ตอนที่ 5
ฟู่…
ทวิชที่เพิ่งอ่านหนังสือพิมพ์เล่มสี่สีพิเศษที่ถูกนำมาแจกอย่างเร่งด่วนเมื่อเช้า อัดบุหรี่เข้าร่างกายและพ่นออกมาจนควันท่วมหลังตึก นัยน์ตาสีทองสั่นระริกรื้นไปด้วยน้ำตาเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเห็นและอ่านไปเมื่อกี้
มันเป็นภาพเพื่อนของเขาในร่างมนุษย์ถูกแขวนคออยู่บนบานประตูเหล็ก บนอกถูกตอกด้วยลิ่มสีทองที่ทางการมักจะใช้กับนักโทษคดีร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิตเพื่อเป็นการประจาน บริเวณตามเนื้อตัวอาบด้วยเลือดและรอยกระสุน แทบจะไม่มีส่วนใดของร่างกายที่ดูปกติ
มีเพียงใบหน้าของ ‘กาย’ เท่านั้นที่ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บสาหัส แต่มันกลับเป็นสีหน้าที่แสดงชัดถึงความเจ็บปวดมาก จนแม้แต่ความตายที่เข้ามาถึงตัว ก็ไม่สามารถทำให้ความทุกข์ทรมานที่คั่งค้างบนร่างกายหายไปได้
ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่พอจะได้เดาอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังโกรธมากและเสียใจจนตัวสั่นอยู่ดี
เพราะหนึ่งในสิ่งที่เลวร้ายที่สุดของรัฐบาลนี้คือการลงมือฆ่าประชาชนของตัวเองที่เห็นต่างอย่างเลือดเย็น พวกเขาเพิกเฉยต่อคำร้องขอที่เหล่าพลเมืองเรียกร้อง มองว่ามันเป็นการกระทำที่ประสงค์ร้ายต่อรัฐ เป็นความคิดที่มุ่งให้ประเทศเกิดความเสียหาย และเป็นการสมควรแล้วที่พวกเขาจะมีสิทธิ์อันชอบธรรมในการกำจัดบุคคลเหล่านี้
การเคลื่อนไหวของกลุ่มนักปฏิวัติที่กระทำไปเมื่อวานจึงถูกนับว่าเป็นการก่อการร้ายในชั่วพริบตา ทั้งๆ ที่พวกเขาแค่พยายามจะทำอันตรายต่อรูปปั้นหินอ่อนสิงโตตัวนั้น พยายามจะบอกกับประชาชนคนทั่วไปว่าอัลฟ่านั้นไม่ได้วิเศษวิโสอย่างที่พวกเขาคิด เป็นเพียงบุคคลธรรมดาเช่นเดียวกับเราๆ เท่านั้น
ไม่ใช่สมมุติเทพ เทพเจ้า หรืออะไรก็ตามแต่ที่ในศาสนาของอัลฟ่าพยายามจะพูดกรอกหูตลอดเวลาผ่านสื่อต่างๆ ทั้งบทเพลง โทรทัศน์ การเรียนหนังสือ หรือแม้แต่การมีวันรำลึกพระคุณของอัลฟ่าเป็นของตัวเองเพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของอัลฟ่า
เอาเข้าจริง พวกเขาก็แค่อยากจะบอกให้ทุกคนเลิกเชื่อได้แล้วว่าตัวเองนั้นติดหนี้บุญคุณใหญ่หลวงกับประเทศนี้
เพราะถ้าหากประเทศนี้มีบุญคุณกับพวกเขาจริง ทำไมพวกเขาถึงยังใช้ชีวิตกันอยู่อย่างยากลำบากอยู่ล่ะ ทำไมวันทุกวันพวกเขาถึงต้องประสบกับความหวาดกลัวตลอดเวลาว่าตัวเองจะทำอะไรผิด กลัวว่าจะถูกทำให้หายไปโดยที่เอาผิดใครไม่ได้ ประเทศนี้มันเป็นประเทศแบบไหนกัน ที่มอบสันติสุขให้กับประชาชนแบบนี้
คนที่เกิดในประเทศนี้มันไม่ใช่คนที่โชคดีที่สุดในโลกหรอก
แต่เป็นประชาชนที่พยายามหลอกตัวเองด้วยวาทกรรมสวยหรูของรัฐบาลก็เท่านั้น พวกเขาไม่กล้าเชื่อโลกภายนอก ไม่กล้าเชื่อประเทศอื่น เพราะรัฐบาลไม่ให้เชื่อ ทั้งๆ ที่สิ่งพวกเขาเหล่านั้นพูดนั้นมักจะเป็นความจริง
ความโง่งมและนัยน์ตามืดบอดของประชาชนอาจจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ประเทศนี้ไปไหนไม่ได้สักที
พวกเขาเลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่รัฐบาลบอกเสมอ แต่พวกเขากลับไม่เคยยอมเชื่อความจริงที่ปรากฏตรงหน้า มีคนตายมากมายเพื่อแลกกับการตื่นรู้ของพวกเขาเหล่านี้ แต่มันก็สูญเปล่าเสมอ เพราะทางการสามารถใช้สื่อได้อย่างเก่งกาจ ผลิตซ้ำประชากรในแบบที่ตัวเองต้องการได้มากเพียงพอ และปล่อยให้ประชาชนผู้เชื่องชื่อเหล่านี้ฆ่ากลุ่มกบฏด้วยตัวเองเพื่อที่มือของพวกเขาจะได้ไม่เปื้อนเลือดมากนัก
และเมื่อมีการนองเลือดมากเกินไป ก็โยนความผิดให้กับพวกเบต้าที่แสนเชื่องพวกนั้นรับไปเสีย
“…มีอะไรรึเปล่า? กันต์”
ทวิชกลืนก้อนสะอื้นลงคอ ใช้หลังมือปาดน้ำตาตัวเองลวกๆ และหันไปมองกันต์ที่เปิดประตูเข้ามามองตัวเองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ลูกค้า”
กันต์พูดนิ่งๆ ไม่แสดงท่าทีอะไรกับสภาพที่เหมือนผ่านการร้องไห้อย่างหนักมาของทวิช
“..อืม ขอบใจที่มาบอก”
ทวิชยิ้มและแตะไหล่ของกันต์เบาๆ เชิงขอบคุณตอนที่เดินสวนออกไป ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากได้ข่าวของกายแล้ว มันก็ทำให้เขาไม่พร้อมที่จะให้บริการหลับสบายกับใครเท่าไหร่ ลำพังแค่ความตายของเพื่อนเขามันก็หนักอึ้งพอแล้วจริงๆ
แต่ถึงแม้จะเจ็บปวดขนาดไหน ทวิชก็ยังคงสามารถแสดงออกได้ออกมาอย่างเป็นปกติราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คุณ..?”
ทวิชเรียกคนที่น่าจะเป็นลูกค้าตัวเองด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เพราะอีกฝ่ายกำลังนั่งฟุบอยู่กับโต๊ะ
“..คุณคือทวิชใช่ไหม”
น้ำเสียงหวานของหญิงสาวเรียกชื่อทวิชด้วยรอยยิ้มพราวเสน่ห์ด้วยความเคยชิน ซึ่งมันก็เล่นเอาทวิชเลิกคิ้วนิดๆ เพราะไม่บ่อยนักที่จะมีคนรู้ชื่อเขา ลำพังแค่จะมาร้านของเขาให้ถูกยังยากเลย ถ้าไม่ได้แผนที่แบบแน่นอนหรือมีคนพามา
“ครับ”
พอเห็นทวิชพยักหน้า หญิงสาวก็ยิ้มจนตาหยีและเผยร่างต้นอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองออกมา
“…เกรซ?”
ทวิชพึมพำด้วยความตกตะลึง เพราะในระแวกนี้มีไม่กี่คนที่มีร่างต้นเป็นกระต่ายสีชมพูแบบนี้!
“ค่ะ”
เกรซพยักหน้าเบาๆ แล้วรีบกลับคืนร่างมนุษย์ ราวกับว่ารังเกียจร่างของต้นของตัวเองนักหนา
“คุณแน่ใจแล้วใช่ไหม?”
ถึงแม้ว่าทวิชจะตั้งใจว่าวันนี้จะไม่บริการให้ใครแต่ก็อดถามไม่ได้อยู่ดี เพราะเกรซนั้นเป็นกระต่ายสีชมพูที่มีชื่อเสียงในเขตย่านกามอารมณ์ที่คอยขายเรือนร่างและร่างกาย ซึ่งในที่แห่งนั้นมักจะมีการจัดอันดับและเกรซก็มักจะครองอันดับหนึ่งอยู่เสมอ
อาจจะเรียกได้ว่าเกรซตอนนี้นั้นมีทั้งเงินทอง ชื่อเสียง ถ้าหากต้องการอะไรที่ไม่ยากเกินไป พวกคนของที่แห่งนั้นก็คงจะหามาประเคนได้ง่ายๆ ในพริบตา เขายังจำได้ดีว่ามีอัลฟ่ามากมายที่อยากได้เกรซไปครอบครอง แต่ก็ไม่เคยมีใครได้ไปสักที
“แน่ใจสิ” เกรซหัวเราะนิดๆ ก่อนที่จะมองทวิชด้วยแววตาคาดหวัง “ฉันจะตายจริงๆ ใช่ไหมคะ คุณทวิช”
“…”
ทวิชชะงักไปเมื่อได้ยินคำว่าตายชัดๆ แต่ก็พยักหน้ารับ
“ดีจัง”
เกรซยิ้มและถอดแหวนเพชรที่มีราคาเหยียบหลักล้าน ก่อนที่จะมอบให้กับทวิชโดยไม่ลังเล
“..ผมขอของที่มีค่ากับคุณจริงๆ เกรซ”
แน่นอนว่าทวิชพอจะมองว่าเพชรของเกรซนั้นเป็นของจริง แต่สิ่งที่เขาต้องการจากเหล่าผู้ใช้บริการนั้นไม่ใช่เงิน ไม่เช่นนั้นเขาคงจะเก็บเงินทุกคนที่มาใช้บริการร้านเขาในราคาสูงๆ แล้ว
“แต่คุณรับไว้เถอะค่ะ อย่างน้อยๆ ถ้าคุณเอาไปขาย เงินพวกนี้อาจจะทำให้ร้านคุณอยู่ได้นานขึ้นก็ได้”
หญิงสาวประหลาดใจนิดๆ เพราะเคยได้ยินมาว่าธรรมเนียมของที่นี้คือมอบสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตตัวเองแทนการชำระค่าบริการหลับสบาย และแน่นอนว่าแหวนนี้คือสิ่งที่มีมูลค่าสูงที่สุดที่เธอเคยได้รับมา
ซึ่งมันก็ไม่ได้มีความหมายกับเธอเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับอีกอย่างที่เธอพกติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา และจนถึงตอนนี้เธอก็ยังคงพกมันอยู่
เกรซค่อยๆ ถอดสร้อยที่ห้อยของบางอย่างของตัวเองออกมาอย่างระมัดระวัง และยื่นมันให้กับทวิช แววตาแสดงความอาลัยอาวรณ์ต่อมันอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับแหวนมูลค่าหลักล้าน แต่ถ้าหากเทียบกับการได้หลุดพ้นจากความเจ็บปวดที่เธอต้องทนเจอทุกวันนั้น แน่นอนว่ามันเทียบไม่ได้เลยจริงๆ
“ผมถามได้ไหมว่ามันคืออะไร”
ทวิชลูบแผ่นเหล็กเล็กๆ ที่สลักเลขเอาไว้ด้วยความสงสัยนิดๆ เพราะลักษณะของพวกมันคล้ายกับพวกป้ายชื่อที่กลัดไว้บนหูของพวกสัตว์ เป็นเลขประจำตัวของสัตว์แต่ละตัวตั้งแต่เกิด
“คุณเคยได้ยินเรื่องมนุษย์ทดลองไหม”
“…”
ทวิชเผลอตัวสั่นตอนที่มองเกรซ และเห็นอีกฝ่ายมองกลับมาอย่างเจ็บปวด
มนุษย์ทดลองคือโครงการที่รัฐบาลพยายามจะจับมนุษย์ไปทดลองและตัดต่อพันธุกรรมเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดความเป็นมนุษย์ แน่นอนว่ามันเป็นโครงการลับและผิดหลักมนุษยธรรม รัฐบาลจึงพยายามปกปิดให้มากที่สุด แต่สุดท้ายข่าวก็รั่วไหลอยู่ดี จนทำให้เกิดการต่อต้านขึ้นมา พวกมันจึงยอมล้มเลิกโครงการนี้ไปอย่างไม่จำยอมนัก แต่ก็ไม่มีใครรู้อยู่ดีว่า พวกรัฐบาลสารเลวพวกนั้นเลิกทำจริงๆ หรือเปล่า
“ไม่แปลกใจบ้างเหรอว่าทำไม ฉันถึงเป็นสีชมพูได้ ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีกระต่ายสายพันธุ์ไหนเคยเป็นสีชมพูมาก่อน”
เกรซยิ้มบางมองเหล็กแผ่นบางในมือทวิช
“ที่คุณถืออยู่คือป้ายประจำตัวฉันตอนเด็กๆ เวลาที่พวกเขามาตรวจ ถ้าใครไม่มีหรือทำหาย พวกนั้นก็จะลากคุณไปทำโทษ บางคนที่พิการหรือร่างกายอ่อนแออยู่แล้วก็ตายไปเลย เวลาที่พวกมันซ้อม”
นัยน์ตาสีแดงอย่างพวกกระต่ายนั้นมองทวิชด้วยความเจ็บปวด
“ฉันมันก็แค่เด็กโชคดีที่หนีออกมาจากนรกแห่งนั้นเองเท่านั้นเอง คุณ” หญิงสาวยิ้มออกมาทั้งน้ำตา “แต่ต่อให้หนีออกมาได้ ชีวิตของฉันมันก็ไม่ต่างจากตอนอยู่ในนั้นนรกนั่นอยู่ดี ฉันไปอยู่ที่ย่านบ้านั่น พวกมันก็จงใจให้งานฉันเยอะๆ ปล่อยให้พวกอัลฟ่าสารเลวพวกนั้นข่มขืนฉันเกือบทุกวัน”
“…”
จากที่ตั้งใจจะปฏิเสธให้อีกฝ่ายกลับมาในวันพรุ่งนี้ ตอนนี้ทวิชกลับพูดอะไรไม่ออก ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองจะไม่เจ็บปวดเวลาที่ได้ยินเรื่องราวจากเบต้าที่มาใช้บริการแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็ยังคงเจ็บปวดอยู่ดี
ทำไมอัลฟ่าถึงได้ใจร้ายกับคนที่ไม่ใช่พวกของตัวเองนักนะ
“เชิญคุณนั่งก่อน เดี๋ยวผมจะทำอะไรให้คุณกินสักหน่อย”
“..ไม่ต้องก็ได้ คุณ ฉันเกรงใจ”
แน่นอนว่าเกรซรู้ถึงธรรมเนียมให้กินอาหารมื้อสุดท้ายของทวิชดี จึงรีบปฏิเสธเพราะไม่อยากให้ทวิชต้องมาเสียเวลากับตัวเอง ลำพังแค่มอบความตายที่ไม่ทุกข์ทรมานให้กับเธอก็ถือว่าเป็นความใจดีของทวิชมากเท่าไหร่แล้ว
“คุณนั่งเถอะ ผมเต็มใจ”
ทวิชยิ้มบางด้วยสีหน้ากึ่งบังคับ เกรซจึงยอมนั่งแต่โดยดี ซึ่งวันนี้ทวิชก็คงจะใช้เวลาเตรียมอาหารค่อนข้างนานกว่าปกติ ต่างจากวันทั่วไปที่มักจะตื่นมาทำตอนเช้าๆ เพื่อทำมันด้วยความพิถีพิถัน เพราะเขาอยากอาหารมื้อสุดท้ายของลูกค้าเขาเป็นมื้อที่ดีที่สุด
เขารู้ว่ามันอาจจะช่วยอะไรไม่ได้มาก เมื่อเทียบกับความขมขื่นทั้งชีวิตที่พวกเขาเจอ แต่เขาก็ยังอยากทำให้อยู่ดี
“คุณอ่านนี้รอไปก่อน”
ทวิชเดินไปหยิบหนังสือบนชั้นและยื่นมันให้กลับเกรซด้วยรอยยิ้มนิดๆ
“..มันคือ?”
เกรซรับไปดูด้วยความสนใจ เพราะหนังสือที่ทวิชยื่นให้นั้นเป็นสมุดภาพสีสันสดใสที่เล่าเรื่องการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันระหว่างอัลฟ่า โอเมก้า และเบต้าอย่างเท่าเทียม ไม่มีใครมีอำนาจมากกว่าใคร ทุกคนเป็นคนเท่ากัน อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างเป็นปกติ
“โลกหลังความตายของผม”
ทวิชหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของหญิงสาว
“ผมไม่เชื่อศาสนาของพวกอัลฟ่า ผมเลยลองเขียนโลกหลังความตายที่ตัวเองอยากไปดูเล่นๆ คุณจะลองวาดอะไรเพิ่มก็ได้นะ ผมไม่ว่า เพราะรูปอื่นๆ ในนั้นก็มีฝีมือลูกค้าคนอื่นๆ เหมือนกัน”
ไม่บ่อยนักที่ทวิชจะหยิบหนังสือเล่มนี้มาให้ลูกค้าอ่าน นอกเสียว่าจะถูกชะตากับลูกค้าคนนั้นจริงๆ เพราะเนื้อหาหลายอย่างในเล่มนั้นประกอบด้วยสิ่งที่ทางการห้ามไว้เต็มไปหมด แถมยังเป็นแค่ฝันเฟื่องโง่ๆ ของเขาเสียด้วย
เพราะความเท่าเทียมในประเทศนี้นั้นไม่มีอยู่จริง และถ้าหากจะมีคนที่เท่าเทียมกันก็จะมีแค่ชนชั้นเบต้าเท่านั้น ส่วนอัลฟ่านั้นจะอยู่บนยอดพีระมิดเสมอ ไม่มีวันที่เบต้าธรรมดาทั่วไปที่ไหนจะเทียบชั้นได้ ไม่มีสิทธิ์ที่แม้แต่จะคิดหรือเปล่งเสียงออกมาด้วยซ้ำ สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือยอมศิโรราบอยู่แทบเท้าอัลฟ่าเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
แน่นอนว่านอกจากจะเรื่องความเท่าเทียมแล้ว ทวิชยังวาด ‘นก’ หรือสัญลักษณ์ต้องห้ามที่ทางการห้ามพูดถึงอย่างเด็ดขาดไว้เต็มสมุดไปหมด
“นี่คือโอเมก้าเหรอคะ”
เกรซลูบรูปโอเมก้าคนหนึ่งในร่างต้นที่ถูกทวิชวาดขึ้นมาด้วยความเผลอไผล
เธอไม่เคยเห็นนกมาก่อน เพราะเธอเกิดหลังจากช่วงกวาดล้างโอเมก้า ที่ทางการออกกฎหมายและสนับสนุนการฆ่านกทุกตัวที่อยู่ในประเทศ โดยไม่สนใจว่าเป็นโอเมก้าหรือนกจริงๆ ตามธรรมชาติ
พวกเขาเลือกที่จะฆ่ามัน ‘ทั้งหมด’ จนระบบนิเวศในประเทศนี้แปรปรวน แต่พวกเขาก็ไม่สนใจ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาฆ่าจนในประเทศนี้ไม่เหลือนกตามธรรมชาติ แม้แต่นกอพยพที่บินเหนือประเทศพวกมันก็ไม่ละเว้น ทำให้ถูกประเทศรอบข้างประฌามถึงความเห็นแก่ตัวและไร้ความมนุษยธรรมนี้
แน่นอนว่าด้วยทิฐิแล้ว เหล่าอัลฟ่าไม่สนใจข้อครหาพวกนั้น และใช้สื่อในประเทศหลอกลวงประชาชนของตัวเองว่าการฆ่านี้คือความถูกต้อง ทั้งๆ ที่การฆ่ากันนั้นไม่สมควรได้รับความชอบธรรม ไม่ว่าจะในกรณีไหนก็ตาม โดยเฉพาะคนที่ถูกฆ่านั้นเป็นเพียงโอเมก้าหรือนักศึกษาหัวสมัยใหม่ที่ไร้ซึ่งอาวุธ แต่ต้องกลับกลายเป็นเป้ากระสุนปืนและตายอย่างทุกข์ทรมาน
“ครับ พวกเขาคือโอเมก้า”
ทวิชยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นท่าทีตื่นเต้นราวกับเด็กๆ ของเกรซ ก่อนที่เธอจะตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือที่เขาเขียนขึ้นมาอย่างตั้งใจ พอเห็นว่าวางใจให้อยู่คนเดียวได้แล้ว ทวิชก็เดินกลับเข้าครัว พยายามคิดเมนูง่ายๆ ที่ใช้เวลาทำไม่นานนัก
“..อยากกินเหรอ”
ทวิชถามกันต์ที่มายืนมองเขาทำอาหารอย่างตั้งใจ แววตาที่เคยดูเลื่อนลอยไร้จุดมุ่งหมาย หลายวันมานี้ดูมีสีสันขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“…”
ยิ่งเห็นกันต์พยักหน้าน้อยๆ ทวิชก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดู
“ยังไงฉันก็ทำเผื่อเป็นมื้อเที่ยงของเราอยู่แล้วน่า นายไปนั่งเล่นเถอะ ไม่ต้องมายืนร้อนในนี้หรอก”
ทวิชพูดไปพร้อมกับผัดข้าวในกระทะอย่างคล่องแคล่ว
“…”
แต่ถึงพูดอย่างนั้นกันต์ก็ยังคงยืนดูเขาทำอาหารเงียบๆ ไม่ยอมออกไป ซึ่งเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร และทำอาหารต่ออย่างตั้งใจ เพราะมันเป็นไม่กี่สิ่งในตอนนี้ที่ทำให้เขามีความสุข ที่ทำให้เขาลืมความทุกข์ทรมานทั้งหมดที่ตัวเองกำลังแบกรับไว้อยู่
เขารู้ว่าเขาสามารถลอยตัวเหนือเรื่องพวกนี้ได้ อย่างไรก็ตามครึ่งหนึ่งของเขาก็เป็นอัลฟ่า แถมยังมีเงินอีกจำนวนหนึ่งที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้ด้วย เขาสามารถชีวิตต่อจากนี้ได้อย่างสุขสบายถ้าหากว่าเขาต้องการ
ทั้งๆ ที่เขาก็อยากจะมีความสุข ใช้ชีวิตโง่ๆ ไปวันๆ แต่เขากลับทำใจทำแบบนั้นไม่ได้ ในเมื่อทุกครั้งที่เขาทำอาหารเขาก็มักจะนึกถึงสัมผัสอบอุ่นที่แม่ลูบหัวเขาเบาๆ ค่อยๆ สอนเขาทำอาหารอย่างตั้งใจ และอีกมุมหนึ่งของห้องก็จะมีพ่อของเขาที่ก่นด่าอัลฟ่าแทบจะตลอดเวลา บางครั้งพ่อของเขาก็หงุดหงิดมากจนเผลอกระพือปีกแรงๆ ทำเอาขนนกของพ่อฟุ้งไปทั่วห้อง ให้แม่ของเขาเอ็ดเล่นๆ
เอาเข้าจริงตอนนี้เขาก็แทบจะจำใบหน้าของพ่อกับแม่ไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ มีเพียงอาหารรสมือของเขาเองที่ยังเหมือนเดิม เหมือนรสชาติที่แม่ทำให้เขากินก่อนที่จะออกไปทำงานเป็นพยาบาล คอยรักษาให้คำปลอบประโลมต่อผู้ป่วยที่แบกความเจ็บปวดทุกข์ตรมของความยากจนมาให้แม่เขาดูแล
บางครั้งเขาก็สงสัยนักว่าการสิ่งที่พ่อกับแม่เขาผิดมากถึงต้องฆ่ากันเลยเหรอ? กับแค่แนวคิดที่ทำให้คนทุกคนเท่ากัน ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นลง ให้ทุกคนได้รับในสิ่งทุกคนสมควรได้รับ มันเป็นอาชญากรรมต่อประเทศขนาดนั้นเลยเหรอ
เขากับพ่อแม่ก็เป็นแค่ครอบครัวธรรมดาเท่านั้นเอง
พ่อของเขาไม่เคยทำอะไรผิดกฎหมาย เป็นแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่ที่ตั้งใจทำงานทุกวัน ก่อนที่อยู่ๆ จะตกงานแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย และไร้ค่าชดเชย ไม่สามารถร้องเรียนกับใครได้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือเก็บงำความเจ็บปวดและหางานใหม่ ดีหน่อยที่ว่างานพยาบาลของแม่เขาค่อนข้างมั่นคง ถึงแม้ว่าภาครัฐจะจ่ายล่าช้าไปบ้างก็ตาม แต่มันก็ทำให้พวกเขาพออยู่ได้อย่างแร้นแค้น ไม่อดตาย
เขาไม่รู้และไม่แน่ใจว่าทำไมอยู่ๆ พ่อถึงได้ไปเป็นหนึ่งในหัวหน้าคณะการปฏิวัติได้ ตอนนั้นเขาก็เด็กเกินกว่าจะเข้าใจสถานการณ์ด้วย รู้ตัวอีกทีก็ถูกนำตัวไปฝากฝังกับเพื่อนพ่อแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ถูกขังไว้ในรั้วตระกูลพยัคฆโภคสกุลและไม่ได้ออกมาอีกเลย จนกว่าอายุจะบรรลุนิติภาวะ
สำหรับเขาทุกอย่างหลังจากที่พ่อแม่จากไป มันก็เหมือนกับฝันร้าย
เขาถูกซ่อนตัวเอาไว้ในห้องโดยไม่รู้ว่าโลกภายนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อแม่ตายตอนไหน และตายยังไง กว่าลุงสิงห์จะยอมบอกว่าพ่อแม่เขาตาย มันก็ผ่านไปหลายปีแล้ว
โลกของเขาล่มสลายครั้งแล้วครั้งเล่า จนบางวันเขาก็อยากจะเป็นลูกค้าของตัวเองซะเอง เพื่อที่จะได้จบความทุกข์ทรมานนี้ลงสักที
ทวิชยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นฝีมือข้าวผัดของตัวเองที่จัดเรียงบนจานอย่างสวยงาม เขาโรยผักตกแต่งจานนิดหน่อยก่อนจะเดินถือออกไปเสิร์ฟให้กับลูกค้าคนสำคัญที่ตอนนี้กำลังตั้งหน้าตั้งตาวาดรูปกระต่ายในสมุดของเขาด้วย
“..นี่ครับ”
ทวิชวางจานลงตรงหน้าหญิงสาวอย่างเบามือ ก่อนที่จะเดินไปหยิบช้อนส้อมและน้ำมาให้
“ขอบคุณนะคะ” เกรซยิ้มออกมาและคืนสมุดให้กับทวิช ดูผ่อนคลายและมีความสุขต่างจากตอนที่เข้าร้านมาอย่างเห็นได้ชัด
“ครับ” ทวิชยิ้มรับ เปิดดูรูปของเกรซที่ถูกวาดไว้รวมกับของลูกค้าคนอื่นๆ ซึ่งมันก็เป็นกระต่ายสีขาวธรรมดาที่ดูมีความสุขเอามากๆ ในโลกหลังความตายของเขา
หลังจากกินไปสักพักเกรซก็ตัดสินใจพูดขึ้นมา “จริงๆ แล้วมันคือแนวคิดของพวกโอเมก้าใช่ไหมคะ”
แน่นอนว่าถึงแม้ว่ารัฐบาลจะพยายามปกปิด บิดเบือน ลบข้อมูลพวกนี้ขนาดไหน แต่ข้อมูลบางอย่างก็ยังถูกส่งต่อกันเรื่อยๆ ด้วยการเล่าต่อกันปากต่อปากอยู่ดี
“ครับ”
ทวิชยอมรับง่ายๆ ทั้งๆ ที่การยอมรับสิ่งเหล่านี้คือความเสี่ยงที่จะถูกจับกุมได้ สำหรับประเทศนี้ความเท่าเทียมถือว่าเป็นอันตรายนัก อันตรายเสียยิ่งกว่าอาชญากรโรคจิตที่ไล่ฆ่าคนอีก
“..ถ้ามันเป็นแบบนั้นได้จริงก็คงจะดี”
เกรซหัวเราะเบาๆ แต่นัยน์ตากลับคลอไปด้วยน้ำตา
“ขอบคุณนะคะ คุณทวิชที่เปิดร้านนี้ขึ้นมา”
หญิงสาวสบตากับทวิช
“อาหารของคุณอร่อยมาก อร่อยกว่าที่ฉันเคยไปกินพวกนั้นอีก ฉันมั่นใจว่าถ้าคุณเปิดร้านอาหารในย่านที่พวกอัลฟ่าอยู่ คุณคงจะเป็นร้านดังไปแล้วแน่ๆ ”
“ขอบคุณครับ”
ทวิชยิ้มรับคำชม มองเกรซด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง รู้สึกเสียใจเหลือเกินที่ในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า คนๆ นี้ก็จะเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณเช่นเดียวกับเพื่อนของเขาในวันนี้
“ฉันพร้อมแล้วค่ะ” เกรซยิ้มให้ทวิช แม้ว่ากำลังจะพูดถึงความตายของตัวเองอยู่ก็ตาม
ห้องที่ใช้สำหรับให้บริการหลับสบายนั้นอยู่ชั้นสองของตึก มันเป็นห้องขนาดไม่ใหญ่นัก เพราะทวิชกั้นอีกครึ่งหนึ่งของห้องให้ไว้ใช้เป็นห้องสำหรับเก็บข้าวของต่างๆ ที่จำเป็นรวมถึงส่วนผสมของยาที่ใช้ฉีดด้วย ซึ่งทวิชก็ปล่อยให้เกรซขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้นวม ปล่อยให้หญิงสาวเพลิดเพลินกับมองแสงไฟในห้องที่เขาจงใจจัดขึ้นมาให้มันดูคล้ายแสงดาวบนผืนผ้าคลุมสีดำที่คลุมรอบห้อง
ทวิชใช้เวลาเตรียมยาที่ใช้ฉีดอยู่สักพัก แน่นอนว่าสูตรยาเหล่านี้นั้นไม่ใช่สูตรยาที่มีทั่วไปเหมือนตามที่โรงพยาบาลรัฐใช้กัน แต่เป็นสูตรที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยโอเมก้าสมัยช่วงปฏิวัติที่ใช้สำหรับการฆ่าตัวตายตอนที่ถูกพวกอัลฟ่าจับไป เพื่อที่ตอนตายพวกเขาจะได้ไม่รู้สึกทรมานจนเกินไป
ซึ่งสูตรยานี้ทวิชก็ได้มาจากหนังสือของพวกโอเมก้าที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้เขาในห้องที่ใช้กักขังเขาไว้
“..ขอบคุณจริงๆ นะคะ”
เกรซพูดขึ้นมาตอนที่ทวิชใช้นิ้วลูบเส้นเลือดตรงข้อมือ
“ครับ” ทวิชยิ้มรับ “ก่อนที่จะคืนร่างต้น คุณมีอะไรอยากจะพูดกับผมอีกไหม”
เพื่อความสะดวกในการขนย้ายร่าง ทวิชจะให้ลูกค้าอยู่ในร่างที่ทำให้ตัวเองขนง่ายที่สุด เพราะลำพังแค่เขาคนเดียวคงจะไม่มีความสามารถมากพอที่จะขนร่างพวกเบต้าสัตว์ใหญ่ๆ ได้ไหว
“ค่ะ ฉันอยากจะบอกความลับของพวกอัลฟ่าให้คุณฟังอย่างหนึ่ง”
เกรซที่คืนร่างต้นไปครึ่งหนึ่งแล้ว กระดิกหูกระต่ายบนหัวนิดๆ นัยน์ตาคู่สวยมองทวิชและยิ้มบาง
“พวกมันกินเนื้อเบต้า”
“…”
ลมหายใจของทวิชสะดุดไปจังหวะหนึ่ง ชั่วพริบตาเขาได้คำตอบทันทีว่าทำไมเจ้าหน้าที่คนนั้นถึงได้สนใจศพของกวินทร์นัก ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนไม่เคยสนใจอะไรเลยนอกจากนั่งเฉยๆ และทำงานไปวันๆ
“..ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากฝากคุณให้เตือนเบต้าคนอื่นๆ ด้วย พวกนั้นเริ่มล่ากันแล้ว”
หนึ่งในเหตุผลที่เกรซทนมีชีวิตต่อไปไม่ได้ คือการเห็นเพื่อนของเธอบางคนหายไปอย่างลึกลับพร้อมกับอัลฟ่าสัตว์กินเนื้อสักตัว ซึ่งมันก็ไม่ใช่ครั้งเดียวจนเธอเริ่มทนต่อไปไม่ไหว หวาดกลัวว่าศพต่อไปจะเป็นเธอเข้าซะเอง
ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีอัลฟ่าแค่กลุ่มเดียวที่นิยมกิน แต่ใครจะไปรู้ว่าสักวันหนึ่งถ้าหากมันเป็นที่นิยมของอัลฟ่าไปเสียหมด และออกกฎหมายให้ล่าเบต้าได้อย่างถูกกฎหมาย พวกเธอจะทำอะไรได้กัน ในเมื่อชั้นศาลและความยุติธรรมทั้งหมดของประเทศนี้นั้นตกอยู่ในมืออัลฟ่าอย่างเบ็ดเสร็จตั้งนานแล้ว
เธอไม่สามารถร้องเรียนใครได้ และได้แต่ยอมรับว่าความยุติธรรมของประเทศนี้นั้นมีให้แต่อัลฟ่าเท่านั้น
“ผมจะพยายาม”
ทวิชรับคำถึงแม้จะไม่มั่นใจนักว่าตัวเองจะสามารถทำได้ตามที่พูดจริงๆ เพราะบางอย่างต่อให้รู้ว่ามันจะเกิดขึ้น แต่เขาหรือคนอื่นๆ ก็ไม่มีความสามารถหรือมีอำนาจมากพอที่จะหยุดยั้งมันอยู่ดี
“..แล้วอีกอย่างที่ฉันอยากจะบอกคุณคือฉันอยากเห็นพวกโอเมก้า”
เกรซหัวเราะเบาๆ จดจ้องนกที่ถูกปักไว้บนผ้าคลุมของทวิช รู้สึกหลงใหลในปีกคู่นั้น ปีกที่เหล่าเบต้าเล่าลือกันว่ามันหมายถึงอิสรภาพ
“…ฉันเชื่อนะว่าพวกเขายังอยู่ อยู่ที่ไหนสักที่เพื่อซุกซ่อนตัวจากประเทศห่วยๆ นี่”
“…”
ทวิชมองหน้าเกรซ ชั่งใจอยู่สักพักก่อนที่ปล่อยให้ปีกคู่ใหญ่งอกออกจากหลังตัวเอง เหยียดยาวสุดความยาวรอบหนึ่งเพื่อคลายความเมื่อยขบ ก่อนที่พับเก็บเรียบร้อย
“..คุณ คุณเป็นโอเมก้า” เกรซเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเธอตื่นเต้นกับปีกของทวิชมากกว่า มองปีกสีดำมันขลับด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย
“คุณจะลองจับมันก็ได้นะ”
ทวิชพูดอย่างใจดีและกางปีกไปให้เกรซจับ แน่นอนว่าเกรซไม่ปฏิเสธจับมันอย่างตื่นเต้น
“ให้ตายสิ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะยังมีโอเมก้าอย่างคุณซ่อนตัวท่ามกลางฝูงอัลฟ่าแบบนี้”
“ผมก็แปลกใจเหมือนกันที่ตัวเองรอดมาได้นานขนาดนี้”
ทวิชหัวเราะเบาๆ
“คุณเคยบินรึเปล่า ทวิช รู้ไหมว่าฉันน่ะอยากบินมากเลยนะ ฉันว่ามันต้องเป็นความรู้สึกที่ดีมากแน่ๆ เลย ตอนที่ได้อยู่บนท้องฟ้าแล้วมองลงมา”
“..เคย แต่เป็นตอนที่ผมยังเด็กมากๆ ”
ทวิชหุบยิ้มแทบจะทันที เพราะมันผ่านมานานมาก จนตอนนี้เขาก็แทบจะจำวิธีบินไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ เอาเข้าจริงเขาเกือบจะลืมไปแล้วด้วยว่าปีกของตัวเองนั้นมันสามารถใช้บินได้
“ขอบคุณนะคะ คุณทวิช”
เกรซกุมมือมือทวิชและยิ้มให้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะคืนสู่ร่างต้น ซึ่งเป็นกระต่ายตัวเล็กขนาดพอๆ กับกวินทร์ นัยน์ตาสีมันขลับจดจ้องทวิชนิ่งก่อนที่มันจะหลับตาลง
และเฝ้ารอความตายอันเป็นชั่วนิรันดร์ด้วยความสงบ
-----