- ก่อนจะเริ่มสบายดี -
เสียงรองเท้าผ้าใบดังกระทบพื้นสลับซ้ายขวา เรือนผมสีเข้มมัดรวบไว้หลวมๆ พอไม่ให้ปรกหน้า จิวที่หูสองข้างกวัดแกว่งไปมาตามการก้าวเดินอย่างเชื่องช้าไม่รีบร้อน ชายหนุ่มในชุดเสื้อตัวโคร่งกับกางเกงผ้านิ่มสีดำ สวมทับด้วยคาดิแกนสีเทาเพื่อปกปิดรอยน้ำหมึกซึ่งกระจายอยู่ทั่วตัว
บนหลังมือทั้งสองข้างแต่งแต้มอักษรภาษาอังกฤษข้างหนึ่งคือ PAS ส่วนอีกข้างคือ SION ด้วยลายเส้นแนวแปรงพู่กันขนาดใหญ่ พอนำมือมาชิดกันมันจะแปลความหมายได้ถึงความหลงใหล ไม่เว้นแม้กระทั่งซอกนิ้วขาวก็ยังประดับคำว่า I Believe
เจ้าของเรียวขายาวพาตัวเองออกมาจากแผนกสูตินรีเวชของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง ร่างกายแข็งแรงแปรเปลี่ยนไปอวบอิ่มมีน้ำมีนวล หน้าท้องที่เคยเป็นลอนสวยบัดนี้กลับขยายใหญ่กลมนูนพร้อมสิ่งมีชีวิตที่นอนดีดดิ้นอยู่ภายใน เวลาเดินลำตัวจะแอ่นโน้มไปด้านหลัง ทำให้มือขาวต้องคอยดันสะโพกเอาไว้เพื่อบรรเทาอาการปวดที่แล่นขึ้นมาเป็นระยะ ไตรมาสที่สามของการตั้งครรภ์มันทำให้เขายิ่งใช้ชีวิตลำบากมากขึ้น ขยับตัวอะไรนิดหน่อยก็เหนื่อยง่าย ราวกับพลังชีวิตทั้งหมดถูกแบ่งครึ่งให้กับลูกน้อย
บรรยากาศรอบกายทั้งหญิงและชายที่ตั้งครรภ์ล้วนมีสามีคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง ต่างจากบุรินทร์ เปรมอัศวกุล ทายาทคนโตของคุณทรงพล เปรมอัศวกุล เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ซึ่งเคยตกเป็นข่าวครึกโครมเมื่อหลายเดือนก่อนว่าท้องไม่มีพ่อ
บุรินทร์เดินมาตามทางที่ปูด้วยพื้นกระเบื้องยางสีอ่อน ผ่านบุคลากรในชุดขาวต่างเดินกันขวักไขว่ นิ่วหน้าเล็กน้อยเนื่องจากกลิ่นยาฆ่าเชื้อที่เขาไม่เคยนึกชอบลอยมาเข้าจมูก ก่อนที่ทั้งร่างจะชาดิกเมื่อ สายตาสบเข้ากับใครคนหนึ่ง คนที่เขาเฝ้าคิดถึง คนที่ทำให้เขาเจ็บแทบเป็นบ้า คนที่เขาหวังให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม คนที่กำลังเดินเคียงคู่มากับหนุ่มน้อยหน้าแฉล้มด้วยท่าทางสนิทสนม ความรู้สึกเจ็บที่เกือบจางหายมันก็ตีตื้นขึ้นมาอีกครั้ง บาดแผลในใจที่คิดว่าใกล้ตกสะเก็ดแล้วกลับเหมือนมีมีดกรีดให้เหวอะหวะมากกว่าเก่า
นัยน์ตาสีน้ำตาลสั่นระริกมองอดีตคนรักที่คอยประคับประคองหน้าท้องนูนใหญ่ของภรรยาอย่างหวงแหน คะเนจากสายตาเดาว่าอายุครรภ์คงใกล้เคียงเขา ตามมาด้วยเสียงรองเท้าเด็กที่เดินเตาะแตะจับมือบิดามารดาช่างเป็นภาพครอบครัวแสนสุขสันต์
ทันทีที่เผชิญหน้ากันฝั่งนั้นดูตกใจเสียจนหน้าถอดสี และสุดท้ายก็เป็นหนุ่มน้อยในชุดคลุมท้องสีฟ้าที่ตั้งสติได้เร็วกว่าใครปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติแล้วรีบคล้องแขนคนข้างตัวเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ต่างจากสามีที่ยืนนิ่งค้างตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก
"พี่รินทร์..." ราเชนละล่ำละลักเอยทักทายคนที่อายุมากกว่า
บุรินทร์ฝืนยิ้ม "เชนมาทำอะไรที่นี้เหรอ"
"ผมพาลูกมาฉีดวัคซีน..." ฝ่ายตรงข้ามกระชับมือเล็กแล้วดันร่างจิ๋วให้ขยับเข้าใกล้เขาอีกนิด ชายหนุ่มก้มหน้าลง มองเด็กชายหน้าตาจิ้มลิ้ม ซึ่งถอดแบบมาจากผู้ให้กำเนิดไม่ผิดเพี้ยน
"โตขึ้นเยอะเลยนะ คราวก่อนเพิ่งตัวนิดเดียว" เขายิ้มกว้างให้กับท่าทางเคอะเขินวิ่งดุ๊กดิ๊กไปหลบหลังขาบิดา ใจจริงเขาอยากย่อตัวลงไปเพ่งพินิจเด็กชายให้ชัดๆ แต่ติดที่ขนาดหน้าท้องใหญ่โตเกินกว่าจะทำได้ไหว จึงเพียงเอื้อมมือไปหวังลูบหัวทุยนั้นด้วยความเอ็นดูเท่านั้น แต่ธารากลับมือไวกว่าดึงตัวลูกซ่อนไว้ด้านหลังตัวเองพร้อมเชิดหน้าขึ้นอย่างถือสิทธิ์
บุรินทร์ชะงักเล็กน้อยแต่ก็คร้านจะสนใจ หันหน้ามาคุยกับคนตรงหน้าต่อ "บังเอิญเนอะ พี่ก็พาลูกมาหาหมอเหมือนกัน" มือขาวเปื้อนรอยน้ำหมึกยกขึ้นลูบท้องกลมนูนของตัวเองเบาๆ คนอายุน้อยกว่าจ้องหน้าท้องเขาอยู่สักพักก่อนเบนสายตาไปทางอื่น
"พี่เชนครับ เราไปกันเถอะ" ธาราเดินเข้าไปรั้งแขนสามี
"รอเดี๋ยวนะธาร พี่ขอคุยกับพี่รินทร์ก่อน"
"แต่ธารปวดขา" คุณแม่วัยใสทำหน้ากระเง้ากระงอด
"ถ้าอย่างนั้นธารนั่งรอพี่ก่อนนะ" ราเชนประคองธาราไปนั่งที่โซฟาตัวยาว อุ้มลูกขายขึ้นนั่งบนตักภรรยา "น้องชินอยู่เป็นเพื่อนแม่ก่อนนะครับ"
คนตัวจิ๋วพยักหน้าหงึก "เปื้อนๆ แม่ๆ " เด็กน้อยส่งเสียงเจื้อยแจ้วบ่นงึมงำฟังไม่ได้ศัพท์ไปตามประสา
"พี่เชนจะคุยอะไรกับเขาครับ" ร่างเล็กช้อนตาขึ้นมองออดอ้อนสามี
"พี่แค่จะถามไถ่เรื่องทั่วไปตามประสาคนรู้จักกัน คนดี ไม่ต้องคิดมากนะครับ"
หัวใจบุรินทร์วูบไหวเมื่ออดีตคนรักจรดริมฝีปากบนหน้าผากนวล คนตัวขาวหันหลังให้ภาพบาดใจ พยายามกลั้นน้ำตาที่จวนทะลักออกมา เมื่อสัมผัสได้ว่าคนตรงหน้ากำลังเดินเข้ามา เขาจึงยกมือขึ้นตบแก้มเพื่อเรียกสติตัวเองเบาๆ แล้วหันมาปั้นหน้ายิ้มต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
..เขาจะอ่อนแอไม่ได้เด็ดขาด! ..
พวกเขาเดินเลี่ยงมาที่สวนหย่อมบนระเบียงของโรงพยาบาล เวลาใกล้เที่ยงแบบนี้ทำให้มีคนมาใช้พื้นที่บางประปราย สายลมพัดโชยทำให้อากาศไม่ร้อนมาก ทั้งสองคนเลือกที่นั่งใต้เงาร่มไม้ คนอายุมากกว่าเหม่อมองวิวด้านนอก ไม่ต่างจากคนด้านข้างที่หลบสายตาก้มมองปลายเท้าตัวเองอย่างประหม่า
ราเชนเหลือบมองหน้าท้องนูนใหญ่ที่ขยับขึ้นลงตามการหายใจ ข่มใจไว้ไม่ให้เอื้อมมือไปสัมผัสกับความจริงที่เขาพยายามปฏิเสธมาตลอดว่าเด็กซึ่งกำลังเติบโตอยู่ภายในไม่ได้เกิดมาจากผลพวงของความสัมพันธ์เมื่อครั้งเก่า
มันอาจดูใจร้ายกับการที่เขาทิ้งให้อดีตคนเคยรักต้องต่อสู้เพียงลำพัง แต่ในเมื่อเขาเลือกธาร เขาก็ไม่ควรเสียดายสิ่งที่เห็นว่าไม่สำคัญ ถึงอย่างไรเรื่องระหว่างพวกเขามันจบลงแล้วก็ควรปล่อยให้มันผ่านไป ตอนนี้ราเชนมีครอบครัวต้องดูแล เขาไม่ต้องการให้คนที่รักต้องได้รับผลกระทบใดๆ จากเรื่องไร้สาระ จำเอาไว้ว่าสาเหตุที่อยากพูดคุยกับร่างอวบอิ่มเพราะแค่รู้สึกผิดเท่านั้น
..เรื่องอื่นอย่าเก็บมาใส่ใจ..
"พี่รินทร์เป็นยังไงบ้างครับ"
บุรินทร์นิ่งไปสักพักก่อนหัวเราะออกมาทั้งที่ไม่มีเรื่องน่าขำ ตลอดเกือบแปดเดือนที่ต้องอุ้มท้องอย่างเดียวดาย ราเชนคิดว่าเขาเป็นยังไงล่ะ?
..คำถามโคตรสิ้นคิด! ..
คุณแม่ท้องแก่กำมือแน่นจิกเล็บเข้าไปที่ชายเสื้อตัวโคร่ง แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกพยายามระงับสติอารมณ์
"แน่ใจนะว่าเชนอยากถามพี่เรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าอยากถามเรื่องอื่น" อย่างเช่น พี่รินทร์ครับ เด็กในท้องเป็นลูกผมหรือเปล่า หรือประโยคชวนคลื่นไส้ประมาณว่า ผมยินดีรับผิดชอบพี่กับลูก ผมจะไปเลิกกับเขาเอง อะไรทำนองนั้นเหรอ
..ช่างน่าผิดหวัง..
"ผม... อยากรู้แค่นี้"
ชายหนุ่มยกยิ้มหยัน คิดแล้วก็สมเพชตัวเอง นี่เขากำลังคาดหวังอะไรอยู่ "ถ้าไม่นับเรื่องมือเท้าบวม หายใจลำบาก รวมถึงอาการท้องแข็งบ่อยๆ นอกนั้นก็ถือว่าพี่สบายดี”
อีกฝ่ายหน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด "นั่นสิครับ ผมก็นึกกังวลไปเอง กลัวว่าพี่จะอยู่ไม่ได้ ทั้งๆ ที่ธารก็บอกว่าพี่รินทร์เก่งจะตาย เลี้ยงลูกคนเดียวได้สบายอยู่แล้ว" คนอายุน้อยกว่าพยายามหัวเราะกลบเกลื่อนออกมา
บุรินทร์ก้มลงมองหน้าท้องตัวเอง กะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่ความชื้นที่หางตา แต่เสียงขบขันอันน่าสะอิดสะเอียนของอีกฝ่ายยังคงหลอกหลอนอยู่ในหู ถ้อยคำหวังดีที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ขอร้องช่วยหยุดพูดเถอะ! เพราะเขาเบื่อมันเต็มทน
“เชนไม่ต้องเป็นห่วงพี่หรอก พี่โอเค”
บุรินทร์เม้มปากแน่น ราวกับหัวใจคนท้องโดนเหยียบขยี้จนเขียวช้ำ ในเมื่อเขาตอบตามที่อีกฝ่ายอยากได้ยินแล้ว ก็หวังให้คนตรงหน้าพอใจแล้วรีบจากไปเสียที
"พี่ดูแลตัวเองไ...ด้... อื้อ" พูดยังไม่ทันจบประโยคแรงกกระทุ้งในท้องทำให้ใบหน้าขาวเหยเก สองมือลายพร้อยคอยประคองท้องใหญ่ไว้ไม่ห่าง รู้สึกจุกเสียจนร่างอวบอิ่มต้องง้อตัวลง
คนอายุน้อยกว่าท่าทางตื่นตระหนก "พี่รินทร์! เรียกหมอไหมครับ" มือที่คุ้นเคยช่วยพยุงไว้ไม่ให้คนท้องต้องทรุดลงพื้น
บุรินทร์ยกมือขึ้นห้าม "ไม่ต้อง..." เขาพูดเสียงเบา ปรับลมหายใจให้ปกติ "แค่ตัวเล็กดิ้นน่ะ" มือขาวลูบปลอบโยนลูกในท้องให้สงบลง แต่คนตรงหน้ายังคงจับแขนเขาไว้ไม่ยอมปล่อย
"พี่ไม่เป็นไรแน่นะครับ"
ชายหนุ่มพยักหน้า ยันกายนั่งตัวตรงดั่งเดิม "พี่โอเคแล้วเชน รีบไปเถอะ เดี๋ยวครอบครัวจะรอนาน"
ราเชนมีความลังเลเล็กน้อย รั้นจะอยู่ด้วยจนกว่าเขาจะดีขึ้นจนคนท้องต้องย้ำอีกครั้งว่าไม่เป็นอะไร คนตรงหน้าถึงยอมผละออก หันหลังให้และเดินจากไป โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนแอบมองจับจ้องแผ่นหลังนั้นจนลับสายตา
บ่ายคล้อยแล้วแต่บุรินทร์ยังคงอยู่ที่เดิม เส้นผมที่มัดรวบไว้ไม่หมดตกลงมาปลิวไสวตามสายลม ใบหน้าขาวเงยขึ้นมองท้องฟ้าแล้วปิดเปลือกตาสีน้ำนมลง ปล่อยให้ความรู้สึกนำพาไปสู่ความทรงจำที่เคยหวานชื่นเมื่อครั้งวันวาน
..เมฆด้านบนเคลื่อนตัวเลื่อนลอยไร้ทิศทางไม่ต่างจากความรักครั้งเก่า..
..เหมือนอยู่ใกล้ หากแต่ห่างไกลเหลือเกิน..
บุรินทร์นั่งจมอยู่กับอดีตได้เพียงไม่นานแรงจากฝ่าเท้าเล็กๆ ภายในท้องทำให้เขาตื่นขึ้นจากภวังค์ ภาพฝันที่หวนคิดถึงสลายหายไป กลายเป็นความจริงตรงหน้าที่คอยบอกย้ำว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือลูก ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องเดินหน้าต่อ ชายหนุ่มส่ายศีรษะเบาๆ ไล่ความคิดฟุ้งซ่าน
ร่างอวบอิ่มเดินอุ้ยอ้ายมุ่งหน้าไปที่ลาดจอดรถ ปลดล็อคเปิดประตูก่อนค่อยๆ หย่อนตัวเองลงนั่งที่เบาะด้านคนขับ พอได้อยู่คนเดียวความรู้สึกที่กักเก็บไว้มันก็ระเบิดออกมา ทั้งที่พยายามทำใจว่าที่ตรงนั้นไม่ใช่ของเขาแล้ว แต่มันก็เจ็บขึ้นมาอีกจนได้ ภาพสะท้อนในดวงตาคู่นั้นมันไม่ได้มีเขาอยู่เลย
บุรินทร์ฟุบหน้าลงบนพวงมาลัย เอื้อมมือเปิดเพลงแนวร็อคเมทัลที่ชอบฟัง หมุนเพิ่มวอลลุ่มเสียงให้ดังลั่นแล้วปล่อยน้ำตาให้รินไหลลงอีกครั้ง หวังเพียงว่าเสียงเพลงดุดันจะสามารถช่วยกลบเสียงร้องสะอื้นแสนน่าเกลียดนี้ได้
.
.
.
.
.
To be continued
#บุรินทร์สบายดี
TALK
เรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อสนองneed ตัวเองล้วนๆ ใครกังวลเรื่องความดราม่าอยู่ ไม่ต้องห่วงนะคะ ดูจากรูปปกสีชมพูสดใส เรื่องนี้ไม่ได้น้ำตาแตกมากขนาดนั้น เป็นกำลังใจให้พี่รินทร์ของเราด้วยนะคะ แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ :)
- สบายดีครั้งที่ 1 -
ท่ามกลางความมืดมิด ภายในคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองย่านการค้าที่สำคัญของประเทศ บนเตียงคิงไซส์ภายในห้องนอนกว้างเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง เสียงผิวเนื้อกระทบกระแทกดังกึกก้องประสานกับเสียงครวญครางปานขาดใจ สองร่างกระหวัดบดเบียดเข้าหากันบนเตียงกว้าง ปลดเปลื้องอารมณ์ผ่านเนื้อตัวเปลือยเปล่า แขนแข็งแกร่งโอบรัดร่างเล็กด้านบนแนบแน่นไม่มีแม้แต่ที่ว่างให้ไอหนาวเย็นแทรกตัวเข้าขั้นกลาง
สะโพกบางเคลื่อนไหวดุดัน เน้นร่างเบียดเสียดด้วยความร้อนเร่า ฝ่ามือเล็กจับยึดบ่ากว้างไว้ สอดใส่ความต้องการที่กำลังปะทุสูงขึ้น หน้าหวานบิดเบี้ยวด้วยความสุขสุม
“อื้อ...”
“อา.. เชน”
บุรินทร์ใบหน้าแดงจัดไหวคลอนตามแรงกระแทก แก่นกายที่เสียดเข้ามาในตัวทำให้ร่างกายดิ้นพล่าน หัวใจเต้นตุบจนแทบระเบิด ยกสองขายาวขึ้นเกาะเกี่ยวเอวเล็กไว้ แยกช่วงล่างออกกว้างให้สามารถกลืนกินตัวตนของคนรักเข้าไปจนหมด
เงาบางเบื้องบนยังกระชั้นเข้าหาไม่หยุด หน้าขาเนียนกระทบเนินสะโพกแน่น ตะกรุมตะกรามเสือกไสความร้อนฉ่าเข้าใส่ไม่ยั้ง
แขนแข็งแรงลูบไล้ทั่วแผ่นหลังเล็ก ห้ามใจไม่ให้ระบายความเสียวซ่านลงบนผิวเนื้อเนียนละเอียด ด้วยเกรงจะทำให้ผิวคนรักเกิดรอยช้ำ จนถึงช่วงจังหวะสุดท้าย ร่างเล็กเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น ความแข็งกร้าวกระตุกวาบฉีดพ่นน้ำรักออกมาภายในช่องทางรักอ่อนนุ่ม
ราเชนถอนแก่นกายออก ร่างเนียนเปล่าเปลือยด้านบนจึงพลิกตัวลงจากอกกว้าง ตะแคงตัวนอนหันหลังให้ทันที โดยไม่ได้สนใจเสียงหอบหายใจของคนที่กำลังนอนหมดแรงอยู่ข้างๆ ทำราวกับว่าการร่วมรักเมื่อสักครู่เป็นเพียงความปรารถนาทางกาย เมื่อเสร็จสมหากจะละเลยกันย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก ฝ่ายที่ถูกหมางเมินมองจดจ้องแผ่นหลังเล็กด้วยใจที่เลื่อนลอย
บุรินทร์ขยับตัวตามไปตระกองกอดคนตัวเล็กไว้แนบอกอย่างหวงแหน จูบซับลงบนขมับเปียกชื้น กระซิบที่ข้างหู “พี่รักเชนนะ...”
รออยู่นานแต่ก็ไร้ซึ่งประโยคบอกรักตอบกลับ เดาจากลมหายใจที่สม่ำเสมอ คาดว่าคนรักคงหลับไปแล้ว เขาจึงทำได้เพียงแค่ฝืนยิ้มและตวัดผ้าห่มผืนหนาขึ้นมาปกปิดร่างบางที่เปลือยเปล่าให้เท่านั้น
บุรินทร์พลิกตัวลงจากเตียงเข้าห้องน้ำไปจัดแจงตัวเอง เปิดฝักบัวเพื่อชำระล้างทำความสะอาดคราบสกปรกต่างๆ ที่ยังคั่งค้างอยู่ภายใน สะดุ้งเล็กน้อยจากอาการแสบบริเวณหัวไหล่ ผลจากรอยเล็บของคนรักที่จิกลึกเป็นทางยาว
ดวงตาหม่นแสงมองเงาที่สะท้อนในกระจกพบเพียงผู้ชายรูปร่างสูงท่าทางซึมเศร้าไร้ชีวิตชีวา หยดน้ำเกาะตัวกันเป็นเม็ดบนมัดกล้ามเนื้อแข็งแรง แม้ไม่กำยำแต่ก็จัดว่าไม่ได้ผอมแห้งเกินไป บุรินทร์ยกปลายนิ้วขึ้นลูบลวดลายสีเข้มตามอักษรที่เรียงตัวกันพาดผ่านเต็มหน้าอกขาวจัดอย่างแผ่วเบา
..‘RACHEN’ ชื่อของคนรักที่เขารัก..
..สลักไว้ไม่มีวันจางหาย..
บุรินทร์ยกกะละมังออกมาจากห้องน้ำ ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดๆ เช็ดหยดเหงื่อที่มาจากการร่วมรักบนโครงหน้าเรียวอย่างเบามือ คนตัวเล็กขยับตัวเล็กน้อยคล้ายรำคาญ
“ฮื่อ…” ร่างเล็กขมวดคิ้ว ร้องประท้วงออกมาอย่างขัดใจ
“เชน เช็ดตัวก่อนนะ จะได้หลับสบาย” เขาลูบผ้าไปตามตัวคนรักอีกครั้ง แต่สัมผัสชื้นที่โดนผิวกาย ทำให้คนที่หลับไปแล้วงัวเงียปรือตาขึ้นมา
“จะนอน!” ราเชนตวาดเสียงดัง ใบหน้าบึ้งตึง
ฝ่ามือใหญ่กว่าหยุดกึก วางผ้าขนหนูลงในกะละมัง “ก็ได้ๆ พี่ไม่กวนแล้ว” ลูบเรือนผมนุ่มกล่อมให้คนรักเข้าสู่นิทราอีกครั้ง
หลังจากเอากะละมังกับผ้าขนหนูไปเก็บเรียบร้อยแล้ว ร่างสูงค่อยๆ ก้าวขึ้นเตียง เอนกายนอนโอบกอดคนรักจากด้านหลัง กดจูบแผ่วเบาตรงหัวไหลมน สายตามองไปเห็นกรอบรูปขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่บนผนังอีกฝั่งหนึ่งของห้อง ภาพของเขากับคนในอ้อมกอดที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุข ความทรงจำที่เคยสดใสในอดีตก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง
บุรินทร์กับราเชนรู้จักกันเพราะบิดาของทั้งคู่เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องจากสถาบันเดียวกัน เขายังจำได้ดีถึงภาพของเด็กชายผิวเนียนดวงตากลมโต นอนยิ้มโชว์เหงือกแดงแจ๋ ส่งเสียงอ้อแอ้อยู่ในเปล
บุรินทร์ยิ้มจางเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต ทุกครั้งที่บิดาต้องไปสังสรรค์ที่บ้านของรุ่นน้องคนสนิท เขามักขอติดสอยห้อยตามไปด้วย พอขึ้นรถได้เขาก็จะเร่งเร้าบิดาทันทีให้ขับเร็วๆ ด้วยกลัวว่าถ้าขืนชักช้าน้องเชนจะหลับไปเสียก่อน ทันทีที่ก้าวขาลงจากรถ เขาก็รีบวิ่งไปที่ห้องเด็กอ่อนอย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยคุณน้าผู้หญิงป้อนนมและเล่านิทานกล่อมน้องจนหลับ
เนื่องจากครอบครัวของเขากับน้องได้ทำธุรกิจร่วมกัน ทำให้เขาได้เจอน้องเชนมากขึ้น พวกเขาเล่นด้วยกันเกือบทุกวัน ความผูกพันยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นตามกาลเวลา น้องเชนกับเขาตัวติดกันแจ ไม่ว่าพี่รินทำอะไร น้องเชนก็จะทำด้วย เขายิ้มได้เสมอกับน้ำเสียงเจื้อยแจ้วที่คอยเรียกชื่อเขา หัวเราะได้ตลอดกับภาพขาป้อมๆ ที่เดินเตาะแตะเข้ามาหา
ราเชนเป็นเด็กน่ารักแต่ติดจะขี้แย น้องถึงกับน้ำตาร่วงเมื่อรู่ว่าอีกไม่นานเจ้าตัวต้องไปโรงเรียน ทำให้ต้องคอยกอดคอยปลอบอยู่นาน เขาจึงสัญญาว่าจะเป็นคนจูงมือราเชนไปส่งเข้าเรียนอนุบาลเป็นวันแรกด้วยตัวเอง แต่เขาก็ต้องทำหน้านั้นที่ได้เพียงไม่กี่ปี เพราะสองปีให้หลังมารดาของเขาก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต เขาจึงถูกส่งตัวไปเรียนไฮสคูลที่โรงเรียนประจำของอังกฤษทันทีหลังเสร็จงานศพมารดา ดังนั้นเขากับราเชนจึงค่อยๆ ห่างกันไปโดยปริยาย
หนึ่งปีหลังจากนั้นเขาได้จดหมายฉบับแรกจากบิดา ข้อความสั้นๆ ในนั้นระบุว่าบิดาของเขากำลังจะแต่งงานใหม่ จึงอยากให้เขาไปร่วมงานด้วย ถึงจะไม่พอใจนักที่บิดาทำอะไรโดยไม่ปรึกษาสักคำ ราวกับถูกตบหน้าจากเนื้อหาบนกระดาษ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่โวยวาย ด้วยเข้าใจว่าทั้งบิดาและมารดาต่างแต่งงานกันด้วยความเห็นชอบจากผู้ใหญ่ และเขาไม่ได้เกิดมาจากความรัก เพราะฉะนั้นหลังสิ้นคุณแม่ คุณพ่อท่านก็มีสิทธิ์จะหาความสุขให้กับตัวเอง ถึงจะคิดอย่างนั้นแต่เขาก็ทนปั้นหน้ายิ้มต้อนรับแขกอย่างแช่มชื่นไม่ไหว จึงอ้างว่าช่วงนี้เรียนหนักไม่สามารถไปร่วมงานได้และทำเพียงแค่เขียนจดหมายแสดงความยินดีส่งกลับไปให้เท่านั้น
บุรินทร์ไม่ได้กลับบ้านอีกเลยจนกระทั่งเรียนจบปริญญาตรี เที่ยวเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ อยู่หลายเดือน จนบิดาต้องโทรศัพท์สายตรงมาหาสั่งให้มาช่วยงานที่บ้านได้แล้ว เขาจึงจำใจเก็บข้าวของย้ายกลับมาเมืองไทย
การกลับบ้านครั้งนี้ทำให้เขารู้ว่าบิดามีความสุขดีกับครอบครัวใหม่ พร้อมกับสมาชิกตัวน้อยๆ ของบ้าน ‘ณภัทร’ น้องชายต่างมารดาของเขาที่วิ่งเล่นพันแข้งพันขา เขาไม่ได้เกลียดน้อง แต่ก็ทำใจให้รักน้องไม่ลงด้วยเช่นกัน
ทว่าโชคชะตาก็พาพวกเขามาเจอกันอีกครั้ง เนื่องจากบุรินทร์ถูกไหว้วานแกมบังคับจากบิดาให้ไปรับณภัทรที่โรงเรียน เพราะคนทั้งคู่ติดธุระไม่สารถปลีกตัวไปได้ บุรินทร์จึงทำตามอย่างไม่มีทางเลือก ขับรถไปรับน้องช้ากว่าเวลาจริงเกือบชั่วโมง ในขณะที่เดินเบื่อๆ อยู่นั่น สายตาพลันไปเห็นเด็กชายคนหนึ่งในชุดนักเรียนมัธยมต้นกำลังไกวชิงช้าให้น้องของเขาอยู่
เขายังแปลกใจที่เชนจำเขาได้ เด็กชายมีท่าทางดูตื่นเต้นและดีใจมากเช่นเดียวกันกับเขา วันนั้นบุรินทร์อยู่เล่นด้วยกันจนเย็นย่ำแถมเลี้ยงไอศกรีมเด็กผู้หิวโหยทั้งสองคน ก่อนโบกมือลาส่งราเชนขึ้นรถของที่บ้านไป หลังจากเหตุการณ์นั้นเพื่อที่จะได้เจอใครบางคน เขาก็อาสามารับน้องที่โรงเรียนทุกวัน
พวกเขายิ่งสนิทกันมากขึ้นเมื่อเชนเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย เขาจึงให้คำแนะนำในฐานะพี่ชายที่หวังดีเท่านั้น ไม่ได้คิดหวังเป็นอย่างอื่น ราเชนเป็นคนช่างพูดต่างจากเขาที่เป็นฝ่ายรับฟังเสียมากกว่า บทสนทนาที่แสนธรรมชาติถูกถ่ายทอดออกมา พร้อมความรู้สึกดีๆ ที่เริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
ในช่วงปิดเทอมบุรินทร์พาราเชนไปเที่ยวตั้งแคมป์ที่เขาใหญ่ตามคำขอของอีกฝ่าย แสงดาวด้านบนล้วนเป็นใจทำให้ราเชนกล้าพอที่จะสารภาพรักออกมา ทั้งที่บุรินทร์ก็รู้สึกเหมือนกันแต่เขากลับปฏิเสธออกไป ด้วยเหตุผลที่ว่าคนตัวเล็กยังเด็กวันข้างหน้ายังต้องเจอคนอีกมาก และขอร้องให้น้องอย่าพูดเรื่องนี้อีก
จนกระทั่งวันเกิดเขามาเยือนอีกครั้ง งานฉลองแบบไพรเวทถูกจัดขึ้นอย่างทุกปีอีกครั้ง มีเพียงเขาและเพื่อนสนิทแค่ไม่กี่คนเท่านั้น แต่สิ่งที่แปลกออกไปคงเป็นแขกรับเชิญตัวเล็กที่กำลังนั่งดื่มเป็นเพื่อนเจ้าของงาน
น้ำสีอำพันถูกส่งเข้าปากอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าสวยขึ้นสีแดงระเรือจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ สายตาที่เริ่มเปลี่ยนไปทำให้กระตุ้นความรู้สึกอยากโอบรัดร่างน้อยตรงหน้าไว้เต็มสองแขน
..และทุกอย่างก็เลยเถิด..
..ใช่.. มันเป็นครั้งแรกที่พวกเขามีความสัมพันธ์กัน
บุรินทร์ขึ้นคร่อมร่างเล็กไว้บดเบียดริมฝีปาก ในขณะที่ฝ่ามือใหญ่ช่วยปลดเปลื้องเสื้อผ้าของอีกฝ่ายออก สอดปลายนิ้วเข้าขยายความคับแน่นช่องทางที่ไม่เคยผ่านการใช้งานทีละนิด
ร่างบางตัวสั่นด้วยท่าทางหวาดหวั่นและวิตกกังวล เพียงแค่เห็นหยดน้ำสีใสที่เอ่อคลอที่ดวงตากลมโต ร่างสูงก็ใจอ่อนยวบ แต่อารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้นจนไม่สามารถหยุดกลางคันได้ เขาคิดอย่างปลงใจ
..หากเรารักกันด้วยใจจริง จะให้บุรินทร์เป็นฝ่ายไหนเขาก็ยินดี..
ราเชนสะดุ้งเฮือกเมื่อเขาพลิกตัวสลับตำแหน่งเป็นคนที่อยู่ใต้อาณัติแทน คนตัวเล็กดูตกใจและสับสนจนทำอะไรไม่ดู เขาเพียงกอดปลอบและกระซิบให้ทำตามสัญชาตญาณของตัวเอง จากนั้นสะโพกบางจึงเริ่มขยับอย่างช้าๆ แม้จะเงอะงะในช่วงแรกแต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี
พวกเราตื่นขึ้นมาด้วยสภาพเตียงนอนยับยู่ยี่ มีคราบน้ำรักและคราบเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ทั่ว เขาสารภาพความรู้สึกของตัวเอง และขอโทษเรื่องที่เคยพูดจาไม่รักษาน้ำใจของอีกฝ่าย ราเชนตอบรับแทบจะทันทีที่ร่างสูงขอเลื่อนสถานะความสัมพันธ์จากพี่น้องให้กลายเป็นคนรัก เย็นวันนั้นเขาเอาดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมาครอบครัวน้อง ทำทุกอย่างให้ถูกต้อง และขอคบกับราเชนอย่างเปิดเผย
แรกรักอะไรก็หวาน ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันราเชนเป็นแฟนที่ดีมาตลอด พวกเขาเป็นคู่รักที่ใครๆ ต่างอิจฉา คำสัญญาที่บอกว่าเราจะรักตลอดไป ความสุขเหล่านั้นมันยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำ
หลังจากเรียบจบราเชนได้ทำงานในบริษัทออกแบบแห่งหนึ่ง ทำให้ต้องเดินทางอยู่บ่อยๆ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะพวกเขายังติดต่อกันตลอด จนกระทั่งช่วงสองปีให้หลังนี้ที่เชนต้องไปดูงานออกแบบสร้างรีสอร์ทแห่งใหม่ที่จังหวัดภูเก็ต
..มือที่เราคอยกุมกันไว้ก็เริ่มแยกออกจากกัน..
บุรินทร์นอนมองเพดานว่างเปล่าแล้วถอนหายใจอีกครั้ง ร่างสูงเอี้ยวตัวคว้าซองบุหรี่และไฟแซ็คตรงหัวเตียงมา ค่อยๆ พลิกตัวลงจากเตียงระวังไม่ทำให้คนด้านข้างตื่น เปิดประตูบานเลื่อนเดินออกไปที่ระเบียง เคาะม้วนสีขาวออกมาหยิบขึ้นใส่ปากแล้วจุดไฟ ละเลียดสูดนิโคตินเข้าเต็มปอด ริมฝีปากได้รูปพ่นควันสีเทาออกมา กลิ่นมิ้นท์จางๆ มันทำให้เขาผ่อนคลายลงจากสมองที่ยุ่งเหยิง เงยหน้ามองดวงจันทร์ทอแสงสุกสว่างอยู่บนท้องฟ้า เส้นผมหมาดระต้นคอลู่ตามสายลมเอื่อยที่กระทบใบหน้า
บุรินทร์เหลียวหลังหันหน้าเข้าห้องนอน ดวงตาเรียวสีน้ำตาลอ่อนโยนลงเมื่อมองไปที่ใบหน้าหวานยามหลับใหลของคนรัก เขายิ้มจางให้กับปากนุ่มที่เผยอน้อยๆ จนเห็นไรฟันขาวสะอาดอย่างน่าเอ็นดู แต่รอยยิ้มก็ต้องจางหายเมื่อเหลือบเห็นกระเป๋าเดินทางขนาดสูงเท่าเอวที่ตั้งอยู่ข้างตู้เสื้อผ้า
‘ไปภูเก็ตอีกแล้วเหรอ’
‘อืม…’
‘แล้วจะกลับวันไหน’
‘คงสิ้นเดือน’
‘ต้องอยู่นานเลยเหรอ’
‘ผมต้องเคลียร์งานที่นู่น’
‘ให้พี่ไปรับไหม’
‘ไม่ต้องครับ ยังไม่มีกำหนดแน่ชัด ผมกลับเองดีกว่า’
ลางสังหรณ์บางอย่างคอยเตือนว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติกับการที่ราเชนลงใต้เป็นว่าเล่น หากแต่ไม่มีประวัติเช็คอินที่พักไหน หรือการที่เขามักจะติดต่อคนรักไม่ได้ โดยเจ้าตัวอ้างว่าไม่มีสัญญาณบ้างล่ะ ทำงานจนไม่มีเวลาจับโทรศัพท์บ้างล่ะ ราวกับต้องการตัดขาดจากโลกภายนอก
..ทุกอย่างล้วนน่าสงสัย..
......................................................
ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นขอบฟ้า วันใหม่เริ่มต้นอีกครั้ง บุรินทร์ตื่นตั้งแต่เช้า เข้าครัวทำอาหารง่ายๆ ให้คนขี้เซากินรองท้องก่อนไปสนามบิน
วันนี้ราเชนตื่นเช้ากว่าปกติ เพราะเจ้าต้องขึ้นเครื่องตอนสิบโมงเช้า คนตัวเล็กเดินออกมาจากห้องนอนด้วยเสื้อเชิ้ตพับแขนสีสีน้ำเงินกับกางเกงยีนส์ง่ายๆ
“เชน ตื่นแล้วเหรอ หิวหรือยัง รออีกเดี๋ยวนะ ข้าวใกล้สุกแล้ว” ร่างสูงละมือจากทัพพี หันหน้ามอบรอยยิ้มให้
ราเชนเพียงแค่นั่งลงบนเก้าอี้ตรงห้องครัวเงียบๆ โดยไม่มีแม้แต่คำทักทายตอนเช้า
บนโต๊ะอาหารเกิดแรงสั่นเล็กๆ จากเครื่องมือสื่อสาร ร่างเล็กลอบยิ้มจางให้กับรูปภาพเด็กแบเบาะที่ได้รับ ชำเลืองร่างสูงที่ยังวุ่นวายอยู่หน้าเตา มือเล็กสอดโทรศัพท์ลงใต้โต๊ะ รีบกดข้อความตอบกลับไป เสร็จแล้วจึงเก็บเข้ากระเป๋ากางเกงอย่างแนบเนียน
บุรินทร์จัดการตักข้าวต้มหอมฉุยใส่จานให้คนตรงหน้า รินกาแฟใส่แก้วกระเบื้องแล้วเติมนมก่อนหย่อนน้ำตาลลงแก้วอีกสองก้อน คนตัวเล็กไม่ชอบกาแฟที่รสชาติเข้มเกินไป ต่างกับเขาที่ชอบกาแฟขมๆ อันที่จริงเราสองคนแทบไม่มีอะไรที่คล้ายกันเลย ทั้งอายุที่ต่างกันเป็นสิบปี การใช้ชีวิตที่ต่างกันสุดขั้ว แต่เขาควรจะดีใจไม่ใช่เหรอ ที่ตอนนี้ วินาทีนี้ พวกเขายังอยู่ด้วยกัน
..หรือเขาคิดผิด..
เป็นเวลากว่าหกปีแล้วที่พวกเขาคบกันในฐานะคนรัก แต่เหตุใดทำไมเขาถึงรู้สึกว่าความรักที่เชนมีให้ต่อเขามันกำลังลดลงเรื่อยๆ ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันเหมือนมีบางสิ่งมาขวางกันเราไว้ เริ่มจากบรรยากาศที่แสนอึดอัด สายตาเย็นชาเวลามองกัน การกระทำที่ดูขวางหูขวางตา ราวกับการนับเวลาถอยหลังสู่จุดจบของเรื่องราวอันแสนเศร้าและอาจจะมีเพียงเขาคนเดียวที่เสียใจ
..เรายังรักกันอยู่หรือเปล่า..
..ทั้งที่ทุ่มเทให้ทุกอย่าง..
..แต่กลับสัมผัสความรักของอีกฝ่ายไม่ได้เลย..
บุรินทร์จ้องมองดวงตากลมโตสีเข้ม จมูกโด่งรั้น ริมฝีปากกระจับสีระเรื่อ มองทุกส่วนบนใบหน้าของคนรักที่อาจจะไม่ได้เห็นอีกเกือบเดือน
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารแสนเงียบเชียบ ไร้บทสนทนาอีกตามเคยความอึดอัดเข้าปกคลุม และสุดท้ายบุรินทร์ก็ทนไม่ไหวเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดเป็นคนแรก
“ขอโทษนะที่ไปส่งไม่ได้ พ่อเรียกให้ไปคุยธุระที่บ้าน”
“ผมก็บอกพี่ไปแล้วไงครับว่าไม่เป็นไร พี่จะพูดซ้ำอีกทำไม”
“พี่แค่...” พอได้เห็นสีหน้ามึนตึงของอีกฝ่าย ร่างสูงตัดสินใจเงียบเสียงลง
บุรินทร์ไม่รู้ว่ารอยยิ้มที่พวกเขามีให้กันมันหายไปตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวอีกทีมันก็ใกล้เกินไขว่คว้าให้กลับมาเหมือนเดิมแล้ว ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรอีก ต่างฝ่ายต่างจัดการอาหารตรงหน้าจนหมด บุรินทร์ทำหน้าที่เก็บกวาดถ้วยชามลงในซิงค์
“กินของหวานก่อนไหม พี่ทำพุดดิ้งไว้ กว่าแท็กซี่จะมาก็อีกครึ่งชั่วโมง”
ราเชนก้มดูนาฬิกาที่ข้อมือ “ผมต้องไปแล้ว”
บุรินทร์มองคนรักเดินลากกระเป๋าหันปลายเท้าเตรียมออกจากห้อง สมองแสนโง่เขลาเร่งเร่าให้ทำอะไรบางอย่าง
..รั้งเอาไว้..
“เชน” ราเชนชะงักกึกเมื่ออ้อมแขนกว้างกระหวัดเข้ามากอดจากเบื้องหลัง ริมฝีปากได้รูปแตะลงที่ท้ายทอยเนียน คลอเคลียปลายจมูกโด่งลงบนเส้นผมหอมอยู่สักพักก่อนจะเอียงหน้าซบบนไหล่ลาด
“เดือนหน้า… หลังจากเชนกลับมา เราแต่งงานกันไหม”
ความกระอักกระอ่วนเกิดขึ้นในฉับพลันเมื่อร่างเล็กหันขวับมาจ้องมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง
“พี่มาพูดอะไรตอนนี้”
“เราอยู่ด้วยกันมานานแล้ว พี่อยากให้เชนมั่นใจว่าเชนสามารถพึ่งพาพี่ได้ พี่รู้ว่าเชนไม่ชอบงานเอิกเกริก เราจัดเป็นงานเล็กๆ ในสวนแทนดีไหม เชิญแขกแค่ที่สนิท ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมาก” ฝ่ามือขาวเลื่อมมากุมมือเล็กไว้ “เรามาเป็นครอบครัวเดียวกันนะครับ”
ราเชนดึงมือที่ใหญ่กว่าออก “เรื่องแต่งงาน ผมคิดว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะครับ ผมบอกพี่ไปกี่ครั้งแล้วว่ายังไม่พร้อม” ร่างเล็กพูดตัดบทด้วยท่าทางหงุดหงิด
“แล้วเมื่อไหร่ถึงเรียกว่าพร้อม"
“พี่รินทร์อย่างี่เง่า!” ราเชนพูดเสียงแข็ง ทำให้ร่างสูงต้องเงียบเสียงลง เกรงว่ายิ่งถกเถียงจะยิ่งทำให้คนคนอายุน้อยกว่าอารมณ์เสียจนกลายเป็นเรื่องราวทะเลาะกันใหญ่โต
บุรินทร์ตามเข้าไปกอดอีกครั้ง “พี่ขอโทษ” ร่างสูงกล่าวออกไปอย่างแผ่วเบา กลัวเหลือเกินว่าร่างตรงหน้านี้จะหลุดลอยไป ทำให้ต้องกระชับกอดคนในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น
“พี่รินทร์ปล่อย เดี๋ยวตกเครื่อง” ราเชนดึงแขนอีกฝ่ายออกห่าง
ร่างสูงยอมปล่อยให้อีกคนเดินไปที่ประตู แต่แล้วก็คว้าแขนเล็กไว้อีกครั้ง ในใจมีความรู้สึกมากมายที่อยากเอื้อนเอ่ยให้คนตัวเล็กได้ฟัง แต่สุดท้ายบุรินทร์ก็ยังเป็นคนโง่
“เดินทางปลอดภัยนะ”
ราเชนไปแล้ว หันหลังให้เขาแล้วเดินจากไปโดยไม่มีคำล่ำลา บุรินทร์เหมือนคนหลงทาง จะเดินหน้าก็ไม่ได้ จะถอยหลังก็ไม่ได้ ได้แต่ยืนอยู่เฉยๆ รอเวลาให้สายสัมพันธ์ที่เรียกว่าความรักฉุดเขาให้จมปลักโคลนที่ไร้ซึ่งทางออก
..จะไม่บอกรักก็ไม่เป็นไร จะเย็นชาใส่กันก็ไม่เป็นไร..
..แต่ขอร้อง ช่วยอยู่ตรงนี้ได้ไหม..
..อย่าหายไปไหนเลย..
.
.
.
.
.
To be continued
#บุรินทร์สบายดี
.
.
.
มะยงชิดลอยแก้วเย็นฉ่ำถูกยกมาเสิร์ฟเป็นอย่างสุดท้ายสำหรับมื้อเที่ยงนี้ บุรินทร์นึกแปลกใจที่ผลไม้รสชาติอมเปรี้ยวอมหวานดูท่าจะถูกปากเขาไม่ใช่น้อย
"อร่อยไหมคะ" นฤนาถถามเสียงหวาน เธอยิ้มแก้มปริเมื่อเห็นลูกเลี้ยงทานอาหารที่ตัวเองทำได้เยอะเป็นพิเศษ
"ก็ดีครับ" บุรินทร์ตอบขณะรอให้ป้าอุ่นเติมของหวานลงในถ้วยเปล่าของตัวเองอีกครั้ง
"เอากลับไปทานที่คอนโดไหมคะ น้าทำไว้เพียบเลย” เธอโปรยยิ้ม“จะได้เอาไปฝากน้องเชนด้วย"
"ไม่รบกวนดีกว่าครับ เชนไม่อยู่ เอาไปก็แช่ทิ้งไว้ในตู้เย็นเสียของเปล่า ๆ " ร่างสูงบอกปัด
ณภัทรย่นจมูก“พี่เชนไม่อยู่อีกแล้วครับ ชอบทิ้งให้พี่รินทร์อยู่คนเดียวตลอด ใช้ไม่ได้เลย”
ความจริงณภัทรรู้สึกไม่ชอบใจในตัวของว่าที่พี่เขยสักเท่าไร ตอนที่ยังคงสถานะเป็นเพียงแค่พี่ชายที่รู้จักอีกฝ่ายก็ดูเหมือนนิสัยดีอยู่หรอก แต่พอเลื่อนสถานะกลายเป็นว่าที่พี่เขยแค่ไม่กี่ปี คนที่แสร้งทำดีมาตลอดก็เริ่มออกลาย ถ้ารู้ว่าผลมันจะออกมาเป็นแบบนี้เขาจะขัดขวางไม่ให้ทั้งคู่คบกันเด็ดขาด
ร่างเล็กพูดต่อ“ไม่รู้ว่าพี่รินทร์ทนคบไปได้ยังไงตั้งหลายปี ภัทรไม่เห็นว่าพี่เชนจะทำอะไรให้พี่รินทร์สักอย่าง” มือบางยกน้ำขึ้นจิบ “เป็นภัทรนะ เลิกไปนานแล้ว"
บุรินทร์คิ้วกระตุก มือขาวกำช้อนจนแทบหัก ใบหน้าเรียบนิ่งจ้องไปทางร่างเล็กที่ยังจ้อไม่หยุด
"ชูว... ภัทรไม่เอาลูก" นฤนาทปรามลูกชาย ก่อนหันไปทางร่างสูง "อย่าถือสาเลยนะคะ" เธอพยายามพะเน้าพะนอ
ณถัทรปิดปากเงียบทันทีเมื่อเห็นหน้าบึ้งตึงของพี่ชาย เขากระพุ่มไหว้คนอายุมากกว่า“ภัทรพูดไม่ดี” มือเล็กตีปากตัวเองแปะๆ“ภัทรขอโทษครับ” เขาพูดอย่างรู้สึกผิด ร่างเล็กไม่มีเจตนาจะพูดจาจาบจ้วงทำให้พี่ชายรู้สึกแย่ เขาแค่ไม่อยากให้พี่รินทร์ถูกคนรักเอาเปรียบก็เท่านั้น
บุรินทร์คลายมือที่กำช้อนออก แล้วกลับมาสนใจของหวานตรงหน้าต่อ เขาไม่รู้ว่าการที่ถูกประคบประหงมราวไข่ในหินจากคนทั้งบ้านจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้โตมากลายเป็นคนพูดพล่อยๆ แบบนี้หรือเปล่า ซึ่งนับว่าโชคดีเหลือเกินที่เขามีเพียงมารดากับป้าอุ่นคอยเลี้ยงดูแค่สองคน
"ราเชนไปไหน" ประมุขของบ้านที่เงียบเสียงไปนานเอ่ยถามขึ้น
"น้องไปทำงานครับ"
"งานบ้า งานบออะไรเดินทางเดือนล่ะหลายรอบ บอกให้น้องมันลาออกแล้วย้ายมาอยู่กับบริษัทเราได้แล้ว จะมัวไปทำงานงกๆ ให้คู่แข่งทำไม"
"ผมเคยชวนน้องแล้วครับ แต่น้องปฏิเสธ"
บุรินทร์เคยเอ่ยปากชักชวนคนรักให้มาทำงานด้วยกันตั้งแต่ช่วงที่น้องเพิ่งเรียนจบ ทั้งที่มีตำแหน่งงานมากมายในบริษัทแต่เด็กดื้อก็ยังไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากเขา ยืนกรานจะวิ่งรอกสมัครงานด้วยตนเอง ผลสุดท้ายงานที่เจ้าตัวเลือกก็ทำให้เขาสองคนต้องอยู่ห่างกันอย่างทุกวันนี้
"ฉันว่าเพราะแกไม่เด็ดขาดเองมากกว่า น้องมันเลยไม่เกรงใจ"
"ผมแค่ไม่อยากฝืนใจใคร" ร่างสูงเขี่ยผลไม้ในถ้วยตัวเองไปมา
"แบบนี้เกิดแต่งงานกันขึ้นมา แล้วแกจะคุมคนของแกอยู่ได้ยังไง หัดทำตัวเป็นผู้นำบ้าง อย่าเหยาะแหยะเหมือนผู้หญิง"
"คุณพล" นฤนาทเอื้อมแตะหลังมือสามี "อย่าเอาเรื่องเครียดๆ มาคุยกันบนโต๊ะอาหารสิคะ"
"คุณก็ดูเอาเถอะ เป็นลูกชายคนโตซะเปล่า แต่ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง" เจ้าสัวน้ำเสียงเย็นลงเมื่อพูดกับภรรยา "คุณเองก็อย่าให้ตาภัทรเป็นแบบนี้แล้วกัน"
"เป็นแบบผม มันทำไมหรือครับ" บุรินทร์อดถามออกไปไม่ได้ เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใดเขาถึงไม่เคยเป็นที่พอใจของอีกฝ่ายเลย
ประมุขของบ้านจ้องมองรอยสักที่หลังมือขาว "ทำตัวเหมือนกุ๊ยข้างถนน"
ทุกคนบนโต๊ะอาหารเงียบกริบ บรรยากาศอึมครึมปกคลุมไปทั่ว บุรินทร์เม้มริมฝีปากตัวเองแน่น รู้สึกว่าของหวานตรงหน้าชักจะเฝื่อนคอขึ้นเรื่อยๆ
“แกไม่เห็นสายตาที่คุณพฤกษ์ใช้มองแกเหรอ ขนาดเจอกันแค่วันเดียวฉันยังดูออกเลยว่าเขารังเกียจแกขนาดไหน แล้วนับประสาอะไรกับคนในบริษัทที่ต้องเจอหน้าแกทุกวัน หรือแม้แต่พวกญาติสายรองที่จ้องจะฮุบบริษัทเราอยู่”
“ผมไม่เคยอายสายตาคนอื่น”
“แต่ฉันอาย” ทรงพลว่าเสียงแข็ง“เห็นแบบนี้แล้วฉันจะไว้ใจยกบริษัทให้แกได้ยังไง” เจ้าสัวจ้องเขม็งไปที่ลูกชาย “ทำตัวให้สมเป็นทายาทของเปรมนิรันดร์หน่อยได้ไหม”
บุรินทร์วางช้อนดังเคร้ง“ถ้าไม่พอใจ” ดวงตาสีน้ำตาลชำเลืองมองไปทางร่างเล็กที่นั่งตาปริบๆ“ก็ให้คนอื่นเป็นแทนสิครับ”
“แกอย่ามายอกย้อนฉันนะ น้องยังเด็กจะไปทันเล่ห์เหลี่ยมของพวกบอร์ดบริหารได้ยังไง”
“คุณเลยส่งผมไปแทนสินะ” บุรินทร์จ้องหน้าบิดา
“เพราะแกเป็นพี่” เจ้าสัวกระชากเสียง
“ไม่ใช่หรอกครับ” บุรินทร์แค่นหัวเราะ“เพราะผมเป็นผมมากกว่า” ร่างสูงใช้ผ้าซับมุมปากเบาๆ“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวนะครับ”
"คุณรินทร์ อิ่มแล้วหรือคะ" คุณนายของบ้านถามเสียงอ่อน
"ครับ" บุรินทร์ตอบเสียงเรียบ
"พี่รินทร์อย่าเพิ่งกลับเลยนะครับ” ร่างเล็กออดอ้อน “ภัทรมีการบ้านที่ยังไม่เข้าใจอยู่สองสามวิชา พี่รินทร์อยู่สอนภัทรก่อนนะ" ณภัทรรบเร้ายื้อเวลาให้พี่ชายอยู่กับตัวเองให้นานขึ้น
"คงไม่ได้ วันนี้ต้องเข้าร้าน" อีกฝ่ายบอกปัด
คนเป็นน้องคอตกบ่นอุบอิบว่าพี่ชายจะเข้าร้านช่วงค่ำยังมีเวลาสอนการบ้านให้อีกหลายชั่วโมง จนมารดาต้องเข้ามาห้ามปราบเรื่องที่เจ้าตัวเซ้าซี้มากเกินไป
บุรินทร์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง "เจอกันพรุ่งนี้นะครับ ท่านประธาน"
.
.
.
.
.
To be continued
#บุรินทร์สบายดี
TALK
ขอโทษนะคะที่หายไปนานมาก แต่ตอนนี้กลับมาแล้วน่า หวังว่าจะชอบกันนะคะ
- สบายดีครั้งที่ 3 -
‘Waltz Club’ คือ ร้านที่บุรินทร์ร่วมทุนกับ 'ไอ้ช้าง' เพื่อนสนิท รูปแบบภายในร้านเขาตั้งออกแบบให้มีสไตล์อันเดอร์กราวด์แบบดิบๆ ตกแต่งด้วยผนังปูนเปลือยและเฟอร์นิเจอร์สีดำ
บริเวณร้านถูกแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วน ได้แก่โซนเอาต์ดอร์นั่งชิลด้านนอก ตรงนี้มีดนตรีสดมาเล่นเป็นประจำตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ บางวันอาจจะสลับเป็นดนตรีแนวเฮาส์ หรือฮิปฮอปบ้างเพื่อไม่ให้จำเจเกินไป
ส่วนโซนด้านในจะเปิดเป็นไนต์คลับแบบเต็มตัวสำหรับสาวกเพลงอีดีเอ็ม แทร็ป ฮาร์ดสไตล์ ทางร้านจะมีดีเจคอยสร้างสีสันทุกคืน สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในโซนนี้คงหนี้ไม่พ้นโปรดักชั่นต่างๆ ที่ติดตั้งไว้ทั่วบริเวณ เช่น แสงสี เลเซอร์ ระบบเสียง ภาพกราฟิก ซึ่งสามารถสร้างบรรยากาศสุดเหวี่ยงให้กับลูกค้าทุกคนได้
บุรินทร์ก้าวลงมาจากรถซุเปอร์คาร์ก่อนส่งต่อให้เด็กรับรถขับไปไว้ที่ลาดจอดวีไอพี หลังจากที่กลับมาจากบ้านใหญ่เขาก็เอาแต่นอนลูกเดียวจนถึงหัวค่ำ กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวแล้วขับรถออกมาได้เวลาก็ล่วงเลยไปเกือบสามทุ่มแล้ว
เรียวขายาวก้าวเดินเข้ามาโดยมีพนักงานบริการคอยเปิดประตูให้ ภายในร้านเสียงเพลงดังกระหึ่ม แสงสีวิบวับดึงดูดนักท่องราตรีมากมายแห่แหนเข้ามาเต้นเบียดเสียดอยู่หน้าเวที
วันนี้เพื่อนๆ ต่างนัดมาสังสรรค์ที่ร้านกันแบบครบกลุ่ม เนื่องจากทุกคนต่างมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ พอหาเวลาว่างตรงกันได้ก็ไม่วายอยู่ฉลองกันแบบนี้เป็นประจำ เขาส่งข้อความไปในกลุ่มให้พวกมันกินกันไปก่อน ส่วนเขาจะขอแยกตัวไปดูแลลูกค้า เสร็จแล้วจะตามไปสมทบทีหลัง
บุรินทร์เดินยิ้มทักทายลูกค้าทุกคนไปสักพัก หูแว่วเสียงถกเถียงกันระหว่างลูกค้าสองโต๊ะ เขาจึงเดินเข้าไปไกล่เกลี่ยสถานการณ์ กว่าปัญหาจะเรียบร้อยก็เสียเวลาไปมากโขจนตัวเองลืมเรื่องที่นัดกับเพื่อนๆ ไว้
โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงเนื้อดีเกิดแรงสั่นเล็กๆ จากสายเรียกเข้าของเพื่อนสนิท บนหน้าจอทัชสกรีนปรากฏภาพผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาคมคาย จมูกโด่งเป็นสัน ยืนฉีกยิ้มแฉ่งเคียงข้างกับเจ้าของเครื่องที่สูงเลยไหล่กว้างมาได้แค่คืบเดียว
"ว่าไงมึง"
"มากินข้าว" ไอ้ช้างมันว่าแค่นั้นแล้วก็วางสายไป มันพูดเสียงในลำคอเหมือนปากกำลังอมอะไรอยู่ ถ้าให้เขาเดาคงจะเป็นไก่ทอดน้ำปลาสูตรเด็ดของทางร้าน ไอ้ตะกละเอ๊ย!
ร่างสูงเดินขึ้นบันไดไปบนชั้นสอง ตรงนี้จะเป็นโซนไพรเวทที่จัดไว้เป็นสัดส่วนแยกออกมาจากลูกค้าทั่วไปอย่างชัดเจน เขาเห็นพวกมันนั่งหน้าสลอนกันครบทุกคน ทั้งตุลา หนุ่มสังคมไฮโซ รูปหล่อพ่อรวย โปรไฟล์เยี่ยม แต่อย่าให้ภาพลักษณ์คุณชายของไอ้ตุลย์มาหลอกตาได้เชียว เพราะภายใต้กรอบแว่นตาจีวองชี่แอบมีเทพนักรักจอมเจ้าชู้ซุกซ่อนอยู่
คนถัดมาคือบวรนันท์ หรือเบียร์ นายแบบสาย Femboy ผู้มีแฟนคลับติดตามในเพจ 'Beer Lover' มากกว่าห้าแสนคน งานอดิเรกของมันคือการว่านเสน่ห์ไปทั่วทำให้ทั้งผู้หญิงผู้ชายต่างตามคลานเข่าหลงรักหัวปักหัวปำ
และสุดท้าย คชา เพื่อนซี้ปึ้กที่แก้ผ้ากระโดดน้ำเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก อาจเป็นเพราะแม่ของทั้งคู่เคยเป็นรูมเมทกันมาก่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เลยทำให้ความสนิทสนมของสองครอบครัวตกทอดมาสู่รุ่นลูกด้วย
เขากับไอ้ช้างตัวติดกันยิ่งกว่าหมากฝรั่งกับพื้นรองเท้าแตะ แม้จะหายหายไปบ้างช่วงที่เรียนไฮสคูล แต่ก็มีมันนี่แหละที่คอยเขียนจดหมายหาตลอด ทำให้เขาไม่ได้รู้สึกเงียบเหงาจนเกินไป พอขึ้นมหาวิทยาลัยไอ้ช้างมันก็ยังเสนอหน้ามาเรียนคณะเดียวกัน ขนาดย้ายกลับมาเมืองไทยมันยังตามมาหลอกหลอนให้ต้องเจอหน้ากันทุกวัน
ไอ้ช้างมันคงเป็นคนเดียวในกลุ่มที่นอกเหนือจากคลับที่ทำด้วยกันแล้ว อาชีพหลักของมันคือการเป็นอากาศลอยไปลอยมา ไม่มีงานการเป็นหลักแหล่ง อยู่กินสบายจากกงสีของที่บ้าน
เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของมันคือไม่ว่าไอ้ช้างจะใส่เสื้อยืด เสื้อเชิ้ต หรือชุดนอน ทุกอย่างล้วนเป็นลวดลายของดอกทานตะวันทั้งสิ้น เขาเคยถามมันเรื่องนี้แต่อีกฝ่ายกลับยกยิ้มยียวนแล้วตอบเพียงว่าชอบและไม่คิดจะใส่ลายอื่น
บุรินทร์เดินมาถึงโต๊ะตอนที่ไอ้หุ้นส่วนตัวดีนั่งตัวเหลืองหมุนเส้นสปาเก็ตตี้ยัดเข้าปาก ท่าทางสบายใจประหนึ่งเป็นแขกซะเอง เขานึกหมั่นไส้เดินเข้าเตะขามันไปที
"เฮ้ย อร่อยเลยนะมึง ปล่อยกูทำงานคนเดียว" คนตัวโตเงยหน้ามองตาปริบๆ
คชาหัวเราะแฮะ “นั่งมึง” เขาตบโซฟาแปะๆ
บุรินทร์มองค้อนไปทางไอ้คนตัวยักษ์ ก่อนเดินอ้อมหย่อนตัวเองลงข้างมัน
“ไงพวกมึง” เขาพยักหน้าให้เพื่อนๆ
“ไง” ตุลาพยักหน้าตอบ
บวรนันท์ยิ้มทักทาย ร่างบางหันซ้ายหันขวาไม่เห็นคนรักของเพื่อนตามมาด้วยจึงเอ่ยถามขึ้น "มาคนเดียว? แล้วผัวมึงล่ะ"
"น้องไปทำงาน"
"ลงใต้อีกล่ะ" บวรนันท์ล้วงกระเป๋าหยิบยางมัดผมออกมา มือบางรวบผมที่ยาวถึงช่วงเอวขึ้นมาให้พอไม่รุ่มร่าม "ไปบ่อยฉิบหาย"
บุรินทร์ยิ้มจาง “น้องชอบทะเล”
ตุลาใช้สายตาใต้กรอบแว่นหรี่มอง "รีสอร์ทที่มึงว่าจนป่านนี้แล้วยังไม่เสร็จอีกเหรอวะ"
“น้องบอกว่าที่นู่นต้องการรีโนเวทห้องพักใหม่ คงใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่าจะเสร็จ”
“อ้อ อย่างนั้นเหรอ” ตุลาพยักหน้าหงึก “อยู่คนเดียวเหงาเลยอ่ะดิ”
บุรินทร์ตอบเสียงอ่อน “ก็... ไม่ขนาดนั้น” เขายิ้มฝืดเฝื่อน
ตุลาหยอกเย้า ลุกขึ้นมากอดคอเพื่อนตัวขาว “อย่าทำหน้าเหมือนหมาหงอยแบบนั้นสิวะ มึงยังมีพวกกูนะเว้ย” มันยิ้มกรุ้มกริ่ม “แต่ถ้าพวกกูไม่ว่าง ก็ยังเหลือไอ้ช้าง” หนุ่มสังคมบุ้ยไปทางคนข้างตัว “ไอ่ห่านี่มันไม่มีงานทำ ช่วยสงเคราะห์มันหน่อย เรียกใช้ได้ตลอดเวลา ยินดีให้บริการ โอ๊ย! เหี้ยอะไรของมึงเนี่ย” เขายกมือขึ้นลูบปากตัวเองตรงที่โดนไอ้ช้างมันเอาเมนูฟาดเข้ามาเต็มแรง
"พูดมากนะมึง เงียบก่อนดิ กูต้องการสมาธิ" คชามุ่นคิ้ว
"สมาธิห่าไรมึง" ไอ้ตุลย์ถามเสียงห้วน
"กูจะสั่งอาหารเพิ่ม" คชายกเมนูขึ้นมา "รินทร์ แดกไร" เขาหันหน้าไปถามคนข้างกาย
"สั่งมาเหอะ กูกินได้หมด" บุรินทร์ตอบ
ตุลาเย้า "กูเอาต้มยำกุ้งนะมึง ไอ้รินทร์มันชอบ" หนุ่มไฮโซมองหน้าเพื่อนตัวโตอย่างสื่อความนัย ไอ้ช้างมองเขาตาเขียว พร้อมยกนิ้วกลางส่งต่อความรักให้อีกหนึ่งที เขาหัวเราะชอบใจที่แกล้งยั่วโมโหมันได้สำเร็จ
“กูอยากกินยำวุ้นเส้น” หนุ่มนายแบบพูดขึ้น ก่อนเปรยๆ ว่าช่วงนี้งดของทอดของมัน
"ไดเอทเหรอมึง" ไอ้ตุลย์ถาม
"เออ อาทิตย์นี้กูมีถ่ายแบบ"
"ไปกองคนเดียวไง"
"ใช่ดิ" คนตัวเล็กพยัก
หนุ่มแว่นยิ้มกริ่ม "กูนึกว่าน้องหมาโกลเด้นของมึงจะไปด้วยซะอีก เห็นตามติดเป็นแมลงวันตอมก้อนขี้..."
ไอ้ตุลย์โอดโอยตอนที่โดนฝ่ามือเล็กๆ ฟาดลงบนหลังดังเพี้ยะ “ไอ้สัตว์ กวนตีน” บวรนันท์สบถออกมา
"ไม่ล้อแล้วๆ " ตุลาลูบหลังตัวเองปอยๆ แต่ยังไม่ทันหายดี ปากเจ้ากรรมก็ดันหาเรื่องเจ็บตัวอีกรอบ "ไอ้ช้าง เอาไก่ทอดให้กูอีกจาน คนแถวนี้จะได้เอากระดูกไปฝากหมาเด็กข้างบ้านมัน"
“มึงยังไม่หยุดใช่ไหม” บวรนันท์ขบกรามแน่น
“โอ๊ย! ไอ้เบียร์อย่าดึงหูกู ไอ้เหี้ย!” หนุ่มแว่นโวยวาย
กว่าอาหารจะมาเสิร์ฟบุรินทร์ก็ได้ยินเสียงดังตุบตับจากเพื่อนตัวเล็กลงมือตีไหล่กว้างอีกหลายป้าบ
ทันทีที่อาหารวางบนโต๊ะ คชารีบคว้าช้อนมาตักต้มยำกุ้งเข้าปากเป็นอย่างแรก ตามด้วยหอยนางรมทรงเครื่อง กับยำถั่วพลูอีกคำใหญ่ มันเคี้ยวตุ้ยๆ แถมยังสั่งข้าวมาเพิ่มอีกโถ
"ตายอดตายอยากมาจากไหนวะ เมื่อกี้แดกสปาเก็ตตี้กับไก่ทอดทั้งจานมึงยังไม่อิ่มอีกเหรอ" บวรนันท์หันมาถาม มือบางค่อยๆ ม้วนวุ้นเส้นใส่ช้อนอย่างบรรจง
"มันเป็นมื้อแรกของกู ช่วยเห็นใจด้วย" คชามันซดน้ำต้มยำดังซู้ด
"แล้วทั้งวันมึงทำอะไรอยู่วะ" ไอ้เบียร์ถาม
เขากลืนข้าวคำโต "เล่นเกม"
“สมน้ำหน้า” ไอ้ตุลย์ทำหน้ากวนประสาท
“ไอ้สัตว์ มึงก็เล่นกับกูไม่ใช่ไง ทำพูด” คนตัวยักษ์แยกเขี้ยว
“ทานโทษครับ กูมีสาวๆ คอยป้อนข้าวให้” ตุลายียวน
“กูจะอ้วก” เขาเบ้ปากหมั่นไส้ “สาวๆ ที่มึงพูดถึงคือแม่กับน้องสาวมึงอ่ะนะ”
ทั้งกลุ่มหัวเราะลั่นหยอกล้อกันสนุกสนาน ยกเว้นก็แต่คนตัวขาวที่กำลังนั่งจับโทรศัพท์เหม่อมองออกไปด้านนอก บุรินทร์ปลดล็อคหน้าจอทัชสกรีน ปัดไปปัดมาอย่างใจลอย ข้อความเมื่อตอนบ่ายที่เขาส่งไปถามไถ่เรื่องความปลอดภัยระหว่างการเดินทางของคนรัก ตอนนี้มันยังไม่ถูกเปิดอ่าน ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกละเลย แต่ทำไมถึงยังรู้สึกน้อยใจอยู่
..น่าจะชินได้แล้ว..
"รินทร์! " คนข้างตัวเรียกชื่อเขาเสียจนดังลั่น เสียงเข้มๆ ของคชาสามารถดึงสติบุรินทร์ให้ออกมาจากภวังค์ได้ในทันที
"ห๊ะ? " ร่างสูงสะดุ้งรีบเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า
"เรียกไม่ตอบนะมึง” คชาหันไปมองปริมาณข้าวในจานของไอ้รินทร์ซึ่งมันยังไม่พร่องลงเลยซะนิด “ไม่แดกไง? " เขาตักต้มยำกุ้งให้มัน
“ขอบใจ” ไอ้รินทร์พูดเนือยๆ เคี้ยวแหยะๆ ปากบ่นพึมพำว่าต้มยำรสชาติแปลกๆ
เขาขมวดคิ้ว "แปลกยังไงวะ"
"ไม่รู้เหมือนกัน" มันส่ายหน้า "แค่รู้สึกว่ามันไม่เหมือนที่เคยกิน"
“ทุกครั้งที่มึงสั่งก็อันนี้ไม่ใช่เหรอ” เขายื่นเมนูส่งให้ "ไม่แดกก็สั่งอย่างอื่น"
"ไม่เป็นไร กินได้" มันรั้น
"ไม่อร่อยก็อย่าฝืน" คชาเลื่อนจานแป้งนมย่างมาให้คนข้างตัว "เป็นเจ้าของร้านจะกลัวเปลืองอะไร" เขาหันไปเรียกเด็กเสิร์ฟก่อนสั่งอาหารให้มันใหม่อีกสามสี่อย่าง รอสักพักอาหารจานใหม่ก็ถูกลำเลียงมาวางเต็มโต๊ะ
“สั่งมาเยอะขนาดนี้จะกินหมดไหมวะ” บุรินทร์บ่นอุบอิบ
“แดกๆ ไปอย่าบ่นมาก” มือหนาตักแหนมซี่โครงหมูใส่จานให้
ตุลาพูดแทรก “มีไอ้ช้างอยู่มึงจะกลัวอะไรวะ สองอย่างที่มันจะไม่กินคงเป็นขาเก้าอี้กับขอบโต๊ะเท่านั้นแหละ” เขาหัวเราะมันเสียจนน้ำตาไหล แต่พอเห็นสายตาถมึงทึงจ้องมองมา ชายหนุ่มจึงปิดปากตัวเองสนิท “ไม่พูดแล้วๆ ตามสบายเลยพวกมึง กูไปแย่งยำวุ้นเส้นไอ้เบียร์กินดีกว่า” ว่าเสร็จเขาก็เอี้ยวตัวไปแกล้งหยอกเพื่อนตัวเล็กให้มันโวยวายเล่น
หลังจากเปลี่ยนเมนูมาบุรินทร์ก็ดูเจริญอาหารขึ้นมาก เขากินข้าวจนหมดจาน พร้อมกับเบียร์อีกแก้วใหญ่ "พอแล้ว อิ่มจนจะอ้วกแล้วไอ้ห่า" ร่างสูงยกมือห้ามตอนที่ไอ้ช้างมันจะตักยำปลาดุกฟูให้
“แดกไปเถอะ มึงผอมลงนะรู้ตัวไหม”
“ผอมเหี้ยไร เขาเรียกหุ่นดีกระชากใจต่างหาก” บุรินทร์ยักคิ้ว
ไอ้ช้างหัวเราะ “กูเชื่อ”
“ไอ้ช้างเพื่อนรัก มึงชมกูก็เป็นด้วย รู้สึกดีใจเหี้ยๆ” บุรินทร์กอดบ่ากว้างโน้มร่างใหญ่ให้เข้ามาใกล้ๆ
คชาขืนตัว ดันใบหน้าขาวออกห่าง “อย่าเวอร์ ไอ้ห่า”
บุรินทร์หัวเราะ คุยสัพเพเหระกับเพื่อนๆ ไปเรื่อย จนกระทั่งพนักงานที่ดูแลส่วนของเวทีการแสดงสดด้านล่างเดินขึ้นมาบอกว่าเวทีพร้อมแล้ว เขาจึงขอแยกตัวออกมา
"คืนนี้ใครขึ้นวะ" ไอ้ตุลย์ชะเง้อมองเวทีอย่างสนใจ
"กูเอง"
เวลากลางวันเขาจะเป็นบุรินทร์ เปรมอัศวกุลผู้บริหารหนุ่มไฟแรง สร้างภาพลักษณ์เงียบขรึมน่าเชื่อถือ คอยรับคำสั่งจากบิดาเป็นหุ่นเชิดที่ถูกตั้งโปรแกรมในสมองให้คิดถึงแค่เรื่องเงินและผลประโยชน์
แต่พอถึงตอนดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าเมื่อไหร่ เขาจะสลัดเสื้อสูททิ้งกลายเป็นแค่ ‘รินทร์’ ผู้อุทิศตนให้แก่เสียงดนตรี
..ตัวตนจริงๆ ที่ไม่ผ่านการปรุงแต่ง..
ชายหนุ่มหลงใหลในเสียงดนตรีตั้งแต่จำความได้ ซึมซับทุกอย่างผ่านแผ่นเสียงที่มารดาชอบเปิดขณะขับกล่อมเขาในอ้อมแขนเพื่อปัดเป่าฝันร้ายในยามหลับใหล แต่ก็นั่นแหละการที่ต้องฝากอนาคตไว้กับตัวโน้ตย่อมไม่ใช่สิ่งที่ทายาทของเปรมนิรันดร์สมควรกระทำ
แสงสปอตไลท์สาดส่องลงมากลางเวที บุรินทร์ถลกเสื้อเชิ้ตขึ้นโชว์ลายสักบนแขนทั้งสองข้างลวดลายของโน้ตกีตาร์
..บทเพลงที่เขาแต่งให้ราเชนในวันครบรอบสองปี..
มือขาวบรรเลงนิ้วบนกิบซัน เลสพอล คัสตอม สีแบล็ควิโดว์ท่ามกลางเสียงโห่ร้องจากผู้ชมด้านล่าง ดวงตาสีน้ำตาลหลับลงเพื่อเริ่มขับขานตามทำนองเพลง น้ำเสียงทุ้มหวานพาให้ใจล่องลอยพร้อมกับเนื้อเพลงอันแสนเศร้า
"I guess this time you're really leaving"
(ผมเดาว่าครั้งนี้คุณกำลังจะจากไปแล้วจริงๆ)
"I heard your suitcase say goodbye"
(ผมได้ยินเสียงอำลาจากกระเป๋าเดินทางของคุณ)
"Well as my broken heart lies bleeding"
(เช่นเดียวกับหัวใจของผมที่กำลังแตกสลายชโลมด้วยเลือด)
"You say true love it's suicide"
(คุณบอกว่ารักแท้ก็เหมือนการฆ่าตัวตาย)
ตุลาเดินไปที่ระเบียงชั้นสอง ยกแขนขึ้นปรบมือพร้อมกับแขกคนอื่นๆ ดวงตาใต้กรอบแว่นเหลือบมองไอ้เพื่อนตัวยักษ์ด้านข้าง
เขาอมยิ้ม “มองตาไม่กะพริบเลยนะมึง”
“อะไร” คชาว่าเสียงขุ่น ร่างใหญ่ทิ้งสะโพกกับราวกั้น
“เปล๊า” ไอ้ตุลย์แกล้งเฉไฉ “กูแค่จะบอกว่าไอ้รินทร์มันร้องเพลงเพราะเนอะ คนมองกันทั้งร้าน”
“อืม” ร่างใหญ่ตอบโดยไม่ละสายตาจากเวที
ผิวขาวจัดถูกขับให้โดดเด่นขึ้นเมื่อต้องแสงไฟ จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากบางได้รูป ทุกอย่างล้วนทำให้คนด้านล่างยิ่งน่าหลงใหลมากขึ้นไปอีก
..บุรินทร์ดูดีเสมอเมื่ออยู่กับเสียงเพลง..
"I'll be there for you"
(ผมจะอยู่เคียงข้างคุณ)
"I'd live and I'd die for you"
(ผมพร้อมจะอยู่และตายเพื่อคุณ)
"Steal the sun from the sky for you"
(จะคว้าดวงอาทิตย์จากท้องฟ้ามาให้คุณ)
"Words can't say what a love can do"
(ถ้อยคำไม่อาจพรรณนาได้ถึงสิ่งที่ความรักทำได้)
"I'll be there for you"
(ผมจะอยู่เคียงข้างคุณ)
- I’ ll Be There For You ... Bon Jovi -
ตุลาหันมองเพื่อน ดวงตาคมกล้าตรงหน้าสะท้อนความพอใจอยู่ในที
“กูเห็นนะในกระเป๋า” เขาขยับตัวเข้าไปกระเซ้า
คชาเหลียวหลังกลับไปมองกล่องของขวัญในถุงย่ามมือสองที่ถูกวางไว้บนโซฟา
"เสือก" เขาว่าเสียงเรียบ
บวรนันท์หัวเราะพรืดเดินมาสมทบ "เอาไปให้เลยดิวะ จะรอเหี้ยไร"
ไอ้ตุลย์สำทับ "เออ ก็มึงช้าแบบนี้ไง หมามันเลยคาบไปแดก"
"ไม่ใช่หมาธรรมดานะมึง" หนุ่มนายแบบยกวิสกี้ขึ้นดื่ม "หมาสันดานเสียด้วย"
“มึงก็ว่าน้องเขาแรงไป” คชาเตือน ถึงจะไม่ชอบหน้าเด็กคนนั้นมากนัก แต่เขาก็ไม่อยากให้ไอ้รินทร์มันรู้สึกแย่ที่เพื่อนๆ มีอคติกับแฟนตัวเอง
“แค่นี้มันยังน้อยไป มีอย่างที่ไหนแฟนอยู่กรุงเทพ แต่ตัวเองกลับเทียวไปเทียวมาภูเก็ตจนเหมือนบ้านหลังที่สองขนาดนี้” ตุลาว่า
“จะว่าไปน้องมันทำของใส่เพื่อนกูป่ะวะ ไอ้รินทร์ถึงหลงโงหัวไม่ขึ้นขนาดนี้” บวรนันท์พูดอย่างพลางม้วนปลายผมตัวเอง
"กูเนี่ย จุดธูปขอสาปแช่งให้พวกมันเลิกกันทุกวันพระเลย" ตุลายกมือขึ้นไหว้ปลกๆ "สาธุบุญ เพื่อนกูจะได้หลุดพ้นซะที"
พวกมันสองคนยังคงคุยกันอย่างออกรส จนการแสดงบนเวทีจบลง บุรินทร์กล่าวขอบคุณลูกค้าพร้อมเก็บกีตาร์ไฟฟ้าให้เข้าที่ บวรนันท์ใช้ข้อศอกแหลมกระทุ้งสีข้างไอ้ตุลย์บุ้ยใบ้ไปทางด้านล่าง ทั้งคู่จึงเงียบกริบเมื่อเห็นเจ้าของหัวข้อสนทนากำลังเดินตรงขึ้นมา
บุรินทร์นั่งลงบนโซฟาตัวยาวที่เดิม ก่อนกวักมือเรียกพนักงานที่ประจำอยู่บนชั้นสอง “ไอ้แทน เอาเตกิล่าให้กูสองช็อต”
“เป็นมาการิต้าแทนไหมพี่” บริกรร่างเล็กเอ่ยถามเจ้านาย
“ไม่ กูขอเพียวๆ”
แทนไทขมวดคิ้วแปลกใจเพราะปกติเจ้านายตัวขาวไม่พิสมัยเหล้าดีกรีแรงๆ เท่าไร แต่วันนี้กลับสั่งแบบช็อตไม่ผสมอะไรเลย จะถามอีกฝ่ายซ้ำก็กลัวโดนด่า เขาจึงพยักหน้าแล้วทำหน้าที่ตัวเองไป
น้ำสีใสถูกกระดกเข้าปากอย่างรวดเร็ว รสชาติบาดคอจนทำให้บุรินทร์นิ่วหน้า เขาเลียเกลือที่ติดอยู่มุมปาก แล้วเรียกเด็กเสิร์ฟให้ยกเตกีลามาเพิ่มอีกหลายช็อต
“ซดเป็นน้ำเลยนะ ไอ้เวร” คชาเสียงเข้ม
“เป็นไรวะ แดกดุเกิน” บวรนันท์ตักกับแกล้มเข้าปาก
ตุลาหลิ่วตา “บอกพวกกูได้นะเว้ย เพื่อนๆ พร้อมใส่ใจ”
“ใส่ใจหรือว่าเสือกเอาดีๆ” มือขาวขย้ำกระดาษเช็ดปากบนโต๊ะแล้วปาใส่เพื่อน
ไอ้ตุลย์หลบหวืด “ก็ทั้งสองอย่างนั้นแหละ” มันแลบลิ้นล้อเลียนที่เขาพลาดเป้า
บุรินทร์หน้าง้ำคว้ากระดาษเช็ดปากทั้งปึกปั้นเป็นลูกบอลปาใส่มันอีกรอบ คราวนี้โดนเต็มๆ ไม่มีทางหลบได้
คชามองหน้าใครบางคนที่หัวเราะเสียงดังกว่าเพื่อน มือใหญ่รั้งแขนไอ้คนตัวขาวให้หันมา “เป็นอะไร”
บุรินทร์หยุดหัวเราะ แล้วส่ายหน้า “เปล่า” เขาปฏิเสธก่อนหันหน้าไปสั่งให้เด็กมาเก็บกวาดเศษซากที่กระจายเต็มพื้น
คชาสังเกตว่าคนตัวขาวมีท่าทีแปลกไป บางครั้งมันก็นั่งเหม่อเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนเพื่อนต้องเรียกสองสามครั้งกว่ามันจะหันมา เขาเองก็เป็นห่วงแต่ในเมื่อเจ้าตัวไม่ยอมปริปากพูดอะไรเลย เขาคงทำได้แค่คอยดูอยู่ห่างๆ ไม่อยากคาดคัดให้มันยิ่งรู้สึกบำลากใจ
ยิ่งดึกคนก็ยิ่งแน่นร้าน ดีเจผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นไปสแครชแผ่นด้วยจังหวะเพลงที่เร็วขึ้นเรื่อย ลูกค้าส่วนใหญ่ต่างออกมาโยกย้ายออกันอยู่หน้าเวที อย่างเช่นไอ้เพื่อนสองคนที่มันควงผู้หญิงลงไปเต้นข้างล่างกันหมดแล้ว เหลือก็แต่คชาที่นั่งขมวดคิ้วมองคนข้างตัวกระดกแก้วเหล้าเข้าปากอย่างเอาเป็นเอาตาย ใบหน้าขาวเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ ไอ้รินทร์มันเริ่มเมาจนทรงตัวไม่ค่อยอยู่ แถมยังพูดจาอ้อแอ้ฟังไม่รู้เรื่อง
“พอ แดกเยอะแล้ว” มือใหญ่แย่งแก้วของมันไปดื่มซะเอง
“อะไรวะ อยากแดกก็สั่งเองดิ” คนตัวขาวมุ่นคิ้วขัดใจ “ไอ้แทนเอาเบอร์เบิ้นให้กูอีกแก้ว”
“ดะ ได้พี่” เด็กเสิร์ฟประจำร้านละล่ำละลักขานรับเมื่อสัมผัสถึงบรรยากาศมาคุรอบตัว หมุนกายเตรียมเดินลงไปชั้นล่าง
คชาว่าเสียงเข้ม “ไอ้แทน หยุด! ไม่ต้องให้มันแล้ว”
ร่างเล็กชะงักฝีเท้า หันมาหาเจ้านายร่างยักษ์ พยักหน้าเบาๆ ก่อนเดินเปลี่ยนทิศมาตักน้ำแข็งเต็มให้พี่ช้างแทน
บุรินทร์กระฟัดกระเฟียด “ไปเอามาให้กู”
แทนไทชะงักมือวางที่คีบลงในถังน้ำแข็ง ผงกหัวหงึกๆ หันปลายเท้าเตรียมลงบันได
“ไอ้แทน กูบอกว่ายังไง” เสียงกร้าวดังขึ้น
บริกรหนุ่มหันรีหันขวางเกาท้ายทอยอย่างคนทำอะไรไม่ถูก มองหน้าเจ้านายสลับไปมา เอายังไงดีวะ!
“ถ้ามึงเอามาให้มันอีก มึงเตรียมตัวหางานใหม่ได้เลย” คชาชี้หน้าเอ่ยคำประกาศิต
คนถูกคาดโทษใบหน้าถอดสี “เออ... โทษทีนะพี่ แต่ผมขอตัวไปรับออเดอร์ที่ชั้นล่างก่อนนะครับ” แทนไทลุกลีลุกลนรีบเดินลงบันไดไป บรื๋อ! เขาลูบแขนตัวเอง เวลาพี่ช้างโมโหน่ากลัวชะมัด เหมือนมีรังสีอำมหิตแผ่กระจายออกมา โชคดีนะครับพี่รินทร์ ไอ้แทนคนนี้ขอตัวชิ่งก่อน
บุรินทร์มองตามแผ่นหลังเล็กด้วยตาละห้อย คนเมาย่นจมูกงอแงเหมือนเป็นเด็กเล็ก ออกแรงผลักให้ไอ้ตัวขี้ขัดใจออกไปห่างๆ แต่คนที่ทรงตัวไม่อยู่กลับเป็นฝ่ายเสียหลักหงายหลังซะเอง เคราะห์ดีที่คนตัวโตรีบเอื้อมมือคว้าเอวสอบไว้ได้ทันท่วงที
“เกือบหัวฟาดพื้นไหมล่ะมึง” คชาเขกหัวมันเบาๆ
คนเมาสะอึกเอิ๊กอ๊าก ยิ้มหวานหลับตาพริ้มซุกหน้าเข้าอกแกร่ง คชาเลยประคองตัวมันนอนหนุนตัก ถอดเอาเสื้อแจ็คเก็ตออกมาคลุมตัวให้มันเพื่อกันความเย็นจากลมแอร์ มือใหญ่คว้าเอาโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปแล้วส่งเข้าแชทกลุ่ม เขาหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว ท่าทางไอ้รินทร์ตอนหลับน้ำลายยืดนี่น่าเอ็นดูฉิบหาย
เสียงเพลงด้านล่างเริ่มซาลง คชาคาดว่าคงใกล้ถึงเวลาปิดร้านแล้ว ดวงตาคมเห็นไอ้เบียร์ยืนล่ำลาแม่สาวชุดรัดติ้วอยู่ที่ข้างบันได พร้อมกับไอ้เบียร์ที่เดินยิ้มหน้าบานขึ้นมา
"อ้าว ม่อยไปแล้วหรือมึง" ไอ้ตุลย์ถาม
เขาพยักหน้ารับ ก้มลงมองคนบนตัก มันนอนขดตัวเป็นก้อนกลมๆ คล้ายกุ้ง
“กูว่ามึงพามันกลับบ้านไปเถอะ” ไอ้เบียร์ว่า
คชาส่ายหัว “คงไม่ได้ว่ะ วันนี้กูเอาหนูแดงมา” เขาพยักพเยิดหน้าไปทางข้างนอก รถเวสป้าสีแดงรุ่นเจ้าคุณปู่จอดเด่นอยู่ท่ามกลางรถหรูนับสิบคัน
บวรนันท์กลอกตา "ทำไมการ์ดถึงให้มึงเข้ามาวะ" มือบางเก็บปอยผมขึ้นทัดหู
คชายักไหล่ "ก็กูเป็นเจ้าของร้าน" ร่างสูงใหญ่ตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อน ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปทางหมูมะนาวที่ถูกกินไปได้แค่ไม่กี่คำ “จานนั้นพวกมึงไม่กินกันแล้วใช่ไหม งั้นกูขอนะ”
คนทั้งคู่ถอนหายใจอย่างเอือมระอา ไอ้ช้างมันรวยซะเปล่าแต่ชอบทำเหมือนตัวเองเป็นยาจก มีแบล็คการ์ดไม่จำกัดวงเงิน แต่เสือกไม่มีเงินสดติดตัวสักบาท เสื้อผ้าทั้งตัวก็มาจากร้านขายของมือสองที่จักรตุจักร แถมไม่พอมันยังชอบห่ออาหารที่เพื่อนกินไม่หมดใส่กล่องกลับบ้านอีก
..น่าอนาถใจ..
“งั้นก็ไปรถไอ้รินทร์แล้วกัน ขากลับมึงก็นั่งแท็กซี่เอา” ตุลาสรุปให้
“เออ ก็ได้” ร่างใหญ่ตอบรับ ก่อนยื่นมือแบออกตรงหน้าเพื่อน “ขอค่ารถด้วย”
..ไอ้ห่านี่..
........................................
คชาอุ้มคนเมาไปที่ลาดจอดรถ ร่างสูงใหญ่ก้มมองคนที่นอนตาปรือในอ้อมแขน เจ้าตัวดูไม่ค่อยจะมีสติเท่าใดนักทั้งที่อายุอานามก็ตั้งขนาดนี้ แต่ยังทำอะไรไม่รู้จักลิมิตของตัวเอง
..มันน่าจับตีนัก..
ไอ้ตุลย์ช่วยเปิดประตูให้เขาประคองร่างปวกเปียกไปวางแหมะตรงเบาะข้างคนขับ มือใหญ่บริการคาดเข็มขัดนิรภัยให้มันเสร็จสรรพ พอหันมาอีกทีเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างรถก็เอื้อมมือยัดอะไรบางอย่างใส่กระเป๋าเสื้อ
..ถุงยางอนามัย..
“จะทำอะไรก็รีบทำนะมึง” ไอ้เบียร์ยักคิ้ว
"ทำเหี้ยไร มันเมา" บุ้ยไปที่ไอ้ตัวภาระที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราว
"เมานั่นแหละดี ทางสะดวก ผัวมันไม่อยู่ มึงก็จัดการรวบหัวรวบหางแม่งเลย" ตุลายิ้มกรุ้มกริ่มมองเพื่อนตัวยักษ์
ร่างสูงถอนหายใจ ตบกะโหลกพวกมันไปคนละที "กูแค่จะไปส่งแล้วก็กลับ ไม่ได้คิดจะทำอะไรมัน ไอ้พวกจังไร" มือหนากำซองเครื่องป้องกันสีเงินส่งคืนเพื่อน ก่นด่าพวกมันอีกสองสามประโยค ก่อนย้ายตัวเองไปเปิดประตูอีกด้าน สตาร์ทเครื่องแล้วขับออกไป
เวลาเกือบตีสองรถราบนท้องถนนน้อยจนแทบนับคันได้ แต่คชายังคงเหยียบคันเร่งไม่แรงนัก ด้วยกลัวว่าไอ้คนเมามันจะนอนคอพับคออ่อนจนหัวกระแทกหน้าต่างตายเสียก่อนถึงคอนโด
ร่างสูงใหญ่เหลือบมองคนด้านข้างขณะจอดรถรอสัญญาณไฟ “เมาเหมือนหมาเลยนะมึง” มือใหญ่ลูบแก้มซับสีเบาๆ “คิดมากเรื่องอะไรอยู่วะ”
คนตัวขาวดิ้นขลุกขลัก คิ้วเรียวขมวดอย่างนึกรำคาญยกมือขึ้นปัดคล้ายไล่แมลงวันจนเขานึกมันเขี้ยวดีดจมูกแดงๆ ของมันไปหน แล้วจึงหันหน้ามาตั้งใจขับรถต่อ
กว่าคชาจะทุลักทุเลพาคนเมาขึ้นมาถึงห้องได้ก็เล่นซะเหงื่อตก ถึงเขาจะตัวใหญ่กว่าก็จริงแต่ไอ้ห่านี่มันตัวเล็กเสียที่ไหน อีกฝ่ายควรจะซาบซึ้งใจที่เขาไม่ยอมปล่อยให้มันร่วงลงไปนอนวัดพื้นตอนออกจากลิฟต์ ทั้งที่แขนสองข้างก็อ่อนล้าเสียจนปวดหนึบแต่เขาก็ยังกัดฟันรวบรวมแรงที่เหลือยกตัวมันขึ้นมาอุ้มใหม่
ร่างสูงใหญ่ใช้เท้าปิดประตูห้องนอนแล้วค่อยๆ วางคนตัวขาวลงบนเตียง มือใหญ่แกะกระดุมเสื้อเชิ้ตของมันออกเผยให้เห็นชื่อคนรักของอีกฝ่ายเด่นชัดกลางอกขาว
คชาเบ้ปาก “รอยสักเหี้ยนี่ กูโคตรเกลียดแม่งเลย” เขายังจำได้ว่าวันแรกที่มันถอดเสื้อโชว์เพื่อนๆ เจ้าตัวดูภาคภูมิใจมากแค่ไหน
ร่างใหญ่เอาผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆ มาเช็ดตามโครงหน้าเรียว “รักเขามากถึงขนาดนั้นเลยเหรอวะ” คชาถามออกไปราวกับเป็นเรื่องปกติ
“อืม... อือ”
“รู้เรื่องด้วย?” เขาเอานิ้วจิ้มแก้มมัน มุมปากยกยิ้มเอ็นดู
คนหลับบ่นพึมพำในลำคอไปเรื่อยเหมือนละเมอ พลิกซ้ายพลิกขวาไม่ยอมอยู่เฉย
"นอนนิ่งๆ ได้ไหม" คชารวบแขนขาวไว้เหนือหัว แล้วจึงใช้มืออีกข้างเช็ดไล่ลงมาตามเนื้อตัวขาวจั๊วะ เขายังนึกเสียดายผิวสวยๆ ของมันที่ตอนนี้ถูกจับจองด้วยรอยหมึกจนแทบไม่เหลือพื้นที่ว่าง
นัยน์ตาคมจ้องมองแผ่นอกเปลือยเปล่าที่กระเพื่อมขึ้นลงตามแรงหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ความรู้สึกร้อนวูบก็แล่นขึ้นมาที่ส่วนกลางลำตัว คชารีบเบนสายตาไปทางอื่นพยายามยับยั้งความคิดเรื่องลามกในหัว ลุกลี้ลุกลนเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดนอนออกมาผลัดเปลี่ยนให้เจ้าของห้องอย่างรวดเร็ว โดยไม่ลืมดึงผ้าหุ้มคลุมตัวให้จนถึงอก
ร่างยักษ์ล้วงเอากล่องของขวัญออกมาจากถุงย่าม "ลำบากกูกว่าจะหามาได้" มือหนาเอื้อมวางไว้บนโต๊ะหัวเตียง "ฝากเอาไปใช้ด้วยล่ะ อย่าเพิ่งโยนทิ้งซะก่อน"
คชาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะโรคจิตถึงขนาดนั่งยิ้มให้กับคนเมาที่นอนหลับไม่รู้เรื่องแบบนี้ ฝ่ามือใหญ่ลูบกลุ่มผมนิ่ม “ไปแล้วนะ” เขายิ้มจาง “ฝันดี... ไอ้ตัวร้าย”
.
.
.
.
.
To be continued
#บุรินทร์สบายดี