UP! [MPREG] I'm Fine Thank You #บุรินทร์สบายดี | สบายดีครั้งที่ 4 [12.04.63]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: UP! [MPREG] I'm Fine Thank You #บุรินทร์สบายดี | สบายดีครั้งที่ 4 [12.04.63]  (อ่าน 4265 ครั้ง)

ออฟไลน์ ลามัลลิลา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


--------------------------------------------------------------------


:: สารบัญ ::

ก่อนจะเริ่มสบายดี
สบายดีครั้งที่ 1
สบายดีครั้งที่ 2
สบายดีครั้งที่ 3
สบายดีครั้งที่ 4


:pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2:
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-04-2020 00:21:47 โดย ลามัลลิลา »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ basza2x

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 796
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
อ้าวววววว ใครจะเป็นพระเอกหละเนี่ยยยย

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
โห ราเชนนี้จะพูดว่าเลวก็น้อยไปอ่ะ หาคนมาดามใจนายเอกด่วนๆค่ะ

ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
น่าติดตามต่อมาก ว่าพี่บุรินทร์จะทำยังไงต่อไป ขอบคุณมากนะคะ รออ่านตอนต่อไปค่ะ  :กอด1: :pig4:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ขนาดนี้แล้วก็มีแต่ต้องตัดใจ เอาความรักไปให้ลูกดีกว่าคนแบบนั้น ว่าแต่เรื่องราวมันเป็นยังไงมายังไงหว่า

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
เข้ามาเพราะชื่อเรื่องแท้ๆ ชอบมากกกกก รอลุ้นใครจะเป็นพระเอกของบุรินทร์
ราเชนนายมันคนเห็นแก่ตัว ไอ้เลวววว  :z6:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ทำไม มาคุจังเลย

ออฟไลน์ usguinus

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ลามัลลิลา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
- ก่อนจะเริ่มสบายดี -


เสียงรองเท้าผ้าใบดังกระทบพื้นสลับซ้ายขวา เรือนผมสีเข้มมัดรวบไว้หลวมๆ พอไม่ให้ปรกหน้า จิวที่หูสองข้างกวัดแกว่งไปมาตามการก้าวเดินอย่างเชื่องช้าไม่รีบร้อน ชายหนุ่มในชุดเสื้อตัวโคร่งกับกางเกงผ้านิ่มสีดำ สวมทับด้วยคาดิแกนสีเทาเพื่อปกปิดรอยน้ำหมึกซึ่งกระจายอยู่ทั่วตัว

บนหลังมือทั้งสองข้างแต่งแต้มอักษรภาษาอังกฤษข้างหนึ่งคือ PAS ส่วนอีกข้างคือ SION ด้วยลายเส้นแนวแปรงพู่กันขนาดใหญ่ พอนำมือมาชิดกันมันจะแปลความหมายได้ถึงความหลงใหล ไม่เว้นแม้กระทั่งซอกนิ้วขาวก็ยังประดับคำว่า I Believe

เจ้าของเรียวขายาวพาตัวเองออกมาจากแผนกสูตินรีเวชของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง ร่างกายแข็งแรงแปรเปลี่ยนไปอวบอิ่มมีน้ำมีนวล หน้าท้องที่เคยเป็นลอนสวยบัดนี้กลับขยายใหญ่กลมนูนพร้อมสิ่งมีชีวิตที่นอนดีดดิ้นอยู่ภายใน เวลาเดินลำตัวจะแอ่นโน้มไปด้านหลัง ทำให้มือขาวต้องคอยดันสะโพกเอาไว้เพื่อบรรเทาอาการปวดที่แล่นขึ้นมาเป็นระยะ ไตรมาสที่สามของการตั้งครรภ์มันทำให้เขายิ่งใช้ชีวิตลำบากมากขึ้น ขยับตัวอะไรนิดหน่อยก็เหนื่อยง่าย ราวกับพลังชีวิตทั้งหมดถูกแบ่งครึ่งให้กับลูกน้อย

บรรยากาศรอบกายทั้งหญิงและชายที่ตั้งครรภ์ล้วนมีสามีคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง ต่างจากบุรินทร์ เปรมอัศวกุล ทายาทคนโตของคุณทรงพล เปรมอัศวกุล เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ซึ่งเคยตกเป็นข่าวครึกโครมเมื่อหลายเดือนก่อนว่าท้องไม่มีพ่อ

บุรินทร์เดินมาตามทางที่ปูด้วยพื้นกระเบื้องยางสีอ่อน ผ่านบุคลากรในชุดขาวต่างเดินกันขวักไขว่ นิ่วหน้าเล็กน้อยเนื่องจากกลิ่นยาฆ่าเชื้อที่เขาไม่เคยนึกชอบลอยมาเข้าจมูก ก่อนที่ทั้งร่างจะชาดิกเมื่อ สายตาสบเข้ากับใครคนหนึ่ง คนที่เขาเฝ้าคิดถึง คนที่ทำให้เขาเจ็บแทบเป็นบ้า คนที่เขาหวังให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม คนที่กำลังเดินเคียงคู่มากับหนุ่มน้อยหน้าแฉล้มด้วยท่าทางสนิทสนม ความรู้สึกเจ็บที่เกือบจางหายมันก็ตีตื้นขึ้นมาอีกครั้ง บาดแผลในใจที่คิดว่าใกล้ตกสะเก็ดแล้วกลับเหมือนมีมีดกรีดให้เหวอะหวะมากกว่าเก่า

นัยน์ตาสีน้ำตาลสั่นระริกมองอดีตคนรักที่คอยประคับประคองหน้าท้องนูนใหญ่ของภรรยาอย่างหวงแหน คะเนจากสายตาเดาว่าอายุครรภ์คงใกล้เคียงเขา ตามมาด้วยเสียงรองเท้าเด็กที่เดินเตาะแตะจับมือบิดามารดาช่างเป็นภาพครอบครัวแสนสุขสันต์

ทันทีที่เผชิญหน้ากันฝั่งนั้นดูตกใจเสียจนหน้าถอดสี และสุดท้ายก็เป็นหนุ่มน้อยในชุดคลุมท้องสีฟ้าที่ตั้งสติได้เร็วกว่าใครปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติแล้วรีบคล้องแขนคนข้างตัวเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ต่างจากสามีที่ยืนนิ่งค้างตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก

"พี่รินทร์..." ราเชนละล่ำละลักเอยทักทายคนที่อายุมากกว่า

บุรินทร์ฝืนยิ้ม "เชนมาทำอะไรที่นี้เหรอ"

"ผมพาลูกมาฉีดวัคซีน..." ฝ่ายตรงข้ามกระชับมือเล็กแล้วดันร่างจิ๋วให้ขยับเข้าใกล้เขาอีกนิด ชายหนุ่มก้มหน้าลง มองเด็กชายหน้าตาจิ้มลิ้ม ซึ่งถอดแบบมาจากผู้ให้กำเนิดไม่ผิดเพี้ยน

"โตขึ้นเยอะเลยนะ คราวก่อนเพิ่งตัวนิดเดียว" เขายิ้มกว้างให้กับท่าทางเคอะเขินวิ่งดุ๊กดิ๊กไปหลบหลังขาบิดา ใจจริงเขาอยากย่อตัวลงไปเพ่งพินิจเด็กชายให้ชัดๆ แต่ติดที่ขนาดหน้าท้องใหญ่โตเกินกว่าจะทำได้ไหว จึงเพียงเอื้อมมือไปหวังลูบหัวทุยนั้นด้วยความเอ็นดูเท่านั้น แต่ธารากลับมือไวกว่าดึงตัวลูกซ่อนไว้ด้านหลังตัวเองพร้อมเชิดหน้าขึ้นอย่างถือสิทธิ์

บุรินทร์ชะงักเล็กน้อยแต่ก็คร้านจะสนใจ หันหน้ามาคุยกับคนตรงหน้าต่อ "บังเอิญเนอะ พี่ก็พาลูกมาหาหมอเหมือนกัน" มือขาวเปื้อนรอยน้ำหมึกยกขึ้นลูบท้องกลมนูนของตัวเองเบาๆ คนอายุน้อยกว่าจ้องหน้าท้องเขาอยู่สักพักก่อนเบนสายตาไปทางอื่น

"พี่เชนครับ เราไปกันเถอะ" ธาราเดินเข้าไปรั้งแขนสามี

"รอเดี๋ยวนะธาร พี่ขอคุยกับพี่รินทร์ก่อน"

"แต่ธารปวดขา" คุณแม่วัยใสทำหน้ากระเง้ากระงอด

"ถ้าอย่างนั้นธารนั่งรอพี่ก่อนนะ" ราเชนประคองธาราไปนั่งที่โซฟาตัวยาว อุ้มลูกขายขึ้นนั่งบนตักภรรยา "น้องชินอยู่เป็นเพื่อนแม่ก่อนนะครับ"

คนตัวจิ๋วพยักหน้าหงึก "เปื้อนๆ แม่ๆ " เด็กน้อยส่งเสียงเจื้อยแจ้วบ่นงึมงำฟังไม่ได้ศัพท์ไปตามประสา

"พี่เชนจะคุยอะไรกับเขาครับ" ร่างเล็กช้อนตาขึ้นมองออดอ้อนสามี

"พี่แค่จะถามไถ่เรื่องทั่วไปตามประสาคนรู้จักกัน คนดี ไม่ต้องคิดมากนะครับ"

หัวใจบุรินทร์วูบไหวเมื่ออดีตคนรักจรดริมฝีปากบนหน้าผากนวล คนตัวขาวหันหลังให้ภาพบาดใจ พยายามกลั้นน้ำตาที่จวนทะลักออกมา เมื่อสัมผัสได้ว่าคนตรงหน้ากำลังเดินเข้ามา เขาจึงยกมือขึ้นตบแก้มเพื่อเรียกสติตัวเองเบาๆ แล้วหันมาปั้นหน้ายิ้มต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

..เขาจะอ่อนแอไม่ได้เด็ดขาด! ..

พวกเขาเดินเลี่ยงมาที่สวนหย่อมบนระเบียงของโรงพยาบาล เวลาใกล้เที่ยงแบบนี้ทำให้มีคนมาใช้พื้นที่บางประปราย สายลมพัดโชยทำให้อากาศไม่ร้อนมาก ทั้งสองคนเลือกที่นั่งใต้เงาร่มไม้ คนอายุมากกว่าเหม่อมองวิวด้านนอก ไม่ต่างจากคนด้านข้างที่หลบสายตาก้มมองปลายเท้าตัวเองอย่างประหม่า

ราเชนเหลือบมองหน้าท้องนูนใหญ่ที่ขยับขึ้นลงตามการหายใจ ข่มใจไว้ไม่ให้เอื้อมมือไปสัมผัสกับความจริงที่เขาพยายามปฏิเสธมาตลอดว่าเด็กซึ่งกำลังเติบโตอยู่ภายในไม่ได้เกิดมาจากผลพวงของความสัมพันธ์เมื่อครั้งเก่า

มันอาจดูใจร้ายกับการที่เขาทิ้งให้อดีตคนเคยรักต้องต่อสู้เพียงลำพัง แต่ในเมื่อเขาเลือกธาร เขาก็ไม่ควรเสียดายสิ่งที่เห็นว่าไม่สำคัญ ถึงอย่างไรเรื่องระหว่างพวกเขามันจบลงแล้วก็ควรปล่อยให้มันผ่านไป ตอนนี้ราเชนมีครอบครัวต้องดูแล เขาไม่ต้องการให้คนที่รักต้องได้รับผลกระทบใดๆ จากเรื่องไร้สาระ จำเอาไว้ว่าสาเหตุที่อยากพูดคุยกับร่างอวบอิ่มเพราะแค่รู้สึกผิดเท่านั้น

..เรื่องอื่นอย่าเก็บมาใส่ใจ..

"พี่รินทร์เป็นยังไงบ้างครับ"

บุรินทร์นิ่งไปสักพักก่อนหัวเราะออกมาทั้งที่ไม่มีเรื่องน่าขำ ตลอดเกือบแปดเดือนที่ต้องอุ้มท้องอย่างเดียวดาย ราเชนคิดว่าเขาเป็นยังไงล่ะ?

..คำถามโคตรสิ้นคิด! ..

คุณแม่ท้องแก่กำมือแน่นจิกเล็บเข้าไปที่ชายเสื้อตัวโคร่ง แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกพยายามระงับสติอารมณ์

"แน่ใจนะว่าเชนอยากถามพี่เรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าอยากถามเรื่องอื่น" อย่างเช่น พี่รินทร์ครับ เด็กในท้องเป็นลูกผมหรือเปล่า หรือประโยคชวนคลื่นไส้ประมาณว่า ผมยินดีรับผิดชอบพี่กับลูก ผมจะไปเลิกกับเขาเอง อะไรทำนองนั้นเหรอ

..ช่างน่าผิดหวัง..

"ผม... อยากรู้แค่นี้"

ชายหนุ่มยกยิ้มหยัน คิดแล้วก็สมเพชตัวเอง นี่เขากำลังคาดหวังอะไรอยู่ "ถ้าไม่นับเรื่องมือเท้าบวม หายใจลำบาก รวมถึงอาการท้องแข็งบ่อยๆ นอกนั้นก็ถือว่าพี่สบายดี”

อีกฝ่ายหน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด "นั่นสิครับ ผมก็นึกกังวลไปเอง กลัวว่าพี่จะอยู่ไม่ได้ ทั้งๆ ที่ธารก็บอกว่าพี่รินทร์เก่งจะตาย เลี้ยงลูกคนเดียวได้สบายอยู่แล้ว" คนอายุน้อยกว่าพยายามหัวเราะกลบเกลื่อนออกมา

บุรินทร์ก้มลงมองหน้าท้องตัวเอง กะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่ความชื้นที่หางตา แต่เสียงขบขันอันน่าสะอิดสะเอียนของอีกฝ่ายยังคงหลอกหลอนอยู่ในหู ถ้อยคำหวังดีที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ขอร้องช่วยหยุดพูดเถอะ! เพราะเขาเบื่อมันเต็มทน

“เชนไม่ต้องเป็นห่วงพี่หรอก พี่โอเค”

บุรินทร์เม้มปากแน่น ราวกับหัวใจคนท้องโดนเหยียบขยี้จนเขียวช้ำ ในเมื่อเขาตอบตามที่อีกฝ่ายอยากได้ยินแล้ว ก็หวังให้คนตรงหน้าพอใจแล้วรีบจากไปเสียที

"พี่ดูแลตัวเองไ...ด้... อื้อ" พูดยังไม่ทันจบประโยคแรงกกระทุ้งในท้องทำให้ใบหน้าขาวเหยเก สองมือลายพร้อยคอยประคองท้องใหญ่ไว้ไม่ห่าง รู้สึกจุกเสียจนร่างอวบอิ่มต้องง้อตัวลง

คนอายุน้อยกว่าท่าทางตื่นตระหนก "พี่รินทร์! เรียกหมอไหมครับ" มือที่คุ้นเคยช่วยพยุงไว้ไม่ให้คนท้องต้องทรุดลงพื้น

บุรินทร์ยกมือขึ้นห้าม "ไม่ต้อง..." เขาพูดเสียงเบา ปรับลมหายใจให้ปกติ "แค่ตัวเล็กดิ้นน่ะ" มือขาวลูบปลอบโยนลูกในท้องให้สงบลง แต่คนตรงหน้ายังคงจับแขนเขาไว้ไม่ยอมปล่อย

"พี่ไม่เป็นไรแน่นะครับ"

ชายหนุ่มพยักหน้า ยันกายนั่งตัวตรงดั่งเดิม "พี่โอเคแล้วเชน รีบไปเถอะ เดี๋ยวครอบครัวจะรอนาน"

ราเชนมีความลังเลเล็กน้อย รั้นจะอยู่ด้วยจนกว่าเขาจะดีขึ้นจนคนท้องต้องย้ำอีกครั้งว่าไม่เป็นอะไร คนตรงหน้าถึงยอมผละออก หันหลังให้และเดินจากไป โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนแอบมองจับจ้องแผ่นหลังนั้นจนลับสายตา

บ่ายคล้อยแล้วแต่บุรินทร์ยังคงอยู่ที่เดิม เส้นผมที่มัดรวบไว้ไม่หมดตกลงมาปลิวไสวตามสายลม ใบหน้าขาวเงยขึ้นมองท้องฟ้าแล้วปิดเปลือกตาสีน้ำนมลง ปล่อยให้ความรู้สึกนำพาไปสู่ความทรงจำที่เคยหวานชื่นเมื่อครั้งวันวาน

..เมฆด้านบนเคลื่อนตัวเลื่อนลอยไร้ทิศทางไม่ต่างจากความรักครั้งเก่า..

..เหมือนอยู่ใกล้ หากแต่ห่างไกลเหลือเกิน..

บุรินทร์นั่งจมอยู่กับอดีตได้เพียงไม่นานแรงจากฝ่าเท้าเล็กๆ ภายในท้องทำให้เขาตื่นขึ้นจากภวังค์ ภาพฝันที่หวนคิดถึงสลายหายไป กลายเป็นความจริงตรงหน้าที่คอยบอกย้ำว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือลูก ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องเดินหน้าต่อ ชายหนุ่มส่ายศีรษะเบาๆ ไล่ความคิดฟุ้งซ่าน

ร่างอวบอิ่มเดินอุ้ยอ้ายมุ่งหน้าไปที่ลาดจอดรถ ปลดล็อคเปิดประตูก่อนค่อยๆ หย่อนตัวเองลงนั่งที่เบาะด้านคนขับ พอได้อยู่คนเดียวความรู้สึกที่กักเก็บไว้มันก็ระเบิดออกมา ทั้งที่พยายามทำใจว่าที่ตรงนั้นไม่ใช่ของเขาแล้ว แต่มันก็เจ็บขึ้นมาอีกจนได้ ภาพสะท้อนในดวงตาคู่นั้นมันไม่ได้มีเขาอยู่เลย

บุรินทร์ฟุบหน้าลงบนพวงมาลัย เอื้อมมือเปิดเพลงแนวร็อคเมทัลที่ชอบฟัง หมุนเพิ่มวอลลุ่มเสียงให้ดังลั่นแล้วปล่อยน้ำตาให้รินไหลลงอีกครั้ง หวังเพียงว่าเสียงเพลงดุดันจะสามารถช่วยกลบเสียงร้องสะอื้นแสนน่าเกลียดนี้ได้

.

.

.

.

.

To be continued
#บุรินทร์สบายดี

TALK

เรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อสนองneed ตัวเองล้วนๆ ใครกังวลเรื่องความดราม่าอยู่ ไม่ต้องห่วงนะคะ ดูจากรูปปกสีชมพูสดใส เรื่องนี้ไม่ได้น้ำตาแตกมากขนาดนั้น เป็นกำลังใจให้พี่รินทร์ของเราด้วยนะคะ แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ :)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-02-2020 17:32:17 โดย ลามัลลิลา »

ออฟไลน์ ลามัลลิลา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
- สบายดีครั้งที่ 1 -


ท่ามกลางความมืดมิด ภายในคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองย่านการค้าที่สำคัญของประเทศ บนเตียงคิงไซส์ภายในห้องนอนกว้างเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง เสียงผิวเนื้อกระทบกระแทกดังกึกก้องประสานกับเสียงครวญครางปานขาดใจ สองร่างกระหวัดบดเบียดเข้าหากันบนเตียงกว้าง ปลดเปลื้องอารมณ์ผ่านเนื้อตัวเปลือยเปล่า แขนแข็งแกร่งโอบรัดร่างเล็กด้านบนแนบแน่นไม่มีแม้แต่ที่ว่างให้ไอหนาวเย็นแทรกตัวเข้าขั้นกลาง

สะโพกบางเคลื่อนไหวดุดัน เน้นร่างเบียดเสียดด้วยความร้อนเร่า ฝ่ามือเล็กจับยึดบ่ากว้างไว้ สอดใส่ความต้องการที่กำลังปะทุสูงขึ้น หน้าหวานบิดเบี้ยวด้วยความสุขสุม

“อื้อ...”

“อา.. เชน”

บุรินทร์ใบหน้าแดงจัดไหวคลอนตามแรงกระแทก แก่นกายที่เสียดเข้ามาในตัวทำให้ร่างกายดิ้นพล่าน หัวใจเต้นตุบจนแทบระเบิด ยกสองขายาวขึ้นเกาะเกี่ยวเอวเล็กไว้ แยกช่วงล่างออกกว้างให้สามารถกลืนกินตัวตนของคนรักเข้าไปจนหมด

เงาบางเบื้องบนยังกระชั้นเข้าหาไม่หยุด หน้าขาเนียนกระทบเนินสะโพกแน่น ตะกรุมตะกรามเสือกไสความร้อนฉ่าเข้าใส่ไม่ยั้ง

แขนแข็งแรงลูบไล้ทั่วแผ่นหลังเล็ก ห้ามใจไม่ให้ระบายความเสียวซ่านลงบนผิวเนื้อเนียนละเอียด ด้วยเกรงจะทำให้ผิวคนรักเกิดรอยช้ำ จนถึงช่วงจังหวะสุดท้าย ร่างเล็กเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น ความแข็งกร้าวกระตุกวาบฉีดพ่นน้ำรักออกมาภายในช่องทางรักอ่อนนุ่ม

ราเชนถอนแก่นกายออก ร่างเนียนเปล่าเปลือยด้านบนจึงพลิกตัวลงจากอกกว้าง ตะแคงตัวนอนหันหลังให้ทันที โดยไม่ได้สนใจเสียงหอบหายใจของคนที่กำลังนอนหมดแรงอยู่ข้างๆ ทำราวกับว่าการร่วมรักเมื่อสักครู่เป็นเพียงความปรารถนาทางกาย เมื่อเสร็จสมหากจะละเลยกันย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก ฝ่ายที่ถูกหมางเมินมองจดจ้องแผ่นหลังเล็กด้วยใจที่เลื่อนลอย

บุรินทร์ขยับตัวตามไปตระกองกอดคนตัวเล็กไว้แนบอกอย่างหวงแหน จูบซับลงบนขมับเปียกชื้น กระซิบที่ข้างหู “พี่รักเชนนะ...”

รออยู่นานแต่ก็ไร้ซึ่งประโยคบอกรักตอบกลับ เดาจากลมหายใจที่สม่ำเสมอ คาดว่าคนรักคงหลับไปแล้ว เขาจึงทำได้เพียงแค่ฝืนยิ้มและตวัดผ้าห่มผืนหนาขึ้นมาปกปิดร่างบางที่เปลือยเปล่าให้เท่านั้น

บุรินทร์พลิกตัวลงจากเตียงเข้าห้องน้ำไปจัดแจงตัวเอง เปิดฝักบัวเพื่อชำระล้างทำความสะอาดคราบสกปรกต่างๆ ที่ยังคั่งค้างอยู่ภายใน สะดุ้งเล็กน้อยจากอาการแสบบริเวณหัวไหล่ ผลจากรอยเล็บของคนรักที่จิกลึกเป็นทางยาว

ดวงตาหม่นแสงมองเงาที่สะท้อนในกระจกพบเพียงผู้ชายรูปร่างสูงท่าทางซึมเศร้าไร้ชีวิตชีวา หยดน้ำเกาะตัวกันเป็นเม็ดบนมัดกล้ามเนื้อแข็งแรง แม้ไม่กำยำแต่ก็จัดว่าไม่ได้ผอมแห้งเกินไป บุรินทร์ยกปลายนิ้วขึ้นลูบลวดลายสีเข้มตามอักษรที่เรียงตัวกันพาดผ่านเต็มหน้าอกขาวจัดอย่างแผ่วเบา

..‘RACHEN’ ชื่อของคนรักที่เขารัก..

..สลักไว้ไม่มีวันจางหาย..

บุรินทร์ยกกะละมังออกมาจากห้องน้ำ ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดๆ เช็ดหยดเหงื่อที่มาจากการร่วมรักบนโครงหน้าเรียวอย่างเบามือ คนตัวเล็กขยับตัวเล็กน้อยคล้ายรำคาญ

“ฮื่อ…” ร่างเล็กขมวดคิ้ว ร้องประท้วงออกมาอย่างขัดใจ

“เชน เช็ดตัวก่อนนะ จะได้หลับสบาย” เขาลูบผ้าไปตามตัวคนรักอีกครั้ง แต่สัมผัสชื้นที่โดนผิวกาย ทำให้คนที่หลับไปแล้วงัวเงียปรือตาขึ้นมา

“จะนอน!” ราเชนตวาดเสียงดัง ใบหน้าบึ้งตึง

ฝ่ามือใหญ่กว่าหยุดกึก วางผ้าขนหนูลงในกะละมัง “ก็ได้ๆ พี่ไม่กวนแล้ว” ลูบเรือนผมนุ่มกล่อมให้คนรักเข้าสู่นิทราอีกครั้ง

หลังจากเอากะละมังกับผ้าขนหนูไปเก็บเรียบร้อยแล้ว ร่างสูงค่อยๆ ก้าวขึ้นเตียง เอนกายนอนโอบกอดคนรักจากด้านหลัง กดจูบแผ่วเบาตรงหัวไหลมน สายตามองไปเห็นกรอบรูปขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่บนผนังอีกฝั่งหนึ่งของห้อง ภาพของเขากับคนในอ้อมกอดที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุข ความทรงจำที่เคยสดใสในอดีตก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง

บุรินทร์กับราเชนรู้จักกันเพราะบิดาของทั้งคู่เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องจากสถาบันเดียวกัน เขายังจำได้ดีถึงภาพของเด็กชายผิวเนียนดวงตากลมโต นอนยิ้มโชว์เหงือกแดงแจ๋ ส่งเสียงอ้อแอ้อยู่ในเปล

บุรินทร์ยิ้มจางเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต ทุกครั้งที่บิดาต้องไปสังสรรค์ที่บ้านของรุ่นน้องคนสนิท เขามักขอติดสอยห้อยตามไปด้วย พอขึ้นรถได้เขาก็จะเร่งเร้าบิดาทันทีให้ขับเร็วๆ ด้วยกลัวว่าถ้าขืนชักช้าน้องเชนจะหลับไปเสียก่อน ทันทีที่ก้าวขาลงจากรถ เขาก็รีบวิ่งไปที่ห้องเด็กอ่อนอย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยคุณน้าผู้หญิงป้อนนมและเล่านิทานกล่อมน้องจนหลับ

เนื่องจากครอบครัวของเขากับน้องได้ทำธุรกิจร่วมกัน ทำให้เขาได้เจอน้องเชนมากขึ้น พวกเขาเล่นด้วยกันเกือบทุกวัน ความผูกพันยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นตามกาลเวลา น้องเชนกับเขาตัวติดกันแจ ไม่ว่าพี่รินทำอะไร น้องเชนก็จะทำด้วย เขายิ้มได้เสมอกับน้ำเสียงเจื้อยแจ้วที่คอยเรียกชื่อเขา หัวเราะได้ตลอดกับภาพขาป้อมๆ ที่เดินเตาะแตะเข้ามาหา

ราเชนเป็นเด็กน่ารักแต่ติดจะขี้แย น้องถึงกับน้ำตาร่วงเมื่อรู่ว่าอีกไม่นานเจ้าตัวต้องไปโรงเรียน ทำให้ต้องคอยกอดคอยปลอบอยู่นาน เขาจึงสัญญาว่าจะเป็นคนจูงมือราเชนไปส่งเข้าเรียนอนุบาลเป็นวันแรกด้วยตัวเอง แต่เขาก็ต้องทำหน้านั้นที่ได้เพียงไม่กี่ปี เพราะสองปีให้หลังมารดาของเขาก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต เขาจึงถูกส่งตัวไปเรียนไฮสคูลที่โรงเรียนประจำของอังกฤษทันทีหลังเสร็จงานศพมารดา ดังนั้นเขากับราเชนจึงค่อยๆ ห่างกันไปโดยปริยาย

หนึ่งปีหลังจากนั้นเขาได้จดหมายฉบับแรกจากบิดา ข้อความสั้นๆ ในนั้นระบุว่าบิดาของเขากำลังจะแต่งงานใหม่ จึงอยากให้เขาไปร่วมงานด้วย ถึงจะไม่พอใจนักที่บิดาทำอะไรโดยไม่ปรึกษาสักคำ ราวกับถูกตบหน้าจากเนื้อหาบนกระดาษ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่โวยวาย ด้วยเข้าใจว่าทั้งบิดาและมารดาต่างแต่งงานกันด้วยความเห็นชอบจากผู้ใหญ่ และเขาไม่ได้เกิดมาจากความรัก เพราะฉะนั้นหลังสิ้นคุณแม่ คุณพ่อท่านก็มีสิทธิ์จะหาความสุขให้กับตัวเอง ถึงจะคิดอย่างนั้นแต่เขาก็ทนปั้นหน้ายิ้มต้อนรับแขกอย่างแช่มชื่นไม่ไหว จึงอ้างว่าช่วงนี้เรียนหนักไม่สามารถไปร่วมงานได้และทำเพียงแค่เขียนจดหมายแสดงความยินดีส่งกลับไปให้เท่านั้น

บุรินทร์ไม่ได้กลับบ้านอีกเลยจนกระทั่งเรียนจบปริญญาตรี เที่ยวเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ อยู่หลายเดือน จนบิดาต้องโทรศัพท์สายตรงมาหาสั่งให้มาช่วยงานที่บ้านได้แล้ว เขาจึงจำใจเก็บข้าวของย้ายกลับมาเมืองไทย

การกลับบ้านครั้งนี้ทำให้เขารู้ว่าบิดามีความสุขดีกับครอบครัวใหม่ พร้อมกับสมาชิกตัวน้อยๆ ของบ้าน ‘ณภัทร’ น้องชายต่างมารดาของเขาที่วิ่งเล่นพันแข้งพันขา เขาไม่ได้เกลียดน้อง แต่ก็ทำใจให้รักน้องไม่ลงด้วยเช่นกัน

ทว่าโชคชะตาก็พาพวกเขามาเจอกันอีกครั้ง เนื่องจากบุรินทร์ถูกไหว้วานแกมบังคับจากบิดาให้ไปรับณภัทรที่โรงเรียน เพราะคนทั้งคู่ติดธุระไม่สารถปลีกตัวไปได้ บุรินทร์จึงทำตามอย่างไม่มีทางเลือก ขับรถไปรับน้องช้ากว่าเวลาจริงเกือบชั่วโมง ในขณะที่เดินเบื่อๆ อยู่นั่น สายตาพลันไปเห็นเด็กชายคนหนึ่งในชุดนักเรียนมัธยมต้นกำลังไกวชิงช้าให้น้องของเขาอยู่

เขายังแปลกใจที่เชนจำเขาได้ เด็กชายมีท่าทางดูตื่นเต้นและดีใจมากเช่นเดียวกันกับเขา วันนั้นบุรินทร์อยู่เล่นด้วยกันจนเย็นย่ำแถมเลี้ยงไอศกรีมเด็กผู้หิวโหยทั้งสองคน ก่อนโบกมือลาส่งราเชนขึ้นรถของที่บ้านไป หลังจากเหตุการณ์นั้นเพื่อที่จะได้เจอใครบางคน เขาก็อาสามารับน้องที่โรงเรียนทุกวัน

พวกเขายิ่งสนิทกันมากขึ้นเมื่อเชนเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย เขาจึงให้คำแนะนำในฐานะพี่ชายที่หวังดีเท่านั้น ไม่ได้คิดหวังเป็นอย่างอื่น ราเชนเป็นคนช่างพูดต่างจากเขาที่เป็นฝ่ายรับฟังเสียมากกว่า บทสนทนาที่แสนธรรมชาติถูกถ่ายทอดออกมา พร้อมความรู้สึกดีๆ ที่เริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

ในช่วงปิดเทอมบุรินทร์พาราเชนไปเที่ยวตั้งแคมป์ที่เขาใหญ่ตามคำขอของอีกฝ่าย แสงดาวด้านบนล้วนเป็นใจทำให้ราเชนกล้าพอที่จะสารภาพรักออกมา ทั้งที่บุรินทร์ก็รู้สึกเหมือนกันแต่เขากลับปฏิเสธออกไป ด้วยเหตุผลที่ว่าคนตัวเล็กยังเด็กวันข้างหน้ายังต้องเจอคนอีกมาก และขอร้องให้น้องอย่าพูดเรื่องนี้อีก

จนกระทั่งวันเกิดเขามาเยือนอีกครั้ง งานฉลองแบบไพรเวทถูกจัดขึ้นอย่างทุกปีอีกครั้ง มีเพียงเขาและเพื่อนสนิทแค่ไม่กี่คนเท่านั้น แต่สิ่งที่แปลกออกไปคงเป็นแขกรับเชิญตัวเล็กที่กำลังนั่งดื่มเป็นเพื่อนเจ้าของงาน

น้ำสีอำพันถูกส่งเข้าปากอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าสวยขึ้นสีแดงระเรือจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ สายตาที่เริ่มเปลี่ยนไปทำให้กระตุ้นความรู้สึกอยากโอบรัดร่างน้อยตรงหน้าไว้เต็มสองแขน

..และทุกอย่างก็เลยเถิด..

..ใช่.. มันเป็นครั้งแรกที่พวกเขามีความสัมพันธ์กัน

บุรินทร์ขึ้นคร่อมร่างเล็กไว้บดเบียดริมฝีปาก ในขณะที่ฝ่ามือใหญ่ช่วยปลดเปลื้องเสื้อผ้าของอีกฝ่ายออก สอดปลายนิ้วเข้าขยายความคับแน่นช่องทางที่ไม่เคยผ่านการใช้งานทีละนิด

ร่างบางตัวสั่นด้วยท่าทางหวาดหวั่นและวิตกกังวล เพียงแค่เห็นหยดน้ำสีใสที่เอ่อคลอที่ดวงตากลมโต ร่างสูงก็ใจอ่อนยวบ แต่อารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้นจนไม่สามารถหยุดกลางคันได้ เขาคิดอย่างปลงใจ

..หากเรารักกันด้วยใจจริง จะให้บุรินทร์เป็นฝ่ายไหนเขาก็ยินดี..

ราเชนสะดุ้งเฮือกเมื่อเขาพลิกตัวสลับตำแหน่งเป็นคนที่อยู่ใต้อาณัติแทน คนตัวเล็กดูตกใจและสับสนจนทำอะไรไม่ดู เขาเพียงกอดปลอบและกระซิบให้ทำตามสัญชาตญาณของตัวเอง จากนั้นสะโพกบางจึงเริ่มขยับอย่างช้าๆ แม้จะเงอะงะในช่วงแรกแต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี

พวกเราตื่นขึ้นมาด้วยสภาพเตียงนอนยับยู่ยี่ มีคราบน้ำรักและคราบเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ทั่ว เขาสารภาพความรู้สึกของตัวเอง และขอโทษเรื่องที่เคยพูดจาไม่รักษาน้ำใจของอีกฝ่าย ราเชนตอบรับแทบจะทันทีที่ร่างสูงขอเลื่อนสถานะความสัมพันธ์จากพี่น้องให้กลายเป็นคนรัก เย็นวันนั้นเขาเอาดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมาครอบครัวน้อง ทำทุกอย่างให้ถูกต้อง และขอคบกับราเชนอย่างเปิดเผย

แรกรักอะไรก็หวาน ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันราเชนเป็นแฟนที่ดีมาตลอด พวกเขาเป็นคู่รักที่ใครๆ ต่างอิจฉา คำสัญญาที่บอกว่าเราจะรักตลอดไป ความสุขเหล่านั้นมันยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำ

หลังจากเรียบจบราเชนได้ทำงานในบริษัทออกแบบแห่งหนึ่ง ทำให้ต้องเดินทางอยู่บ่อยๆ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะพวกเขายังติดต่อกันตลอด จนกระทั่งช่วงสองปีให้หลังนี้ที่เชนต้องไปดูงานออกแบบสร้างรีสอร์ทแห่งใหม่ที่จังหวัดภูเก็ต

..มือที่เราคอยกุมกันไว้ก็เริ่มแยกออกจากกัน..

บุรินทร์นอนมองเพดานว่างเปล่าแล้วถอนหายใจอีกครั้ง ร่างสูงเอี้ยวตัวคว้าซองบุหรี่และไฟแซ็คตรงหัวเตียงมา ค่อยๆ พลิกตัวลงจากเตียงระวังไม่ทำให้คนด้านข้างตื่น เปิดประตูบานเลื่อนเดินออกไปที่ระเบียง เคาะม้วนสีขาวออกมาหยิบขึ้นใส่ปากแล้วจุดไฟ ละเลียดสูดนิโคตินเข้าเต็มปอด ริมฝีปากได้รูปพ่นควันสีเทาออกมา กลิ่นมิ้นท์จางๆ มันทำให้เขาผ่อนคลายลงจากสมองที่ยุ่งเหยิง เงยหน้ามองดวงจันทร์ทอแสงสุกสว่างอยู่บนท้องฟ้า เส้นผมหมาดระต้นคอลู่ตามสายลมเอื่อยที่กระทบใบหน้า

บุรินทร์เหลียวหลังหันหน้าเข้าห้องนอน ดวงตาเรียวสีน้ำตาลอ่อนโยนลงเมื่อมองไปที่ใบหน้าหวานยามหลับใหลของคนรัก เขายิ้มจางให้กับปากนุ่มที่เผยอน้อยๆ จนเห็นไรฟันขาวสะอาดอย่างน่าเอ็นดู แต่รอยยิ้มก็ต้องจางหายเมื่อเหลือบเห็นกระเป๋าเดินทางขนาดสูงเท่าเอวที่ตั้งอยู่ข้างตู้เสื้อผ้า

‘ไปภูเก็ตอีกแล้วเหรอ’

‘อืม…’

‘แล้วจะกลับวันไหน’

‘คงสิ้นเดือน’

‘ต้องอยู่นานเลยเหรอ’

‘ผมต้องเคลียร์งานที่นู่น’

‘ให้พี่ไปรับไหม’

‘ไม่ต้องครับ ยังไม่มีกำหนดแน่ชัด ผมกลับเองดีกว่า’

ลางสังหรณ์บางอย่างคอยเตือนว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติกับการที่ราเชนลงใต้เป็นว่าเล่น หากแต่ไม่มีประวัติเช็คอินที่พักไหน หรือการที่เขามักจะติดต่อคนรักไม่ได้ โดยเจ้าตัวอ้างว่าไม่มีสัญญาณบ้างล่ะ ทำงานจนไม่มีเวลาจับโทรศัพท์บ้างล่ะ ราวกับต้องการตัดขาดจากโลกภายนอก

..ทุกอย่างล้วนน่าสงสัย..



......................................................



ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นขอบฟ้า วันใหม่เริ่มต้นอีกครั้ง บุรินทร์ตื่นตั้งแต่เช้า เข้าครัวทำอาหารง่ายๆ ให้คนขี้เซากินรองท้องก่อนไปสนามบิน

วันนี้ราเชนตื่นเช้ากว่าปกติ เพราะเจ้าต้องขึ้นเครื่องตอนสิบโมงเช้า คนตัวเล็กเดินออกมาจากห้องนอนด้วยเสื้อเชิ้ตพับแขนสีสีน้ำเงินกับกางเกงยีนส์ง่ายๆ

“เชน ตื่นแล้วเหรอ หิวหรือยัง รออีกเดี๋ยวนะ ข้าวใกล้สุกแล้ว” ร่างสูงละมือจากทัพพี หันหน้ามอบรอยยิ้มให้

ราเชนเพียงแค่นั่งลงบนเก้าอี้ตรงห้องครัวเงียบๆ โดยไม่มีแม้แต่คำทักทายตอนเช้า

บนโต๊ะอาหารเกิดแรงสั่นเล็กๆ จากเครื่องมือสื่อสาร ร่างเล็กลอบยิ้มจางให้กับรูปภาพเด็กแบเบาะที่ได้รับ ชำเลืองร่างสูงที่ยังวุ่นวายอยู่หน้าเตา มือเล็กสอดโทรศัพท์ลงใต้โต๊ะ รีบกดข้อความตอบกลับไป เสร็จแล้วจึงเก็บเข้ากระเป๋ากางเกงอย่างแนบเนียน

บุรินทร์จัดการตักข้าวต้มหอมฉุยใส่จานให้คนตรงหน้า รินกาแฟใส่แก้วกระเบื้องแล้วเติมนมก่อนหย่อนน้ำตาลลงแก้วอีกสองก้อน คนตัวเล็กไม่ชอบกาแฟที่รสชาติเข้มเกินไป ต่างกับเขาที่ชอบกาแฟขมๆ อันที่จริงเราสองคนแทบไม่มีอะไรที่คล้ายกันเลย ทั้งอายุที่ต่างกันเป็นสิบปี การใช้ชีวิตที่ต่างกันสุดขั้ว แต่เขาควรจะดีใจไม่ใช่เหรอ ที่ตอนนี้ วินาทีนี้ พวกเขายังอยู่ด้วยกัน

..หรือเขาคิดผิด..

เป็นเวลากว่าหกปีแล้วที่พวกเขาคบกันในฐานะคนรัก แต่เหตุใดทำไมเขาถึงรู้สึกว่าความรักที่เชนมีให้ต่อเขามันกำลังลดลงเรื่อยๆ ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันเหมือนมีบางสิ่งมาขวางกันเราไว้ เริ่มจากบรรยากาศที่แสนอึดอัด สายตาเย็นชาเวลามองกัน การกระทำที่ดูขวางหูขวางตา ราวกับการนับเวลาถอยหลังสู่จุดจบของเรื่องราวอันแสนเศร้าและอาจจะมีเพียงเขาคนเดียวที่เสียใจ

..เรายังรักกันอยู่หรือเปล่า..

..ทั้งที่ทุ่มเทให้ทุกอย่าง..

..แต่กลับสัมผัสความรักของอีกฝ่ายไม่ได้เลย..

บุรินทร์จ้องมองดวงตากลมโตสีเข้ม จมูกโด่งรั้น ริมฝีปากกระจับสีระเรื่อ มองทุกส่วนบนใบหน้าของคนรักที่อาจจะไม่ได้เห็นอีกเกือบเดือน

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารแสนเงียบเชียบ ไร้บทสนทนาอีกตามเคยความอึดอัดเข้าปกคลุม และสุดท้ายบุรินทร์ก็ทนไม่ไหวเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดเป็นคนแรก

“ขอโทษนะที่ไปส่งไม่ได้ พ่อเรียกให้ไปคุยธุระที่บ้าน”

“ผมก็บอกพี่ไปแล้วไงครับว่าไม่เป็นไร พี่จะพูดซ้ำอีกทำไม”

“พี่แค่...” พอได้เห็นสีหน้ามึนตึงของอีกฝ่าย ร่างสูงตัดสินใจเงียบเสียงลง

บุรินทร์ไม่รู้ว่ารอยยิ้มที่พวกเขามีให้กันมันหายไปตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวอีกทีมันก็ใกล้เกินไขว่คว้าให้กลับมาเหมือนเดิมแล้ว ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรอีก ต่างฝ่ายต่างจัดการอาหารตรงหน้าจนหมด บุรินทร์ทำหน้าที่เก็บกวาดถ้วยชามลงในซิงค์

“กินของหวานก่อนไหม พี่ทำพุดดิ้งไว้ กว่าแท็กซี่จะมาก็อีกครึ่งชั่วโมง”

ราเชนก้มดูนาฬิกาที่ข้อมือ “ผมต้องไปแล้ว”

บุรินทร์มองคนรักเดินลากกระเป๋าหันปลายเท้าเตรียมออกจากห้อง สมองแสนโง่เขลาเร่งเร่าให้ทำอะไรบางอย่าง

..รั้งเอาไว้..

“เชน” ราเชนชะงักกึกเมื่ออ้อมแขนกว้างกระหวัดเข้ามากอดจากเบื้องหลัง ริมฝีปากได้รูปแตะลงที่ท้ายทอยเนียน คลอเคลียปลายจมูกโด่งลงบนเส้นผมหอมอยู่สักพักก่อนจะเอียงหน้าซบบนไหล่ลาด

“เดือนหน้า… หลังจากเชนกลับมา เราแต่งงานกันไหม”

ความกระอักกระอ่วนเกิดขึ้นในฉับพลันเมื่อร่างเล็กหันขวับมาจ้องมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง

“พี่มาพูดอะไรตอนนี้”

“เราอยู่ด้วยกันมานานแล้ว พี่อยากให้เชนมั่นใจว่าเชนสามารถพึ่งพาพี่ได้ พี่รู้ว่าเชนไม่ชอบงานเอิกเกริก เราจัดเป็นงานเล็กๆ ในสวนแทนดีไหม เชิญแขกแค่ที่สนิท ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมาก” ฝ่ามือขาวเลื่อมมากุมมือเล็กไว้ “เรามาเป็นครอบครัวเดียวกันนะครับ”

ราเชนดึงมือที่ใหญ่กว่าออก “เรื่องแต่งงาน ผมคิดว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะครับ ผมบอกพี่ไปกี่ครั้งแล้วว่ายังไม่พร้อม” ร่างเล็กพูดตัดบทด้วยท่าทางหงุดหงิด

“แล้วเมื่อไหร่ถึงเรียกว่าพร้อม"

“พี่รินทร์อย่างี่เง่า!” ราเชนพูดเสียงแข็ง ทำให้ร่างสูงต้องเงียบเสียงลง เกรงว่ายิ่งถกเถียงจะยิ่งทำให้คนคนอายุน้อยกว่าอารมณ์เสียจนกลายเป็นเรื่องราวทะเลาะกันใหญ่โต

บุรินทร์ตามเข้าไปกอดอีกครั้ง “พี่ขอโทษ” ร่างสูงกล่าวออกไปอย่างแผ่วเบา กลัวเหลือเกินว่าร่างตรงหน้านี้จะหลุดลอยไป ทำให้ต้องกระชับกอดคนในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น

“พี่รินทร์ปล่อย เดี๋ยวตกเครื่อง” ราเชนดึงแขนอีกฝ่ายออกห่าง

ร่างสูงยอมปล่อยให้อีกคนเดินไปที่ประตู แต่แล้วก็คว้าแขนเล็กไว้อีกครั้ง ในใจมีความรู้สึกมากมายที่อยากเอื้อนเอ่ยให้คนตัวเล็กได้ฟัง แต่สุดท้ายบุรินทร์ก็ยังเป็นคนโง่

“เดินทางปลอดภัยนะ”

ราเชนไปแล้ว หันหลังให้เขาแล้วเดินจากไปโดยไม่มีคำล่ำลา บุรินทร์เหมือนคนหลงทาง จะเดินหน้าก็ไม่ได้ จะถอยหลังก็ไม่ได้ ได้แต่ยืนอยู่เฉยๆ รอเวลาให้สายสัมพันธ์ที่เรียกว่าความรักฉุดเขาให้จมปลักโคลนที่ไร้ซึ่งทางออก

..จะไม่บอกรักก็ไม่เป็นไร จะเย็นชาใส่กันก็ไม่เป็นไร..

..แต่ขอร้อง ช่วยอยู่ตรงนี้ได้ไหม..

..อย่าหายไปไหนเลย..

.

.

.

.

.

To be continued
#บุรินทร์สบายดี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-02-2020 17:32:47 โดย ลามัลลิลา »

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
สงสารบุรินทร์ :hao5:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ papapoope

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 291
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
จะร้องไห้ตามแล้วค่ะ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
โห แฟนดีขนาดนี้ยังทำร้ายได้ลง แอบมีชู้จนฝ่านโน้นตั้งท้องจนคลอดแล้วอีกต่างหาก รอให้บุรินทร์ตัดใจได้เสียที

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
เปิดตัวด้วยงานมาม่า  :sad4:

รอตามจ้า  :จุ๊บๆ:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
โอ้โห มีคนอื่นแน่นอน  :ling2:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ cho_co_late

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
แผลของบุรินทร์คงเจ็บลึกอ่ะ ตัวเอง invest แทบจะทั้งชีวิตให้เขาแล้วแต่ยังทำกันได้ขนาดนี้ เฮ้อ
หวังว่าบุรินทร์จะตัดใจแล้วมุ่งหน้าเลี้ยงลูก หาพ่อใหม่ของลูกที่ดีกว่านี้นะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
หายไปนานจัง ไม่มาต่อแล้วหรอ :hao5:

ออฟไลน์ ลามัลลิลา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
- สบายดีครั้งที่ 2 -


บุรินทร์ตบไฟเลี้ยวบังคับรถเข้าไปในคฤหาสน์หลังใหญ่ ประตูอัลลอยอัตโนมัติเปิดกว้างให้มาเซราติ แกรนทัวริสโม่ สีดาร์ค เกรย์เคลื่อนผ่านเข้ามาจอดเทียบท่าตรงหน้าบันไดหินอ่อน อันที่จริงเขาไม่ค่อยเข้ามาที่นี้บ่อยนัก เพราะส่วนใหญ่เขากับพ่อจะเจอกันที่บริษัทเสียมากกว่า แต่ถ้าถึงขนาดเรียกให้มาคุยกันถึงที่บ้านได้เดาว่าคงเป็นธุระเรื่องสำคัญจริงๆ

ชายหนุ่มเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี้ตั้งแต่เกิดจนถึงอายุสิบห้าก่อนที่จะถูกเนรเทศไปอยู่เมืองนอก พอกลับมาช่วยงานพ่อได้สองสามปีจึงเริ่มมองหาลู่ทางของตัวเอง ทำธุรกิจร่วมทุนกับเพื่อนสนิทเปิดไนต์คลับควบคู่กับงานประจำที่ทำอยู่ แต่เนื่องจากบ้านใหญ่อยู่เกือบชานเมืองซึ่งค่อนข้างห่างไกลจากที่ทำงานทั้งสองแห่งพอสมควร ดังนั้นเพื่อความสะดวกในการเดินทาง เขาจึงหยิบยกเหตุผลนี้ขึ้นมาขอแยกตัวออกไปใช้ชีวิตคนเดียว

โดยหลักเกณฑ์ในการเลือกซื้อที่อยู่ใหม่มีอยู่ด้วยกันสองข้อง่ายๆ คือหนึ่งอยู่ใจกลางเมืองใกล้ศูนย์การค้า ต้องห้อมล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน และอย่างสุดท้ายซึ่งเป็นข้อที่เขาดอกจันเอาไว้ *ต้องไม่ใช่คอนโดในเครือของครอบครัว

“คุณรินทร์!” อุ่น หัวหน้าแม่บ้านร่างท้วมรีบกุลีกุจอมาต้อนรับ

ร่างสูงยิ้มจางเดินก้าวออกมาจากรถ“สวัสดีครับป้า”

“สวัสดีค่ะ” ร่างตุ๊ต๊ะยิ้มกว้างจนเห็นหนวดแมวเส้นเล็กๆ ที่ร่องแก้ม“ทำไมไม่มาหาป้าบ้างเลยคะ ถ้าคุณท่านไม่เรียกพบ ป้าคงไม่ได้เห็นหน้าคุณรินทร์แล้ว” เธอทำหน้ามุ่ย

คนถูกถามกลืนก้อนสะอึก ความจริงบุรินทร์เองก็อยากกลับบ้านให้บ่อยกว่านี้ เพราะที่นี้มีหลายคนที่เขาคิดถึง แต่ทุกครั้งที่มาพ่อมักทำเหมือนว่าเขาเป็นส่วนเกินอยู่เสมอ เริ่มต้นจากข้าวของเครื่องใช้ที่บ่งบอกการมีตัวตนของลูกชายคนโตถูกเก็บเข้ากรุ ตลอดจนเสียงหัวเราะน่ารำคาญซึ่งคอยพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานของทั้งครอบครัว แต่กลับหลงลืมใครอีกคนไว้ข้างหลัง แล้วเขาจะทำใจมาเหยียบที่นี่ได้อย่างไร

..บ้านที่เขาไม่ได้รู้สึกเหมือนเป็นบ้าน..

บุรินทร์ไม่ได้ตอบคำถามเพียงแค่เอื้อมมือกอดพุงนุ่มนิ่มไว้เท่านั้น การกระทำที่ดูเหมือนเป็นการง้อกลายๆ มันทำให้สามารถเรียกรอยยิ้มอบอุ่นจากหญิงสูงวัยได้โดยง่าย

อุ่นเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาหม่นหมอง เดิมทีเธอเคยเป็นต้นห้องคอยรับใช้ให้กับคุณหญิงบุษกรก่อนท่านจะแต่งงานแล้วย้ายมาอยู่ที่นี้ พอคุณหญิงท่านคลอดคุณหนู อุ่นจึงถูกเรียกตัวมาเพื่อรับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลคุณบุรินทร์ตั้งแต่ยังเป็นทารก

ถึงคุณหญิงท่านจะไม่อยู่แล้ว หรือแม้แต่ตอนนี้คุณบุรินทร์จะเติบใหญ่จนสามารถใช้ชีวิตโดยไม่ต้องพึ่งพาพี่เลี้ยง แต่อุ่นก็ยังเลือกทำงานอยู่ที่นี้ไม่คิดไปไหน เผื่อว่าวันใดที่คุณบุรินทร์กลับบ้านจะได้มีคนคอยอยู่ต้อนรับ มือเหี่ยวยกขึ้นลูบแก้มขาวอย่างอ่อนโยน แต่บางอย่างที่เปลี่ยนไปทำให้เธอชะงักค้าง“ตายจริง!”

“มีอะไรครับ” บุรินทร์เลิกคิ้วขึ้น

คนอายุมากกว่าร้อนรนหยิบแว่นตาที่คล้องคอขึ้นมาสวมมองพิจารณาใบหน้าของเจ้านายชัดๆ “ทำไมผอมลงอย่างนี้ค่ะ แก้มพองๆ หายไปไหนหมด” เธอพูดด้วยน้ำเสียงราวกับจะร้องไห้

บุรินทร์หัวเราะ“แก้มพองๆ อะไรกันครับ ผมอายุสามสิบกว่าแล้วไม่ใช่เด็กๆ ซะหน่อย”

อุ่นบีบจมูกโด่งเบาๆ“สำหรับป้าจะสามสิบหรือสี่สิบ คุณรินทร์ก็ยังเป็นเด็กอยู่นั่นแหละค่ะ”

ในสายตาของอุ่นคนตรงหน้ายังเป็นคุณหนูตัวแดงที่เธอเคยฝูมฟักเหมือนในวันวาน เธอรักคุณหนูของเธอเหมือนลูกแท้ๆ แก้มที่ตอบลงอย่างเห็นได้ชัดมันทำให้เธอปวดใจ นี่แสดงว่าคุณบุรินทร์คงทำงานจนลืมทานข้าวอีกแล้ว โธ่ คุณหนูของป้า ทำไมถึงไม่ดูแลตัวเองบ้างเลย

พอเห็นสายตาอาดูรจากอดีตเลี้ยง ร่างสูงจึงเดินเข้าไปกดจมูกลงบนข้างแก้มย่นเบาๆ ทำท่าทางออดอ้อนเหมือนตอนเป็นเด็ก

“ผมแข็งแรงครับ ช่วงนี้เข้าฟิตเนสบ่อยก็เลยเฟิร์มขึ้น เนื้อเหลวๆ มันก็เลยหายไปหมด ถ้าไม่เชื่อป้าลองจับดูสิ” บุรินทร์คว้ามือเหี่ยวมาวางบนต้นแขนตัวเอง “เห็นไหมครับ มีแต่กล้ามทั้งนั้นเลย”

อุ่นตีแขนเจ้านายเบาๆ ก่อนหลุดยิ้มออกมา“ไม่ต้องมาทำหน้าทะเล้นเลยนะคะ” เธอคว้ามือขาวมากุมไว้“มาเถอะค่ะ เข้าบ้านกัน”

บุรินทร์ก้าวผ่านประตูทรงโค้งเข้ามา โคมระย้าคริสตัลด้านบนแขวนเด่นสง่ากลางห้องโถง ถัดมาไม่ไกลหน้าต่างบานใหญ่สูงตั้งแต่พื้นจรดเพดานถูกเปิดม่านไว้เผยให้เห็นไม้สวนที่ปลูกไว้แน่นเต็มพื้นที่

รอบบ้านดูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปจากครั้งล่าสุดที่มามากนัก จะมีเพิ่มเต็มก็คือรูปครอบครัวใหม่ของพ่อที่มากขึ้น และรูปภาพของแม่เขาที่ลดน้อยลง

เรียวขายาวเดินตามทางพื้นกระเบื้องหินอ่อนเข้ามาในห้องนั่งเล่น น้องชายต่างมารดากำลังนั่งไขว่ห้างตรงโซฟาพลางฉิบน้ำชาควบคู่กับเค้กสตรอว์เบอร์รีไปด้วย

ตั้งแต่เล็กณภัทรถูกเลี้ยงดูมาดั่งเจ้าชายน้อยของบ้าน เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรักจากผู้คนมากมายรอบตัว

..ต่างจากเขาที่เงียบเหงาและโดดเดี่ยว..

“พี่รินทร์~” คนตัวเล็กยิ้มกว้าง วางแก้วชาลงแล้วรีบวิ่งถลาเข้ามาหาร่างสูง

บุรินทร์ถอยหลังไปหนึ่งก้าวยืนนิ่งข้างป้าอุ่น แววตาราบเรียบไม่ได้แสดงอารมณ์ใดออกมา

“คิดถึงจังครับ” คนอายุน้อยกว่าเดินตามไปเอื้อมคล้องแขนพี่ชายไว้ “พอคุณพ่อบอกแล้วว่าพี่รินทร์จะมา คุณแม่ดีใจใหญ่ ถึงกับลงครัวเองเลยน้า~” ร่างบางส่งสายตาออดอ้อน“อยู่ทานข้าวเที่ยงด้วยกันนะครับ”

คนถูกเซ้าซี้ทำเมินคำถามจากอีกฝ่ายเดินอ้อมไปนั่งโซฟาอีกด้าน แล้วหันหน้าไปหาอดีตพี่เลี้ยงที่เดินเข้ามาเสิร์ฟน้ำแทน

“เขาอยู่ไหนครับ”

“คุณท่านกำลังมีแขกค่ะ คุยธุระกันอยู่ในห้องทำงาน”

“มีแขก? แต่วันนี้เขาเรียกผมมา” บุรินทร์ว่าน้ำเสียงขุ่นเคือง ทั้งที่เขาต้องสละเวลาส่วนตัวในวันอาทิตย์ขับรถเกือบสองชั่วโมงมาถึงที่นี้ แถมยังจำใจทิ้งราเชนให้ไปสนามบินคนเดียวอีก แต่ตัวเองดันมีนัดซ้อนเนี่ยนะ เสียเวลาจริงๆ เลย ร่างสูงถอนหายใจ“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อนดีกว่า ฝากบอกเขาด้วยว่าพรุ่งนี้ค่อยไปคุยกันที่บริษัท”

ณภัทรมุ่ยหน้า“อ้าว เพิ่งมาถึงเอง พี่รินทร์จะกลับแล้วเหรอครับ”

“ใช่” คนถูกถามตอบสั้นๆ ก่อนลุกขึ้นยืนหมุนตัวแล้วเดินออกไป

“เดี๋ยวค่ะ เดี๋ยว คุณบุรินทร์อย่าเพิ่งไปค่ะ” ป้าอุ่นรีบวิ่งกระหืดกระหอบมาขวางร่างสูงไว้ก่อนพ้นประตู

บุรินทร์ชะงักปลายเท้าเมื่อได้ยินเสียงแว่วจากด้านหลัง คิ้วเรียวเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม ร่างท้วมรีบอธิบายรวดเร็วว่าพ่อสั่งให้เขาเข้าไปหาได้เลย เพราะแขกที่มาก็เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะคุยกันวันนี้ ร่างสูงพยักหน้ารับรู้ แล้วเปลี่ยนทิศการเดินไปทางห้องทำงานแทน



........................................



“อย่างที่ผมแจกแจงว่าผลประกอบการช่วงครึ่งปีแรกของเราเฉพาะส่วนรีสอร์ททำกำไรเพิ่มขึ้นเกือบสิบห้าเปอร์เซ็นต์ มันมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ซะอีก”

“แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อยากขอตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมอีกที”

“จะทำงานใหญ่ ยังไงมันก็ต้องมีความเสี่ยงอยู่แล้ว คุณพฤกษ์ทำธุรกิจมานานน่าจะเข้าใจนะครับ”

“แต่มันเป็นที่รุกล้ำเขตอุทยาน”

รอยยิ้มการค้าปั้นประดับบนใบหน้าคนอาวุโสกว่า“ผมถึงอยากให้พ่อเลี้ยงช่วยยังไงล่ะ คุณแค่เคลียร์ทางให้ ส่วนที่เหลือเปรมนิรันดร์ของผมจะจัดการเอง”

“ผมว่าเจ้าสัวคงเข้าใจผิดแล้ว ธุรกิจของผมคือการค้าขายต้นไม้ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องทุจริตโกงกินที่ดินอย่างที่คุณกำลังทำอยู่” พฤกษ์รวบรวมเอกสารส่งคืนให้คนตรงหน้า

“อย่าไร้เดียงสาไปหน่อยเลย พ่อเลี้ยงก็รู้ว่าคนนอกหรือจะสู้คนใน ยังไงข้าราชการกังฉินพวกนั้นก็น่าจะคุ้นเคยกับคุณมากกว่าผมอยู่แล้ว” เจ้าสัวทรงพลยิ้มเย็น“อีกอย่าง ส่วนแบ่งขนาดนี้มันสามารถทำให้พ่อเลี้ยงปลดหนี้ได้สบายเลยนะ”

พ่อเลี้ยงคิ้วกระตุก "มันเป็นเรื่องของผม คุณไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่ง" เขาพยายามระงับอารมณ์คุกรุ่นเหตุเพราะคนตรงหน้าเริ่มล้ำเส้นเข้ามาเรื่อยๆ

"อย่าเข้าใจผิดสิครับ ผมแค่หวังดีในฐานะเพื่อนเก่าเท่านั้น ลองคิดดูสิจะเป็นยังไงถ้าพ่อเลี้ยงไผท รู้ว่าลูกชายของเขาบริหารงานได้แย่ขนาดนี้" ประมุขของบ้านยังจี้ปมไม่เลิก "คุณควรจะคิดถึงคนงานที่ปางให้มากๆ นะครับ หรืออย่างน้อยก็ควรนึกถึงลูกสาวบ้าง อย่าคิดถึงแต่ตัวเอง"

พฤกษ์กำมือแน่น "อย่าใช้วิธีนี้มาบีบผม" เขาตอบอย่างเหลืออด ถึงจะทำใจไว้ตั้งแต่ตอนที่เจ้าสัวทรงพลติดต่อเข้ามาแล้วว่าอย่างไรตัวเองคงต้องทำตามอีกฝ่ายอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง คนที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลคงไม่ยอมฟังใครง่ายๆ แต่การที่คนตรงหน้าใช้จุดอ่อนมาบังคับเขามันก็ถือเป็นวิธีการมัดมือชกที่เข้าขั้นชั้นเลว

คนอาวุโสกว่ายิ้มมุมปาก "ใครจะไปบีบคุณได้ล่ะครับพ่อเลี้ยง ธุรกิจของผมตั้งอยู่บนความสมัครใจของทั้งสองฝ่ายอยู่แล้ว" ทรงพลเลื่อนเอกสารไปตรงหน้าอีกฝ่ายอีกครั้ง "ถ้าพ่อเลี้ยงไม่ตอบ ผมจะถือว่าตกลงนะครับ"

"ผมขอเวลาคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ"

“ผมตามใจพ่อเลี้ยงอยู่แล้ว จะใช้เวลาคิดนานเท่าไหร่ก็ได้” เจ้าสัวกระตุกยิ้ม“แต่ลูกสาวของพ่อเลี้ยงล่ะครับ ผมได้ยินมาว่าค่ารักษาพยาบาลต่อเดือนไม่ใช่ถูกๆ เลยนะ” ทรงพลเอนตัวลงพิงเบาะหนัง “เธอจะรอได้นานขนาดนั้นหรือเปล่า”

พ่อเลี้ยงเมืองเหนือชะงักกึก ภาพของลูกสาวนอนนิ่งบนเตียงโดยมีเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์การแพทย์ระโยงระยางเต็มตัวฉายชัดราวกับมีมีดกรีดแทงเข้ามาที่หัวใจ หนำซ้ำวันกำหนดการจ่ายค่ารักษาก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขามืดแปดด้านไม่รู้ว่าครั้งนี้ทางโรงพยาบาลจะให้ผัดผ่อนได้อีกหรือเปล่า

ท่าทางลังเลของอีกฝ่ายสามารถเรียกรอยยิ้มของเจ้าสัวได้ไม่ยาก“ถ้าพ่อเลี้ยงรักลูกก็ควรยอมทำเพื่อเขานะครับ”

พฤกษ์ถอนหายใจอย่างจำยอม“ก็ได้ ผมจะรับข้อเสนอนี้ แต่หวังว่ามันคงสาวมาไม่ถึงตัวผมนะครับ” ถ้าไม่จนตรอกจนหมดหนทาง เขาจะไม่มีวันก้มหัวยอมรับข้อเสนอของอีกฝ่ายเด็ดขาด

ทรงพลยิ้มกริ่ม“อย่างห่วงเลยครับ ผมรับรองว่ามือของพ่อเลี้ยงยังคงขาวสะอาดเหมือนเดิม” เขาเลื่อนเอกสารสัญญาให้คู่ค้า “แค่เซ็นตรงนี้ ปัญหาทุกอย่างของพ่อเลี้ยง ผมจะเป็นคนสะสางให้เอง”

คนโดนต้อนจ้องเขม็งไปที่ดวงตาคมดุ ก่อนจรดปลายปากกาลงลายมือชื่ออย่างรีบๆ

“ยินดีที่ได้ทำธุรกิจร่วมกันนะครับ” เจ้าสัวลุกขึ้นยื่นมือไปด้านหน้า แต่อีกฝ่ายยังคงนั่งนิ่งทำมองเมินไปทางอื่น

ทรงพลดึงมือกลับ ไม่คิดถือสา ช่างปะไร เขาได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว มือหนาเก็บเอกสารเข้าซองสีน้ำตาล“ผมจะให้เลขาจัดการโอนเงินก้อนแรกเป็นค่ามัดจำไว้ก่อนนะครับ ส่วนที่เหลือจะตามไปเมื่อโครงการเรียบร้อยแล้ว”

“ขอบคุณครับ” พฤกษ์พูดกระอ้อมกระแอ้ม

ทรงพลหัวเราะ“ถ้าไม่เต็มใจ ไม่ต้องพูดก็ได้นะครับ”

พ่อเลี้ยงเมืองเหนือจิ๊ปากอย่างนึกรำคาญกับท่าทางที่อีกฝ่ายทำเหมือนตัวเองถือไพ่เหนือกว่าเขาเสียเต็มประดา พฤกษ์สบกรามแน่น เย่อหยิ่งจองหองไปเถอะอย่าให้ถึงคราวเขาบ้างจะเอาคืนให้เจ็บแสบ

พฤกษ์ขมวดคิ้วหงุดหงิด ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู“คุณบุรินทร์ยังมาไม่ถึงอีกหรือครับ” เขาถามถึงลูกชายอีกฝ่ายที่จนป่านนี้แล้วยังไม่เห็นแม้แต่เงา นิสัยเสียพอกันทั้งพ่อทั้งลูก

“ช่วยรออีกสักครู่นะครับ” ทรงพลไขว่ห้างพลางจิบกาแฟ

พฤกษ์เดาะลิ้น“ปล่อยให้พาร์ทเนอร์รอนานแบบนี้ ไม่ดีเลยนะครับ”

อีกด้านหนึ่ง บุรินทร์กำลังต่อสู้อยู่กับน้องชายที่กำลังพันแข้งพันขาตามติดเป็นเงา ร้องงอแงของตามมาด้วยเพราะเจ้าตัวกลัวพี่ชายจะแอบหนีกลับก่อนกินข้าวเที่ยงเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

คนตัวเล็กยืนกอดอก "ภัทรจะรอตรงนั้น" บุ้ยไปที่เก้าอี้ตัวยาวใกล้ๆ "ถ้าพี่รินทร์แอบออกมาก่อน ภัทรจะรีบเข้าชาร์ตตัวให้ไวเลย"

"มีแขก อย่าเล่นเป็นเด็ก" พี่ชายว่าเสียงดุ

"อายุยี่สิบแล้วไม่เด็กสักหน่อย" ร่างบางพองแก้ม

บุรินทร์ส่ายหน้าระอา "ไม่ต้องมานั่งเกะกะ ออกไปช่วยในครัวไป"

"ถ้าภัทรไปช่วยคุณแม่ พี่รินทร์ต้องอยู่กินข้าวกับภัทนนะ"

"อืม" บุรินทร์ตัดรำคาญ

ณภัทรยิ้มตาปิด "ภัทรจะช่วยทำสุดฝีมือเลย" ว่าเสร็จร่างเล็กก็เดินฮัมเพลงออกไป

ร่างสูงถอนหายใจแผ่ว ยืนจัดสูทที่โดนน้องชายเกาะแขนกระเซ้าเสียจนยับย่นให้เข้าที

"ขออนุญาตครับ" บุรินทร์เคาะประตูห้องทำงานบิดา

"เข้ามา" เสียงห้วนๆ ตามวิสัยตอบกลับมา เป็นสัญญาให้เขาเข้าไป

ผู้มาใหม่กวาดตามองรอบห้องเห็นประมุขของบ้านกำลังนั่งเอนหลังสบายใจ คัดกลางด้วยโต๊ะทำงานไม้สักทองขนาดใหญ่ ฝั่งตรงข้ามมีผู้ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงโปร่ง ผิวค่อนข้างคล้ำแต่งกายด้วยผ้าพื้นเมืองของภาคเหนือ หน้าตาหล่อเหลาแต่ติดที่คิ้วเข้มกำลังขมวดกันแทบจะเป็นปม ดูท่าทางคงกำลังหัวเสียไม่ใช่น้อย บุรินทร์พอจะเดาออกว่าต้นเหตุมาจากใคร

“กว่าจะมาได้ชักช้านัก” ทรงพลขมวดคิ้วไม่พอใจ

บุรินทร์ก้มหน้า "ขอโทษครับ คือว่า..."

"ช่างเถอะ ฉันก็ไม่ได้คาดหวังกับแกอยู่แล้ว"

ร่างสูงชะงักคำที่จะพูดต่อ เงยหน้าจ้องมองดวงตาคมดุของบิดา

"มีอะไร" เสียงแข็งกร้าวถามขึ้น

"...เปล่าครับ" เขาส่ายหน้า

เจ้าสัวปรับน้ำเสียงก่อนผายมือไปทางแขกคนเดียวในห้อง“นี่คุณพฤกษ์ รัศมีพงศ์ เจ้าของปางไม้สักที่เชียงราย เขาเป็นลูกชายของพ่อเลี้ยงไผทเพื่อนเก่าของฉัน ทักทายซะสิ”

บุรินทร์เดินเข้าไปหาอีกฝ่าย “สวัสดีครับ ผมบุรินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเปรมนิรันดร์ กรุ๊ป รับผิดชอบในส่วนของงานด้านอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด”

พฤกษ์ลุกขึ้นทักทายพอเป็นพิธี "สวัสดีครับ คุณบุรินทร์" ร่างโปร่งไล่สายตามองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรวดเท้า เส้นผมเข้มยาวคลอเคลียระต้นคอ จิวที่หูสองข้าง รอยสักที่โผล่พ้นเสื้อสูท ไม่คิดว่าเจ้าสัวจะมีลูกชายแบบนี้ ท่าทางคงหัวขบถไม่ใช่น้อย ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนนักธุรกิจเลยสักนิด

“แกคงรู้แล้วว่าบริษัทเรามีโครงการจะสร้างรีสอร์ทแห่งใหม่ตรงสามเหลี่ยมทองคำ” ทรงพลพูดเข้าเรื่อง

บุรินทร์พยักหน้า “ผมทราบครับ ทางที่ประชุมได้แจ้งเอาไว้แล้วครับ”

“แล้วรู้หรือเปล่าว่าเรายังติดปัญหาเรื่องอะไรอยู่”

“เรื่องที่ดินครับ แต่ผมกำลังเร่งแก้ปัญหาในส่วนนี้อยู่”

“กว่าแกจะแก้ไขเสร็จ รีสอร์ทของที่อื่นคงแซงหน้าเราไปหมดแล้ว” เจ้าสัวว่าเสียงเรียบ

บุรินทร์หน้าม้าน "แล้วคุณต้องการให้ผมทำยังไงครับ"

“ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังมีมิตรสหายเก่าแก่อยู่ที่นู่น" เจ้าสัวยกยิ้ม ดวงตาคมมองร่างโปร่งที่กำลังนั่งทำหน้าถมึงทึง "ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีเหลือเกินที่พ่อเลี้ยงเต็มใจจะช่วยพวกเรา” ทรงพลเดินเข้ามาหาลูกชาย "เพราะฉะนั้นวันมะรืนนี้ฉันจะให้แกขึ้นไปคุยรายละเอียดพร้อมกับพ่อเลี้ยงที่เชียงรายเลย"

"อะไรนะครับ มันกะทันหันเกินไปหรือเปล่า" บุรินทร์ขมวดคิ้วส่อแววไม่พอใจ

"แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบพูดซ้ำ" เจ้าสัวหันหน้ามาเอ็ดลูกชาย "คุณพฤกษ์ เขาจะช่วยให้เราดำเนินการเรื่องที่ดินได้ง่ายขึ้น รีบเคลียร์งานของแกให้เรียบร้อย ฉันจองตั๋วเครื่องบินให้แล้ว ทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อย"

บุรินทร์นิ่งไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยเสียงเรียบออกมา "ครับ..."

พ่อเลี้ยงพฤกษ์เปิดหน้าจอแล็ปท็อปขึ้นมา "ผมขออธิบายคร่าวๆ ก่อนนะครับ ส่วนข้อมูลเชิงลึกผมจะขออธิบายทีหลังตอนที่คุณบุรินทร์เดินทางมาเห็นสถานที่จริงแล้ว" เขาชี้ไปตามแผนที่ "ที่ดินตรงนี้จะอยู่ในอำเภอเชียงแสน ติดริมแม่น้ำโขง ใกล้ท่าเรือข้ามฟาก ถ้ามองจากตรงนี้จะสามารถเห็นวิวของแม่น้ำโขงและแม่น้ำรวกที่มาบรรจบกัน รวมพื้นที่ทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบไร่"

เอกสารมากมายถูกวางกระจายไว้บนโต๊ะ บุรินทร์ไล่สายตาอ่านทั้งหมดอย่างละเอียด ก่อนคิ้วเรียวจะขมวดกันเมื่อพบสิ่งผิดปกติ

ภาพถ่ายจากดาวเทียมบ่งบอกว่าส่วนของรีสอร์ทที่จะสร้างในอนาคต มีการรุกล้ำแนวเขตป่าอุทยาน โดยขยายออกมาจากเดิมเกือบสามสิบเปอร์เซ็นต์ของพื้นที่เดิม

"นี่มันอะไรกันครับ ตอนประชุมกันครั้งแรกมันไม่ใช่แบบนี้” บุรินทร์ค้าน "ผมคิดว่ามันไม่ใช่ความคิดที่เข้าท่าเท่าไหร่ เพราะที่ดินที่เรามีการตกลงซื้อขายอยู่ตอนนี้มันก็เพียงพอแล้ว เราไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่ในเขตอุทยาน"

"ฉันต้องการขยายส่วนของรีสอร์ทให้ใหญ่ขึ้น" คนเป็นพ่อชักสีหน้าเมื่อถูกขัดใจ

"แต่ถ้าทางการรู้ มันจะไม่คุ้มเอานะครับ" บุรินทร์หน้าจริงจัง

ทรงพลหัวเราะหยัน "หึ คนพวกนั้นแค่เห็นเม็ดเงินก็ตาลุกวาวแล้ว ตอนนี้คงกำลังกุลีกุจอจัดงานต้อนรับก่อนแกจะไปถึงด้วยซ้ำ อีกอย่างพ่อเลี้ยงก็อยู่ด้วย แล้วแกจะกลัวอะไร"

"มันไม่ใช่เรื่องกลัวหรือไม่กลัวครับ แต่ทำแบบนี้มันไม่ถูกต้อง"

"มันไม่ถูกยังไง เราได้ที่ดิน พ่อเลี้ยงได้ส่วนแบ่ง ทุกฝ่ายมีแต่ได้กับได้"

"ผมแค่อยากให้ทบทวนดูอีกครั้ง" บุรินทร์อธิบาย "ผลกระทบที่จะตามมามันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย ทั้งกับบริษัท” ดวงตาเรียวมองบิดา“หรือกับคุณเอง"

เจ้าสัวเดินเข้ามาประชิดลูกชาย "แกอย่างมาขัดคำสั่งฉัน บุรินทร์" สายตาเข้มจ้องเขม็ง "ฉันเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว ไม่มีใครหน้าไหนจะมาห้ามฉันได้"

การปะทะอารมณ์ยังคงดุเดือด พ่อเลี้ยงพฤกษ์เห็นท่าไม่ดีรีบหาทางห้ามทัพ ก่อนจะเกิดศึกสายเลือดขึ้นมาจริงๆ ร่างโปร่งแสร้งทำเสียงกระแอมดังสองสามทีดึงสติให้คนที่เหลือรับรู้ว่าในห้องไม่ได้มีเพียงสองพ่อลูกอยู่กันตามลำพัง

เจ้าสัวทรงพลปรับสีหน้าได้ก่อน "ขอโทษนะพ่อเลี้ยง" เขาปั้นหน้ายิ้มต่อ "ที่ต้องให้มาเห็นอะไรที่ไม่สมควร"

พ่อเลี้ยงพยักหน้า โบกมือเป็นเชิงไม่ถือสา "ขออธิบายต่อเลยนะครับ ผมมีเวลาไม่มาก"

พวกเขาคุยรายละเอียดต่ออีกสักพัก จนเวลาล่วงเลยจวนจะใกล้มื้อเที่ยง บทสนทนาเป็นอันต้องจบลงเมื่อแม่บ้านเดินเข้ามาแจ้งว่าอาหารกลางวันพร้อมแล้ว เชิญทั้งสามไปรอที่โต๊ะทานข้าวได้เลย

"ทานข้าวด้วยกันก่อนไหมครับพ่อเลี้ยง" คนอาวุโสที่สุดในห้องเอ่ยปากชวนตามมารยาท

"ขอบคุณครับ แต่ผมกลับไปทานที่โรงแรมน่าจะง่ายกว่า" พ่อเลี้ยงบอกปัด เขาอยากไปเยี่ยมลูกสาวที่โรงพยาบาลมากกว่ามามัวเสียเวลาเสวนากับคนตรงหน้าให้มากความ

ฝ่ายถูกปฏิเสธยังคงยิ้ม "ตามสะดวกเลยครับ"

พฤกษ์ชัตดาวน์แล็ปท็อปพร้อมเก็บข้าวของและรวบรวมเอกสารเข้าแฟ้ม "ผมจะส่งรายละเอียดทั้งหมดให้ในอีเมลของคุณบุรินทร์อีกครั้งนะครับ"

"ขอบคุณมากครับคุณพฤกษ์" บุรินทร์เดินตามไปส่งพ่อเลี้ยงถึงหน้าประตูห้องทำงาน "ไว้ผมจะโทรคอนเฟิร์มอีกครั้งเมื่อใกล้ถึงวันเดินทางนะครับ"

"ได้ครับ เบอร์ติดต่อผม อยู่ในนามบัตรที่ให้ไว้" แขกของบ้านหันหน้ามาทางร่างสูง "ลานะครับคุณบุรินทร์" ก่อนมองหางตาไปทางประมุขของบ้าน“ลานะครับเจ้าสัว

ทรงพลพยักหน้ายิ้มเล็กน้อย“กลับดีๆ นะครับพ่อเลี้ยง”

คราแรกบุรินทร์ตั้งใจจะเดินไปส่งพ่อเลี้ยงเองถึงที่รถแต่อีกฝ่ายส่ายหน้าปฏิเสธ เขาจึงสั่งให้เด็กรับใช้ทำหน้าที่นี้แทน พร้อมกำชับให้คนของเขาดูแลแขกของบ้านให้ดี

พอเหลือกันแค่สองคน ทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบจนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศที่ทำงานอยู่ด้านบนเพดาน บุรินทร์หยิบภาพถ่ายที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดู

พื้นแม่น้ำสะท้อนก้อนเมฆลอยต่ำบนฟ้า บรรยากาศเขียวชอุ่มด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ รายล้อมด้วยทิวทัศน์ของเทือกเขาจากประเทศเพื่อนบ้าน เขาพอเข้าใจว่าทำไมบิดาถึงอยากได้ที่ดินตรงนี้นักเพราะมันทั้งสวยและทำเลดีทีเดียว แต่ก็นั่นแหละมันคงจะดีกว่าถ้าได้ทั้งหมดมาอย่างถูกกฎหมาย

“คราวหลังอย่าทำอีก” ทรงพลพูดขึ้น

“เรื่องอะไรครับ” คิ้วเรียวเลิกขึ้น

“ทำฉันขายหน้า” เจ้าสัวเสียงแข็ง“ไม่พอใจอะไรก็อย่ามาเถียงกันต่อหน้าแขก”

“ผมไม่ได้เถียงครับ แค่ชี้แจ้งเรื่องที่ผมเห็นสมควร”

ทรงพลเดินเข้าไปดึงรูปออกจากมือลูกชาย“มองหน้าฉัน” เขาสั่ง“ตอนนี้แกอาจจะคิดว่าตัวเองปีกกล้าขาแข็งจนไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน แต่ถ้ายังใช้นามกุลเปรมอัศวกุลนี้อยู่ ยังไงซะแกก็ต้องฟังฉัน เข้าใจหรือเปล่า”

บุรินทร์เบือนหน้า“เข้าใจครับ” ร่างสูงขยับกายออกห่าง

เจ้าสัวถอดเสื้อสูทพาดไว้กับเก้าอี้ "เอาล่ะ ไปกินข้าวได้แล้ว แม่กับน้องแกรออยู่"

"เขาไม่ใช่แม่ผม" บุรินทร์สวนขวับ

ประมุขของบ้านชี้หน้าลูกชาย "แกอย่ามาก้าวร้าวใส่คุณนาท"

"ขอโทษครับ..." ดวงตาสีน้ำตาลมีแววน้อยใจ "ผมไม่ทันระวังว่าเขาสำคัญกับคุณมากแค่ไหน" พูดจบร่างสูงก็เดินผ่านหน้าผู้เป็นพ่อไป ไม่รั้งรอคนด้านหลังที่คล้ายอยากจะเอ่ยอะไรออกมา



........................................

[ต่อด้านล่าง]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-04-2020 00:07:21 โดย ลามัลลิลา »

ออฟไลน์ ลามัลลิลา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
.

.

.

มะยงชิดลอยแก้วเย็นฉ่ำถูกยกมาเสิร์ฟเป็นอย่างสุดท้ายสำหรับมื้อเที่ยงนี้ บุรินทร์นึกแปลกใจที่ผลไม้รสชาติอมเปรี้ยวอมหวานดูท่าจะถูกปากเขาไม่ใช่น้อย

"อร่อยไหมคะ" นฤนาถถามเสียงหวาน เธอยิ้มแก้มปริเมื่อเห็นลูกเลี้ยงทานอาหารที่ตัวเองทำได้เยอะเป็นพิเศษ

"ก็ดีครับ" บุรินทร์ตอบขณะรอให้ป้าอุ่นเติมของหวานลงในถ้วยเปล่าของตัวเองอีกครั้ง

"เอากลับไปทานที่คอนโดไหมคะ น้าทำไว้เพียบเลย” เธอโปรยยิ้ม“จะได้เอาไปฝากน้องเชนด้วย"

"ไม่รบกวนดีกว่าครับ เชนไม่อยู่ เอาไปก็แช่ทิ้งไว้ในตู้เย็นเสียของเปล่า ๆ " ร่างสูงบอกปัด

ณภัทรย่นจมูก“พี่เชนไม่อยู่อีกแล้วครับ ชอบทิ้งให้พี่รินทร์อยู่คนเดียวตลอด ใช้ไม่ได้เลย”

ความจริงณภัทรรู้สึกไม่ชอบใจในตัวของว่าที่พี่เขยสักเท่าไร ตอนที่ยังคงสถานะเป็นเพียงแค่พี่ชายที่รู้จักอีกฝ่ายก็ดูเหมือนนิสัยดีอยู่หรอก แต่พอเลื่อนสถานะกลายเป็นว่าที่พี่เขยแค่ไม่กี่ปี คนที่แสร้งทำดีมาตลอดก็เริ่มออกลาย ถ้ารู้ว่าผลมันจะออกมาเป็นแบบนี้เขาจะขัดขวางไม่ให้ทั้งคู่คบกันเด็ดขาด

ร่างเล็กพูดต่อ“ไม่รู้ว่าพี่รินทร์ทนคบไปได้ยังไงตั้งหลายปี ภัทรไม่เห็นว่าพี่เชนจะทำอะไรให้พี่รินทร์สักอย่าง” มือบางยกน้ำขึ้นจิบ “เป็นภัทรนะ เลิกไปนานแล้ว"

บุรินทร์คิ้วกระตุก มือขาวกำช้อนจนแทบหัก ใบหน้าเรียบนิ่งจ้องไปทางร่างเล็กที่ยังจ้อไม่หยุด

"ชูว... ภัทรไม่เอาลูก" นฤนาทปรามลูกชาย ก่อนหันไปทางร่างสูง "อย่าถือสาเลยนะคะ" เธอพยายามพะเน้าพะนอ

ณถัทรปิดปากเงียบทันทีเมื่อเห็นหน้าบึ้งตึงของพี่ชาย เขากระพุ่มไหว้คนอายุมากกว่า“ภัทรพูดไม่ดี” มือเล็กตีปากตัวเองแปะๆ“ภัทรขอโทษครับ” เขาพูดอย่างรู้สึกผิด ร่างเล็กไม่มีเจตนาจะพูดจาจาบจ้วงทำให้พี่ชายรู้สึกแย่ เขาแค่ไม่อยากให้พี่รินทร์ถูกคนรักเอาเปรียบก็เท่านั้น

บุรินทร์คลายมือที่กำช้อนออก แล้วกลับมาสนใจของหวานตรงหน้าต่อ เขาไม่รู้ว่าการที่ถูกประคบประหงมราวไข่ในหินจากคนทั้งบ้านจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้โตมากลายเป็นคนพูดพล่อยๆ แบบนี้หรือเปล่า ซึ่งนับว่าโชคดีเหลือเกินที่เขามีเพียงมารดากับป้าอุ่นคอยเลี้ยงดูแค่สองคน

"ราเชนไปไหน" ประมุขของบ้านที่เงียบเสียงไปนานเอ่ยถามขึ้น

"น้องไปทำงานครับ"

"งานบ้า งานบออะไรเดินทางเดือนล่ะหลายรอบ บอกให้น้องมันลาออกแล้วย้ายมาอยู่กับบริษัทเราได้แล้ว จะมัวไปทำงานงกๆ ให้คู่แข่งทำไม"

"ผมเคยชวนน้องแล้วครับ แต่น้องปฏิเสธ"

บุรินทร์เคยเอ่ยปากชักชวนคนรักให้มาทำงานด้วยกันตั้งแต่ช่วงที่น้องเพิ่งเรียนจบ ทั้งที่มีตำแหน่งงานมากมายในบริษัทแต่เด็กดื้อก็ยังไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากเขา ยืนกรานจะวิ่งรอกสมัครงานด้วยตนเอง ผลสุดท้ายงานที่เจ้าตัวเลือกก็ทำให้เขาสองคนต้องอยู่ห่างกันอย่างทุกวันนี้

"ฉันว่าเพราะแกไม่เด็ดขาดเองมากกว่า น้องมันเลยไม่เกรงใจ"

"ผมแค่ไม่อยากฝืนใจใคร" ร่างสูงเขี่ยผลไม้ในถ้วยตัวเองไปมา

"แบบนี้เกิดแต่งงานกันขึ้นมา แล้วแกจะคุมคนของแกอยู่ได้ยังไง หัดทำตัวเป็นผู้นำบ้าง อย่าเหยาะแหยะเหมือนผู้หญิง"

"คุณพล" นฤนาทเอื้อมแตะหลังมือสามี "อย่าเอาเรื่องเครียดๆ มาคุยกันบนโต๊ะอาหารสิคะ"

"คุณก็ดูเอาเถอะ เป็นลูกชายคนโตซะเปล่า แต่ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง" เจ้าสัวน้ำเสียงเย็นลงเมื่อพูดกับภรรยา "คุณเองก็อย่าให้ตาภัทรเป็นแบบนี้แล้วกัน"

"เป็นแบบผม มันทำไมหรือครับ" บุรินทร์อดถามออกไปไม่ได้ เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใดเขาถึงไม่เคยเป็นที่พอใจของอีกฝ่ายเลย

ประมุขของบ้านจ้องมองรอยสักที่หลังมือขาว "ทำตัวเหมือนกุ๊ยข้างถนน"

ทุกคนบนโต๊ะอาหารเงียบกริบ บรรยากาศอึมครึมปกคลุมไปทั่ว บุรินทร์เม้มริมฝีปากตัวเองแน่น รู้สึกว่าของหวานตรงหน้าชักจะเฝื่อนคอขึ้นเรื่อยๆ

“แกไม่เห็นสายตาที่คุณพฤกษ์ใช้มองแกเหรอ ขนาดเจอกันแค่วันเดียวฉันยังดูออกเลยว่าเขารังเกียจแกขนาดไหน แล้วนับประสาอะไรกับคนในบริษัทที่ต้องเจอหน้าแกทุกวัน หรือแม้แต่พวกญาติสายรองที่จ้องจะฮุบบริษัทเราอยู่”

“ผมไม่เคยอายสายตาคนอื่น”

“แต่ฉันอาย” ทรงพลว่าเสียงแข็ง“เห็นแบบนี้แล้วฉันจะไว้ใจยกบริษัทให้แกได้ยังไง” เจ้าสัวจ้องเขม็งไปที่ลูกชาย “ทำตัวให้สมเป็นทายาทของเปรมนิรันดร์หน่อยได้ไหม”

บุรินทร์วางช้อนดังเคร้ง“ถ้าไม่พอใจ” ดวงตาสีน้ำตาลชำเลืองมองไปทางร่างเล็กที่นั่งตาปริบๆ“ก็ให้คนอื่นเป็นแทนสิครับ”

“แกอย่ามายอกย้อนฉันนะ น้องยังเด็กจะไปทันเล่ห์เหลี่ยมของพวกบอร์ดบริหารได้ยังไง”

“คุณเลยส่งผมไปแทนสินะ” บุรินทร์จ้องหน้าบิดา

“เพราะแกเป็นพี่” เจ้าสัวกระชากเสียง

“ไม่ใช่หรอกครับ” บุรินทร์แค่นหัวเราะ“เพราะผมเป็นผมมากกว่า” ร่างสูงใช้ผ้าซับมุมปากเบาๆ“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวนะครับ”

"คุณรินทร์ อิ่มแล้วหรือคะ" คุณนายของบ้านถามเสียงอ่อน

"ครับ" บุรินทร์ตอบเสียงเรียบ

"พี่รินทร์อย่าเพิ่งกลับเลยนะครับ” ร่างเล็กออดอ้อน “ภัทรมีการบ้านที่ยังไม่เข้าใจอยู่สองสามวิชา พี่รินทร์อยู่สอนภัทรก่อนนะ" ณภัทรรบเร้ายื้อเวลาให้พี่ชายอยู่กับตัวเองให้นานขึ้น

"คงไม่ได้ วันนี้ต้องเข้าร้าน" อีกฝ่ายบอกปัด

คนเป็นน้องคอตกบ่นอุบอิบว่าพี่ชายจะเข้าร้านช่วงค่ำยังมีเวลาสอนการบ้านให้อีกหลายชั่วโมง จนมารดาต้องเข้ามาห้ามปราบเรื่องที่เจ้าตัวเซ้าซี้มากเกินไป

บุรินทร์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง "เจอกันพรุ่งนี้นะครับ ท่านประธาน"

.

.

.

.

.

To be continued
#บุรินทร์สบายดี

TALK

ขอโทษนะคะที่หายไปนานมาก แต่ตอนนี้กลับมาแล้วน่า หวังว่าจะชอบกันนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-02-2020 17:33:29 โดย ลามัลลิลา »

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ชีวิตบุรินทร์  :ling2:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ ลามัลลิลา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
- สบายดีครั้งที่ 3 -


‘Waltz Club’ คือ ร้านที่บุรินทร์ร่วมทุนกับ 'ไอ้ช้าง' เพื่อนสนิท รูปแบบภายในร้านเขาตั้งออกแบบให้มีสไตล์อันเดอร์กราวด์แบบดิบๆ ตกแต่งด้วยผนังปูนเปลือยและเฟอร์นิเจอร์สีดำ

บริเวณร้านถูกแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วน ได้แก่โซนเอาต์ดอร์นั่งชิลด้านนอก ตรงนี้มีดนตรีสดมาเล่นเป็นประจำตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ บางวันอาจจะสลับเป็นดนตรีแนวเฮาส์ หรือฮิปฮอปบ้างเพื่อไม่ให้จำเจเกินไป

ส่วนโซนด้านในจะเปิดเป็นไนต์คลับแบบเต็มตัวสำหรับสาวกเพลงอีดีเอ็ม แทร็ป ฮาร์ดสไตล์ ทางร้านจะมีดีเจคอยสร้างสีสันทุกคืน สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในโซนนี้คงหนี้ไม่พ้นโปรดักชั่นต่างๆ ที่ติดตั้งไว้ทั่วบริเวณ เช่น แสงสี เลเซอร์ ระบบเสียง ภาพกราฟิก ซึ่งสามารถสร้างบรรยากาศสุดเหวี่ยงให้กับลูกค้าทุกคนได้

บุรินทร์ก้าวลงมาจากรถซุเปอร์คาร์ก่อนส่งต่อให้เด็กรับรถขับไปไว้ที่ลาดจอดวีไอพี หลังจากที่กลับมาจากบ้านใหญ่เขาก็เอาแต่นอนลูกเดียวจนถึงหัวค่ำ กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวแล้วขับรถออกมาได้เวลาก็ล่วงเลยไปเกือบสามทุ่มแล้ว

เรียวขายาวก้าวเดินเข้ามาโดยมีพนักงานบริการคอยเปิดประตูให้ ภายในร้านเสียงเพลงดังกระหึ่ม แสงสีวิบวับดึงดูดนักท่องราตรีมากมายแห่แหนเข้ามาเต้นเบียดเสียดอยู่หน้าเวที

วันนี้เพื่อนๆ ต่างนัดมาสังสรรค์ที่ร้านกันแบบครบกลุ่ม เนื่องจากทุกคนต่างมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ พอหาเวลาว่างตรงกันได้ก็ไม่วายอยู่ฉลองกันแบบนี้เป็นประจำ เขาส่งข้อความไปในกลุ่มให้พวกมันกินกันไปก่อน ส่วนเขาจะขอแยกตัวไปดูแลลูกค้า เสร็จแล้วจะตามไปสมทบทีหลัง

บุรินทร์เดินยิ้มทักทายลูกค้าทุกคนไปสักพัก หูแว่วเสียงถกเถียงกันระหว่างลูกค้าสองโต๊ะ เขาจึงเดินเข้าไปไกล่เกลี่ยสถานการณ์ กว่าปัญหาจะเรียบร้อยก็เสียเวลาไปมากโขจนตัวเองลืมเรื่องที่นัดกับเพื่อนๆ ไว้

โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงเนื้อดีเกิดแรงสั่นเล็กๆ จากสายเรียกเข้าของเพื่อนสนิท บนหน้าจอทัชสกรีนปรากฏภาพผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาคมคาย จมูกโด่งเป็นสัน ยืนฉีกยิ้มแฉ่งเคียงข้างกับเจ้าของเครื่องที่สูงเลยไหล่กว้างมาได้แค่คืบเดียว

"ว่าไงมึง"

"มากินข้าว" ไอ้ช้างมันว่าแค่นั้นแล้วก็วางสายไป มันพูดเสียงในลำคอเหมือนปากกำลังอมอะไรอยู่ ถ้าให้เขาเดาคงจะเป็นไก่ทอดน้ำปลาสูตรเด็ดของทางร้าน ไอ้ตะกละเอ๊ย!

ร่างสูงเดินขึ้นบันไดไปบนชั้นสอง ตรงนี้จะเป็นโซนไพรเวทที่จัดไว้เป็นสัดส่วนแยกออกมาจากลูกค้าทั่วไปอย่างชัดเจน เขาเห็นพวกมันนั่งหน้าสลอนกันครบทุกคน ทั้งตุลา หนุ่มสังคมไฮโซ รูปหล่อพ่อรวย โปรไฟล์เยี่ยม แต่อย่าให้ภาพลักษณ์คุณชายของไอ้ตุลย์มาหลอกตาได้เชียว เพราะภายใต้กรอบแว่นตาจีวองชี่แอบมีเทพนักรักจอมเจ้าชู้ซุกซ่อนอยู่

คนถัดมาคือบวรนันท์ หรือเบียร์ นายแบบสาย Femboy ผู้มีแฟนคลับติดตามในเพจ 'Beer Lover' มากกว่าห้าแสนคน งานอดิเรกของมันคือการว่านเสน่ห์ไปทั่วทำให้ทั้งผู้หญิงผู้ชายต่างตามคลานเข่าหลงรักหัวปักหัวปำ

และสุดท้าย คชา เพื่อนซี้ปึ้กที่แก้ผ้ากระโดดน้ำเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก อาจเป็นเพราะแม่ของทั้งคู่เคยเป็นรูมเมทกันมาก่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เลยทำให้ความสนิทสนมของสองครอบครัวตกทอดมาสู่รุ่นลูกด้วย

เขากับไอ้ช้างตัวติดกันยิ่งกว่าหมากฝรั่งกับพื้นรองเท้าแตะ แม้จะหายหายไปบ้างช่วงที่เรียนไฮสคูล แต่ก็มีมันนี่แหละที่คอยเขียนจดหมายหาตลอด ทำให้เขาไม่ได้รู้สึกเงียบเหงาจนเกินไป พอขึ้นมหาวิทยาลัยไอ้ช้างมันก็ยังเสนอหน้ามาเรียนคณะเดียวกัน ขนาดย้ายกลับมาเมืองไทยมันยังตามมาหลอกหลอนให้ต้องเจอหน้ากันทุกวัน

ไอ้ช้างมันคงเป็นคนเดียวในกลุ่มที่นอกเหนือจากคลับที่ทำด้วยกันแล้ว อาชีพหลักของมันคือการเป็นอากาศลอยไปลอยมา ไม่มีงานการเป็นหลักแหล่ง อยู่กินสบายจากกงสีของที่บ้าน

เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของมันคือไม่ว่าไอ้ช้างจะใส่เสื้อยืด เสื้อเชิ้ต หรือชุดนอน ทุกอย่างล้วนเป็นลวดลายของดอกทานตะวันทั้งสิ้น เขาเคยถามมันเรื่องนี้แต่อีกฝ่ายกลับยกยิ้มยียวนแล้วตอบเพียงว่าชอบและไม่คิดจะใส่ลายอื่น

บุรินทร์เดินมาถึงโต๊ะตอนที่ไอ้หุ้นส่วนตัวดีนั่งตัวเหลืองหมุนเส้นสปาเก็ตตี้ยัดเข้าปาก ท่าทางสบายใจประหนึ่งเป็นแขกซะเอง เขานึกหมั่นไส้เดินเข้าเตะขามันไปที

"เฮ้ย อร่อยเลยนะมึง ปล่อยกูทำงานคนเดียว" คนตัวโตเงยหน้ามองตาปริบๆ

คชาหัวเราะแฮะ “นั่งมึง” เขาตบโซฟาแปะๆ

บุรินทร์มองค้อนไปทางไอ้คนตัวยักษ์ ก่อนเดินอ้อมหย่อนตัวเองลงข้างมัน

“ไงพวกมึง” เขาพยักหน้าให้เพื่อนๆ

“ไง” ตุลาพยักหน้าตอบ

บวรนันท์ยิ้มทักทาย ร่างบางหันซ้ายหันขวาไม่เห็นคนรักของเพื่อนตามมาด้วยจึงเอ่ยถามขึ้น "มาคนเดียว? แล้วผัวมึงล่ะ"

"น้องไปทำงาน"

"ลงใต้อีกล่ะ" บวรนันท์ล้วงกระเป๋าหยิบยางมัดผมออกมา มือบางรวบผมที่ยาวถึงช่วงเอวขึ้นมาให้พอไม่รุ่มร่าม "ไปบ่อยฉิบหาย"

บุรินทร์ยิ้มจาง “น้องชอบทะเล”

ตุลาใช้สายตาใต้กรอบแว่นหรี่มอง "รีสอร์ทที่มึงว่าจนป่านนี้แล้วยังไม่เสร็จอีกเหรอวะ"

“น้องบอกว่าที่นู่นต้องการรีโนเวทห้องพักใหม่ คงใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่าจะเสร็จ”

“อ้อ อย่างนั้นเหรอ” ตุลาพยักหน้าหงึก “อยู่คนเดียวเหงาเลยอ่ะดิ”

บุรินทร์ตอบเสียงอ่อน “ก็... ไม่ขนาดนั้น” เขายิ้มฝืดเฝื่อน

ตุลาหยอกเย้า ลุกขึ้นมากอดคอเพื่อนตัวขาว “อย่าทำหน้าเหมือนหมาหงอยแบบนั้นสิวะ มึงยังมีพวกกูนะเว้ย” มันยิ้มกรุ้มกริ่ม “แต่ถ้าพวกกูไม่ว่าง ก็ยังเหลือไอ้ช้าง” หนุ่มสังคมบุ้ยไปทางคนข้างตัว “ไอ่ห่านี่มันไม่มีงานทำ ช่วยสงเคราะห์มันหน่อย เรียกใช้ได้ตลอดเวลา ยินดีให้บริการ โอ๊ย! เหี้ยอะไรของมึงเนี่ย” เขายกมือขึ้นลูบปากตัวเองตรงที่โดนไอ้ช้างมันเอาเมนูฟาดเข้ามาเต็มแรง

"พูดมากนะมึง เงียบก่อนดิ กูต้องการสมาธิ" คชามุ่นคิ้ว

"สมาธิห่าไรมึง" ไอ้ตุลย์ถามเสียงห้วน

"กูจะสั่งอาหารเพิ่ม" คชายกเมนูขึ้นมา "รินทร์ แดกไร" เขาหันหน้าไปถามคนข้างกาย

"สั่งมาเหอะ กูกินได้หมด" บุรินทร์ตอบ

ตุลาเย้า "กูเอาต้มยำกุ้งนะมึง ไอ้รินทร์มันชอบ" หนุ่มไฮโซมองหน้าเพื่อนตัวโตอย่างสื่อความนัย ไอ้ช้างมองเขาตาเขียว พร้อมยกนิ้วกลางส่งต่อความรักให้อีกหนึ่งที เขาหัวเราะชอบใจที่แกล้งยั่วโมโหมันได้สำเร็จ

“กูอยากกินยำวุ้นเส้น” หนุ่มนายแบบพูดขึ้น ก่อนเปรยๆ ว่าช่วงนี้งดของทอดของมัน

"ไดเอทเหรอมึง" ไอ้ตุลย์ถาม

"เออ อาทิตย์นี้กูมีถ่ายแบบ"

"ไปกองคนเดียวไง"

"ใช่ดิ" คนตัวเล็กพยัก

หนุ่มแว่นยิ้มกริ่ม "กูนึกว่าน้องหมาโกลเด้นของมึงจะไปด้วยซะอีก เห็นตามติดเป็นแมลงวันตอมก้อนขี้..."

ไอ้ตุลย์โอดโอยตอนที่โดนฝ่ามือเล็กๆ ฟาดลงบนหลังดังเพี้ยะ “ไอ้สัตว์ กวนตีน” บวรนันท์สบถออกมา

"ไม่ล้อแล้วๆ " ตุลาลูบหลังตัวเองปอยๆ แต่ยังไม่ทันหายดี ปากเจ้ากรรมก็ดันหาเรื่องเจ็บตัวอีกรอบ "ไอ้ช้าง เอาไก่ทอดให้กูอีกจาน คนแถวนี้จะได้เอากระดูกไปฝากหมาเด็กข้างบ้านมัน"

“มึงยังไม่หยุดใช่ไหม” บวรนันท์ขบกรามแน่น

“โอ๊ย! ไอ้เบียร์อย่าดึงหูกู ไอ้เหี้ย!” หนุ่มแว่นโวยวาย

กว่าอาหารจะมาเสิร์ฟบุรินทร์ก็ได้ยินเสียงดังตุบตับจากเพื่อนตัวเล็กลงมือตีไหล่กว้างอีกหลายป้าบ

ทันทีที่อาหารวางบนโต๊ะ คชารีบคว้าช้อนมาตักต้มยำกุ้งเข้าปากเป็นอย่างแรก ตามด้วยหอยนางรมทรงเครื่อง กับยำถั่วพลูอีกคำใหญ่ มันเคี้ยวตุ้ยๆ แถมยังสั่งข้าวมาเพิ่มอีกโถ

"ตายอดตายอยากมาจากไหนวะ เมื่อกี้แดกสปาเก็ตตี้กับไก่ทอดทั้งจานมึงยังไม่อิ่มอีกเหรอ" บวรนันท์หันมาถาม มือบางค่อยๆ ม้วนวุ้นเส้นใส่ช้อนอย่างบรรจง

"มันเป็นมื้อแรกของกู ช่วยเห็นใจด้วย" คชามันซดน้ำต้มยำดังซู้ด

"แล้วทั้งวันมึงทำอะไรอยู่วะ" ไอ้เบียร์ถาม

เขากลืนข้าวคำโต "เล่นเกม"

“สมน้ำหน้า” ไอ้ตุลย์ทำหน้ากวนประสาท

“ไอ้สัตว์ มึงก็เล่นกับกูไม่ใช่ไง ทำพูด” คนตัวยักษ์แยกเขี้ยว

“ทานโทษครับ กูมีสาวๆ คอยป้อนข้าวให้” ตุลายียวน

“กูจะอ้วก” เขาเบ้ปากหมั่นไส้ “สาวๆ ที่มึงพูดถึงคือแม่กับน้องสาวมึงอ่ะนะ”

ทั้งกลุ่มหัวเราะลั่นหยอกล้อกันสนุกสนาน ยกเว้นก็แต่คนตัวขาวที่กำลังนั่งจับโทรศัพท์เหม่อมองออกไปด้านนอก บุรินทร์ปลดล็อคหน้าจอทัชสกรีน ปัดไปปัดมาอย่างใจลอย ข้อความเมื่อตอนบ่ายที่เขาส่งไปถามไถ่เรื่องความปลอดภัยระหว่างการเดินทางของคนรัก ตอนนี้มันยังไม่ถูกเปิดอ่าน ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกละเลย แต่ทำไมถึงยังรู้สึกน้อยใจอยู่

..น่าจะชินได้แล้ว..

"รินทร์! " คนข้างตัวเรียกชื่อเขาเสียจนดังลั่น เสียงเข้มๆ ของคชาสามารถดึงสติบุรินทร์ให้ออกมาจากภวังค์ได้ในทันที

"ห๊ะ? " ร่างสูงสะดุ้งรีบเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า

"เรียกไม่ตอบนะมึง” คชาหันไปมองปริมาณข้าวในจานของไอ้รินทร์ซึ่งมันยังไม่พร่องลงเลยซะนิด “ไม่แดกไง? " เขาตักต้มยำกุ้งให้มัน

“ขอบใจ” ไอ้รินทร์พูดเนือยๆ เคี้ยวแหยะๆ ปากบ่นพึมพำว่าต้มยำรสชาติแปลกๆ

เขาขมวดคิ้ว "แปลกยังไงวะ"

"ไม่รู้เหมือนกัน" มันส่ายหน้า "แค่รู้สึกว่ามันไม่เหมือนที่เคยกิน"

“ทุกครั้งที่มึงสั่งก็อันนี้ไม่ใช่เหรอ” เขายื่นเมนูส่งให้ "ไม่แดกก็สั่งอย่างอื่น"

"ไม่เป็นไร กินได้" มันรั้น

"ไม่อร่อยก็อย่าฝืน" คชาเลื่อนจานแป้งนมย่างมาให้คนข้างตัว "เป็นเจ้าของร้านจะกลัวเปลืองอะไร" เขาหันไปเรียกเด็กเสิร์ฟก่อนสั่งอาหารให้มันใหม่อีกสามสี่อย่าง รอสักพักอาหารจานใหม่ก็ถูกลำเลียงมาวางเต็มโต๊ะ

“สั่งมาเยอะขนาดนี้จะกินหมดไหมวะ” บุรินทร์บ่นอุบอิบ

“แดกๆ ไปอย่าบ่นมาก” มือหนาตักแหนมซี่โครงหมูใส่จานให้

ตุลาพูดแทรก “มีไอ้ช้างอยู่มึงจะกลัวอะไรวะ สองอย่างที่มันจะไม่กินคงเป็นขาเก้าอี้กับขอบโต๊ะเท่านั้นแหละ” เขาหัวเราะมันเสียจนน้ำตาไหล แต่พอเห็นสายตาถมึงทึงจ้องมองมา ชายหนุ่มจึงปิดปากตัวเองสนิท “ไม่พูดแล้วๆ ตามสบายเลยพวกมึง กูไปแย่งยำวุ้นเส้นไอ้เบียร์กินดีกว่า” ว่าเสร็จเขาก็เอี้ยวตัวไปแกล้งหยอกเพื่อนตัวเล็กให้มันโวยวายเล่น

หลังจากเปลี่ยนเมนูมาบุรินทร์ก็ดูเจริญอาหารขึ้นมาก เขากินข้าวจนหมดจาน พร้อมกับเบียร์อีกแก้วใหญ่ "พอแล้ว อิ่มจนจะอ้วกแล้วไอ้ห่า" ร่างสูงยกมือห้ามตอนที่ไอ้ช้างมันจะตักยำปลาดุกฟูให้

“แดกไปเถอะ มึงผอมลงนะรู้ตัวไหม”

“ผอมเหี้ยไร เขาเรียกหุ่นดีกระชากใจต่างหาก” บุรินทร์ยักคิ้ว

ไอ้ช้างหัวเราะ “กูเชื่อ”

“ไอ้ช้างเพื่อนรัก มึงชมกูก็เป็นด้วย รู้สึกดีใจเหี้ยๆ” บุรินทร์กอดบ่ากว้างโน้มร่างใหญ่ให้เข้ามาใกล้ๆ

คชาขืนตัว ดันใบหน้าขาวออกห่าง “อย่าเวอร์ ไอ้ห่า”

บุรินทร์หัวเราะ คุยสัพเพเหระกับเพื่อนๆ ไปเรื่อย จนกระทั่งพนักงานที่ดูแลส่วนของเวทีการแสดงสดด้านล่างเดินขึ้นมาบอกว่าเวทีพร้อมแล้ว เขาจึงขอแยกตัวออกมา

"คืนนี้ใครขึ้นวะ" ไอ้ตุลย์ชะเง้อมองเวทีอย่างสนใจ

"กูเอง"

เวลากลางวันเขาจะเป็นบุรินทร์ เปรมอัศวกุลผู้บริหารหนุ่มไฟแรง สร้างภาพลักษณ์เงียบขรึมน่าเชื่อถือ คอยรับคำสั่งจากบิดาเป็นหุ่นเชิดที่ถูกตั้งโปรแกรมในสมองให้คิดถึงแค่เรื่องเงินและผลประโยชน์

แต่พอถึงตอนดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าเมื่อไหร่ เขาจะสลัดเสื้อสูททิ้งกลายเป็นแค่ ‘รินทร์’ ผู้อุทิศตนให้แก่เสียงดนตรี

..ตัวตนจริงๆ ที่ไม่ผ่านการปรุงแต่ง..

ชายหนุ่มหลงใหลในเสียงดนตรีตั้งแต่จำความได้ ซึมซับทุกอย่างผ่านแผ่นเสียงที่มารดาชอบเปิดขณะขับกล่อมเขาในอ้อมแขนเพื่อปัดเป่าฝันร้ายในยามหลับใหล แต่ก็นั่นแหละการที่ต้องฝากอนาคตไว้กับตัวโน้ตย่อมไม่ใช่สิ่งที่ทายาทของเปรมนิรันดร์สมควรกระทำ

แสงสปอตไลท์สาดส่องลงมากลางเวที บุรินทร์ถลกเสื้อเชิ้ตขึ้นโชว์ลายสักบนแขนทั้งสองข้างลวดลายของโน้ตกีตาร์

..บทเพลงที่เขาแต่งให้ราเชนในวันครบรอบสองปี..

มือขาวบรรเลงนิ้วบนกิบซัน เลสพอล คัสตอม สีแบล็ควิโดว์ท่ามกลางเสียงโห่ร้องจากผู้ชมด้านล่าง ดวงตาสีน้ำตาลหลับลงเพื่อเริ่มขับขานตามทำนองเพลง น้ำเสียงทุ้มหวานพาให้ใจล่องลอยพร้อมกับเนื้อเพลงอันแสนเศร้า

"I guess this time you're really leaving"

(ผมเดาว่าครั้งนี้คุณกำลังจะจากไปแล้วจริงๆ)

"I heard your suitcase say goodbye"

(ผมได้ยินเสียงอำลาจากกระเป๋าเดินทางของคุณ)

"Well as my broken heart lies bleeding"

(เช่นเดียวกับหัวใจของผมที่กำลังแตกสลายชโลมด้วยเลือด)

"You say true love it's suicide"

(คุณบอกว่ารักแท้ก็เหมือนการฆ่าตัวตาย)

ตุลาเดินไปที่ระเบียงชั้นสอง ยกแขนขึ้นปรบมือพร้อมกับแขกคนอื่นๆ ดวงตาใต้กรอบแว่นเหลือบมองไอ้เพื่อนตัวยักษ์ด้านข้าง

เขาอมยิ้ม “มองตาไม่กะพริบเลยนะมึง”

“อะไร” คชาว่าเสียงขุ่น ร่างใหญ่ทิ้งสะโพกกับราวกั้น

“เปล๊า” ไอ้ตุลย์แกล้งเฉไฉ “กูแค่จะบอกว่าไอ้รินทร์มันร้องเพลงเพราะเนอะ คนมองกันทั้งร้าน”

“อืม” ร่างใหญ่ตอบโดยไม่ละสายตาจากเวที

ผิวขาวจัดถูกขับให้โดดเด่นขึ้นเมื่อต้องแสงไฟ จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากบางได้รูป ทุกอย่างล้วนทำให้คนด้านล่างยิ่งน่าหลงใหลมากขึ้นไปอีก

..บุรินทร์ดูดีเสมอเมื่ออยู่กับเสียงเพลง..

"I'll be there for you"

(ผมจะอยู่เคียงข้างคุณ)

"I'd live and I'd die for you"

(ผมพร้อมจะอยู่และตายเพื่อคุณ)

"Steal the sun from the sky for you"

(จะคว้าดวงอาทิตย์จากท้องฟ้ามาให้คุณ)

"Words can't say what a love can do"

(ถ้อยคำไม่อาจพรรณนาได้ถึงสิ่งที่ความรักทำได้)

"I'll be there for you"

(ผมจะอยู่เคียงข้างคุณ)

- I’ ll Be There For You ... Bon Jovi -
ตุลาหันมองเพื่อน ดวงตาคมกล้าตรงหน้าสะท้อนความพอใจอยู่ในที

“กูเห็นนะในกระเป๋า” เขาขยับตัวเข้าไปกระเซ้า

คชาเหลียวหลังกลับไปมองกล่องของขวัญในถุงย่ามมือสองที่ถูกวางไว้บนโซฟา

"เสือก" เขาว่าเสียงเรียบ

บวรนันท์หัวเราะพรืดเดินมาสมทบ "เอาไปให้เลยดิวะ จะรอเหี้ยไร"

ไอ้ตุลย์สำทับ "เออ ก็มึงช้าแบบนี้ไง หมามันเลยคาบไปแดก"

"ไม่ใช่หมาธรรมดานะมึง" หนุ่มนายแบบยกวิสกี้ขึ้นดื่ม "หมาสันดานเสียด้วย"

“มึงก็ว่าน้องเขาแรงไป” คชาเตือน ถึงจะไม่ชอบหน้าเด็กคนนั้นมากนัก แต่เขาก็ไม่อยากให้ไอ้รินทร์มันรู้สึกแย่ที่เพื่อนๆ มีอคติกับแฟนตัวเอง

“แค่นี้มันยังน้อยไป มีอย่างที่ไหนแฟนอยู่กรุงเทพ แต่ตัวเองกลับเทียวไปเทียวมาภูเก็ตจนเหมือนบ้านหลังที่สองขนาดนี้” ตุลาว่า

“จะว่าไปน้องมันทำของใส่เพื่อนกูป่ะวะ ไอ้รินทร์ถึงหลงโงหัวไม่ขึ้นขนาดนี้” บวรนันท์พูดอย่างพลางม้วนปลายผมตัวเอง

"กูเนี่ย จุดธูปขอสาปแช่งให้พวกมันเลิกกันทุกวันพระเลย" ตุลายกมือขึ้นไหว้ปลกๆ "สาธุบุญ เพื่อนกูจะได้หลุดพ้นซะที"

พวกมันสองคนยังคงคุยกันอย่างออกรส จนการแสดงบนเวทีจบลง บุรินทร์กล่าวขอบคุณลูกค้าพร้อมเก็บกีตาร์ไฟฟ้าให้เข้าที่ บวรนันท์ใช้ข้อศอกแหลมกระทุ้งสีข้างไอ้ตุลย์บุ้ยใบ้ไปทางด้านล่าง ทั้งคู่จึงเงียบกริบเมื่อเห็นเจ้าของหัวข้อสนทนากำลังเดินตรงขึ้นมา

บุรินทร์นั่งลงบนโซฟาตัวยาวที่เดิม ก่อนกวักมือเรียกพนักงานที่ประจำอยู่บนชั้นสอง “ไอ้แทน เอาเตกิล่าให้กูสองช็อต”

“เป็นมาการิต้าแทนไหมพี่” บริกรร่างเล็กเอ่ยถามเจ้านาย

“ไม่ กูขอเพียวๆ”

แทนไทขมวดคิ้วแปลกใจเพราะปกติเจ้านายตัวขาวไม่พิสมัยเหล้าดีกรีแรงๆ เท่าไร แต่วันนี้กลับสั่งแบบช็อตไม่ผสมอะไรเลย จะถามอีกฝ่ายซ้ำก็กลัวโดนด่า เขาจึงพยักหน้าแล้วทำหน้าที่ตัวเองไป

น้ำสีใสถูกกระดกเข้าปากอย่างรวดเร็ว รสชาติบาดคอจนทำให้บุรินทร์นิ่วหน้า เขาเลียเกลือที่ติดอยู่มุมปาก แล้วเรียกเด็กเสิร์ฟให้ยกเตกีลามาเพิ่มอีกหลายช็อต

“ซดเป็นน้ำเลยนะ ไอ้เวร” คชาเสียงเข้ม

“เป็นไรวะ แดกดุเกิน” บวรนันท์ตักกับแกล้มเข้าปาก

ตุลาหลิ่วตา “บอกพวกกูได้นะเว้ย เพื่อนๆ พร้อมใส่ใจ”

“ใส่ใจหรือว่าเสือกเอาดีๆ” มือขาวขย้ำกระดาษเช็ดปากบนโต๊ะแล้วปาใส่เพื่อน

ไอ้ตุลย์หลบหวืด “ก็ทั้งสองอย่างนั้นแหละ” มันแลบลิ้นล้อเลียนที่เขาพลาดเป้า

บุรินทร์หน้าง้ำคว้ากระดาษเช็ดปากทั้งปึกปั้นเป็นลูกบอลปาใส่มันอีกรอบ คราวนี้โดนเต็มๆ ไม่มีทางหลบได้

คชามองหน้าใครบางคนที่หัวเราะเสียงดังกว่าเพื่อน มือใหญ่รั้งแขนไอ้คนตัวขาวให้หันมา “เป็นอะไร”

บุรินทร์หยุดหัวเราะ แล้วส่ายหน้า “เปล่า” เขาปฏิเสธก่อนหันหน้าไปสั่งให้เด็กมาเก็บกวาดเศษซากที่กระจายเต็มพื้น

คชาสังเกตว่าคนตัวขาวมีท่าทีแปลกไป บางครั้งมันก็นั่งเหม่อเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนเพื่อนต้องเรียกสองสามครั้งกว่ามันจะหันมา เขาเองก็เป็นห่วงแต่ในเมื่อเจ้าตัวไม่ยอมปริปากพูดอะไรเลย เขาคงทำได้แค่คอยดูอยู่ห่างๆ ไม่อยากคาดคัดให้มันยิ่งรู้สึกบำลากใจ

ยิ่งดึกคนก็ยิ่งแน่นร้าน ดีเจผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นไปสแครชแผ่นด้วยจังหวะเพลงที่เร็วขึ้นเรื่อย ลูกค้าส่วนใหญ่ต่างออกมาโยกย้ายออกันอยู่หน้าเวที อย่างเช่นไอ้เพื่อนสองคนที่มันควงผู้หญิงลงไปเต้นข้างล่างกันหมดแล้ว เหลือก็แต่คชาที่นั่งขมวดคิ้วมองคนข้างตัวกระดกแก้วเหล้าเข้าปากอย่างเอาเป็นเอาตาย ใบหน้าขาวเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ ไอ้รินทร์มันเริ่มเมาจนทรงตัวไม่ค่อยอยู่ แถมยังพูดจาอ้อแอ้ฟังไม่รู้เรื่อง

“พอ แดกเยอะแล้ว” มือใหญ่แย่งแก้วของมันไปดื่มซะเอง

“อะไรวะ อยากแดกก็สั่งเองดิ” คนตัวขาวมุ่นคิ้วขัดใจ “ไอ้แทนเอาเบอร์เบิ้นให้กูอีกแก้ว”

“ดะ ได้พี่” เด็กเสิร์ฟประจำร้านละล่ำละลักขานรับเมื่อสัมผัสถึงบรรยากาศมาคุรอบตัว หมุนกายเตรียมเดินลงไปชั้นล่าง

คชาว่าเสียงเข้ม “ไอ้แทน หยุด! ไม่ต้องให้มันแล้ว”

ร่างเล็กชะงักฝีเท้า หันมาหาเจ้านายร่างยักษ์ พยักหน้าเบาๆ ก่อนเดินเปลี่ยนทิศมาตักน้ำแข็งเต็มให้พี่ช้างแทน

บุรินทร์กระฟัดกระเฟียด “ไปเอามาให้กู”

แทนไทชะงักมือวางที่คีบลงในถังน้ำแข็ง ผงกหัวหงึกๆ หันปลายเท้าเตรียมลงบันได

“ไอ้แทน กูบอกว่ายังไง” เสียงกร้าวดังขึ้น

บริกรหนุ่มหันรีหันขวางเกาท้ายทอยอย่างคนทำอะไรไม่ถูก มองหน้าเจ้านายสลับไปมา เอายังไงดีวะ!

“ถ้ามึงเอามาให้มันอีก มึงเตรียมตัวหางานใหม่ได้เลย” คชาชี้หน้าเอ่ยคำประกาศิต

คนถูกคาดโทษใบหน้าถอดสี “เออ... โทษทีนะพี่ แต่ผมขอตัวไปรับออเดอร์ที่ชั้นล่างก่อนนะครับ” แทนไทลุกลีลุกลนรีบเดินลงบันไดไป บรื๋อ! เขาลูบแขนตัวเอง เวลาพี่ช้างโมโหน่ากลัวชะมัด เหมือนมีรังสีอำมหิตแผ่กระจายออกมา โชคดีนะครับพี่รินทร์ ไอ้แทนคนนี้ขอตัวชิ่งก่อน

บุรินทร์มองตามแผ่นหลังเล็กด้วยตาละห้อย คนเมาย่นจมูกงอแงเหมือนเป็นเด็กเล็ก ออกแรงผลักให้ไอ้ตัวขี้ขัดใจออกไปห่างๆ แต่คนที่ทรงตัวไม่อยู่กลับเป็นฝ่ายเสียหลักหงายหลังซะเอง เคราะห์ดีที่คนตัวโตรีบเอื้อมมือคว้าเอวสอบไว้ได้ทันท่วงที

“เกือบหัวฟาดพื้นไหมล่ะมึง” คชาเขกหัวมันเบาๆ

คนเมาสะอึกเอิ๊กอ๊าก ยิ้มหวานหลับตาพริ้มซุกหน้าเข้าอกแกร่ง คชาเลยประคองตัวมันนอนหนุนตัก ถอดเอาเสื้อแจ็คเก็ตออกมาคลุมตัวให้มันเพื่อกันความเย็นจากลมแอร์ มือใหญ่คว้าเอาโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปแล้วส่งเข้าแชทกลุ่ม เขาหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว ท่าทางไอ้รินทร์ตอนหลับน้ำลายยืดนี่น่าเอ็นดูฉิบหาย

เสียงเพลงด้านล่างเริ่มซาลง คชาคาดว่าคงใกล้ถึงเวลาปิดร้านแล้ว ดวงตาคมเห็นไอ้เบียร์ยืนล่ำลาแม่สาวชุดรัดติ้วอยู่ที่ข้างบันได พร้อมกับไอ้เบียร์ที่เดินยิ้มหน้าบานขึ้นมา

"อ้าว ม่อยไปแล้วหรือมึง" ไอ้ตุลย์ถาม

เขาพยักหน้ารับ ก้มลงมองคนบนตัก มันนอนขดตัวเป็นก้อนกลมๆ คล้ายกุ้ง

“กูว่ามึงพามันกลับบ้านไปเถอะ” ไอ้เบียร์ว่า

คชาส่ายหัว “คงไม่ได้ว่ะ วันนี้กูเอาหนูแดงมา” เขาพยักพเยิดหน้าไปทางข้างนอก รถเวสป้าสีแดงรุ่นเจ้าคุณปู่จอดเด่นอยู่ท่ามกลางรถหรูนับสิบคัน

บวรนันท์กลอกตา "ทำไมการ์ดถึงให้มึงเข้ามาวะ" มือบางเก็บปอยผมขึ้นทัดหู

คชายักไหล่ "ก็กูเป็นเจ้าของร้าน" ร่างสูงใหญ่ตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อน ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปทางหมูมะนาวที่ถูกกินไปได้แค่ไม่กี่คำ “จานนั้นพวกมึงไม่กินกันแล้วใช่ไหม งั้นกูขอนะ”

คนทั้งคู่ถอนหายใจอย่างเอือมระอา ไอ้ช้างมันรวยซะเปล่าแต่ชอบทำเหมือนตัวเองเป็นยาจก มีแบล็คการ์ดไม่จำกัดวงเงิน แต่เสือกไม่มีเงินสดติดตัวสักบาท เสื้อผ้าทั้งตัวก็มาจากร้านขายของมือสองที่จักรตุจักร แถมไม่พอมันยังชอบห่ออาหารที่เพื่อนกินไม่หมดใส่กล่องกลับบ้านอีก

..น่าอนาถใจ..

“งั้นก็ไปรถไอ้รินทร์แล้วกัน ขากลับมึงก็นั่งแท็กซี่เอา” ตุลาสรุปให้

“เออ ก็ได้” ร่างใหญ่ตอบรับ ก่อนยื่นมือแบออกตรงหน้าเพื่อน “ขอค่ารถด้วย”

..ไอ้ห่านี่..



........................................



คชาอุ้มคนเมาไปที่ลาดจอดรถ ร่างสูงใหญ่ก้มมองคนที่นอนตาปรือในอ้อมแขน เจ้าตัวดูไม่ค่อยจะมีสติเท่าใดนักทั้งที่อายุอานามก็ตั้งขนาดนี้ แต่ยังทำอะไรไม่รู้จักลิมิตของตัวเอง

..มันน่าจับตีนัก..

ไอ้ตุลย์ช่วยเปิดประตูให้เขาประคองร่างปวกเปียกไปวางแหมะตรงเบาะข้างคนขับ มือใหญ่บริการคาดเข็มขัดนิรภัยให้มันเสร็จสรรพ พอหันมาอีกทีเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างรถก็เอื้อมมือยัดอะไรบางอย่างใส่กระเป๋าเสื้อ

..ถุงยางอนามัย..

“จะทำอะไรก็รีบทำนะมึง” ไอ้เบียร์ยักคิ้ว

"ทำเหี้ยไร มันเมา" บุ้ยไปที่ไอ้ตัวภาระที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราว

"เมานั่นแหละดี ทางสะดวก ผัวมันไม่อยู่ มึงก็จัดการรวบหัวรวบหางแม่งเลย" ตุลายิ้มกรุ้มกริ่มมองเพื่อนตัวยักษ์

ร่างสูงถอนหายใจ ตบกะโหลกพวกมันไปคนละที "กูแค่จะไปส่งแล้วก็กลับ ไม่ได้คิดจะทำอะไรมัน ไอ้พวกจังไร" มือหนากำซองเครื่องป้องกันสีเงินส่งคืนเพื่อน ก่นด่าพวกมันอีกสองสามประโยค ก่อนย้ายตัวเองไปเปิดประตูอีกด้าน สตาร์ทเครื่องแล้วขับออกไป

เวลาเกือบตีสองรถราบนท้องถนนน้อยจนแทบนับคันได้ แต่คชายังคงเหยียบคันเร่งไม่แรงนัก ด้วยกลัวว่าไอ้คนเมามันจะนอนคอพับคออ่อนจนหัวกระแทกหน้าต่างตายเสียก่อนถึงคอนโด

ร่างสูงใหญ่เหลือบมองคนด้านข้างขณะจอดรถรอสัญญาณไฟ “เมาเหมือนหมาเลยนะมึง” มือใหญ่ลูบแก้มซับสีเบาๆ “คิดมากเรื่องอะไรอยู่วะ”

คนตัวขาวดิ้นขลุกขลัก คิ้วเรียวขมวดอย่างนึกรำคาญยกมือขึ้นปัดคล้ายไล่แมลงวันจนเขานึกมันเขี้ยวดีดจมูกแดงๆ ของมันไปหน แล้วจึงหันหน้ามาตั้งใจขับรถต่อ

กว่าคชาจะทุลักทุเลพาคนเมาขึ้นมาถึงห้องได้ก็เล่นซะเหงื่อตก ถึงเขาจะตัวใหญ่กว่าก็จริงแต่ไอ้ห่านี่มันตัวเล็กเสียที่ไหน อีกฝ่ายควรจะซาบซึ้งใจที่เขาไม่ยอมปล่อยให้มันร่วงลงไปนอนวัดพื้นตอนออกจากลิฟต์ ทั้งที่แขนสองข้างก็อ่อนล้าเสียจนปวดหนึบแต่เขาก็ยังกัดฟันรวบรวมแรงที่เหลือยกตัวมันขึ้นมาอุ้มใหม่

ร่างสูงใหญ่ใช้เท้าปิดประตูห้องนอนแล้วค่อยๆ วางคนตัวขาวลงบนเตียง มือใหญ่แกะกระดุมเสื้อเชิ้ตของมันออกเผยให้เห็นชื่อคนรักของอีกฝ่ายเด่นชัดกลางอกขาว

คชาเบ้ปาก “รอยสักเหี้ยนี่ กูโคตรเกลียดแม่งเลย” เขายังจำได้ว่าวันแรกที่มันถอดเสื้อโชว์เพื่อนๆ เจ้าตัวดูภาคภูมิใจมากแค่ไหน

ร่างใหญ่เอาผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆ มาเช็ดตามโครงหน้าเรียว “รักเขามากถึงขนาดนั้นเลยเหรอวะ” คชาถามออกไปราวกับเป็นเรื่องปกติ

“อืม... อือ”

“รู้เรื่องด้วย?” เขาเอานิ้วจิ้มแก้มมัน มุมปากยกยิ้มเอ็นดู

คนหลับบ่นพึมพำในลำคอไปเรื่อยเหมือนละเมอ พลิกซ้ายพลิกขวาไม่ยอมอยู่เฉย

"นอนนิ่งๆ ได้ไหม" คชารวบแขนขาวไว้เหนือหัว แล้วจึงใช้มืออีกข้างเช็ดไล่ลงมาตามเนื้อตัวขาวจั๊วะ เขายังนึกเสียดายผิวสวยๆ ของมันที่ตอนนี้ถูกจับจองด้วยรอยหมึกจนแทบไม่เหลือพื้นที่ว่าง

นัยน์ตาคมจ้องมองแผ่นอกเปลือยเปล่าที่กระเพื่อมขึ้นลงตามแรงหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ความรู้สึกร้อนวูบก็แล่นขึ้นมาที่ส่วนกลางลำตัว คชารีบเบนสายตาไปทางอื่นพยายามยับยั้งความคิดเรื่องลามกในหัว ลุกลี้ลุกลนเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดนอนออกมาผลัดเปลี่ยนให้เจ้าของห้องอย่างรวดเร็ว โดยไม่ลืมดึงผ้าหุ้มคลุมตัวให้จนถึงอก

ร่างยักษ์ล้วงเอากล่องของขวัญออกมาจากถุงย่าม "ลำบากกูกว่าจะหามาได้" มือหนาเอื้อมวางไว้บนโต๊ะหัวเตียง "ฝากเอาไปใช้ด้วยล่ะ อย่าเพิ่งโยนทิ้งซะก่อน"

คชาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะโรคจิตถึงขนาดนั่งยิ้มให้กับคนเมาที่นอนหลับไม่รู้เรื่องแบบนี้ ฝ่ามือใหญ่ลูบกลุ่มผมนิ่ม “ไปแล้วนะ” เขายิ้มจาง “ฝันดี... ไอ้ตัวร้าย”

.

.

.

.

.

To be continued
#บุรินทร์สบายดี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-04-2020 00:05:47 โดย ลามัลลิลา »

ออฟไลน์ ลามัลลิลา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
- สบายดีครั้งที่ 4 -


บุรินทร์สะดุ้งตื่นตอนหกโมงเช้า มือขาวเอื้อมปิดเสียงนาฬิกาปลุกบนโต๊ะข้างหัวเตียง ทันทีที่ลืมตาเขารู้สึกปวดหัวจนต้องกุมขมับ

“กลับมาได้ไงวะ” ความทรงจำสุดท้ายคือเขากำลังก๊งเหล้ากับพวกเพื่อนๆ ที่ร้าน จากนั้นภาพก็ตัดไป ตื่นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองอยู่ที่ห้องแล้ว แถมเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ก็ไม่ใช่ชุดเมื่อคืนอีก “ช่างเหอะ” เขาคร้านจะใส่ใจ คงเป็นพวกมันนั่นแหละที่เป็นคนมาส่งแล้วจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้

มือขาวยกขึ้นปิดปากหาวหวอดๆ ยันกายขึ้นนั่งบิดขี้เกียจสองสามที พลันสายตาเหลือบไปเห็นกล่องอะไรบางอย่างวางเด่นบนโต๊ะข้างเตียงอีกฝั่งบนกล่องขนาดเล็กมีข้อความขยุกขยุยบนการ์ดว่า

'ให้มึง'

บุรินทร์เอื้อมมือคว้าสิ่งนั้นมาพลิกซ้ายพลิกขวา เขาจำลายมือไก่เขี่ยของไอ้เพื่อนตัวยักษ์ได้ คิ้วเรียวเข้มขมวดงุนงง ไล่เรียงความคิดว่าวันนี้เป็นวันสำคัญอะไรหรือเปล่า วันเกิดเขาก็ไม่ใช่ วันปีใหม่หรือเทศกาลอะไรก็ไม่ใช่อีก แล้วมันจะให้ของขวัญเขาเนื่องในโอกาสอะไรวะ

ชายหนุ่มพักเรื่องสงสัยรีบกระตุกปมริบบิ้นสีเงินแวววาวแล้วค่อยๆ เปิดฝากล่องออกมา สิ่งของด้านในทำให้หัวใจเขาเต้นตึกตัก ปากกามงต์บลองค์ รุ่น เกรซ คาแรคเตอร์ ไมล์ส เดวิส ลิมิเต็ด เอดิชั่น 90 นอนแอ้งแม้งอยู่ภายใน

บุรินทร์ตาโตมองของขวัญราคาเหยียบเจ็ดหลักด้วยความรู้สึกประหลาดใจ เขานึกย้อนกลับไปถึงบทสนทนาที่คุยกับไอ้ช้างเกี่ยวกับรายการที่เอาบรรดาของราคาแพงหูฉี่มาโชว์เมื่ออาทิตย์ก่อน

‘ทำมาจากแร่ไวเบรเนี่ยมป่ะวะ แพงเชี้ย’ เขาตาลุกวาว ‘แต่สวยว่ะ’

ใครจะคิดว่าคำพูดที่แม้แต่เขาเองก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ไอ้ช้างมันกลับจำได้แถมยังขวนขวายหามาให้อีก บุรินทร์ไล้นิ้วเรียวลงบนปากกาในมืออย่างช้าๆ ของจริงตรงหน้าสวยกว่าภาพในทีวีที่เคยเห็นหลายเท่านัก

นัยน์ตาน้ำตาลมองพินิจรายละเอียดการแกะสลักสุดประณีต สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคงไม่พ้นลวดลายทรัมเป็ตสีทองคำแดงซึ่งตัดกับปลอกและด้ามที่ทำมาจากทองคำขาวได้อย่างโดดเด่น เป็นงานศิลปะที่ถูกรังสรรค์ขึ้นเพื่อยกย่องศิลปินผู้บุกเบิกดนตรีแจ็สคนสำคัญของโลกจากช่างฝีมือชั้นยอดเพียงเก้าสิบด้ามเท่านั้น

บุรินทร์นึกไม่ออกว่าปัญญาอย่างไอ้ช้างมันจะสามารถหาของแรร์ไอเทมแบบนี้ได้จากที่ไหน แต่จะให้มองข้ามอำนาจของเงินก็คงจะไม่ได้ ไม่รอช้าร่างสูงรีบคว้ามือถือกดโทรหาไอ้คนอวดรวยทันที เขาทอดถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายระหว่างรอสาย เรื่องซื้อของสิ้นเปลืองนี่ถนัดนัก เจียดเงินเอาไว้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ บ้างก็ได้นะ ไอ้ห่า!

[ไง] มันตอบเสียงงัวเงีย [ฟื้นแล้วหรือมึง]

"ปากกาไมล์ส เดวิสในห้องกูคืออะไร" ไม่พูดพร่ำทําเพลงเขายิงคำถามตรงประเด็น

ไอ้ช้างหัวเราะ [ก็มึงอยากได้]

"ไอ้เวอร์ กูแค่บอกว่ามันสวยเฉยๆ "

[ก็นั่นแหละ บอกว่าสวยก็แสดงว่าอยากได้] เสียงปลายสายเย้าแหย่

“แล้วมึงอยากได้ทุกอย่างที่บอกว่าสวยเลยหรือไง” เขาหมุนปากกาในมือเล่น

คนถูกถามเงียบไปครู่หนึ่ง [เปล่า กูไม่เคยชมของที่กูอยากได้หรอก]

เขามุ่นคิ้ว “อะไรวะ กูไม่เข้าใจ”

เสียงทุ้มหัวเราะหึ [มึงเคยเข้าใจอะไรบ้างล่ะ ไอ้ง่าว]

“อ้าว ด่ากูเฉย วางสายแม่ง”

[เฮ้ย! เดี๋ยวๆ หยอกๆ] มันหัวเราะแหะ

“หยอกพ่อง” บุรินทร์กระฟัดกระเฟียด “แล้วมึงหามาได้ไง”

[กูเทพ] ไอ้ช้างว่าเสียงเรียบ คิดว่าตอนนี้มันคงกระหยิ่มยิ้มย่องจนน่าหมั่นไส้

เขากลอกตาเนือยๆ “กูถามมึงจริงๆ หมดไปเท่าไหร่”

[ก็ไม่เท่าไหร่ แค่นี้ไม่สะเทือนขนหน้าแข้งกูหรอก] มันกวนตีน

บุรินทร์ถอนหายใจดังเฮือก “เออไอ้รวย กูไม่อยากรู้แล้วก็ได้” มือขาวเก็บปากกาเข้ากล่องปิดฝาไว้เหมือนเดิม “แต่ให้แล้ว กูไม่จ่ายเงินคืนนะ กูงก”

อีกฝ่ายหัวเราะ [แค่เลี้ยงข้าวเที่ยงกูก็พอ]

“วันนี้?”

[อืม… ได้ไหม]

บุรินทร์นึกถึงตารางงานของวัน นอกจากประชุมช่วงเช้ากับเคลียร์เอกสารช่วงบ่าย นอกนั้นก็น่าจะไม่มีอะไรแล้ว “เออๆ ก็ได้” เขาเสยผมขึ้นลวกๆ “แค่นี้แหละ กูอาบน้ำก่อน เดี๋ยวสาย”

[เจอกันมึง]

เขากดวางสายจากไอ้ช้างได้ไม่ทันไร หน้าจอโทรศัพท์ก็เด้งการแจ้งเตือนเรื่องแบตเตอรี่ต่ำขึ้นมาพอดี บุรินทร์จัดการหยิบสายชาร์จเสียบเข้ากับมือถือทันที ไม่บ่อยนักที่เขาจะปล่อยให้แบตแดงเถือกจนเปอร์เซ็นต์ใกล้ถึงเลขศูนย์ขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อคืนนึกเพี้ยนอะไรขึ้นมากระดกเหล้าจนเมาหัวราน้ำแบบนั้น แถมไม่พอยังเป็นภาระให้ไอ้ช้างต้องแบกมาส่งถึงห้องอีก นึกแล้วทุเรศตัวเองฉิบหาย

บุรินทร์เหม่อมองเพดานว่างเปล่าแล้วถอนหายใจออกมา พอได้อยู่คนเดียวห้องนอนทั้งห้องก็ดูเหมือนจะใหญ่ขึ้นอีกแล้ว เขาหันมองพื้นที่เตียงอีกฝั่งที่ว่างเปล่าและเย็นชืด หมอนของราเชนยังวางไว้เป็นระเบียบ ผ้าปูที่นอนเรียบตึงเมื่อไม่มีร่างนวลเนียนให้เขาได้กกกอด

..คิดถึงจัง..

บุรินทร์ชั่งใจอยู่ว่าควรโทรไปหาคนรักดีไหม จะรบกวนเวลานอนของเด็กขี้เซาหรือเปล่า แต่สุดท้ายความรู้สึกภายในก็รบเร้าให้กดโทรออกอยู่ดี

[ตู๊ด... ตู๊ด...]

เขารอนานจนสายถูกตัด ร่างสูงเก็บโทรศัพท์วางไว้ที่เดิมด้วยความผิดหวัง คิดปลอบใจตัวเองว่าเช้าขนาดนี้น้องคงยังไม่ตื่นไว้สายๆ ค่อยติดต่อกลับไปใหม่

นาฬิกาบอกเวลาใกล้จะเจ็ดโมงเช้าแล้ว บุรินทร์ส่ายหน้าไล่ความคิดฟุ้งซ่านก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเตรียมตัวจะไปอาบน้ำ แต่อาจเป็นเพราะลุกไวเกินไปเลยเกิดอาการหน้ามืด ทำให้ร่างสูงเซถอยหลังนั่งจุ้มปุ๊กลงที่เตียงตามเดิม เขาถูกอาการแฮงค์เล่นงานจนหัวหนักอึ้ง มือขาวนวดคลึงที่หว่างคิ้ว สะบัดหน้าแรงๆ ไล่ความมึนงง เดินสะโหลสะเหลเข้าห้องน้ำไป

เพียงไม่นานบุรินทร์ก็เดินออกมาจากหลังขจัดความสกปรกและกลิ่นบุหรี่ที่หมักหมมตั้งแต่เมื่อคืนจนหอมฟุ้ง เขาสวมเพียงชุดคลุมอาบน้ำผูกปมหมิ่นเหม่ยืนเช็ดผมอยู่หน้ากระจก มือขาวกลัดกระดุมเสื้อเชิ้ตสวมทับกับกางเกงสแล็คสีเข้ม

บุรินทร์เดินออกมาเปิดตู้เย็นที่ครัวหวังหาอะไรรองท้องก่อนทำอาหารเช้า ปรากฏว่าชั้นวางว่างเปล่าพุดดิ้งที่ทำไว้เมื่อวานหายเกลี้ยง เหลือเพียงคราบซอสคาราเมลที่หยดลาดเป็นทางยาวจนไปถึงอ่างล้างจานทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าเท่านั้น

เขาส่ายหน้าระอามองถ้วยพุดดิ้งที่วางระเกะระกะในซิงค์ ถ้ากินแล้วเก็บก็คงไม่ใช่ไอ้ช้าง นี่นับว่ามันยังมีจิตสำนึกแช่น้ำไว้ให้ ดีกว่าคราวก่อนที่มันเอาจานเค้กไปซุกใต้โต๊ะหมกไว้หลายวันจนมดขึ้น

ร่างสูงพับแขนเสื้อขึ้นจัดการทำความสะอาดพื้นที่เหนียวเหนอะหนะ เขาก่นด่าไอ้ตัวทำเละเทะในใจ มาแอบกินของในตู้เย็นแล้วยังสร้างความสกปรกให้เขาต้องมาตามเก็บตามล้างทีหลัง

บุรินทร์นำอาหารเช้าง่ายๆ สองสามอย่างยกขึ้นไปวางบนโต๊ะ พร้อมกาแฟดำหอมกรุ่นอีกแก้ว เขาทาเนยบนขนมปังปิ้งสองแผ่นประกบกันด้วยไข่ดาวเหลืองกรอบทานควบคู่กับไส้กรอกเนื้อแน่น

บุรินทร์จัดการเก็บกวาดเศษซากที่กองเป็นภูเขาหลังทานอาหารเสร็จ เขาใช้ผ้าเช็ดจานจนแห้งสนิทก่อนเก็บทุกอย่างให้เข้าที่ หลังจากนั้นจึงเข้าห้องนอนไปเปลี่ยนเสื้อเชิ้ตตัวใหม่แทนตัวเดิมที่ชื้นเหงื่อและยับย่นจากการทำความสะอาดพื้น

ก่อนออกจากคอนโดร่างขาวเดินเช็คโดยรอบอีกครั้งว่าเขาได้ลงกลอนระเบียงเรียบร้อยแล้วและไม่ได้เผลอลืมเปิดไฟดวงใดทิ้งไว้

บุรินทร์คว้ามือถือและกุญแจรถใส่ลงในช่องด้านหน้าของกระเป๋าทำงาน โดยไม่ลืมหยิบของขวัญที่เพิ่งได้มาเมื่อเช้าหย่อนลงตามไปด้วย จากนั้นเรียวขายาวจึงตรงดิ่งเปิดประตูและก้าวเดินออกไป



........................................



“สวัสดีครับคุณบุรินทร์” ปณต รปภ. หนุ่มยกมือขึ้นตะเบ๊ะทำความเคารพเจ้านายบนลานจอดรถชั้นผู้บริหาร “วันนี้มาเช้าเหมือนเดิมเลยนะครับ”

“สวัสดีครับ” บุรินทร์พับสูทพาดไว้ที่แขน ร่างสูงยิ้มบางๆ ทักทายลูกจ้างที่มักมาต้อนรับแบบนี้อยู่เป็นประจำ

ทุกเช้าบุรินทร์จะขับรถมาทำงานเองทุกวันโดยปราศจากสารถีคอยรับส่ง เขารู้สึกสะดวกใจมากกว่าเวลาไม่มีใครเข้ามาวุ่นวายชีวิตส่วนตัว

คนอายุน้อยกว่ายิ้มแฉ่ง เขาเหลือบเห็นกระเป๋าสัมภาระของอีกฝ่าย “ผมช่วยถือขึ้นไปให้บนห้องไหมครับ”

“ไม่เป็นไรครับ” บุรินทร์ปฏิเสธเสียงสุภาพ

คนถูกปฏิเสธชักมือกลับ เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งรีบกดลิฟต์ให้เจ้านายอย่างแข็งขัน

“ขอบคุณครับ” ร่างสูงยิ้มบางให้คนอายุน้อยกว่า

ปณตยกยิ้มกว้างชักชวนคนตรงหน้าขณะรอลิฟต์ และแน่นอนว่าเรื่องสภาพอากาศถูกยกยิ้มขึ้นมาเป็นหัวข้อสนทนาอีกครั้ง

“วันนี้อากาศร้อนนะครับ”

“ครับ”

“แต่ข่าวในวิทยุบอกว่าฝนจะตก คุณบุรินทร์พกร่มมาหรือเปล่าครับ ถ้าไม่มีมายืมที่ผมก็ได้นะครับ”

และเช่นเดิมที่เขาเป็นฝ่ายพูดคุยอยู่คนเดียว เขาไม่เคยเก็บเรื่องนี้มาถือสาเพราะเขารู้ดีว่าภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่งและติดจะเย็นชานั้น จริงๆ แล้วด้านในมีคนผู้หนึ่งซึ่งจิตใจดีและไม่ถือตัวกับลูกน้องหลบซ่อนเอาไว้อยู่

คุณบุรินทร์มีบุญคุณเคยช่วยเหลือเขาหลายครั้ง ปณตจำได้ว่าเช้าวันนั้นเมื่อสามปีก่อน เขามาทำงานด้วยใบหน้าที่ปูดบวม เจ้านายร่างขาวไถ่ถามเมื่อเห็นสิ่งผิดปกติ ปณตสารภาพอย่างไม่มีหมกเม็ดว่าเขาโดนเพื่อนเอาชื่อไปแอบอ้างค้ำประกันให้กับเงินกู้นอกระบบแล้วเชิดเงินหนีไป ทิ้งให้เขาต้องรับภาระหนี้ก้อนโตพร้อมดอกเบี้ยรายวันมหาโหด วันไหนมีจ่ายก็ดีไปแต่ถ้าวันไหนไม่มีเจ้าหนี้ก็จะส่งพวกลูกน้องมาตามทวงเงินถึงที่บ้าน แถมยังมีการขู่เข็ญลงไม้ลงมือกับเขาให้หลาบจำอย่างที่เห็น

ทั้งที่เขาเป็นเพียงยามตัวเล็กๆ ไม่ได้มีหน้าที่สลักสำคัญอะไร แต่คุณบุรินทร์กลับรับฟังปัญหาของเขาอย่างใจเย็น มิหนำซ้ำยังยินดีช่วยจัดการเคลียร์หนีทั้งหมดให้แลกกับการหักเงินเดือนสิบเปอร์เซ็นต์จนกว่าเขาจะทำงานไม่ไหว ปณตตอบตกลงในทันทีเขากล่าวขอบคุณพร้อมยกมือไหว้เจ้านายหลายต่อหลายครั้งจนคุณบุรินทร์ต้องห้ามปรามบอกเพียงว่าให้เขาตั้งใจทำงานและอย่าไว้ใจคนง่ายเกินไป รปภ.หนุ่มยิ้มได้ในรอบหลายเดือนคล้ายมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อหนึ่งปีให้หลังตัวเขาต้องกลายเป็นผู้ประสบภัยเพลิงไหม้ ตอนนั้นเขาแทบจะสิ้นเนื้อประดาตัวไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร เป็นบุญของเขาที่เมื่อคุณบุรินทร์ทราบเรื่องท่านไม่ได้นิ่งนอนใจเป็นธุระให้ในเรื่องหาที่อยู่ใหม่และจัดการมอบเงินเยียวยาให้เขาอีกก้อนตามที่เห็นสมควร

นับตั้งแต่วันนั้นปณตก็ตั้งปณิธานกับตัวเองเอาไว้ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่หากคุณบุรินทร์ต้องการความช่วยเหลือ เขาคนนี้ก็เต็มใจจะยื่นมือเข้าไปอย่างไม่อิดออดเพื่อตอบแทนบุญคุณเจ้านาย ปณตอาจจะช่วยอะไรได้ไม่มากแต่อย่างน้อยเขาจะไม่ปล่อยให้คุณบุรินทร์ต้องเผชิญปัญหาคนเดียวอย่างแน่นอน

เมื่อลิฟต์มาถึง ปณตผายมือให้เจ้านายตัวขาว "เชิญครับ"

"ขอบคุณ" ร่างสูงกล่าวเพียงเท่านั้นก่อนเดินเข้าลิฟต์ไป

ลิฟต์ที่บุรินทร์ใช้โดยสารเคลื่อนตัวขึ้นมาที่ชั้นสูงสุดของอาคาร เดิมทีเขาเคยประจำอยู่ที่โรงแรมแห่งแรกซึ่งเป็นสาขาที่เก่าแก่ที่สุด แต่ด้วยขนาดของพื้นที่จำกัดซึ่งสวนทางกับกิจการที่ขยายตัวขึ้น ท่านประธานจึงทำการย้ายสำนักงานทั้งหมดมาไว้ที่นี้บนทำเลตรงถนนสาทรเหนือ อาคารสำนักงานใหม่ถูกสร้างขึ้นอย่างโอ่อ่าเพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของธุรกิจในเครือ

ห้องทำงานของบุรินทร์ถูกออกแบบโดยนักสถาปนิกชื่อดัง ทุกส่วนเน้นความโมเดิร์นโปร่งโล่งสบายแต่ยังคงไว้ซึ่งความหรูหรา มองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่จะเห็นวิวของแม่น้ำเจ้าพระยาจากฝั่งเจริญกรุง

ธุรกิจของเปรมอัศวกุล เริ่มต้นจากการค้าขายที่ดินเมื่อหลายสิบปีก่อน นำมาต่อยอดพัฒนาจนสามารถแผ่ขยายแตกกิ่งก้านสาขาออกไปภายใต้ร่มเงาของ เปรมนิรันดร์ พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเมนท์ กลายเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งในปัจจุบัน

ความสำเร็จดังกล่าวมาจากการเดินหมากอันเฉียบขาดของหัวเรือใหญ่อย่างเจ้าสัวทรงพล ด้วยต้องการผูกขาดตลาดด้านอสังหาริมทรัพย์ไว้ทั้งหมดตั้งแต่โรงแรม รีสอร์ท คอนโดมิเนียม หมู่บ้านจัดสรร ตลอดดจนเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ก่อสร้างไว้เพียงผู้เดียว เพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายทุกระดับชั้นตั้งแต่ลูกค้าไฮเอนด์กระเป๋าหนัก ครอบคลุมไปจนถึงลูกค้าระดับโลว์ คลอส ที่เน้นความประหยัดและความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป

จากวิสัยทัศน์ข้างต้นที่กล่าวมาทำให้ท่านเจ้าสัวสามารถพาธุรกิจในเครือไต่อันดับขึ้นไปอยู่ชั้นแนวหน้าของประเทศ จากมูลค่าผลประกอบการที่โตขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงขึ้นทุกปี

“ขออนุญาตค่ะคุณรินทร์” นิลยา เลขาสาวเดินถือถาดอาหารเข้ามา

“คุณนิลเอาวางไว้บนโต๊ะเลยครับ” บุรินทร์ตอบโดยยังไม่ละสายตาออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์

นิลยาวางแก้วน้ำส้มกับคุกกี้แมคคาเดเมียไว้บนชุดโต๊ะรับแขกใกล้ๆ "อีกครึ่งชั่วโมงการประชุมจะเริ่มแล้วนะคะ"

ชายหนุ่มพยักหน้า "เรื่องโปรเจกต์ดีลักซ์ใช่ไหม"

"ใช่ค่ะ ฝ่ายออกแบบจะเข้ามารายงานความคืบหน้ากับบอร์ดบริหารค่ะ"

"ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณมากครับ"

นิลยาส่งยิ้มบางก่อนถือถาดเปล่าเดินออกไป โดยไม่ลืมปิดประตูห้องให้เจ้านายอย่างเบามือ

บุรินทร์ทิ้งตัวลงบนโซฟา มือขาวนวดคลึงขมับเอนกายพิงเบาะหนังอย่างหมดมาด เขายกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด น้ำส้มเย็นเจี๊ยบช่วยลดอาการพะอืดพะอมจากอาการเมาค้างได้หายสนิท นึกแปลกใจที่ปกติเวลาแฮงค์อาการไม่ได้หนักขนาดนี้ สงสัยเขาคงแก่เกินจะกินเหล้าหนักๆ แล้วล่ะมั้ง



........................................



“สำหรับ Deluxe Town ตอนนี้การก่อสร้างลุล่วงไปกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้วครับ คาดว่าเราคงสามารถเปิดตัวโครงการได้ภายในไตรมาสที่สามของปีนี้” ฝ่ายออกแบบหนุ่มกำลังพูดนำเสนอเกี่ยวกับมาสเตอร์แพลนบนจอโปรเจคเตอร์

‘Deluxe Town’ คือโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบมิกซ์ยูส เป็นการผสมผสานกันระหว่าง ศูนย์การค้าและที่พักอาศัยระดับลักชัวรี่ รวมไปถึง Iconic Tower ซึ่งจะกลายเป็นหนึ่งในห้าตึกที่สูงที่สุดในเอเชีย เจ้าสัวทรงพลทุ่มเงินลงทุนหลายแสนล้านบาทตั้งใจเนรมิตพื้นที่กว่าร้อยไร่ให้เป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพ

“ดีมาก” ทรงพล เปรมอัศวกุลยิ้มพอใจ กายสูงใหญ่เอนหลังพิงเก้าอี้ขณะปิดแฟ้มรายงานการประชุม "หลังจากนี้เราคงต้องเร่งจัดทำแผนการโปรโมทในงานเปิดตัวต่อไป ผมอยากให้งานที่จะเกิดขึ้นต้องยิ่งใหญ่และน่าจดจำให้สมกับความเป็นเปรมนิรันดร์ กรุ๊ป"

“เรื่องนี้ผมจะเป็นธุระจัดการให้เองครับ” ตรัย กรรมการบริหารหนุ่มพูดเสนอตัวเองขึ้นมา “ผมรู้จักคนดังและเซเลบในแวดวงสังคมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผมรับรองว่าจะสามารถดึงคนเหล่านั้นมาร่วมงานของเราได้อย่างแน่นอน”

“ใช่ครับท่านประธาน วางใจได้เลย ตาตรัยรู้จักคนเยอะแยะ งานเปิดตัวของเราต้องเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ไปอีกหลายปีแน่ คนทั่วโลกจะได้รู้ว่าเปรมนิรันดร์มีศักยภาพมากแค่ไหน" ทรงกลด กรรมการบริหารอีกคนช่วยโน้มน้าวให้ลูกชายอีกแรง

เจ้าสัวทรงพลมองเมินคำพูดหว่านล้อม คิดว่าเขาโง่จนดูไม่ออกเลยหรือไงว่าสองพ่อลูกพยายามเข้าแทรกแซงการจัดการของเขา เพื่อหวังใช้พื้นที่สื่อเอาดีเข้าตัวฉกฉวยความสำเร็จไปเป็นของตัวเอง

หัวเรือใหญ่ของเปรมนิรันดร์มองไปที่บุตรชาย "บุรินทร์"

"ครับ" เจ้าของชื่อขานรับมองสบตากับท่านประธานที่หัวโต๊ะ

"แกจัดการเรื่องนี้ซะ เสร็จแล้วส่งรายละเอียดมาทางเลขาฉัน"

บุรินทร์ตกปากรับคำ เขาก้มลงจดหัวข้อสำคัญในส่วนของตัวเองลงสมุดเงียบๆ โดยไม่ได้รับรู้ถึงสายตามาดร้ายจากร่างสูงใหญ่ฝั่งตรงข้ามเลย

"ขอโทษนะครับท่านประธาน แต่ผมคิดว่าคุณบุรินทร์คงไม่เหมาะกับงานนี้เท่าไหร่ คนที่ไม่ค่อยมีเพื่อนคงชักชวนใครไม่เก่ง” ร่างสูงใหญ่ยิ้มแย้มซ่อนความไม่พอใจเอาไว้ลึกสุด "เป็นผมน่าจะง่ายกว่า"

คนถูกพาดพิงเงยหน้าขึ้นเมื่อหูได้ยินชื่อตัวเองในบทสนทนา

บุรินทร์ยิ้มเย็น “คุณตรัยอย่ากังวลเลยครับ ผมยินดีรับผิดชอบในส่วนนี้ เพื่อชื่อเสียงของเปรมนิรันดร์ผมไม่มีวันทำผิดพลาด ว่าแต่คุณตรัยเถอะ สืบเรื่องเงินที่ถูกยักยอกออกจากบัญชีของบริษัทตอนนี้ได้ความคืบหน้าไปถึงไหนแล้วครับ”

“มันอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบ” ร่างใหญ่ตอบอ้อมแอ้ม

ร่างขาวกระตุกยิ้ม “น่าแปลกนะครับ ทั้งคนรู้เห็น ทั้งบัญชีปลายทาง ทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกับคุณตรัยทั้งนั้น”

ตรัยชะงักกึก เสียงเซ็งแซ่เกิดขึ้นรอบโต๊ะรูปตัวยู สายตาดูถูกนับสิบคู่ถูกจับจ้องมาที่เขา ร่างสูงหันหน้าส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากผู้เป็นพ่อ

“ตาตรัยก็บอกแล้วไงครับว่าถูกใส่ร้าย คุณบุรินทร์จะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นอีกทำไม” ทรงกลดแก้ต่างแทนบุตรชาย

“หยุดเถียงกันได้แล้ว” เสียงแข็งกร้าวของเจ้าสัวดังขึ้น

“แต่ท่านประธานครับ…” ตรัยพูดแทรก

“ทำตามที่บอกแล้วไม่ต้องพูดเรื่องนี้กันอีก” ทรงผลเปลี่ยนประเด็น “ฝ่ายการตลาดมีอะไรเพิ่มเต็มอีกไหม”

ผู้จัดการฝ่ายการตลาดรีบพูดรายงาน “ในส่วนของโซน Luxury แบนด์ต่างๆ ได้เซ็นสัญญาจองพื้นที่ครบหมดแล้วค่ะ ส่วนในโซน....”

ตรัยขบกรามแน่น คับแค้นใจที่เสียงของเขาไม่มีความหมายแถมยังโดนขุดคุ้ยเรื่องเก่าขึ้นมาประจานอีก นึกโกรธเคืองทุกคนที่ทำเหมือนพ่อและเขาเป็นตัวตลก โดยเฉพาะมัน ไอ้บุรินทร์! เขาจำได้วันแรกที่มันกลับมาจากเมืองนอกด้วยท่าทางหยิ่งผยอง ปากก็ปฏิเสธหัวชนฝาว่าไม่ต้องการทำงานที่นี้ อ้างนู่นอ้างนี่สารพัดเพื่อหลบเลี่ยงตลอด แต่สุดท้ายพอเห็นตัวเลขของค่าตอบแทนเข้าหน่อยมันก็ตกปากรับคำปั้นหน้าเรียบเฉยขึ้นรับตำแหน่งงอย่างเสียไม่ได้ ตำแหน่งที่ควรเป็นของเขาผู้ซึ่งทำงานมาหลายปี แต่มันที่เพิ่งมาใหม่กลับได้ไปอย่างหน้าตาเฉย หากวันไหนที่มันร่วงหล่นลงมาจากหอคอย สาบานเลยว่าเขานี้แหละจะเหยียบย้ำซ้ำเติมให้จมดิน

หลังการประชุมเสร็จตรัยขับรถหรูออกมานอกเมืองด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เขาดับเครื่องยนต์ที่หน้าบ้านไม้หลังเล็ก

“คุณตรัย” เสียงหวานใสจากผู้ชายร่างเล็กเดินเข้ามาต้อนรับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มพร้อมกับน้ำเย็นเจี๊ยบในมือ

ตรัยก้าวลงมาจากรถกระแทกปิดประตูดังโครม ร่างใหญ่เดินอาดๆ เข้ามากระชากแขนคนตรงหน้าเสียจนตัวปลิว

เอื้องขวัญเซล้มลงบนโซฟาตามแรงผลักของผู้มาใหม่ “อย่าเพิ่งครับ” เขาร้องห้าม แรงที่น้อยกว่ามากพยายามดันแผ่นอกกว้างที่โถมตัวทาบทับอยู่ด้านบนให้ถอยห่าง

แต่คนเอาแต่ใจก็ยังคงเอาแต่ใจอยู่วันยังค่ำ ตรัยไม่ยอมฟังคำทักท้วงเขาก้มลงฉกชิงริมฝีปากบางก่อนไล่ลงมาที่ซอกคอนวลเนียนหอมกลิ่นแป้งเด็ก

“มะ มา”

เสียงร้องอ้อแอ้ทำให้คนทั้งคู่ต้องหยุดชะงัก ดวงตาคมตวัดมองไปทางต้นเสียง เด็กชายวัยเพิ่งหัดเดินยืนเกาะขอบโต๊ะรับแขกเอียงคอมองพวกเขาอย่างไร้เดียงสา

ตรัยชักสีหน้าเมื่อเด็กคนเดิมเดินเตาะแตะเข้ามาคว้าหมับที่ขากางเกง เจ้าตัวเล็กกระโดดดึ๋งๆ ยกแขนป้อมทั้งสองข้างชูสูงขึ้นไปในอากาศ ส่งยิ้มหวานอวดฟันสี่ซี่ให้แขกประจำของบ้าน

เอื้องขวัญรับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมาทางลูกชาย เขารีบย่อตัวลงไปแกะกำปั้นน้อยๆ ออกจากขากางเกงเนื้อดีอย่างเบามือ แขนเล็กอุ้มลูกขึ้นมาแนบอกกดจูบลงที่กระหม่อมบางแผ่วเบา เด็กน้อยวัยเพียงสิบเดือนถูไถใบหน้าจิ้มลิ้มเข้ากับแหล่งอาหารออดอ้อนผู้เป็นแม่

ตรัยปรายตามองเด็กชายเพียงเล็กน้อย “ดูลูกของนายซะ อย่าให้มันมาเกะกะฉัน” ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นเดินเลี่ยงไปทางบันได “ฉันจะรอข้างบน เสร็จแล้วก็รีบตามมา”

.

.

.

เอื้องขวัญเดินขึ้นมาบนชั้นสองของบ้านหลังกล่อมลูกให้นอนกลางวันเรียบร้อยแล้ว มือบางเปิดประตูห้องนอนเข้ามาอย่างเสียงเบาที่สุด เขาไม่อยากให้ใครอีกคนต้องรู้สึกรำคาญใจไปมากกว่านี้

เตียงขนาดสามฟุตถูกจับจองด้วยร่างสูงใหญ่ที่นอนเอกเขนกเล่นโทรศัพท์จนเต็มพื้นที่ “มาช้า...” ตรัยเอ่ยเสียงขุ่นเคือง

“ขอโทษครับ ตาเอกแกงอแงนิดหน่อย เอื้องเลย...”

“มานี่” ยังไม่ทันอธิบายจบร่างสูงใหญ่บนเตียงก็เอ่ยคำสั่งเสียงเรียบ “ทำหน้าที่ของนายซะ”

คนฟังทำตามไม่อิดออด เอื้องขวัญนั่งลงที่ปลายเตียง มือบางปลดกระดุมเสื้อออกมาเผยให้เห็นหน้าอกที่เคยแบนราบแต่ตอนนี้กลับนูนเต่งคัดแน่นไปด้วยน้ำนมจากการให้กำเนิด คนตัวเล็กปลดเปลื้องเสื้อผ้าจนหมดนอนราบลงบนฟูกอย่างว่าง่าย

“อะ… อา”

ความแข็งขืนใหญ่โตแทรกตัวเข้ามาโดยปราศจากการเล้าโลม แรงมหาศาลถาโถมเข้าใส่อย่างบ้าคลั่ง ตรัยขบกัดหัวไหล่มนเปลือยเปล่าจนปรากฏรูปรอยฟันแดงเถือก

“อื้อ… คุณตรัย” เอื้องขวัญตอบสนองการกระทำหยาบโลนด้วยความเต็มใจ ดวงตากลมโตหวานเยิ้ม มือเล็กประคองใบหน้าคมให้หันมา กลีบปากบางจุมพิตที่ข้างแก้มสากแผ่วเบา “เครียดเรื่อง อะ… อะไรมาครับ” เขาพูดเสียงแหบพร่าเบาโหวงแทบเป็นเสียงกระซิบ

“จะอะไรซะอีก ก็ไอ้ทรงพลมันเล่นหักหน้าฉันกลางที่ประชุม” ตรัยกระแทกกระทั้นเข้ามาอย่างตะกละตะกลาม “ทั้งที่พ่อฉันเป็นลูกชายคนโตแท้ๆ แต่พวกมันกลับได้ทุกอย่างไป” ถึงพ่อเขาจะเป็นลูกนอกสมรสของเจ้าสัวคนก่อน พวกมันก็ไม่มีสิทธิ์มาฉีกหน้าเขากลางที่ประชุมแบบนี้

“อย่าคิดมากเลยนะครับ คนเก่งของเอื้อง” เอื้องขวัญยกมือขึ้นสางผมชื้นเหงื่อให้อย่างปลอบใจ ร่างที่เล็กกว่ามากไหวคลอนตามแรงที่ถูกสอดใส่ มือบางจิกปลายเล็บลงบนผ้าปูที่นอนเพื่ออดกลั้นต่อความรู้สึกวาบหวามที่บุคคลเบื้องบนส่งมอบมาให้

เอวแกร่งยังคงไม่หยุดเคลื่อนไหว ตรัยขยับขึ้นลงรัวเร็วเปลื้องอารมณ์ที่ถูกอัดแน่นให้ระเบิดออกมา

ทุกครั้งเวลามีเรื่องเครียดหรืออยากหาใครสักคนไว้ระบายความใคร่ คนแรกที่นึกถึงคือเอื้องขวัญ คนที่เขาสามารถตักตวงความสุขได้อย่างตามใจชอบ เพราะไม่ว่าตรัยจะรุนแรงกับอีกฝ่ายแค่ไหนคนใต้ร่างก็ไม่เคยปริปากบ่นเลยสักคำ

เมื่อถึงปลายทางกายสูงใหญ่กระตุกวาบฉีดพ่นสายธารสีขุ่นเข้าด้านในช่องทางที่คับแน่นและบวมเป่ง เอื้องขวัญสะดุ้งเฮือกขณะคนด้านบนทอดถอนส่วนกลางลำตัวออก ความร้อนระอุเมื่อครู่หายไปเหลือไว้เพียงความเย็นยะเยือกให้ร่างเล็กได้สั่นไหว

ดวงหน้าหวานมองตามแผ่นหลังกว้างเดินเข้าห้องน้ำไป มือบางลากผ้าห่มขึ้นมาคลุมปกปิดร่างเปลือยเปล่า เอื้องขวัญขดตัวงอซุกหน้ากลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ใครคนนั้นได้รับรู้ คุณตรัยไม่ชอบคนอ่อนแอ อย่าร้องไห้เด็ดขาด!

เพียงไม่นานร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมผ้าขนหนูที่พันปกปิดช่วงล่างแค่พื้นเดียว อกแน่นกำยำเกาะพราวด้วยหยดน้ำ ตรัยเลือกชุดออกมาจากตู้เสื้อผ้าแล้วจัดการแต่งตัวเองเสียใหม่ มือหนาเลื่อนเปิดลิ้นชักข้างตัวคว้าเอาบางอย่างออกมาก่อนโยนสิ่งนั้นไปทางร่างบางที่ยังนอนหมดเรี่ยวแรงอยู่บนเตียง

“กินซะ อย่าให้มันโผล่มาเป็นคนที่สองอีก” ดวงตาคมกล้าจ้องอีกฝ่ายผ่านกระจกขณะกลัดกระดุมเม็ดสุดท้าย เขายืนมองอยู่อย่างนั้นจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายกลืนยาคุ้มกำเนิดลงคอไปแล้วจริงๆ

ตรัยคว้ากุญแจรถเข้ากระเป๋า หันเท้าเตรียมเดินออกไป แต่เขาต้องหยุดชะงักเมื่อคนที่นอนปวกเปียกเมื่อสักครู่มีแรงเหลือเฟือลุกขึ้นมารั้งมือเขาเอามาแนบแก้ม

“นอนที่นี้สักคืนนะครับ” เอื้องขวัญเว้าวอน สิ่งเดียวที่เขาร้องขอมาตลอดคือการได้ร่วมเตียงกับคนตรงหน้าจนถึงเช้าโดยไม่มีเรื่องเซ็กส์เข้ามาข้องเกี่ยวดูสักครั้ง ขอเพียงครั้งเดียวให้เขาได้มีโอกาสหลับใหลและลืมตาตื่นขึ้นมาภายใต้อ้อมแขนคู่นั่น แต่มันคงเป็นคำขอที่มากเกินไป

ตรัยสะบัดมือที่ถูกกอบกุมทิ้ง รู้สึกรำคาญใจที่มันชักจะทำตัวก้าวก่ายชีวิตเขาเข้ามาเรื่อยๆ “นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบคนเซ้าซี้” ร่างสูงใหญ่หยิบธนบัตรสีเทาหลายใบออกมาจากกระเป๋าเงินก่อนยื่นให้ร่างบางเหมือนทุกครั้ง “รับไป แล้วอยู่เงียบๆ ในที่ของนายซะ”

เอื้องขวัญรับ ‘เงินค่าตัว’ ของตัวเองมา คุณแม่ลูกหนึ่งเม้มริมฝีปากตัวเองแน่น ลำคอเนียนกลืนก้อนสะอึกอย่างยากลำบาก “ขอบคุณครับ” เขาตอบเสียงแผ่ว

ร่างสูงใหญ่เดินไปถึงประตู “จำไว้ ที่ฉันนอนกับนายเพราะฉันเสียเงินซื้อนายมาแล้ว ยังไงก็ต้องใช้งานให้คุ้ม อย่าเพิ่งสำคัญตัวเองผิด”

คุณตรัยกลับไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าพร้อมกับหัวใจดวงน้อยที่แหลกสลายลงอีกครั้ง



........................................

[ต่อด้านล่างจ้า]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-04-2020 13:43:59 โดย ลามัลลิลา »

ออฟไลน์ ลามัลลิลา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
.

.

.

มาเซราติ แกรนทัวริสโม่ สีเทาเข้มเคลื่อนตัวออกจากตัวอาคารสำนักงานอย่างอืดอาดเนื่องจากสภาพการจราจรบนท้องถนนที่เรียกได้ว่าช้ายิ่งกว่าเต่าคลาน บุรินทร์เอื้อมมือเปลี่ยนเพลงในเครื่องเล่นไปเรื่อยเพื่อรอสัญญาณไฟ นอกจากนัดลูกค้านอกสถานที่แล้วแทบนับครั้งได้ที่บุรินทร์จะขับรถออกมากินข้าวเที่ยงนอกบริษัท ถ้าไม่ได้รับปากไอ้ช้างไว้เขาจะไม่ยอมมานั่งเปื่อยหลังพวงมาลัยแบบนี้เด็ดขาด รถติดบรรลัย!

ก่อนออกมาบุรินทร์ได้โทรไปนัดแนะไอ้ตัวตะกละให้มันไปเจอกันที่ร้านเลยจะได้ไม่ต้องเสียเวลาวนไปวนมา ชายหนุ่มเหยียบคันเร่งในความเร็วต่ำเลี้ยวรถเข้ามาในซอยคับแคบของชุมชนข้างทางรถไฟแห่งหนึ่ง เขาดับเครื่องยนต์จอดรถไว้ข้างๆ กำแพงที่ถูกพ่นสีสเปรย์เป็นคำสบถกับภาพอีโรติกหยาบโล้น

บุรินทร์ถอดเสื้อสูททิ้งไว้ในรถก่อนเปิดประตูลงมาเดินมุ่งหน้าไปยังเพิงเล็กๆ ที่ต่อเติมยื่นออกมาจากตัวบ้าน บนหลังค้ามุงด้วยสังกะสีพร้อมกับโต๊ะไม้เก่าคร่ำครึสามสี่ชุด เป็นร้านรสเด็ดที่เขากับไอ้ช้างบังเอิญขับรถหลงเข้ามาเจอตอนสมัยตระเวนหาซื้อคอนโดเมื่อเจ็ดแปดปีก่อน

ไอแดดร้อนปะทะเข้าใบหน้าจนเกิดริ้วแดงที่แก้วขาว ดวงอาทิตย์สูงตรงหัวสาดแสงลงมาจนเขาต้องหรี่ตามอง บุรินทร์ก้มหัวเล็กน้อยตอนเดินผ่านกันสาดผ้าใบสีน้ำเงินเข้ามา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไอ้ช้างมันนั่งตรงไหน เพราะเสื้อลายดอกของมันสีเหลืองกระแทกตาเด่นหราอยู่คนเดียว

“ยังไม่สั่งอาหารอีกเหรอ” เขานั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกตรงข้ามเพื่อนสนิท พลางกระพือเสื้อตัวเองคลายความร้อนไปด้วย

ไอ้ช้างส่ายหน้า “รอมึง” มือหนายื่นทิชชูสีชมพูมาให้ “เหงื่อซกเชียวมึง”

เขารับทิชชูมาเช็ดเหงื่อที่กรอบหน้า “รอกูทำไม หิวก็กินก่อนเลย”

“ถ้ากูกินแล้วเกิดมึงเทกูล่ะ กูไม่มีเงินจ่ายนะเว้ย”

บุรินทร์หัวเราะ “ไม่มีเงินก็ล้างจานไป”

“ไอ้สัตว์ มึงแม่งใจร้ายว่ะ” ร่างยักษ์หน้ามู่ทู่

บุรินทร์ยกแขนขึ้นปลดกระดุมสองเม็ดตรงข้อมือหวังจะได้ช่วยลดความอบอ้าวลงสักหน่อย แต่พยายามอยู่หลายครั้งมันก็ยังแกะไม่ออก

คชาเห็นอย่างนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือเข้าไปช่วย “ยื่นแขนมา” คนตรงหน้าทำตามอย่างว่าง่าย เขาจัดการพับแขนเสื้อให้มันจนถึงข้อศอก “แล้วนึกไงชวนกูกินส้มตำ ร้อนจะตายห่า”

บุรินทร์ยักไหล่ “ก็แค่อยากกิน สงสัยแฮงค์มั่งเลยอยากกินอะไรเผ็ดๆ” เขาคว้าปากกามาเขียนชื่อเมนูลงในสมุดฉีก “มึงเอาไร ตับหวานเหมือนเดิมป่ะ”

คชาพยักหน้า “เออ ขอลาบหมูด้วย ไม่ต้องเผ็ดมากเดี๋ยวมึงกินไม่ได้”

“เคๆ” ไอ้รินทร์ตอบรับพร้อมกับก้มหน้าเขียนเมนู แต่พอเขียนไปได้แค่อย่างสองอย่างมันก็พลิกกระดาษไปอีกแผ่นแล้วขีดๆ วนๆ เหมือนลองปากกา

“ไม่ติดเหรอมึง” คชาถาม

บุรินทร์พยักหน้า “ไม่ติดอ่ะ” เขาหันซ้ายหันขวามองหาปากกาที่โต๊ะอื่น

“แล้วปากกาที่กูให้ไปล่ะ” ไอ้ช้างลุกไปหยิบแลนเซอร์สีน้ำเงินจากโต๊ะข้างๆ มาให้

“ก็อยู่ที่ห้องทำงานสิวะ” เขาหยิบมาเขียนเมนูที่อยากกินลงไปบนกระดาษแผ่นใหม่ยาวเหยียดเป็นห่างว่าว

“กูให้มึงเอาไปใช้ ไม่ใช่ให้เอากับเก็บ”

“คือมึงจะให้กูแขวนคอพกไปไหนมาไหนด้วยอย่างนั้นเหรอวะ”

ไอ้ช้างหัวเราะลั่น “ก็เหมือนตอนที่มึงแขวนดินสอมาเรียนไง”

เขาถลึงตาใส่มัน “ไอ้สัตว์มึงยังจำได้”

ตอนสมัยปอหนึ่งเขาเป็นเด็กที่ทำของหายบ่อยมากโดยเฉพาะพวกเครื่องเขียน ซื้อดินสอมาร้อยแท่งมันก็จะหายทั้งร้อยแทง เคยลองเขียนชื่อติดแล้วแต่จำนวนดินสอที่อัดแน่นเต็มกล่องเหล็กสองชั้นในตอนเช้า พอตกตอนเย็นมามันก็จะสลายหายไปเหมือนไม่เคยมีอยู่ดี คุณหญิงบุษกรเลยแก้ปัญหาโดยการเจาะรูตรงก้นยางลบแล้วร้อยเชือกคล้องคอเขาไปโรงเรียนทุกวัน คุณแม่ให้เขาทำอยู่อย่างนั้นจนกว่าลูกชายตัวดีจะรู้จักรักษาของ

“เรื่องของมึง กูจำได้หมดแหละ” ดวงตาคมสบเข้ากับนัยน์ตาน้ำตาล คชาพูดความจริงไม่ว่าจะนานขนาดไหนเขาก็ยังจำเรื่องของมันได้ตลอด ซึ่งนับเป็นความสามารถที่น่าหงุดหงิดอยู่พอควร

บุรินทร์แบะปาก “กูซึ้งใจมากครับเพื่อน” มือขาวยื่นกระดาษให้คนตรงหน้า “เอาไปให้ป้าเขาได้แล้ว หิวจะตายชัก”

ไอ้ช้างอือออในลำคอ มันลุกขึ้นยืนเติมความสูงก่อนยื่นมือมารับกระดาษไปถือไว้ “เอาน้ำไร”

“เป๊ปซี่” เขาตอบรวดเร็วอย่างไม่ต้องคิด นอกจากกาแฟที่ต้องกินทุกเช้าแล้วก็มีเจ้าน้ำหวานสีดำนี่แหละที่เขามักจะดื่มตลอดเวลาทำงาน

บุรินทร์คอยมองตามหลังของอีกฝ่ายตลอดตั้งแต่มันเดินเอาเมนูไปให้ป้าเจ้าของร้าน ยันตอนที่มันไปตักน้ำแข็งใส่แก้วพลาสติก ก่อนเดินกลับมาพร้อมกับหนีบน้ำอัดลมมาด้วยสองขวด มือใหญ่ปักหลอดลงในแก้วสีชมพูทั้งสองใบพร้อมรินน้ำให้เสร็จสรรพ

บุรินทร์มองอย่างครุ่นคิด “กูว่าเพื่อนกูก็เป็นคนดีนะ ทำไมไม่มีใครเอาเลยวะ”

พรวด! ไอ้ช้างสำลักน้ำ “พูดอะไรของมึง” มันไอค่อกแค่กเสียจนหน้าแดง

เขาหัวเราะก๊าก เอื้อมมือไปช่วยลูบแผ่นหลังกว้าง “ก็พูดอย่างที่เห็น” เขาใช้สายตาประเมินมันตั้งแต่หัวจรดเท้า “ถึงตัวมึงจะโตจนหัวเกือบชนประตูบ้านไปนิด ขี้เกียจสันหลังยาวแถมโสโครกไปหน่อย แต่กูคิดว่าโดยรวมมึงก็โอเคนะเว้ย”

“คือมึงกำลังชมกูอยู่ถูกไหม” ไอ้ช้างมองค้อน

“ชมซิ๊” เขายิ้มแพร่บ ก้มลงดูดน้ำจนปากจู๋ “มึงคิดดูนะอีกไม่กี่ปีก็สี่สิบแล้ว มึงยังจะครองตัวเป็นโสด นอนหัวลีบอยู่คนเดียวอย่างนี้เหรอวะ”

“กูก็มีมึงไง” มันพูดหน้าตาย

“ไอ้สัตว์ เมียกับเพื่อนมันเหมือนกันที่ไหน”

อีกฝ่ายทำหูทวนลม ผิวปากไม่รู้ไม่ชี้ทำทีเสมองไปทางอื่น

“ตั้งใจฟังกูพูดสิโว้ย!” บุรินทร์เตะขาเพื่อนใต้โต๊ะ “ถ้ามึงรีบมีตอนนี้ก็ยังทันอยู่นะ ลูกกูกับลูกมึงจะได้เป็นเพื่อนเล่นกันไง” เขาฉีกยิ้ม

คชาหน้าตึง “กูไม่เคยคิดอยากมีลูกกับคนอื่น” ดวงตาคมจ้องมองคนตรงหน้านิ่ง

บุรินทร์ถามยิ้มๆ “แล้วมึงอยากมีลูกกับใครวะ” เขาเหลือบมองปฏิทินโป๊ข้างผนัง “นางไม้หรือไง”

คนถูกถามลอบถอนหายใจ เขาขึงตามองคนตรงข้ามที่กำลังหัวเราะเสียจนตัวโยก รู้สึกยุบยิบในอกเวลาที่ได้ยินมันคิดยัดเยียดเขาให้คนอื่น แถมไม่พอมันยังพูดถึงเรื่องลูกอะไรนั่นอีก เพ้อเจ้อแล้ว!

คชากระฟัดกระเฟียด “หุบปากไปเลยไอ้ห่า” มือหนาหยิบแก้วเป๊ปซี่ขึ้นมาดูดเพื่อดับความหัวร้อนของตัวเอง ตอนนี้คงไม่มีวิธีระงับอารมณ์โกรธใดได้ดีไปกว่าการไม่พูดถึงเรื่องนี้อะไรอีก

บุรินทร์หรี่ตามองเพื่อนสนิทที่เอาแต่เงียบก่อนอ้าปากค้าง “อย่าบอกนะว่าที่มึงไม่อยากมีเมีย เพราะมึงอยากเป็นเมียซะเอง” มันทำทางลูบแขนตัวเองเหมือนกำลังขนลุกอะไรสักอย่าง

“ใช่ที่ไหนล่ะ” คชาเสียงเข้ม

อีกฝ่ายหัวเราะร่วน “กูว่าเรื่องของตัวเองเซอร์ไพรส์แล้วนะ พอเจอของมึงเข้าไป กูยอมแพ้เลยว่ะ”

ไอ้รินทร์คงหมายถึงเรื่องของตัวเอง แรกเริ่มที่มันเปิดเผยความสัมพันธ์เยี่ยงคนรักกับเด็กคนนั้นทำเอาเพื่อนทุกคนอ้าปากค้างไปตามๆ กัน ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเลือกคบคนที่อายุน้อยกว่าเกือบรอบ แถมสิ่งที่ทำให้ช็อคยิ่งกว่าคือตอนที่รู้สถานะบนเตียงของมัน

“รีบแดก เข้างานบ่ายโมงไม่ใช่ไง” เขาเปลี่ยนเรื่องคุย พอดีกับที่อาหารถูกยกมาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะ คนฝั่งตรงข้ามพยักหน้ารับ มันตักเส้นส้มตำเข้าปากคำใหญ่

“เออ มึง”

“หือ?”

“วันพรุ่งนี้กูต้องขึ้นไปดูงานที่เชียงราย มึงอยากได้อะไรไหม” ไอ้รินทร์มองเขาตาใส

“ไม่มีอ่ะ” เขาส่ายหน้า “ไปนานไหม” มือหนาฉีกไก่ย่างควันฉุยโยนใส่จานให้มันเหมือนให้อาหารหมา

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่คงไม่เกินอาทิตย์หรอก” มันเคี้ยวเนื้อไก่ตุ้ยๆ จนแก้มพอง

“แล้วมึงจัดกระเป๋าหรือยัง”

“ยัง จัดคืนนี้แหละ คงเอาไปไม่กี่ชุดจัดแป๊บเดียวก็น่าจะเสร็จ”

“ให้กูไปช่วยไหม”

ร่างขาวเหล่มอง “อยากมาช่วย หรือจะหาเรื่องกินข้าวเย็นฟรี”

คนตัวโตหัวเราะ “กินข้าวฟรี”

“มึงนี่นะ บ้านช่องไม่กลับ” บ้านไอ้ช้างเป็นแบบครอบครัวใหญ่คือทุกคนในวงศาคณาญาติอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน บางครั้งเวลาที่มันหนวกหูจากเสียงกระจองอแงของเหล่าหลานๆ ไอ้ตัวยุ่งก็มักมาขอนอนที่ห้องเขาประจำ

“คืนนี้มีพรีเมียร์ลีกนะมึง จะได้อยู่เชียร์กันจนถึงเช้าเลยไง” ไอ้ช้างมองเขาตาโตเป็นประกาย

“คือมึงกะไม่ให้กูนอนเลยว่างั้น แล้วอีกอย่างทีวีบ้านมึงก็ใหญ่กว่าของห้องกูอีกป่ะ นอนดูที่บ้านมึงไม่สบายกว่าเหรอ”

“เอาหน่า นานๆ ที พอผัวมึงกลับมา กูก็ต้องดูบอลคนเดียวแล้ว” คชาพูดเสียงอ่อน ใส่จริตนางเอกละครไทยเข้าไปผสมอีกหน่อย

ไอ้รินทร์มองระอา “เออ ก็ได้ แต่กูคงดูได้แป๊บเดียวนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นเช้าไม่ไหว”

“ตามใจมึงเลย” ร่างใหญ่ดี๊ด๊า “งั้นกูไปนอนเล่นรอมึงที่คอนโดเลยได้ป่ะ”

ไอ้รินทร์พยักหน้าเอือมๆ “แต่อย่าทำห้องกูสกปรกอีกนะมึง ไม่งั้นมึงโดนกูโบกแน่”

“คร้าบ” เขายิ้มหน้าบาน นึกเมนูที่อยากกินเย็นนี้เป็นแซลมอนสเต็ก ราดด้วยซอสครีมเห็ดทรัฟเฟิลดีไหมนะ ให้ไอ้รินทร์มันทำคงอร่อยเหาะน่าดู

“เช็ดน้ำลายหน่อย ไอ้ห่า” มือขาวเอื้อมมาดึงคอเสื้อย้วยขึ้นเช็ดมุมปากหนา “วันนี้กูต้องอยู่เคลียร์งานกว่าจะเสร็จก็คงมืด ไม่มีเวลามาทำให้มึงหรอก แดกง่ายๆ แลัวกัน มาม่าคนละถ้วยเป็นไง กูให้มึงเลือกรสก่อนเลย”

“สิ้นคิด” ร่างใหญ่หน้าง้ำเพราะความฝันที่วาดถูกดับสลาย “พอผัวไม่อยู่ก็ไม่คิดจะทำกับข้าวกินเลยหรือไง”

คนฟังย่นคิ้ว “อะไรวะ ก็กูขี้เกียจนี่หว่า” ปกติเวลาอยู่คนเดียวเขาก็กินอะไรง่ายๆ อยู่แล้ว อย่างเช่นข้าวกล่องหรือพวกอาหารเวฟของร้านสะดวกซื้อที่จะมีติดตู้เย็นไว้ไม่เคยขาด

ไอ้ช้างบ่นอุบอิบแต่สุดท้ายมันก็ยอมเออออตามน้ำอย่างไม่มีทางเลือก

บุรินทร์ตักส้มตำราดบนขนมจีนก่อนตักเข้าปากซู้ดขึ้นเต็มคำ “เชี้ย!” เขาสบถออกมาตอนที่น้ำปลาร้ากระเด็นโดนเสื้อเชิ้ตราคาแพงของตัวเองเสียเป็นดวง

คชาหลุดขำตอนที่มันทำหน้าเบ้ “กินเป็นเด็กเลยมึง” ร่างใหญ่ลุกจากเก้าอี้ ดึงทิชชูออกมาเช็ดให้ หมดทิชชูไปหลายแผ่นแต่รอยจุดสีเข้มก็ดูไม่จางลงเลย “ไม่ออกว่ะมึง เดี๋ยวกูจะไปขอผ้ากับน้ำสะอาดจากป้ามาให้ รอแป๊บ”

มือขาวคว้าแขนแกร่งไว้ “ไม่เป็นไรมึง ใส่สูททับก็ไม่เห็นแล้ว

“ไม่เห็นก็จริง แต่ตัวมึงจะมีแต่กลิ่นปลาร้าไงไอ้ควาย”

“กูไม่ได้จะไปให้ใครดมสักหน่อย”

“กูนี่ไง” เขาก้มลงไปแกล้งทำจมูกฟุดฟิด” เหม็นจริงด้วย”

มันดันหัวเขาจนหงายเงิบ “ออกไปเลยไอ้ห่า ดมเหี้ยไรจมูกจะชนหน้ากูอยู่แล้ว”

ร่างใหญ่หัวเราะคิกคัก ก่อนเดินกลับมานั่งที่เดิม เขาเห็นมันกินขนมจีนหมดไปจับใหญ่ “เอาขนมจีนอีกป่ะ”

“เอา~” ไอ้รินทร์ตอบเสียงใส หน้าตามันดูสดใสขึ้นมากไม่รู้ว่าเพราะได้กินส้มตำหรือได้แอบแวบออกมานอกบริษัทกันแน่ แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าชอบหน้าตาของมันตอนนี้มากกว่าเมื่อคืนที่มันนั่งอมทุกข์เหมือนหมาหงอยไหนๆ

อาหารบนโต๊ะถูกบุรินทร์จัดการเสียเป็นส่วนใหญ่ คชาเพียงทำหน้าแกะก้างออกจากเนื้อปลาดุกย่างและบริการเติมน้ำให้เท่านั้น ร่างใหญ่มองคนตรงหน้าที่เริ่มเลื้อยเอนหลังพิงหัวกับฝาผนังเหมือนงูเหลือมที่รอเวลาย่อย

“สมใจอยากแล้วสิมึง” คชายิ้มบาง เห็นมันกินได้เยอะเขาก็ดีใจ

บุรินทร์พยักหน้าหงึก “หายอยากแล้ว” ส้มตำรสแซ่บทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นเยอะ

“ปากแดงเชียวมึง” คชาเทเป๊ปซี่ใส่แก้วมันที่พร่องลงจนเหลือแต่น้ำแข็ง

“ก็มันเผ็ด” บุรินทร์ซื้ดปาก ดูดน้ำดับความแสบร้อน

“กูบอกแล้วว่าอย่าสั่งเผ็ดมากมึงก็ไม่เชื่อ” ไอ้รินทร์มันเป็นคนชอบรั้น เวลาเขาพูดอย่างหนึ่ง มันก็จะเอาอีกอย่างหนึ่งให้ได้ เคยฟังกันเสียที่ไหน

“เผ็ดๆ นั่นแหละถึงจะนั่ว” บุรินทร์ยกนิ้วกดไลค์ทำท่ายิ้มแป้น “อิ่มแปล้~ ดูดิพุงกางเลย” มันแอ่นพุงตัวเองให้เขาดู

ร่างใหญ่อมยิ้ม “แดกเยอะแบบนี้ ระวังได้อ้วนเป็นหมู”

“ใครหมู กูหุ่นดีเฟ้ย” บุรินทร์ขมวดคิ้ว

“มึงไงหมู” คชาหยอกเย้าทำเสียงประกอบ “อู๊ดๆ อุ๊ดๆ”

บุรินทร์ย่นจมูกติดรำคาญ “พูดมาก อิ่มยัง กูไปจ่ายเงินล่ะ” ร่างสูงลุกพรวดเดินดุ่มๆ ไปหน้าร้าน

คชายกแก้วดูดน้ำอึกสุดท้าย “รอด้วย~” ขายาวรีบลุกขึ้นวิ่งตามไป

.

.

.

“มาส่งแค่นี้ก็พอ” บุรินทร์บอกคนตัวยักษ์ที่เดินตามหลังต๋อยๆ ขณะก้มลงกดโทรศัพท์ไปด้วย

“ไหนวะรถมึง” คชาชะลอฝีเท้า ชะเง้อคอมองซ้ายขวาไม่เห็นแม่แต่เงาลูกรักมัน

“อยู่นู่น” ร่างขาวบุ้ยใบ้ไปที่ข้างกำแพงซึ่งอยู่ห่างจากที่พวกเขายืนอยู่ไม่ไกลนัก

คชามองตามปากบางที่ยื่นออกมา รถหรูจอดโดดเดี่ยวข้างถังขยะในที่เปลี่ยวห่างไกลผู้คน ล่อตาล่อใจให้พวกโจรขโมยเหลือเกิน

“จอดรถตรงนี้ไม่กลัวโดนทุบกระจกหรือไงวะ”

“ก็ตรงที่กูจอดประจำมันเต็ม” อีกฝ่ายตอบจากนั้นจึงหันมาง่วนกับโทรศัพท์ในมือต่อโดยไม่ทันระวังว่าตัวเองกำลังจะเดินชนเข้ากับอะไร

คชารีบคว้าคนข้างตัวไว้ก่อนร่างขาวจะปะทะเข้ากับเสาไฟฟ้าคอนกรีตตรงข้างทาง “มัวแต่ก้มหน้าอยู่นั่น เดินดูทางบ้างสิโว้ย” เขาเขกหัวมันไปที

ไอ้รินทร์ก้มหน้าลูบหัวตัวเองเบาๆ ก่อนเงยหน้าขึ้นมาฉีกยิ้มกว้างให้เขา

คชาย่นคิ้ว “ยิ้มอะไรวะ” เขาเห็นมันจับโทรศัพท์ไม่วางมือเลยตั้งแต่ออกมาจากร้าน

คนถูกถามไม่ได้ตอบ ก้มหน้าก้มตากดข้อความในโปรแกรมแชทยิกๆ

“คุยกับใคร” คชาเดินเข้าไปประชิดตัวร่างขาว เกยคางลงบนผมนุ่ม เขาเผลอสูดกลิ่นแชมพูหอมเข้าเต็มปอด ร่างใหญ่โน้มตัวลงมายื่นหน้ามองเพ่งไปมองบนจอทัชสกรีนในแอปพลิเคชันสีเขียว เขาอยากรู้ว่าใครทำมันยิ้มหน่อยยิ้มใหญ่ได้ขนาดนี้

..RACHAN..

ร่างใหญ่รีบถดกายออกทันทีเหมือนโดนกระแสไฟช็อตเมื่อเห็นชื่อของอีกฝั่ง อืม… ก็ว่าใคร สุดที่รักของมันนี่เอง

“กูคุยกับน้อง” คนตัวขาวตอบดวงตาเป็นประกาย

ตอนที่รอป้าร้านส้มตำกดเครื่องคิดเลขคำนวณค่าอาหารอยู่นั้น โทรศัพท์ในเมื่อเกิดแรงสั่นเบาๆ บนหน้าจอทัชสกรีนปรากฏการแจ้งเตือนป็อปอัพเด้งขึ้นมา

ท่ามกลางข้อความมากมายที่เขาส่งหาคนรัก ราเชนเพียงตอบกลับมาสั้นๆ ว่า ‘ถึงแล้ว’ เขาโล่งใจที่น้องถึงที่หมายโดยปลอดภัยไม่ได้เกิดเหตุร้ายอะไรอย่างที่เขาคิดไปต่างๆ นานา

นิ้วเรียวรีบพิมพ์ข้อความตอบกลับสามย่อหน้าใหญ่บอกเล่าเกี่ยวกับกิจวัตรประจําวันที่ผ่านมา เรื่องบินไปดูงาน และตบท้ายด้วยการบอกให้อีกฝ่ายดูแลตัวเองให้ดี นึกไม่ถึงว่าน้องจะอ่านมันในทันทีแถมยังส่งสติ๊กเกอร์รูปหัวใจมาให้เขาอีกหนึ่งอัน เท่านี้บุรินทร์ก็ยิ้มจนแก้มปริแทบหุบไม่ลงแล้ว

คชาเบ้ปาก “ทำหน้าดีใจเหมือนไม่ได้คุยกันมาสิบปี”

“ก็น้องเพิ่งตอบแชทกูนี่หว่า”

“มึงส่งไปตั้งแต่เมื่อไหร่” ร่างใหญ่ยืนกอดอกทิ้งสะโพกพิงกระโปรงรถ

“เมื่อวาน” มันเกาแก้มแก้เกอ “น้องคงยุ่งแหละ เลยไม่มีเวลาอ่านข้อความ”

คชาหัวเราะในลำคอ “ถ้ากูขยันเหมือนผัวมึง ป่านนี้คงได้เป็นเจ้าของบริษัทไปล่ะ งานรัดตัวเกิ๊น” เขาประชด

ไอ้รินทร์ขำพรืด “อย่างมึงเนี่ยนะ บังคับตัวเองไม่ให้นอนตื่นสายให้ได้ก่อนเถอะ”

คชาหน้างอ “ที่กูตื่นสายเพราะกูนอนตอนเช้าต่างหากล่ะ” หลักการอนามัยคือต้องนอนให้ครบแปดชั่วโมง เขาผู้ซึ่งรักสุขภาพก็มีหน้าที่ทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ พอลืมตาตื่นมาอีกทีมันก็บ่ายกว่าแล้ว “จะให้กูนอนตีห้าแล้วตื่นหกโมงเช้าเหมือนมึงหรือไง ร่างกายพังพอดี”

“แค่หยุดเล่นเกมมึงก็นอนไวขึ้นแล้ว”

“กูต้องเก็บแรงค์”

มือขาวยกขึ้นกุมขมับ “กูเหนื่อยใจกับมึงเหลือเกิน”

“กูก็เหนื่อยใจกับมึงเหมือนกัน” เขาเถียง มือหนาเอื้อมมือคว้ากุญแจรถกดปลดล็อคให้มันเสร็จสรรพ “ขึ้นรถไปได้แล้ว” เขาดุนหลังมันเบาๆ

ไอ้รินทร์หันมาฟาดงวงฟาดงา “กูยังด่ามึงไม่จบเลย”

“ระวังหัว” เขาพูดตัดบทจับไอ้ตัวดียัดใส่ห้องโดยสาร “กลับดีๆ อย่าเถลไถลที่ไหนล่ะ” เขาปิดประตูให้มันดังโครม

บุรินทร์ลดกระจกรถลงมาแยกเขี้ยวใส่ “กูไม่ใช่เด็กๆ ไอ้เหี้ย แล้วคราวหลังช่วยปิดประตูรถกูเบาๆ หน่อย ลูกกูเจ็บหมด”

“ขอโทษครับ คนแก่นี่ขี้บ่นจริงๆ”

“กวนตีนนะมึง” ร่างขาวมองเพื่อนตาเขียวยกนิ้วกลางส่งให้มันไปทีก่อนสตาร์ทเครื่อง เขาเห็นไอ้ช้างยืนโบกมือหยอยๆ ทางกระจกมองหลัง สมองพลันนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้ขอบคุณมันเรื่องปากกาเลย

บุรินทร์เหยียบเบรก “ไอ้ช้าง” เขาตะโกนเรียกไอ้เพื่อนตัวยักษ์ที่ยืนมองงงอยู่ด้านหลัง

“อะไร” เจ้าของชื่อขานรับเสียงห้วนวิ่งตึงตังเข้ามา

“กูไม่อยากจะพูดเลี่ยนๆ กับมึงหรอกนะ รู้สึกขนลุกฉิบหาย” ร่างขาวทำหน้าเหมือนกลืนยาขม “แต่เรื่องปากกากูขอบคุณมึงมาก มึงแม่งโคตรซูเปอร์เฟรนด์เลย แต้งกิ้วเหี้ยๆ”

คชาหัวเราะ “เออ รู้แล้วไอ้ห่า ไม่ต้องขอบคุณกูก็ได้ ขับรถกลับดีๆ” เขาอมยิ้มเอื้อมมือยีผมนุ่ม “บ๊ายบาย”

ดวงตาคมจ้องมองรถคันนั้นจนไกลลับสายตา ใบหน้าที่เคยมีรอยยิ้มก็กลับมาเรียบตึงอีกครั้ง เขาพรูลมหายใจออกมา ความรู้สึกหลายอย่างอัดแน่นผสมปนเปกันไปหมด ดีที่ยังพอควบคุมไม่ให้เผลอหลุดอาการใดๆ ออกมา

ไม่รู้ว่ามันซื่อหรือบื้อจนดูไม่ออกกันแน่ ลงทุนทำให้ขนาดนี้แต่ทุกอย่างกลับถูกตีความในแง่ของมิตรภาพทั้งสิ้น ซูเปอร์เฟรนด์ห่าเหวอะไรนั่นใครเขาอยากได้กัน

..ความเป็นเพื่อนของเขา แม่ง! ขอเปลี่ยนได้ไหมวะ..

.

.

.

.

.

To be continued
#บุรินทร์สบายดี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-04-2020 15:53:44 โดย ลามัลลิลา »

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เฟรนโซนแรงมาก 5555555555555

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
ผมชอบเรื่องนี้นะครับ เนื้อเรื่องทำได้น่าสนใจดี อาจจะพูดอะไรไม่ได้มากเพราะยังไม่เห็นเนื้อเรื่องมาก แต่อยากให้คชาเป็นพระเอกจังครับ /หัวเราะ ลูกของบุรินทร์นี่เป็นลูกใครอะ ไม่อยากให้เป็นลูกราเชนทร์เลย ทำตัวนิสัยแย่แบบนี้ แถมยังอายุห่างกันเกือบรอบ แค่ Age Gap นี่ก็ทำผมสะดุ้งแล้ว

ว่าแต่คชาแอบไปเสกลูกเข้าท้องบุรินทร์รึเปล่าเนี่ย (ฮา) ติดตามอยู่นะครับ เขียนได้น่าสนุกดี ไว้เรื่องคืบหน้ามากๆแล้วผมจะคอมเมนทต์ให้อีกครับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด