29 : ครอบครัวเดียวกัน 1
“พี่นัท!” ผมร้องเรียกพี่นัทเสียงหลงเพราะทันทีที่ก้าวลงจากรถเจ้าหมายักษ์ที่ชื่อว่าแต้มก็เตรียมที่จะวิ่งน้ำลายยืดเข้ามาหาผมทันที ทำให้พี่นัทต้องรีบทิ้งกระเป๋าเสื้อผ้ามากันเจ้าแต้มออกจากตัวผม
“แต้ม อย่ามายุ่งน่า!” พี่นัทดุแต้มจนหมาตัวใหญ่นั่นคอตกร้องหงิงๆ เดินกลับไปเล่นที่สนามเหมือนเดิม พอเห็นว่าเจ้าหมายักษ์นั่นเดินไปแล้วผมก็ขยับออกจากหลังพี่นัท
“สองคืนที่ผมอยู่ที่นี่ หมายักษ์นั่นจะไม่ขย้ำผมใช่มั้ยครับ?”
“ไม่หรอกครับ แต้มมันเป็นหมาโง่ตัวใหญ่กัดใครไม่เป็นหรอก” พี่นัทยิ้มแล้วก็กอดคอผมเดินไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าและข้าวของแล้วพาเดินเข้าบ้าน
“แต่ครั้งที่แล้ว พ่อพี่บอกว่าจะสั่งให้แต้มกัดผมก็ได้นะครับ”
นี่ผมไม่ได้ฟ้องพี่นัทนะ แต่แค่เล่าให้พี่นัทฟังเฉยๆ ว่า ถ้าลุงกร พ่อพี่นัทออกคำสั่งแต้มก็คงกัดผมได้
“พ่อพี่เขาก็พูดแกล้งหนึ่งไปแค่นั้นเองครับ อย่าเก็บมาคิดจริงจังสิ เชื่อคนง่ายแบบนี้นี่ไง ถึงได้โดนหลอกเอาเปรียบบ่อยๆ ”
พี่นัทยกมือที่กอดคอมายีหัวของผมแล้วก็หัวเราะ ผมยู่หน้าใส่ คนที่ผมไม่ควรเชื่อที่สุดก็คงต้องเป็นคนที่กอดคอผมอยู่นี่ไง คนที่หลอกเอาเปรียบผมบ่อยๆ ก็พี่นัทนี่แหละ
พี่นัทพาผมเดินเข้ามาที่ห้องนั่งเล่น ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ทั้งลุงกร คุณลิซ่า พี่พาย และคุณมาคัส ทุกคนกำลังนั่งคุยและหัวเราะด้วยกันอยู่
“แหม พอนินทาปุ๊บเจ้าตัวก็มาปั๊บเลย” ลุงกรมองพี่นัทแล้วก็พูด พี่นัทกลอกตาใส่พ่อตัวเองเล็กน้อยแล้วก็ยกมือขึ้นไหว้ ผมก็ทำตามสวัสดีทักทายทุกคน ลุงกรยิ้มและพยักหน้ารับไหว้ผม คุณแม่ลิซ่าส่งยิ้มมาให้ หน้าตาดูใจดีเหมือนเดิม พี่พายที่ดูอวบขึ้นมากใส่ชุดคลุมท้องสีฟ้านั่งอยู่ข้างๆ กับคุณมาคัส
“มาอยู่กี่วันเนี่ย ขนของมาเยอะเลย” พี่พายหวานถาม เมื่อเห็นทั้งผมและพี่นัทหอบของกันมาเยอะแยะ
“พี่ว่าจะมานอนบ้าน 2 คืน แล้วจะพาตองหนึ่งกลับบ้านไปหาพ่อแม่เขาที่ต่างจังหวัดด้วย ก็เลยเอาของมาทีเดียวเลย”
“จะไปประจบพ่อตาเเม่ยายก็บอก” ลุงกรพูดและหรี่ตาใส่พี่นัท ส่วนคนตัวสูงที่อยู่ข้างผมก็แค่ยักไหล่แล้วพาผมขึ้นไปเก็บของบนห้อง
ห้องพี่นัทที่นี่ผมเคยมาครั้งนึงแล้วเมื่อตอนที่พี่นัทพาผมมาล้างหน้า แต่ครั้งนี้ผมเพิ่งจะได้เห็นชัดๆ ห้องที่บ้านแตกต่างกับห้องที่ร้านอย่างสิ้นเชิง ห้องที่ร้านพี่นัทแต่งด้วยโทนอบอุ่น สีน้ำตาลและขาวเป็นส่วนใหญ่ แต่ที่นี่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป แต่งด้วยโทนสีน้ำเงินและเทา ก็ดูเท่ดี
“ห้องพี่นัทที่นี่เท่จัง ไม่เหมือนห้องที่ร้านเลยครับ”
“แล้วหนึ่งชอบห้องไหนมากกว่ากันครับ?” พี่นัทถามหลังจากที่นำกระเป๋าเสื้อผ้าไปวางให้เป็นที่เป็นทางเสร็จแล้วก็เดินมาลูบแก้ม ผมเอียงแก้มให้ลูบดีๆ แล้วก็ยิ้มให้
“ชอบห้องที่มีพี่นัทอยู่ด้วยครับ”
“ปากหวานนะ พี่อยากชิมคนปากหวานจัง” พี่นัทบีบแก้มและก้มลงมาจุ๊บปากผมเบาๆ แล้วก็ลามลงมาที่ซอกคอมือใหญ่ก็กอดตรงเอว ผมหัวเราะแล้วก็ดันตัวออก
“ยังไม่ให้ชิมตอนนี้”
“หื้ม มันเขี้ยวจริง!”
พี่นัทยอมปล่อยๆ ดีแต่ก่อนปล่อยก็ฟัดแก้มผมไปหลายฟอดเลย ผมเดินไปตรงหน้าต่าง วิวจากห้องนอนพี่นัทมองลงไปด้านล่างเป็นเหมือนสวนเล็กๆ หลังบ้าน ปลูกดอกไม่ไว้หลายชนิดด้วย แต่ส่วนใหญ่ผมไม่รู้จักเลย
“หลังบ้านพี่มีแปลงดอกไม้ด้วย สวยจัง”
“ใช่ครับ คุณแม่ลิซ่าชอบปลูกดอกไม้และต้นไม้ ก็เลยทำเป็นแปลงไว้ พวกดอกไม้ที่หนึ่งเอามาให้พี่ก็ได้คำแนะนำจากแม่ลิซ่านี่แหละ ไม่งั้นป่านนี้พี่คงทำเฉาตายไปหมดแล้ว”
“ผมขอโทษครับ เลือกต้นที่ดูแลยากไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรครับ พี่ชอบมากเลย” พี่นัทเดินไปนั่งตรงโซฟาเล็กปลายเตียงพร้อมทั้งตบที่ว่างข้างตัวเพื่อให้ผมไปนั่งด้วย
“พี่นัทชอบดอกลิลลี่เหรอครับ” ผมถามและเดินไปหาพี่นัท เขายื่นมือมาดึงแขนผมทำให้จากที่ผมควรจะนั่งข้างๆ ก็กลับกลายเป็นว่าผมนั่งลงบนตักอีกฝ่ายแทน
“เปล่า...ชอบคนให้ครับ” พี่นัทก้มลงฟอมแก้มผมไปฟอดนึง ส่วนผมก็ยิ้มเขิน จะไม่ให้เขินได้ไงล่ะ ทั้งแววตา ทั้งรอยยิ้ม ดูกะลิ้มกะเหลี่ยซะเหลือเกิน
“อื้อ พอเถอะครับ ผมหิวแล้วนะ” ผมลุกขึ้นจากตัวพี่นัทแล้วเดินไปหยิบกล้องของตัวเองลงไปด้วย เห็นแปลงดอกไม้แล้วอยากถ่ายภาพ
“หิวพี่เหรอครับ?” พี่นัทยิ้มกว้างแล้วเดินมาหา
“หิวข้าวสิ!” ผมตอบแล้วหัวเราะ ตั้งแต่เช้าผมยังไม่ได้กินอะไรเลย พอตื่นก็พากันอาบน้ำแต่งตัวแล้วมาที่บ้านนี่เลย เพราะพี่นัทขี้เกียจมาเก็บกวาดล้างจานอีกที เราก็เลยหวังจะมาฝากท้องกันที่บ้านพี่นัท
พี่นัทพาผมเดินลงมาชั้นล่าง ทุกคนยังนั่งอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา พี่นัทพาผมไปนั่งที่โซฟาใกล้กับคุณแม่ลิซ่า แล้วพี่นัทก็เอี้ยวตัวกอดเอวคุณแม่ตัวเองไว้
“คุณแม่ลิซ่าครับ ผมกับตองหนึ่งหิวมากเลย ที่บ้านเรามีอะไรกินบ้างครับ” ผมเพิ่งเคยเห็นพี่นัทอ้อนแม่ตัวเอง อดตะลึงไม่ได้จริงๆ นอกจากกอดแล้วเขายังทำเสียงเล็กเสียงน้อยเอาแก้มไปถูกับแก้มคุณแม่ลิซ่าอีกด้วย นี่มันเด็กชายโดนัทที่ลุงกรเคยพูดถึงชัดๆ
“ดูมัน เมียมันก็นั่งอยู่ข้างแต่ยังหน้าด้านมากอดเมียคนอื่นอีก” ลุงกรพูดขึ้นแล้วก็ดันหน้าพี่นัทออกห่างจากเมียตัวเอง ผมที่นั่งอยู่นิ่งๆ ก็มีสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกพาดพิง
“อ้อนเมียเยอะแล้ว กลัวเขารำคาญและตอนนี้อยากกินข้าวเลยต้องอ้อนแม่ ใช่มั้ยครับแม่ลิซ่า” ผมเม้มปากรู้สึกทำตัวไม่ถูก เมื่อลุงกรและพี่นัทพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่าผมเป็นเมียของลูกกชายตัวเอง ครอบครัวพี่นัทคิดว่าการรักเพศเดียวกันเป็นเรื่องปกติที่มีมานานแล้ว แต่สำหรับผมเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็ยังไม่ชินซักเท่าไร มันเลยรู้สึกเขินๆ ยังไงไม่รู้ครับ
“พูดจาน่าหมั่นไส้ แล้วเมื่อไรจะกลับมาอ้อนพ่อกรคนนี้บ้างล่ะ น้องโดนัท” ลุงกรดันหน้าพี่นัทออกจากแม่ลิซ่าอีกครั้งแล้วก็ดีดหน้าผากพี่นัทเบาๆ
“ก็ตอนขอตังค์ไงครับพ่อกร ” พี่นัทพูดแล้วก็หัวเราะออกมา ทุกคนต่างก็หัวเราะครื้นเครงยกเว้นลุงกรที่ลุกขึ้นมาดีดหูพี่นัทไปทีนึง
“จะไปไหนก็ไปเลยไป ไอ้ลูกไม่รักดี กวนประสาทนัก”
“ตามแม่มาลูก เมื่อเช้าแม่ทำแกงจืดเต้าหู้ หรือนัทอยากกินขนมปังกับไข่ดาว ไส้กรอกก็มีนะ” คุณแม่ลิซ่าถามพี่นัท สำเนียงภาษาไทยนี่ชัดเจน เห็นเป็นคนต่างชาตินึกว่าจะพูดไทยไม่ชัด แต่นี่ทั้งควบกล้ำและตัว ร. นี่พูดชัดกว่าผมซะอีกครับ
“แกงจืดดีกว่าครับแม่ ขนมปังให้ผมกินแค่ที่ร้านก็พอ”
ผมกับพี่นัทลุกขึ้นเดินตามคุณแม่ลิซ่าเข้ามาในครัว และกินข้าวเช้ากันที่โต๊ะเล็กในครัวแอบประหม่าเล็กน้อย เพราะคุณแม่พี่นัทเอาแต่ยืนมองและก็ยิ้มให้ผม แต่เพราะความหิวแล้วก็แกงจืดอร่อยมากทำให้ผมซัดข้าวไปสองจาน นี่ขนาดประหม่านะเนี่ย
“เห็นตัวเล็กแต่กินเก่งจังเลย เอาอีกจานมั้ยลูก แม่ตักให้?” แม่ลิซ่าพูดกับผม เมื่อเห็นผมตักข้าวคำสุดท้ายของจานที่สองเข้าปาก ก็ลังเลนิดหน่อยว่าจะเอาอีกดีมั้ย แต่เห็นแกงจืดในชามเหลืออีกนิดหน่อย แถมพี่นัทก็อิ่มไปแล้ว เหลือทิ้งก็เสียดายของอร่อย ผมเลยพยักหน้าน้อยๆ แล้วก็ยิ้มให้คุณแม่ลิซ่า
“ขออีกแค่นิดเดียวนะครับ” คุณแม่ของพี่นัทยิ้มกว้างแล้วก็ยกจานผมไปตักข้าวเพิ่มให้ ส่วนพี่นัทก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ
“เมื่อก่อนตองหนึ่งตัวเล็กกว่านี้อีกครับแม่ นี่ผมขุนจนน่ากอดขึ้นมาตั้งเยอะ” พี่นัทพูดแล้วก็แอบยื่นมาเข้ามาบีบแก้มผมขณะที่คุณแม่ลิซ่ากำลังหันหลังตักข้าวให้ผมอยู่
“ตัวขนาดนี้แหละ แม่ว่ากำลังน่ารัก” คุณแม่ลิซ่าส่งจานข้าวให้ ผมรับมาแล้วก็ขอบคุณ จากนั้นก็กินจนเกลี้ยงทั้งข้าวทั้งแกงจืด ท้องตึงมากๆ บอกเลย
เมื่อกินข้าวเสร็จพี่นัทก็พาผมไปนั่งเล่นในห้องนั่งเล่นกับทุกคน นั่งคุยกันสนุกสนาน ทั้งเรื่องงาน เรื่องท้องของพี่พาย เรื่องคุณแก้วตา แต่ที่ทุกคนจะขำที่สุดก็คือเรื่องของพี่นัทนี่หละครับ ลุงกรเล่าวีรกรรมในวัยเด็กของพี่นัทให้ผมฟังแทบจะทุกเรื่องเลย
“ตอนนั้น นัทมันอยู่ประมาณประถมหนึ่ง โรงเรียนเขาก็มีประชุมผู้ปกครอง พ่อก็ไปโรงเรียนมัน แล้วในตอนท้ายเขาก็ให้เด็กนั่งที่โต๊ะเรียน ส่วนผู้ปกครองก็จัดที่นั่งแยกไว้ตรงหลังห้อง”
“โหย พ่อ เรื่องนั่นนี่พ่อจะเล่าอีกกี่รอบเนี่ย” พี่นัทแย้งขึ้นมา ลุงกรก็ไม่สนใจเล่าต่อไป
“เขาให้เด็กออกไปพูดเรื่องความฝันของตัวเองหน้าชั้นเรียน เด็กคนอื่นก็พูดไปว่าอยากเป็นหมอ อยากเป็นคุณครู แต่พอถึงคิวเจ้านัทพ่อก็รอฟังว่ามันอยากเป็นอะไร”
“...” พี่นัทถอนหายใจ แล้วก็นั่งกอดอกพิงโซฟา มองไปที่ลุงกรแล้วก็ขมวดคิ้ว
“มันออกไปหน้าห้อง แล้วก็ชี้ไปที่เด็กคนนึงแล้วมันก็พูดเสียงดังเลยนะว่า ‘ผมอยากแต่งงานกับคนนั้นครับ’ มันพูดแค่นั้นว่าตกใจแล้วนะ แต่เด็กที่มันชี้ไปเป็นเด็กตัวเล็กๆ น่ารัก และที่สำคัญเป็นเด็กผู้ชายเว้ย ฮ่าฮ่าฮ่า” ลุงกรพูดแล้วก็ขำใหญ่
“...” ทุกคนก็ยิ้มกันหมดยกเว้นพี่นัทคนเดียวแหละที่อ้าปากหาวออกมาเล็กน้อย
“ตอนนั้นพ่อก็ตกใจ มันเข้าใจผิดหรืออะไรของมัน แต่มีหลายครั้งเลยที่พ่อชี้เด็กผู้หญิงหรือผู้หญิงสวยๆ ให้มันดู ถามว่าน่ารักมั้ย? หนึ่งรู้มั้ยมันตอบว่าอะไร? มันดันบอกพ่อว่า ก็งั้นๆ แหละ แล้วหาว่าพ่อไม่มีรสนิยมอีก”
“...” พี่นัทยกมือขึ้นมาเกาหัว แล้วหรี่ตามองพ่อตัวเอง ผมมองแล้วก็ขำกับท่าทางแบบนั้น
“พ่อก็เลยถามกลับว่าแบบไหนถึงจะน่ารัก มันดันชี้ไปที่เด็กผู้ชายคนอื่นอีก พ่อก็ถามมันอยู่แบบนั้นตั้งแต่ประถมหนึ่งยันประถมหก มันก็ชี้อยู่แต่ผู้ชายแถมแต่ละคนที่มันชี้นะตองหนึ่ง สไตล์เดียวกับเราทั้งนั้นเลย”
“...”
“พ่อก็ทำใจไว้แล้ว ว่ามันคงเป็นเกย์แน่ๆ แต่แฟนคนแรกของมันเป็นผู้หญิงนะ ช่วงนั้นคงกำลังสับสนตัวเอง”
ผมหัวเราะแต่นัทกอดอกเม้มปาก ผมแอบเห็นด้วยนะว่าหูพี่นัทน่ะแดงแปร๊ดเลย ไม่รู้ว่าโมโหหรือว่าอายกันอยู่แน่ ลุงกรก็เล่าอะไรให้ผมฟังหลายเรื่องมาก ถึงบางครั้งอาจจะมีล้อผมอยู่บ้าง แต่ก็เป็นคนคุยสนุก เรานั่งคุยกันอยู่นานจนพี่พายที่ท้องแก่เริ่มปวดหลัง คุณมาคัสเลยพาขึ้นไปนอนบนห้อง พี่นัทที่ไม่อยากโดนลุงกรล้อ เลยเดินไปทางครัวกับคุณแม่ลิซ่า เหลือผมที่ยังนั่งกับลุงกรอยู่ที่ห้องนั่งเล่น พอเหลือกันแค่สองคน ผมก็เลยประหม่าขึ้นมา
“เห็นพกกล้องตลอดเลย ชอบถ่ายรูปเหรอ?” ลุงกรถามแล้วมองมาที่กล้องผม
“ครับ ผมเรียนจบทางด้านนี้มาด้วย”
“เหรอ งั้นถ่ายพ่อให้ดูหน่อยสิ ขอแบบหล่อๆ นะ เอาแบบดูไม่แก่นะ” ผมยิ้มแล้วก็ยกกล้องขึ้นมาถ่าย ผมถ่ายอยู่สองสามมุม แล้วก็เอารูปให้ลุงกรดู
“อืม ถึงจะดูแก่ไปหน่อย แต่ก็หล่ออยู่ ลุงขอเอาไปใส่กรอบไว้หน่อยล่ะกัน”
“ได้ครับ” ผมพยักหน้าและยิ้มกว้าง
“สอนพ่อถ่ายบ้างได้มั้ย อยากลองเล่นกล้องใหม่ๆ แบบนี้ดูบ้าง ไอ้เราก็ใช้เป็นแค่กล้องฟิล์มเก่าๆ”
“ได้ครับ” ผมรับเอาสายกล้องออกจากคอตัวเอง แล้วส่งให้ลุงกร พร้อมทั้งสอนปรับแสง ปรับโฟกัสภาพ โดยใช้แจกันดอกไม้เป็นตัวทดลอง ลุงกรยังปรับแสงไม่เป็น ผมเลยทดลองถ่ายให้ลุงกรดูอีกครั้ง จนผ่านไปซักครู่ลุงกรก็ทำได้ดีขึ้น
“ทำไมรูปที่พ่อถ่าย กับรูปที่เราถ่ายมันไม่เหมือนกันเลย ทั้งๆ ที่ก็ถ่ายแจกับใบเดียวกัน” ลุงกรบ่นออกมาเมื่อมองสลับไปมาระหว่างรูปที่ผมถ่ายกับรูปที่ตัวเองถ่าย
“กว่าผมจะปรับแสงเป็นก็ฝึกหลายวันอยู่ครับ”
“อื้ม เราเป็นคนถ่ายรูปขนมลงเพจร้านของเจ้านัทด้วยใช่มั้ย?”
“ครับ” ลุงกรคืนกล้องให้ผม แล้วก็ทำท่าคิดอยู่พักนึง หลังจากนั้นก็ลุกขึ้น
“อืม...งั้นตามพ่อมาหน่อย”
“ครับ?” ผมงง แต่ลุงกรก็ลุกขึ้นแล้วเดินนำผมไป พอผมยังนั่งอยู่ที่เดิม ลุงกรก็เดินกลับมาตามผมอีก
ลุงกรพาผมขึ้นรถแล้วขับพาผมไปข้างนอก ผมเริ่มตกใจเพราะไม่รู้ว่าจะถูกพาไปที่ไหน ออกมาข้างนอกแล้วไม่ได้บอกพี่นัทก่อนแบบนี้จะเป็นอะไรมั้ยเนี่ย… แต่คงไม่เป็นอะไรมากหรอกมั้ง เพราะผมก็ออกมากับพ่อของพี่นัทนี่ ลุงกรคงไม่พาผมไปขายหรอก จริงมั้ย?
“ลุงกรจะพาผมไปไหนเหรอครับ?” ผมถาม ลุงกรหันมายิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มที่ดูเจ้าเลห์มาก และเหมือนพี่นัทมาก จนแวบนึงผมเห็นหน้าพี่นัทซ้อนอยู่กับหน้าลุงกรเลยทีเดียว
“พาไปหาตังค์!!”
ลุงกรพูดแล้วยิ้มกว้าง แต่ผมนี่ยิ้มไม่ออกเลยครับ พาไปหาตังค์นี่คือพาไปไหนครับ จะพาผมไปขายจริงๆ เหรอ อย่างผมขายไม่ออกหรอครับ...
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงลุงกรก็จอดลงที่ลานจอดรถบริเวณห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แล้วพาผมเดินเข้าไปบริเวณที่เป็นอเวนิว มีร้านอาหารมากมายตั้งอยุู่ แล้วลุงกรก็ตรงไปที่ร้านขนมร้านใหญ่ที่ตั้งอยู่บริเวณส่วนกลางของอเวนิว พอเข้าไปภายในร้าน พนักงานทุกคนต่างก็พากันยกมือไหว้ลุงกรพร้อมทั้งยิ้มมาให้ผมที่ยืนอยู่ด้านหลังด้วย ลุงกรเดินเข้าไปหลังร้าน ไม่นานก็ออกมา
“ร้านน่ารักมั้ยล่ะ ขนมก็น่ากินนะ” ลุงกรหันมาพูดกับผม ที่มัวแต่ยืนงงอยู่ ผมมองไปรอบๆ เป็นร้านที่ค่อนข้างใหญ่ ลูกค้าในร้านก็มีแต่เด็กวัยรุ่นมานั่งอ่านหรือติวหนังสือกันทั้งนั้นเลย และพอลุงกรพูดถึงขนมผมก็หันไปมองตู้ขนมบ้าง ในตู้มีเค้กอยู่แค่ไม่กี่ชนิด แต่กลับมีโดนัทน่าตาน่ารัก น่าทานอยู่เต็มไปหมดเลย วอลเปเปอร์ส่วนใหญ่ของร้านก็เป็นลายโดนัท ของตกแต่งส่วนใหญ่ก็มีรูปร่างคล้ายโดนัท ขนาดยูนิฟอร์มของร้านยังเป็นลายโดนัทหลากสีเลย
“ร้านของลุงกรเหรอครับ?” ลุงกรพยักหน้าแล้วพาผมเดินไปนั่งตรงมุมหนึ่งของร้าน พร้อมกับพนักงานที่เดินนำโดนัทมาหลากหลายรส หลากหลายน่าตา หลากหลายขนาดมาวางตรงโต๊ะด้านหน้า นอกจากโดนัทแล้วก็ยังมีเครื่องดื่มอีกหลายแก้ว หลังจากนั้นลุงกรก็ค่อยชี้ให้พนักงานช่วยกันจัดแบ่งเป็นเซตๆ จนโต๊ะด้านหน้าวางไม่พอ ต้องลากโต๊ะข้างๆ กันมาต่อเป็นโต๊ะใหญ่ ผมมองตาโต ที่เอามาทั้งหมดนี่คืออะไร ลุงกรจะทำอะไรกันเน่!!
“อะ...อะไรกันครับ ผมไม่เข้าใจเลย”
“ช่วยถ่ายรูปขนมแล้วทำโปสเตอร์ให้พ่อหน่อยสิ เดี๋ยวพ่อให้ค่าขนม หนึ่งอยากได้เท่าไรบอกมาเลย”
“โปสเตอร์?”
“ใช่ ถ่ายเป็นเชตตามที่จัดไว้ พ่อจะเอามาทำโปสเตอร์แปะตรงเมนู เวลาเด็กๆ มาซื้อ ก็จะได้สั่งเป็นเซตกัน พนักงานก็ไม่งงมากเวลาคิดเงิน คนซื้อก็สะดวก คนขายก็สะดวก”
“...” ลุงกรอธิบายมารวดเดียว ผมที่สมองค่อนข้างช้า ยังคงงงๆ อยู่ เลยนั่งนิ่งเรียบเรียงคำพูดและเหตุการณ์ใหม่
“ช่วยทำให้พ่อหน่อยได้มั้ย พ่อไม่รู้ว่าต้องไปจ้างใครอะไรยังไง ต้องจัดการอะไรบ้าง ถ้าได้ตองหนึ่งที่เรียนทางด้านนี้มาช่วยทำให้ก็คงดีไม่น้อย เนอะ?”
ลุงกรมองหน้าผมแล้วยิ้ม พามาขนาดนี้ จัดเซตพร้อมสถานที่ให้แบบนี้ มัดมือชกกันชัดๆ แล้วไหนจะไอ้คำว่า ‘เนอะ’ นี่อีก ลุงกรนี่คือพี่นัทรุ่นซีเนียร์ชัดๆ เลย เป๊ะเลยครับ
“...ก็ได้ครับ” ผมพยักหน้า ลุงกรก็ยิ้มกว้างกว่าเดิม
เมื่อผมตกลงที่จะทำแล้วก็อยากจะทำให้ดี ผมเลยขอให้ลุงกรหาฉากสีขาวมาวางให้เป็นสตูดิโอขนาดเล็ก ผมใช้เวลาตั้งฉากตั้งไฟไม่นานก็พร้อมถ่าย มีลุงกรคอยกำกับ และบอกความต้องการตัวเองอยู่ใกล้แบบนี้ งานก็เสร็จเร็ว ใช้เวลาไม่เกินสามชั่วโมงก็ได้รูปตามที่ลุงกรต้องการ
จากการที่ได้ทำงานร่วมกันระยะสั้นๆ ทำให้ผมได้รู้ว่า ถึงลุงกรจะขี้เล่นขี้แกล้งยังไง แต่พอเข้าโหมดทำงานก็เข้มงวดเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน รูปไหนที่ไม่ถูกใจ แกก็ให้ถ่ายใหม่ จัดแสง จัดฉากใหม่หมดเลย แต่ผมก็ไม่มีปัญหา รู้สึกสนุกด้วยซ้ำ นานๆ ครั้งได้ทำอะไรแบบที่เคยทำก็ดีเหมือนกัน
“พวกขนมนี่ หนึ่งอยากกินอะไรก็หยิบกินได้เลยนะ”
“เอ่อ…” ผมลังเล หน้าตานัทนี่ก็น่ากินมากๆ เลย แต่ผมก็เกรงใจอ่ะ นี่ของซื้อของขายนะ
“กินไปเถอะ ของนี่เอาไปขายต่อไม่ได้หรอก ถ้าหนึ่งไม่กินพ่อก็ต้องให้เด็กๆ ในร้านกินกันอยู่ดี”
“...ครับ ขอบคุณนะครับ” ผมขอบคุณลุงกรแล้วก็เลือกหยิบโดนัทมากินชิ้นนึง ไม่ใช่ว่าผมกลัวกินไม่หมดอะไรหรอก แต่เกรงใจอ่ะ ลุงกรมองหน้าผมแล้วหัวเราะเล็กน้อยแล้วก็หยิบโดนัทเพิ่มให้ผมอีก 2 ชิ้น ตามด้วยน้ำส้มอีกแก้วนึง
“เห็นครั้งที่แล้วกินไปตั้งเยอะ ครั้งนี้กินแค่ชิ้นเดียวจะไปอิ่มเหรอไง เกรงใจอยู่ได้”
“แหะแหะ ครับ” ผมหัวเราะแห้งๆ แล้วก็พยักหน้าไป จากนั้นก็ก้มกินโดนัทต่อ ลุงกรก็ลุกขึ้นไปดูพนักงานบ้าง ดูร้าน ทักทายลูกค้าบ้าง จนผมกินโดนัทและน้ำส้มจนหมด ผ่านไปพักหนึ่งลุงกรก็เดินกลับมาหา พาผมไปในครัว ได้ทดลองทำโดนัทด้วย สนุกดีเหมือนกัน พี่ๆ ที่สอนทำก็ใจดี ถึงแม้ว่าบางครั้งจะร่วมด้วยช่วยลุงกรแกล้งผมบ้างเป็นบางครั้ง
ผมขลุกอยู่หลังร้านเกือบครึ่งวัน สนุกกับการแต่งหน้าโดนัทนี่แหละครับ ชุบน้ำตาล บีบช๊อคโกแลตบีบครีม ถึงขั้นตอนจะคล้ายๆ การทำเค้ก แต่ทำโดนัทนี่มันก็สนุกไปอีกแบบ ทุกอย่างดูกระจุ๊กกระจิ๊กน่ารักไปหมด ลุงกรก็ใจดีให้ผมเอาโดนัทที่แต่งหน้าเองกลับไปกินที่บ้านได้ด้วย เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ จนลุงกรมาตามให้กลับบ้านผมถึงรู้ว่ามันเย็นมากแล้ว
“ตกลงว่า ค่าถ่ายรูปเราคิดยังไง พ่อจะได้โอนให้เลย” ลุงกรถามขณะที่ผมกำลังล้างมือเตรียมกลับ
“โอ๊ะ ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องให้ผมก็ได้ครับ” ผมรีบปฏิเสธ แต่ลุงกรก็หรี่ตาและส่ายหน้าใส่ผม
“จะไม่ให้ได้ยังไง หนึ่งมาถ่ายรูปให้ มันก็เหมือนเป็นงานของหนึ่งนั่นแหละ จะไม่คิดค่าเหนื่อยพ่อได้ยังไงล่ะ”
“...” ทีลุงยังไม่คิดค่าน้ำค่าขนมผมเลยนี่ ผมเถียงในใจแต่ไม่กล้าพูดออกไป
“ถ้าไม่คิดตัง พอไม่พากลับไปหาเจ้านัทนะ ทิ้งให้อยู่ที่นี่แหละ” ลุงกรพูดแล้วก็มองหน้าผมอยู่เล็กน้อย
“...”
“ถ้าคิดค่าแรงได้แล้วก็ยืมโทรศัพท์ที่ร้านโทรไปบอกพ่อนะ ไปล่ะ” ลุงกรพูดแล้วก็ก้าวฉับๆ เดินออกจากครัวจากร้านไปทันที พนักงานในร้านต่างก็ยกมือไหว้กันแทบจะไม่ทัน นี่คือลุงกรเขาจะทิ้งผมไว้จริงๆ เหรอ ผมรีบวิ่งจนตามหลังทัน ลุงกรหันมามองและยักคิ้วใส่ผม
“ตกลงกี่บาท เดี๋ยวพ่อโอนให้ตอนนี้เลย”
“เอ่อ…2000 ครับ” ไม่ได้ตั้งใจกวนหรืออะไรนะ แต่แบบโดนสายตาคาดคั้นแล้วมันคิดไม่ออกอ่ะครับ
“อย่ามาตลก หารถกลับเองล่ะกัน” ว่าแล้วลุงกรก็เดินไปที่รถ ผมต้องวิ่งตามอีก
“ง่า...อย่าทิ้งผม คุณลุงอยากให้ผมเท่าไรก็ได้ครับ เอาตามที่ลุงกรอยากให้เลย” ลุงกรหยุดหันมามองผม แล้วก็ยิ้ม
“อืม งั้นเอาเลขบัญชีมา” ลุงกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วมองหน้าผม ผมเลยบอกเลขบัญชีธนาคารตัวเองไป
“...” ผมยืนมองลุงกรที่กดๆ จิ้มๆ โทรศัพท์อยู่พักหนึ่ง แล้วเขาก็เงยหน้ามองผมพร้อมกับยิ้มกว้างออกมา
“เอาไว้กินขนมนะ” ลุงกรยื่นโทรศัพท์ให้ผมดูจำนวนตัวเลข ผมตกใจเพราะตัวเลขหลักหมื่นกลางๆ ที่ลุงกรโอนให้ นี่มันมากเกินไปสำหรับการถ่ายรูปแค่เล็กน้อยของผมมากเลยนะครับ ผมถ่ายไปไม่เท่าไรแต่ได้ค่าจ้างเป็นหมื่นนี่ เกินไปจริงๆ
“คุณลุงครับ มันเยอะเกินไปนะครับ ราคาขนาดนั้นคุณลุงไปให้สตูดิโอดีๆ ทำให้ได้เลยนะครับ”
“เอาไปเถอะ พ่อให้เป็นค่าขนมไง ไปเร็ว รีบกลับบ้านกัน ป่านนี้ เจ้านัทคงกลายร่างเป็นยักษ์ไปแล้วมั้ง มันโทรมาเป็นสิบสาย...พ่อไม่ได้รับซักกะสาย”
ลุงกรพูดแล้วก็หัวเราะเสียงสะใจ ผมอยากจะร้องไห้ ไม่รู้จะทำหน้าแบบไหนเลย ทั้งแรงกดดันจากจำนวนเงิน ทั้งนึกถึงพี่นัทในร่างยักษ์ที่ลุงกรพูดถึงอีก โอย...ปวดหัว พ่อกับลูกบ้านนี้ทำเอาผมปวดหัวจริงๆ
การจราจรในช่วงเย็นเป็นอะไรที่โคตรจะติดขัด กว่าจะถึงบ้านพี่นัทก็มืดเลย
“เดี๋ยวหนึ่งคอยดูนะ หน้าบ้านจะมียักษ์มายืนเฝ้า” ลุงกรบอกผมแล้วก็หัวเราะออกมา ดูลุงกรอารมณ์ดีมากเลย แต่ผมนี่สิได้แต่ยิ้มฝืดๆ หวั่นใจกลัวพี่นัทจะโกรธเอา
พอเข้ามาในบริเวณลุงกรก็ยิ่งหัวเราะเสียงดัง เพราะพี่นัทมายืนรอตรงที่จอดรถเลยด้วยซ้ำ หน้าตานี่หงุดหงิดสุดๆ ผมกลืนน้ำลายลงคอแล้วก็เปิดประตูลงจากรถ ผมเห็นพี่นัทจ้องลุงกรเขม็งเลยอ่ะ สักพักก็ตวัดสายตามาทางผม
อือหืม ดุลอดแว่นมาเลย
“โอย หิวข้าวจัง วันนี้มีอะไรกินนะ” ลุงกรพูดแล้วก็เดินเข้าบ้านไป ปล่อยยักษ์ที่ชื่อว่านัทอยู่กับผมแค่สองคน ทำไมลุงกรทิ้งผมแบบนี้ล่ะครับ ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ผมยืนก้มหน้าอยู่ที่เดิม จะเดินตามลุงกรไปก็ไม่กล้า จะทักทายก็ไม่กล้าเหมือนกัน ผมเลยได้แต่ยิ้มแหยๆ ไปให้พี่นัท
“เด็กดื้อ เด็กนิสัยไม่ดี อยู่ดีๆ ก็หายไป” พี่นัทกอดอกจ้องผมเขม็งเลย
“ผมไม่ผิดนะ...” ผมพูดเสียงเบา ผมไม่ผิดจริงๆ นะก็ลุงกรเป็นคนพาผมออกไปเอง แล้วก็ออกไปกะทันหันด้วย ผมก็ไม่รู้จะบอกพี่นัทยังไงนี่นา
“ไปไหนทำไมไม่บอกกันหน่อยล่ะครับ พี่ก็เป็นห่วงไปสิ ออกไปตั้งแต่เช้ากลับมาก็มืด โทรไปก็ไม่รับเลยซักคน”
“ก็มันกะทันหัน ผมไม่ได้พกโทรศัพท์ไป แล้วผมบอกพี่ไม่ทันเพราะพี่นัทก็ไม่อยู่ให้ผมบอกด้วย…”
“ยังจะมาเถียงอีก มันน่านัก” พี่นัทยกมือขึ้นเหมือนตี ผมเลยดันกระเป๋ากล้องไปไว้ด้านหลังแล้วรีบพุ่งเข้ากอดพี่นัทไว้ก่อน
“อย่าตี หนึ่งไม่ได้เถียง หนึ่งแค่อธิบายให้พี่นัทฟังครับ” ผมกอดเอว แล้วซบหน้ากับหน้าอกพี่นัท แล้วพูดเสียงออดเสียงอ้อน เวลาแบบนี้ต้องอ้อนเท่านั้นแหละ
พี่นัทลดมือลงแล้วเปลี่ยนดันไหล่ผมออกแทน ผมก็ยิ่งกอดเอวพี่นัทแน่นเข้าไปใหญ่ เงยหน้ากระพริบตาปริบๆ ใส่พี่นัท ยิ่งพี่นัทดันผมออกผมก็ยิ่งกอดแน่น
“ปล่อยได้แล้ว ถ้าไม่ปล่อยจะตีจริงๆ นะครับ”
“งื้อ พี่นัทจะตีหนึ่งจริงๆ เหรอครับ”
“จิ๊ มาทำเป็นอ้อนเสียงเล็กเสียงน้อย คิดว่าทำแบบนี้แล้วพี่จะหายโกรธเหรอ?” พี่นัทจิ๊ปากแล้วก้มมองผม จากนั้นก็หันหน้าไปทางอื่น ผมเลยเขย่งเท้าขึ้นจุ๊บปลายคางพี่นัทไปทีนึง แล้วก็อ้อนต่อ
ผมเห็นว่าพี่นัทหูแดง ก็รู้เลยว่าพี่นัทน่ะใจอ่อนไปแล้ว ผมเลยเพิ่มระดับการอ้อนขึ้น พูดเพราะๆ ทำตาวิ๊งๆ ใส่ แถมยิ้มหวานให้ด้วย ไม่ยอมก็ให้รู้ไปสิ
“แล้วที่รักจะไม่หายโกรธเค้าเหรอ?” พี่นัทก้มลงมามองผมแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะใช้ทั้งสองดึงดึงแก้มผม
“หายสิคร๊าบ น่ารักแบบนี้ใครจะไปโกรธลงล่ะ”
พี่นัทยืนดึงแก้มแล้วถามสาเหตุที่ผมหายไปทั้งวันสักพักก็พาผมเข้าบ้าน เพราะอยู่นานๆ ชักจะโดนยุงกัดเยอะ พอเข้าไปเราก็กินข้าวมื้อเย็นกัน ผมรู้สึกสนิทและคุ้นเคยกับครอบครัวพี่นัทมากขึ้น อาการประหม่าก็น้อยลง เพราะทุกคนก็ชวนผมคุยตลอด แถมยังใจดีมีขนมให้ผมกินเยอะแยะไปหมด
พอกินข้าวกินขนมกันเสร็จ ทุกคนก็แยกย้ายเข้าห้องนอน ผมก็รีบเปิดแลปทอปที่ติดตัวมาพอดีปรับแต่งภาพให้กับลุงกร เกรงใจค่าแรงครับเลยอยากทำให้เสร็จเร็วๆ ไม่กล้าอู้นาน
“หนึ่งครับ นี่มันดึกแล้วนะ ไปอาบน้ำแล้วมานอนกันเถอะ” พี่นัทเรียกจากบนเตียง ตอนนี้มันก็เวลาเกือบจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว ผมอยากทำให้เสร็จคืนนี้เลย เหลืออีกแค่ไม่กี่ภาพเอง
“พี่นัทนอนไปก่อนเลยครับ ผมอยากทำภาพของลุงกรให้เสร็จก่อน”
“ไม่เอาอ่ะ พี่อยากนอนพร้อมหนึ่งนี่ครับ”
“ถ้าพี่นัทง่วงก็หลับไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมก็เสร็จแล้ว” ผมพูดทั้งที่ยังไม่ละสายตาไปจากหน้าจอ
“พ่อนะพ่อ แทนที่จะได้นอนกอดเมียดีๆ ยังส่งงานมาขัดขวางกันอีก” พี่นัทบ่นกระงอดกระแงดอยู่พักหนึ่ง แล้วเสียงก็เงียบไป พอผมหันไปอีกที คนที่บอกว่าอยากนอนพร้อมผมก็หลับไปก่อนซะแล้ว ผมยิ้มแล้วก็กลับมาทำงานตัวเองต่อ
ผมนั่งทำอยู่สักพักก็เสร็จ เวลาก็ตีสองกว่าๆ แล้ว ผมตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งแล้วก็จัดการโอนไฟล์ใส่ USB ที่ลุงกรให้มา ผมปิดคอมไปอาบน้ำแล้วก็มานอนกับพี่นัท
ผมค่อยแทรกตัวเข้าผ้าห่มเบาๆ เพราะกลัวว่าพี่นัทจะตื่น จนจัดท่าตัวเองเรียบร้อยแล้วกำลังจะหลับตานอน คนที่ผมคิดว่าหลับไปแล้วก็สอดมือเข้ามาดึงตัวผมให้เข้าไปใกล้ๆ กับตัวเอง
“พี่นัท ผมนึกว่าพี่หลับไปแล้ว” ผมพลิกตัว หันหน้าเข้าหาพี่นัทแล้วก็พูด ตอนนี้ทั้งห้องมืดไปหมด สายตาผมก็ยังไม่ชินความมืด เพราะเพิ่งจะปิดโคมไฟไป ผมเห็นแค่หน้าพี่นัทลางๆ แค่นั้น ไม่รู้ว่าหลับตาหรือลืมตาอยู่
“ไม่มีหนึ่งนอนข้างๆ แล้วมันหลับไปสนิท”
พี่นัทพูดแล้วก็ดึงตัวผมให้เข้าไปใกล้อีก เปลี่ยนให้ผมนอนหนุนแขนพี่นัทแทนหมอน แล้วพี่นัทก็ใช้ตัวเองห่อผมไว้อีกที อบอุ่นสุดๆ รู้สึกอบอุ่นจนร้อนเลยล่ะครับ
ผมเอื้อมมือกอดเอวพี่นัทไว้แล้วก็ซุกหน้าลงกับซอกคอพี่นัทและหลับตาลง หลังจากที่เงียบไปซักพัก เขาก็พูดขึ้นช้าๆ เหมือนคนละเมอ
“พี่อยากหลับไปพร้อมกับหนึ่งแบบนี้ทุกคืน พี่รู้สึกมีความสุขที่มีหนึ่ง”
“...ผมก็มีความสุขที่มีพี่”
ผมพูดเสียงเบาๆ แต่มั่นใจว่าพี่นัทได้ยินชัดแน่นอน เพราะหลังจากที่สิ้นเสียงผม พี่นัทก็กอดผมแน่นขึ้น มันไม่ได้อึดอัด แต่มันอบอุ่น...อุ่นใจ
“พี่มีความสุขที่ได้รักหนึ่ง” พี่นัทพูดเสียงเบาและช้าลงเรื่อยๆ คงจะง่วงจนพูดไม่ไหวแล้ว ผมเลยขยับใบหน้าแล้วจูบเบาๆ ตรงคอพี่นัท
“ผมก็มีความสุขที่ได้รักพี่ครับ”
#สูตรอบรัก
Twitter : @loammyloammie
Facebook : LoammyLoammie