ผ า เ พี ย ง ฟ้ า
15
and then autumn kill spring with his hug
_________
when someone wraps their arms around you so tight
and assures that everything will be okay
_________
ทันทีที่เข็มสั้นของนาฬิกาเดินทางมาถึงเลขสิบ และเข็มยาวของมันตรงดิ่งไปยังเลขสิบสอง เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นคล้ายกับมันถูกตั้งเวลาเอาไว้จากเครื่องตอบรับอัตโนมัติ
เสียงของเขาฟังดูติดขัดเล็กน้อยแต่ก็ยังปนความประหม่าไว้อย่างเห็นได้ชัด เจ้าตัวแจ้งว่าเขาถึงสถานที่ที่เรานัดกันเป็นที่เรียบร้อย และดูเหมือนจะไม่สายแบบที่ผมเอ่ยเตือนเอาไว้เมื่อคืนก่อน
ผมกวาดสายตาไล่มองตัวเองในกระจกอีกรอบ ผู้ชายคนที่ดูโทรมเมื่อวันก่อนหายไปแล้ว ตอนนี้เหลือแต่คนที่แต่งตัวสะอาดสะอ้าน จัดผมให้อยู่ทรงเข้ากับใบหน้า เสื้อเชิ้ตสีดำพลิ้วไหวไปตามการขยับและมีเครื่องประดับเป็นสร้อยคู่ใจ กางเกงยีนที่สวมใส่ช่วยให้ทุกอย่างดูลงตัวมากขึ้นกว่าเดิม
ถึงแม้จะมองภาพนั้นมาแล้วไม่ต่ำกว่าสี่รอบแต่ถึงยังไงผมก็สำรวจต่อเพราะยังไม่มั่นใจที่จะออกไปเจออีกฝ่าย รู้สึกหงุดหงิดจนต้องบอกให้ตัวเองพอและตั้งสติ ผ่อนปรนจังหวะการหายใจให้เข้าออกลึกๆ ก่อนจะรีบหยิบโทรศัพท์และกระเป๋าตังค์เมื่อออกจากห้อง
ผมเสมองภาพที่สะท้อนผนังลิฟต์เป็นรอบสุดท้าย ถอนหายใจลากยาวแล้วก้าวออกไปยังประตูใหญ่ด้านหน้าของตึก มีรถเก๋งคันสีดำสนิทจอดรอเทียบท่า ผมรีบเปิดประตูเข้าไปนั่งพร้อมกับคาดเข็มขัดเพื่อความปลอดภัย อีกฝ่ายยังละมือไว้กับพวงมาลัยหนึ่งข้าง ส่วนอีกข้างวางโทรศัพท์ที่ถือลงแล้วหันมามอง ใบหน้าคมคายระบายรอยยิ้มเล็กน้อย เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เลื่อนมือไปขยับเกียร์แล้วออกรถในทันที
ภาพวิวข้างทางเป็นที่ๆ ผมเลือกจะมองเพื่อลดความสนใจจากการอยู่ด้วยกันของเราทั้งสองในรถของอีกฝ่าย ม่านตั้งใจขับพร้อมกับเสียงเพลงที่เปิดคลอเคล้าแผ่วเบา ดวงตาเขาจับจ้องไปยังถนนตรงหน้า มีมือขวาบังคับทิศทางเพียงข้างเดียว
คนขับไม่ได้บอกถึงจุดหมายปลายทาง คงอยากเก็บเอาไว้เป็นความลับแบบคนอื่นๆ ผมไม่ถามย้ำ ถึงแม้จะตื่นเต้นเพราะความอยากรู้แต่ก็ยอมให้เขานำพาไปโดยได้แต่นั่งเงียบ แต่ถึงอย่างนั้นบรรยากาศบนรถก็ไม่ได้ชวนอึดอัด คงเพราะเราเริ่มชินที่จะอยู่ด้วยกันสองต่อสองล่ะมั้ง ผมและม่านเลยปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติเสียมากกว่า
ความเร็วของเครื่องยนต์เริ่มลดลงมากขึ้นจนรถหยุดแล่น เป็นอำนาจของสัญญาณไฟจราจรสีแดงที่ควบคุมกฎต่างๆเอาไว้ทำให้ต้องจอดนิ่งสนิท สี่แยกยามนี้ยังมีผู้คนไม่มาก ไม่ได้รู้สึกแออัดเหมือนยามเย็น มีแสงแดดอ่อนๆลอดผ่านบานกระจกตกกระทบเข้ากับลำตัว
“ไม่สงสัยหรอว่าเค้าจะพาไปไหน?” เขาเอ่ยถามในตอนที่ผมขยับตัวนั่งอย่างสบาย
“สงสัยดิ”
“...”
“แต่ไม่รู้ว่าถามไปมึงจะตอบรึเปล่า”
ม่านหัวเราะเบาๆ เหยียบคันเร่งให้รถออกตัวอีกครั้งหลังจากสัญญาณเปลี่ยนไปเป็นสีเขียว
“เหมือนรู้ว่าเค้าจะไม่บอก”
“รู้หรอกว่าอยากเซอร์ไพรส์”
“งั้นเธอก็ช่วยตื่นเต้นหน่อยดิ”
“ตื่นเต้นจัง”
เพราะผมพูดด้วยเสียงนิ่งเรียบคล้ายกวนประสาทเขาเลยมองค้อนกลับมา คนตัวสูงกดเปลี่ยนเพลงที่ฟังจากปุ่มบนพวงมาลัย เพิ่มระดับเสียงให้ดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
ผมแอบลอบสังเกตเส้นทางที่พ้นผ่านเพื่อหาคำตอบด้วยตัวเอง เพราะความอยากรู้ในใจมันเก็บเอาไว้ไม่ได้ ถึงแม้จะพยายามทำตัวไม่ใส่ใจแต่ข้างในกลับตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย หลังจากที่เราพ้นจากสี่แยกไฟแดงถึงสามแห่งก็แยกออกมายังอีกเส้นทางหนึ่ง ป้ายด้านบนที่เขียนด้วยตัวหนังสือกำกับไว้ว่าเป็นทางด่วนพิเศษ ม่านลดกระจกจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่พนักงานตามจำนวนที่กำหนด ก่อนจะขับออกไปด้วยความเร็ว
ใช้เวลาเนิ่นนานบนทางที่ทอดยาวและยกสูง ความสูงของมันเทียบเท่ากับตึกห้าชั้นเมื่อเทียบกับสิ่งก่อสร้างด้านข้าง, ตึกระฟ้า อาคาร และบ้านเรือนต่างๆตั้งเป็นแนวไปสุดลูกหูลูกตา บ้างก็มีรูปทรงแปลกๆ บ้างก็มีป้ายโฆษณาขายสินค้าขนาดใหญ่ติดทับ มองเห็นความเหลื่อมล้ำของสังคมที่เกิดขึ้นเมื่อทอดมองมันยังบริเวณนี้
ม่านขับผ่านใจกลางเมืองหลวงที่รถราเริ่มหนาแน่น ก่อนจะเบี่ยงออกไปทางด้านซ้ายในช่วงหนึ่ง ทางแปลกใหม่ทำเอาผมไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เพราะคำตอบในใจกลับถูกตัดออกไปแล้วหลายข้อ
ไม่ใช่ที่ห้างชื่อดัง
ไม่ใช่ย่านผู้คนหนาแน่น
ไม่ใช่เส้นทางที่ออกนอกต่างจังหวัดแต่อย่างใด
รถยนต์สีดำเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ ก่อนที่ผมจะเห็นว่ามันเริ่มชะลอตัวและออกจากถนนเส้นหลักในจังหวะหนึ่ง ทางที่เข้ามายังเป็นถนนกว้าง แต่มีเพียงสองเลนส์ให้รถสวนกันได้อย่างสบาย ยิ่งเข้าไปไกลมากเท่าไหร่ก็เริ่มเห็นบ้านผู้คนที่ปลูกตั้งเรียงรายตามแนวไปเรื่อยๆ
และมันก็มีคำตอบใหม่ที่ผุดขึ้นในใจจนต้องหันไปมองคนด้านข้าง
ผมหวังว่ามันคงไม่ใช่แบบนั้น แบบที่ผมไม่ทันได้ตั้งรับและมันคงจะผิดแผนของตัวเองไปเสียหน่อย แต่สุดท้ายแล้วดูเหมือนลางสังหรณ์ของผมจะดีเกินคาดเมื่อม่านจอดรถยังหน้าบ้านหลังหนึ่ง, เป็นบ้านหลังขนาดไม่ใหญ่มาก และเมื่อเจ้าตัวยกหูโทรศัพท์ ประตูไม้ขนาดกว้างกว่าห้าเมตรก็เลื่อนออกให้รถได้เคลื่อนเข้าไปยังด้านใน
ใจผมเริ่มเต้นแรง รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายพาตัวเองมาที่ไหน แม้รถยนต์จะดับลงและจอดเทียบท่ายังโรงจอดรถเป็นเวลาสักพักผมก็ยังไม่ได้สติจนเจ้าของบ้านต้องเอ่ยเรียก
“ผา”
กะพริบตาปริบเมื่อรู้ว่าตัวเองเหม่อไปนาน ผมหันไปมองเขาที่ปลดเข็มขัดนิรภัยออก ก่อนจะอมยิ้มเมื่อพูดประโยคต่อมา
“ถึงบ้านเค้าแล้ว”
เป็นประโยคที่บอกชัดเจนถึง
สถานที่เดทของเราในวันนี้ “เดี๋ยว” เอ่ยขัดพร้อมกับขมวดคิ้ว ดึงรั้งสายที่พาดผ่านลำตัวให้กลับเข้าที่ดังเดิม “มีใครอยู่ไหม?”
เขาหัวเราะให้กับคำถามที่ส่งไป ก่อนจะยีศีรษะผมสองสามรอบจนมันยุ่งเหยิง
“แม่เค้ารออยู่ครับ”
ริมฝีปากบางเม้มแน่น รู้ว่าต้องเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่ ผมไม่รู้ว่าม่านคิดดีแล้วหรือยังที่พาผมมาพบกับครอบครัวของตัวเอง เพราะการที่เขาทำเช่นนี้ แสดงว่าเจ้าตัวต้องมั่นใจในระดับหนึ่ง
มั่นใจในตัวผม
มั่นใจในผู้ใหญ่ที่เราต้องพบ
และมั่นใจในความสัมพันธ์ว่ามันจะยาวนานดังที่ใจหวัง
ทั้งๆที่ผมไม่มั่นใจอะไรเลยสักอย่าง
ไม่มั่นใจตัวเอง
ไม่มั่นใจความรู้สึกกับคนด้านข้าง
และไม่มั่นใจให้กับอนาคตที่ยังไม่มาถึง
มันดูเหมือนเรายังไม่สามารถหาจุดที่จะลงเอยกันได้เสียที
“ไม่ต้องคิดมากนะ เค้าบอกแม่แล้วว่าจะพาเธอมา เขาดีใจใหญ่เลยที่จะได้เจอเธอซะที เห็นบอกว่าทำกับข้าวไว้รอตั้งเยอะแหนะ”
“ม่าน”
“ไม่รู้ว่าวันนี้พ่อจะกลับมากี่โมง เอาไว้ถ้าไม่ได้เจอกันวันหลังเค้าจะพาเธอมาทำความรู้จั—”
“ม่าน”
“—อ่าา...ครับ”
ต้องขัดจังหวะเขาเป็นรอบที่สองเจ้าตัวถึงได้รู้ว่าผมต้องการจะพูดบางอย่าง ม่านเดินเข้ามาใกล้ ก้มหน้าลงเล็กน้อยยามที่จ้องมอง
“เป็นอะไรรึเปล่า?”
ริมฝีปากผมถูกฟันขบเมื่อใช้ความคิด มีหลายสิ่งที่ตบตีกันไปมาในหัว สมองผมเริ่มทำงานหนักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความกังวลที่ก่อตัวขึ้นทำให้ต้องแอบเช็ดมือที่มีเหงื่อเข้ากับกางเกง
แต่สุดท้าย ผมก็แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดแบบที่เคยตัว
“เปล่า”
“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเกร็ง”
“...” ผมยืนเงียบ เลือกที่จะสบสายตาเขาที่จ้องมาเพื่อเรียกความมั่นใจ ม่านกำชับมือของตัวเองเข้ากับมือผมหนึ่งจังหวะ ผละออกเพราะไม่อยากฉวยโอกาส
และคงเป็นเพราะแบบนั้นแหละมั้ง
เพราะความอบอุ่นที่ส่งผ่านน้ำเสียงและสายตามาดมั่นที่โอบล้อมเอาไว้อีกรอบ
“เชื่อใจเค้านะ”
ผมเลยยอมเดินตามเขาเข้าไปยังด้านใน
ลานหินกว้างดังสะท้อนเสียงรองเท้าของคนสองคนที่ก้าวไปตามทาง พื้นหินสีเทาทอดยาวตั้งแต่บริเวณหน้าบ้านไปจนถึงลานจอดรถ และมันก็ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดเอาไว้ยกเว้นสวนขนาดย่อมที่อยู่ถัดไปอีกที
ประตูไม้ขนาดใหญ่สลักลวดลายสีทองถูกเปิดออกด้านหนึ่ง เจ้าของบ้านถือค้างให้ผมได้เดินเข้าไปด้านใน ก่อนจะปิดมันให้สนิทตามเดิม
ภาพวาดที่ประดับบนผนังเป็นสิ่งแรกที่มองเห็น มันน่าจะมาจากจิตรกรที่มีชื่อเสียงเพราะดูๆแล้วคงจะมีราคาไม่น้อย เมื่อเดินเข้ามาจะเห็นห้องรับแขกที่มีชุดโซฟาตั้งอยู่ ด้านใต้เป็นพรมขนสัตว์สีน้ำตาลเข้ากับสีของบ้านที่เป็นสีอ่อน ทุกอย่างตกแต่งคล้ายกับถูกออกแบบไว้อย่างดีตามฟังก์ชันการใช้งานของเจ้าของ
“อ่าวมากันแล้วหรอ?”
จู่ๆ หญิงสาววัยกลางคนคนหนึ่งก็โผล่มาจากด้านหลัง ผมรีบหันตัวกลับไปตามเสียง เห็นม่านเดินเข้าไปกอดก่อนผมจะยกมือไหว้ตาม
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีลูก”
อีกฝ่ายยิ้มกว้างพร้อมกับรับไหว้ทันท่วงที มือข้างหนึ่งถือดอกไม้ที่เพิ่งตัดเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ส่งมาลูบหลังผมอย่างอ่อนโยน
“น้องผาใช่มั้ย?”
“ครับ”
เป็นความอ่อนโยนที่ผมไม่ได้สัมผัสมันมาเนิ่นนานจนจำแทบไม่ได้
แถมสรรพนามที่อีกฝ่ายใช้ก็ทำให้ชวนเก้อเขินจนแปลกประหลาด ดูเหมือนไม่มีคนเรียกผมแบบนี้นานแล้วเหมือนกัน มันเลยไม่ชินจนต้องแลบเลียริมฝีปากในตอนเผลอ
“เรียกผาเฉยๆก็ได้ครับ”
“ฮ่าๆ นั่นสิ เราเป็นพี่เจ้าม่านเขานี่เนาะ”
“แก่แล้วไงแม่—
โอ๊ย!”
“ดูพูดกับพี่เขาเข้า ไอ้เจ้าคนนี้นี่”
ร่างสูงตัวงอเมื่อโดนมือเล็กบิดเข้าที่สะดือ สีหน้าเหยเกจนดูไม่ได้ก่อนมันจะจางหายไปเป็นปกติ มือเขาลูบหน้าท้องของตัวเองไปมา ดูเหมือนอีกคนจะเข้าข้างผมมากกว่าลูกชายตัวเองเข้าแล้ว
“ยังไม่ได้ทานข้าวเช้ากันใช่มั้ย?” สาวเจ้าพูดเมื่อเดินไปยังมุมหนึ่งข้างโทรทัศน์ ปักดอกไม้ไว้ยังแจกันทรงสูงแล้วจัดมันไปมา
“ยังเลยครับ”
“ก็แม่บอกให้มาทานที่บ้านไม่ใช่หรอ” ผมตอบ มีม่านเข้าสมทบอีกรอบตามหลัง
“งั้นพาพี่เขาไปทานก่อนสิ”
ลูกชายรับคำก่อนจะเดินนำผมไปยังด้านหลัง มีโต๊ะทานข้าวที่ตั้งไว้ยังห้องหนึ่งที่ไม่มีผนังกั้น อีกด้านเป็นเคาน์เตอร์ครัวที่โชว์เด่นหรา ผมนั่งลงตรงข้ามอีกฝ่าย พบว่าอาหารมากหน้าถูกวางเอาไว้ต้อนรับ กลิ่นหอมของมันทำให้ท้องเริ่มทำงานตามความหิว แอบกลืนน้ำลายในตอนที่รับจานข้าวมาวางก่อนจะเริ่มรับประทานตามเจ้าบ้านที่จ้วงไม่หยุด
“เราพอจะทานได้มั้ย แม่ไม่รู้จะทำอะไรให้ มีแต่ของโปรดของม่านเขาทั้งนั้น”
เมื่อทานไปได้สักพักมารดาของม่านก็เดินเข้ามาใกล้ มือเล็กวางพาดเข้าที่ไหล่ มองดูเราสองคนที่กำลังรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย
“ทานได้ครับ อร่อยทั้งนั้นเลย” ผมไม่ได้คิดจะประจบ เพราะทั้งหมดนั้นอร่อยดังที่พูดเลยยิ้มตอบเป็นการขอบคุณ หญิงสาวหันไปหาลูกชาย ทางนั้นพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกับตักข้าวขึ้นทานอีก
“อยากอยู่นี่ต่ออีกสักอาทิตย์ คิดถึงกับข้าวที่บ้านมาก”
“ใครบอกให้เราไม่กลับเองล่ะ?”
“โหแม่ งานเยอะดิ”
คนที่ยืนอยู่ส่ายหน้า ก่อนจะเลื่อนจานบางอย่างมาให้ผม
“หมูย่างเมืองตรังอร่อยนะลูก คุณพ่อเพิ่งกลับจากประชุมมาเมื่อวาน หอบข้าวหอบของมาฝากเต็มเลย”
“ขอบคุณครับ”
ผมก้มหัวลงอีกรอบอย่างนอบน้อมก่อนที่หญิงสาวจะปล่อยให้เราอยู่ตามลำพัง ผมรับประทานอาหารอย่างเต็มอิ่ม ไม่ต่างจากใครบางคนที่เพิ่มข้าวเป็นรอบที่สองแถมยังนั่งกินอย่างเพลินใจ
“แม่ทำเองหมดเลยหรอ?” คำถามถูกส่งให้ ก่อนม่านจะพยักหน้าแล้วชี้ไปยังจานหนึ่ง
“ถ้าไม่นับหมูย่างนี่ก็ทำเองหมดเลย”
“อ่ออ”
เขารินน้ำแล้ววางแก้วไว้ให้ด้านข้าง ยกน้ำของตัวเองขึ้นดื่มบ้างจนเกือบหมด
“แล้วมึงชอบอันไหนมากที่สุด?”
อีกฝ่ายดูจะแปลกใจที่ผมมีคำถาม เพราะไม่บ่อยนักที่จะเริ่มสนใจเกี่ยวกับเขาล่ะมั้ง ม่านเลยชะงักไปชั่วครู่และไม่ลังเลที่จะชี้นิ้วไปยังถ้วยใบหนึ่ง
“ชอบพะแนง”
“อืม อันนั้นอร่อยดี”
“แม่เค้าทำพะแนงอร่อยที่สุดในโลกแล้ว”
ผมส่ายหน้ากับการโอ้อวด วางช้อนส้อมในมือลงเมื่อไม่ทานต่อ
“อิ่มแล้วหรอ?”
“อืม”
“ถ้ายังไม่อิ่มบอกได้นะ กินเยอะๆเลยไม่ต้องเกรงใจ”
คล้ายกับว่าเขาอ่านใจผมออกเพราะอันที่จริงแล้วท้องก็ยังสามารถเติมเต็มได้อีก แต่ก็นั่นแหละ เวลาไปเป็นแขกบ้านอื่นก็ไม่อยากเรียกร้องให้เสียมารยาท ผมเลยทานแต่พอดีถึงแม้อาหารจะอร่อยเสียจนอยากทานเพิ่ม
การยื้อแย่งเกิดขึ้นเมื่อผมต้องการจะเป็นฝ่ายทำความสะอาดเสียเอง แต่ม่านก็แย่งทุกอย่างไปไว้ในมือและรีบเดินไปยังอ่างล้างจานด้วยความชำนาญเสียก่อน ผมเลยต้องยืนรอเขาอยู่ห่างๆ เพราะไม่รู้จะไปทำอะไรต่อ
“หนุ่มๆทานน้ำผลไม้ไหม?”
แต่มารดาของเขาก็เข้ามาขัดจังหวะ อีกฝ่ายรื้อหาของในตู้เย็นอยู่สักพัก จากนั้นผลไม้หลากสีก็ถูกวางเอาไว้ยังเค้าน์เตอร์กลางห้องครัว
“มีน้ำมะพร้าวมั้ยแม่?”
“ไม่มีเลยน่ะสิ เอาเป็นน้ำส้มแทนได้ไหม?”
“ได้ครับ”
“เราล่ะ เอาอะไรดีเดี๋ยวแม่ทำให้?” อีกคนหันมาถามพร้อมรอยยิ้มแม้มือจะพัลวันกับการเตรียมของ
“อะไรก็ได้ครับ”
“งั้นแม่ทำน้ำส้มทั้งสองแก้วเลยนะ”
“ครับ”
เมื่อตกลงรับคำหญิงสาวก็เริ่มหยิบจับอุปกรณ์อย่างชำนาญ สักพักน้ำส้มคั้นสองแก้วก็ถูกวางไว้ตรงหน้า มันถูกเติมน้ำแข็งลงไปพร้อมกับปรุงรสด้วยเกลือนิดหน่อย จากนั้นเชฟก็เริ่มเตรียมของว่างให้ไม่หยุด
“ไปนั่งดูทีวีกันไป เดี๋ยวแม่ปอกผลไม้ไปให้”
“ไม่ต้องก็ได้ครับ แค่ทานข้าวก็อิ่มกันแล้ว” ผมรีบปฏิเสธ ดูเหมือนเจ้าตัวจะชอบใจที่ได้ทำนู่นทำนี่ให้แขกที่เข้ามาเยี่ยม
“เอาน่า ทานกันเยอะๆ น่ะดีแล้ว”
ด้วยความรู้สึกเกรงใจตั้งแต่ก่อนเข้าบ้าน ผมเลยรีบประกบด้านข้างคนพูด ก่อนจะออกตัวเพื่อช่วยเพราะไม่อยากรู้สึกผิดมากจนเกินไป
“งั้นผาช่วยดีกว่าครับ”
“ไม่เป็นไรๆ ไปพักผ่อนเถอะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
เพราะมือเล็กทำท่าเหมือนจะตีลงมาที่แขนมันเลยทำให้ผมหัวเราะออกมา หญิงสาวส่ายหน้า ก่อนที่ลูกชายที่มองเหตุการณ์ทุกอย่างจะเข้ามาช่วยอีกแรง
เราจัดการของว่างเสร็จหลังจากนั้นไม่นาน ม่านเดินนำของทุกอย่างไปวางไว้ยังห้องรับแขกก่อน ทำให้ห้องครัวเหลือเพียงแค่ผมกับเจ้าของบ้านอีกคนที่อยู่ข้างกัน
“เขาดื้อกับเราบ้างมั้ย?”
แววตาที่มองผ่านไปยังอีกห้องหนึ่งฉายแววขบขัน แต่ก็เต็มไปด้วยความรักและความหวงแหน ผมชะงักกับคำถามอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนสาวเจ้าจะรู้ความเป็นไปในความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อนของเราทั้งสอง
แต่ก็ไม่ได้คิดจะห้าม
“ก็...มีบ้างครับ”
หญิงสาวหัวเราะ ทอดมองมายังผมยามที่พูดต่อ
“วันนั้นเขาเอารูปของเรามาให้แม่ดูพร้อมกับถามใหญ่เลยว่าเราน่ารักมั้ย พอแม่ตอบไปคำเดียวว่าหล่อก็เถียงซะจนแทบเป็นแทบตายแหนะ จะให้แม่บอกว่าน่ารักให้ได้ สุดท้ายแม่ก็ต้องยอมแพ้เขาอยู่ดี”
อมยิ้มระบายไปทั่วใบหน้ากับสิ่งที่อีกคนเล่า ม่านยังมั่นคงกับคำว่าน่ารักเหมือนที่หญิงสาวกล่าวไม่ต่างจากที่พร่ำบอกกับผมอยู่เสมอ
ไอ้เด็กหน้าหมา
ผมน่ารักได้ซะที่ไหน
“ตอนนั้นเพราะแม่เห็นว่าเราหล่อมากกว่าจะใช้คำว่าน่ารัก เลยยอมๆพูดไปให้เขาสบายใจ แต่วันนี้พอเจอเราเข้าจริงๆ แม่คงต้องกลับไปบอกเขาอีกรอบแล้วล่ะมั้ง..”
“...”
“ว่าเราน่ารักมากกว่าในรูปหลายเท่าเลย”
ความอบอุ่นที่ส่งผ่านจากมือเล็กมายังศีรษะทำให้ผมนิ่งค้าง คงเพราะรอยยิ้มหวานและคำพูดที่ทำให้หัวใจพองโตผมเลยเก็บความรู้สึกของตัวเองไว้ไม่ได้
นานมาแล้ว
นานจริงๆ
ที่ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้
“ม่านเขามีความสุขที่ได้อยู่กับเรานะ ถ้าเขาทำให้เรามีความสุขเหมือนกันแม่ก็ดีใจ”
“...”
“ไว้มาที่บ้านอีกบ่อยๆล่ะ พ่อกับแม่ยินดีต้อนรับเราเสมอ”
เวลาช่างเคลื่อนผ่านเชื่องช้าเมื่ออีกฝ่ายผละตัวออก มอบรอยยิ้มส่งท้ายเป็นการบอกลาแล้วเดินจากไปยังทางเดิมกับลูกชายเมื่อสักครู่ ปล่อยให้ผมยืนอยู่ตรงนี้เพื่อทบทวนสิ่งที่ผ่าน
เพื่อดึงย้อนความทรงจำให้หวนกลับ
และเพื่อระลึกได้ว่าความอบอุ่นแบบนั้น...เป็นสิ่งที่ตัวเองเฝ้าใฝ่ฝันมาทั้งชีวิต
ดวงตาหลับแน่นเพราะสิ่งที่เพิ่งถูกเติมเต็มภายในใจ ผมรีบจดจำความรู้สึกเหล่านั้นไว้ กลัวว่ามันจะสลายหายไปเพียงเสี้ยววินาที
เก็บมันไว้ยังกล่องที่ถูกซ่อนอยู่ภายในส่วนลึกที่สุดของหัวใจ
ปิดผนึกด้วยโซ่แน่นหนา ลงกลอนตีตราว่าจะไม่มีผู้ใดสามารถขโมยความทรงจำดีๆเหล่านั้นไปได้
ไม่มีใคร
ที่สามารถเข้ามาทำลายความสุขเหล่านั้นได้อีกแล้ว
,
หลังจากที่บอกลาบิดาและมารดาของอีกฝ่าย เราสองคนก็ขึ้นมายังด้านบนของตัวบ้าน ม่านพาผมสำรวจห้องนอนของตัวเอง ก่อนเราจะตัดขาดจากโลกภายนอกเมื่ออยู่ในห้องสี่เหลี่ยม
เหตุการณ์ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นจากการที่ได้ยินเสียงรถยนต์คันหนึ่งเทียบท่า ตามมาด้วยชายวัยกลางคนที่เดินเข้ามาในตัวบ้าน เจ้าตัวพูดอะไรสักอย่างกับคนรักของตัวเองก่อนที่สองคนนั้นจะบอกเราว่าคงต้องออกไปทำธุระข้างนอก นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้บ้านหลังใหญ่เงียบเชียบลงมากกว่าเดิม
ชายหนุ่มกล่าวทักทายผมพร้อมกับของฝากที่อยู่ในมือ เอ่ยทักด้วยประโยคง่ายๆและพูดด้วยความเสียดายว่าน่าจะมีโอกาสพูดคุยกันให้มากกว่านี้ ผมยิ้มรับและตอบกลับว่าไม่เป็นไร ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังขอโทษขอโพยยกใหญ่จนม่านหัวเราะออกมา
‘เราจะค้างที่นี่ก็ได้นะ เห็นม่านบอกอยากจะอยู่ต่อไม่ใช่หรอ?’ หัวหน้าครอบครัวเอ่ยชักชวน ก่อนที่ลูกชายจะเป็นฝ่ายปฏิเสธพร้อมกับบอกเหตุผลออกไป
‘เกรงใจผาเขาน่าพ่อ พรุ่งนี้ผมมีงานต่อด้วย เอาไว้คราวหน้าแล้วกัน’
‘ไว้เจอกันนะลูก ขอโทษที่วันนี้ยุ่งไปหน่อย’
‘ไม่เป็นอะไรครับ’ ผมพอจะเข้าใจว่าเป็นธุระเร่งด่วนเมื่อหญิงสาวรีบเดินตามไปติดๆและไม่วายที่จะส่งท้ายก่อนลาจาก
‘พาพี่ไปนั่งเล่นบนห้องสิ อยู่ข้างล่างเดี๋ยวเบื่อเอา’ เป็นการบอกให้ลูกชายพาเขาขึ้นไปยังบนห้อง
แถมยังไม่ได้ถือสาว่ามันจะเป็นเรื่องน่าเกลียดแต่อย่างใด อีกฝ่ายแค่อยากให้ผมทำตัวตามสบายและไม่ต้องคิดอะไรมาก
เมื่อไม่มีกิจกรรมที่เราสามารถจะทำได้อีกม่านจึงพาผมมาที่ห้องของตัวเอง ถึงผมอยากจะปฏิเสธแต่ก็อยากรู้ความเป็นอยู่ของเขา เท้าเลยก้าวตามไปติดๆ ผ่านขั้นบันไดที่ยกสูง จนมันมาถึงหน้าห้องหนึ่งที่อยู่มุมด้านใน เขาเปิดประตูเข้าไปก่อน ทิ้งตัวลงบนเตียงหลังใหญ่ หลังจากนั้นผมจึงเดินเข้าไปแล้วกวาดสายตามองรอบๆ
โปสเตอร์วง Fall Out Boy โชว์เด่นหราบนผนัง มีข้อความภาษาอังกฤษแปะไว้ข้างกัน จากนั้นก็เป็นชั้นวางที่มีอัลบั้มของศิลปินคนโปรดเรียงรายไปกับหนังสือ และผมก็เพิ่งรู้ว่าเขาเป็นนักดนตรีเมื่อมีกีตาร์ตัวหนึ่งวางเอาไว้ ทุกอย่างถูกจัดวางเป็นระเบียบ มีกลิ่นอ่อนๆของน้ำหอมเจ้าตัวปะปนอยู่ในอากาศ ผ้าม่านที่ปิดหน้าต่างยอมให้แสงยามบ่ายลอดผ่านเข้ามา ทำให้ภายในห้องไม่ได้มืดมากนักแม้จะไม่ได้เปิดไฟ
“อันนี้อะไร?” ผมหยิบของบางอย่างที่ดูวางผิดที่ผิดทางบนชั้น หันไปถามเขาที่นั่งข้างเตียง
“แผ่นเสียงของหมอก คงลืมไว้ที่ห้องเค้ามั้ง”
“แล้วน้องมึงนอนห้องไหน?”
“ห้องตรงข้ามเนี่ยแหละ แต่มันไม่ค่อยกลับบ้านเหมือนกัน รายนั้นน่ะติดเพื่อน”
ผมพยักหน้ารับก่อนจะไล่มือตามไม้แผ่นหนาไปเรื่อยๆ
“มึงเล่นกีตาร์ด้วยหรอ?”
“ก็แก้เบื่อ”
“ไม่เคยเห็นเล่นเลย” หันไปมองเห็นเจ้าตัวที่กดโทรศัพท์คล้ายกำลังตอบกลับใครสักคนอยู่
“เล่นแค่ตอนเบื่อ ตอนปกติก็ไม่ค่อยได้จับหรอก”
คล้ายกับเจอของเล่นชิ้นใหม่ที่ถูกใจเพราะผมเอาแต่สำรวจไปทั่ว จนตอนนี้หยุดยืนที่หน้าโปสเตอร์สีซีด
“ชอบเพลงไหนของ Fall Out Boy หรอ?”
ม่านไม่ตอบ จนกว่าอึดใจที่มีเสียงเพลงคลอเคล้าภายในห้อง
เป็นเพลงที่อีกคนชอบ และผมก็คิดว่ามันเป็นเพลงที่ดีไม่หยอก
I’m Like a Lawyer With The Way I’m Always Trying to Get You Off (Me & You) “เมื่อก่อนฟัง Fall Out Boy กับ John Mayer บ่อย แต่ตอนนี้ไม่ค่อยได้ฟังแล้ว โตขึ้นความชอบมันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ”
ใช่
เวลาเปลี่ยน ทุกอย่างก็เปลี่ยน
ไม่มีอะไรคงเดิมดังเช่นที่เป็นมาได้ตลอด
“ช่วงนี้เค้าฟังแต่เพลงไทย ไม่รู้ทำไม...”
“...”
“...แต่เพื่อนบอกว่าเพราะอินเลิฟ”
ผมไม่กล้าหันไปสบตากับเขา กลัวว่ารอยยิ้มกว้างจะเข้าเล่นงานตัวเองอีก เพราะผมรู้ดีว่าเมื่อไหร่ที่เจ้าตัวทำน้ำเสียงแบบนี้ ม่านต้องกำลังยิ้มอยู่แน่ๆ
“Hertbreak Warfare มึงน่าจะเคยฟัง”
“ครับ?”
“กูชอบเพลงนั้นของ John Mayer”
“...Lightning strikes...Inside my chest to keep me up at night...ใช่ไหม?”
ทันทีที่ผมพูดจบเพลงเก่าก็ดับลงพร้อมกับการฮัมเพลงใหม่จากเจ้าของห้อง ผมหันไปมอง เห็นม่านอมยิ้มเมื่อเราสบตา
และนั่นแหละมั้ง
ที่ทำให้ผมยิ้มออกมาเหมือนกันก่อนจะก้มลงปกปิดความร้อนบนใบหน้า
น่าแปลกที่วันนี้หัวใจผมทำงานหนักทั้งๆ ที่ไม่ได้มีเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้น เป็นเพียงแค่ความธรรมดาที่เติมเต็มจนรู้สึกอบอวลไปด้วยความอบอุ่น ผมตัดสินใจวางอัลบั้มเก่าในมือ เดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย ใช้แผ่นหลังพิงไปกับเตียงแล้วนั่งลงข้างกันบนพื้นที่มีพรมปูไว้รองรับอีกที
“เล่นให้ฟังหน่อย” การร้องขอตามมา ม่านเบ้ปากก่อนจะส่ายหัว “ขี้หวงจังวะ”
เขาหัวเราะ ก่อนจะบอกเหตุผลที่ทำเอาใบหน้าผมร้อนขึ้นกว่าเดิม
“สัญญาว่าจะเล่นให้ฟังแน่นอน”
“...”
“แต่ต้องตอนที่เราเป็นมากกว่านี้นะ”
“...”
“ไม่ใช่แบบพี่น้องที่เราเป็นอยู่ตอนนี้อ่ะ”
ความหมายที่เขาส่งให้- ผมเข้าใจดี แต่แปลกที่รอบนี้ผมไม่ได้ด่าเขากลับไป
ไม่รู้ทำไม
ไม่รู้เลยจริงๆ
เข่าของเราชันขึ้น ใช้สองแขนวางไว้บนนั้น ผมและม่านปล่อยให้เวลาเดินผ่านโดยที่เราไม่ได้พูดอะไร และในตอนที่เหลือบมองอีกฝ่าย ใบหน้าคมคายก็เลื่อนเข้าใกล้จนเป็นระยะที่ชวนใจหายมากทีเดียว
ม่านจ้องผมอยู่นาน ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังบริเวณแก้มที่ผมคิดว่าตอนนี้มันอาจจะขึ้นสีบ้างแล้ว ผมกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ถึงแม้จะรู้ว่าปลายทางของเขาต้องการจบลงที่ไหนแต่ก็ยังนั่งนิ่ง จนตอนที่เขาเลื่อนปลายจมูกเข้ามาใกล้ห่างออกไปไม่กี่เซ็น ถึงได้ก้มลงนิดหน่อยเพื่อไม่ให้มันชนกับผิวเนื้อบริเวณแก้มของตัวเอง
ม่านผ่อนปรนลมหายใจ ส่วนผมก็บังคับหัวใจไม่ให้เต้นแรงมากกว่าเก่า
แต่ที่จริงผมไม่เก่งพอที่จะทำแบบนั้นหรอก
“...ยัง...”
เสียงที่ส่งไปเลยแหบพร่าไม่ต่าง
“...ยังไม่ใช่ตอนนี้...”
ม่านกลับไปนั่งตามเดิม เหม่อมองไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดหมาย
“ฮ่าๆ โอเคครับ”
เขายังเป็นคนเดิมที่เคยเห็น ยิ้มรับให้กับสถานการณ์ทุกอย่างแม้มันจะไม่เป็นดังที่คิดไว้ตั้งแต่แรก เขาเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีเสมอ เป็นความอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิที่โอบล้อมผมเอาไว้ แค่เพียงอีกฝ่ายคว้ามือผมเข้าไปใกล้แล้วกระชับหลวมๆ
เพียงแค่นั้น
ฤดูใบไม้ร่วงก็ดูจะอุ่นขึ้นทันตาเห็น
ม่านไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่การกระทำทั้งหมดของเขาก็ยังชัดเจนว่ายังจะ
รอไม่ว่าผมจะเป็นยังไง
“นี่”
ผมเรียกอีกฝ่ายเอาไว้ พร้อมกับขอร้องด้วยคำของ่ายๆ ที่เขาสามารถให้ผมได้อยู่แล้ว
“พาไปที่นึงหน่อยสิ”
ต่อข้างล่างฮะ