**นิยายตอนนี้เกิดจากจินตนาการของผู้เขียน ทั้งหมดทั้งปวงเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ โปรดใช้จักรยานในการอ่านจ้า**เป็นลูกของเหมียวแค่คนเดียว
“คุณหมอว่าอะไรนะคะ! ท้องเหรอ” เกวลินพูดเสียงสูงด้วยความตกใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินจากปากนายแพทย์ตรงหน้า คนอื่นในครอบครัวที่อยู่ในห้องฟังผลก็ตกใจไม่แพ้กัน
“มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน..ลูกผมเป็นผู้ชายนะครับ” จักรชัยบอกราวกับจะเตือนสติอีกฝ่ายว่าไม่ได้กำลังอ่านผลการรักษาของคนอื่นอยู่แน่นะ
นายแพทย์หนุ่มหน้าเครียด เขาพลิกหน้ากระดาษไปมา “ผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันครับ แต่ผลตรวจทุกอย่างยืนยันได้ว่าลูกชายของคุณพ่อกับคุณแม่กำลังตั้งครรภ์จริง ๆ ครับ”
วิฬาร์ไม่ได้ยินเสียงคนรอบตัวว่ากำลังพูดหรือโต้ตอบอะไรกันบ้าง เขาหูอื้อไปตั้งแต่ที่ได้ยินว่าตัวเองกำลังตั้งท้องแล้ว มันจะเป็นไปได้ยังไง ก็เขาเป็นผู้ชายไม่ใช่เหรอ…
ดวงตากลมโตมองมือที่กำลังจิกเข้าหากันจนเลือดซึม แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บเลยสักนิด มันชาไปหมดทั้งตัวตั้งแต่ได้รับรู้ถึงผลจากการกระทำของตัวเอง
“แมวเหมียว!”
เสียงของพี่ชายดังขึ้นพร้อมกับง้างมือของเขาที่กำลังกำแน่นโดยไม่รู้ตัวให้คลายออกจากกัน
“ได้ยินพี่ไหม”
วิฬาร์ขอบตาแดงก่ำ เขากะพริบตาถี่ก่อนจะพยักหน้าเมื่อเริ่มได้สติ ไม่รู้ว่าเฮียเรียกอยู่นานแค่ไหน แต่ใบหน้าของเฮียที่อยู่ต่ำกว่า
เพราะกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นตรงหน้าเขานั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยจนเขารู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมา
“กลับบ้านกัน” เสียงทุ้มบอกพลางส่งยิ้มบางมาให้ แมวเหมียวเงยหน้าขึ้นมองไปรอบ ๆ ก็เห็นป๊ากับแม่มองมาที่เขาพร้อมกับรอยยิ้ม
“กลับบ้านกันนะครับ”
-----
เด็กหนุ่มเหม่อลอยไปตลอดทางกลับบ้าน สายตามองออกไปยังดวงไฟบนท้องถนนยามค่ำคืน บนรถเงียบงัน..ไม่มีใครพูดอะไรกันแม้สักคำเดียว แต่แมวเหมียวก็รับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงจากฝ่ามือของแม่ที่กุมมือของเขาไว้ไม่ยอมปล่อย
วิฬาร์ไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องจริง มือบางยกขึ้นลูบท้องที่ป่องขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว เด็กคนนี้เป็นลูกของพี่เก้า ไม่สิ..ลูกของเขาคนเดียว เด็กคนนี้ไม่ได้เกิดมาจากความเต็มใจของพี่เก้า..แต่เป็นเด็กที่เกิดจากความเอาแต่ใจของเขา
..เป็นลูกของเขาแค่คนเดียว..
เกวลินเหลือบมองลูกชายคนเล็กที่กำลังลูบท้องตัวเองมีท่าทีเหม่อลอยด้วยความรู้สึกหลากหลาย เธอคิดถึงเรื่องที่จะพูดคุยกับแมวเหมียว ด้วยหนักใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี เพราะเหมียวเองก็มีอาการช็อกมาก เธอไม่อยากให้ความเครียดส่งผลกระทบต่อทั้งลูกและหลานตัวน้อย ๆ ในท้อง
“แมวเหมียวกินข้าวต้มปลาไหม” ธีราถามน้องชายเมื่อกำลังจะขับรถผ่านร้านเจ้าโปรดของน้องชาย
“เหมียว..ไม่หิวครับ” คนถูกถามก้มหน้าตอบเสียงเบา
“ไม่กินแน่นะ” พี่ชายถามย้ำอีกที
วิฬาร์พยักหน้าช้า ๆ ก่อนตอบ “..ครับ”
ธีราเหลือบมองน้องผ่านกระจกมองหลังเป็นระยะตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ยอมรับว่าเขาก็ตกใจกับสิ่งเพิ่งที่ได้ยินมา อยากจับน้องเขย่า ๆ แล้วถามว่าไปท้องกับใครหน้าไหน แต่พอเห็นท่าทีของแมวเหมียวแล้ว ความเป็นห่วงก็ทำให้เขาต้องปิดปากตัวเอง และทำตัวให้เป็นปกติที่สุด ไม่ว่าเมื่อไหร่..เขาก็อยากให้น้องมีแต่ความสุข
“กินหน่อยก็ดีนะลูก” ป๊าเอ่ยขึ้นเสียงนุ่ม “เดี๋ยวจะหิวเอานะ น้ำจอดรถลงไปซื้อให้น้องหน่อยไป” จักรชัยบอกลูกชายคนโต
วิฬาร์เม้มปาก ยิ่งทุกคนทำดีกับเขามาก..ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาทำเรื่องที่ไม่สมควรแบบนี้ มันยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดมากกว่าเดิม แมวเหมียวพยายามกลั้นก้อนสะอื้น เขาไม่อยากร้องไห้อีกต่อไปแล้ว
..เพราะต่อจากนี้ไปเขาจะต้องเข้มแข็งเพื่อสิ่งมีชีวิตน้อย ๆ ในท้อง..
-----
เมื่อกลับถึงบ้านทุกคนนั่งรวมกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น แม่บอกให้ศรุตขึ้นไปอาบน้ำบนห้อง เหลือแต่บุคคลในครอบครัว ป๊ากับแม่มองตากันว่าใครควรจะเป็นฝ่ายเริ่มพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อน สุดท้ายจักรชัยก็พยักพเยิดให้ภรรยารับหน้าที่นี้ไป
เกวลินทอดสายตามองลูกคนเล็กที่เอาแต่นั่งก้มหน้า เธอรู้ว่าแมวเหมียวคงสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ตัวเธอเองก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่ในเมื่อมีเด็กเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ต้องคิดหาทางออกกัน
ฝ่ามือเล็กวางลงบนศีรษะได้รูป “แมวเหมียวครับ”
วิฬาร์เงยหน้าขึ้นสบตากับมารดา ดวงตากลมโตสั่นไหวแถมยังแดงก่ำ “เหมียว..ขอโทษนะครับ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกลูก มันเป็นเรื่องสุดวิสัย หนูเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้นได้นี่นา”
“เหมียวไม่น่าทำเลย” พูดแล้วก็พานจะทำให้น้ำตาไหล เจ้าตัวกลั้นเอาไว้ พยายามไม่ให้มันไหลลงมา
“มันเป็นเรื่องธรรมชาติ มนุษย์เราถ้าเกิดความรักหรือชอบใครสักคน..เราก็อยากสานสันพันธ์กับคนคนนั้นอยู่แล้ว” จักรชัยพูดขึ้นมา ไม่อยากให้ลูกชายคิดว่าเรื่องที่ทำไปมันเป็นสิ่งไม่ดี “เพียงแต่ว่า..แมวเหมียวอาจจะมีมันเร็วไปสักนิดนะ”
วิฬาร์พยักหน้ารับก่อนจะบอกเสียงสลด “ขอโทษครับ”
“เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ให้แล้วไป ตอนนี้หนูต้องหาทางออกให้กับเรื่องนี้นะครับ” แม่บอกพร้อมกับลูบแผ่นหลังบางของลูกคนเล็ก
“ทางออก?”
“ตอนที่คุณหมอพูดไม่ได้ฟังเลยสิเรา” พี่ชายที่นั่งประกบอยู่ยกมือขึ้นโคลงหัวน้องไปมา
“เหมียวตกใจอยู่” น้องบอกเสียงแผ่ว
“ทุกคนก็ตกใจที่แมวเหมียวมีเบบี๋ได้ทั้งนั้นแหละ” แม่บอกกลั้วหัวเราะ
“...ไม่มีใครโกรธเหมียวเลยเหรอ”
เกวลินประคองใบหน้าของลูกชายคนเล็ก เธอยิ้มอย่างไม่คิดจะถือโทษโกรธเคือง ฝ่ามือของแม่เช็ดเหงื่อที่ชุ่มอยู่ตามกรอบหน้า แมวเหมียวของเธอเครียดมากจนเหงื่อซึมแถมยังมือไม้เย็นไปหมด
“ไม่โกรธหรอกครับ แม่ ป๊า กับเฮียเข้าใจหนูนะ”
เจ้าตัวเม้มปากกลั้นสะอื้นด้วยความโล่งอก “ขอบคุณ..นะครับ”
“พรุ่งนี้มีนัดกับหมอเฉพาะทางนะ” ธีราบอกน้องชาย
“ไม่ใช่ว่าเหมียวต้องไป..ฝากท้องเหรอครับ”
“ยังไม่ถึงขั้นตอนนั้นครับ” แม่ตอบ “อย่างแรกคือเหมียวตั้งใจจะตั้งท้องเด็กคนนี้หรือเปล่า เพราะหนูเป็นเคสพิเศษที่มีความเสี่ยงสูง ถ้าไม่คิดจะเก็บเขาเอาไว้เราก็ต้องทำการยุติการตั้งครรภ์โดยเร็วที่สุดเพื่อความปลอดภัยต่อตัวแมวเหมียวนะ”
ดวงตากลมโตกะพริบปริบ “ยุติการตั้งครรภ์..” เขาทวนคำ ไม่มั่นใจนักว่าตัวเองเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินถูกหรือเปล่า
“พวกเราจะไม่บังคับลูก ถ้าหนูไม่พร้อม...เราสามารถทำแท้งได้นะ” จักรชัยเอ่ย ในยุคนี้การยุติการตั้งครรภ์สามารถทำได้โดยไม่ผิดกฎหมายแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัยก็ต้องทำโดยแพทย์เท่านั้น
วิฬาร์เบิกตาโตขึ้นหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่ป๊าบอก น้ำตาหยดไหลลงบนแก้มเนียน ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่ร้องไห้ แต่พอคิดถึงว่าจะต้องทำลายสิ่งมีชีวิตในท้อง ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้ทำผิดอะไรเลย...มันก็ทำให้ปวดหนึบในอกจนหายใจไม่ออก
ฝ่ามือวางลงบนหน้าท้องที่ยื่นออกมาน้อย ๆ อยากเก็บเด็กคนนี้เอาไว้ แต่ก็กลัวที่จะพูดออกไป เขารู้ดีว่าตัวเองไม่มีปัญญาเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้เติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพได้ ตัวเองยังเอาไม่รอด ยังต้องให้ทุกคนส่งเสียเลี้ยงดูแท้ ๆ
“แมวเหมียว…” คนเป็นแม่พอเห็นน้ำตาของลูกชายก็ดึงแมวเหมียวเข้ามากอด “แม่ไม่บังคับหนูนะครับ หนูคิดอะไรอยู่..หนูบอกแม่เถอะลูก”
พี่ชายคนโตพูดอะไรไม่ออก ทำได้แค่เพียงลูบหลังปลอบแมวเหมียวของเขา เรื่องนี้มันใหญ่เกินไป แต่ไม่ว่าจะลงเอยแบบไหน..เขาก็พร้อมจะซัพพอร์ตน้องเสมอ
จักรชัยมองภาพลูกชายคนเล็กร้องไห้สะอึกสะอื้นก็ปวดใจไม่แพ้กัน เขาคิดว่าลูกคงทั้งกังวลและกลัวไปหมด ยิ่งลูกดูช็อกหลังจากที่เขาพูดถึงเรื่องยุติการตั้งครรภ์แล้ว..เขาคิดว่าแมวเหมียวเองก็ไม่ได้อยากจะทำแบบนั้นกับเด็กที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่คนนี้หรอก แต่คงไม่กล้าที่จะพูดคำว่าอยากเก็บเอาไว้ออกมา
“ถ้าเหมียวอยากจะเลี้ยงเด็กคนนี้ ป๊าก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะลูก”
“จริงเหรอครับ” ดวงตากลมรื้นน้ำสบเข้ากับใบหน้าของป๊า “เรา ฮึก เลี้ยงเขาได้..จริงเหรอครับ”
“ได้สิ ลูกตั้งสองคนป๊ายังเลี้ยงมาได้ นี่หลานแค่คนเดียวทำไมจะเลี้ยงไม่ได้ล่ะ” จักรชัยตอบส่งยิ้มให้
สิ้นคำบอกจากพ่อ แมวเหมียวก็ร้องไห้โฮด้วยความโล่งใจ กอดมารดาแน่น
แม่ลูบหลังปลอบประโลม “หลังจากนี้แมวเหมียวต้องมีความสุขให้มาก ๆ นะรู้ไหม..ถ้าหนูเศร้า ลูกก็จะเศร้าไปด้วยนะครับ”
วิฬาร์ร้องไห้อยู่สักพักถึงได้หยุด เจ้าตัวยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาพร้อมกับสูดน้ำมูก ป๊ากับเฮียแยกออกไปสูบบุหรี่ที่หน้าบ้าน ส่วนมารดาแยกตัวไปห้องน้ำ
“ดูสิ ตาบวมฉึ่งเลย” เกวลินเดินกลับมาพร้อมกับผ้าขนหนูชุบน้ำ เช็ดหน้าเช็ดตาให้ลูก เธอมองใบหน้าหมดจดก่อนจะเลื่อนสายตาลงมาที่ท้องของแมวเหมียว มือบางยื่นออกไปแตะลูบเบา ๆ ไม่อยากเชื่อว่าลูกชายตัวน้อยของเธอกลายเป็นแม่คนแล้ว
“...แม่” แมวเหมียวครางเสียงเครือ
“พ่อของเด็กคนนี้เป็นใครเหรอครับ” เกวลินถูกสองพ่อลูกให้มาถามอีกคำถามที่สำคัญ เพราะที่ผ่านมาแมวเหมียวก็อยู่ในสายตาของทุกคนในครอบครัวมาตลอด ไม่เคยเห็นมีทีท่าว่ามีแฟนตั้งแต่ตอนไหน ไม่มีใครคิดออกเลยจริง ๆ ว่าลูกชายคนเล็กจะไปมีสัมพันธ์กับใครได้
แมวเหมียวเม้มปากเงียบ..จะไปตอบได้ยังไงว่าเป็นพี่เก้า
“เลิกกันแล้วเหรอ” แม่ถามอีกเมื่อเห็นว่าลูกเงียบ
แมวเหมียวครุ่นคิด จะเลิกกันได้ยังไงในเมื่อ..เราไม่เคยคบกันเสียหน่อย “เราไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันครับ”
เกวลินพยักหน้ารับ “แล้วหนูคิดจะบอกอีกฝ่ายเรื่องลูกไหม”
วิฬาร์ส่ายหัวทันที กลืนน้ำลายเหนียวลงคอก่อนจะตอบในสิ่งที่คิดมาแล้วอย่างแน่วแน่ออกไป “เหมียว..ไม่อยากบอกครับ เหมียวอยากเลี้ยงเขา..เป็นปะป๊าของเขาแค่คนเดียว”
คนเป็นแม่ยิ้มบาง จะหาว่าเธอกับสามีสปอยล์ลูกเกินไปก็ยอมรับ แต่เธอทำใจบังคับลูกไม่ได้จริง ๆ และแมวเหมียวเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะตั้งท้องได้ ถ้ารู้..ลูกก็คงไม่ทำโดยที่ไม่ได้ป้องกันแบบนี้
“งั้น…” เกวลินลากเสียงพร้อมกับขยับตัวเข้าไปใกล้ลูก วาดแขนกอดไหล่บาง “ปะป๊าตัวน้อยก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีนะครับ”
แมวเหมียวยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะผงกหัวหงึกหงัก “เหมียวสัญญาว่าจะกินแต่ของมีประโยชน์ แล้วก็จะไม่ดื้อกับแม่นะครับ” พูดจบก็โผเข้ากอดแม่แน่น
“แล้วเฮียกับป๊าล่ะ” ธีราเอ่ยถามเมื่อกลับมาทันได้ยินน้องพูดสัญญากับแม่
“เหมียวก็จะไม่ดื้อกับป๊ากับเฮียด้วยเหมือนกัน”
ธีราเดินเข้ามาใกล้ ยกมือขยี้ผมน้อง “กลายเป็นแมวเชื่องไปแล้วแฮะ” พูดแบบนั้นก่อนจะเปลี่ยนไปเกาคาง
“ไม่ใช่แมวสักหน่อย”
พี่ชายโคลงหัวอย่างไม่สนใจคำพูดของน้อง “แล้วนี่หิวไหม”
“ไม่-”
โครกกกก~~~
กำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธ แต่เสียงท้องร้องก็ดันดังซะเหลือเกิน แมวเหมียวหัวเราะแฮะ ทุกคนต่างหลุดหัวเราะลั่น
“น้ำไปอุ่นข้าวต้มให้หลานหน่อยไป ดูสิ..ตัวแค่นี้ก็รู้จักเรียกร้องจะกิน โตขึ้นมาจะขนาดไหน” จักรชัยพูดอย่างอารมณ์ดี
“ก็ดูตัวแม่สิ..กลมอย่างกับลูกขนุน”
“เฮีย!” น้องชายแหวเสียงแหลม
บรรยากาศในบ้านกลับมาดีขึ้นหลังจากที่ทุกคนได้พูดคุยปรับความเข้าใจกัน วิฬาร์รู้สึกขอบคุณทุกคนจริง ๆ ทั้งที่เขาก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แต่กลับไม่มีการต่อว่าสักคำ ทำให้แมวเหมียวตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่ทำให้ป๊าแม่และเฮียต้องทุกข์ใจกับเขาอีก เขาจะเป็นลูกที่ดี น้องที่ดี
..และสำคัญที่สุดคือการเป็นพ่อกับแม่ที่ดีให้กับเจ้าตัวน้อยในท้อง..
-----
“มึงว่าอะไรนะ!” ศรุตย้อนถามเสียงดังจนแมวเหมียวต้องยกนิ้วขึ้นมาแนบปากส่งเสียง ‘ชู่’ เป็นการบอกให้เสียงเบาหน่อย
“อย่าให้ต้องพูดซ้ำได้ไหม” เจ้าตัวว่าคิ้วขมวด
เพื่อนตัวโตใช้นิ้วแคะหูตัวเอง “กูแค่อยากรู้ว่ากูหูเพี้ยนไปหรือเปล่าถึงได้ยินมึงบอกว่ามึงท้อง”
“เออ ตามนั้น”
ศรุตอ้าปากค้างพะงาบ ๆ อยู่หลายครั้ง ตอนแรกที่เห็นทุกคนกลับมาบ้านด้วยใบหน้าเคร่งเครียดตนก็คิดว่าคงเป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็ไม่คิดว่าจะใหญ่ขนาดนี้!
“นี่..มึง- มึงเป็น..ผู้หญิงเหรอวะ”
“ไอ้บ้า! ผู้ชายโว้ย!”
“ก็แล้วถ้ามึงเป็นผู้ชาย มึงจะ..ท้องได้ไงล่ะ”
วิฬาร์ส่ายหัว “กูคงเป็นคนพิเศษล่ะมั้ง” เจ้าตัวที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงก้มมองท้องตัวเองด้วยแววตาอ่อนโยนแล้วยิ้มออกมาบาง ๆ พร้อมกับลูบอย่างแผ่วเบา
ศรุตแหงนหน้าเหม่อมองแมวเหมียวในมุมที่ตนไม่เคยเห็นมาก่อน
“แล้วใครเป็นพ่อเด็กวะ”
วิฬาร์สบตาเข้ากับคนถามชั่วครู่ “กูนี่ไง”
“โว้ย มึงนี่จะกวนตีนกูให้ได้ตลอดเลยหรือไง” ศรุตหงุดหงิด “มึงคงไม่ได้จู่ ๆ ก็ท้องขึ้นมาเองได้หรอก”
“...” แมวเหมียวปิดปากเงียบ
“อย่าบอกนะว่าเป็น..พี่คนนั้นนะ” ริมฝีปากที่มีรอยยิ้มน้อย ๆ หายไปทันทีเมื่อเขาถามจบ นั่นทำให้ศรุตแน่ใจได้เลยว่าพ่อของเด็กในท้องเป็นพี่คนที่เขาเคยเห็นหน้าแค่ครั้งเดียว แต่ศรุตยังคงจำได้ไม่เคยลืมว่าอีกฝ่ายมองมาที่เขากับแมวเหมียวด้วยสายตาไม่พอใจแค่ไหน
“นี่...จริงเหรอวะ”
วิฬาร์พ่นลมหายใจออกมาทางปาก เงยหน้าขึ้นสบตากับเพื่อนที่จ้องมาอย่างต้องการคำตอบ เขาพยักหน้าด้วยความจำยอม
“แต่มึงอย่าไปบอกใครนะ..กูไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้”
“ไม่บอกได้ไงวะ นี่มันพรากผู้เยาว์นะเว้ย” ศรุตว่าลดเสียงให้เบาลง
“ไม่ใช่ซะหน่อย” แมวเหมียวบอกเสียงอ่อย ก็คนต้นเรื่องมันเขาทั้งนั้น
“แล้วนี่พี่มันฟันแล้วทิ้งเหรอวะ” ศรุตเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ไม่ใช่แบบนั้น” คนท้องพยายามปฏิเสธ
“มันจะไม่ใช่ได้ยังไงวะ มึงก็ปกป้องกันเกินไป- โอ๊ย!” ศรุตยังพูดไม่ทันจบก็ถูกแมวเหมียวปาหมอนใส่หน้า
“หุบปากแล้วก็ฟังกันหน่อยสิโว้ย!”
คนที่นั่งอยู่กับพื้นลูบจมูกโด่งป้อย ๆ “พูดดี ๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องทำร้ายร่างกายกันเลย”
“ก็พูดดีไปแล้วเข้าหูบ้างไหมล่ะ”
“แฮ่ม! โทษที..มึงว่ายังไงนะ”
“เรื่องนี้มันเป็นฝีมือของกูคนเดียวทั้งหมดแหละ”
ศรุตขมวดคิ้ว ทำหน้าไม่เชื่อ “ตลกละ เรื่องแบบนี้มันทำคนเดียวได้ที่ไหนกัน”
วิฬาร์อยากจะบ้าตาย ไม่รู้ทำไมเขาจะต้องมาตอบคำถามกับไอ้ศรุตด้วย ขนาดครอบครัวกูยังไม่ถามเรื่องนี้เลย!
“กูทำของกูเองคนเดียว พอใจมึงยัง!” แมวเหมียวเผลอเสียงดังขึ้นมาก่อนจะรีบยกมือปิดปากตัวเอง ยิ่งเห็นหน้าไอ้ศรุตที่อ้าปากค้างด้วยแล้วก็ส่งผลให้แก้มแดงขึ้นมาอีกด้วย
“มึง..ขืนใจพี่เขาหรือว่าลักหลับวะ”
“..อย่าถามกูอีกเลย” ใบหน้าขาวแดงจัด แมวเหมียวอายจะแย่อยู่แล้ว “กูไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก”
ศรุตที่กำลังอยากรู้อยากเห็นชะงักไป “เออ ๆ โทษที ไม่ถามแล้ว ๆ”
หลังจากปิดไฟ เพื่อนตัวน้อยเอนตัวลงนอนตะแคง วันนี้ทุกเรื่องราวประดังประเดเข้ามาจนเขารู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน มือเพรียววางลงบนท้อง..ครุ่นคิดถึงคนที่เป็นสายเลือดอีกครึ่งของเด็กคนนี้ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเป็นรอบที่ร้อยของวันแล้วล่ะมั้ง
“แต่จะว่าไปนะ...” ศรุตพูดขึ้นในความมืด “มึงนี่ก็สุดยอดไปเลยว่ะ”
“โว้ย! หุบปาก!”
แมวเหมียวผุดลุกขึ้นกระหน่ำเอาหมอนข้างฟาดไปที่อีกคนไม่ยั้ง ขณะที่ศรุตก็ยกแขนขึ้นมาบังตัวเองพร้อมกับหัวเราะเอิ๊ก ๆ เขาก็แค่อยากให้เพื่อนหลุดออกจากอารมณ์เศร้าหมองก็เท่านั้นเอง
-----
วันนี้วิฬาร์มีนัดกับหมอเฉพาะทาง ที่โรงพยาบาลเดิม ทุกคนในครอบครัวมากันพร้อมหน้า แถมศรุตพ่วงมาด้วยอีกหนึ่งหน่อ
“มึงจะตามมาทำไมเนี่ย” เจ้าตัวบ่นเพื่อนที่นั่งติดกันบนโซฟาของโรงพยาบาลเสียงเบา พวกเขากำลังรอเรียกคิวอยู่
“มึงจะทิ้งให้กูอยู่บ้านคนเดียวอีกหรือไง พรุ่งนี้กูก็กลับแล้วนะ”
แมวเหมียวรู้สึกผิดขึ้นมานิด ๆ ที่ไม่ได้พาเพื่อนไปเที่ยวไหนเลย “อยากไปเที่ยวไหนไหม เดี๋ยวให้เฮียพาไป”
“ไม่ดีกว่า” ศรุตปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด เขาไม่ได้ไม่ชอบอีกฝ่ายหรอก เพียงแค่รู้สึกไม่ค่อยดียามอยู่ใกล้แค่นั้น “กลับบ้านไปเล่นเกมด้วยกันตามที่เคยคุยไว้ก็พอ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า”
“กูไม่ได้เกรงใจครับเพื่อน” ศรุตกัดฟันเน้นย้ำทีละคำด้วยเสียงที่เบาที่สุด
แมวเหมียวทำหน้างง แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไรก็ถูกพยาบาลขานชื่อซะก่อน เขารีบลุกขึ้นยืนด้วยความเร็วก่อนจะโดนแม่ดุว่าต่อไปนี้จะลุกจะนั่งก็ให้ระมัดระวังให้มาก
“ขอโทษครับ” ลูกชายคนเล็กยิ้มแห้ง
“ไม่ต้องขอโทษหรอกลูก แม่แค่เตือนเฉย ๆ ต่อไปนี้หนูไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะครับ” เกวลินบอกด้วยความเป็นห่วง แมวเหมียวร่างกายไม่แข็งแรงเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย เวลานี้ยิ่งต้องระวังเข้าไปอีก
“สวัสดีครับ” วิฬาร์ยกมือไหว้คุณหมอก่อนทันทีที่เข้าไปในห้องตรวจ
นายแพทย์หนุ่มที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศได้ไม่นานรับไหว้พร้อมกับรอยยิ้ม “เชิญครับ ๆ พี่มลช่วยหาเก้าอี้มาเพิ่มให้หน่อยได้ไหมครับ” เขาหันไปบอกพี่พยาบาลที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เมื่อเห็นว่านอกจากคนไข้แล้วยังมีญาติมาอีกหลายคน
“ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวผมกับลูกชายยืนได้ครับ” จักรชัยบอกอย่างเกรงใจ ให้ภรรยากับแมวเหมียวนั่งเก้าอี้ไป ส่วนเขากับน้ำ และศรุตยืนฟังก็ได้
“เดี๋ยวขอหมอดูประวัติหน่อยนะครับ” มือขาวเปิดแฟ้มคนไข้ขึ้นมา ใบหน้าเกลี้ยงเกลาพยักหน้าช้า ๆ กับข้อมูลที่ได้อ่าน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่ม “เป็นเคสที่หายากมากเลยนะครับ หมอเองก็เคยแต่อ่านงานวิจัย เป็นครั้งแรกที่ได้เจอด้วยตัวเองเลย”
แมวเหมียวกะพริบตาปริบ ๆ จากที่เกร็ง ๆ ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเมื่อเห็นว่าคุณหมอตรงหน้าดูเป็นกันเองมากกว่าที่คิด
“เคยมีเคสแบบนี้เกิดขึ้นด้วยเหรอคะ” เกวลินเอ่ยถาม
“ครับ” นายแพทย์หนุ่มตอบรับ “เคยมีเพศชายตั้งครรภ์เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีที่แล้วในอเมริกา ที่ไม่ได้เป็นข่าวเพราะเจ้าตัวไม่ได้อยากเปิดเผยให้ใครทราบน่ะครับ”
“แล้ว..เขาปลอดภัยดีไหมครับ” จักรชัยถามถึงสิ่งที่กังวล
“ปลอดภัยดีทั้งคู่ครับ”
คนเป็นพ่อค่อยโล่งอกขึ้นมาหน่อย ที่เขาเป็นกังวลที่สุดก็คือลูกชายของเขาจะเป็นอันตรายมากกว่า
“แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างด้วยนะครับ ปกติร่างกายผู้ชายก็ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ตั้งครรภ์อยู่แล้ว และด้วยวัยของน้องเขาก็ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ผมกังวลว่าน่าจะลำบากสักหน่อยครับ”
“แล้วทางคุณหมอมีคำแนะนำให้กับพวกเราไหมครับ” ธีราเอ่ยถามในขณะที่ทุกคนกำลังอึ้ง
“ในเวลานี้หมอว่าทางไหนมันก็เสี่ยงไปหมดนะครับ ถ้าเลือกยุติการตั้งครรภ์ ในข้อนี้ระยะปลอดภัยอายุครรภ์ไม่ควรเกิน 12 สัปดาห์ แต่หมอประเมินอายุครรภ์ในตอนนี้คาดว่าน่าจะ 18-22 สัปดาห์เข้าไปแล้ว ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นครับ แต่ถ้าน้องเลือกที่จะตั้งครรภ์ต่อไปก็ต้องระวังให้มาก ๆ และมาพบหมอทุกครั้งเมื่อมีนัด หรือมีอะไรผิดปกติก็ควรจะรีบมาโรงพยาบาลทุกครั้ง”
วิฬาร์ได้ยินแบบนั้นก็มือสั่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
นายแพทย์หนุ่มที่สังเกตได้ถึงความเครียดของเขาก็หันมาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “น้องตัดสินใจยังไงก็บอกพี่หมอได้นะ” รู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ายังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ในเรื่องนี้เขาคิดว่าอีกฝ่ายควรเป็นคนตัดสินใจจะดีกว่า
คนอายุน้อยหันมองหน้ามารดาเพื่อขอความกล้าในการที่จะพูดความในใจออกไป เธอพยักหน้าให้ยิ้ม ๆ นั่นทำให้เขามีกำลังใจขึ้นมากเลยทีเดียว
“ผมจะอุ้มท้องเขาต่อไปครับ รบกวนพี่หมอด้วยนะครับ”
“ไว้ใจพี่หมอได้เลยครับ” นายแพทย์หนุ่มยิ้ม
หลังจากนั้นแมวเหมียวก็ถูกพาไปอัลตร้าซาวด์ ครั้งแรกที่ได้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตน้อย ๆ ในท้องของตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาซึมออกมา บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเขารู้สึกอย่างไร มันผสมปนเปไปหมด..ทั้งดีใจ แปลกใจ และกังวลใจ
“ตรงนี้เป็นส่วนลำตัวนะครับ หัวใจมีครบ 4 ห้องปกติดี ตรงนี้เป็นกระเพาะอาหาร อยู่ข้างเดียวกับหัวใจนะครับ ข้างซ้ายปกติ ตรงนี้เป็นข้างขวาของน้อง อันนี้เป็นตับ นี่เป็นไตสองข้างนะครับ อันนี้เป็นสายสะดือ ผนังหน้าท้องปิดดี ไม่มีลำไส้รั่วออกมาด้านนอก ตรงนี้เป็นกระเพาะปัสสาวะ สองท่อนนี้เป็นต้นขาของน้องนะครับ ตรงกลางระหว่างขามีขีด ๆ ได้ลูกสาวนะครับ”
จักรชัยกับธีราแอบแท็กมือกันเบา ๆ ในที่สุดครอบครัวของเราก็มีสาวน้อยมาเป็นเพื่อนคุณแม่สักที ส่วนศรุตนั้นก็ได้แต่มองภาพตรงหน้าอย่างมึนงง จ้องภาพทารกในจอด้วยความไม่อยากเชื่อ..แต่ก็ต้องเชื่อ
นายแพทย์หนุ่มเคลื่อนหัวตรวจไปตามท้องนูนพร้อมกับจับภาพให้ทุกคนเห็นไปด้วย ทั้งนับนิ้วเท้า นิ้วมือ ตรวจดูว่าทารกในครรภ์ปกติดีหรือเปล่า ซึ่งผลออกมาก็ปกติดีอย่างที่ทุกคนหวังเอาไว้
“อยากฟังเสียงหัวใจไหมครับ”
วิฬาร์ตาโต รีบพยักหน้าหงึก ๆ
“จังหวะการเต้นของหัวใจดีนะครับ”
วินาทีที่ได้ยินเสียงหัวใจนั้นทำเอาเขากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกแล้ว จนแม่ที่นั่งจับมืออยู่ข้าง ๆ กันหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู ทั้งที่ตัวเธอเองก็ซาบซึ้งไม่แพ้กัน
“รกก็ไม่มีปัญหา น้ำหนักถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ สรุปว่าทุกอย่างปกติดีนะครับ ถ้าอยากเห็นหน้าน้องชัดกว่านี้ต้องรอประมาณ 30 สัปดาห์นะครับ”
แมวเหมียวยิ้มให้พร้อมกับพยักหน้าเข้าใจ เขาอยากเห็นหน้าลูกตอนนี้เลยด้วยซ้ำ ว่าจะน่ารักน่าเอ็นดูขนาดไหน แต่ตอนนี้แค่ได้รู้ว่าลูกปกติดีเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
-----
“ตัดสินใจแบบนี้คิดดีแล้วใช่ไหม” จักรชัยถามย้ำ หลังจากที่ลูกชายคนเล็กบอกว่าจะออกจากโรงเรียน แล้วเปลี่ยนไปเรียนโฮมสคูลเอา
วิฬาร์พยักหน้า แววตากลมโตหนักแน่นไร้ซึ่งความไม่มั่นใจ เขาคิดมาดีแล้ว เพราะการไปเรียนในระบบมันทำให้เขาดูแลตัวเองลำบาก และถึงแม้ว่าหมอจะบอกว่าเขานั้นท้องเล็กมาก แต่นานไปมันก็จะดูออก บอกตามตรงว่าแมวเหมียวไม่อยากให้บ้านของเขาต้องเป็นขี้ปากใครต่อใคร
“ทางนี้เป็นทางที่ดีที่สุดแล้วครับ..เพื่อทุกคน”
คนเป็นพ่อไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ท่านรู้ว่าแมวกำลังเหมียวพยายามในแบบของตัวเองอยู่
“แมวเหมียวไม่ต้องคิดมากนะครับ ยังไงหนูก็ยังมีแม่อยู่ข้าง ๆ เสมอ”
“ขอบคุณครับ” เหมียวยิ้ม “เหมียวรู้ว่าเด็กคนนี้จะต้องสร้างภาระอะไรต่าง ๆ ให้กับทุกคนอีกมาก แต่เหมียวจะพยายามนะครับ”
“พูดอะไรแบบนั้น..หลานแค่คนเดียวเฮียเลี้ยงได้สบาย ๆ อยู่แล้ว” ธีราตบไหล่น้องชาย ในใจก็อดที่จะโมโหไอ้คู่กรณีของแมวเหมียวไม่ได้ ทำไมมันจะต้องเป็นน้องของเขาคนเดียวที่ต้องแบกรับอะไรหลายอย่าง ทั้งที่ตัวของมันก็เล็กแค่นี้ แต่ในเมื่อแมวเหมียวยืนกรานที่จะไม่บอกอีกฝ่าย เขาก็ต้องยอมรับการตัดสินใจนั้น
“ขอโทษ -”
“เลิกขอโทษได้แล้วน่า” เฮียเขย่าตัวน้องจนหัวสั่นหัวคลอน
“ต่อไปนี้อนุญาตให้พูดแค่คำว่าขอบคุณเท่านั้นนะ” ป๊าบอก “ไหนลองพูดสิ”
“ขอบคุณครับ” เจ้าตัวก้มหน้าบอกเสียงเบา
“ดัง ๆ” ธีราบอก
“ขอบคุณครับ!”
“ดังขึ้นอีก”
“เหมียวไม่ใช่ดอร่านะ!” แมวเหมียวหลุดยิ้ม
“นั่นแหละ อย่าลืมยิ้มให้มันกว้าง ๆ ด้วย ถ้าแม่มันมีความสุขลูกมันก็จะมีความสุขไปด้วยนะรู้ไหม”
วิฬาร์ประชดด้วยการยื่นหน้าไปใกล้เฮียพร้อมกับฉีกปากยิ้มกว้าง
“พอใจยัง ๆ”
เสียงหัวเราะในครอบครัวดังขึ้นในรอบหลายวัน บรรยากาศผ่อนคลายเมื่ออะไร ๆ ลงตัว หวังว่าต่อจากนี้ไปจะมีแต่สิ่งดี ๆ เกิดขึ้น ต่อจากนี้ไปแมวเหมียวคิดเอาไว้แล้วว่าจะทำอะไรก็ต้องคิดถึงผลที่จะตามมา
วิฬาร์รู้แล้วว่าการมีลูกในวัยที่ยังไม่พร้อม..มันเป็นสิ่งที่หนักหนา และเขาก็ต้องยอมรับในสิ่งที่ตัวเองได้กระทำลงไป โดยการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ให้เร็วกว่าเดิม มีความรับผิดชอบให้มากกว่าเดิม และ...ลืมพี่เก้าให้ได้เร็วกว่าเดิม
tbc…
แมวเหมียวของแม่เติบโตไปอีกขั้นแล้วน้า