The First Hint
ปกติแล้ว เวลานั่งรถ ไม่ว่าจะนั่งไปกับใครก็ตาม ตัวผมไม่ค่อยจะมีปัญหาเรื่องความเงียบในรถมากเท่าไหร่ สาเหตุคงเพราะผมชอบความเงียบด้วยส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็เพราะตัวผมไม่ได้รู้สึกว่าความเงียบนั้นเป็นเหตุแห่งความอึดอัดใจ ยิ่งถ้าความเงียบนั้นเป็นความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับฮานด้วยแล้ว มันยิ่งไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดบรรยากาศที่กระอักกระอ่วนขึ้นได้เลย ผมคิดและเชื่อแบบนั้นมาตลอดจนกระทั่งได้มาเจอเขากับคนที่ตรงกันข้ามกับผมโดยสิ้นเชิง
จะเป็นใครไปได้อีกล่ะนอกจาก ‘เขา’ นั่นล่ะ
ผมเหลือบมองคนที่ง่วนอยู่กับการแหกปากร้องเพลงมาตั้งแต่เมื่อสิบนาทีก่อนด้วยหางตาพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ
ในตอนแรกก่อนที่กลับมาบ้านเกิด ผมก็ตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะต้องไปหาอาจารย์ที่นัดหมายไว้กับฮานให้ได้ ตั้งใจเอาไว้อย่างดีว่าจะไปเคลียร์ใจเรื่องทุกอย่างให้จบสิ้นกันไป แต่พอเอาเข้าจริงกลับเป็นตัวผมเองที่ไม่กล้าจะพูดว่า ‘เราไปหาคนรักของคุณพ่อฮานกันเถอะ’ ออกไป ประกอบกับคำพูดของเจ้าพี่ชายเมื่อวานทำให้ผมยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พูดออกไปให้ฮานรู้ไม่ได้เข้าไปใหญ่
ผมยังไม่อยากให้เขารู้ในตอนนี้
ยังไม่ใช่ตอนนี้
พอตัดฮานออกไปแล้ว ผมก็ยิ่งจนปัญญาในการเดินทางไปหาอาจารย์ยิ่งกว่าเก่า ด้วยเพราะบ้านของเขาอยู่ค่อนข้างไกลจากบ้านของผมมาก ที่สำคัญโอเซนก็ไม่ได้มีระบบขนส่งสาธารณะที่ดีขนาดนั้น
เพราะแบบนั้นมันก็เลยกลายเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้...
‘เอ๋ นายมาขอร้องฉันเนี่ยนะ ประหลาดใจจังแหะ’สุดท้ายผมก็เลยต้องบากหน้าไปขอให้คนที่ไม่อยากจะขอให้ช่วยที่สุดเข้าจนได้ มิกเกลมีท่าทีร่าเริงอย่างเห็นได้ชัด ผมแทบจะเดาไม่ออกอยู่แล้วว่าเขาดีใจเพราะอยากช่วยจริงๆ หรือเพราะมีอะไรแอบแฝงอยู่กันแน่
แต่ช่างเถอะ เป็นมิกเกลแหละดีแล้ว...
‘เพราะกลัวจะสูญเสียเลยต้องควบคุม เพราะกลัวว่าสุดท้ายจะไม่เหลือใครจึงต้องผูกมัด เรื่องแบบนั้นมันก็เข้าใจได้อยู่ไม่ใช่เหรอ’เพราะคำพูดของมิกเกลดันไปตรงกับสิ่งที่อาจารย์เคยพูดเอาไว้เมื่อนานมาแล้วอย่างพอเหมาะพอเจาะ สุดท้ายผมก็เลยต้องยอมรับอย่างช่วยไม่ได้ว่า ไม่มีใครเหมาะสมกับภารกิจนี้ไปมากกว่าเขาอีกแล้ว
สุดท้ายผมก็เลยตกกะไดพลอยโจรไปกับเกมหลอกล่อพ่อแม่ของเจ้าพี่ชายตัวแสบเข้าจนได้
หลังจากอาหารค่ำเมื่อวาน มิกเกลแกล้งบอกพ่อกับแม่ให้รั้งตัวฮานไปช่วยงานอะไรสักอย่างที่ผมเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่เหมือนพ่อกับแม่จะรู้ดีว่าพี่ชายของผมกำลังพูดถึงอะไร ราวกับเป็นความลับที่เข้าใจกันอยู่สามคนอย่างไรอย่างนั้น พวกเขาพยักหน้าหงึกหงักให้กันไปมาอย่างมีความสุข และนั่นก็เป็นอีกครั้งที่มิกเกลเองสามารถใช้รอยยิ้มสดใสราวกับพระอาทิตย์นั้นหลอกล่อคนไปได้อย่างแนบเนียน
สุดท้าย ผมก็เลยสามารถเดินทางไปบ้านของอาจารย์ได้อย่างสบายใจ
นี่สินะ ความเก่งกาจของพี่ชายที่ต่อให้พยายามจนตายผมก็ไม่สามารถทำตามได้
ทั้งรู้สึกอิจฉาแล้วก็หมั่นไส้อย่างน่าประหลาดใจเลยจริงๆ
ผมปรายตามองคนที่นั่งร้องเพลงอย่างออกรสอีกครั้งก่อนจะแสร้งถอนหายใจให้ดังขึ้นกว่าเก่า
ถึงจะรู้สึกขอบคุณพี่ชายมากๆ ที่ยอมร่วมมือ แต่ก็นะ ยังไงพวกเราก็เข้ากันไม่ค่อยจะได้อยู่ดีนั่นล่ะ
“นี่พี่ ร้องมาจะครึ่งอัลบั้มอยู่แล้ว ไม่เบื่อรึไง”
“เห” มิกเกลหยุดร้องเพลงพลางทำหน้าครุ่นคิด ถึงสีหน้าจะดูจริงจัง แต่นิ้วชี้ทั้งสองข้างของเขาก็ยังคงเคาะพวงมาลัยรถตามจังหวะเพลงได้อย่างลื่นไหลไร้ท่าทีจะหยุด “จะเบื่อได้ยังไงล่ะในเมื่อไม่ได้ร้องเพลงเดิมสักหน่อย”
ผมเลิกคิ้ว ไอ้คำตอบแบบนี้นี่ชวนให้รู้สึกโมโหชะมัดเลย
เพราะแบบนั้นล่ะมั้งผมเลยรู้สึกอยากจะลองกวนอารมณ์เขาเป็นการเอาคืนดูสักหน่อย
“แบบนี้แปลว่าถ้าต้องฟังเพลงเดิมเพลงเดียวตลอดก็จะเบื่อสินะ”
“เห ถามยากจังเลยน้า” มิกเกลแซวผมพลางหัวเราะร่วน “ถ้าเป็นเพลงที่ชอบจริงๆ ยังไงก็ไม่เบื่อหรอก”
“จะมีเหรอ เพลงแบบนั้นน่ะ”
“นั่นสิน้า” เขาตอบรับอย่างอารมณ์ดี “แต่นายก็ไม่เคยเบื่อฮานนี่นา ใช่ไหมล่ะ”
ผมหันไปมองหน้าคนพูดพลางย่นหน้าใส่ “เอาคนกับเพลงไปเทียบกันแบบนั้นได้ที่ไหนกันเล่า”
“ก็ไม่เห็นจะต่างกันเลยนี่” เขาอมยิ้ม “ถ้าคนสามารถปรับเปลี่ยนบุคลิกไปตามกาลเวลาได้ เพลงเองก็ทำได้เหมือนกันนะ”
เอาอีกแล้วสิ เขาเริ่มพูดอะไรที่ผมไม่เข้าใจอีกแล้ว
“ถ้ามนุษย์น่าสนใจเพราะเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงแล้วล่ะก็ ดนตรีเองก็มีคุณสมบัติแบบนั้นอยู่เหมือนกันนะ เป็นต้นว่า ถ้าหากเรามีความสุขดี เวลาฟังเพลงเศร้าก็จะไม่ได้รู้สึกอะไรมากมายใช่ไหมล่ะ แต่พออกหักดังเป๊าะขึ้นมา จู่ๆ เพลงเศร้าเพลงเดิมก็ดันตรงกับชีวิตของตัวเองขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทั้งที่คนแต่งเขาก็ไม่ได้เขียนเพลงให้เราแท้ๆ” แล้วเขาก็เงียบไปอึดใจ “ดนตรีน่ะ เป็นของแบบนั้นล่ะ เป็นสิ่งที่ปรับเปลี่ยนไปตามประสบการณ์ของผู้ฟังอย่างอิสระเสรีเลยล่ะนะ”
“เข้าใจยากจัง”
เขาหัวเราะร่วนให้กับคำบ่นของผม “ก็นะ ไม่ได้คาดหวังให้เข้าใจอะไรหรอก ฉันก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อยน่ะ สิ่งที่อยากให้เข้าใจจริงๆ น่ะ...” แล้วดวงตาสวยก็พลันเหลือบมามองผม แม้เพียงแค่แวบเดียว แต่เขาก็เหลือบมามองผม จ้องมองมาที่ผมอย่างไม่คิดปิดบัง “คือเรื่องของตัวนายเองต่างหาก”
ให้ตายซี่ นึกจะพูดอะไรก็พูด อยากจะเข้าประเด็นไหนก็เข้า เอาแต่ใจจังเลยนะพี่ชายผมเนี่ย
แต่เอาเถอะ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
“บอกตามตรงนะ ต่อให้เอาเรื่องที่พี่พูดไปคิดมาทั้งคืนแล้ว ผมก็ยังไม่เข้าใจอะไรเลยอยู่ดี” ผมนิ่งไปเล็กน้อย “แบบว่า...ไม่ค่อยเข้าใจว่าฮานผูกมัดผมตรงไหนน่ะ”
“เห หัวทึบกว่าที่คิดนะเนี่ย” มิกเกลว่าด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อย “แล้วทำไมถึงไม่คิดแบบนั้นล่ะ”
ทำไมน่ะเหรอ...
“ก็แบบว่า...” ผมบีบมือทั้งสองข้างเข้าหากันแน่นขึ้นอีกหน่อย “ผมน่ะ ไม่เคยมองความรักระหว่างผมกับฮานเป็นอะไรที่ลึกซึ้งอย่างที่พี่มองเลยสักนิด พวกเราก็แค่รักกันแล้วก็อยู่ด้วยกัน มันก็แค่นั้นไม่ใช่เหรอ ผมไม่เห็นว่าฮานเขาจะทำอะไรที่....”
“แน่ใจเหรอ”
เอ๊ะ
“แน่ใจเหรอว่าเขาไม่ได้ผูกมัด”
ผมหันไปมองหน้าพี่ชายตัวเองด้วยสีหน้าฉงนใจ นัยน์ตาของมิกเกลยังคงจับจ้องตรงไปยังถนนเบื้องหน้า ไม่แม้แต่จะปรายตามองกลับมา ถึงอย่างนั้น ผมกลับสัมผัสถึงอารมณ์กดดันของเขาได้อย่างชัดเจนราวกับว่าพวกเรากำลังสบตากัน
“เรื่องที่ว่าเขาไม่ได้ผูกมัดน่ะ เขาไม่ได้ทำจริงๆ หรือเขาทำแต่นายไม่รู้ หรือ...” แล้วเขาก็ปรายตามาแวบนึงก่อนจะกลับไปมองถนนตรงหน้าตามเดิม “นายแค่พยายามจะหลอกตัวเองว่าเขาไม่ได้ทำกันแน่”
หลอกตัวเองว่าฮานไม่ได้ทำเหรอ เรื่องแบบนั้นมันจะเป็นไปได้ยังไง...เอ๊ะ
ภาพความทรงจำมากมายไหลย้อนกลับเข้ามาในหัวราวกับสายน้ำที่ถูกเปิดออกมาจากก๊อก
ยากันฮีทที่ถูกจัดให้ทุกเดือน
อาหารทุกมื้อที่ถูกเตรียมให้
ตารางชีวิตที่ถูกคิดมาให้แล้วเป็นอย่างดี
ชีวิตที่มีฮานคอยดูแลอยู่รอบๆ สิ่งเหล่านั้นเรียกว่าการผูกมัดงั้นเหรอ
ถ้าคนอื่นจะเรียกสิ่งเหล่านั้นว่าการผูกมัดล่ะก็...
“ผมไม่นับว่าสิ่งที่ฮานทำเป็นการผูกมัดหรอกนะ”
“อาฮะ” เขาว่าพลางใช้มือทั้งสองข้างหมุนพวงมาลัยด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติ “ก็คิดอยู่แล้วล่ะว่าคำตอบคงจะเป็นประมาณนี้”
“เอ๊ะ”
มิกเกลอมยิ้มทั้งที่นัยน์ตายังจับจ้องไปยังถนนตรงหน้านิ่ง “ก็แบบว่า ถ้านายไม่ใช่คนที่มีวิธีคิดแบบนี้ ก็คงจะกลัวแล้วก็หนีฮานไปตั้งแต่ต้นแล้ว แต่ที่ไม่หนีไปก็เพราะคิดแบบนี้ไงล่ะ”
คิ้วของผมเริ่มขยับเข้าใกล้กัน “หมายความว่ายังไงกันน่ะ พูดเข้าใจยากจัง”
แล้วมิกเกลก็พลันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ไม่ไหวแฮะ ฉันคุยกับคนธรรมดาไม่ค่อยรู้เรื่องจริงๆ ด้วย”
ใช่สิ พ่อคนฉลาด พ่อคนอัจฉริยะ ขอโทษแล้วกันนะที่ในหัวผมมีแต่ขี้เลื่อยน่ะ
“ขอโทษทีแล้วกันนะที่ผมเป็นพวกเข้าใจยากนะ” ผมว่าพลางยกมือขึ้นกอดอก อาการอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ อย่างรุนแรงของผมเริ่มกลับมาอีกครั้ง แม้จะไม่มากเท่าก่อนหน้านี้ แต่ผมก็รู้สึกได้เลยว่าตัวผมเองมีบางอย่างที่เปลี่ยนไป ทั้งที่เป็นเรื่องเล็กน้อยแท้ๆ ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกหงุดหงิดใจขนาดนี้ ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เป็นแบบนี้แท้ๆ ทั้งที่ตอนอยู่กับฮานก็...เอ๊ะ...
ผมใช้มือทาบลงบนหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิก่อนจะไล้ไปบีบตามเนื้อตามตัวที่เมื่อยขบ
จริงสิ เวลามีฮานอยู่ใกล้ๆ อาการไม่สบายตัวทั้งหมดนี้มันก็เหมือนจะหายไปเป็นปลิดทิ้งเลย
“รู้ตัวแล้วสินะเจ้าน้องชาย” คำพูดที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ผมต้องหันขวับไปมองใบหน้าด้านข้างของมิกเกลที่กำลังฉีกยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ แต่เหมือนเขาไม่ได้สนใจจะหันมามองผมเลยสักนิด ดวงตาสีสวยยังคงจดจ่อแน่วแน่อยู่กับการขับรถ “แบบว่า นี่ก็ถือเป็นการทดลองเล็กๆ น้อยๆ ล่ะนะ”
“ฮะ?”
เขายักไหล่ “จริงๆ จะเรียกว่าการทดลองก็คงไม่ถูกหรอก แค่เล่นสนุกน่ะ” พอพูดจบ เขาก็พลันหัวเราะออกมาเบาๆ “ฉันน่ะเป็นเบต้านะ ถึงจะเจ็บใจหน่อยๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าพวกเรามันเป็นชนชั้นที่ผ่าเหล่าผ่าก่อ ไอ้สารจำพวกฟีโรโมนกลิ่นหรืออะไรแบบนั้นน่ะ ฉันรับรู้ไม่ได้หรอกนะ รวมถึงพวกอาการรัทหรือฮีทอะไรนั่นก็เป็นเรื่องที่ไกลตัวมากๆ เลยด้วย แต่จากการคาดเดา ทั้งที่นายก็เพิ่งจะท้องอ่อนๆ แต่กลับสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม แถมยังไม่ปรากฏอาการแพ้ท้องหรืออาการอ่อนเพลียทางกายให้เห็นสักเท่าไหร่ทั้งที่แยกกับฮานมาได้หลายชั่วโมง เรื่องแบบนี้มันก็ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
แล้วเขาก็คลี่ยิ้มกว้างออกมาทั้งที่ไม่ได้หันมามองหน้าผม “ฟีโรโมนของอัลฟ่านั่นล่ะคือคำตอบ”
“หมายความว่ายังไงกันน่ะ” นัยน์ตาของผมจ้องมองไปยังใบหน้าของเขานิ่ง “ผมก็พอรู้อยู่หรอกนะว่าฟีโรโมนของอัลฟ่าจะช่วยให้โอเมก้าที่ตั้งครรภ์ผ่านสภาวะที่ยากลำบากไปง่ายขึ้น เพราะฉะนั้นมันก็คงไม่แปลกถ้าผมที่ได้รับฟีโรโมนของฮานจะไม่...”
“นายน่ะ รู้จักสรีระของตัวเองดีแค่ไหนกันเหรอเอล”
เอ๊ะ
ใบหน้าของมิกเกลผินมามองผมเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปจดจ่อกับท้องถนนอีกครั้ง “ทั้งที่เป็นโอเมก้าแท้ๆ แต่ก็ดันรู้เรื่องตัวเองน้อยมาก เรื่องแบบนั้นน่ะอย่าให้ใครรู้เชียว มันน่าอายนะ”
มันก็จริงอยู่หรอกที่ผมไม่ค่อยรู้เรื่องอัลฟ่า โอเมก้าอะไรนั่นเท่าไหร่ แต่ว่านะ...
“ก็จริงอยู่ที่ฟีโรโมนของอัลฟ่าจะช่วยระงับอาการไม่สบายตัวระหว่างตั้งครรภ์ของโอเมก้าได้ แต่ในกรณีปกติแล้วน่ะ...” เขาเว้นจังหวะไปเล็กน้อย “ฟีโรโมนจะเกิดผลก็ต่อเมื่ออัลฟ่าอยู่ใกล้ๆ กับโอเมก้าเท่านั้นล่ะนะ”
เอ๊ะ
“ทีนี้นายก็คงเริ่มเอะใจแล้วใช่ไหมล่ะว่าทำไมกันน้า ตัวนายถึงยังสบายดีอยู่ได้ทั้งที่ฮานไม่ได้อยู่ใกล้ๆ”
ไม่ทันที่ผมจะรู้ตัว จู่ๆ รถยนต์โดยสารของพวกเราก็หยุดลง ผมเดาว่าในขณะที่ผมกำลังง่วนอยู่กับบทสนทนา มิกเกลก็ถือวิสาสะตบไฟเลี้ยวเข้าข้างทางแล้วพาผมมายังอาคารเล็กๆ ที่ดูไปแล้วก็เหมือนจะเป็นร้านกาแฟไม่ก็ร้านสะดวกซื้อขนาดเล็กบริเวณริมถนน
แต่เขาจะพาผมมาที่ร้านสะดวกซื้อทำไมกันนะ...
“ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่าฉันมาจอดที่นี่ทำไม แค่จะลงไปหาอะไรเล็กๆ น้อยๆ มาให้นายกินระหว่างเดินทางน่ะ กว่าจะถึงบ้านอาจารย์ก็อีกไกล ปล่อยให้คนกำลังท้องหิวนานไปก็คงไม่ดี”
อา พี่ชายผมเนี่ย เป็นแบบนี้ทุกทีเลยสิ แล้วผมจะหงุดหงิดเขาลงได้ยังไงกันล่ะ
“อ้าว นั่งนิ่งอยู่ทำไมกันล่ะ ปลดเข็มขัดนิรภัยได้แล้ว”
“เอ๊ะ” ผมมองเขาด้วยแววตาประหลาดใจ “ผมต้องลงไปด้วยเหรอ”
สิ้นเขาถามของผม คนฟังก็พลันเลิกคิ้วด้วยสีหน้ายียวน “ไม่เอาน้าเอล นายไม่คิดจะทำตัวเป็นคนท้องอุ้ยอ้ายนั่งอุดอู้อยู่กับที่ตลอดเวลาใช่ไหม” ก่อนที่ผมจะรู้ตัว มือเรียวสวยก็พลันมาอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว มาแนวนี้ก็คงไม่พ้น...
“โอ๊ย เจ็บนะ!”
นิ้วที่ดีดเข้ามาที่หน้าผากเต็มแรงทำให้ผมเผลอร้องลั่นออกไป หลังจากตั้งสติได้ก็ทำได้แค่ขยับตัวออกห่างจากเขาแล้วนั่งลูบหน้าผากตัวเองปอยๆ เท่านั้น บ้าจริง เขายังทำราวกับผมเป็นเด็กเล็กๆ อยู่อย่างงั้นล่ะ
“เจ็บสิดี จะได้รู้ว่าคนท้องไม่ใช่คนป่วย เลิกทำตัวเหยาะแหยะแล้วลงไปซื้อของกันได้แล้ว” น้ำเสียงนั้นช่างเผด็จการและน่าหมั่นไส้ แต่เอาเถอะ ผมรู้อยู่หรอกน่าว่าเขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร
จะยอมทำตามสักวันหนึ่งก็ได้นะ...
ในขณะที่ผมกำลังตกลงกับตัวเองอยู่นั้น จู่ๆ มิกเกลที่เพิ่งปลดเข็มขัดนิรภัยเสร็จก็พลันเอ่ยปากขึ้นมา
“อ้อ แล้วก็เรื่องที่คุยกันเมื่อกี้นี้น่ะ จะบอกให้ก็ได้นะว่าฉันสันนิษฐานเรื่องอาการของนายเอาไว้ว่ายังไง”
เอ๊ะ เดี๋ยวสิ จู่ๆ ก็กลับมาเข้าประเด็นแบบนี้เลยเหรอ แบบนี้มันไม่เปลี่ยนหัวข้อไปมามากไปหน่อยเหรอ...
“ก็อย่างที่บอกไปว่าในกรณีของคู่อื่นน่ะ ฟีโรโมนจะเกิดผลต่อโอเมก้าก็ต่อเมื่อทั้งสองอยู่ใกล้กันเท่านั้น ถ้าออกห่างจากกันเมื่อไหร่ก็จบ แต่มันก็มีอยู่คำตอบอยู่คำตอบหนึ่งที่พอจะตอบคำถามของฉันได้ เพียงแค่ฉันไม่ค่อยอยากจะยอมรับเท่าไหร่น่ะนะ”
เขาปรายตามองผมด้วยแววตาเรียบนิ่งที่อ่านไม่ออก “ในกรณีคู่อัลฟ่าโอเมก้าทั่วไปแล้ว ฟีโรโมนจะมีผลเมื่ออยู่ในอาณาเขตที่เหมาะสม แต่มันก็มีกรณียกเว้นน่ะนะ...” แล้วประกายแห่งความพึงพอใจก็พลันปรากฏขึ้นในดวงตาที่เหมือนกับผมราวกับแกะ “สำหรับคู่ที่เป็นคู่แห่งโชคชะตากันนะ”
เอ๊ะ
“ถ้าโอเมก้ากับอัลฟ่าที่เป็นคู่แห่งโชคชะตากันได้ทำพันธะกันแล้ว สายสัมพันธ์ของพวกเขาก็จะแน่นแฟ้นกว่าคนทั่วไป ฟีโรโมนที่อัลฟ่าหลั่งออกมาระหว่างผูกพันธะก็จะเข้มข้นกว่ากรณีผูกพันธะปกติด้วย”
เขาหยุดพูดคล้ายต้องการปล่อยให้ผมได้มีเวลาตกผลึกข้อมูล
“ในกรณีปกติ ฟีโรโมนของอัลฟ่าจะแทรกซึมเข้าไปในตัวโอเมก้าแค่ในระดับที่พอจะให้รู้ว่าโอเมก้านี้มีเจ้าของแล้ว แต่ในกรณีที่เป็นคู่แห่งโชคชะตากัน ฟีโรโมนของอัลฟ่านั้นจะเข้มข้นกว่ามาก มากจนสามารถแทรกซึมเข้าไปในร่างของโอเมก้าได้จนถึงระดับเซลล์ นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมโอเมก้าที่ตั้งครรภ์กับคู่แห่งโชคชะตาของตัวเองจึงไม่ปรากฎอาการแพ้ท้องหรืออาการอารมณ์แปรปรวนเกิดขึ้น”
“เพราะฟีโรโมนของอัลฟ่าอยู่ในตัวโอเมก้าอย่างเพียงพอแล้วอย่างงั้นเหรอ”
มิกเกลพยักหน้าให้ผมด้วยสีหน้าร่าเริง “อาฮะ เพราะแบบนั้นไงฉันถึงได้บอกว่ามันแปลกเพราะนายกับฮานไม่ได้เป็นคู่แห่งโชคชะตากันสักหน่อย สัญลักษณ์คู่แห่งโชคชะตาที่คอก็ไม่ขึ้นด้วย” แล้วเขาก็ขยิบตาให้ผม “เพราะแบบนั้นมันถึงได้น่าสนใจไงล่ะ”
“น่าสนใจ...เหรอ” ผมทวนคำพูดของเขาด้วยความสับสน “หมายความว่ายังไงกันน่ะ...”
“เอ หมายความว่ายังไงน่ะเหรอ” ชายหนุ่มหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเปิดประตูรถออกกว้าง “ก็หมายความว่าเขาคนนั้นน่ะ...สามีที่น่ารักของนายน่ะ แอบวางยานายมาตั้งนานแล้วน่ะสิ”
เอ๊ะ
“ในเมื่อไม่ใช่คู่แห่งโชคชะตากัน เพราะแบบนั้นก็เลยตั้งใจจะขีดโชคชะตาของตัวเองขึ้นมาด้วยมือของตัวเองซินะ หมอนั่นเนี่ย สุดยอดไปเลยนะ สุดยอดมากๆ สุดยอดจนฉันหุบยิ้มไม่ได้เลยล่ะ”
“ดะ เดี๋ยวสิ ผมยังไม่เข้าใจอะไรเลยนะ”
“เห นายเนี่ยน้า ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเป็นน้องชายของฉันจริงๆ น่ะ” เขาทำหน้าเหนื่อยหน่ายใส่ผมอย่างไม่ปิดบัง “ยังไม่เข้าใจอีกรึไง หมอนั่นกับนายน่ะ ทั้งที่ไม่ใช่คู่แห่งโชคชะตากันแท้ๆ แต่ทำไมนายถึงได้มีอาการเหมือน ไม่สิ...”
เขาหยุดคิดไปเล็กน้อย “อาจจะไม่เหมือนเสียทีเดียวแต่ก็นับว่าใกล้เคียงกับคู่ที่เป็นคู่แห่งโชคชะตากันมาก คิดว่าเพราะอะไรถึงเป็นแบบนั้นล่ะ” มิกเกลฉีกยิ้มกว้าง “ก็เพราะหมอนั่น...ฮานน่ะ คอยโอบล้อมนายด้วยฟีโรโมนของตัวเองอยู่ตลอดเลยน่ะสิ อาจจะไม่เข้มข้นพอให้นายรู้สึกได้ แต่เขาทำแน่ เขาคอยกกกอดนายผ่านฟีโรโมนของตัวเองมาตลอดแน่ๆ”
มาตลอด...งั้นเหรอ...
“กระบวนการแบบนี้มันต้องใช้เวลานะเอล ลำพังแค่หลังแต่งงานจนถึงตอนนี้น่ะ ทำขนาดนี้ไม่ได้หรอก หรือถ้าจะพูดให้ถูก...” นัยน์ตาของมิกเกลเป็นประกายราวกับเด็กกำลังเจอของเล่นที่ถูกใจ “หมอนั่นน่ะแอบป้อนฟีโรโมนของตัวเองให้ร่างกายของนายมาตั้งนานแล้ว เป็นแผนที่วางมาตั้งนานแล้ว อย่างน้อยก็ต้องสามปีเป็นอย่างต่ำล่ะนะ”
พี่ชายของผมก็หัวเราะร่วนออกมาอย่างอารมณ์ดี
“โชคชะตาของเรามีแค่เราเท่านั้นที่กำหนดได้งั้นเหรอ ให้ตายสิ ฉันนับถือเจ้านั่นเป็นบ้าเลย”
แล้วประตูรถที่เคยเปิดกว้างก็ถูกปิดลง
**************************************************************************