็ยิ่งเข้มข้นยิ่งขึ้น ข้าได้กลิ่นชวนปวดหัวนี่มากเข้าก็ชักจะรำคาญใจเสียแล้ว



ท่าทางของมารราตรีชาดก็เย้ายวนรัญจวนใจดีหรอก เสียแต่ว่าฝีมือรสรักยังอ่อนด้อยอยู่มาก กลีบปากอิ่มและลิ้นร้อนควรได้ใช้ประโยชน์มากกว่าเพียงไล้เลียภายนอกเช่นนี้ หากคิดจะสูบไอหยางพร้อมยั่วยวนให้คนหลงใหลก็ควรดูดกลืนปรนเปรอให้หมดสิ้นมิใช่หรือ



เห็นอีกฝ่ายใช้ปลายลิ้นไล่เลียคล้ายลูกแมวหยอกล้อกันเช่นนั้น ข้าก็ขยับข้อมือที่ถูกเชือกกักเซียนมัดเอาไว้ด้วยความหงุดหงิดใจ มารชั่วช้าสัมผัสได้ว่าข้ามีปฏิกิริยาตอบโต้ไม่เหมือนกับเหยื่อคนอื่นๆ ก็รู้สึกแปลกใจ ครั้นเงยขึ้นมองเห็นใบหน้าไม่บอกอารมณ์และหัวคิ้วที่กระตุกหากัน คนงามยิ่งประหลาดใจถึงขั้นหลุดปากถามออกมา “เจ้ามิได้รู้สึกดีหรือ”



“มิใช่เช่นนั้น” ข้าขยับยิ้มหวานดั่งที่ทำมาไม่รู้จักกี่ครั้ง แม้ว่าหน้าตาของหานเฉิงรุ่ยจะด้อยกว่าข้าอยู่สามส่วน แต่ก็มากเพียงพอที่จะหว่านเสน่ห์คนแล้ว ดวงตาหรี่มองคนงามเบื้องหน้าอย่างมีเลศนัย “ท่านปรนเปรอข้าอยู่เพียงผู้เดียวย่อมทำให้รู้สึกไม่ยินยอมอยู่บ้าง ไยท่านมิปล่อยให้ข้ามอบความสุขให้ท่านบ้างเล่า”



นัยน์ตาสีชาดปรากฏแววฉงนงงงวยอยู่ไม่น้อยคล้ายมิเคยได้ยินวาจาเช่นนี้มาก่อน คนงามนิ่งงันไปชั่วครู่หนึ่งคล้ายยังตัดสินใจไม่ได้ “มิใช่ว่าปล่อยแล้วเจ้าจะหนีไปหรอกหรือ”



ข้าหัวเราะในลำคอเบาๆ รอยยิ้มยิ่งฉีกกว้างเปล่งประกายเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม ท่าทีไม่มีพิษไม่มีภัยเป็นอย่างยิ่ง “ท่านงดงามยั่วยวนถึงเพียงนี้ ใครเล่าจะพลาดโอกาสโอบกอดท่านได้” มิว่าใครหน้าไหนก็ชื่นชอบคำชมด้วยกันทั้งสิ้น ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะคิกคักแผ่วเบาคล้ายชอบอกชอบใจ คนเอื้อมแขนไปยังมือของข้าที่ถูกมัดไพล่หลังเอาไว้ ขยับนิ้วกรีดปลายเล็บเบาๆ เชือกกักเซียนก็ขาดสะบั้นในทันที



“แบบนี้คงพอใจแล้วใช่หรือไม่” วาจานั้นกล่าวจบลง กลีบปากงามพลันเลื่อนลงไปกดจูบลงบนตำแหน่งเดิมเพื่อกระทำการสานต่อสิ่งที่ทำค้างเอาไว้ ข้าขยับข้อมือที่รู้สึกชาเล็กน้อยไปมาก่อนจะยันตัวขึ้นนั่ง ครั้นริมฝีปากอิ่มครอบลงที่ส่วนปลายอย่างแผ่วเบา ข้าก็เอื้อมมือไปยังเรือนผมนุ่มสลวย กดรั้งศีรษะเขาเข้าหาพร้อมกับหยัดสะโพกขึ้นเพื่อดุนดันส่วนที่แข็งขืนให้รุกล้ำเข้าไปลึกยิ่งขึ้น



มารราตรีชาดมิเคยใช้ริมฝีปากดูดกลืนเต็มส่วนมาก่อนจึงย่อมรู้สึกขลุกขลักอยู่บ้าง ดวงตางดงามคราวนี้เบิกกว้างด้วยความตกใจ ทั้งยังปรากฏหยดน้ำตาแวววาวราวไข่มุกที่หางตา การชะงักค้างไปเช่นนี้ยิ่งเป็นช่วงโอกาสที่ข้าจะดึงรั้งให้เขารับแก่นกายเข้าไปลึกกว่าเดิม ร่างกายนี้ช่างสร้างมาเพื่อกามราคะดีแท้ เพียงครั้งแรกช่องคอก็เปิดรับสิ่งแปลกปลอมเสียแล้ว



ข้าสอดนิ้วเข้าไปในเส้นผมนุ่มราวเส้นไหมแล้วค่อยๆ จับให้อีกฝ่ายเริ่มใช้ริมฝีปากรูดรั้งปรนเปรอ สองข้างแก้มของมารราตรีชาดที่เพิ่งเคยถูกผู้อื่นบีบบังคับให้กระทำการน่าอายยามนี้เริ่มระเรื่อด้วยสีเลือด มิรู้ว่าเกิดจากความตื่นเต้นหรือว่าความอับอายกันแน่ มารชั่วที่ดูดกลืนพลังหยางผู้คนมามากมายช่างเรียนรู้ได้เร็วยิ่งนัก ยิ่งได้สัมผัสรสชาติแปลกใหม่ ไม่นานเขาก็เป็นฝ่ายซ้ำขยับศีรษะเข้าออกดูดกลืนเสียดสีได้อย่างเร่าร้อน ซ้ำยังรู้จักขยับลิ้นตวัดเลียปรนเปรอเร่งเร้า ใช้ฟันคมครูดกับส่วนปลายเบาๆ จนข้าต้องสูดลมหายใจลึก



ภายในห้องมีเพียงเสียงจาบจ้วงน่าบัดสี ทั้งโพรงปากและช่องคอของมารราตรีชาดนับว่าเป็นของดีเลิศรสอยู่ไม่น้อย ยิ่งกระทั้นกายเท่าไร ยิ่งร้อนร่านดูดกลืนคล้ายไม่รู้จักพอ จะหลอกให้เขาตายใจได้ข้าย่อมต้องให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ครั้นอารมณ์พุ่งขึ้นสูงก็สอดนิ้วดึงรั้งเส้นผมดำขลับไว้แรงขึ้น ก่อนจะปลดปล่อยทุกหยาดหยดเข้าไปในริมฝีปากที่เฝ้ารออยู่



“อื้อ...” เสียงหวานครางแผ่วเบาในลำคอด้วยความพอใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อรั้งกายออกมาก็พบว่าอีกฝ่ายดูดกลืนหยาดน้ำไปทั้งหมดสิ้น ปลายลิ้นสีสดตวาดเลียริมฝีปากคล้ายติดใจในรสรักจดมิอาจให้เหลือรอดไปได้สักหยด ใบหน้างามฉายแววพึงพอใจจนปรากฏรอยยิ้มหวานฉ่ำ “ช่างเป็นธาตุหยางที่แข็งแกร่งยิ่งนัก”



จะตกปลาอย่างไรก็ต้องใช้เหยื่อล่อ พลังหยางแกร่งกล้าสดใหม่นี้ย่อมเป็นพลังธาตุที่มาจากร่างของหานเฉิงรุ่ย เกรงว่ามารสีชาดผู้นี้คงใช้วิธีซับพลังจากหยาดน้ำรักที่เหล่าชายหนุ่มปลดปล่อยมากระมัง แม้จะทำให้ได้รับไอหยางมากมายโดยตรง แต่เช่นนี้มิควรเรียกว่าการสูบธาตุหยางแล้ว สมควรเรียกว่าการดูดน้ำจนตัวเหี่ยวแห้งมากกว่า ช่างเป็นวิธีการต่ำช้าเสียจริง



ปรมาจารย์วังวสันต์ผู้สูงส่งเช่นข้าเชยคางอีกฝ่ายขึ้นก่อนจะมอบจุมพิตอันหอมหวานด้วยกลิ่นอายหยางเป็นรางวัลให้กลีบปากงาม เมื่อปลายลิ้นสอดเข้าไปรุกล้ำเกี่ยวกระหวัดกันภายใน มารราตรีชาดพลันยันลำตัวขึ้นจนอยู่ระดับเดียวกับข้า สะโพกกลมย้ายขึ้นมานั่งคร่อมหน้าตักที่เปลือยเปล่า เรียวขาทั้งสองข้างเกี่ยวกระหวัดเข้าที่รอบเอวสอบของหานเฉิงรุ่ย ข้าสอดมือเข้าไปตามรอยแยกของชุด ปลดเปลื้องกางเกงออกไปก็พบว่ามารชั่วมิได้ใส่ชั้นใน กระทั่งปากทางด้านหลังยังคงชุ่มฉ่ำคล้ายรอคอยการเติมเต็มเสียแล้ว



มิต้องปลุกเร้าประการใด ท่อนเนื้อที่เพิ่งได้รับการปลดปล่อยอารมณ์ไปเมื่อครู่ ก็กลับมาตั้งตระหง่านอีกครั้ง ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะกลิ่นกุหลาบแดงเข้มข้นนั้นมีฤทธิ์ปลุกเร้าร่างกาย อีกส่วนคือข้าจงใจมอบรสรักที่มิรู้ลืมให้อีกฝ่ายได้สัมผัส ข้าจับรวบแก่นกายของอีกฝ่ายเข้ากับกายเนื้อของตนเอง ขยับมือพร้อมลำตัวเสียดสีเพื่อปลุกเร้าอารมณ์วาบหวามยิ่งขึ้น ร่างกายเพรียวบางจึงเริ่มสั่นระริกขึ้นมาบ้างแล้ว



“อ๊า...เจ้า...” มารน้อยบิดเร้าลำตัว เมื่อข้าสอดปลายนิ้วสองนิ้วเข้าไปภายในช่องทางอันชุ่มชื้น ทั้งยังขยับเสียดสีไปทั่วจนกระแทกเข้ากับปุ่มเนื้อภายในที่ทำให้ผู้คนซ่านเสียวด้วยราคะยิ่งกว่าเดิม นัยน์ตาสีโลหิตเข้มขึ้นคล้ายทนไม่ไหวอีกต่อไป คนงามเริ่มส่ายสะโพกวนไปมาราวกับอยากให้นิ้วทั้งสองเข้าไปลึกยิ่งขึ้น “เมื่อไรจะเข้ามาสักทีเล่า! ”



เผ่ามารนั้นไม่ว่าจะเกิดมาเป็นมารหรือเปลี่ยนจากมนุษย์ที่เกิดจิตมารล้วนแต่ขึ้นชื่อเรียกการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาทั้งสิ้น คราวอนุภรรยาของนายท่านลู่ ย่าเอ๋อร์ยังทำเพียงแค่ร้องขอแสดงความต้องการ มาคราวนี้อีกฝ่ายกลับเร่งเร้าข้าขึ้นมาเสียแล้ว ข้าดึงรั้งนิ้วทั้งหมดออกมาก่อนจะแกล้งขยับปลายนิ้วลากไล่ตามรอยพับจีบที่หน้าปากทาง มารราตรีชาดส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ คงจะอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว



สะโพกมนยกขึ้นสูงพร้อมกับนิ้วมือเรียวที่คว้าท่อนลำที่แข็งขืนเต็มที่ของหานเฉิงรุ่ยเอาไว้ ข้าเพียงแต่ขยับยิ้มบางปล่อยให้เขากระทำการตามใจชอบ คนงามค่อยๆ จ่อส่วนปลายแก่นกายที่หน้าปากทางพร้อมกับกดเอวลงมาอย่างเชื่องช้า ข้าเห็นดังนั้นจึงเอื้อมมือทั้งสองข้างไปจับเอวคอดแล้วกระแทกร่างของเขาให้ทิ้งดิ่งดูดกลืนเข้าไปจนหมด



“อึก...อื้อ...ลึกยิ่งนัก” มารราตรีชาดหลุดร้องเสียงหวานกระเส่าเมื่อข้าเริ่มกระแทกกายเสียดสีกับช่องทางร้อนฉ่าด้วยความรุนแรง ร่างกายส่ายวนตอบรับทุกจังหวะด้วยความกระสันซ่าน แต่ก่อนมีแต่มัดร่างผู้อื่นไว้ไม่ให้ขยับกาย คราวนี้ถูกปรนเปรอจากยอดฝีมือ นอกจากแปลกใหม่แล้วย่อมต้องรู้สึกเคลิบเคลิ้มราวล่องลอยอยู่บนสวรรค์



นัยน์ตาสีเพลิงเหม่อลอยไร้จุดหมายได้น่ารักยิ่งนัก ข้ารั้งร่างอีกฝ่ายขึ้นมาจนคล้ายจะโอบอุ้มคนงามเอาไว้พร้อมกับที่ขยับเสียดสีช่องทางสีสดอย่างจาบจ้วง เสียงหอบหายใจสลับกับเสียงร้องครวญครางจากมารราตรีชาดดังขึ้นที่ข้างหู เมื่ออีกฝ่ายถึงฝั่งฝันไปก่อน ข้าก็ยิ่งกระทั้นส่วนแข็งขืนหนักหน่วงกว่าเดิม จนสุดท้ายก็ปลดปล่อยเข้าไปภายใน



เรียวขางามทั้งสองข้างเกี่ยวกระหวัดแน่นราวกับไม่ต้องการให้ข้าถอนกายออกไป ข้าปล่อยให้มารสารเลวดูดกลืนธาตุหยางบางส่วนไปด้วยความใจกว้าง ชุดที่หมิ่นเหม่ของมารราตรีชาดถูกดึงทึ้งออกกองอยู่บนเตียงอย่างสิ้นสภาพ ส่วนร่างเพรียวบางถูกโอบอุ้มขึ้นมา คนงามแม้งุนงงอยู่บ้างแต่ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี สองแขนโอบรัดรอบลำคอข้าเอาไว้ ท่าทางยังอิ่มเอมเปี่ยมไปด้วยอารมณ์หวานฉ่ำยิ่งนัก



ข้ากดแผ่นหลังมารราตรีชาดลงกับกำแพงห้อง เมื่อครู่ได้ยินว่าเขาชื่นชอบที่ได้กลืนกินผู้อื่นอย่างลึกล้ำ ตอนนี้จึงได้เสนอท่วงท่าที่ทำให้หลืบร่องรักถูกย่ำยีได้ลึกกว่าเดิม ครานี้คล้ายว่ามารชั่วไม่รู้ตนอีกต่อไป ทำได้เพียงรองรับการจ้วงกระทั้นกายจากข้าและเปล่งเสียงครางด้วยความสุขสม ทั้งยังปลดปล่อยห้วงอารมณ์ออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า คล้ายปล่อยตัวปล่อยใจบ้างแล้ว



“เจ้าดี...ดียิ่ง” เสียงพูดคล้ายไม่เป็นภาษาแต่ยังพอจับใจความได้ ร่างเปลือยเปล่านอนแผ่หลาลงบนพื้นเตียง หากสะโพกกลมยังหยัดขึ้นรองรับแท่งหยกด้วยความเสียวซ่าน จนยามนี้จะดูดซับพลังหยางยังลืมเลือน มีแต่ดวงตาเลื่อนลอยหวานฉ่ำที่เฝ้ามองข้าด้วยความหลงใจจนคล้ายว่าตกอยู่ในห้วงสิเน่หา “เจ้าชื่ออะไรกัน...”



ร่วมรักอย่างต่อเนื่องมาสองวันสองคืนหลากหลายกระบวนท่า ถึงเวลานี้กลับเพิ่งมาถามชื่อนับว่าเป็นเรื่องตลกดีแท้ จะให้ข้าบอกชื่อจากหานเฉิงรุ่ยคงไม่เหมาะสมนัก เพราะตอนนี้จิตวิญญาณผู้เป็นเจ้าของร่างยังคงสลบไสลไม่ได้สติอยู่ในห้วงฝันอันดีงามที่ข้าสร้างขึ้นมา อย่างไรเสียมารราตรีชาดก็ควรได้รู้จักชื่อผู้ที่จะคร่าชีวิตเขาบ้าง จึงได้กระซิบเข้าที่ข้างหูอย่างแผ่วเบาพร้อมมกับขบเม้มติ่งหูขาวแรงๆ “เยี่ยอู๋จวิน”



“เจ้ายอดเยี่ยมยิ่งนัก...มาอยู่กับข้าเสียเถิด ข้าจะเลี้ยงดูเป็นอย่างดี” จุดประสงค์ที่ลักพาตัวเป็นเตาหลอมได้ถูกแปรเปลี่ยนไปเสียแล้ว ไม่ว่าจะมาร มนุษย์หรือเทพเซียน หากได้รับการปรนเปรอบนเตียงเป็นอย่างดีย่อมทำให้จิตใจไขว่เขว้และสับสนได้มากนัก นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ข้ามิอยากให้ใครใช้วิธีเดียวกันฝึกปรือวิชา แม้ปราศจากความรัก หากตัณหาราคะนั้นเมื่อลุ่มหลงแล้วก็ถอนตัวได้ยากจริงๆ



“อะ...อา...เยี่ยอู๋จวิน” มารราตรีชาดร่ำร้องเสียงหวานยามที่ข้ากดกระแทกท่อนเนื้อร้อนเข้ากับจุดอ่อนไหวภายในร่างพร้อมกับปลายนิ้วที่กดบดขยี้ส่วนปลายแก่นกายของเขา ครั้นเรียกชื่อข้ามากขึ้นเอวอ่อนเผ็ดร้อนก็คล้ายจะแข็งเกร็งขึ้นมา นัยน์ตาสีแดงเข้มขึ้นเหมือนกลับมามีสติรับรู้ตนอีกครั้ง



“เยี่ยอู๋จวิน...ที่แท้เจ้าคือปรมาจารย์วังวสันต์ เยี่ยอู๋จวิน! ” เมื่อรู้ว่าข้าเป็นใคร ร่างเพรียวบางผวาขึ้นมาทั้งที่ส่วนแข็งขืนยังสอดลึกล้ำอยู่ในกายของเขา มารราตรีชาดครานี้มิได้ตกอยู่ในห้วงอารมณ์วาบหวามอีกต่อไป แต่มีสีหน้าว้าวุ่นร้อนใจยิ่งนัก มือข้างหนึ่งตะปบเข้าที่ต้นแขนจนปลายเล็บคมจิกเข้าไปในเนื้อ



ชั่วครู่หนึ่งข้ารู้สึกคล้ายพลังหยางทั้งจากร่างของหานเฉิงรุ่ยและทั้งจากจิตวิญญาณตนถูกอีกฝ่ายสูบออกไปอย่างรวดเร็ว มารชั่วตนนี้เมื่อรู้ว่าข้าเป็นใครก็ไม่เสียเวลาสอบถามว่าความกันอีกต่อไป หากแต่ฉวยจังหวะดึงพลังทั้งหมดของข้าไป หากเรื่องฉวยโอกาสฉวยจังหวะ ข้าเยี่ยอู๋จวินก็ไม่เป็นรองใครเช่นกัน



กระบวนวิชาวสันต์เริงร่า ท่าดาราหวนกลับ



สองมือของหานเฉิงรุ่ยภายใต้การควบคุมของข้ารวบเข้ากับลำคองาม อีกฝ่ายขยับตัวดิ้นรนอย่างยากลำบาก ก่อนที่จะใช้พลังมารตอบโต้กลับ ไอยางที่ดูดกลืนจากข้าไปสองวันสองคืนยามนี้กลับกลายเป็นพลังร้อนดั่งเปลวเพลิงที่วิ่งแล่นไปทั่วร่าง ซ้ำยังชักนำให้ธาตุหยางทั้งหมดที่เขามีพุ่งตรงมาให้ข้าดูดซับอย่างง่ายดาย เพียงแค่ชั่วพริบตาสถานการณ์ก็แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง



ยิ่งข้าออกแรงบีบรัดลำคอระหงมากขึ้นเท่าใด พลังหยางทั้งจากร่างและจิตวิญญาณของอีกฝ่ายยิ่งหลั่งไหลออกมาและถูกข้าดูดกลืนมากขึ้นเท่านั้น รูปร่างอันสวยสดงดงามคราวนี้กลับซูบซีดจนมิเหลือสภาพ ผิวหนังฉ่ำน้ำเริ่มแห้งกร้านเหี่ยวแห้ง ริมฝีปากอิ่มแตกระแหงยิ่งกว่าหนองน้ำในยามหน้าแล้ง เส้นผมสีดำขลับเริ่มหยาบกระด้างก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวด้วยความรวดเร็ว มารราตรีชาดจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของข้า สิ่งที่สะท้อนกลับมามีเพียงผีตายซากที่สภาพยิ่งกว่ามนุษย์วัยชรา กระทั่งเรือนผมยังร่วงหายจนเหลือเพียงศีรษะเกือบล้านเลี่ยน



“เยี่ยอู๋จวิน! เจ้าตัวสารเลว!” เสียงหวานที่เคยล่อลวงมนุษย์มากหน้าหลายตาคราวนี้กลับแหบแห้งไม่ชวนฟัง มารชั่วพยายามขยับตัวดิ้นออกจากการเกาะกุมของข้า หากแต่คงจะสายเกินไปเสียแล้ว เพราะทั้งร่างกลับสลายกลายเป็นเพียงฝุ่นผงที่ปลิดปลิวไปตามแรงลม เหลือเพียงลูกกลอนมารทิ้งไว้ในกองผ้าบนเตียงและดวงจิตที่ล่องลอยรอการมารับของเฮยไป๋อู๋ฉาง



หากคิดจะกำจัดมาร ย่อมกำจัดให้ถึงต้นตอ ยามนี้เมื่อได้ธาตุหยางมหาศาลจากอีกฝ่าย พลังวิญญาณของข้าย่อมแข็งแกร่งหาผีตัวใดเปรียบ ข้าซัดฝ่ามือใส่ดวงจิตของมารราตรีชาด ซ้ำยังดูดกลืนพลังที่ยังคงเหลือจนธาตุวิญญาณแตกสลาย เกรงว่ามารตนนี้คงมิได้ผุดได้เกิดในวัฏสงสารอีกต่อไปแล้ว



ข้าเหลือบมองลูกกลอนสีแดงเลือดนกที่กลิ้งอยู่บนเตียงด้วยสายตาเย็นชา ลูกกลอนมารนี้แม้จะมีประโยชน์ต่อการฝึกปรืออยู่บ้าง แต่หากมิระวังให้ดีอาจส่งผลกระทบให้ผู้บำเพ็ญเพียรเกิดจิตมารได้ ให้หานเฉิงรุ่ยเก็บเอาไว้อาจส่งผลร้ายมากกว่าดี ไยไม่ทำลายทิ้งให้หมดสิ้นเสียเล่า



ด้วยพลังที่เพิ่มมากขึ้น ข้าออกแรงบีบเพียงชั่วครู่ ลูกกลอนปราณก็แตกสลายกลายเป็นธุลี มารราตรีผู้ลักพาตัวชายหนุ่มที่ชายป่าแคว้นจิ่วโจวในยามค่ำคืน บัดนี้คงเหลือเพียงตำนานเรื่องเล่าขานเสียกระมัง



ข้าหยิบเครื่องแบบยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นมาใส่ด้วยท่าทางสุขุมราวกับไม่เคยมีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นมาก่อน ครั้นสำรวจคฤหาสน์ร้างแห่งนี้ก็ไม่พบเจอสิ่งอื่นใดที่น่าสนใจอีก เหล่าทาสรับใช้ของมารราตรีชาดเกรงว่าจะเป็นภูตกระดาษที่ขาดพลังของนายก็ล้มตายไม่เหลือเศษซาก ส่วนคนอื่นๆ ที่ถูกลักพาตัวมานั้นไม่มีแม้แต่ศพให้เห็น มีแต่ลูกกลอนปราณราวสามสิบสี่สิบลูกที่เก็บซ่อนเอาไว้ในกล่องไม้ที่ช่องลับใต้เตียง เกรงว่าจะสูญสิ้นชีวิตกันไปหมดแล้วกระมัง



ข้าเก็บกล่องไม้จันทน์หอมที่บรรจุเหล่าลูกกลอนปราณเข้าไปในแขนเสื้อของหานเฉิงรุ่ย สุดท้ายแล้วจึงกลับไปหาคนแซ่เส้าในคุกใต้ดิน เมื่อไม่มีมนต์สะกดของมารราตรีชาด คนจากยอดเขาอสูรคำรามก็กลายเป็นเพียงซากศพมีชีวิต พอมีสติรับรู้ขึ้นมาเจ้าหนูก็มีท่าทางหมดอาลัยตายอยากน้ำตาไหลอาบหน้า น่ากลัวว่าจะรับรู้เรื่องราวที่ตนเองแปดเปื้อนให้มารชั่วไปแล้ว หากมีเรี่ยวแรงมากกว่านี้คงลุกขึ้นมาผูกคอตายไปแล้วกระมัง



“ศิษย์พี่หาน...” ท่าทางอยากตายของเขาทำให้ข้ารู้สึกสงสารอยู่ไม่น้อย ด้วยรู้ว่าคำขอของคนสกุลเส้าคงไม่พ้นฆ่าเขาให้ตายเสีย ข้าจึงจี้สกัดจุดให้คนสลบไป แนบจูบกับริมฝีปากแห้งกร้านเพื่อถ่ายเทพลังหยางกลับคืนให้ไปไม่น้อย จากนั้นจึงอุ้มเรือนร่างผอมแห้งพาดบ่า ที่ชั่วช้าอัปมงคลเช่นนี้ไม่ควรรั้งอยู่อีกต่อไปแล้ว



เวลานี้พระอาทิตย์เริ่มขึ้นจากขอบฟ้า สัตว์ป่าสัตว์อสูรในแถบนี้ไม่ได้ชุกชุมดุร้ายเหมือนยามค่ำคืน ก้าวเท้าเดินขึ้นเหนือมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงแคว้นจิ่วโจวได้ราวสิบลี้ ข้าพบต้นท้อใหญ่ต้นหนึ่งท่าทางเต็มเปี่ยมด้วยพลังคล้ายเป็นภูตที่ฝึกบำเพ็ญเพียรมาหลายปี ก็คิดว่าจะปล่อยร่างของหานเฉิงรุ่ยและศิษย์แซ่เส้าจากยอดเขาอสูรคำรามทิ้งไว้ที่นี่ ดูท่าแล้วคงจะมิอันตรายเท่าใดนัก



พบเจอหานเฉิงรุ่ยในครั้งนี้นับว่าเป็นวาสนาของข้าดีแท้ แม้จะต้องวุ่นวายใช้วิธีที่เหล่าผู้ฝึกเซียนเรียกกันว่าหยาบช้านอกรีตกำราบมาร แต่ข้าก็ได้กำไรกลับมาไม่น้อย ธาตุหยางที่มารราตรีชาดสั่งสมมาหกเดือนครึ่งปีนับว่าช่วยให้ข้ากลายเป็นวิญญาณขั้นสูงเสียยิ่งกว่าเดิม ส่วนลูกกลอนปราณจากคนตายแม้จะสามารถเพิ่มพลังให้ข้าได้ แต่สมควรให้คนแซ่หานเก็บไว้มากกว่า อย่างน้อยลูกกลอนเหล่านั้นก็ควรหวนกลับคืนสำนักคืนตระกูลของตนมิใช่หรือ



ถึงจะเป็นผีลามก แต่ข้าเยี่ยอู๋จวินผู้เป็นผีที่ดียิ่งนัก ทั้งปราบมารได้ ทั้งมิละโมบโลภมาก เกรงว่าใต้หล้านี้จะหาผีที่ดีเช่นนี้มิได้อีกแล้ว



ข้ากระหยิ่มยิ้มย่องล่องลอยไปทางทิศเหนือได้ไม่นาน จู่ๆ สัญชาตญาณผีก็กรีดร้องพร่ำบอกว่าข้างหลังมีบางสิ่งผิดปรกติ แม้จะตายกลายเป็นผีไปแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกหนาวสันหลังขนลุกตั้งชันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ครั้นจะหันกลับไปมองเบื้องหลัง ข้ากลับได้ยินเสียงวัตถุบางสิ่งแหวกผ่านอากาศมาเสียก่อน



แส้สายหนึ่งฟาดเข้าที่ด้านหลังของข้าอย่างแม่นยำ ก่อนปลายแส้จะตวัดรัดรอบลำคออย่างผิดธรรมชาติ เกรงว่าแส้นี้คงขยับตามการควบคุมของผู้ฝึกเซียนกระมังจึงโจมตีได้ดั่งอสรพิษซ้ำยังสามารถรัดรึงภูตผีให้อยู่ใต้อาณัติได้เช่นนี้ ถึงจะไม่มีร่างแต่ข้าก็รู้สึกแข็งเกร็งไปตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทันใดนั้นก็รู้สึกคล้ายถูกอัสนีบาตรฟาดเปรี้ยงเข้าที่ลำคอ...หากฟาดแรงกว่านี้เกรงว่าวิญญาณจะแตกสลายได้กระมัง



ข้ายังไม่ทันได้หันไป ยังไม่ทันได้โอดครวญ ก็ได้ยินคำเรียกขานชื่อตนเองเสียก่อน เสียงนั้นเย็นเยียบเสียยิ่งกว่าหิมะกลางฤดูหนาว ยิ่งกว่ายอดน้ำแข็งแห่งแดนคุนหลุน หากกลับเป็นเสียงที่ข้าคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่ละพยางค์เน้นชัดยิ่งนัก



“เยี่ย...อู๋...จวิน! ”



โปรดติดตามตอนต่อไป...


ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะะ ตอนนี้ยังมีสต็อก ยังลงได้เรื่อยๆ ค่า
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 8 [1-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 02-10-2019 01:52:42
สนุกกกก แบบเร้าใจ แหะๆ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 8 [1-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-10-2019 07:52:16
 :hao7:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 8 [1-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 02-10-2019 09:42:25
รอๆ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 8 [1-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ง่วงนอน ที่ 02-10-2019 17:18:49
 :o8: :-[
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 8 [1-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 03-10-2019 16:35:49
บทที่ 9 เป็นผีได้รับความอยุติธรรม จะร้องเรียนที่ใดได้



ลงมือก่อนแล้วค่อยพูดจาสอบถามเช่นนี้จะเป็นใครได้นอกจากอดีตคนคุ้นเคยเก่าแก่ของข้า คุณชายน้อยจากสกุลผู้บำเพ็ญเพียรชื่อดัง ศิษย์สายตรงจากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ ผู้ซึ่งโด่งดังเป็นอันดับต้นๆ ของผู้ฝึกเซียนในยุคสิบปีหลังผู้นั้น...ไป๋เจี๋ย



หรือก็คือคนที่ข้าไม่อยากพบเจอมากที่สุดในใต้หล้านี้...ศัตรูมักพบพานบนทางแคบจริงแท้



เรื่องราวระหว่างข้ากับคุณชายสกุลไป๋นั้นเป็นเรื่องราวครั้งเก่าเมื่อราวยี่สิบปีก่อน หากจะเล่าเกรงว่าต้องย้อนความสืบประวัติกันอยู่มาก หากบอกกล่าวง่ายๆ คือเขามีศักดิ์เป็นศิษย์น้องในช่วงระหว่างที่ข้าพำนักอยู่บนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ด้วยฐานะศิษย์คนแรกของอาจารย์หญิงแซ่เจิ้ง จึงเรียกว่าเคยมีอดีตความหลังฝังใจกันมาก่อนอยู่ไม่น้อย



“อาเจี๋ย...” น้ำเสียงข้าถอดยาวด้วยความอบอุ่นยิ่งนักเหมือนที่เคยเรียกขานคนตลอดสองปีที่ข้าดูแลเขามา พอปลายเสียงจบข้าหันไปมอง กลับไม่พบเด็กชายตัวน้อยตาใสเหมือนเช่นเคย หากเป็นชายหนุ่มผิวราวหิมะ รูปร่างสูงโปร่ง ริมฝีปากบางเฉียบใบหน้างดงามเฉยชาราวหยกสลัก ภาพลักษณ์ดีงามทั้งสิ้นยกเว้นเพียงดวงตาหงส์ดำขลับทั้งคู่เป็นประกายวาวโรจน์เสียยิ่งกว่าสัตว์อสูรบ้าคลั่ง



ไม่ได้พบเจอหลายปี เห็นหน้าอีกครั้งกับพบแต่สิ่งที่เกิดคาดคิดเต็มไปหมดจนข้ามิรู้ว่าควรประหลาดใจกับสิ่งไหนก่อนดี วันสุดท้ายที่ข้าได้เห็นหน้าไป๋เจี๋ยคือวันที่ข้าก้าวเท้าลาออกจากสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ เด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปีในวันนั้นน้ำตาไหลอาบหน้าร้องเรียกว่าอู๋เกออย่าจากไป จากวันนั้นถึงตอนนี้เป็นเวลากว่าสิบแปดปี คนย่อมเติบโตขึ้นเป็นธรรมดา



สิ่งที่เหนือความคาดหมายคืออีกฝ่ายมิได้อยู่ในชุดเครื่องแบบของยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์อีกต่อไป แต่กลับเป็นเสื้อผ้าสีเขียวอ่อนชุดคลุมสีขาวชายเสื้อปักลายไผ่เขียวมงคลแปดต้นแห่งตระกูลไป๋ เบื้องหลังยังมีชายหนุ่มตัวสูงใหญ่กำยำในชุดแบบเดียวกัน เสียแต่ว่าสวมหมวกม่านมาลาจนใบหน้าถูกผ้าขาวบดบังไปเสียสิ้น



เกรงว่าผู้บำเพ็ญเพียรจากสกุลไป๋ที่ข้าพบที่สุสานของตนเองเมื่อหลายวันก่อนจะเป็นอดีตศิษย์น้องของข้าผู้นี้เสียแล้ว



“ยังจะมีหน้า...ยังจะมีหน้าเรียกข้าแบบนั้น” อีกฝ่ายกล่าวด้วยท่าทางเหลืออด ข้ามิได้ถือสาเขาด้วยเรื่องแค่นี้หรอก คิดเพียงว่าหลายสิ่งหลายอย่างแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่น้ำเสียงของไป๋เจี๋ยก็ยังคงคล้ายปีนั้นไม่มีผิด เนื้อเสียงใสไพเราะราวแก้วกระจก ส่วนที่ไม่เหมือนเดิมคงเป็นความเย็นชาห่างเหินที่เพิ่มขึ้นมากระมัง



ข้าเหม่อลอยได้เพียงชั่วลมหายใจ สายฟ้าก็ฟาดเข้าที่ต้นคออีกครั้ง แม้ไม่ได้รุนแรงขึ้น แต่ก็ทำให้เจ็บปวดรวดร้าวคล้ายทั่วทั้งวิญญาณถูกดึงทึ้งออกจากกัน คราวนี้นัยน์ตาของข้าเบิกโพลงขึ้นด้วยความฉงนใจ นี่ไม่ใช่ท่าอัสนีลงทัณฑ์จากเคล็ดวิชาลับเจ็ดอัสนีสวรรค์ที่มอบให้เพียงผู้สืบทอดยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์มิใช่หรือ “เจ้าสำเร็จวิชาเคล็ดวิชาเจ็ดอัสนีสวรรค์แล้วหรือ...เกิดอะไรขึ้นกับอาจารย์เล่า หรือว่านางบำเพ็ญเพียรสำเร็จเหาะเหินขึ้นสวรรค์เป็นเซียนไปแล้ว”



เอ่ยปากถามออกไปข้าก็ยิ่งไม่เข้าใจ เมื่อไป๋เจี๋ยสำเร็จวิชาแล้วย่อมต้องได้เป็นเจ้ายอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ต่อจากอาจารย์หญิง แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นเหตุใดจึงไม่สวมใส่เครื่องแบบของสำนัก แต่กลับสวมใส่เครื่องแบบประจำตระกูลแทนเล่า นี่คล้ายมีบางสิ่งไม่ถูกต้องเข้าแล้ว เกรงว่าข้าไม่ได้ติดตามข่าวคราวของเหล่าสำนักเซียนและตระกูลใหญ่มาหลายปี เรื่องราวภายในเป็นอย่างไรก็ตามไม่ทันเสียแล้ว



“ตัวบัดซบเช่นเจ้ายังจะกล้าถามถึงอาจารย์อีกหรือ” หากแววตาของอีกฝ่ายเป็นคมกระบี่ ข้าเยี่ยอู๋จวินคงได้ตายซ้ำตายซากไม่มีทางได้ผุดได้เกิดต่อให้เผากระดาษเงินกระดาษทองเท่าไรก็คงไม่ช่วยแล้ว วันเวลาช่างโหดร้ายยิ่งนัก แต่ก่อนเขาเรียกข้าว่าอู๋เกอทุกคำ มาตอนนี้คำแรกก็บัดซบ คำหนึ่งต่อไปคงไม่พ้นสารเลว ข้าในสายตาของคนสกุลไป๋คงไม่พ้นเป็นตัวต่ำช้าบ้ากามราคะเป็นแน่



“ไม่ให้ถามถึงอาจารย์หญิงแล้วจะให้ถามถึงใครเล่า” เห็นหน้าตาท่าทางเขาหงุดหงิด ข้าก็อดที่จะเล่นหยอกล้อกับเขาหน่อยไม่ได้ ด้วยมั่นใจว่าแส้ที่พันอยู่รอบคอคงไม่ทำให้ข้าถึงขั้นดับสลายแน่ ถ้าตั้งใจจะทำอย่างนั้นจริง คนแซ่ไป๋คงลงมือไปแล้ว ไม่ปล่อยให้เวลาลากยาวมาถึงเวลานี้ “เช่นนั้นถามถึงไก่ของอาจารย์อาเหลียงดีหรือไม่ หรือถามถึงนิสัยชอบถ้ำมองของอาจารย์อาโจว...”



จะว่าไปสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ก็เลี้ยงตัวประหลาดเอาไว้อยู่ไม่น้อย สมัยนั้นอาจารย์หญิงเจิ้งปิงฉินแห่งยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ นิสัยเย็นชาไร้หัวใจ ไม่รู้จักแยกแยะหนักเบา มีปัญหาอะไรก็โยนใส่ข้าอยู่ตลอดเวลา อาจารย์อาเหลียงเหลียงเหลียง[1]แห่งยอดเขาอสูรคำราม ชื่อเสียงเรียงนามชวนถอนหายใจชนิดไม่รู้ว่าบิดามารดาท่านไม่มีชื่อคนตายอื่นมาตั้งแล้วหรือ แม้ระดับฝึกปรือจะด้อยกว่าผู้อื่นเพราะมิได้มีกระดูกเซียน แต่ก็พอมีความสามารถอยู่บ้าง สัตว์อสูรใต้หล้ามีเป็นร้อยพันแต่กลับตัดสินใจเลี้ยงแม่ไก่สีน้ำตาลหนึ่งตัวไว้บนยอดเขา ซ้ำยังตั้งชื่อให้อย่างเพราะพริ้งว่าเฟยจูเชวี่ย จากไก่อ้วนกลายเป็นหงส์แดงทะยานบินไปเสียได้ ตั้งชื่อได้ลบหลู่สัตว์เทพในตำนานได้ดียิ่งนัก



ส่วนอาจารย์อาโจวอี้กั๋วแห่งยอดเขานภาไร้สรรพเสียง หน้าตางามสง่าท่าทางมากวิชาความรู้ทั้งกลอนปราชญ์ประวัติศาสตร์สมมาจากตระกูลใหญ่ พลังฝึกปรือก็ไม่เป็นรองใคร หากชอบทำตัวว่างงานคล้ายตำแหน่งเจ้ายอดเขาไม่งานการใดให้ทำ วันๆ ไม่เป็นอันทำอะไรนอกจากมายืนเกาะต้นไผ่เฝ้ามองอาจารย์หญิง พอโดนใครพบเห็นก็ทำท่ากางพัดท่องบทกลอน แก้ตัวแต่ว่าเห็นอากาศแจ่มใสจึงบังเอิญผ่านมา เห็นฝนตกกระหน่ำจึงบังเอิญผ่านมา เห็นหิมะโปรยปรายจึงบังเอิญผ่านมา คนอะไรบังเอิญผ่านมาได้ทุกสองสามชั่วยาม เกรงว่าเอาไปหลอกทารกยังเชื่อถือไม่ได้เลยกระมัง



เวลาเหล่าผู้อาวุโสสามคนนี้ยามแยกกันอยู่ก็ดูภูมิฐานงามสง่าดีอยู่แล้ว หากรวมตัวกันแล้วคล้ายว่าไม่รู้จะไปในทิศทางใดกันแน่ พอยิ่งพูดคุยด้วยแล้วยิ่งรู้สึกปวดหัวขึ้นมา...ยังไม่นับเรื่องราวรักสามเส้าของพวกเขาอีก การมีอาจารย์เช่นนี้ล้วนทำให้ชนรุ่นหลังเจ็บปวดใจดีแท้



“หุบปาก เจ้าอย่าได้พูดจามั่วซั่วไป” สีหน้าของไป๋เจี๋ยจริงจังเงียบขรึมเสียยิ่งกว่าเดิม “ยามนี้เรื่องราวต่างๆ ล้วนไม่เหมือนเดิม อาจารย์อาเหลียงสิ้นแล้ว อาจารย์อาโจวธาตุไฟเข้าแทรกเสียสติเตลิดหายไป ส่วนอาจารย์เร้นกายมิมีผู้ใดพบเจอมาหลายปี”



“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น” เรื่องราวชักจะไปกันใหญ่เสียแล้ว จุดจบของเจ้ายอดเขาทั้งสามล้วนไม่อาจเรียกว่าเป็นเรื่องดีได้ มิน่าเชื่อว่าข้าเร่ร่อนไปทั่วไม่ได้ติดตามข่าวคราวหลายปีกลับต้องมาได้ยินอะไรเช่นนี้



คนสกุลไป๋ถอนหายใจ มือขยับตวัดแส้ลากร่างวิญญาณของข้าเข้าไปใกล้ ท่าทางคนไม่ค่อยอยากจะเล่า แต่เห็นว่าอย่างไรข้าก็เป็นคนคุ้นเคยของเหล่าผู้อาวุโสมาก่อน จึงเล่าเรื่องออกมาอย่างเสียมิได้ด้วยน้ำเสียงชืดชา “สิบสี่ปีก่อนอาจารย์คล้ายปลงใจเลือกอาจารย์อาเหลียง จากนั้นมิรู้ว่าอาจารย์อาโจวกินดีหมีหัวใจเสือจากที่ใดจึงถือกระบี่บุกขึ้นยอดเขาอสูรคำราม ครั้นหาตัวอาจารย์อาเหลียงไม่เจอจึงมุ่งเป้าไปที่เฟยจูเชวี่ยแทน ร่ายรำกระบี่อยู่หลายกระบวนท่าก็สังหารแม่ไก่ตัวนั้นจนไม่เหลือแต่ซาก”



“อาจารย์อาเหลียงกลับมาเห็นเข้าจึงโมโหจัดเลือดขึ้นหน้า ประมือกันอยู่หลายชั่วยาม มิรู้ว่าอาจารย์อาโจวใช้เล่ห์กลสิ่งใด อาจารย์อาเหลียงที่ไม่มีกระดูกเซียนซ้ำพลังฝึกปรือชนกำแพงมิอาจฝ่าด่าน กลับสามารถเรียกด่านอัสนีขึ้นมาได้ อัสนีนั้นรวมตัวเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าสาย อาจารย์อาเหลียงมิทันเตรียมตัวกลับต้องรับมือกับด่านอัสนี สายแรกผ่าลงมาอาจารย์อาเหลียงยังมิทันได้เป็นไร แต่สายต่อมาเห็นว่าเส้นผมกลับเริ่มหยิกไหม้ พอถึงสายสุดท้ายหมดลงใครเห็นก็คิดว่าอาจารย์อาคงเอาชีวิตไม่รอด”



ขนาดผู้บำเพ็ญเพียรที่เตรียมตัวรับด่านอัสนียังสิ้นชีพไปไม่รู้จักกี่คน อาจารย์อาเหลียงเหลียงเหลียงที่พลังฝึกปรือไม่คืบหน้ามาหลายสิบปี จู่ๆ จะต้องมาฝ่าด่าน ท่าทางจะลำบากยากเย็นแล้ว ฟังไปฟังมาข้าก็รู้สึกสนใจมีส่วนร่วมอยู่ไม่น้อยจึงอดเอ่ยปากถามไม่ได้ “แล้วรอดหรือไม่”



“จะรอดได้เช่นไร สุดท้ายอาจารย์อาเหลียงเหลือแต่เถ้าธุลี” คนเบื้องหน้าถอดถอนใจราวกับว่าภาพเหตุการณ์นั้นยังติดตา “อาจารย์มาถึงทำได้เพียงหยิบเอาลูกแก้วปราณของอาจารย์อาเหลียงมาเก็บรักษาเอาไว้ ส่วนดวงจิตคนกลับเข้าสู่วัฏสงสารเสียแล้ว นางจึงรีบถ่ายทอดวิชาลับให้ข้า ตั้งข้าเป็นผู้สืบทอดแล้วลงจากเขาเพื่อตามหาคนรักในชาติภพต่อไป ส่วนอาจารย์อาโจวธาตุไฟเข้าแทรกหนีหายไปในวันนั้นเอง”



ข้าถอนหายใจร่วมไว้อาลัยให้แก่อาจารย์ทั้งสามแห่งสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ด้วยความสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง สุดท้ายจุดจบของรักสามเส้าบัดซบดีแท้ เรื่องราวที่ควรดีงามเหมาะสมกลับกลายเป็นเช่นนี้จะโทษใครได้เล่า ข้าได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างเชื่องช้า ครั้นเห็นคนแซ่ไป๋จ้องมองกลับมา จึงสบตากับนัยน์ตาคมของอีกฝ่ายแล้วขยับยิ้มบางเบาคล้ายเหนื่อยใจสองส่วนปลงตกสามส่วนเอาใจอีกห้าส่วน



“ความรักนี่ไม่ง่ายเลยสักนิด”



ชั่วครู่หนึ่งข้าคล้ายมองเห็นระลอกคลื่นในดวงตาหงส์ หากกลับไม่แน่ใจเพราะสายตาที่ไป๋เจี๋ยมองกลับมานั้นเย็นชาเสียงยิ่งกว่าเดิม คนหัวเราะในลำคอเบาๆ ราวกับเย้ยหยันบางสิ่ง มือข้างที่ถือแส้กำแน่นขึ้นพร้อมกับที่แส้สายนั้นบีบรัดคอข้าเสียจนใกล้กลายสภาพเป็นวิญญาณคอขาด



“ได้ยินว่าหกเดือนก่อนปรมาจารย์จากสกุลเยี่ยพลาดพลั้งรับพลังหยินมากเกินไปจนธาตุไฟขาดแทรกจบชีวิต หลงนึกว่าชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้พบเจอกันอีก” แม้น้ำเสียงครึ่งแรกของอีกฝ่ายไม่ได้มีแววโศกเศร้า หากทำให้ข้ารู้สึกปวดใจอยู่ไม่น้อย แต่พอได้ยินคำพูดครึ่งหลัง ความรู้สึกปวดใจก็กลายเป็นปวดหัวแทน “ไม่คิดว่าแท้จริงแล้วผู้สูงส่งอย่างเยี่ยอู๋จวินกลับกลายมาเป็นผีคอยลักพาตัวผู้บำเพ็ญเพียรไปสูบพลังหยางอยู่แถวนี้”



“เรื่องนี้เข้าใจผิดแล้ว…” ปฏิเสธได้ประโยคเดียวไม่ได้อธิบายความเพิ่มแม้แต่นิด ไป๋เจี๋ยพลันสะบัดข้อมือจนแส้คล้ายออก ข้ายังไม่ทันได้โล่งใจดี มือขาวเรียวดั่งหยกก็สะบัดอีกครั้ง คราวนี้แม้แส้จะไม่ได้รัดรึงรอบลำคอเหมือนรอบก่อน หากฟาดเข้ากลางลำตัวอีกหลายครั้ง แต่ละครั้งเจ็บปวดราวกับฉีกกระชากวิญญาณออกมาเป็นชิ้นๆ แส้บัดซบนี่เป็นของวิเศษปราบผีปราบมารชนิดใดกัน หากรู้ตัวว่าใครเป็นคนสร้าง ข้าจะไปหลอกหลอนควักไส้มามารดามันเสีย



“เข้าใจผิดอย่างนั้นหรือ” หน้าตาเย็นชานิ่งเฉย ริมฝีปากแม้รอยยิ้มสะใจสักนิดก็ยังไม่มี หากฝีมือการตวัดแส้แต่ละครั้งบ้าคลั่งเหลือเกินราวกับโกรธแค้นกันมายี่สิบปี ยิ่งข้าขยับหลบหลีกเท่าไร เจ้าตัวน่าตายแซ่ไป๋ยิ่งฟาดแส้แรงขึ้นเท่านั้น มิรู้ว่าหลายปีมานี้คนพบเจอเรื่องใดมา ศิษย์น้องผู้แสนน่ารักน่าเอ็นดูของข้าจึงกลายเป็นคนป่าเถื่อนรุนแรงเช่นนี้ ส่วนเจ้าคนที่อยู่ด้านหลังก็ช่างเลือดเย็นเหลือเกิน ตั้งแต่ต้นจนจบนอกจากยืนมองเฉยๆ แล้วยังไม่ปริปากพูดสักคำ



“หากข้าเข้าใจผิด แล้วทำไมวิญญาณที่ควรมีพลังหยินอบอวล เพียงหกเดือนถึงได้มีธาตุวิญญาณหยางสูงส่งขึ้นมาได้ ซ้ำพลังวิญญาณยังมากมายเช่นนี้ ไม่เกินสองสามปีเกรงว่าจะกลายเป็นอ๋องผีกระมัง”



สายตาของไป๋เจี๋ยช่างแหลมคมดีแท้ พูดจามาหลายประโยคเรียกว่าวิเคราะห์ได้เป็นจริงดังตาเห็นภาพเกือบทุกประโยค เสียแต่ว่าประโยคที่ผิดดันเป็นใจความสำคัญเสียได้ ข้าเป็นเพียงผู้กำจัดมารราตรีชาดและรับผลประโยชน์เป็นธาตุหยางมาหลายส่วน ใช่ว่าข้าเป็นคนกระทำการลักพาตัวผู้คนเหล่านั้นมาเสียเมื่อไรเล่า



ข้ากัดฟันอดทนรับความเจ็บปวดคล้ายถูกมีดกรีดตามวิญญาณได้อยู่ครึ่งค่อนชั่วยาม รอให้คนฟาดจนพอใจเสียก่อนค่อยคิดหนทางบอกเล่าว่ากล่าวกันอีกที เจ้าเด็กสกุลไป๋นี่ก็ช่างมือหนักดีแท้ หากฟาดแรงกว่านี้อีกสักหน่อยเกรงว่าคงได้สิ้นชื่อผีลามกเยี่ยอู๋จวินก็วันนี้



“ข้ามิได้ลักพาตัวใครมาจริงๆ แต่เป็นฝีมือของตัวต่ำช้ามารราตรีชาด” เห็นเขานิ่งเงียบข้าก็รีบร้อนอธิบาย สองมือยกชูขึ้นคล้ายว่ายอมแพ้แต่โดยดี ทั้งที่ใจจริงอยากหนีจนใจจะขาดแต่ก็มิอาจทำได้ หากรีบเผ่นหนีไปตอนนี้ ไม่แน่ว่าจะถูกคนสกุลไป๋เรียกตระกูลตนเองและเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรทั้งโลกผู้ฝึกเซียนมาตามล่าตัวข้าเสียมากกว่า หนทางการได้เป็นอ๋องผีก็คงจบอนาถลงตรงนี้เอง



“แล้วมารราตรีชาดผู้นั้นอยู่ที่ใดเล่า” สีหน้าไป๋เจี๋ยไม่มีความเชื่อถือในคำพูดข้าแม้เพียงส่วน จะปล่อยให้เขาเข้าใจผิดต่อไปย่อมมิอาจเกิดผลดี ข้าทำบาปกรรมสิ่งใดไว้กัน แต่ก่อนข้าเยี่ยอู๋จวินมิเคยต้องมาเฝ้าอธิบายความ มิเคยต้องรู้สึกตกต่ำต้องหวาดกลัวเหมือนหนูกลัวแมวเช่นนี้ มาวันนี้กลับถูกเด็กน้อยที่เคยดูแลมาสองปีข่มขู่เสียได้ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ถูกโรคกับคุณชายสกุลไป๋ผู้นี้จริงๆ



“ข้าใช้ร่างศิษย์แซ่หานของเจ้ากำจัดมันแล้ว จึงได้ธาตุหยางจากมันมาไม่น้อย แต่ทั้งดวงจิตทั้งลูกกลอนมารก็ทำลายไปเสียสิ้น หากแต่ลูกกลอนปราณของผู้ที่ถูกลักพาตัวมาข้าให้หานเฉิงรุ่ยไว้ส่งคืนสำนัก ตอนนี้เขากับคนจากยอดเขาอสูรคำรามคงอยู่ใต้ต้นท้อภูตทางทิศใต้กระมัง”



“จัดการทุกอย่างได้หมดจดเรียบร้อยเป็นอย่างยิ่ง สมเป็นเยี่ยอู๋จวินแล้ว” คำพูดเย็นชาเต็มสิบส่วนนั้นไม่รู้ว่าเป็นคำชมหรือคำประชดประชันกันแน่ ครั้นเห็นเขาเป็นอย่างนี้ข้าย่อมรู้สึกปวดใจ ปีที่อาจารย์เจิ้งรับเขาเข้าเป็นศิษย์ของยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ ไป๋เจี๋ยที่อายุเพียงสิบสองปียังเป็นเด็กขี้แย นิดหน่อยก็น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม มาตอนนี้กลับกลายเป็นก้อนน้ำแข็งบ้าเลือดไปเสียได้ แม้จะถูกฟาดไปหลายสิบแผลก็ยังรู้สึกสงสารเวทนาอยู่บ้าง หลายปีที่ผ่านมาเด็กคนนี้คงมิได้มีชีวิตที่ดีเท่าไรนัก



อันที่จริงการหวนกลับมาพบกันในรอบสิบแปดปีระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องที่รักใคร่สมานสามัคคีควรเป็นฉากอันงดงามน่าประทับใจ ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงกลายเป็นฉากนองเลือดของข้าไปเสียได้



“เช่นนั้นก็กลับไปดูหานเฉิงรุ่ย”



ไม่มีวาจาใดจะช่วยแก้ต่างเท่ากับการพิสูจน์อีกแล้ว ตัดสินใจได้ดังนั้นไป๋เจี๋ยจึงหันกลับไปมองด้านหลังเพียงเล็กน้อย บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้มีผ้าคลุมหน้าผู้นั้นก็ขยับเข้ามาในทันที ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยได้ดีเสียจนน่ามีเอาไว้ใช้งานสักคน สองมือที่ยื่นออกมา ข้างหนึ่งถือเจดีย์กักวิญญาณ ข้างหนึ่งถือโซ่ตรึงวิญญาณ ท่าทางสงบนิ่งไร้การเคลื่อนไหวเหมือนว่าที่ถืออยู่นั้นเป็นของหวานสำหรับเด็ก



“เลือกเสีย” ไม่ต้องรอให้เขาขยายความ สายตาที่บ่งบอกว่าข้าคงไม่ปล่อยให้เจ้าล่องลอยไปตามใจชอบหรอกนะก็ช่วยอธิบายได้ทุกอย่างแล้ว



ข้าเหลือบมองเจดีย์กักวิญญาณสลับกับโซ่ตรึงวิญญาณ แต่ละอย่างล้วนเป็นของดีสำหรับปราบผีร้ายทั้งสิ้น ผีที่ถูกขังอยู่เจดีย์กักวิญญาณจะถูกควบคุมการเคลื่อนไหวเหลือเพียงประสาทรับรู้บางเบาคล้ายตกอยู่ในภวังค์ หากอยู่นานเข้าย่อมเสียสติจนกลายเป็นทาสของผู้ใช้งาน ส่วนโซ่ตรึงวิญญาณก็ไม่ได้ดีกว่ากันเท่าไรนัก วิญญาณจะถูกโซ่ตรวนผูกรั้งเอาไว้ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เลี้ยง เหมาะสำหรับการใช้อาวุธปราบผีเฆี่ยนตีทรมานกันยิ่งนัก...



ข้าเยี่ยอู๋จวินเป็นผีลามกเพียงเท่านั้น ยังมิทันได้เป็นผีร้ายวิญญาณโฉดแต่อย่างใด เหตุใดจึงถูกผู้บำเพ็ญเพียรที่ใต้หล้ายกย่องให้เป็นไผ่หยกผู้บริสุทธิ์สง่างามเหนือใครปฏิบัติด้วยเยี่ยงนี้



“เลือก” น้ำเสียงของไป๋เจี๋ยเรียบเฉยจนไม่สามารถหาสิ่งใดที่เรียบเฉยกว่านี้มาเปรียบเทียบได้แล้ว ข้าเหลือบมองแส้ที่คนสามารถควบคุมและฟาดตีวิญญาณได้ดั่งใจนึก หันกลับมามองโซ่ตรึงวิญญาณทีหนึ่ง เหลือบมองเจดีย์กักวิญญาณอีกทีหนึ่ง พอเห็นหัวคิ้วคนสกุลไป๋กระตุกเข้าหากัน ก็ต้องจำใจเลือกสิ่งหนึ่งอย่างเสียไม่ได้



“โซ่ตรึงวิญญาณก็แล้วกัน”



ไป๋เจี๋ย...เจ้าช่างเป็นดาวพิฆาตของข้าผู้นี้ดีแท้



โปรดติดตามตอนต่อไป...



เชิงอรรถ

^ เหลียงเหลียงเหลียง 梁良良 แซ่เหลียง ชื่อเหลียงเหลียงแปลประมาณว่าแสนดี ดีมากๆ อารมณ์ประมาณว่าคนแซ่เหลียงผู้แสนดี
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 9 [3-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 03-10-2019 17:30:51
เป็นผีใช่สบาย
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 9 [3-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 03-10-2019 18:48:33
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 10 [6-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 06-10-2019 17:50:21
เป็นชนรุ่นหลังก็อย่าได้ขยันหาเรื่องมากนักเลย



คำว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเป็นอย่างไร คงจะเป็นอย่างข้าเยี่ยอู๋จวินกระมัง



ริอ่านเป็นผีมีพลังพบเจอผู้บำเพ็ญก็ว่าลำบากแล้ว พบใครไม่พบยังมาพบคนคุ้นเคยที่กลายสภาพเป็นคนเถื่อนบ้าความรุนแรง ซ้ำยังโดนเข้าใจผิดว่าเป็นมารชั่วคอยดักลักพาตัวผู้อื่น ถูกตีตรวนล่ามคอด้วยโซ่ตรึงวิญญาณยังไม่พอ ครั้นจะหาพยานหลักฐานมาแก้ต่างให้ตนเอง มาถึงใต้ต้นท้อใหญ่ต้นนั้น ทั้งหานเฉิงรุ่ยและศิษย์แซ่เส้าก็หายไปเสียแล้ว



ใบหน้างามราวหยกของสกุลไป๋ยามนี้มิต้องหันไปมองยังรู้ว่าคงทะมึนเย็นชาเพียงใด ปลายโซ่ตรึงวิญญาณที่ผูกติดกับแหวนเงินบนนิ้วมือของอีกฝ่ายถูกกระตุกแรงเสียจนผีอย่างข้าเกือบล้มหน้าทิ่ม คนเอื้อมมือไปแตะแส้ที่ม้วนเก็บไว้ข้างเอวเสียแล้ว นี่คิดจะลงทัณฑ์เฆี่ยนกันด้วยแส้กันอีกกระมัง



“...” ยังไม่ทันที่คนจะได้ลงมือก็มีคนช่วยเหลือวิญญาณผู้น่าสงสารเช่นข้าเอาไว้เสียก่อน บุรุษผู้ปิดบังหน้าตาเดินรอบต้นท้ออยู่รอบหนึ่งคล้ายสำรวจบางสิ่ง จากนั้นจึงขยับเข้ามาแตะปลายนิ้วกับหลังมือขวาของไป๋เจี๋ย เขาชี้มือไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือแล้วกล่าวถ้อยคำออกมาคำหนึ่ง “เมือง...”



คนผู้นี้ช่างไม่รู้จักอ้อมค้อมวกวน กล่าววาจาได้กระชับตรงใจความยิ่งนัก หากมิฟังให้ดีคงไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไรกันแน่ จากคำพูดนั้นตีความได้ว่าทั้งหานเฉิงรุ่ยและศิษย์แซ่เส้าผู้นั้นก็คงเดินทางไปยังเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วกระมัง ซึ่งคิดดูแล้วจากที่ข้าทิ้งร่างของศิษย์สำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์เอาไว้เมื่อย่ำรุ่งก็ผ่านไปกว่าชั่วยาม คนย่อมไม่รั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไป อดีตศิษย์น้องของข้าพยักหน้ารับคำคล้ายเห็นด้วยอยู่ไม่น้อย ก่อนจะยื่นมือไปตบบ่าของชายผู้นั้นเบาๆ พร้อมยังเอ่ยปากชม “เก่งมากเสี่ยวเจิ้น”



ได้ฟังก็รู้สึกลำบากใจแทนเสี่ยวเจิ้นตามคำเรียกขึ้นมาบ้าง รูปร่างของเขาสูงใหญ่ไล่เลี่ยกับข้าเสียด้วยซ้ำ ความสูงเรียกว่ามากกว่าไป๋เจี๋ยกว่าหนึ่งช่วงศีรษะ คนกลับมีน้ำหน้าไปเรียกเขาว่าเสี่ยวเจิ้น ต่อให้เขาจะเยาว์วัยกว่า แต่หากมองด้วยภายนอกแล้วจะไม่เป็นการฝืนทนกันเกินไปหรอกหรือ



“น้องชายผู้นี้เป็นใครกัน เป็นญาติผู้น้องของอาเจี๋ยใช่หรือไม่” ข้าเอ่ยถามคำถามที่สงสัยมาแล้วพักหนึ่ง เริ่มสนใจชายผู้ปิดบังใบหน้าราวสตรีในห้องหออยู่ไม่น้อย พอขยับตนเข้าไปใกล้คนมากขึ้น กลับถูกกระตุกปลายโซ่จนร่างถลากลับไปหาไป๋เจี๋ยเสียก่อน หน้าตาคนสกุลไป๋คราวนี้ยิ่งเย็นชาเสียจนสัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บไปถึงจิตวิญญาณ



“นี่คือเหล่ยเจิ้นยวี่[1] เป็นเด็กกำพร้าที่ข้าเก็บได้เมื่อสิบกว่าปีก่อน เขาพอใช้การได้บ้างจึงให้เป็นศิษย์นอกสำนัก เสียแต่ว่าใบหน้ามีรอยแผลเป็นอัปลักษณ์จึงต้องปิดบังเอาไว้” ไป๋เจี๋ยเรียกได้ว่ามองการณ์ไกลดียิ่ง ศิษย์นอกสำนักจึงมิจำเป็นต้องสวมใส่เครื่องแบบ ซ้ำยังสามารถรั้งตัวคนไว้ข้างกาย แต่เมื่อได้ยินว่าหมวกม่านมาลามีไว้ปิดบังความอัปลักษณ์ จากความสนใจที่พอจะมีอยู่บ้าง ก็พลันสลายหายไปทันที ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทพเซียน หรือมารปีศาจล้วนมีเกล็ดย้อนกันอยู่ทุกคน มีประโยชน์อันใดเล่าที่ข้าจะต้องไปยุ่งวุ่นวายไปจุดอ่อนของเขา



จะว่าไปการตั้งชื่อของไป๋เจี๋ยนับว่ามีปัญหาอยู่บ้าง ใครรู้ประวัติความเป็นมาของเขา คงจะเดาได้ในทันทีว่าถูกเก็บมาเลี้ยงในวันฝนตกกระหน่ำ ความทื่อมะลื่อเช่นนี้ของไผ่หยกงามแห่งโลกผู้ฝึกเซียนคงจะได้รับสืบทอดมาจากอาจารย์หญิงกระมัง



“เขานิ่งเงียบเช่นนี้ใช้ชื่อเหล่ยเจิ้นยวี่เกรงว่าคงไม่เหมาะสมอยู่บ้าง” นามเรียกตัวนั้นย่อมแสดงถึงคน ชื่อเช่นนี้เหมาะสมสำหรับผู้ที่เสียงดังโวยวายกล่าววาจาห้าวหาญมิกลัวใคร มิใช่คนที่ครึ่งค่อนวันกล่าววาจาออกมาแค่คำเดียวครึ่งเสียง “เป็นข้าคงเรียกเขาว่าหนิงเทียน[2]”



ไป๋เจี๋ยปรายตามองข้าด้วยหางตาคล้ายมองตัวโง่งมที่มิอาจโง่งมไปได้กว่านี้แล้ว “พบเจอเขาในวันฝนตกฟ้าคะนอง มิใช่วันที่ฟ้าสงบ ใช้ชื่อว่าหนิงเทียนก็คงจะผิดต่อเขาแล้ว”



ข้ารู้สึกคล้ายหมดวาจาจะว่ากล่าวบ้างแล้ว ด้านไป๋เจี๋ยแม้จะยังมีท่าทางใบหน้าเย็นชา แต่จากหัวคิ้วก็พอเดาได้ว่าคนเริ่มจะรำคาญขึ้นบ้างเหมือนกัน เขาชักกระบี่เหล็กนามธารน้ำแข็งจากข้างเอวขึ้นมาก่อนจะใช้พลังขยับไปยืนบนคมกระบี่ ด้านเหล่ยเจิ้นยวี่ก็ชักกระบี่ออกมาเช่นกัน ประกายสีเงินที่ปรากฏนอกจากจะทำให้ผีวิญญาณตาพร่ายังทำให้ข้าชะงักค้างอยู่บ้าง



“นี่มิใช่กระบี่พันหมื่นแสงดาราหรอกหรือ” ทั้งอาจารย์และศิษย์ในชุดขาวมิมีใครตอบคำถามนั้น หากต่างคนต่างบังคับกระบี่ให้เหาะเหินขึ้นอากาศมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือในทันที ส่วนผีที่โดนโซ่ตรึงวิญญาณล่ามตรวนเอาไว้กับนิ้วของคนน่ะหรือ จะมีสภาพเช่นไรได้นอกจากห้อยโหนต่องแต่งอยู่กลางอากาศปล่อยให้สายลมตีปะทะร่างวิญญาณจนหูอื้ออึงไปเสียหมด



เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้ข้าหวนคิดถึงเรื่องราวในปีนั้น ยามที่เฟยจูเชวี่ย แม่ไก่สีน้ำตาลของอาจารย์อาเหลียงเหลียงเหลียงออกไข่สีขาวมาฟองหนึ่ง อาจารย์อาเหลียงนำมามอบให้อาจารย์เจิ้งเป็นของแทนใจ หากสตรีดีงามผู้วันๆ วุ่นวายอยู่กับการให้อาหารปลาทองยักษ์ หยอกล้อผู้คนเล่น ย่อมมิสามารถเจียดเวลาไปดูแลไข่ไก่ฟองนั้นได้ สุดท้ายแล้วนางจึงโยนให้ข้าดูแลแทน



เฝ้าดูแลอยู่หลายคืนลูกเจี๊ยบสีทองเหลืองอร่ามตัวกลมก็กะเทาะเปลือกไข่ออกมาจนได้ มันเฝ้าเดินตามข้าอยู่สองวัน จนกระทั่งวันที่สามขณะที่ข้ากำลังโปรยข้าวเปลือกให้มันที่ลานฝึกบนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ เจ้าตัวเหลืองที่อาจารย์หญิงยังไม่ทันได้ตั้งชื่อก็ถูกกรงเล็บพญาอินทรีที่ญาติผู้น้องของอาจารย์อาโจวอี้กั๋วเป็นคนเลี้ยงไว้ฉกเข้าที่ลำตัว จากนั้นก็บินหายลับไปเหลือไว้เพียงข้าวเปลือกหลายชั่งที่ข้าเพิ่งเบิกมาจากคลังสำนัก



ความรู้สึกของลูกไก่ที่โดนพญาอินทรีโฉบกลับไปกินที่รังเป็นเยี่ยงไร คงเป็นอย่างข้าตอนนี้กระมัง โชคดีที่สิ้นชีพไปแล้วจึงไม่อาจตกใจตายได้อีก ห้อยโหนอยู่สักพักหนึ่งจึงรู้สึกสนุกสนานแปลกใหม่ไม่น้อย พอไป๋เจี๋ยหันกลับมาเห็นข้ามีท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใสดี ข้าก็ได้รับหางตาค้อนงามๆ จากเขาครั้งหนึ่ง จนทำให้คันหัวใจยุบยิบอย่างบอกไม่ถูก ในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรจะมีใครงามสง่าเท่าไผ่หยกแห่งสกุลไป๋อีกกัน เสียแต่ว่าหน้าตาคนบึ้งตึงไม่รู้จักยิ้มแย้ม ความงามจึงลดทอนลงไปเสียมากมาย



เดินทางด้วยกระบี่ย่อมช่วยร่นระยะเวลานับร้อยลี้ให้เหลือเพียงไม่ถึงเค่อ กระบี่ทั้งสองร่อนลงกับพื้นดินเมื่อใกล้ถึงประตูเมืองเจี้ยน ก่อนที่คนจะเก็บกระบี่เข้าฝักตามเดิม ข้าก็ลอบเหลือบมองสำรวจกระบี่ของเหล่ยเจิ้นยวี่อีกครั้ง แม้ฝักกระบี่จะไม่คุ้นตา แต่ภายในย่อมต้องเป็นพันหมื่นแสงดารา...กระบี่ที่อาจารย์หญิงตีให้ข้าเป็นแน่ คราวที่กราบอาจารย์ลาออกจากสำนัก ข้าได้มอบคืนให้นางไป มิใช่ว่าเวลานี้กระบี่เล่มนั้นควรหลับใหลอยู่ที่สุสานกระบี่บนยอดเขากระบี่ร้อยรบหรอกหรือ



ท่าทางเงียบงันไม่รู้ไม่สนใจของไป๋เจี๋ยเมื่อครู่นี้ ข้าย่อมรู้ว่าเขามิอยากพูดถึงเรื่องกระบี่พันหมื่นแสงดาราอีกต่อไป จากวันนั้นถึงวันนี้ท้องทะเลกลายเป็นท้องนา ผู้คนย่อมแปรเปลี่ยนไปพร้อมกับความลับที่มิอยากเอ่ยถึงที่เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ในเมื่อคนไม่อยากพูดก็ช่างเขาเถิด ข้าเยี่ยอู๋จวินมิเคยต้องบังคับขู่เข็ญใคร ในเมื่อยังมีวิธีอีกมากมายให้คนปริปากได้มิใช่หรือ โอกาสนี้ไม่ได้ใช่ว่าโอกาสหน้าจะไม่มี ยามนี้เรื่องของหานเฉิงรุ่ยมิใช่สำคัญกว่าหรือ



บุรุษในเครื่องแบบสกุลทั้งสองเดินเข้าประตูเมืองพร้อมกับลากวิญญาณของข้าไปตามถนนหนทาง โชคอันดีแล้วที่เมืองเจี้ยนแม้จะเป็นทางผ่านแต่ก็มิใช่เมืองที่มีผู้ฝึกเซียนอยู่ครึกครื้น มิเช่นนั้นปรมาจารย์วังวสันต์เช่นข้าต้องมาถูกพบในสภาพถูกล่ามคอลากจูงเช่นนี้ ถึงจะหน้าด้านไร้ยางอายเพียงใด อย่างไรก็ต้องมีความรู้สึกหดหู่อยู่บ้าง



การตามหาศิษย์จากสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ทั้งสองคนเรียกได้ว่าลำบากอยู่ไม่น้อย ไป๋เจี๋ยเดินตรงเข้าไปที่จวนเจ้าเมือง สืบความอยู่ครึ่งชั่วยามก็มิได้เรื่องราวอะไร นอกเสียจากว่าช่วงนี้มีสัตว์อสูรอาละวาดอยู่ทางชายป่าทิศใต้ ดูท่าอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับทั้งสองคนนั้น เห็นทีจะไม่ได้ความ เหล่าตระกูลใหญ่จะทำงานใดก็ล้วนเข้าตามตรอกออกตามประตู ไม่รู้จักลัดเลี้ยวหาทางลัด เรื่องราวแบบนี้ถามหลงจู๊ในโรงเตี๊ยมอาจจะได้รู้เรื่องราวมากกว่าเสียอีก



ไป๋เจี๋ยได้ยินความคิดเห็นนี้แล้ว แม้จะไม่ค่อยยินดียินร้ายเท่าใด แต่ก็ยังมุ่งหน้าไปยังย่านโรงเตี๊ยมผ่านในเมือง ลูกศิษย์ของเขาโยนหินก้อนกลมลงบนพื้น ปล่อยให้หินกลิ้งเสี่ยงทายหาคนไปตามทาง จนกระทั่งหยุดลงที่หน้าโรงเตี๊ยมขนาดกลาง ไม่หรูหราจนเกินไป ไม่ทรุดโทรมจนเกินไป เหมาะสมแก่การสืบหาข่าวคราวอยู่ไม่น้อย



“ท่านเซียนแซ่หานกับแซ่เส้าหรือ” หน้าตาจืดชืดคล้ายตัวประกอบฉากทั่วไปของหลงจู๊มีท่าทางครุ่นคิดอยู่ไม่น้อย เกรงว่ากับข้าวสองจาน ชาหนึ่งกาคงจะไม่เพียงพอสำหรับจะเปิดปากคนเสียแล้ว ถ้าให้ดีควรสั่งสุราสักสองสามไห เสียแต่ว่าคนสกุลไป๋ไม่นิยมร่ำสุรานารี ไป๋เจี๋ยเหลือบมองข้าที่มนุษย์ธรรมดามองไม่เห็นราวกับว่าล่วงรู้ความคิดของข้า จากนั้นควักถุงเงินออกมายัดใส่มือหลงจู๊ถุงหนึ่ง เพียงเท่านั้นสมองก็ทำงานปากก็เปิดวาจาขึ้นมาทันที



“คล้ายว่าพบเห็นอยู่เมื่อสองสามยามก่อนนี่เอง ทั้งสองท่านสั่งอาหารจนเต็มโต๊ะ ดื่มกินกันอยู่เต็มที่ พอได้ยินว่านอกเมืองทางทิศมีสัตว์อสูรระดับสูงอาละวาด จึงเสนอตัวไปจัดการสัตว์อสูรและช่วยเหลือชาวบ้านที่โดยจับตัวไป”



หานเฉิงรุ่ยช่างเป็นวีรบุรุษในฝันของสตรีในห้องหอดีแท้ ปราบปรามคนชั่ว อภิบาลคนดี ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก สภาพของพวกเขาเพิ่งรอดพ้นจากมารราตรีชาดมาได้ก็เตรียมตัวหาเคราะห์ภัยใหม่เสียแล้ว ดีงามเช่นนี้สมควรเรียกว่าตัวซวยขยันสรรหาเรื่องใช่หรือไม่ ซื่อบื้อไม่ทันคนเช่นนี้เกรงว่าสักวันหนึ่งจะต้องตกหลุมพรางคนเลวเข้าเป็นแน่



“ท่านทั้งสองตามหาเซียนแซ่หานอยู่หรือ” บุรุษในชุดสีเข้มโต๊ะไม่ไกลนักหันกลับมาเมื่อได้ยินหลงจู๊พูดถึงหานเฉิงรุ่ย ท่าทางเป็นมิตรยิ้มแย้มแจ่มใส ดูแล้วลักษณะคล้ายพวกจอมยุทธหรือคนจากสำนักคุ้มภัยในละแวกนี้ พอเห็นไป๋เจี๋ยมีสีหน้านิ่งเฉยก็เหิมเกริมถึงขั้นยกเก้าอี้มานั่งร่วมโต๊ะ “ข้าน้อยหูสุนเป็นคนสำนักคุ้มภัยในเมืองนี้ เพิ่งพาเซียนแซ่หานและสหายไปส่งใกล้จุดที่สัตว์อสูรอาละวาดนี่เอง หากท่านสนใจ ข้าน้อยย่อมนำทางไปได้”



เพียงไม่ทันใดก็มีคนเสนอตัวมาจนได้ เกรงว่าเมื่อครู่นี้เหล่าศิษย์รุ่นเล็กของสำนักบรรพตสวรรค์ก็คงได้ยินเรื่องราวประมาณนี้เช่นกัน หานเฉิงรุ่ยจะต้องสมองทึบถึงเพียงไหนจึงได้เชื่อใจรับข้อเสนอจากคนเช่นนี้ ด้านคนสกุลไป๋ที่คงคาดเดาเหตุการณ์ได้ จึงควักถุงเงินอีกถุงออกมาจากอกเสื้อส่งให้หูสุนทำทีเป็นตกหลุมพราง กระทั่งสีหน้ายังไม่เปลี่ยนเลยสักนิด ไม่รู้ว่าป่านนี้ในใจคนบัญชีแค้นยาวไปแค่ไหนแล้ว



เหล่ยเจิ้นยวี่จัดการอาหารทั้งหมดบนโต๊ะเสร็จด้วยท่าทางเรียบร้อยสง่างามด้วยระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ ขบวนของผู้บำเพ็ญเพียรในชุดคลุมสีขาวก็เดินตามคนจากสำนักคุ้มกันภัยแซ่หูเดินออกจากประตูทิศใต้ของเมืองเจี้ยน เดินเข้าไปสักสิบกว่าลี้ก็พบเจอป่าทึบแห่งหนึ่ง ยิ่งก้าวเดินมากขึ้นเท่าไร ต้นไม้รอบข้างยิ่งรกชัฏมากขึ้นทุกที พร้อมกับที่หูสุนเริ่มเพิ่มความเร็วจังหวะย่างก้าวมากขึ้น ซ้ำยังเดินอย่างสลับซับซ้อน เดี๋ยวเดินไปทางซ้ายทีขวาที กลัวคนไม่รู้หรือว่ากำลังหลอกล่อวางกับดักให้พวกข้าเข้าไปในเขตอาคมพรางตาที่ถูกวางเอาไว้แล้ว



สัตว์อสูรอาละวาดอันใดเล่า เกรงว่าจะเป็นลูกไม้เบี่ยงเบนความสนใจของใครเข้าแล้ว ใช้ข้ออ้างสัตว์อสูรออกอาละวาดจับชาวบ้านคนหาของป่าไปกิน สักพักหนึ่งพอมีกลุ่มคนรวมตัวกันมาปราบสัตว์อสูร กลุ่มคนเหล่านั้นก็สูญหายกันไปอีก จนเหลือเพียงไม่กี่คนออกมาบอกเล่าประสบการณ์เฉียดตาย ดูลักษณะแล้วนี่ไม่ใช่เล่ห์กลประเภทเดียวกับมารราตรีชาดหรอกหรือ แค่แนบเนียนกว่าและไม่ทำการโจ่งแจ้งจนเป็นที่ดึงดูดของเหล่าผู้ฝึกเซียนเพียงเท่านั้น



“ข้าแยกกับท่านเซียนแซ่หานและแซ่เส้าตรงนี้เอง” หูสุนขยับยิ้มซื่อตามบทชาวบ้านทั่วไป แล้วค่อยค้อมกายลงเล็กน้อยเหมือนว่าจะบอกลา คนสกุลไป๋เหลือบมองเล็กน้อยก่อนจะมองตรงไปยังทิศใต้ แม้จะมีกลิ่นอายสัตว์อสูรระดับสูงบางเบา แต่หากตรงไปเบื้องหน้าสิ่งที่พบเจออาจมิใช่เพียงแค่สัตว์อสูรกระมัง



สองร่างในชุดคลุมสีขาวลายไผ่มงคลเดินพ้นบุรุษในชุดสีครามได้ไม่เท่าไร ดวงตาทั้งคู่ของหูสุนก็เป็นประกายวาววาบสีดำเข้ม คนคว้าอาวุธลับที่เกรงว่าจะเป็นเข็มพิษออกมาแล้วซัดไปทางไป๋เจี๋ยและเหล่ยเจิ้นยวี่ในทันที ข้าเห็นดังนั้นจึงยกมือขึ้นสะบัดพลังหยินสกัดเข็มพิษเอาไว้ เสียแต่ว่าโซ่ตรึงวิญญาณทำให้พลังหายไปหลายส่วน จึงทำได้เพียงให้เข็มพิษลอยเบี่ยงเปลี่ยนทิศไปทางอื่น โชคดีที่หูสุนเป็นเพียงมารชั้นต่ำจึงมิทันได้สังเกตการมีอยู่ของข้า ส่วนศิษย์อาจารย์คู่นั้นกลับควักกระบี่ออกมาแล้วทั้งคู่



“ยังมิทันไรก็โผล่หางออกมาแล้วหรือ” ไป๋เจี๋ยหัวเราะเสียงต่ำในลำคอ นัยน์ตาคู่งามเย็นชาเสียยิ่งกว่าเดิม มือจับกระบี่คล้ายเตรียมตั้งท่าพร้อมรบแล้ว ส่วนวิญญาณที่ใช้พลังได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยอย่างข้าน่ะหรือ เสียใจด้วย เจ้าจงยืนมองอยู่ตรงนี้เถิด ถูกมนต์ตรึงที่จากคนแซ่ไป๋ไปเรียบร้อยแล้ว



หูสุนหัวเราะหยันเป็นการตอบกลับ “นึกไม่ถึงว่าสกุลไป๋จะสืบสาวเรื่องราวมาได้ถึงขนาดนี้”



เปล่าเลย...สกุลไป๋ไม่ได้สืบสาวเรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่เจ้านั่นแหละที่โง่งมเอาตัวมาข้องเกี่ยวกับผู้คน ทั้งหมดไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือวาสนากันแน่ ไม่ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังของเหตุการณ์สัตว์อสูรอาละวาดที่ทิศใต้เมืองเจี้ยนจะเป็นอย่างไร แต่สกุลไป๋คราวนี้ได้รับผลประโยชน์ไปเต็มๆ แล้ว



จากนั้นเป็นการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายโดยมีข้าปรมาจารย์วังวสันต์ยืนมองอย่างใกล้ชิด หูสุนคว้าดาบที่ข้างเอวออกมาแล้วฟาดฟันร่ายรำเพลงดาบที่เต็มไปด้วยลูกล่อลูกชนเพลงหนึ่ง กลิ่นอายดำมืดของมารที่ปกปิดไว้คราวนี้กลับแผ่กระจายไปทั่ว ส่วนไป๋เจี๋ยสะบัดข้อมือรับเพลงดาบสลับกับขยับเบี่ยงตัวหลบได้โดยไม่เปลืองแรงสักนิด ครั้นเห็นว่าอีกฝ่ายแทบมิใช้เรี่ยวแรงต่อสู้ ซ้ำเหล่ยเจิ้นยวี่ยังว่างงานเพียงยืนดูจึงเกิดโทสะขึ้นมาบ้างแล้ว หูสุนผิวปากครั้งหนึ่งร่างมารอีกสี่ตนก็ปรากฏขึ้นโดยรอบ คราวนี้เจ้าหนูแซ่เหล่ยคงไม่สามารถอยู่นิ่งได้แล้ว



กระบี่พันหมื่นแสงดาราฟาดฟันครั้งใด แสงสีเงินคล้ายแสงดาวตกก็ส่องประกายจากคมกระบี่ในทุกครั้ง อาจารย์หญิงกล่าวว่านางใช้หินดาวตกหลายก้อนสกัดออกมาได้ธาตุประหลาดคล้ายเหล็กจึงนำมาตีกระบี่ให้ข้า แต่ก่อนนั้นมองเห็นแสงเจิดจ้าบาดตาทีไรข้าก็นึกรำคาญอยู่มาก แต่พอคราวนี้มานั่งดูเพลงกระบี่ฝีมือของเหล่ยเจิ้นยวี่ก็พบว่าเป็นภาพที่งดงามอลังการตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อย เกรงว่าด้วยสาเหตุนี้ทำให้หลังประลองกระบี่กับศิษย์จากยอดเขาอื่นถึงได้มีศิษย์น้องศิษย์พี่หญิงมากมายเข้ามาพูดคุยส่งมอบของแทนใจให้ข้ากระมัง



ฝีมือของเหล่ยเจิ้นยวี่นับว่าไม่เสียทีที่มีอาจารย์จากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ คนลงมือได้อย่างโหดเหี้ยมโจมตีแต่เพียงจุดตาย เพียงไม่นานมารที่มาสมทบก็ล้มลงร่างหนึ่ง ส่วนอีกสองร่างที่เหลือจะรับมือกับเขาก็นับว่าตึงมืออยู่มาก หูสุนเห็นดังนั้นจึงกัดฟันใช้นิ้วกดขย้ำไปที่ตำแหน่งหัวใจของตนเอง คงจะเป็นวิชาลับกระตุ้นพลังบางอย่างของทางฝั่งมารเป็นแน่ เพียงชั่วพริบตาไอมารเข้มข้นก็แพร่พุ่งออกมา กล้ามเนื้อทั่วร่างขยายขนาดขึ้นจนเห็นเส้นเอ็นและเส้นเลือดมองดูแล้วคล้ายใกล้จะปริแตก ซ้ำความเร็วยังเพิ่มขึ้นมาเป็นหลายเท่า



ไป๋เจี๋ยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวจึงเสียจังหวะไปเล็กน้อย มารชั่วเห็นดังนั้นจึงสะบัดคมดาบถาโถมแรงทั้งหมดที่มีใส่คนสกุลไป๋ หากแต่ความเร็วก็ยังมิสู้เหล่ยเจิ้นยวี่ที่ถลาตัวเข้ามาขวางแนวดาบเอาไว้ ร่างสูงกำยำดันร่างของอาจารย์ไปด้านหลังของตนเอง กระบี่พันหมื่นแสงดาราถูกยกขึ้นกันพลังมารก่อนจะเกิดแรงสะท้อนมหาศาลกลับไปยังหูสุน ร่างมารกระเด็นไปหลายจั้งจนกระแทกกับต้นไม้ต้นหนึ่ง ส่วนคนแซ่เหล่ยมิรู้ว่าได้รับบาดเจ็บภายในเช่นใดบ้าง หากแต่เสื้อผ้าของเขาบางส่วนขาดหลุดรุ่ย ซ้ำหมวกม่านมาลาสีขาวยังอยู่ในสภาพขาดหมิ่นเหม่เกือบจะร่วงลงมาอยู่ทุกเมื่อ



เห็นดังนั้นข้าก็คาดเดาบางอย่างได้บ้างแล้ว ไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดอันใดที่บริสุทธิ์ใจเสียไปทั้งหมด แม้ไป๋เจี๋ยจะรู้จักวางตัวเว้นระยะห่าง แม้คนแซ่เหล่ยจะมองว่าอีกฝ่ายมีบุญคุณในฐานะอาจารย์ผู้ชุบเลี้ยง แต่จากท่าทางปกป้องจนเกินพอดีนั่นมิได้หมายความว่าเบื้องลึกภายในจิตใจของเขากำลังคิดไม่ซื่อกับอาจารย์ตนเองหรอกหรือ ข้ามิเชื่อหรอกว่าในจิตใจของเขาจะไม่มีคนสกุลไป๋แม้แต่ส่วน



หากข้าต้องการหลบหนีจากทั้งคู่ย่อมไม่เป็นการง่าย จากอากัปกิริยาเย็นชาที่อดีตศิษย์น้องมีให้ข้า เกรงว่าเรื่องราวในหนหลังจะยกมาอย่างไรก็มิอาจทำให้คนใจอ่อนยอมปล่อยข้าไปได้ ทัพของไผ่หยกแห่งสกุลไป๋ช่างตีแตกได้ยากเย็นยิ่งนัก หากลำบากเช่นนั้นไยมิตีทัพเหล่ยเจิ้นยวี่ที่อ่อนกำลังกว่าก่อนเล่า ครั้นสะสมกำลังพลให้พร้อมรบแล้วค่อยวกกลับไปโจมตีไป๋เจี๋ยก็ใช่ว่าจะไม่สายเกินไปนัก



มารที่ยังเหลือรอดชีวิตอยู่ยามนี้ถูกคมกระบี่ของคนแซ่ไป๋สังหารจนหมดสิ้น เหลือเพียงหูสุนที่นอนหายใจรวยรินอยู่ใต้ต้นไม้ ดวงตาสีดำเข้มทอประกายโกรธแค้นจนหยดเลือดไหลรินออกมา



“พวกเจ้าอย่าได้ใจไปเลย” หูสุนกระอักโลหิตสีดำออกมาหนึ่งคำ เกรงว่ามารผู้นี้คงสมองมิได้ฉลาดเฉลียวเท่าใดนัก ขนาดถึงปลายทางของชีวิตยังจะมีเวลามาเพ้อพร่ำบอกตัวตนหัวหน้าของตนเองอีก ลูกน้องแบบนี้ใช้การไม่ได้แล้ว “พวกเจ้าทำร้ายข้า กำจัดมารราตรีชาด มารทิวาม่วงย่อมมิปล่อยให้พวกเจ้ามีชีวิตอีกต่อไปแน่”



พูดข่มขู่ได้จบคำ กระบี่ธารน้ำแข็งของไป๋เจี๋ยก็แทงซ้ำเข้าที่ตำแหน่งหัวใจ แววตาคนชุดขาวฉายแววรำคาญใจเล็กน้อย คงเพราะหูสุนเปิดปากพล่ามมากจนเกินไปเป็นแน่แท้ คนผู้นี้ยิ่งโตก็ยิ่งใจร้อน ขัดกับท่าทางเย็นชาที่แสดงออกมายิ่งนัก



เป้าหมายต่อไปคงมิพ้นมารทิวาม่วงตามที่หูสุนได้กล่าวเอาไว้ ในเขตอาคมพรางตาแห่งนี้ต้องมีสักแห่งเป็นที่เก็บซ่อนตัวของมันเป็นแน่ พอเก็บกวาดเป็นอันเรียบร้อย ศิษย์และอาจารย์หันกลับมาสนใจข้าที่ถูกตรึงวิญญาณเอาไว้อีกครั้ง ขณะที่เหล่ยเจิ้นยวี่ปลดมนต์ออกนั้นมิรู้ว่าด้วยสาเหตุอันใดกลับมีลมสายหนึ่งพัดผ่านมา ทำเอาหมวกสีขาวที่สภาพจวนเจียนจะพังเต็มทีจากการรับคมดาบแทนไป๋เจี๋ยเมื่อครู่ปลิวร่วงหล่นลงกับพื้น ใบหน้าที่อาจารย์ของเขาเรียกว่าอัปลักษณ์มิอาจให้ผู้คนมองเห็นได้จึงปรากฏขึ้นในสายตา



เบื้องหลังหมวกม่านมาลาสีขาวสะอาดตา มิได้มีแผลเป็นใหญ่โตแต่อันใด กลับเป็นผิวเรียบสะอาดสะอ้านของเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดสิบแปด ดวงหน้านี้มิอาจเรียกได้ว่าอัปลักษณ์ รูปหน้าเรียวคมจนเห็นทั้งรูปคางและสันกรามที่เด่นชัด สันจมูกเรียวตรงได้รูป คิ้วกระบี่ที่เฉียงขึ้นเข้มหนาทั้งยาวจนเกือบจรดไรผม ส่วนโดดเด่นที่สุดคงไม่พ้นดวงตาเรียวคมกริบราวพญาเหยี่ยว หากจัดอันดับชายงามรุ่นเยาว์เขาย่อมเอาชนะหานเฉิงรุ่ยจนติดอันดับหนึ่งได้อย่างแน่นอน



หากแต่ปัญหาเดียวเท่านั้นที่ปรากฏ เพียงแค่ปัญหาเดียว...



ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเหล่ยเจิ้นยวี่...มิใช่ว่าคล้ายคลึงกับข้าไปแทบทุกส่วนหรอกหรือ



โปรดติดตามตอนต่อไป...


เชิงอรรถ

[1]^ 雷阵雨 เหล่ยเจิ้นยวี่ แปลว่าฝนตกฟ้าคะนองชนิดมีฟ้าแลบฟ้าร้อง
[2]^ 宁天 หนิงเทียน แปลว่า ฟ้าสงบ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 10 [6-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-10-2019 21:53:56
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 10 [6-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 08-10-2019 00:32:15
ทำไมหน้าเหมือนกันอ่ะ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 11 [P.2, 9-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 09-10-2019 00:09:19
*คำเตือน*

เนื้อเรื่องในตอนนี้มีฉาก Beastiality (สมสู่กับสัตว์) อยู่เล็กน้อยนะคะ ส่วนนั้นจะใส่สีกรมไว้ หากใครรับเนื้อหาไม่ได้สามารถเลื่อนข้ามได้เลยนะคะ


บทที่ 11 ปริศนาอย่าได้มากมายเกินไป มิเช่นนั้นจะเหนื่อยล้าได้





เมื่อพิศดูให้ดีอีกครั้งกลับพบว่าใบหน้าของเหล่ยเจิ้นยวี่ไม่ได้เหมือนกับข้าเต็มสิบส่วน หากองคาพยพกลับคล้ายคลึงอย่างน้อยแปดเก้าส่วนทีเดียว ส่วนที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดคือริมฝีปากที่บางเฉียบและผิวขาวจัดราวเนื้อหยก สองส่วนที่ไม่เหมือนข้านั้นกลับไปเหมือนคนคุ้นเคยเสียได้ รูปปากแบบนี้ สีผิวแบบนี้ มิใช่ว่าไป๋เจี๋ยก็มีเหมือนกันหรอกหรือ



หากข้าเยี่ยอู๋จวินมิได้ฝึกวิชานอกรีตสูบพลังหยินหยางใช้กายผู้อื่นแทนเตาหลอม ปีนั้นคงได้หมั้นหมายและเข้าห้องหอบำเพ็ญเพียรร่วมกับแม่นางสกุลใหญ่สักคนไปแล้ว ถ้าแต่งงานมีบุตรชายสักคน อายุก็คงรุ่นราวคราวเดียวกับเหล่ยเจิ้นยวี่กระมัง



ข้าเหลือบมองลูกศิษย์นอกสำนักของไป๋เจี๋ยครู่หนึ่ง จากนั้นเหลือบมองอาจารย์ของเขาอีกครู่หนึ่ง คนสกุลไป๋แม้จะยังมีใบหน้าเฉยชาแต่ดวงตาคู่นั้นกลับฉายแววเครียดขึ้งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ซ้ำบรรยากาศโดยรอบยังหนาวเย็นขึ้นมากะทันหัน หากจะบอกว่าเขามิรู้สึกอะไรเลยสักนิดก็คงไม่ได้แล้ว



“ที่แท้...” ข้าจ้องมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของเหล่ยเจิ้นยวี่ด้วยสายตาสำรวจตรวจตรา ยิ่งมองก็ยิ่งพบว่าเจ้าเด็กคนนี้หน้าตานับว่าล่อดอกท้อหญิงชายมากกว่าข้าอยู่ส่วนหนึ่งเลยทีเดียว ต้องปิดบังใบหน้าเช่นนั้นก็สงสารเขาขึ้นมาบ้างแล้ว “ที่แท้ปีนั้นเจ้าก็ให้กำเนิดบุตรออกมาคนหนึ่งนี่เอง”



“เจ้า! ” ริมฝีปากของไป๋เจี๋ยเปิดขึ้นเล็กน้อยคล้ายจะกล่าววาจาบางอย่างแต่กลับนึกคำไม่ออก ดวงหน้างดงามคราวนี้เริ่มเห็นสีแดงระเรื่อซึ่งมิรู้ว่ามาจากความโกรธเคืองหรือความเขินอายกันแน่ เห็นท่าทางน่ารักเช่นนี้ข้าจึงอดหยอกล้อเขาเพิ่มอีกสองประโยคไม่ได้



“ปล่อยให้แม่ลูกต้องลำบากมาหลายปี ข้าเยี่ยอู๋จวินถือว่าทำผิดต่อพวกเจ้ามากแล้ว”



นัยน์ตาของเหล่ยเจิ้นยวี่มีประกายบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ภายใน หากพูดจาชักจูงอีกสองสามประโยคไม่แน่ว่าเขาอาจจะคุกเข่าลงกับพื้นโขกหัวให้ข้าแล้วร้องเรียกว่าบิดา หากแต่ว่าคนแซ่ไป๋ย่อมไม่ปล่อยให้ข้ากระทำการเช่นนั้น แส้หนังที่ถูกม้วนเก็บเข้าไปแล้วฟาดลงที่กลางหลังของข้าทันที ตามด้วยอัสนีสายหนึ่งที่ตามมาด้วยความเร็วไม่ต่างกัน



“ใจเย็นก่อน อย่าเพิ่งฟาดแรงขนาดนั้น” แต่ละครั้งที่คนสกุลไป๋สะบัดแส้ เขาไม่รู้จักยั้งมือเลยสักนิด ต่างจากครั้งก่อนที่คนยังเบามืออยู่บ้าง ข้ารู้สึกคล้ายวิญญาณใกล้แตกสลายเป็นเศษเสี้ยวอยู่ทุกเมื่อ จะโทษใครได้นอกจากโทษตนเองที่ไปล้อเล่นมากเกินไป เรื่องราวในปีนั้นคงมิใช่ความทรงจำที่สวยงามเท่าไรนัก ไม่แปลกอะไรที่เขาไม่อยากจดจำและไม่อยากให้ใครเอ่ยถึง



“ข้าเพียงนึกสงสารเขาเพราะเขาหน้าตาคล้ายเจ้า” เมื่อถูกกระตุ้นมากเข้า ทั้งยังได้ฟาดข้าระบายอารมณ์ คนก็ปริปากพูดความรู้สึกในใจออกมาบ้างแล้ว ครั้นหลุดปากออกมาแล้วจึงคล้ายรู้ตัวขึ้นมา มือที่ขยับฟาดแส้ก็ละลงข้างกาย ดวงตาแดงก่ำใบหน้าย่ำแย่เหมือนกับเด็กน้อยถูกจับได้ว่าทำความผิด ท่าทางน่าเอ็นดูเหมือนอาเจี๋ยที่วิ่งตามไล่ข้าสมัยก่อนอยู่ไม่น้อย



“อาเจี๋ย...” ข้าขยับเข้าไปใกล้คนมากขึ้น ปลายนิ้วแตะกับข้างแก้มไป๋เจี๋ยอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงและรอยยิ้มบนใบหน้าอ่อนโยนอย่างถึงที่สุดคล้ายว่าข้ากับเขาย้อนกลับไปเมื่อสิบแปดสิบเก้าปีก่อน “เจ้ายังชอบข้าอยู่หรือ”



“เกรงว่าผู้อาวุโสแซ่เยี่ยจะเข้าใจอะไรผิดแล้ว” เสียแต่ว่าคนไม่รู้สึกเคลิบเคลิ้มด้วยเลยสักนิด นอกจากน้ำเสียงห่างเหินราวคนแปลกหน้า อดีตศิษย์ผู้น้องยังปัดมือข้าออกอย่างไม่ไยดี หมดอารมณ์หมดวาจาจะกล่าวแล้ว เขาหันตัวกลับไปสนใจลูกศิษย์ของตน ร่ายคาถาซ่อมแซมเสื้อผ้าที่เสียหายให้พร้อมกับมอบยาลูกกลอนรักษาอาการบาดเจ็บภายในให้ลูกหนึ่ง ท่าทางอ่อนโยนผิดกับอาการที่แสดงออกกับข้าอย่างสิ้นเชิง ครู่หนึ่งข้าเห็นระลอกคลื่นในดวงตาของเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับข้าอีกครั้ง



เกิดเป็นเหล่ยเจิ้นยวี่ที่มีหน้าตาเหมือนกับปรมาจารย์วังวสันต์ถึงแปดเก้าส่วนก็นับว่าลำบากมากแล้ว แม้จะเยาว์วัยกว่าแต่ผู้คนรอบข้างย่อมเพ่งเล็งเป็นธรรมดา หากข้ามิได้ฝึกวิชาวสันต์เริงร่าและรู้แก่ใจดีว่าที่ผ่านมาการร่วมรักบำเพ็ญเพียรของข้ามิอาจทำให้สตรีนางใดตั้งครรภ์ได้ คงคิดว่าเขาเป็นบุตรนอกสมรสของตนเองเป็นแน่ มิแปลกใจอันใดหากไป๋เจี๋ยให้เขาปิดบังหน้าตาเอาไว้ แต่เขาหน้าตาเหมือนข้าถึงเพียงนั้น จะบอกว่าสาเหตุเป็นเพราะหน้าตาอัปลักษณ์นี่มิใช่ใจร้ายกันเกินไปหน่อยหรือ



ความสัมพันธ์ระหว่างข้าและไป๋เจี๋ยเมื่อปีนั้น นอกจากความเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมอาจารย์ร่วมสำนัก ยังมีความสำคัญทางใจกันอยู่มากนัก เรียกได้ว่าเขาห่วงใยข้า ข้าห่วงใยเขา ส่วนเรื่องอื่นๆ ...คงมิต้องบอกเล่าให้มากความกระมัง



ด้วยมรรคาการบำเพ็ญเพียรของข้าคงไม่เหมาะสมกับการรั้งใครไว้เคียงคู่ บวกกับคนสกุลไป๋มีนิสัยขี้หึงอยู่ไม่น้อย สุดท้ายเมื่อเขาพบว่าข้าหลับนอนกับศิษย์น้องหญิงจากยอดเขากระบี่ร้อยรบสองคนและศิษย์พี่หญิงจากยอดเขานภาไร้สรรพเสียงอีกสามคน ศิษย์น้องของข้าในยามนั้นก็น้ำตาไหลอาบหน้า พูดเพียงว่า อู๋เกอท่านมันตัวเลวบัดซบ จากนั้นก็มิยอมพูดคุยกับข้าอีกต่อไป



สำหรับข้าแล้วสาเหตุที่ไปเจี๋ยเก็บคนหน้าตาเหมือนข้าไว้ข้างกายให้เป็นลูกศิษย์นอกสำนักนั้น ข้ายังพอเข้าใจได้ หากแต่ที่มาของเหล่ยเจิ้นยวี่ยังคลุมเครือไม่ชัดเจน หน้าตาคล้ายคลึงไม่พอยังสามารถใช้กระบี่เก่าของข้าได้อีก ดีไม่ดีคนผู้นี้อาจสมควรใช้แซ่เยี่ยเหมือนกับข้า เหมือนกับบรรดาน้องหญิงชายกว่าสิบชีวิตในจวนสกุลเยี่ย มิรู้ว่าเยี่ยหย่งฟานหน้ามืดไปปลุกปล้ำสตรีที่ดีงามผู้ใดจนให้กำเนิดบุตรนอกสมรสขึ้นมาหรือไม่ หากหลุดพ้นจากไป๋เจี๋ยไปได้และเสร็จสิ้นธุระกับสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ สงสัยว่าจะต้องกลับไปชำระความกับผู้คนเสียหน่อยแล้วกระมัง



เรื่องในอดีตปล่อยให้อยู่ในอดีต เรื่องของอนาคตย่อมต้องจัดการในอนาคต ยามนี้วิญญาณข้าถูกโซ่ตรึงวิญญาณบนนิ้วของไป๋เจี๋ยลากดึงไปตามทาง ทั้งสองมุ่งหน้าเดินทางไปยังทิศใต้ตามกลิ่นอายเบาบางของสัตว์อสูรระดับสูงที่มีใครจงใจวางอุบายเอาไว้ เดินอยู่เป็นชั่วยามจึงพบกับจวนใหญ่หลังหนึ่ง หน้าตาคล้ายคลึงกับจวนของมารราตรีชาดไม่มีผิด มีมารออกอาละวาดลักพาตัวผู้คนในบริเวณใกล้เคียงกันถึงเพียงนี้ แต่เรื่องราวที่ไปถึงโลกผู้บำเพ็ญเพียรกลับไม่ใหญ่โต เหล่าสำนักใหญ่ส่งเพียงคนหนุ่มสาวมาสร้างผลงาน เกรงว่าจะมีลับลมคมในบางอย่างแล้ว



หากไม่มีอาคมพรางตา จวนร้างหลังใหญ่ขนาดนี้ย่อมเป็นที่สังเกตของผู้คนที่ผ่านทาง หากยิ่งก้าวเข้าใกล้ตัวเรือนเท่าใด บรรยากาศยิ่งคล้ายหนักอึ้งมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ฝีเท้าฉับไวรวดเร็วของไป๋เจี๋ยและศิษย์ยังเชื่องช้าลงอยู่บ้าง กระทั่งข้าที่มีเพียงร่างวิญญาณยังรู้สึกคล้ายมีบางสิ่งถ่วงร่างให้ขยับได้ยากลำบากยิ่งนัก



ไป๋เจี๋ยบุกเข้ามาอย่างองอาจมิรู้จักปิดบังตัวตนเช่นนี้ย่อมดึงดูดความสนใจจากมารชั้นต่ำที่ทำหน้าที่เฝ้าเวรยามโดนรอบ มารนับสิบกรูเข้ามาล้อมรอบราวกับมดตอมขนมหวาน หากคนสกุลไป๋ย่อมมิใช่ตะเกียงไร้น้ำมัน กระบี่ธารน้ำแข็งถูกชักขึ้นจากฝักก่อนจะโบยบินเป็นอิสระอยู่เบื้องหลังผู้เป็นนายคอยฟาดฟันเอาชีวิตเหล่ามารชั่วมิให้เข้าใกล้คนจนเกินไป เมื่อศัตรูมีมากเข้าคนสกุลไป๋ก็ควักแส้ออกมาสะบัดข้อมือหนึ่งทีเรียกอัสนีลงทัณฑ์มาจัดการให้จบเรื่องจบราว



ที่ผ่านมาคำว่าเบามือมากแล้วเป็นอย่างไร ข้าก็เพิ่งจะรับรู้ในคราวนี้ อัสนีลงทัณฑ์เพียงสายเดียวก็มากเพียงพอแล้วให้มารเหล่านั้นกลายเป็นเพียงลูกกลอนมารกลิ้งเกลือกอยู่กับพื้น ยิ่งอัสนีที่ยืมพลังจากสวรรค์ทรงอานุภาพมากเท่าไร ย่อมหมายความว่าผู้ใช้งานต้องแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น นอกจากฝึกฝนบำเพ็ญเพียรอย่างหนักหน่วงยังต้องมีพรสวรรค์ที่หาได้ยาก สมแล้วที่คนสกุลไป๋ผู้นี้เป็นสุดยอดอัจฉริยะเหนืออัจฉริยะ กระดูกเซียนแน่นหนาตามที่อาจารย์ได้บอกเอาไว้เสียจริง



เรื่องราวการต่อสู้นั้นเกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องสำคัญที่จะต้องอธิบายทุกขั้นตอน ข้าจึงขอเล่าอย่างรวบรัดว่าไป๋เจี๋ยและเหล่ยเจิ้นยวี่ลากวิญญาณของข้าเยี่ยอู๋จวินบุกทะลวงฆ่าฟันเหล่าลูกน้องของมารที่น่าจะชื่อทิวาม่วงได้อย่างองอาจยิ่งนัก เรียกได้ว่าเจอใครหน้าไหน หากหันดาบหันอาวุธเข้าใส่ก็ลงท้ายด้วยความตายเสียเถิด มารที่ยังพอมีสมองอยู่บ้างย่อมรู้ว่ามิควรรั้งอยู่อีกต่อไปแล้ว เวลานี้การหนีเอาชีวิตรอดคงจะเหมาะสมที่สุดกระมัง



ครั้นเมื่อบุกเข้าไปจนถึงหน้าประตูเรือนหลักกลับพบค่ายกลแปลกประหลาดค่ายหนึ่ง หากใจร้อนฝ่าเข้าไปอาจได้รับพลังสะท้อนกลับจนบาดเจ็บภายในถึงชีวิตได้ วิธีการผ่านเข้าไปคล้ายว่าต้องคำนวณระยะก้าวเดินแปดแปดหกสิบสี่ก้าวให้ถูกตำแหน่งตามทิศทั้งแปด หากมิเคยพบเจอสิ่งนี้มาก่อนคงจะมิสามารถจัดการได้ถูกวิธี ค่ายกลนี้สำหรับศิษย์จากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ภายใต้การดูแลของเจิ้งปิงฉินย่อมรู้จักเป็นอย่างดี เหตุเพราะอาจารย์หญิงมักใช้ค่ายกลนี้ทั้งทดสอบและลงโทษข้าและไป๋เจี๋ยอยู่หลายครั้ง



สีหน้าของคนสกุลไป๋เครียดขึ้งขึ้นเช่นเดียวกับหัวใจข้าที่หนักอึ้งขึ้นมาทุกที พบเจอเรื่องราวแบบนี้คนย่อมต้องหวาดหวั่นว่าอาจารย์ของตนอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหล่าบรรดามารชั่วที่ลากผู้คนมาสูบพลังหยางเป็นที่สุด หากบุกเข้าไปจนถึงตัวการใหญ่แล้วพบเจิ้งปิงฉิน มิใช่ว่าเรื่องราวจากนั้นจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมเข้าหรอกหรือ



ก้าวพ้นประตูเรือนหลักเข้าไปกลับพบว่าภายในตกแต่งได้งดงามเยี่ยงจวนขุนนางใหญ่ ซ้ำยังมีสาวรับใช้หน้าตาหมดจดสองคนออกมาต้อนรับ หากก่อนหน้ามิได้มีเหตุการณ์นองเลือดและบรรยากาศยามนี้มิได้หนักอึ้งกลิ่นอายบางอย่างอบอวลจนฉุนจมูก คงหลงคิดไปว่ามาเยี่ยมเยียนใต้เท้าท่านใดแล้วกระมัง



“นายท่านรอท่านทั้งสามอยู่แล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้คนหนึ่งย่อกายลงก่อนจะเดินนำไปทางหนึ่งด้วยรอยยิ้มหวานหยดย้อย ทั้งร่างของพวกนางสัมผัสไม่ได้ถึงพลังชีวิต ดูแล้วคงมิใช่มารแต่คงเป็นภูตกระดาษ หากเป็นภูตกระดาษชั้นสูงเป็นแน่ ถึงได้มองเห็นการมีอยู่ของข้าได้



ก่อนที่จะก้าวขาเดินตามสาวใช้ภูตกระดาษไป ข้าเหลือบมองไป๋เจี๋ยด้วยความจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง เพียงสายตาที่ส่งไป คนก็สามารถเข้าใจความนัยที่ข้าต้องการสื่อถึงได้ แม้ไป๋เจี๋ยจะมีพลังมีความสูงส่ง แต่เวลานี้สถานการณ์ไม่ปรกติ มิรู้ว่าจะมีเหตุการณ์พลิกผันอันใดเกิดขึ้น ซ้ำเหล่ยเจิ้นยวี่ก็ยังเป็นเพียงผู้ฝึกเซียนรุ่นเยาว์ ความสามารถถึงจะโดดเด่นแต่จะรับมือกับมารชั่วโดยตรงก็ยังยากนัก อย่างไรเสียผีลามกเช่นข้าก็มีพลังวิญญาณทั้งหยินหยางที่ยังพอเป็นกำลังช่วยเหลือเขาได้บ้าง ปล่อยให้ข้าเป็นอิสระจากโซ่ตรึงวิญญาณไม่ดีกว่าหรือ



ไป๋เจี๋ยสะบัดปลายนิ้วครั้งหนึ่งโซ่ตรึงวิญญาณที่รั้งคออยู่ก็ปลิดปลิวออกไป ส่วนสาวใช้ของมารชั่วเดินนำมาจนถึงห้องหนึ่งที่อยู่ใจกลางเรือน จากตำแหน่งแล้วควรจะเป็นห้องนอนประมุขของบ้าน เชิญผู้คนเข้าไปพูดคุยในห้องนอน ไม่รู้ว่าต้องมีรสนิยมอย่างไรกันแน่ แต่คงมิใช่ตัวดีอะไรนัก



ครั้งประตูเปิดออก ข้าก็ต้องขอบคุณสวรรค์แล้วที่หัวหน้าใหญ่ของเหล่ามารไม่ใช่อาจารย์หญิงผู้งดงามของข้า หากแต่ภาพเบื้องหน้าห่างไกลสิ่งที่เรียกว่าดีงาม สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรถือพรหมจรรย์รักษากายใจบริสุทธิ์สมควรเรียกว่าน่าอดสูชวนสะอิดสะเอียนเป็นอย่างยิ่ง



เบื้องหน้าคือเหล่าชายหนุ่มนับสิบที่เปลือยกายใช้ร่างพัวพันร่วมสังวาสกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดหน่าย แต่ละคนมีสารรูปผอมแห้งจนเห็นกระดูกซี่โครง สภาพมิต่างอะไรจากศพที่ถูกขุดมาจากสุสาน หยินมากหยางพร่องจวนเจียนจะหมดลมหายใจได้ทุกเมื่อ พลังชีวิตเฮือกสุดท้ายล้วนนำมากอดก่ายปรนเปรอกันและกันอย่างมิกลัวความตาย ศพมีชีวิตเหล่านี้คงมิพ้นถูกยาสั่งมนต์สะกดเข้าแล้ว ยิ่งร่วมรักกันเท่าไรสิ่งเลวทรามที่ใช้ปลุกกำหนัดก็ยิ่งแพร่กระจายรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นอายฉุนจมูกชวนเวียนหัวที่สัมผัสได้ตั้งแต่ก้าวเข้าเรือนมาคงจะเป็นกลิ่นอายกามาราคะจากร่างกว่าสิบเบื้องหน้าเป็นแน่



แม้ข้าจะเคยเห็นภาพผู้คนเปลือยเปล่ามากกว่านี้มาไม่รู้จักกี่เท่า ครั้งที่ตกตายภายใต้บุปผาสามร้อยนางในตำหนักของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ ก็ยังรู้สึกว่าเหล่าบรรดาผีตายซากที่กระทำการหยาบช้ากันพวกนี้ไม่น่ามองเป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อยนางสนมเหล่านั้นยังมีรูปลักษณ์สวยสดงดงามอยู่บ้าง แต่นี่คล้ายพบเห็นสิ่งชวนสยองขวัญเข้าแล้ว



สีหน้าของผู้ดีงามจากสกุลไป๋ทั้งสองคงมิต้องอธิบายกระมังว่าย่ำแย่เพียงใด ยิ่งไล่สายตาไปถึงกลางห้องบนแท่นหินหยกขนาดใหญ่คล้ายไว้ประกอบพิธีกรรมก็รู้สึกสังเวชใจยิ่งกว่าเดิม มิรู้ว่าเป็นเคราะห์กรรมตั้งแต่ชาติภพไหนของศิษย์แส่เส้าจึงได้พบเจอกับเรื่องราวน่าอัปยศอย่างต่อเนื่องกันเช่นนี้



ศิษย์จากยอดเขาอสูรคำรามบัดนี้ไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าสักชิ้นติดกาย ร่างกายเปลือยเปล่าอยู่ตรงกลางอยู่ระหว่างกลางบุรุษผู้หนึ่งและเดรัจฉานตัวหนึ่ง สะโพกขาวถูกยกขึ้นสูงให้พยัคฆ์ขาวลายพาดกลอนตัวหนึ่งขยับลำลึงค์หน้าตาประหลาดครูดไถไปตามช่องทางรัก ลำตัวท่อนบนกดลงต่ำจนเกือบติดพื้นเตียง ขณะที่ริมฝีปากครอบครองเครื่องเพศของชายอีกคน ซ้ำยังดูดดุนปรนเปรอด้วยความหลงใหลเสียจนแก้มตอบ



คนผู้นี้มิหลงเหลือสติรับรู้อันใดอีกต่อไป มีเพียงร้องครวญครางแผ่วเบาด้วยความสุขสมคล้ายว่ามิต้องการสิ่งใดแล้วนอกจากรสรักอันแสนพิกลนี้ เพลิดเพลินไปกับการถูกปฏิบัติอย่างไม่ต่างอะไรจากของเล่นชิ้นหนึ่ง อาการหนักหนาสาหัสเสียยิ่งกว่าคราวมารราตรีชาดเสียอีก หากมีสติฟื้นมาได้คราวนี้ คนสกุลเส้าจะทนรับความอัปยศได้หรือ



“มิได้ออกไปต้อนรับท่านเซียนทั้งหลายด้วยตนเอง ข้ามารทิวาม่วงถือว่าเสียมารยาทแล้ว” บุรุษร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลาที่อยู่บนเตียงเอ่ยขึ้นพร้อมกับเหลือบตาขึ้นมองมายังพวกข้าด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรเรียบง่าย ท่าทางเหมือนเจ้าบ้านผู้แสนดีขัดกับบรรยากาศรอบข้างและคนแซ่เส้าที่ยังใช้ริมฝีปากทำรักให้เขาไม่หยุด



ไป๋เจี๋ยมิได้กล่าววาจาตอบโต้ใดกลับ นอกเสียงจากหยัดยิ้มมุมปากคล้ายเย้ยหยันเย็นชาดียิ่ง นัยน์ตาคู่สีดำสนิทเป็นประกายวาววาบเช่นเดียวกับคมกระบี่ธารน้ำแข็งที่เปล่งแสงคล้ายกระหายเลือดขึ้นมาบ้างแล้ว



“นับถือปรมาจารย์เยี่ยอู๋จวินยิ่งนัก แม้ตายเป็นผียังสามารถกำจัดน้องชายของข้าได้อย่างหมดจดเรียบร้อย กระทั่งดวงจิตให้ไปเกิดใหม่ยังไม่มีเหลือ” นัยน์ตาสีม่วงอ่อนที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาตเหลือบมองมาทางข้า “คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าพวกท่านจะต้องสืบความมาถึงที่นี่จนได้ ระหว่างรอข้าจึงขอเล่นสนุกกับศิษย์ทั้งสองจากสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์เสียหน่อย หวังว่าจะไม่ถือโทษโกรธกันนัก”



สาเหตุนั้นแท้จริงแล้วเป็นเพราะข้าเห็นคนแซ่หานแล้วหวนถึงวันคืนเก่าๆ ขึ้นมาจึงได้ติดตามเขาอยู่ครู่หนึ่ง เรื่องราวทั้งหมดใช่ว่าข้าจะจงใจสืบเสาะหาที่มาเสียเมื่อไร มีแต่วาสนาและโชคชะตาเท่านั้นที่นำพามาถึงที่นี่



ข้าเหลือบมองไปทางข้างเตียงเห็นหานเฉิงรุ่ยถูกเชือกกักเซียนมัดติดกับเก้าอี้คนงามตัวหนึ่ง สองตาปิดแน่นคล้ายไม่ต้องรับรู้เรื่องราวอันใดทั้งสิ้น หากแต่ข้างขมับตามไรผมกลับผุดด้วยเม็ดเหงื่อมากมาย ก้มมองดูเบื้องล่างก็พบว่าส่วนกลางร่างกายแข็งขืนขึ้นมาแล้ว ด้วยความสามารถของเขาคงมิสามารถต้านทานกลิ่นปลุกกำหนัดรุนแรงเช่นนี้ได้



“อาจารย์ปู่...ผู้อาวุโส” คนแซ่หานเอ่ยวาจาได้เพียงเท่านั้นก็กระอักเลือดออกมาคล้ายว่าเกินจะฝืนทนเข้าแล้ว หานเฉิงรุ่ยทนไม่ได้ แล้วเหล่ยเจิ้นยวี่จะทนได้หรือ ไป๋เจี๋ยมัวแต่จับจ้องมารทิวาม่วงปลดปล่อยจิตสังหารจึงไม่ทันได้สนใจบุรุษร่างสูงใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง เพียงชั่วพริบตาเหล่ยเจิ้นยวี่ขยับเข้ามาจนแนบชิดใกล้ สองแขนโอบรัดร่างที่เล็กกว่าของผู้เป็นอาจารย์อย่างแนบแน่น ปลายจมูกโด่งกดลงซุกไซร้กับคอเสื้อของคนสกุลไป๋เสียแล้ว



มารทิวาม่วงหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง ท่าทางสมใจยิ่งนักที่เห็นลูกศิษย์นอกสำนักของคนสกุลไป๋กระทำการอาจหาญกับอาจารย์ตนเอง มนต์สะกดปลุกราคะของมันมิใช่ว่ายิ่งพัวกันกันเท่าใดก็ยิ่งรุนแรงขึ้นหรอกหรือ แผนการเช่นนี้นับว่าต่ำช้าอยู่ไม่น้อย นอกจากข้าที่เป็นผีวิญญาณแล้ว ต่อให้ไป๋เจี๋ยมีจิตแกร่งกล้าเพียงใดก็ยากจะควบคุมตนเองได้แล้ว



“เสี่ยวเจิ้น! ” ไป๋เจี๋ยร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความไม่ยินยอมที่ยังพอหลงเหลืออยู่บ้าง เสียแต่ว่าเสี่ยวเจิ้นยามนี้จะมีสติรับรู้อะไรได้อีก คนเชยคางอาจารย์ของตนขึ้นก่อนจะใช้มือบีบสันกรามโดยแรงคล้ายบังคับให้คนสกุลเจี๋ยเปิดปากออก หากข้าย่อมมิอาจปล่อยให้เหล่ยเจิ้นยวี่กระทำการตามแผนของมารทิวาม่วงได้เป็นแน่ ถึงการใช้ร่างโดยปราศจากการเห็นชอบจากเจ้าตัวจะมิเป็นการดีเท่าไร แต่ข้าก็ขยับมายืมใช้ร่างของเขาเสียแล้ว ปล่อยให้จิตวิญญาณของเด็กหนุ่มที่แอบหลงรักอาจารย์ของตนเองหลับลึกอยู่ในห้วงฝันแทน



ริมฝีปากที่ประกบเข้าหากลีบปากบางของไป๋เจี๋ยจึงมิใช่สติรับรู้ของเหล่ยเจิ้นยวี่อีกต่อไป หากเป็นข้าที่บดเบียดจูบเข้าไปเสียจนแนบชิด ขบเม้มริมฝีปากของผู้คนเสียจนเกือบช้ำ ซ้ำยังสอดแทรกปลายลิ้นเข้าไปในโพรงปากร้อน กวาดกระหวัดรสหวานที่มิได้สัมผัสมาสิบแปดปี คนสกุลไป๋ที่โดนมนต์ปลุกราคะอยู่บ้างย่อมมิได้ปฏิเสธการรุกล้ำแต่อย่างใด กลับรั้งลำคอของข้าลงมาและขยับลิ้นตอบโต้กลับราวกระหายในรสรักของข้าเป็นอย่างยิ่ง



น่าแปลกที่หัวใจของข้าในยามนี้กลับเจ็บแปลบจนชาหนึบไปหมด แม้เรียวลิ้นจะขยับเกี่ยวพันหยอกล้อกับคนเบื้องหน้า หากความจริงแล้วข้าได้ลอบถ่ายทอดพลังหยางสายหนึ่งเข้าไปกดมนต์ปลุกกำหนัดของมารทิวาม่วง เพียงครู่หนึ่งไป๋เจี๋ยก็ได้สติขึ้นมา ผลตอบแทนที่ข้าได้รับคือฟันคมที่กัดลงมาบนลิ้นเสียจนเลือดซิบ ข้าต้องรีบถอนจูบออกก่อนที่ลิ้นของเหล่ยเจิ้นยวี่จะไม่ได้อยู่ที่เดิมของมันอีกต่อไป



“เหิมเกริมเช่นนี้...อย่าได้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเลย” ไป๋เจี๋ยใช้ปลายแขนเสื้อเช็ดมุมปากลวกๆ ก่อนจะสะบัดแส้ในมือฟาดเข้ากับร่างของมารทิวาม่วง มารชั่วผลักร่างของคนแซ่เส้าออกไปด้านหนึ่ง ปล่อยให้พยัคฆ์ขาวย่ำยีเรือนร่างที่ตกอยู่ในห้วงดำฤษณาต่อไป มือข้างหนึ่งดึงรั้งแส้หนังเอาไว้ ขณะที่มืออีกข้างถือดาบเหล็กขนาดใหญ่ที่มีหนามพิษปรากฏอยู่โดยทั่ว



ลำแสงจากกระบี่ธารน้ำแข็งปะทะเข้ากับพลังของมารทิวาม่วงอยู่ครู่หนึ่ง ส่วนข้ามิอาจเรียกว่ายืนหายใจอยู่เฉยๆ ได้ เนื่องจากร่างผีตายซากนับสิบจากที่เสพสังวาสกันอยู่กลับกรูกันเข้ามาหาข้าคล้ายมองเห็นขนมหวานชิ้นหนึ่ง คนเหล่านี้เกรงว่าจะอยู่ภายใต้การควบคุมของมารทิวาม่วงเข้าแล้ว ข้าชักกระบี่พันหมื่นแสงดาราออกจากฝัก สัมผัสได้ถึงความยินดีของมันที่ได้พบเจอกับเจ้าของที่แท้จริงอีกครั้ง หากแต่ไม่ได้มีเวลาชื่นชมอะไรนานนัก เพราะต้องตั้งจิตมิให้กระบี่ฟาดฟันเหล่าร่างผอมแห้งพวกนั้นจนถึงแก่ชีวิต



สายฟ้ารุนแรงสายหนึ่งผ่าลงมาจากเบื้องบนทำลายแม้กระทั่งอาคมของมารทิวาม่วงจนไม่เหลือซาก ด้วยพลังรุนแรงเช่นนี้ข้าย่อมคิดว่ามารสารเลวคงสิ้นชื่อก็คงจะคราวนี้ หากแต่เมื่ออัสนีและควันรอบข้างสูญสลายไป เงาร่างสูงใหญ่ของมันยังคงอยู่ที่เดิม



“อัสนีลงทัณฑ์” มารทิวาม่วงกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง แต่ท่าทางยังสมบูรณ์พร้อมดีมิได้ดับสูญเหมือนกับมารตนอื่นๆ ที่พบเจออัสนีลงทัณฑ์เข้าไป “สมแล้วที่เป็นผู้อาวุโสสกุลไป๋แห่งยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์”



กล่าวเพียงจบประโยคอัสนีอีกสายก็ผ่าฟาดเข้าที่กลางร่างของมารทิวาม่วงอีกครั้ง คราวนี้มิใช่อัสนีลงทัณฑ์เช่นเคยหากแต่เป็นอัสนีชำระล้างอันเป็นอัสนีสายที่ทรงพลังที่สุด วิชาที่ส่งมอบให้เฉพาะผู้สืบทอดยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์นั้นมีความลับซุกซ่อนเอาไว้อยู่ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่เก่งกาจเพียงใดก็ยืมเรียกอัสนีสวรรค์ได้วันหนึ่งไม่เกินเจ็ดสาย หากเกินกว่านั้นจะเป็นการฝืนกฎสวรรค์พลังอาจย้อนเข้าทำร้ายตนเองได้ เพียงวันนี้วันเดียวไป๋เจี๋ยก็ใช้สายฟ้าฟาดข้ามาถึงสามสี่ครั้งแล้ว จะกำจัดมารทิวาม่วงจึงต้องใช้สายฟ้าที่แรงที่สุดให้จบสิ้นภายในครั้งเดียว ซ้ำยังต้องรีบทำตอนที่มันยังไม่ได้ตั้งตัว



ร่างของมารทิวาม่วงแม้แข็งแกร่งเพียงใด เมื่อเจออัสนีชำระล้างเข้าไปย่อมมิสามารถฝืนทนได้อีก บนพื้นเตียงปรากฏเพียงลูกกลอนมารสีม่วงใสลูกหนึ่ง ส่วนดวงจิตมิรู้ว่าเข้าสู่วัฏสงสารแล้วหรือว่าสิ้นสลายไปพร้อมกับอัสนีชำระล้าง การตายอย่างง่ายดายของมันทำให้ข้ารู้สึกเสียดายพลังหยางที่สูญสลายไปอยู่ไม่น้อย แต่อย่างน้อยก็โชคดีที่ว่ามนต์สะกดชั่วช้าทั้งหลายได้สูญสิ้นไปแล้ว



“ข้ามิเชื่อหรอกว่าเรื่องราวจะจบง่ายดายเพียงนี้” ไป๋เจี๋ยเก็บลูกกลอนมารขึ้นมาถือในมือก่อนจะกำหมัดออกแรงบีบให้ลูกแก้วสีม่วงแหลกสลายจนเหลือเพียงฝุ่นผง ข้าเหลือบมองเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะใช้ร่างของเหล่ยเจิ้นยวี่เข้าไปแกะเชือกกักเซียนที่มัดร่างของหานเฉิงรุ่ยที่มีใบหน้าซีดเซียวดูไม่ได้ จากนั้นจึงดึงร่างของคนแซ่เส้าที่สลบไสลไม่ได้สติออกจากสัตว์อสูรตัวนั้น หาเสื้อผ้าใส่ให้เรียบร้อยและประคองเขาขึ้นมา



เห็นท่าทางโกรธขึ้งเย็นชาของคนสกุลไป๋ ข้าก็รู้ว่าคนอย่างเขาย่อมต้องหาหนทางสืบความชำระเรื่องราวอย่างไม่จบสิ้น จากเหนือจรดใต้ตะวันตกจรดตะวันออกเขาจะออกตามล่ามารชั่วจนกว่าจะพบตัวตนผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ เรื่องราวที่ค้างคาใจว่าเหตุใดค่ายกลนั้นจึงเหมือนกับค่ายกลของอาจารย์หญิงจะต้องกระจ่างแจ้ง นิสัยผูกใจฝังแค้นคล้ายว่าคนมีมาตั้งแต่เด็กแล้วกระมัง



เห็นทีว่าจะไม่ได้ความ ผูกติดกับศิษย์อาจารย์คู่นี้ต่อไปเห็นทีว่าหนทางการเป็นอ๋องผีของข้าคงไม่คืบหน้า อนาคตคงไม่สดใส ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหรือต่อให้วิญญาณจะต้องแหลกสลายอย่างไร ข้าเยี่ยอู๋จวินเห็นที่ก็ต้องหาหนทางสละไป๋เจี๋ยออกไปให้จงได้



โปรดติดตามตอนต่อไป...


ใกล้หมดสต็อกแล้วค่าาา  :hao7:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 11 [P.2, 9-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 09-10-2019 08:22:57
สนุกดีค่ะ รอๆ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 11 [P.2, 9-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 09-10-2019 15:57:45
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 11 [P.2, 9-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 10-10-2019 14:05:56
เดี๋ยวปรากฏถ้าเป็นเรื่องจริงขึ้นมา (ไป๋เจี๋ยท้อง) ปรมาจารย์เยี่ยอู่จวินจะร้องไม่ออกนะครับ แซวเขานักน่ะ (ฮา)

เขียนได้ดีครับ ขอชมเลย คงกลิ่นอายของมาตรฐานวรรณกรรมเยาวชนแบบจีนได้ดี ตั้งชื่อได้ตรงตามโทนวรรณกรรมจีน (ไม่ว่าจะเป็นชื่อสถานที่อย่างสำนัก ชื่อสิ่งของอย่างกระบี่ หรือแม้แต่ชื่อคน) บรรยายได้น่าสนใจและน่าติดตาม อธิบายท้องเรื่องของจักรวาลผ่านการบรรยายได้ไหลลื่นและดูไม่ยัดเยียดจนเกินไป ทำให้สามารถกระตุ้นความอยากอ่านต่อของนักอ่านได้ดี มีการซ่อนปมต่างๆผ่านการบรรยายเหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันได้สวยงาม บางปมก็คลายออกได้เร็วเพื่อตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของนักอ่านด้วย ถือว่ามาถูกทางเลยครับ ผมคิดว่าเส้นเรื่องหลักคือการพยายามเป็นอ๋องผีของปรมาจารย์วังวสันต์เยี่ยอู่จวิน (วังฤดูใบไม้ผลิ ชื่อสำนักบ่งบอกความสำราญของเจ้าสำนักมาก (ฮา)) แต่สุดท้ายแล้ว ผลมันจะกลายเป็นอ๋องผีหรือไม่ อันนี้ผมคิดว่าเราพลิกได้นะครับ เพราะเอาจริง แม้ว่าผู้เขียนจะบอกว่าโทนเรื่องสบายๆ แต่ผมดูศักยภาพแล้ว เป็นโรแมนติกคอเมดี้ที่อาจขึ้นหิ้งให้คนชื่นชมได้เลยนะครับ ศักยภาพเรื่องสามารถพัฒนาเป็นวรรณกรรมเยาวชนที่อ่านสนุก เพลิน และสร้างพล็อตที่น่าติดตามจนคนอ่านอยากรู้และอยากอ่านต่อได้ แต่การจะทำแบบนี้ได้เราอาจจะต้องวางกรอบสักนิดหนึ่ง ทำให้พล็อตมันดูอลังการแล้วจบให้น่าสนใจและอิ่มเอมกับผู้อ่านที่สุด

ทีนี้เรามาดูกันทีละจุด จุดแรก คาแรกเตอร์ของเยี่ยอู่จวิน ทำได้ดีมากแล้วครับ ผมยังชอบเลย (ฮา) ผีอะไรคูลชะมัด! มีทั้งขี้เล่นบ้าง แถมยังมีประชดประชันด้วยน้อยๆ แต่ดูท่าทางเจ้าสำราญพอสมควร ไม่แปลกใจเลยทำไมทั้งสาวทั้งหนุ่มติดกันเกรียวครับ แถมเซียนหานยังนับถือเป็นอาจารย์ (แต่เรียกอาจารย์ปู่นี่แก่ไปนะ ศิษย์พี่ก็พอมั้งครับ (ฮา))

เคสของเยี่ยอู่จวินนี่ตอนแรกผมก็ยังงงๆนะว่า เอ๊ะเราจะหาคู่ของเยี่ยอู่จวินจากไหน แต่พอเห็นมีบรรยายเรื่องสำนักไผ่ขาวก่อนที่จะเจอไป๋เจี๋ย ก็เริ่มรู้สึกแล้วละครับว่าน่าจะต้องมีปมกับใครสักคนในสำนักนี้ แต่พอเห็นไป๋เจี๋ยออกมา ใช่เลยครับ! เคมีคู่นี้แหละอย่างเหมาะ! (ฮา) คนนึงก็ขี้เล่นเจ้าสำราญ อีกคนก็ขยันซึน มือหนัก ขี้งอน แต่ก็ท่าทางน่ารักและยังชอบท่านพี่เยี่ยอยู่เสมอเลย ประเด็นคือเรามีเหล่ยเจิ้นยวี่เข้ามาเกี่ยวด้วย ผมเลยไม่แน่ใจว่าเรื่องจะพลิกยังไงสำหรับคู่นี้ เพราะน้องเองก็ดูจะแอบชอบไป๋เจี๋ยอยู่ไม่น้อย (แต่อายุก็ห่างกันมากเลยนะ 555) ปัญหาคือหน้าตาของเหล่ยเจิ้นยวี่ดันเหมือนเยี่ยอู่จวินผสมไป๋เจี๋ย ดังนั้นผมเลยคิดว่าผมชอบรูท เยี่ยอู่จวิน x ไป๋เจี๋ย เพราะดูเคมีของสองคนโอเค แถมเยี่ยอู่จวินยังหลุดออกมาว่าหัวใจเจ็บแปลบเมื่อจูบกับไป๋เจี๋ย แสดงว่าต้องมีความรู้สึกผิดซ่อนอยู่ในใจบ้างไม่มากก็น้อย การเชียร์คู่นี้ก็น่าจะเป็นไปได้ครับ

ดังนั้นนี่จึงนำพามาสู่จุดที่สองที่ผมจะพูดถึง นั้นคือพล็อตที่ใส่เข้ามาอย่างแนบเนียน ผ่านมิติของการบรรยาย ทั้งแบบการสนทนา หรือความทรงจำของเยี่ยอู่จวินที่อธืบายให้คนอ่านรับรู้ ตอนนี้ปมพล็อตเยอะและน่าสนใจมากเลยนะครับ คำถามแรกของผมก็ยังเป็นประเด็นอยู่เหล่ยเจิ้นยวี่มาจากไหน? ถูกเก็บได้? แล้วเก็บมาจากไหน เกิดมายังไง? เป็นลูกของไป๋เจี๋ยกับเยี่ยอู่จวินรึเปล่า? เพราะเรื่องก็บอกลางๆว่าสองคนนี้เคยนอนด้วยกันแน่ๆ แต่ว่าการเกิดขึ้นของเหล่ยเจิ้นยวี่ถ้าไม่ใช่ลูกจริง แล้วจะมีความเกี่ยวข้องกับแผนของเหล่าบรรดามารที่เริ่มมีแผนการสูบพลังหยางจากเหล่าชาวยุทธรึเปล่า? แล้วจะเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ที่ส่งเยี่ยอู่จวินไปตายกับสาวสามร้อยนางรึเปล่า? เพราะแผนมารมันเกิดขึ้นหลังจากเยี่ยอู่จวินตายพอดี มันพอดิบพอดีเกินกว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ ถ้าเราขมวดปมทั้งหมดเป็น Grand Scale ได้ แล้วค่อยๆใส่อีเวนต์มาทีละอันๆ เพื่ออธิบายคนอ่าน มันจะเป็นนวนิยายที่ชวนอ่านและน่าติดตามได้อย่างไม่ยากเลยครับ

นี่ยังไม่นับว่า สิบสี่ปีก่อน ช่วงที่เยี่ยอู่จวินยังอยู่ แต่อาจารย์ทั้งสามแห่งสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ (อ่านชื่อแล้วนึกถึงเจ็ดเซียนแห่งเทือกเขาบู๊ตึ้งเลยครับ อ้างอิงได้ดีนะ) เกิดอาเพศอะไรขึ้นแล้วเหตุการณ์ต่อจากนั้นเป็นยังไง? กระบี่พันหมื่นแสงดาราที่เยี่ยอู่จวินคืนอาจารย์ไปแล้วมาอยู่กับเหล่ยเจิ้นยวี่ได้ยังไง? ไป๋เจี๋ยให้? ถ้าให้แล้วให้เพราะอะไร? หน้าเหมือน? หรือว่าเป็นลูก? เพราะว่าการที่เยี่ยอู่จวินคิดมาประโยคหนึ่งว่า ‘ใช้กระบี่พันหมื่นแสงดาราได้’ แปลว่ากระบี่มันเลือกคนใช้ครับ ถ้าตีให้ใคร คนอื่นจะใช้มันต้องมีสัมพันธ์อะไรบางอย่าง แค่หน้าเหมือนไม่น่าจะทำให้ใช้กระบี่ได้

ผมคิดว่าผู้เขียนทำได้ดีแล้วนะครับ ผมไม่มีอะไรที่จะติเลย อย่างไรก็ตาม อาจจะมีแค่บางอย่างที่อยากจะเห็นเพิ่มเฉยๆ เช่น ถ้าธีมเรื่องเป็นโรแมนติกคอเมดี้ แล้วตัวชื่อเรื่องและเยี่ยอู่จวินเองก็คงสามารถในด้านการหลับนอน อยากจะให้บรรยายตรงนี้เพิ่มเติมหน่อย แบบเดียวกับองค์แรกที่ไปช่วยเทรนเจ้าหมูน้อยนั่นแหละครับ ให้อารมณ์อาจารย์ผู้แข็งแกร่งและเชี่ยวชาญด้านนี้มาก (ฮา) อย่างตอนที่สิงร่างน้องเหล่ยแล้วบดปากกับไป๋เจี๋ยนี่เท่มากเลยนะครับ สุดคูลไปเลย! อยากเห็นฉากแบบนี้อีกมากหน่อย เพื่อกู้ชื่อด้านความเท่ให้กับปรมาจารย์วังวสันต์ ไม่งั้นมันจะคอเมดี้มากไปนิดนึงน่ะครับ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 12 [P.2, 10-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 10-10-2019 23:43:00
บทที่ 12 เรื่องของหัวใจอย่าได้ปล่อยให้ค้างคาเรื้อรัง



หลังจากกำจัดมารทิวาม่วงเป็นอันเรียบร้อยแล้ว ข้าจึงใช้ร่างของเหล่ยเจิ้นยวี่โอบอุ้มศิษย์แซ่เส้าเอาไว้พร้อมกับเดินตามคนสกุลไป๋กลับไปยังเมืองเจี้ยนอีกครั้ง การเดินกลับครั้งนี้ช่างเป็นไปอย่างทุลักทุเลเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากหานเฉิงรุ่ยที่หมดสภาพไร้เรี่ยวแรงได้แต่เดินโซเซก็ขยันเอนตัวมาพิงข้าบ่อยยิ่งนัก กว่าจะลากคนทั้งสองเข้าประตูเมืองมาได้ ข้ารู้สึกเปลืองเรี่ยวแรงอยู่ไม่น้อย



ถึงจะห้าวหาญแข็งแกร่งมีกระดูกเซียนแน่นหนาเพียงใด ใบหน้าเฉยชาของไผ่หยกแห่งสกุลไป๋ก็ปรากฏร่องรอยความเหนื่อยล้าบ้างแล้ว เมื่อข้าเอ่ยปากจะไปหาห้องพักสำหรับคืนนี้ คนจึงมิได้เอ่ยปากว่าอันใด เพียงแค่ควักถุงเงินยัดใส่มือข้า จากนั้นจึงกล่าวว่าเขาจะมุ่งหน้าไปยังจวนเจ้าเมืองเสียก่อน อย่างไรเสียอีกสิบกว่าชีวิตที่ใกล้ตายอยู่ในเรือนร้างของมารทิวาม่วงก็ยังต้องได้รับการดูแลให้น้ำให้อาหารส่งคืนกลับบ้านอยู่ดี



คนกำชับข้าอยู่หลายประโยคว่าเสร็จธุระแล้วจะรีบกลับมา มิรู้ว่าหลงลืมไปหรือเปล่าว่าบัดนี้เหล่ยเจิ้นยวี่นั้นมิใช่เหล่ยเจิ้นยวี่คนเดิม หากแต่เป็นวิญญาณของเยี่ยอู๋จวินสิงร่างอยู่ แต่เห็นท่าทางรีบเร่งและอ่อนล้าข้าก็หยอกล้อเขาไม่ลง ได้แต่เอ่ยปากรับคำแต่โดยดี



มิรู้ว่าในเมืองเจี้ยนมีงานเทศกาลหรือมีสิ่งใดกัน ข้าเดินทุลักทุเลหาโรงเตี๊ยมอยู่ครู่หนึ่งจึงพบโรงเตี๊ยมที่มีห้องว่างสองห้องสำหรับบุรุษสี่คนพอดี เพียงเท่านี้คงเพียงพอแล้ว สภาพใกล้ตายของคนแซ่เส้าและท่าทางปลกเปลี้ยของหานเฉิงรุ่ย เวลานี้ยังจะเลือกมากนอนแยกห้องอีกหรือ



ข้าสั่งผู้คนไว้ว่าให้ไปแจ้งที่จวนเจ้าเมืองว่าคณะของท่านเซียนไป๋พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ จากนั้นจึงกำชับว่าพวกข้าต้องการความสงบ หากเกิดสิ่งใดอย่าได้มารบกวน แล้วจึงค่อยลากคนทั้งสองขึ้นห้องพัก ครั้นวางศิษย์แซ่เส้าลงบนเตียงก็รู้สึกถอดถอนใจอยู่บ้าง เพิ่งถ่ายทอดไอหยางให้ไป บัดนี้หยินมากหยางพร่องอีกแล้ว คนผู้นี้มิรู้ว่ามีโชคชะตาคราวเคราะห์บัดซบขนาดไหน ชีวิตจึงได้พบเจอเหตุการณ์อัปยศถึงสองวันติด ซ้ำครั้งล่าสุดมิรู้ว่าต้องทำเช่นไรจึงจะล้างความอับอายออกไปได้



คราวแรกข้ายังคิดว่าพยัคฆ์ขาวลายพาดกลอนตัวนั้นแท้จริงแล้วเป็นสัตว์อสูรที่มารทิวาม่วงใช้บังหน้า เมื่อสืบความดูให้ดีกลับพบว่าสัตว์หน้าขนตัวนั้นมีเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่ทำพันธะสัญญากับคนแซ่เส้าซึ่งตอนนี้กลับเข้าไปอยู่ในกำไลผนึกสัตว์เรียบร้อย หากพูดให้ชวนเจ็บปวดกว่าเดิมคือศิษย์จากยอดเขาอสูรคำรามผู้นี้ถูกสัตว์เลี้ยงของตนกระทำชำเราเสียแล้ว



หากมันสามารถบำเพ็ญเพียรก้าวหน้าจนได้ร่างมนุษย์ก็ดีไป อยู่ด้วยกันนานเข้าอาจมีจิตปฏิพัทธ์ได้ครองคู่ เหตุการณ์นั้นให้ถือเป็นเพียงทดลองร่วมหอลงโลงเพื่อทดสอบรสนิยมรักก็ยังได้ สมัยที่ข้าร่อนเร่ฝึกวิชาไปทั่วใต้หล้ายังเคยได้ยินเรื่องเล่าขานว่ามีเซียนบางคนชื่นชอบเรื่องราวเช่นนี้อยู่บ้าง คราวนั้นยังรู้สึกว่าแปลกใหม่พิกล แต่จะให้ลองเชยชมเห็นทีคงมิใช่รสนิยมข้า



“ผู้อาวุโสกำลังทำสิ่งใดกัน” หานเฉิงรุ่ยที่กินยาลูกกลอนเข้าไปจนกำลังวังชาดีขึ้นบ้างร้องเสียงดังลั่นเมื่อข้าปลดเปลื้องเสื้อผ้าของคนแซ่เส้าอีกครั้ง ครั้นมองเห็นร่องรอยรักบนร่างกายของศิษย์ผู้น้อง ใบหน้าหล่อเหลาก็พลันขึ้นสีระเรื่อขึ้นมาเสียอย่างนั้น



“ร่างกายศิษย์น้องของเจ้าถูกมารเสพสมถึงสองตน ถือว่ามีชะตาดึงดูดราคะเข้าแล้ว ยามนี้เพียงหยินมากหยางน้อย หากอาการอื่นมิรู้ว่าบุบสลายอย่างไร แต่พบเจอเหตุการณ์เช่นนี้กายใจย่อมมิอาจรักษาความบริสุทธิ์ได้เช่นเคย วันหน้าหนทางมรรคาเซียนของเขาอาจลำบากบ้างแล้ว”



ข้าพลิกตรวจร่างกายที่สลบไสลของคนสกุลเส้า จัดเสื้อผ้าคืนที่ให้อีกครั้งแล้วว่ากล่าวไปตามจริง ยามคนผู้นี้มีสติฟื้นขึ้นมายังไม่แน่ว่าจะสติวิปลาสหรือไม่ ซ้ำร่างกายแปดเปื้อนถึงเพียงนี้ หากไม่ขจัดกลิ่นอายมารที่ติดกายออกไปบ้าง ครั้นยามผ่านอัสนีสวรรค์อาจหนักหนาสาหัสได้จนเอาชีวิตไม่รอดได้ หรือหากเกิดจิตมารขึ้นมา จิตมารยิ่งเติบโตได้ง่ายดายยิ่งกว่าอะไร



“เรื่องของเส้าหมิงนั้นเป็นความผิดของข้าเอง” เด็กหนุ่มทรุดนั่งคุกเข่าอยู่ข้างหน้าเตียง หน้าตาเครียดขึ้งเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาที่มองผู้ที่สลบอยู่บนเตียงนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความรู้สึกเสียใจ “แรกเริ่มอาจารย์อาหลัวจากยอดเขาอสูรคำรามก็มิได้อยากให้เขาเข้าร่วมขบวนแต่อย่างไร เพียงแต่เขานึกเป็นห่วงข้าจึงได้ติดตามมาด้วย เคราะห์กรรมที่เกิดขึ้นนั้นนับว่าเป็นความผิดของข้าหลายส่วน จากนี้มิว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นข้าจะปกป้องดูแลเขาเอง”



“ในเมื่อเจ้าคิดดังนั้น ไยมิสละกายเจ้าใช้ตัวบำเพ็ญเพียรเคียงคู่” หานเฉิงรุ่ยเงยหน้าขึ้นสบตาคล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เสียแต่ว่าทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของข้าล้วนจริงจังไม่ได้ล้อเล่นแต่ประการใด คนจึงได้แต่นิ่งเงียบคล้ายว่ายังต้องใช้สมองครุ่นคิดการบางสิ่งอยู่บ้าง



การใช้กายบำเพ็ญเพียรเคียงคู่ย่อมเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาคิดตัดสินใจเป็นธรรมดา สาเหตุหนึ่งคือทั้งชีวิตคล้ายจะต้องผูกติดกับคนผู้หนึ่ง เหล่าผู้ฝึกเซียนที่แต่งงานมีสามีภรรยานั้นเป็นเรื่องปรกติ แต่จะให้บำเพ็ญเพียรร่วมกันถือว่าไม่ง่ายนัก หนทางการเป็นเซียนเพียงหนึ่งคนยังลำบากมากมาย แต่นี่สองคนย่อมต้องยากเย็นยิ่งกว่าเก่า หากถึงเวลาคนหนึ่งเหาะเหินขึ้นไปเป็นเซียนทิ้งอีกคนไว้เบื้องล่างก็ถือเป็นบาปกรรมแล้ว ส่วนมากผู้ที่บำเพ็ญเพียรร่วมกันจึงมักเป็นคู่เซียนระดับสูง หรือไม่ก็มั่นใจแล้วว่าชั่วชีวิตนี้มิอาจเป็นเซียนได้



“ร่างกายของเส้าหมิงยามนี้ได้รับพิษราคะจากไอมารมากเกินไปจนเข้าสู่จุดตันเถียน วิธีแก้คือต้องใช้กลีบดอกสัตตบุษย์น้ำค้างแข็งจากยอดเขาคุนหลุนมาปรุงโอสถถอนพิษชนิดหนึ่ง ตำรานั้นได้ยินว่าเจ้ายอดเขาทิพย์โอสถถือครองเอาไว้อยู่” สีหน้าของหานเฉิงรุ่ยดีขึ้นบ้างเมื่อได้ยินวิธีแก้พิษ แม้แต่ภัยอันตรายที่จะไปล่วงล้ำดินแดนของเจ้าแม่หวังหมู่ก็ยังไม่เกรงกลัว “แต่การไปเก็บดอกสัตตบุษย์น้ำค้างแข็งย่อมมิใช่เรื่องง่าย ซ้ำร่างกายเขาอาจเกิดอาการกำเริบ ห้าวันเจ็ดวันต้องหาบุรุษมาร่วมรักดูดซับพลังหยางเพื่อกดพิษไว้ในร่าง มิเช่นนั้นธาตุไฟจะเข้าแทรกถึงแก่ชีวิตได้”



คราวนี้ใบหน้าของเด็กหนุ่มถึงกับดูไม่ได้บ้างแล้ว เห็นท่าทางอึกอักตอบได้ไม่เต็มปาก ข้าก็พอเดาเรื่องราวบางอย่างได้บ้าง พอเหลือบมองดวงหน้าที่มิได้ขี้ริ้วอะไรของเส้าหมิง ซ้ำอนาคตจะยิ่งงดงามเย้ายวนมากขึ้น จึงอดสงสารอนาคตของเขาไม่ได้ ช่วยเหลือผู้คนตกทุกข์ได้ยากเช่นนี้ มิใช่ว่าเป็นหน้าที่ของผีที่ดีหรอกหรือ



“ในใจเจ้าคงมีผู้อื่นอยู่แล้ว” หานเฉิงรุ่ยนับว่าเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีอนาคตไกล ซ้ำยังมีสกุลหานหนุนหลัง องค์ประกอบล่อดอกท้อเช่นนี้มีหรือจะไม่มีเรื่องรักใคร่ของคนหนุ่มสาวเข้ามาเกี่ยวพัน หานเฉิงรุ่ยอยู่ยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ เส้าหมิงอยู่ยอดเขาอสูรคำราม คิดไปคิดมาข้าก็นึกถึงเรื่องราวขึ้นมาได้จึงได้เอ่ยวาจาบางอย่างออกไปเพิ่มเติม “คงมิใช่ว่าใจเจ้าผูกอยู่กับศิษย์จากยอดเขานภาไร้สรรพเสียงอีกคนกระมัง”



ดวงตาของหานเฉิงรุ่ยถึงกับเบิกกว้าง เขามองมาที่ข้าอย่างไม่เชื่อในสายตา “ความลับประการใดมิอาจปิดบังผู้อาวุโสได้เลยจริงๆ อันที่จริงข้ามิได้มีผู้ใดอยู่ในใจ หากสามปีก่อนข้าเคยมีสัญญาใจกับศิษย์พี่เหยาชื่อซิ่นจากยอดเขานภาไร้สรรพเสียงว่าจะอยู่เคียงข้างเขาในยามทุกข์และสุข แต่คราวนั้นก็สัญญากับศิษย์น้องเส้าไว้เช่นกันว่าจะคอยปกป้องดูแลเขา คราวนี้มิรู้ว่าต้องทำเช่นไรจึงจะไม่ผิดสัญญากับทั้งสองคน”



ได้ฟังแล้วก็อยากถอดถอนใจแรงๆ สักที ประวัติศาสตร์มีไว้ซ้ำรอยดีแท้ มิรู้ว่าคนจากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์มีปัญหาอันใดกับยอดเขาอสูรคำรามและยอดเขานภาไร้สรรพเสียงจึงมักมีปัญหารักสามเส้าวุ่นวายตัดมิขาดอย่างนี้อยู่เรื่อยไป คราวอาจารย์หญิงก็มิใช่ว่านางเลือกไม่ถูกระหว่างอาจารย์อาเหลียงและอาจารย์อาโจวจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมรัก คนหนึ่งตาย คนหนึ่งบ้า อีกคนสูญหายไปในยุทธภพหรอกหรือ เหล่าชนรุ่นหลังมิเคยรับรู้เรื่องราวของพวกอาจารย์บรรพบุรุษบ้างหรือไร ไยมิรู้จักเรียนรู้บทเรียนจากอดีต เหตุใดจึงได้กล้าเดินตามรอยเท้าถึงเพียงนี้



เวลานั้นยามที่ข้ายังเป็นศิษย์ของสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ ช่วงปีสุดท้ายข้าเองก็เคยยุ่งเกี่ยวกับศิษย์พี่ศิษย์น้องหญิงภายในสำนักอยู่หลายคนเพื่อฝึกวิชาวสันต์เริงร่า มองแล้วอาจคล้ายว่าข้าหลับนอนกับสตรีไม่เลือกหน้า อันที่จริงข้ามีกฎที่ตนวางเอาไว้อย่างเคร่งครัดอยู่ นอกจากผู้คนต้องสมยอมมิได้หวังจะมอบใจให้ข้าแล้ว ยังมีอีกข้อกฎนั้นคืออย่าได้ดำเนินตามรอยของอาจารย์เด็ดขาด หากเลือกยุ่งเกี่ยวกับคนจากยอดเขาอสูรคำรามแล้วอย่าได้ไปยุ่งเกี่ยวกับยอดเขานภาไร้สรรพเสียง



เหล่าศิษย์พี่น้องหญิงทั้งหลายนั้นจึงมาจากยอดเขากระบี่ร้อยรบ ยอดเขาอสูรคำราม ยอดเขาบุปผาโปรย ยอดเขาทิพย์โอสถ ยอดเขาปราการโลหิต แต่ไม่มียอดเขานภาไร้สรรพเสียงสักคน



จะว่าไปแล้วชื่อของเหยาชื่อซิ่นข้าก็รู้สึกคุ้นหูอยู่บ้าง คล้ายว่าเป็นญาติฝั่งมารดาของอาจารย์อาโจว เคยมาเยี่ยมเยียนนำของมาฝากให้อาจารย์หญิงอยู่บ้าง เมื่อตอนนั้นเขายังเป็นเพียงทารกอายุสี่ห้าปีก็มีนิสัยเสียเอาแต่ใจ ซ้ำยังมากด้วยเล่ห์กล เดี๋ยวเรียกเยี่ยอู๋จวินข้าจะเล่นอันนั้น เยี่ยอู๋จวินข้าจะกินอันนี้ พอไม่ตามใจก็ร้องไห้อาละวาดราวกับข้าไปทำร้ายบิดามารดามันเข้า สุดท้ายจบที่ข้าโดนอาจารย์หญิงลงโทษให้นั่งคุกเข่าอยู่หลายชั่วยาม ยามเด็กนิสัยเช่นนี้ โตมาไม่รู้ว่าจะกลายเป็นตัวร้ายกาจเพียงใด หานเฉิงรุ่ยซื่อบื้อถึงเพียงนั้นคงหลงกลคนเข้ากระมัง



“หากมิสามารถตัดสินใจเลือกใครได้ก็อย่าให้เรื่องราวยากเย็นยิ่งกว่าเดิม” ข้าเห็นท่าทางคิดไม่ตกของหานเฉิงรุ่ยก็รู้สึกเอือมระอาใจขึ้นมาแล้ว จึงอดสั่งสอนไปอีกหลายประโยคไม่ได้ “เรื้อรังไปมีแต่จะเป็นปัญหาไม่จบไม่สิ้น ยอมเป็นคนชั่วช้าผิดสัญญาทำร้ายจิตใจใครสักคนมิดีกว่าหรือ แม้แรกเริ่มจะเจ็บปวดใจอยู่มาก แต่วันเวลาผ่านไปย่อมมิรู้สึกอะไรอีกต่อไปแล้ว”



หานเฉิงรุ่ยมีสีหน้าย่ำแย่เสียยิ่งกว่าเดิม ข้ามองเข้าก็รู้สึกรำคาญใจมากกว่าเดิมจึงหมดอารมณ์จะพูดจา พอลุกขึ้นหวังจะกลับห้องพักของตนเอง เส้าหมิงที่สลบไสลก็ฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้ว เขาลืมตาขึ้นหันมองรอบข้างด้วยความตื่นตระหนก ครั้นเห็นใบหน้าของศิษย์พี่ขอบตาทั้งสองข้างก็แดงก่ำ



“ศิษย์พี่หาน...” เสียงแหบแห้งกล่าวขึ้นแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน พอหานเฉิงรุ่ยขยับเข้าไปประคอง หยดน้ำตาก็ร่วงเผาะเต็มสองแก้ม คนขยับตัวหลบหลีกเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายแตะต้องเนื้อตัว ท่าทางน่าสงสารคล้ายลูกกระต่ายตัวน้อยอย่างบอกไม่ถูก “ได้รับความอัปยศถึงเพียงนี้ ข้ามิอาจมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว”



ศิษย์พี่หานยังมิได้เอ่ยปากปลอบใจ นัยน์ตาของคนแซ่เส้าพลันปรากฏแววอำมหิตฉายวาบ ไม่รู้ว่านึกอะไรเข้าจึงดูมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้าง “แต่ตอนนี้ยังตายไม่ได้ ข้าจะต้องผ่าท้องเสี่ยวอวิ๋นถลกหนังมันไปทำเสื้อขน เนื้อและกระดูกที่เหลือต้องนำไปตุ๋นน้ำแกง จากนั้นตัดหัวมารสารเลวแล้วทำลายดวงจิตมัน”



แต่ไหนแต่ไรความแค้นก็เป็นสิ่งขับเคลื่อนชีวิตมนุษย์ปุถุชนอยู่แล้ว ถือว่าเส้าหมิงผู้นี้ยังใช้การได้อยู่บ้างที่หัดหาอะไรมารั้งชีวิตเอาไว้ เสียแต่ว่าบางครั้งควรจะให้คนอยู่กับความจริง ข้าจึงเอ่ยวาจาด้วยท่าทางเรียบเฉยยิ่งนัก “มารทิวาม่วงถูกจัดการไปแล้ว ส่วนพยัคฆ์ขาวตัวนั้นแต่เดิมก็เป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้า สัตว์อสูรระดับนั้นหากฆ่าตายไปจะหาใหม่มาทดแทนได้ง่ายดายหรือ”



สีหน้าของเส้าหมิงเป็นอย่างไรข้าคงไม่จำเป็นต้องอธิบายกระมัง สกุลเส้าในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรไม่นับว่าเป็นสกุลเซียนด้วยซ้ำ ตัวเขาเองก็พอมีความสามารถอยู่บ้างถึงได้รับพยัคฆ์ขาวลายพาดกลอนจากอาจารย์มาเป็นสัตว์เลี้ยงคู่กาย ต่อให้สมองของผู้คนใช้การไม่ได้อย่างไร ก็ควรจะรู้จักคิดไตร่ตรองได้อยู่ไม่น้อยว่าหากกระทำการวู่วามลงไปคงไม่เป็นการดีต่อทั้งชีวิตและครอบครัวแน่



“ผู้อาวุโสท่านนี้ช่วยพวกเราเอาไว้ตั้งแต่คราวมารราตรีชาด จนวันนี้คราวมารทิวาม่วงก็ตามอาจารย์ปู่มาช่วย” หานเฉิงรุ่ยช่วยเอ่ยแนะนำข้าและเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้ผู้เป็นศิษย์น้อง เขาคงมิรู้กระมังว่าแท้จริงแล้วร่างนี้มิใช่ร่างของข้า หากแต่เป็นคนหน้าตาคล้ายคลึงกันเท่านั้น ถึงข้าจะอายุมากกว่าเหล่ยเจิ้นยวี่สิบกว่าปี แต่ผู้บำเพ็ญเพียรถึงจุดหนึ่งจะสามารถรักษาความเยาว์วัยเอาไว้ได้ วิญญาณของข้าจึงดูเหมือนอายุไม่ต่างจากร่างนี้มากเท่าไรนัก กอปรกับเขามิเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเหล่ยเจิ้นยวี่มาก่อน คนจึงเข้าใจไปเองว่าเมื่อวานนั้นเป็นข้าถอดวิญญาณออกมา



เวลาเช่นนี้เส้าหมิงยังอุตส่าห์แสดงท่าทางสำนึกในบุญคุณได้ ก่อนที่เขาจะคุกเข่าโขกหัว ข้าก็โบกมือห้ามไปครั้งหนึ่ง ทั้งยังรีบบอกกล่าวเรื่องราวสำคัญให้กับเจ้าตัวได้รับรู้ “ร่างกายเจ้ายามนี้ได้รับพิษราคะ จำเป็นต้องใช้กลีบดอกสัตตบุษย์น้ำค้างแข็งมาปรุงโอสถถอนพิษ หากพิษนี้มิอาจบอกได้ว่าจะออกฤทธิ์เมื่อใด ทำได้เพียงกดอาการเอาไว้เท่านั้น”



“จะกดพิษเช่นไรได้” ยอดเขาคุนหลุนแม้จะมีภัยอันตรายมากมายเพียงใด แต่ก็ยังพอเดินทางไปเสาะหาของวิเศษได้ เส้าหมิงผู้นี้มีดีอยู่อย่างหนึ่งที่พอไม่คิดจะตายแล้วก็ไม่กลับไปอยากตายอีก ไม่รู้ว่าทำใจปลงตกได้หรือด้วยสาเหตุใด อาจเป็นเพราะหวนคิดถึงบ้านสกุลเส้าที่มิได้มีความเป็นอยู่สุขสบายนักก็เป็นได้



“ต้องร่วมรักกับบุรุษเพื่อใช้พลังหยาง หากคนเดียวหยางไม่พอก็ต้องใช้หลายคน กว่าจะถอนพิษได้ห้ามหลับนอนกับสตรีอีก ไอหยินเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้เจ้าจบสิ้นชีวิตได้” พอกล่าวจบ หยดน้ำตาเม็ดหนึ่งพลันกลิ้งลงมาจากหางตาของเส้าหมิง หานเฉิงรุ่ยยกมือขึ้นลูบหลังปลอบใจศิษย์น้อง หากจู่ๆ เนื้อตัวของคนแซ่เส้ากลับสั่นระริกขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ คนล้มตัวลงบนเตียงอีกครั้งก่อนจะดึงมือบุรุษอีกคนมากอดก่ายเอาไว้ ร่างกายพลันปรากฏกลิ่นหอมหวานคล้ายกลิ่นของมารราตรีชาดและมารทิวาม่วงผสมผสานกัน



“กะ...เกิดอะไรขึ้น” เส้าหมิงหอบหายใจพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงขาดห้วง สองแก้มแดงระเรื่อคล้ายคนมีพิษไข้ “เหตุใดข้าจึงรู้สึกร้อนรุ่มไปหมด”



พิษราคะช่างเลือกเวลาออกฤทธิ์ได้ดีนัก เร็วกว่านี้ก็ไม่ออกฤทธิ์ต้องรอให้ข้าสาธยายจนจบใจความสำคัญก่อน จะรอให้ช้ากว่านี้ก็ไม่ได้ ช่างเป็นพิษที่รู้จักเวลาดีแท้ ข้าเหลือบมองใบหน้าตื่นตระหนกของหานเฉิงรุ่ยด้วยหางตา กลิ่นกายจากเส้าหมิงแม้ไม่อาจมอมเมาผู้คนได้เทียบเท่ากับมารชั่วทั้งสอง แต่ก็ทำให้ผู้คนมึนงงได้ไม่น้อย



ข้าวางมือบนบ่าของศิษย์แซ่เส้า ใช้จังหวะที่เขายังมีสติบอกเล่าเรื่องราว “เวลานี้พิษออกฤทธิ์แล้ว ร่างกายเจ้าจะกระสันซ่านจนเกินพอดี หากเจ้าฝืนทนมิรับพลังหยางนานวันเข้าจะแย่เอาได้”



เส้าหมิงร้องแผ่วเบาคล้ายเสียงลูกแมว มิรู้ว่าตอบรับหรือว่าร้องครางประการใด หานเฉิงรุ่ยถึงกระตุกแขนเสื้อของข้าด้วยความร้อนใจอย่างยิ่ง “จะทำเช่นไรดีเล่า” จากนั้นปากก็ปากพร่ำเพ้อถ้อยคำออกมาจนข้าอยากซัดฝ่ามือใส่เขาสักที “ผู้อาวุโสคล้ายจะมีความรู้ความสามารถด้านนี้ยิ่งนัก หากท่านพลีกายสละธาตุหยางช่วยเหลือศิษย์น้องเส้า เรื่องราวคราวนี้ย่อมนับว่าสกุลหานติดค้างหนี้น้ำใจท่าน”



ผายลมแล้วเจ้าคนสกุลหาน เวลานี้ถึงกลับยกหนี้น้ำใจมาพูด สกุลหานบ้านเจ้าใหญ่โตเพียงใด ก็คงมิใหญ่โตสู้สกุลเยี่ยแห่งเจียงหนานที่มีมารดาทั้งห้าเป็นอดีตห้ายอดดรุณีแห่งยุคของข้ากระมัง ที่สำคัญกว่านั้นอำนาจชาติสกุลใช่สิ่งที่ข้าต้องการไม่ หากข้ายึดถือสิ่งเหล่านั้นเป็นสรณะจริง คงไม่ออกจากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ทั้งที่ตนเป็นผู้สืบทอดของอาจารย์หญิง ออกจากตระกูลทั้งที่ตนเป็นบุตรชายคนโต และร่อนเร่ไปทั่วเหนือใต้ตั้งแต่อายุสิบหกสิบเจ็ดเป็นแน่



คนอย่างเยี่ยอู๋จวินแท้จริงแล้วมิใช่คนไร้น้ำใจ การปราบมารราตรีชาดที่ผ่านมาข้าได้พลังหยางมามากมายก็จริง แต่ได้แบ่งให้เส้าหมิงส่วนหนึ่ง ส่วนที่มากพอจะทำให้ร่างกายเขาเต็มเปี่ยมด้วยหยางสามารถฝึกวิชาได้ก้าวหน้าโดดเด่น หลังจากนั้นยังแบ่งพลังอีกส่วนไปช่วยรั้งไป๋เจี๋ยจากมนต์ปลุกกำหนัดของมารทิวาม่วงอีก มารชั่วสิ้นสูญไอหยางสักเศษเสี้ยวก็ไม่เหลือให้ข้าดูดซับ หากจะให้ข้าต้องสละธาตุหยางอีก มิใช่ว่าข้าปรมาจารย์วังวสันต์ผู้นี้นอกจากจะไม่ได้กำไรแล้วยังจะขาดทุนย่อยยับอีกหรือ



“เจ้าเองก็มีธาตุหยางแข็งแกร่งมิใช่หรือ” มิเช่นนั้นจะถูกจับตัวไปเป็นเตาหลอมถึงสองครั้งสองคราได้อย่างไร ซ้ำยังเป็นเตาหลอมที่มารชั่วตั้งใจจะใช้ท้ายสุดอีก มีของดีอยู่กับตัวไยไม่ใช้งานเล่า หากแต่เรื่องเหล่านี้เห็นทีไม่ควรจะพูดกล่าวออกไป ข้าจึงดึงสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจของเขาออกมาพูดแทน “หรือจะกล่าวว่าส่วนหนึ่งของใจเจ้าไม่มีเศษเสี้ยวของเส้าหมิงอยู่สักนิด”



ได้ยินอย่างนี้มีหรือที่คนจะไม่หยุดชะงัก หากแต่ข้าเริ่มรำคาญอาการท่ามากของหานเฉิงรุ่ยแล้วจึงโน้มลำตัวเข้าหาคนแซ่เส้าเล็กน้อย ใช้ปลายนิ้วดีดที่หน้าผากแรงๆ เรียกสติคนให้กลับมา “เจ้ายังมีสติดีอยู่หรือไม่ หากทนมิไหวจริงๆ ก็ปล่อยเจ้าสัตว์หน้าขนเสี่ยวอวิ๋นออกมาเถิด อย่างน้อยเจ้าเป็นเจ้านาย มันคงปรนเปรอเจ้าได้บ้าง”



“ผู้อาวุโสใจเย็นก่อน” หานเฉิงรุ่ยรีบเข้ามาขวางก่อนที่ศิษย์น้องของเขาจะเรียกสัตว์อสูรตัวนั้นออกมาสมสู่ด้วยจริงๆ สีหน้าร้อนรนของคนยามนี้สมควรจะส่งกระจกสำริดให้เขาส่องหน้าตนเองเป็นอย่างยิ่ง “ความบริสุทธิ์ของข้าย่อมสามารถสละให้ศิษย์น้องได้”



เสียใจด้วยความบริสุทธิ์ของเจ้ามิได้หลงเหลืออยู่อีกต่อไป เพราะถูกข้าทำลายไปพร้อมกับมารราตรีชาดเสียแล้ว เห็นเขาตัดสินใจขึ้นมาได้แล้วข้าก็อดเอ่ยถามไม่ได้ “แล้วเหยาชื่อซิ่นเล่า”



“เรื่องของศิษย์พี่ยังพูดคุยกันภายหลังได้” คนแซ่หานเหลือบมองร่างที่เริ่มบิดเร้าด้วยความร้อนเร่าอยู่บนพื้นเตียง เส้าหมิงยามนี้ครางกระเส่าขยับกายเสียดสีตนกับพื้นเตียง แต่คงมิอาจทุเลาความกำหนัดลงได้ “ยามนี้ศิษย์น้องเส้ามิใช่ว่ากำลังทรมานมากอยู่หรอกหรือ”



เห็นทีคราวนี้เรื่องราวคงจะยิ่งพัวพันไปกันใหญ่ หากผู้อื่นยินยอม หานเฉิงรุ่ยคงได้มีภรรยาซ้ายขวาเป็นบุรุษจากยอดเขาอสูรคำรามและยอดเขานภาไร้สรรพเสียงแล้ว ใต้หล้านี้เจ้าจะเป็นต้วนซิ่วก็เป็นไปเถิด ใครจะทำสิ่งใดได้นอกจากติฉินนินทา แต่มิรู้ว่าเหยาชื่อซิ่นผู้นั้นจะอาละวาดประการใดบ้าง เส้าหมิงจะรับมือเช่นไรก็ยังไม่รู้ ยิ่งหากวันหนึ่งพยัคฆ์ขาวลายพาดกลอนเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้สำเร็จแล้วหวังอยากเสพสมรสรักจากเจ้านายแย่งชิงตัวคนอื่น ความสัมพันธ์สี่เส้าบัดซบคงได้กลายเป็นเรื่องสนุกสนานให้ชนรุ่นหลังได้รับชมกันอีกแล้วกระมัง



เรื่องราววุ่นวายในอนาคตของพวกเขาย่อมมิใช่เรื่องของข้า หานเฉิงรุ่ยไม่รู้จักจัดการความสัมพันธ์ของตนเอง วันหนึ่งต้องพบเจอเรื่องลำบากจะสมน้ำหน้ากันก็ไม่ผิดแล้ว เวลานี้ควรปล่อยให้เขาทั้งสองได้ใช้เวลาร่วมกัน อีกทั้งข้าเองก็มีเรื่องราวของตนที่จะต้องจัดการอยู่เหมือนกัน “เช่นนั้นก็ลงมือเสียเถิด ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว”



“ผู้อาวุโส...” หานเฉิงรุ่ยกล่าวเสียงอ่อย ซ้ำยังดึงแขนเสื้อข้าเอาไว้ไม่ให้ไปไหน หน้าตาหล่อเหลาเต็มไปด้วยความหนักใจ พอเห็นแววตาเย็นชาของข้า คนจึงรีบละล่ำละลักบอก “ข้ามิรู้ว่าจะต้องทำเช่นไรบ้าง กลัวผิดพลาดขึ้นมาแล้วอาการของศิษย์น้องเส้าจะหนักหนายิ่งกว่าเดิม”



มิได้เกิดและเติบโตอยู่ในอารามชีหรือสำนักสงฆ์จะไม่รู้ความเลยสักนิดก็คงจะเกินไปแล้ว เรื่องพรรค์นี้มิใช่ว่าทำเป็นตามธรรมชาติหรอกหรือ อายุอานามขนาดนี้แล้วอย่างน้อยก็ควรจะเห็นตำราสอนรักบ้าง “มิเคยอ่านหนังสือวังวสันต์บ้างหรือไร”



“เคยเห็นศิษย์จากยอดเขาอื่นอ่านผลงานของปรมาจารย์วังวสันต์ หากแต่ยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ห้ามนำหนังสือวังวสันต์เข้ามาเป็นอันขาด โดยเฉพาะตำราของท่านเยี่ยอู๋จวินถือว่าเป็นของต้องห้าม”



คงเป็นฝีมือของไป๋เจี๋ยกระมังที่ออกกฎข้อห้ามเช่นนั้นไว้ ท่านเยี่ยอู๋จวินที่ว่าได้ยินแล้วก็รู้สึกสงสารเขาอยู่บ้าง สุดท้ายจึงสลัดมือเขาออกแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เฉยชาอยู่เจ็ดส่วนเห็นใจอยู่สามส่วน



“ปลดเสื้อผ้าออกเสีย อย่าได้ชักช้าเสียเวลาไป”



โปรดติดตามตอนต่อไป...


************

ซินเอ๋อร์:

ขอบคุณขาประจำทุกท่านที่ติดตามนะคะ และขอบคุณคอมเมนท์ของคุณ Grey Twilight มากเลยค่ะ ไม่เคยได้รับคอมเมนท์ยาวๆ แบบนี้เลย ขอบคุณสำหรับคำชมมากๆ ซินเอ๋อร์ดีใจมากเลยค่ะที่คุณ Grey Twilight อ่านและวิเคราะห์เนื้อเรื่องได้ละเอียดมากๆ สิ่งที่ดีใจที่สุดคือปมหลายอย่างที่โยนทิ้งไว้มีคนสังเกตเห็นด้วย ปรกติไม่มีใครทักเลยค่ะ จนแอบคิดว่า เอ๊ะ หรือจะไม่มีใครเห็นปมพวกนี้นะ

ตอนแรกที่เริ่มเขียน เริ่มเขียนด้วยความคึกมีพล็อตคร่าวๆ แค่พระเอกเป็นผีลามกไปทั่วและหาเรื่องหนีกิ๊กเก่า สังเกตได้จากตอนแรกๆ ที่รายละเอียดปมอะไรจะยังไม่ได้มากมาย เขียนไปเขียนมาก็เริ่มหาเหตุผลมาใส่ให้เนื้อเรื่องเรื่อยๆ เพื่อให้เรื่องสมเหตุสมผลและสอดคล้องกับที่เขียนเอาไว้แรกสุดให้มากสุดเท่าที่จะทำได้ จนกลายเป็นว่ามีเนื้อเรื่องขึ้นมา จริงๆ แอบกังวลว่าจะทำให้คนอ่านหายด้วยหรือเปล่า แต่ถ้าไปไกลได้ถึงนิยายโรแมนติกคอมเมดี้ที่อ่านเพลินๆ สนุกๆ ได้จริงก็คงดีค่ะ สำหรับข้อแนะนำจะลองปรับปรุงแก้ไขดูนะคะะ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 12 [P.2, 10-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 11-10-2019 00:42:35
  :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 12 [P.2, 10-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 11-10-2019 13:58:54
การมีเนื้อเรื่องไม่ทำให้คนอ่านลดลงหรอกครับผม จะทำให้มากขึ้นเสียด้วยซ้ำ อย่าสับสนกับพวกนวนิยายปกขาวประโลมโลกนะครับ อันนั้นน่ะเน้นแต่ฉากเพศสัมพันธ์จนไม่มีอะไรเลย อ่านระบายอารมณ์ไป คุณค่าวรรณกรรมจะไม่ค่อยมีครับ แต่เรื่องนี้มีเนื้อเรื่อง มีปม แถมพระเอกมีคาแรกเตอร์น่าสนใจขนาดนี้ (ขี้เล่น + เจ้าสำราญ + มีความเท่เย็นชาบ้าง) มันมีอนาคตครับผม

เดี๋ยวเราจะได้เห็นฝีมือการเทรนลูกศิษย์คนที่สองของปรมาจารย์วังวสันต์แล้ววว (ฮา) ดูท่าคนนี้จะมีพละกำลังน้ำอดน้ำทนมากกว่าน้องหมูน้อยคนที่แล้วอยู่โขนะครับ ยังไม่นับเครื่องเพศที่ก็น่าจะพอใช้ได้ (ไม่อยากอวยของผีพระเอก ยังไม่เคยเห็นฉากบรรยาย  :laugh: :laugh: ) รับรองไปได้โลด แต่ท่านอาจารย์อาจต้องสอนวิชาสามคนเริงร่าบนเตียงไว้ด้วย เพราะดูท่าแล้วลูกศิษย์คนที่สองของท่านเยี่ยต้องได้ใช้แน่ในอนาคต (ฮา) ส่วนท่านไป๋นี่ท่าทางซึนอาฆาต โดนพิษท่านพี่ทิ้งไปนิดเดียว ถึงขั้นแบนตำราทั้งสำนัก แถมยิ่งถ้าเป็นตำราท่านพี่นี่มีห้ามเด็ดขาด เจอแล้วเผาแน่ๆ แสดงว่าของในนั้นมันอันตรายมากเลยเรอะ เป็นวิชาสอนรักที่เค้าเคยสอนท่านไป๋รึเปล่า  :m20: :m20:

ลืมบอกไปในคอมเมนท์ที่แล้ว ผมคิดว่าความสามารถการเขียนลักษณะฉากเพศสัมพันธ์ของผู้เขียนทำได้ดีเลยนะครับ ไม่โจ่งแจ้งและไม่เล้าหลือเกินไป ให้อารมณ์สวยงามและชัดเจน สังเกตง่ายๆเลยคือตรงบรรยายฉากที่เข้าไปเจอมารทิวาม่วงที่เห็น Exhibitionism (Public Sex) และฉากร่วมสัมพันธ์แบบ Beastiality ผมอ่านแล้วไม่รู้สึกว่ามันผิดแปลกหรือขยะแขยง แต่มันลื่นไหลเหมือนกับเราอ่านฉากบรรยายทั่วไปครับ ฉากที่เห็นซากบุรุษที่ถูกรีดพลังหยางร่วมประเวณีก็ให้ความรู้สึกน่ากลัวและสะอิดสะเอียนตรงตามสิ่งที่สื่อ เช่นเดียวกับฉาก Beastiality ที่ให้ความรู้สึกน่าหวาดๆเล็กน้อยตามการบรรยายรูปร่างพยัคฆ์ขาวลายพาดกลอน ก็ทำออกมาได้ตรงตามจุดประสงค์

นั่นแปลว่าผู้เขียนสามารถบรรยายฉากเพศสัมพันธ์แบบนี้ได้ออกมาละเมียดละไมและลื่นไหลต่ออารมณ์ผู้อ่าน โดยที่คงธีมของเนื้อเรื่องไว้ได้ (จีนโบราณ) มันเป็นสกิลที่ดีนะครับ และหายาก ดังนั้น ด้วยทักษะแบบนี้ ผมเลยจะบอกว่าการร่วมสัมพันธ์แบบแปลกๆอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Bondage, Deep throat, Masturbation, etc. ที่น่าจะเป็นอีเวนต์ซึ่งตรงตามธีมของท่านพระเอกลามกของเราด้วย (ฮา) ผู้เขียนก็น่าจะทำออกมาได้ดีแบบนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น คำเตือนที่เขียนไว้ สำหรับผมมันไม่จำเป็นเลยนะครับ เพราะฉากนั้นคุณทำออกมาได้ดีครับ อันนี้ขอชม
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 12 [P.2, 10-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 11-10-2019 23:26:48
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 12 [P.2, 10-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: nizxx ที่ 11-10-2019 23:39:13
เรื่องนี้สนุกมากเลยค่ะ ยิ่งอ่านยิ่งติดตาม ทำไปทำมาว่าที่เซียนลามกดูจะไปไหนไม่ได้เสียแล้ว ศิษย์คนนั้นจริงๆไม่ได้เป็นลูกของพี่เยี่ยกับน้องไป๋หรอ แต่คือคงเป็นไปได้ยากที่จะมีลูกกัน แต่ได้หน้าตาทั้งคู่มาเลยแฮะ ความสัมพันธ์ยุ่งเหยิงขึ้นทุกที เข้าใจที่พี่เยี่ยนังไม่รักใครเลย อาจจะมีส่วนลึกๆที่ยังมีใจให้น้องไป๋อยู่แต่วิธีการฝึกตนของอีพี่มันต้องใช้เซ็กส์อะถ้ามีความสัมพันธ์กับใครเป็นจริงจังคงจะหาทางฝึกตนไม่ได้เลย
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 13 คห.41 [P.2, 12-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 12-10-2019 16:55:44
วางท่าเสียมากมาย ใช่ว่ายางอายเจ้าจะมี



หานเฉิงรุ่ยถอดเสื้อผ้าถอดบนเสร็จกลับเหลือท่อนล่างเอาไว้ไม่รู้ว่าด้วยเขินอายหรืออะไรกันแน่ เวลานี้คนยังมีหน้ามาอายผีอย่างข้าอีกหรือ ข้าเคยยึดครองร่างกายเคยใช้งานแท่งหยกของเขาถึงหลายบทเพลงรัก เห็นทะลุปรุโปร่งมาหมดแล้วกระมัง หากเขายังอยากใส่กางเกงอยู่ก็ปล่อยเขาเถิด เดี๋ยวคนใกล้จะได้รู้ว่าสุดท้ายแล้วเมื่อทนความต้องการไม่ไหว ถึงหน้าบางเพียงไหน ยางอายกลับหายสิ้นอยู่ดี



“ถอดเสื้อผ้าของศิษย์น้องเจ้าออกให้หมดเสีย” สิ้นเสียงคำสั่งคนแซ่หานพลันหันกลับมามองข้าด้วยสายตาโง่งม คล้ายต้องการขอความช่วยเหลือ เส้าหมิงช่างรู้จักเวลาได้ดียิ่งนัก เด็กหนุ่มเริ่มรั้งสาบเสื้อตนเองออก ทั้งยังเริ่มดึงทึ้งกางเกงเสียจนหมดสภาพ ศิษย์พี่ของเขาไม่อยากเอื้อมมือไปเปลื้องผ้าเพียงใด หากคิดอยากให้เขาได้มีเสื้อผ้าใส่ในวันพรุ่งนี้อยู่ก็ต้องเข้าไปช่วยถอดเสียแล้ว



ศิษย์จากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ยอมปีนขึ้นเตียงแล้ว ถือว่าหลอกล่อคนได้ประการหนึ่ง การปลดเปลื้องเสื้อผ้าของคนที่ตกอยู่ภายใต้พิษราคะเป็นไปด้วยความราบรื่นยิ่งนัก ยามเมื่อฝ่ามือและปลายนิ้วของหานเฉิงรุ่ยสัมผัสโดนส่วนใด ร่างกายที่ไม่นับว่าแบบบางก็สะท้านขึ้นตามฝ่ามือคล้ายเรียกร้องให้นิ้วเรียวลูบผ่านผิวกายเขามากยิ่งกว่าเดิม คราวนี้ใบหน้าหล่อเหลาของคนสกุลหานขึ้นสีแดงระเรื่อขึ้นมา นัยน์ตาปรากฏหยดน้ำฉ่ำวาว ภายในใจคงปั่นป่วนเข้าแล้ว



“ศิษย์พี่...ข้าร้อนไปหมด” คนแซ่เส้ารั้งมือหนาไปกอดแนบลำตัว ซ้ำยังใช้แรงบังคับให้ศิษย์พี่ลากฝ่ามือไปตามแผ่นอกขาวที่ปรากฏร่องรอยรักไปทั่ว หานเฉิงรุ่ยหันกลับมามองข้าคล้ายเป็นทารกน้อยที่รอคอยคำสั่งจากบิดามารดา ข้าเห็นดังนั้นจึงขยับเข้าไปใกล้ กระซิบข้างใบหูคนก่อนจะเป่าลมร้อนเข้าไปเพื่อหยอกเย้าคนเล่น



“แม้ยามนี้ศิษย์น้องของเจ้าจะมีอารมณ์เต็มเปี่ยม หากวิธีการปลุกเร้าก็สมควรเรียนรู้เอาไว้ จุดอ่อนไหวบนร่างกายของบุรุษแท้จริงแล้วมิได้ต่างจากสตรีเท่าไรนัก” ข้าขบกัดติ่งหูของหานเฉิงรุ่ยอย่างแผ่วเบาทั้งยังแตะปลายลิ้นเลียซ้ำดั่งแมลงปอแตะผิวน้ำ ลมหายใจของเขาพลันกระตุกเล็กน้อย ท่าทางโง่งมดีแท้ “อย่างเช่นติ่งหู ใบหู ยอดอก มิใช่ว่าต้องปลุกเร้าเพียงเครื่องเพศเท่านั้น”



ข้าเอื้อมมือข้างหนึ่งไปหาร่างท่อนบนของคนแซ่เส้า ก่อนสะกิดปลายเล็บตัดสั้นเป็นระเบียบลงบนปุ่มนูนสีแดงจัดที่ชูชันขึ้นตามแรงตัณหา เส้าหมิงครางฮือในลำคอด้วยเสียงแผ่วเบา ดวงตาคู่นั้นฉายแววพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง หานเฉิงรุ่ยเป็นนักเรียนที่ดีนัก คนขยับปลายนิ้วเลียนแบบข้า จากนั้นจึงบีบเคล้นยอดอกอีกข้างเพื่อกระตุ้นศิษย์น้องยิ่งกว่าเดิม เค้นคลึงไปมาอยู่ได้ครู่หนึ่งพลันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้ข้าใช้ริมฝีปากหยอกเย้าใบหูของเขาเล่น ศิษย์ผู้สูงส่งจากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์คราวนี้โน้มลำตัวลงต่ำ กลีบปากหยักไล่ขบเม้มไปตามติ่งเนื้ออย่างแผ่วเบา ซ้ำยังรู้จักดูดดุนปรนเปรอ หนทางของการเข้าสู่มรรคาราคะสดใสดีแท้



ส่วนกลางร่างกายของเส้าหมิงคราวนี้ฉ่ำเยิ้มเพียงใดคงมิต้องเสียเวลาอธิบายกันต่อไปแล้ว ข้านั่งลงที่ขอบเตียงเคียงข้างกับหานเฉิงรุ่ย จับมือเขาขยับลากไล้ไปตามหน้าท้องที่มีมัดกล้ามเบาบางของร่างที่อยู่ด้านใต้ เกลี่ยปลายนิ้วหยอกล้อกับหน้าท้องและสะดือ จวบจนถึงจุดที่สำคัญที่สุดของบุรุษเพศทุกคน แรกเริ่มเด็กหนุ่มยังขยับมือกอบกุมอย่างเก้กัง แต่เมื่อคนแซ่เส้าปล่อยเสียงครวญครางเปี่ยมสุข คนพลันได้รับขวัญกำลังใจขยับมือถี่กระชั้นจนหยดน้ำตาเอ่อคลอที่หางตาอีกฝ่ายด้วยความสุขสม



“อะ อ๊า ศิษย์พี่...ข้าไม่ไหว” เสียงหวานพร่ำเรียกหาศิษย์พี่ไม่หยุด ร่างเพรียวบิดเร้าด้วยความรัญจวนใจก่อนสายธารแห่งความสุขสมจะไหลรินเต็มฝ่ามือของหานเฉิงรุ่ย ได้ปลดเปลื้องอารมณ์ตัณหาครั้งหนึ่ง เส้าหมิงคล้ายมีสติขึ้นมาเล็กน้อย แววตาจากเลื่อนลอยกลับมามีจุดหมายอีกครั้ง หากยามนี้มาถึงเวลาสำคัญ เขาจะกล่าววาจาขัดขวางอันใดคงไม่ทันแล้วกระมัง ข้าจับเข่าทั้งสองข้างของร่างที่อยู่ทางใต้แยกกว้างออกจากกัน เผยให้เห็นส่วนเร้นลับที่ช่วยบรรเทาอาการกระสันซ่านของเขาได้ดีที่สุด



“ตะ...ต้องทำสิ่งใดต่อเล่า” ตัวซื่อบื้อเหลือบมองตามรอยพับจีบซึ่งบวมแดงจากการสอดแทรกอันแสนทารุณที่ผ่านมา เส้าหมิงที่ได้ยินทั้งใบหน้าใบหูต่างขึ้นสีแดงจัด คนบิดลำตัวหวังยกสะโพกหนีท่วงท่าอันแสนน่าอาย หากถูกข้ากดรั้งให้ร่างแนบติดอยู่กับพื้นเตียงเสียก่อน เสร็จสมเพียงรอบเดียวแต่ยังมิได้รับธาตุหยางเข้าร่าง พิษที่ออกฤทธิ์อยู่จึงมิอาจนับว่าทุเลาได้



“ส่วนนี้ย่อมเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการช่วยถ่ายธาตุหยาง แรกเริ่มเจ้ายังไม่รู้จักควบคุมพลัง เพียงร่วมรักและปลดปล่อยภายในร่างเขาก็ถือว่าใช้ได้แล้ว” หลักการนี้คล้ายกับมารราตรีชาดที่สูบหยางจากเหล่าชายหนุ่มทั้งหลาย หานเฉิงรุ่ยมิได้เชี่ยวชาญด้านหยินหยางเช่นข้า หากทำอะไรมั่วซั่วย่อมเป็นอันตรายต่อผู้คนได้ “ช่องทางนี้ต้องขยับขยายให้ดีเสียก่อน หากฝืนสอดใส่เข้าไปจะสร้างความเจ็บปวดให้เขามากกว่าสุขสันต์”



หานเฉิงรุ่ยพยักหน้ารับฟังอย่างตั้งใจยิ่งนัก คนมิเคยมีประสบการณ์เรื่องนี้มาก่อน ได้พบเรือนร่างที่เปี่ยมไปด้วยความต้องการและให้ความร่วมมืออย่างดียิ่งเช่นนี้ ยิ่งทำให้รู้สึกแปลกใหม่น่าสนใจอยู่มาก ข้าอธิบายเพิ่มเติมให้เขาหัดหาขี้ผึ้งสักกระปุกเอาไว้ใช้ยามหลับนอนกับผู้อื่น ยามนี้คับขันหาสิ่งใดไม่ได้จริงๆ ก็ยังใช้หยาดน้ำที่เส้าหมิงเพิ่งปลดปล่อยมาเมื่อครู่แทนไปก่อนยังมิน่าเกลียดมากนัก



ปลายนิ้วของคนแซ่หานที่ชุ่มฉ่ำแตะกับปากทางอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันกลับมาถามข้าคล้ายเด็กน้อยผู้หนึ่ง “ผู้อาวุโส...เหตุใดเขาจึงกระตุกเช่นนั้น”



นิ้วเรียวค่อยขยับชำแรกเข้าไปตามช่องทางที่บวมแดงเล็กน้อย เรือนร่างเพรียวสั่นสะท้านเสียยิ่งกว่าเดิม คนได้แต่อ้าปากร้องครวญครางอย่างมิอาจคิดหาคำพูดอื่นใดมาพูดได้ ข้าเห็นแล้วจึงแย้มยิ้มบาง หันไปบอกหานเฉิงรุ่ยด้วยความปรานียิ่ง “ร่างกายเขายิ่งกระสันทรมานมากขึ้นแล้ว เจ้าจงช่วยคลายความปรารถนานั้นเถิด”



“นี่คล้ายดูดกลืนนิ้วข้าเสียหมดสิ้น” หานเฉิงรุ่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก ปลายนิ้วยิ่งสอดลึกเข้าไปในร่องหลืบนั้นยิ่งขึ้น มิต้องรอให้ข้าสอนสั่งเพิ่มคนก็เริ่มขยับนิ้วเสียดสีกับช่องทางนั้น จากนิ้วแรกค่อยเพิ่มจำนวนไปเรื่อยจนถึงนิ้วที่สาม เพียงไม่นานเส้าหมิงก็หวีดร้องเสียงดังขึ้น เกรงว่าศิษย์ผู้พี่ของเขาคงแตะโดนจุดกระสันภายในเสียแล้ว



“ศิษย์พี่ตรงนั้น...อย่า อื้อ! ” เสียงร้องหวานฉ่ำถึงจะเอ่ยห้ามแต่แฝงแววออดอ้อนอยู่ถึงสองส่วน ได้ยินเช่นนี้มีหรือที่ผู้คนจะหยุดมือได้ คนแซ่หานยิ่งเร่งกดกระแทกปลายนิ้วเข้ากับจุดเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนร่างกายของเส้าหมิงบิดเร้ารัญจวนใจเป็นอย่างมาก เจ้าเด็กผู้นี้ไม่ทันไรก็รู้จักรังแกผู้คนเสียแล้ว ดูหน้าตาของศิษย์น้องเจ้าบ้างเถิด ยามนี้เขาทั้งสุขสมทั้งกระวนกระวาย หากมิเร่งรีบเติมเต็มความปรารถนา มิรู้ว่าธาตุไฟจะเข้าแทรกถึงตายหรือไม่



“จากนั้นควรทำเช่นไรต่อ”



มาถึงขั้นนี้แล้วยังต้องถามอีกหรือ ข้าชักสงสัยในการเลี้ยงดูของสกุลหานมากขึ้นทุกที ข้าอายุสิบเอ็ดสิบสองก็รู้แล้วกระมังว่าเรื่องร่วมรักโรมรันบนเตียงนั้นเป็นเช่นไร



“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้างเล่า” ข้าหรี่ตามองเจ้าตัวโง่งมแซ่หานด้วยสายตาขบขัน เบื้องล่างแข็งขืนจนดุดันเนื้อผ้าเสียขนาดนั้น เขาเองคงใกล้จะหมดความอดทนแล้วกระมัง



“ข้า...ข้า...ข้า” เจ้าหนุ่มที่ยังคิดว่าตนเองบริสุทธิ์อยู่กล่าวอ้ำอึ้ง ดวงหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อคล้ายยังละอายใจท่ามากอยู่บ้าง หากปลายนิ้วกลับมิเขินอายตามผู้คน เขายังคงเสียดสีปลายนิ้วบดเบียดกับช่องทางที่มิรู้จักพอของศิษย์จากยอดเขาอสูรคำรามอย่างต่อเนื่อง กระนั้นประโยคต่อมายังกล่าวได้เหนียมอายสมดั่งสตรีในห้องหอ “ตรงนั้น...ปวดหนึบไปหมดแล้ว”



“คงรู้แล้วกระมังว่าควรทำเช่นไร”



หานเฉิงรุ่ยพยักหน้าตอบรับทั้งที่ยังเม้มริมฝีปากตีหน้าขวยเขินอยู่ คนรีบกระชากปลายนิ้วออกและปลดสายคาดเอวรวมทั้งกางเกงตัวนอกตัวในออกโยนทิ้งไปอย่างรวดเร็ว หลืบร่องรักของเส้าหมิงยิ่งกระตุกถี่กระชั้นราวกับต้องการบางสิ่งมาเติมเต็ม ดวงตายามมองข้าช่างหวานเยิ้มเปี่ยมไปด้วยตัณหา แต่สายตาที่ส่งคนแซ่หานให้กลับพบเจอความรักความหลงใหลอยู่หลายส่วน แม้ความเป็นจริงจะโหดร้ายที่ว่าภายใต้แรงราคะขอเพียงมีแท่งหยกมิว่าบุรุษคนใดคงเหมือนกัน แต่ภายในใจของเขาศิษย์พี่ต่างยอดเขาไม่ว่าอย่างไรก็ยึดครองอันดับหนึ่งเอาไว้แล้ว



“อึก...ศิษย์พี่หาน ท่าน...อ๊า” เส้าหมิงหวีดร้องเสียงหวานเมื่ออีกฝ่ายสอดแทรกส่วนปลายแก่นกายเข้าไปภายใน ศิษย์พี่หานของเขาเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น เกรงว่าใจหนึ่งคงอย่างทะนุถนอมอ่อนโยน แต่สัญชาตญาณภายในคงร้องขัดแย้งให้กระทำการรุนแรงขึ้น เม็ดเหงื่อผุดพรายตามหน้าผากและไรผมของหานเฉิงรุ่ย คนกดแทรกท่อนลำที่แข็งแกร่งเข้าไปจนเกือบสุดความยาวจากนั้นทั้งสองต่างหลุดถอนหายใจให้กับความสุขสมอันเกิดขึ้น



ตัวซื่อบื้อแซ่หานใช้สองมือจับประคองบั้นเอวของอีกฝ่ายไว้ก่อนจะเริ่มขยับกายเข้าออกข่องทางรักอย่างเนิบนาบแล้วค่อยทวีความเร็วขึ้นทุกขณะ เรียวขาทั้งสองข้างของศิษย์แซ่เส้าอ้าออกกว้างเสียจนผิดธรรมชาติ สะโพกหยัดขึ้นสูงรองรับทุกแรงกระทำของศิษย์พี่เป็นอย่างดี



“ศิษย์พี่แรงๆ อื้อ! ...แรงอีก! ” เด็กหนุ่มผู้อยู่เบื้องล่างร้องขออย่างลืมอาย สองมือจิกทึ้งผ้าปูเตียงตามอารมณ์หฤหรรษ์ที่เพิ่มขึ้นมากทุกที ได้รับขวัญกำลังใจเพียงนี้ผู้ที่เพิ่งเรียนรู้บทรักเป็นครั้งแรกก็ยิ่งได้ใจ หานเฉิงรุ่ยกระทั้นแก่นกายรุนแรงขึ้นเสียจนร่างกายของเส้าหมิงสั่นคลอน ซ้ำยังจงใจขยับถูไถกับปุ่มอ่อนไหวภายในเรียกเสียงร้องกระเส่าหาศิษย์พี่ไม่มีหยุด ใจหนึ่งข้ารู้สึกนับถือคนเป็นอย่างยิ่ง เวลานี้ยังจะมาเรียกศิษย์พี่ศิษย์น้องกันได้อีก



ก่อนที่ทั้งคู่จะดำดิ่งในห้วงอารมณ์จนไม่สามารถแยกแยะสิ่งใดออกยังมีอีกเรื่องราวหนึ่งที่ข้าสมควรช่วยเหลือพวกเขาอยู่บ้าง ข้าที่แรกเริ่มนั่งอยู่ปลายเตียงข้างกับหานเฉิงรุ่ย ได้ย้ายไปนั่งหัวเตียงเคียงข้างกับศิษย์แซ่เส้าผู้เอาแต่ร้องครางไม่เป็นภาษาแทน กวาดตามองเรือนร่างที่เต็มไปด้วยร่องรอยรักของเขาแล้วรู้สึกถอดถอนใจขึ้นมา



เส้าหมิงผู้นี้นับว่าเป็นคนจิตอ่อน จิตใจไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากนัก ถูกล่อลวงเสียหน่อยก็เตลิดไปไกลไม่หลงเหลือสติประคองตัว กลีบดอกสัตตบุษย์น้ำค้างแข็งแม้จะช่วยแก้อาการพิษราคะได้ แต่คงมิสามารถแก้ไขเรื่องที่เขาไม่มีวิชาติดตัวจนโดนผู้คนข่มเหงได้ หากเป็นแบบนี้มากเข้าสักวันต้องตกตายด้วยฝีมือมารชั่วเป็นแน่



“ยังพอมีสติบ้างหรือไม่” ข้าโน้มตัวลงไปหาเส้าหมิงพลางเอ่ยถามหยั่งเชิง คนมิตอบคำถามอันใดเพียงรั้งมือข้างหนึ่งมาประคองใบหน้าข้าก่อนยันตัวขึ้นมา โน้มใบหน้าเข้าใกล้ราวกับจะปล้นชิงจุมพิตจากข้า ผู้เชี่ยวชาญย่อมมิอาจปล่อยให้เด็กอมมือข่มเหงได้ จึงเบี่ยงหน้าเล็กน้อยให้ริมฝีปากแดงเรื่อนั้นแตะที่ข้างแก้มแทน ตัวเขาไม่เหลือสติอันใดมีแต่ความใคร่ครอบครองสมอง หากเวลานี้เป็นเวลาสมควรแก่การสอนวิชาวสันต์เริงร่ากระบวนท่าดาราหวนกลับที่สุดแล้ว แต่ใช่ว่าข้าจะไม่มีหนทางจัดการผู้คนเสียเมื่อไร



ช่องทางเบื้องหลังได้รับการเติมเต็มอย่างอิ่มเอมจากชายอันเป็นที่รัก เส้าหมิงยามนี้จึงสุขกายสุขใจปล่อยกายปล่อยใจไปกับตัณหาอารมณ์อย่างเต็มที่ ในเมื่อพูดคุยกันดีๆ ไม่ได้ ข้าย่อมต้องใช้วิธีชั่วร้ายดึงสติผู้คนกลับมา แท่งหยกของคนแซ่เส้ายามนี้ตั้งตระหง่าน ส่วนปลายยอดปรากฏหยาดน้ำแวววาวเหตุเพราะใกล้ปลดปล่อยห้วงอารมณ์อีกครั้ง ข้าเอื้อมมือไปกอบกุมแกนกายของเขาเอาไว้ แสยะยิ้มให้เขาคราวหนึ่ง จากนั้นจึงกำรอบส่วนโคนเอาไว้แน่น ใช้ปลายนิ้วบดขยี้ลงบนรูเล็กที่ปริ่มน้ำปิดกั้นไม่ให้เขาได้เสร็จสมอย่างเต็มที่



“อ๊ะ! อ๊า! ท่าน...ท่าน” ริมฝีปากแดงอ้าค้างพลางร้องเรียกข้าไม่มีหยุด ดวงตาหยดน้ำตากลมโตราวไข่มุกพรั่งหรูออกมาจากหางตาหลั่งไหลลงมาจนถึงข้างแก้ม ร่างกายบิดเร้าและสั่นสะท้านมองแล้วงดงามเย้ายวนเสียยิ่งกว่าเดิม หานเฉิงรุ่ยเห็นท่าทางทรมานอัดอั้นของศิษย์น้อง แทนที่จะรู้สึกสงสารอนาทร กลับกลายเป็นตะเกียงได้เติมน้ำมัน แท่งหยกของเขากลับยิ่งแข็งขืนใหญ่โตมากกว่าเดิม คนขยับสะโพกจ้วงแทงเข้าไปในหลืบรักจนเกิดเสียงเฉอะแฉะน่าอาย



การกระทำของหานเฉิงรุ่ยทำให้ข้าแปลกใจอยู่ไม่น้อย ที่แท้คนก็มิได้ทื่อมะลื่อจนเกินไปนัก หากแต่ยังรู้จักวิธีกลั่นแกล้งรังแกทรมานผู้คนอยู่ไม่น้อย เส้าหมิงถูกหยอกเย้ารุนแรงทั้งจุดอ่อนไหวเบื้องหน้าเบื้องหลังเช่นนี้มีหรือจะอดทนอีกต่อไปได้ อยากปลดปล่อยแทบขาดใจแต่ทำไม่ได้เช่นนี้ ต่อให้เตลิดไปแค่ไหนสติก็หวนกลับมาบ้างแล้ว



“คราวนี้ฟังรู้เรื่องแล้วใช่หรือไม่” เห็นข้าขยับยิ้มอบอุ่นบางเบา หัวคิ้วของเขายิ่งขมวดมุ่นเข้าหากัน คนแซ่เส้าพยักหน้ารับคำอย่างเสียมิได้ ข้าจึงได้ช่องจังหวะอธิบายความต่อไป “หลายวันมานี้เจ้าล้วนถูกมารชั่วสูบพลังหยางมาโดยตลอด หากมิรู้จักป้องกันตนเองบ้าง วันหน้าเจอเหตุการณ์เช่นนี้อีกคงเอาตัวรอดได้ลำบาก”



ดวงตาโง่งมคู่นั้นพลันฉายแววอำมหิตออกมาครู่หนึ่ง อาการไม่ยินยอมพร้อมใจรับเคราะห์กรรมเช่นนี้นับว่าเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเขาแล้ว เห็นเขาว่าง่ายข้าจึงโน้มตัวลงต่ำยิ่งขึ้น กดจูบที่ใบหูและไล้เลียแผ่วเบาเป็นการให้รางวัล จากนั้นจึงกระซิบถ้อยคำสอนสั่งท่าดาราหวนกับให้เขา



เส้าหมิงที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาให้ถึงกับตะลึงงันไปบ้าง ข้าแย้มยิ้มอ่อนโยนให้เขาครั้งหนึ่ง ยกมือลูบเรือนผมที่เปียกชื้นเหงื่ออีกครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงปล่อยมือออกจากการกอบกุมทรมานผู้คน คนแซ่เส้าย่อมรู้ว่าเวลานี้เหมาะสมที่สุดแล้วที่จะทดลองวิชา ขาเรียวขยับเกี่ยวกระหวัดรอบเอวสอบของหานเฉิงรุ่ย นอกจากยกสะโพกรับแรงกระทั้นรุนแรงแล้ว คนยังเริ่มหัดเกร็งร่างให้ช่องทางตอดรัดส่วนแข็งขืนที่รุกล้ำเข้ามามากขึ้น



ศิษย์จากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ครางต่ำในลำคอพร้อมสูดลมหายใจลึก ทั้งสองร่างเสียดสีอย่างล้ำลึกเพียงไม่นานสายธารก็หลั่งทะลักเข้าไปในเรือนร่างของผู้เป็นศิษย์น้องพร้อมกับธาตุหยางอันทรงพลัง เส้าหมิงดึงพลังบางส่วนเข้าไปในจุดตันเถียนเพื่อกดพิษราคะในร่าง สิ่งที่ข้าสั่งสอนเขาย่อมทำให้เขาได้รับประโยชน์จากการร่วมรักกว่าเดิม หากคราวหน้าเขาถูกกระทำชำเราอีกให้ใช้ท่าดาราหวนกลับที่ข้าปรับปรุงให้เขาโดยเฉพาะรีดไอหยางจากอีกฝ่ายเสีย เรื่องอะไรเล่าที่จะยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ผู้เดียวกันเล่า



บทรักอันแสนยาวนานบทแรกจบไป หานเฉิงรุ่ยคราวนี้ไม่เหลือยางอายอีกต่อไปแล้ว คนโน้มตัวลงไปมอบจุมพิตหวานล้ำให้กับศิษย์น้องของตน จากนั้นร่างกายเบื้องล่างก็กลับมาแข็งขืนอีกครั้ง ตัวโง่งมที่ติดใจในบทรักจึงไม่รั้งรอกระทำการต่อเนื่องในทันที เมื่อเขาถอนริมฝีปากออกมาและจดจ่อกับเพลงรักต่อ นิ้วมือเรียวของเส้าหมิงขยับเอื้อมมาปลดสายคาดเอวของช้า คนช้อนตามองซ้ำยังขยับยิ้มหวานเอาอกเอาใจ



“ผู้อาวุโสมิอึดอัดบ้างหรือ...ให้ข้าปรนนิบัติท่านดีหรือไม่”



ย่อมไม่ดีอยู่แล้ว อย่าว่าแต่จะให้ข้าดูดซับธาตุหยางเลย ร่างกายเขายามนี้เองก็ต้องการหยางมาส่งเสริมตนเองไม่ต่างกัน นอกจากนั้นชนรุ่นหลังพวกนี้ล้วนถือพรหมจรรย์ถือบริสุทธิ์ได้ไร้สาระยิ่งนัก มิรู้ว่าเหล่ยเจิ้นยวี่เองจะถือเรื่องราวพรรค์นี้ด้วยหรือไม่ หากคนมารับรู้ภายหลังว่าได้เส้าหมิงมาปรนนิบัติใช้ปากปรนเปรอให้สุขถึงสวรรค์ มิใช่คนที่เขาพึงใจอย่างไป๋เจี๋ย มิกลายเป็นปัญหาใหญ่โตหรอกหรือ



“น้ำใจเจ้าข้ารับรู้ดีแล้ว มิจำเป็นต้องตอบแทนบุญคุณข้าหรอก” ข้าลูบศีรษะเขาอย่างแผ่วเบาเหมาะสมกับตำแหน่งผู้อาวุโสอย่างยิ่ง จากนั้นจึงลุกจากเตียงมาปล่อยให้ทั้งสองจมอยู่ในห้วงราคะต่อไป คนหนุ่มพวกนี้ช่างคึกคักแข็งแรงดียิ่งนัก เมื่อวานนี้และเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนยังเพิ่งประสบเคราะห์ภัยอันตรายกันอยู่ มาถึงเวลานี้กลับกระทำการฮึกเหิมเยี่ยงม้าศึกเสียแล้ว เสียงเตียงกระทบกับพื้นไม้ดังลั่นเช่นนี้ มิรู้ว่าพรุ่งนี้ต้องหาข้อแก้ตัวกับเถ้าแก่โรงเตี๊ยมอย่างไรบ้าง



ในส่วนที่ข้าสามารถช่วยเหลือหานเฉิงรุ่ยและเส้าหมิงได้ ข้าได้ช่วยเหลือไปแล้ว จึงว่าจบสิ้นหน้าที่ของผีลามกเยี่ยอู๋จวิน ส่วนเรื่องราวรักสามเส้าหรือสี่เส้าของพวกเขาจะเป็นเช่นไรต่อไป เกรงว่าคงต้องปล่อยให้คนไปจัดการดูแลความสัมพันธ์กันเอาเอง เนื่องจากปรมาจารย์ผู้นี้ยังมีสิ่งอื่นใดต้องกระทำอีกมากมาย ซ้ำยังต้องหนีจากไป๋เจี๋ยอีก มิรู้ว่าวิธีที่คิดเอาไว้จะใช้ได้ผลเพียงใด คนสกุลไป๋นี้ช่างเป็นดาวข่มของข้าเสียจริง



สองร่างบนเตียงกระทั้นกระแทกรุนแรงเยี่ยงไรก็ช่างพวกเขาเถิด ยามนี้ข้าคงต้องพูดคุยกับเจ้าคนประหยัดวาจาเหล่ยเจิ้นยวี่สักที ข้าทรุดนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งใช้มือยันหน้าผากเอาไว้ก่อนเข้าไปในห้วงฝันของคนผู้นั้น



จากประสบการณ์เข้าฝันผู้อื่นมาหลายครั้ง ห้วงฝันมักสะท้อนตัวตนและความคิดของผู้เป็นเจ้าของ อย่างที่เคยกล่าวเอาไว้ว่าคนชั่วช้าย่อมมีห้วงฝันอันชั่วช้า คนดีงามย่อมมีความฝันที่ดีงาม แต่มิรู้ว่าเหล่ยเจิ้นยวี่เป็นคนเช่นใดกันแน่ เหตุเพราะห้วงฝันของเขาไม่มีสิ่งใดนอกจากหิมะขาวอันไกลสุดลูกหูลูกตาและต้นเหมยแดงที่ออกดอกพร่างพราวกลางหิมะ หิมะยิ่งขาวเท่าใด ดอกเหมยยิ่งแดงเท่านั้น



ห้วงฝันนี้เรียกว่าเป็นทิวทัศน์ที่งดงามอยู่ไม่น้อย แต่บรรยากาศเช่นนี้คล้ายคุ้นตาข้าอย่างบอกไม่ถูก คงคล้ายคลึงกับยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ในยามฤดูหนาวกระมัง หากข้ามิได้เข้าฝันเขาเพื่อมาชื่นชมความงามของดอกเหมยแต่อย่างใด ครั้นสอดส่องสายตาหาเจ้าของร่างกลับพบเพียงเด็กชายวัยไม่ถึงสิบปีคนหนึ่ง ร่างผอมเล็กในเสื้อผ้ามอมแมมนั่งขดอยู่กับพื้น แม้เป็นห้วงฝันที่มิอาจสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็น แต่ร่างผอมกลับสั่นระริกราวกับจะขาดใจตายได้ทุกเมื่อ



ในห้วงฝันของเขาผีมีฤทธิ์เดชเช่นข้าย่อมสามารถควบคุมเหตุการณ์บางอย่างได้ ในมือของข้าปรากฏเสื้อขนจิ้งจอกสีขาวตัวหนึ่ง พอขยับเข้าไปใกล้ห่มขนจิ้งจอกให้บนไหล่เล็ก เหล่ยเจิ้นยวี่พลันเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาไม่บ่งบอกความรู้สึก แม้ไม่ได้กล่าววาจาออกมาสักคำ แต่ท่าทางไม่ประหลาดใจอันใดที่เห็นข้า คงรับรู้ว่านี่เป็นเพียงความฝันเท่านั้น



“เจ้ารออาเจี๋ยหรือ”



อีกฝ่ายเพียงพยักหน้าตอบรับ จากนั้นเหม่อมองไปอย่างไร้จุดหมาย ท่าทางล้วนชวนให้สงสัยขึ้นมาว่าเขามีครบสามจิตเจ็ดวิญญาณ[1]หรือไม่ หรือมีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา[2]ไม่ครบจึงดูคล้ายไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึกไร้วาจาเช่นนี้ ข้าทรุดนั่งลงเคียงข้างเขาจากนั้นจึงจ้องมองใบหน้าเด็กชายที่มีเค้าคลึงคล้ายข้าด้วยสายตาครุ่นคิด ครู่หนึ่งจึงเอ่ยวาจาออกมาได้ “เจ้าชอบอาเจี๋ยใช่หรือไม่”



ดวงหน้าเหล่ยเจิ้นยวี่ที่หันกลับมาปรากฏร่องรอยตกใจเป็นอย่างยิ่งที่มีคนล่วงรู้ความลับในใจ เด็กชายก้มหน้างุดลงกับเสื้อคลุมขนจิ้งจอกจนเหลือเพียงลูกตาสีดำขลับ ข้ารออยู่ครู่หนึ่งมิเห็นเขาตอบรับสิ่งใดจึงถือว่าเขามิได้ตอบปฏิเสธ คำถามเพื่อความสมัครใจในการใช้ร่างจึงดำเนินการต่อไป



“อยากครอบครองเขาหรือไม่”



นัยน์ตาสีดำกลอกไปมาเล็กน้อยก่อนจะมองข้าอย่างเงียบงัน ครู่หนึ่งข้าเห็นอารมณ์มากมายปรากฏขึ้นในดวงตาคู่นั้นทั้งหนักใจลังเลหวาดกลัวทั้งเปี่ยมไปด้วยความหวัง รอเขานิ่งเงียบอยู่ครึ่งค่อนวัน เหล่ยเจิ้นยวี่ก็เอ่ยวาจาที่ยาวที่สุดตั้งแต่ที่ข้าได้พบกับเขาออกมา “แต่เขาชอบท่าน”



“เพียงเจ้าตอบรับมา...ข้าเยี่ยอู๋จวินผู้นี้ย่อมมีวิธีจัดการ”



ได้ยินเช่นนั้นแล้วเขาจะตอบรับเช่นไรได้



โปรดติดตามตอนต่อไป...




เชิงอรรถ
^ [1] สามจิต-เจ็ดวิญญาณ (三魂七魄) เป็นความเชื่อของเต๋าที่กล่าวถึงจิตและวิญญาณที่อยู่ในร่างของมนุษย์ หากมีครบทั้งหมดจึงจะเป็นมนุษย์ที่มีตัวตนสมบูรณ์ ไม่ปัญญาอ่อน
^ [2] อารมณ์ทั้งเจ็ดได้แก่ ยินดี โทสะ เศร้าโศก สุขสันต์ ความรัก ความชัง ความปรารถนา ปรารถนาทั้งหก หรือฉันทาทั้งหก คือจิตใจเอนเอียงเพราะรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และมโนสำนึก


ซินเอ๋อร์:
สต็อกใกล้หมดแล้วค่า เย้ จริงๆ ไม่ค่อยได้เขียนฉากเรทเท่าไร เรื่องนี้เรื่องเดียวมากเท่ากับทุกเรื่องที่เคยเขียนรวมกันเลยค่ะ หลายปีมานี้เคยแต่เขียนอ่านเล่นกับเพื่อน พอเอามาลงเว็บก็มีหวั่นๆ + เขินเหมือนกัน 5555

ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกคำชมและทุกท่านที่ติดตามนะคะ พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 13 คห.41 [P.2, 12-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-10-2019 19:14:34
 :L2: :pig4: :L2:

 o13
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 14 คห.43 [P.2, 12-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 15-10-2019 01:26:17
บทที่ 14 ผลกระทบจากอารมณ์ผู้คนช่างน่ากลัวยิ่งนัก



ปล่อยเวลาเลยผ่านเสียจนท้องฟ้ามืดพระอาทิตย์ตกดิน เมื่อกลับไปยังห้องพักที่ได้ตระเตรียมเอาไว้ให้กับไผ่หยกงามแห่งสกุลไป๋ กลับพบว่าคนมาถึงเสียแล้ว ซ้ำยังทิ้งตัวนอนคว่ำบนเตียงราวหมดเรี่ยวแรง ไม่สนใจแม้แต่จะถอดเสื้อคลุมตัวนอกหรือแกะกวานรัดผมออกแต่อย่างใด กระทั่งรองเท้าก็ยังไม่มีแก่ใจจะถอดออก ยังดีที่ว่ากระบี่คู่กายนามธารน้ำแข็งยังวางอยู่บนโต๊ะ มิได้ถูกทิ้งขว้างวางบนพื้นแต่อย่างใด



คนผู้นี้มีนิสัยเช่นนี้เอง...เป็นนิสัยที่ได้รับการสืบทอดโดยตรงมาจากแม่นางแซ่เจิ้งหรืออาจารย์ของพวกเรา หากเกิดความรู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาจนไม่อยากทำอะไร มักทิ้งตัวลงบนเตียงโดยไม่สนใจเรื่องราวอื่นใดอีกต่อไปแล้ว หลับก็ดี ไม่หลับก็ดี ขอเพียงปล่อยให้นอนเกลือกกลิ้งสักพักไม่นานจะฟื้นแรงขึ้นมาเอง



เห็นเขาเอนกายนอนทั้งที่ยังแต่งตัวเต็มยศก็รู้สึกว่าคงนอนไม่สบายอยู่บ้าง ข้าปิดประตูถอดเสื้อคลุมวางข้าวของอย่างแผ่วเบาก่อนเดินไปที่ปลายเตียงเพื่อปลดรองเท้าออกให้ จากนั้นนั่งลงเคียงข้างใช้สองแขนพลิกตัวเขาให้หงายขึ้นถอดเสื้อนอกและกวานบนเรือนผมออกไป ปรนนิบัติดูแลผู้คนเหมือนกับว่าข้าทำสิ่งนี้เป็นประจำมาเนิ่นนานหลายปี



“ขอบใจมาก ลำบากเจ้าแล้ว” ไป๋เจี๋ยพึมพำอย่างแผ่วเบาทั้งที่สองตายังคงปิดสนิท ท่าทางคนปล่อยตัวผ่อนคลายมิได้วางท่าปั้นปึ่งเย็นชาเหมือนยามปรกติ พบเจอกันคราวนี้ข้ายังมิได้จับจ้องมองเขาให้ดี คนผู้นี้อายุอานามเด็กกว่าข้าไม่กี่ปี แต่ยังดูเยาว์วัยอยู่มาก ดวงหน้างดงามช่างชวนให้คนหวั่นไหวดีแท้ มิรู้ว่าด้วยความรู้สึกในใจเหล่ยเจิ้นยวี่หรือสิ่งใด แพขนตายาวนั้นทำให้ในหัวใจคันยุบยิบเสียจนอดยื่นนิ้วไปลูบเปลือกตาของเขาไม่ได้ เรียวคิ้วกระตุกเข้าหากันคล้ายรำคาญใจจากสัมผัสเบาบาง ขนตาหนาดั่งปีกผีเสื้อสั่นไหวเล็กน้อย “เด็กดี...อย่าซน”



หากเป็นเหล่ยเจิ้นยวี่ตัวจริงได้ยินอาจารย์กล่าวเช่นนั้นย่อมต้องหยุดซุกซน หากเป็นเหล่ยเจิ้นยวี่ตัวจริงที่กำลังอยู่ในห้วงรักอย่างมิอาจถอนตัวได้ยินเช่นนั้นย่อมมิอาจหยุดมือได้ ข้าลากปลายนิ้วจากเปลือกตาบางไปยังหางตาของคนสกุลไป๋คล้ายความทะนุถนอมเป็นอย่างยิ่ง ไล้ท้องนิ้วไปจนถึงข้างแก้มคนก็ลืมตาขึ้นมองด้วยความเกียจคร้าน นัยน์ตาหงส์ปรากฏร่องรอยความปรานีที่เขาไม่เคยมีให้ข้าเลยสักนิด



“ซุกซนใหญ่แล้ว” เสียงนุ่มทุ้มแฝงไปด้วยความขบขัน ไป๋เจี๋ยจ้องมองใบหน้าของร่างนี้อยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามในสิ่งที่ไม่ได้เกี่ยวกับเหล่ยเจิ้นยวี่เลยสักนิด “เยี่ยอู๋จวินเล่า”



คำถามนี้ข้าย่อมเตรียมคำตอบเอาไว้อยู่แล้ว สิ่งที่ออกจากปากไปจึงสั้นกระชับประหยัดคำพูดได้สมกับเป็นคนแซ่เหล่ยอย่างยิ่ง “เจดีย์”



ไผ่หยกสกุลไป๋พยักหน้ารับคำก่อนปิดเปลือกตาลงอีกครั้งทั้งที่ยังเอนหลังพิงลำตัวข้าอยู่ ร่องรอยความเหนื่อยล้าบนใบหน้าจางหายไปบ้างแล้ว แต่คนยังเลือกพักสายตามิสนใจสิ่งอื่นใดต่อ เห็นท่าทางผ่อนคลายของเขาจิตใจข้าก็รู้สึกอ่อนยวบ อดลูบผิวแก้มเนียนละเอียดดั่งเนื้อหยกชั้นดีอีกหลายครั้งไม่ได้



ทุกคราที่ข้ายึดครองร่างผู้อื่นมักสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างจากผู้เป็นเจ้าของร่างอยู่เสมอ เพียงไม่กี่ชั่วยามที่สิงร่างของเหล่ยเจิ้นยวี่ สิ่งที่ข้าสัมผัสได้มีเพียงความรักและความห่วงใยอันมีต่อผู้ถือศักดิ์เป็นอาจารย์อยู่เต็มหัวใจ ความรู้สึกที่ชัดเจนรุนแรงคล้ายทำให้ภายในหัวใจข้าได้เติมเต็มสิ่งหนึ่ง...สิ่งที่ข้ามิอาจสัมผัสถึงได้มานานหลายปี



แม้ว่าแท้จริงแล้วใจของข้าจะไม่ได้มอบความรักให้ใครเลยสักคน หากที่ผ่านมามิว่าบุพเพน้ำค้างหรือยึดครองร่างใคร เรื่องแสดงละครเสแสร้งทำเป็นรัก ข้าเก่งกาจเสียยิ่งกว่าใคร แต่คราวนี้กลับไม่เหมือนการแสดงแกล้งทำ ยามข้ามองคนสกุลไป๋ในใจมีเพียงอยากให้เขามีความสุข มิว่าสิ่งใดที่ข้าสามารถทำให้เขาสุขสำราญปลอดภัยใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มได้ตลอดไป เยี่ยอู๋จวินผู้นี้ย่อมยอมทำทุกหนทาง



การสิงร่างคนคลั่งรักเหล่ยเจิ้นยวี่เกรงว่าคงส่งผลกระทบต่อข้าไม่น้อย กระทั่งสายตายามเหลือบมองอีกฝ่ายยังอ่อนแสงอ่อนโยนจนตนเองยังตกใจ ข้าสอดแขนโอบรั้งเอวสอบกระชับร่างของเขาเข้ามาตระกองกอดจากด้านหลัง สัมผัสใกล้ชิดเกิดศิษย์อาจารย์ทำให้ร่างในอ้อมแขนแข็งทื่อไปบ้าง ไป๋เจี๋ยเปิดเปลือกขึ้นเหลือบมองข้าเหมือนไม่เข้าใจสถานการณ์เท่าใดนัก



ชีวิตนี้ข้าเยี่ยอู๋จวินโกหกหน้าตายเพียงใดก็มิเคยหลบตาผู้ใด คราวนี้ความรู้สึกเจ็บแปลบแปลกประหลาดในใจกลับทำให้ข้ามิอาจสบตากับไป๋เจี๋ยได้ ข้าเกยคางกับบ่าลาดใช้ปลายจมูกคลอเคลียไปตามลำคอระหง ก่อนที่ริมฝีปากจะแตะกับตำแหน่งหลังใบหู กลิ่นไผ่อ่อนๆ จากร่างกายเขาทำให้จิตใจสงบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถึงเวลานี้แล้วต่อให้ในใจจะมีสิบหมื่นวาจาเพียงใด ถ้อยคำที่สมควรพูดก็ควรพูดออกไปได้แล้ว



“เป็นข้ามิได้หรือ...” น้ำเสียงที่คล้ายคลึงกับข้าถึงเก้าส่วนกล่าวออกไปแผ่วเบาราวกับลมสายหนึ่งที่พัดผ่านเข้ามาและพัดจากไปด้วยความรวดเร็ว ไป๋เจี๋ยมีตบะสูงส่งเพียงนั้นเสียงกระซิบข้างหูใกล้เพียงนี้มีหรือที่เขาจะไม่ได้ยิน ร่างกายที่แข็งทื่ออยู่แล้วคราวนี้ยิ่งแข็งทื่อเสียยิ่งกว่าเดิม ข้าแสร้งทำเป็นปล่อยให้ผู้คนได้ใช้เวลาคิดทบทวนบางสิ่งในใจ หากแต่กดจูบกับเรือนผมดำขลับนุ่มนวลราวม่านน้ำตกแสดงความรักอันท่วมท้น การกระทำเช่นนี้ย่อมทำให้คนใจสับสนยิ่งขึ้น



ภายในห้องเหลือเพียงความเงียบงันจนได้ยินเสียงหายใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นไป๋เจี๋ยวางมือบนหลังมือของข้า คนมิได้มีอาการปัดป้องหลีกหนีจากอ้อมกอดของเหล่ยเจิ้นยวี่แต่อย่างใด หากกลับถอนหายใจขึ้นมาครั้งหนึ่ง ปลายนิ้วเรียวจับฝ่ามือข้าหงายออกแล้วลูบไล่แผ่วเบา



“นึกเปรียบเทียบตนเองกับเขาอยู่หรือ” น้ำเสียงของคนสกุลไป๋มีแววถอดถอนใจอยู่หลายส่วน คนหันกายกลับมาหาข้าแล้วยกมือขึ้นเสยเส้นผมที่ปรกหน้าของเหล่ยเจิ้นยวี่ด้วยความอ่อนโยนเหมือนเช่นทุกครา “เจ้าคือเจ้า เขาคือเขา เหตุใดต้องนึกคิดในสิ่งที่มิควรคิด”



มิต้องบีบเค้นอารมณ์แต่ประการใด ความรู้สึกรักฝังลึกของเหล่ยเจิ้นยวี่ทำให้หยาดน้ำตาสายหนึ่งปรากฏที่หางตา เห็นดังนั้นไป๋เจี๋ยย่อมตะลึงลานไปไม่น้อย เขายกมือขึ้นช่วยเช็ดน้ำตาที่ข้างแก้มราวกับต้องการปลอบใจเด็กน้อย ข้าใช้จังหวะนั้นคว้ามือของเขาเอาไว้ แนบริมฝีปากจูบไล่ไปตามข้อนิ้วขาวผ่องจนถึงข้อมือขาว จากนั้นเอ่ยถามด้วยถ้อยคำที่คล้ายคลึงเดิมเกือบแทบทุกคำ “...ชอบข้ามิได้หรือ”



ริมฝีปากบางแดงระเรื่อของไป๋เจี๋ยเปิดขึ้นคล้ายทั้งอยากและไม่อยากเอื้อนเอ่ยวาจาสิ่งใด ดวงตาหงส์แสนงดงามเกิดรอยระลอกคลื่นสั่นไหวเสียยิ่งกว่าทุกครา ก่อนที่คนจะว่ากล่าวอันใดออกมา ข้าก็แนบจูบลงไปบนกลีบปากนั้นอย่างแผ่วเบา แล้วค่อยเริ่มขยับริมฝีปากแทะเล็มหนักหน่วงขึ้นทุกขณะ เห็นคนมิได้ผลักออกหรือขัดขืนจึงถือโอกาสกดสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากร้อนกวาดเลียสำรวจ ซุกซนได้ไม่นานปลายลิ้นร้อนของเขาก็เริ่มขยับตอบโต้เกี่ยวพันกับข้าด้วยความนิ่มนวลเป็นอย่างยิ่ง



จุมพิตคราวนี้มีได้เร่าร้อนรุนแรงเหมือนคราวที่ไป๋เจี๋ยตกอยู่ใต้มนต์สะกดของมารทิวาม่วง หากแต่อ่อนหวานเหลือคณา เวลานี้ไผ่หยกงามผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องแห่งโลกผู้บำเพ็ญเพียรกระหวัดปลายลิ้นตอบสนองข้าในแทบทุกการเคลื่อนไหว เขาทำตัวน่ารักถึงเพียงนี้ ข้าจึงจงใจขบเม้มริมฝีปากอีกฝ่ายหนักๆ พอได้ยินเสียงร้องประท้วงในลำคอก็รู้สึกขบขันขึ้นมาบ้างแล้ว ยามถอนจูบออกมาเห็นมุมปากคนงามมีหยดน้ำวาวใสทำเอาข้าหัวใจกระตุกอีกครั้ง อดขยับเข้าไปจูบซับตำแหน่งนั้นซ้ำอีกไม่ได้



“พอใจแล้วกระมัง” คนสกุลไป๋หอบหายใจเบาๆ กลีบปากบางทั้งแดงก่ำทั้งชุ่มฉ่ำจากรสจุมพิตเมื่อครู่นี้ นัยน์ตายามที่เขามองข้ายังคงแววตาหวานเยิ้ม เขาเป็นเช่นนี้ข้าจะตอบสิ่งใดได้เล่า



“ไม่พอ...” กล่าวจบข้าพลันประกบจูบทาบทับลงบนตำแหน่งเดิม แม้มิได้สอดแทรกปลายลิ้นเข้าไป แต่ยังแนบจูบคลอเคลียซ้ำดูดเม้มกลีบปากบางเล่นมิห่าง เป็นเหล่ยเจิ้นยวี่ดีอยู่อย่างหนึ่งที่สามารถพูดจาแสดงอารมณ์ความรู้สึกได้สั้นง่ายกระชับไม่ต้องพูดมากไม่ต้องตีความ ครู่หนึ่งความรู้สึกต้องการครอบครองทั้งกายทั้งใจคนสกุลไป๋พลันเกิดขึ้นในห้วงคิด มือทั้งสองข้างของข้าช่างขยับได้รวดเร็วตามใจคิดดีแท้ ยังมิทันผละริมฝีปากออกอีกครั้ง สายคาดเอวสีเขียวอ่อนก็หลุดร่วงลงข้างเตียง สาบเสื้อเปิดอ้าเสียจนเห็นแนวกระดูกไหปลาร้าและแผ่นอกขาวราวหิมะ



เกี่ยวปลายลิ้นพัวพันอยู่อีกครู่ เสื้อผ้าคนคราวนี้ก็ไม่เหลือติดกายแล้ว เห็นคนเคลิบเคลิ้มรับตอบแต่โดยดี ใจหนึ่งเกิดความคิดขึ้นมาว่าเขาคงมิใจให้เหล่ยเจิ้นยวี่อยู่บ้าง หากเปลี่ยนเป็นข้าคงโดนแส้ฟาดจนหมดสภาพไปแล้วกระมัง ถึงเวลานี้แล้วเรื่องไร้สาระพรรค์นี้มิควรคิดให้เปลืองสมองอีกต่อไป ปลดปล่อยอารมณ์ไปตามใจมิดีกว่าหรือ ครั้นละจูบออกมาได้ ข้าเริ่มลากริมฝีปากพรมจูบไปตามผิวขาวเนียนสมกับเป็นคนสกุลไป๋ จากลำคอไล่จูบลงต่ำไปจนถึงหน้าอกราบ ฉกปลายลิ้นหยอกล้อปุ่มนูนสีหวานบนแผ่นอก เห็นร่างกายที่สะท้านขึ้นมาเล็กน้อยและเสียงครางต่ำเบาๆ จึงอดแย้มยิ้มออกมาไม่ได้



ข้าขยับตัวพลิกให้แผ่นหลังของผู้อื่นแนบชิดติดกับพื้นเตียง ลิ้มรสผลอิงเถาแสนหวานทั้งคู่จนพอใจแล้วค่อยไล่ริมฝีปากขบเม้มทิ้งรอยรักตามหน้าท้องขาว ปลายนิ้วลากซุกซนไปจนถึงปากทางด้านหลัง อีกฝ่ายคงห่างหายจากเรื่องพรรค์นี้ถือตัวเป็นดอกบัวขาวบนยอดดอยอยู่สิบแปดปีถึงได้คับแน่นราวไม่เคยมีใครแตะต้องส่วนนี้มาก่อน หากฝืนแทรกกายสอดใส่เข้าไปคงเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย



ทั้งสมองของข้าในยามนี้มีแต่พร่ำบอกให้ทะนุถนอมเขาให้ถึงที่สุด ร่างเหล่ยเจิ้นยวี่ถดลงต่ำยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับสองมือข้าที่แยกเข่าของเขาออกจากกัน ก่อนคนจะร้องประท้วงอันใด ข้าก็แนบริมฝีปากไปกับรอยพับจีบที่ปิดสนิทเสียแล้ว จากจูบที่แสนแผ่วเบากลายเป็นปลายลิ้นอันสอดเข้าไปจนสุดความยาวเพื่อไล้เลียให้น้ำลายตนช่วยหล่อลื่นช่องทางคับแคบได้มากที่สุด



“ฮึก...อื้อ...! ” ไป๋เจี๋ยจะทำสิ่งใดได้นอกจากหวีดร้องเสียงเบาจากความซ่านเสียว สองมือดึงรั้งผ้าปูเตียงเสียจนยับยู่ยี่ ท่าทางน่ารักถึงเพียงนี้ ข้าตกรางวัลเป็นการขยับลิ้นสอดแทรกเข้าไปด้วยจังหวะและสัมผัสที่หนักหน่วงยิ่งขึ้น รอจนความคับแน่นเริ่มคลายตัวจึงกดชำนิ้วตนเข้าไปภายใน เวลาเลยผ่านมาสิบแปดปีข้ายังจดจำได้ดีว่าส่วนอ่อนไหวของเขาอยู่ที่ใด เพียงแตะสัมผัสแผ่วเบา ร่างเพรียวบางพลันกระตุกสั่นเทาด้วยความกระสันซ่านเต็มที



เตรียมพร้อมมาถึงตอนนี้ ผีลามกเช่นข้าก็อดรนทนไม่ไหวเข้าบ้างแล้ว ข้าประคองเอวเขาไว้เดี๋ยวมือข้างหนึ่ง จ่อส่วนแข็งขืนของตนกดสอดส่วนบนเข้าไปอย่างเชื่องช้า กระทั่งผนังอ่อนกลืนกินเข้าไปจนหมด อีกฝ่ายเม้มริมฝีปากลมหายใจกระตุกคล้ายอึดอัดไม่น้อย เวลานี้ข้าใจเย็นเป็นอย่างยิ่ง ได้แต่แช่กายค้างเอาไว้รอจนคนคุ้นชิน พอช่องทางหดเกร็งน้อยลงพร้อมเปิดรับสิ่งแปลกปลอมที่รุกล้ำจึงเริ่มขยับกายเข้าออกเป็นจังหวะเชื่องช้า แต่กดสัมผัสหนักหน่วงเพื่อแสดงความรักใคร่และความเป็นเจ้าของมากขึ้นทุกที



บดเบียดกายเนิบนาบนิ่มนวลอยู่พักหนึ่ง คงไม่เพียงพอต่อความปรารถนาที่เพิ่มพูนขึ้นของอีกฝ่าย ไป๋เจี๋ยสอดแขนคล้องรอบลำคอข้า ปลายนิ้วจิกเข้าไปในแผ่นหลังลากขูดเป็นรอยเล็บในยามที่ข้ากลั่นแกล้งเสียดสีจุดกระสันภายในซ้ำแล้วซ้ำอีก ระหว่างที่ข้าขบเม้มไล่เลียติ่งหูขาวเล่นก็ได้ยินเสียงเรียกร้องแผ่วเบาจากคนเบื้องล่าง “อืม..เร็วหน่อยเถิด”



ร่างกายส่วนล่างที่เชื่อมประสานจากเชื่องช้าแผ่วเบากลายเป็นสัมผัสหนักหน่วงรุนแรงขึ้นจากการกระตุ้นของมารน้อยสกุลไป๋ ช่องทางที่อ่อนนิ่มทั้งร้อนทั้งคับแน่นราวกับเฝ้ารอการเติมเต็มเช่นนี้มานานแสนนาน



การสานสัมพันธ์บนเตียงเช่นนี้ย่อมมิใช่ครั้งแรกระหว่างเราทั้งสอง หากปีนั้นเขายังเด็กจัดอายุเพียงไม่เท่าไรจึงยังเหนียมอายอยู่ไม่น้อย มาคราวนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว รสรักส่วนที่อ่อนหวานกลายเป็นหวานซึ้งเสียยิ่งกว่าเดิม รสรักส่วนที่เรียบง่ายอ่อนโยนกลับกลายเป็นเผ็ดร้อนขึ้นมา



สองแขนของไป๋เจี๋ยโอบรอบลำคอของข้าเอาไว้ เช่นเดียวกับเรียวขาที่กระหวัดรัดรอบเอว ผนังอ่อนอันแสนเร่าร้อนภายในกระตุกตอดรัดส่วนที่รุกล้ำเข้าไปราวกับจะดูดกลืนให้หมดสิ้น สะโพกงามยกขึ้นสวนทุกจังหวะที่ข้าขยับกายเสียดสี กลีบปากบางอ้าออกเล็กน้อยพลางครวญครางแผ่วเบาคล้ายสุขสมเป็นอย่างยิ่ง...รสชาติของไผ่หยกผู้นี้แม้ไม่ดุดันเผ็ดร้อนเหมือนดั่งมารราตรีชาด หากอากัปกิริยาทุกสัมผัสที่เขาตอบสนองนับว่ายอดเยี่ยมล้ำเลิศจนหาใครเทียบได้ยากทีเดียว



ร่างเพรียวขยับขึ้นมานั่งเกยบนหน้าขาของข้า จากนั้นไผ่หยกผู้ล่อลวงผู้คนได้เก่งไม่น้อยหน้าใครก็เริ่มเป็นฝ่ายขยับสะโพกควบขี่ได้อย่างงดงามราวแม่ทัพใหญ่ควบอาชาขาวออกสู้รบ นัยน์ตาหงส์เป็นประกายแวววาวดั่งแสงดารายามจันทร์ดับ เพียงไม่นานสายธารแห่งความปรารถนาก็หลั่งรินเข้าไปในหลืบรักอันแสนอุ่นร้อน กลีบปากแดงบวมเจ่อเปิดออกเพื่อหอบหายใจเบาๆ มองแล้วชวนเย้ายวนใจอย่างบอกไม่ถูก



ครั้นสุขสมสบายกายกันทั้งคู่ บทรักได้ผ่านไปแล้วถึงสองครั้งสองครา ข้าพลันคิดได้ว่าผู้อื่นเหน็ดเหนื่อยมาไม่น้อย เวลานี้ควรหยุดทรมานผู้คนได้แล้ว อีกฝ่ายคงมีความคิดไม่ต่างกัน ร่างเพรียวบางเอนกายลงนอนด้วยความผ่อนคลาย ข้าขยับแขนไปโอบรอบเอวสอบ รั้งให้แผ่นหลังเปลือยเปล่าของไปเจี๋ยแนบชิดกับลำตัวตนเองเอาไว้



นอนกอดก่ายเขาอยู่ครึ่งค่อนคืนจวบจนฟ้าเริ่มสางแม้รู้สึกอิ่มเอมอบอุ่นใจเพียงใดก็คิดว่าควรจะไปได้สักที จึงแนบจูบที่เรือนผมนุ่มลื่นราวเส้นไหมเป็นครั้งสุดท้ายด้วยความรู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่ไม่น้อย ถอนหายใจได้ครั้งหนึ่งอีกฝ่ายกลับรู้ตัวเสียก่อน



“จะไปแล้วหรือ” คนงามสกุลไป๋ขยับตัวเงยหน้ามอง ผ้าห่มที่คลุมร่างเอาไว้ไหลลงเบื้องล่างจนเผยให้เห็นไหล่ขาวกลมมนที่มีรอยรักเบาบาง ข้าส่ายหน้าแผ่วเบาแล้วเอื้อมมือไปรั้งผ้าห่มคืนให้เขาด้วยความทะนุถนอม จากที่จะออกจากร่างเหล่ยเจิ้นยวี่จึงรู้สึกลังเลอยู่บ้าง นึกไม่ถึงว่าไป๋เจี๋ยกลับลุกตัวขึ้นนั่งขยับยิ้มบางพร้อมกับมองตรงมายังข้า



“แผนการเป็นอย่างไรต่อเยี่ยอู๋จวิน ใช้ร่างลูกศิษย์มาหลับนอนร่วมรักให้ข้าตายใจ แล้วจะหนีออกไปอย่างไรเล่า” ริมฝีปากบางกล่าวเรื่องราวออกมาได้เรียบเฉยธรรมดายิ่งนัก คนยกมือขึ้นแตะที่ข้างแก้มของข้าอย่างแผ่วเบาแววตาเต็มไปด้วยความรู้ทัน “คิดหรือว่าข้าจะไม่รู้ว่าเป็นท่านตั้งแต่แรกเริ่ม”



ปรมาจารย์วังวสันต์ผู้นี้ช่างโง่งมดีแท้ ผู้อื่นชอบข้ามาหลายปีไหนเลยจะแยกแยะความแตกต่างไม่ออก นึกไปแล้วก็ถอดถอนใจอยู่ไม่น้อย วันเวลาเลยผ่านมาสิบแปดปีแต่คนเบื้องหน้ายังคงฝังใจลืมข้าไม่ลง กระทั่งคนข้างกายที่แอบรักเขาอยู่เขายังไม่แยแส ข้าที่เกลียดเรื่องราวรักสามเส้าบัดซบเสียยิ่งกว่าสิ่งใด รู้ตัวอีกทีตนองก็เข้ามาอยู่ในวังวนนี้เสียแล้ว



“อาเจี๋ย...เหล่ยเจิ้นยวี่รักเจ้าจนหมดใจถึงเพียงนั้น ทั้งยังยอมเป็นตายเพื่อเจ้า หน้าตารูปร่างหรือก็คล้ายคลึงข้าจนแทบทุกส่วน เจ้าเลือกเขามิดีกว่าหรือ” พูดมาถึงตอนนี้แววตาของคนสกุลไป๋ก็เกิดระลอกคลื่นมากมาย ข้ายิ่งใช้โอกาสว่ากล่าวให้เขาตัดใจจากข้ายิ่งกว่าเดิม “อย่าได้ผูกใจไปกับคนเช่นข้าเลย ยามนี้ข้าเป็นเพียงผีวิญญาณ วันหน้าอาจเป็นอ๋องผีอาจเป็นมารร้าย ย่อมมิอาจร่วมมรรคาเซียนกับเจ้าได้”



“เขาย่อมเป็นเขา ท่านย่อมเป็นท่าน ใครแทนใครได้หรือ” ไป๋เจี๋ยหัวเราะเบาแต่แววตาไม่มีร่องรอยขบขันอยู่เพียงส่วน คนเลือกไม่ตอบโต้หลายประโยคที่ข้าพูดไป หากแต่กล่าวถึงเรื่องที่ขุ่นข้องในใจแทน “แต่ไหนแต่ไรทั้งหมดล้วนเป็นเพียงการฝึกวิชานอกรีตของท่านเท่านั้น ที่รั้งอยู่บนโลกนี้คงเพราะห่วงว่าตนเองฝึกวิชาไม่สำเร็จกระมัง”



ความเป็นจริงที่ทิ่มแทงทำให้ทั้งข้าและเขาต่างนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่นานไป๋เจี๋ยก็เป็นฝ่ายเอ่ยวาจาขึ้นมาก่อน เขาเรียกข้าด้วยถ้อยคำเดิมเหมือนเมื่อปีนั้น น้ำเสียงแฝงรอยร้าวรานจนปิดไม่มิด



“อู๋เกอ...ที่ผ่านมาใจของท่านเคยมีข้าบ้างหรือไม่”



คำถามนี้ข้ามิอาจตอบเขาได้ชัดถ้อยชัดคำ ได้แต่หลุบตาลงต่ำ ภายในใจพร่ำบอกว่าความรักที่มีให้เขามิอาจถอดถอน หากความรู้สึกนี้คล้ายจริงคล้ายลวงตา เกรงว่าจะเป็นเพียงความรักอันท่วมท้นของเหล่ยเจิ้นยวี่ที่มีต่ออาจารย์ จนทำให้ผีบัดซบที่มิรู้จักความรักเช่นข้าพาลรู้สึกเช่นนั้นไปด้วย “เวลานั้นรู้สึกเช่นไรยากจะพูดได้ แต่เวลานี้กลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นแล้ว”



ไป๋เจี๋ยแค่นหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง ขอบตาแดงก่ำหากไม่ปรากฏร่องรอยน้ำตาแม้สักหยด นัยน์ตาดำขลับฉายแววมาดมั่นคล้ายตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ประโยคถัดมาพูดออกมาได้อย่างเข้มแข็งยิ่งนัก “หากท่านจะไปก็ไปเถิด หนีไปให้ไกล อย่าให้ข้าหาท่านเจอ”



ริมฝีปากบางคลี่ออกเป็นรอยยิ้มงดงามอย่างยิ่ง “หากพบเจอกันคราวหน้าข้าย่อมมิอาจปล่อยท่านไปได้อีก”



กล่าวจบไผ่หยกแห่งสกุลไป๋ซัดฝ่ามือใส่ข้าฝ่ามือหนึ่ง ฝ่ามือนี้มิใช่พลังรุนแรงร้ายกาจ แต่เป็นลมสายหนึ่งที่พัดกระโชกแรงจนวิญญาณข้าหลุดจากร่างของเหล่ยเจิ้นยวี่ ซ้ำยังกระเด็นล่องลอยไปไกลนับร้อยลี้ ร่างวิญญาณทะลุผ่านฝาบ้านของใครไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร หากสมองยังคงครุ่นคิดเรื่องราวหนึ่งอยู่ในใจ เรื่องราวที่ข้ามักปล่อยเลยผ่านซ้ำยังมิเคยลงสำรวจความรู้สึกของตนเองเลยสักนิด



ความรู้สึกปีนั้นเป็นเช่นไร ความรู้สึกปีนี้เป็นเช่นไร ข้ายังตอบไม่ได้แล้วใครเล่าจะตอบได้...



โปรดติดตามตอนต่อไป...



*****


ซินเอ๋อร์:

ตอนนี้เขียนด้วยความรู้สึกเหมือนกินน้ำตาลไหม้ยังไงพิกลค่ะ หวานๆ ขมๆ จบตอนแบบนี้อย่าเพิ่งปารองเท้าใส่ซินเอ๋อร์น้าาาา เรื่องราวของเยี่ยอู๋จวิน ไป๋เจี๋ย และเหล่ยเจิ้นยวี่จะเป็นยังไงต่อ ต้องติดตามกันต่อไปค่ะะ

ขอบคุณทุกท่านที่ให้กำลังใจจริงๆ รู้สึกเขียนเรื่องนี้ออกมาได้สนุกมากๆ เลยค่ะ พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 14 คห.43 [P.2, 12-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 15-10-2019 08:59:07
รักสามเส้า
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 14 คห.43 [P.2, 14-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: nizxx ที่ 16-10-2019 15:31:40
พี่เยี่ยเป็นปรมาจารย์ลามกดีแท้ ไปสอนสั่งข้างเตียงไปเลยจ้ะ จุกๆ ดูอีพี่ไม่ใช่คนที่จะหื่นกามนะ แต่ประมาณว่าที่ต้องทีอะไรกับใครก็เพื่อฝึกวิชาเท่านั้น(หรอ) พี่เยี่ยนังก็รู้สึกกับน้องไป๋อยู่แหละ ลึกๆก็สับสนว่าที่รู้สึกรักขนาดนี้เป็นเพรัตัวเองหรือร่างของศิษย์เหล่ย แต่พี่เยี่ยพยายามคิดในมุมมองวิญญาณ จะมาครองรักกับน้องไป๋มันไม่ใช่เรื่องง่าย มันน่าสงสารไปหมด พี่เยี่ยนังก็รู้สึกแหละแต่แค่ไม่รู้ว่ารู้สึกไปแค่ไหน เป็นผีที่ไม่หมดห่วงที่แท้ น้องไป๋คือยอมรับไปเลยว่ายังจมอยู่ในห้วงวังวนเดิมๆต่อมห้เขาจะใจร้ายยังไงน้องไป๋ก็ยังคงรัก ถึงขั้นเก็บเอาคนที่หน้าตาคล้ายคลึงคนรักเก่ามาเลี้ยง งี้จะให้คิดยังไง ส่วนศิษย์เหล่ยนี่เหมือนลูกปิงปองเลย แค่เพราะหน้าคล้ายพี่เยี่ย แค่เพราะใกล้น้องไป๋แล้วก็มีความรู้สึกดีๆพี่เยี่ยเลยดึงน้องมาใช้ สงสารอะ ไม่ผิดที่น้องไป๋อาจจะรู้สึกอะไรกับศิษย์บ้าง แต่จริงๆก็รู้อยู่ที่มาไกลถึงขั้นนี้เพราะในร่างมีพี่เยี่ย มันเส้าอะไรเบอร์นี้นะ ศิษย์เหล่ยเหมียนโดนหลอกใช้ความรู้สึก หลอกใช้ร่างกาย กอดๆนะรู้ก
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 14 คห.43 [P.2, 14-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Frankdar ที่ 17-10-2019 00:35:20
สงสารไป๋เจี๋ย นี่จิ้นเป็นหน้าอี้ป๋อยิ่งอิน  นางคงรักของนางมาก รักมากเจ็บมาก คนพี่ก็ไม่รักใครเลย นอกจากรักตัวเอง จะมาคิดได้ตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วเนาะ   :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 15 คห.47 [P.2, 19-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 19-10-2019 00:45:33
บทที่ 15 ความรู้สึกลึกซึ้งอันแสนพูดยากเมื่อปีนั้น (1)



เรื่องราวในปีนั้นเป็นเช่นไร คงต้องเล่าย้อนความตั้งแต่เมื่อยี่สิบเอ็ดปีก่อน



แรกเริ่มข้ามิได้แตกต่างจากคุณชายสกุลใหญ่คนอื่นแต่อย่างใด แม้เป็นลูกภรรยารองมีบิดาไม่ได้ความ แต่มารดาพึ่งพาได้ ซ้ำยังเป็นบุตรชายคนโต เรียกได้ว่าชีวิตสะดวกสบายอยู่ไม่น้อย จนกระทั่งอายุสิบสามจึงได้ออกจากบ้านเพื่อเข้าร่วมสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์เพื่อหาวิชาความรู้ติดกาย



สำนักเซียนชื่อดังแห่งนี้มักเปิดรับศิษย์อย่างเป็นทางการทุกห้าปี เยี่ยหย่งฟานอยากให้ข้าเข้าร่วมสำนักตั้งแต่อายุแปดขวบ ปากบอกว่าวางรากฐานแต่เยาว์วัยย่อมไปได้ไกลว่าฝึกตอนโต แต่แท้จริงแล้วคนเพียงต้องการกำจัดข้าให้พ้นทางด้วยข้อหาแย่งความรักจากเหยียนโหรวผู้เป็นหวานใจ มารดาเห็นข้าอายุยังน้อยเกินไปจึงขอยืดเวลาไปครั้งต่อไปในอีกห้าปี อย่างไรแล้วอยู่ในตระกูลข้าก็ถือเป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นเกินพี่น้อง นางสำทับว่าออกจากบ้านยามรู้ความแล้วคงดีกว่าไปเป็นเด็กน้อยสร้างภาระให้กับผู้อื่น



ดีชั่วเช่นไรเยี่ยหย่งฟางก็เคยเป็นศิษย์ในจากยอดเขาปราการโลหิตมาก่อน แม้ชื่อจะโอ่อ่าอลังการแต่แท้จริงแล้วเป็นยอดเขาที่รับหน้าที่จัดการเรื่องทั่วไปในสำนัก คล้ายเสมียณ คล้ายพ่อบ้าน ถึงพอจับกระบี่สู้รบได้บ้าง แต่มิได้มีความสามารถสิ่งใดเป็นพิเศษนอกจากทำบัญชีจัดการเรื่องทั่วไป มีอดีตเช่นนั้น คนจึงคาดหวังว่าอย่างน้อยบุตรชายคนโตเช่นข้าที่ใครต่อใครเรียกขานว่าเป็นอัจฉริยะคงได้อยู่ยอดเขากระบี่ร้อยรบอันเลื่องชื่อด้านการสู้รบฝึกวิชา เหมือนดั่งเช่นความใฝ่ฝันครั้งยังเป็นเด็กของเขาและความใฝ่ฝันของบุรุษทั่วใต้หล้า



หากบิดายังประเมินข้าต่ำเกินไป ด้วยความสามารถเช่นข้ามีหรือจะได้อยู่ยอดเขาป่าเถื่อนเช่นนั้น ระหว่างที่ผู้อื่นกำลังเหวี่ยงขวานผ่าฟืนแสดงกำลังกาย กำลังภายในและรากฐานปราณ ตัวข้าที่เพียงสะบัดมือเบาๆ กลับทำให้ท่อนไม้กลายเป็นฟืนขนาดกำลังดีไม่ใหญ่ไปไม่เล็กไปก็ได้ไปถูกตาต้องใจเหล่าอาจารย์มากมาย และขณะที่ผู้คนทะเลาะแย่งตัวข้าเยี่ยอู๋จวินกันเสียวุ่นวาย กลับมีแม่นางหน้าตางดงามผู้หนึ่งปรายตามองข้า นางกล่าวออกมาเพียงประโยคเดียวการถกเถียงไม่จบสิ้นพลันจบลงอย่างง่ายดาย “เด็กคนนี้เป็นของข้า”



ดรุณีผู้เย็นชาราวเกล็ดน้ำค้างแข็งผู้นี้มิใช่ใครที่ไหน หากเป็นแม่นางแซ่เจิ้งผู้ไปมาลึกลับความสามารถล้นเหลือ สุดยอดฝีมือที่ผู้คนในโลกผู้ฝึกเซียนต่างกล่าวขานว่าเป็นตำนานเหนือตำนาน เจิ้งปิงฉิน[1]...พิณน้ำแข็งแห่งยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์



เพียงชื่อยอดเขาของนางก็ข่มยอดเขาอื่นๆ จนกลายเป็นเพียงเด็กเล็ก ยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์นั้นขึ้นชื่อเรื่องการรับศิษย์ยากเย็น ไม่เคยมีอาจารย์คนใดเคยรับศิษย์เกินสามคน ยิ่งภายใต้การดูแลของแม่นางแซ่เจิ้งยิ่งแล้วใหญ่ ตลอดยี่สิบปีมานี้นางมิเคยรับผู้ใดเป็นศิษย์สักคน สาเหตุคงเพราะจะหาใครเทียบเคียงคำขวัญของยอดเขาคงลำบากเกินไปสักหน่อย



เฉลียวฉลาด แข็งแกร่ง สง่างาม สูงส่ง บริสุทธิ์เหนือโลกีย์ รวมไว้ซึ่งความสมบูรณ์แบบ นั่นคือคุณสมบัติเบื้องต้นของศิษย์จากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ ซ้ำเล่าขานกันว่าคนยังต้องมีสกุลรุนชาติมาจากตระกูลที่ดีงาม หากแต่ตระกูลที่ดีงามเหล่านั้นก็ใช่ว่าจะมีลูกหลานที่เก่งกาจมากความสามารถเสมอไป ครั้นมีความสามารถก็หยิ่งยโสจนใช้ปลายจมูกมองสีหน้าผู้อื่น ขอโทษด้วยเถิด สูงส่งนั้นคือพฤติกรรมดีงามสูงส่ง มิใช่วางตัวไว้สูงส่ง สุดท้ายแล้วเจิ้งปิงฉินหาลูกศิษย์อยู่ยี่สิบปีก็ไม่มีใครเข้าตา จนกระทั่งพบเจอข้าเยี่ยอู๋จวินเข้า



แม่นางแซ่เจิ้งหรืออาจารย์หญิงของข้าเป็นคนเช่นไร คงใช้คำอธิบายง่ายๆ ว่าเป็นคนแปลกประหลาดยิ่งนัก สตรีผู้นี้มิรู้ว่าอายุอานามจริงประมาณเท่าไร แต่ยามนั้นคงอย่างน้อยสี่สิบปี นางมีรูปลักษณ์งดงามสูงส่งสมกับเป็นเจ้ายอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ ชุดขาวกรุยกรายบริสุทธิ์ผุดผ่อง ใบหน้าเยาว์วัยงดงามคล้ายดรุณีอายุสิบหกสิบเจ็ด ผิวขาวผ่องดั่งหิมะ ฟันขาวเรียงตัวเป็นระเบียบ ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงสดราวลูกอิงเถา เหนือหว่างคิ้วแต้มดอกไม้สีแดงสดอันเป็นสัญลักษณ์ผู้สืบทอด ทุกอย่างล้วนดีงามเว้นแต่เพียงดวงตากลมโตที่แฝงแววเฉยชาเกียจคร้านอยู่หลายส่วน หากกล่าวถึงนิสัยของนางก็เป็นดั่งแววตานั่นโดยแท้



คุกเข่ากราบนางเป็นอาจารย์เรียบร้อย ข้าก็ย้ายไปพักอาศัยบนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ เนื่องจากยอดเขานี้แต่ไหนแต่ไรมีลูกศิษย์น้อยมาโดยตลอด ถึงมีเรือนพักขนาดเล็กเพียงสองเรือนเท่านั้น เรือนหนึ่งเป็นเรือนของอาจารย์ อีกเรือนย่อมเป็นของศิษย์ แต่เรือนศิษย์ปิดตายทรุดโทรมมาหลายสิบปี อาจารย์หญิงปรายตามองข้าแล้วบอกให้ไปพักที่ห้องข้างของนางเสียก่อน สตรีบุรุษห้ามอยู่ไกลกันก็ช่างมันเถิด ใครกล้าครหาคงมิอยากมีลิ้นไว้พูดจาแล้ว



ขีวิตช่วงแรกบนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์นับว่าลำบากอยู่ไม่น้อย หรือกล่าววาจาชัดเจนก็คือลำบากมากนัก เรื่องฝึกฝนกายใจบำเพ็ญเพียรฝึกตนนั้นยังมิค่อยเท่าไร ต่อให้ต้องคัดอักษรท่องคัมภีร์วันละหมื่นตัวอักษรหรือนั่งสมาธิในถ้ำน้ำแข็งอันแสนหนาวเย็น เยี่ยอู๋จวินผู้นี้ก็มิหวั่นไหว หวั่นไหวอย่างเดียวคือเรื่องอาหารการกิน



แม่นางแซ่เจิ้งมีพลังตบะขั้นสูงมิต้องกินดื่มสิ่งใดเป็นเดือนยังอยู่ได้ ส่วนข้าเป็นเพียงคุณชายน้อยที่เติบโตมาท่ามกลางบริวารมากมาย อยากกินสิ่งใดก็ได้กิน อาจารย์หญิงนางถือคติว่าสิ่งที่กินได้ต่อให้ผสมกันมั่วซั่วเพียงใดก็ยังกินได้ ฉะนั้นไม่ว่าเป็นวัตถุดิบชนิดใดก็จงลงไปนอนต้มในหม้อเสียเถิด ข้าทรมานสารร่างด้วยปลาต้ม เนื้อต้ม ผักกาดดองต้ม สมุนไพรต้ม สารพัดต้มตุ๋นอยู่เดือนหนึ่ง พลันเกิดจิตตั้งมั่นศึกษาวิธีการทำอาหารด้วยตนเองได้ สุดท้ายหน้าที่หุงหาข้าวปลาอาหารจึงเป็นของข้า จากนั้นไม่ว่าสิ่งอื่นใดล้วนเป็นหน้าที่ของเยี่ยอู๋จวินไปทั้งสิ้น



สุดท้ายพักอยู่บนยอดเขาได้สามเดือน นอกจากการฝึกวิชาอันแสนทรมานไปทั้งร่างกายและจิตใจในแต่ละวัน ข้ายังมีหน้าที่คอยต้มน้ำอาบให้อาจารย์หญิง ระหว่างนางอาบน้ำก็ตระเตรียมเสื้อผ้าเครื่องประดับให้เหมาะสม ครั้นนางอาบน้ำเสร็จก็ต้องช่วยแต่งตัวเกล้าผม แรกเริ่มไม่ถูกใจคนมิได้ดุด่าเพียงแต่ให้ข้าวิ่งขึ้นลงเขาสักหลายรอบ นานวันเข้าข้าเริ่มตาถึงเข้าใจในศิลปะความงามของสตรี เสื้อผ้าแบบใดเข้ากับเครื่องประดับแบบใดและทรงผมแบบใด การปรากฏตัวในโลกภายนอกของเจิ้งปิงฉินนับวันยิ่งงดงามตระการตามากขึ้น ภายหลังคิดขึ้นมาได้ว่าที่ข้ารู้ใจสตรีจนเข้าหาพวกนางได้ง่ายดาย คงเพราะวิธีการเลี้ยงดูของแม่นางแซ่เจิ้งเป็นแน่



อยู่นานวันเข้าความเคยชินบังเกิดพลอยรู้สึกว่าชีวิตไม่ยากลำบากเท่าใดแล้ว รากฐานปราณข้านั้นแข็งแกร่งกว่าผู้อื่นอยู่หลายส่วน ทำให้พลังฝึกปรือก้าวหน้าว่องไวดียิ่ง อีกทั้งกิจธุระของยอดเขายังสามารถจัดการได้เป็นอย่างดี อาจารย์หญิงวางใจจนปล่อยข้าทิ้งเอาไว้ผู้เดียวได้ ส่วนนางออกเดินทางเหนือใต้เจ็ดวันสิบวันเดือนหนึ่งจะกลับมาที



ที่จริงแล้วชีวิตดำเนินเรียบง่ายเช่นนี้ก็ดีไม่น้อย หากชีวิตไหนเลยจะง่ายดายปานนั้น ปีนั้นข้าอายุได้สิบสี่กราบคนเป็นอาจารย์มาได้ปีกว่า อาศัยอยู่ที่นี่จนเข้ากลางฤดูหนาว ยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ฤดูนี้ถือว่างดงามอย่างยิ่ง ทิวทัศน์รอบข้างรายล้อมด้วยเหมยแดงที่ออกดอกสะพรั่ง วันหนึ่งอาจารย์ที่หายไปได้ครึ่งเดือนกลับมาพร้อมกลับผ้าสีน้ำตาลหอบหนึ่งในมือ



“คารวะอาจารย์ เดินทางครั้งนี้เหน็ดเหนื่อยหรือไม่” ยามที่นางกลับมาข้ากำลังล้างธัญพืชต้มโจ๊กสำหรับอาหารเย็นอยู่ สมองพลันคิดคำนวณว่าคงต้องต้มเพิ่มอีกสักครึ่งส่วนสำหรับอาจารย์ ธัญพืชสดใหม่ที่คนจากป้อมปราการโลหิตส่งมาให้คงถูกปากนางไม่น้อย



อาจารย์มิได้ตอบกล่าวสิ่งใดนอกจากพยักหน้าให้ข้าครั้งหนึ่งทั้งตอบและไม่ตอบคำถามพร้อมกัน ครั้นสายตาเหลือบไปเห็นผ้าที่ห่อบางสิ่งในมือของอาจารย์ก็ชะงักค้างไปบ้าง แม่นางแซ่เจิ้งผู้นี้เป็นคนจิตใจดีงามยิ่งนัก คนมักเก็บสัตว์สารพัดอย่างกลับมาด้วย หากใช้ประโยชน์ได้ก็ยกให้ยอดเขาอสูรคำราม หากใช้ประโยชน์ไม่ได้ก็เก็บไว้ดูเล่น คราวนี้ที่เก็บมาได้ดูแล้วขนาดตัวใหญ่ไม่น้อย เกรงว่าจะเป็นหมาป่าหรือลูกหมีกระมัง ข้ามองแล้วอดเอ่ยปากถามไปไม่ได้ “ครั้งนี้เก็บตัวอะไรมาได้หรือ”



ตัวอะไรที่ว่าขยับตัวเบาๆ ผ้าสีน้ำตาลจึงหลุดออกจนเห็นนัยน์ตาดำขลับอันจับจ้องเขม็งมายังข้า แม้จะตกใจเล็กน้อยแต่ข้ายังคงรั้งสติวางมาดนิ่งเฉยได้ ถึงใบหน้ามอมแมมฝุ่นควันจนมองผิวกายที่แท้จริงไม่ออก แต่นี่ย่อมเป็นมนุษย์มิใช่หมาป่าหรือลูกหมี อาจารย์ช่างมีพัฒนาการยิ่งนัก คราวนี้นางถึงขั้นเก็บคนเป็นๆ กลับมา คราวหน้ามิรู้ว่าจะเป็นสิ่งใด ข้านิ่งคิดหาวาจาอยู่ครู่หนึ่ง อาจารย์หญิงกลับส่งหอบผ้านั้นให้ข้าพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเป็นอย่างยิ่ง “อาบน้ำหาเสื้อผ้าให้เขา เสร็จแล้วพาไปพบข้า”



กล่าวจบนางพลันสะบัดแขนเสื้อสีขาวหนึ่งครั้งแล้วเดินกลับเรือนไป คงตรงไปยังห้องหนังสือเหมือนเช่นทุกครา ข้าเหลือบมองผู้อื่นที่อยู่ในอ้อมแขนพลันนึกสงสัยว่าอาจารย์คิดทำสิ่งใดกันแน่ หากคิดไปคงไม่ได้คำตอบ จึงเตรียมต้มน้ำใส่ถังทำตามคำสั่งของอาจารย์แทน เด็กผู้นี้ช่างทำให้ผู้คนปวดหัวยิ่งนัก แม้ไม่ได้ส่งเสียงร้องโวยวายอะไร แต่พอเห็นถังน้ำกลับดิ้นปัดออกอาการต่อต้านอย่างชัดเจน ยิ่งข้าพยายามถอดเสื้อผ้าซ่อมซ่อที่มองสีจริงไม่ออก คนยิ่งแสดงอาการไม่พอใจ นอกจากออกหมัดต่อยเตะสะเปะสะปะ ยังถึงขั้นกัดมือข้าเสียจมเขี้ยว



“จะทำเช่นนี้หรือ” ข้าเหลือบมองตัวมอมแมมที่งับมือข้ามิคลาย พอเห็นข้าขยับมือออกเขาก็เปลี่ยนมากัดนิ้วของข้าแทน เห็นดังนั้นข้าจึงหมดอารมณ์ดึงมือออก หากใช้วิธีกดนิ้วเข้าไปในปากผู้อื่นจนลึกยิ่งขึ้นโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด จากนั้นขยับยิ้มอ่อนโยนเป็นมิตรอย่างยิ่ง “อยากกัดก็กัดไปเถิด ฟันซี่ไหนที่เจ้าใช้กัด คนแซ่เยี่ยรับรองว่าจะถอนฟันซี่นั้นออกมาแล้วโยนให้หมากิน”



ได้ยินเช่นนั้นหากยังไม่ยอมปล่อยก็คงพูดจาไม่เข้าใจกันแล้ว เขายอมปล่อยมือออกแล้วทำหน้าคล้ายอยากร้องไห้ยามที่ข้าปลดเสื้อผ้าสกปรกออกจนเหลือร่างกายเปลือยเปล่า ว่ากันตามจริงร่างนี้ไม่น่ามองเลยสักนิด นอกจากซีดเซียวผอมกะหร่องจับตรงไหนมีแต่กระดูก ทั้งเนื้อตัวยังมีแต่แผลฟกช้ำจนผิวกลายเป็นสีเขียวคล้ำเป็นจ้ำเต็มไปหมด หน้าตายามล้างออกแล้วยังบวมเหมือนหัวหมูมองไม่ออกว่าเค้าโครงหน้าเป็นอย่างไรกันแน่ มีเพียงดวงตากลมโตดำขลับที่มองแล้วชื่นตาไม่น้อย สภาพเช่นนี้มิรู้ว่าถูกใครทำร้ายทารุณกรรมมาบ้าง เกิดมาข้าเคยเห็นแต่น้องสาวน้องชายสภาพอ้วนท้วนสมบูรณ์ เห็นเขาแล้วยิ่งแสนสงสารยิ่งแสนเวทนา มือข้าที่ช่วยสางผมเหนียวหนะจับตัวเป็นก้อนจึงขยับเบาแรงอ่อนโยนขึ้นมาก



เสียเวลาอาบน้ำให้ผู้คนเป็นชั่วยาม ร่างที่สกปรกมอมแมมดูสะอาดสะอ้านห่างไกลจากขอทานข้างถนนขึ้นมาบ้าง ผู้คนก็มีท่าทางสงบเสงี่ยมเรียบร้อยขึ้นมากเหมือนกัน บนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์นี้มีเพียงข้าเป็นศิษย์ผู้เดียว เสื้อผ้ามีแต่ชุดสำนัก สุดท้ายเลยจับเขาใส่ชุดสีเทาลายสวัสติกะของตน



ข้าอายุสิบสี่แต่ร่างกายสูงใหญ่กว่าคนวัยเดียวกันอยู่มาก อีกฝ่ายอายุน่าจะเพียงแปดเก้าปีเตี้ยกว่าข้าเกินช่วงศีรษะ สภาพตอนนี้เหมือนทารกน้อยขโมยชุดบิดามารดามาใส่ ดูท่าข้าคงต้องขอเบิกเสื้อผ้าจากคลังสำนักมาหลายชุด ครั้นพับชายเสื้อชายกางเกงให้เสร็จ ข้าที่คิดว่าเขาเด็กกว่ามากจึงอุ้มเขาไปหาอาจารย์หญิงโดยไม่สนใจอาการขัดขืน ภายหลังเมื่อรู้ว่าเขาอายุสิบสองเด็กกว่าข้าเพียงสองปี ทำเอาตกใจไม่ใช่น้อย



เดินไปถึงห้องหนังสือ กลับพบว่าอาจารย์หญิงนั่งเหม่อมองหมุนปิ่นบุปผามุกอันหนึ่งในมือเล่น ข้าวางอดีตตัวมอมแมมลงบนพื้น เจิ้งปิงฉินกวาดมองเด็กชายแล้วพยักหน้าครั้งหนึ่งคล้ายพอใจอยู่มาก “พอสะอาดก็ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาแล้ว”



โกหกหลอกลวงกันแล้วกระมัง สภาพของเขาตอนนี้ถึงสะอาดสะอ้านแต่ก็ไม่เรียกว่าดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้ เหตุเพราะหน้าตาบวมปูดและเนื้อตัวช้ำเลือดช้ำหนอง ท่าทางน่าเวทนาจนหาคำอื่นใดมาอธิบายไม่ได้ อาจารย์คล้ายล่วงรู้ความคิดในใจข้าจึงกระดิกนิ้วเรียกเขาไปหา เด็กชายผู้นี้เรียกว่ารู้ความไม่น้อย กับผู้อื่นอาจต่อต้านอาละวาด กับอาจารย์หญิงมีหรือที่เขากล้าดื้อดึง กระทั่งนางส่งลูกกลอนสีสดใสให้เขายังยอมกลืนลงคอแต่โดยดี ยาเม็ดนี้ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บภายนอกได้ไม่น้อย หัวหมูที่บวมช้ำถึงยังไม่กลับสภาพเป็นหัวคน แต่ไม่ย่ำแย่เท่าเดิมแล้ว



เด็กคนนั้นคล้ายตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง เขาจ้องมองอาจารย์คล้ายมองเห็นเทพเซียน ข้าเห็นแล้วได้แต่กลั้นยิ้มอยู่เบื้องหลัง ส่วนแม่นางแซ่เจิ้งแม้มิได้มีรอยยิ้มอ่อนโยนงดงามเหมือนสตรีผู้ดีงามคนอื่น หากนัยน์ตาของนางยังฉายแววปรานีไม่น้อย น้ำเสียงที่เอ่ยถามก็ไม่ได้เย็นชาเท่าใดนัก “เจ้าชื่ออะไร”



คนเงียบงันเหมือนดั่งเช่นที่เขามิเคยเปิดปาก ข้านึกว่าเขาเป็นใบ้มิสามารถพูดจาได้กำลังจะเอ่ยแทรก หากน้ำเสียงใสไพเราะราวแก้วกระจกกระทบกันกลับดังขึ้นเสียก่อน หน้าตาท่าทางหนักใจไม่น้อย “เขาเรียกข้าเสี่ยวโก่ว[2]”



คำเรียกนั้นจะเป็นชื่อคนได้หรือ ขนาดชื่อเหลียงเหลียงเหลียงของอาจารย์อาแห่งยอดเขาอสูรคำรามยังนับว่าดีกว่ามาก ใบหน้าอาจารย์หญิงคราวนี้เย็นชายิ่งกว่าหิมะอันโปรยปรายอยู่ด้านนอก หนาวเหน็บเสียจนข้ารู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “แต่ก่อนมารดาเรียกเจ้าว่าอะไร”



อดีตตัวมอมแมมนิ่งเงียบคล้ายครุ่นคิดหนักเป็นอย่างยิ่ง ผ่านไปครึ่งค่อนวันถึงอ้าปากพูดต่อได้ “นางคล้ายเคยเรียกข้าว่าอาเป่า”



“ชื่อพวกนั้นคงไม่อาจนับว่าเป็นชื่อคนได้” อาจารย์เจิ้งกล่าวถ้อยคำออกมาได้ตรงใจข้ายิ่งนัก ชื่อจำพวกเป่าเป้ย[3]เป็นชื่อที่บิดามารดาใช้เรียกยังพอรับได้ หากใช้มาเป็นชื่อตนคงน่าอายเสียมากกว่า



“ในเมื่อไม่มีชื่อ ข้าก็จะตั้งให้” อาจารย์หญิงวางปิ่นไข่มุกในมือลงบนกล่องเก็บเครื่องประดับ นัยน์ตายามมองเขาปรากฏประกายแปลกประหลาดยิ่งนัก “ได้พบเจอถือว่ามีบุพเพต่อกัน ชะตาชีวิตคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เจ้ามีรากฐานปราณสูงส่ง กระดูกเซียนแน่นหนา วันข้างหน้าคงได้อยู่เหนือผู้คนมากมาย ฉะนั้นชื่อเจี๋ยอันหมายถึงโดดเด่นเหนือใคร[4]คงเหมาะสม”



อาจารย์หญิงตั้งชื่อได้ยิ่งใหญ่เป็นมงคลยิ่งนัก ชะตาชีวิตที่โดดเด่นเหนือใครล้วนเป็นชีวิตที่ไม่ว่าใครก็ใฝ่ฝันถึงทั้งนั้น หากใจหนึ่งข้ากลับรู้สึกขัดแย้งอยู่บ้าง คำว่าเจี๋ยยังมีอีกตัวอักษรที่หมายถึงโดดเดี่ยว[5]มิใช่หรือ หากแต่เจตนาของอาจารย์คงมิใช่เช่นนั้น บางทีข้าอาจคิดมากเกินไปกระมัง



“เจ้าเป็นทายาทของสกุลไป๋ จากนี้ไปให้ใช้ชื่อว่าไป๋เจี๋ย” อาจารย์กล่าวอย่างเรียบง่ายราวกับแซ่ของเขาไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร หากคนฟังเช่นข้ากลับรู้สึกหนังหัวชาวาบ



สกุลไป๋แม้ไม่ใช่สกุลใหญ่โตในหมู่ผู้ฝึกเซียน หากเป็นสกุลเก่าแก่ที่มีความเป็นมายาวนาน เล่าขานกันว่าโคตรเหง้าบรรพบุรุษเป็นบริวารของซีหวังหมู่มาก่อน กระทั่งไผ่แปดต้นอันเป็นชื่อเรียกของหุบเขาไผ่ศักดิ์สิทธิ์แห่งแห่งซีเปียนจิ่งยังมีตำนานว่าพระแม่ซีหวังหมู่เป็นผู้ปลูกขึ้นด้วยตนเอง สูงส่งงามสง่าไปมาลึกลับจึงเป็นภาพลักษณ์ที่ใต้หล้ารู้จักผู้คนแซ่ไป๋ และด้วยสาเหตุนานัปการทำให้สกุลนี้มีกฎข้อห้ามประจำสกุลแสนเคร่งครัดมากมาย ข้อห้ามสำคัญข้อหนึ่งคืออย่ามักมากประพฤติผิดในกาม ซึ่งหมายความว่าบุรุษสกุลไป๋สามารถมีฮูหยินเอกได้เพียงหนึ่งเดียว



ผู้นำสกุลไป๋รุ่นนี้เป็นบุตรคนเดียวไม่มีพี่น้องอื่นใด ย่อมหมายความว่าตัวมอมแมมคือบุตรชายนอกสมรสที่มิสมควรมีตัวตนอยู่ คิดถึงเรื่องเล่าลือที่มารดาเคยพูดคุยกับเหล่ามารดาคนอื่นๆ คล้ายว่าหลายปีก่อนไป๋ฮูหยินจับได้ว่านายท่านไป๋แอบมีความสัมพันธ์ลับกับสตรีธรรมดานางถึง ไป๋ฮูหยินผู้นี้มาจากสกุลจินอันร่ำรวยเงินทอง หากแต่มีนิสัยขี้หึงอย่างร้ายกาจ ยามนั้นนางจึงอาละวาดใหญ่โตยิ่งกว่าซีเปียนจิ่งเกิดภัยพิบัติ สุดท้ายมิรู้ว่าแม่นางผู้นั้นมีชะตาชีวิตเช่นใดบ้าง แต่พยานรักของทั้งสองคงเป็นไป๋เจี๋ยผู้นี้เสียแล้ว



ตระกูลไป๋ยามนี้มิได้รุ่งเรืองใหญ่โตเหมือนแต่ก่อน เหตุเพราะขาดทรัพยากรบุคคลหนุ่มสาวที่มากความสามารถ ไป๋ฮูหยินสกุลจินมีบุตรชายถึงสามคนก็จริง หนึ่งในสามพลังปราณอ่อนด้อยไม่มีรากฐานเซียน กระทั่งศิษย์นอกของสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ยังมิสามารถเป็นได้ ส่วนอีกสองคนที่เหลือคนหนึ่งได้เป็นเพียงศิษย์นอกของยอดเขาทิพย์โอสถ อีกคนมีความสามารถธรรมดาทั่วไปเหนือกว่าพี่น้องคนอื่นอยู่บ้าง แต่ก็ได้เป็นเพียงศิษย์ในของยอดเขาปราการโลหิต ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ช่วยของอาจารย์ผู้แจกจ่ายภารกิจเพียงเท่านั้น



นิสัยของทั้งสองคนเป็นเช่นไร ข้าคงมิสามารถแจกแจงได้มากนัก เนื่องจากมิได้มีความสนิทสนมอันใด เคยพูดจาเพียงผิวเผินก็คิดว่าพวกเขาสุภาพเรียบร้อยค่อนข้างถือตัวเย็นชาห่างเหิน มิได้เป็นมิตรน่าคบหาเท่าใดนัก ข้าที่ขยันพูดจากับผู้คนไปทั่วยังรู้สึกเหนื่อยหน่ายมิค่อยอยากเสวนาด้วย



“คุกเข่าลงเสีย” เสียงใสเย็นเยียบของอาจารย์หญิงดังขึ้นเรียกข้าลุกขึ้นจากภวังค์ ไป๋เจี๋ยแม้ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์หากยอมคุกเข่าไปโดยดี ต่อไปย่อมเป็นการกราบอาจารย์เข้าเป็นศิษย์ แม้มิได้เข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ตามปรกติ แต่เมื่ออาจารย์พึงใจเลือกเจ้าแล้ว ยังจะต้องมีการคัดเลือกอันใดอีกเล่า “จากนี้ไปเจ้าคือไป๋เจี๋ยศิษย์ในของยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์สำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์”



ดวงตาดำขลับส่องประกายวาววับจนทำให้ใบหน้าบวมน่ามองขึ้นหลายส่วน ข้าได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ แม้รู้สึกว่าวันข้างหน้าต้องดูแลผู้คนถึงสองคนคงลำบากขึ้นแล้ว แต่กลับไม่มีความรู้สึกไม่ยินยอมแม้แต่ส่วน สมองมีเพียงความคิดว่าชีวิตไป๋เจี๋ยที่ผ่านมายากลำเค็ญเช่นไร คุณชายผู้มีชีวิตสุขสบายมาทั้งชีวิตคงไม่ค่อยเข้าใจ การที่อาจารย์รับเขาศิษย์ของยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ล้วนเป็นเรื่องเหมาะสมดีแล้ว ดีกว่าปล่อยให้เขาไปใช้ชีวิตอย่างสะเปะสะปะ คราวนี้อนาคตจะเป็นเช่นไรต่างขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้คน



เจิ้งปิงฉินครองยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์มายี่สิบปีมิเคยรับศิษย์สักคน ยามที่ข้ากราบนางเป็นอาจารย์ผู้คนต่างเล่าขานว่าคุณชายใหญ่สกุลเยี่ยบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ชาตินี้คงได้เป็นผู้สืบทอดเป็นแน่ ที่ไหนรับข้ามาได้เพียงปีกว่ากลับรับตัวมอมแมมมาเป็นศิษย์เพิ่มอีกคนเสียแล้ว โชคชะตาช่างเล่นตลกดีแท้



เวลานั้นข้ายังเยาว์วัยอยู่มาก ไหนเลยจะเข้าใจคำว่าโชคชะตาเล่นตลกกับผู้คนที่แท้จริงแล้วเป็นเช่นไร



โปรดติดตามตอนต่อไป...





ซินเอ๋อร์:

พูดเกริ่นถึงเรื่องราวเมื่อปีนั้นมาหลายครั้งแล้ว เพราะงั้นขอเล่าย้อนหน่อยนะคะว่าในปีนั้นมีอะไรกันแน่ จากนี้จะเป็นการย้อนอดีตสมัยอู๋เกอวัยใสและอาเจี๋ยวัยรุ่นค่ะะ แล้วค่อยเป็นการผจญภัยของอู๋เกอต่อไป ส่วนพาร์ทอดีตจะมีฉากตัดเข้าโคมไฟไหม ต้องติดตามกันตอนต่อไปค่ะะ

ตอนนี้ฟุตโน้ตเยอะหน่อย เรื่องชื่อของอาเจี๋ยนี่เถียงกันตั้งแต่ตอนอาเจี๋ยยังไม่เปิดตัวว่าควรจะมีความหมายว่าอะไรดีถึงจะสอดคล้องกับเรื่อง สุดท้ายเลยออกมาเป็นไป๋เจี๋ยที่หมายถึงโดดเด่นค่ะ ขอบคุณและขอโทษหมีย์ด้วยที่โดนใช้เปิดดิกหาศัพท์อยู่หลายวัน

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่า





เชิงอรรถ

^ [1] 郑冰琴 แซ่เจิ้ง นามปิงฉิน ปิงฉินมีความหมายว่าพิณน้ำแข็ง
^ [2] 狗 โก่ว มีความหมายถึงสุนัข ชื่อจึงมีความหมายทำนองว่าเจ้าหมา
^ [3] 宝贝 เป่าเป้ย หมายถึงสิ่งมีค่า ใช้เรียกเด็กเล็กๆ หรือลูกหลาน
^ [4] 杰 เจี๋ย ใช้อักษรตัวนี้ หมายถึงโดดเด่นเหนือใคร หรือวีรบุรษก็ได้
^ [5] 孑 เจี๋ย ใช้อักษรตัวนี้หมายถึงโดดเดี่ยว
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 15 คห.47 [P.2, 19-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 19-10-2019 09:19:04
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 15 คห.47 [P.2, 19-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 19-10-2019 10:23:52
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 16 คห.50 [P.2, 21-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 21-10-2019 22:29:26
ความรู้สึกลึกซึ้งอันแสนพูดยากเมื่อปีนั้น (2)



ครั้นอาจารย์หญิงรับไป๋เจี๋ยมาเป็นลูกศิษย์อีกคน ยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์จากที่เคยเงียบสงบกลับคึกคักขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แรกเริ่มเป็นเหล่าผู้อาวุโสและเจ้ายอดเขาต่างๆ ภายในสำนักที่มา ‘ดูตัว’ ศิษย์คนใหม่ กระทั่งบิดาและพี่ชายของเขายังมาเยี่ยมเยียน ปิดประตูพูดคุยกับแม่นางแซ่เจิ้งอยู่พักใหญ่ มิรู้ว่านางว่ากล่าวสิ่งใด คนจึงกลับไปด้วยใบหน้าซีดเซียวหมดสภาพผู้นำสกุลเซียนอันศักดิ์สิทธิ์เสียสิ้น



ดูตัวเห็นหน้ากันครบถ้วนทุกกระบวนความแล้ว ความสุขสงบก็ควรกลับคืนมาเช่นเคย แท้จริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ทุกสองสามวันมักจะมีลูกศิษย์จากยอดเขาอสูรคำรามและยอดเขานภาไร้สรรพเสียงมาประลองฝีมือประลองกำลังกับศิษย์น้องของข้าตั้งแต่เช้าจรดเย็น ผ่านไปสามเดือนครึ่งปีผู้อื่นที่จากร่างกายผอมกะหร่องอุตส่าห์อ้วนท้วนสมบูรณ์จนมองเห็นเค้าโครงความงามบนใบหน้าแล้วกลับต้องมาโดนทุบตีทุกวัน มิรู้ว่าศิษย์พวกนั้นรับสินบนสินน้ำใจจากไป๋หลี่เหอหรือไป๋หลี่ฟู่บุตรชายทั้งสองของไป๋ฮูหยิน นับวันจึงยิ่งลงมือหนักขึ้นจนหน้าหยกของไป๋เจี๋ยกลับมาบวมปูดอีกครั้ง น่าเวทนาสงสารยิ่งนัก



“เจ็บหรือ” อาจารย์เจิ้งหลุบสายตามองไป๋เจี๋ยที่นั่งอยู่บนพื้นด้วยอาการสะบักสะบอม นางอยู่ในจุดที่สูงกว่าย่อมทำให้ภาพลักษณ์ดูสูงส่งสง่างามกว่าปรกติ น้ำเสียงยามสั่งสอนเย็นชาจนไม่มีความเมตตาแม้แต่ส่วน “เจ็บกายเจ็บใจแล้วอย่างไรเล่า หากวันหน้ามิรู้จักแข็งแกร่งขึ้น ถูกผู้คนรังแกจะเรียกร้องสิ่งใดได้หรือ”



ช่างเป็นการสั่งสอนแสนเหี้ยมโหดราวกับแม่เสือที่ผลักลูกลงเหวโดยแท้ กระทั่งยาลูกกลอนรักษาอาการบาดเจ็บนางยังไม่มอบให้ศิษย์คนใหม่สักลูก หลายครั้งข้าทนมองศิษย์น้องโดนรังแกไม่ได้จึงแอบดีดลูกหินใส่ศิษย์จากยอดเขาอื่นหรือไม่ก็แอบเอายาผสมอาหารให้เขากิน เมื่ออาจารย์รู้เข้าย่อมถูกลงโทษ ครั้งแรกนางนำไก่เฟยจูเชวี่ยของอาจารย์อาเหลียงไปปล่อยไว้ในป่าของยอดเขานภาไร้สรรพเสียงแล้วออกคำสั่งให้ข้าไปตามหา ครั้งต่อมานางจับข้าไปขังไว้ในถ้ำน้ำแข็งพร้อมวางค่ายกลแปดทิศซ้อนอาคมสายฟ้า แต่ละครั้งกว่าจะรอดมาได้เรียกว่าหมดสภาพแท้ๆ



ข้าเห็นเขาเจ็บตัวทุกวันถ้าไม่รู้สึกอะไรคงโกหกกันแล้ว วันหนึ่งไป๋เจี๋ยถูกศิษย์ที่มีระดับบำเพ็ญเพียรสูงกว่าตีเสียจนขาหัก ข้าทำแผลป้อนยาให้เขาเสร็จแล้วรู้สึกทนไม่ไหวบากหน้าไปหาอาจารย์หญิง เสนอตัวเป็นคู่ฝึกซ้อมของศิษย์น้องแทน ดีร้ายอย่างไรข้ายังรู้จักออมมือย่อมไม่ปล่อยให้คนเจ็บตัวถึงเพียงนี้ เจิ้งปิงฉินเหลือบมองข้าด้วยสายตาเกียจคร้านเฉยชา นางตอบเพียงว่า “ศิษย์พี่ศิษย์น้องควรรักใคร่กลมเกลียว เรื่องกดดันสร้างความเกลียดชังปล่อยให้เป็นหน้าที่ผู้อื่นเถิด”



ได้ยินเช่นนั้นแล้วข้าจะว่ากล่าวสิ่งใดได้ ชะตาชีวิตของพี่น้องสกุลไป๋ภายภาคหน้าคงลำบากแย่แล้ว ข้ายังคงทำหน้าที่ศิษย์พี่ได้ดีเป็นอย่างยิ่ง ทั้งผูกมิตรกับศิษย์จากยอดเขาทิพย์โอสถเพื่อหว่านล้อมให้ช่วยแบ่งยามาให้ คอยทำแผลที่บาดเจ็บให้ผู้คน สั่งสอนไป๋เจี๋ยให้อ่านเขียนฝึกเคล็ดวิชาต่างๆ นอกจากนั้นคือการศึกษาอาหารการกินที่ช่วยบำรุงร่างกายและรากฐานปราณ ใจหวังเพียงว่าศิษย์น้องเอ๋ย...เจ้าจงแข็งแกร่งขึ้นเร็วๆ เถิด



ไป๋เจี๋ยยามกลางวันเข้มแข็งเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้ถูกซ้อมจนเจ็บกายเจ็บใจเพียงใดก็มิเคยปริปากร้องอ้อนวอนขอความเมตตา หากยามกลางคืนคนมักฝันร้ายยาวนานทั้งคืน มิรู้ว่าฝันถึงสิ่งใดแต่ร่ำไห้น้ำตาหลั่งรินเต็มสองข้างแก้ม เมื่อเขาไม่เคยเอ่ยปากข้าย่อมทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ยามนี้ข้าและเขาย้ายมาอยู่เรือนพักศิษย์ด้วยกันสองคน เรื่องนี้จึงไม่ถูกแพร่งพรายออกไป จนกระทั่งวันที่เขาถูกตีจนขาหักกลับมา เยี่ยอู๋จวินผู้นี้กลับหมดความอดทนเสียแล้ว



กลางดึกคืนนั้นข้าค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปในห้องพักที่หน้าตาเหมือนห้องของข้าทุกประการ เห็นศิษย์ผู้น้องนอนอยู่บนเตียงด้วยท่าทางกระสับกระส่าย เหงื่อกาฬผุดพรายเต็มใบหน้าคล้ายเจ็บปวดอย่างมาก ริมฝีปากแตกระแหงเปิดออกละเมอเป็นถ้อยคำอันจับใจความไม่ได้ แม้ดวงตาจะปิดสนิท แต่หางตายังคงปรากฏหยาดน้ำตาไหลริน ข้างแก้มมีน้ำตาสองสายดั่งคนร้องไห้มายาวนานต่อเนื่อง



ข้าถอนหายใจแผ่วเบาแล้วแตะมือกับหน้าผากที่ร้อนผะผ่าวด้วยพิษไข้ ไม่รู้ว่ามือข้าเย็นหรืออย่างไร คนจึงคว้าตรึงเอาไว้ซุกข้างแก้มซ้ำยังคลอเคลียซุกไซ้ราวสัตว์ตัวน้อยที่ออดอ้อนเจ้าของ คราวนี้เสียงร่ำไห้พึมพำไม่หยุดเงียบลงไปบ้างแล้ว หากหยดน้ำราวไข่มุกที่เกาะบนแพขนตาหนากลับทำให้ข้ารู้สึกเจ็บปวดใจกว่าเดิม แรกเริ่มเพียงต้องการมาดูอาการหายาให้ผู้คนเพียงเท่านั้น ครั้นรู้ตัวอีกทีข้าก็อุ้มไป๋เจี๋ยกลับห้องนอนตนเองเสียแล้ว



ยามเลือกห้องนอนข้าถือตนเองเป็นศิษย์พี่อาศัยที่นี่มานานกว่า ซ้ำยังมีหน้าที่ดูแลความเป็นอยู่ชีวิตประจำวันของทั้งอาจารย์และศิษย์น้อง ข้าจึงถือวิสาสะยึดครองห้องที่เตียงกว้างใหญ่ที่สุดเพื่อการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ มาเวลานี้ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องดีแล้ว ถึงไป๋เจี๋ยตัวไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่เด็กหนุ่มวัยกำลังโตอย่างพวกข้าให้นอนเบียดกันมากนักคงไม่ดีเท่าใด



ข้าวางร่างไป๋เจี๋ยลงบนพื้นเตียง หาผ้าชุบน้ำมาเช็ดเหงื่อที่หน้าและลำคอจนสะอาดเรียบร้อย จากนั้นก้าวขึ้นไปบนเตียงก่อนจัดท่านอนห่มผ้าให้เขาใหม่ ครั้นจะขยับมือออกศิษย์น้องกลับคว้ามือข้าเอาไว้ก่อน นัยน์ตาดำขลับที่ยังฉ่ำน้ำด้วยพิษไข้มองมาด้วยความไม่พอใจราวกับร้องถามว่าข้ากำลังทำการชั่วร้ายอันใดอยู่



“นอนเสีย” ข้าเอื้อมมือไปลูบศีรษะของศิษย์น้องเบาๆ แล้วล้มตัวนอนลงเคียงข้าง ไป๋เจี๋ยขยับกายออกจนเกือบตกเตียง คนผู้นี้ช่างไม่รู้จักสำเหนียกตนเองดีแท้ ขาหักเป็นสองท่อนแล้วยังไม่รู้จักถนอมตน ข้าสอดแขนรั้งรอบเอวของเขาเอาไว้ โอบร่างเข้ามากอดหลวมๆ เวลาน้องสาวน้องชายฝันร้ายแต่เข้าไปรบกวนมารดาไม่ได้ก็เคยปีนขึ้นเตียงขอให้ข้านอนกอดเช่นนี้ ไป๋เจี๋ยที่ฝันร้ายถ้ามีคนนอนกอดไว้คงอาการดีบ้างขึ้นกระมัง



ศิษย์น้องตัวแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ เขาพยายามแกะมือข้าออก ยิ่งแกะมากขึ้นเท่าไร ข้ากลับยิ่งรั้งเขาเข้ามาใกล้ขึ้นเท่านั้นจนใบหน้าแนบชิดกับแผ่นอก ข้าอดปลอบเขาสองสามประโยคไม่ได้ “อาจารย์มิได้อยู่ที่นี่ เจ้ามิต้องแสร้งทำเป็นแข็งแกร่งแล้ว ข้าเป็นศิษย์พี่ของเจ้า เจ้าอ่อนแอต่อหน้าศิษย์พี่ย่อมไม่มีใครสามารถตำหนิได้”



ไป๋เจี๋ยนิ่งเงียบไปพักใหญ่จนข้านึกว่าเขาหลับไปแล้ว กระทั่งสัมผัสได้ถึงความร้อนวาบราวไฟแนบจากน้ำตาที่หยดซึมผ่านเนื้อผ้ามาถึงผิวเนื้อ การร้องไห้อันเงียบงันไร้เสียงกลับทำให้ข้ารู้สึกสงสารเวทนาจนเจ็บปวดใจยิ่งกว่ายามเห็นเขานอนละเมอร่ำไห้เสียอีก ข้าเอื้อมมือไปตบหลังเขาเบาๆ พลางเอ่ยปลอบใจ “บางสิ่งฝืนทนมากไปย่อมไม่เกิดผลดี ทุกวันนี้มิใช่ว่าฝืนทนจนฝันร้ายอยู่ทุกคืนมิใช่หรือ จากนี้ไปมานอนกับข้าเถิด อยากร้องไห้เท่าใดก็ร้องได้”



“หากมิแข็งแกร่งขึ้น...อาจารย์จะไม่พอใจได้” ไป๋เจี๋ยตอบเสียงเบาหวิวราวลมพัด ปรกติเขาเป็นคนปากหนักพูดน้อย ได้เอ่ยปากระบายความอัดอั้นในใจบางคงดีไม่น้อย ฟังแล้วข้าได้แต่ส่ายหน้าในใจ ทุกวันนี้มิใช่ว่าฝีมือเขาไม่ก้าวหน้า ถูกเคี่ยวกรำอย่างกดดันเช่นนี้มีหรือจะไม่เก่งกาจขึ้น หากแต่ศิษย์ที่อาจารย์อาโจวและอาจารย์อาเหลียงพามาฝึกกับเขาล้วนแต่เปลี่ยนเป็นคนที่มีระดับสูงกว่าเขาหลายขั้นอยู่เสมอ ที่เห็นหน้าตาคล้ายเดิมนั้นเป็นเพียงกลหลอกลวงกันเท่านั้น



“อาจารย์ถูกผู้คนตามใจจนเสียนิสัยหมดแล้ว นางมิใช่มารดาของเจ้า หากนางไม่พอใจก็ปล่อยนางไปเถิด” คำพูดนี้ฟังตรงไหนก็ไม่มีส่วนที่ไม่เหมาะสม หากเด็กในอ้อมแขนกลับสะอื้นไห้ขึ้นมากะทันหัน ข้านิ่งชะงักไปบ้างพลางคิดขึ้นได้ว่าไป๋เจี๋ยสูญเสียมารดาไปตั้งแต่เยาว์วัย พออาจารย์เก็บเขากลับมาเลี้ยงดูซ้ำยังตั้งนามมงคลให้ เกรงว่าศิษย์น้องคงมองนางเป็นมารดาเป็นครอบครัวของตนไปแล้วกระมัง



อาจารย์หญิงที่อบรมสั่งสอนคล้ายเป็นผู้มีพระคุณดั่งมารดาคนที่สองของเหล่าศิษย์...เรื่องนี้ยังยอมรับได้บ้าง หากแต่คนอย่างแม่นางแซ่เจิ้งจะเป็นมารดาใครได้กัน มารดาควรทำอาหารได้ปลอบลูกชายเป็น อาจารย์หญิงแม้เลี้ยงดูศิษย์เป็นอย่างดี แต่นางทำอาหารไม่ได้ ปลอบโยนใครก็ไม่เป็น ความสำราญนอกจากการทรมานปั่นหัวผู้คนคือการให้อาหารปลาทองยักษ์ ยกนางเป็นมารดาชีวิตเจ้าจะไม่อับจนเกินไปหรอกหรือ



“นอกจากท่านแม่กับอาจารย์...ก็ไม่มีใครดีกับข้าแล้ว” แม้มองไม่เห็นหน้าแต่ข้ายังคงเดาได้ว่าสีหน้าของไป๋เจี๋ยยามนี้คงย่ำแย่มากนัก ข้าถอนหายใจแผ่วเบาแล้วกระชับเขาแน่นขึ้น คุณชายที่มีชีวิตสุขสบายมาโดยตลอดเช่นข้าย่อมไม่อาจเข้าใจความยากลำบากของเขาได้ แต่ความรู้สึกสงสารกลับมีอยู่เต็มหัวใจเลยทีเดียว



“มีศิษย์พี่ก็เหมือนมีพี่ชาย นับจากนี้ถือเสียว่าข้าเป็นครอบครัวของเจ้าคนหนึ่ง ครอบครัวที่ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ล้วนอยู่ข้างกายก้าวข้ามอุปสรรคไปด้วยกัน” ข้ากล่าวได้องอาจจริงจังยิ่งนัก ที่ผ่านมาไป๋เจี๋ยเป็นตายร้ายดีไม่รู้ว่าสาเหตุใดก็ดื้อดึงไม่ยอมเรียกข้าว่าศิษย์พี่ มาคราวนี้ให้เรียกว่าพี่ชายแทนไม่รู้ว่าผู้อื่นจะยอมเรียกหรือไม่



“...” ไป๋เจี๋ยเงียบหายไปอีกครั้ง จนข้ารู้สึกคับข้องใจว่าเยี่ยอู๋จวินผู้นี้มีส่วนไหนที่ไม่ดีกัน สกุลเยี่ยเป็นสกุลเซียนใหญ่มีอำนาจเงินตราเสียกว่าสกุลไป๋เสียอีก ทั้งหน้าตาทั้งรากฐานปราณสำหรับศิษย์ในรุ่นเดียวกันถือว่าข้าเป็นอันดับหนึ่ง อุปนิสัยร่าเริงเข้ากับคนง่ายจิตใจดี ล้วนดีงามทั้งสิ้นมิใช่หรือ จิตฟุ้งซ่านอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายคิดขึ้นว่าควรเข้านอนได้แล้ว พอปิดเปลือกตาลงกลับได้ยินเสียงใสอันแฝงด้วยความลังเลดังขึ้นอย่างแผ่วเบา “...อู๋เกอ”



ริมฝีปากที่บึ้งตึงคลี่ออกเป็นรอยยิ้มเมื่อไรข้าเองก็ไม่ทันได้รู้ตัว ปลายนิ้วตบแผ่นหลังเล็กอย่างแผ่วเบา เสียงที่เอ่ยออกไปอ่อนโยนยิ่งกว่าเวลาข้าปลอบน้องหญิงชายของตนเสียอีก ภายหลังมาย้อนคิดดูนี่คงเป็นความหวั่นไหวใกล้ชิดอย่างหนึ่ง “อืม...จากนี้ไปอู๋เกอจะดีกับอาเจี๋ยให้มาก นอนได้แล้ว”



พ้นจากคืนนั้นระยะห่างที่อีกฝ่ายเคยมีพลันลดลงเสียจนไม่มีช่องว่างตรงกลางอีกต่อไป ยามกลางวันข้าฝึกวิชาของข้า จัดการกิจธุระการงานของอาจารย์ หากมีเวลาว่างค่อยไปนั่งดูการแลกเปลี่ยนวิชาระหว่างไป๋เจี๋ยและศิษย์จากยอดเขาอื่น ตกเย็นหลังหุงหาอาหารแล้วจึงกลับถึงเรือนพักทำแผลให้ศิษย์น้อง คอยชี้แนะเคล็ดวิชาบางอย่างที่พอแนะนำได้ ยามดึกนอนข้างกาย เวลาเขาละเมอร้องไห้ก็คอยปลอบ บางครั้งโอบกอดเขาจนถึงเช้ายังมี ผ่านไปหลายเดือนนิสัยนอนละเมอลดลงจนหายไปแล้ว สิ่งที่เพิ่มมาเป็นความเคยชินที่ต้องมีข้านอนเคียงข้าง สุดท้ายไป๋เจี๋ยจึงย้ายห้องมาถาวรโดยมิบอกอาจารย์



เมื่อศิษย์น้องเข้าสำนักมาได้เกือบหนึ่งปี ฝีมือคนเร่งรุดก้าวหน้าจนตามหลังข้าอยู่ไม่ไกลนัก จากเคยโดนผู้อื่นทุบตีกลายเป็นทุบตีผู้อื่นแทน ศิษย์จากยอดเขาอสูรคำรามและยอดเขานภาไร้สรรพเสียงคงรวมตัวร้องเรียนท่านเจ้าสำนักกันกระมัง อาจารย์อาเสิ่นถึงได้เดินหน้าเคร่งมาหาอาจารย์หญิงถึงยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งคนก็จากไป การแลกเปลี่ยนวิชาระหว่างสามยอดเขาจึงถึงคราวจบลง ท่ามกลางความยินดีของเหล่าศิษย์รักของอาจารย์อาโจวและอาจารย์อาเหลียงพร้อมคำร่ำลือว่าศิษย์ของเจิ้งปิงฉินทั้งสองคนล้วนเป็นอัจฉริยะเหนืออัจฉริยะ แม่นางแซ่เจิ้งช่างตาถึงดีแท้



ยามนี้ไป๋เจี๋ยมิได้ถูกผู้คนทุบตีอีกต่อไป ใบหน้าย่อมไม่บวมช้ำน่าสลดเหมือนแต่ก่อนแล้ว แม้ยังเยาว์วัยแต่องคาพยพและผิวขาวจัดดั่งหิมะล้วนประกอบกันได้เหมาะเจาะดียิ่ง กอปรกับนิสัยขยันไขว่คว้าหาความรู้ยิ่งทำให้รวมกันแล้วดูแล้วเป็นเด็กหนุ่มหน้าตางดงามอนาคตไกลไม่น้อยหน้าคุณชายจากสกุลใหญ่เลยสักนิด



อาจารย์หญิงมีมรรคาในการสั่งสอนเหล่าศิษย์ได้แปลกประหลาดตามนิสัยของนาง นอกเหนือไปจากการสอนสั่งรายเฉพาะบุคคลแบบพิเศษที่เดือนสองเดือนจะมีครั้ง ส่วนใหญ่แล้วมักเป็นช่วงเวลาอิสระอยากเรียนรู้สิ่งใดก็แล้วแต่ความพากเพียรของเจ้าเถิด ภายใต้การอบรมเลี้ยงดูจากแม่นางแซ่เจิ้งไม่ถึงปี ไป๋เจี๋ยก็กลายเป็นคนกระหายความก้าวหน้าใฝ่หาความสำเร็จไปเสียแล้ว เมื่อไม่มีศิษย์จากยอดเขาอื่นมาให้ทะเลาะวิวาท ซ้ำยังเรียนรู้ได้ว่องไว เขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายเป็นการออกล่าภารกิจที่สำนักรับเรื่องร้องเรียนต่างๆ มาจากทั่วสารทิศแทน สามวันห้าวันหายตัวไปครั้งหนึ่ง พอกลับมาก็ขนข้าวของเงินตรามากมายกลับมาด้วย ทำให้อาหารการกินความเป็นอยู่ยิ่งสะดวกสบายดีขึ้น ช่างเป็นตัวเรียกความมั่งคั่งดีแท้



ตั้งแต่มีศิษย์น้องเพิ่มเข้ามาให้ข้าดูแล เยี่ยอู๋จวินจากมีชื่อเคยเป็นยอดฝีมือแถวหน้าในรุ่นเดียวกันพลันเก็บตัวเงียบหายหน้าหายตา เวลาที่ผ่านมาใช่ว่าตบะไม่คืบหน้า เพียงแต่ข้ามัววุ่นวายจัดการเรื่องราวต่างๆ จนมิได้มีโอกาสไปทำภารกิจสร้างชื่อเท่านั้น ครั้นเห็นไป๋เจี๋ยแข็งแกร่งขึ้นดูแลตนเองได้ มิใช่ขอทานน้อยผู้อ่อนแอโดนรังแกได้ง่ายดายเหมือนแต่ก่อน จึงคิดได้ว่าเอ้อระเหยลอยชายมาเป็นครึ่งปีแล้ว คราวนี้สมควรปิดด่านเก็บตัวทะลวงระดับเสียที



แจ้งความต้องการกับอาจารย์ขอใช้ถ้ำน้ำแข็งเป็นที่เรียบร้อย ข้ากล่าวลาพร้อมสอนสั่งไป๋เจี๋ยอยู่อีกหลายคำว่าให้เขาดูแลตนเองให้ดี อย่าได้ทะเยอทะยานเกินไปจนเป็นภัย เห็นศิษย์น้องเรียกอู๋เกอขอบตาแดงเรื่อก็ได้แต่ตบบ่าปลอบใจว่าข้าเพียงเก็บตัวทะลวงขั้นมิได้เสี่ยงตายถึงแก่ชีวิตเสียเมื่อไร หากระดับแค่นี้ยังผ่านไม่ได้ เคราะห์อัสนียามเลื่อนระดับเป็นเซียนคงไม่รอดกันแล้ว



เดิมทีระยะเวลาที่ปิดด่านกินเวลาราวสามเดือน ข้ากลับใช้เวลาเพียงเจ็ดวันเท่านั้น รอจนคิดว่ารากฐานแข็งแรงดีจึงเก็บข้าวของออกมาจากถ้ำน้ำแข็ง ในยามนี้ข้าถือว่ามีระดับสูงสุดในบรรดาอนุชนและศิษย์รุ่นใกล้เคียงกัน ต่อให้ไม่ได้มีนิสัยหยิ่งผยอง แต่คราวนี้มิต้องไว้หน้ากว่าใครยิ่งกว่าเดิมแล้ว



ข้าเดินกลับเรือนพักของตนเพื่อไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชำระกาย เหลือบเห็นอาจารย์อาโจวหน้าตาคมคายท่าทางสูงสง่ายืนแอบหลังต้นไผ่แล้วอดคิ้วกระตุกขึ้นมาไม่ได้ สายตาของโจวอี้กั๋วจับจ้องไปยังแม่นางแซ่เจิ้งที่ยืนให้อาหารปลาทองยักษ์สัตว์เลี้ยงสุดโปรดของนางอยู่กลางสะพาน เวลานี้คนมิต้องพาศิษย์มาแลกเปลี่ยนความรู้อีกต่อไป จึงมิได้มีกิจธุระให้มาพบปะสตรีผู้ดีงามได้บ่อยๆ อีกต่อไปแล้ว อาจารย์อาแซ่โจวอันที่จริงมีบุคลิกงามสง่ามิใช่หรือ ไยกระทำการดังคนโรคจิตชอบแอบดูเช่นนี้



ความสัมพันธ์รักสามเส้าของอาจารย์หญิง อาจารย์อาเหลียงและอาจารย์อาโจวนับวันยิ่งผลักดันให้คนเพี้ยนหนักยิ่งกว่าเดิมแล้ว อาจารย์อาโจวชอบมาเกาะต้นไผ่แอบมองแม่นางแซ่เจิ้งแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อาจารย์อาเหลียงยามเห็นแม่นางแซ่เจิ้งก็มือไม้พันกันพูดจาฟังไม่รู้เรื่อง ถึงผู้เยาว์ไม่ควรไปวุ่นวายเรื่องราวของผู้อาวุโส แต่ปล่อยผู้คนเอาไว้เช่นนี้ย่อมไม่เป็นการดี เกรงว่าข้าต้องหาเวลาพูดคุยกับเจิ้งปิงฉินสักหน่อย



ข้าทำเป็นไม่เห็นภาพน่าอดสูเบื้องหน้าแล้วเดินเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง อาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกายจนเสร็จ ค่อยออกเดินหาศิษย์น้อง แต่ทั่วทั้งยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์กลับไม่พบเจอผู้คน ไป๋เจี๋ยคงไปรับภารกิจหาวิธีฝึกปรือตัวเองเหมือนเช่นเคย ข้าเองก็ห่างหายจากการลงเขาออกนอกสำนักไปเนิ่นนาน จึงคิดว่าควรไปรับภารกิจบ้างเช่นกัน เดือนหน้าจะเป็นวันครบรอบหนึ่งปีที่ศิษย์น้องเข้าสำนักและถือว่าเป็นวันเกิดของเขาอีกด้วย ปีนี้คนอายุสิบสาม ควรมีของดีติดกายเสียบ้าง



พอไปถึงยอดเขาปราการโลหิตกลับพบว่าอาจารย์อาซูผู้แจกจ่ายภารกิจให้กับเหล่าศิษย์ในสำนักมิได้อยู่ประจำที่เช่นเคย หากมีแต่ศิษย์พี่ตู้ผู้มีนิสัยเรียบร้อยจริงจังคอยส่งป้ายหยกจำแนกตามระดับให้กับศิษย์จากยอดเขาอื่นๆ อยู่ คนเงยหน้ามองข้าที่เพิ่งเลื่อนระดับด้วยสายตาอันเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม ยังไม่ทันได้เลือกหาภารกิจที่เหมาะสมกับตนกลับได้ยินเสียงหนึ่งจากด้านหลังเสียก่อน



“ทำแบบนี้จะดีหรือศิษย์พี่ไป๋ ใช้โอกาสที่ศิษย์พี่เยี่ยเก็บตัวฝ่าด่านมอบภารกิจยากเย็นเช่นนั้นให้ไป๋เจี๋ย หากคนล่วงรู้เข้าจะไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรือ” ได้ยินเสียงที่พาดพิงทั้งตนเองและศิษย์น้อง ย่อมทำให้ป้ายหยกที่ถืออยู่ในมือชะงักค้างไป ข้าเหลือบมองหางตาเห็นเป็นศิษย์น้องหญิงคนหนึ่งกำลังพูดจากับพี่ชายต่างมารดาของไป๋เจี๋ยอยู่



“ข้าหรือจะเกรงกลัวคนแซ่เยี่ย” เสียงหัวเราะของไป๋หลี่เหอดังทิ่มแทงโสตประสาทยิ่งนัก คนสกุลไป๋อายุมากกว่าข้าห้าหกปี เข้าสำนักมาก่อนรุ่นหนึ่ง แต่ก่อนมีระดับสูงกว่าขั้นหนึ่งจึงคิดว่าสามารถรับมือข้าได้ไม่ยากนั้น หากเขายังไม่รู้ว่าข้าออกจากการกักตนซ้ำระดับยังเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าเดิมก้าวหน้ากว่าเขาหลายขั้น “กว่าเยี่ยอู๋จวินจะออกมา เจ้าหมาป่าตาขาวตัวนั้นคงไม่เหลือแม้แต่เสี้ยววิญญาณกระมัง”



ศิษย์พี่ตู้เห็นหน้าตาข้าเครียดขึ้งจนส่งรังสีอำมหิตออกมาทั่วก็รีบร้อนส่งป้ายหยกภารกิจอันหนึ่งให้ด้วยมืออันสั่นเทา ข้ากวาดตาอ่านตัวอักษรด้วยความรู้สึกหนาวเหน็บ เมืองเฮ่าทางที่ราบตอนเหนือมีปีศาจกลืนจิตออกอาละวาด ปีศาจตนนี้เริ่มจากกลืนจิตหมู่บ้านเล็กๆ ทางทิศตะวันออก จากนั้นย้ายมาเมืองเฮ่า ใช้เวลาเพียงสิบวันกลืนจิตผู้คนมากมายทั่วเมืองจนชาวบ้านหลบหนีทั้งเมืองเหลือแต่เมืองร้าง



ปีศาจกลืนจิตมีลักษณะคล้ายหมอกควันสีดำชนิดหนึ่ง แม้มิใช่ปีศาจที่มีตบะแกร่งกล้า แต่มันกลับรู้จักจับจุดอ่อนของมนุษย์ยิ่งนัก มันลอบเข้าไปในความนึกคิดและจิตใจเพื่อดึงนำความทรงจำอันเลวร้ายดำมืดออกมา เฝ้ารอให้คนเป็นบ้าคลุ้มคลั่งอาละวาดแล้วจึงกินดวงจิตดวงวิญญาณ ปีศาจตัวนี้กลืนจิตผู้คนไปทั้งเมือง มิรู้ว่ายามนี้ดุร้ายถึงเพียงใด อันที่จริงควรเป็นภารกิจสำหรับศิษย์ที่มีระดับสูงอย่างน้อยกลุ่มใหญ่สักสิบคน การส่งไป๋เจี๋ยผู้มีอดีตน่าสงสารไปเพียงผู้เดียว มิใช่ว่าส่งเขาไปหาความตายหรอกหรือ



ศิษย์จากยอดอัสนีพิสุทธิ์ควรระงับเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาเพื่อแผ้วทางการบำเพ็ญเพียรเป็นเซียนไว้ล่วงหน้า แต่ยามนี้ข้าเกิดโทสะถึงขีดสุดแล้ว ข้าส่งป้ายหยกคืนให้กับศิษย์พี่ตู้แล้วพุ่งตัวไปหาตัวสวะแซ่ไป๋ผู้นั้นทันที



“ดียิ่งนักไป๋หลี่เหอ” เจ้าของชื่อเพียงหันกลับมาตามคำเรียก ข้าก็เท้ายกขึ้นถีบพี่ชายของไป๋เจี๋ย ผู้คนไม่ทันได้ตั้งตัวจึงคนถลาไปชนโต๊ะข้าวของร่วงแตกมากมาย ตามกฎแล้วห้ามศิษย์สำนักเดียวกันทำร้ายกันเองนอกสนามประลอง ยามนี้ข้าเยี่ยอู๋จวินเลือดขึ้นหน้ามีหรือจะสนใจกฎบ้าบออันใดอีก เขากล้าเล่นแง่ย่อมควรรู้ว่าอาจได้รับผลสิ่งใดกลับไปบ้าง “ข้าปิดด่านเพียงไม่กี่วัน เจ้าถึงขั้นส่งเขาไปหาความตาย ปีศาจกลืนจิตเช่นนั้นหรือ...ช่างดียิ่งนัก”



“ศิษย์พี่เยี่ยโปรดระงับโทสะด้วย” เสียงร้องโวยวายของศิษย์จากยอดเขาปราการโลหิตและยอดเขาอื่นๆ ดังขึ้นทั่ว แต่ศิษย์พี่เยี่ยที่ว่ามีหรือจะสนใจ เพียงปลดปล่อยแรงกดดันออกมาร่างนับสิบก็ร่วงหล่นอยู่บนพื้นด้วยความอึดอัดทรมาน ข้าคว้ารอบลำคอของไป๋หลี่เหอยกคนขึ้นมาด้วยมือเพียงข้างเดียว ผู้อื่นพยายามใช้ทั้งแรงกายและพลังปราณตอบโต้ แต่ไหนเลยจะสามารถสู้ศิษย์ของแม่นางแซ่เจิ้งได้ เห็นเขาหน้าเขียวหน้าแดงใกล้หมดลม ข้าจึงโยนร่างผู้สูงวัยกว่าลงบนพื้น คนแซ่เยี่ยยังไม่เสร็จธุระกับคนผู้นี้ ย่อมไม่อนุญาตให้เขาขาดใจตายได้



“คิดรังแกเขาก็เหมือนหาเรื่องข้าเยี่ยอู๋จวินแห่งยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์”



กระบี่พันหมื่นแสงดาราที่อาจารย์มอบให้เมื่อวันเกิดอายุสิบห้าปีปักดินกับเฉียดข้างแก้มของไป๋หลี่เหอจนปรากฏเส้นเลือดตามรอยกระบี่ ข้าใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบบนหน้าอกของอีกฝ่ายไว้ ริมฝีปากกระตุกเป็นรอยยิ้มเย็นเยียบราวฉาบด้วยเกล็ดน้ำค้างแข็ง ตัวบัดซบสกุลไป๋กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง แม้จะพยายามเก็บอาการไว้เพียงใด หากแววตาและน้ำเสียงต่างสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว “แค่เด็กที่ไม่ควรมีชีวิตอยู่เพียงผู้เดียว เจ้ากลับกล้าล่วงเกินสกุลไป๋และสกุลจิน คิดว่าตนเก่งกาจอยู่เหนือใครหรือเยี่ยอู๋จวิน! ”



“เก่งกาจอยู่เหนือเจ้าก็คงพอกระมัง” ข้าถ่มน้ำลายใส่ผู้ที่นอนอยู่บนพื้น จากนั้นเลื่อนเท้าไปกระทืบจุดตันเถียนบนหน้าท้องของไป๋หลี่เหออีกครั้งหนึ่งเพื่อระบายโทสะ เพียงเท่านั้นพลังปราณที่มิอาจนับได้ว่าแข็งแกร่งพลันสูญสลายไปเสียครึ่ง ตบะที่บำเพ็ญเพียรมาอย่างยากลำบากถดถอยไปหลายขั้น ความจริงข้าออมแรงไว้มากนัก หากออกแรงเพิ่มขึ้นอีกส่วนชีวิตสารเลวนี้คงไม่ต้องเก็บเอาไว้อีกต่อไปแล้ว



“แต่ไหนแต่ไรข้ากล่าวสิ่งใดทำสิ่งนั้น ให้ฟ้าดินและศิษย์พี่ศิษย์น้องของเจ้าเป็นพยานเถิดไป๋หลี่เหอ” ข้ากวาดตามองเหล่าศิษย์ในชุดสีแดงเข้มของยอดเขาปราการโลหิตด้วยสายตาอำมหิต เห็นแต่ละคนตัวเล็กลีบแทบไม่กล้าหายใจ ไหนเลยจะมีใครกล้าร้องบอกว่าศิษย์พี่เยี่ยระงับโทสะด้วยได้อีก “หากศิษย์น้องของข้ามีหนึ่งบาดแผล ข้าทุบตีเจ้าสิบบาดแผล หากเขากระดูกหักหนึ่งท่อน ข้าหักกระดูกเจ้าสิบท่อน”



ข้าชักกระบี่พันหมื่นแสงดาราเก็บกลับเข้าไปในฝักกระบี่แล้วประกาศกร้าวด้วยถ้อยคำที่ไม่ใช่เพียงคำข่มขวัญ แต่เป็นคำสัตย์สาบานที่ทำได้จริง



“หากเขาไม่รอดชีวิตกลับมา สิ่งที่สกุลไป๋จะได้รับจากคนสกุลเยี่ยคงไม่พ้นเถ้ากระดูกของเจ้าและน้องชายอีกคนที่อยู่ยอดเขาทิพย์โอสถเป็นแน่! ”



โปรดติดตามตอนต่อไป...





ซินเอ๋อร์:


เขียนแล้วก็รู้สึกว่าอู๋เกอวัยใสนี่เท่มาก ตอนโตดันเป็นผีลามกไปซะได้ นี่คือชีวิตคนเราไม่แน่ไม่นอนค่ะ (?) ตอนย้อนอดีตน่าจะมีอีก 2-3 ตอนจะจบนะคะ เรื่องบางเรื่องก็จะเฉลยค่ะ โดยเฉพาะความรู้สึกของอู๋เกอที่ว่ารักหรือไม่รักอาเจี๋ยกันแน่ แต่อ่านมาถึงตอนนี้คิดว่าน่าจะเดากันได้แล้วว่าในอดีตอู๋เกอรู้สึกยังไงกันแน่ ส่วนในปัจจุบันจะเล่ากันต่อไปในโอกาสหน้าค่าาา
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 16 คห.50 [P.2, 21-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Frankdar ที่ 21-10-2019 22:45:49
อิพี่ใส่ใจขนาดนี้จะไม่ให้น้องรักได้ยังไง สงสารอาเจี๋ย ต้องเจออะไรบ้าง  :hao5:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 16 คห.50 [P.2, 21-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 22-10-2019 13:06:53
 :3125:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 16 คห.50 [P.2, 21-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 23-10-2019 01:04:27
รอๆ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 16 คห.50 [P.2, 21-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ง่วงนอน ที่ 23-10-2019 15:18:00
ลุ้นคู่พระนายมาก ใครคู่ใครหนอ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 17 คห.55 [P.2, 25-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 25-10-2019 19:00:33
บทที่ 17 ความรู้สึกลึกซึ้งอันแสนพูดยากเมื่อปีนั้น (3)



เมืองเฮ่าอยู่ห่างไกลเพียงใด ผู้ฝึกเซียนทั่วไปขี่กระบี่บินยังต้องใช้เวลาสองสามวัน ข้าเยี่ยอู๋จวินร้อนใจเพียงใด พุ่งทะยานมาหนึ่งคืนเต็มถึงยามรุ่งสางก็ถึงที่ราบทางตอนเหนือจนได้ บริเวณรอบนอกท้องฟ้าเริ่มกระจ่างเห็นแสงทองร่ำไร หากพอเข้าเขตเมืองเฮ่ากลับเห็นทั้งเมืองมีหมอกดำปกคลุมกลางวันกลางคืนแยกความต่างไม่ออก ถึงจิตใจสั่นไหวเพียงใด สิ่งที่ทำได้เพียงการลดระดับกระบี่ลงเมื่อเข้าเขตเมือง หมอกดำหนาเช่นนี้ต่อให้อยู่ที่สูงเพียงใดก็ยังคงบดบังทัศนวิสัย ซ้ำพลังปราณยังอาจดึงดูดปีศาจกลืนจิตเข้ามาเสียอีก



ไอทะมึนปกคลุมทั้งเมืองกินระยะหลายสิบลี้บ่งบอกว่าปีศาจกลืนจิตตนนี้ยิ่งทวีความแข็งแกร่งมากกว่าเดิมนัก ผู้ฝึกเซียนที่จิตใจไม่มั่นคงเข้มแข็งพอย่อมมิอาจรับมือมันได้ง่ายดาย แค่อาการร้อนใจเพียงเล็กน้อยที่ข้าแสดงออกมาก็เรียกกลุ่มไอดำมืดเข้ามาล้อมรอบกาย หมอกควันเหล่านั้นพยายามชอนไชจากหูและจมูกเพื่อฝังตัวเข้ามาในร่างค้นหาความทรงจำที่แสนเลวร้ายและเล่นตลกกับจิตใจของมนุษย์ หากแต่กลับถูกข้าใช้พลังปราณบางส่วนทำลายไปเสียก่อน



วิธีรับมือปีศาจกลืนจิตเหล่านี้คือต้องมีจิตใจที่แน่วแน่แรงกล้า ข้าผ่อนลมหายใจพยายามคลายความวิตกกังวลต่างๆ นานาออกไป จากนั้นหยิบเอาปิ่นเงินเล็กเรียวที่อาจารย์หญิงใช้ให้นำไปทำซ่อมแซมมากำไว้ในมือซ้าย ปล่อยให้ปลายปิ่นอันแหลมคมแทงเข้าไปกลางฝ่ามือเพื่อเรียกสติของตนเองไว้ ให้สมองมีเพียงความมุ่งมั่นที่จะตามหาศิษย์น้องผู้มีชะตาชีวิตน่าสงสารผู้นั้น ทั้งพยายามอดกลั้นไม่ให้อารมณ์ลบอื่นใดมาเจือปน ด้านมือขวาชักกระบี่พันหมื่นแสงดาราออกจากฝักเพื่อใช้รัศมีสีเงินของกระบี่ช่วยปัดเป่าขับไล่ไอหมอกบางส่วนออกไป



กระบี่พันหมื่นแสงดาราสมแล้วที่เจิ้งปิงฉินแห่งยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ตีขึ้นด้วยตนเอง นอกจากพลังอันแข็งแกร่งแล้ว จิตวิญญาณของกระบี่ยังทั้งศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ อาจารย์เคยกล่าวว่ากระบี่เล่มนี้มีสัมพันธ์เชื่อมโยงกับจิตใจผู้เป็นเจ้าของ ข้าอาจมีรากฐานปราณแข็งแกร่งมีจิตใจแข็งกล้า หากบางส่วนยังเป็นมนุษย์ปุถุชนยังมิได้บริสุทธิ์ถึงเพียงนั้น เพียงเพราะพันหมื่นแสงดารารับข้าเป็นเจ้านาย พลังบางส่วนจึงถ่ายทอดมาถึงจิตวิญญาณ จนเกิดภาพที่ว่าข้าเยี่ยอู๋จวินเดินผ่านไปที่ใด หมอกควันของปีศาจกลืนล้วนพลันสลายไปตามทาง



การเดินตามหาคนในเมืองร้างช่างเสียเวลาอย่างยิ่ง เพราะไม่เห็นแสงอาทิตย์ทำให้แยกแยะไม่ออกระหว่างกลางวันและกลางคืน ข้าโยนลูกหินเสี่ยงทายปล่อยให้มันกลิ้งนำทางไปตามพื้น ครั้นเดินถึงใจกลางเมืองเฮ่าก็คิดว่าเวลาคงผ่านไปสักสองชั่วยามได้แล้ว บริเวณนี้มีหมอกควันดำปกคลุมมากที่สุด ข้าสัมผัสได้ถึงจิตสังหารและความไม่พอใจอย่างรุนแรงที่มีต่อแสงสีเงินของกระบี่พันหมื่นแสงดาราที่โอบล้อมกายมากขึ้นทุกที เกรงว่าร่างต้นกำเนิดของปีศาจกลืนจิตคงอยู่แถบนี้



ลูกหินกลมหยุดลงเมื่อข้าเดินไปถึงคฤหาสน์หรูหรามีป้ายติดด้านหน้าว่าคล้ายเป็นจวนเจ้าเมือง ก้าวเข้าไปจนถึงในสวน รัศมีสีเงินจากกระบี่สาดส่องให้เห็นร่างคุ้นตาในชุดสีเทาลายสวัสติกะที่นอนคุดคู้อยู่หลังภูเขาจำลอง ข้าเก็บกระบี่รีบพุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยความรวดเร็ว จากนั้นจึงโอบอุ้มคนขึ้นมาแนบกับอก ไป๋เจี๋ยอยู่ในเมืองบัดซบนี่มาเกือบสี่วัน แม้ร่างกายไม่ปรากฏบาดแผลใหญ่โต แต่มิรู้ว่าภายในจะเป็นเช่นไรบ้าง หากบาดเจ็บไปถึงดวงจิตอาจส่งผลกระทบต่อหนทางเซียนในภายภาคหน้าได้



“อู๋เกอ...” แพขนตายาวเปิดขึ้นจนเห็นดวงตาที่แดงก่ำ กลีบปากบางแตกระแหงจนเห็นเลือดซิบที่มุมปาก คนกระซิบแผ่วเบาอย่างอ่อนระโหยโรยแรงเป็นอย่างยิ่ง ปลายนิ้วแตะลงบนท่อนแขนของข้าคล้ายต้องการพึ่งพิง ลมหายใจบางเบาจนคล้ายจะปลิดปลิวทุกที “เป็นท่านหรือ...”



“ย่อมเป็นข้า...อาเจี๋ยอดทนสักหน่อย ข้าจะพาเจ้าออกไปเอง” ข้าตอบกลับด้วยความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เขายังมีชีวิตอยู่ แม้ปีศาจกลืนจิตตนนี้จะแข็งแกร่งเพียงใดกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย ในใจมีเพียงความหาญกล้าดั่งลูกวัวไม่กลัวเสือ ข้าเยี่ยอู๋จวินรากปราณแข็งแกร่งมีอาวุธวิเศษที่อาจารย์ตีให้ ซ้ำยังเป็นอัจฉริยะผู้หนึ่งของยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ หากปีศาจสารเลวแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ วันข้างหน้าก็ไม่ต้องเป็นเซียนมันแล้ว



“ข้า...ข้าทรมานยิ่งนัก” ร่างกายในอ้อมกอดสั่นระริก ไป๋เจี๋ยขยับดิ้นไปมาด้วยความทรมาน มือทั้งสองข้างเลื่อนจากท่อนแขนมาเป็นบ่า ไม่รู้เมื่อใดที่ไอหมอกสีดำรอบล้อมกายเสียจนกระทั่งแค่ปลายเท้ายังมองไม่เห็น แต่ข้าสายตาดีกว่าที่ผู้คนคิดเอาไว้มากมายนัก ฉะนั้นมีหรือจะมองดวงตาสีแดงก่ำดังโลหิตอันเต็มไปด้วยรังสีสังหารไม่ออก ดวงหน้าซีดเซียวที่ยังงดงามของศิษย์ผู้น้องบิดเบี้ยวคล้ายเจ็บปวดยิ่งนัก เสียงใสกังวานละล่ำละลักตะโกนบอกข้าด้วยความสับสน “หนีไปอู๋เกอ! ก่อนที่ข้าจะฆ่าท่าน! ”



สิ้นคำเตือนมือทั้งสองที่เกาะอยู่บนบ่าก็เลื่อนมากำรอบลำคอข้าด้วยแรงมหาศาล ไอหมอกสีดำแพร่กระจายออกมาจากร่างเพรียวเล็ก ซ้ำพยายามชอนไชเข้าสมองจากทั้งทางหูจมูกปาก ปีศาจกลืนจิตตนนี้ช่างดียิ่งนัก ถึงกับใช้ร่างของไป๋เจี๋ยมาลอบทำร้ายข้า คิดหรือว่ากลลวงหลอกเด็กเพียงเท่านี้ข้าจะมองไม่ออก แรงรัดรึงรอบลำคอทรมานข้าไม่น้อย หากข้ากลับรั้งร่างศิษย์น้องเข้ามาแนบชิดยิ่งขึ้น กดฝ่ามือลงบนแผ่นหลังเล็กพร้อมกับควบคุมให้กระบี่พันหมื่นแสงดาราเลื่อนออกจากฝัก จากนั้นจึงถ่ายทอดพลังบริสุทธิ์เข้าไปทำลายปีศาจชั่วจากภายใน



เสียงกรีดร้องแหบแห้งโหยหวนของปีศาจกลืนจิตดังขึ้นจากริมฝีปากบาง ร่างเล็กสั่นระริกดิ้นปัดป่ายไปมามองดูแล้วน่าสงสารน่าเวทนา ข้าเร่งให้กระบี่รีบสำแดงฤทธิ์เดชมากยิ่งขึ้น พร้อมกับที่กระชับกอดเขาแน่นขึ้นพลางแนบริมฝีปากกับขมับเอ่ยถ้อยคำปลอบใจเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า “อดทนอีกนิด ใกล้จบแล้ว...หากเสร็จธุระแล้วอู๋เกอจะเอาขนมให้เจ้า”



“อู๋เกอ...หนีไป ข้าไม่อยากฆ่าท่าน” ชั่วครู่หนึ่งเสียงร้องกลับมาเป็นไป๋เจี๋ยอีกครั้ง หางตาหงส์ปรากฏหยาดน้ำตาแวววาวที่เริ่มไหลริน พลังอันรุนแรงที่ข้าทุ่มเข้าไปโดยไม่สนใจว่าจะเผาผลาญอายุขัยหรือพลังปราณเท่าใด ย่อมทำให้ปีศาจกลืนจิตต้านไม่ไหวอีกต่อไป หมอกดำที่สิงสู่ร่างของศิษย์น้องเริ่มไหลทะลักออกมาจากทางช่องปากเพื่อหนีตาย ข้ามีหรือที่จะปล่อยให้มันรอดไปได้



ยามนั้นไม่รู้ว่าสิ่งใดดลใจหรือสมองไม่สั่งการ เพื่อสกัดกั้นปีศาจกลืนจิตไม่ให้หนีออกมาได้ ข้าถึงกลับใช้ปากตนเองแนบเข้ากับกลีบปากบางของไป๋เจี๋ย แรกเริ่มเป็นเพียงการทาบทับแผ่วเบาเท่านั้น แต่ครู่หนึ่งกลับรู้สึกว่าริมฝีปากของศิษย์น้อง แม้จะแตกระแหงอยู่บ้างแต่กลับนุ่มมาก ข้านึกสงสารเขาขึ้นมาจึงแลบลิ้นเลียให้มันกลับมาชุ่มชื้นอีกครั้ง เมื่อทำครั้งหนึ่งแล้วกลับรู้สึกดีอยู่ไม่น้อยจึงไล่เลียซ้ำไปมาอย่างอดใจไม่อยู่ กระทั่งปีศาจกลืนจิตถูกพลังของข้าและรัศมีสีเงินจากกระบี่พันหมื่นแสงดาราทำลายไปแล้ว ข้าก็ยังคงแนบจุมพิตคลอเคลียไม่ห่างอยู่อย่างนั้น



ถูกก่อกวนไม่หยุดเช่นนั้น ไป๋เจี๋ยคงอาจนึกรำคาญใจขึ้นมากระมัง เขาถึงขยับริมฝีปากขบเม้มปลายลิ้นที่ซุกซนของข้าอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นทำให้ข้ารู้สึกสั่นสะท้านชาวาบเหมือนมีขนนกปัดผ่านทั้งร่างกายทั้งหัวใจ ข้ารีบถอนตัวผละออกมาทันทีด้วยความตื่นตกใจ ครั้นเหลือบมองกลับพบว่าสองตาของเขายังคงปิดสนิทไม่ได้สติ แต่กลีบปากกลับแวววาวด้วยหยาดน้ำใส ข้าลอบกลืนน้ำลายเบาๆ ความรู้สึกเสียดายพลุ่งพล่านอยู่เต็มหัวใจ ก่อนต้องรีบข่มกลั้นกดอารมณ์นั้นลงไปอย่างรวดเร็ว



ข้าที่เป็นศิษย์พี่ควรปกป้องดูแลเขาอย่างพี่ชายกลับฉวยโอกาสล่วงเกินศิษย์น้องในยามที่เขาไม่ได้สติ! ข้ามันเป็นตัวลามกบัดซบเยี่ยอู๋จวิน! คงเพราะสืบทอดสายเลือดมาจากเยี่ยหย่งฟางเป็นแน่แท้ ข้าจึงได้กระทำการสารเลวพรรค์นั้นลงไปได้ ข้าได้แต่ตีอกชกหัวอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งหมอกดำสลายไปหลายส่วนจนเห็นแสงอาทิตย์สาดส่องจากฟากฟ้า สติที่หลุดลอยไปก็หวนกลับคืนมาจนได้



การเอาชนะปีศาจกลืนจิตแม้ไม่ได้ยากเย็นแสนเข็ญ แต่ก็ทำให้ข้าหมดเรี่ยวแรงไปได้ไม่น้อย จึงคิดว่าหากต้องขี่กระบี่บินกลับสำนักตอนนี้คงเป็นการฝืนแรงกันมากเกินไป ซ้ำไป๋เจี๋ยยังอ่อนแอต้องการการพักผ่อนอยู่มาก ข้าข่มความรู้สึกผิดแล้วช้อนร่างเบาหวิวของเขาขึ้นมา เดินอยู่ในเมืองไม่นานก็พบโรงเตี๊ยมร้างขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง แม้ห้องพักมีมากมายแต่ข้าคิดว่านอนพักห้องเดียวกันนั้นเหมาะสมแล้ว หลายเดือนมานี้เขานอนเคียงข้างข้ามาโดยตลอด ตื่นมาจากครั้งนี้คนย่อมขวัญเสีย หากพบศิษย์พี่ที่ไว้วางใจ อาจทำให้อาการดีขึ้นได้บ้าง...ช่างหาเหตุผลได้เหมาะสมดีนัก



ข้าเช็ดตัวทำความสะอาดและเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ให้ไป๋เจี๋ยจนเสร็จเรียบร้อย ผู้คนก็ยังคงไม่ได้สติ แรกเริ่มคิดว่าควรป้อนยาลูกกลอนบำรุงกายให้เขาสักเม็ด แต่พอจ้องริมฝีปากมากเข้าจิตใจกลับคิดแต่เรื่องหน้าไม่อายเสียได้ สุดท้ายแล้วจึงได้แต่ทอดถอนใจ ล้มตัวนอนข้างกายแล้วดึงเขามากอดเอาไว้ รอให้คนฟื้นขึ้นมาเสียก่อนค่อยว่ากัน มิรู้ว่าต้องตามหาหลักฐานการทำลายปีศาจกลืนจิตด้วยหรือไม่ ข้าใช้วิธีพิสดารกำจัดปีศาจ ลูกกลอนปีศาจย่อมไม่มีเหลือ ป่านนี้คงถูกคนสกุลไป๋ดูดกลืนเสริมพลังไปหมดแล้วกระมัง หวังว่าไอหมอกบางส่วนที่ข้าเก็บใส่ขวดกระเบื้องไว้จะใช้ยืนยันภารกิจเสร็จสิ้นได้ เสียเวลาเสียแรงกายแรงใจเช่นนี้ สิ่งของที่ควรได้รับเป็นรางวัลจากยอดเขาปราการโลหิตอย่างไรก็ต้องได้



ข้าพักสายตาหลับใหลตั้งแต่เย็นจนถึงเวลาแสงอาทิตย์ส่องรำไรอีกครั้ง ความฝันอันยาวนานล้วนเป็นเรื่องลามกมิถูกมิควรดั่งภาพในคัมภีร์สอนรักทั้งสิ้น ยามตื่นนอนขึ้นมาร่างกายเบื้องล่างยังแข็งขืนชูชันขึ้นมาเสียได้ การมองใบหน้ายามหลับใหลของไป๋เจี๋ยไม่อาจทำให้ความรู้สึกรุ่มร้อนจนรวดร้าวสงบได้เลยสักนิด ข้าต้องหลับตากลั้นใจนึกถึงปลาทองยักษ์ของอาจารย์หญิง แม่ไก่ของอาจารย์อาเหลียง พอนึกถึงภาพมันบินไล่จิกข้าเมื่อปีก่อนก็รู้สึกทรมานน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด เฟยจูเชวี่ยช่างทรงพลังดีแท้



“อู๋เกอ...” เสียงกระซิบของร่างในอ้อมกอดดังขึ้นพร้อมกับลมหายใจอุ่นร้อนที่ปะทะกับปลายคางชวนจั๊กจี้ ครั้นลืมตาขึ้นก็เห็นไป๋เจี๋ยที่ตื่นแล้วในนัยน์ตาหงส์อันคลอหน่วยไปด้วยน้ำตาจับจ้องข้าไม่วางตา เขายกมือขึ้นแตะปลายนิ้วกับแก้มของข้าอย่างแผ่วเบา พอเห็นร่องรอยช้ำบนผิว คนพลันชะงักมือในทันที หยาดน้ำใสร่วงเผาะเป็นสายไหลซึมหายไปตามไรผม “เป็นข้าทำร้ายท่านใช่หรือไม่ ข้าเกือบฆ่าท่านแล้วใช่หรือไม่”



“ไม่ใช่เช่นนั้น” ข้าตอบกลับไปทันที ร่องรอยพวกนี้ไหนจะเป็นฝีมือของเขา ล้วนแต่เป็นข้าชกต่อยตนเองเพื่อเรียกสติทั้งนั้น แต่ให้ตอบเช่นนั้นคงมิใช่ที สุดท้ายจึงโกหกหน้าตายเอาตัวรอดออกไป “ต่อสู้กับปีศาจบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยจะเป็นเช่นไรได้ เจ้าอาการหนักหนากว่ามากนัก กินยาสักหน่อยเถิด”



ข้ายันตัวขึ้นนั่งแล้วป้อนลูกกลอนบำรุงกายให้เขาถึงริมฝีปาก ไป๋เจี๋ยดูคล้ายยังเสียขวัญอยู่ไม่น้อย ผู้อ่อนวัยกว่าเอาแต่เกาะดึงชายแขนเสื้อของข้าไม่หยุด สุดท้ายจึงกึ่งนั่งกึ่งนอนกอดปลอบกันอยู่บนเตียงอย่างนั้น ข้าได้แต่ตบหลังปลอบใจเขาเบา ๆ เหมือนยามที่อยู่บนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ไม่มีผิด “มีเรื่องใดไม่สบายใจหรือ”



“ข้าฝันเห็นแต่เรื่องเลวร้ายเต็มไปหมด บางครั้งเห็นตนเองฆ่าอาจารย์ บางครั้งก็เห็นว่ากำลังลงมือฆ่าท่าน แยกแยะมิออกว่าสิ่งใดฝันสิ่งใดจริง” มือทั้งสองข้างของคนสกุลไป๋สั่นระริกจนข้าสัมผัสได้ แต่ครู่หนึ่งก็หยุดลงคล้ายว่าคนตั้งสติกลับมาได้แล้ว นัยน์ตาคู่งามเหลือบมองข้าด้วยสายตาเป็นประกายระยิบระยับ “แต่สิ่งหนึ่งคล้ายปลุกข้าขึ้นมาได้...”



“สิ่งใดกัน”



“มิรู้ว่าฝันหรือจริง...แต่ข้าเห็นอู๋เกอใช้ริมฝีปากแตะข้า ยามนั้นเหมือนช่วยให้ใจสงบขึ้นมาได้” ได้ยินเช่นนั้นข้าถึงกลับชะงักไปไม่น้อย แต่กลับนึกขึ้นได้ว่าตอนนั้นตนเองจูบข้างขมับปลอบใจไป๋เจี๋ย อีกฝ่ายคงจำเรื่องราวได้บ้าง ข้าแนบริมฝีปากลงบนกลางหน้าผากแผ่วเบาเหมือนแมลงปอแตะผิวน้ำ



“มิใช่ตรงนี้” น้ำเสียงของไป๋เจี๋ยสั่นไหวเล็กน้อย ข้ากลั้นยิ้มแล้วขยับไปกดจูบลงบนข้างแก้มแทน ประโยคถัดมาของศิษย์น้องยิ่งสั่นเครือกว่าเดิม “ตรงนี้ก็มิใช่”



จากนั้นก็ไม่มีวาจาอันใดเอื้อนเอ่ยออกมาอีก กลีบปากบางถูกข้าครอบครองไปเสียแล้ว แนบจุมพิตข้างได้ไม่นาน ลมหายใจร้อนและเสียงหัวใจเต้นรัวของคนสกุลไป๋กลับยิ่งดึงดูดให้ข้าลิ้มลองเขามากยิ่งขึ้น ไล่แทะเล็มสัมผัสนิ่มอย่างเชื่องช้า ค่อยขบเม้มหนักขึ้นจนคนหลุดเสียงร้องออกมาแล้วใช้จังหวะนั้นสอดลิ้นรุกล้ำเข้าไปภายใน



แม้จะเป็นครั้งแรกแต่ข้ากลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างมีรสชาติหวานล้ำยิ่งกว่าน้ำผึ้งชั้นดี ยิ่งกวาดกระหวัดไล้เลียมากเท่าไรภายในใจยิ่งรู้สึกวาบหวามขึ้นเท่านั้น หยอกเย้าเพียงไม่นานคนก็เริ่มคล้อยตามการชักนำของข้าเป็นอย่างดี ขยับลิ้นเกี่ยวพันอยู่ครู่หนึ่งจนสัมผัสได้ว่าลมหายใจอีกฝ่ายเริ่มขาดห้วง ข้าจึงยอมถอนริมฝีปากออกมาอย่างอ้อยอิ่งเสียดาย แล้วค่อยช่วยซับหยดน้ำที่ข้างมุมปากด้วยความทะนุถนอม สายตาที่มองศิษย์น้องล้วนอบอุ่นอ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม



เรื่องราวหลังจากนั้นมิได้เกิดเหตุการณ์เกินเลยอันใดไปมากกว่านั้น หากข้าและศิษย์น้องกลับมีความลับร่วมกันอยู่อย่างหนึ่ง จุมพิตแสนหวานที่ได้ลิ้มลองเมื่อคราวนั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นพฤติกรรมความเคยชินไปอย่างหนึ่ง ยามลับตาผู้คนหรือยามอยู่ในเรือนพักสองคน ต่างฝ่ายต่างใช้ริมฝีปากคลอเคลียกันคล้ายไม่รู้จักพอ ไป๋เจี๋ยบอกว่าตนเองรู้สึกสงบใจ หาได้รู้ไม่ว่าข้ามีแต่ความร้อนรุ่มทุรนทุราย ทุกวันหลังเขาหลับไปแล้วจำเป็นต้องออกหนีออกไปปลดเปลื้องอารมณ์สักครั้งหนึ่ง



เวลาผ่านไปอีกหลายเดือน ผู้คนหลงคิดไปว่าเยี่ยอู๋จวินซึ่งถูกกักบริเวณหลังจากเหตุการณ์อาละวาดใหญ่โตใส่ไป๋หลี่เหอคราวนั้น รู้จักเก็บตัวสงบเสงี่ยมสำนึกตนได้ดีสมเป็นศิษย์จากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง หาได้รู้ไม่ว่าในใจข้ามิได้มีความสนใจพี่ชายสารเลวสกุลไป๋แม้แต่ส่วน แต่ละวันมีแต่ถูกเพลิงแผดเผาจนแทบจะขอยืมถ้ำน้ำแข็งจากอาจารย์หญิงปิดด่านเพื่อสงบจิตสงบใจ หากเมื่อนางได้ยินดังนั้นกลับสั่งให้ข้าไปคัดคัมภีร์คำสอนของพระพุทธองค์แทน



เจิ้งปิงฉินยืนมองดูข้าคัดอักษรด้วยท่าทางเกียจคร้านเป็นอย่างยิ่ง ข้าเห็นว่าคงไม่มีโอกาสอันใดเหมาะสมที่จะพูดเรื่องค้างคาใจเท่าตอนนี้อีกแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์หญิงแล้วพูดจาว่ากล่าวขึ้นมาเหมือนรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วไป “วันก่อนข้าเห็นอาจารย์อาโจวเกาะต้นไผ่แอบมองท่านอยู่ ส่วนเมื่อวานนี้ก็ได้รับเทียบเชิญจากอาจารย์อาเหลียงเชิญท่านไปดูสัตว์อสูรตัวใหม่ที่ยอดเขาอสูรคำราม”



“พวกเขาช่างวุ่นวายดีแท้ หากวันหลังพบเจอก็อย่าได้ไปใส่ใจอีก”



“พวกเขาเฝ้าไล่ตามท่านตลอดเวลาเช่นนี้ หากไม่ใส่ใจคงจะไม่ได้” เนื่องจากข้าทำหน้าที่ประหนึ่งพ่อบ้านของยอดเขา เทียบเชิญอันใดล้วนแต่ต้องผ่านมือ บางคราดึกดื่นเห็นอาจารย์อาจากยอดเขานภาไร้สรรพเสียงมายืนอยู่ก็ต้องออกไปไล่ไม่ให้มารบกวนผู้คน ได้ยินคำว่าบังเอิญผ่านมาของโจวอี้กั๋วจนรู้ว่าคำต่อไปเขาจะพูดว่าอะไร “ขออภัยที่ศิษย์ล่วงเกินเถิดอาจารย์ แต่ศิษย์เห็นว่าอาจารย์อาทั้งสองล้วนมีใจปฏิพัทธ์ต่อท่าน ซ้ำยังมีความรักลึกซึ้งมากมายนัก”



ได้ยินดังนั้นอาจารย์ถึงกับนิ่งอึ้งไป ใจจริงข้าชื่นชมอาจารย์อาโจวที่รูปลักษณ์สง่างามสมเป็นผู้อาวุโสผู้ทรงความรู้มากกว่าคนธรรมดาสามารถหน้าตาราบเรียบราวเต้าหู้อย่างอาจารย์อาเหลียง เสียแต่ว่าข้ามิสามารถเลือกแทนนางได้ จึงได้เอ่ยถ้อยคำบางอย่างออกไปแทน “ข้าเกรงแต่ว่าวันหนึ่งอาจารย์อาทั้งสองจะก่อเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันเองได้ หากปล่อยเรื้อรังไปมีแต่จะเป็นปัญหาไม่จบไม่สิ้น ไยท่านมิเลือกสักหนึ่งคนไว้เคียงคู่ แม้แรกเริ่มผู้อื่นอาจเจ็บปวดใจอยู่มาก แต่วันเวลาผ่านไปย่อมมิรู้สึกอะไรอีกต่อไปแล้ว”



คิ้วงามของอาจารย์หญิงกระตุกเข้าหากัน แววตาที่เฉยชาเกียจคร้านปรากฏร่องรอยวูบไหวบางอย่าง นางมิได้ว่ากล่าวอันใดที่ข้าถือวิสาสะไปว่ากล่าวเรื่องรักส่วนตัวของนาง เจิ้งปิงฉินถอนหายใจครั้งหนึ่งแล้วกล่าวขึ้นคล้ายไม่อนาทรต่อสิ่งใด “ข้าจะปิดด่านเก็บตัวสักสองสามเดือน เจ้าจงดูแลกิจธุระภายในยอดเขาให้ดี อย่าได้ออกเพ่นพ่านไปทั่วทั้งศิษย์พี่ศิษย์น้อง”



พูดจบแม่นางแซ่เจิ้งก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปโดยไม่รอให้ข้ารับคำเสียด้วยซ้ำ มิรู้ว่าแท้จริงแล้วตั้งใจปิดด่านฝึกวิชาหรือปิดด่านใคร่ครวญสิ่งใดกันแน่ กิจธุระของยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ข้าล้วนดูแลมาตลอดหลายปีไหนเลยจะมีสิ่งอื่นใดให้ต้องดูแลให้ดีอีก คำเตือนของนางคงไม่พ้นเรื่องที่ข้าไปหาเรื่องศิษย์ในสำนักจนกลายเป็นเรื่องเป็นราวอีกเสียมากกว่า ข้ายิ้มหยันชืดชาแล้วก้มหน้าคัดอักษรต่อ หากแต่เวลาอันแสนสงบกลับถูกคนผู้หนึ่งรบกวนเสียก่อน



จากหางตาเหลือบเห็นไป๋เจี๋ยยืนเกาะขอบประตูชะเง้ออยู่คล้ายไม่กล้าเข้ามา ข้าเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยรอยยิ้มเจิดจ้าดั่งดวงตะวัน ก่อนเรียกให้เขาขยับเข้ามาหามิต้องทำตัวแอบมองผู้คนเลียนแบบตัวอย่างที่ไม่ดีจากยอดเขานภาไร้สรรพเสียง คนสกุลไป๋เดินเข้ามาก็มีสีหน้ากระวนกระวาย ข้าจ้องมองอยู่พักหนึ่งจึงต้องออกปากถาม “อาเจี๋ยมิสิ่งใดหรือ”



“วันนี้ศิษย์พี่หม่าจากยอดเขาทิพย์โอสถนำยาลูกกลอนมาแจก เขาพูดคุยกับข้าอยู่หลายเรื่อง...” หม่าฮุ่ยเหวินจากยอดเขาทิพย์โอสถถือว่าเป็นสหายของข้าคนหนึ่ง คนผู้นี้แก่กว่าข้าสี่ปี มีฝีมือปรุงยาแกร่งกล้าจนได้เป็นศิษย์ผู้สืบทอดยอดเขาทิพย์โอสถ ผู้แซ่หม่านิสัยดีแต่พูดจามากความ คุยไปคุยมาจึงพบว่าเขาพล่ามเรื่องไร้สาระได้หลายชั่วยาม กว่าจะยอมหยุดได้แทบเอาผู้ฟังขาดใจตาย



แรกเริ่มข้าคิดเพียงว่าศิษย์น้องคงบ่นเรื่องที่ต้องเสียเวลามากมายคุยกับคนแซ่หม่า แต่จู่ ๆ ไป๋เจี๋ยกลับถามคำถามที่หาต้นสายปลายเหตุไม่เจอเสียได้ “อู๋เกอ...ท่านรักข้าหรือ”



ข้าได้ยินแล้วถึงกับสำลักลมขึ้นมา ศิษย์น้องเห็นจึงรีบเข้ามาช่วยตบหลังพลางอธิบายเพิ่มเติม



“ศิษย์พี่หม่าบอกว่าคนรักกันเท่านั้นจึงสามารถจุมพิตกันได้” พูดจบแล้วไป๋เจี๋ยกลับชะงักค้างไปบ้าง คนกล่าวประโยคถัดมาซ้ำไปซ้ำมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “แต่ข้ากับท่าน...ข้ากับท่าน”



เส้นเอ็นที่ขมับปวดตุ้บขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ข้าไม่รู้ว่าควรจะพูดจาเช่นไรดี ครั้นนึกถึงใบหน้าแดงก่ำและริมฝีปากมันวาวที่บ่วมเจ่อขึ้นเล็กน้อยหลังจุมพิต ข้าจึงถามคำถามมั่วซั่วออกไปคำถามหนึ่งแทน “เจ้ารู้สึกไม่ดีเช่นนั้นหรือ”



“ไม่ใช่...ข้ารู้สึกดีเป็นอย่างยิ่ง” สองแก้มขาวเริ่มซับสีเลือดขึ้นมาบ้างแล้ว หากครู่หนึ่งความเขินอายกลับเลือนหายไป ไป๋เจี๋ยมีท่าทีร้อนใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด มือจับแขนข้าเอาไว้คล้ายจะเขย่าขึ้นมาเสียแล้ว “แต่ในเมื่อเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องของคนรักกัน แต่ท่านไม่ได้รักข้า จะไม่ถือว่าทำผิดหรอกหรือ”



จู่ๆ ข้ารู้สึกคล้ายตนเองถูกโจมตีโดยไม่ทันได้ตั้งตัว นะ...นี่ไม่ใช่ว่าเขากำลังสารภาพรักกับข้าอยู่หรอกหรือ ดวงใจข้าคล้ายกระตุกไปจังหวะหนึ่ง นอกจากความรู้สึกตะลึงงันแล้ว ยังมีความรู้สึกอิ่มเอมเปรมปรีดิ์เป็นอย่างยิ่ง ข้าพยายามควบคุมมุมปากทั้งสองข้างไม่ให้ขยับเป็นรอยยิ้ม วาจาที่เก็บเอาไว้ในใจมาพักใหญ่ถูกกล่าวออกไปอย่างหนักแน่นไม่มีความลังเลแม้แต่ส่วน “จะผิดได้เช่นไร ข้าเยี่ยอู๋จวินมีหรือที่จะไม่รักเจ้า”



ข้าคิดว่าคำตอบที่มาจากใจจริงย่อมทำให้ไป๋เจี๋ยรู้สึกพึงพอใจ แต่ไหนเลยคนกลับมีสีหน้าเศร้าโศกยิ่งกว่าเก่า มือที่เกาะแขนข้าอยู่ขยำแขนเสื้อเสียจนยับยู่ยี่ เขาใช้ใบหน้าเจ็บปวดราวสัตว์ตัวน้อยยามได้รับบาดเจ็บจ้องหน้าข้า หยาดน้ำตาแทบจะไหลลงมาอยู่รอมร่อ “อู๋เกอ...หากท่านรักข้า ไยท่านไม่กระทำการเช่นคนรักกับข้า”



ยามได้ยินคำถามนั้นข้ารู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก กระทั่งคอยังแห้งผากจนเสียงที่ตอบกลับไปพลอยแหบพร่าไปด้วย “กระทำการเช่นใด”



“ศิษย์พี่หม่ากล่าวว่าคนรักกันต้องหลับนอนร่วมรักกัน”



หม่าฮุ่ยเหวินเจ้าตัวน่าตาย! เจ้าสอนอะไรให้ศิษย์น้องของข้า!!



ข้าก่นด่าโคตรเหง้าทั้งสกุลหม่าจนพอใจแล้วค่อยถอนหายใจอย่างแผ่วเบา แต่ละวันที่ต้องหักห้ามใจมิให้กระทำล่วงเกินผู้คนยามหลับทำให้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอยู่ไม่น้อย “อาเจี๋ย...ทำเช่นนั้นแล้ววันหน้าเจ้าอาจเสียใจได้”



กล่าววาจาตักเตือนไปเช่นนั้น ในห้าส่วนย่อมหมายถึงการตัดใจตัดรัก หากศิษย์น้องกลับขยับเข้ามาใกล้เสียจนได้กลิ่นหอมจางจากเรือนร่าง ซ้ำยังกระซิบถ้อยคำด้วยน้ำเสียงหวาน ใครเล่าจะสามารถตัดใจตัดรักได้ “ข้าไป๋เจี๋ยตัดสินใจแล้ว ย่อมไม่มีวันรู้สึกเสียใจ...”



ถ้อยคำของอีกฝ่ายช่างเป็นการยั่วเย้าเผาผลาญจิตใจดีแท้ แววตาของข้าที่สะท้อนออกมาจากนัยน์ตาหงส์ดำขลับคู่นั้นปรากฏเปลวเพลิงโหมไหม้มองแล้วอันตรายยิ่งนัก ข้ารั้งร่างของไป๋เจี๋ยให้ขยับมานั่งซ้อนทับบนตักของตนเอง ริมฝีปากพรมจูบไปตามผิวแก้มขาวก่อนจะหยุดลงบนกลีบปากแดงระเรื่อ บดเบียดขบเม้มแนบชิดเพื่อยึดครองเป็นเจ้าข้าวเจ้าของผู้อื่นให้หมดสิ้น



สติที่ใกล้ขาดผึงของข้ายังอุตส่าห์ตอบเขากลับในใจ



เมื่อเยี่ยอู๋จวินผู้นี้ตัดสินใจรักเจ้า ย่อมไม่มีวันรู้สึกเสียใจเช่นกัน



โปรดติดตามตอนต่อไป...



*************

ซินเอ๋อร์:

หมดสต็อกแล้วน้า > <

เขียนตอนนี้ด้วยความรู้สึกเขินๆ ค่ะ ไม่ได้เขียนฉากรักมุ้งมิ้งมานาน รู้สึกเป็นป้าแก่ๆ ที่หัวใจกระชุ่มกระชวยดีแท้ ในเรื่องตอนนี้อู๋เกอวัยใสอายุ 15 อาเจี๋ย 13 กลายเป็นโชตะซะได้ค่ะ อู๋เกอนี่เด็กลามกจริงๆ (ฮาาา)

เรื่องราวในอดีตน่าจะอีก 2 ตอนจบแล้วค่ะ พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 17 คห.55 [P.2, 25-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 26-10-2019 08:48:41
รอๆ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 17 คห.55 [P.2, 25-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ง่วงนอน ที่ 26-10-2019 18:42:50
 :hao6:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 17 คห.55 [P.2, 25-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Frankdar ที่ 27-10-2019 06:49:12
จริงๆมันควรจบลงด้วยดี  ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ ฮือออ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 17 คห.55 [P.2, 25-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-10-2019 12:12:39
 :z1:


 :กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 18 คห.60 [P.2, 29-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 29-10-2019 19:58:55
บทที่ 18 ความรู้สึกลึกซึ้งอันแสนพูดยากเมื่อปีนั้น (4)



บุรุษสองคนร่วมรักกันเช่นไร แม้ข้าเยี่ยอู๋จวินเคยเห็นหนังสือสอนรักมามากมาย หากยังมิเคยได้ลงมือปฏิบัติจริงสักครั้ง สิ่งหนึ่งที่รู้คือรสรักนั้นสามารถสุขสมได้มิต่างอันใดไปจากคู่ยวนยางทั่วไป แต่อย่างไรเสียควรกระทำการด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง มิเช่นนั้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเจ็บตัวเอาได้



ดวงใจข้ายามนี้ล้วนมีแต่ศิษย์น้องอยู่เต็มเปี่ยม ย่อมมิอาจปล่อยให้ตนเองสุขสมอยู่เพียงผู้เดียว ขณะที่อีกฝ่ายต้องเจ็บปวดได้ บทเรียนถ้อยคำจากตำราสอนรักว่าอย่างไร ข้าก็ทำไปตามนั้น เมื่อละจุมพิตออกมาจากริมฝีปากแดงเรื่อมาได้ ข้าจึงเริ่มพรมจูบไปตามผิวขาวเรียบเนียนดั่งเนื้อหยกเย็น ขบเม้มตำแหน่งชีพจรบนลำคอจนร่างในอ้อมแขนสั่นสะท้าน มือเบื้องล่างปลดเปลื้องชุดสำนักออกไป ส่วนไหนที่เขาว่าไวสัมผัสล้วนไล้ท้องนิ้วลากผ่านด้วยความตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง คอยเฝ้าดูปฏิกิริยาตอบสนองจากผู้คนและเฝ้าปรนเปรอให้มากยิ่งขึ้น



แต่ไหนแต่ไรใช่ว่าข้าจะมีความอดทนมากมายนัก หากยามนี้กับยินดีอดทนเฝ้ารอเป็นอย่างยิ่ง ศิษย์น้องนั่งซ้อนทับอยู่บนตักถูกนวดเค้นบีบคลึงไปได้ไม่นาน ทั้งร่างก็อ่อนยวบจนแทบทรงตัวเอาไว้ไม่ได้ ข้ากดแผ่นหลังเล็กให้แนบไปกับโต๊ะเขียนอักษร ข้าจับเรียวขาข้างหนึ่งของเขาชันขึ้นก่อนจะลากมือจากปลีน่องไล่ไปถึงต้นขาด้านใน ครั้นแตะปลายนิ้วกับแท่งหยกที่ชูชันสั่นระริกจนน่าสงสาร คนกลับสะดุ้งตัวรีบยกมือขึ้นปิดหน้าตนเองไว้



“รู้สึกแย่หรือ” เห็นอาการเขาดังนั้นมือของข้าจึงหยุดชะงักไปบ้าง ทั้งข้าและศิษย์น้องต่างฝ่ายต่างเป็นเด็กไม่รู้ประสาขนยังไม่ทันขึ้นครบกันทั้งคู่ เกรงว่าถึงเวลาต้องร่วมรักจริงศิษย์น้องคงรู้สึกแย่ขึ้นมากระมัง หากพอจะรั้งมือออก ไป๋เจี๋ยกลับยันตัวขึ้นมากคว้าแขนข้าเอาไว้ก่อน ดวงตาหงส์ยามนี้คลอหน่วยด้วยหยาดน้ำตาจนมองแล้วงดงามเฉิดฉันยิ่งกว่าเดิม



“ไม่แย่...แต่รู้สึกแปลกๆ” กลีบปากแดงก่ำเม้มเข้าหากันคล้ายลังเลอยู่หลายส่วน ข้าแกล้งขยับมือสาวรูดแกนกายเล็กเบามือก่อนขยับสาวรูดเป็นจังหวะตามที่ข้าได้เรียนรู้จากการแอบออกไปปลดเปลื้องอารมณ์ตอนกลางดึก ปลายนิ้วบดเบียดกับจุดอ่อนไหวไวสัมผัสที่ส่วนปลาย เด็กหนุ่มเบื้องหน้าหยัดตัวแหงนหน้าขึ้นพลางร้องครางออกมาอย่างอดไม่ไหว เล็บที่ตัดเจียนจนสั้นเป็นระเบียบครูดไปกับแขนของข้าจนเกิดรอยแดงยาว



“ฮึก! อู๋เกอ...ท่าน...” น้ำเสียงหวานที่เจือไปด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านพร่ำเรียกข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับว่ามิสามารถนึกคิดสิ่งอื่นใดได้ เด็กหนุ่มขยับกายบิดเร้าไปมาคล้ายสุขสมคล้ายทรมาน ความรู้สึกซ่านเสียวอันแปลกใหม่ทำให้เรือนกายขาวผ่องแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ ข้าเร่งขยับมือกอบกุมแท่งหยกในมือเร็วยิ่งขึ้น อีกครู่เดียวลมหายใจของไป๋เจี๋ยพลันขาดห้วงพร้อมกับที่ทั้งร่างกระตุกแผ่วเบา หางตาหงส์และขนตายาวปรากฏหยาดน้ำกลมวาวราวไข่มุก หากมองแล้วกลับปลุกเร้าความปรารถนามากกว่าชวนให้เวทนาสงสาร



ไป๋เจี๋ยหันหน้าไปทางด้านหนึ่งพลางหอบหายใจช้าๆ คนไม่อยากมองหน้าข้าเพราะรู้สึกเขินอายก็ไม่เป็นไร ยามนี้เขามิได้มีท่าทีขัดขืนปฏิเสธมิใช่หรือ ข้าถดตัวลงมาเล็กน้อยก่อนจะแกล้งแนบจูบกับเรียวขาขาวฝ่ายอย่างแผ่วเบา มือข้างหนึ่งค่อยแหวกเนื้อกลมนิ่มอันบดบังหลืบร่องลับที่มิเคยมีผู้ใดรุกล้ำเข้ามาไปก่อน นิ้วที่เปรอะเปื้อนไปด้วยอารมณ์รักครั้งแรกของศิษย์น้องเริ่มชโลมหยดน้ำสีขุ่นไปตามกลีบดอกเบญจมาศ หากกลับรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี



อ่านตำรารักมามากมายเพียงใด มีหรือจะเทียบเท่าการปฏิบัติจริง ยามนี้ข้าอ่อนหัดอยู่มาก ย่อมรู้สึกหวั่นเกรงว่าหาสอดแทรกปลายนิ้วเข้าไปอาจทำให้คนที่ตนรักต้องเจ็บตัวได้ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงคิดได้ว่าวันก่อนเพิ่งได้ขี้ผึ้งบำรุงริมฝีปากมาจากยอดเขาบุปผาโปรย ยามนี้อาจารย์หญิงปิดด่านเก็บตัวไปแล้ว เอาไว้ให้ข้าหาของมาคืนคงมิเป็นไรกระมัง คิดได้ดังนั้นข้าจึงควักกระปุกขี้ผึ้งที่เก็บไว้ในแขนเสื้อออกมา ปาดเนื้อกึ่งข้นกึ่งเหลวไปตามรอยพับจีบและทานิ้วตนเองจนชุ่ม ก่อนเริ่มกดนิ้วชำแรกเข้าไปภายในอย่างเชื่องช้า



เรียวคิ้วงามของศิษย์น้องขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความอึดอัด ข้าเอ่ยปลอบใจผู้คนอดทนสักหน่อยพลางค่อยๆ ขยับปลายนิ้วหมุนวนอย่างเชื่องช้าเพื่อขยายช่องทางที่คับแคบ คนแซ่เยี่ยผู้นี้แม้อายุสิบห้าแต่นอกจากร่างกายสูงใหญ่เกินเหล่าศิษย์ในวัยเดียวกัน ยามออกทำภารกิจอาบน้ำร่วมกับศิษย์ยอดเข้าอื่นยังพบว่าเครื่องเพศตนยังล้ำหน้าไปไกลกว่าคนอื่นมากนัก หากหุนหันแทรกกายเข้าไปในร่างคนสกุลไป๋คงทำให้เจ็บปวดมากกว่าสุขสมกระมัง



ผ่านไปชั่วอึดใจหนึ่งนิ้วทั้งสามของข้าก็ขยับหมุนวนเสียดสีไปตามผนังอ่อนได้อย่างไหลลื่นยิ่งขึ้น ครั้นแตะลงบนจุดที่นูนออกมาเล็กน้อยภายใน ทั้งร่างของศิษย์น้องพลันสั่นเกร็งตอดรัดดึงดูดนิ้วแน่นหนายิ่งกว่าเดิม ไป๋เจี๋ยเปิดปากร้องครางอย่างลืมอาย มือควานสะเปะสะปะไปจนเจอกระดาษที่ข้าใช้คัดบทธรรมคำสอนของพระพุทธองค์เพื่อสงบจิตใจ คนจิกขยำเสียงจนหมดสภาพ ข้าได้แต่ร้องขออภัยอยู่ในใจ มาถึงขั้นนี้แล้วยังจะมีจิตใจมาคิดถึงสิ่งใดอีกเล่า



“อาจอึดอัดสักหน่อย หากทนไม่ไหวให้บอกข้า” ข้าโน้มตัวลงไปจนลำตัวแนบชิดกายอีกฝ่าย มือเบื้องล่างถอดถอนออกก่อนจะปลดกางเกงจ่อส่วนที่แข็งขืนของตนเองที่ปากทาง ไป๋เจี๋ยพยักหน้ารับคำ หากความกังวลยังคงปรากฏให้เห็นที่หางตา ข้าแนบจุมพิตปลอบโยนคลอเคลียริมฝีปากบางพร้อมกับสอดแทรกกายเข้าไปเชื่องช้า



ความอุ่นร้อนแปลกใหม่ที่โอบรัดทำให้นึกอยากกระแทกกายเข้าไปทั้งตัว แต่เมื่อสัมผัสถึงร่างกายสั่นเกร็งจึงต้องสะกดกลั้นอารมณ์อันพลุ่งพล่านของตนเอาไว้ เปลี่ยนไปใช้กลีบปากกดจูบแนบแน่น ฝ่ามือลากไล้ปลุกเร้าอารมณ์ผู้คนแทน จวบจนผนังอ่อนอันบีบรัดเริ่มคลายตัวต่อต้านสิ่งแปลกปลอมน้อยลง ข้าจึงเริ่มกดสอดเข้าไปยังส่วนที่ลึกกว่าเดิมก่อนขยับถูไถไปตามสัญชาตญาณ



แรกเริ่มยังคงทุกลักทุเลกันอยู่ไม่น้อย ทั้งด้วยข้ามือใหม่ใจร้อนและศิษย์น้องที่ยังไม่คุ้นเคยกับแรงตัณหาอันแปลกใหม่ ครั้นส่วนแข็งขืนของข้าถูไถเขากับจุดไวสัมผัสภายใน เสียงหวานดังแก้วหยกกระจกใสพลันสั่นเครือ ดวงหน้างดงามส่ายไปมาคล้ายรับมือกับอารมณ์ไม่ถูก ไป๋เจี๋ยรั้งมือตนเองขึ้นตั้งใจหวังกัดหลังมือระบายอารมณ์ หากข้ากลับรั้งร่างของเขาขึ้นมาจากโต๊ะเสียก่อน จัดท่าทางให้สองแขนโอบรอบลำคอสองขาโอบรอบเอวตนเองเอาไว้



“อื้อ! อู๋เกอ แบบนี้มัน...” ไป๋เจี๋ยเกยคางกับไหล่เปลือยเปล่าของข้าพลางครางกระเส่าเป็นถ้อยคำจับใจความไม่ได้ ข้าได้ยินกลับยิ่งได้ใจ มือที่จับบั้นเอวบางยิ่งเร่งเร้ากระแทกร่างศิษย์น้องลงมาสวนกับจังหวะบดเบียดรุนแรงตามสัญชาตญาณของตนจนในห้องหนังสือมีเพียงเสียงเนื้อเสียดสีเฉอะแฉะแสนลามก หลืบรักนั้นช่างอุ่นร้อนกระชับแน่นรัดรึงไปทั่วทุกส่วนดีแท้ คนสกุลไป๋ทิ้งน้ำหนักตัวสองเล็บลากจิกไปตามแผ่นหลังของข้าอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ก่อนครู่ต่อมาคนจะถึงฝั่งฝันร่างเล็กกระตุกเกร็งพร้อมกับหยาดน้ำอุ่นร้อนที่สาดเปื้อนเปรอะตามหน้าท้อง



ยามปรกติคนสกุลไป๋งดงามเพียงใด คงต้องบอกว่างดงามล่มบ้านล่มเมือง หากยามนี้คำว่าล่มบ้านล่มเมืองคงมิเพียงพอเสียแล้ว ขาวเรียบเนียนดั่งหยกอันเจือด้วยฝาดเลือด นัยน์ตาดำขลับอันเป็นประกายพร่างพราวยามแสงดาราในฤดูหนาว ริมฝีปากแดงเรื่ออันเผยอออกหอบหายใจ...ล้วนเป็นความงดงามที่ทำให้สองตาของข้าพร่าเลือน ช่างดียิ่งนักที่เยี่ยอู๋จวินผู้นี้ได้ครอบครองเขาทั้งกายและใจ ชั่วชีวิตนี้ข้าย่อมมิอาจปล่อยเขาไปได้อีกแล้ว



ร่างกายเบื้องล่างยิ่งสอดแทรกเข้าไปหนักหน่วงขึ้นเมื่อห้วงอารมณ์ใกล้ถึงจุดซ้าย ข้าทิ้งรอยรักไว้ตามลำคอขาวผ่องก่อนจะปลดปล่อยเขื่อนทำนบที่อดกลั้นมาหลายเดือนเข้าไปภายในเสียหมดสิ้น ความรู้สึกยามร่วมรักกับคนที่ตนมอบใจให้ช่างดียิ่ง....ใจผูกพัน กายผูกรัก สองกายใจเป็นหนึ่งเดียวคงเป็นเช่นนี้กระมัง



ในความคิดของข้ามีเพียงถ้อยคำที่ผูกสัตย์สาบานกับตนเองว่าจะรักเขาให้มาก ดีกับเขาให้มาก ยามข้ามองคนสกุลไป๋ในใจมีเพียงอยากให้เขามีความสุข มิว่าสิ่งใดที่ข้าสามารถทำให้เขาสุขสำราญปลอดภัยใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มได้ตลอดไป ผู้แซ่เยี่ยย่อมยอมทำทุกหนทาง อาจหาญสมเป็นชายชาตรีดีแท้



ข้าโอบอุ้มร่างของไป๋เจี๋ยกลับไปห้องนอนด้วยความสุขอันเปี่ยมล้นไปเต็มหัวใจ แม้คิดว่าจะรักถนอมผู้คน แต่อาจเพราะสายเลือดจากตัวลามกเยี่ยหย่งฟางกระมัง จึงทำให้ข้าติดใจในรสรักอันแสนหวานล้ำอยู่ไม่น้อย เรื่องราวหลังจากนั้นกลายเป็นว่าข้าล่อลวงให้คนสานสัมพันธ์กับตนอยู่หลายครั้งหลายครา ยามที่อาจารย์หญิงปิดด่านเร้นกายหรือไปธุระนอกสำนัก บรรยากาศบนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์จึงหวานชื่นความรักอบอวลอย่างยิ่ง



คืนวันบนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ผ่านไปอย่างสงบสุขสันโดษ ข้าคิดแต่ว่าที่รักไป๋เจี๋ยล้วนเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น แม้ยามนี้พวกข้าสองคนยังเยาว์วัย หากได้เฝ้าดูแลกันและกันจากเติบใหญ่ไปด้วยกัน ตั้งแต่ช่วงวัยที่ดีที่สุดของชีวิตจนถึงช่วงเวลาแก่ชราคงดียิ่งขึ้นไปอีก



ผ่านไปหกเดือนครึ่งปีถึงเดือนแปดยามถึงวันเกิดข้า ไป๋เจี๋ยได้มอบป้ายหยกขาวชิ้นหนึ่งให้เป็นทั้งของขวัญวันเกิดทั้งของแทนใจ ป้ายหยกสมปรารถนาอันมีฤทธิ์ช่วยขับไล่สัตว์มีพิษแผ่นนี้ ผู้คนได้เก็บเงินจากการทำภารกิจมาซื้อให้ข้าโดยเฉพาะ เนื่องจากเขายังไม่ได้ถูกรับเข้าสกุลไป๋ มิอาจสลักสัญลักษณ์ต้นไผ่ประจำตระกูลได้ สุดท้ายจึงสลักคำว่าเจี๋ยอันเป็นชื่อตนแทน ข้ายกป้ายยกเย็นเฉียบนั้นขึ้นมาแนบริมฝีปากอย่างรักใคร่หวงแหน หลังจากนั้นก็แขวนป้ายหยกขาวเอาไว้ไม่เคยห่างกายสักวัน คิดว่าวันเกิดเขาย่อมต้องมอบของแทนใจให้เขาไม่ต่างกัน



ครั้นถึงสิ้นปีที่เป็นวันเกิดเขา ข้าจึงมอบป้ายหยกสีดำสลักลายใบหยินซิ่ง[1]สามใบอันเป็นสัญลักษณ์ของสกุลเยี่ยแห่งเจียงหนานมอบให้เขา ดูแล้วคล้ายของแทนใจและของหมั้นไปพร้อมกัน หากปากบอกคนว่าป้ายหยกนี้ช่วยคุ้มภัยได้ ยามที่ไป๋เจี๋ยมีอันตรายถึงชีวิต อาคมในหยกจะช่วยคุ้มครองเขาได้ครั้งหนึ่ง ศิษย์น้องของข้าดีใจจนน้ำตาหลั่งริน เอาแต่เอ่ยวาจาว่าอู๋เกอท่านดีที่สุดออกมาไม่หยุด



ความจริงแล้วไหนเลยจะมีป้ายหยกที่มีคุณสมบัติดีเลิศเช่นนั้น ข้าเพียงใช้คาถาอาคมติดตามตัวชนิดหนึ่งเชื่อมป้ายหยกของเขาและของตนเอาไว้ด้วยกัน ยามใดที่คนรักเกิดอันตรายจนถึงชีวิต ป้ายหยกขาวข้างกายข้าจะแปรเปลี่ยนเป็นหินร้อนมอดไหม้ย้ำเตือนให้ข้าไปช่วยเหลือผู้คน เหตุเพราะเยี่ยอู๋จวินยังคงหวาดระแวงจากเหตุการณ์คราวไป๋หลี่เหอเล่นแง่กับเขาคราวก่อนอยู่ไม่น้อย สิบเดือนหนึ่งปีที่ผ่านมาข้าติดตามเขาไปภารกิจจนมิห่างกาย ตามติดเสียจนอาจารย์ออกปากว่าอย่าได้คุ้มครองผู้คนจนมากเกินไป มีข้าคอยปกป้องตลอดแล้วศิษย์น้องจะพัฒนาก้าวหน้าได้หรือ



ข้ารับคำอาจารย์หญิงอย่างขอไปที เพราะมีหรือที่จะปล่อยวางได้จริง หลังจากนั้นแม้มิได้ตามออกไปล่าภารกิจเหมือนแต่ก่อน หากยังอุ่นใจที่ข้างกายเขายังมีป้ายหยกดำของข้าเอาไว้เตือนภัย แต่ทางที่ดีอย่าให้มันได้ใช้งานเลย ปล่อยมันเป็นของแทนใจเหมือนดั่งความคิดแรกคงดีแล้ว



แม้มีคนรักต้องคอยรักใคร่ดูแลหนึ่งคน หากข้ายังคงใช้ชีวิตโดดเด่นสมเป็นเยี่ยอู๋จวินอัจฉริยะแห่งยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ไม่ต่างจากวันวานเดิม ตบะฝึกฝนยามนี้ก้าวไกลก้าวหน้าไปกว่าเหล่าอาจารย์อาที่มีตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสจากยอดเขาอื่นเสียด้วยซ้ำ เดิมทีข้ามีนิสัยเป็นมิตรพูดจาง่าย แต่คราวนี้ยิ่งไม่ต้องไว้หน้าใคร ซ้ำยังมีประวัติเคยทำร้ายศิษย์แซ่ไป๋จนพลังถดถอยไปหลายขั้น ในสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ไหนจะมีใครกล้ามีปัญหากับข้ากัน



หากยังมีคนหนึ่งที่คนแซ่เยี่ยยังไม่ได้ชำระความ คนสกุลหม่าที่บังอาจมาสอนเรื่องราวไม่เหมาะสมให้กับศิษย์น้องของข้า คงรู้ตัวกระมังจึงทำตัวได้นกรู้ดีนัก จากที่เคยมาส่งมอบยาให้ยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ก็ส่งศิษย์ผู้อื่นมาแทน สักพักเดี๋ยวปิดด่าน เดี๋ยวออกไปหาสมุนไพร เดี๋ยวออกไปรักษาคนไข้ สิบเดือนหนึ่งปีมิเคยโผล่ศีรษะมาให้เห็นหน้า แต่หม่าฮุ่ยเหวินจะหนีไปตลอดชีวิตคงทำไม่ได้ ตัวเขาแอบชอบศิษย์น้องหญิงแซ่หวังจากเขาบุปผาโปรย จึงไปดักพบส่งยาลูกกลอนให้นาง หาได้รู้ไม่ว่าข้าดักรออยู่ที่นั่นแล้ว



“ศิษย์พี่หม่า”



เจ้าของชื่อตกใจจนแทบทิ้งล่วมยาในมือ เขารีบกระโจนไปด้านข้างด้วยความรวดเร็ว คงเพราะเคยได้ยินเรื่องข้าถีบยอดอกไป๋หลี่เหอเมื่อคราวก่อน คนจึงไม่หันกลับมามองข้าเสียด้วยซ้ำ เขาเผ่นหนีไปทางหนึ่งคล้ายกระต่ายคล้ายจิ้งจอกหนีนายพราน หม่าฮุ่ยเหวินทั้งวิ่งทั้งใช้วิชาตัวเบาเหาะเหินจากยอดเขาบุปผาโปรยไปยังยอดเขากระบี่ร้อยรบ คนสกุลหม่าปีนี้อายุยี่สิบเป็นพวกเหลาะแหละไม่สนใจการบำเพ็ญเพียรฝึกฝนเท่าไร จึงตบะมิได้แรงกล้านัก หากความว่องไวในการหลบหนีไม่น้อยหน้าใครดีแท้ สุดท้ายข้าไล่ตามไปจนถึงป่ารกชัฏของยอดเขาทิพย์โอสถ ชักนึกรำคาญใจขึ้นมาจึงดีดหินใส่ข้อพับเขาครั้งหนึ่ง



“ไว้ชีวิตด้วย! ศิษย์น้องโปรดไว้ชีวิตด้วย!! ” หม่าฮุ่ยเหวินร้องลั่นเสียจนหมดสภาพความเป็นศิษย์พี่ ครั้นเห็นรอบข้างไม่มีผู้คนเหมาะสมแก่การลงมือคร่าชีวิต ร่างกายที่ไม่นับว่าแข็งแกร่งจึงสั่นระริกมากกว่าเดิม “ยามนั้นเพียงล้อศิษย์น้องของเจ้าเล่นเท่านั้น มิได้มีเจตนาร้ายอันใดทั้งสิ้น หากจะฆ่าจะแกงกัน โปรดเห็นแก่อาจารย์ผู้แก่เฒ่าของข้าที่ยังต้องการศิษย์ผู้สืบทอดด้วยเถิด ไหนจะคนไข้คนเจ็บที่เฝ้ารอหมอรอคอยยา เห็นแก่ตระกูลหม่าที่มีบุตรชายเพียงคนเดียว หรือหากเจ้าโมโหมากนัก อย่าได้ฆ่าล้างตระกูลกันเลย ทั้งหมดเป็นเพราะข้าหม่าฮุ่ยเหวินไม่รักดีเอง ศิษย์น้องเยี่ยโปรดไว้ชีวิตด้วย! ”



คนผู้นี้ยิ่งพูดจายิ่งไปกันใหญ่ พูดจาอันใดล้วนจับสาระไม่ได้ดีแท้ นี่คงขุดมาอ้างจนหมดสำนักหมดโคตรเหง้าเหล่าตระกูลแล้วกระมัง ข้าหรี่ตาลงมองใบหน้าจืดชืดของอีกฝ่ายด้วยแววตาครุ่นคิด คนเห็นข้ายังไม่ลงมือก็รีบมากอดขาข้างหนึ่งเอาไว้ ศักดิ์ศรีสิ่งใดคงกลืนลงท้องไปหมดแล้ว “ศิษย์น้องเยี่ยช่างสูงส่งสง่างามสมเป็นศิษย์ของอาจารย์อาเจิ้ง คงมิถือสาอันใดศิษย์พี่ผู้ใช้การไม่ได้ผู้นี้กระมัง”



หม่าฮุ่ยเหวินพยายามบีบน้ำตาทำหน้าน่าสงสาร หากที่จริงแล้วแอบลอบกัดโคจรพลังซัดใส่ข้าอยู่ ครั้นไม่เกิดปฏิกิริยาอันใดคนจึงชะงักค้างไปบ้าง ใบหน้าที่เงยมองข้าปรากฏความชื่นชมห้าส่วนตระหนกตกใจอีกห้าส่วน น้ำเสียงไม่จริงใจที่พล่ามมาแต่ก่อนหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสั่นไหวขึ้นมา “ไม่พบเจอสิบเดือนเจ้าก้าวหน้าไปถึงขั้นนี้แล้วหรือเยี่ยอู๋จวิน นี่มิใช่ว่ายามนี้เจ้าเหนือกว่าจูไห่คังแห่งยอดเขากระบี่ร้อยรบแล้วหรือ”



จูไห่คังเป็นศิษย์ที่เข้าสำนักมากก่อนหน้าข้าถึงยี่สิบปี ปีนี้อายุได้ยี่สิบเจ็ด ก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของสำนัก เหตุเพราะตบะแกร่งกล้า ฝึกวิชาก้าวหน้าว่องไว แต่ยามนี้ตำแหน่งนั้นกลับถูกข้าสั่นคลอนได้อย่างง่ายดายเสียแล้ว โชคดีที่ว่าทั้งข้าและเขาต่างเป็นน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง ต่างคนต่างไม่สนใจไม่สานสัมพันธ์ไม่มีปัญหากัน ยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์และยอดเขากระบี่ร้อยรบถึงยังสามารถรักษาความสัมพันธ์ได้ดังเดิม



คนแซ่หม่าจากที่คิดหนีกลายเป็นรั้งร่างข้าให้ลงมานั่งกับพื้นตรงข้ามเขา ปากพร่ำบอกว่าร่างกายของข้าคงมีสิ่งใดพิเศษเป็นแน่ต้องให้เขาตรวจดูสักหน่อย ข้าเห็นเขาตั้งใจก็คิดอดร่วมสนุกไม่ได้ หม่าฮุ่ยเหวินถือวิสาสะจับมือข้าเอาไว้แล้วถ่ายพลังสายหนึ่งเข้ามา สุดท้ายกลับถูกซัดกลับไปจนกระอักโลหิตออกมาคำโต ส่วนข้ายามแรกคิดว่าคงไม่มีปฏิกิริยาอันใด เลือดกำเดาที่จมูกกลับทะลักพรั่งพรูออกมาเสียได้



“ศิษย์น้อง เจ้า...” หม่าฮุ่ยเหวินอ้าพะงาบๆ แล้วมิได้กล่าววาจาอันใดออกมาอีก คนแตะปลายนิ้วกับชีพจรที่ข้อมือข้าแล้วนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดคล้ายใช้สมาธิเป็นอย่างยิ่ง ศิษย์เอกของยอดเขาทิพย์โอสถมิได้สนใจเลือดที่ยังคงทะลักออกมาจากจมูกของข้าเลยแม้แต่น้อย จวบจนผ่านไปครึ่งค่อนวัน ใบหน้าที่ปรกติมีเพียงรอยยิ้มแหยกลับปรากฏความเครียดขึ้งออกมาทั้งจากแววตาหางคิ้ว มองแล้วสมเป็นว่าที่เจ้ายอดเขาทิพย์โอสถดียิ่ง “เหตุใดจึงใช้วิธีฝึกวิชาเช่นนี้ มิกลัวตายหรือเยี่ยอู๋จวิน”



ฟังคำถามจบข้าได้แต่กระตุกคิ้วเข้าหากัน ข้าฝึกวิชาด้วยวิถีเดิมตามที่แม่นางแซ่เจิ้งตั้งใจสอนบ้างไม่ตั้งใจสอนบ้าง ไหนเลยจะมีวิธีอื่นใดอีก “วิธีเช่นใดกัน ศิษย์พี่หม่ากล่าววาจาให้ชัดเจนด้วย”



“มิใช่ว่าเจ้าสรรหาวิธีลอบเพิ่มพูนธาตุหยางเพื่อกระตุ้นให้ตนเองก้าวหน้าว่องไวขึ้นหรอกหรือ” หม่าฮุ่ยจวินกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดราวหมอสอนสั่งคนไข้ “บุรุษมีไอหยางมากกว่าปรกตินั้นถือเป็นเรื่องดี เพราะช่วยในการฝึกวิชาให้โดดเด่นก้าวหน้าเหนือผู้อื่น แต่ทุกสิ่งบนโลกนี้ล้วนมากไปย่อมไม่ดี น้อยไปย่อมไม่ดี พระพุทธองค์ถึงบอกให้เลือกเดินทางสายกลาง เจ้ากระทำการเช่นนี้เรียกว่ารนหาที่ตายแล้ว”



พอเห็นข้านิ่งเงียบไม่กล่าววาจาใดตอบโต้ คนที่นึกว่าข้าใช้วิชานอกรีตจึงรีบสำทับอธิบายความมากกว่าเดิม “ผู้อื่นใช้วิธีนี้แต่พอดีคงมิเป็นปัญหา แต่พลังหยางมากมายเช่นเจ้ามิใช่ว่าเป็นพิษต่อร่างกายหรอกหรือ ระยะเวลาเพียงสิบเดือนเจ้าเก่งกาจมากกว่าคนที่ฝึกฝนมาเป็นสิบปี เผาผลาญอายุตนเป็นพลังตบะไปแล้วเท่าใดก็มิอาจรู้ได้ ยามนี้แม้ยังมิออกอาการยังมิเป็นอันตราย เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่เกินยี่สิบสามสิบปีอายุขัยคงไม่เหลือหลอ”



คำพูดของคนแซ่หม่าคล้ายเป็นค้อนขนาดใหญ่ที่ทุบลงมากลางศีรษะของข้า เวลาที่ผ่านมานอกจากฝึกวิชาดั่งเดิม พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปก็มีเพียงการหลับนอนกับคนรักของตนเพียงเท่านั้น หากยิ่งคิดมากเข้าหัวใจกลับยิ่งสั่นไหว เส้นเอ็นที่ขมับยิ่งเต้นหนักกว่าเดิม



ข้าเคยอ่านตำราโบราณมองเห็นผ่านตาเรื่องการใช้ธาตุหยางช่วยฝึกวิชาอยู่บ้าง ความจริงแล้วหนทางการรับพลังหยางมีหลากหลายวิธีด้วยกัน หากวิธีหนึ่งคือการซวงซิวใช้บุรุษเป็นเตาหลอม เกรงว่าที่อาจารย์กล่าวไว้ว่าศิษย์น้องของข้ามีกระดูกเซียนแน่นหนารากฐานแข็งแกร่ง คงเพราะเขามีธาตุหยางบริสุทธิ์เต็มเปี่ยมอยู่เต็มร่าง ข้าหลับนอนกับเขาหลายครั้งหลายคราย่อมทำให้ดูดซับไอหยางเข้มข้นจากเขาโดยไม่รู้ตัว จนกลายเป็นว่าความก้าวหน้าในมรรคาเซียนสูงส่งยิ่งกว่าเจ้าของธาตุหยางเสียอีก



เวลาเพียงยี่สิบสามสิบปีช่างสั้นนักเมื่อเทียบกับมรรคาเซียนอันแสนยาวนาน ข้ามิรู้สึกเสียใจเลยสักนิด หากต้องตายเพราะครั้งหนึ่งได้รักศิษย์น้องของตนเอง แต่ถ้าไป๋เจี๋ยรับรู้เรื่องนี้เขา มันจะมิกลายเป็นตราบาปตลอดชีวิตของเขาหรอกหรือ



“เจ้าอย่าเพิ่งทำสีหน้าเช่นนั้นเลย ใช่ว่าจะไม่มีหนทางแก้ไข” หม่าฮุ่ยเหวินเอื้อมมือมาตบไหล่ปลอบใจข้า คนหลงคิดไปว่าข้าหวาดกลัวต่อความตาย “หากหยางมากไปก็หาหยินมาเติมช่วยรักษาสมดุล ศิษย์น้องเยี่ยหน้าตาหล่อเหลาเช่นนี้ ไอหยินจากปราณบริสุทธิ์ไร้มลทินย่อมหาไม่ยากอยู่แล้ว”



ประโยคนี้มิใช่ว่ามีความนัยให้ข้าหาสตรีมาหลับนอนเพิ่มธาตุหยินหรอกหรือ ไหนเลยข้าจะทำตามที่ตัวน่าตายแซ่หม่าแนะนำได้ กระทำการเช่นนั้นย่อมมิต่างอะไรกับการให้ข้านอกกายนอกใจทำร้ายคนที่ข้ารัก ตอนแรกข้านึกอยากด่าโคตรเหง้าของหม่าฮุ่ยเหวินสักทีที่เลี้ยงดูเขาออกมาเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อย้อนคิดว่าเขาทำไปตามหน้าที่ตามสัญชาตญาณของเขาพลันรู้สึกหมดวาจาจะกล่าวขึ้นมา



“ขอบคุณศิษย์พี่หม่าที่ชี้แนะ เรื่องนี้ท่านอย่าได้ปริปากบอกใครไป” ข้าคำนับเขาด้วยใจจริง ก่อนจะบอกลาด้วยความรู้สึกชืดชา บุญคุณความแค้นที่เขากลั่นแกล้งศิษย์น้องของข้ายังจะมีอารมณ์ใดมาคิดถึงได้อีก



ข้าใช้กระบี่พันหมื่นแสงดาราเหาะเหินกลับมาถึงยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ด้วยระยะเวลาเพียงเค่อเดียว แต่กลับรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายและใจเต็มที ยามนี้คิดถึงแต่หน้าคนรัก มิรู้ว่าควรต้องพูดจาบอกกล่าวอย่างไรว่าข้าคงอยู่ได้แค่ยี่สิบสามสิบปี หากมิยอมร่วมหลับนอนกับเหล่าสตรี สุดท้ายเมื่อตามหาเขาจนเจอจึงได้แต่รั้งร่างเล็กบางมาในอ้อมกอดแนบจูบแนบแน่น มิสนใจด้วยซ้ำว่าตนกำลังอยู่ในคลังเก็บของของอาจารย์หญิง



วันนี้สวรรค์คงไม่เข้าข้างข้าเยี่ยอู๋จวินกระมัง เพียงถ้อยคำจากหม่าฮุ่ยเหวินคงทำร้ายจิตใจข้ามิมากพอ ครั้นยามผละจูบออกจากไป๋เจี๋ยเปลี่ยนมากระชับกอดเขาเอาไว้ สายตากลับมองเห็นหญิงงามล่มเมืองนางหนึ่งยืนมองพวกข้าทั้งสองอยู่ที่ขอบประตู



เจิ้งปิงฉินในชุดขาวบริสุทธิ์มองมาด้วยสายตาเย็นยะเยือกส่งตรงถึงจิตวิญญาณ...ซึ่งมิรู้ว่านางยืนมองมานานเท่าใดแล้ว ใบหน้างามแม้ยังเรียบเฉย แต่ดวงตาดั่งเมล็ดซิ่งกลับให้ความรู้สึกดุดันกว่าทุกครา นางจับจ้องข้ามิวางตาคล้ายกำลังสำรวจลึกเข้าไปจนถึงจิตใจ อาจารย์หญิงมิได้กล่าววาจาใดแม้แต่คำหนึ่ง มิได้ส่งเสียงให้ไป๋เจี๋ยที่อยู่ในอ้อมแขนข้ารู้ตัว หากเพียงสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปด้วยท่าทางเย็นชาอย่างยิ่ง



ข้ารู้สึกคล้ายคนถูกน้ำเย็นสาดหน้าให้ตื่นจากห้วงนิทรา สองแขนกระชับกอดร่างศิษย์น้องในอ้อมแขนแน่นขึ้น หากในใจสับสนวุ่นวาย เคยคิดว่ารอเวลาผ่านไปสักสองสามปี รอไป๋เจี๋ยเติบโตขึ้นกว่านี้แล้วค่อยบอกเรื่องราวความสัมพันธ์ให้อาจารย์ได้รับรู้ ถึงวันนี้นางกลับมาพบเห็นด้วยตนเอง ซ้ำยังเดินจากไปด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างมาก เช่นนี้แล้วข้าควรบอกเล่าอธิบายเหตุการณ์ให้อาจารย์หญิงฟังอย่างไรเล่า



มิรู้ว่าโชคชะตาเล่นตลกหรือไร เกิดมาจนถึงตอนนี้ไม่ว่าสิ่งในชีวิตของข้าล้วนราบเรียบง่ายดายไร้ซึ่งอุปสรรคมาโดยตลอด หากถึงเวลาที่ข้าเยี่ยอู๋จวินตกหลุมรักใครสักคน อยากใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขาตลอดไป ความรักนั้นกลับมิง่ายดายเลยสักนิด...



ไม่ง่ายดายเลยจริงๆ



โปรดติดตามตอนต่อไป...


****

ซินเอ๋อร์:

ตอนนี้ยาวเป็นพิเศษเลย ตอนแรกลังเลว่าจะเขียน NC สักนิดดีไหม แต่ไม่ได้เขียนหลายตอนแล้ว เอาสักนิดให้กระชุ่มกระชวยหัวใจค่ะ จริงๆ คิดว่าเฉลยเรื่องปมต่างๆ ไปพอสมควรเลย เรื่องราวในอดีตเหลืออีกตอนก็จะจบแล้วนะคะ ส่วนจะจบยังไงต้องติดตามกันตอนต่อไปค่า 

จากนิยายกามๆ เขียนเอามันในตอนแรกกลายเป็นแบบนี้ไปแล้วค่ะะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ ทุกกำลังใจจริงๆ นะคะ 

พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ซินเอ๋อร์หนีไปนอนก่อนนะคะ <3

เชิงอรรถ

^ ใบแปะก๊วย
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 18 คห.60 [P.3, 29-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 29-10-2019 20:24:49
 :pig4:
 :katai2-1:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 18 คห.60 [P.3, 29-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 30-10-2019 12:33:01
เห็นด้วยครับว่าอู๋เกอนี่เท่มาก! /ยกนิ้วให้ด้วยความชื่นชม โอ้โห นัยยะ “เวลาเพียงแค่ยี่สิบสามสิบปีมันช่างสั้นเมื่อเทียบกับมรรคาเซียนอันแสนยาวนาน แต่หากถ้าต้องตายเพราะครั้งหนึ่งได้รักไป๋เจี๋ย เขาก็ไม่มีวันรู้สึกเสียใจสักนิด” ประโยคนี้มาทีนี่ผมสะอึกเลยนะครับ พระเอกอย่างหาที่ใดเปรียบไม่ได้ แถมยังคิดถึงคนรักของตัวเองอย่างสุดๆ ว่าถ้าเกิดเยี่ยอู๋จวินต้องตายจริงๆ แล้วไป๋เจี๋ยต้องมารู้ว่าเป็นเพราะตัวเอง ไป๋เจี๋ยจะโทษตัวเองขนาดไหน อู๋เกอตั้งใจจะไม่ยอมให้ศิษย์น้องรับรู้ความรู้สึกที่ว่าตัวเองต้องเป็นตราบาป เขาตั้งใจจะรักษาความรู้สึกของไป๋เจี๋ยไปตลอดชีวิต ขอเพียงไป๋เจี๋ยมีความสุข อาจจะมีความรักใหม่กับคนอื่นก็ได้ แต่เยี่ยอู๋จวินจะไม่มีวันยอมให้ตัวเองเป็นสาเหตุของความทุกข์ที่คนรักต้องรู้สึกเป็นอันขาด

อะไรจะเท่ขนาดนี้เนี่ย! (ฮือ น้ำตาไหล หวีดอย่างแรงเลย ชอบมากครับ!) นี่มันไม่ใช่ผีลามกครับ นี่มันสุดยอดแห่งพระเอกเก้ากระบี่พิชิตมังกรชัดๆ ไม่เคยเจอพระเอกเท่ๆขนาดนี้มานานแล้ว นี่ถึงขนาดให้หยกแทนใจไว้เลยนะครับ สลักตราประจำตระกูลไว้ให้ด้วย แถมยังใช้เป็นเครื่องรางคุ้มภัยว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ไป๋เจี๋ยมีอันตราย เขาจะรีบร้อนถ่อไปหาเพื่อช่วยเหลือทันที สุดยอดเลยท่านอู๋ (ผมว่าปัจจุบัน ทั้งสองคนก็ยังพกหยกสองอันนี้ติดตัวอยู่นะ ยิ่งถ้าไป๋เจี๋ยหลุดออกมาอย่าให้เจออีกครั้ง เพราะจะรั้งให้อยู่ตลอดด้วยไป แสดงว่าเขาเก็บหยกไว้แน่ๆ และผมว่าอย่างเยี่ยอู๋จวิน ปากอย่างใจอย่างขนาดไหน หยกขาวนั่นก็น่าจะเก็บอยู่ใกล้ตัวเป็นอย่างดี)

ที่เยี่ยอู๋จวินตัดสินใจออกจากสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ โดยเฉพาะออกจากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ที่ว่ารับศิษย์ยากนักหนา แล้วก็ฝีมือล้ำเลิศ คงเป็นเพราะไม่อยากให้ไป๋เจี๋ยต้องแบกรับสิ่งที่ไม่ดีหลายๆอย่าง อย่างเช่น เจิ้งปิงฉินมาเห็น อู๋เกอของเราก็อาจจะคิดว่านางไม่เห็นชอบ ดังนั้นถ้าเรายังอยู่ด้วยกัน เดี๋ยวต้องมีเภทภัยอะไรมาหาไป๋เจี๋ยแน่ ดังนั้นก็เลยคิดว่าออกจากสำนักดีกว่า ไป๋เจี๋ยไม่น่าจะเป็นอะไร แล้วตัวเขาเองก็เอาตัวรอดได้อยู่แล้วสบายๆ แถมถ้าออกไป ก็จะทำให้ไป๋เจี๋ยไม่ต้องรู้สึกผิดอีกว่าตัวเองเป็นสาเหตุให้เยี่ยอู๋จวินต้องตายไว เพราะถ้าอยู่ด้วยกัน ยังไงเยี่ยอู๋จวินก็รักไป๋เจี๋ยอยู่แล้ว ความรู้สึกไม่มีสั่นคลอน ผมชอบวลีหนักแน่นของเยี่ยอู๋จวินในตอนที่แล้วนะครับ “เมื่อเยี่ยอู๋จวินผู้นี้ตัดสินใจรักเจ้า ย่อมไม่มีวันรู้สึกเสียใจเช่นกัน” แถมยังบอกย้ำอีกว่าเขาตกหลุมรักไป๋เจี๋ย อยากใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับไป๋เจี๋ยตลอดไป ประโยคพวกนี้มันบอกชัดถึงปณิธานแน่วแน่ของเยี่ยอู๋จวินเลย ทำไมอู๋เกอถึงเท่อย่างนี้เนี่ย!

แต่ส่วนตัวผมว่าเจิ้งปิงฉินไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องศิษย์สองคนรักกันนะครับ ผมว่าปัญหาคือเรื่องชาติกำเนิดของไป๋เจี๋ยมากกว่า ผมว่าเจิ้งปิงฉินต้องรู้อะไรมาสักอย่าง แล้วการที่สองคนนั้นรักกัน มันจะทำให้เกิดปัญหาบางอย่างในอนาคต ยิ่งสถานะตอนนี้ของเจิ้งปิงฉินคือหายสาบสูญ เนื่องจากคนรักสองคนตีกันจนตายกับเป็นบ้า เจิ้งปิงฉินคงได้บทเรียนบางอย่างแล้ว ผมว่าตัวละครตัวนี้อาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการที่ผีเยี่ยอู๋จวินอาจจะกลับมาเป็นคนได้อีกครั้ง หรือว่าจะมาปลดล็อกทำให้ไป๋เจี๋ยได้รับรู้ความคิดที่แท้จริงของอู๋เกอ หรืออาจจะมาเฉลยเรื่องของไป๋เจี๋ยให้เยี่ยอู๋จวินรับรู้ก็เป็นได้

ผมชอบตอนนี้มากเลยนะครับ พาร์ทย้อนอดีตนี่ทำให้เราเห็นมิติของตัวละครปัจจุบันเยอะขึ้น แล้วก็เฉลยหลายสิ่งที่อาจนำไปสู่กุญแจในการไขพล็อตหลักด้วย เขียนได้ดีครับ

ปล1. ถึงจะทำให้พล็อตหลักเข้มข้น แต่เนื่องจากโทนเรื่องเป็นผีลามก เราจะใส่ฉากเรทๆหรือกามๆที่ดุเด็ดเผ็ดมันเข้ามาเพื่อคุมโทนเรื่องไม่ให้ซีเรียสเกินไป หรือทำให้มันเฮฮาหน่อย ก็ทำได้นะครับ :laugh:

ปล2. เฉลยเรื่องสัดส่วนรูปร่างของผีลามกแล้วว ถึงจะยังเป็นวัยรุ่น 15 แต่ท่าทางจะไม่เบาเลยนะครับ ล้ำหน้าคนอื่นไปไกล นี่ถ้าตอนเจริญพันธุ์เต็มที่นี่จะขนาดไหน แสดงว่าหานเฉิงรุ่ยที่ว่าร่างกายสูงใหญ่ หรือเหล่ยเจิ้นยวี่ที่แม้จะพิมพ์หน้าตารูปร่างสมัยสิบเจ็ดสิบแปดมา ก็ยังไม่น่าจะสู้กับพระเอกเยี่ยอู๋จวินของเราในร่างจริงนะครับ อยากเห็นจังเลยยย :m25:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 18 คห.60 [P.3, 29-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 30-10-2019 23:32:25
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 18 คห.60 [P.3, 29-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 31-10-2019 09:43:27
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 18 คห.60 [P.3, 29-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ง่วงนอน ที่ 01-11-2019 16:21:49
นั่งไทม์แมชชีนมาจนจะจบแล้ววว พระเอกนี่หื่นแต่เด็กเลยนะ ดูดซับพลังหยางได้มากขนาดนั้นอาทิตย์นึงทำไปกี่รอบเนี่ย   :hao6:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 19 คห.66 [P.3, 3-11-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 03-11-2019 06:33:28
ความรู้สึกลึกซึ้งอันแสนพูดยากเมื่อปีนั้น (5)



วันต่อมาข้าตื่นตั้งแต่ก่อนยามเหม่าไปนั่งคุกเข่าอยู่หน้าห้องนอนของอาจารย์ สมองครุ่นคิดถ้อยคำอธิบายที่จะบอกเล่าให้แม่นางแซ่เจิ้งฟังถึงความรู้สึกของตนที่มีต่อศิษย์น้อง นั่งอยู่ได้ครึ่งค่อนชั่วยามอาจารย์กลับเรียกให้ข้าไปช่วยแต่งตัวเหมือนยามต้องไปธุระข้างนอก นางส่งปิ่นบุปผามุกให้ข้าช่วยประดับเรือนผม จากนั้นจึงสะบัดแขนเสื้อเดินนำไปที่ห้องหนังสือด้วยท่าทางสงบเยือกเย็นยิ่งนัก



อาจารย์เพียงชี้นิ้วสั่งให้ข้าทำความสะอาดกระบี่เล่มหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะคัดอักษร คราแรกข้านึกว่าเป็นกระบี่เกล็ดน้ำค้างของอาจารย์หญิง หากพิศดูแล้วกลับพบว่าแม้รูปลักษณ์คล้ายคลึงแต่มีบางส่วนที่แตกต่างกันอยู่ไม่น้อย ทั้งน้ำหนักที่เบากว่ารูปร่างที่เพรียวกว่า ฝักกระบี่สลักลายเกล็ดน้ำค้างแข็งคล้ายกระบี่ประจำกายของแม่นางแซ่เจิ้ง หากฝีมือประณีตอ่อนช้อยกว่ามาก คล้ายว่ากระบี่เกล็ดน้ำค้างตีขึ้นก่อนแล้วค่อยตีกระบี่เล่มนี้ตามมาเป็นกระบี่คู่อย่างไรอย่างนั้น



“กระบี่เล่มนี้คือกระบี่ธารน้ำแข็ง เป็นกระบี่ที่ข้าตีขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน” อาจารย์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้คนงาม สายตาที่มองตรงมายังข้านอกจากความเฉื่อยชาเจ็ดส่วนยังมีแวววูบไหวประหลาดอยู่อีกสามส่วน “เจ้าคงสงสัยกระมังว่าเหตุใดข้าจึงหยิบกระบี่เล่มนี้ออกมา”



ข้ามิได้ตอบคำถามอันใด นอกจากส่งกระบี่ที่เช็ดถูทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วส่งวางบนโต๊ะ ส่วนตนเองกลับไปนั่งคุกเข่าเช่นเดิม เมื่อวานเจิ้งปิงฉินพบเจอความสัมพันธ์ระหว่างข้าและคนสกุลไป๋ วันนี้นางย่อมมิอาจทำตัวเมินเฉย คงมีหลากหลายวาจาที่ต้องพูดจากับข้าเป็นแน่



“เจ้าเคยได้ยินเรื่องราวของสองเหมันต์แห่งยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์หรือไม่ ไม่สิ...ตอนนั้นเจ้ายังไม่เกิดเลยกระมัง” นางแค่นหัวเราะด้วยน้ำเสียงชืดชาออกมาคำหนึ่ง ปลายนิ้วขาวไล้ไปตามลายสลักของฝักกระบี่คล้ายใจลอย นัยน์ตาดำสนิทแปรเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นจนเห็นได้ชัด “ยามเจิ้งปิงฉินดีดพิณ ยาม[1]ร้องเพลง แม้แต่นกสกุณายังต้องหยุดร้องรอฟัง ช่างเป็นคำกล่าวที่น่าขันยิ่งนัก”



แม้ยามนั้นข้าเยี่ยอู๋จวินยังมิได้ลืมตาขึ้นมาบนโลก แต่ก็เคยได้ยินจากบิดาที่เคยเป็นศิษย์ร่วมสำนักรุ่นใกล้เคียงกับแม่นางแซ่เจิ้งว่าอาจารย์เคยมีศิษย์น้องร่วมยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์อยู่ผู้หนึ่ง ทั้งสองล้วนแต่เป็นดรุณีน้อยหน้าตาแช่มช้อยล่มเมือง กิริยาท่าทางงดงาม ฝีมือเก่งกาจอาจหาญยากหาผู้ใดมาเทียบ มิว่าไปที่ใดล้วนแต่ดึงดูดสายตาผู้คน คนกะหล่อนเจ้าชู้เช่นเยี่ยหย่งฟางจึงจดจำได้ขึ้นใจ



นามเรียกตัวคนหนึ่งคือพิณน้ำแข็ง คนหนึ่งคือหยกหิมะ เจิ้งปิงฉินเก่งกาจด้านเพลงพิณสมดังชื่อ ส่วนชวีเสวี่ยจิงร้องเพลงร่ายรำได้ไพเราะงดงาม ทั้งสองสนิทสนมรักใคร่กลมเกลียวไม่ว่าไปที่ไหนก็ไปด้วยกัน จึงเกิดเป็นคำเรียกขานแม่นางทั้งคู่ว่าสองดรุณีเหมันต์แห่งยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ แต่หลังจากเจิ้งปิงฉินได้รับเลือกเป็นผู้สืบทอดต่อจากอาจารย์ปู่ มิรู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น ชวีเสวี่ยจิงจึงตัดสินใจออกจากสำนักออกเดินทางท่องเที่ยว จากนั้นได้หายตัวสาบสูญไป มิมีผู้ใดพบเจอนางอีก



นัยน์ตาคู่งามคล้ายเหม่อลอยคล้ายจับจ้องมายังข้า มุมปากของเจิ้งปิงฉินยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเบาบาง ก่อนจะบอกเล่าเรื่องราวในอดีตด้วยน้ำเสียงสดใสอยู่สองส่วน “ตอนข้าอายุสิบเอ็ดอยู่บนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ได้ห้าปี วันหนึ่งอาจารย์ปู่ของเจ้าที่ออกท่องเที่ยวกลับมาพร้อมทารกหญิงในห่อผ้า บอกว่าเป็นเด็กกำพร้าที่เก็บได้กลางทาง เห็นนางไม่มีที่พึ่งพิงจึงคิดนำมาเลี้ยงดู นางมีผิวขาวราวหิมะ หน้าตาน่ารักยิ่งกว่าเด็กคนใดที่ข้าเคยเห็นมาก่อน เสียงร้องสดใสกังวาลสั่นสะเทือนไปทั้งยอดเขา ข้าจึงตั้งชื่อให้นางว่าเสวี่ยจิง ส่วนแซ่ใช้ตามแซ่ของอาจารย์”



“ยิ่งเติบใหญ่จิงจิงยิ่งแข็งแกร่ง แรกเริ่มข้าคิดว่านางเพียงมีกระดูกเซียนแข็งแกร่งมีรากฐานปราณแน่นหนา หากนางอายุเพียงสามขวบกลับสามารถล้มสัตว์อสูรขั้นสูงที่หลุดมาจากยอดเขาอสูรคำรามได้ด้วยมือเปล่า ซ้ำยังอาละวาดเสียจนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ย่อยยับหมดสภาพ ยามนั้นอาจารย์จึงยอมบอกเล่าความลับในชาติกำเนิดของนางให้ข้าได้ฟัง มารดาของจิงจิงเป็นสหายผู้ฝึกเซียนคนหนึ่งของอาจารย์ นางพบรักกับเซียนสวรรค์ผู้มาเผชิญด่านรักในโลกมนุษย์ท่านหนึ่ง แต่ด่านเคราะห์ของเขาคือพลัดพรากจากความรัก สุดท้ายจึงกลับคืนสวรรค์ชั้นฟ้าไป เหลือไว้เพียงเลือดเนื้อเชื้อไขเอาไว้ในครรภ์ของนาง”



“เซียนสวรรค์ผู้นั้นไหนเลยจะเป็นเซียนธรรมดา หากเป็นถึงสัตว์เทพบรรพกาลมังกรทองห้าเล็บ” เจิ้งปิงฉินหลุบสายตาลงมองข้าครู่หนึ่งแล้วหลุดหัวเราะออกมาแผ่วเบา “มังกรทองห้าเล็บสูงส่งเพียงใดเจ้าคงพอรู้กระมัง”



ข้านิ่งเงียบด้วยไม่กล้าปริปากกล่าววาจาอันใดขัดอาจารย์ หากตำนานของมังกรทองห้าเล็บข้าและเหล่าผู้ฝึกเซียนทั้งหลายย่อมเคยเห็นผ่านตามาก่อน สายเลือดสูงส่งเช่นนั้นมีเพียงชนชั้นผู้ปกครองสวรรค์องค์จักรพรรรดิของเหล่าเทพเซียน ซ่างเสินผู้ที่มาเผชิญด่านรักในครั้งนั้นคงเป็นองค์ชายสักคนกระมัง



แรกเริ่มข้ายังไม่เข้าใจว่าอาจารย์หญิงเล่าเรื่องราวอาจารย์อาชวีเสวี่ยจิงให้ข้าฟังด้วยเหตุผลประการใด หากยามนี้กลับสังหรณ์ใจในบางอย่าง ซ้ำยังเป็นสังหรณ์ที่ทำให้ภายในใจรู้สึกสั่นไหวจนบอกไม่ถูก ข้าอยากร้องบอกอาจารย์ให้นางหยุดเล่าเรื่องราวต่อจากนี้ไปเสียที หากแม่นางแซ่เจิ้งไหนเลยจะยอมกระทำการตามนั้น



“ชวีเสวี่ยจิงได้รับสายเลือดและพรสวรรค์ของมังกรทองห้าเล็บมาเต็มตัว แม้เป็นสตรีแต่กลับมีกายหยางบริสุทธิ์หาใครเทียบได้ อาจารย์ปู่ของเจ้าพยายามใช้อาคมสะกดพลังเอาไว้เพื่อไม่ให้พลังนั้นนำพาภัยอันตรายมาให้นาง แต่ก็ทำได้เพียงชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้น สามเดือนครึ่งปีต้องคอยช่วยกันข่มสายเลือดสวรรค์เอาไว้”



ยามกล่าวอีกหลายประโยคถัดมา สีหน้าของแม่นางแซ่เจิ้งพลันอ่อนโยนยิ่งขึ้นกว่าเดิม “แม้เป็นเช่นนั้นหากนางกลับเติบใหญ่มาได้อย่างดียิ่ง เก่งกาจงดงามอุปนิสัยสดใสร่าเริงต่างจากคนชืดชาเช่นข้ามากนัก ข้าช่วยอาจารย์เลี้ยงดูนางมาจนเติบใหญ่ นางเคารพรักข้าเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าไปไหนก็คอยมาเกาะแขนร้องเรียกปิงเจี่ยอย่างนั้นปิงเจี่ยอย่างนี้ ข้าคิดว่าวันหน้าผู้สืบทอดยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ย่อมต้องมีกระบี่ดีๆ ใช้สักเล่ม ครั้นนางอายุสิบสี่ข้าจึงตั้งใจตีกระบี่ให้เล่มหนึ่ง กระบี่ธารน้ำแข็งเล่มนี้เหนือกว่ากระบี่เกล็ดน้ำค้างของข้าไม่รู้จักกี่สิบกี่ร้อยเท่า ข้ากลับมองว่าเหมาะสมกับนางดีแล้ว”



อาจารย์หญิงกดปลายนิ้วตามรอยสลักบนด้ามกระบี่ด้วยแรงที่มากขึ้น ใบหน้าจากอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาเครียดขึ้ง ดวงตาคู่นั้นปรากฏร่องรอยเจ็บปวดจนมิอาจปิดบังได้ “ยามที่นางอายุสิบหก นางตามข้าไปทำภารกิจปราบมารชั่วตนหนึ่ง ตัวข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนนางบาดเจ็บภายนอกเล็กน้อยเพียงเท่านั้น เมื่อกลับมาถึงสำนักผู้คนเอาแต่สนใจช่วยยื้อชีวิตข้า ครั้นข้าอาการหายดีกลับพบว่าพลังฝึกปรือของศิษย์น้องกลับถดถอยลงไปมาก มารชั่วพวกนั้นถึงกับลงมือใช้พิษสลายปราณกับนาง”



คำว่าพิษสลายปราณทำให้ข้ารู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาถึงไขกระดูก สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรเป็นเซียนทุกคนคงไม่มีสิ่งใดน่าหวาดผวาได้เทียบเท่ากับพิษชนิดนี้ของเหล่ามารอีกแล้ว เมื่อถูกพิษในเบื้องต้นจะทำให้พลังตบะถดถอยไปหลายขั้น หากทิ้งเอาไว้นานจนพิษเข้าสู่จุดตันเถียนจะทำให้รากฐานปราณทั้งหมดสูญสลายจนกลายเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาไม่อาจฝึกปรือได้อีก แต่พิษสลายปราณนับว่าเป็นพิษที่หายากที่สุดก็ว่าได้ ความน่ากลัวของมันทำให้เมื่อพันปีก่อนเหล่าเซียนและผู้ฝึกเซียนลงมือกวาดล้างพิษชนิดนี้ไปเสียสิ้น ไม่คาดคิดว่าจะยังมีหลงเหลือมาจนถึงอาจารย์อาชวีได้



“เวลานั้นพิษเข้าสู่จุดตันเถียนไปได้หลายเดือนแล้ว นางมีพลังมากมายจึงยิ่งคล้ายกาน้ำรั่วที่มีแต่น้ำไหลออก แม้อาจารย์จะหาวิธีชะล้างไขกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็นอย่างไร แต่ร่างกายของจิงจิงบอบช้ำจนมิอาจรักษาได้ นางกลับยังยิ้มแย้มบอกข้าว่ายามนี้นางยังมีพลังฝึกปรือหลงเหลือพอดูแลตนเองได้บ้าง ใต้หล้านี้ยังมีหลายสิ่งมากมายมิเคยได้พบเห็น ยังมีหลายสิ่งที่มิเคยสัมผัส นางขอลงจากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ออกเดินทางท่องเที่ยวก่อนที่จะกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาเสียดีกว่า”



“ชวีเสวี่ยจิงออกจากยอดเขาไปทั้งอย่างนั้นเอง ปีต่อมาอาจารย์ปู่ของเจ้าแต่งตั้งข้าเป็นผู้สืบทอด ส่วนตัวเขาไม่สามารถผ่านด่านเคราะห์อัสนีได้จึงต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีกครั้ง ข้ารอให้ทุกสิ่งเข้าที่เข้าทางอยู่หลายปีจึงออกเดินทางตามหาศิษย์น้อง สิบหกปีก่อนพบนางกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะเชือดไก่ นางแต่งกายคล้ายสาวชาวบ้านอาศัยอยู่แถวซีเปียนจิ่ง” อาจารย์นิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจับจ้องข้าไม่วางตา ภาพสะท้อนจากนัยน์ตาดำขลับคือแววตาของข้าที่สั่นไหวจนคล้ายหวาดกลัว ปลายนิ้วเริ่มสั่นระริกอย่างไม่ทราบสาเหตุ เกรงว่าเรื่องราวต่อจากนี้ไปคงเป็นเรื่องที่ข้ามิอยากรับรู้มากที่สุดแล้วกระมัง



“พบเจอคราวนั้นนางตั้งครรภ์ได้หลายเดือนแล้ว จิงจิงบอกข้าว่าสามีของนางเป็นผู้สืบทอดสกุลเซียน เป็นบุรุษที่ดีกับนางเป็นอย่างยิ่ง อีกไม่นานนางจะให้กำเนิดบุตรสาวบุตรชายผู้มีความสามารถแกร่งกล้าตามสายเลือดสัตว์เทพบรรพกาลให้เขาคนหนึ่ง บุตรของนางต้องเก่งกาจยิ่งกว่าใคร วันหนึ่งได้ผู้นำเซียนที่ยิ่งใหญ่กว่าใครในใต้หล้า วันหนึ่งได้เหาะเหินกลับไปสวรรค์ชั้นฟ้ากลายเป็นเทพเซียนที่ยิ่งใหญ่กว่าเทพเซียนทั่วไป ชั่วชีวิตนี้นางมีความสุขดีมากแล้วในฐานะหญิงสาวผู้หนึ่ง ข้ามิจำเป็นต้องวิตกกังวลเป็นห่วงเป็นใยอีกต่อไปแล้ว”



ข้าเปิดปากขึ้นพยายามบอกอาจารย์ว่ามิจำเป็นต้องเล่าอีกต่อไป หากกลับไม่มีเสียงใดหลุดรอดออกมาทั้งสิ้น เจิ้งปิงฉินทำเหมือนไม่รับรู้ความรู้สึกของข้า ริมฝีปากแดงดั่งผลอิงเถาขยับออกกล่าวถ้อยคำไม่หยุด



“กิจการงานของสำนักวุ่นวายอยู่หลายปี ข้ากลับไปเยี่ยมนางอีกเจ็ดปีต่อมากลับไม่พบทั้งนางไม่พบทั้งบุตรที่ว่า แรกเริ่มคิดว่านางย้ายบ้านหรือย้ายเข้าสกุลของสามีไปแล้วกระมัง หากต่อมากลับสืบพบว่านางถูกภรรยาหลวงของสามีแสนดีผู้นั้นอาละวาดจนขาดใจตายไปแล้วเมื่อปลายปี ส่วนบุตรชายระหกระเหินไปอยู่แห่งหนใดก็ไม่อาจรู้ได้ ข้าออกตามหาบุตรของศิษย์น้องอยู่หลายปีจึงพบเขาเป็นขอทานสกปรกอยู่ข้างถนน ต้องถูกผู้คนทุบตี ต้องแย่งข้าวสุนัขกิน...ทั้งที่เขามีสายเลือดสูงส่งถึงเพียงนั้น ทั้งที่เขาหน้าตางดงามถึงเพียงนั้น”



“อู๋จวิน...ทั้งเจ้าและไป๋เจี๋ยล้วนแต่เกิดมาหนทางแตกต่าง ศิษย์น้องของเจ้าสืบทอดพลังจากมารดามาเต็มสิบส่วน ซ้ำยังได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์จากพระแม่ซีหวังหมู่ที่แฝงเร้นอยู่ในสายเลือดของคนสกุลไป๋ วันหนึ่งเขาต้องกลับซีเปียนจิ่งไปเป็นผู้นำสกุลไป๋ วันหนึ่งเขาต้องเหาะเหินขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้ากลับไปเป็นหนึ่งในสายเลือดของผู้ปกครองสวรรค์ ส่วนเจ้า...” อาจารย์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งคล้ายอยากเอ่ยวาจาบางอย่าง หากกลับคิดเปลี่ยนใจเสียก่อน “เจ้ายังมีหนทางของเจ้าอีกยาวไกล อีกสองปีเมื่ออายุสิบแปด ข้าจะแต่งตั้งเจ้าเป็นผู้สืบทอดยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์”



“แต่ข้าและเขารักกันด้วยใจจริง ต่อให้เขาเป็นขอทานน้อยก็ดี ต่อให้เขาเป็นเทพสวรรค์ก็ดี ข้าล้วนแต่รักเขาทั้งสิ้น ขอเพียงพวกข้ารักกันด้วยความรู้สึกหนักแน่นมั่นคงตลอดไป ไยถึงมิสามารถรักกันได้” ข้าโพล่งออกไปด้วยความรู้สึกหลากหลายอย่างผสมปนเปกันจนเหลือจะกล่าว มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นเพื่อพยายามสกัดกั้นอารมณ์ของตนเอาไว้



“ชีวิตนี้ไหนเลยจะมีคำว่ามั่นคงตลอดไป! วันนี้รัก พรุ่งนี้ไม่รัก ใครเล่าจะตอบเจ้าได้” เจิ้งปิงฉินกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเหลืออด หากเมื่อมองเห็นหน้าตาข้าดูไม่ได้มากเข้า นางจึงพยายามใช้น้ำอดน้ำทนขึ้นมากกว่าเดิม “เจ้าและเขาวันหนึ่งย่อมต้องลาจากกัน รอให้ถึงเวลานั้นจะมิยิ่งเจ็บช้ำกว่าเดิมหรือ เวลานี้พวกเจ้ายังเยาว์วัยยังใช้เวลาฟื้นฟูตนเองได้ทัน แม้แรกเริ่มอาจเจ็บปวดใจอยู่บ้าง แต่เวลาผ่านไปย่อมไม่รู้สึกสิ่งใดแล้ว”



แม่นางแซ่เจิ้งถึงกลับใช้ถ้อยคำที่ข้าเคยบอกกล่าวกับนางในวันนั้นมาย้อนคืนข้าในวันนี้ ยิ่งคิดตามเท่าไรกลับยิ่งรู้สึกว่าคำพูดของนางนั้นเป็นจริงได้อยู่หลายส่วน ด้วยสายเลือดมังกรสวรรค์ย่อมทำให้ไป๋เจี๋ยกลายเป็นเทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างง่ายดาย หากมนุษย์ปุถุชนเช่นข้ายามผ่านด่านอัสนียังมิอาจล่วงรู้ได้ว่าจะสามารถรอดเคราะห์ไปได้ กระทั่งอาจารย์ปู่ชวีเองก็ยังมิรอดหรอกหรือ



ข้าสั่นศีรษะไล่ความรู้สึกสับสนออกไป ดวงตาร้อนผ่าวจับจ้องอาจารย์ด้วยความรู้สึกไม่ยินยอม “ทั้งหมดล้วนแต่เป็นวาจาของท่านทั้งสิ้น ไป๋เจี๋ยคิดเห็นตัดสินใจเช่นไรก็ยังมิรู้ได้...”



“เช่นนั้นเจ้าก็ลองถามเขาดูว่าเขาอยากเลือกอยู่กับเจ้าไปตลอดชีวิต หรืออยากเป็นเซียนสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่เหนือใครกันแน่” เจิ้งปิงฉินระบายลมหายใจยาวคล้ายเหนื่อยล้าเต็มที “ความรู้สึกบางครั้งก็คล้ายจริงคล้ายลวงตา วันนี้ตัดรักไปยังคงความสัมพันธ์เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันได้ ลองไตร่ตรองให้ดีเถิดอู๋จวิน”



ข้าเดินโซเซออกมาอย่างหมดเรี่ยวแรงจนลืมแม้กระทั่งบอกคำนับลาอาจารย์หญิง ครั้นกลับไปถึงเรือนพักกลับพบว่าคนรักของตนไม่อยู่ คงไปฝึกวิชาเหมือนดั่งทุกที รอจนค่ำมืดให้เขากลับมาจึงได้แต่ดึงเขามากอดเอาไว้แน่นหนาด้วยความคิดที่ตีกันจนสับสนอลหม่าน ข้าเยี่ยอู๋จวินมีชีวิตอยู่ได้เพียงยี่สิบสามสิบปีเพราะรับหยางบริสุทธิ์ ส่วนไป๋เจี๋ยวันหนึ่งต้องกลับคืนสวรรค์ชั้นฟ้า...หนทางรักช่างยากลำบากดีแท้


*ตัดค่า ตัวอักษรเกิน*
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 19 คห.66 [P.3, 3-11-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 03-11-2019 06:33:50




คืนนั้นข้ามิอาจข่มตาหลับได้ทั้งคืน ซ้ำยังได้ยินเสียงพิณเป็นทำนองเพลงเศร้าแผ่วเบาจากเรือนพักของแม่นางแซ่เจิ้ง ยิ่งทำให้ขข้ามิอาจทำใจให้สงบได้ ยามที่ตระกองกอดคนเอาไว้ในอ้อมอกจึงได้ตัดสินใจเอ่ยปากถามเขาไปประโยคหนึ่ง “อาเจี๋ย...ชีวิตนี้ความฝันของเจ้าคือสิ่งใดหรือ”



“ความฝันเช่นนั้นหรือ” ศิษย์น้องที่กำลังลากนิ้ววาดบ่าของข้าเล่นทวนคำถามด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสะลึมสะลือ เสียงหวานอันเลื่อนลอยกลับคล้ายมีดน้ำแข็งที่แทงเข้ากลางใจของข้า ทั้งเจ็บปวด ทั้งเย็นเหยียบจนไม่อยากหายใจ “แต่ก่อนข้าลำบากมามาก คิดว่าหากวันหน้าได้เก่งกาจอยู่เหนือใครเป็นที่ยอมรับของใต้หล้าคงดีไม่น้อย”



“แล้วท่านเล่าอู๋เกอ ท่านนึกฝันสิ่งใดกัน”



ข้านิ่งเงียบไปพักหนึ่งเพราะความรู้สึกเจ็บแปลบกลางใจ ปลายนิ้วลากลูบไปตามผิวแก้มนิ่มอย่างแผ่วเบาด้วยความทะนุถนอมก่อนจะกระซิบตอบคนที่หลับฝันไปแล้วถึงความในใจของตนเอง “ความฝันของข้าคือการได้อยู่กับเจ้า ได้ปกป้อง ได้รักเจ้าตลอดไป...”



เขานึกฝันอยากเป็นใหญ่ ส่วนข้านึกฝันมาตลอดว่าถ้าได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับอาเจี๋ยตลอดไปคงดีไม่น้อย ด้วยความสามารถสูงส่งเช่นนั้นความฝันของไป๋เจี๋ยคงอาจเป็นจริง หากความฝันของข้าอย่างไรก็คงเป็นได้เพียงความฝัน แม้สวยงามเพียงใดไหนเลยจะมีคำว่าตลอดไป...สุดท้ายในวันหนึ่งคนเราก็ต้องลืมตาตื่นอยู่ดี



ข้ามิรู้ว่าควรต้องใช้ข้ออ้างอันใดในการบอกตัดความสัมพันธ์กับผู้คน ในเมื่อข้ายังคงมีเขาอยู่เต็มหัวใจ แม้พยายามเหินห่าง แต่ไป๋เจี๋ยยังคงเข้ามาใกล้ชิด สุดท้ายแล้วจึงนึกถึงคำพูดของศิษย์พี่หม่าแห่งยอดเขาทิพย์โอสถขึ้นมาได้ ในเมื่อยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังมากมายที่มิอาจให้เขารู้ได้ ไยข้ามิทำตัวบัดซบสารเลวให้เขานึกเกลียดตนเองเล่า เพียงข้าหลับนอนกับเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องหญิงที่อยากมีบุพเพน้ำค้างชั่วข้ามคืนกับข้า คนสกุลไป๋ยังจะรักข้าลงอีกหรือ



สามเดือนหลังจากนั้นข้ากระทำการชั่วช้าเพียงใดคงมิจำเป็นต้องอธิบายให้มากความกระมัง วันหนึ่งไป๋เจี๋ยเห็นข้าหลับนอนกับศิษย์น้องหญิงต่างยอดเขาถึงห้าคน คนมองข้าด้วยดวงตาแดงก่ำที่อาบไปด้วยหยดน้ำตาพลางเอ่ยพูดกับข้าว่า “อู๋เกอ เหตุใดท่านจึงได้ทำเช่นนี้”



หัวใจข้าเจ็บปวดจนชาหนึบไปหมด แม้อยากดึงเขาเข้ามากอดปลอบใจเพียงใด แต่กลับเลือกกล่าววาจาทำร้ายจิตใจเขาแทน “ข้าฝึกวิชาที่คิดค้นเองชนิดหนึ่งอยู่ จำเป็นต้องหลับนอนกับทั้งชายหญิงเพื่อเพิ่มพูนพลังฝึกปรือ ศิษย์น้องคงไม่ข้องใจแล้วกระมัง”



“ที่ท่านมีสัมพันธ์กับข้าเป็นเพราะท่านฝึกวิชานอกรีตเช่นนั้นหรือ” น้ำเสียงของไป๋เจี๋ยสั่นระริกคล้ายคนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ข้าได้แต่หลุบตามองต่ำเพราะมิกล้าสบตา แต่เลือกใช้ความเงียบงันเป็นคำตอบแทน ผ่านไปครู่หนึ่งอีกฝ่ายจึงหมดความอดทนขึ้นมา คนสกุลไป๋ซัดฝ่ามือใส่ข้าด้วยความเดือดดาล ข้ารู้สึกคล้ายถูกน้ำตาอุ่นร้อนของเขาทำให้ปวดแสบปวดร้อนไปจนถึงวิญญาณและดวงจิต “อู๋เกอ...ท่านมันตัวสารเลวบัดซบ! ”



ไป๋เจี๋ยมิกล่าววาจาอันใดกับข้าอีกต่อไป คนย้ายกลับไปยังห้องนอนเดิมของเขา ส่วนข้ายังคงหลับนอนกับศิษย์หญิงร่วมสำนักอย่างมากหน้าหลายตา แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นยามที่คนสกุลไป๋เหลือบมองมาด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อย ข้ามองเห็นแล้วยิ่งรู้สึกเจ็บแปลบจนมิอาจต้านทาน สุดท้ายก็คิดได้ว่าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปย่อมมิสามารถตัดความสัมพันธ์รักได้จริง มีแต่อยากพร่ำขอโทษเขา อยากรักถนอมเขาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด เป็นแบบนี้มิสู้ออกจากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ไปเป็นตายเอาข้างหน้ามิดีกว่าหรือ นอกจากนั้นตัวเขาที่มิได้พบเห็นข้าอีกต่อไปย่อมสามารถตัดใจได้เป็นแน่



วันหนึ่งข้าบุกไปหาอาจารย์หญิงที่เรือนของนางตั้งแต่เช้าตรู่ รอจนช่วยนางจัดแจงแต่งกายใส่เครื่องประดับจนเสร็จสิ้นจึงค่อยแจ้งความประสงค์ว่าข้าขอลาออกจากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์และสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ จากนี้ไปจะท่องเที่ยวใต้หล้าฝึกวิชาตามมรรคาของตนเอง



“คิดดีแล้วหรืออู๋จวิน” แม้ดวงตาทั้งคู่จะสั่นไหวแต่แม้นางแซ่เจิ้งกลับยังรักษาความสงบนิ่งไว้ได้ดีเป็นอย่างยิ่ง นางคงรับรู้ถึงพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมของข้าในช่วงนี้มาบ้างไม่น้อย “แม้เจ้าจะเป็นเช่นไร หากความตั้งใจที่จะให้เจ้าเป็นผู้สืบทอดตามที่บอกไปในตอนนั้นยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง”



“ข้าใช้สตรีเป็นเตาหลอมเพื่อฝึกวิชานอกรีตคงไม่เหมาะกับภาพลักษณ์สง่างามสูงส่งบริสุทธิ์ของยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์กระมัง” ข้าแสร้งหัวเราะแผ่วเบาพลางหรี่ตามองอาจารย์ปิดบังความรู้สึกภายในไว้ด้วยสีหน้ากะล่อนทะเล้น “อีกอย่างศิษย์น้องเหมาะสมกับข้ามากนัก เรื่องสืบทอดสกุลไป๋ค่อยว่ากันทีหลังก็ยังได้ รอให้เขาหาศิษย์ผู้สืบทอดที่เหมาะสมแล้วค่อยกลับไปคงไม่สาย ไป๋หล่างคงไม่รีบตายในสามสิบสี่สิบปีนี้แน่”



บิดาของไป๋เจี๋ยคงไม่ตาย แต่คนที่อาจตายในช่วงเวลานั้นอาจเป็นข้าเองก็เป็นได้



เจิ้งปิงฉินเม้มริมฝีปากเข้าหากันคล้ายคิดคำพูดฉุดรั้งไม่ออก ผ่านไปครึ่งค่อนวันนางจึงระบายลมหายใจยืดยาวออกมา “หากคิดดีแล้วก็ตามใจเจ้า”



ข้าปลดกระบี่พันหมื่นแสงดาราส่งคืนให้กับอาจารย์ ดวงตาของแม่นางฉายแววเข้มขึ้น น้ำเสียงที่กล่าววาจาออกมาสั่นไหวจนไม่เหมือนพิณน้ำแข็งแห่งยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ผู้เดิมเลยสักนิด “พันหมื่นแสงดารามีจิตวิญญาณมีจิตสำนึกของมัน กระบี่เล่มนี้แต่เดิมข้าตั้งใจตีเพื่อมอบให้เจ้าเพียงผู้เดียว มิว่าจะอยู่ในสถานะใด แม้ออกจากสำนักไปเจ้ายังได้ใช้เป็นกระบี่คู่กาย หากมิต้องการก็ไม่จำเป็นต้องส่งคืนให้ข้า นำไปทิ้งที่สุสานกระบี่บนยอดเขากระบี่ร้อยรบเถิด”



มือที่ชะงักค้างไปของข้าได้แต่เก็บกระบี่พันหมื่นแสงดารากลับไปแต่โดยดี สีหน้าของอาจารย์ดีขึ้นจนกลับมาราบเรียบเช่นเคย เจิ้งปิงฉินกวาดตามองข้าครั้งหนึ่งคล้ายครุ่นคิดบางอย่างแล้วค่อยเอ่ยปากสั่งความอีกหลายประโยค “เจ้าใช้วิธีฝึกปรือเช่นนี้ย่อมเกิดจิตมารพลาดพลั้งเดินทางที่ผิดได้ง่าย เป็นไปได้ให้ตัดรักออกเสีย”



ความรักไหนเลยจะตัดออกจากอารมณ์ความรู้สึกได้ง่ายดายปานนั้น หากข้าทำได้จริงคงมิตัดสินใจออกจากสำนักเพราะตัดใจจากไป๋เจี๋ยไม่ได้กระมัง แต่ข้าก็ยังคงรับความหวังดีของอาจารย์แต่โดยดี ซ้ำยังกล่าวถ้อยคำล้อนางเล่นอีกหลายประโยค



“จากนี้ไปไม่มีใครช่วยดูแลยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ ไป๋เจี๋ยใช่ว่าจะรู้ความจัดการเรื่องราวได้อย่างข้า ยามท่านออกท่องเที่ยวก็อย่าได้เก็บอะไรประหลาดกลับมาบ่อยนัก ส่วนอาจารย์อาโจวและอาจารย์อาเหลียงอย่าได้ปล่อยให้ค้างคาไป ยามนี้อาจารย์อาโจวคล้ายโรคจิตเข้าทุกที ส่วนอาจารย์อาเหลียงคล้ายสติปัญญาอ่อนด้อยเข้าทุกวัน”



เมื่อได้ฟังถ้อยคำข้าวิพากษ์วิจารณ์คนรักทั้งสองของนาง ทำเอาอาจารย์หญิงหลุดหัวเราะออกมาเสียงหนึ่งอย่างหาได้ยาก “อืม รู้แล้ว”



ข้าคุกเข่าลงโขกศีรษะเก้าครั้งแทนคำขอบคุณและคำขอโทษที่อกตัญญูต่อแม่นางแซ่เจิ้ง แม้เป็นเวลาเพียงไม่กี่ปี หากนางก็อบรมชุบเลี้ยงข้ามาอย่างดี ครั้นเงยหน้าขึ้นกลับพบว่าเจิ้งปิงฉินถอนหายใจยาวครั้งหนึ่ง นางหลุบสายตามองข้าด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกเหมือนเช่นทุกที นางขยับตัวเล็กน้อยจนทำให้ปิ่นทองระย้าบนเรือนผมกระทบกันจนเกิดเสียงแผ่วเบา เกรงว่าจากนี้ไปคงไม่มีข้าเกล้าผมเลือกเสื้อผ้าเครื่องประดับให้นางอีกต่อไปแล้ว



“เช่นนั้นข้าเยี่ยอู๋จวินขอลา”



อาจารย์เพียงพยักหน้าครั้งหนึ่งจากนั้นก็ไม่ได้ว่ากล่าวสิ่งใดอีก



ทรัพย์สินและข้าวของของข้าบนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์มีไม่มากนัก เสื้อผ้าสิ่งใดที่เป็นของสำนักล้วนแต่นำส่งคืนยอดเขาปราการโลหิต ส่วนที่เก็บไว้ติดตัวมีเพียงป้ายหยกขาวอันสลักนามของคนที่ข้ารักจนหมดใจ ยามบ่ายคล้อยข้าก็จัดการเรื่องราวได้จนหมดสิ้น ครั้นเดินหันหลังออกจากเรือนพักได้ไม่นานกลับได้ยินเสียงใสอันแสนคุ้นเคยเรียกขึ้นเสียก่อน



“อู๋เกอ ท่านจะไปจริงๆ หรือ”



ข้าหันกลับไปมองคนสกุลไป๋ที่ยืนกำหมัดร่างกายสั่นระริกอยู่ทางด้านหลัง คนคงได้ยินข่าวเรื่องข้าลาออกจากสำนักจึงได้รีบมาหาข้าที่นี่ ทั้งขอบตาและดวงตาหงส์แดงก่ำราวหยาดน้ำใสจะหลั่งรินออกมาได้ทุกเมื่อ ข้ากวาดสายตามององคาพยพอันแสนงดงามแล้วพยายามจดจำใบหน้าของเขาเอาไว้ในใจ จากนั้นจึงขยับยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนให้เขาเป็นครั้งสุดท้าย “คนเราเกิดมาล้วนมีเส้นทางแตกต่างกัน ข้าเยี่ยอู๋จวินไม่รักดีเลือกใช้วิชานอกรีตต่างจากมรรคาเซียนทั่วไป จากนี้จึงขอเดินตามเส้นทางของตนคงดีกว่า”



ฟังข้าพูดได้จบประโยค ไข่มุกแวววาวก็ร่วงหล่นเป็นสายธารน้ำตาที่ยิ่งเห็นก็ยิ่งเจ็บปวดใจ ข้าฝืนกดอารมณ์ความรู้สึกของตนเองเอาไว้ ก่อนจะยกมือคำนับเขาด้วยรอยยิ้มดังเดิม “แม้จะไม่ได้อยู่ในฐานะเดิมอีกต่อไป คนแซ่เยี่ยขอให้คุณชายสกุลไป๋ประสบความสำเร็จในมรรคาเซียนด้วยดี ขอให้โดดเด่นเหนือใครสมนามมงคลที่แม่นางแซ่เจิ้งมอบให้ หากพบเจอกันวันหน้าทักทายกันบ้างก็เป็นพอ”



ข้าหันหลังก้าวเดินต่อไปและตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่กลับไปมองเขาอีก หากไป๋เจี๋ยยังคงตะโกนร้องเรียกไม่หยุด เสียงร้องของเขายิ่งทำให้สองเท้าของข้าไม่มั่นคงเสียยิ่งกว่าเดิม



“เยี่ยอู๋จวิน! ”



“หากท่านจากไป ชาตินี้ทั้งชาติข้าไป๋เจี๋ยจะไม่ขอพบหน้าท่านอีก หากท่านตายก็จะไม่ไปฝัง ไม่แม้แต่จะเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ท่าน ปล่อยให้ท่านต้องทุกข์ทรมานยิ่งกว่าที่ข้าเจ็บช้ำใจ" ประโยคเยิ่นยาวของเขาเจือไปด้วยเสียงสะอื้นไห้ ทั้งอ่อนแอทั้งน่าเวทนายิ่งนั้น แต่ข้าต้องทำใจแข็งมุ่งหน้าเดินต่อไปโดยไม่หันกลับไปมอง เหตุเพราะยามเห็นหน้าย่อมมิอาจตัดรัก ยามเห็นน้ำตาย่อมมิอาจตัดใจ



“อู๋เกอ...ท่านอย่าไปเลย”



นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ข้าได้ยิน ก่อนที่ข้าจะใช้กระบี่เหาะขึ้นออกจากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ ยามนั้นเมฆหนาทึบจนท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่นานก็กลายเป็นเม็ดฝนสาดลงมาจนทั้งกายเปียกโชก



ข้ายกมือเช็ดใบหน้าที่ชุ่มน้ำของตนเอง...ฝนกระหน่ำถึงเพียงนี้จึงมิอาจรู้ได้ว่าน้ำเหล่านี้เป็นหยาดฝนหรือน้ำตาของตนกันแน่



โปรดติดตามตอนต่อไป...


********


ซินเอ๋อร์:

มาแล้วค่าา ไหนตอนแรกบอกเป็นนิยายตลก ไปๆ มาๆ ชักจะไม่ตลกซะแล้ว ไม่ได้ตั้งใจหลอกลวงผู้บริโภคนะคะ (แงงง)

จบพาร์ทอดีตก็ถือว่าเป็นการจบพาร์ทแรกของเป็นผีลามกแล้วนะคะะ ไม่กล้าบอกว่าเป็นครึ่งแรกของเรื่องหรือเปล่า เพราะไม่รู้ว่าที่เหลือจะยาวแค่ไหน แต่เอาเป็นว่าหลังจากตอน 20 เป็นต้นไป จะเริ่มพาร์ทต่อไปของเรื่องค่า ก่อนขึ้นพาร์ทใหม่จะมีตอนพิเศษสักตอนนะคะะ จะเป็นเรื่องอะไร ถ้าเขียนเสร็จจะเอามาลงค่าา

สำหรับทุกคอมเม้นท์ ซินเอ๋อร์อ่านทุกอันเลยนะคะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม ทุกกำลังใจจริงๆ จากนี้อาจจะอัพช้าหน่อย แต่จะให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละตอนค่ะ ซินเอ๋อร์ทั้งเรียน ทั้งทำงาน ชีวิตเลยวุ่นวายนิดหน่อยค่ะ

พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ คำผิดตอนนี้อาจเยอะหน่อย เพราะเขียนตอนตีสามตีสี่ มันก็จะเบลอๆ ค่ะ

ปล.ป้ายหยกพกของไป๋เจี๋ยที่ให้เยี่ยอู๋จวินไว้ ตอนปัจจุบันไปอยู่ไหนแล้ว เคยพาดพิงเอาไว้ในตอน 5 แล้วน้า <3



เชิงอรรถ

^ 屈雪晶 ชวีเสวี่ยจิง แปลว่า คริสตัลหิมะ แต่เนื่องจากอยากให้เป็นอารมณ์จีนโบราณ จึงขอแปลเป็นหยกหิมะแทนค่ะ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 19 คห.66-67 [P.3, 3-11-19]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 03-11-2019 08:14:40
จากไปทั้งที่ยังรัก
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 19 คห.66-67 [P.3, 3-11-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 03-11-2019 09:56:11
 o18


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! บทที่ 19 คห.66-67 [P.3, 3-11-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ง่วงนอน ที่ 03-11-2019 15:54:05
 :mew1:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอนพิเศษ 1 คห.71 [P.3, 9-11-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 09-11-2019 23:06:30
ตอนพิเศษ โดดเด่นเหนือใคร




เขาเคยนึกคิดสงสัยมาตลอดว่าตนเองเป็นใครและเกิดมาเพื่อสิ่งใด





ครั้งที่เขาเป็นเพียงเด็กน้อย มารดาเคยกอดเขาเอาไว้ในอ้อมแขนหอมแก้มเขาแรงๆ พลางพูดว่า “อาเป่าคนดี เจ้าเกิดมาสูงส่งเกินใคร วันหนึ่งต้องได้เป็นผู้นำเหล่าผู้บำเพ็ญเพียร วันหนึ่งต้องได้เหาะเหินกลับสวรรค์ชั้นฟ้าเป็นเทพเซียน”





ตอนนั้นเขายังเด็กจัด อายุเพียงสามสี่ขวบเท่านั้นย่อมไม่เข้าใจว่าผู้บำเพ็ญเพียรคือสิ่งใด เทพเซียนคือสิ่งใด และสวรรค์ชั้นฟ้าคือสิ่งใด หากแต่ในชีวิตมีเพียงมารดาผู้แสนดีและรักใคร่เขายิ่งกว่าใคร ฉะนั้นเมื่อนางสอนให้เดินลมปราณดูดซับปราณฝึกบำเพ็ญเพียรฝึกฝนร่างกาย เขาจึงทำตามแต่โดยดี คาดหวังเพียงว่ามารดาจะมอบรอยยิ้มอันแสนงดงามพร้อมเรียกเขาว่าอาเป่าเด็กดีซ้ำแล้วซ้ำเล่า





วันหนึ่งมีสตรีแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันบาดตาพร้อมผู้คนมากมายบุกมาถึงบ้าน มารดานำตัวเขาไปซ่อนเอาไว้ในตู้ใช้พลังเฮือกสุดท้ายสร้างอาคมพรางตาเอาไว้ไม่ให้ผู้คนพบเห็นโดยง่าย สตรีผู้นั้นทั้งด่าทอทั้งตบตีมารดาอยู่ครู่ใหญ่ ใช้เวลาอยู่ครึ่งค่อนวันนางถึงยอมจากไป พอเขาออกไปก็พบว่าท่านแม่ของเขาหน้าตาบวมช้ำมีแต่เลือดและน้ำตาเต็มหน้าไปหมด นางพร่ำบอกเพียงว่า “อาเป่าเด็กดี วันนี้แม้ต้องโดนกดขี่รังแก แต่วันหน้าเจ้าต้องอยู่เหนือผู้อื่น สัญญากับแม่สิว่าเจ้าต้องแข็งแกร่งกว่าใคร แข็งแกร่งยิ่งกว่าบุตรไม่ได้ความของหญิงชั่วสกุลจิน”





เขาที่อายุห้าขวบพอรู้ความอยู่บ้างว่าถ้อยคำจากมารดาทั้งใหญ่โตทั้งหนักหน่วงเกินกว่าสองมือของเขาจะรับได้ หากด้วยความเป็นห่วงเป็นใยจึงตกปากรับคำนางเป็นอย่างดี เขาช่วยประคองมารดาขึ้นเตียง หาน้ำมาให้นางดื่ม หาผ้าสะอาดชุบน้ำมาเช็ดใบหน้าทำความสะอาดให้ เขารอจนนางหลับไปแล้วค่อยวางใจได้บ้าง





แต่ไหนแต่ไรมารดามักจะนอนหลับนานๆ อยู่แล้ว นางบอกเขาว่าร่างกายนางอ่อนแอจำเป็นต้องนอนให้มาก เขากลัวมารดาตื่นจึงนั่งรอเงียบๆ พยายามขยับตัวให้น้อยที่สุด หากคราวนี้มารดาหลับไปนานเหลือเกิน จนเขาง่วงต้องปีนไปนอนข้างกาย นางคงยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น จนยามเช้าเขาตื่นขึ้นมาจนเขาเริ่มรื้อค้นอาหารในบ้านกิน นางก็ยังหลับใหลไม่ได้สติ





เขาเฝ้ารอมารดาตื่นขึ้นมาจนตะวันตกไปได้เจ็ดครั้ง จนวันที่แปดที่หิมะตกหนักก็มีคนเปิดประตูเข้ามา เนื่องจากชาวบ้านสังเกตว่าแม่นางแซ่ชวีและลูกชายไม่ออกจากบ้านให้ผู้คนพบเห็นหลายวันแล้ว บางคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับนางจึงนึกเป็นห่วงเป็นใยขึ้นมา ครั้นบุกเข้ามากลับพบว่าชวีเสวี่ยจิงสิ้นใจตายไปแล้ว ข้างกายคือบุตรชายวัยห้าปีที่คอยเฝ้าดูแลศพเหมือนเฝ้าดูแลคนป่วยอยู่หลายวัน





แรกเริ่มเขาไม่เชื่อว่ามารดาตายจากโลกนี้ไปแล้ว เขาอาละวาดใส่ชาวบ้านอยู่นาน ผู้คนถึงนำศพมารดาใส่โลงและนำไปฝังได้ ยายซุนที่อยู่ท้ายหมู่บ้านนึกสงสารจึงพาเขากลับไปที่บ้านของนางด้วย เขาไม่พูดไม่จากับใครอยู่สามเดือนกว่า ใช้ชีวิตเหมือนตุ๊กตามีชีวิตที่ถึงเวลากินก็กิน ถึงเวลานอนก็นอน วันหนึ่งยายซุนออกไปหาของป่าถูกงูกัดตาย เด็กในหมู่บ้านเรียกเขาว่าเป็นตัวซวย เพราะอยู่กับมารดา มารดาก็ตาย พอมีคนรับไปเลี้ยง นางก็ตายตกไปเช่นเดียวกัน





หลังจากนั้นเขาถูกเด็กวัยไล่เลี่ยกันและเด็กโตปาหินและข้าวของใส่เวลาเดินออกจากบ้าน ทนอยู่ได้เพียงไม่ถึงเดือนจนอาหารหมด เงินเหลืออยู่ไม่มาก ประจวบเหมาะในหมู่บ้านมีสัตว์ร้ายอาละวาดกัดผู้ชายตายไปสองคน เขาจึงถูกเรียกว่าเป็นตัวซวยตัวกาลกิณี สุดท้ายจึงถูกขับไล่ออกไป ต้องหอบข้าวของและเงินบางส่วนออกเดินทางระหกระเหินไม่รู้ว่าควรไปที่ใดดี





เขาเดินเท้าจากหมู่บ้านหนึ่งไปยังหมู่บ้านหนึ่งไปจนถึงเมืองหนึ่ง ครั้งมีเงินยังพอซื้ออาหารของกินได้บ้าง แต่ไม่นานก็ไม่เหลือเงินสักอีแปะ มารดาเคยบอกว่าเขาเป็นเด็กรู้ความมากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน เขาในวัยหกขวบรู้จักหาถ่านหาฝุ่นมาทาหน้าทาตาให้ขะมุกขะมอม แล้วพูดให้น้อยลงยิ้มให้น้อยลงจนไม่พูดไม่ยิ้มอีกต่อไป แม้รู้จักตัวอักษรพออ่านออกเขียนได้ก็แสร้งทำเป็นโง่งมเหมือนเด็กกำพร้าข้างถนนคนอื่นๆ กลายเป็นขอทานซุกหัวนอนข้างถนนแย่งเศษอาหารสุนัขกินเหมือนมุสิกที่ใช้ชีวิตแค่พอเอาตัวรอดไปวันๆ





ด้วยนิสัยดุร้ายไม่พูดไม่จาคล้ายเป็นบ้าใบ้จึงทำให้เขาไม่เป็นทั้งที่ชื่นชอบของใครเท่าใดนัก หลายครั้งถูกเด็กชายสูงวัยกว่าทุบตี เขาก็ใช้ฟันกัดผู้อื่นเสียจมเขี้ยว ซ้ำยังถือคติว่าหากเนื้อไม่หลุดจะไม่ยอมปล่อยเป็นอันขาด สุดท้ายได้ชื่อเรียกว่าเสี่ยวโก่ว...เสี่ยวโก่วผู้บ้าคลั่ง





ใช้ชีวิตข้างถนนอย่างไร้จุดหมายมาหลายปี เขาเฝ้าถามตัวเองหลายครั้งหลายคราว่าตนเองเป็นใครและเกิดมาเพื่อสิ่งใด บางคราเขานึกถึงวาจาของมารดาที่เฝ้าบอกว่าอาเป่าต้องสูงส่งเกินใคร หากกลับไม่รู้หนทางว่าจะต้องทำอย่างไรจึงจะสูงส่งเกินใครได้





วันหนึ่งในฤดูหนาวเขาที่ผอมกะหร่องมีเพียงกระดูกถูกอันธพาลในเมืองทุบตีเสียจนหน้าตาบวมปูดเป็นหัวหมู ขณะที่กำลังคิดว่าวันนี้คงไม่รอดชีวิตแล้ว หางตากลับเห็นชายเสื้อสีขาวบริสุทธิ์อย่างที่มิอาจมีผ้าผืนใดขาวสะอาดเทียบเท่า เบื้องหน้าของเขาคือเซียนสวรรค์ที่เหาะเหินลงมาบนผืนดิน เทพธิดาผู้นี้มีใบหน้างดงามหากด้วยความเย็นชาทำให้ยังด้อยกว่ามารดาผู้แสนอ่อนหวานในความทรงจำอันแสนเลือนรางของเขาอยู่สองส่วน นางสะบัดชายเสื้อครั้งหนึ่งอันธพาลที่รุมตีเขาอยู่ก็กระเด็นหายไป





“เจ้าคือบุตรของชวีเสวี่ยจิงหรือ” เทพธิดาในชุดขาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบรื่น เขาไม่กล้าสบตานางจึงได้แต่ก้มหน้ามองต่ำ หากยังพอจำชื่อของมารดาได้จึงพยักหน้ากลับไป “เช่นนั้นไปกับข้าเถิด”





เขาไม่ทันได้ตอบคำถาม เทพเซียนกลับหยิบผ้าสีน้ำตาลผืนหนาออกมาจากความว่างเปล่าแล้วห่อตัวจนหนาแน่น นางหอบเขาขึ้นมาเหมือนหยิบปุยนุ่น จากนั้นเหยียบกระบี่และเหาะขึ้นจากพื้นพาเขาที่ยังคงงุนงงไม่เข้าใจอันใดนักกลับไปด้วย





ชั่วครู่หนึ่งนางร่อนลงบนยอดเขาแห่งหนึ่งที่มีหิมะขาวโปรยปราย เขาได้ยินเสียงแตกพร่าใครคนหนึ่งพูดจากับเทพธิดาในชุดขาวและร้องเรียกนางว่าอาจารย์ พอเงยหน้ามองจนผ้าสีน้ำตาลเลื่อนหลุดไป กลับพบเด็กหนุ่มหน้าตาคมคายหล่อเหลาสะดุดตา รูปร่างกำยำสูงใหญ่ คนผู้นี้ตัวโตกว่าพวกอันธพาลที่ลากเขาไปทุบตีเสียอีก หากไม่ได้ยินเสียงคงคิดว่าเป็นชายหนุ่มเต็มตัวแล้วกระมัง





“อาบน้ำหาเสื้อผ้าให้เขา เสร็จแล้วพาไปพบข้า” นางเซียนส่งเขาให้เด็กหนุ่มผู้นั้น เขาอยากขยับตัวดิ้นหนี หากถูกอีกฝ่ายโอบอุ้มเดินเข้าเรือนไปเสียแล้ว ตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่ชอบบุรุษที่อายุมากกว่าเลยสักนิด คนพวกนี้มีแต่เอารัดเอาเปรียบชอบรังแกชอบทุบตี ยิ่งเห็นอีกฝ่ายพาเขาไปยังถังน้ำที่รองน้ำไว้จนเต็ม จึงคิดว่าคงต้องโดนกดน้ำตายวันนี้เป็นแน่





เขาดิ้นสุดตัวออกหมัดต่อสู้ทุบตีร่างสูงใหญ่เท่าที่ตนเองมีแรง ครั้นคว้ามือหนาได้ก็กัดเข้าไปจมเขี้ยว ในใจคิดเพียงว่าจะกัดจนกว่าเนื้อจะหลุดออกมา พอเห็นอีกฝ่ายขยับมือก็เปลี่ยนไปกัดนิ้วมือเอาไว้แทน หากคนผู้นั้นกลับขยับยิ้มหวานเย็นเยือก ซ้ำยังสอดนิ้วเข้ามาในปาก กดปลายเล็บไล่ไปตามแนวฟันพลางกล่าวว่า “อยากกัดก็กัดไปเถิด ฟันซี่ไหนที่เจ้าใช้กัด คนแซ่เยี่ยรับรองว่าจะถอนฟันซี่นั้นออกมาแล้วโยนให้หมากิน”





ฟันถือว่าเป็นอาวุธที่ดีที่สุดของเขาในตอนนี้ ถ้าปล่อยให้ถูกถอนไปจริงคงใช้การต่อไม่ได้แล้ว เขารีบปล่อยมือคนแซ่เยี่ยอย่างรวดเร็ว แม้ไม่ค่อยพอใจซ้ำยังหนาวเหน็บจนต้องขดตัวนั่งผิวกายสั่นระริก แต่ก็ต้องฝืนทนให้อีกฝ่ายอาบน้ำเช็ดถูร่างกายให้อย่างเสียไม่ได้ ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงถูกจับแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าใหญ่โคร่งและถูกพาไปพบเทพธิดาผู้นั้นอีกครั้ง





แท้จริงแล้วสตรีในชุดขาวมิใช่เทพเซียนจากสวรรค์ชั้นฟ้า หากเป็นเจิ้งปิงฉินผู้ปกครองยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์แห่งสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ ส่วนเด็กหนุ่มที่ขู่จะถอนฟันเขาคือเยี่ยอู๋จวินศิษย์เอกของนาง ยามนั้นเขามิได้รู้เรื่องราวความเป็นไปในโลกผู้บำเพ็ญเพียร แต่หวนนึกถึงคำของมารดาได้ว่าเขาเกิดมาสูงส่งเกินใคร ต้องได้เป็นผู้นำของเหล่าผู้ฝึกเซียน จึงยอมคุกเข่ากราบนางเป็นอาจารย์แต่โดยดี





วันนั้นเขาได้นามมงคลอันมีความหมายคล้ายเป็นเป้าหมายเตือนใจ เขาคือไป๋เจี๋ย...ไป๋เจี๋ยที่เกิดมาโดดเด่นเหนือใคร





เมื่อมีข่าวคราวว่าแม่นางแซ่เจิ้งรับศิษย์คนใหม่นามไป๋เจี๋ย เพียงไม่นานผู้นำสกุลไป๋ก็ส่งเทียบเชิญขอพบอาจารย์และเขาในที่สุด ไป๋หล่างในตอนแรกยังคงวางท่าสง่างามลึกลับสมเป็นคนจากหุบเขาไผ่ศักดิ์สิทธิ์ แต่เมื่อเห็นใบหน้าของเขา คนพลันถลาเข้ามาและรั้งเข้าไปกอดขอโทษขอโพยพร่ำเพ้ออยู่นานตนเองมีความผิดที่ทำให้เขาต้องลำบากอยู่หลายปี น่าแปลกที่เขากลับไม่รู้สึกอันใดเลยสักนิด คิดเพียงว่าคนผู้นี้ทั้งอ่อนแอทั้งไม่เข้มแข็ง หากแข็งแกร่งจริงย่อมต้องสามารถปกป้องมารดาได้ไม่ใช่หรือ





อาจารย์กล่าวถ้อยคำเพียงว่านางเบื่อหน่ายละครฉากใหญ่ของคนสกุลไป๋เต็มทน ในเมื่อไป๋หล่างไม่มีความสามารถพอจะปกป้องดูแลอบรมสั่งสอนบุตรชายที่เกิดจากศิษย์น้องของนางได้ จากนี้ไปเจิ้งปิงฉินจะเป็นคนเลี้ยงดูเขาเอง ส่วนเรื่องหวนคืนกลับไปสกุลไป๋ก็เป็นการตัดสินใจของไป๋เจี๋ยในอนาคตแล้ว หากด้วยฝีมืออันยอดเยี่ยมสมเป็นตำนานของนาง ศิษย์ผู้นี้ย่อมต้องแข็งแกร่งกว่าบุตรไม่ได้ความทั้งสามของฮูหยินจากสกุลจินแน่





ได้ฟังถ้อยคำของอาจารย์แล้วทำให้จิตใจพองโตขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่ก่อนเขาเคยถูกรังแกอยู่มาก ยามนี้ได้โอกาสงดงามเช่นนี้ย่อมไม่อาจปล่อยให้หลุดมือ เขามิอาจทำให้อาจารย์ที่เชื่อมั่นในตัวเขาผิดหวังได้ จึงตัดสินใจแน่วแน่ตั้งปณิธานว่าตนเองต้องเก่งกาจแข็งแกร่งให้ได้โดยเร็ว หากวันใดเป็นอันดับหนึ่งของผู้ฝึกเซียนได้จะยิ่งดี





เมื่อเลือกหนทางนี้ย่อมมิอาจเปลี่ยนใจได้ แต่ละวันอาจารย์หาศิษย์มากมายจากยอดเขาอื่นมาประลองฝีมือ ไป๋เจี๋ยได้เรียนรู้มากก้าวหน้าว่องไว แต่ก็ถูกทุบตีมากเสียยิ่งอยู่ข้างถนนเสียอีก เขากัดฟันทนไม่ปริปากบ่นสิ่งใด แต่ตอนกลางคืนมักฝันร้ายเสมอ หลายครั้งหลายคราตื่นมาพบว่าตนเองเหงื่อท่วมตัว กระทั่งวันหนึ่งเขาขาหักเพราะคู่ประลองไม่รู้จักออมมือ ยามนอนได้แต่กระสับกระส่ายไม่สบายตัวด้วยพิษไข้และฝันร้ายอันยาวนาน ยามตื่นขึ้นมากลับพบว่าเบื้องหน้ามีใครคนหนึ่งมองเขาอยู่ ซ้ำคนผู้นั้นยังดึงเข้าไปนอนกอดเสียแนบแน่น





เขาไม่เคยชื่นชอบเยี่ยอู๋จวินเลยสักนิดเหมือนกับที่เขาไม่เคยชื่นชอบเด็กหนุ่มคนอื่นๆ ที่สูงวัยกว่าเขา ทำให้หลายเดือนมานี้เขาไม่เคยเรียกอีกฝ่ายว่าศิษย์พี่เลยสักครั้ง แม้ว่าผู้อื่นจะทำดีด้วยทั้งหาอาหารหายาทั้งคอยช่วยทำแผล มาคืนนี้คนแซ่เยี่ยกลับโอบกอดเขาแน่นเหมือนที่มารดาเคยกอดปลอบเขาในยามเป็นเด็ก ซ้ำยังบอกกับเขาว่า “อู๋เกอจะดีกับอาเจี๋ยให้มาก”





หลังจากวันนั้นความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองสนิทสนมแน่นแฟ้นเสียยิ่งกว่าเดิม จนความใกล้ชิดผูกผันทำให้ความรู้สึกอย่างหนึ่งปรากฏขึ้นในหัวใจ ช่วงเวลาเพียงปีกว่าบนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงความคิดไปได้มาก ใช่ว่าบนโลกนี้ไม่มีน้ำใสใจจริงเสียหน่อย ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร จะกระหายใฝ่หาความสำเร็จก้าวหน้าเพียงไหน บนโลกนี้จะยังมีอาจารย์หญิงและอู๋เกอดีกับเขาอยู่เสมอ





เยี่ยอู๋จวินดีกับเขาสมกับที่เคยรับปากเอาไว้จริงๆ วันหนึ่งเขาเกิดภัยอันตรายขึ้นอีกฝ่ายก็รีบเร่งรุดไปช่วยชีวิตเอาไว้จากปีศาจกลืนจิต เขาถึงกับร้องขอจุมพิตจากอู๋เกอในวันนั้นเอง...ไป๋เจี๋ยชื่นชอบความรู้สึกสงบใจยามที่ได้อยู่ใกล้คนสกุลเยี่ยเป็นอย่างยิ่ง ซ้ำยังคิดว่าหากมีอู๋เกอชีวิตนี้คงดียิ่งนัก





หม่าฮุ่ยเหวินเล่าเรื่องการกระทำระหว่างคนรักให้เขาได้ฟัง ครั้นเขาไปพูดระบายความในใจกับอู๋เกอกลับได้ร่วมรักกับผู้คนเข้าจริงๆ แม้ว่าจะรู้สึกเหมือนตนเองโดนกลืนลงท้อง แต่ไป๋เจี๋ยกลับมีความสุขเป็นอย่างมาก เขากล้ายอมรับได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเขารักเยี่ยอู๋จวินเข้าจริงๆ





เขาตั้งใจอยากมอบของขวัญวันเกิดสักชิ้นให้กับอู๋เกอ จึงนำเงินที่มีไปหาซื้อป้ายหยกสีขาวเนื้อดีมาได้อันหนึ่งและสั่งสลักอักษรเจี๋ยให้เป็นของแทนใจ พอถึงวันเกิดเขากลับได้ป้ายหยกดำที่สลักตราประจำตระกูลเยี่ยกลับมา มูลค่าของหยกนี้ไม่รู้ว่ามากมายเท่าใด แต่มันยิ่งมีมูลค่ามากยิ่งขึ้นอีกเมื่อเป็นของที่เยี่ยอู๋จวินมอบให้





ไป๋เจี๋ยคิดว่าเขาคงเกิดมาเพื่อเป็นที่รักของใครคนหนึ่งกระมัง...แต่ชีวิตที่ดำเนินไปเช่นนี้ช่างดียิ่งนัก ดีเสียจนเหมือนกับฝันดีอันยาวนานที่เกิดขึ้นจริง หากวันหนึ่งอู๋เกอถามเขาว่าความฝันของเขาคือสิ่งใด ยามนี้เขามีเยี่ยอู๋จวินอยู่ข้างกายแล้วย่อมไม่ต้องการอะไรอีก นอกจากสิ่งที่มารดาและอาจารย์ที่เขารักฝากฝังเอาไว้ เขาอยากแข็งแกร่ง อยากเก่งกาจอยู่เหนือใครคงจะดี





ไม่รู้ว่าเขาตอบสิ่งใดผิดพลาดไป อู๋เกอจึงเริ่มเหินห่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งพยายามเข้าหาเท่าไร อีกฝ่ายยิ่งถอยหนีราวเขาเป็นมารชั่ว ซ้ำร้ายไปกว่านั้นกลับพบว่าเยี่ยอู๋จวินเอาใจออกห่าง คนสกุลเยี่ยนอกใจไปหลับนอนกับสตรีมากหน้าหลายตาจากยอดเขาอื่น พอเขาเค้นถามคำตอบอู๋เกอกลับตอบเพียงว่าทั้งหมดเป็นการฝึกวิชานอกรีตใช้ชายหญิงเป็นเตาหลอมเพียงเท่านั้น





ความรู้สึกถูกทรยศหักหลังเป็นเช่นใด...ก็คงเป็นเช่นนี้เอง เขาทั้งรักทั้งชังคนสกุลเยี่ย ใจหนึ่งไม่อยากเห็นหน้า อีกใจหนึ่งกลับอยากอ้อนวอนขอคืนดีให้อีกฝ่ายกลับมาหาเขาอีกครั้ง แม้จะเป็นเตาหลอมหรือเป็นสิ่งใดเขายินยอมทั้งสิ้น หากไป๋เจี๋ยมิทันได้บอกถ้อยคำนั้นออกไป เยี่ยอู๋จวินกลับลาออกจากสำนักเหาะเหินจากไปโดยไม่สนใจเขาที่คุกเข่านั่งร้องไห้เลยสักนิด





เย็นวันนั้นอาจารย์มาพบเจอเข้า นางช่วยเขาเช็ดน้ำตาและกล่าวปลอบใจเพียงว่า “มนุษย์เกิดมาแตกต่างล้วนมีหนทางไม่เหมือนกัน ศิษย์พี่ของเจ้าเขาเพียงไปหามรรคาฝึกปรือในแบบของเขา ส่วนเจ้าก็ยังมีมรรดาเซียนอีกยาวไกลให้ต้องเดิน ในเมื่อไม่มีเขาแล้วก็ทำใจเสียเถิด”





เขาได้แต่พยักหน้าตอบรับอาจารย์และฝึกฝนบำเพ็ญเพียรอย่างขยันขันแข็งทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สาสิ่งใดอีกต่อไป แม้ว่าในใจจะยังคงเจ็บปวดและหวนนึกถึงเยี่ยอู๋จวินอยู่เสมอ ยามค่ำคืนไป๋เจี๋ยมักขว้างป้ายหยกดำของแทนใจจากคนแซ่เยี่ยทิ้งระบายอารมณ์ จากนั้นค่อยหยิบมาแนบจูบซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยอารมณ์สับสน สุดท้ายแล้วได้แต่นอนร้องไห้กอดป้ายหยกลายใบหยินซิ่งหลับไป





 

 
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอนพิเศษ 1 คห.71 [P.3, 9-11-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 09-11-2019 23:06:59
ตอนพิเศษ โดดเด่นเหนือใคร (ต่อ)



เมื่ออายุได้สิบหก เขาขึ้นชื่อว่าเป็นยอดอัจฉริยะเหตุเพราะพลังฝึกปรือก้าวหน้ามากกว่าเยี่ยอู๋จวินในยามอายุเท่ากันเสียอีก ไป๋หล่างได้ขอร้องอาจารย์ขอให้เขากลับเข้าสกุลไป๋เต็มตัว เขากลายเป็นคุณชายสี่แห่งหุบเขาไผ่ศักดิ์สิทธิ์ที่เก่งกาจสามารถยิ่งกว่าพี่ชายทั้งสามเก่งกาจยิ่งกว่าบิดา...เก่งกาจยิ่งกว่าคนสกุลไป๋ผู้ใดเสียอีก มิแปลกใจเท่าใดเมื่อเขากลายเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่งไปเสียแล้ว





เขาไปเยี่ยมเยียนสกุลไป๋ปีละไม่กี่วันเพียงเท่านั้น ไป๋ฮูหยินจากสกุลจินแม้ใบหน้ายิ้มแย้มพยายามทำดีกับเขา แต่กลับจริงใจสู้อาจารย์ที่นิสัยเฉยชาดุจน้ำแข็งไม่ได้เลยสักส่วน เหล่าพี่ชายที่เรียกขานเขาว่าน้องสี่คอยมาทำเหมือนดูแลแต่นัยน์ตาแห้งแล้ง เทียบกับที่อู๋เกอดีกับเขาไม่ได้เลยสักเสี้ยว





ปีหนึ่งเมื่ออายุได้สิบแปด เขาถูกเชื้อเชิญไปงานวันเกิดครบรอบสองร้อยปีของผู้เฒ่าสกุลจินในฐานะคุณชายน้อยสกุลไป๋ หากถึงเวลาไป๋เจี๋ยกลับล้มป่วยเสียก่อน เขานอนพักอยู่ที่หุบเขาไผ่ศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่กี่วัน คนสกุลหม่าก็มารับตัวกลับไปรักษาที่สำนัก ครั้นฟื้นมากลับพบว่าสกุลจินถูกศัตรูฆ่าล้างสกุลก่อนถึงงานเลี้ยงเพียงวันเดียว ในจำนวนเกือบสี่ร้อยชีวิตยังมีพี่ชายต่างมารดาของเขาทั้งสามคน ไป๋ฮูหยินแม้รอดชีวิตมาได้กลับสติฟั่นเฟือน ส่วนบิดาของเขาแก่เฒ่าลงไปหลายสิบปี





ไป๋เจี๋ยไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอันใดกับความสูญเสียของสกุลไป๋ หากโชคชะตาคงเล่นตลกให้เขาได้รับรู้ถึงความรู้สึกสูญเสียเข้ากับตัว เหล่าอาจารย์ทั้งสามที่ติดอยู่ในวังวนรักสามเส้าเกิดอาเพศขึ้นมา อาจารย์อาเหลียงตายภายใต้เคราะห์อัสนี อาจารย์อาโจวธาตุไฟเข้าแทรกสติฟั่นเฟือนหนีหายไป ส่วนอาจารย์หญิงเพียงดึงเขามาสั่งความ ถ่ายถอดวิชาเจ็ดอัสนีสวรรค์และบอกเล่าถึงสายเลือดมังกรทองห้าเล็บที่แฝงอยู่ในตัว จากนั้นนางก็รีบร้อนจากไป...สูญหายไปจากยุทธภพไม่มีใครได้พบเจออีก





ยามเยี่ยอู๋จวินจากไปในชีวิตของเขายังคงมีอาจารย์เจิ้งเอาไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจ ยามนี้แม้แต่นางยังจากไป เจ้ายอดเขาอัสนีพิสุทธิ์สกุลไป๋จึงรู้สึกคล้ายตนเองเป็นเรือสำเภาหางเสือหักลอยเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางลมพายุ เขาฝึกวิชาหนักขึ้นราวกับว่าชีวิตมีเพียงการบำเพ็ญเพียรเท่านั้นที่เขาสามารถสัมผัสถึงได้ เมื่อแข็งแกร่งมากพอก็เริ่มออกเดินทางปราบมารปราบปีศาจปราบสัตว์อสูรช่วยเหลือชาวบ้านอย่างบ้าคลั่ง ชื่อเสียงของไป๋เจี๋ยในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรยอดอัจฉริยะก็แผ่ไปไกลยิ่งขึ้น





หลายคราที่เขาได้ยินข่าวคราวของเยี่ยอู๋จวินว่าบัดนี้จากอัจฉริยะอนาคตไกลในอดีตกลับตกต่ำผันตัวไปฝึกวิชานอกรีต จนกลายเป็นปรมาจารย์วังวสันต์หลับนอนกับสตรีไม่เลือกหน้า ซ้ำคนยังทำมาหากินด้วยการเขียนหนังสือลามกขาย เขาหยิบหนังสือวังวสันต์มาเปิดดูครั้งหนึ่งกลับทำให้น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ได้แต่สั่งห้ามนำคัมภีร์เหล่านั้นเข้ามาบนยอดเขา หากภาพคืนวันอันแสนหวานหวนกลับคืนมา...แท้จริงแล้วความทรงจำที่เขามีต่ออู๋เกอไม่เคยจางหายไปไหน หากมันถูกเก็บซ่อนลึกเอาไว้ในใจและเฝ้ารอวันให้เขาย้อนนึกถึงมันเพียงเท่านั้น





ชั่วชีวิตนี้เขาคงมิอาจลืมเยี่ยอู๋จวินได้จริงๆ





เมื่ออายุยี่สิบเอ็ดเขาพบเจอเด็กหน่วยก้านดีคนหนึ่งจากสกุลมู่จึงรับเข้ามาเป็นศิษย์ของยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ ปีต่อมาระหว่างที่เขาไปปราบสัตว์อสูรอาละวาดในวันที่ฝนตกกระหน่ำ ไป๋เจี๋ยได้พบกับเด็กกำพร้าคนหนึ่งที่รอดชีวิตมาจากสัตว์ร้ายได้ แรกเริ่มเขารู้สึกว่าเด็กคนนี้น่าสงสารเหมือนกับเขาในยามเด็ก หากเมื่อช่วยเช็ดหน้าเช็ดตาพิศมองดูให้ดีแล้วกลับพบว่าขอทานน้อยหน้าตาเหมือนอู๋เกอของเขาถึงแปดส่วน ทั้งคิ้วกระบี่คมเข้ม ทั้งดวงตาคมกริบดังเหยี่ยว...สุดท้ายเขาจึงนำผู้คนกลับยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์มาด้วย ซ้ำยังตั้งชื่อให้ว่าเหล่ยเจิ้นยวี่ ตามสภาพอากาศที่ได้พบกันในวันนั้น





มู่หยางเค่อเป็นคนทะเยอทะยานใฝ่หาความสำเร็จเหมือนกับเขา นิสัยคิดเล็กคิดน้อยคงไม่อดทนได้หากเพิ่งเข้าสำนักแล้วดันมีศิษย์น้องเพิ่มขึ้นมาอีกคน เขาจึงให้เหล่ยเจิ้นยวี่เป็นเพียงศิษย์นอกสำนัก แม้อยู่ข้างกายแต่ไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องราวของยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ได้





เหล่ยเจิ้นยวี่แม้หน้าตาเหมือนเยี่ยอู๋จวิน แต่นิสัยกลับไม่เหมือนกันเลยสักส่วน ศิษย์น้อยวัยเจ็ดปีของเขาเป็นคนนิ่งเงียบสงบปากสงบคำหน้าตาไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกคล้ายสติปัญญาอ่อนด้อยอยู่หลายส่วน ส่วนอู๋เกอเป็นคนพูดจาฉะฉานสติปัญญาฉลาดเฉลียวหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงทำให้ยามมองใบหน้าของลูกศิษย์จิตใจของเขาสงบขึ้นมาก





เมื่อเหล่ยเจิ้นยวี่อายุได้สิบสองปี เขาคิดว่าควรหากระบี่วิเศษให้ลูกศิษย์สักเล่มหนึ่ง หากเจ้ายอดเขากระบี่ร้อยรบคงอยากผูกสัมพันธ์กับเขา จึงอนุญาตให้คนสกุลเหล่ยไปทำพิธีเลือกกระบี่จากสุสานกระบี่ได้ ไม่รู้ว่าสวรรค์เล่นตลกโชคชะตากลั่นแกล้งหรืออย่างไร กระบี่ที่เลือกเหล่ยเจิ้นยวี่เป็นเจ้านายกลับเป็นพันหมื่นแสงดาราของเยี่ยอู๋จวิน เขามองแล้วหัวใจเจ็บแปลบขึ้นมาจึงทำฝักกระบี่ใหม่ให้เสีย ซ้ำยังสั่งให้คนใส่หมวกม่านมาลาปิดบังหน้าตา วันหลังออกเดินทางไปที่ใดจะได้ไม่ถูกผู้คนสับสนกับคุณชายสกุลเยี่ย





ปีต่อมาเมื่อเห็นว่ามู่หยางเค่อคงก้าวหน้าในมรรคาเซียนดีสามารถดูแลยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ได้ เขาจึงลาออกจากการเป็นเจ้ายอดเขากลับไปเป็นทายาทผู้สืบทอดสกุลไป๋ แรกเริ่มยังไม่คุ้นชินเท่าใดนักที่ทั้งตนและเหล่ยเจิ้นยวี่ต้องเปลี่ยนจากเครื่องแบบยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ไปเป็นเสื้อคลุมสีขาวปักลายไผ่แปดต้นของสกุลไป๋ แต่นานวันเข้าเริ่มคุ้นชินขึ้นมา คืนวันก็คล้ายผ่านไปอย่างรวดเร็ว





บางครายามที่ตื่นจากฝันร้ายในยามค่ำคืน เขามักนึกถามว่าตนเองเป็นใครและเกิดมาเพื่ออะไร ยามนี้เขาคือนายน้อยสกุลไป๋ผู้เลื่องชื่อเข้าสู่ทำเนียบผู้ฝึกเซียนยอดฝีมืออนาคตไกล...สูงส่งโดดเด่นยิ่งกว่าใครๆ





หลายปีหลังจากนั้นเขาก็ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน เขายังคงบำเพ็ญเพียรฝึกวิชาและออกไปปราบมารช่วยเหลือชาวบ้านอย่างขยันขันแข็ง ข่าวคราวมากมายผ่านเข้ามาให้ได้ยินอยู่ไม่ขาด ไม่ว่าจะเป็นศิษย์แซ่มู่ของเขารับศิษย์ใหม่แซ่หานเข้าสำนักมา ศิษย์พี่หม่าจากยอดเขาทิพย์โอสถได้รับเลือกเป็นเจ้าสำนักเจ็ตบรรพตสวรรค์เอาชนะจูไห่คังจากยอดเขากระบี่ร้อยรบไปได้





หากวันหนึ่งเขากลับได้ยินข่าวที่มิเคยคาดคิดว่าจะเป็นจริงไปได้...





ข่าวที่ว่าเยี่ยอู๋จวินธาตุไฟเข้าแทรกตายตกไปเสียแล้ว





เขาหยิบป้ายหยกที่เก็บซ่อนเอาไว้อย่างดีไม่กล้านำออกมาหยิบจับอยู่หลายปีเพราะกลัวหวนคิดถึงผู้เป็นเจ้าของ ยามนี้ป้ายหยกดำปรากฏรอยแตกร้าวอยู่เต็มเนื้อหยก...คงเพราะเยี่ยอู๋จวินจากไปแล้ว อาคมใดที่เขาเคยลงไว้คงสูญสลายจนทำลายเนื้อหยกไปด้วยกระมัง





ไป๋เจี๋ยฝืนใจจัดการกิจธุระของสกุลไป๋อยู่ครึ่งปี ก่อนจะสั่งความว่าจะออกเดินทางท่องยุทธภพสักพัก เขาเก็บของที่จำเป็นขี่กระบี่ธารน้ำแข็งเหาะเหินออกจากหุบเขาไผ่ศักดิ์สิทธิ์ เบื้องหลังคือเหล่ยเจิ้นยวี่ที่ตามเขามาไม่ห่าง เขาเดินทางเพียงคืนเดียวก็ถึงเจียงหนาน เมื่อไปถึงหลุมศพของเยี่ยอู๋จวนที่ประดับด้วยเบญจมาศขาวมากมาย ความรู้สึกหลากหลายอย่างพลันตีขึ้นมาถึงอก





“เจ้าหันหลังไป” เขาเอ่ยสั่งความเหล่ยเจิ้นยวี่ก่อนที่น้ำเสียงจะสั่นเครือ ขอบตาทั้งสองข้างแดงก่ำและร้อนผ่าว เพียงไม่นานหยดน้ำตาก็หลั่งรินออกมาตามหางตา ไป๋เจี๋ยทรุดตัวคุกเข่าลงนั่งร้องไห้อย่างไร้เสียงท่ามกลางความเงียบงันในสุสาน...เขาเคยคิดว่าวันหนึ่งหากได้พบเจอจะลองประมือกับเยี่ยอู๋จวิน หาทางใช้เล่ห์กลให้คนกลับมารักเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับสายไปเสียแล้ว ผู้อื่นตายจากไปก่อนเสียแล้ว





“อาจารย์...” น้ำเสียงแผ่วเบาของคนแซ่เหล่ยดังขึ้น เด็กหนุ่มขยับตัวคุกเข่าก่อนจะโอบกอดเขาเอาไว้จากด้านหลัง อากัปกิริยาเช่นนี้ทำให้หวนคิดถึงอ้อมกอดที่มิได้สัมผัสมาสิบแปดปี ร่างกายของไป๋เจี๋ยสั่นสะท้านยิ่งกว่าเดิม หยาดน้ำใสไหลรินจนกระทบลงกับพื้น เหล่ยเจิ้นยวี่เห็นแล้วยิ่งตกใจได้แต่เฝ้ากระซิบถ้อยคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา “ท่านอย่าร้องเลย...ท่านอย่าร้อง”





ชั่วครู่นั้นไป๋เจี๋ยเฝ้าถามว่าตนเป็นใครและเกิดมาเพื่อสิ่งใด





เขาคือผู้อาวุโสสกุลไป๋อดีตเจ้ายอดเขาอัสนีพิสุทธิ์แห่งสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ นายน้อยของสกุลไป๋แห่งหุบเขาไผ่ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ฝึกเซียนอันดับหนึ่งที่ร้อยปีพันปีมานี้มิอาจมีใครเทียบเคียงได้ ผู้คนในใต้หล้าแม้เป็นผู้นำสกุลใหญ่ยามพบเจอยังต้องค้อมเอวด้วยความยำเกรงอยู่หลายส่วน





หากครั้งหนึ่งเขาคืออาเจี๋ย...อาเจี๋ยอันเป็นที่รักของใครคนหนึ่ง ใครคนนั้นที่ดีกับเขาเป็นที่สุด...และใครคนนั้นที่ตายจากลาโลกนี้ไปเสียแล้ว





เขาคือไป๋เจี๋ย นามมงคลที่อาจารย์หญิงมอบให้หมายถึงโดดเด่นเหนือใคร หากชีวิตนี้มิเคยคาดคิดว่าการที่โดดเด่นเหนือใครกลับต้องแลกมากับความโดดเดี่ยวตลอดไป





โปรดติดตามตอนต่อไป...

 



ซินเอ๋อร์:

     เอาตอนพิเศษมาส่งค่าา จบเฟสแรกของเรื่องแล้ว เย้! ตอนต่อไปขึ้นเฟสใหม่นะคะ จะกลับมาเฮฮาสักหน่อยค่ะ หลังจากหม่นหมองประคองอารมณ์มาหลายตอนแล้ว

     ตอนนี้บทบรรยายเยอะมากกก แทบไม่มีบทสนทนาเลย จริงๆ อยากบอกว่าซินเอ๋อร์เป็นคนชอบเขียนบทบรรยายค่ะ 555 สามารถเขียนบรรยายไปได้เรื่อยๆ แบบทั้งตอนไม่มีตัวละครพูดคุยกันเลยก็ยังได้ แต่คนอ่านเบื่อกันพอดี ยังไงจะพยายามเขียนให้เฉลี่ยๆ กันไปนะคะ

     ถ้ามีคำผิดหรือเขียนอะไรตรงไหนแปลกๆ ไว้จะมาเช็กอีกทีนะคะ ช่วงนี้คือยุ่งมาก เขียนตอนดึกๆ หลังเลิกเรียน หลังเลิกงาน บางทีก็เบลอๆ ค่ะ อาจใช้คำซ้ำหรือมีคำที่ความหมายแปลกบ้าง ถ้าเจอทักได้เลยนะคะ ;w; ไม่อยากให้มาตรฐานการเขียนตกเลยค่ะ แงงง

     ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามกันมาโดยตลอดค่ะ ดีใจจริงๆ ค่ะที่มีคนชอบ

     พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ

หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอนพิเศษ คห.71-72 [P.3, 9-11-19]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 10-11-2019 08:44:23
รอๆ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอนพิเศษ คห.71-72 [P.3, 9-11-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 10-11-2019 08:51:03
 o18


 :L2: :pig4: :L2:

 o13
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอนพิเศษ คห.71-72 [P.3, 9-11-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ง่วงนอน ที่ 10-11-2019 17:18:20
 o13
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 20 คห 76 [P.3, 18-11-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 18-11-2019 17:03:37
บทที่ 20 คิดสั้นไปไย หนทางแก้ไขยังพอมี


ยามนั้นข้าคิดว่าการตัดรักตามวาจาของอาจารย์ช่างเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญเกินกว่ามนุษย์หนึ่งจะทำได้ หากเมื่อวันเวลาผ่านไปเนิ่นนานสิบแปดปี ถึงวันนี้ข้ากลับตัดเยื่อใยความรักได้จนหมดสิ้นชนิดที่เรียกได้ว่าความรักเป็นเช่นใด ถ้ามิได้สิงร่างผู้อื่นก็คงมิสามารถสัมผัสได้เสียแล้ว



นี่คล้ายว่าอารมณ์ความรู้สึกรักของข้าตายจากไปตั้งแต่ก่อนข้าหมดลมหายไปเสียจริง น่าขันที่ว่าคนสกุลไป๋มิเคยได้รับรู้ความจริงที่ว่าเขานอกจากจะเป็นคนผู้แรกและคนเดียวที่เยี่ยอู๋จวินรัก แม้วันนี้ข้ามิอาจรักเขาได้เหมือนวันเก่า แต่ความรักทั้งหมดที่ข้าเคยมีได้หยุดนิ่งอยู่ที่เขาไปเสียแล้ว



เวลานี้ผู้แซ่เยี่ยเป็นเพียงผีลามก มิรู้ภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไร หากอนาคตของคนสกุลไป๋ยังคงสดใสมีหนทางยาวไกลอีกมากมาย ให้เขาก้าวเดินต่อไปกับคนที่รักเขาอย่างเต็มหัวใจเช่นเหล่ยเจิ้นยวี่มิดีกว่าหรือ ดีชั่วเช่นไรก็ยังคงเป็นมนุษย์ เป็นผู้ฝึกเซียน ดีกว่าเป็นวิญญาณไร้ร่างไร้รักอย่างข้าเป็นไหนๆ



เรื่องราวความรักของตนทั้งปีนั้นและปีนี้จัดการได้บัดซบชั่วช้าเช่นนี้ ข้าถึงมิกล้าออกตัวเรียกตนเองว่าเป็นนักรัก หากเป็นเพียงปรมาจารย์วังวสันต์ผู้เชี่ยวชาญด้านกิจการงานบนเตียงก็พอแล้ว เรื่องรักใคร่ผูกพันอันใดเห็นว่าคงซับซ้อนวุ่นวายจนเกินความสามารถของข้าเกินไปกระมัง



หลุดพ้นจากอดีตคนคุ้นเคยมาได้แล้ว ผีลามกเช่นข้าก็ยังคงต้องหาหนทางดูดซับธาตุยางเพื่อการเป็นอ๋องผีต่อไป คราวนี้ที่ได้ร่วมรักกับคนสกุลไป๋ผู้มีร่างหยางบริสุทธิ์และสายเลือดมังกรทองห้าเล็บทำให้ข้าได้รับพลังมาไม่น้อย ถือว่าที่ลงแรงไปนั้นได้กำไรมากกว่าขาดทุนแล้ว



มิรู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือชะตาลิขิตจากฟ้าหรืออย่างไร หนึ่งฝ่ามือของไป๋เจี๋ยซัดข้ามาไกลจนถึงเมืองหลวงของแคว้นจิ่วโจว หลังจากที่ข้าทะลุฝาบ้านใครต่อใครมากมายก็พบว่าตนเองหยุดลงที่หน้าเตียงของใครก็มิทราบได้ บนเตียงมีคู่ยวนยางเล่นพลิกผ้าห่มควบขี่กันอย่างเผ็ดร้อนรุนแรง ข้าซับไอหยางบางส่วนมาอย่างหน้าไม่อายแล้วทะลุกำแพงหาทางออกจากเรือนหลังนี้ หากทะลุไปทะลุมากลับพบเจอแค่ภาพเหตุการณ์คล้ายคลึงกันไปเสียหมด สุดท้ายจึงได้ข้าสรุปมาอย่างหนึ่ง



ที่แท้ข้ากำลังอยู่ในหอวาดจันทร์อันเป็นหอคณิกาชื่อดังที่มีจุดเด่นเป็นเหล่าบุรุษหน้าหยกผู้มีหน้าตาสวยสดงดงามของแคว้นจิ่วโจว เรียกได้ว่าช่างเป็นสถานที่โลกียวิสัยเหมาะกับข้าดีแท้



แม้ใจอยากจะพุ่งตรงไปยังตำหนักในของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้นามเฮ่อฉีแทบขาดใจ หากด้วยไอศักดิ์สิทธิ์ของวังหลวงและจักรพรรดิที่สวรรค์ยังให้ความเมตตาดูแลอยู่บางส่วน ผีที่ริอ่านอยากเป็นอ๋องผีเช่นข้าคงไม่สามารถผลุนผลันบุกทะลวงเข้าไปภายในได้ง่ายดายนัก ฉะนั้นแล้วไยไม่รั้งอยู่ที่นี่สักชั่วคราวหาหนทางแทรกซึมเข้าไปเล่า คงต้องมีขุนนางสักคนที่มาเยี่ยมเยียนหอชายงามบ้างกระมัง ทั้งระหว่างนี้ยังพอซับธาตุหยางจากการร่วมรักอันแสนดุเดือดได้อยู่ไม่น้อย ถึงจะไม่ใช่ของดีอะไรมากมาย แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลยไม่ใช่หรือ



ข้าล่องลอยไปมาในหอวาดจันทร์ด้วยท่าทางสุขุมไร้ความกระดากอาย เป้าหมายหนึ่งเพื่อหาคนดวงตกเพื่อเข้าไปช่วยเหลือสร้างกุศล อีกเป้าหมายหนึ่งคือหาคนงามที่พลังหยางเต็มเปี่ยม หากหอคณิกาแห่งนี้คงไม่มีเด็กหนุ่มที่เคยฝึกวิชาทั้งกำลังภายในและบำเพ็ญเพียรมาก่อนกระมัง ถึงได้ธาตุหยางดาษดื่นทั่วไปจนชวนเศร้าเช่นนี้



ยังไม่ทันได้ถอดถอนใจ ข้ากลับสัมผัสได้ถึงไอหยินจำนวนมากอันบ่งบอกถึงความตายจากห้องที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก เมื่อไปถึงก็พบกับเรือนร่างสูงโปร่งไม่แบบบางไม่แข็งแกร่งในชุดสีแดงลอยเคว้งอยู่ในอากาศ เส้นผมสีดำปล่อยยาวสยายปิดบังใบหน้าจนเสียหมดสิ้น เบื้องบนคือผ้าแพรขาวบริสุทธิ์ราวหิมะแรกในฤดูหนาวที่ผูกติดกับขื่อคานและพันรอบลำคอ ธาตุหยินมหาศาลและลมหายใจเบาบางเช่นนี้...เกรงว่าขาทั้งสองข้างคงเตรียมก้าวลงปรโลกแล้วกระมัง



ดวงวิญญาณที่แสนเศร้าหมองดวงหนึ่งลอยหลุดออกมาจากร่างนั้นอย่างเชื่องช้า ข้าเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเข้าไปสวมร่างก่อนที่กายเนื้อของเขาจะขาดวิญญาณจนหมดลมหายใจกลายเป็นศพคนตาย ยามคนเราคิดไม่ตกบางครั้งอาจตัดสินใจเลือกเดินในหนทางผิดพลาดกันได้ หากคิดสั้นไปแล้วครั้นกลายเป็นผีอยากหวนกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่งก็คงไม่ทันแล้ว เรื่องนี้วิญญาณที่ตายก่อนวัยอันควรเช่นข้ารู้ดีที่สุดมิใช่หรือ



พบคนใกล้ตายไม่เข้าไปช่วยเหลือก็ไม่สมควรเรียกตนเองว่าผีลามกที่ดีแล้ว



เมื่อได้ร่างใกล้ตายมาแล้วข้าก็สะบัดข้อมือครั้งหนึ่งจนผ้าแพรขาวขาดสะบั้น ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาพลิกตัวยืนบนพื้นอย่างมั่นคง วิญญาณในชุดแดงเห็นว่าร่างของตนกลับขยับเขยื้อนได้พลันเบิกตากว้างอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ใช้เวลาอีกครู่หนึ่งเขาถึงค่อยแหกปากร้องโวยวายขึ้นมา เสียแต่ว่าไม่มีใครได้ยินแล้วนอกจากคนสกุลเยี่ย



“ไม่ตายหรอกหรือ เหตุใดจึงไม่ตายเล่า! ”



อะไรจะอยากตายถึงเพียงนั้น...หากอยากตายจริง มิต้องกังวลไป เยี่ยอู๋จวินย่อมสังเคราะห์ให้เจ้าได้ ขอเพียงข้าละทิ้งร่างแค่ไม่ถึงหนึ่งก้านธูป คราวนี้เจ้าได้ลงไปเดินเล่นน้ำพุเหลืองชมดอกปี่อั้น ข้ามสะพานไน่เหอ อ่านเรื่องราวในชาติก่อนและชาตินี้จากหินสามชาติ แล้วดื่มน้ำแกงยายเมิ่งเพื่อมาเกิดใหม่อีกรอบเป็นแน่



วิญญาณตัวไม่รักชีวิตนั่งคุกเข่าลงกับพื้นห้องแล้วเริ่มต้นร้องไห้สะอึกสะอื้น น้ำเสียงของเขาแม้ไม่ได้มีเนื้อเสียงใดดั่งแก้วกระจกเช่นไป๋เจี๋ย แต่ถือว่ามีเนื้อเสียงไพเราะดั่งนกสกุณาเหมาะกับการร้องเพลงร่ายกลอนอยู่ไม่น้อย ซ้ำหน้าตาก็นับว่างามเฉิดฉายเป็นคนสวยบาดตาผู้หนึ่ง คงเป็นชายงามอันดับต้นๆ ของหอวาดจันทร์เสียกระมัง



คนงามเจ็บช้ำน้ำใจจนต้องผูกคอตายตัดปัญหาเช่นนี้มีเหตุผลน้ำเน่าอยู่ไม่กี่ประการเท่านั้น หนึ่งคือคนรักในกาลก่อนยามนี้ได้แต่งงานไปกับคนใหม่เสียแล้ว สองคือมีนายท่านชั้นต่ำนิสัยเกะกะเกเรมาขอไถ่ถอนตัวจากหอคณิกาให้ไปเป็นชายบำเรอในบ้านโดยที่เจ้าตัวไม่เต็มใจ ส่วนอย่างสุดท้ายคือชายงามผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นพวกคุณชายสกุลใหญ่ที่บังเอิญตกยาก เมื่อจับพลัดจับผลูมาเป็นคณิกาก็ขายศิลปะไม่ขายเรือนร่าง ถึงเวลานี้ถูกบังคับขายเรือนร่างเปิดพรหมจรรย์เข้าแล้ว ด้วยศักดิ์ศรีที่มีจึงทำให้มิสามารถกลั้นใจทนมีชีวิตอยู่ต่อได้ เรื่องน้ำเน่าเช่นนี้ ข้าเคยได้ยินมาไม่รู้เท่าใดต่อเท่าใด



“ท่านเป็นใครกัน เป็นภูตผีเทพเซียนองค์ใดหรือ เหตุใดต้องช่วยชีวิตข้าน้อยเอาไว้ด้วย ปล่อยให้ข้าน้อยตายไปเถิด” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น ท่าทางหมดอาลัยตายอยากเป็นวิญญาณคนเป็นที่เศร้าหมองดีแท้ ชายงามผู้นี้อายุน่าจะเพียงสิบแปดสิบเก้าเองกระมัง



“ข้าเป็นผีที่ผ่านทางมาเท่านั้น ยามนี้เพียงรักษาเจ้าไว้เพียงชั่วคราว หากอยากตายจริงย่อมปล่อยให้ตายได้” ข้าทรุดนั่งบนเตียงมองอีกฝ่าย เห็นคนร้องไห้ได้งดงามดั่งดอกสาลี่ต้องฝนก็รู้สึกสงสารขึ้นมาไม่น้อย “เจ็บช้ำน้ำใจประการใดจนต้องคิดสั้นก็เล่ามาเถิด”



คนงามมีท่าทีลังเลอยู่ชั่วครู่ หากพอเห็นข้าพยักหน้าเบาๆ เปิดโอกาสให้ได้เล่าเรื่องราว เขาก็เริ่มปริปากเล่าสิ่งที่คับแค้นอยู่ในใจออกมา ชีวิตของคนผู้นี้ไม่พ้นจากที่คาดเดาเอาไว้ เขาเป็นบุตรชายคนเล็กของสกุลขุนนางตกอับสกุลตู้ในเมืองหลวง บิดาต้องคดีจนถูกโทษประหาร ผู้คนสกุลเดียวกันถูกเนรเทศพันลี้ มีเขาเป็นลูกอนุหน้าตาดีกว่าใครจึงถูกขายเข้าหอคณิกา ชื่อจริงถูกลบเลือนทิ้งไปใช้ชื่อใหม่ว่าโม่ลี่



โม่ลี่นอกจากมีหน้าตางดงามโดดเด่นยังมีพรสวรรค์เก่งกาจด้านเพลงพิณและมีเสียงไพเราะหาตัวจับได้ยาก ซ้ำกิริยาเรียบร้อยมารยาทงดงามสมเป็นอดีตคุณชายจากสกุลขุนนาง จึงสามารถประกอบอาชีพคณิกาประเภทขายศิลปะไม่ขายเรือนร่างมาได้หลายปี คนเก็บเงินได้ก้อนใหญ่หวังวันหนึ่งไถ่ถอนตนเองออกไปทำงานสอนดนตรี รับซ่อมพิณเล็กๆ น้อยๆ ตามความรู้ความสามารถที่ตนมีคงดีไม่น้อย



ชีวิตคนเราหากง่ายดายเช่นนั้นก็คงไม่มีเรื่องน้ำเน่ากันแล้ว ครึ่งปีก่อนนายท่านสกุลถังลูกค้าขาประจำได้พาสหายผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่จากไหนมิอาจรู้ได้นามว่าท่านแปดมาเที่ยวหอวาดจันทร์ ท่านแปดแม้ว่าความเป็นมาไม่ชัดเจนแน่นอน แต่นับว่าเป็นคนร่ำรวยเงินทองทรัพย์สินมากมีอย่างแท้จริง นอกจากนั้นยังหน้าตาหล่อเหลาไม่ใช่ย่อยจนเหล่าคณิกาล้วนจับจ้องตาเป็นมันหวังรับทรัพย์ก้อนโต ท่านแปดชอบคนสวยเป็นทุนเดิมย่อมเลือกค้างแรมร่วมรักกับหูเตี๋ยคนงามอันดับหนึ่งในตอนนั้น



หูเตี๋ยยิ้มร่าด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง คืนนั้นเลือกเสื้อผ้าชุดใหม่ที่งดงามที่สุดแต่งกายแต่งหน้าเสียจนสวยล่มเมืองเพื่อสร้างความประทับใจ คนมาบอกเล่าโม่ลี่ที่ขายแต่ศิลปะด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยว่าจะปรนนิบัติท่านแปดเป็นอย่างดีให้ลืมไม่ลง เผื่อโชคดีอีกฝ่ายติดใจอาจได้ไถ่ถอนเป็นชายบำเรอเป็นอนุในบ้าน



มิรู้ว่าหูเตี๋ยสร้างความสำราญได้ยอดเยี่ยมประการใด สามวันต่อมาเขากลับถูกหามออกมาจากห้องหอด้วยสภาพที่ดูไม่ได้ ทั้งเรือนร่างหน้าตาเต็มไปด้วยรอยรักและบาดแผลรอยช้ำมากมาย จนถึงทุกวันนี้ก็ยังมิหายดีมิอาจรับแขกชั้นสูงได้อีก จึงถูกส่งไปเป็นคณิกาชั้นล่างขายร่างกายให้กับเหล่าคนงานในเมืองที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย ซ้ำยังร่วมรักรุนแรง หูเตี๋ยแม้ขายบริการแต่มิเคยประสบความลำบากเช่นนั้น เมื่อต้องพบเจอกับชายฉกรรจ์หยาบกร้านไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผามากเข้า สุดท้ายก็ผูกคอตายไปแล้วเมื่อวานก่อนนี้เอง



นอกจากหูเตี๋ยที่เคราะห์ร้ายยังมีอาฉา อาซิ่ง ตู้เจวียน และเหลียนเอ๋อร์ที่ประสบเคราะห์ร้ายชะตากรรมเดียวกัน แต่ละคนล้วนแต่เป็นคนงามเฉิดฉันกันสิ้น จุดจบสุดท้ายไม่พ้นถูกขายไปในราคาถูกก็กลายเป็นคณิการาคาต่ำชนิดเรียกได้ว่าอยู่ไม่สู้ตาย มีแค่อาฉาโชคดีมีคนซื้อไปเป็นชายบำเรอจึงมีชีวิตที่พอลืมตาอ้าปากได้บ้าง ส่วนที่เหลือไม่คิดสั้นฆ่าตัวตายเช่นหูเตี๋ยก็ดีเท่าไรแล้ว



หอวาดจันทร์เสียชายงามหลายคนควรเดือดร้อนหาวิธีจัดการรับมือกับท่านแปด แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่เพราะคนผู้นี้รู้จักใช้เงินแก้ปัญหาก่อนล่วงหน้าชนิดที่ว่าจ่ายคืนหนึ่งเพื่อกลืนกินคนงามไม่น้อยกว่าสามหมื่นตำลึงทอง บางคืนแปดหมื่นตำลึงทองพร้อมทั้งไข่มุกอีกหลายหีบ หน้าที่อกสั่นขวัญแขวนไม่รู้วันใดตนเองจะเป็นผู้เคราะห์ร้ายจึงตกเป็นปัญหาของเหล่าคณิกา แต่ละคนได้แต่เฝ้าภาวนาขอให้ตนไม่ไปเป็นที่ถูกใจต้องตาของท่านแปดผู้นั้น จะเผาธูปเทียนกระดาษน้ำมันก็ดี สวดมนต์ภาวนาก็ดี บริจาคเงินเพื่อทะนุบำรุงวัดก็ดี กลายเป็นว่าหกเดือนครึ่งปีมานี้วัดวาอารามในเมืองหลวงเจริญดียิ่งจนคล้ายว่าเป็นยุคทองก็ว่าได้



เคราะห์ร้ายที่ว่าตกมาถึงโม่ลี่เมื่อเดือนก่อนนี่เอง ท่านแปดคงเบื่อหน่ายรสชาติของเหล่าคนงามที่ขายเรือนร่างเชี่ยวชาญงานบนเตียงเสียแล้วกระมังหรือไม่ก็เป็นรักแท้ยังมีอยู่จริงตามที่ปากคนว่า วันหนึ่งเขาได้ยินเสียงพิณและเสียงร้องเพลงของโม่ลี่จึงรู้สึกสนใจผู้คนขึ้นมา เส้นสายเงินตรามากมายเพียงใดล้วนใช้เพื่อขอพบยลโฉมคนงามเพียงสักครั้ง ครั้นได้พบก็หลงละเมอหวังเอื้อมคว้าดอกมะลิอันแสนบริสุทธิ์ดอกนี้มาร่วมเรียงเคียงหมอนให้ได้ แต่โม่ลี่คิดขายเพียงศิลปะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ยอมขายเรือนร่าง ฝีมือของเขาสูงส่งเพียงนั้นยังสามารถใช้ทำมาหากินได้อีกหลายปี หากตัดสินใจเลือกขายตัวแล้วย่อมมิอาจหวนคืนหนทางเดิมได้ง่าย



ดื้อดึงยื้อยุดอยู่เป็นเดือน ท่านแปดที่ทำได้เพียงชมโฉมคนงามยินเสียงดนตรีคงหมดความอดทนเข้าแล้ว มิรู้ว่าด้วยวิธีเล่ห์กลอันใดคนจึงบีบบังคับให้หอชายงามแห่งนี้เปิดประมูลบริสุทธิ์ของโม่ลี่จนได้ ค่ำคืนแรกถูกท่านแปดประมูลไปด้วยราคาสูงที่สุดในประวัติศาสตร์แคว้นจิ่วโจว ด้วยเงินถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงทองและไข่มุกอีกยี่สิบหีบ มากมายเพียงพอจนกล่าวได้ว่าชีวิตที่เหลือของโม่ลี่จะถูกขายไปให้หอคณิกาชั้นล่างด้วยราคาเพียงไม่กี่สิบตำลึงก็ถือว่าไม่ขาดทุน



โม่ลี่ร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือดอยู่หลายวัน แต่ยังไม่ทรุดโทรมเพราะถูกบำรุงให้สดสวยด้วยยาล้ำค่าและหลากหลายสมุนไพรอยู่ตลอดเวลา คนคิดไม่ตกว่าควรต้องทำเช่นไร วันพรุ่งนี้ก็ต้องเข้าห้องหอมอบค่ำคืนแรกให้ท่านแปดผู้นั้นเสียแล้ว



“ข้าเคยคิดว่าวันหนึ่งจะเป็นอิสระได้โผบินมีครอบครัวเล็กๆ อยู่อย่างอบอุ่นสุขสันต์ มาวันนี้อนาคตดำมืดมิรู้ว่าต่อไปจะเป็นเช่นไร หากต้องฝืนทนให้ร่างกายแปดเปื้อนตกระกำลำบากจนต้องคิดสั้นฆ่าตัวตายเช่นหูเตี๋ย ไม่สู้ผูกคอตายตอนนี้อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องมิดีกว่าหรือ” วิญญาณยังคงยกมือปาดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงด้วยท่าทางงดงามเปี่ยมเสน่ห์ มองแล้วอ่อนแอน่าสงสารยิ่งนัก



“เรื่องแบบนี้มีสิ่งที่เรียกว่าดีอยู่ด้วยหรือ” ข้าตอบกลับด้วยความเฉยชา น้ำเสียงหวานเช่นนี้ช่างไม่คุ้นเคยดีแท้ “บนโลกนี้ตายก็คือตาย ยังจะมีการตายอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างไรกัน ลงปรโลกไปแล้วใช่ว่ายายเมิ่งจะถามเจ้าเสียหน่อยว่าร่างกายเจ้าผ่านชายหญิงมาเท่าใด อีกทั้งเจ้าประกอบอาชีพคณิกา แม้อยากขายศิลปะไปชั่วชีวิตแต่วันหนึ่งแห้งเหี่ยวโรยราจะหนีโชคชะตาที่ต้องขายเรือนร่างไปได้หรือ”



หยาดน้ำตาของวิญญาณผู้เศร้าหมองยิ่งไหลพรากกว่าเดิม ข้าหลุบสายตามองต่ำปล่อยให้เขาคร่ำครวญเสียจนพอใจ อันที่จริงท่านแปดที่เขากล่าวถึงนั้นใช่ว่าเยี่ยอู๋จวินจะคาดเดาตัวตนความเป็นมาอันแท้จริงไม่ได้ ยามที่ข้ายังเป็นราชครูในวังหลวง หากได้ยินชื่อว่าท่านแปดย่อมนึกถึงใครไปไม่ได้นอกจากอดีตองค์ชายแปดจากฮ่องเต้พระองค์ก่อน ผู้ที่ปัจจุบันมีราชทินนามว่าผิงอ๋อง น้องชายต่างมารดาคนหนึ่งของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้



นามปลอมว่าท่านแปดนี่ยังเรียกว่าชื่อปลอมได้อีกหรือ ตั้งชื่อเช่นนี้ไม่รู้ว่าจงใจประกาศให้ใต้หล้าได้รับรู้ตัวตนหรืออย่างไร ถึงได้ใช้ชื่อที่สามารถเชื่อมโยงได้ง่ายดายเหลือเกิน หรือสมองผู้คนไม่สามารถใช้การได้เสียแล้ว



ยามนั้นข้ามิได้สนใจเหล่าอ๋องน้องชายของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้เท่าใดนัก เหตุเพราะสมองและสองตามีแต่อยากจะกลืนโอรสสวรรค์ลงท้องพร้อมสูบพลังหยางอันแข็งแกร่ง แต่ด้วยตำแหน่งราชครูย่อมทำให้พอรู้ความเป็นมาเป็นไปอยู่ไม่น้อย ผิงอ๋องผู้รักสงบแท้จริงแล้วมีเพียงราชทินนามไม่ได้มียศตำแหน่งหน้าที่สำคัญอันใดในแว่นแคว้นเลยแม้แต่น้อย จะมีก็แต่เงินทองทรัพย์มากมายให้ล้างผลาญจนทั้งชาติก็ยังใช้ไม่หมดไม่สิ้น



มารดาของเขาคืออดีตซูกุ้ยเฟยผู้เป็นที่โปรดปรานเหนือตำหนักในของฮ่องเต้พระองค์ก่อน ส่วนสุ่ยเต๋อฮ่องเต้หรือองค์ชายใหญ่ในยามนั้นเป็นบุตรของฮองเฮาที่สมรสกับฮ่องเต้เพราะการเมืองและไม่ได้ถือครองอำนาจมากมายนัก โอรสที่เกิดจากซูกุ้ยเฟยย่อมมีโอกาสมากมายในการแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาท หากแต่เฮ่อยวนองค์ชายแปดกลับเป็นบุตรคนที่สามของนางจึงไม่ได้รับความสำคัญเท่าใดนัก ไม่เหมือนกับองค์ชายสามเฮ่อเหว่ยและองค์หญิงใหญ่เฮ่อหยู่เยียนพี่น้องร่วมอุทร ตอนยังเล็กมักเจ็บป่วยออดแอดแทบเอาชีวิตไม่รอด ซ้ำสติปัญญายังไม่ปราดเปรื่องโดดเด่น ในศึกชิงบัลลังก์มังกรเขาจึงอยู่อย่างสงบเสงี่ยมจนคล้ายไม่มีตัวตน ไม่เป็นที่สนใจจากใคร



ผู้ชนะในท้ายที่สุดอย่างที่รู้กันคือองค์ชายใหญ่เฮ่อฉีหรือสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ในปัจจุบัน ต่อมาสกุลเดิมของซูกุ้ยเฟยคิดก่อกบฏจึงมีจุดจบไม่สวยงามเท่าใดนัก สกุลซูถูกประหารเจ็ดชั่วโคตรและที่เหลือถูกเนรเทศไปหลายพันลี้ ทรัพย์สินทั้งหมดของสกุลที่ร่ำรวยที่สุดถูกยึดนำไปเติมคลังหลวง องค์ชายสามเฮ่อเหว่ยถูกประหารด้วยการมอบเหล้าพิษ องค์หญิงใหญ่เฮ่อหยู่เยียนผู้พอใช้การได้บ้างถูกส่งไปสมรสเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นใต้อาณัติที่คิดแข็งข้อ มีชีวิตลำบากยากเย็นไม่สูงศักดิ์เหมือนเคย การกระทำดั่งเขียนเสือให้วัวกลัวเช่นนี้ของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ทำให้หลังจากนั้นสถานการณ์ในเมืองหลวงที่สั่นคลอนถึงดีขึ้นได้บ้าง



สุ่ยเต๋อฮ่องเต้เป็นคนมีคุณธรรมกตัญญูต่อบิดามารดามีเมตตาต่อพี่น้อง องค์ชายแปดนามเฮ่อยวนที่ผ่านมาล้วนแต่ใช้ชีวิตเหมือนไม่มีตัวตนต่างจากพี่ชายพี่สาวย่อมได้รับการอภัยโทษ เขาได้รับพระราชทานราชทินนามว่าผิงอ๋องผู้รักสงบพร้อมกับจวนใหญ่หลังหนึ่งในแถบชานเมืองและทรัพย์สินเงินทองจำนวนมากที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของบรรพบุรุษ เรียกได้ว่าใช้ชีวิตอย่างสุขสบายจนเป็นที่อิจฉาของอ๋องคนอื่นเสียอีก



เบื้องหน้าผิงอ๋องใช้ชีวิตภายในจวนอย่างเงียบสงบเจียมตัวไม่เกะกะระรานใครคล้ายเกรงกลัวว่าจะมีจุดจบเหมือนพี่ชายพี่สาวและคนสกุลซู หากเบื้องหลังแท้จริงแล้วกลับมีนิสัยและรสนิยมตัดแขนเสื้อซ้ำยังชอบใช้ความรุนแรงจนจึงขั้นวิปริต จะบอกว่าเป็นเสือหมอบมังกรซ่อนก็กล่าวได้ไม่เต็มวาจานัก เนื่องจากเขาก็มิได้วางแผนร้ายอันใดต่อฮ่องเต้และแผ่นดิน มีแต่อารมณ์พลุ่งพล่านรุนแรงที่นำมาใช้กับเหล่าคณิกาคนงาม นี่คงเป็นเพราะเก็บกดมาตั้งแต่สมัยยังเยาว์เสียกระมัง



เจ้าเด็กเฮ่อยวนนี่สร้างปัญหาเก่งเสียจริง ออกอาละวาดเพียงไม่นานก็ทำให้คณิกาที่ปรกติเผ็ดร้อนไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด กลายเป็นหนูกลัวแมวไปเสียได้ หากจัดการปัญหาที่ผิงอ๋องเป็นผู้ก่อขึ้นได้จากต้นตอ ย่อมสามารถทำให้เหล่าผู้คนที่มีชีวิตกลางคืนในแคว้นจิ่วโจวสามารถใช้ชีวิตไปตามวิถีของคนโดยมิต้องเกรงกลัวอีกต่อไป ต่อให้ไม่ได้มีผลตอบแทนเป็นพลังหยางมากมายเหมือนคราวก่อน แต่ก็นับว่าเป็นการสร้างกุศลอย่างยิ่งมิใช่หรือ



“ชีวิตเจ้าใช่ว่าจะสิ้นไร้หนทาง หากคิดให้ดีย่อมมีวิธีจัดการท่านแปดของเจ้าอยู่”



โม่ลี่ที่เริ่มทำใจได้แล้วเลิกคิ้วขึ้นมองเล็กน้อย เขาห่อริมฝีปากอิ่มเข้าหากันดูแล้วท่าทางน่ารักแต่แฝงด้วยจริตมารยาดั่งที่เคยได้รับการสั่งสอนมา “ท่านมีแผนการอันใด จะสามารถรับมือกับท่านแปดได้จริงหรือ ข้าได้ยินมาว่าฝีมือของเขาเก่งกาจ ยามร่วมรักแรกเริ่มมักหลอกล่อให้คนตายใจ จากนั้นค่อยกระทำการย่ำยีราวคนเป็นลูกไก่ในอุ้งมือมาร หากพลาดพลั้งไปแล้วย่อมต้องเจ็บทั้งกายเจ็บทั้งใจ”



“แค่เด็กคนหนึ่งเพียงเท่านั้น” เฮ่อยวนปีนี้อายุได้เพียงยี่สิบสี่ เก่งเกาจเพียงใดมีหรือจะอาจหาญมาสู้ข้าได้ ยามที่ข้าได้เรียนบทรักมีความสัมพันธ์กับคนสกุลไป๋เป็นครั้งแรก เจ้าหนูนั่นน่าจะยังขุดไส้เดือนเล่นอยู่เลยกระมัง “เรื่องเช่นนี้ข้าเยี่ยอู๋จวินย่อมมีหนทางรับมือ หากต้องขอความร่วมมือจากเจ้าบางส่วน”



“ที่แท้ผู้อาวุโสคือปรมาจารย์วังวสันต์ผู้เลื่องชื่อ” ชายงามแห่งหอวาดจันทร์เบิกตากว้าง คาดว่าคัมภีร์สอนรักของข้าคงถูกเผยแพร่ในกลุ่มคณิกาไม่มากก็น้อยกระมัง ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากชื่นชมเยิ่นเย้อให้มากความ ข้าก็โบกมือส่งสัญญาณให้คนเงียบเสียก่อน โม่ลี่ขยับเข้ามาใกล้แทบเกาะขาของข้า ท่าทางเศร้าหมองหมดหวังเลือนหายไปจนเกือบหมดสิ้น สองตายังเป็นประกายเจิดจ้าคล้ายพบเจอความหวังเข้าแล้ว “แผนการท่านเป็นเช่นใด โปรดสงเคราะห์ผู้น้อยด้วยเถิด”



ข้ากระตุกยิ้มเย็นเหยียบก่อนเปิดปากเล่าแผนการ วันพรุ่งนี้เจ้าลูกหมูเฮ่อยวนจะได้รับบทเรียนทั้งลึกทั้งซึ้งจนถึงแก่นแท้อย่างแน่นอน



โปรดติดตามตอนต่อไป...





ซินเอ๋อร์:

มาแล้วค่าาา

กลับมาเฮฮาตามประสาผีลามกแล้วนะคะ ถ้ายังดราม่าอีก ก็ไม่สมควรเรียกตัวเองว่าเป็นนิยายเบาสมองเน้นฮาแล้วววว 5555 อยู่กับอู๋เกอวัยใสมา 5 ตอนรวด กลับมาหาเยี่ยอู๋จวินผู้ปากร้ายแซะเก่งกันดีกว่าค่ะ ตอนหน้าผีลามกจะเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับท่านแปดและโม่ลี่อย่างไร ต้องติดตามกันต่อไปค่ะะะ ซึ่งแน่นอน 100% ว่า มีฉากระวังหลังอย่างแน่นอน แต่จะเขียนออกมาอย่างไรนั้น ยังไม่รู้ค่า (อ้าาาาววววว)

ช่วงนี้เรียนหนักงานหนัก อาจจะมาแบบดีเลย์ๆ เลทๆ ไปบ้างนะคะ แถมที่นี่อากาศเริ่มเปลี่ยน เปลี่ยนจากหนาวไปหนาวมากๆ กลางคืนเริ่มแตะ 0 องศาแล้ว ซินเอ๋อร์อาการเปลี่ยนทีไรป่วยเละเทะทุกทีค่ะ ฝืนอยู่ดึกไม่ได้เลย เพราะจะน็อคตลอดเวลา ฉะนั้นถ้าช้าไปบ้างต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะคะ T_T

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามด้วยค่ะะ ขอบคุณทุกกำลังใจที่มอบให้นะคะ มันก็มีบางทีที่เหงาๆ บ้าง กลัวคนอ่านหาย (แง) ยังไงช่วยรีวิวช่วยแชร์หน่อยในทวิตหรือในเฟซจะขอบคุณมากๆ เลยค่ะ เห็นคนอ่านเยอะก็มีแรงเขียนน้าาา

พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 20 คห 76 [P.3, 18-11-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 18-11-2019 18:25:57
 :hao7:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 20 คห 76 [P.3, 18-11-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ง่วงนอน ที่ 25-11-2019 23:48:04
ตามอ่านเรือยๆ จ้า  :mew1:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 20 คห 76 [P.3, 18-11-19]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 26-11-2019 09:31:32
ผีลามกกลับมาแล้ว
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 21 คห. 80 [P.3, 27-11-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 27-11-2019 18:20:41
*คำเตือน*

เนื้อหาในตอนนี้มีฉากร่วมรักที่ไม่สมยอม (Dub-Con) อยู่นะคะ หากใครรับเนื้อหาไม่ได้ ข้ามตอนได้เลยน้า



บทเรียนที่ทั้งลึกทั้งซึ้งถึงแก่นแท้



ถึงวันส่งตัวเข้าหอมอบคืนแรกให้กับท่านแปดก็มีเด็กรับใช้นามเสี่ยวเถาและอดีตคณิกาชายที่ผันตนเองไปเป็นผู้ดูแลมาปลุกโม่ลี่ตั้งแต่ยามเฉิน ข้าในร่างของคนงามถูกจับอาบน้ำลอยกลีบดอกไม้ขัดผิวด้วยสารพัดเครื่องหอม วุ่นวายยิ่งกว่าเจ้าสาวในวันส่งตัวเสียอีก คนหยิบชุดผ้าแพรเบาบางจนเห็นเนื้อหนังภายในมาให้ข้าเลือกสรร มิรู้ว่าจะต้องเลือกไปทำไม สุดท้ายแล้วต้องถอดทิ้งอยู่ดีมิใช่หรือ ท่านแปดเสียเงินมากมายเช่นนั้นคงหวังเล่นพลิกผ้าห่มจับชายงามกลืนลงท้องมากกว่ามานั่งพิจารณาผ้าแพรจากแคว้นสู่กระมัง



ข้าสุ่มเลือกชุดหนึ่งมาอย่างไม่ตั้งใจเท่าใดนัก ผู้คนจับข้านั่งหน้ากระจกช่วยเช็ดเส้นผมดำวาวของโม่ลี่จนแห้ง ชายงามคนหนึ่งหยิบแป้งและชาดออกมาหวังแต่งเติมใบหน้า เห็นแล้วรู้สึกอ้างว้างเป็นอย่างยิ่ง ถูกจับอาบน้ำก็แล้ว ถูกจับแต่งตัวก็แล้ว หากต้องมาถูกจับแต่งหน้าอีกคงยากเย็นเกินทำใจยอมรับได้



“มิต้องแต่งหรอก ปล่อยไว้เช่นนี้คงดีกว่า” ข้าหลุบสายตาลงต่ำพูดด้วยน้ำเสียงเนิบช้าเหมือนโม่ลี่ตัวจริง ท่าทางปลดปลงสามส่วน อ่อนแอสามส่วน น่าสงสารเวทนาอีกสองส่วน “ไร้แป้ง ไร้ชาด อาจทำให้ท่านแปดหงุดหงิดใจน้อยลงได้กระมัง”



พูดจบประโยคเด็กรับใช้ประจำตัวของโม่ลี่ก็ถึงขั้นน้ำตาหยดแหมะลงมาที่ข้างแก้ม ข้าเหลือบตามองเขาเห็นว่าเป็นเด็กชายหน้าตาหมดจดโตขึ้นไปคงงดงามอยู่ไม่น้อยจึงเอื้อมมือไปแตะข้างแก้มของเขาแล้วขยับยิ้มบางเบา เยี่ยอู๋จวินช่างเสแสร้งเล่นละครเก่งขึ้นทุกวันดีแท้ “เจ้าจะร้องไห้ไปไย ถูกขายคืนแรกด้วยเงินถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงทอง แผ่นดินจิ่วโจวคงมิใครเทียบเคียงได้ ถือว่ามีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เหมือนกันมิใช่หรือ”



“โม่เกอ...ท่าน...” เด็กรับใช้อ้าปากพะงาบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโถมตัวใส่ข้าทั้งที่น้ำตานองหน้า ส่วนอดีตคณิกาอีกคนได้แต่แอบปาดน้ำตาอย่างเงียบงันด้วยความเศร้าสร้อย “พี่ชายเหตุใดท่านจึงมิโชคดีมีคนไถ่ตัวออกไปก่อนต้องขายตัวบ้าง ท่านแปดบัดซบนั้นล้วนแต่เป็นลูกเต่าสารเลวทั้งนั้น! ”



ด่าจบจนหนำใจแล้วเสี่ยวเถาค่อยร้องไห้โฮๆ ไม่หยุด ส่วนวิญญาณของโม่ลี่ที่แฝงตัวลึกพอมีสติรับรู้อยู่ในร่างก็ร่ำไห้น้ำตาเป็นสายเลือดอยู่เช่นกัน คนหอวาดจันทร์ช่างขี้แยขยันเสียน้ำตากันดีแท้ ส่วนข้าได้แต่วางท่าทางสงบเงียบราวกับทำใจมาแล้วว่าพ้นคืนพรุ่งนี้ไปชีวิตงดงามดั่งดวงจันทร์วันเพ็ญคงกลายเป็นเพียงอดีต จากนั้นค่อยปลอบใจทั้งเด็กรับใช้ผู้นั้นและชายงามสูงวัยอยู่พักใหญ่คนถึงออกจากห้องให้ข้าได้เตรียมตัวเฝ้ารอนายท่านผู้นั้น ก่อนออกไปเด็กน้อยยังอุตส่าห์แอบยัดกระดาษห่อยาผงสองห่อให้ข้ากับมือ



“ยาในห่อกระดาษนี้ห่อหนึ่งเป็นยาปลุกกำหนัดสูตรเฉพาะจากหมอถง ดีร้ายอย่างไรหากท่านมีความรู้สึกร่วมด้วยคงไม่เจ็บตัวมากนัก” เขาดึงให้ข้าก้มลงมาแล้วกระซิบที่ข้างหู หอคณิกาชายแห่งนี้ช่างสั่งสอนผู้คนได้ดียิ่ง เสี่ยวเถาอายุแค่เก้าขวบก็รู้จักไปหายาปลุกกำหนัดมาเสียแล้ว “ส่วนอีกห่อคือยาสงบใจ หากท่านรู้สึกเศร้าสร้อยอยากตายขึ้นมา ก็จงผสมยานี้กินเถิด อย่างน้อยก็ทำให้ความคิดฟุ้งซ่านสงบลงได้ชั่วคราว”



ข้าเหลือบมองห่อยาทั้งสองห่อที่หน้าตาคล้ายคลึงกันเก้าส่วนแล้วอดเอ่ยปากถามออกมาไม่ได้ “แล้วยาห่อใดเป็นชนิดใดเล่า”



ดวงตากลมโตเบิกขึ้นกว้างคล้ายตกใจ ใบหน้าหมดจดของเขาแปรเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ขึ้นมาทันที เด็กรับใช้ประจำตัวของโมลี่เปิดปากขึ้นตอบขึ้นด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “ข้า ข้า...ข้าก็จำไม่ได้เหมือนกันโม่เกอ” เขาชี้ไปที่ห่อยาห่อหนึ่งในมือข้า “หากยาห่อนี้เป็นยาปลุกกำหนัด อีกห่อก็คงเป็นยาสงบใจ หรือถ้ายาอีกห่อเป็นยาปลุกกำหนัด ยาห่อนี้คงเป็นยาสงบใจกระมัง”



ควรเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วมิใช่หรือ เจ้าซื้อยามาสองชนิด หากมันเป็นยาชนิดเดียวกันทั้งสองห่อ หรือเป็นยาชนิดอื่นไปได้สมควรต้องไปเผาร้านขายยาแล้วกระมัง ข้าหลุดหัวเราะออกมาในสติปัญญากึ่งดีกึ่งแย่ของเสี่ยวเถาพร้อมกับเอื้อมมือไปลูบศีรษะของเขาแผ่วเบา น้ำใจเจ้าทั้งข้าและเจ้าของรับรู้ดีแล้ว หากวันหน้าโม่ลี่มีชีวิตที่ดีขึ้น ย่อมไม่ปล่อยให้ผู้คนใช้ชีวิตในหอคณิกาอีกต่อไปแน่ เด็กรู้ความเช่นนี้สมควรสนับสนุนส่งเสริมมิใช่หรือ



ข้านั่งรออยู่ในห้องรับฟังเรื่องราวชีวิตดั่งละครของโม่ลี่อยู่จนพระอาทิตย์ตกดินจึงค่อยมีคนเชิญตัวไปยังห้องสำหรับค่ำคืนนี้ที่ตกแต่งด้วยสีแดงหรูหรา กระทั่งผ้าปูเตียงยังปักลายนกยวนยางและดอกมู่ตัน หากมิบอกคงคิดว่าเป็นคืนเข้าหอของคุณหนูคุณชายสกุลใหญ่เสียกระมัง



ผ่านไปเกือบชั่วยามประตูค่อยเปิดออกพร้อมร่างสูงโปร่งกำยำในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มที่เดินโซซัดโซเซเข้ามา ข้าขยับเข้าไปช่วยประคองผู้คน มือวางนาบกับเอวสอบอันเป็นเส้นโค้งแข็งแกร่งของอีกฝ่าย พร้อมกับลอบพิจารณาอ๋องแปดแห่งแคว้นจิ่วโจว เฮ่อยวนนับว่าเป็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลาสะดุดตาเสียยิ่งกว่าสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ที่เป็นบุรุษหน้าหยกเสียด้วยซ้ำ สมควรแล้วที่เป็นบุตรของซูกุ้ยเฟยผู้งดงามเหนือตำหนักใน หากสิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือนัยน์ตาดอกท้อพร่างพราวคล้ายฉาบด้วยหยาดน้ำอยู่ชั้นหนึ่ง มีดวงตาเช่นนี้นอกจากล่อดอกท้อแล้วคงล่อเหล่าหมู่ภมรด้วยเป็นแน่



“คนงามมารับข้าหรือ” เขาหัวเราะในลำคอท่าทางรื่นเริง ลมหายใจร้อนผะผ่าวมีกลิ่นสุรารสร้อนแรงแฝงอยู่หลายส่วน คนใช้ปลายนิ้วเชยปลายคางของข้าแล้วแย้มยิ้มกว้างด้วยความยินดี ปลายนิ้วเลื่อนมาเกลี่ยตามกลีบปากอิ่ม ดวงตาฉ่ำน้ำยิ่งเป็นประกายคล้ายลูกแก้วใสแววววาว “วันนี้โม่ลี่งดงามยิ่ง รอท่านแปดผู้นี้นานหรือไม่”



แม้ริมฝีปากหยัดยิ้มออกเป็นรอยยิ้มเขินอาย หากในใจข้ากลับยิ้มหยันขบขันผู้คน ผิงอ๋องเล่นละครเก่งกาจสมเป็นคนจากราชวงศ์ แรกเริ่มทำเป็นพยัคฆ์ห่มหนังสุกรล่อหลอกให้คนหลงตายใจ จากนั้นค่อยย่ำยีผู้อื่นอย่างโหดร้ายจนเกือบสิ้นสติ วิธีการเสแสร้งเช่นนี้มิรู้ว่าหากสุ่ยเต๋อฮ่องเต้รู้เรื่องเข้าคงคิดระแวงในตัวเขาขึ้นมาเป็นแน่



ข้าประคองผิงอ๋องไปจนถึงเตียงไม้ที่กลางห้อง คนเอนตัวลงนั่งก่อนมือทั้งคู่จะเอื้อมมือจับรอบเอวดึงรั้งร่างสูงโปร่งดังต้นไผ่ของโม่ลี่เข้าไปในอ้อมกอด เมื่อร่างกายแนบชิดกันดีแล้วเขาจึงค่อยโน้มใบหน้าหล่อเหลาเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น กลีบปากหยักได้รูปทาบทับลงมาเสียจนแน่นสนิท ข้าปล่อยให้เฮ่อยวนได้ใช้โอกาสในตอนนี้เป็นฝ่ายชักนำทั้งแทะเล็มริมฝีปากแดงอิ่มดังย้อมผลอิงเถา ทั้งสอดแทรกปลายลิ้นไล่เลียตามแนวฟันและรุกล้ำเข้ามาเกี่ยวกระหวัดจนเกิดเสียงเฉอะแฉะขึ้นมา



รสสุราร้อนแรงที่ยังค้างคาอยู่ในโพรงปากร้อนของเฮ่อยวนเรียกได้ว่าหอมหวานสมเป็นสุราชั้นดี แต่สิ่งที่หอมหวานกว่าคือธาตุหยางอันรุนแรงที่แพ่พุ่งมาจากทั้งร่างและจิตวิญญาณของอีกฝ่าย อ๋องแปดผู้นี้มีพลังหยางด้อยกว่าสุ่ยเต๋อฮ่องเต้เพียงส่วนเดียวเท่านั้น โชคชะตาเช่นนี้สั่นคลอนบัลลังก์ได้เลยทีเดียว ในศึกชิงตำแหน่งรัชทายาทคราวนั้นเขาเพียงแค่สิบเอ็ดปี ซ้ำยังทำตัวจืดชืดไม่โดดเด่นจึงสามารถหลุดรอดพ้นสายตาผู้คนไปได้ ช่วยเหลือโม่ลี่ครั้งนี้นอกจากเป็นการทำกุศล ขอเพียงได้ซวงซิวกับอีกฝ่าย คนสกุลเยี่ยก็ถือว่าได้กำไรแล้ว



ลิ้นร้อนของท่านแปดยังลงขยับเกี่ยวพันหยอกล้อกับปลายลิ้นของข้าอย่างไม่มีวี่แววว่าจะผละออกไปโดยง่าย แรกเริ่มยังเป็นจังหวะอ่อนโยนอยู่บ้าง หากไม่นานเมื่อถูกข้าดูดดุนเรียวลิ้นหนักเข้าก็คล้ายไปปลุกสัญชาตญาณป่าเถื่อนของคนขึ้นมา ผิงอ๋องใช้มือข้างหนึ่งยึดคางเรียวเอาไว้ก่อนจะบดเบียดจุมพิตเข้ามาแนบแน่นและแปรเปลี่ยนจังหวะให้กลายเป็นเผ็ดร้อนขึ้นมา ฝ่ามือของเขานวดคลึงไปตามบั้นเอวจนถึงสะโพกกลม



ใบหน้าของโม่ลี่ภายใต้การควบคุมของเยี่ยอู๋จวินเรียกได้ว่าเคลิบเคลิ้มจนแทบหลอมละลายไปกับรสจุมพิตนั้น เช่นเดียวกับโม่ลี่ตัวจริงที่จิตรับรู้ล่องลอยไปกับการชักนำของผิงอ๋องเสียแล้ว ข้าสอดมือเข้าไปตามสาบเสื้อของอีกฝ่ายก่อนจะลากไล้ไปตามแผ่นอกคล้ายต้องการยั่วเย้า สัมผัสแผ่วเบาทำให้เฮ่อยวนลมหายใจกระตุกเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น ฟันคมพลันขบกัดลงมาเสียจนริมฝีปากบวมเจ่อ ตอนนี้กัดได้ก็กัดไปเถิด เหตุเพราะเยี่ยอู๋จวินบันทึกลงบัญชีแค้นเอาไว้ในใจเป็นที่เรียบร้อย



ใช้ริมฝีปากและปลายลิ้นพัวพันกันอยู่เกือบเค่อ เฮ่อยวนถึงได้ยอมละจูบออกมา เขาเฝ้าคลอเคลียดูดเม้มกลีบปากไม่หยุดเสียจนข้านึกรำคาญใจขึ้นมาว่าชาติก่อนอ๋องแปดคงเกิดเป็นสุนัขกระมัง อีกฝ่ายปลดรั้งผ้าแพรสีแดงเบาบางบนร่างของข้าออกด้วยความเร่งรีบ เมื่อไม่ได้ดั่งใจก็ฉีกทิ้งเสียจนผ้าราคาแพงจากแคว้นสู่พวกนั้นขาดวิ่นไม่เหลือสภาพ จากนั้นค่อยใช้มือฟอนเฟ้นแผ่นอกขาวอย่างหยาบกระด้าง คนเลื่อนปลายนิ้วไปยังยอดอกนูนสองข้างทั้งเด็ดดึงทั้งบีบเคล้น ความอ่อนโยนอันใดคงลืมเสแสร้งไปหมดแล้ว อาการหื่นกระหายไร้ยางอายเช่นนี้ใช่ว่าข้าจะไม่เคยเห็นมาก่อน



ยิ่งเขาคลั่งเท่าใด ยิ่งดีต่อข้าเท่านั้น ข้ายกเข่าขึ้นใช้หน้าขาเสียดสีกับส่วนกลางร่างกายของท่านแปดจนส่วนนั้นพองนูนแข็งขืนขึ้นมาจนคล้ายจะระเบิด เฮ่อยวนไล่ขบกัดลำคอของข้าเสียจนเป็นรอยช้ำ นัยน์ตาดอกท้อทั้งคู่มัวเมาไปด้วยแรงกำหนัดอันพุ่งสูงขึ้นทุกขณะ เขาดึงรั้งกางเกงของข้าออกให้พ้นทาง ก่อนที่มือสารเลวทั้งคู่จะจับสองขาแยกออกจากกัน ปรมาจารย์วังวสันต์เช่นข้ากลับพลิกตัวให้เขาเป็นฝ่ายอยู่เบื้องล่างพร้อมกับขยับยิ้มเย้ายวนตามที่ฝึกมาหน้ากระจกเมื่อคืนนี้ หากเจ้าอยากเป็นฝ่ายกระทำ อย่าได้เผลอตนอ้าขาให้ใครเป็นอันขาด



“ให้บ่าวได้ปรนนิบัติท่านแปดเถิด” ข้าเอื้อมมือไปปลดเข็มขัดหยกที่เอวของเขาออกพลางเอ่ยถ้อยคำด้วยน้ำเสียงหวานหยดย้อย ครั้นเหลือบมองเขาด้วยอากัปกิริยามากจริตมารยา เฮ่อยวนที่มีสีหน้าลังเลเล็กน้อยในตอนแรกก็พยักหน้าตอบรับ นัยน์ตาที่ฉาบไปด้วยหยาบน้ำมีแววโง่งมอยู่ไม่น้อย ข้าดึงรั้งกางเกงของเขาไปกองที่ตำแหน่งข้อเข่าทั้งสองข้าง ท่อนเนื้อสีเข้มอันแข็งขืนจนเห็นเส้นเอ็นให้เห็นแก่สายตา ส่วนปลายของมันเริ่มมีหยาดน้ำใสผุดออกมาพร้อมกับกระตุกเบาๆ คล้ายว่าใกล้ความอดทนขึ้นทุกที



หากเฮ่อยวนมีสตินึกคิดบ้างสักนิด ควรจะต้องรู้ว่าโม่ลี่ตัวจริงแม้เป็นคณิกา แต่ก็ขายแค่ศิลปะยังไม่เคยผ่านมือชายและคืนนี้คือค่ำคืนแรกของผู้คน ฉะนั้นโม่ลี่ที่ดีควรมีท่าทีเขินอายอยู่หลายส่วน มิใช่เยี่ยอู๋จวินตัวสารเลวในคราบคนงามที่ยางอายคือสิ่งใดไม่ได้รู้จักมาเนิ่นนาน ข้ากอบกุมแท่งหยกของเขาแล้วขยับรูดรั้งอย่างหนักหน่วงโดยไม่ทันให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว ปลายเล็บที่เจียนไว้เสียสวยงามเกลี่ยหยอกล้อลงบนรูเล็กที่มีน้ำเอ่อนอง



สะโพกของผิงอ๋องกระตุกเล็กน้อยพร้อมกับเสียงครางต่ำด้วยความสุขสมในลำคอ เขาเอนลำตัวส่วนบนลงไปบนเตียงจนคล้ายกึ่งนั่งกึ่งนอน ข้ากำรอบส่วนโคนเอาไว้ก่อนโน้มตัวลงไปใช้ริมฝีปากดูดดุนส่วนหยักของท่อนลำ ปลายลิ้นตวัดเลียอย่างเชี่ยวชาญยิ่งทำให้ผู้คนเตลิดเปิดเปิงยิ่งไปอีก น้ำเสียงของเฮ่อยวนที่เอ่ยสั่งเริ่มแหบพร่าขึ้นทุกที “ลึกกว่านี้อีก”



คนกดศีรษะของข้าลงให้ส่วนแข็งขืนของเขากระทั้นเข้าไปในโพรงปากมากขึ้น ข้าแสร้งทำคล้ายจะสำลักเพราะไม่คุ้นชินกับความใหญ่โตให้สมบทบาทของโม่ลี่เสียหน่อย ภาพคนงามครอบครองแท่งหยกของเขาเอาไว้เต็มปาก ใบหน้าแดงระเรื่อและมุกน้ำตาผุดพรายเกาะตามขนตาคงยิ่งทำให้เฮ่อยวนคึกคักยิ่งกว่าเดิม คนจิกเรือนผมของข้าแล้วบังคับให้เร่งรีบกลืนกินให้เร็วยิ่งขึ้น ความรู้สึกชาหนึบที่หนังหัวทำให้โม่ลี่ตัวจริงถึงกับหวีดร้องโวยวายในใจ ด้วยกลัวว่าเส้นผมเงางามที่เขาบำรุงมาอย่างดีจะหลุดร่วง เจ้าใจเย็นก่อนเถิด...นั่นเหมือนจะผิดประเด็นผิดกาลเทศะกระมัง



ทั้งดูดเลียทั้งขบเม้มทั้งปล่อยให้คนกดกระแทกแก่นกายเข้าไปลึกจนถึงลำคอ จนเกิดเสียงเฉอะแฉะลามกที่ดังได้อยู่เกือบเค่อ แท่งหยกอันแข็งขืนพลันกระตุกเบาๆ ก่อนจะพ่นหยาดน้ำออกมาเสียหมดสิ้น เจ้าลูกเต่าแซ่เฮ่อยิ่งกดศีรษะของโม่ลี่ให้กลืนกินรสคาวออกไปเสียหมด



เมื่อผละออกมาแล้ว ข้าแลบปลายลิ้นเลียริมฝีปากตนเองเพื่อเย้ายวนกระตุ้นคนยิ่งกว่าเดิม ท่านแปดเหม่อมองข้าพลางแย้มยิ้มบางคล้ายหลงใหลกันเข้าแล้ว ดวงตาดอกท้อพร่างพราวด้วยความสุขสมสบายตัวเป็นอย่างยิ่ง จังหวะที่เขาลดการป้องกันตนเองลง ไม่ทันได้ระมัดระวังเช่นนี้หากคิดการใหญ่อันใดไว้ก็ควรจะลงมือได้แล้ว ข้าคว้าเข็มขัดหยกที่ปลดวางไว้ด้านข้างขึ้นมาแล้วรวบมือทั้งสองข้างของเฮ่อยวนเข้ามามัดรวบเป็นเงื่อนตายด้วยความเร็วเกินกว่าที่ผู้คนจะตั้งตัวทันได้ หยกดีมีมูลค่าเทียมเมืองปานใด เวลานี้คงมิสำคัญแล้ว



“เจ้าจะทำอะไร” ท่านแปดที่เริ่มมีสติรับรู้ขึ้นมาแล้วเบิกตาขึ้นกว้าง คนสะบัดข้อมือแกะสิ่งพันธนาการออก แต่ไหนเลยจะสามารถแกะได้โดยง่าย เฮ่อยวนพยายามใช้สองข้างเตะถีบข้าออกไป แต่กางเกงที่คนแซ่เยี่ยวางหลุมพรางรั้งมันไว้ที่ข้อเข่ากลับทำให้เขาขยับตัวได้อย่างยากลำบาก



“บ่าวจะปรนนิบัติท่านอย่างดีเอง” ข้าชักเริ่มรำคาญท่าทางของคนขึ้นมาบ้างแล้วจึงพลิกร่างให้ผิงอ๋องคว่ำหน้า มือทั้งสองข้างยกสะโพกหนั่นขึ้นสูงให้เข่าทั้งสองข้างชันกับพื้นเตียง จากนั้นค่อยควานหาตลับขี้ผึ้งในกองผ้าแพรสีแดงของตนเอง ไม่ได้สนใจเสียงหัวเราะคิกคักด้วยความสะใจของโม่ลี่ในจิตสำนึกและเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้นและถ้อยคำผรุสวาทของเฮ่อยวนเลยสักนิด



“สารเลว! เจ้าคิดกระทำการใดกัน อย่าให้ข้าหลุดออกไปได้ ข้าจะสับเจ้าให้เป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น! ”



ถึงเวลานั้นหากยังมีแรงสับกันก็สับไปเถิด กลัวแต่ว่าจะหมดแรงเสียก่อนมากกว่า ข้าเปิดตลับออกแล้วควักขี้ผึ้งสีขาวราวมันแพะขึ้นมาก้อนหนึ่ง จากนั้นค่อยแหวกเนื้อกลมออกให้เห็นช่องทางสีแดงสดที่มิเคยมีใครรุกล้ำมาก่อน ตอนที่ข้าป้ายขี้ผึ้งลงไปที่ปากทาง เฮ่อยวนก็ด่าโม่ลี่ไปถึงโคตรเหง้าเหล่าสกุล ถ้อยคำหยาบคายเช่นนี้คนแซ่เยี่ยเริ่มชักไม่อยากฟัง ข้าจึงเอื้อมมือไปคว้ากางเกงชั้นในผ้าไหมด้านข้างแล้วยัดเข้าไปในโพรงปากที่พ่นแต่วาจาไม่งามของเขาเสีย หน้าตาของผิงอ๋องในยามนี้เป็นเช่นไร คงต้องบอกว่าอัปยศอดสูเป็นอย่างยิ่ง



สิ่งใดที่กระทำการไปแล้วก็สมควรกระทำการต่อ ขี้ผึ้งที่เตรียมเอาไว้ทำให้ข้าสามารถสอดปลายนิ้วเข้าไปในช่องทางได้ง่ายดายยิ่งขึ้น ความรู้สึกไม่คุ้นชินทำให้ผิงอ๋องหดเกร็งร่างกายเสียจนเห็นแนวกระดูกสันหลังบนแผ่นหลัง ซ้ำผนังอ่อนภายในยังยิ่งบีบรัดแน่น ข้ากระแทกปลายนิ้วเสียดสีช่องทางอย่างไม่ถนอมผู้คนเท่าใดนักแล้วค่อยเพิ่มจำนวนนิ้วมากขึ้นทุกที เพียงครู่เดียวเสียงฮึดฮัดไม่พอใจกลับกลายเป็นเสียงครวญแผ่วเบาราวลูกแมว สองข้าของเขาอ้าออกกว้างยิ่งขึ้นอย่างไม่รู้ตัว แท่งหยกเบื้องหน้ากลับมาแข็งขืนอีกครั้งหนึ่ง



สาเหตุที่ทำให้คนเคลิบเคลิ้มเกิดอารมณ์ตามอย่างง่ายดายเป็นเพราะข้าเยี่ยอู๋จวินมีฝีมือที่ดียิ่งกว่าเขามากนัก สอดแทรกควานนิ้วไม่นานก็พบเจอปุ่มกระสันภายใน ข้ากระแทกใช้ปลายนิ้วเสียดสีกระตุ้นให้คนรู้สึกดีเจียนคลั่ง คิดอยากปราบคนเช่นนี้ต้องทำให้เขาได้รับบทเรียนอย่างถึงใจ เป้าหมายของข้ามีเพียงทำให้เขามิอาจลืมเลือนบทรักอันสุขสมร้อนแรงได้ จนวันหน้ามิอาจเสร็จสมยามไม่ถูกย่ำยีทางเบื้องหลังได้ยิ่งดี...ท่านแปดแม้เก่งกาจปานใด หากถูกฝึกให้เชื่องไปเสียแล้วจะยังไปพยศที่ใดได้อีก



ยามที่ถอนปลายนิ้วออกมา สะโพกของอีกฝ่ายยังขยับตามด้วยความไม่รู้จักพอ ข้าได้แต่หัวเราะแผ่วเบาก่อนจะตบเนื้อกลมของเขาครั้งหนึ่งจนเป็นรอยฝ่ามือแดง ความเจ็บนั้นคงทำให้ผิงอ๋องพอมีสตินึกคิดขึ้นมาได้ เขาพยายามคลานหนีอย่างยากลำบาก แต่กลับถูกรั้งตัวเอาไว้ไม่ให้ขยับไปได้ ข้าจ่อแก่นกายที่ชูชันจ่อเข้ากับปากทาง จากนั้นจึงกระแทกลำตัวเข้าไปจนสุดความยาว



แท่งหยกที่ขนาดใหญ่โตไม่น้อยหน้าใครรุกล้ำเข้ามาอย่างกะทันหันย่อมทำให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกจุกแน่นและเจ็บเสียดขึ้นมาเป็นแน่ หากเสียงครางแผ่วเบากลับบ่งบอกว่าเขากำลังรู้สึกได้รับการเติมเต็มอย่างแปลกประหลาด เฮ่อยวนโน้มลำตัวท่อนบนลงต่ำจนแนบกับเตียง ไหล่กว้างสั่นระริกคล้ายจำยอม ผิงอ๋องที่หมดหนทางสู้เช่นนี้น่ารักอยู่ไม่น้อยทีเดียว ข้าใช้มือหนึ่งจับสะโพกเอาไว้ก่อนกระแทกแก่นกายเสียดสีกับรอยพับจีบที่ตอดรัดเป็นจังหวะ มืออีกข้างตบบั้นท้ายแน่นของเขาจนบวมแดง



ข้าขยับสะโพกเข้าออกอย่างหนักหน่วงเสียจนในห้องมีแต่เสียงจาบจ้วงหยาบโลน แล้วค่อยโน้มตัวริมฝีปากพรมจูบไปตามแนวสันหลังทั้งขบเม้มทั้งขบกัดทิ้งร่องรอยเอาไว้ทั่ว เฮ่อยวนผู้นี้เกรงว่าจะชอบความเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย ยามที่ข้าใช้ฟันขบไปตามร่างของเขา ผนังอ่อนด้านในกลับยิ่งบีบรัดมากยิ่งขึ้น ข้าหัวเราะในลำคอและทิ้งรอยฟันเอาไว้จนถึงต้นคอขาว ปลายลิ้นไล้เลียที่หลังใบหูของเขาก่อนกระซิบถ้อยคำหยาบโลน “ดีหรือไม่ บ่าวรับใช้ท่านดีหรือไม่”



“อึก...อื้อ! ” ผ้าไหมเนื้อดีที่อุดปากเขาอยู่ย่อมทำให้เฮ่อยวนไม่สามารถตอบคำถามของข้าได้ หากแต่คนแซ่เยี่ยยังอยากล้อเขาเล่นอยู่จึงนึกใจดีดึงมันออกให้ ผิงอ๋องเป็นคนสูงส่งในเมืองหลวงเช่นใด ไหนเลยจะได้ยินถ้อยคำหวานล้ำ แม้น้ำเสียงจะขาดห้วงจากความสุขสมแทบขาดใจ คนยังคิดหาถ้อยคำมาด่าข้าได้ ใจความนั้นคือ “โม่ลี่ เจ้าเดรัจฉาน ขอให้เจ้าไม่ตายดี ข้าจะใช้ม้าแยกร่างเจ้า ข้าจะตัดเอวเจ้า ข้าจะเฉือนเนื้อเจ้าออกมาเป็นพันชิ้น”



เกรงว่าผิงอ๋องจะขุดวิธีการประหารมาหมดตำราแล้วกระมัง ข้ากระแทกท่อนลำของโม่ลี่เข้าไปเสียดสีกับจุดอ่อนไหวรุนแรงเสียจนเสียงด่ากลายเป็นเสียงครางหวานกระเส่า ครู่ต่อมาเฮ่อยวนก็มิอาจทนรับได้อีกต่อไป หยดน้ำสีขุ่นพลันพุ่งพวยออกมาจากท่อนเนื้อที่แข็งขืนเต็มที่ ข้าไม่ทันรอให้เขาปลดปล่อยจนเสร็จ แต่เร่งสาวกายเข้าออกเน้นย้ำไปยังจุดกระสันอย่างหนักหน่วงแทน ท่านแปดที่เคยกลืนคนงามลงท้องไปหลายต่อหลายคนถึงกับเสร็จสมอีกครั้งในทันที



พบเจอเรื่องราวเช่นนี้ย่อมทำให้ร่างกายสูงโปร่งของเขาอ่อนระทวยราวกับไร้กระดูก ข้าพลิกตัวให้เฮ่อยวนนั่งซ้อนอยู่บนหน้าตัก ท่วงท่าเช่นนี้ทำให้แท่งหยกสามารถรุกล้ำเข้าไปในส่วนที่ลึกกว่าเดิม แก่นกายที่อ่อนตัวไปแล้วพลันชูชันดีดผึงขึ้นมา ผิงอ๋องที่รู้จักเสพสมความสุขกลับเริ่มเป็นฝ่ายโยกสะโพกควบขี่ด้วยตนเอง เห็นผู้อื่นตั้งใจเช่นนี้ ข้าจึงมอบรางวัลให้เป็นการขบกัดปุ่มนูนแดงบนยอดอกเสียจนเลือดซิบ



ผิงอ๋องถูกจับพลิกไปพลิกมาเรียนรู้บทเพลงหลากหลายท่าอยู่ครึ่งค่อนคืน หลังจากเสร็จสมจนนับจำนวนครั้งไม่ได้ ดวงหน้าหล่อเหลาในยามแรกกลายเป็นดวงหน้าที่แสดงออกได้เพียงอารมณ์ราคะเสียแล้ว นัยน์ตาดอกท้อมีเพียงภาพสะท้อนใบหน้างดงามของโม่ลี่ คนอ้าปากหอบหายใจพลางร้องบอกเสียงขาดห้วง “พอแล้ว...ปล่อยข้าไปเถิด ไม่เอาแล้ว”



นี่เพิ่งผ่านไปได้แค่ครู่เดียวเองมิใช่หรือ เฮ่อยวนยามใช้บริการคณิกาในหอวาดจันทร์นั้นทำรักคนงามทั้งหลายได้ถึงสองวันสองคืน ผู้คนร้องขอความเมตตาเพียงใดก็มิเคยคิดใส่ใจ ยามที่เขาย่ำยีรังแกผู้อื่นจนอยู่มิสู้ตายคงมีเสียงร่ำไห้ขอความเมตตามากมายกระมัง ยามนี้เปลี่ยนเป็นฝ่ายถูกเคี่ยวกรำจะมีหน้ามาร้องขอความเมตตาได้หรือ



หากพระอาทิตย์ยังไม่ตกลงไปสองครั้ง หากท่อนหยางของเขายังสามารถมีหยาดน้ำอันใดหลั่งรินออกมาได้ ข้าเยี่ยอู๋จวินย่อมมิยอมปล่อยให้เขานอนหลับได้อย่างสงบสุขเป็นแน่



โปรดติดตามตอนต่อไป...





ซินเอ๋อร์:

เรทกระจายกันอีกแล้วค่ะ 55555 กว่าจะเขียนจบก็แทบหมดแรง เหมือนน้ำตาลตก ขอน้ำหวานให้ซินเอ๋อร์ด้วยค่าา

ช่วงนี้พังมากๆ ค่ะ ปัญหารุมเร้ามาก ทั้งเรียน ทั้งงาน ทั้งสุขภาพ T_T จะเขียนนิยายก็ไม่ว่างเขียนเลย ทุกวันนี้ความสุขเล็กๆ คือการเขียนนิยาย นั่งอ่านเม้นท์ค่ะ อ่านฟีดแบ็กแล้วรู้สึกมีแรงขึ้นมา ถ้าใครชอบจะเม้นท์หรือกดบวกให้ก็ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ หรือจะรีวิวให้หน่อยก็ได้ค่า อยากมีคนอ่านเยอะๆ บ้าง (ฮาาาาาา)

ซินเอ๋อร์มีทวิตเตอร์ด้วยนะคะ เข้าไปคุยเล่นกันได้นะคะที่ @7xiner บางทีอาจเขียนอะไรเล็กๆ น้อยๆ หรือเบื้องหลังที่ไม่ได้ลงในทอล์กค่า

พบกันใหม่ตอนหน้า เมื่อมีเวลาและมีแรงเขียนนะคะ

คำผิดเดี๋ยวตื่นมาแก้เหมือนเดิมค่ะ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 21 คห. 80 [P.3, 27-11-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-11-2019 19:09:47
 :haun4: :hao6: :haun4:

 :กอด1: :pig4:  :กอด1:


 o13
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 21 คห. 80 [P.3, 27-11-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 28-11-2019 10:54:20
โอ้โหหห /หัวเราะลั่นพลางทุบโต๊ะ

ต้องชมปรมาจารย์วังวสันต์จริงๆครับ! ยอดเยี่ยมมากเยี่ยอู่จวิน พลิกเกมรับเป็นเกมรุกได้ ถือว่าข้าน้อยคารวะ แม้จะอยู่ในกายชายเอวบางร่างน้อย ท่านยังสามาถพลิกกลับมาเป็นฝ่ายรุกจนทำให้เฮ่อยวนได้รู้สำนึกได้ ถือว่ายอดเยี่ยม! เพียงเท่านี้องค์ชายแปดที่พลังหยางสูงส่งก็จะไม่มีพฤติกรรมวิปริตอีกต่อไป เพราะถูกสั่งสอนบนเตียงจนทำให้เข็ดหลาบ

บทนี้ทำให้เห็นได้ว่า องค์ชายแปด ที่แม้จะถูกบรรยายว่ามีพลังหยางสูงส่ง ทำรักได้ถึงสองวันสองคืนในหอคณิกา แต่ก็มีพฤติกรรมชั่วร้าย เป็นซาดิสม์ทำให้ผู้ร่วมรักเสียโฉม ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์และโทสะ สร้างความเดือดร้อนแก่เหล่าชาวคณิกา แม้จะมีภัยแบบนี้ เยี่ยอู่จวินเองก็ยังสามารถแก้ไขได้ ผมนับถือวิธีที่เขาใช้เลย ใช้เกลือจิ้มเกลือ ทำให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความเจ็บปวดแล้วก็รับรู้ถึงสิ่งที่อีกฝ่ายต้องเผชิญ (แต่แปลกใจว่าท่อนเนื้อของโม่ลี่มันใหญ่โตขนาดนั้นเลยเรอะครับ ผิดธรรมชาติคณิกานะนั่น หรือว่าท่านปรมาจารย์วังวสันต์ใช้พลังดึงขนาดของตัวเองมาใส่แทน (ฮา)) วิธีแก้ปัญหาแบบนี้จะทำให้อีกฝ่ายเรียนรู้แน่นอนแล้วจะหลาบจำ ผมชอบบทนี้มากนะครับ กระบวนการหลายอย่างถือว่าดีเลย การทำรักแบบ Dub-con โดยใช้ binding มาตรึงตอนแรกเพื่อทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถหลบบทลงโทษได้ จุดประสงค์เพื่อการทำให้รู้สำนึก แล้วพอทำไปเรื่อยๆ ท่านเยี่ยอู่จวินก็ไม่ปราณีเลย (ฮา) เล่นทำให้องค์ชายแปดถึงจุดสุดยอดไม่รู้กี่ครั้งจนหมดแรง ความหฤหรรษ์ที่มาพร้อมความเจ็บปวดจะกระตุ้นจิตสำนึกให้รู้คิดมากขึ้น ทำให้น่าจะหลาบจำและหยุดพฤติกรรมแบบที่ตัวเองทำมาตลอด

ชอบอีกอย่างคือตอนที่องค์ชายแปดตื่นตระหนกแล้วพ่นคำด่าบริภาษน่ะครับ แล้วท่านเยี่ยหัวเราะหึๆ ว่าถ้ามีแรงเหลือจะด่าก็ลองดู สะใจมาก! /หัวเราะ ต้องอย่างนี้สิครับพระเอกผม! จัดการสั่งสอนมัน!! ว่าแต่เสียดายนิดหนึ่งที่ท่านเยี่ยทำแรงไปหน่อย เดี๋ยวอนาคตองค์ชายแปดจะกลายเป็นรับซะได้นี่ เสียเครดิตที่อุตส่าห์เป็นรุกมาตลอด แถมรูปร่างหน้าตาแล้วก็ขนาดไม่เอื้อเลยนะนั่น (ฮา) แต่มันก็แสดงถึงความเก่งกาจในฝีมือทำรักของปรมาจารย์วังวสันต์เลยครับ ทั้งทักษะการใช้นิ้ว การล่อหลอกด้วยแรงพิศวาส

ผมยังยืนยันคำเดิมว่าความสามารถในการเขียนบทอัศจรรย์ร่วมไปกับการบรรยายเนื้อเรื่องเพื่อทำให้เนื้อเรื่องก้าวต่อไป อธิบายพล็อตและแสดงปมหรือรายละเอียดต่างๆในเรื่อง(ทั้งคาแรกเตอร์. พล็อตเรื่อง) ผ่านฉากแบบนี้ เป็นความสามารถที่น่าสนใจและประทับใจมากครับ มีน้อยคนที่จะทำได้เหมือนอย่างคุณซินเอ๋อร์ พยายามต่อไปครับ เขียนได้สนุกมาก
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 21 คห. 80 [P.3, 27-11-19]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 28-11-2019 17:17:54
ไม่รู้จะสงสารหรือสมหน้าดี
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 21 คห. 80 [P.3, 27-11-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ง่วงนอน ที่ 29-11-2019 13:36:57
OMG ชอบมาก ตอนแกนึกว่าปรมาจารย์วังวสันต์จะโดนขืนใจ ที่ไหนได้... :pighaun:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 22 คห. 85 [P.3,2-12-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 02-12-2019 17:28:43
*คำเตือน*

เนื้อหาในตอนก็ยังคงมีนี้มีฉากร่วมรักที่ไม่สมยอมแบบ Dub-Conอยู่นะคะ รับไม่ได้เลื่อนผ่านไปอ่านย่อหน้าท้ายๆ เลยน้า



บทที่ 22 จริตมารยานางสนมหรือจะสู้เสน่ห์มารยาคณิกา



ผิงอ๋องถูกหยามเกียรติอยู่สองคืนกับอีกหนึ่งวัน ถูกกระทำจนสลบไสลไม่ได้สติจนฟื้นมาใหม่อยู่สามครั้ง ถูกทำให้เสร็จสมแม้แต่ในยามที่ส่วนปลายแก่นกายไม่สามารถปลดปล่อยสิ่งใดได้อีกหลายครั้ง ข้าจึงคิดว่าเป็นเวลาเหมาะสมแล้วกระมัง บทเรียนราคาแพงหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงทองที่ผู้คนทุ่มทุนจ่ายไปคงต้องยุติสักที อีกทั้งร่างบอบบางของโม่ลี่หมดเรี่ยวแรงไปเนิ่นนานแล้ว ที่ยังสามารถขยับเขยื้อนร่างกายอยู่ได้เป็นเพราะข้าใช้ธาตุหยางค้ำจุนไว้ทั้งนั้น



“ที่แท้...รสรักที่เขาว่ากันนั้นยอดเยี่ยมเช่นนี้นี่เอง” คนงามแห่งหอวาดจันทร์กระซิบด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะครึ่งหนึ่ง น้ำเสียงเคลิบเคลิ้มสุขสม หากครู่หนึ่งคนก็ถอนหายใจแผ่วเบา คล้ายนึกคิดความจริงขึ้นได้ว่าตนเองเป็นคณิกา หน้าที่กระทำรักส่วนใหญ่ย่อมเป็นของนายท่านที่เสียเงินซื้อความสุข แม้โม่ลี่ชื่นชอบความรู้สึกได้รุกล้ำผู้อื่นเพียงใด แต่เมื่อถึงเวลาขายเรือนร่างย่อมมิอาจทำเช่นนั้นได้เป็นที่แน่นอน



“แต่ไหนแต่ไรผู้อื่นมักบอกว่าแท่งหยกของข้าน้อยมีขนาดเกินกว่าชายงามทั่วไปย่อมไม่เหมาะสมอยู่บ้าง” โม่ลี่ส่ายศีรษะอย่างแผ่วเบา ก่อนน้ำเสียงใสจะหัวเราะแผ่วเบาในห้วงสำนึก “มิคาดคิดว่าหากนำมาใช้งานเช่นนี้กลับถึงใจผู้อื่นอยู่มากนัก”



คำพูดของเหล่าคณิกาที่บอกกล่าวโม่ลี่นั้นเป็นจริงอยู่มาก แขกที่มาซื้อบริการย่อมมิอยากถูกทำลายความมั่นใจด้วยความใหญ่โตของชายงามที่สมควรจะอ้าปากร้องครวญครางอยู่ภายใต้ร่างกระมัง หากแผนการเป็นไปตามที่เยี่ยอู๋จวินคาดการณ์ไว้ ดอกมะลิดอกนี้คงได้ใช้งานแท่งหยกขนาดเกินมาตรฐานทั่วไปของเขาอีกหลายครั้งเป็นแน่



ข้าใช้ผ้าชุดน้ำมาเช็ดร่างกายมีค่าดั่งทองของท่านแปด ผู้คนยอมสละทรัพย์สินในคลังจวนผิงอ๋องมากมายปานนั้น จะช่วยให้เขานอนหลับหลังถูกขย้ำอย่างเนิ่นนานก็คงไม่เลวร้ายเท่าใดนัก เรือนร่างของเฮ่อยวนยามนี้มีแต่รอยรักและรอยขบกัดอยู่เต็มร่าง ข้อมือทั้งสองข้างแม้ถูกปล่อยออกไปตั้งนานแล้วแต่ก็ยังปรากฏรอยจ้ำเลือดอยู่บ้าง ข้านวดซ้ำแผ่วเบาเพื่อให้รอยเลือดคลายตัวลงอีกสักเล็กน้อย ครั้นเช็ดทำความสะอาดไปถึงเบื้องล่าง สภาพเครื่องเพศอันหมดสิ้นเรี่ยวแรงของเขามองแล้วช่างน่าสงสารยิ่งนัก ส่วนช่องทางด้านหลังที่อ้าออกเล็กน้อยนั้นบวมแดงจนไม่เหลือสภาพ หยาดน้ำสีขาวขุ่นยังค่อยไหลทะลักออกมาอย่างเชื่องช้า มองแล้วช่างเปี่ยมไปด้วยรสกามโลกีย์เป็นอย่างยิ่ง



“ท่านแปดผู้นี้ก็น่าย่ำยีอยู่ไม่น้อย” น้ำเสียงหวานใสแข็งกร้าวผิดจากภาพลักษณ์นุ่มนวลอ่อนหวาน ชั่วครู่หนึ่งใบหน้าของโม่ลี่แสดงสีหน้าราวกับเสียงครางกระเส่าผสมถ้อยคำบริภาษของท่านแปดจารึกเข้าไปในความทรงจำ นี่มิใช่ว่าข้าได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับผู้คนเข้าเสียแล้วหรอกหรือ ประโยคถัดมาของเขาแฝงด้วยความเสียดายอยู่เต็มสิบส่วน “แต่เรือนร่างเขากำยำถึงเพียงนั้น หากไม่มีท่านเยี่ยให้ความช่วยเหลือให้หยิบยืมพลัง ไหนเลยข้าน้อยจะมีเรี่ยวแรงไปรับมือกับเขาได้”



โม่ลี่กล่าวออกมาเช่นนี้ย่อมเข้าทางตามแผนการที่ข้าคิดเอาไว้ตั้งแต่แรก ร่างกายของเขาตอนนี้แม้มิได้อ้อนแอ้นจนเกินพอดี แต่ก็บอบบางว่าบุรุษทั่วไปอยู่ไม่น้อย จะให้ใช้เรี่ยวแรงเข้าข่มผิงอ๋องที่เคยฝึกยุทธ์มาบ้างคงไม่ง่ายดายนัก สมควรต้องเตรียมพร้อมร่างกายเอาไว้บ้าง ในคัมภีร์เมฆคล้อยตะวันลับที่ข้าเคยเขียนเอาไว้มีกระบวนท่าฝึกพลังภายในที่เหมาะสมกับเขาอยู่หลายกระบวนท่า หากฝึกฝนสักสองสามเดือน แม้ร่างกายภายนอกจะยังบอบบาง แต่กำลังภายในจากที่ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะฆ่าไก่ก็คงมีเรี่ยวแรงเชือดวัวได้แล้ว



เพียงได้ยินชื่อตำราเมฆคล้อยตะวันลับเข้า เจ้าของดวงหน้างดงามก็ยิ่งกระตือรือร้นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก โม่ลี่เล่าด้วยน้ำเสียงคล้ายเด็กน้อยต้องการอวดความดีของตนให้บิดามารดาได้ยลว่าเขาติดตามผลงานของข้ามาได้สามปี ตำราเล่มไหนที่เขาสามารถหาซื้อได้ย่อมกวานซื้อมาไว้ในครอบครองทั้งหมด หากแต่คัมภีร์เมฆคล้อยตะวันลับเป็นการฝึกฝนร่างกายที่มิได้มีความจำเป็นต่ออาชีพคณิกา ทั้งยังอ่านไม่ค่อยเข้าใจจึงได้แต่เก็บไว้ใต้ก้นหีบมิได้นำมาเปิดดู



แม้จะเป็นเพียงคำเยินยอเชื่อถือมากไม่ได้ แต่กลับทำให้ข้ารู้สึกเวทนาสงสารชายงามผู้นี้ขึ้นมาหลายส่วน เด็กเฉลียวฉลาดจิตใจดีงามรู้จักอ่านสีหน้าผู้คนเช่นเขา หากเกิดในสกุลที่เหมาะสมย่อมได้รับการขัดเกลาจนกลายเป็นหยกเนื้อดี แต่ใครใช้ให้คนสกุลตู้เป็นตัวสารเลวกันเล่า บาปกรรมกลับตกมาถึงลูกหลานต้องมาขายตัวเป็นคณิกาให้บุรุษเพศเชยชม เช่นนี้เรียกได้ว่ายุติธรรมหรือ



ลิขิตสวรรค์แต่ไหนแต่ไรไหนเลยจะมีคำว่ายุติธรรม เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ปุถุชนแล้วคงหลีกเลี่ยงสิ่งบัดซบสารเลวที่เรียกว่าโชคชะตาได้ยากนัก นี่คือความจริงอย่างหนึ่งที่คนแซ่เยี่ยรู้สึกยากเกินรับได้ หากสวรรค์กำหนดมาให้ข้าต้องตายในวัยหนุ่มมิมีวันได้หลุดพ้นจากการเป็นมนุษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร เยี่ยอู๋จวินก็ต้องก้มหน้ายอมรับเช่นนั้นหรือ หากข้ายอมรับมิได้แต่หาหนทางฝึกตนเป็นอ๋องผีผู้ปกครองวิญญาณ ถึงเวลานั้นจะโดนสวรรค์ลงทัณฑ์เพราะคิดแหกคอกหรือไม่ ก็ยังมิอาจรู้ได้



เรื่องบางเรื่องเมื่อยังมิเกิดขึ้นก็สมควรปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต ยามนี้ข้าทำความสะอาดร่างกายของผิงอ๋องเสียจนหมดจน ซ้ำยังช่วยจัดเสื้อผ้าให้เหมาะสมตามฐานะของท่านแปด ส่วนโม่ลี่ใช้เพียงแค่เสื้อคลุมเบาบางหลุดลุ่ยห่มกาย สาบเสื้อรั้งต่ำจนเห็นไหล่ขาวเนียนที่มีร่องรอยรักทั้งรอยกัดรอยข่วนอยู่ประปราย หน้าที่แสดงละครฉากหนึ่งต่อไปนี้สมควรมอบคืนให้เจ้าของร่างแล้ว เมื่อถอนวิญญาณออกมา ทั้งร่างพลันอ่อนยวบราวไร้กระดูกหมดเรี่ยวแรงท่าทางคล้ายผ่านบทเพลงรักอันหนักหน่วงมาอย่างยาวนาน



ร้องเรียกผู้คนอยู่ได้ไม่นาน ประตูห้องหอก็เปิดออกกว้างพร้อมกับบุรุษร่างกำยำสองคนผู้มีหน้าที่ตรวจตราคุ้มภัยหอชายบำเรอแห่งนี้ที่เดินก้าวเข้ามา ภายในห้องยามนี้สภาพเละเทะราวสนามรบหลังผ่านศึกหนัก กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์หลังร่วมรักคละคลุ้งอยู่ภายในห้องเสียจนแทบหายใจไม่ออก ชายผู้หนึ่งขยับเดินตรงเข้ามายังเตียงไม้ด้วยหน้าตาเศร้าสลดสงสารในชะตากรรมคนงาม คงคิดว่ายามนี้ต้องมาหามร่างโม่ลี่ผู้เป็นดั่งแสงดาวส่องสกาวในหอคณิกาชายแห่งนี้ไปรักษาตัวกระมัง



“พี่ชายท่านนั้น ช่วยข้าด้วยเถิด” โม่ลี่กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่าจนแทบไม่เหลือเนื้อเสียง หากใบหน้างามที่แดงระเรื่อช้อนตามองและเรือนร่างขาวที่เห็นร่องรอยจากสงครามที่ผ่านมาสองคืนกลับมองดูแล้วทั้งน่าสงสารและน่าย่ำยีไปพร้อมกัน “ท่านแปดหมดแรงสลบไปแล้ว ข้าไร้เรี่ยวแรงจะส่งเขาได้ มิรู้ว่าผู้ติดตามของเขาอยู่ที่ใด ท่านโปรดช่วยข้าที”



จริตมารยาของคนผู้นี้มิแพ้เหล่าสนมจิ้งจอกในวังหลังเลยสักนิด ชายผู้นั้นได้แต่นิ่งอึ้งชะงักไปมิกล้าก้าวเข้ามาใกล้ คล้ายกังวลว่าหากขยับตัวสักนิดภาพของชายงามเบื้องหน้าจะสลายไปราวกับความฝัน เมื่อดึงสติกลับมาจากภาพงดงามเย้ายวนแล้วกลับยิ่งตกตะลึงยิ่งกว่า โม่ลี่ผู้สูญเสียคืนแรกแม้จะมีท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงแต่หน้าตายังคงสวยสดเหมือนเดิม มิได้สูญเสียความงามถูกทุบตีมีรอยช้ำหัวหูบวมเป็นหัวหมูเฉกเช่นคนอื่น ซ้ำคนที่สลบไสลไม่ได้สติกลับไม่ใช่เขา แต่เป็นนายท่านแปดผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่แทน



ผู้คุ้มกันทั้งสองคนมองหน้ากันอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนองครักษ์ในนามผู้ติดตามของผิงอ๋องจะพุ่งตรงเข้ามาภายในห้อง แรกเริ่มคล้ายจะเกิดเรื่องวุ่นวายเข้าแล้ว แต่เมื่อพิศดูแล้วเห็นเพียงร่องรอยความเหนื่อยล้าจากภายนอก มิได้มีคนถอดเสื้อผ้าพลิกตัวเขาดูภายใน แม้แต่แขนเสื้อยังไม่มีใครเลิกดู สภาพของเฮ่อยวนย่อมองแล้วยังคงปลอดภัยดี นัยน์ตาวาวโรจน์อำมหิตค่อยจางหายไป กลายเป็นสายตาว่างเปล่าไร้อารมณ์เช่นเคย



ท่านแปดถูกผู้คนอุ้มพากลับไปโดยไม่กล่าววาจาใดสักคำ หอวาดจันทร์ได้รับทั้งเงินและไข่มุกครบจำนวนแล้วย่อมปล่อยผู้คนกลับไปแต่โดยดี ส่วนโม่ลี่ถูกพากลับไปยังห้องพักของตนเองท่ามกลางสายตามึนงงของผู้คนที่พบเห็นเหตุการณ์เป็นอย่างยิ่ง เถ้าแก่ผู้เป็นเจ้าของหอชายบำเรอหวังเข้ามาพูดคุยกับเขาให้รู้ความว่าเหตุใดเขาจึงรอดพ้นมาจากเงื้อมมือของนายท่านแปดได้ แต่มาถึงผู้อื่นกลับนอนหลับไม่ได้สติไปแล้วจะให้ปลุกคนที่เหนื่อยล้าขึ้นมาเถ้าแก่ก็ยังมีมนุษยธรรมอยู่บ้าง จึงปล่อยให้เขานอนพักแต่โดยดี



เมื่อฟื้นขึ้นมาแล้วโม่ลี่ย่อมปิดปากเงียบไม่บอกเล่าเรื่องราวตามที่ได้ตกลงกับข้าเอาไว้ เรื่องน่าอับอายของผิงอ๋องสมควรเก็บไว้กับตัวไม่แพร่งพรายออกไปอย่างน้อยก็พอมีสิ่งใดใช้ต่อรองกับผู้อื่นได้บ้าง คนเมื่อใครถามสิ่งใคร คนงามทำเพียงแย้มยิ้มน้อยๆ อย่างมีเลศนัยให้ผู้คนสงสัย ตามจริงเมื่อขายคืนแรกไปแล้วคนย่อมกลายเป็นคณิกาขายเรือนร่างเต็มตัว หากเถ้าแก่ยังพอมีน้ำใจเห็นว่าเขายังเหนื่อยล้าจากการปรนนิบัติผู้คนซ้ำยังได้เงินมามากมายเกินกว่าค่าตัวของเขาทั้งชีวิตกระมัง ดีร้ายอย่างไรก็สมควรสร้างหนี้น้ำใจเอาไว้บ้างจึงยังปล่อยให้เขาละเว้นหน้าที่ ปล่อยให้เหล่านายท่านที่ได้ยินเสียงเลื่องลือถึงความสามารถบนเตียงอันแสนเผ็ดร้อนได้แต่เฝ้ารอวันที่จะสามารถหลับนอนกับคนงามได้สักที



โม่ลี่ใช้ชีวิตอย่างเงียบเชียบเก็บตัวไม่สุงสิงกับใครนอกจากเสี่ยวเถาที่คอยเฝ้าดูแลเขาด้วยน้ำใสใจจริง เมื่อไม่มีใครก็มักแอบฝึกวิชาตามคัมภีร์ของข้าด้วยความขยันขันแข็งเป็นอย่างยิ่ง แม้วันเวลาผ่านไปหลายวันคนก็ยังคงสงบเยือกเย็นไม่แสดงอาการสับสนร้อนรนให้เห็นเลยสักนิด อาจเป็นเพราะข้าเปรียบเสมือนฟางเส้นหนึ่งที่ลอยผ่านคนจมน้ำกระมัง ยามนั้นสามารถช่วยเหลือให้เขาพ้นความตายพ้นวิกฤติมาได้ ยามนี้เขาย่อมนับถือเชื่อฟังคำพูดข้าเป็นอย่างดี ด้วยหวังเพียงว่าวันหนึ่งชีวิตคงหลุดพ้นจากการขายเรือนร่างให้บริการผู้คนเสียที โม่ลี่คนเดิมผู้อ่อนแอเศร้าหมองคงตายจากไปในคืนนั้นแล้ว จากนี้มีเพียงโม่ลี่คนใหม่ที่เข้มแข็งยิ่งกว่าเดิม



เฮ่อยวนเงียบหายไปจนไม่ได้ข่าวคราวอยู่หลายวัน ความจริงแล้วแผนการเช่นนี้คล้ายเล่นกับความรู้สึกนึกคิดของท่านอยู่ไม่น้อย หากเขาคิดแค้นฝังใจจนใช้อำนาจบีบบังคับให้หอวาดจันทร์ขายโม่ลี่ไปยังหอคณิกาชั้นล่าง เรื่องราวย่อมพลิกผันไปในทางที่เลวเป็นแน่แท้ แต่จากการที่เขายังคงเงียบหายมิออกมาโวยวายหาเรื่องหาราวผู้คนเช่นนี้ย่อมเป็นสัญญาณอันดีเข้าแล้ว



ผ่านไปได้เจ็ดวันเจ็ดคืนก็สมควรแก่เวลาตามที่ข้าคาดการณ์เอาไว้แล้ว คืนวันที่แปดเฮ่อยวนบุกเข้ามาในหอวาดจันทร์ด้วยความเอิกเกริกเป็นอย่างยิ่ง คนบุกเข้ามาจนถึงห้องพักส่วนตัวของโม่ลี่แต่กลับถูกเสี่ยวเถาขวางเอาไว้ที่หน้าประตูเสียก่อน เสียงของเจ้าเด็กน้อยยังดังแว่วผ่านลอดเข้ามาในประตู “โม่เกอไม่รับแขก หากท่านอยากพบเขาต้องนัดหมายล่วงหน้ามิใช่ว่าอยากจะบุกเข้ามาก็บุกเข้ามาได้”



“เป็นเพียงชายขายตัวยังจะเรื่องมากอีกหรือ บิดาคิดอยากมาเยี่ยมเยือนก็ถือว่ามีเมตตาต่อเขาเท่าใดแล้ว” เฮ่อยวนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเดือดดาล สายตาที่มองมาราวกับอยากหักคอเด็กชายตัวเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มผู้นี้แล้วจับตุ๋นทำน้ำแกงเสีย ข้าที่ชะโงกตัวออกไปดูพอดีจึงเห็นเขาควักตั๋วเงินขึ้นมาใบหนึ่งแล้วยัดใส่มือของเสี่ยวเถาด้วยท่าทางก้าวร้าวเป็นอย่างยิ่ง “คืนนี้ข้าซื้อตัวโม่ลี่แล้ว หากเงินเท่านี้ไม่พอก็บอกจี้โหย่วเผิงให้ไปเบิกเงินมาเพิ่ม”



กล่าวจบเขาก็โยนร่างของเสี่ยวเถาที่ขวางทางอยู่ไปให้องครักษ์นามจี้โหย่วเผิง เฮ่อยวนกระแทกเท้าเดินเข้ามาในห้องก่อนกระแทกแตกประตูปิดลงกลอนอย่างดุร้าย ไม่สนใจเสียงร้องโวยวายเบื้องนอกเลยสักนิด เมื่อหันกลับมาอีกครั้งหน้าตาถมึงทึงเต็มไปด้วยโทสะของเขาถึงกลับชะงักไปอยู่บ้าง เพราะเห็นคนงามร่างสูงเพรียวยืนอยู่เบื้องหน้า กลีบปากอิ่มแดงขขยับแย้มยิ้มหวานเชื่อมมองแล้วงดงามนุ่มนวลเป็นอย่างยิ่ง



คนงามที่ว่าไหนเลยจะเป็นคนงามตัวจริง หากเป็นเยี่ยอู๋จวินยึดครองร่างเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่รอให้ผู้คนเปิดปากเอ่ยวาจาให้มากความ ข้าก็ใช้แขนทั้งสองข้างรั้งลำคอของอีกฝ่ายลงมาก่อนจะประกบจุมพิตเข้าหาเขาเสียจนแนบชิด ผิงอ๋องยังไม่ทันได้ตั้งตัวย่อมทำให้เป็นรองอยู่มาก ข้าใช้ริมฝีปากขบเม้มสลับดูดดุนกลีบปากล่างของผิงอ๋องออดอ้อนซ้ำไปซ้ำมาราวกับตนเองเป็นสุนัขที่ร้องขอความเมตตาจากผู้เป็นเจ้าของ จากนั้นจึงไล้เลียตามช่องว่างเล็กและใช้ปลายลิ้นแซะแทรกเข้าไปในโพรงปากร้อน



เมื่อสอดแทรกเข้าไปภายในตวัดกดปลายลิ้นกวาดเลียไปตามแนวฟันอย่างอุกอาจห้าวหาญ เฮ่อยวนที่มีสตินึกคิดขึ้นมาก็ขบกัดเรียวลิ้นเสียเต็มแรงจนหยาดโลหิตหลั่งริน ข้าหัวเราะในลำคอปล่อยให้เขาได้ทำตามใจประสงค์ หากมือกลับกดรั้งท้ายทอยผู้อื่นให้ริมฝีปากบดเบียดได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ข้าตวัดลิ้นให้รสคาวฝาดเลือดแพร่กระจายไปทั่วแล้วค่อยเกี่ยวพันหยอกล้อกับอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ



อ๋องแปดผู้รักสงบชื่นชอบการเสพสุขถูกกระตุ้นรุกล้ำมากเข้าย่อมถูกแรงตัณหาชักจูงไปอย่างง่ายดาย ทั้งเขาและข้าต่างใช้เรียวลิ้นฟาดฟันเอาชนะคะคานกันอย่างไม่มีใครยอมแพ้ใคร ผ่านไปอีกครู่หนึ่งค่อยถอนริมฝีปากออกมาอย่างเชื่องช้า ข้าแนบจุมพิตซับหยดน้ำสีที่มุมปากของเขาอย่างแผ่วเบา



“บ่าวนึกว่าท่านแปดจะไม่มาหาบ่าวอีกแล้ว บ่าวคิดถึงท่านยิ่งนัก” โม่ลี่ที่ควบคุมร่างของตนได้ครึ่งหนึ่งบีบน้ำตาออกมาสองหยดแล้วพูดด้วยท่าทางน่ารักน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง ปลายนิ้วเรียวลากไล่ไปตามกรอบหน้าคมสันของผิงอ๋อง ในยามแรกนัยน์ตาดอกท้อคู่ฉ่ำน้ำยังเปล่งประกายวูบไหวบางอย่างออกมาให้เห็น แต่เพียงครู่หนึ่งกลับกลายเป็นความโกรธขึ้งอีกครั้ง



“ยังจะมีน้ำหน้ามาพูดอีกหรือ” เรียวคิ้วของท่านแปดกระตุกเข้าหากันแน่น เขาปัดมือของชายงามออกจนเกิดเสียงดังเพี๊ยะขึ้นมา เฮ่อยวนใช้มือหนาบีบปลายคางข้าเอาไว้แน่นจนเป็นรอยนิ้ว คราวนี้คนดูท่าจะโมโหเดือดดาลเข้าจริงๆ แล้ว “คืนนั้นเจ้าทำข้าได้เจ็บแสบยิ่งนัก หากคืนนี้หากมิได้เฆี่ยนตีสั่งสอนเจ้า อย่าได้เรียกบิดาว่าท่านแปดอีกต่อไปเลย”



“หากมิเรียกว่าท่านแปด...เรียกว่าที่รักแทนดีหรือไม่” น้ำเสียงหวานที่กล่าวออกไปนั้นเรียกได้ว่าจริงใจเสียจนมองไม่เห็นว่าล้อกันเล่น ข้ามิรอให้ผิงอ๋องคว้าแซ่หนังที่ข้างเอวของเข้ามาสะบัดเฆี่ยนตีกันก็ใช้แรงกดร่างให้แผ่นหลังแข็งแกร่งแนบชิดกับบานประตู ใต้หล้านี้มีเพียงไป๋เจี๋ยใช้แส้ตีข้าคนเดียวก็เพียงพอแล้ว หากผู้อื่นคิดอยากตีบ้างจงหันบั้นท้ายมาให้ข้าเฆี่ยนตีแทนเสียเถิด



“ที่รักมารดาเจ้าสิ!” เฮ่อยวนด่าออกมาได้ประโยคหนึ่งแส้หนังกลับถูกข้าโยนทิ้งไปไกล ซ้ำข้อมือยังถูกตรึงไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อนได้อีกครั้ง นัยน์ตาคู่วาวน้ำเบิกกว้างขึ้นเมื่อรู้ตนว่าวันนี้คงพลาดท่าเหมือนกับวันก่อน พอจะเอ่ยปากบริภาษกลับถูกข้าดึงรั้งกางเกงออกไปเสียก่อน



“นายท่านร้อนผ่าวถึงเพียงนี้ ให้บ่าวช่วยทำให้ท่านสบายตัวเถิด” กล่าวจบมือเรียวสวยภายใต้การควบคุมของผู้แซ่เยี่ยก็รวบเข้ากับท่อนเนื้อที่เริ่มตื่นจากหลับใหลเสียแล้ว ข้าขยับมือสาวรูดเพียงไม่กี่ครั้งแท่งหยกพลันแข็งขืนเต็มสิบส่วน ผิงอ๋องครวญในลำคอแผ่วเบา หัวคิ้วขมวดแน่นด้วยความรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก



ข้าไม่รั้งรอให้ผู้คนเสร็จสมสบายตัวตามที่ว่าไว้ หากกลับปลดกางเกงตนเองออกและยกรั้งขาข้างหนึ่งของเฮ่อยวนขึ้นมา คราวก่อนที่ถูกย่ำยีผิงอ๋องทั้งเมามายด้วยฤทธิ์สุราทั้งถูกเตรียมพร้อมขยับขยายเสียจนทั้งร่างกระสันการถูกเติมเต็ม มาคราวนี้ลองให้ผู้คนมีสติรับรู้เต็มที่ขณะถูกกระทำคงรู้สึกอัปยศกว่าเดิมเป็นแน่



“เจ้าจะทำอะไร อ๊า! ” ท่านแปดหลุดร้องออกมาเมื่อข้ากระทั้นร่างเข้าไปในช่องทางของเขาเต็มแรง หน้าตาหล่อเหลาเต็มไปด้วยความทรมานจากความรู้สึกเจ็บเสียดราวทั้งร่างถูกแยกออกจากกันเป็นสองซีก เขาสูดลมหายใจลึกร่างกายสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ แต่เมื่อเริ่มขยับเสียดสีกับรอยจีบในผนังอ่อนมากเข้าคนก็เปลี่ยนเสียงร้องทรมานกลายเป็นเสียงครวญครางไปเสียแล้ว



ข้าช้อนเข่าทั้งสองข้างของอ๋องแปดให้ขนาบกับข้างเอวตนเองไว้ ส่วนมือก็ขยับไปยึดที่แข็งแกร่งเพื่อให้สามารถสอดแทรกกายเข้าไปย่ำยีภายในได้ถนัดกว่าเดิม ท่วงท่าเช่นนี้ยิ่งทำให้แท่งหยกอันร้อนผ่าวแข็งเกร็งกดลึกเข้าไปในช่องทางรักได้มากยิ่งขึ้น เฮ่อยวนไหนเลยจะปากมากด่าทอผู้คนได้อีก ยามนี้ไม่ต้องตรึงข้อมือเอาไว้อีกต่อไป เพราะเขากลับเป็นฝ่ายยกแขนมาโอบรั้งรอบลำคอระหงของโม่ลี่เอาไว้ด้วยตัวเอง



ภายในห้องมีเพียงเสียงเสื้อผ้าเสียดสีและเสียงเนื้อกระทบกันเป็นจังหวะหยาบโลนลามกเป็นอย่างยิ่ง ข้าใช้ร่างของโม่ลี่ร่วมรักกับเขาอย่างรุนแรงเสียจนเฮ่อยวนปลดปล่อยออกมาที่หน้าประตูครั้งหนึ่งแล้วขยับไปกระแทกกระทั้นกันบนเตียงจนสุขสมอีกครั้งหนึ่ง เมื่อช่วยเช็ดทำความสะอาดร่างกายผู้คนจนเรียบร้อยก็ให้เจ้าของร่างนอนตระกองกอดนายท่านแปด พอยามเช้าค่อยเรียกจี้โหย่วเผิงมารับคนกลับไป



สองวันต่อมาเฮ่อยวนยังคงบุกเข้ามาด้วยความรู้สึกเดือดดาลอาละวาดอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยถูกกระทำย่ำยีอีกครั้งจนร้องครางกระเส่าไม่เป็นภาษา ครั้งที่สามเรื่องราวยังคงเป็นไปในลู่ทางเช่นเดิม จนกระทั่งถึงครั้งที่สี่ข้าก็ไม่ต้องใช้เรี่ยวแรงข่มเหงผู้คนอื่นต่อไป เหตุเพราะคนยินยอมพลีกายให้โม่ลี่ได้เชยชมด้วยความเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง ซ้ำเมื่อทำรักได้อ่อนโยนเกินไปไม่รุนแรงไม่ถึงใจ ยังมีเสียงบริภาษตามมาเสียอีก...เกรงว่าพยศใดทั้งหมดของผิงอ๋องจะถูกปราบลงเสียหมดแล้ว



หลังจากนั้นผิงอ๋องเทียวมาเทียวไปหอวาดจันทร์ค้างอ้างแรมอยู่กับชายงามคนเดียวอยู่นับเดือน กระทั่งเถ้าแก่ยังเกรงใจไม่กล้าขายร่างเขาให้ชายอื่นได้เชยชม กลายเป็นคำเลื่องลือว่าลีลารักบนเตียงของโม่ลี่เก่งกาจสามารถเสียจนปราบปรามท่านแปดได้อยู่หมัด ยามมีใครถามถึงเคล็ดลับบนเตียงคนงามก็แสร้งหลุบตามองตำราสอนรักผลงานของปรมาจารย์วังวสันต์เยี่ยอู๋จวินที่วางเอาไว้เห็นในห้อง จนได้ยินเสียงพูดคุยกันว่าว่ายามนี้ตำราสอนรักของข้าบนแผ่นดินจิ่วโจวขาดตลาดไปเสียแล้ว เรียกได้ว่าจากที่โด่งดังอยู่บ้างกลายเป็นหนังสือหายาก เพราะเหล่าคณิกาต่างเฟ้นหาเพื่อนำมาเรียนรู้วิธีมัดใจชาย...โม่ลี่ช่างกตัญญูดีแท้



ท่านแปดที่ออกอาละวาดทำร้ายคณิกาชายไปหลายคนก็จบสิ้นปิดตำนานไปเช่นนี้เอง หากความตั้งใจของข้าที่คิดช่วยเหลือโม่ลี่ให้ถึงที่สุดรวมถึงความไว้เนื้อเชื่อใจที่เขามอบให้ คนสกุลเยี่ยจึงมิอาจปล่อยทิ้งเขาเอาไว้กลางคันได้ อีกทั้งพลังหยางอันล้นเหลือของผิงอ๋องก็ช่วยทำให้พลังฝึกปรือของข้าก้าวหน้าขึ้นมาไม่น้อย จะรั้งไปอีกพักหนึ่งคงไม่เป็นปัญหาอันใดกระมัง



ความสัมพันธ์ของโม่ลี่และผิงอ๋องพัฒนาไปได้อย่างดียิ่ง จนข้านึกสงสัยขึ้นมาว่าคนที่หวั่นไหวได้กับผู้คนที่ทำร้ายย่ำยีตนเอง จิตใจภายในคงผิดเพี้ยนไม่ผิดปรกติแล้วกระมังกระทั่งคืนหนึ่งเฮ่อยวนเข้ามาด้วยสีหน้าไม่ดีเท่าใดนัก ใบหน้าหล่อเหลาซีดเซียวเสียจนดูไม่ได้ยิ่งกว่าครั้งแรกที่ข้าใช้กำลังข่มเหงเขาเสียอีก วันนี้ผู้คนมิได้รั้งชายงามมาจุมพิตด้วยท่าทางเร่าร้อนเปี่ยมด้วยราคะ หากเขาเพียงลมตัวนอนลงบนตักของโม่ลี่ด้วยท่าทางเหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง



“เจ้าเคยคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของข้าหรือไม่” ท่านแปดผู้ความเป็นมาลึกลับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเบาหวิวราวเสียงลม เมื่อเห็นชายงามส่ายหน้าไปมาเชื่องช้าไปคำตอบก็พลันยิ้มออกมา เรื่องนี้โม่ลี่ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ แต่เป็นเพราะข้ามิได้บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของคนผู้นี้ให้เขาได้รับรู้ เรื่องเช่นนี้ให้เขาทั้งสองบอกเล่ากันเองมิดีกว่าหรือ



“ท่านแปดหรือก็คืออ๋องแปด ผิงอ๋องแห่งแคว้นจิ่วโจว ชื่อปลอมคาดเดาได้โดยง่ายเช่นนี้ เจ้ายังนึกไม่ถึงอีกหรือ” ผิงอ๋องกล่าวออกมาอย่างราบเรียบง่ายดายราวกับว่ามันมิใช่เรื่องใหญ่โตประการใด ดวงตาคู่งามของโม่ลี่เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนเขาจะแก้ตัวออกมาด้วยท่าทางน่ารักว่าตนเองเป็นเพียงคณิกาด้อยความรู้สติปัญญาต้อยต่ำ ไหนเลยจะรู้ได้ว่าท่านแปดคือผิงอ๋อง



เฮ่อยวนยันหัวเราะในลำคอด้วยท่าทีสุขุมนุ่มลึกต่างจากทุกที เขายันตัวขึ้นก่อนแนบจูบลงบนผิวแก้มเรียบเนียนของชายงาม สองแขนโอบกระชับเรือนร่างที่เริ่มแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน วาจาที่กล่าวออกมาไหนเลยจะมาจากท่านแปดผู้ดุร้ายผู้นั้นได้อีก “โม่ลี่...ข้าจะไถ่ตัวเจ้าไปเป็นผิงหวางเฟย”



“ให้ข้าได้อยู่กับเจ้าเถิด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายจนเกินไป เกรงว่าจากนี้ไปข้าคงเหลือเวลาไม่มากแล้วกระมัง”



ถ้อยคำของเฮ่อยวนช่างเหมือนคนป่วยเป็นโรคร้ายใกล้ถึงเวลาตายดีแท้ หากร่างของเขายังคงมีพลังหยางเต็มเปี่ยม นอกจากให้ข้าดูดซับแล้วก็มิได้มีพลังรั่วไหลออกไปเหมือนคนใกล้สิ้นชีพ วาจาแช่งตนเองเช่นนี้คงไม่เหมาะสมเท่าใดนักกระมัง หากเมื่อข้าก้มมองสายตาอ้างว้างแห้งแล้งต่างจากนัยน์ตาดอกท้อฉ่ำด้วยหยดน้ำก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมา



ในแคว้นจิ่วโจวนี้หากใครจะสามารถกำหนดความเป็นความตายของผิงอ๋องได้อย่างง่ายดาย...จะเป็นใครได้นอกจากคนที่อยู่ในวังหลวงผู้นั้น



โปรดติดตามตอนต่อไป...





ซินเอ๋อร์:

อะ อ้าววว ไหนร่าเริงกันได้ 3 ตอน พอร์นกันมาอีกตอนนิดๆ สุดท้ายถึงได้หักมาทรงนี้ได้หนอ 55555

ตอนนี้ท่านแปดก็โดนอีกแล้ววว เรื่องราวของคู่นี้น่าจะ 2-3 ตอนจะถึงบทสรุปนะคะ จริงๆ อยากเขียนแนวผัวออกสาวมานานแล้ว เขียนไปเขียนมาก็คิดว่าโม่ลี่นี่ก็แนวผัวออกสาวอยู่เหมือนกันนะ จริตมารยาใช้ได้เลย รู้สึกว่าคู่นี้จริงๆ ก็มีอะไรบางอย่างน่ารักดี (มั้ง)

ช่วงนี้ก็ยังคงยุ่งเหมือนเดิมค่ะ ยุ่งจนแบบ ไม่ไหวแล้ววว ทำไมชีวิตมันยากนัก เลยแอบเทมาเขียนนิยายหนีความจริง อยากเขียนให้ได้วันละตอนจัง อาจตายก่อนได้ เพราะไม่ได้นอน ฉะนั้นแล้วเพื่อสุขภาพของคนเขียน ขอสัปดาห์ละตอนเหมือนเดิมแล้วกันน้าาา ถ้าหายไปโปรดรู้ไว้ว่าโดนการบ้านและงานทับตายไปแล้วค่า

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะะ พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

ปล. มีแฮชแท็กในทวิตด้วยนะคะ #ผีลามกบัดซบจริงๆ ถึงจะเล่นคนเดียวก็จะเล่น แง้
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 22 คห. 85 [P.3,2-12-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-12-2019 19:09:08
 :katai2-1: o13 :katai2-1:




 :กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 22 คห. 85 [P.3,2-12-19]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 03-12-2019 09:07:56
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 22 คห. 85 [P.3,2-12-19]
เริ่มหัวข้อโดย: yaoigirl ที่ 05-12-2019 12:19:57
 :katai2-1:รอตอนต่อไป จ้า
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 23 คห. 89 [P.3,6-12-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 06-12-2019 18:39:56
เมื่อเป็นขยะไร้ค่าต้องใช้การไม่ได้ให้ถึงที่สุด



เมืองหลวงแคว้นจิ่วโจวยามนี้มีข่าวใหญ่โตด้วยกันถึงสองเรื่อง ที่แปลกประหลาดคือทั้งสองเรื่องล้วนแต่เป็นเรื่องราวของคนผู้หนึ่งซึ่งมิเคยอยู่ในสายตาของผู้ใดมาก่อนนานกว่าสิบปี คนผู้นั้นคือผิงอ๋องผู้เก็บตัวเงียบอยู่ในจวนที่ฝั่งทิศตะวันตกของเมืองตั้งแต่ยามที่สกุลซูของฝั่งมารดาถูกประหารหลังก่อกบฏหวังแย่งชิงบัลลังก์ให้องค์ชายสามเฮ่อเหว่ย อ๋องแปดเหมือนไม่มีตัวตนอยู่ในเมืองนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร หากปรากฏตัวครานี้กับสร้างความสะเทือนเลื่อนลั่นเป็นอย่างยิ่ง



เริ่มจากวันหนึ่งสุ่ยเต๋อฮ่องเต้เรียกเขาเข้าพบในท้องพระโรงพร้อมขุนนางผู้มีตำแหน่งสูงศักดิ์ในราชสำนัก เขามิเคยออกนอกจวนมาให้ผู้ใดยลโฉมย่อมทำให้ผู้คนแตกตื่นยามเห็นหน้าตาหล่อเหลาโดดเด่นสะดุดตา เฮ่อยวนได้รับพระราชโองการแต่งตั้งให้เข้าไปทำงานกรมโยธาแทนเหวินกั๋วกงที่เพิ่งสิ้นใจตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บเมื่อเดือนก่อน แม้ไม่ได้อวยยศให้คนอย่างเป็นทางการ แต่บรรดาขุนนางที่รายรอบล้วนรู้ดีว่าจากนี้ผิงอ๋องคงมีหน้ามีตาขึ้นบ้างแล้ว จากวันนี้ไปคงต้องประจบเอาใจคนให้มากเสียหน่อย ผู้ใดที่ยังมีบุตรสาวงดงามถึงคราวออกเรือนก็เริ่มคิดคำนวณในใจ เป็นอนุก็ดี เป็นเช่อเฟยก็ดี เป็นหวางเฟยยิ่งดี หากได้แต่งเข้าจวนผิงอ๋องย่อมนับว่ามีโชคลาภใหญ่โตแล้ว



เฮ่อยวนได้รับตำแหน่งคราวนี้ แต่ละคนต่างวาดฝันไปใหญ่โต ใครจะไปรู้เล่าว่าจักรพรรดิเพิ่งออกคำสั่งให้คนไปดูแลการซ่อมแซมเขื่อนกั้นน้ำทางทิศตะวันตกก่อนถึงฤดูน้ำหลาก ท่านอ๋องผู้รักสงบกลับก่อเรื่องก่อราวเสียก่อน คนคุกเข่าลงกับพื้นหน้าพระที่นั่งเสียงดังตึง จากนั้นใบหน้าหล่อเหลาก็เริ่มบูดเบี้ยวจนเสียสภาพ



คนน้ำหูน้ำตาไหลรินร้องไห้สะอึกสะอื้นปานจะขาดใจตาย ปากร้องคำหนึ่งว่าเสด็จพี่ผู้แสนดี อีกคำหนึ่งว่าฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์ เขาเกิดมาเป็นขยะไร้ค่าไร้ความสามารถไร้การอบรมสั่งสอนสติปัญญาอ่อนด้อยเขียนอ่านไม่แตกฉานร่างกายอ่อนแอรู้จักแต่เสพสุขซ้ำยังชอบสูบฝิ่น ไหนเลยจะสามารถรับราชการรับผิดชอบเรื่องราวต่างๆ ได้ หากส่งไปซ่อมแซมเขื่อนคงได้ตายเพราะความยากลำบากเป็นแน่



ได้ยินได้เห็นสภาพเช่นนั้นของเฮ่อยวนเข้า ไหนเลยสุ่ยเต๋อฮ่องเต้จะสามารถยั้งอารมณ์อยู่ได้ เขาปาจอกน้ำชาในมือใส่อีกฝ่ายแล้วยังไม่พอใจ จึงคว้าแท่นหมึกจากขุนนางผู้มีหน้าที่จดบันทึกประวัติศาสตร์ที่นั่งงุนงงไม่รู้จะบันทึกเรื่องราวของผิงอ๋องอย่างไรดีแล้วขว้างแท่นหมึกใส่ร่างที่คุดคู้อยู่บนพื้นด้วยความเดือดดาล จนน้ำหมึกสาดกระจายเปื้อนเลอะเสื้อผ้าอาภรณ์ผ้าไหมที่ตัดเย็บมาอย่างดีเสียสิ้น ท่ามกลางเสียงร้องฝ่าบาทระงับโทสะด้วย เจ้าตัวน่าตายที่ก่อเรื่องก็ถูกผู้คนหามออกไป



เรื่องใหญ่โตเรื่องแรกเพิ่งเล่าลือไปทั่วเมืองหลวงตั้งแต่เหนือจรดใต้ตั้งแต่ตะวันออกจรดตะวันตก สร้างความขบขันให้กับผู้คนไปทั่ว ยังไม่ทันที่เหล่าเด็กน้อยจะได้แต่งเพลงมาร้องล้อเลียน ผิงอ๋องก็ก่อเรื่องต่อมาเสียก่อน



นับจากวันที่เรียกเข้าเฝ้ารอบก่อนได้สิบวัน คราวนี้เฮ่อยวนถูกเรียกตัวเข้าวังอีกครั้งที่หน้าพระที่นั่งท่ามกลางขุนนางใหญ่เช่นเคย สุ่ยเต๋อฮ่องเต้ใช้เวลาหลายวันคิดไตร่ตรองหาเหตุผลว่าเหตุใดอ๋องแปดจึงทำตัวออกนอกลู่นอกทางได้เช่นนี้ ก็ได้คำตอบว่าเป็นเพราะชีวิตที่ผ่านมาของผิงอ๋องล้วนถูกปล่อยปละละเลย ไม่มีใครสนใจดูแล ทำให้เขาได้แต่ใช้ชีวิตไปวันๆ คราวนี้หากหาสตรีสักคนมาคอยดูแลให้กำลังใจ เขาย่อมกลายเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้แน่



ม้วนภาพคุณหนูสกุลใหญ่ผู้มีกิริยามารยาทเรียบร้อยนิสัยอ่อนโยนดีงามล้วนถูกกางออกให้ผิงอ๋องได้ยลโฉม สุ่ยเต๋อฮ่องเต้กล่าวว่าหากรักชอบถูกใจแม่นางคนใดจะมอบสมรสพระราชทานให้ตามใจหวัง ยามนี้ขุนนางที่ยังมีบุตรสาวมิได้ออกเรือไหนจะตื่นเต้นยินดีเหมือนหลายวันก่อน ต่างคนต่างคิดว่าอย่าให้อ๋องแปดเลือกบุตรสาวของตนเลยพร้อมกับสาปแช่งให้ลูกสาวศัตรูเป็นฝ่ายถูกเลือก คนยังมิได้เหลือบมองรูปภาพพวกนั้นด้วยซ้ำกลับกระแทกตัวคุกเข่ากับพื้นเสียงดังตึง ผู้คนที่อยู่รอบข้างทั้งขุนนางก็ดี ขันทีก็ดี องครักษ์ก็ดี ได้แต่มองหน้ากันด้วยความระทึกใจว่าคราวนี้ท่านอ๋องผู้รักสงบจะพ่นวาจาอันน่าตื่นตะลึงอันใดออกมาอีก



“ข้าเป็นต้วนซิ่ว รักชอบบุรุษได้เพียงเท่านั้น ไหนเลยจะแต่งงานกับสตรีได้” เฮ่อยวนประกาศด้วยน้ำเสียงกึกก้องฟังแล้วดูห้าวหาญ ยามเรื่องนี้เล่าขานกันต่อไป ถ้อยคำนี้ถูกถ่ายทอดว่าเป็นคำพูดที่องอาจที่สุดในชีวิตของผิงอ๋องแล้ว สุ่ยเต๋อฮ่องเต้ถูกฉีกหน้าท่ามกลางผู้คนเช่นนั้นย่อมเกิดความรู้สึกโมโหเดือดดาลขึ้นมาอีกครั้ง แต่อ๋องแปดกลับยังไม่หยุดยั่วโทสะฝ่าบาทไม่รู้คนว่าไปกินดีหมีหัวใจเสือจากที่ใดมากันแน่



“ข้าเฮ่อยวนมีคนที่ปักใจรักลึกซึ้งอยากแต่งเขามาเป็นหวางเฟยชายของจวนผิงอ๋อง ขอให้ฝ่าบาทโปรดเมตตาด้วย” เขาโขกศีรษะกับพื้นร้องขอความเมตตามองแล้วน่าสงสารอยู่ไม่น้อย นัยน์ตาดอกท้อทั้งคู่แดงก่ำด้วยเส้นเลือดราวหยดน้ำตาจะกลั่นตัวออกมาอยู่ได้ทุกเมื่อ แคว้นจิ่วโจวแม้ไม่ได้มีกฎเกณฑ์เคร่งครัด หลายจวนมีชายบำเรอมีอนุชายให้เห็นกันมากมาย กระทั่งอดีตฮ่องเต้ยังเคยแต่งตั้งบุรุษเป็นสนมเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่เคยถึงขั้นแต่งเป็นภริยาเอก เป็นหวางเฟย หรือเป็นฮองเฮามาก่อน



ผิงอ๋องนับว่าเป็นชายรูปงามยามนี้มาคุกเข่าทำท่าคล้ายจะร่ำไห้ย่อมทำให้ผู้คนรู้สึกเวทนา ฮ่องเต้ผู้ปกครองแคว้นจิ่วโจวถอนหายใจก่อนเอ่ยถามราวปลงใจแล้วหลายส่วนว่า “เป็นบุตรบ้านใดเล่า”



เฮ่อยวนเงยหน้าขึ้นพลางริมฝีปากหยักแย้มยิ้มเบาบาง สองตาเปล่งประกายราวดวงดารา อากัปกิริยาคล้ายผู้ตกอยู่ในห้วงรักยากเกินถอนตัว “เป็นยอดคณิกานามโม่ลี่จากหอวาดจันทร์พ่ะย่ะค่ะ”



สิ้นเสียงของเฮ่อยวนภายในท้องพระโรงที่ว่าราชการก็ปรากฏแต่ความเงียบงัน หอวาดจันทร์เป็นสถานที่อย่างไรผู้คนล้วนรู้จักกันดี ผิงอ๋องนับว่าน่านับถือในใจอาจหาญที่มุ่งมั่นในทางสารเลวยิ่งนัก เป็นอ๋องลอยชายไม่เอาการเอางานไม่พอ มีใจชื่นชมบุรุษมิอาจแต่งสตรีได้ก็ยังไม่พอ คนในดวงใจที่ว่ายังเป็นชายงามที่ขายเรือนร่างแลกเงินไปเสียได้ จิตใจมั่นคงเช่นนี้มิรู้ว่าถือกำเนิดมาในราชวงศ์ได้อย่างไร หากสกุลซูรู้ว่าทายาทที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวมีสภาพเป็นเช่นนี้ ถึงตายเป็นผีไปแล้วก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนดี



แต่ละคนต่างจมอยู่ในห้วงคิดของตนเอง ผ่านไปครู่หนึ่งคล้ายมีคนคิดสิ่งใดขึ้นมาได้และหลุดปากพึมพำออกมาแผ่วเบาว่า “มิใช่ว่าโม่ลี่ที่ผ่านมาขายเรือนร่างให้เพียงท่านแปดผู้เดียวหรอกหรือ หรือว่าท่านแปดผู้มากโลกีย์ชอบย่ำยีคณิกาชายผู้นั้นจะเป็น...” พูดยังไม่ทันได้จบประโยคก็มีมือยื่นมาปิดปากขุนนางหนุ่มปากเปราะเสียก่อน หากยังรักชีวิตก็อย่าได้กล่าวออกมาจนครบถ้วนใจความเลย หัดอ่านสีหน้าบ้างเถิดว่ายามนี้พระพักตร์ของฝ่าบาทเครียดขึ้งปานใด



มือเรียวของจักรพรรดิขว้างจอกน้ำชาที่ใกล้มือใส่ผิงอ๋องเสียจนแก้วกระเบื้องแตกกระจาย ขุนนางผู้มีหน้าที่จดบันทึกขยับเลื่อนแท่นหมึกไปใกล้มือของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้มากขึ้นหวังให้ฝ่าบาทคว้าได้รวดเร็วทันใจ วันนี้อ๋องแปดใส่ชุดสีดำคล้ายเตรียมใจมาแล้วว่าหากถูกคว้าหมึกใส่อีกครั้งคงไม่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนเหมือนคราวก่อนเป็นแน่ แต่คราวนี้สิ่งที่คว้าขึ้นมาได้กลับไม่ใช่แท่นหมึก แต่กลับเป็นแส้ม้าอันหนึ่งขององครักษ์ข้างกาย เฮ่อฉีฟาดแส้ในมือใส่น้องชายร่วมบิดาเสียจนเต็มแรง คราวนี้กระทั่งเสียงห้ามสักคำของเหล่าขุนนางก็ไม่มี คงกลัวว่าเป้าหมายของแส้จะเปลี่ยนมาเป็นตนเองกระมัง



เฮ่อยวนถูกเฆี่ยนตีอยู่หลายนานเกือบชั่วยามก็ถูกหามออกไปด้วยสภาพเนื้อตัวแตกเลือดซิบ หากคนคงกลัวว่าเรื่องราวในวันนี้คงไม่เอิกเกริกพอกระมัง ยามที่เขาถูกพากลับจวนพลันเป็นจังหวะเดียวกับที่เกี้ยวแดงใหญ่โตคล้ายเกี้ยวเจ้าสาวเคลื่อนขบวนมาถึงจวนผิงอ๋องพอดี หน้าขบวนคือใบหน้าเฉยชาของจี้โหย่วเผิงองครักษ์ประจำกายที่ยังคงไร้ซึ่งอารมณ์เหมือนทุกที ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ผู้คนมากมายก็หายเข้าไปหลังกำแพงเสียหมด เหลือแต่ข่าวซุบซิบจากชาวบ้านรอบข้างที่ร่วมกันเป็นสักขีพยาน ครั้นข่าวคราวจากท้องพระโรงวันนี้ร่ำลือออกมากอปรกับข่าวจากภายนอก ข้อสรุปในวันนี้ก็มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น



มิทราบว่าอ๋องแปดไปสืบมาจากที่ใดว่าสุ่ยเต๋อฮ่องเต้วางแผนจัดงานวิวาห์ให้กับเขา ยามเช้าคนเข้าวังไปเข้าเฝ้าตามคำสั่ง แต่อีกทางหนึ่งกลับให้คนแซ่จี้ขนเงินหลายหมื่นตำลึงพร้อมไข่มุกอีกหลายสิบหีบไปไถ่ถอนตัวโม่ลี่กลับมา ซ้ำยังจัดเกี้ยวจัดขบวนใหญ่โตราวกับแต่งหวางเฟย คราวนี้หากโอรสสวรรค์คิดอยากลงมือกำจัดชายงามผู้นั้นก็คงไม่ทันการเสียแล้ว โม่ลี่ย้ายตนเข้าจวนผิงอ๋องไปเรียบร้อย ต่อให้มีอำนาจมากมายเพียงใดในเมื่อเขามิได้กระทำสิ่งใดสั่นคลอนบัลลังก์นอกจากยั่วยวนผู้คน ไหนเลยจะไปกระชากคนมาจัดการสิ่งใดได้อีก



ภายหลังได้ยินว่าสุ่ยเต๋อฮ่องเต้กริ้วหนักถึงขั้นล้มลงไปด้วยลมโทสะ ต้องให้หมอหลวงหลายคนมาฝังเข็มช่วยนวดศีรษะนวดหัวใจอยู่เป็นช่วงยามถึงจะสงบสติอารมณ์ได้ ค่ำวันนั้นฮ่องเต้ส่งหมอหลวงมาให้ทำการรักษาบาดแผลผู้คน พร้อมเกากงกงขันทีคู่กายมามอบราชโองการซึ่งมีเนื้อหาเป็นการตักเตือนว่าโม่ลี่นับว่าเป็นนางโลมย่อมมิสามารถนำออกมาเชิดหน้าชูตาได้ จะกระทำการสิ่งใดอย่าให้ออกนอกหน้าไปนัก ตัวเขาที่เป็นพี่ชายทั้งเจ็บปวดใจทั้งสงสารอ๋องแปดยิ่งนัก จี้โหย่วเผิงที่มารับราชโองการแทนผู้เป็นนายที่บาดเจ็บลุกไม่ขึ้นก็ทำไปตามหน้าที่แล้วกลับไปถ่ายทอดเนื้อความให้เฮ่อยวนฟังด้วยสีหน้าราบเรียบดังเดิม หากแววตาที่มองไปยังผิงอ๋องกลับมีระลอกคลื่นคล้ายห่วงใยอยู่ไม่น้อย



ผู้อื่นห่วงใยมีหรือจะสู้คนในดวงใจห่วงใย ผิงอ๋องยามนี้นอนคว่ำหน้าให้คนทายาทำแผล คางเกยอยู่บนตักคนงามที่นั่งสะอึกสะอื้นข้างแก้มมีน้ำตาไหลสองสายคอยบีบมือปลอบโยนให้กำลังใจราวภรรยาแสนดีคอยอยู่เคียงข้างสามีในวันทุกข์ยาก หากใครจะคาดคิดเล่าว่าเวลาอยู่สองต่อสองในห้องหอบนเตียงบทบาทหน้าที่ของทั้งสองนั้นสลับกันสิ้นเชิง ความห้าวหาญของเฮ่อยวนก็มีเพียงแค่ยามครวญครางหวีดร้องด่าทอว่าเรี่ยวแรงไปไหนหมดไยเจ้าไม่กระแทกแรงขึ้นเท่านั้นกระมัง



เรื่องราวใหญ่โตแสนตลกขบขันที่ว่าไหนเลยจะเป็นความโง่งมเป็นเรื่องบังเอิญ หากแต่ล้วนเป็นละครสร้างชื่อเสียงฉาวโฉ่ด้วยความตั้งใจของผู้คนทั้งสิ้น เหตุการณ์แรกเป็นความคิดของผิงอ๋องที่หวังทำลายชื่อเสียงของตนเองเพื่อไม่ให้วันหน้าถูกเรียกใช้งานได้อีก ส่วนเหตุการณ์ที่สองต้นคิดย่อมเป็นข้าผู้นี้เอง



หลังจากทำเป็นอ่อนแอจนถูกหมึกสาดใส่ เฮ่อยวนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็พุ่งตรงมาหาโม่ลี่ด้วยท่าทางอ่อนล้าดั่งที่ข้าเคยเล่าไปแล้วเมื่อก่อนหน้านั้น ครั้นได้ฟังถ้อยคำราวไม้ใกล้ฝั่งของผิงอ๋อง ด้วยความสงสัยจึงทำให้ข้ายอมปรากฏตัวเพื่อสอบถามเรื่องราวจากเขาว่าเกิดสิ่งใดขึ้น จากความทรงจำเมื่อปีก่อนที่เคยได้คลุกคลีกับสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ โอรสสวรรค์ผู้นี้มิได้จิตใจดีงามดั่งพระโพธิสัตว์แต่ก็มิใช่คนจิตใจเหี้ยมโหดคิดกำจัดพี่น้องให้พ้นทาง อีกทั้งยามนี้บัลลังก์มังกรมั่นคงดีแล้ว เหตุใดอ๋องลอยชายเช่นอ๋องแปดจึงต้องมาระแวงโทษตายอีก



แรกเริ่มผิงอ๋องย่อมตกใจในการปรากฏตัวของข้า รอพักหนึ่งเมื่อสงบลงได้บ้างค่อยอธิบายบอกเล่าเรื่องสำคัญบางอย่างเช่นว่า ก่อนตายข้าเคยเป็นราชครูรับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ ยามเป็นผีเคยได้ช่วยชีวิตโม่ลี่ที่ตั้งใจฆ่าตัวตายเอาไว้ ส่วนเรื่องที่ข้าได้ใช้ร่างชายงามกระทำย่ำยีเขาต้องละเว้นไปเป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว ผิงอ๋องมิเคยเข้าวังรับราชการจึงมิเคยเห็นหน้าตาราชครูมาก่อน แต่ก็เคยได้ยินอยู่ว่าเมื่อแปดเดือนก่อนราชครูแซ่เยี่ยอู๋จวินได้สิ้นใจตายในวังหลวง



จากนั้นอีกฝ่ายจึงเริ่มเล่าให้ข้าฟังว่าแท้จริงแล้วแปดเดือนมานี้คล้ายเกิดอาเพศขึ้นมา เหล่าบรรดาอ๋องและขุนนางใหญ่ไม่ว่าจะเป็นแคว้นใต้อาณัติหรือในแคว้นจิ่วโจวล้วนทยอยตายไปกันทีละคนสองคน บ้างถูกฆ่า บ้างประสบเคราะห์ภัยแตกต่างกันออกไป แต่กว่าครึ่งกลับป่วยไข้ตายด้วยโรคประหลาด หมอหลวงพยายามรักษาสุดฝีมือเพียงใดกลับไม่สามารถรักษาให้คนรอดได้ ครั้นตรวจพิษแล้วก็ไม่พบว่าถูกวางยาแต่อย่างใด



เริ่มจากจวนรุ่ยชินอ๋องเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ในคืนหนึ่ง กว่าจะดับไฟได้กลับพบว่าอ๋องสี่สำลักควันตายในกองเพลิงเสียแล้ว ตามด้วยหลี่อ๋องที่พลัดหลงกับองครักษ์จนถูกฝูงหมาป่าขย้ำตาย ตวนอ๋องสำลักสุราระหว่างงานเลี้ยงแต่งงานของขุนนางหนุ่มคนหนึ่ง จับไข้ได้ไม่กี่วันก็สิ้นใจตาย อีกสองเดือนต่อมาไหวอ๋องผู้หลังกลับจากตรวจตรวจสอบคดีขุนนางชั่วและภาษีค้าเกลือทางทิศใต้พลันล้มป่วยลงอาการหนักยังรักษามิหาย



เวลาเพียงแปดเดือน...รุ่ยชินอ๋อง หลี่อ๋อง ตวนอ๋อง ซึ่งเคยคุ้นหน้าคุ้นตาเคยทักทายร่ำสุราในงานเลี้ยงอยู่หลายงาน ยามนี้มิมีใครเหลือรอดชีวิตล้วนตายตกกันไปหมดแล้ว ส่วนไหวอ๋องหรืออดีตองค์ชายเจ็ดยามนี้เจ็บไข้ได้ป่วยไร้เรี่ยวแรงได้แต่เก็บตัวอยู่ในจวน ใช้ยาล้ำค่าและสมุนไพรยื้ออาการไปวันต่อวัน เหล่าองค์ชายจากอดีตฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่รอดชีวิตมาจนเติบใหญ่ยามนี้เหลือเพียงผิงอ๋องและอ๋องสิบเอ็ดวัยสิบสี่ผู้ยังไม่มีราชทินนามที่ยังอยู่รอดดี



เรื่องราวมองแล้วมิน่าเกี่ยวข้องกัน แต่เฮ่อยวนผู้ถือตนเป็นคนนอกมาตลอดหลายปีย่อมจับสังเกตบางสิ่งได้ ก่อนตายได้หลายเดือนพี่ชายของเขาเหล่านั้นล้วนได้รับตำแหน่งหน้าที่สำคัญในแคว้นจิ่วโจว ถือได้ว่าเป็นคนหนุ่มที่ควรมีชีวิตเจริญก้าวหน้าใช้ชีวิตเสพสุขได้อย่างน้อยอีกยี่สิบสามสิบปี ผ่านไปไม่นานต่างประสบเคราะห์กรรมตายจากกันไปอย่างรวดเร็ว ครั้นผิงอ๋องถูกเรียกตัวเข้าเฝ้าในเวลาราชการจึงคาดเดาได้ว่าเวลาของตนคงใกล้มาถึงแล้ว โชคอันดีที่ว่าก่อนไฟจะไหม้จวนรุ่ยชินอ๋อง เขาเคยได้ยินข่าวคราวมาว่าพี่สี่เอาใจออกห่างฮ่องเต้ ชายหนุ่มจึงเริ่มทำตัวเหลวแหลกใช้ฉายาที่เปิดเผยตัวจริงไปครึ่งหนึ่งตระเวนเที่ยวคณิกาชาย หวังเป็นเพียงแจกันเป็นถุงฟางข้าวที่ไม่มีประโยชน์ ข้ออ้างที่นำไปกล่าวอ้างจึงฟังขึ้นอยู่ไม่น้อย



หากสุ่ยเต๋อมีใจคิดร้ายจริงอย่างที่คนคาดเดา เฮ่อยวนย่อมถูกเรียกใช้งานอีกครั้งเป็นแน่ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งข้าจึงบอกเล่าแผนการไร้ค่าอย่างถึงที่สุดให้กับผู้คนได้รับรู้ ผิงอ๋องใช้ชีวิตไร้จุดหมายมานานหลายปี ถึงยามนี้ชีวิตมิได้ต้องการสิ่งใด จะลำบากก็ดี อดมื้อกินมื้อยังทนได้ ขอแค่ความสุขสงบในยามอยู่กับคนที่รักก็เพียงพอแล้ว ฟังไปฟังมาช่างชวนให้ขมวดคิ้วอยู่ไม่น้อย ที่จริงคนมีรสนิยมบนเตียงรุนแรงเช่นเจ้ามิน่าเรียกว่าสงบสุขได้กระมัง...



ความคิดเช่นเขาใช่ว่าข้าจะไม่เข้าใจเสียเมื่อไร แต่ก่อนนี้ผู้แซ่เยี่ยก็อยากอยู่อย่างสงบตลอดไปกับคนสกุลไป๋มิใช่หรือ ข้าถอนหายใจยาวแม้ไม่มีลมหายใจก่อนขอยืมร่างโม่ลี่ให้เสี่ยวเถาหาหมึกและกระดาษมาหลายแผ่น จากนั้นจึงเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงน้องชายนามเยี่ยจิ้นฝานที่ช่วยมารดาค้าขายเปิดกิจการหลายอย่างอยู่ที่เจียงหนาน พับจดหมายเป็นรูปกระเรียนเผาไฟใช้อาคมส่งข่าวให้กับผู้คนที่อยู่ในระยะไกลหลายร้อยลี้ กระดาษอีกแผ่นที่เขียนข้อความลงอาคมแล้วให้โม่ลี่เก็บเอาไว้ ยามจวนตัวค่อยเผาไฟเหมือนกระเรียนตัวเมื่อครู่



ถึงวันนี้เฮ่อยวนได้ก่อเรื่องราววุ่นวายถึงสองเรื่องด้วยกัน กลายเป็นที่ตลกขบขันและที่จับตามองของคนทั้งเมือง แม้ต้องใช้แผนเจ็บตัวอยู่บ้างแต่ก็ได้ผลอยู่ไม่น้อย หากสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ยังไม่คลายข้องใจหายระแวงและคิดเล่นงานเขาอีกครั้งจนสิ้นชื่อคล้ายพี่ชายสามคนก่อนหน้า เยี่ยอู๋จวินก็เตรียมวิธีการรับมือเอาไว้แล้ว เพียงแต่ว่าทั้งโม่ลี่และผิงอ๋องต้องยอมเสียสละความสุขสบายในชีวิตไปบ้างเล็กน้อย



“ท่านอ๋อง...เห็นท่านเจ็บตัวแล้วบ่าวปวดใจยิ่งนัก” โม่ลี่ยังคงสะอื้นไห้ปลายนิ้วบีบมือของคนที่นอนตักตนเองแน่นขึ้น ท่าทางอ่อนแอน่าสงสารเสียจนเสี่ยวเถาที่ถูกซื้อตามมาด้วยเสียน้ำตาตาม “หากบ่าวแข็งแกร่งจนสามารถปกป้องท่านได้ ท่านคงมิต้องบาดเจ็บหนักเช่นนี้”



ต่อให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นจนสามารถล้มเสือได้ด้วยมือเปล่าก็เกรงว่าจะช่วยเหลือเฮ่อยวนในยามนี้มิได้กระมัง ตรองดูเถิดว่าองครักษ์แต่ละคนของเขาใช่ว่าจะร่างกายแบบบางเหมือนเจ้าเสียเมื่อใด ด้วยกำลังของจี้โหยว่เผิงหากคิดหักคอสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ด้วยมือเดียวคงทำได้ แต่เสนอหน้าออกไปปกป้องเจ้านายที่สมควรมีภาพลักษณ์ไม่ได้เรื่องได้ราวในวังหลวงเช่นนั้น คงเรียกว่าไม่รักชีวิตของตนกันแล้วกระมัง



“ตัวเจ้าบางปลิวลมเช่นนี้มีหรือจะสามารถปกป้องข้าได้ ข้าที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ต้องเป็นฝ่ายปกป้องเจ้ามิใช่หรือ” ผิงอ๋องหัวเราะเสียงใสพยายามข่มกลั้นไม่ให้ตนเองแสดงความรู้สึกเจ็บปวดออกมาจนอีกฝ่ายต้องเป็นห่วงเป็นใย แผ่นหลังที่เคยขาวเนียนยามนี้แตกซิบด้วยรอยแส้หลายรอย ชั่วครู่หนึ่งที่หมอหลวงป้ายยาคล้ายเห็นว่าไหล่ทั้งสองข้างของเขาสั่นไหวเล็กน้อย รอจนไล่หมอหลวงไล่คนอื่นออกไปแล้ว คนค่อยเก็บอาการเปลี่ยนท่าทีไปหยอกล้อโม่ลี่แทน “ถึงยามนี้ยังจะเรียกตนว่าเป็นบ่าวอีกหรือ แม้ฝ่าบาทมิให้ข้าแต่งตั้งเจ้าเป็นหวางเฟย แต่ในใจข้ามีใครครอบครองเจ้าคงรู้ดี”



เสี่ยวเถาตัวน้อยที่อยู่นอกห้องได้ยินถ้อยคำดังนั้นถึงกับหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอายจนเผลอไปกระตุกชายเสื้อขององครักษ์แซ่จี้เข้า จี้โหย่วเผิงแม้มีหน้าตาเฉยชาแต่ฟังทั้งสองคนหยอกล้อเกี้ยวพากันนานเข้าใบหูทั้งสองข้างกลับขึ้นสีระเรื่อขึ้นมาแล้ว ส่วนข้าที่ล่องลอยฟังอยู่ในห้องก็รู้สึกหวานเลี่ยนจวนอาเจียนเหมือนกัน เกรงว่าทั้งเฮ่อยวนและโม่ลี่คงมีจิตใจที่ผิดเพี้ยนด้วยกันทั้งคู่กระมัง จึงสามารถตกหลุมรักกันและกันได้ แต่เรื่องราวเป็นเช่นนี้ย่อมไม่ก่อให้เกิดเป็นภาระแก่ผู้อื่น ช่างน่ายินดียิ่งนัก ช่างน่าชื่นชมยิ่งนัก



เรื่องราวที่ควรจัดการได้ก็จัดการไปหมดแล้ว เหลือเพียงรอเวลาให้ผู้คนได้ใช้แผนการสุดท้ายเพียงเท่านั้น ข้าย้อนคิดภาพในท้องพระโรงในวันนี้ที่ตนเองสิงป้ายหยกของเฮ่อยวนติดตามเขาไปด้วยเพื่อเฝ้ามองเหตุการณ์แล้วสะท้อนใจอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ ยามนั้นเห็นผู้คนมากหน้าหลายตาทั้งคนเก่าที่เคยพบเจอกันมาก่อนทั้งคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามา พูดถึงคนคุ้นเคยแล้ว นอกจากรุ่ยชินอ๋องสิ้นใจตายในกองเพลิงหลังจากข้าตายไปได้เดือนกว่า ยังมีอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้ปรากฏตัวมิใช่หรือ



ยามที่ข้ายังเป็นราชครูในวังหลวง สุ่ยเต๋อฮ่องเต้มีคนสนิทด้วยกันสามคน หนึ่งคือข้าผู้เป็นราชครู สองคือรุ่ยชินอ๋องผู้เป็นน้องชายร่วมอุทร ส่วนอีกคนคือแม่ทัพปราบบูรพาหรือเทพสงครามแห่งโคว้นจิ่วโจวผู้มีนามว่าจ้าวซิ่นจง เขาเป็นขุนนางบู๊ตำแหน่งใหญ่โตนิสัยจริงจังขยันขันแข็ง ยามอยู่ในเมืองหลวงมิอาจละทิ้งการงานได้สักวัน วันนี้ที่หน้าพระที่นั่งมิได้พบเจอคนนับว่าเป็นเรื่องแปลกแล้ว



ข้ารอให้คู่รักเบื้องหน้าหยอกล้อกันจนหนำใจแล้วค่อยกระแอมไอขึ้นมาครั้งหนึ่ง ครั้นเฮ่อยวนเหลือบมองร่างวิญญาณของข้า แม้ไม่ได้แสดงอาการอะไรมากมาย แต่ก็เห็นความรู้สึกเคารพนับถือสามส่วนในแววตา คนคงนึกขอบคุณที่ข้าทำให้เขารับโม่ลี่มาอยู่ในจวนได้อย่างออกหน้าออกตากระมัง



“วันนี้ในวังหลวงกลับไม่เห็นจ้าวซิ่นจง แม่ทัพจ้าวผู้นั้นหายตัวไปไหนแล้วเล่า”



เฮ่อยวนถึงเก็บตัวอยู่ในจวนแต่มีวิธีสรรหาข่าวได้เก่งยิ่งนัก เกรงว่าคงรู้กระมังว่าข้าและคนสกุลจ้าวในยามก่อนแม้จะทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่หลายครั้งแต่ก็สนิทกันไม่น้อย ดวงหน้าของผิงอ๋องที่แรกเริ่มก็ซีดเผือดอยู่แล้วยิ่งซีดเผือดกว่าเดิม คนส่ายหน้าไปมาก่อนตอบอย่างเชื่องช้าคล้ายลังเลใจไม่รู้ว่าจะว่ากล่าวเช่นใดดี



“แม่ทัพจ้าวล้มป่วยลงเมื่อสามเดือนก่อน อาการป่วยหนักหนาจนมิอาจทำงานได้มาเดือนกว่าแล้ว” เฮ่อยวนเม้มริมฝีปากเข้าหากันนัยน์ตาดอกท้อหลุบลงต่ำคล้ายต้องการปิดบังความรู้สึกหวั่นไหวสะเทือนใจบางอย่าง “ป่านนี้เกรงว่าชีวิตคงร่อยหรอเต็มที่แล้วกระมัง”



ได้ฟังแล้วข้าถึงกับขมวดคิ้วมุ่นเข้าหากันด้วยความขัดหูเป็นอย่างยิ่ง คนกระดูกเหล็กฆ่าไม่ตายอย่างจ้าวซิ่นจงน่ะหรือจะล้มป่วยได้ แม้ไม่ได้เป็นผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรเป็นเซียน แต่ผู้ฝึกวิชายุทธ์อย่างเขานับว่ามีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าปุถุชนทั่วไปอยู่มากนัก ในสายตาข้าผู้ที่กำจัดได้ยากเย็นที่สุดในแผ่นดินจิ่วโจวก็คงเป็นเทพสงครามผู้นี้กระมัง แต่ข้าเองที่บำเพ็ญเพียรเป็นเซียนใกล้จะสำเร็จยังพลาดพลั้งตายได้ นับประสาอะไรกับคนสกุลจ้าวกัน



หากมิได้เห็นกับตาว่าจ้าวซิ่นจงป่วยหนักใกล้ตายด้วยสองตาของตนเองจริง เห็นทีว่าข้าเยี่ยอู๋จวินคงไม่สามารถปักใจเชื่อได้โดยง่ายเป็นแน่ เมื่อเห็นร่างข้าล่องลอยขยับไกลออกไปขึ้นทุกขณะ โม่ลี่จึงร้องถามขึ้นมาด้วยอาการตกใจ “ท่านเยี่ย! ท่านจะไปที่ใดกัน”



ข้ามุ่นคิ้วแล้วตอบกลับไปเพียงประโยคหนึ่ง



“ไปจวนสกุลจ้าว”



โปรดติดตามตอนต่อไป...





ซินเอ๋อร์:

มาลงก่อนที่จะโดนงานทับตายค่ะ มีพรีเซ้นท์งานอาทิตย์หน้า อาทิตย์นี้คงลงนิยายได้แค่เรื่องเดียว พอดีเขียนผีลามกเพลิน จบตอนเฉย ดองโฮสต์โง่ซะงั้น 555555

อู๋เกอยังคงคอนเซ็ปต์ไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องชาวบ้านเหมือนเดิมค่ะ แต่ด้วยความเป็นผีลามกเราก็จะไม่ทิ้งความลามกไปนะคะ อีกอย่างรู้สึกว่าพักหลังอู๋เกอไม่ค่อยได้แซะคนมาหลายตอนแล้ว เพราะฉะนั้นต่อให้มีปริศนาในเรื่องยังไง ซินเอ๋อร์ก็จะพยายามคงความลามกและความขี้แซะให้ได้นะคะ ซึ่งก็ขอให้รอดค่า (อ้าวววว)

เรื่องราวของโม่ลี่และผิงอ๋องถือว่าจบแบบยังไม่จบดีนะคะ บทสรุปของคู่นี้ตอนนี้แฮปปี้ดีแล้ว แต่จะเป็นยังไงต่อจะมีเล่าในตอนต่อๆ ไปนะคะะ ส่วนใครที่รอกัน มาแล้วค่ะ กำลังจะมาแล้ว สุ่ยเต๋อฮ่องเต้ที่เล่นเอาอู๋เกอของเราตายอนาถ แต่จะออกมาจนเกิดเรือใหม่หรือโดนสาปแช่ง อันนี้ต้องแล้วแต่คนอ่านน้าาา

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่า
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 23 คห. 89 [P.3,6-12-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-12-2019 19:43:06
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 23 คห. 89 [P.3,6-12-19]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 06-12-2019 22:29:54
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 23 คห. 89 [P.3,6-12-19]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 07-12-2019 08:59:16
รอจ้าา~
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 23 คห. 89 [P.3,6-12-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Divansays ที่ 18-12-2019 22:59:53
รออยู่คร้าบ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 23 คห. 89 [P.3,6-12-19]
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 24-12-2019 00:59:14
แวะมาดัน สนุกทุกตอนเลยจ้า รอนะๆ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 24 คห. 95 [P.4,25-12-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 25-12-2019 06:56:16
แม้มิใช่สหาย แต่ก็ขอให้เจ้าตายดีเถิด



ระยะทางจากจวนผิงอ๋องและจวนสกุลจ้าวมิได้ห่างไกลกันเท่าไรนัก ข้าล่องลอยใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาก็โผล่มาถึงหน้าจวนของจ้าวซิ่นจงจนได้ ประตูจวนแม่ทัพปราบบูรพายามนี้ปิดตายแน่นหนา กระทั่งคนเฝ้ายามสักคนยังไม่มี ครั้นทะลุตัวเข้าไปภายในกลับพบเพียงความเงียบเหงา บ่าวไพร่ที่เคยครึกครื้นล้วนแต่เก็บตัวทำงานตามตำแหน่งหน้าที่ของตนอย่างเงียบเชียบ



แต่ไหนแต่ไหนจวนสกุลจ้าวก็สงบเงียบไม่วุ่นวายกฎระเบียบมากมายจนเป็นที่ร่ำลือในเมืองหลวงอยู่แล้ว จ้าวซิ่นจงเคยแต่งภรรยาคนหนึ่งก่อนนางจะสิ้นใจตายขณะคลอดบุตรชายให้กับเขา หลังจากนั้นเขามิได้แต่งงานใหม่ แต่ยกอนุคนหนึ่งขึ้นมาเป็นภรรยารอง อนุผู้นี้เคยเป็นสาวใช้รุ่นใหญ่ของฮูหยินใหญ่มาก่อนจึงเจียมตัวดียิ่ง ซ้ำยังมีนิสัยสงบเสงี่ยมไม่ทะเยอทะยาน ด้วยรู้ตัวว่านายท่านยกนางขึ้นมานั้นก็เพียงเพื่อให้ช่วยเลี้ยงดูคุณชายน้อยเท่านั้น ส่วนฮูหยินผู้เฒ่ามีจิตฝักใฝ่ศาสนาจึงบวชชีไปตั้งหลายปีก่อน ทุกวันนี้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครในอารามชีห่างไกล เกรงว่าต่อให้บุตรชายสิ้นใจตายนางก็คงไม่สึกออกมากระมัง



ด้วยเหตุเหล่านี้ทำให้ที่ผ่านมาจวนแม่ทัพจึงเป็นระเบียบเรียบร้อยจนถึงขั้นน่าเบื่อหน่ายดียิ่ง หากยามนี้ที่ว่าเงียบอยู่แล้วกลับเงียบยิ่งกว่าเดิมเสียอีก มองดูแล้วคงนึกว่านี่มิใช่บ้านคน แต่เป็นบ้านร้างของใครกระมัง



ข้าพุ่งตรงไปยังเรือนหลักอันที่เป็นที่พำนักของใต้เท้าจ้าวด้วยความร้อนใจอยู่สามส่วน เห็นภายในเรือนแทบไม่มีบ่าวรับใช้เลยสักคน หัวคิ้วพลันขมวดมุ่นเข้าหากันแน่นกว่าเดิม ยามไปถึงห้องนอนของจ้าวซิ่นจงกลับได้แต่ถอดถอนใจคล้ายเสียดายห้าส่วนเศร้าสร้อยอีกสองส่วน ร่างที่หลับไม่ได้สติอยู่บนเตียงเบื้องหน้าข้าไหนจะเป็นเทพสงครามแม่ทัพปราบบูรพาผู้ห้าวหาญคนนั้นได้อีก



หากมองด้วยตาเปล่ามิได้รับรู้ว่าเขาเป็นใครมาก่อน คงจะคาดเดาไปว่าชายชราร่างผอมแห้งใกล้ตายวัยราวห้าสิบกว่าปีสักผู้นี้คือบิดาของแม่ทัพปราบบูรพา หากแต่บิดาของเขาสิ้นชีพไปหลายสิบปี จะมีใครหน้าไหนมาอาจหาญนอนบนเตียงแม่ทัพจ้าวได้กัน แม้ว่าผมข้างขมับยังเป็นสีขาวโพลนราวผู้เฒ่า แต่จากใบหน้าซูบตอบและขอบตาดำลึกโหลทั้งสองข้างยังคงเห็นเค้าลางบุรุษผู้องอาจของแผ่นดินจิ่วโจวอยู่บ้าง ทำให้ข้ามั่นใจได้ว่าคนผู้นี้คงเป็นจ้าวซิ่นจงไม่ผิดตัวเป็นแน่



ยิ่งข้าขยับเข้าใกล้ ยิ่งสัมผัสได้ว่าลมหายใจของจ้าวซิ่นจงแผ่วเบาคล้ายมีคล้ายไม่มีราวกับแสงตะเกียงชีวิตริบหรี่ใกล้ดับเต็มทีทั่วทั้งร่างมีเพียงกลิ่นอายแห่งความตายที่แพร่พุ่งมาจากทวารทั้งเจ็ด นี่จะหาไอหยางสักส่วนจากเขาคงยังมิได้เลยกระมัง มิใช่ว่าถูกไอหยินกัดกินเข้าจากภายในหรอกหรือ



บุรุษผู้มีธาตุหยางเต็มเปี่ยมสมเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งแว่นแคว้นกลับต้องมามีสภาพเช่นนี้ย่อมมิใช่อาการเจ็บไข้ด้วยโรคภัยธรรมดาเป็นแน่ เกรงว่าจ้าวซิ่นจงไม่ต้องพิษถูกวางยาก็ถูกสูบหยางไปเสียมากกว่า หากแต่เป็นการดูดพลังที่ค่อยเป็นค่อยไปใช้เวลานานหลายเดือนจึงดูคล้ายร่างกายเจ็บป่วยจนอ่อนแอลงเรื่อยๆ มิเหมือนคราวที่มารราตรีชาดและมารทิวาม่วงออกอาละวาดและสูบพลังผู้อื่นจนเหี่ยวแห้งตายภายในชั่วข้ามคืน



วิธีการแนบเนียนเช่นนี้คงต้องใช้เวลาเป็นปีจึงจะมีผู้สังเกตเห็นความผิดปรกติได้ จากที่ผิงอ๋องกล่าวว่าในเมืองหลวงยามนี้มีทั้งอ๋องทั้งขุนนางล้มตายอยู่ไม่น้อย หากตายด้วยวิธีการเดียวกันก็เห็นทีว่ามารร้ายที่สูบพลังหยางของผู้คนคงมิได้อาละวาดอยู่เพียงแค่แถบเมืองเจี้ยน แต่คงมาถึงที่นี่เข้าแล้วกระมัง



นอกจากมารราตรีชาดและมารทิวาม่วงที่ถูกข้าและไป๋เจี๋ยปราบไปเมื่อคราวก่อนแล้วยังจะมีมารตนอื่นอีกหรือ คราวนี้จะมีนามเป็นสีอันใดอีกเล่า...เหล่ามารพวกนี้มิรู้ว่าจิตว่างฟุ้งซ่านประการใด ยามคิดชื่อฉายาจึงช่างเปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ดียิ่งถึงเพียงนี้



จ้าวซิ่นจงประสบคราวเคราะห์เช่นนี้ย่อมมิใช่แค่เรื่องบังเอิญเป็นแน่ ตัวเขาเป็นผู้ฝึกยุทธร่างกายบึกบึนน่าเกรงขาม หน้าตาหล่อเหลาดึงดูดเหล่าหญิงงาม พลังหยางจากร่างแม้มิเท่าผู้ฝึกเซียนแต่ก็สูงส่งกว่ามนุษย์ทั่วไปอยู่หลายส่วน แม้มิใช่ดอกไม้งามแต่ก็ย่อมล่อหมู่มวลภมรมารชั่วที่กระหายหาธาตุหยางได้เป็นแน่ แต่ไหนแต่ไหนคนอย่างแม่ทัพจ้าวเรียกว่าเป็นคนซื่อตรงจนเกินไป คนคงถูกแผนการชั่วอันใดเข้ากระมัง ยามนี้จึงได้นอนสลบไสลเป็นผีตายซากเช่นนี้



หากแผ่นดินจิ่วโจวยังมีผู้แซ่เยี่ยเป็นราชครูข้างกายฮ่องเต้ ไหนเลยจะปล่อยให้มารร้ายอาละวาดอย่างย่ามใจได้ถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็นมารราตรีชาด มารทิวาม่วง หรือมารสารพัดสีอื่นใดมีหรือจะรอดพ้นจากฝีมือของข้าไปได้ แต่เวลานี้จะว่ากล่าวสิ่งใดก็คงสายเกินไปแล้วกระมัง เยี่ยอู๋จวินพ้นหน้าที่ราชครูสิ้นใจตายไปแล้วยังจะสามารถพูดจากล่าวอ้างสิ่งใดได้อีก



ข้าแตะหลังมือแห้งซูบของจ้าวซิ่นจงก่อนจะถ่ายเทพลังไปสายหนึ่งเพื่อช่วยต่อชีวิตให้กับคนเบื้องหน้า แม้จะไม่ได้มีความสัมพันธ์สนิทสนมจนเป็นสหาย หากกว่าครึ่งค่อนปีที่อยู่ในแคว้นจิ่วโจวเขาก็ถือเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ไม่น้อย ก่อนที่ข้าจะตายได้ไม่กี่วันภายในงานเลี้ยงยังได้มีโอกาสชมดอกไม้ร่ำสุราร่วมกับสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ รุ่ยชินอ๋องและแม่ทัพจ้าว ยามนี้ข้าและรุ่ยชินอ๋องตายเป็นผี คนสกุลจ้าวขาหนึ่งก้าวลงปรโลกไปเสียแล้ว มิรู้ว่าคนในวังหลวงนั้นจะเป็นเช่นไรบ้าง คงยังไม่ถูกมารร้ายช่วงชิงพลังหยางอันแข็งแกร่งกระมัง



“ใครกัน...” น้ำเสียงแหบแห้งดังขึ้นพร้อมกับเปลือกตาที่ขยับแผ่วเบา จ้าวซิ่นจงกะพริบตาถี่พยายามใช้ดวงตาฝ้าฟางเพ่งมองข้า ก่อนครู่ต่อมาจะออกปากเอ่ยคำสั่งตามความเคยชิน “น้ำ...ขอน้ำ”



ข้าส่ายศีรษะเชื่องช้าอย่างมิรู้จะกล่าววาจาเช่นไรดี เกรงว่าแม่ทัพจ้าวจะเจ็บป่วยยาวนานเกินไปเสียแล้วกระมัง ร่างเนื้อของเขายามนี้ยังคงนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนดั่งเดิม หากที่ฟื้นตื่นขึ้นมาเป็นเพียงร่างวิญญาณที่หลุดออกจากร่าง ซ้ำยังเป็นเพียงเศษเสี้ยววิญญาณมีไม่ครบสามจิตเจ็ดวิญญาณเสียอีก เป็นเช่นนี้แล้วเจ้าจะเรียกหาน้ำไปทำไม



ข้ายืนอยู่นิ่งเฉยปล่อยให้ผู้คนค่อยทบทวนความคิดของตนเสียก่อน เมื่อมองเขามากเขาก็ยิ่งสะเทือนใจขึ้นมา จ้าวซิ่นจงโดนเล่นงานคราวนี้เรียกว่าหนักหนาสาหัส กระทั่งวิญญาณมีเพียงสองส่วนเท่านั้น ส่วนที่เหลือมิทราบว่ากระจัดกระจายไปที่ใดได้ คนผู้นี้เพียงนอนรอวันตาย ยามหมดลมหายใจลงจะสามารถหาวิญญาณส่วนที่เหลือจนเจอจนสามารถเกิดใหม่ไม่กลายเป็นคนปัญญาอ่อนได้หรือเศษเสี้ยววิญญาณจะดับสูญไปก่อนก็พูดได้ยากยิ่งนัก เกรงว่ามารชั่วที่ทำร้ายเขาคงมีความแค้นอันใดเป็นการส่วนตัวกระมัง



“เยี่ยอู๋จวิน” เพียงครู่เดียวน้ำเสียงแหบแห้งก็แปรเปลี่ยนเป็นเนื้อเสียงต่ำอันเปี่ยมไปด้วยอำนาจและความเผด็จการตามเสียงปรกติของคนสกุลจ้าว เช่นเดียวกับวิญญาณที่เป็นสภาพเป็นภาพลักษณ์เทพสงครามผู้แข็งแกร่ง หากแต่ทั้งรูปร่างและทั้งคำพูดของเขาเดี๋ยวชัดเจนเดี๋ยวพร่าเลือนเพราะดวงวิญญาณอ่อนพลังอ่อนแอจนเกินไป จ้าวซิ่นจงผู้ยังคงไม่รู้ตัวหรี่ดวงตามองข้าด้วยสายตาจับผิดห้าส่วนสิ้นหวังอีกห้าส่วน “ข้าคงตายแล้วกระมังถึงพบเจอเจ้าตัวบัดซบแซ่เยี่ยเสียได้ เจ้ายังไม่ไปเกิดใหม่อีกหรือ เฮยไป๋อู๋ฉางไปอยู่ที่ใดกันถึงได้ส่งเจ้ามาแทน”



ปากสุนัขไม่งอกเงยงาช้างฉันใด คนอย่างจ้าวซิ่นจงแม้มีเพียงเสี้ยววิญญาณย่อมไม่สามารถกล่าววาจาอันใดดีๆ กับข้าได้ฉันนั้น หากเจ้าอยากพบเฮยไป๋อู๋ฉางจริง คนแซ่เยี่ยสามารถสงเคราะห์เจ้าได้แน่ ข้าฝึกวิชาวสันต์เริงร่ายอมสามารถควบคุมหยินหยางของตนได้อย่างใจนึก สภาพเขาเป็นเช่นนี้แค่ซัดฝ่ามือหยินใส่เพียงแค่ฝ่ามือเดียว อย่าว่าแต่จะทำให้สิ้นใจตายเลย วิญญาณสองส่วนที่ยังเหลืออยู่คงสิ้นสลายไปด้วยกระมัง



“แม่ทัพจ้าวจะรีบตายไปไย” ข้าขยับยิ้มมุมปากท่าทางยียวนอย่างที่คนสกุลจ้าวเห็นแล้วต้องทนไม่ได้เป็นที่สุด ทั้งเขาและข้ามิรู้เป็นเช่นไรเจอหน้ากันเป็นอันต้องปะทะวาจากันเสียหน่อย หากข้ามิได้ปั่นป่วนประสาทคนคงรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมากระมัง ส่วนจ้าวซิ่นจงภาพลักษณ์อันใดก็ไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้เลยสักครั้ง “ผู้แซ่เยี่ยยังมิได้ลิ้มรสกายงามของท่านให้เต็มที่ นี่เรียกว่าชาตินี้เสียชาติเกิดเสียแล้วกระมัง”



“เดรัจฉาน ยังมีหน้ามาพูดได้อีกหรือ! ” เทพสงครามแห่งแคว้นจิ่วโจวได้ยินดังนั้นแล้วก็เดือดดาลตามคาด ตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่แม้จะชอบเย้าแหย่เขา แต่ก็ไม่เคยพูดจาจาบจ้วงหยาบโลนถึงเพียงนี้ จ้าวซิ่นจงนับว่ามีธาตุหยางที่ดีเหมาะสมแก่การฝึกวิชาของข้าไม่น้อย หากแต่ข้าซึ่งชื่นชอบบุรุษหน้าหยกรูปร่างเพรียวบางมองแล้วสบายตา แม่ทัพจ้าวรูปร่างสูงใหญ่น้อยกว่าข้าอยู่หลายชุ่น แต่ร่างกายล้วนเต็มไปด้วยมัดกล้ามทำให้ข้าย่อมมิเห็นเขาอยู่ในสายตา หากจะบอกว่ามิเคยหาเศษหาเลยเขามาก่อนก็คงจะเป็นการโกหกกันเกินไปแล้ว



“เรื่องคืนนั้นล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันทั้งสิ้น!” จ้าวซิ่นจงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันหน้าตาดูไม่ได้ คนทำเป็นวางท่าทีโกรธเคืองเพื่อปิดบังความอับอายของตนเอง เสียแต่ว่าฝีมืออ่อนด้อยเช่นนี้มีหรือจะตบตาเยี่ยอู๋จวินได้ แม่ทัพจ้าวพูดจาใส่ความใหญ่โตคล้ายว่าข้าเป็นโจรเด็ดบุปผาไปปลุกปล้ำเขา แท้จริงแล้วข้าเพียงเห็นเขาเหงาใจฉวยโอกาสตอนเมาดึงเขาเข้ามาจูบเพียงเท่านั้น ยามนั้นคนสกุลจ้าวยังเคลิบเคลิ้มคลอเคลียริมฝีปากของข้าอยู่หลายเค่อกว่าจะมีสตินึกคิดผลักข้าออกแล้วร้องตะคอกว่าเจ้าตัวบัดซบเยี่ยอู๋จวิน มิรู้ว่าเข้าใจผิดคิดว่าข้าเป็นใครกัน



“หากเรื่องนั้นเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด ความรู้สึกและจิตใจของผู้แซ่เยี่ยแม่ทัพจ้าวคงไม่นึกรับผิดชอบกระมัง” แม้เขาจะเหลือเพียงเศษเสี้ยววิญญาณอันแสนอ่อนแอ แต่ข้าก็ยังอดปากหยอกเย้าเขาเล่นไม่ได้ ใบหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาวเดี๋ยวเขียวต่างจากท่าทางเงียบขรึมจริงจังของจ้าวซิ่นจงนั้นน่ามองไม่น้อย นี่คงเป็นนิสัยเสียที่ยากเกินแก้เสียแล้ว



“รับผิดชอบมารดาเจ้าสิ” จ้าวซิ่นจงสบถถ้อยคำหยาบคายอีกหลายคำ แววตาที่มองข้ามีแววเดียดฉันท์อยู่หลายส่วน “เพียงแค่ปากชนปากเล็กน้อย เกินเลยกว่านั้นหาได้มีไม่ คราวเจ้าล่อลวงรุ่ยชินอ๋องจนมีความสัมพันธ์กับเขาก็ยังมิเห็นรับผิดชอบอันใดมิใช่หรือ”



เคลิบเคลิ้มจนมือไวข้าปลดเสื้อคลุมเจ้าออกไปแล้วยังจะหน้าด้านเรียกว่าปากชนปากอีกหรือ คนสกุลจ้าวขุดชื่อรุ่ยชินอ๋องมาพูดคงคิดว่าจะจี้ใจข้ากระมัง ข้าเยี่ยอู๋จวินแม้จะมีบุพเพน้ำค้างกับเขา หากแต่เรื่องเช่นนี้มีหรือจะทำให้ปรมาจารย์วังวสันต์รู้สึกสะทกสะท้านได้ ความสัมพันธ์ระหว่างข้าและอ๋องสี่มีผลประโยชน์แฝงอยู่ถึงเต็มสิบส่วน



เฮ่อหรงพลาดพลั้งตกหลุมพรางของอ๋องแคว้นหมานจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดขณะไปตรวจสอบการค้าเหล็กค้าม้าทางตอนเหนือ ข้าที่ติดตามขบวนช่วยเหลือเขาเอาไว้จนเอาชีวิตรอดปลอดภัยมาได้ ต่อมาคนใช้ร่างกายและพลังหยางตอบแทนบุญคุณย่อมมิถือว่าผิดแผกอันใด รุ่ยชินอ๋องนั้นเป็นพวกรู้จักเสพสุขเฉกเช่นเดียวกับมนุษย์ปุถุชนทั่วไป หลังจากเล่นพลิกผ้าห่มกันแล้วเขาติดใจอยากพลีกายให้ข้าเชยชมซ้ำอีกอีกนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว



ฉะนั้นข้าคงไม่เสียเวลาอธิบายความให้จ้าวซิ่นจงได้เข้าใจ คนสมองทึบเช่นเขาเมื่อปักใจเชื่อสิ่งใดไปแล้วก็ยากจะแก้ไขความเชื่อได้ เขาอยากคิดว่าข้าเป็นคนสารเลวล่อลวงผู้อื่นเพราะสันดานต่ำช้าชอบมั่วโลกีย์ก็คิดไปเถิด ข้าเยี่ยอู๋จวินเลือกหนทางฝึกวิชาเช่นนี้ย่อมไม่ถือสาหาความคำครหาของผู้คน ใต้หล้านี้ข้าคงไม่สามารถรักษาน้ำใจทำตนให้ถูกใจทุกคนได้ หากต้องมานั่งใส่ใจทุกอย่างในชีวิต คงไม่ต้องฝึกวิชาเป็นเซียนกันแล้วกระมัง



จ้าวซิ่นจงหรี่ตามองข้าที่ใบหน้าคงยังคงเปื้อนรอยยิ้มด้วยท่าทางไม่ชอบใจเท่าใดนัก เพียงชั่วครู่หนึ่งนัยน์ตาทั้งคู่ก็เบิกกว้างขึ้นราวกับคิดสิ่งใดได้ “รุ่นชินอ๋องชอบพอเจ้าถึงเพียงนั้น ที่เขาตายไปเพราะเจ้านำไปอยู่ปรโลกด้วยกระมัง”



ผายลมเถิดเจ้าคนสกุลจ้าว เฮ่อหรงตายในกองเพลิงมีหรือจะเป็นฝีมือข้า หลังข้าตายก็วนเวียนอยู่เจียงหนานอยู่เนิ่นนาน วุ่นวายอยู่กับเรื่องในบ้านของลูกหมูสกุลลู่ คงมิอาจมาฆ่าวางเพลิงรุ่ยชินอ๋องได้กระมัง อีกอย่างทั้งข้าและเขาเป็นคนเคยมีสัมพันธ์ แม้เป็นเพียงแค่ชั่วคราวแต่ก็ไม่ได้ลึกซึ้งจนถึงต้องนำคนไปปรโลกด้วยกันและไม่ได้เกลียดชังกันจนถึงต้องเอาชีวิตกันอีกด้วย



เทพสงครามแห่งแคว้นจิ่วโจวเห็นข้ามุ่นคิ้วแล้วก็ยังไม่หยุดเอ่ยวาจา คนผู้นี้ยิ่งพูดจาก็ยิ่งเลื่อนเปื้อนไม่สมกับแม่ทัพใหญ่เลยสักนิด “หรือว่าที่ข้าเจ็บป่วยลงครั้งนี้จนเอาชีวิตไม่รอดก็เป็นเพราะฝีมือเจ้าสาปแช่ง เยี่ยอู๋จวินกลายเป็นผีร้ายไปแล้วหรือ”



จ้าวซิ่นจงกัดฟันกรอดก่อนจะถลาขึ้นมาจากเตียง เขาคว้าสาบเสื้อของข้าเอาไว้ มือข้างหนึ่งกำหมัดคล้ายพร้อมโจมตีอยู่ทุกเมื่อ ข้ามิได้ถือสาผู้คนแต่ประการใด เนื่องจากวิญญาณของเขาที่ยังสามารถสำแดงฤทธิ์จนถึงตอนนี้ล้วนเป็นเพราะธาตุหยางที่ข้าถ่ายเทให้ทั้งสิ้น แต่นึกรำคาญขึ้นมาบ้างแล้วจึงสะบัดมือใส่ไปครึ่งฝ่ามือ ร่างวิญญาณของคนสกุลจ้าวกระเด็นลอยไปจนเกือบทะลุฝาห้อง ใบหน้าหล่อเหลาตื่นตระหนกตกใจเข้าแล้ว



เมื่อเป็นวิญญาณกันทั้งคู่คงมิต้องแสร้งเป็นหวั่นเกรงผู้คนอีกต่อแล้วกระมัง ยามเป็นราชครูเยี่ยข้าเก็บงำฝีมือทำตัวเป็นหมูหลอกกินเสือเล่นละครเป็นราชครูบัณฑิตมากความรู้ได้อย่างแนบเนียนเป็นอย่างยิ่ง ขุนนางในราชสำนักแม้พอรู้ว่าข้าเป็นปรมาจารย์วังวสันต์ อดีตเคยเป็นลูกศิษย์ในสำนักฝึกเซียนเลื่องชื่อ หากแต่ไม่รักดีลาออกจากสำนักมาใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่หลายปี ระดับพลังฝึกปรือสูงส่งเช่นไรจึงไม่มีใครรับรู้



“ระงับอารมณ์แล้วตั้งสติเสีย” ข้าบอกกล่าวกับวิญญาณเดี๋ยวชัดเจนเดี๋ยวพร่าเลือนของคนแซ่จ้าว น้ำเสียงในยามนี้ไม่ได้มีวี่แววล้อคนเล่นอีกต่อไป อย่างไรแล้วจ้าวซิ่นจงก็เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของแว่นแคว้น ถึงไม่จำเป็นต้องอ่านสถานการณ์อ่านสีหน้าใครนอกจากสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ แต่คงรู้แล้วกระมังว่าเวลานี้ข้าเยี่ยอู๋จวินมีพลังเหนือกว่าเขาอยู่มาก ฉะนั้นสิ่งใดที่ข้าถามไปเขาย่อมตอบแต่โดยดีเป็นแน่ “ก่อนจะป่วยไข้เจ้าถูกใครเล่นงานเข้ายังจำได้หรือไม่”



จ้าวซิ่นจงคงรู้แล้วว่าข้ามีใจอยากช่วยเหลือเขาอยู่บ้าง คนพยายามนิ่งเงียบไปพยายามคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งด้วยสีหน้าท่าทางจริงจังจนเวลาผ่านไปครึ่งค่อนวัน นอกจากรอยลึกตรงหว่างคิ้วที่มากขึ้นทุกทีและวิญญาณสองส่วนที่อ่อนจางคล้ายดับสลายอยู่ทุกเมื่อก็ไม่มีสิ่งใดคืบหน้า สุดท้ายคนสกุลจ้าวได้แต่ส่ายศีรษะไปมาอย่างแผ่วเบาก่อนกล่าวว่า “ไม่ได้ถูกใครเล่นงานทั้งสิ้น วันหนึ่งข้าเพียงรู้สึกว่าร่างกายเคลื่อนไหวลำบากไม่อาจไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทได้จึงตัดสินใจจลางานเพื่อนนอนพัก จากนั้นก็ไม่ได้ลุกขึ้นมาอีกเลย”



จากถ้อยคำและสีหน้าของเขาทำให้พอรู้ว่าแม่ทัพจ้าวไม่ได้พูดจาโกหก แต่สิ่งที่เขาพูดมามีหลายอย่างดูแล้วผิดปรกติอยู่ไม่น้อย อาการหยางพร่องอย่างที่เขาประสบมิใช่ว่าเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ หากเพราะจ้าวซิ่นจงไม่รู้ว่าตนเองถูกเล่นงานจริงๆ ก็คงเป็นเพราะความทรงจำบางส่วนของเขามีปัญหาเข้าแล้ว



ข้าอธิบายข้อสงสัยของตนเองที่ว่าตัวเขาอาจถูกมารร้ายเล่นงาน จ้าวซิ่นจงแม้จะมีสีหน้าย่ำแย่แต่คงยืนยันตามเดิมว่าเขายังคงใช้ชีวิตในแต่ละวันจืดชืดอย่างปรกติเหมือนเคย คนที่พบปะก่อนหน้าจะล้มป่วยก็มีเพียงสุ่ยเต๋อฮ่องเต้เพียงเท่านั้น โอรสสวรรค์มีหยางมากตามโชคชะตาก็จริง แต่มิใช่ทั้งมารทั้งผู้ฝึกเซียน หากจะกล่าวว่าอีกฝ่ายสูญไอหยางของแม่ทัพจ้าวไปก็คงจะเป็นการใส่ร้ายกันเกินไปกระมัง



“ถึงอย่างไรมนุษย์เราก็ต้องถึงคราวตายสัก เพียงแต่ตายเร็วตายช้าเท่านั้น...ช่างมันเถิด” คนแซ่จ้าวกล่าวขึ้นพร้อมระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ ช่างตัดใจต่อชีวิตนี้ได้รวดเร็วผิดกับนิสัยดั้งเดิมของตนดีแท้ จ้าวซิ่นจงเหม่อมองข้าวของในห้องครู่หนึ่งอย่างทอดอาลัย หากครู่ต่อมาดวงตาทั้งคู่กลับทอประกายร้าวรานขึ้นมา ร่างวิญญาณของเขาเริ่มจางหายมากกว่าเดิม คล้ายว่าพลังหยางที่ถ่ายทอดไปให้เมื่อครู่ก็ไม่สามารถรักษาเสี้ยววิญาณเอาไว้ได้แล้ว



“เจ้ายังมีสิ่งใดติดค้างในใจอยากสั่งเสียหรือไม่” แม้มิได้สนิทสนมกันจนนับถือเป็นสหาย แต่ยามทะเลาะปะทะคารมปั่นหัวเขาเล่นก็สร้างความสนุกสนานให้ข้าไม่น้อย คนสกุลจ้าวมีบุตรชายคนหนึ่งนามจ้าวหลี่ตงตอนนี้อายุได้ห้าปี เขาคงเป็นห่วงเด็กน้อยผู้นั้นกระมัง



“มิรู้ว่าฝ่าบาทจะเป็นเช่นไร” ดวงหน้าของแม่ทัพแซ่จ้าวช่างดูปวดร้าวเสียจนน่าสงสารยามนึกถึงสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ ข้าเสียความรู้สึกไม่น้อยที่หลงนึกไปว่าคนผู้นี้จะเป็นห่วงเป็นใยบุตรหลานของตนเองที่อายุยังน้อยจัด ผู้อื่นกลับไปห่วงหาอาทรคนในวังหลวงเสียได้ แต่จะด่าว่าเขาก็คงไม่ถูกนัก ชีวิตนี้ของจ้าวซิ่นจงล้วนสมบูรณ์พร้อมอย่างได้สิ่งใดย่อมสามารถคว้ามาครอบครอง หากอย่างหนึ่งที่เขาไม่สามารถไขว่คว้าได้ก็คือความรักของตนเอง



ข้ามิรู้ว่าคนสกุลจ้าวแอบรักโอรสสวรรค์ผู้นั้นตั้งแต่เมื่อไร หากหลายปีมานี้เกรงว่าเฮ่อฉีคงยึดถือตำแหน่งดาวในใจไฝในอกของจ้าวซิ่นจงมาโดยตลอด มิเช่นนั้นมีหรือที่เทพสงครามผู้ครอบครองตราพยัคฆ์มีทหารในมือกว่าสิบแสนนายจะยอมอยู่ใต้อาณัติของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้แต่โดยดี หากเขานึกอยากผลัดเปลี่ยนแผ่นดินให้สกุลจ้าวครอบครองบัลลังก์แคว้นจิ่วโจวย่อมสามารถทำได้ แต่เพราะเขาผูกใจรักบุตรมังกรจึงได้สนับสนุนฮ่องเต้ด้วยใจจริงมาโดยตลอด แม้ยามชีวิตไม่เหลือลมหายใจก็ยังหวนคิดถึงแต่คนในดวงใจ ช่างน้ำเน่าดีแท้



“ความรู้สึกของเจ้าต่อฝ่าบาทผู้แซ่เยี่ยรับรู้ดีแล้ว” ครั้นได้ยินจ้าวซิ่นจงก็คล้ายตกใจที่ข้าล่วงรู้ในความรักที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้ในใจมาโดยตลอด ไหนเลยเขาจะรู้ว่าข้าล่วงรู้มาเนิ่นนานตั้งแต่สามวันแรกที่เป็นราชครูแล้วกระมัง ยามเขาลอบมองสุ่ยเต๋อฮ่องเต้สายตานั้นช่างเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกรักใคร่ ข้าเป็นคนนอกย่อมมองเห็นได้กระจ่างชัดแจ้ง ส่วนเฮ่อฉีรับรู้แต่แกล้งไม่รับรู้หรือไม่รับรู้จริงๆ ข้ามิใช่เขาจึงมิอาจตอบได้ “ในเมื่อเรื่องนี้ยังค้างคา ข้าจะจัดการให้เอง”



ภาพของแม่ทัพจ้าวแตกพร่ามากขึ้นทุกที ก่อนที่จ้าวซิ่นจงจะกลายเป็นแสงสีจางและถูกข้าจับยัดกลับเข้าไปในร่างเพื่อคงสภาพเศษเสี้ยววิญญาณมิให้แตกสลายไปมากกว่าเดิม อีกฝ่ายยังตะคอกเสียงดังลั่นพร้อมกับหน้าตาถมึงทึงราวกับจะฉีกทึ้งข้าให้เป็นชิ้นๆ



“เยี่ยอู๋จวิน! เจ้าอย่าได้ใช้มืออันแปดเปื้อนของเจ้าไปแตะต้องฝ่าบาท! ”



“หากใช้ร่างของเจ้าก็คงไม่นับว่าแปดเปื้อนแล้วกระมัง” คำตอบของข้าไม่รู้ว่าผู้อื่นจะยังทันได้ยินหรือไม่ จ้าวซิ่นจงตัวจริงตายไปแล้วแปดส่วน แต่ร่างของเขายังคงมีให้ข้าหยิบยืม ข้าขยับไปยึดครองร่างผอมซูบที่นอนไร้เรี่ยวแรงบนเตียงก่อนที่กายเนื้อนี้จะหมดลมหายใจ จากนั้นจึงใช้พลังหยางอีกสายหนึ่งหล่อเลี้ยงทั้งร่างทั้งเศษเสี้ยววิญญาณที่หลับลึกของจ้าวซิ่นจงอย่างไม่กลัวสิ้นเปลือง เพราะรู้ดีว่าหากเรื่องราวสำเร็จไปได้ด้วยดีและได้พลังหยางมากมายจากสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ย่อมไม่ทำให้ตนเองขาดทุนเป็นแน่



ข้าร้องเรียกบ่าวรับใช้ด้วยเสียงแหบแห้งอยู่พักหนึ่งจึงมีคนเข้ามาในห้อง แม่ทัพจ้าวที่ใกล้ตายกลับฟื้นคืนขึ้นมาได้ย่อมทำให้ผู้คนตกใจอยู่ไม่น้อย แต่เวลานี้คนยังไม่ตายก็สมควรดีใจไม่ใช่หรือ ทั้งพ่อบ้านและฮูหยินรองของจวนสกุลจ้าวล้วนมาเกาะขอบเตียงทั้งน้ำตานองหน้า หมอซุนที่ตามตัวมาถึงกับถอนหายใจที่จ้าวซิ่นจงบุญหนักรอดตายมาได้ก่อนจะเขียนเทียบยาและสูตรอาหารสำหรับบำรุงกาย ปากบอกว่าต้องพักผ่อนสักหกเดือนครึ่งปีจึงจะกลับมาปรกติได้เช่นเดิม หากด้วยพลังหยางของข้าที่ไหนเลยจะใช้เวลานาวนานเพียงนั้น บำรุงเพียงสักเดือนสองเดือนร่างกายนี้ก็คงพอใช้การขึ้นมาได้บ้างกระมัง



เป็นผีลามกช่างลำบากดีแท้ เมื่อมาถึงเมืองหลวงแคว้นจิ่วโจวก็มีแต่เรื่องราวมากมายให้ข้าจัดการ ทั้งราวของโม่ลี่และอ๋องแปด มายามนี้ก็ทั้งเรื่องหัวใจของคนแซ่จ้าว ทั้งเรื่องมารชั่วที่ออกอาละวาดสูบหยางผู้คนโดยไม่มีใครจับพิรุธได้ แต่เรื่องราวสำคัญที่ต้องสะสางคงไม่พ้นสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ที่วางยาข้าและจับโยนเข้าไปในตำหนักของสนมสามร้อยนาง หากปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปไม่สั่งสอนผู้คนย่อมไม่ใช่ผู้แซ่เยี่ยแล้ว



โปรดติดตามตอนต่อไป...





ซินเอ๋อร์: 

ขอโทษที่มาช้าค่ะ พอดีชีวิตมีปัญหา+งานหนัก+สุขภาพค่อนข้างย่ำแย่ เลยทำให้มาช้าค่ะ เขียนๆ หยุดๆ ตลอดเลย ตอนนี้ไม่รู้ว่าเขียนออกมาแย่หรือเปล่า เบลอๆ แปลกๆ แต่ตอนหน้าจะพยายามใหม่นะคะ

ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรต่อดี เอาเป็นว่าพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ ยังมีใครอยู่ด้วยกันอยู่ไหม เหงาค่ะ 555555

สุขสันต์วันคริสต์มาสนะคะ <3
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 24 คห. 95 [P.4,25-12-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 25-12-2019 08:12:42
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 24 คห. 95 [P.4,25-12-19]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 25-12-2019 16:46:03
เป็นกำลังใจให้จ้า~
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 24 คห. 95 [P.4,25-12-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 25-12-2019 17:05:21
ยังอยู่ครับ ไม่ต้องเหงา (ฮา) เมอร์รี่คริสต์มาสด้วยเช่นกัน

อยากเห็นท่านเยี่ยอู๋จวินในสภาพท็อปฟอร์มแล้วอะ /หัวเราะ ขนาดหานเฉิงรุ่ยที่เป็นศิษย์เขาอัสนีพิสุทธิ์สายตรง เหล่ยเจิ้นยวี่ที่น่าจะเป็นโคลนหรือเป็นญาติห่างๆ (คนนี้ยังเป็นปริศนา) แล้วก็จ้าวซิ่นจงที่เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้น ทั้งหมดร่างกายยังสูงและไม่บึกบึนเท่าท่านพี่เยี่ยของเรา ยังไม่นับเรื่องบนเตียงอีก แล้วตอนพี่ท่านไปมั่วเป็นราชครูนี่ไม่มีใครสงสัยรึ? หรือว่าท่านใส่เสื้อผ้าปกปิดมากเกินไปล่ะอู๋เกอ /หัวเราะ

ผมเดาว่าในวังน่าจะมีมารแอบซ่อนตัวอยู่ จากการที่เหล่าอ๋องทยอยตายด้วยเหตุการณ์ปริศนาที่ไม่ใช่โรคประหลาด (รุ่ยชินอ๋องโดนไฟคลอก, หลี่อ๋องโดนหมาป่าขย้ำ, ตวนอ๋องตายด้วยยาพิษ) ทั้งหมดเป็นสมาชิกราชวงศ์ที่มีโอกาสขึ้นสู่อำนาจถ้าฮ่องเต้ตายลงไป แปลว่าตัวคนจัดการ ต้องการให้สุ่ยเต๋อฮ่องเต้อยู่ในอำนาจให้นานที่สุด แต่ไม่น่าจะเพื่อทำให้บัลลังก์มั่นคง น่าจะเป็นเพื่อการทยอยสูบพลังหยางจากฮ่องเต้มากกว่า เพราะเยี่ยอู๋จวินยอมรับว่าตัวสุ่ยเต๋อฮ่องเต้มีพลังหยางแข็งแกร่ง (ไม่แน่ใจว่าถ้าเทียบกับไป๋เจี๋ยแล้วใครจะเหนือกว่าใคร) ดังนั้นตัวฮ่องเต้เองน่าจะเป็นเป้าหมายหลักของพวกมาร

แต่ปัญหาคือพวกขุนนางที่ทยอยตายหรือล้มป่วยด้วยโรคประหลาดนี่สิ ถ้าผมเดาไม่ผิด น่าจะเป็นอาการเดียวกับที่แม่ทัพจ้าวซิ่นจงโดน คือโดนสูบหยางเรื้อรังอย่างไม่รู้ตัวจนทำให้ร่างกายไม่สามารถทนได้ ขนาดท่านแม่ทัพที่ว่าร่างกายสูงใหญ่ พลังหยางเยอะ ยังโดนจนซะพลังวิญญาณกระจัดกระจายตายไปแปดส่วน แสดงว่าคนทำนี่ต้องเนียนและอำมหิตมาก ไม่สนใจเหยื่อเลย อีกอย่างนึงคือพอพวกขุนนางตายไปหมด ขั้วอำนาจในวังยังไม่ระส่ำระส่าย? แปลว่าพวกมารน่าจะทำงานกันเป็นกลุ่ม คุมอำนาจในวังเบ็ดเสร็จได้อีกด้วย ใครที่เป็นฝ่ายต่อต้านก็โดนสูบหยางเรื้อรังผ่านวิธีปริศนา ถ้าเป็นคนธรรมดาโดนไม่นานก็คงตายแน่ๆ แต่ถ้าพลังสูงหน่อยก็ทนได้ไม่นานหรอก (อย่างท่านแม่ทัพ) แต่ยังไงก็ไม่รอดอยู่ดี

นับว่าเป็นแผนลึกล้ำมาก แต่ที่ยังขบไม่แตกและเป็นปริศนาคือ แล้วใครล่ะที่เป็นพวกมาร? ผมว่าไม่น่าจะเป็นลาสบอสหรอกที่อยู่ในวัง เพราะถ้าเป็นลาสบอส มันไม่น่าจะอดใจไม่ดูดพลังหยางฮ่องเต้จนตาย จากรูปการณ์ก็พิสูจน์แล้วว่าจะคอยเลี้ยงไม่ให้มีคนโค่นอำนาจ เพื่อคุมขั้วอำนาจแล้วเลี้ยงฮ่องเต้เหมือนเป็นแบตเตอรี่ชาร์จสำหรับลาสบอส ดังนั้นที่อยู่ในวังน่าจะเป็นระดับมือขวาหรือกองกำลังของลาสบอสน่ะแหละ แต่คำถามคือมันแปลงเป็นใครบ้าง? แล้วใครบ้างที่เป็นพวกมัน? ผมว่าลาสบอสน่าจะมาเยือนวังเป็นระยะๆ แล้วคอยสูบหยางจากฮ่องเต้เรื่อยๆเพื่อเพิ่มพลังตนเอง แต่ไม่หนักมากจนฮ่องเต้นทรุดล้มป่วยหรือผิดปกติจนคนอื่นจับสังเกตได้ ส่วนลูกน้องก็กำจัดเสี้ยนหนามที่อาจจะเป็นภัยซะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกขุนนางบู๊และบุ๋นที่อาจจะไหวตัวทัน โดยใช้วิธีสูบหยางเพิ่มพลังของพวกตัวเอง แปลว่าพวกที่เป็นฝ่ายจงรักภักดีกับฮ่องเต้น่าจะโดนกันหมด แม่ทัพจ้าวซิ่นจงนี่ตัวดีเลย พวกมารต้องมองออกแน่ๆว่าแม่ทัพชอบพอฮ่องเต้และอาจจะมองแผนมันออก ทำให้ช่วยเหลือฮ่องเต้จนหลุดแผนของพวกมันได้ เลยต้องรีบกำจัดอย่างเนียนๆ และที่น่าสนใจอีกเรื่องนึงคือ ใช้วิธีอะไรกันแน่สูบหยางศัตรูโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว? แถมยังตบตาหมอในวังหลวงได้เนียนขนาดนี้?

ที่ท่านเยี่ยอู๋จวินตาย ผมเคยตั้งข้อสังเกตไว้ว่ามันเป็นแผนอะไรหรือเปล่า ฮ่องเต้สั่งจริง หรือแค่มีราชโองการประทับตราพระราชลัญจกรมา ซึ่งถ้าเป็นมารออดอ้อนหรือใช้วิชาหลอกล่อหน่อยมันก็หามาได้แล้วไอ้ตราจักรพรรดิเนี่ย แต่ถ้าเป็นฝีมือพวกมารจริง ก็แปลว่ามารที่อยู่ในวังชาญฉลาดและร้ายกาจพอตัวเลยนะครับ มันต้องรู้ฝีมือที่แท้จริงของเยี่ยอู๋จวิน แม้ท่านเยี่ยจะปกปิดฝีมือเอาไว้และแค่แสดงพลังนิดๆหน่อยๆให้สมฐานะราชครู แต่มันก็มองออกและไม่ประมาท รีบกำจัดเยี่ยอู๋จวินที่น่าจะเป็นภัยต่อแผนของพวกมันก่อนเป็นคนแรก แถมใช้วิธีรัดกุมเสียด้วย ให้คนในมองข้าม คนนอกมองไม่ออก เพราะถ้าท่านเยี่ยชื่อกระฉ่อนเกี่ยวกับเรื่องยวนยาง การที่ฮ่องเต้จะให้รางวัลเป็นนารีสามร้อยนางมันก็ไม่แปลก ท่านเยี่ยเองก็ไม่ทันฉุกใจ เป็นไงล่ะ ตายเลย

คำถามต่อมาอีกคือ แล้วลาสบอสเป็นใคร? อันนี้ก็ยังเป็นปริศนาพอๆกับตัวเหล่ยเจิ้นยวี่ ผมเดาว่ามารลาสบอสนี่ต้องระดับเทพมาก เพราะมันเล่นสร้างกองกำลังโดยใช้วิธีสูบหยาง แล้วไม่ได้เล่นทางเดียว ถ้าสังเกตคือพวกนี้ชอบสูบพลังจากผู้มีพลังหยางสูงมากๆ มันเล่นทั้งทางยุทธภพ (ส่งมารทิวาม่วงและมารราตรีชาดมา วิธีก็คือดึงดูดพวกผู้ฝึกเซียนชั้นต้นให้หลงเข้ามา ใช้กามารมณ์กับวิชามารล่อลวงให้จมอยู่กับราคะ แล้วสูบหนักแบบไม่สนใจพลังชีวิตเหยื่อ เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ แต่คุณภาพหยางของผู้ฝึกเซียนเองก็สูงกว่าบุรุษมาตรฐานอยู่แล้ว) และทางเมืองหลวงธรรมดา (ส่งมารน่าจะเป็นกลุ่มมาทำตามแผนเพื่อเอาฮ่องเต้ไว้เป็นแบตเตอรี่คอยสูบพลังเรื่อยๆ)

ปัญหาคือ พวกนี้ไม่กล้าไปแตะกลุ่มผู้ฝึกเซียนชั้นสูง อย่างพวกเจ้าสำนักอัสนีพิสุทธิ์หรือเจ้าสำนักยุทธอื่นๆ เป็นไปได้ว่าพวกมันทำได้เนียนมากจนเจ้าสำนักต่างๆไม่ได้สนใจ แค่ส่งทีมค้นหามา (แบบเดียวกับช่วงบทแรกๆที่หานเฉิงรุ่ยปรากฏตัว) แต่ผมคิดว่าไป๋เจี๋ยฉุกใจคิดเรื่องจำนวนคนที่หายไป เพราะมันน่าจะหมายความอะไรสักอย่าง เลยออกมาตรวจด้วยตนเอง ซึ่งไป๋เจี๋ยเองก็ข่าวสารไม่ได้รอบรู้ ทำให้ไม่น่าจะมองแผนของลาสบอสออก และที่น่าเป็นห่วงคือ พอพวกมารมันสูบหยางแล้วทำตามเป้าได้เมื่อไหร่ พวกมารทั้งหมดมันจะมีพลังเพิ่มขึ้นแล้วคงคิดล้างบางยุทธภพแน่ๆ ที่พวกมันไม่แตะผู้ฝึกเซียนชั้นสูงคงเพราะคิดว่าตอนนี้ยังสู้ไม่ได้ แต่ถ้าสูบหยางมากพอที่จะอัพเกรดตัวเองได้ทั้งกองทัพ ผู้ฝึกเซียนชั้นสูงแค่ไม่กี่คนก็ไม่น่าจะครนามือ และตัวอันตรายคือลาสบอสน่ะแหละ เพราะมันชอบสูบหยางบริสุทธิ์ การที่ไป๋เจี๋ยฆ่ามารทิวาม่วงตายภายในแปปเดียว ถ้าเกิดลาสบอสรับรู้เกี่ยวกับตัวตนของไป๋เจี๋ยที่มีกระดูกเซียนและพลังหยางแข็งแกร่งระดับทายาทมังกรห้าเล็บ ไป๋เจี๋ยน่าจะตกอยู่ในอันตรายแน่ๆ ลาสบอสคงคิดจะกักตัวไว้สูบหยางแบบเดียวกับฮ่องเต้ ดีไม่ดีสูบหนักกว่าฮ่องเต้อีกเพราะว่าไป๋เจี๋ยหน้าตาสะสวยงดงาม

พอแม่ทัพจ้าวซิ่นจง (ที่ข้างในเป็นพระเอกของเรา) ลุกขึ้นมาเดินปร๋อ เดี๋ยวพวกมารมันต้องประหลาดใจแน่ๆ คราวนี้ล่ะเรื่องเดินไปสู่พล็อตอันน่าสนใจละ แต่ทีนี้พระเอกเราจะแก้เกมยังไงต่อล่ะ จะล้มแผนในวังได้ไม่ง่ายเลยนะครับ แต่คิดในแง่ดี ถ้าสมมุติท่านเยี่ยได้พลังหยางจากสุ่ยเต๋อฮ่องเต้โดยใช้ร่างท่านแม่ทัพ ก็คงคิดว่าไม่ผิดมากหรอก (มั้ง /หัวเราะ) ทำบุญทำกุศลให้แม่ทัพได้รักกับฮ่องเต้ แถมยังทำให้บัลลังก์ปลอดภัยจากมารด้วยนะครับ แต่คิดว่าไม่ง่ายล่ะ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 24 คห. 95 [P.4,25-12-19]
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 01-01-2020 11:53:41
 :mc2: :mc3: สวัสดีปีใหม่จ้า
ขอให้เป็นปีที่ดี แต่งนิยายหนุกๆแบบนี้ไปเรื่อยเร้ออ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 24 คห. 95 [P.4,25-12-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Panizzz3838 ที่ 16-01-2020 04:06:43
ปักไว้ก่อน :z13:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 24 คห. 95 [P.4,25-12-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 22-02-2020 21:17:23
บทที่ 25 อยู่ใกล้ฮ่องเต้ก็เหมือนอยู่ใกล้พยัคฆ์



ร่างกายของจ้าวซิ่นจงแม้ทรุดโทรมใกล้หมดลมหายใจอยู่รอมร่อ แต่เพราะข้าดึงธาตุหยางบางส่วนจากจิตวิญญาณมาหล่อเลี้ยงบำรุงรักษาเอาไว้จึงทำให้ชีวิตเทพสงครามรอดพ้นจากประตูผีได้ทันควัน เนื่องจากล้มไข้นานหลายเดือดร่างกายของแม่ทัพจึงผอมแห้งคล้ายผีตายซาก หากจะให้กลับมาแข็งแกร่งกำยำกล้ามเนื้อสวยงามดั่งเดิม เห็นทีว่าจะพึ่งไอหยางอย่างเดียวคงมิเพียงพอ คงทั้งบำรุงทั้งฝึกยุทธสักปีสองปีได้กระมัง



ข้าเยี่ยอู๋จวินแม้จะเป็นผีลามกที่ดียิ่งมีจิตใจเมตตาปรานีเพียงใด คงมิอาจเสียสละเวลาสองปีเพื่อดูแลรูปร่างของจ้าวซิ่นได้ถึงเพียงนั้น นับแต่วันที่ข้าหมดสิ้นลมหายใจ เวลานี้ก็ล่วงเลยไปเกือบปี ย่อมเท่ากับว่าข้าเหลือเวลาบนโลกมนุษย์เพื่อบำเพ็ญเพียรเป็นอ๋องผีเพียงหกปีกว่า แม้จะสะสมไอหยางมาได้มากหลายส่วน หนทางการเป็นอ๋องผีอยู่ไม่ไกลนัก แต่สิ่งใดไม่จำเป็นย่อมมิอาจเสียเวลาอันมีค่าของตนไปยุ่งวุ่นวาย ข้ายืมใช้ร่างของคนแซ่จ้าวเพียงชั่วคราว ใช่ว่านึกคิดอยากครอบครองฐานะแม่ทัพตลอดไปไม่ ผู้แซ่เยี่ยรักอิสรเสรีให้สวมบทบาทระยะสั้นอย่างตอนเป็นราชครูยังพอว่า หากต้องสวมหน้ากากไปทั้งชีวิตเกรงว่าคงได้ขาดใจตายอีกรอบเป็นแน่



แม้ว่าเป้าหมายหลักของข้าจะเป็นร่วมซวงซิวกับสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ขอแบ่งปันพลังหยางมาสักส่วนและช่วยให้แม่ทัพจ้าวสมหวังในรักที่สูงส่งเกินเอื้อม แต่หากคิดถึงเพียงความสุขส่วนตนเช่นนั้นย่อมไม่นับว่าเป็นบุญกุศลดีงามสมเป็นผีลามกที่ดีได้ นอกจากจัดการสอดส่องปัญหามารอาละวาดในเมืองหลวง อย่างน้อยก็สมควรจัดการเรื่องราวในบ้านสกุลจ้าวให้เรียบร้อย จ้าวซิ่นจงยังมีบุตรน้อยที่ต้องการการอบรมดูแล หากสิ้นคนสกุลจ้าวไป ตำแหน่งเทพสงครามผู้ครอบครองตราพยัคฆ์ของเขาย่อมกลายเป็นเผือกร้อนส่งต่อให้บุตรชาย



ในระยะเวลาที่ข้าหยิบยืมร่างของคนผู้นี้ หากวิญญาณสองส่วนของคนแซ่จ้าวรวบรวมเศษเสี้ยวจิตและวิญญาณเพิ่มได้สักสามสี่ส่วนมากให้เพียงพอจะใช้ชีวิตต่อไปได้ย่อมถือว่าเป็นโชคอันดี แต่การรวบรวมเศษเสี้ยวดวงจิตและวิญญาณย่อมมิใช่เรื่องง่ายดายเพียงนั้น แม้เป็นผู้ฝึกเซียนยังต้องใช้เวลานานหลายสิบหลายร้อยปี หากเขาทำไม่สำเร็จ ยามเมื่อข้าสละร่างไป จ้าวซิ่นจงย่อมไม่ต่างอะไรจากคนตายคนหนึ่ง



ยามนี้ยังพอมีเวลา ไม่สู้จัดการเรื่องราวต่างๆ เสียให้เรียบร้อยเสียเล่า คงมิมีเวลาใดเหมาะสมกับการถอนตัวออกมาจากราชสำนักอันแสนวุ่นวายเท่าเวลานี้อีกแล้วกระมัง แต่ไหนแต่ไรขุนนางตำแหน่งสูงใหญ่ในราชสำนักใช่ว่าจะปลอดภัย อยู่ใกล้ฮ่องเต้ก็เหมือนอยู่ใกล้พยัคฆ์ หากวันใดโอรสสวรรค์นึกอยากรวบรวมอำนาจกำจัดสกุลใหญ่ ตำแหน่งใหญ่โตของจ้าวซิ่นจงคงมิพ้นโดนโค่นล้มวันนั้นกระมัง



ห่างหายจากวังหลวงไปนานเป็นปี ความเป็นไปภายในแคว้นจิ่วโจวเป็นเช่นใดย่อมมิอาจล่วงรู้ได้ เรื่องราวที่ได้รับฟังมาจากผิงอ๋องในคราวก่อนถือว่ายังขาดรายละเอียดปลีกย่อยอยู่มาก ควรรู้ไว้ว่าคนเราหากจะคิดทำการใหญ่นอกจากจิตใจควรนิ่งแกร่งดั่งหินผาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ควรเตรียมการให้พร้อมเสียก่อน การเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้กุมอำนาจทางการทหารในแผ่นดินกมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งตรงที่เส้นสายมากมายยิ่งกว่าสายน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตคนในแคว้นจิ่วโจว ซ้ำยังไม่ต้องขวนขวายหาข้อมูลอันใดเองก็มีคนป้อนให้ถึงที่



ข้าลุกออกมาเดินเหินได้เพียงสองวัน กลางดึกคืนนั้นรองแม่ทัพแซ่หวังคนสนิทของจ้าวซิ่นจงก็ลอบเข้ามาในห้องนอนอย่างเงียบเชียบ คนคุกเข่าอยู่ข้างเตียงด้วยท่าทางดีใจห้าส่วนโศกเศร้าอีกสามส่วน นัยน์ตายามที่ผู้คนมองข้าเรียกได้ว่าแดงก่ำคล้ายร่ำไห้อยู่ทุกเมื่อ หวังมู่รักและเคารพแม่ทัพจ้าวเยี่ยงชีวิต ยามนี้มาเห็นร่างกายเขาทรุดโทรมคล้ายผีตายซากย่อมรู้สึกทุกข์ระทมเป็นธรรมดา เขาโขกศีรษะให้ข้าครั้งหนึ่งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ข้าหวังมู่ขออภัยท่านแม่ทัพที่มิได้เข้ามาเยี่ยมพบท่านนานเกือบเดือน ท่านแม่ทัพโปรดให้อภัย”



“ประสบเคราะห์ภัยคราวนี้ข้าฟื้นมาจากความตายได้ก็ดีถึงเพียงไหนแล้ว จะมีหน้าที่ไหนไปโกรธเคืองใครได้อีก” ข้าโบกมือให้เขาครั้งหนึ่งด้วยท่าทางเย็นชาแข็งกร้าวเหมือนคนแซ่จ้าวตัวจริงไม่มีผิดเพี้ยน เห็นสีหน้าของหวังมู่ดีขึ้นบ้างแล้วจึงค่อยเอ่ยปากถามเรื่องอื่น “ที่ผ่านนี้เมืองหลวงเป็นเช่นใดบ้าง เรื่องใดที่ข้าสมควรรู้ก็เล่ามาให้หมด”



หวังมู่สมควรแล้วที่ถือครองตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์เงา มิว่าเรื่องราวอันใดก็รู้ลึกซึ้งถึงรายละเอียดยิ่งกว่าสายสืบของผิงอ๋องเสียอีกราวกับว่าคนนอนอยู่ใต้เตียงชาวบ้านเสียด้วยซ้ำ นอกจากข่าวร่ำลือประเภทในรั้วบ้านแล้ว สี่สิบเก้าวันที่จ้าวซิ่นจงสลบไสลไม่ได้สติ ความเปลี่ยนแปลงในวังหลวงเรียกได้ว่าแทบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน



ขุนนางจากสกุลเก่าแก่ล้มตายไปหลายคนด้วยอาการเจ็บป่วยและโรคชรา แต่ที่ราชสำนักยังเป็นปึกแผ่นไม่สั่นคลอนมากนักเพราะหนึ่งคืออำนาจส่วนใหญ่กลับคืนสู่อุ้งมือของฮ่องเต้ สองคือเวลานี้มีคนหนุ่มรุ่นใหม่จากสกุลเล็กที่ไม่มีชื่อเสียงผ่านการสอบขุนนางเข้ามารับราชการและรับตำแหน่งสำคัญไปเสียมาก ผู้คนเหล่านี้ล้วนมีจิตใจจงรักภักดีทำงานขยันขันแข็งหนักเอาเบาสู้ ช่างเป็นขุนนางตัวอย่างดีแท้



รองแม่ทัพแซ่หวังส่งมอบรายชื่อขุนนางใหม่พร้อมประวัติโดยคร่าวก่อนขอตัวจากไปให้แม่ทัพของเขาได้พักผ่อน เพียงไล่ดูแค่ชื่อและประวัติที่ผู้คนรวบรวมมาคงมิอาจตอบได้ว่ามารที่ออกอาละวาดสูบธาตุหยางคนใหญ่คนโตในเมืองหลวงนั้นเป็นใคร หากจากความไม่ชอบมาพากลเท่าที่ข้าสังเกตได้ เกรงว่ามารที่ว่าคงปลอมแปลงแฝงตัวอยู่ในกลุ่มขุนนางเป็นแน่ มิหนำซ้ำต้องมิใช่ขุนนางหน้าใหม่ที่เพิ่งเลื่อนขั้นมาในสี่สิบเก้าวันนี้และต้องเป็นขุนนางที่ตำแหน่งไม่เล็กจนเกินไป มิเช่นนั้นคงมิอาจเข้าถึงตัวจ้าวซิ่นจงและบรรดาอ๋องต่างๆ ที่มีการป้องกันอารักขาอย่างแน่นหนาได้



วิธีแยกแยะมารออกจากมนุษย์และผู้ฝึกเซียนนั้น หากจะว่าง่ายก็ง่าย หากจะว่ายากก็ยาก เนื่องจากมารระดับต่ำจะยังมิสามารถเก็บซ่อนกลิ่นอายมารอันดำมืดที่คละคลุ้งออกจากร่างได้ แม้แต่ผู้ฝึกเริ่มต้นฝึกเซียนมีปราณธาตุเพียงเล็กน้อยก็สามารถสังเกตเห็นได้อย่างง่ายดาย แต่หากเป็นมารระดับสูงที่ผ่านการบำเพ็ญเพียรมาหลายปีรู้จักเก็บซ่อนกลิ่นอายของตนย่อมกลายเป็นเรื่องยากเย็นเป็นแน่ วิธีจะตรวจสอบได้นั้นต้องลงลึกไปถึงการสำรวจดวงจิตเพื่อค้นหาจิตมาร แม้ว่าไม่ต้องใช้พลังตบะมากมาย แต่รากฐานจิตใจต้องแข็งแกร่งมากนัก มิเช่นนั้นอาจถูกจิตมารสะท้อนกลับจนธาตุไฟเข้าแทรกหรือไม่ก็เกิดจิตมารเองได้



ที่ข้ากล่าวไว้ว่าหากตนเองยังเป็นราชครูอยู่ย่อมมิปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้นั้นมิใช่คำโอ้อวดตนแต่อย่างใด แต่ไหนแต่ไรข้าเยี่ยอู๋จวินก็ขึ้นชื่อเรื่องจิตใจแข็งแกร่งเกินใคร การเฟ้นหาจิตมารสำหรับข้าเป็นเรื่องง่ายดายราวเดินไปซื้อซีอิ๊วมาทำน้ำแกง หากตำแหน่งราชครูที่เคยเป็นของข้าเมื่อปีก่อน ยามนี้ตกเป็นของนักพรตนามหยวนจิ้งจากอารามละนิวรณ์ไปเสียแล้ว แม้ว่าข้าจะเคยมีสัมพันธ์กับคนจากสำนักเซียนอันเป็นหนึ่งในสามสำนักเซียนใหญ่แห่งนั้นอยู่บ้าง แต่นิสัยและฝีมือของคนแซ่หยวนเป็นเช่นไรกลับมิอาจรู้ได้ เกรงว่าเขาจะอ่อนวัยกว่าข้าสักรุ่นหนึ่งจึงมิเคยพบปะกันมาก่อน แต่หากบอกว่าผู้อื่นมีฝีมือมิเทียบเคียงข้าก็คงจะเป็นการอวดดีเกินไปแล้ว



แม้มีเรื่องราวที่จะต้องทำมากมาย แต่ข้าในคราบของจ้าวซิ่นจงยังคงใช้ชีวิตเอื่อยเรื่อยอยู่ในจวนแม่ทัพด้วยความสบายใจดียิ่ง ยามว่างยังมีเวลาไปสั่งสอนจ้าวหลี่ตงทำหน้าที่สมเป็นบิดาดีนัก หากภายใต้ท่าทีไม่ใส่ใจเรื่องนอกบ้านนั้น ข้าได้ออกคำสั่งให้รองแม่ทัพแซ่หวังไปสืบความถึงเรื่องการตายอย่างน่าประหลาดของเหล่าขุนนางมาเพิ่มเติม ตั้งแต่ตรวจสอบย้อนหลังว่าใครป่วยก่อนใครตายหลังและประวัติการพบปะผู้คนของขุนนางเหล่านั้นสักสองเดือนก่อนตาย คราวนี้จะเก็บซ่อนอย่างไรคงพอมีพิรุธให้เห็นบ้าง



การทำตัวเป็นคนป่วยพักฟื้นยืนให้อาหารปลาอยู่ในสวนของข้าแท้จริงแล้วก็เป็นแผนการอย่างหนึ่ง หลังจากที่หมอหลวงวนเวียนเข้าออกจวนอยู่สามสี่ครั้ง ไม่นานข่าวที่ว่าแม่ทัพจ้าวที่สมควรข้ามสะพานไน่เหอไปแล้วกลับอาการดีขึ้นจนเดินเหินได้ไม่นานต้องแผ่กระจายร่ำลือไปทั่วเมืองหลวง มารชั่วที่สูบพลังหยางจากจ้าวซิ่นจงคงร้อนใจขึ้นมาเป็นแน่ หมากสองตัวที่ข้าเดินไปแล้วคงมีตัวใดตัวหนึ่งใช้การได้กระมัง



หากก่อนที่มารจะเคลื่อนไหวให้ข้าได้จับสังเกต บุคคลที่เคลื่อนไหวก่อนหน้าย่อมเป็นสุ่ยเต๋อฮ่องเต้แห่งแคว้นจิ่วโจวผู้ ข้าเดินเล่นวนไปวนมาในจวนสกุลจ้าวได้เพียงห้าวัน ขันทีคนสนิทของเฮ่อฉีก็นำของพระราชทานจากจักรพรรดิมามอบให้ด้วยตนเอง โสมร้อยปีและสมุนไพรล้ำค่าเพิ่งเก็บเข้าที่ยังไม่ทันได้เอาออกมาใช้ สองวันต่อมาก็มีรับสั่งให้แม่ทัพจ้าวเข้าพบเสียแล้ว



ตามราชโองการแล้วเฮ่อฉีเรียกให้แม่ทัพแซ่จ้าวเข้าเฝ้าหลังจากเวลาว่าราชการตามปรกติประมาณหนึ่งชั่วยาม เป็นความนัยว่าคนยังมิได้เร่งเร้าให้รีบกลับเข้ารับราชการแต่อย่างใด หากคงเป็นเพียงการเรียกไปพบปะพูดคุยเพียงเท่านั้น ถึงกระนั้นจะเข้าเฝ้าฮ่องเต้ก็มิใช่เรื่องง่ายดายนัก ข้าใช้เวลาเลือกหาเสื้อผ้าของจ้าวซิ่นจงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบชุดขาวเรียบเชียบคล้ายที่บัณฑิตสวมใส่ตัวหนึ่งขึ้นมา หากคิดอยากมัดใจฮ่องเต้ ไม่ว่าจะกระทำการใดล้วนแต่ต้องมีแผนการมิต่างอันใดกับนางสนมที่อยู่ในวังหลัง ชุดขาวตัวนี้เมื่อสวมบนร่างผอมซูบของจ้าวซิ่นจงแล้วกลับหลวมโพรกทำให้ดูน่าสงสารมากขึ้นอยู่หลายส่วน



แผนการคล้ายทรมานสังขารเพื่อเรียกร้องความสนใจนับว่าไร้ยางอายอยู่มาก หากจ้าวซิ่นจงรู้เข้าว่าข้าจงใจทำตัวอ่อนแอต่อหน้าฮ่องเต้ คนคงอาละวาดยกใหญ่ปาจอกเหล้าจอกชาใส่ข้าเป็นแน่ แต่ปรมาจารย์วังวสันต์เช่นข้าไหนเลยจะมีสิ่งที่เรียกว่ายางอายอยู่อีก เมื่อคิดอยากจะหลับนอนร่วมเตียงกับองค์จักรพรรดิคงมิอาจใช้กำลังเข้าหักหาญเหมือนคราวอ๋องแปดได้ วิธีค่อยเป็นค่อยไปใช้ตนเข้าไปแทรกซึมอยู่ในใจย่อมแนบเนียนเป็นที่สุด ใจจริงของข้ามิได้อยากให้คนเห็นว่าแม่ทัพแซ่จ้าวอ่อนแอ เพราะแผนการเช่นนั้นเฮ่อฉีย่อมพบเจอมาไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยครั้ง สิ่งที่ข้าต้องการเพียงอยากให้โอรสสวรรค์เห็นว่าคนผู้หนึ่งจะทุ่มเทให้เขาด้วยใจจริงได้เพียงใด ขนาดเจ็บไข้ได้ป่วยซูบซีดถึงเพียงนี้ยังรีบมาเข้าเฝ้าเพราะจิตใจเฝ้าคะนึงหา สมกับเป็นบุรุษคลั่งรักดีแท้



ข้าเดินทางไปถึงวังหลวงก่อนเวลานัดหมายกว่าหนึ่งชั่วยาม นั่งรออยู่ในศาลาในอุทยานพักหนึ่ง เกากงกงขันทีคนสนิทของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ก็เรียกข้าไปยังห้องทรงพระอักษร ยามข้าสาวเท้าก้าวเข้าไปในห้องพร้อมเสียงประกาศของขันที เฮ่อฉีกำลังก้มหน้าอ่านฎีกาด้วยท่าทางคร่ำเคร่งตก หว่างคิ้วปรากฏร่องรอยลึกเป็นสายตามคิ้วที่ขมวดมุ่น มองแล้วงดงามคล้ายภาพวาดอยู่ไม่น้อย



เวลาผ่านไปสิบเดือนจักรพรรดิของแคว้นจิ่วโจวยังคงเป็นบุรุษหน้าหยกเช่นเคย ผิวขาวราวหยกมันแพะ รูปหน้างามได้รูป ดวงตาวาวใสดั่งนัยน์ตากวาง ริมฝีปากบางจัดจนเกือบเป็นเส้นตรงยามขยับเม้มเข้าหากัน แม้มิได้มีโฉมงามเฉิดฉายเหมือนไป๋เจี๋ย และมิได้หล่อเหลาโดดเด่นเหมือนเฮ่อยวน หากแต่ความสูงศักดิ์ของโอรสสวรรค์กลับให้ภาพลักษณ์ทั้งน่ายำเกรงและน่าย่ำยีไปพร้อมกัน



เกรงว่าข้าคงอยู่กับคู่รักจิตวิปลาสเช่นโม่ลี่และผิงอ๋องมากไปจนกระทั่งความรู้สึกอยากย่ำยีผู้อื่นติดเข้ามาในสมองจนได้ หากเฮ่อฉีรู้เข้าว่าแม่ทัพแซ่จ้าวมีความนึกคิดต่อเขาเช่นนั้น คนคงถูกประหารสักเจ็ดชั่วโคตรกระมัง แม้สมองจะคิดเรื่อยเปื่อย หากเรื่องเล่นละครคุมสีหน้าก็เป็นอีกเรื่องที่ข้าถนัดดียิ่ง ประโยคที่กล่าวต่อไปจึงเลียนแบบต้นฉบับได้ไม่มีผิดเพี้ยน “ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี”



“ไม่ต้องมากพิธีไป” เฮ่อฉีเงยหน้าขึ้นจากฎีกาก่อนจะตวัดสายตามองด้วยท่าทีสูงส่งสมเป็นผู้ครองบัลลังก์มังกร แม้ว่าผู้แซ่เยี่ยจะมิได้ตกหลุมรักพระหมื่นปีดั่งคนสกุลจ้าว แต่ต้องยอมรับตามตรงว่าไม่ว่ามองกี่ครั้งอากัปกิริยานี้ก็ช่างกระชากใจดีแท้ หากเป็นจ้าวซิ่นจงตัวจริงคงหัวใจกระตุกไปแล้วกระมัง คงเป็นเพราะคนผู้นั้นเก็บอาการมากจนเกินไป แสดงออกอย่างแข็งกร้าวมากจนเกินไปจนเอาแต่เฉยเมย การกระทำเช่นนั้นไม่เรียกว่าหน้าโง่ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าสิ่งใดแล้ว



กล่าวเพียงแค่นั้นสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ก็มิได้เปิดปากเอ่ยวาจาใดอีก คนได้แต่จ้องมองข้าในคราบของแม่ทัพปราบบูรพาอย่างเงียบงัน แม้ว่าข้าจะหลุบสายตามองต่ำมิจ้องมองโอรสสวรรค์โดยตรง หากขณะเดียวกันข้ากลับสัมผัสถึงความจริงบางอย่างที่น่าตื่นตะลึงเข้าเสียได้ แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของผู้คนจะไม่แปรเปลี่ยน แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาลคือพลังหยางที่เพิ่มพูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด



หากถามว่าในบรรดาผู้คนที่ข้าพบพานมาตลอดชีวิตทั้งเป็นคนทั้งผีใครเป็นผู้มีธาตุหยางมากที่สุด ข้าย่อมตอบอย่างไม่ลังเลว่าเป็นไป๋เจี๋ยแห่งหุบเขาไผ่ศักดิ์สิทธิ์ เหตุเพราะคนสกุลไป๋มีสายเลือดมังกรทองห้าเล็บอยู่ในตัวย่อมทำให้มีกายหยางบริสุทธิ์ไปด้วย แต่ในบรรดามนุษย์ธรรมดาที่มิได้เป็นผู้ฝึกเซียนแต่ประการใด จักรพรรดิย่อมผู้ครองแผ่นดินนั้นมีธาตุหยางสูงส่งกว่าราษฎรทั่วไปเป็นแน่ และยิ่งโอรสมังกรมีบารมีล้นฟ้าล้นแผ่นดินมากเท่าไร ธาตุหยางในกายยิ่งมากมายยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น



แต่ไหนแต่ไรเฮ่อฉีก็มีพลังหยางชั้นดีที่เหมาะแก่การฝึกวิชาวสันต์เริงร่าของข้าเป็นอย่างยิ่ง มายามนี้ธาตุหยางของเขากลับทวีคูณทั้งปริมาณทั้งคุณภาพแตกต่างกับคราวก่อนที่พบเจอกันราวฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ แม้ว่าคนแซ่เยี่ยจะขวนขวายเฟ้นหาหยางมาฝึกวิชาข่มหยินในร่างวิญญาณ แต่ดีชั่วเพียงใดใช่ว่าจะใช้ท่อนหยางคิดแทนสมองเสียเมื่อไร เห็นเช่นนี้ข้าย่อมรู้สึกไม่ชอบมาพากลอยู่มาก



สุ่ยเต๋อฮ่องเต้จ้องมองสภาพทรุดโทรมจนพอใจแล้วค่อยถอนหายใจออกมาแผ่วเบา คนสั่งให้เกากงกงรินชาให้ข้าก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอยู่สองส่วน “เห็นเจ้าเจ็บป่วยเจียนตาย เราก็ปวดใจยิ่งนัก คิดว่าแผ่นดินจิ่วโจวจะสิ้นแม่ทัพปราบบูรพาเสียแล้ว” ในเมื่อพระหมื่นปีอยากแสดงความเอื้ออาทรให้กับแม่ทัพสกุลจ้าว ข้าย่อมปล่อยให้เขาได้สมใจปรารถนา สีหน้าของจ้าวซิ่นจงแม้มีวี่แววยินดี หากความเป็นจริงแล้วข้ากลับฉวยจังหวะนั้นดึงพลังสายหนึ่งเข้าไปสำรวจจิตมารของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้โดยที่เขามิทันได้รู้ตัว



ความห่วงใยที่ปรากฏออกมานับว่าเป็นน้ำใสใจจริงหาได้เสแสร้งแกล้งทำไม่ นอกจากนั้นจิตมารที่พยายามค้นหาเท่าใดกลับหาไม่เจอสักส่วน กล่าวได้ว่าเฮ่อฉียังเป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง เนื้อในยังมิได้เปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นมารร้ายแต่อย่างใด ครั้นย้อนมองแล้วยิ่งคิดยิ่งเจอเงื่อนงำ นี่คล้ายว่าไอหยางจากเหล่าอ๋องและขุนนางทั้งหลายที่ล้มตายไปมารวมกันอยู่ที่พระหมื่นปีเพียงผู้เดียว เกรงว่าคงเป็นแผนการร้ายอันใดมากกว่ากระมัง



ข้าได้แต่เฝ้ามองพระหมื่นปีด้วยสายตาซาบซึ้งชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง มิได้เก็บงำความรู้สึกเอาไว้เบื้องลึกเหมือนจ้าวซิ่นจงยามปรกติ ราวกับฟื้นคืนมาจากความตายคราวนี้ได้เห็นสัจธรรมชีวิตจนมิอาจฝืนทนเล่นละครเก็บซ่อนความรักได้อีกต่อไปแล้ว มากน้อยเพียงใดสุ่ยเต๋อฮ่องเต้คงมีแม่ทัพจ้าวอยู่ในใจบ้างกระมัง เฮ่อฉีสบกับสายตาร้อนแรงของข้าแม้ไม่หลบตาอย่างชัดเจนแต่ก็เสมองไปทางอื่น มิรู้ว่าโกรธขึ้นหรือเขินอายกันแน่ ข้าปล่อยให้ภายในห้องทรงพระอักษรมีเพียงความนิ่งเงียบอีกครั้งหนึ่ง แต่ริมฝีปากกลับแย้มยิ้มอ่อนโยนส่งให้คนเบื้องหน้าไม่หยุดหย่อน



“เจ้าฟื้นมาครั้งนี้ก็ดีแล้ว ตั้งแต่ราชครูเยี่ยตายลง คนสนิทข้างกายเราก็ล้มตายไปมากเหลือเกิน” เฮ่อฉีเป็นฝ่ายทนความเงียบงันไม่ได้จึงเป็นฝ่ายเปิดปากขึ้นมาก่อน ไม่รู้ว่าคิดนึกคิดสิ่งใดขึ้นมาจึงมีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน บัลลังก์มังกรโดดเดี่ยวหนาวเหน็บเพียงใดใครเล่าจะรู้ดีไปกว่าองค์จักรพรรดิ หากวาจาของเขาฟังให้ดีแล้วไฉนถึงพูดคล้ายว่าข้าเป็นตัวอัปมงคลเสียได้เล่า



“รุ่ยชินอ๋องตายแล้ว หลี่อ๋องตายแล้ว บรรดาน้องชายทั้งหมดของเราเหลือเพียงผิงอ๋องเพียงคนเดียว เฮ่อยวนเป็นเช่นนั้นจะใช้ทำการใดได้” สุ่ยเต๋อฮ่องเต้ยกชาขึ้นจิบก่อนหัวเราะแผ่วเบาในลำคอคล้ายเย้ยหยันบางสิ่ง หากบรรยากาศอ้างว้างจากอีกฝ่ายกลับเป็นจังหวะอันดีงามในการรุกคืบแทรกซึมเข้าไปในจิตใจ



“ฝ่าบาททรงมีคุณธรรมต่อพี่น้องเช่นไรฟ้าดินเป็นพยาน ยามนี้ท่านอ๋องยังเยาว์วัยจึงหุนหันพลันแล่นไปบ้าง วันหน้าเมื่อ ท่านอ๋องเติบใหญ่รู้ความขึ้นย่อมต้องสามารถสัมผัสได้ถึงความหวังดีเป็นแน่” ข้ากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังจริงใจแต่ไม่ยกยอผู้คนจนเกินไป ซ้ำตีหน้าเคร่งขรึมราวกับว่าตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในแผนการแสร้งเป็นขยะไร้ค่าของอ๋องแปดเลยสักนิด



เฮ่อฉีหยัดมุมปากขึ้นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มราวกับว่าคาดเดาคำตอบนี้จากแม่ทัพจ้าวได้อยู่แล้ว คนกวาดมองร่างผอมซูบภายใต้อาภรณ์ขาวที่ยิ่งทำให้ดูซูบซีดกว่าเดิมแล้วเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง คำพูดต่อมาคล้ายว่ากล่าวขึ้นโดยไม่รู้ตัว “แม่ทัพจ้าวช่างบุญหนักศักดิ์ใหญ่ยิ่งนัก น่าเสียดายที่หลิงเอ๋อร์มิได้โชคดีเช่นเจ้า”



ชื่อหลิงเอ๋อร์ที่หลุดออกมานั้นจะเป็นใครไม่ได้นอกจากจ้าวเยี่ยนหลิง อดีตเต๋อเฟยผู้ได้รับความโปรดปรานเหนือตำหนักใน เต๋อเฟยผู้นี้เป็นน้องสาวร่วมอุทรของแม่ทัพจ้าว จะกล่าวว่าเป็นรักแท้ของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ก็ไม่ผิดนัก หากโชคชะตาคงเล่นตลกกระมัง ชะตาชีวิตของนางจึงได้สั้นจนน่าใจหาย หลังจากให้กำเนิดองค์ชายใหญ่ น้องสาวของแม่ทัพจ้าวก็เริ่มร่างกายออดแอดเจ็บป่วยทุกสามวันห้าวัน อดรนทนได้อยู่สี่ห้าปีก็สิ้นชีวิตด้วยพิษไข้เพราะต้องลมหนาวมาเกินไป ส่วนองค์ชายใหญ่ที่ควรเป็นโอรสคนโปรดมากความสามารถตามสายเลือดของทั้งพระบิดาและพระมารดากลับเป็นเพียงทารกสติไม่สมประดีคนหนึ่ง ช่างน่าเศร้าดีแท้



เมื่อรวมเรื่องของอดีตเต๋อเฟยเข้าไปแล้ว ความรักที่เก็บซ่อนเร้นของจ้าวซิ่นจงจึงน่าเห็นใจเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน นอกจากความสัมพันธ์ต้องห้ามระหว่างแม่ทัพและฮ่องเต้ยังมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวพัน ฝั่งหนึ่งก็คนในดวงใจ ฝั่งหนึ่งก็น้องสาว แม้จ้าวเยี่ยนหลิงตายไปหลายปีจนตอนนี้คงสู่สัมปรายภพไปแล้ว แต่นางก็ยังคงเป็นวิญญาณที่หลอกหลอนจิตใจของทั้งฝ่าบาทและทั้งพี่ชายอยู่มิเลือนราง



พบเจอกันในครั้งนี้พระหมื่นปีคล้ายตกอยู่ในภวังค์บางอย่าง เดี๋ยวครุ่นคิด เดี๋ยวเหม่อมอง เดี๋ยวก็ละเมอเพ้อพูดสิ่งใดออกมาโดยมิรู้ตัว อาการเช่นนี้คล้ายคนป่วยทางใจ มิรู้ว่าเพราะเสียคนใกล้ตัวไปหลายคนในระยะเวลาอันสั้นหรือเพราะถูกมารร้ายตนใดสูบหยางจนหมดเรี่ยวแรงหมดพลังชีวิต แต่จากพลังหยางที่มากมายส่องประกายมาจากร่างในยามนี้เกรงว่าคงจะมิใช่ข้อหลังเป็นแน่ แม้จะเป็นฮ่องเต้ผู้สูงส่งเกินใครในแผ่นดินจิ่วโจว แต่ความเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาสิบเดือนที่ผ่านมานี้คงหนักหนาสำหรับเขาไม่น้อยเลยกระมัง



ข้ายื่นปลายนิ้วไปแตะหลังมือขาวดั่งหยกของเฮ่อฉีอย่างแผ่วเบา สัมผัสอบอุ่นที่จากผิวกายทำให้มีสีหน้าที่ดูดีขึ้นมาบ้าง แพขนตาของโอรสมังกรสั่นไหวเล็กน้อย หากชั่วครู่ต่อมาคล้ายว่าคนนึกคิดสิ่งใดขึ้นได้ สุ่ยเต๋อฮ่องเต้ยกมือหลบไปอีกทางหนึ่ง ก่อนเปลือกตาจะหลุบลงต่ำจนคล้ายว่าไม่อยากมองข้าอีก



“วันนี้เราล้าแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถิด”



ประตูหัวใจที่เปิดแง้มเอาไว้เล็กน้อยของเฮ่อฉีปิดลงอีกครั้งก่อนที่ใครจะรุกล้ำเข้าไปได้ วันนี้ยังไม่ชนะใจผู้คน แต่วันหน้าใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเสียเมื่อไร



นึกอยากครอบครองทั้งกายทั้งใจของฮ่องเต้ย่อมต้องทุ่มทั้งความคิดทุ่มทั้งเวลา ข้าเยี่ยอู๋จวินอาจมีเวลาเพียงจำกัด ไหนยังมีคดีความเรื่องมารชั่วที่ต้องจัดการ แต่เมื่อได้ธาตุหยางบางส่วนมาจากเฮ่อฉี พลังฝึกปรือย่อมก้าวหน้าก้าวกระโดดจนแทบกลายเป็นอ๋องผีเป็นแน่ คิดคำนวณออกมาแล้วหากกำไรมากกว่าขาดทุนก็คุ้มค่าที่จะลองมิใช่หรือ



โปรดติดตามตอนต่อไป...





ซินเอ๋อร์:

คิดถึงกันไหมค้าาา ขอโทษที่หายไปนานค่า พอดีโฮสต์โง่ใกล้จบเลยหนีไปปั่นเรื่องนั้นให้จบ จะได้มาเขียนเรื่องนี้ต่อยาวๆ ไป บวกกับงานเยอะ และช่วงไฟนอลด้วยค่ะเลยมาๆ หายๆ ขอโทษที่ช้านะคะ จะพยายามไม่เว้นช่วงนานขนาดนี้ค่ะ

ตอนนี้ยังคงอยู่กับการปูเนื้อเรื่องต่ออีกตอนค่ะ ถ้าเนือยไปต้องขอโทษด้วยนะคะ ช่วงตอนนี้พล็อตค่อนข้างใหญ่ รายละเอียดเยอะ เขียนไปก็รู้สึกว่าเขียนออกมาได้ไม่ค่อยดีเลย บวกกับไม่ได้เขียนนานด้วยเลยอาจจะติดขัดนิดหน่อย ยังไงจะปรับปรุงแก้ไขนะคะ ขอโทษจริงๆ ค่ะ ส่วนเรื่องราวจะเป็นยังไง บอกเลยว่าเราจะอยู่กับสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ไปอีกหลายตอนค่า นอกจากสกิลลามกแล้ว เรามาดูสกิลการจีบของอู๋เกอกันบ้างนะคะ 55555

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 25 คห. 101 [P.4,22-2-2020]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 23-02-2020 14:42:19
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 25 คห. 101 [P.4,22-2-2020]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 24-02-2020 00:30:16
กลับมาแล้ว~
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 26 คห. 104 [P.4, 7-6-2020]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 07-06-2020 21:40:31
เป็นแม่ทัพจ้าวช่างวุ่นวายเสียจริง



ในเมื่อจ้าวซิ่งจงลุกขึ้นมาเดินเหินพูดจาเกี้ยวพาราสีผู้คนได้ สุ่ยเต๋อฮ่องเต้จึงมิอาจปล่อยให้ผู้คนเก็บตัวอยู่บ้านเอื่อยเฉื่อยหายใจทิ้งไปวันๆ ได้อีกต่อไป วันต่อมาเกากงกงได้ถือราชโองการเรียกตัวแม่ทัพจ้าวให้กลับเข้าไปรับราชการตามเดิมซ้ำยังออกปากรั้งตัวให้อยู่ในเมืองหลวงควบคุมการฝึกทหารใหม่ให้สำเร็จเสร็จสิ้นโดยมิต้องรีบหวนกลับคืนทิศบูรพา งานการที่มิอาจเรียกได้ว่าหนักหนาเช่นนี้ คำกล่าวอ้างว่าร่างกายยังต้องพักฟื้นบำรุงคงใช้การไม่ได้เสียแล้ว



หน้าที่การงานต้องกลับไปทำ ตราพยัคฆ์ในมือยังต้องส่งคืน นอกเหนือจากนั้นยังต้องสืบหามารชั่วที่อาละวาดในเมืองหลวงเสียอีก ความรับผิดชอบมากมายช่างล้นมือปรมาจารย์วังวสันต์เสียจริง ยังดีที่รองแม่ทัพแซ่หวังทำงานได้ดียิ่งสมคำร่ำลือ คล้อยหลังเกากงกงไปได้ไม่นานคนก็นำหนังสือเล่มหนาซึ่งเขียนสรุปเนื้อความตามที่ข้าสั่งการไปอย่างครบถ้วน นอกจากเรื่องลำดับการป่วยไข้ล้มตายแล้วยังมีบันทึกการพบปะของเหล่าขุนนางทั้งหลาย ซ้ำยังมีเขียนอธิบายความสัมพันธ์อันซับซ้อนของผู้คนอีกด้วย



ข้าขมวดคิ้วอ่านหนังสือเหล่านั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่หลายรอบก็ยังไม่เห็นสิ่งใดที่จะสามารถนำมาเชื่อมโยงกับเหตุการณ์วุ่นวายในคราวนี้ได้ เหล่าอ๋องผู้สูงศักดิ์น้องชายของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ที่สิ้นชีพไปล้วนแต่ประสบเคราะห์กรรมแตกต่างหาจุดคล้ายคลึงไม่ได้เลยสักนิด อาการเจ็บป่วยของขุนนางสกุลใหญ่ที่รับใช้ในราชสำนักมาตั้งแต่ฮ่องเต้รัชสมัยก่อนที่หมอหลวงให้การรักษาก็ปรากฏอาการไม่แน่ชัด ไม่คล้ายว่าเป็นโรคระบาด ไม่พบเจอยาพิษ อาการอ่อนแรงที่พบเจอก็เหมือนคนป่วยไข้ทั่วไป



ยิ่งไม่พบเจอเรื่องไม่ชอบมาพากลกลับยิ่งสื่อถึงพิรุธบางสิ่ง อาการอ่อนแรงที่ว่าคงมิพ้นการถูกสูบธาตุหยางออกไปทีละเล็กทีละน้อยเหมือนกับที่จ้าวซิ่นจงประสบพบเจอเป็นแน่ อย่างไรเสียทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพียงความคิดเห็นของผู้แซ่เยี่ยเท่านั้น หากอยากพิสูจน์ให้มั่นใจ จะปลุกวิญญาณผีชรามาสอบถามเจรจาคงไม่ได้ความ ขนาดคนแซ่จ้าวที่ไอหยางสูงส่งกว่าคนทั่วไปยังเหลือวิญญาณแค่สองส่วน ที่เหลือเกรงว่าจะดับสลายแม้แต่ยมโลกก็ไม่ได้ไปเยือนเสียกระมัง ยามนี้คงมีเพียงไหวอ๋องเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ข้าได้ตรวจสอบอาการ



การเข้าถึงตัวไหวอ๋องหรือเฮ่อเหวินมิใช่เรื่องง่ายดายเท่าใดนัก แต่มีหรือที่เรื่องแค่นี้จะรอดพ้นฝีมือของเยี่ยอู๋จวินได้ ดึกดื่นคืนนั้นข้าใช้วิชาตัวเบาย่องเข้าไปในจวนไหวอ๋อง หลีกหนีจากสายตาองครักษ์และขันทีทั้งหลายแฝงตัวไปจนถึงข้างเตียงท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ เพียงแค่ปรายตามองคนที่หลับใหลไม่ได้สติก็สัมผัสได้ถึงอาการหยินมากหยางน้อยอย่างที่คาดเดาเอาไว้ไม่มีผิด อาการของเขายังดีกว่าจ้าวซิ่นจงอยู่บ้างตรงที่วิญญาณยังแตกสลายไปไม่กี่ส่วน หากรักษาได้ทันการณ์ยังมีโอกาสฟื้นคืนกลับมาได้บ้าง



ข้าถ่ายเทพลังหยางส่วนหนึ่งให้กับเฮ่อเหวิน เพียงไม่นานสีหน้าที่ซีดเซียวก็ดีขึ้น ลมหายใจแม้ยังเบาหวิวแต่ก็ดีกว่าเดิมอยู่มาก ก่อนข้าจะหันหลังกลับจวนแม่ทัพกลับพบความผิดปรกติขึ้นจนได้ ประสาทสัมผัสรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายมารเบาบางที่มิควรปรากฏอยู่ในจวนไหวอ๋องขึ้นมาเสียได้ เมื่อตรวจสอบดูก็พบกระจกแปดทิศขนาดเพียงครึ่งฝ่ามือบานหนึ่งลอบติดอยู่ใต้เตียง



เดิมทีกระจกแปดทิศที่เหล่านักพรตใช้งานกันอย่างแพร่หลายควรมีอำนาจในการต่อต้านสิ่งชั่วร้ายอัปมงคลขับไล่ไอหยินดึงดูดธาตุหยาง หากเพ่งมองอักขระลงอาคมกลับพบว่ากระจกแปดทิศบานนี้ถูกเขียนขึ้นในลักษณะย้อนทิศสลับด้าน จึงกลายเป็นเครื่องมือดูดหยางสร้างหยินของมารชั่วไปเสียได้ ไม่รู้ว่าทำไมวิชาประหลาดเช่นนี้จึงทำให้ข้ารู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก



หากเป็นผู้ฝึกเซียนผู้อื่นคงทำลายกระจกแปดทิศย้อนกลับเพราะโมโหจนยั้งสติไม่อยู่ที่ถูกมารชั่วหยามเกียรติและศักดิ์ศรีไปแล้วกระมัง แต่ตัวบัดซบแซ่เยี่ยเช่นข้ามีหรือที่จะรู้สึกรู้สาสิ่งใด แต่ไหนแต่ไรวิถีทางของข้าก็นับว่านอกรีตจากผู้อื่นอยู่มาก ฉะนั้นแล้วข้าคงมิหน้าโง่รีบทำลายหลักฐานชิ้นงามเช่นนี้ ได้แต่เก็บเข้าไปในอกเสื้อเพื่อนำไปตรวจสอบเพิ่มเติมเท่านั้น



วิธีการที่เหล่ามารใช้สูบหยางผู้คนนั้นคงไม่ต่างจากกระจกแปดทิศบานนี้มากนัก ข้าอาศัยอยู่ในจวนแม่ทัพหลายวันกลับมิเคยพบเจอสิ่งของที่ใช้สูบหยางผู้คนเช่นนี้มาก่อน เกรงว่าคงถูกพวกมันกำจัดไปเสียก่อนที่ข้าจะเข้าสิงผู้คนเสียกระมัง สวรรค์ยังเข้าข้างที่ไหวอ๋องยังไม่ตายได้ที่ดีจึงยังมีร่องรอยหลงเหลืออยู่บ้าง มารสารเลวพวกนี้ช่างทำงานได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนดีแท้ ก่อนผู้คนล้มตายมันก็เก็บหลักฐานไม่ให้หลงเหลือสาวไปถึงตัวพวกมันได้ ส่วนปลายทางของธาตุหยางเหล่านั้นวัดจากพลังที่เพิ่มสูงขึ้นแล้วคงไม่พ้นถูกส่งตรงไปยังเฮ่อฉี แต่สุ่ยเต๋อฮ่องเต้จะรู้เรื่องราวมากน้อยเพียงใดยังมิอาจตอบได้แน่ชัด ดีไม่ดีคนอาจกลายเป็นแหล่งรวบรวมธาตุหยางของมารก็เป็นได้



แต่สิ่งหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้คือการที่สิ่งต่างๆ ยิ่งคล้ายว่าจะโยงใยไปหาราชครูคนใหม่เสียยิ่งกว่าอะไร พูดกันตามความเป็นจริงแล้ว บุคคลที่จะเที่ยวถือข้าวของหน้าตาประหลาดไปติดอยู่ในจวนโดยที่ผู้คนไม่ผิดสังเกตได้ก็มีแต่นักพรตตำแหน่งสูงอย่างเช่นตำแหน่งราชครูกระมัง หากจะรีบตัดสินว่าเขามีความผิดร้ายแรงด้วยการสมคบคิดกับมารก็เหมือนจะเป็นการโยนหม้อดำใส่ผู้คนเสียมากกว่า โดยเฉพาะในยามนี้ที่หยวนจิ้งไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง เพราะหลายวันก่อนถูกเรียกตัวกลับสำนักด้วยเรื่องด่วน



เรื่องด่วนใหญ่โตปานนั้นคิดดูแล้วคงมิพ้นเป็นไป๋เจี๋ยที่กระจายข่าวเรื่องมารออกอาละวาดสูบพลังหยางไปตามสำนักเซียนใหญ่ หลังจากประชุมถกเถียงกันจนหาข้อสรุปได้ อีกไม่นานเหล่าผู้ฝึกเซียนทั้งอนุชนทั้งผู้อาวุโสคงได้แห่แหนกันเข้ามาในแคว้นจิ่วโจวเพื่อปราบมารเป็นแน่ มองแล้วอย่างไรก็ไม่ดีต่อผีลามกเช่นข้าทั้งนั้น คราวนี้คงต้องรีบจัดการปัญหามารชั่วพวกนี้ให้ได้ก่อนตัวน่ารำคาญพวกนั้นจะโผล่เข้ามาขัดขวางหนทางบำเพ็ญกุศลและแผนการสั่งสอนสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ของข้า



แม้จะรีบร้อนเพียงใดก็มิอาจบุกเข้าไปในตำหนักของฮ่องเต้ในทันทีได้ เรื่องพรรค์นี้หากเร่งรีบเกินไปจนเป็นการเร่งรัดผู้คนจนเกินไป จากคราวก่อนที่พูดจาว่าความกันหลายประโยค ข้าจับสังเกตได้ถึงจิตใจเปล่าเปลี่ยวหนาวเหน็บของเฮ่อฉีที่ขาดคนสนิทข้างกาย ยามนี้ผู้คนเปิดโอกาสเรียกตัวจ้าวซิ่นจงไปรับใช้ใกล้ชิดเช่นนี้ย่อมสื่อว่ามากน้อยเพียงใดเขาต้องมีแม่ทัพแซ่จ้าวอยู่ในใจบ้าง การจะสานสัมพันธ์คงมิใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก ผีแซ่เยี่ยยังมีแผนการมากมายในสมองมิใช่หรือ



เช้าวันรุ่งขึ้นข้าจึงยังใช้แผนทรมานสังขารเรียกร้องความสนใจด้วยการแต่งกายด้วยชุดหลวมโพรกชวนหดหู่ดูคล้ายเจ็บไข้ใกล้ตายเต็มทีเพื่อไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ท่ามกลางสายตาเห็นใจของเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ที่ข้ามิคุ้นเคยหน้าตา ข้ายังได้เห็นสายตาวูบไหวไปด้วยแรงอารมณ์ของเฮ่อฉีอยู่ครู่หนึ่งยามเมื่อเขามองใบหน้าซีดเซียวและท่าทางเหลาะแหละไม่สมสมญานามแม่ทัพปราบบูรพา ก่อนมันจะแปรเปลี่ยนเป็นความสงบนิ่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจเช่นเคย



สงสารก็ดี สังเวชก็ดี โกรธขึ้งก็ดี ตราบใดจ้าวซิ่นจงยังอยู่ในสายตาของเขาย่อมเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น



การว่าราชการในช่วงเช้าของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้มิได้แตกต่างไปจากความทรงจำเมื่อคราวที่ข้าเป็นราชครูแซ่เยี่ยเท่าใดนัก การเป็นแม่ทัพแซ่จ้าวมิได้ต้องกระทำการสิ่งใดมากมายนอกจากตีสีหน้าเคร่งขรึมมิน่าเข้าใกล้ คอยพยักหน้ารับรู้บ้างเป็นครั้งคราว จวบจนเวลาเลิกประชุมก็ยังมิพบเห็นสิ่งใดน่าสนใจ คนคุ้นเคยอย่างผิงอ๋องยังคงมิโผล่หน้ามารับราชการ แต่ทำตัวเป็นขยะไร้ค่าเช่นเคย หากสิ่งหนึ่งที่เป็นไปตามความคาดหวังคือการที่เฮ่อฉีรั้งตัวเรียกข้าไปพบที่ศาลาหลังหนึ่งในอุทยานหลวง



มิรู้ว่าเป็นลิขิตสวรรค์เช่นไร องค์จักรพรรดิจึงมักท่ามากขยันเก็บงำความคิดไว้ในใจ กว่าจะเข้าเรื่องเข้าราวใดได้ต้องใช้วิธีอ้อมค้อมวกวนเสียครึ่งค่อนวัน เห็นผู้อื่นชวนข้าเดินหมากก็คาดเดาได้ว่าเขาคงมีเรื่องราวในใจเป็นแน่ ข้าเฝ้ารอให้เฮ่อฉีเดินหมากไปได้ครึ่งตา คนถึงยอมปริปากออกมาได้ ผู้แซ่เยี่ยช่างมีความอดทนดีเยี่ยมยิ่งนัก



“ทำตัวเหลาะแหละอ่อนแอเช่นนี้ เราสงสัยนักว่าเจ้าจะเล่นละครให้ใครดู” นัยน์ตาวาวใสคู่นั้นมองข้าด้วยอาการกึ่งบึ้งตึงเย็นชากึ่งจับผิด เกรงว่าสายตาเห็นใจจากขุนนางน้อยใหญ่ที่มองมาคล้ายว่าสุ่ยเต๋อฮ่องเต้บังคับให้คนอ่อนแอใกล้ตายรีบกลับเข้าทำงานจะสร้างความหงุดหงิดใจให้กับพระหมื่นปีเสียแล้ว



“หากมิใช่ฝ่าบาทแล้วจะเป็นใครได้” ข้าในบทบาทของจ้าวซิ่นจงตอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยน้ำเสียงจริงจังมิต่างอันใดจากแม่ทัพจ้าวตัวจริงแม้แต่น้อย เสียแต่ว่าผู้คนมิเคยกล่าววาจอาจหาญเช่นนี้มาก่อน โชคยังดีที่เกากงกงและผู้ติดตามของเฮ่อฉีล้วนแต่เป็นผู้มากความสามารถรู้จักหลบเลี่ยงออกไปตั้งแต่แรก การแทะโลมองค์จักรพรรดิต่อหน้าขันทีคงมิใช่เรื่องน่าอวดขานเป็นแน่



สุ่ยเต๋อฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นมือที่กำลังหยิบจอกชาก็นิ่งชะงักไปบ้าง ริมฝีปากของข้าขยับออกเป็นรอยยิ้มเบาบางเต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง ขนตาดำหนาของเฮ่อฉีหลุบลงต่ำคล้ายมองพิจารณาสีน้ำชา ผ่านไปครู่หนึ่งผู้อื่นมิได้ปาจอกชาใส่ข้าดั่งเช่นที่เคยทำกับเฮ่อยวนในยามโกรธเกรี้ยวย่อมหมายความว่าจิตใจของเขาสั่นไหวเข้าแล้ว



“ฟื้นมาคราวนี้วาจาเจ้าเปลี่ยนแปลงไปมากนัก” เฮ่อฉีเก็บอารมณ์ต่างๆ ปรับน้ำเสียงให้ราบเรียบไร้ระลอกคลื่นได้ดียิ่งสมกับเป็นโอรสมังกร คนคงพยายามหาทางบ่ายเบี่ยงจากเล่ห์กลหลอกล่อในครั้งนี้ แต่มีหรือที่เยี่ยอู๋จวินจะละทิ้งโอกาสอันงามไปได้



“รอดพ้นจากความตายมาได้ย่อมทำให้คิดได้ว่าชีวิตผู้คนนั้นช่างแสนยิ่งนัก ความปรารถบางสิ่งจะให้เก็บงำไว้ในใจเฝ้ารอวันตายคงน่าเสียดายไม่น้อย” ข้าตอบกลับได้อย่างจริงจังลื่นไหล สายตาที่ส่งตรงไปยังเฮ่อฉีคงแน่วแน่เกินไปจนอีกฝ่ายมิอาจสบตา “หากทำให้ฝ่าบาทลำบากใจก็สมควรโดนลงโทษแล้ว”



สุ่ยเต๋อฮ่องเต้มิได้ว่ากล่าวสิ่งใดตอบกลับ คนหมุนจอกน้ำชาในมือเล่นไปมาตามนิสัยติดตัวดั้งเดิมยามครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถึงบุคคลที่ข้าคาดไม่ถึงเสียได้ “บางครั้งบางคราก็ทำให้เรานึกถึงเยี่ยอู๋จวินขึ้นมา ครั้งที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็มักหยอกเอินเราเช่นนี้ ช่างไม่รู้จักแยกแยะสูงต่ำเสียจริง”



คนถอดถอนใจครั้งหนึ่ง “หากคนตายแล้วคือตายไปแล้ว”



เรียวคิ้วของข้ากระตุกเข้าหากันคล้ายคนไม่พอใจเพราะกินน้ำส้มไปทั้งไห สิ่งหนึ่งคือแท้จริงแล้วมิได้ติดใจเรื่องสูงต่ำตามที่เขาว่าแต่อย่างใด เนื่องจากสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ปกครองแผ่นดินจิ่วโจวย่อมคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่เกินใครเป็นเรื่องธรรมดาและมิอาจเข้าใจวิถีทางของผู้ฝึกเซียนนอกรีตเช่นข้า หากสิ่งที่ติดใจกลับเป็นถ้อยคำยามที่เขาเอ่ยถึงข้าสมัยเป็นราชครูแซ่เยี่ย เหตุใดจึงเอ่ยวาจามีเยื่อใยคล้ายว่าข้าเข้าไปอยู่ในใจผู้คนเสียได้



มีคำกล่าวว่าองค์จักรพรรดิล้วนแต่ไร้ซึ่งรักแท้ แต่มีเหล่าสนมชายานางกำนัลเป็นเพียงเครื่องประดับประดาเป็นสีสันในชีวิตเท่านั้น ข้าเคยคิดว่าด้วยความสัมพันธ์ครั้งเก่าแก่แต่เยาว์วัยระหว่างเขาและแม่ทัพปราบบูรพา เมื่อไม่นับจ้าวเยี่ยนหลิงที่เป็นฉากหน้า จ้าวซิ่นจงผู้นั้นคงเป็นรักแท้ในใจของเฮ่อฉีเป็นแน่ คราวนั้นที่เฝ้าหยอกล้อเขาผู้แซ่เยี่ยก็หวังเพียงกายงามดั่งหยกเพื่อฝึกวิชาวสันต์เริงร่าเพียงเท่านั้น เกรงว่าสุ่ยเต๋อฮ่องเต้จะเป็นพวกมากรักหลายใจแล้วกระมัง



บรรยากาศเงียบงันคงทำให้เฮ่อฉีคิดขึ้นได้ว่าจ้าวซิ่นจงชังน้ำหน้าราชครูแซ่เยี่ยยิ่งกว่าอะไร การกล่าวถึงคนตายต่อหน้าคนเป็นมากไปคงมิส่งผลดีอันใดมากนัก ฮ่องเต้เดินหมากในมือเพื่อหลีกหนีมิให้ตนเองจนแต้มก่อนจะกล่าวเปลี่ยนประเด็น “เดือนหน้าเราจะส่งเฮ่อยวนไปปกครองเมืองฉิน”



ข่าวคราวครั้งนี้ทำให้ข้ากระตุกคิ้วเข้าหากัน เมื่อวางหมากไล่ต้อนสุ่ยเต๋อฮ่องเต้แล้วจึงค่อยตอบกลับด้วยท่าทางจริงจังกว่าที่เคย “ตั้งแต่ไหนแต่ไรผิงอ๋องมิเคยรับราชการมีตำแหน่งหน้าที่การงานในแผ่นดินจิ่วโจวมาก่อน ส่งเขาไปปกครองแดนเหนือเช่นนั้นจะมิเป็นการหนักหนาสาหัสไปหรอกหรือ”



เมืองฉินนับเป็นเมืองหนึ่งทางตอนเหนือของแคว้นจิ่วโจว เนื่องจากมีภูเขาแร่เหล็กอยู่หลายลูกจึงทำให้เมืองฉินมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง หากด้วยความที่อยู่ติดกับแคว้นของชาวหมานผู้ป่าเถื่อน แร่เหล็กที่จึงนำพาข้อพิพาทและการสู้รบแย่งดินแดนกันอยู่บ่อยครั้ง แม้จะมีข่าวลือมาว่าอ๋องผู้ปกครองป่วยไข้ตายไปเมื่อสามเดือนก่อนจนทำให้แผ่นดินหมานคงระส่ำระสายไปอีกหลายสิบปี แต่การอวยยศส่งผิงอ๋องไปครองพื้นที่ปัญหาเช่นนั้นจะต่างอันใดกับการส่งคนไปสู่ความตายกันเล่า



“คราวก่อนเจ้ายังบอกว่าผิงอ๋องจะเข้าใจความหวังดีของเรามิใช่หรือ เขาเติบใหญ่ถึงเพียงนั้นย่อมต้องรู้จักหน้าที่และมีความรับผิดชอบบ้างแล้ว” สุ่ยเต๋อฮ่องเต้เลิกสนใจหมากในกระดานที่ดูคล้ายตนเองจะพ่ายแพ้ ความอ่อนล้าปรากฏขึ้นบนนัยน์ตาวาวใส “เพียงแค่เขาแต่งคณิกาเป็นหวางเฟยเราก็ปวดใจแล้ว หากมิปล่อยให้ทำตัวเกะกะเกเรต่อไปคงผิดต่อเสด็จพ่อและอดีตซูกุ้ยเฟยเป็นแน่”



สุ่ยเต๋อฮ่องเต้พาดพิงถึงคนตายโดยเฉพาะอดีตซูกุ้ยเฟยที่คิดล้มบัลลังก์ตนเช่นนี้มิรู้ว่าต้องการประชดประชันถึงสิ่งใด เยี่ยอู๋จวินผู้นี้รู้งานดียิ่งจึงแกล้งเป็นลืมเลือนถ้อยคำเหล่านั้นเสีย แต่ยังมิวายแทะโลมอีกฝ่ายด้วยวาจาจนได้ “แม้ว่าชายาของเขาจะเป็นเพียงคณิกาชายต้อยต่ำไร้สกุล หากเขาก็ยังรักใครเชิดชูผู้คนเป็นอย่างดี นับว่าผิงอ๋องมีรักแท้มั่นคงแน่วแน่ ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก”



“แม่ทัพแซ่จ้าวเริ่มบูชาความรักตั้งแต่เมื่อไรกัน” คราวนี้ร่องรอยประชดประชันปรากฏขึ้นในเนื้อเสียงอย่างชัดเจน เฮ่อฉีรู้ดีกว่าหากเปิดโอกาสต่อไปคงมิวายถูกข้าพูดจาอาจหาญแทะโลมอีกเป็นแน่ เขาจึงโบกมือตัดบทครั้งหนึ่งด้วยท่าทางเปี่ยมไปด้วยอำนาจของโอรสมังกร “เราตัดสินใจดีแล้ว เจ้าอย่าได้คิดโต้แย้งเลย”



หากสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ต้องการลิขิตชะตากรรมของน้องชายให้เป็นเช่นนั้น ด้วยความสัมพันธ์เหินห่างดั่งคนไม่รู้จัก จ้าวซิ่นจงก็คงมิสามารถขัดขวางอันใดให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตได้ ผู้แซ่เยี่ยคงออกปากช่วยเหลือเฮ่อยวนและโม่ลี่ได้เพียงเท่านั้นกระมัง ได้แต่หวังเพียงว่าหมากที่เดินเอาไว้ก่อนหน้าคงพอทำให้ทั้งสองมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้บ้าง



หมากกระดานตานี้เห็นแววแล้วว่าสุ่ยเต๋อฮ่องเต้จะพ่ายแพ้ให้กับข้าในคราบแม่ทัพจ้าวอย่างไม่เป็นท่า จึงมิต้องเสียเวลาเดินหมากอีกต่อไปแล้ว ข้าคิดว่าคงถึงเวลาหวนกลับจวนแม่ทัพเสียทีเพื่อเขียนจดหมายส่งข่าวตักเตือนให้เฮ่อยวนและโม่ลี่ได้รู้ตัวจะได้รู้จักเตรียมตัวเตรียมใจ หากเฮ่อฉียังมิวายรั้งตัวข้าเอาไว้อีกครั้ง



“เจ้ามิได้เข้ามาในวังหลวงเนิ่นนาน วันนี้มีโอกาสอันดีก็ไปดูองค์ชายใหญ่กับเราเถิด” โอรสมังกรในฉลองพระองค์สีเหลืองลุกขึ้นเดินนำไปโดยมิรั้งรอ แม้องค์ชายใหญ่นามเฮ่อหยางจะสติปัญญาอ่อนด้อยพิกลพิการหรือต่อให้เฮ่อฉีมีแผนการพิสดารเช่นไร อย่างไรด้วยศักดิ์ของจ้าวซิ่นจงที่เป็นลุงสายเลือดเดียวกันกับเขาย่อมต้องอยากไปพบเจอเด็กน้อยเป็นแน่



ยามเป็นราชครูอยู่ในเมืองหลวงข้ามิเคยพบเจอองค์ชายใหญ่เลยสักครั้ง หากรับรู้ด้วยข่าวสารว่าเด็กน้อยผู้น่าสงสารนั้นสติปัญญาไม่สมประกอบ อายุเจ็ดปีแล้วก็ไม่สามารถพูดจาเป็นคำได้ แต่ละวันได้แต่นั่งเหม่อมองอย่างไร้จุดหมาย ฟังแล้วช่างน่าเศร้าดีแท้



ยามนี้เมื่อไปถึงตำหนักกระจ่างใสที่อยู่ห่างไกลจากตำหนักอื่นๆ ราวกับไม่ได้อยู่ในวังหลวง ก็พบเด็กน้อยร่างเล็กนั่งอาบแดดกินของว่างอยู่ในสวนด้วยสายตาเลื่อนลอย ข้ากวาดตามองครั้งเดียวก็รู้ว่าเฮ่อหยางมิใช่เพียงเด็กปัญญาอ่อนสติไม่สมประดีทั่วไป แต่เขาเกิดมามีไม่ครบสามจิตเจ็ดวิญญาณ มิรู้ว่าชาติก่อนมีบาปกรรมเช่นใด ชาตินี้จึงเกิดมามีเพียงสองจิตสี่วิญญาณเสียได้



แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนเริ่มมีสมองนึกคิดบ้างแล้ว ไหนจะเหมือนคำร่ำลือที่ว่าเขาเอาแต่นั่งนิ่งไม่มีสติรับรู้สิ่งใด ทันทีที่เห็นฉลองพระองค์ปักลายมังกร เฮ่อหยางก็หลบหลีกเหล่าขันทีน้อยวิ่งเข้ามาหาเฮ่อฉีพลางร้องเรียกเสียงใส “เสด็จพ่อ”



รอยยิ้มพาดผ่านริมฝีปากของเฮ่อฉี เป็นครั้งแรกที่เขามองข้าในร่างของแม่ทัพแซ่จ้าวด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเป็นอย่างยิ่ง มือขาวของเขาลูบศีรษะบุตรชายคนโตอย่างแผ่วเบา ยามเรียกขานชื่อจ้าวซิ่นจงยังอ่อนโยนสนิทสนมกว่ายามปรกติ “เจ้าดูเถิดซิ่นจง ยามนี้เขาวิ่งเล่นซ้ำยังพูดได้แล้ว เพียงไม่นานหลานชายของเจ้าต้องฉลาดปราดเปรื่องไม่แพ้หลิงเอ๋อร์เป็นแน่”



ข้าในร่างของจ้าวซิ่นจงย่อมต้องยิ้มรับเปี่ยมสุขไม่ต่างกัน แม้จะรู้สึกคล้ายพบเจอเรื่องราวไม่ชอบมาพากลเข้าแล้ว เฮ่อหยางคลอเคลียเสด็จพ่อของตนได้ไม่นานก็วิ่งไปหาขันทีน้อยร่างเล็กคนหนึ่ง เด็กชายเรียกชื่อกัวเซิ่งซ้ำๆ แล้วค่อยให้ขันทีผู้นั้นป้อนขนม ท่าทางไร้เดียงสาเช่นนี้คงทำให้เฮ่อฉีหัวใจอ่อนยวบ



“พวกเจ้าดูแลองค์ชายใหญ่ได้ดีเป็นอย่างดียิ่ง ตกรางวัลให้เป็นทองคำคนละสามแท่ง” สุ่ยเต๋อฮ่องเต้กวาดสายตาไปจนถึงขันทีน้อยกัวเซิ่ง อารมณ์ที่ดีอยู่แล้วยามได้เห็นบุตรชายยิ่งดีกว่าเดิมเสียอีก “ส่วนกัวเซิ่งให้เพิ่มเป็นห้าแท่ง ตั้งแต่เจ้าเข้ามาดูแลอาการของหยางเอ๋อร์ก็ดีขึ้น คงเพราะชะตาต้องกันเป็นแน่”



ข้าหลุบตามองขันทีน้อยด้วยความฉงนใจ บนโลกหล้าใบนี้มีหรือที่ขันทีคนหนึ่งจะสามารถรักษาอาการปัญญาอ่อนจากการที่มีจิตวิญญาณไม่ครบให้ดีขึ้นได้ด้วยสาเหตุชะตาต้องกัน ระหว่างที่ครุ่นคิดอยู่ กัวเซิ่งก็ขยับตัวลุกขึ้นเพื่อเติมขนมของว่างให้กับองค์ชายใหญ่ ข้าพลันได้สบสายตากับดวงตากลมโตทั้งคู่ แววตาที่ส่งตรงมานั้นสร้างความคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก



หลังจากพินิจมองดวงหน้าขาวใสและไฝเม็ดเล็กสีน้ำตาลบนหว่างคิ้วของขันทีน้อยข้างกายเฮ่อหยาง หัวใจของข้าที่มิได้มีอยู่จริงก็รู้สึกชาวาบ...สิ่งต่างๆ ที่ได้ประสบพบเจอในช่วงนี้ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลแปดแปดหกสิบสี่ก้าวยามปราบมารทิวาม่วงหรือกระจกยันต์แปดทิศภายในห้องของไหวอ๋อง กลวิชาประหลาดเช่นนี้ล้วนแต่เป็นของเล่นของคนผู้หนึ่งมิใช่หรือ



คนอย่างเยี่ยอู๋จวินหากเกิดความสงสัยขึ้นแล้วย่อมมิยอมปล่อยให้ค้างคาใจ ดึกดื่นคืนนั้นข้าจึงเร้นกายลอบปีนกำแพงเข้าไปในวังหลวงอย่างหาญกล้า ครั้นถึงตำหนักอันห่างไกลผู้คนขององค์ชายใหญ่เฮ่อหยางกลับพบว่าขันทีน้อยผู้นั้นเฝ้ารอตนเองอยู่แล้ว



กัวเซิ่งนั่งอยู่บนม้านั่งหินตัวหนึ่งด้วยอากัปกิริยาเรียบร้อยสง่างามดุจดั่งลูกหลานสกุลใหญ่ ดวงตาคู่นั้นจับจ้องตรงดิ่งมาที่ข้า กระทั่งน้ำเสียงยามเอ่ยกล่าววาจายังราบเรียบสงบนิ่งถือตัวดียิ่ง



“มาแล้วหรือเยี่ยอู๋จวิน”



สิ้นคำทักทายนั้นข้าในร่างของจ้าวซิ่นจงคุกเข่าลงกับพื้นทันที



“เยี่ยอู๋จวินคารวะอาจารย์หญิง”



โปรดติดตามตอนต่อไป...





ซินเอ๋อร์:

มาแล้วค่าาา ขอโทษที่มาช้า ยังมีใครรออ่านอู๋เกออยู่บ้างไหมคะะ พอดีหายไปกะจะเขียนโฮสต์โง่ให้จบๆ ไปก่อนจะได้มาเขียนอู๋เกอยาวๆ สรุปใช้เวลานานกว่าที่คิดเลยหายไปยาวเลย พอกลับมาเขียนก็ต้องใช้เวลาจูนตัวเองอีก ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะที่ทำให้รอ ฮือออ

ตอนนี้ยังคงอยู่กับปริศนาที่เหมือนจะซับซ้อนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังมีฉากหยอดของอู๋เกอกรุบกริบนะคะ ช่วงๆ นี้พล็อตเยอะ ปมเยอะ อย่าเพิ่งเบื่อกันน้า

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ ตอนนี้เบลอมากแล้ว พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 26 คห. 104 [P.4, 7-6-2020]
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 12-06-2020 00:29:43
ในที่สุดก็ได้เจออาจารย์หญิงสักที ว่าแต่ทำไมมาอยู่ที่วังหลวงได้นะ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 27 คห. 106 [P.4, 17-8-2020]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 17-08-2020 21:43:54
ห่างไกลพันลี้ยังได้พบเจอคนคุ้นเคย

ข้านั่งนิ่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นไม่ยอมขยับตัว แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าขาวใสที่แม่นางแซ่เจิ้งปลอมตัวมาเป็นขันทีน้อยยังรู้สึกลังเลไม่น้อย ใจหนึ่งเป็นเพราะรู้สึกผิดต่ออาจารย์อยู่ไม่น้อยที่ตนทำตัวเก่งกล้าลาออกจากสำนัก มายามนี้สิบแปดสิบเก้าปีผ่านไป ข้ากลับตายตกเป็นเพียงผีวิญญาณที่ต้องอาศัยสิงร่างผู้อื่น อีกใจเป็นเพราะหวาดหวั่นขึ้นมาว่าเหตุร้ายในแคว้นจิ่วโจวจะเป็นฝีมือของคนใกล้ชิดเก่าแก่ที่ตนเองเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง


แต่ไหนแต่ไรในบรรดาเหล่าผู้ฝึกเซียนทั้งผู้เยาว์และผู้อาวุโสล้วนแต่ต้องนับเจิ้งปิงฉินว่าเก่งกาจสามารถ เป็นผู้มีฝีมือลึกล้ำยากเกินหยั่ง ผู้อื่นอาจเคยได้ยินเพียงว่านอกจากกระดูกเซียนอันแน่นหนาและพลังฝึกปรือสูงส่ง นางยังมีวิชากระบี่ที่คล่องแคล่วพลิ้วไหวและวิชาลับเจ็ดอัสนีสวรรค์ที่หยิบยืมพลังสวรรค์มาใช้ได้ดั่งใจปรารถนา ใต้หล้านี้ไม่ว่าใครก็ต้องค้อมเอวไว้หน้านางอยู่หลายส่วน


หากมีสิ่งหนึ่งมิเป็นที่รับรู้กันในวงนอกคือการที่อดีตอาจารย์หญิงของข้าเชี่ยวชาญการสร้างอาวุธประหลาดวิชาพิสดารยิ่งกว่าใคร เจิ้งปิงฉินแม้ท่าทางสงบนิ่งเยือกเย็น แต่กลับมีนิสัยร้ายกาจอย่างหนึ่งคือชอบกลั่นแกล้งสร้างความยุ่งยากให้กับผู้อื่น ยามก่อนที่ข้าเป็นศิษย์เอกอันดับหนึ่งของนางจึงได้มีประสบการณ์ฝังจำกับของเล่นเหล่านั้นอยู่ไม่น้อย ค่ายกลแปดแปดหกสิบสี่ก้าวมักถูกใช้เวลาทำโทษข้า ส่วนกระจกแปดทิศย้อนกลับก็ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นมาก่อน อาจารย์เคยใช้มันดึงดูดผีร้ายไปหลอกหลอนศิษย์จากยอดเขาอื่นที่เคยมารังแกไป๋เจี๋ยอยู่หลายครั้งหลายครา เวลาส่งคืนมามักเป็นข้ารับหน้าอยู่บ่อยครั้ง ไยข้าจะจำไม่ได้


ข้าได้แต่ก้มหน้าอย่างเงียบงันอยู่ครู่ใหญ่ สมองครุ่นคิดว่าควรเริ่มเปิดปากเรียบเรียงเรื่องราวเช่นใดดี ทั้งที่อกข้างซ้ายปวดร้าวเจ็บแปลบที่นึกคิดคลางแคลงใจในตัวอาจารย์หญิง หากท้องทะเลแปรเปลี่ยนเป็นท้องนา เวลาผันผ่านอีกไม่นานก็จะครบยี่สิบปี

จิตใจผู้คนเปลี่ยนแปลงไปเช่นไรใครเล่าจะตอบได้


เวลาผ่านไปไม่ถึงเค่อ แต่กลับรู้สึกยาวนานดียิ่ง ข้าคิดจะตีหน้าซื่อเอ่ยปากทักทายหยอกล้อ หากเป็นอาจารย์หญิงที่ทนความเงียบงันไม่ได้จึงเอ่ยวาจาขึ้นมาเสียก่อน


“จากลากันคราวนั้นก็หลายปี พบเจอกันอีกครั้งใครจะคาดคิดว่าเจ้ากลับตายเป็นผีไปเสียได้” แม่นางแซ่เจิ้งในร่างของขันทีน้อยถอนหายใจครั้งหนึ่ง เมื่อเหลือบมองก็พบว่านางหลุบสายตามองข้าอยู่เช่นกัน สองมือหมุนจอกชาเล่นอย่างเชื่องช้าคล้ายกับครุ่นคิดบางสิ่ง “แต่ก็สมเป็นเยี่ยอู๋จวิน ตายแล้วกลับไม่คืนสู่ปรโลก คงหาหนทางฝึกเป็นอ๋องผีอยู่กระมัง”


มุมปากของข้าขยับอออกคล้ายเป็นรอยยิ้มกว้างตอบรับอย่างหน้าซื่อตาใส ความกระวนกระวายและความคลางแคลงใจต่างๆ ล้วนเก็บซ่อนเอาไว้ภายในเสียสิ้น “ได้ยินข่าวคราวว่าอาจารย์หญิงเร้นกายมิมีผู้ใดพบเจอมาสิบสี่ปี มิคาดคิดว่าท่านจะแฝงตัวอยู่ในวังหลวงแคว้นจิ่วโจวเสียได้ คราวก่อนที่ศิษย์เป็นราชครูกลับไม่เคยพบเจอขันทีน้อยนามกัวเซิ่งมาก่อน ท่านคงมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานกระมัง”


“หลังเจ้าตายไม่กี่วันเพียงเท่านั้น” เจิ้งปิงฉินวางจอกน้ำชาลงด้วยท่าทางสงบนิ่งเหมือนดั่งเช่นเคย ภาพลักษณ์ของกัวเซิ่งมิได้ลดทอนความสง่างามลงแม้แต่น้อย หากชั่วครู่หนึ่งที่ก่อนที่นางจะละสายตาไป ข้ากลับเป็นประกายน้ำบางเบาที่ฉาบอยู่ในดวงตาคู่งาม “เพียงแค่อยากให้เห็นกับตาว่าเจ้าพลาดพลั้งจริงหรือไม่”


ความเศร้าสร้อยที่แฝงอยู่มีหรือที่ผู้แซ่เยี่ยจะมองไม่เห็น หากแต่จะใช้อารมณ์จนละเลยข้อสังเกตอื่นคงไม่ได้ เจิ้งปิงฉินอยู่ในแคว้นจิ่วโจวนับเวลาแล้วตอนนี้ก็สิบเดือนเทียบเท่ากับช่วงเวลาที่เหล่าอ๋องและขุนนางใหญ่ทั้งหลายในราชสำนักประจวบเหมาะล้มตายมิใช่หรือ เรื่องพรรค์นี้ปล่อยค้างคาเรื้อรังไว้ย่อมไม่ใช่เรื่องดี หากมิสอบถามให้รู้ความก็คงมิใช่เยี่ยอู๋จวินแล้วกระมั้ง


“ผู้แซ่เยี่ยขอบังอาจล่วงเกินถามท่านสักคำ” ข้าประสานมือเข้าหากันเพื่อคารวะอย่างนอบน้อม ทางหนึ่งลอบส่งพลังหยางสายหนึ่งเข้าไปสำรวจจิตมาร “ท่านคงเห็นแล้วว่าข้าธาตุเข้าแทรกตายไปตั้งแต่สิบเดือนก่อนดัง เหตุใดจึงไม่จากไป ไยจึงยังรั้งอยู่ในวังหลวงอีก”


เจิ้งปิงฉินหัวเราะเสียงเย็นในลำคอ เมื่อข้าเงยหน้าขึ้นก็พบว่าถูกผู้อื่นซัดฝ่ามือใส่ฝ่ามืดหนึ่งโดยมิทันได้ตั้งตัว แต่ไหนแต่ไรเรื่องความรวดเร็วว่องไวข้าก็มิอาจเอาชนะแม่นางแซ่เจิ้ง เมื่อมิอาจหลบพ้นจึงได้แต่ใช้สัญชาตญาณโคจรพลังหยางมารวมเอาไว้ตรงจุดที่ฝ่ามือกระทบผิวกายของแม่ทัพจ้าวเพื่อลดทอนบรรเทาอาการบาดเจ็บให้ได้มากที่สุด


ฝ่ามือนั้นมิได้รุนแรงมากนักคล้ายว่าคนยังออมมืออยู่มาก ผู้แซ่เยี่ยมิทันได้รู้สึกรู้สาประการใด แต่กลับเป็นเจิ้งปิงฉินที่ถูกพลังสะท้อนกลับจนร่างเล็กที่นางใช้อยู่ยามนี้ลอยกระแทกกับกำแพงตำหนักกระจ่างใส โชคอันดีที่ว่าอาจารย์คงวางอาคมบางอย่างป้องกันความวุ่นวายเอาไว้แล้ว มิเช่นนั้นย่อมมิอาจหลีกเลี่ยงขันทีและนางกำนัลได้เป็นแน่


“อาจารย์!”


ข้าขยับตัวขึ้นไปประคองร่างของนางขึ้นมา หนึ่งฝ่ามือที่อาจารย์ซัดใส่หาได้มีจิตมารเพียงเศษเสี้ยว เจิ้งปิงฉินยังคงเป็นพิณน้ำแข็งผู้สูงส่งสง่างามคนเดิมที่มิเคยมีใจคิดข้องเกี่ยวกับมารชั่ว หากสิ่งหนึ่งที่ข้าเป็นกังวลมากกว่าคือพลังฝึกปรือของนางที่ถดถอยอ่อนแอลงหลายเท่าตัว สตรีในร่างขันทีน้อยเบื้องหน้าข้านี้...ไหนเลยจะเป็นยอดฝีมือในตำนานผู้นั้นได้อีก


“ท่านบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”


อาจารย์หญิงกระอักเลือดออกมาคำโต นางส่ายหน้าอย่างเชื่องช้าคล้ายว่ามิเป็นเรื่องราวใหญ่โตแต่อย่างใด หากริมฝีปากที่ย้อมด้วยโลหิตสีแดงก่ำกลับแย้มยิ้มงดงาม


“ไม่พบจิตมาร...ดียิ่งนัก คงเพราะตัดรักไปทั้งหมดเป็นแน่”


มือที่ข้าหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเลือดให้นางถึงกับชะงักนิ่งไปบ้าง ถ้อยคำที่กล่าวมานั้นมิได้แตกต่างจากวันที่ข้ากราบลานางก้าวขาบนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์แม้แต่น้อย คนยังคงมีจิตฝังใจห่วงใยกับเรื่องจิตมารจากการฝึกวิชาใช้ผู้อื่นเป็นเตาหลอมของข้าอยู่มาก หากแต่เจิ้งปิงฉินกล่าววาจาเช่นนี้ มิใช่ว่านางก็มีข้อกังขาว่าข้าจะต้องเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์มารอาละวาดในเมืองหลวงเป็นแน่


น่าตลกดีแท้ที่ทั้งนางและข้าต่างมีความคิดสงสัยฝ่ายตรงข้ามมิแตกต่างกันเลยสักนิด อาจเพราะอาจารย์สั่งสอนผู้แซ่เยี่ยมาหลายปีอยู่กระมัง ข้าจึงซึมซับบางสิ่งบางอย่างไปบ้าง หากแต่นิสัยลงมือก่อนเอ่ยปากถาม คงเพราะข้าเป็นผีลามกที่ดีมีจิตใจอ่อนโยนมากกว่ากระมัง


“ล้วนเป็นจริงอย่างที่ท่านกล่าวเอาไว้ แรกเริ่มแม้เจ็บปวดใจเจียนตาย หากวันหนึ่งก็สามารถตัดขาดจากรักได้โดยมิรู้ตัว ยามนี้ข้ามิรู้สึกอันใดถึงความรู้สึกเหล่านั้นอีกแล้ว” ข้าละเว้นไม่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ตนเองคล้ายกลับมามีความรู้สึกรักและหวงแหนไผ่หยกสกุลไป๋ยามยืมใช้ร่างของเหล่ยเจิ้นยวี่ไปเสียสิ้น ขณะที่ฝ่ามือถ่ายทอดพลังหยางไปสายหนึ่งเพื่อช่วยรักษาอาการบาดเจ็บตามเส้นชีพจรของอาจารย์หญิง “มิพบเจอหลายปีเหตุใดพลังฝึกปรือของท่านจึงถดถอยเยี่ยงนี้ เกิดเหตุการณ์ใดขึ้นหรือ”


นัยน์ตากลมโตของขันทีน้อยวูบวาบด้วยหลากหลายอารมณ์ นางโบกมือไล่คล้ายอยากตัดบทเต็มที เช่นเดียวกับน้ำเสียงห้วนสั้นในวาจาต่อมา “เวลาเกือบสิบเก้าปีทุกสิ่งล้วนแปรเปลี่ยน ข้าเองก็พบเจอเรื่องราวมากมาย พลังฝึกปรือจะลดลงบ้าง เจ้าอย่าได้ใส่ใจ”


จากใกล้โบยบินเป็นเซียนกลับลดระดับลงจนอ่อนด้อยกว่าข้าหลายขั้น ยามนี้หากพบเจอมารชั่วเข้ามีหรือที่อาจารย์จะรับมือได้ อาการคล้ายต้องการปิดบังบางสิ่งกับทำให้ข้านึกสะท้อนใจขึ้นมา จึงว่ากล่าวกับนางไปอีกหลายประโยค


“ซัดข้าหนึ่งฝ่ามือ ตัวท่านกระเด็นไปสามจั้งคงเรียกว่าพลังฝึกปรือลดลงไปบ้างมิได้ ท่านเก็บงำวาจาเช่นนี้มิใช่ว่าถูกใครทำร้ายจนพลังถดถอยหรอกหรือ ขอเพียงท่านบอกมาตามตรง ข้าเยี่ยอู๋จวินแม้ลาออกจากสำนักแต่ยังเคารพท่านเป็นอาจารย์ทุกลมหายใจ ข้าย่อมต้องแก้แค้นเอาชีวิตมันมาให้ท่านเป็นแน่”


อาจารย์หญิงนิ่งงันไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นอาการเอาจริงเอาจังของข้า ก่อนนางจะหยิบจอกชาว่างเปล่ามาปาใส่ข้าแทน เจิ้งปิงฉินอ่อนแรงถึงเพียงนี้ มีหรือจะสามารถทำอะไรข้าได้ “เคราะห์กรรมครั้งนี้ล้วนแต่เป็นบุญคุณความแค้นของข้าทั้งสิ้น หาใช่เรื่องที่เจ้าจะเข้ามายุ่งเกี่ยว”


เมื่อนางดื้อดึงเช่นนั้นแล้วเยี่ยอู๋จวินยังมีหน้าที่ไหนไปเสนอตัวได้อีก แต่ข้อสงสัยที่ว่าเหตุใดอาจารย์หญิงจึงแฝงตัวอยู่ในวังหลวงของแคว้นจิ่วโจวเนิ่นนานเกือบปียังคงไม่คลี่คลาย หากเมื่อละทิ้งเรื่องมารชั่วอาละวาดและคิดใคร่ครวญดูให้ดีอีกรอบหนึ่งก็คล้ายว่าข้าจะเข้าใจบางอย่างขึ้นมาได้


คำถามมิใช่ว่านางรั้งอยู่ทำไม หากเป็นนางรั้งอยู่เพื่อใคร


“องค์ชายใหญ่เฮ่อหยาง...คงไม่ใช่อาจารย์อาเหลียงเหลียงเหลียงกระมัง”


เอ่ยถามไปเช่นนั้น แต่ในใจข้ามั่นใจถึงเก้าส่วนว่าบุตรชายผู้สติปัญญาไม่สมประกอบของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้คงเป็นชาติภพถัดมาของอดีตเจ้ายอดเขาอสูรคำรามเป็นแน่ จากคำบอกเล่าของไป๋เจี๋ยที่ว่ายามนั้นอาจารย์หญิงมาถึงช้าเกินไปอาจารย์อาเหลียงสิ้นชีพใต้เคราะห์อัสนี ดวงวิญญาณจึงเข้าสู่วัฏสงสารไปเสียก่อน ไหนเลยจะคาดคิดว่าคนกลับเกิดมามีสามจิตเจ็ดวิญญาณไม่ครบเสียได้ เคราะห์อัสนีของอาจารย์อาคงหนักหนาเกินไปแล้ว


เจิ้งปิงฉินที่ผู้คนกล่าวขานว่าหายสาบสูญแท้จริงคงตระเวนตามหาเสี้ยวจิตเสี้ยววิญญาณของอาจารย์อาไปทั่วทุกดินแดน สิบเดือนหนึ่งปีที่เฮ่อหยางอาการดีขึ้นมากย่อมเป็นเพราะได้รับเสี้ยววิญญาณบางส่วนกลับคืนมาเป็นแน่ แต่ไหนแต่ไรการตามหาดวงจิตและดวงวิญญาณที่แหลกสลายล้วนมิใช่เรื่องง่าย นางคงพลาดพลั้งเสียพลังฝึกปรือไปหลายส่วนคงเพราะเหตุนี้ คนถึงได้กล่าวว่าทั้งหมดล้วนเป็นบุญคุณหนี้แค้นของตน ผู้อื่นมิอาจสอดมือไปเกี่ยวข้องได้


ความเงียบงันและดวงตาหม่นแสงของอาจารย์ที่มิอาจกักเก็บความเศร้าโศกได้คล้ายเป็นคำตอบอย่างหนึ่งแล้ว เกรงว่านางคงนึกเสียใจที่ปล่อยให้เรื่องราวความรักสามเส้าในยามนั้นค้างคาจนดำเนินมาสู่ปลายทางที่ยากเกินแก้ไข เฮ่อหยางที่ชาตินี้มีชาติสกุลสูงส่งไม่มีความทรงจำครั้งเก่า ทั้งยังไม่รู้ว่ามีรากฐานเซียนเป็นเช่นไรบ้าง ต่อให้ลูกกลอนปราณไปบำรุงดูแลตนเองก็มิใช่ว่าจะหวนคืนสู่เส้นทางเซียนได้ง่าย อนาคตภายหน้าเป็นเช่นไรมิอาจคาดเดาได้เลยสักนิด


ความรักช่างทำให้ผู้คนสับสนวุ่นวายได้บัดซบยิ่งนัก


หัวคิ้วของจ้าวซิ่นจงที่มีข้ายึดครองร่างอยู่กระตุกเข้าหากัน แม้อาจารย์หญิงจะพลังฝึกปรือลดน้อยลงหลายขั้น แต่อายุขัยของนางยังคงยืนยาวหลายร้อยปี หากกลับไปบำเพ็ญเพียรอย่างขยันขันแข็งอีกครั้งก่อนหมดอายุขัยคงสามารถเหาะเหินขึ้นสวรรค์ได้
เว้นเสียแต่ว่านางละทิ้งหนทางเซียนเสียแล้ว


“หรือท่านคิดจะรั้งอยู่ดูแลเขาไปตลอดชีวิต”


“ไหนเลยจะเป็นเช่นนั้นได้” เจิ้งปิงฉินตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบคล้ายยอมรับในชะตากรรม แรกเริ่มข้ายังคิดว่าอาจารย์ยังสติไม่ฟั่นเฟือนพอนึกคิดมองเห็นความจริงได้บ้างว่าเส้นทางของนางและเด็กน้อยแซ่เฮ่อในชาตินี้คงมิอาจมาบรรจบกันได้อีกแล้ว แต่ประโยคถัดมาของนางกลับทำลายความคิดของข้าหมดสิ้น “ย่อมต้องมีหนทางอื่นที่จะพาเขาออกไปจากที่นี่ได้”


ไหนเลยจะมีหนทางง่ายดายเช่นนั้น เฮ่อหยางเป็นถึงองค์ชายใหญ่ โอรสของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้กับอดีตเต๋อเฟยผู้ได้รับความโปรดปรานเหนือตำหนักในจนคล้ายเป็นรักแท้ของเฮ่อฉี แม้จะมีสติปัญญาไม่สมประกอบ แต่มีหรือที่เสด็จพ่อของเขาจะยอมปล่อยตัวผู้คนไปได้ คงต้องลอบลักพาตัวหรือไม่ก็แกล้งตายแล้วสลับสับเปลี่ยนศพกระมัง


ข้ายังมิท่านได้เปิดปากโต้แย้ง อากาศรอบข้างตำหนักกระจ่างไกลขององค์ชายใหญ่เฮ่อหยางพลันกระเพื่อมลงน้อยคล้ายมีผู้คนผ่านเข้ามาในเขตอาคมของอาจารย์หญิง ยังไม่ทันผู้คนจะเดินมาให้เห็นตัว เนื้อเสียงอันทรงพลังที่อีกเพิ่มเสียงอีกสักส่วนคงกลายเป็นการตะโกนก็ดังขึ้นให้ได้ยินเสียก่อน


“อาจารย์อาเจิ้ง! เห็นทีท่านจะชักช้ารั้งรออยู่ที่นี่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ศิษย์รักของท่านสืบได้ความมาว่าเมืองหลวงแคว้นจิ่วโจวมีมารออกอาละวาดสูบหยางผู้คนเป็นเรื่องราวใหญ่โต อีกไม่ถึงสิบวันครึ่งเดือนนายน้อยสกุลไป๋คงได้พาผู้ฝึกเซียนฝูงใหญ่บุกมาที่นี้เป็นแน่ ยามนั้นท่านจะเร้นกายซ่อนตัวอย่างไรก็คงมิอาจ...”


ถ้อยคำประโยคท้ายขาดหายไปเมื่อผู้มาใหม่เพิ่งสังเกตเห็นร่างสูงกำยำของแม่ทัพจ้าวที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้นดินต่ำกว่าขันทีน้อยหน้าใสอยู่ระดับหนึ่ง นัยน์ตาของคนผู้นั้นเบิกถลน รูจมูกขยับหุบๆ อ้าๆ ริมฝีปากกระตุกสั่นจนพลอยให้หนวดยาวหร็อมแหร็มสั่นตามไปด้วย มิรู้ว่าด้วยอารมณ์ใดกันจึงได้ปรากฏหน้าตาแปลกประหลาดเช่นนั้นขึ้นมาได้ มองแล้วองคาพยพแสนธรรมดาสามัญดูน่าขันจนข้าเกือบหลุดหัวเราะออกมา หากข้ายังเห็นแก่เครื่องแบบเจ้าสำนักสีครามที่ปักลายเจ็ดเมฆมงคลและเจ็ดยอดบรรพตจึงไว้หน้าเขาไว้สักสองส่วน


ลาออกจากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์มาสิบเก้ายี่สิบปี ห่างไกลจากสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์หลายพันลี้ นึกไม่ถึงว่าวันนี้กลับได้พบเจอคนคุ้นเคย ซ้ำยังไม่ใช่หนึ่งแต่เป็นถึงสอง...


“อาจารย์อา ดึกดื่นยามนี้แล้วเหตุใดท่านจึงนัดพบชายหนุ่มหน้าตาองอาจซ้ำยังสร้างเขตอาคมมิให้คนนอกเข้ามาได้อีก ไหนจะอาจารย์อาเหลียงอีกเล่า นี่มิใช่ว่า...มิใช่ว่า...” เจ้าสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์คนปัจจุบันมองข้าสลับกับขันทีน้อยพลางพึมพำคำเดิมซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ คนผู้นี้จิตใจหยาบช้าดีแท้ เห็นข้าอยู่กับอาจารย์หญิงก็อุตริคิดไปไกลเสียได้ หากมิหยุดความคิดของเขาเอาไว้ก่อนจะเลยเถิดไปกันใหญ่ อีกสักครู่ข้าคงเผลอตัวซัดฝ่ามือใส่เขาหลายกระบวนท่าเป็นแน่


“คารวะศิษย์พี่หม่า”


หม่าฮุ่ยเหวินถึงกับชะงักบ้างเมื่อได้ยินดังนั้น หัวคิ้วของคนกระตุกเข้าหากัน จากนั้นพลังเซียนสายหนึ่งก็พุ่งตรงมายังข้า ผู้แซ่เยี่ยปล่อยให้ตัวน่าตายแซ่หม่ากระทำการสำรวจอย่างเต็มที่ ผ่านไปเพียงชั่วลมหายใจคนก็กลับมามีสีหน้าตกใจอีกครั้ง ศิษย์พี่กะพริบตาถี่ระรัวมองข้าราวกับปีกแมลงปอยามกระพือบิน


“เจ้า...เจ้า...เจ้า”


“ย่อมเป็นเยี่ยอู๋จวิน” อาจารย์หญิงเอ่ยขึ้นตัดบทเพราะรำคาญที่ผู้คนผู้ติดอ่างไม่ยอมกล่าวจบประโยคสักที หม่าฮุ่ยเหวินได้ยินดังนั้นก็รีบคว้ามือข้าซึ่งไม่ใช่ข้าไปตรวจชีพจรเสียยกใหญ่ นัยน์ตาคู่งามของขันทีน้อยกัวเซิ่งปรายมองชายผู้นั้นด้วยอารมณ์เย็นยะเยือกยิ่งกว่าเดิม หากน้ำเสียงราบเรียบจนแข็งกระด้างกลับอธิบายความได้ชัดเจนดียิ่ง ซ้ำยังปกป้องข้าอยู่หลายส่วน “เพียงแค่ยืมร่างผู้อื่นฝึกวิชาเพื่อเป็นอ๋องผีเท่านั้น ยามนี้คนตัดอารมณ์รักไปหมดสิ้นแล้ว ย่อมห่างไกลจากหนทางมารด้วยเช่นกัน”


เจ้าสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ได้ยินดังนั้นถึงกับชะงักนิ่งงันราวฉาบด้วยเกล็ดน้ำแข็งค้าง คนมิได้สนใจเรื่องราวการฝึกเป็นอ๋องผีของข้าเลยสักนิด หากกลับถามถึงผู้อื่นขึ้นมาเสียได้ “เช่นนั้นแล้วไป๋เจี๋ยเล่า....”


นึกถึงใบหน้ารอยยิ้มเศร้าสร้อยบนดวงหน้างามของไผ่หยกสกุลไป๋ยามแยกจากกลับครั้งล่าสุด หัวใจข้าพลันบีบรัดกลายเป็นความรู้สึกเจ็บแปลบทรมานยิ่งนัก เป็นครั้งแรกที่คนกะล่อนเจ้าเล่ห์แสนกลเช่นข้ามิรู้จะเอื้อนเอ่ยวาจาใดดี ขณะที่กำลังปั้นแต่งถ้อยคำ เจิ้งปิงฉินผู้มิรู้ว่านึกคิดสิ่งใดอยู่จนหน้าตามืดทะมึนกลับกระอักเลือดออกมาคำโต


“อาจารย์!”


“อาจารย์อา!”


ทั้งข้าและคนสกุลหม่าร้องประสานเสียงพลางขยับเข้าไปประคองร่างบอบบางคนละข้าง ศิษย์พี่หม่าจับชีพจรและสกัดจุดช่วยบรรเทาอาการลมปราณปั่นป่วนชีพจรยุ่งเหยิงอย่างรวดเร็ว จากนั้นคนค่อยหยิบกล่องไม้จันท์หอมกล่องหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ภายในบรรจุลูกกลอนโอรสสีแดงใสลายเปลวเพลิงอันบ่งบอกถึงคุณภาพอันดีเยี่ยมสมกับเป็นอันดับหนึ่งจากยอดเขาทิพย์โอสถ อากัปกิริยาคล่องแคล่วว่องไวของหม่าฮุ่ยเหวินคล้ายว่าเคยรักษาอาการนี้มาแล้วหลายสิบหลายร้อยครั้ง


ข้าที่ถอยออกมาก้าวหนึ่งปล่อยให้หมอเทวดาได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ได้แต่ขมวดคิ้วเข้าหากันเพราะข้องใจว่าเกิดเหตุอาเพศอันใดกับอาจารย์กันแน่ เจิ้งปิงฉินเหลือบตามองข้าด้วยสายตาแปลกประหลาดที่มีประกายวูบไหวพิกล ครั้นสีหน้าของขันทีน้อยกลับมีสีเลือดดีขึ้นบ้าง คนก็มองเมินข้ากลับสนใจแต่ศิษย์พี่หม่าเสียได้


“อีกสองสามวันเจ้าจงใช้ฐานะเจ้าสำนึกเช้ามาขอพบสุ่ยเต๋อฮ่องเต้แล้วค่อยบอกเขาว่าองค์ชายใหญ่มีกระดูกเซียนแน่นหนามีพื้นฐานปราณดีเยี่ยม หากฝึกฝนบำเพ็ญเพียรนอกจากอาการจะดีขึ้นแล้วอาจยังได้เป็นเทพเซียน ดีร้ายอย่างไรเฮ่อฉีผู้นั้นก็รักเอ็นดูบุตรชายอยู่ไม่น้อย เขาย่อมเข้าใจว่าเด็กผู้นี้มิเหมาะสมกับการแก่งแย่งชิงดีในวังหลวง” แม่นางแซ่เจิ้งสั่งความด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


วิธีการของอาจารย์เจิ้งช่างชาญฉลาด มิว่าฝ่ายใดก็ล้วนได้ประโยชน์กันทั่วหน้า กัวเซิ่งเป็นคนสนิทขององค์ชายใหญ่ย่อมถูกส่งตัวร่วมเดินทางไปด้วยย่อมหมายความว่านางจะได้ตัวคนรักในชาติภพใหม่กลับคืนไปอย่างง่ายดาย ส่วนด้านฮ่องเต้นั้นก็ได้หน้าอยู่ไม่น้อย ในราชสำนักล้วนรู้ดีว่าเฮ่อหยางเกิดมามีสติไม่สมประกอบ หากนางเล่นลูกไม้นี้ให้เขากลายเป็นผู้มีพลังปราณที่ถูกสำนักเซียนใหญ่รับตัวไป ไหนเลยใครจะจดจำได้อีกว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนปัญญาอ่อน ส่วนเกียรติยศของเต๋อเฟยสกุลจ้าวที่เคยแปดเปื้อนไปคราวให้กำเนิดพระโอรสคงได้กู้คืนกลับมาก็คราวนี้


เรื่องราวภายหน้าผู้คนจะหายตัวไปเช่นไรก็คงมิมีใครตามสืบข่าวได้แล้วกระมัง จากนิสัยของนางแล้ว อาจารย์หญิงคงคิดรักษาสถานะเร้นกายสูญหายไปในยุทธภพของตนเอาไว้เป็นแน่


หากศิษย์พี่หม่ากลับมีอาการลังเลอยู่ไม่น้อย “นี่มิใช่ว่าจะเป็นการหลอกลวงกันหรอกหรือ...เฮ่อหยางแม้มีรากฐานปราณอยู่บ้าง แต่ใช่ว่าจะแข็งแกร่งเป็นยอดอัจฉริยะเสียเมื่อไร”


“ตัวเจ้าเองก็ใช่ว่าจะมีกระดูกเซียนแน่นหนามาตั้งแต่เกิด เรื่องเช่นนี้หากบำรุงดูแลอย่างเหมาะสมย่อมก้าวหน้าได้ไวมิใช่หรือ” วาจานี้ของแม่นางแซ่เจิ้งคล้ายจะตบแสกเข้ากลางหน้าหน้าหม่าฮุ่ยเหวินเลยกระมัง เพราะตัวเขาเองที่ก้าวหน้ามาถึงทุกวันนี้ได้ก็มิได้อาศัยกระดูกเซียนตั้งแต่แรกเกิดเสียเมื่อไร หากคนมีพรสวรรค์ด้านการปรุงยารักษาโรคและการมีอาจารย์ดีที่เอ็นดูรักใคร่ศิษย์ก็นับว่าเป็นพรสวรรค์อีกเช่นกัน


เรื่องราวความรักข้ามภพข้ามชาติของอาจารย์หญิงและอาจารย์อาเหลียงก็แก้ไขไปอย่างง่ายดายเช่นนี้เอง หากเรื่องราวของข้าไหนเลยจะจบสิ้น ยิ่งได้ยินว่าคนสกุลไป๋จะนำพาเหล่าสำนักเซียนมายังที่นี่ในอีกสิบวันครึ่งเดือน จะบอกว่าคนแซ่เยี่ยไม่ร้อนใจเลยก็คงเป็นการโกหกกันเกินไปแล้ว


“อาจารย์หญิงและศิษย์พี่หม่าอยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว ผู้แซ่เยี่ยมีเรื่องจะปรึกษาหารืออยู่บ้าง ที่ท่านกล่าวว่าไป๋เจี๋ยสืบพบเรื่องมารออกอาละวาด แท้จริงแล้วข้าก็ติดตามเรื่องนี้เพื่อล้างแค้นในร่างนี้และสร้างกุศลให้ตนเองอยู่ หากไผ่หยกพาเหล่าสำนักใหญ่มา เกรงว่าข้าคงมิอาจออกหน้าได้อีกแล้ว”


หม่าฮุ่ยเหวินพยักหน้าพลางมองข้าด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ คนคงรู้ดีว่าหนทางการฝึกวิชาเป็นอ๋องผีมิใช่เรื่องง่ายดาย ที่ผ่านมามีตำนานผู้ที่ฝึกสำเร็จอยู่เพียงแค่สองคนทั้งนั้น ครั้งเมื่อพลาดพลั้งฝึกมิสำเร็จยังมีราคามากมายที่ต้องจ่ายคืนให้ยมโลก ฉะนั้นแล้วการสร้างกุศลจึงเป็นเรื่องสำคัญเทียบเท่ากับการฝึกปรือ การปราบมารครั้งนี้จึงสำคัญต่อข้าเป็นอย่างมากเพราะการช่วยเหลือแว่นแคว้นย่อมเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่มิใช่หรือ


เมื่อข้าเริ่มเล่าเรื่องราวที่ตนสืบเสาะมาได้จนถึงตอนนี้โดยไม่แม้แต่จะตัดทอนส่วนที่ข้านึกสงสัยเจิ้งปิงฉินออกไป เจ้าสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ตั้งใจฟังเป็นอย่างยิ่งจนขมวดคิ้วแน่นหน้าตายุ่งเหยิงไปหมด ขณะที่อาจารย์หญิงยังคงรักษาความสงบนิ่งเย็นชาได้เหมือนเช่นเคย


“เมื่อพบเจอกระจกแปดทิศย้อนกลับที่ใต้เตียงของไหวอ๋อง ข้าจึงนึกคิดได้ว่ารากฐานของวิชานี้เดิมทีเป็นของเหล่าเซียน ใช่ว่ามารจะหยามเหยียดกันได้ง่ายๆ หรือว่าแท้จริงในเมืองหลวงอาจมิได้มีมารแฝงตัว หากเป็นผู้ฝึกเซียนที่คบคิดกับมารชั่วก็ได้กระมัง” ยามนี้ข้อสงสัยของข้าจึงไม่ได้อยู่ที่พิณน้ำแข็งอีกต่อไป หากย้อนกลับไปยังผู้อื่นที่ร่ำรู้วิชาเซียนเช่นกัน “มิทราบว่านักพรตหยวนจิ้งจากอารามละนิวรณ์แท้จริงแล้วเป็นคนเช่นไร”


กลับเป็นหม่าฮุ่ยเหวินที่ส่ายศีรษะอย่างไม่เห็นด้วย “หลายปีมานี้ข้าเคยพบปะเขาอยู่บ้าง หยวนจิ้งแม้จะไร้เดียงสาสื่อบริสุทธิ์จนเกินไปบ้าง แต่เนื้อแท้มิใช่คนเลวร้ายแต่อย่างใด มารดาเขาตายตอนร่วมขบวนปราบมาร คนจึงรังเกียจมารเสียยิ่งกว่าอะไร หากพบเจอไอมารเพียงเล็กน้อยก็นิวรณ์อันใดก็ไม่อาจละทิ้งได้อีก เจอมารฆ่ามาร เจอพระก็ฆ่ามาร บ้าคลั่งดีแท้”
คนกล่าวเช่นนี้ย่อมหมายความว่าสติปัญญาของนักพรตแซ่หยวนคงทึมทื่อซื่อบื้ออยู่หลายส่วน หากหยวนจิ้งมีความแค้นต่อมารทั้งเผ่าพันธุ์เช่นนี้ เกรงว่าชีวิตหน้าอีกสามชีวิตก็ยังคงมิอาจร่วมมือทำชั่วได้กระมัง


หม่าฮุ่ยเหวินยกมือขึ้นลูบเคราหร็อมแหร็มที่ปลายคางวางท่าเคร่งขรึมด้วยมาดของเจ้าสำนัก “เรื่องราวนี้น่าสนใจยิ่งนัก หยินมากหยางพร่องมิใช่อาการที่จะตรวจพบกันโดยง่ายดาย ยิ่งกลิ่นอายมารเบาบางมิชัดเจนยิ่งตรวจพบยากนัก เกรงว่าต่อให้ผู้คนถูกสูบหยางล้มตายกันไปมากมายก็คงคิดว่าเป็นเพียงอาการเจ็บป่วยธรรมดา”


“เห็นทีข้าคงต้องแฝงตัวเข้าไปตรวจสอบบ้างแล้ว” นัยน์ตาของศิษย์พี่หม่าเป็นประกายระยิบระยับคล้ายพบเจอเรื่องสนุกขึ้นมา ผู้คนล้มตายแต่อีกฝ่ายกลับรื่นเริงเปรมปรีดิ์ มิรู้ว่าจะสรรหาคำใดมาด่าเจ้าหมอเทวดาหน้าด้านตัวนี้ดี
อาจารย์หญิงที่นั่งฟังอย่างเงียบอยู่นานจ้องมองมายังข้าด้วยสายตาล้ำลึกเกินหยั่ง


“ฟังดูแล้วคล้ายว่ายังมีสิ่งสำคัญกว่าที่เจ้ามองข้ามไปมิใช่หรือ” น้ำเสียงของนางยามนี้เย็นเยียบเยือกเย็น “หากมารชั่วมีแผนการรวบรวมธาตุหยางจนเข่นฆ่าขุนนางและเหล่าอ๋องในแคว้นจิ่วโจวไปมากมายถึงเพียงนั้น...”
ประโยคถัดมาของนางกลับทำให้ข้าตะลึงลานจนแทบเสียกริยา


“เกรงว่าคนแรกที่ตายตกจะไม่ใช่เจ้าหรอกหรือเยี่ยอู๋จวิน”


โปรดติดตามตอนต่อไป...


ซินเอ๋อร์:

มาช้าแต่มานะคะะะ ฮือออ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 27 คห. 106 [P.4, 17-8-2020]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 18-08-2020 00:33:19
 :pig4: :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 28 คห. 108 [P.4, 20-12-2020]
เริ่มหัวข้อโดย: ซินเอ๋อร์ ที่ 21-12-2020 02:51:17
ผู้คนล้วนแต่มีแผนการในใจ



เพราะเกิดมามากความสามารถจึงถือตนว่าเป็นผู้มีมันสมองฉลาดปราดเปรื่องรู้เท่าทันผู้คนเกินใครตั้งแต่เยาว์วัย ครั้นเป็นเรื่องราวของตนเองข้าเยี่ยอู๋จวินที่เป็นคล้ายหมากเบี้ยตัวหนึ่งแม้มิได้ขี่ม้าชมดอกไม้ หากกลับมิสามารถมองเห็นจุดบอดและจุดอับของหมากทั้งกระดานเสียได้ ต้องอาศัยคนนอกที่นั่งอยู่บนภูมองดูด้วยสายตาที่กว้างไกลเตือนสติ หมอกควันที่บดบังความจริงถึงได้มลายหายไปได้บ้าง



เกิดมาสามสิบสี่ปี ตายตกมาได้อีกเกือบปี ข้าเยี่ยอู๋จวินมิเคยคาดคิดว่าตนเองเป็นตัวโง่งมเท่าวันนี้มาก่อน เพียงวาจาประโยคเดียวของอาจารย์ก็ทำให้ยามนี้ดวงตาเบิกกว้างขึ้นมาก พิรุธอันใดที่มิเคยสังเกตเห็นก็คล้ายปรากฏเบื้องหน้าเสียมากมาย



ยามนั้นก่อนสุ่ยเต๋อฮ่องเต้โยนข้าเข้าตำหนัก โอรสสวรรค์ได้ลอบวางยาปลุกกำหนัดในสุรา แรกเริ่มข้าคิดเพียงว่าพิษวรุณคลั่งรักวสันต์รัญจวนใจของวังหลวงช่างแข็งแกร่งเสียจนเกินต้าน แต่เมื่อหวนคิดให้ดีแล้วกลับพบว่าแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง



เนื่องด้วยข้าเป็นปรมาจารย์วังวสันต์ผ่านรสรักมามากมาย ใต้หล้านี้ยาสวาทประเภทใดก็เคยลิ้มรสมาหลากหลายชนิดเสียจนร่างกายเริ่มคุ้นชิน กระทั่งคราวมารทิวาม่วงใช้กลิ่นกระตุ้นราคะ ข้ายังเป็นเพียงผู้เดียวที่ประคองสติตนไว้ได้...แล้วเหตุใดยาปลุกกำหนัดสูตรวังหลวงที่เดิมทีใช้เพียงคนในราชวงศ์จึงบีบคั้นให้ข้าขาดสติถึงขั้นมั่วโลกีย์กับสตรีถึงสามร้อยนางได้ พึงรู้ไว้ว่าเจ้าหน้าอ่อนสายเลือดมังกรพวกนี้เดิมทีล้วนแต่เป็นหมูในอวย ทั้งร่างกายทั้งจิตใจของข้าย่อมแข็งกล้ากว่าพวกเขาไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า



หากการตายของข้าเป็นไปตามแผนการของมารร้ายดั่งคำว่ากล่าวของเจิ้งปิงฉิน คราวนี้เรื่องราวในแคว้นจิ่วโจวคงสลับซับซ้อนขึ้นเสียแล้ว



ด้านหนึ่งข้าไหว้วานให้คนสนิทของแม่ทัพจ้าวสืบเสาะหาตัวอย่างยาวรุณคลั่งรักวสันต์รัญจวนใจมาให้ข้าพิสูจน์พิษอีกครั้ง อีกด้านแผนการเข้าใกล้เพื่อช่วงชิงหัวใจโอรสมังกรก็ยังไม่ล้มเลิกแต่อย่างใด ข้ายังคงใช้ตัวใกล้ชิดผู้คนอย่างหน้าไม่อาย เฝ้ารอเพียงวันที่เจ้าสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ปรากฏตัวเพื่อใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ต่อไป



หม่าฮุ่ยเหวินในชุดสีน้ำเงินครามปักลายเจ็ดเมฆมงคลและเจ็ดยอดบรรพตพร้อมพัดจิ้วลวดลายอลังการปรากฏตัวขึ้นในท้องพระโรงของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ในวันที่สามตามคำของอาจารย์หญิง ท่าทางวันนี้มองแล้วสุขุมสูงศักดิ์ราวเทพเซียนผู้ปราศจากโลกีย์มิสนใจความเป็นไปอันใดของโลกจนสามารถออกตัวได้โดยไม่อายปากว่าเป็นเจ้าสำนักใหญ่ ไหนเลยจะมีท่าทางเหลาะแหละเหมือนศิษย์พี่หม่าในวันวานอีก หลายปีมานี้ผู้คนคงผ่านเรื่องราวมามากมายจึงสามารถเล่นงิ้วเล่นละครได้เก่งกาจถึงเพียงนี้



“มิทราบว่าท่านเซียนมีธุระอันใดกับแคว้นจิ่วโจวหรือ” เรียวคิ้วงามของเฮ่อฉีกระตุกเข้าหากันคล้ายไม่สบายใจเท่าใดนัก ยามนี้ในวังหลวงไม่มีราชครูโหราจารย์เพราะหยวนจิ้งติดกิจจากสำนัก การปรากฏตัวของนักพรตคนอื่นย่อมสร้างความลำบากใจไม่น้อย หากฮ่องเต้หน้าหยกยังไว้หน้าชายเบื้องหน้ามากนัก เกรงว่าคงเป็นเพราะคนแซ่หม่าวางมาดสูงส่งจนมิอาจดูแคลนได้ว่าเป็นเพียงกรวดทราย



สีหน้าของเจ้าสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์คนปัจจุบันยังคงนิ่งเฉย หม่าฮุ่ยเหวินค้อมศีรษะลงเล็กน้อยก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงถือตัวอย่างเซียนชั้นสูงถึงเจ็ดส่วน “ผู้เฒ่าบังเอิญผ่านมาเท่านั้น มิคาดคิดว่าจะมีวาสนาได้พบผู้มีกระดูกเซียนแน่นหนาในวังหลวงแห่งนี้”



สิ้นเสียงนั้นภายในท้องพระโรงที่ว่าราชการของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ถึงกลับเงียบกริบ เหล่าขุนนางใหญ่ทั้งหลายได้แต่มองหน้ากันโดยไร้ซึ่งวาจา คำกล่าวที่ว่ามีกระดูกเซียนแน่นหนาจะว่าดีก็ดีจะว่าไม่ดีก็ไม่ดี กล่าวกันตามจริงแล้วมนุษย์ปุถุชนทั้งหลายย่อมมีความคาดฝันวาดหวังอยากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเพื่อเหาะเหินขึ้นสวรรค์กันเสียทั้งนั้น ยามโอกาสเปิดอยู่เบื้องหน้าเช่นนี้ย่อมรู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาหลายส่วน เสียแต่ว่าคนที่อยู่ ณ ที่นี้ล้วนเป็นผู้มีความสำคัญต่อแผ่นดินต้าโจวทั้งนั้น หากเผือกร้อนหัวนี้ตกไปที่ขุนนางใหญ่คนใดเกรงว่าเป็นเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดี



กระทั่งสีหน้าของเฮ่อฉียังดำคล้ำเสียจนดูไม่ได้ คนนิ่งคิดไปครู่หนึ่งจึงเปิดปากขึ้นได้อย่างไม่เต็มใจอยู่หลายส่วน “ผู้มีวาสนาผู้นั้นเป็นใคร ท่านเซียนบอกเราด้วยเถิด”



หม่าฮุ่ยเหวินสะบัดแขนเซียนครั้งหนึ่งด้วยท่าทางสูงศักดิ์คล้ายคลึงแม่นางแซ่เจิ้งเต็มสิบส่วน หากเจิ้งปิงฉินแสดงอาการเช่นนี้ก็งดงามดีหรอก พอคนแซ่หม่าลอกเลียนนางบ้าง มิรู้ว่าเหตุใดจึงดูคล้ายตงซือขมวดคิ้วเลียนแบบซีซือไปเสียได้ เจ้าสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์คนปัจจุบันผายมือไปทางทิศทางวังหลัง



“ย่อมเป็นองค์ชายใหญ่ผู้อยู่ตำหนักกระจ่างไกลผู้นั้น”



สิ้นวาจานั้นทั่วท้องพระโรงของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ปรากฏเพียงความเงียบงัน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงมีเสียงพึมพำซุบซิบดังขึ้นจากขุนนางโดยรอบ มิรู้ว่าผู้ใดปากกล้าถึงขั้นหลุดอุทานออกมาว่า “มิใช่องค์ชายใหญ่สติไม่สมประกอบหรอกหรือ”



คนปากดีผู้นั้นถูกฝ่ามือคนด้านข้างยกขึ้นปิดปากมิให้ว่ากล่าวถ้อยคำอันใดอีกต่อไป ยามนี้สีหน้าของโอรสสวรรค์ดูมืดคล้ำคล้ายโมโหโกรธาขึ้นมาแล้ว หม่าฮุ่ยเหวินถึงพลังฝึกปรือไม่เอาไหน แต่กว่าจะปีนป่ายมาถึงตำแหน่งเจ้าสำนักย่อมมิใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน เรื่องมองสีหน้าผู้คนจึงถือเป็นความสามารถอย่างหนึ่งของเจ้าตัว



“องค์ชายใหญ่เฮ่อหยางนับเกิดมาสูงส่งมีกระดูกเซียนแน่นหนา นับว่าเป็นเด็กน้อยผู้มากความสามารถดีแท้” ผู้แซ่หม่าจงใจถอดน้ำเสียงท้ายประโยคลากยาวเล็กน้อยคล้ายไม่กลัวเกรงสุ่ยเต๋อฮ่องเต้แต่อย่างใด เนื้อหาใจความต่างๆ ล้วนพูดจาได้กระทบจิตใจคน “น่าเสียดายที่เขาเกิดมาพร้อมเคราะห์กรรม หากบำเพ็ญเพียรนานเข้า วันหน้าย่อมต้องก้าวไกลยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใครเป็นแน่”



บรรยากาศหนักอึ้งจากอารมณ์ขุ่นเคืองจางหายไปในทันที นัยน์ตาของเฮ่อฉีปรากฏประกายวูบวาบเมื่อได้ยินใจความถ้วน แต่ไหนแต่ไรการเห็นบุตรไร้ซึ่งอนาคตนับเป็นความทุกข์หนึ่งของพ่อแม่ ยิ่งองค์ชายใหญ่เกิดมาเป็นเช่นนั้นโอรสสวรรค์ยิ่งต้องเจ็บปวดใจ ยามนี้มีผู้ฝึกเซียนขั้นสูงมาพูดกล่าวต่อหน้าขุนนางใหญ่มากมายว่าบุตรของตนเกิดมาพร้อมวาสนาดีงาม ความทุกข์อันหนักอึ้งที่ผู้คนแบกรับเอาไว้มานานหลายปีย่อมจางหายไปบ้าง



หากความวูบไหวในแววตานั้นยังมีความลังเลแฝงอยู่ถึงสี่ส่วน หม่าฮุ่ยเหวินจึงรีบตีเหล็กตอนที่ยังร้อนอยู่



“ผู้เฒ่าได้พบเจอเขาถือว่าเป็นวาสนามีชะตาต่อกันจึงคิดจะรับองค์ชายใหญ่เป็นศิษย์สายตรง” นักแสดงหลักทอดสายตามองสุ่ยเต๋อฮ่องเต้แล้วแสร้งเป็นทอดเสียงราวเสียดายเต็มที “หากฝ่าบาทไม่ประสงค์อยากให้องค์ชายใหญ่เข้าสู่มรรคาเซียน ผู้เฒ่าก็พอเข้าใจ แต่อยากให้ตรึกตรองให้ดีก่อน อีกห้าวันยามอู่ผู้เฒ่าจะมารับศิษย์คนใหม่ที่หน้าประตูทิศเหนือ เมื่อรอครบสองเค่อแล้วยังไม่เห็นคน ย่อมหมายความว่าทั้งข้าและเขาหาได้มีวาสนาเป็นศิษย์อาจารย์ต่อกันไม่”



นับว่าหม่าฮุ่ยเหวินรู้จักเว้นทางหนีทีไล่ให้คนดีแท้ กล่าวจบเขาก็คำนับกึ่งไม่คำนับครั้งหนึ่งก่อนจะก้าวออกจากท้องพระโรงไปอย่างหยิ่งทะนงคล้ายไม่เห็นโอรสสวรรค์อยู่ในสายตาสักเศษเสี้ยว ทิ้งไว้แต่เสียงอื้ออึงของเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ในราชสำนักและแววตาสับสนวุ่นวายของเฮ่อฉีเพียงเท่านั้น



ชั่วขณะหนึ่งสุ่ยเต๋อฮ่องเต้หลุบสายตามองข้าที่ครอบครองร่างแม่ทัพจ้าวคล้ายไม่จงใจ คนโบกมือไล่ขุนนางปิดการว่าราชการช่วงเช้าเพียงแค่นี้ ก่อนจะหันมารั้งตัวจ้าวซิ่นจงเอาไว้ให้เป็นเพื่อนทรงพระอักษรเสียก่อน ไหนเลยผู้อื่นจะไม่รู้ว่าเขาต้องการปรึกษาหารือเรื่องบุตรชายผู้มีวาสนาสูงส่งของตนเอง หากข้ากลับมองเห็นอีกแง่มุมหนึ่ง เกรงว่ายามนี้พื้นที่ในใจของพระหมื่นปีจะมีจ้าวซิ่นจงอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว



เมื่อเคลื่อนย้ายไปยังห้องทรงพระอักษร รอจนเกากงกงยกกาชาขาวเข็มเงินมาวาง โอรสสวรรค์ก็ยังคงยืนเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างคล้ายชมทิวทัศน์อันแสนงดงามของบุปผาหลากสีในช่วงฤดูร้อน ข้าที่สวมบทบาทแม่ทัพจ้าวได้แต่มุ่นคิ้วมอง แสร้งข่มกลั้นอารมณ์ด้วยการจิบน้ำชาชั้นดีครั้งแล้วครั้งเล่า



ผ่านไปครึ่งค่อนวันคนจึงหันหลังเปิดปากเอ่ยวาจา น้ำเสียงถอดถอนใจอยู่หลายส่วน “ในฐานะที่เจ้าเป็นลุงขององค์ชายใหญ่ ส่งเขาเข้าสำนักเซียนจะถือว่าผิดต่อเขาหรือไม่”



เยี่ยอู๋จวินย่อมต้องตอบว่าดี ดี และดีเป็นอย่างยิ่ง หากจ้าวซิ่นจงย่อมมิสามารถเอ่ยวาจาเช่นนั้นได้ เพราะต้องคอยมองสีหน้าคาดเดาอารมณ์เสียก่อน ข้าถอนหายใจยาวแล้วตอบอย่างระมัดระวัง “ดีไม่ดีล้วนคงมีแต่ฝ่าบาทที่ตัดสินใจได้” จากนั้นเว้นวรรคเล็กน้อยค่อยใช้ประโยชน์จากการคาดคะเนลักษณะนิสัยโดดเด่นไม่เหมือนสนมกำนัลคนใดของอดีตเต๋อเฟยปั้นแต่งคำตอบที่คาดว่าใช้จูงใจผู้คนได้ดีที่สุด



“แต่ไหนแต่เต๋อเฟยก็มิฝักใฝ่อำนาจ นางเคยเอ่ยกับข้าอยู่หลายครั้งว่ามิอยากให้บุตรที่เกิดมาต้องฟาดฟันกับพี่น้องเพื่อแย่งชิงบัลลังก์มังกร” ข้าจ้องลึกไปในดวงตาคู่งามของบุรุษหน้าหยกเบื้องหน้าด้วยสายตาลุ่มลึก ราวกับว่าถ้อยคำที่เอ่ยยามนี้ล้วนแต่เป็นน้ำใสใจจริงของตนทั้งสิ้น “บางทีมรรคาเซียนอันสงบสุขคงเหมาะสมกว่าเขากระมัง สำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์เป็นสำนักเซียนศักดิ์สิทธิ์เลื่องชื่อ ได้เป็นศิษย์สายตรงของท่านเจ้าสำนัก คืนวันข้างหน้าขององค์ชายใหญ่คงมิเลวร้ายเกินไปนัก”



นัยน์ตาของเฮ่อฉีคราวนี้ถึงกับไหวระริกด้วยอารมณ์มากมาย ใครว่าโอรสสวรรค์ไร้ใจไร้อารมณ์กัน มิใช่ว่าความรู้สึกต่างๆ ล้วนแต่กักเก็บไว้ในเบื้องลึกมิใช่หรือ คนพึมพำเบาๆ คล้ายรำพึงรำกันกับตนเอง “หากหลิงเอ๋อร์ยังอยู่ นางย่อมกล่าวเช่นเจ้า”



ฟังแค่นี้ผู้แซ่เยี่ยก็ทราบได้ทันทีว่าสุ่ยเต๋อฮ่องเต้มีใจโน้มเอียงไปทางเจ้าสำนักเจ้าบรรพตสวรรค์เป็นที่เรียบร้อย สาเหตุคงมิพ้นตามที่ข้าคาดการณ์เอาไว้ ทางหนึ่งนอกจากจะเป็นการปูทางให้บุตรชายสติไม่สมประกอบได้เชิดหน้าชูตาอีกครั้งในฐานะผู้ฝึกเซียนสำนักใหญ่ อีกทางหนึ่งย่อมหมายถึงชื่อเสียงเสียหายของจ้าวเยี่ยนหลิงผู้เป็นดั่งหนึ่งเดียวในใจที่จะกลับมาดีประเสริฐสมกับตำแหน่งเต๋อเฟยอีกครั้งหนึ่ง



ข้าลุกขึ้นยืนขึ้นเต็มความสูงก่อนหยุดยืนที่เบื้องหน้าของอีกฝ่าย ก่อนจะรั้งนิ้วเรียวขาวผ่องที่มีรอยสากเพราะแรงกดจากพู่กันและการจับดาบจับธนูมาจับไว้หลวมๆ รุกล้ำจนมากเกินไปเพื่อไม่ให้ดูเร่งรัดจนเกินพอดี แต่แสดงเจตนาหมายอยู่เคียงข้างเขาอย่างชัดเจน เวลานี้ข้างกายของคนแซ่เฮ่อเหลือคนสนิทอยู่ไม่มากเช่นกาลก่อน การเข้าหาในช่วงเวลาที่ผู้คนจิตใจอ่อนไหว มากน้อยเพียงใดก็ต้องรุกคืบเข้าไปในใจได้บ้างเป็นแน่



“ฝ่าบาทตรองดูให้ดีก่อนเถิด ผลดีผลเสียเป็นเช่นไรล้วนแต่อยู่กับการตัดสินใจของท่าน”



สุ่ยเต๋อฮ่องเต้หลบสายตาไม่มองหน้าใบหน้าหล่อเหลาที่ซูบซีดไปบ้างของจ้าวซิ่นจง แต่กลับไม่ละมือออกหรือเอ่ยปากด่าว่าเรื่องที่โดนหลอกกินเต้าหู้ คนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจึงค่อยพยักหน้าอย่างแผ่วเบา สายตาที่มองมาแม้ยังสั่นไหวแต่ก็อ่อนโยนขึ้นมาก



หากเป็นจ้าวซิ่นจงที่กักเก็บซ่อนความรักเอาไว้หลายปี เมื่อเห็นสายตาคู่นี้ย่อมมิอาจอดรนทนไหวอีกต่อไป ข้ากระชับนิ้วเรียวเอาไว้แน่นขึ้นก่อนโน้มตัวลงไปประทับริมฝีปากจูบแนบกับหน้าผากมนของอีกฝ่ายอย่างผะแผ่วราวแมลงปอแตะผิวน้ำ ยามนั้นภายในห้องทรงพระอักษรมีเพียงความเงียบงัน จวบจนข้าถอนริมฝีปากออกแล้วมองพระหมื่นปีด้วยสายตารักใคร่ อีกฝ่ายจึงบีบปลายนิ้วข้าแน่นขึ้น



“เหิมเกริมแล้วจ้าวซิ่นจง เจ้าไม่กลัวตายบ้างหรือไร” น้ำเสียงของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้แม้กร้าวขึ้นกลับฟังดูเบาหวิวไร้น้ำหนักสิ้นดี สองแก้มยังปรากฏสีระเรื่อเจือจางก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว “เจ้าอย่าทำได้ใจไปเลย”



ข้าในฐานะแม่ทัพจ้าวได้ยินดังนั้นยิ่งขยับแย้มยิ้มกว้างขึ้นคล้ายสุขใจมิได้สนใจถ้อยคำต่อว่าของอีกฝ่ายแต่อย่างใด เฮ่อฉีจึงได้แต่ถอนหายใจ สายตาเสมองไปทางอื่น



“เอาเถิด ครั้งนี้เราจะไม่ถือสา ส่วนเรื่องที่เจ้าพูดก่อนหน้านั้น เราจะใคร่ครวญดูให้ดี”



ผู้คนออกปากเช่นนี้ย่อมหมายความว่าแผนการของอาจารย์หญิงสำเร็จไปแล้วถึงเจ็ดส่วน อีกสามส่วนที่เหลือล้วนแต่เป็นการตระเตรียมข้าวของมากมายเพื่อส่งองค์ชายใหญ่ไปยังดินแดนเทพเซียน พึงรู้ไว้ว่าแม้ในวังหลวงแคว้นจิ่วโจวจะเป็นแหล่งรวมพลังหยางของแดนดิน แต่ไม่ได้มีของวิเศษมากมายอันใด นอกจากไข่มุกราตรี ปะการังแดง หรือโสมร้อยปีที่หาได้ดาษดื่นในโลกของผู้ฝึกเซียน จึงมีเพียงเครื่องประดับและเงินทองมากเสียหน่อยที่จะติดตัวไปได้



สิ่งสำคัญที่สุดในการตระเตรียมการใหญ่ครั้งนี้คงมิพ้นผู้ติดตามข้างกายที่ต้องดูแลเฮ่อหยางไปตลอดชีวิต ผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ที่ถูกคัดเลือกโดยพระหมื่นปีจะเป็นใครได้ หากมิใช่ขันทีน้อยหน้าตาหมดจดนามกัวเซิ่ง อย่างไรแล้วเขาก็คนสนิทที่องค์ชายใหญ่ให้ความสนิทสนมจนขาดไม่ได้ ยกหน้าที่นี้ให้ผู้อื่นไปจึงนับว่าไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง



มิรู้ว่าอาจารย์หญิงใช้เวลานานเพียงใดจึงคิดแผนการเช่นนี้ขึ้นมาได้ แม่นางแซ่เจิ้งวางหมากได้ดีงามถูกต้องสมกับมาจากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ที่รวบรวมเพียงคนเหนือคนโดยแท้ ยามที่สุ่ยเต๋อเรียกขันทีน้อยมาสั่งความพร้อมให้เงินทองทรัพย์สินมากมาย สีหน้ากัวเซิ่งสงบเยือกเย็นราวน้ำนิ่ง แต่ค่ำคืนนั้นยามข้าไปพบนางอีกครั้ง สายตาที่เจิ้งปิงฉินเหลือบมองข้ากลับปรากฏประกายตาระยิบระยับราวบอกเล่าว่านางเปี่ยมสุขถึงเพียงใด



ข้าคำนับอาจารย์หญิงด้วยท่าทางเหมือนเมื่อสิบเก้าปีก่อนบนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ เจิ้งปิงฉินแย้มยิ้มมุมปากชั่วครู่ก่อนลูบศีรษะของข้าอย่างแผ่วเบา นางมิกล่าวอวยพรอันใดนอกจากย้ำเตือนให้ข้าระมัดระวังจิตมารเช่นเดิม มิเช่นนั้นหนทางเป็นอ๋องผีคงได้แปรเปลี่ยนไปในทางมาร วันหน้ากลายเป็นภัยพิบัติขึ้นมา ถึงเวลานั้นย้อนคิดเสียใจคงไม่ทัน



บอกลากันคราวนี้มิรู้ว่าเมื่อใดจะได้พบกันอีก แม้เป็นเพียงก้าวแรกยังมิใช่ปลายทางที่ทั้งสองกลับไปครองคู่อย่างที่ควรเป็นตั้งแต่หลายสิบปีก่อน เพราะผู้อื่นคงต้องตามหาเศษเสี้ยววิญญาณอันขาดหายของอาจารย์อาเหลียงอีกหลายปี ครั้นเห็นอาจารย์หญิงสุขใจ ผู้แซ่เยี่ยถึงเป็นศิษย์ไม่รักดีเพียงใดก็ต้องยินดีกับนางอย่างเต็มหัวใจ รักสามเส้าของสามยอดเขาคงมาถึงจุดจบแล้วกระมัง



ห้าวันที่หม่าฮุ่ยเหวินประวิงเวลาเอาไว้นับว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายอยู่ไม่น้อย แต่ละผู้ล้วนมีเรื่องราวของตนที่ต้องจัดการเสียมากมาย คนแซ่หม่าคราวนี้คงแฝงตัวเป็นหมอพเนจรท่าทางลึกลับเข้าไปตรวจสอบอาการป่วยของเหล่าขุนนางใหญ่ทั้งหลายที่ยังมีชีวิตอยู่ จนหน่วยสอดแนมของแม่ทัพปราบบูรพาสืบความมาได้ว่าด้วยฝีมือหมอเทวดาไร้ที่มาที่ไปถึงกับมีสองสามคนเริ่มกลับมามีสติอีกครั้งแล้ว หากพวกมารชั่วกลับยังเงียบงันไม่มีการเคลื่อนไหว กระนั้นก็ไม่อาจวางใจได้...มิใช่ว่าเยี่ยอู๋จวินประมาทจนต้องสังเวยชีวิตตนเองไปแล้วหรอกหรือ



ระหว่างอดีตศิษย์พี่ร่วมสำนักวุ่นวายกับการกลับไปเป็นหมอเทวดาทางหนึ่งข้าไปอยู่เคียงข้างช่วยสุ่ยเต๋อจัดการเรื่องราวขององค์ชายใหญ่พร้อมแสดงอาการถ้อยทีถ้อยอาศัยเพื่อให้คนไว้วางใจจนความไว้เนื้อเชื่อใจแปรเปลี่ยนเป็นความรักอย่างช้าๆ อีกทางข้ายังมีหน้าที่ผีลามกให้ต้องจัดการ มิใช่เพียงแค่เฮ่อฉีที่ต้องลาจากเมืองหลวง วันเดียวกันนั้นตั้งแต่ยามเฉินยังเป็นวันเดินทางของอ๋องแปดและชายาชายเพื่อย้ายอวยยศปกครองเมืองฉิน ส่วนถัดจากนั้นอีกไม่เกินสามวัน ไป๋เจี๋ยคงนำพาเหล่าผู้คนจากสำนักใหญ่บุกมาปราบมารพอดี



เมื่อคนสกุลไป๋มาถึง ย่อมหมายความว่าคนสกุลเยี่ยมิอาจรั้งอยู่ในวังหลวงได้อีก



วันเวลาล้วนแต่กระชั้นชิดคล้ายต้องการบีบรัดรอบลำคอของผีลามกผู้ตายไปแล้วรอบหนึ่งอย่างข้าเข้าทุกที โชคอันดีที่ข้าได้รับจดหมายลับจากน้องชายร่วมมารดาผู้ดูแลกิจการร้านค้าอยู่ที่เจียงหนาน จึงหมายความว่าเรื่องราวของผิงอ๋องที่ข้าเคยได้รับปากเอาไว้ย่อมเป็นไปตามแผนการเดิมมิมีเปลี่ยนแปลงมิจำเป็นต้องห่วงใยอันใด จะเหลือก็เพียงแต่เรื่องราวส่วนตัวของผู้แซ่เยี่ยเพียงเท่านั้น...



ยาปลุกกำหนัดวรุณคลั่งรักวสันต์รัญจวนใจมิใช่ยาที่หาซื้อได้โดยง่าย ซ้ำยังมีการจัดเก็บนับจำนวนอย่างแม่นยำ ผู้คนมิสามารถยักยอกหรือลักขโมยออกมาได้โดยง่าย แต่รองแม่ทัพแซ่หวังทำงานได้ดีเยี่ยมจนข้านึกอยากซื้อตัวผู้คนไปเป็นพ่อบ้านช่วยมารดาดูแลกิจการที่สกุลเยี่ยเหลือเกิน มิรู้ว่าใช้ความสามารถประการใดคนถึงคัดลอกสูตรยาต้นตำรับมาได้อย่างครบถ้วนกระบวนความ กระทั่งต้องใช้เวลาเคี่ยวสิ่งใดเวลาเท่าไรยังระบุเอาไว้



ข้าอาจมิได้เก่งกาจเป็นเลิศด้านหลอมโอสถเหมือนหม่าฮุ่ยเหวิน หากเคยร่ำเรียนวิชาจากอาจารย์หญิงมามิใช่น้อย ส่วนประกอบยาจำพวกสมุนไพรพวกนี้บางอย่างอาจหายากก็จริง แต่มิใช่ว่าไม่เคยพบเจอ มิหนำซ้ำสิบเก้าปีมานี้ข้ายังเดินทางท่องเที่ยวฝึกวิชาพบเจอยาปลุกกำหนดมาแล้วทั่วหล้า เพียงกวาดสามองข้าทุกสิ่งที่คลุมเครือพลันกระจ่างแจ้งชัดเจน...



ตัวยาเหล่านี้ต่อให้มีกรรมวิธีหลอมยาพิสดารเพียงใด ไหนเลยจะทำอันใดกับปรมาจารย์วังวสันต์ได้



คราวนั้นคงเป็นข้าประมาทขลาดเขลาไร้สติปัญญานึกคิดถึงแต่กายงามและพลังหยางอันสูงส่งของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้กระมัง จึงได้พลาดพลั้งตายตกให้สมใจผู้อื่นไปเสียได้ แต่คิดเสียใจไปเกรงว่าคงเปล่าประโยชน์ มิสู้ใช้สมองครุ่นคิดหาหนทางแก้ไขปริศนาเรื่องราวต่างๆ มิดีกว่าหรือ



ผู้วางยาข้าในคราวก่อนมิใช่ใครแต่เป็นบุรุษหน้าหยกผู้ครอบครองบัลลังก์มังกรผู้นั้นเอง สนมนางกำนัลสามร้อยนางเป็นคนของเขา ผู้คนที่ล้มตายไปในแคว้นจิ่วโจว ไม่ว่าเหล่าอ๋องทั้งหลายก็ดี หรือขุนนางใหญ่ในราชสำนักก็ดี ล้วนแต่เป็นคนข้างกายโอรสสวรรค์ทั้งสิ้น หากคิดแฝงกระจกแปดทิศย้อนกลับไปกับของพระราชฐานย่อมทำได้ ไหนจะพลังหยางที่เพิ่มพูนพุ่งสูงราวกับรวบรวมธาตุหยางจากใต้หล้ามาเป็นของตนเองอีกเล่า



ปมเงื่อนของมารร้ายอาละวาดในแคว้นจิ่วโจวที่มัดพัวพันกันแน่น ซ้ำยังสังเวยชีวิตผู้คนไปแล้วไม่รู้จักเท่าไร สุดท้ายเมื่อสาวต้นตอไปเรื่อยๆ ปลายเชือกกลับมิใช่ใครที่ไหน กลับกลายเป็นพระหมื่นปีผู้เป็นดั่งเจ้าของแผ่นดิน...ผู้เป็นดั่งเจ้าชีวิตของราษฎรทั้งปวง เกรงว่าจากฮ่องเต้ผู้มีเมตตาธรรมจิตใจแปรผกผันเป็นทรราชไปแล้วกระมัง



ยามนี้นอกจากภัยแล้งเป็นครั้งคราว แผ่นดินจิ่วโจวถือว่าสงบสุขไร้ภัยอันตรายอยู่มาก บัลลังก์มังกรยังคงมั่นคงไร้อำนาจใดมาเทียบเคียง จุดประสงค์ของผู้คนยังมิชัดเจนมากนักว่ามีเจตนาแอบแฝงอันใดจึงต้องใช้แผนการเช่นนี้ แต่วิชามารมิใช่ว่าเชื้อพระวงศ์ที่อยู่แต่ในวังหลวงจะเคยได้ร่ำเรียนมาก่อน นอกจากนี้เฮ่อฉียังเป็นมนุษย์ปุถุชนมิมีกลิ่นอายมารเพียงสักส่วน ฉะนั้นคงต้องพึ่งพามารชั่วจากภายนอกเป็นแน่ เสียแต่ว่าข้าอยู่ในร่างของจ้าวซิ่นจงมาครึ่งเดือน สืบเสาะข่าวมากมายเพียงใดก็ยังไม่พบพิรุธว่ามีขุนนางคนใดมีพิรุธจนน่าสงสัย



เกรงว่านอกจากมารชั่วจะรู้จักแฝงตัวได้อย่างยอดเยี่ยม เฮ่อฉีคงมีส่วนร่วมในการช่วยปกปิดตัวตนด้วยกระมัง แรกเริ่มข้าคิดจะใช้เล่ห์กลสืบความจากเกากงกงผู้อยู่ข้างกายสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ตลอดเวลา หากเวลาที่กระชั้นชิดเข้ามาทุกขณะทำให้ตัดสินใจสอบถามผู้คนโดยตรงเสียเลยจะดีกว่า ปรมาจารย์วังวสันต์ผู้เชี่ยวชาญการเล่นละครยิ่งกว่าใครเช่นข้าย่อมมีวิถีทางให้เขาปริปากบอกเล่าได้อยู่แล้ว



รัชศกสุ่ยเต๋อปีที่สิบสี่ในฤดูร้อนเดือนแปดได้มีสองขบวนของเชื้อพระวงศ์สกุลเฮ่อเดินทางออกจากเมืองหลวงแคว้นจิ่วโจว หนึ่งเดินทางในยามอู่เพื่อตรงไปยังเมืองฉิน อีกหนึ่งเดินทางในยามเฉินเพื่อไปยังเดินแดนเซียนเร้นลับที่มนุษย์ปุถุชนมิอาจเหยียบย่าง สองขบวนทางเดินแตกต่าง ชะตาชีวิตของหนึ่งอ๋องหนึ่งองค์ชายย่อมแตกต่างเช่นกัน



จิตใจของข้าครานี้มิได้ร้อนรน หากกลับสงบนิ่งและแข็งแกร่งเยี่ยงหินผาเหมือนดั่งที่แล้วมา ยามยืนเคียงข้างส่งองค์ชายใหญ่ให้กับมือหม่าฮุ่ยเหวิน ข้าสามารถมองดูฉากแสดงความรักความเอื้ออาทรระหว่างบิดาและบุตรได้อย่างนิ่งขรึมราวจ้าวซิ่นจงตัวจริงก็มิปาน



อาจารย์หญิงในร่างกัวเซิ่งและศิษย์พี่หม่าส่งสายตาตรงมายังข้าชั่วพริบตาก่อนละออกไป สายตาของพวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย ข้ารู้สึกอบอุ่นใจอยู่ไม่น้อย ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์อาจารย์ก็ดี ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องก็ดี แม้เป็นระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี แต่เมื่อคุ้นเคยกันครั้งหนึ่งแล้วย่อมหมายถึงคุ้นเคยตลอดไป ผู้คนในสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ช่างคล้ายคลึงกันดีแท้



มิต่างอันใดกับคนสกุลไป๋กระมัง



ข้าคิดถึงอดีตคนรักขึ้นมาก็ได้แต่ถอดถอนใจ เพราะคำพูดก่อนจากคราวนั้นจึงทำให้ข้ามิอาจรั้งอยู่ในแคว้นจิ่วโจวต่อไปได้ มิเช่นนั้นคงมิอาจหลีกเลี่ยงกับพบประสบหน้าไผ่หยกแห่งสกุลไป๋เป็นแน่



วันนี้สุ่ยเต๋อฮ่องเต้มิได้มีใจว่าราชการ หากยังรั้งข้าอยู่เป็นเพื่อนให้มองดูเขาเหม่อลอยในอุทยานครั้งหนึ่ง ในห้องทรงพระอักษรอีกครั้งหนึ่ง มิรู้ว่าจิตใจล้ำลึกเกินหยั่งของพระหมื่นปีครุ่นคิดถึงสิ่งใด จวบจนเย็นย่ำตะวันคล้ายตกดินจึงคิดว่าหากมิเดินหมากต่อไปก็คงไม่มีวันคืบหน้าแล้ว



“เย็นมากแล้ว คงมิอาจรบกวนฝ่าบาทได้อีก” ข้ามองเขาอย่างทอดอาลัยก่อนจะขยับถอยหลังคล้ายจะโขกศีรษะคำนับ “เช่นนั้นกระหม่อมขอลา”



เฮ่อฉีกลับเอื้อมมือมาดึงรั้งแขนเสื้อของข้าเอาไว้ สายตาที่สะท้อนเงาสูงใหญ่ของจ้าวซิ่นจงช่างเต็มไปด้วยความวาบไหว



“คืนนี้อยู่ร่ำสุรากับเราก่อนเถิดซิ่นจง”



ข้าหลุบตามองโอรสมังกรพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนยิ่งนัก คล้ายว่าใต้หล้านี้ทั้งชีวิตทั้งสายตาของจ้าวซิ่นจงมีเพียงคนสกุลเฮ่อหนึ่งเดียวเพียงเท่านั้น มิว่าใครงดงามเพียงใดก็มิสามารถเทียบเคียงได้อีก หากในใจเฉยชาเย็นเฉียบเพียงใด คงมีแต่ผู้แซ่เยี่ยเท่านั้นที่รู้ดี



ได้เวลาชำระความแล้วกระมัง



โปรดติดตามตอนต่อไป...





ซินเอ๋อร์:

หายไปนานน แต่ไม่ได้เทนะคะ ดองสักนิด ช้าสักหน่อย เพราะเรื่องนี้ค่อนข้างใช้พลังงานหนักมาก พอเรียนหนักๆ หรืองานยุ่งๆ ก็จะอืดมาก ต้องพยายามปลุกฟีลมาเขียน แต่จะเอาให้จบแน่ๆ ค่ะ ไม่เท เพราะเรารักอู๋เกอ ฮือออ

เรื่องราวตอนนี้ก็เข้าไคลแม็กซ์ขึ้นเรื่อยๆ แล้วค่ะ สกิลภาษาตกไปบ้างเล็กน้อยเพราะไม่ได้เขียนนาน ต้องขอโทษจริงๆ ด้วยนะคะ ขอบคุณทุกท่านที่ยังอยู่ด้วยกันมาถึงตอนนี้ค่ะะ ตอนนี้ชีวิตพังๆ บ้าง จะพยายามจัดสรรเวลามาหาอู๋เกอมากกว่านี้ค่ะะ

พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ คิดว่าน่าจะเร็วกว่า 4 เดือนแล้ว ฮืออออ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 28 คห. 108 [P.4, 20-12-2020]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 09-03-2021 23:14:56
 :pig4:
 :3123: