{ DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา แจ้งข่าว : ละครเวทีมิวสิคัล ชมฟรี ที่ มข
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา แจ้งข่าว : ละครเวทีมิวสิคัล ชมฟรี ที่ มข  (อ่าน 20841 ครั้ง)

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
กอดทวิชแน่นๆ :กอด1: แบบคิดไม่ถึงจริงๆว่าทวิชเข้าไปที่ตรอกนั้นเดือนละครั้งทำไม :monkeysad: เบต้าที่น่ารังเกลียดก็มีเยอะ โอ้ยยยยทวิชเป็นดีเกินไป :katai1:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
รู้ว่าเข้าไปตรอกนั้น จนดูคุ้นเคยไปหมด
แต่ไม่คิดว่าต้องทำเรื่องแบบนั้นด้วย ชีวิตคนเรา

สงสารทวิช ต้องต่อสู้กับความโดดเดี่ยวและทรมาน
ต้องเติบโตมากับบาดแผลที่หยั่งลึก รักษายาก
ทวิชยอมแลกเพื่อความอยู่รอดของคนอื่น
ถึงตัวเองจะเจ็บปวด ทนมาได้ขนาดนี้ คือที่สุดแล้ว

เอาใจช่วยทวิชนะคะ ทวิชกลับไปหากันต์ไหม
ถ้ากลับไป อย่างน้อยก็มีกันต์ดูแลนะ

ชัยชนะครั้งแรกที่ได้ ไม่รู้จะรู้สึกตัวกันมากขึ้นไหม

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 14

   
เพราะเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ทำให้รัฐบาลประกาศเคอร์ฟิวในยามค่ำคืน ไม่อนุญาตให้พลเมืองคนใดออกจากบ้านในยามวิกาลไม่ว่าจะเหตุการณ์จำเป็นแค่ไหนก็ตาม หากผู้ใดขัดขืนสามารถกำจัดได้ทันทีโดยไม่มีการประนีประนอม
   
แน่นอนว่าคำสั่งที่ออกมาอย่างเร่งด่วนเช่นนี้ล้วนมีนัยยะสำคัญคือรัฐบาลต้องการควบคุมการเคลื่อนไหวของกลุ่มกบฏ และตักเตือนไปยังเบต้าทั่วไปที่มีความคิดที่เข้าร่วมกับกลุ่มกบฏชังชาติเหล่านี้
   
การกระทำเช่นนี้แสดงออกชัดว่ารัฐบาลกำลังหวาดหวั่น
   
อนุสาวรีย์ของพวกเขานั้นไม่เคยถูกทำลายได้สำเร็จมาก่อน ประวัติศาสตร์ที่พวกเขาบรรจงเขียนบรรจงสร้างขึ้นมาให้เหล่าพลเมืองของประเทศได้ภาคภูมิใจนั้นกำลังถูกสั่นคลอน
   
ถึงแม้ทางรัฐบาลจะพยายามปิดข่าวอย่างไร แต่ข่าวใหญ่แบบนี้ก็ไม่มีวันเงียบในหมู่มวลชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหล่ากลุ่มปฏิวัติที่ทั้งเก็บภาพ อัดเสียง และทำทุกวิถีทางที่จะเก็บวินาทีประวัติศาสตร์เหล่านี้ไปเผยแพร่ให้คนทั่วไปได้รับรู้ ให้พวกเขาเริ่มสงสัยและตั้งคำถามก่อนที่จะผันตัวมาเข้าร่วมกับกลุ่มกบฏในที่สุด
   
อนาคตอันรุ่งโรจน์
   
กลุ่มปฏิวัตินิยามมันเช่นนั้นยามที่โปรยรูปอนุสาวรีย์สิงโตของอัลฟ่าที่ถูกแผดเผาไปทั่วเมือง ไฟแห่งความหวังของพวกเขากำลังล้างผลาญอำนาจอันไม่ชอบธรรมของรัฐบาลและประกาศศักดาว่าพวกเขาต่างหากที่เป็นเจ้าของอำนาจโดยแท้จริงในประเทศนี้ ไม่ใช่พวกอัลฟ่าเห็นแก่ตัวที่มาชุบมือเปิบแล้วอวดอ้างว่าตนเองนั้นมีบุญคุณนักหนาแล้วทวงบุญคุณไม่เลิกสักที
   
การปฏิวัติกำลังถูกจุดขึ้นอย่างจริงจัง เหล่าเบต้าที่หลบซ่อนความเป็นขบถในใจมานานต่างเริ่มเผยตัวกันออกมาเข้าร่วมกับกลุ่มปฏิวัติด้วยความหวังว่าจะส่งต่อประเทศที่ดีกว่านี้ให้กับตัวเองและลูกหลาน แต่ด้วยความเป็นรองทั้งในแทบทุกด้าน ในเวลานี้พวกเขาก็ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาเล่นละครไปตามที่อัลฟ่าต้องการ แสร้งว่ายอมศิโรราบและเฝ้ารอสัญญาณจากกลุ่มปฏิวัติว่าพวกเขาควรจะลุกฮือเมื่อใด
   
ประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำร้อยในแบบเดิมอีก
   
การต่อสู้ครั้งนี้ผู้ชนะจะต้องเป็นมวลชนเท่านั้น!

   

แน่นอนว่าถึงแม้รัฐบาลจะพยายามประกาศเคอร์ฟิวหรือศักดาอย่างไร พื้นที่บางพื้นที่ก็ยังคงความเป็นเอกเทศและไม่สนใจข้อกฎหมายใดหรือศีลธรรมจรรยาเช่นเดิม
   
“ถ้ามีปัญหาอะไรก็กลับไปหาพวกอาได้นะ”
   
ธันลูบหัวทวิชด้วยความเอ็นดูหลังจากที่พากลับมาส่งไว้ที่เขตปลอดแสงสว่าง ที่จนถึงตอนนี้ก็ยังคึกคักอยู่เหมือนเดิม แม้ว่าจะทหารของทางการเข้ามาในพื้นที่อย่างหนาตาก็ตาม
   
“ครับ”
   
ทวิชพยักหน้ารับเบาๆ แล้วกระชับเสื้อฮู้ดของตัวเองให้ปิดหน้ามากขึ้นเมื่อมีคนเดินเฉียดเข้ามาใกล้
   
“งั้นอากลับก่อนนะ”
   
ธันเอ่ยลาทวิชก่อนที่จะเดินเข้าไปในฝูงชนกลืนหายเข้าไปในพริบตา ส่วนทวิชนั้นก็ตัดสินใจคืนร่างต้นส่วนบนเป็นเสือดำแล้วถึงเดินลึกเข้าไปข้างใน อย่างไรก็ตามในเวลานี้สถานะของอัลฟ่าในสายตาคนส่วนใหญ่นั้นก็ยังน่าหวาดหวั่นอยู่ ทวิชที่แทบไม่มีทักษะการต่อสู้อะไรจึงเลือกที่จะใช้วิธีนี้ในการปกป้องตัวเองอยู่เสมอ
   
“…”
   
ทวิชพยายามคงสีหน้านิ่งเฉยเพราะรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงการจับตามองอย่างผิดปกติจากเหล่าเบต้าที่อยู่ในเขต ทั้งๆ ที่ปกติแล้วผู้คนที่อยู่ในเขตนี้จะไม่สนใจอะไรนัก จดจ่ออยู่กับสินค้า เงินทอง และชีวิตของตัวเอง
   
นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่ทวิชรู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจผิดพลาดที่คืนร่างต้น
   
กลิ่นอายของการปฏิวัติที่ลอยไปทั่วจนแม้แต่ผู้คนในเขตนี้ให้ความสนใจ  อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ล้วนแล้วแต่หวังถึงอนาคต ความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้อยู่แล้ว เพราะในเขตนี้ลำพังแค่สูดหายใจให้เต็มปอดยังทำไม่ได้เลย มีทั้งฝุ่นควัน กลิ่นสาป อะไรต่างๆ คละคลุ้งไปหมด ยามที่เดินผ่านตรอกต่างๆ รองเท้าก็มักจะเหยียบน้ำอยู่ตลอดเนื่องจากเป็นเขตที่ตั้งอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ เวลาที่มีฝนตกบริเวณนี้ก็มักจะน้ำท่วมอยู่เสมอ
   
ข้อดีเพียงอย่างเดียวข้อที่นี่ก็คือความมืดมิดที่ก่อเกิดจากตึกสูงของพวกอัลฟ่าที่ตั้งขนาบไว้แทบทุกทิศ เงาที่ทอดลงมาทำให้เขตนี้ทั้งเขตมืดมัวจนต้องเปิดไฟตลอดเวลา แต่ผู้คนในเขตนี้ส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะใช้ไฟจากตะเกียงมากกว่าเพราะมีราคาที่ถูกกว่ามาก
   
และแน่นอนว่าความมืดมิดเหล่านี้ก็ล้วนก่อให้เกิดการอำพราง การอาศัยอยู่ในย่านนี้ทำให้ผู้คนไร้ตัวตน หนำซ้ำวัฒนธรรมการสวมชุดคลุมดำที่อยู่ๆ ก็เกิดขึ้นนั้นก็ยิ่งทำให้สถานะของบุคคลในเขตนี้ไร้ตัวตนมากยิ่งขึ้นไปอีก
   
ฉะนั้นเมื่อพวกเขาเจ็บป่วย ถูกล่วงละเมิด ลักพาตัว อุ้มฆ่าหรือทรมานจนตายก็ไม่มีใครสนใจ
   
ชีวิตในที่แห่งนี้คล้ายกับมีอิสรภาพแต่มันก็เป็นแค่ของจอมปลอม พวกเขายังคงเป็นบุคคลไร้สถานะในสังคมเช่นเดิม และมีหน้าที่จำนนต่อชะตากรรมชีวิตก่อนที่จะก่นด่าตัวเองว่ายังพยายามไม่มากพอ
   
สาเหตุที่ผู้คนนั้นต่างดูออกนั้นว่าทวิชนั้นเป็นอัลฟ่าก็อาจจะเป็นผลพวงมาจากนัยน์ตาสีทองที่กำลังเรืองรองในความมืดอย่างสัตว์ตระกูลแมว โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงหน้าที่ดูดุร้ายนั้นก็แสดงออกชัดว่าเป็นอัลฟ่า แน่นอนว่าทวิชไม่อยากมีปัญหากับใครในที่แห่งนี้จึงรีบก้มหน้าเดินไปยังจุดหมายของตัวเอง
   
‘บาร์ตึกแถว’ คือชื่อจุดหมายที่ว่าและเป็นสถานที่ที่ทวิชได้ยินคำเล่าลือมานานว่าเข้าถึงยาก มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของร้านให้ขึ้นไปลิ้มรสสุรารสจัดได้
   
แน่นอนว่าถ้าเป็นตอนปกติทวิชคงไม่สนใจ เพราะลำพังแค่เข้ามาเดือนละครั้งก็ทำให้เขาเจ็บปวดเต็มกลืนแล้ว และในเขตนี้ก็ไม่เคยทำให้เขารู้สึกเพลิดเพลินใจด้วย สิ่งเดียวที่ทำให้เขายิ้มออกคือจำนวนเงินได้รับจากแม่เล้าเท่านั้นเอง
   
ทวิชเดินตอนไปเรื่อยๆ โดยพยายามตัวให้เล็กและเป็นจุดสนใจน้อยที่สุด อาศัยจังหวะช่วงหนึ่งที่คิดว่าไม่มีใครสนใจคืนกลับเป็นใบหน้ามนุษย์แล้วเดินต่อด้วยท่าทีผ่อนคลายขึ้น หากแต่สิ่งเดียวที่ทวิชซุกซ่อนไม่ได้ก็ยังคงเป็นนัยน์ตาเรืองรองของตัวเอง
   
ผ่านไปสักพักหลังจากที่ลัดเลาะไปหลายซอยในที่สุดทวิชก็พาตัวเองมาถึงหน้าตึกของบาร์ที่ว่านั่นได้ ซึ่งชั้นล่างก็เป็นกิจการขายยาสูบที่เจ้าของร่างเป็นเบต้าหนูร่างเล็กที่ยืนสูบอยู่และพ่นควันออกมาเป็นช่วงๆ
   
“วันนี้ร้านปิดแล้ว ไม่มีของ ของมาเติมพรุ่งนี้”
   
เบต้าหนูในร่างกึ่งมนุษย์เหลือบมองทวิชด้วยหางตา ไม่สนใจอีกฝ่ายสักนิด
   
“ผมมาตามคำเชิญ”
   
ทวิชล้วงหยิบการ์ดที่เพิ่งได้รับมาจากอานทีและยื่นให้กับเจ้าของร้านร่างเล็ก ซึ่งเจ้าหนูก็ขมวดคิ้วนิดๆ ตอนที่รับไปดูเพราะสภาพการ์ดที่เขามีนั้นค่อนข้างเก่าพอสมควร แต่มันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเนื่องจากการ์ดนี้ก็เป็นอีกหนึ่งมรดกที่เขาได้รับจากพ่อแม่ตัวเอง
   
‘สิทธิพิเศษสำหรับเหล้าความจริงหนึ่งแก้ว’
            บาร์ตึกแถว
   
นั่นเป็นข้อความที่ถูกเขียนเอาไว้ข้างในและเขาไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร ซึ่งคนที่งงกว่าก็คืออานทีที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบาร์อะไรนี้เลย สิ่งเดียวที่อาของเขารู้คือพ่อแม่ฝากเอาไว้ให้เขาเท่านั้นเอง
   
“รหัส”
   
“รหัส?”
   
ทวิชทวนคำงงๆ จนเบต้าหนูหงุดหงิดกว่าเดิม และพ่นควันใส่หน้าทวิชจนทวิชไอโขลก ซึ่งพอแกล้งทวิชเสร็จก็อารมณ์ดีขึ้นยอมคุยด้วยดีๆ
   
“ก็รหัสในวิทยุไง”
   
ทวิชอยากจะทำหน้างงอีก แต่สุดท้ายก็ลองเดาสุ่มไปจากข้อความในความทรงจำที่ดูพิลึกพิลั่นเกินกว่าจะเป็นคำปลุกใจทั่วไปของกลุ่มปฏิวัติ  “..จงมีศรัทธาในเหล่าอัลฟ่าอยู่เสมอ”
   
“ถูก แล้วก็จำด้วยนะไอ้หนูว่าไอ้รหัสนี้มันไว้เช็คพวกเดียวกัน อย่าไปพูดกับใครสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วกัน”
   
เบต้าหนูหัวเราะร่วน คืนการ์ดให้ทวิชแล้วพยักพเยิดไปยังบันไดทางขึ้นข้างหลังตัวเอง
   
“ขึ้นไปซะ ร้านอยู่ชั้นสาม”
   
“..ครับ”
   
ทวิชพยักหน้ารับแล้วเดินขึ้นไปบันไดด้วยความยากลำบากนิดๆ เพราะส่วนภายในห้องนั้นค่อนข้างรกมาก ข้าวของภายในถูกวางอย่างระเกะระกะ ส่วนตามบันไดก็เต็มไปด้วยลังที่บรรจุข้าวของต่างๆ เอาไว้ ทวิชพยายามเดินอย่างระมัดระวังจนในที่สุดก็พอตัวเองมาถึงหน้าประตูชั้นสามได้
   
‘Whale’s Bar’
   
“...”
   
ทวิชจ้องป้ายเล็กๆ ที่ห้อยไว้หน้าประตูนิ่ง และได้แต่หวังว่าสัญชาตญาณของเขาจะแม่นยำมากพอ เพราะเขารู้สึกได้ว่าสถานที่แห่งนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเขาในทางทางหนึ่งแน่ๆ เขาจึงยอมมาที่นี่ก่อนที่จะกลับไปร้านของเขา
   
แน่นอนว่ามาถึงตอนนี้แล้ว ทวิชไม่มีวันถอยกลับจึงเลือกที่จะเปิดประตูเข้าไปทันทีและยืนตะลึงค้างอยู่ที่เดิม เมื่อเห็นบรรยากาศข้างในชัดๆ
   
“...ยินดีต้อนรับ”
   
น้ำเสียงนุ่มนวลจากบาร์เทนเดอร์ที่กำลังยืนเช็ดแก้วอยู่แทบไม่เข้าหูทวิชสักนิด เพราะบรรยากาศในร้านนั้นราวกับไม่มีอยู่จริง ถึงแม้ทุกอย่างจะมืดสลัวแต่ก็ถูกกล่อมเกลาด้วยบรรยากาศบางอย่างที่ชวนให้รู้สึกวาบหวามลึกลับและร้อนแรง ห้องนั้นถูกฉาบไปด้วยไฟสีแดงกับม่วงสลัว บนผนังนั้นมีไฟนีออนสีฟ้ากับขาวที่ถูกดัดเป็นรูปวาฬซึ่งบริเวณใต้ท้องมันนั้นก็ถูกมีชื่อร้านที่ใช้ไฟนีออนทำเหมือนกันดัดเป็นตัวเขียนเล็กๆ อีกที
   
“ครับ”
   
ทวิชรับคำในลำคอเผลอเหม่อลอยไปชั่วขณะ ต้องยอมรับเลยว่าเขารู้สึกเมาทั้งๆ ที่ยังไม่ดื่มอะไรแม้แต่หยดเดียว
   
“เดี๋ยวผมขอการ์ดของลูกค้าด้วยนะครับ”
   
ทวิชสะดุ้งอีกครั้งเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของร้านและพบว่าอีกฝ่ายนั้นมีผมสีเงินหนำซ้ำยังมีตาเทาอีก ซึ่งดูยังไงก็ไม่ใช่รูปลักษณ์แบบที่ผู้คนทั่วไปมีอย่างแน่นอน
   
“..อ่า ผมลืมแนะนำตัวสินะ” คนเป็นเจ้าของร้านหัวเราะเบาๆ และยิ้มบางให้ทวิชอย่างใจดี “ผมชื่อรุจ เป็นเจ้าของบาร์ตึกแถวแห่งนี้ที่พวกคุณเล่าลือกันนั่นแหละครับ เพียงแต่ผมเจ้าของร้านที่เรื่องมากนิดหน่อยตรงที่ชอบเลือกลูกค้าเนี่ยแหละ ฮะๆ ”
   
ผ่านไปสักพักสติของทวิชก็เริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทาง ทวิชจึงหยิบการ์ดออกมาให้อย่างว่าง่าย ซึ่งรุจก็รับไปดูด้วยท่าทีสบายๆ และยิ้มให้ทวิชอีกครั้ง
   
“เหล้าความจริงหนึ่งที่สำหรับคุณทวิชนะครับ”
   
“...คุณรู้จักผม?”
   
รุจหัวเราะแล้วหันไปจัดเตรียมวัตถุดิบสำหรับการชงเหล้าให้ทวิชอย่างคล่องแคล่ว ใบหน้าคมคายที่ถึงแม้จะดูมีอายุแต่ก็ยังคงเสน่ห์เอาไว้อย่างผุดยิ้มลึกลับ
   
“รู้จักสิ ผมก็รู้จักทุกคนที่ผมสนใจนั่นแหละ”
   
“...”
   
จากที่นั่งสบายๆ บนที่นั่งกลายเป็นเกร็งตัวขึ้นมาทันทีด้วยความหวาดหวั่น ซึ่งรุจก็คล้ายกับเห็นความกลัวนั้นของทวิชจึงพูดต่อเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายมากขึ้น
   
“ไม่ต้องห่วง คุณทวิช ผมก็แค่เฝ้ามองคุณเท่านั้นเอง แล้วคุณก็ไม่ใช่คนเดียวที่ผมมองด้วย”
   
รุจพูดไปยิ้มไป
   
“..คุณเป็นใครกันแน่”
   
“เห็นแก่ที่คุณยังมีชีวิตรอดจนมาถึงตอนนี้ได้ ผมก็จะยอมบอกหน่อยแล้วกัน” รุจหัวเราะก่อนที่จะวางทุกอย่างในมือลง แล้วถอดเสื้อคลุมของตัวเองออก เผยให้เห็นกล้ามเนื้อสมบูรณ์ข้างใต้เสื้อที่มีร่องรอยแผลฉกรรจ์เต็มไปหมด นัยน์ตาสีเทาของรุจนั้นคล้ายกับเรืองรองขึ้นเมื่อจับจ้องทวิช
   
“คิดว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับคุณนั้นเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ เหรอ คุณทวิช”
   
“...ผมไม่เข้าใจ”
   
ทวิชตอบเสียงแผ่วเผลอกุมมือตัวเองแน่นใต้โต๊ะตามสัญชาตญาณ
   
ทั้งๆ ที่คนตรงหน้าเขาไม่ได้แสดงท่าทีคุกคามอะไรด้วยซ้ำ แต่เขากลับรู้สึกหวาดกลัว
   
“วันนั้นที่คุณบินไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”
   
“คุณเป็นพวกกลุ่มปฏิวัติ?”
   
รุจแค่นเสียงหัวเราะ “ผมไม่ใช่พวกใครทั้งนั้น และผมก็ไม่รับใช้ใครนอกจากพรรคพวกของผม” นัยน์ตาสีเทาจับจ้องไปยังปลาวาฬที่ถูกดัดจากไฟนีออนด้วยความอาลัย “คุณเคยได้ยินเรื่องวาฬรึเปล่า”
   
ทวิชเบิกตากว้างเพราะพอรุจหันหลัง เขาถึงเห็นว่าบนแผ่นหลังหนานั้นมีครีบสีดำงอกออกมา
   
“..ไม่ใช่ว่าพวกคุณสูญพันธุ์หมดแล้วเหรอ”
   
“ก็แค่เกือบเพราะอย่างน้อยก็มีคนที่รอดอย่างผมอยู่”
   
พอให้ทวิชดูเสร็จก็หันไปง่วนกับการชงเหล้าต่อ และเล่าด้วยท่าทีสบายๆ
   
“ก็อย่างที่ประวัติศาตร์ของอัลฟ่าเขียนไว้นั่นแหละ พวกวาฬอย่างเราก่อกบฏก่อนรุ่นพ่อแม่คุณอีก แต่สุดท้ายก็แพ้ยับเยินจนตายกันหมด ที่ผมยังทนมีชีวิตอยู่ก็แค่สืบต่อเจตนารมณ์ของพวกเขาเท่านั้น”
   
ถึงแม้จะเป็นเรื่องราวที่ผ่านมานานมากแล้ว แต่น้ำเสียงของรุจนั้นก็ยังแข็งกร้าวมากอยู่ดี อายุที่ยืนยาวบางครั้งก็เหมือนเป็นคำสาปร้ายมากกว่าพรจากพระเจ้า ความโดดเดี่ยวและความทรงจำอันเจ็บปวดทำให้การใช้ชีวิตในแต่ละวันเป็นความทุกข์ทรมานมากกว่าสุขสันต์
   
“หน้าที่ของผมก็คือล้มพวกชนชั้นนำสารเลวพวกนั้นให้ได้ก่อนที่ผมจะตาย”
   
“..สรุปคือคุณอยู่เบื้องหลังกลุ่มปฏิวัติครั้งนี้?”
   
รุจวางแก้วลงตรงหน้าทวิชและยิ้มแทนคำตอบ
   
“ทุกครั้งของการปฏิวัติต่างหาก ใครจะให้คำปรึกษาด้านการปฏิวัติได้ดีเท่าคนที่เคยอยู่ในเหตุการณ์ล่ะ ทุกการเคลื่อนไหวของกลุ่มปฏิวัติพวกนี้ต้องปรึกษาผมกันทั้งนั้น อาจจะเรียกผมว่าเป็นที่ปรึกษากลุ่มก็ได้”
   
“แล้วที่คุณบอกว่าที่ผมบินไม่ใช่เรื่องบังเอิญหมายถึงอะไร”
   
ทวิชหยิบแก้วขึ้นมาอย่างว่าง่าย กลิ่นหอมผลไม้หมักนั้นเชิญชวนเขาไม่น้อย แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้นเขาก็ยังลังเลนิดๆ เพราะรู้ตัวดีว่าเขานั้นไม่ได้อยู่เพียงลำพังบนโลกห่วยแตกนี้แล้ว
   
“ก็ตามที่ผมพูดนั่นแหละ ผมรู้ว่าวันนั้นต้องเกิดอะไรสักอย่างขึ้นที่บีบให้คุณใช้ปีก แล้วผมก็มั่นใจด้วยว่าเด็กดีอย่างคุณต้องไม่ยอมอยู่เฉยกับความไม่ยุติธรรมพวกนี้แน่ๆ ”
   
“..คุณมองผมมานานแค่ไหนแล้ว”
   
“ตั้งแต่ที่พ่อแม่คุณตาย” รุจลากเก้าอี้มานั่งตรงข้ามกับทวิชและเท้าคางพูด “พวกเด็กที่ยังมีปีกสมบูรณ์แบบคุณมันมีไม่กี่คนหรอก ทวิช และผมก็ต้องการปีกของคุณมาใช้แทนสัญลักษณ์เพื่อโต้กลับใส่พวกอัลฟ่าด้วย”
   
“แปลว่าคุณก็รู้จักพ่อแม่ผม”
   
“รู้จักสิ” รุจตอบยิ้มๆ เมื่อเห็นท่าทีกระตือรือร้นของทวิช “พ่อของคุณเป็นคนดีนะ ทวิช เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองบ้าๆ นี่ถึงกับยอมแลกทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตตัวเองเพื่อมัน ทั้งๆ ที่ผมก็ให้คำแนะนำพ่อคุณไปแล้วแท้ๆ ว่าอย่าเชื่อผมให้มันมาก เพราะบางทีผมก็พูดเรื่อยเปื่อย”
   
“..ที่อยู่ๆ พ่อผมไปเป็นแกนนำปฏิวัติก็เพราะคุณเหรอ”
   
น่าแปลกที่ทวิชตอบตัวเองไม่ได้ว่ากำลังรู้สึกแบบไหนอยู่
   
ผิดหวัง? โกรธ? หรือเสียใจ?
   
เขาไม่รู้เลย รู้แต่ว่าตัวเองตัวสั่นเทาจนลืมความลังเลเมื่อกี้ไปเสียหมด และหนทางเดียวที่เขาจะประคองความสุขุมของตัวเองต่อไปได้นั้นคือแก้วเหล้าตรงหน้าตัวเองเท่านั้น
   
ทวิชกำแก้วแน่นจนมือสั่นระริก ก่อนที่จะยกซดกินมันหมดแก้วในคราวเดียวทันที
   
..ช่างเด็กในท้องมันเถอะ คนเป็นแม่อย่างเขาแทบจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว!
   
ฝีมือการชงเหล้าของรุจนั้นสมกับเป็นบาร์ลึกลับจริงๆ เพราะเพียงแค่แก้วเดียวก็ทำให้เขาสมองโล่งทันที รสเหล้าที่แรงจนแทบเผาคอเขาให้ไหม้นั้นทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกตบหน้าแรงๆ เพื่อเรียกสติกลับคืนมายอมรับความจริงที่ต้องเผชิญ
   
พ่อเขาต้องตายอย่างทรมานเพราะไปเป็นแกนนำปฏิวัติ ถ้าหากพ่อเขาไม่ถูกปั่นหัวให้เข้าร่วม พ่อกับแม่เขาอาจจะยังไม่ตายก็ได้!!!
   
ทวิชจ้องรุจตาขวาง เผลอคืนร่างต้นเป็นเสือดำแบบทั้งตัวก่อนที่จะแยกเขี้ยวออกมาอย่างดุร้าย ถึงแม้จะรู้ว่าฝีมือการต่อสู้ของตัวเองห่วยแตก แต่เขาก็โกรธมากๆ อยู่ดี และหวังว่าเขี้ยวเล็บของตัวเองจะทำอะไรอีกฝ่ายได้บ้าง
   
“แน่ใจเหรอว่าจะโทษผม คุณทวิช ที่คุณจะควรจะโกรธมากกว่าคือรัฐบาลพวกนั้นรึเปล่า”
   
“...”
   
แน่นอนว่าทวิชรู้ดีว่าต่อให้โกรธให้ตายยังไง เขาก็ไม่ได้พ่อแม่เขากลับคืนมาอยู่ดี แต่เขาก็เลิกโกรธไม่ได้เพราะรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องมารับรู้ความจริงซ้ำๆ ว่าพ่อแม่เขาตายเพราะประเทศเฮงซวยนี้ และรายต่อไปที่โดนหมายหัวก็คือเขา
   
ทำไมกันนะ ทำไมเขาถึงเรียกร้องความเป็นธรรมกับใครไม่ได้เลย เขาก็แค่อยากมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขกับครอบครัวเท่านั้นเอง 
   
ทวิชค่อยๆ คืนกลับร่างมนุษย์ ลูบหน้าตัวเองอย่างสิ้นหวัง พยายามเช็ดน้ำตาที่คลอเบ้าออก
   
“..คุณคิดจะทำยังไงกับผมต่อ”
   
การรับรู้ว่าความจริงแล้วตัวเองเป็นเพียงแค่หมากในมือของอีกฝ่ายนั้นทำให้ทวิชเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าทุกการกระทำของตัวเองนั้น เกิดจากความต้องการตัวเองจริงๆ หรือเปล่า
   
“เอาเข้าจริงหน้าที่ของคุณก็จบแล้วนะ ทวิช เพราะผมก็แค่อยากใช้ปีกคุณกระตุ้นให้พวกเบต้าตื่นตัวมากขึ้นก็เท่านั้นเอง ตอนนี้คุณก็หมดหน้าแล้ว หลังจากนี้คุณก็อยู่เฉยๆ แล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกลุ่มปฏิวัติเถอะ”
   
รุจตอบอย่างไม่ยี่หระ เพราะเหตุผลหนึ่งเดียวที่รุจยังทนมีชีวิตอยู่คือการปฏิวัติให้สำเร็จ การรักษาความสัมพันธ์อะไรต่างๆ นั้นแทบไม่ใช่เรื่องสำคัญกับรุจอีกต่อไป
   
“..ที่ผมท้องไม่ใช่เพราะความตั้งใจของคุณใช่ไหม”
   
รุจเลิกคิ้วนิดๆ แต่ก็ไม่ได้ประหลาดใจอะไรนัก เนื่องจากรู้ดีว่าทวิชนั้นประกอบอาชีพอะไร “สิ่งเดียวที่ผมบงการคือเรื่องเมื่อวันก่อนแค่นั้น ผมแค่ใช้ปีกคุณครั้งเดียว ทวิช ไม่ต้องมาโทษผมหรอกว่าชีวิตห่วยๆ ที่คุณเจอมันเป็นเพราะผม เพราะคุณเป็นคนเลือกมันด้วยตัวเองต่างหาก”
   
ทวิชหัวเราะเสียงแผ่วเมื่อถูกแทงใจดำ แต่ถ้าให้เขาเลือกอีกครั้งเขาก็จะเลือกแบบเดิมอยู่ดี
   
“ผมไม่มีทางเลือก”
   
“ไม่มีใครมีทางเลือกทั้งนั้นแหละ คุณทวิช แม้แต่ผมเองก็เถอะ”
   
คนเป็นเจ้าของร้านถอนหายใจหน่ายๆ เอาเข้าจริงแล้วเขาก็เบื่อการต้องมาพยายามก่อปฏิวัติซ้ำไปซ้ำมาเหมือนกัน และก็ไม่รู้เวรกรรมอะไรของเขาที่มันไม่เคยสำเร็จสักที เขาอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติมาสามครั้งแล้ว และนี้ก็คือครั้งที่สามของเขาที่เขาหวังว่ามันจะสำเร็จเพราะเขาเหนื่อยที่จะพยายามใหม่แล้ว
   
การรวบรวมความกล้าของผู้คนเป็นเรื่องยาก กว่าเขาจะรวมกลุ่มปฏิวัติกลุ่มใหม่นี่ให้ได้มากขนาดนี้ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมหาศาล และเขามั่นใจมากว่าถ้าครั้งนี้ถูกทำลายไปอีก ครั้งต่อไปจะยากขึ้นกว่านี้มาก
   
“กลับร้านของคุณไปได้แล้ว ทวิช เจ้าเด็กที่คุณรับอุปการะไว้ยังรอคุณอยู่”
   
“..คุณอย่ายุ่งกับเขาได้ไหม ผมไม่อยากให้เขาตาย” ทวิชพูดด้วยสีหน้ากังวล “ถ้าคุณอยากทำอะไรก็ให้ผมทำแทนเถอะ”
   
“สบายใจได้ ผมไม่ใจร้ายขนาดเอาพวกเด็กมาใช้งานหรอก”
   
รุจหัวเราะแล้วโบกมือไล่ทวิช
   
“ไปซะ คุณหมดธุระกับที่นี่แล้ว ทวิช หลังจากนี้จะอยู่เฉยๆ หรือเข้าร่วมกับกลุ่มปฏิวัติคุณก็เลือกเอาเอง แต่ผมไม่รับประกันหรอกนะว่ามันจะสำเร็จ”
   
“จนถึงตอนนี้คุณยังไม่มั่นใจอีกเหรอ”
   
แน่นอนว่าทวิชก็พอได้ยินข่าวคราวเรื่องการเผาอนุสาวรีย์ของอัลฟ่าบ้างระหว่างที่เดินมา เบต้าพวกนั้นคุยเรื่องนี้ด้วยนัยน์ตาเป็นประกายโดยไม่แยแสพวกทางการที่เดินอยู่ฝั่งตรงข้ามสักนิด
   
“ผมไม่กล้ามั่นใจหรอก เพราะทุกครั้งที่มันจะสำเร็จ พวกมันก็ใช้วิธีการรุนแรงฆ่าเราจนพวกเราต้องยอมจำนนต่อพวกมันเพื่อที่จะได้ไม่ถูกฆ่า ครั้งพ่อแม่คุณพวกเขาก็ปิดล้อมฆ่า มีคนมากมายที่พยายามจะหนีลงน้ำแต่สุดท้ายก็จมน้ำตายกันอยู่ดี ซึ่งผมก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าพวกนั้นจะโหดร้ายกันขนาดนั้น คนบริสุทธิ์ต้องมาตายอย่างทุกข์ทรมานเพียงเพราะพวกเขาเรียกร้องในสิ่งที่ตัวเองควรจะได้ มันเป็นเรื่องที่ต้องฆ่ากันอย่างโหดเหี้ยมขนาดนี้เลยเหรอ”
   
นัยน์ตาสีเทาของรุจนั้นเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้จะพยายามไม่รู้สึกกับมัน แต่เขาก็ยังเจ็บปวดที่มีคนบริสุทธิ์มากมายที่ต้องถูกพรากชีวิตไปเหมือนเดิม
   
เรื่องพวกนี้ไม่สมควรเกิดขึ้นกับใคร แต่เขารู้ดีว่าถ้าหากต้องการปฏิวัตินี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องเกิด และหากเขานิ่งเฉยไม่ทำอะไรต่อไป ทุกความเลวร้ายในสังคมก็จะถูกส่งต่อในรุ่นลูกรุ่นหลานอีก ดีไม่ดีจนถึงตอนนั้นพวกอัลฟ่าอาจจะทำให้อะไรที่มันบ้าคลั่งกว่านี้ก็ได้ ขนาดเนื้อเบต้ามันยังกินกันได้เลย อีกไม่นานมันคงจะทำฟาร์มมนุษย์เพื่อกินเนื้อแน่ๆ
   
“แล้วตอนนี้ยังมีอะไรที่ผมทำได้ไหม”
   
“มีชีวิตต่อเพื่อเห็นความพินาศของพวกมัน”
   
รุจตอบก่อนที่จะล้วงหยิบจี้ห้อยคอซึ่งเป็นรูปอีกาสยายปีกสีเงินออกมาให้ทวิช มันยังคงดูใหม่อยู่แม้ว่าจะผ่านกาลเวลามานานหลายสิบปีเพราะรุจมักจะนำมันมาทำความสะอาดอยู่บ่อยครั้งเมื่อนึกถึงเจ้าของสร้อยเส้นนี้
   
“..มันคือ”
   
ทวิชรับไปดูด้วยความสนใจ
   
“พ่อคุณฝากเอาไว้”
   
“...”
   
แน่นอนว่าทวิชเลือกที่จะสวมมันให้กับตัวเองทันที ถึงแม้จะรู้ว่าการมีสัญลักษณ์เกี่ยวกับนกนั้นเป็นเรื่องผิดกฎหมายร้ายแรง แต่ยังไงเขาก็สบายใจที่จะแต่งตัวให้มิดชิดมากกว่าเดิมมากกว่าเก็บมันไว้ในที่ใดที่หนึ่งอยู่ดี
   
“จี้นี้เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มปฏิวัติรุ่นก่อน มันเป็นรุ่นแรกและเป็นของพ่อคุณ พวกอัลฟ่าพยายามจะหามาทำลายแต่ก็หาไม่เจอเพราะพ่อคุณเอามาฝากไว้ให้กับผมก่อน แน่นอนว่าพ่อคุณให้ผมเขียนการ์ดโง่ๆ ไร้รสนิยมนี้ด้วย เหล้าความจริงอะไรกัน ไร้สาระสิ้นดี ผมไม่ตั้งชื่อเหล้าไร้สาระแบบนี้หรอก แต่ผมก็เห็นแก่ที่พ่อคุณชอบเหล้านี้มากก็เลยยอมๆ ไป”   
   
บรรยากาศที่ดูตึงเครียดมาตลอดดูเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งทวิชก็พอจะสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายก็คงจะรู้สึกดีและเป็นมิตรกับพ่อตัวเองไม่น้อยถึงได้ดูมีความสุขนักยามที่พูดถึง
   
“ถึงแม้การปฏิวัติครั้งนั้นจะพ่ายแพ้ แต่ผมก็เชื่อนะว่ามันไม่ได้สูญเปล่า”
   
รุจจับจ้องจี้ที่อยู่ตรงคอของทวิชด้วยความอาลัย เพราะลึกๆ แล้วเขาอยากจะเก็บมันไว้เองมากกว่า มีคนไม่กี่คนจริงๆ ที่เขาเคยเจอและประทับใจ ซึ่งเอาเข้าจริงถ้าหากทวิชไม่เป็นเด็กดีขนาดนี้ เขาอาจจะเลือกที่จะชงเหล้าให้ทวิชกินสักแก้วแล้วไล่กลับไปเลยก็ได้
   
แต่พอเห็นใบหน้าที่มีความคล้ายคลึงกับเขาคนนั้นแล้วเขากลับทำไม่ลง
   
“จงมีชีวิตต่อไป ทวิช สร้างโลกที่ดีพอแล้วถึงค่อยปล่อยให้เด็กในท้องคุณเกิดมา”
   
นั่นเป็นความฝันของเขาคนนั้น น่าเสียดายจริงๆ ที่มันไม่สำเร็จ ไม่อย่างนั้นเด็กคนนี้ก็คงจะมีความสุขและมีชีวิตที่ดีกว่านี้
   
“..ครับ”
   
ทวิชพยักหน้ารับ รู้สึกผิดเล็กๆ เพราะเขาเลือกที่จะกินแก้วเมื่อกี้เข้าไปและมันก็คงจะส่งผลไม่ค่อยดีกับลูกของเขาสักเท่าไหร่ ซึ่งมันก็จะเป็นแก้วสุดท้ายที่เขากิน ต่อจากนี้เขาถ้าหากไม่เหลืออดเหลือทนจริงๆ เขาก็จะไม่กินอีก
   
“ขอบคุณนะครับ”
   
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก เพราะครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่คุณจะได้มาที่นี่”
   
รุจหัวเราะน้อยๆ
   
เพราะคนที่จะมาร้านเขาตอนไหนก็ได้มีแค่คนเดียวเท่านั้น

----------

หลังจากนี้จะเครียดขึ้นกว่าเดิมอีกค่ะ 555 :z10:

ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ  :กอด1:   

ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สนุกกกกกกกกกก สนุกมากกกกกกกกก อยากอ่านอีกกกกกกกกกกกก  :ling1:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
จะอึดอัดไปไหน

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 15

   
‘อัลฟ่า’
   
คือคำแรกๆ ที่ชนินทร์พูดได้หลังจากที่เพิ่งเกิดวาทกรรมนี้ได้ไม่กี่ปี เด็กชายวัยหนึ่งขวบที่มีเชื้อสายเป็นสัตว์กินเนื้อโดยสมบูรณ์นั้นเป็นสัญลักษณ์อันดีของอัลฟ่าและแทบจะไม่ต้องตัดแต่งพันธุกรรมอะไรเพิ่มเติม
   
ในวัยเด็กนั้นชนินทร์ชื่นชอบที่จะอยู่ในร่างกึ่งร่างต้น สนุกกับการกระดิกหูกับหางเพราะพ่อบอกว่าเขาเท่สุดๆ ชนินทร์ใช้ชีวิตสุขสันต์กับครอบครัวได้ไม่ถึงสองปี สงครามกลางเมืองก็ก่อตัวขึ้น พ่อของชนินทร์ถูกเรียกตัวไปรับใช้รัฐบาลที่ส่วนใหญ่แล้วมีเชื้อสายสัตว์กินเนื้อที่ในอดีตเคยรุ่งโรจน์ เป็นเชื้อสายที่ครอบครองทรัพยากรทุกอย่างมาก่อนจนกระทั่งเกิดการปฏิวัติครั้งก่อนที่ทำให้ทุกอย่างเท่าเทียมขึ้น มีสายเลือดผสมเกิดขึ้นมากมายซึ่งเป็นนิมิตหมายอันดีในการที่จะพัฒนาให้ประเทศนั้นมีมนุษยธรรมทัดเทียมกับประเทศอื่นๆ หลังจากที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนและตกอันดับในเวทีนานาชาติมานาน
   
ประเทศนี้เคยถูกปฏิวัติ เคยมีหมุดหมายแห่งเสรีภาพและความเท่าเทียม เคยมีอนุสาวรีย์ชัยอันเป็นสัญลักษณ์ของการอยู่ร่วมกันโดยที่ไม่มีใครมีสิทธิเหนือกว่าใคร เคยมีอะไรต่างๆ มากมายที่คนในอายุรุ่นราวคราวเดียวกับชนินทร์นั้นไม่อาจจินตนาการถึงได้ เพราะเมื่อพวกเขาเติบโตขึ้นสัญลักษณ์แห่งอิสรภาพเหล่านี้ก็ได้ถูกทำลายและบังคับให้สูญหายไปหมดแล้ว
   
หมุดที่เคยกล่าวถึงการถึงก่อตั้งคณะปฏิวัติได้ถูกปรับเปลี่ยน
   
อนุสาวรีย์ที่เคยเป็นรูปปั้นของผู้ปฏิวัติได้ถูกทุบทำลาย
   
ประวัติศาสตร์ในหน้าหนังสือถูกลบออกจนหมดเหลือไว้เพียงบรรทัดเดียวว่าพวกเขาก่อกบฏ
   
แน่นอนว่าการลบประวัติศาสตร์พวกนี้ล้วนแล้วแต่มีราคาที่ต้องจ่าย พ่อของชนินทร์ซึ่งเป็นตำรวจที่ไปช่วยปรามปราบการก่อจลาจลของมวลชนก็ได้สังเวยชีวิตไปกับกระสุนที่ไม่แน่ชัดว่ามาจากฝ่ายใด
   
ชนินทร์ในวัยสี่ขวบนั้นเด็กเกินกว่าจะทำความเข้าใจถึงเหตุผลที่แท้จริงของการต่อสู้ของมวลชนได้ เขารับรู้เพียงว่าพ่อที่เท่ที่สุดในโลกของตัวเองนั้นต้องตายด้วยฝีมือโอเมก้า โอเมก้าฆ่าพ่อของเขา ทำให้เขาต้องอยู่กับแม่สองคนและแน่นอนว่ามันไม่เหมือนเดิม
   
แม่ของชนินทร์กลายเป็นซึมเศร้าและแทบไม่ยิ้มอีกเลยหลังจากวันนั้น แม้แต่วันที่ชนินทร์ได้รับเหรียญกล้าหาญแทนพ่อที่เสียไป แม่ก็ทำเพียงแค่ลูบหัวเขาเบาๆ ไม่พูดอะไร หลังจากทนทุกข์ทรมานจากโรคมาหลายปีแม่ของชนินทร์ก็ตัดสินใจฆ่าตัวตาย ทิ้งให้ลูกชายวัยสิบแปดปีเผชิญกับโลกใบใหญ่ต่อเพียงลำพัง
   
ชนินทร์ไม่ได้แปลกใจอะไรนักกับการตัดสินใจของแม่ รู้สึกดีด้วยซ้ำที่แม่ของเขาอยู่กับเขาจนเขาโตพอที่จะใช้ชีวิตของตัวเองได้แล้ว แน่นอนว่าเขาไม่โทษแม่แต่เขาโทษพวกโอเมก้าสารเลวที่ทำให้ชีวิตครอบครัวเขาพังแบบนี้ ถึงการตายของพ่อจะทำให้เขาได้รับสวัสดิการหรือโอกาสต่างๆ มากมายก็ตาม แต่มันก็เทียบกันไม่ได้เลยกับครอบครัวที่เสียไป
   
เขาคิดถึงช่วงวัยเด็กอันเลือนรางของเขา
   
มันอาจจะไม่ใช่ครอบครัวที่เพียบพร้อมอะไรแต่เขาก็รักมัน และได้แต่หวังลมๆ แล้งๆ ในอนาคตว่าตัวเองจะสามารถสร้างครอบครัวดีๆ ขึ้นมาได้บ้าง
   
“ต่อไปนี้คุณดูแลเขตนี้นะ คุณชนินทร์”
   
“ครับ ท่าน”
   
ชนินทร์รับคำจาก ‘ผู้ใหญ่’ ที่คอยดูแลครอบครัวเขามาตั้งแต่เด็กและจนถึงตอนนี้ก็ยังคอยให้การอุปถัมภ์เขาอยู่ แน่นอนว่าชนินทร์ชื่นชมผู้ใหญ่ท่านนี้มาก เป็นอัลฟ่าที่ดีที่สุดที่เขาเคยพบในชีวิตเลยทีเดียว อีกทั้งยังเป็นคนให้โอกาสเขาในด้านหน้าที่การงานด้วย
   
หลังจากนั้นชนินทร์ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่กับการเป็นตำรวจอย่างกระตือรือร้น เขาอยากจะเป็นตำรวจในแบบที่พ่อของเขาเคยเป็น และเขาก็ทำมาอย่างเคร่งครัดจนกระทั่งวันหนึ่งไปเจอกับร้านลึกลับบางอย่างเข้า
   
“ไม่ต้องเข้าไปยุ่งหรอก”
   
เพื่อนร่วมอาชีพบอกชนินทร์แบบนั้นระหว่างที่นั่งกินโดนัทและดูแข่งมวยไปด้วย
   
“แต่มันผิดกฎหมายนะ เราไม่อนุญาตให้พวกเบต้าทำการการุณฆาตกันเองได้ มันไม่ถูกต้อง ถ้าจะทำก็ต้องทำผ่านพวกอัลฟ่าสิ ให้ตายเถอะนี่มันยิ่งกว่าผิดกฎหมายอีก พวกนั้นจะยิ่งกว่าตกนรกอีกนะ”
   
ชนินทร์อ้างถึงหลักศาสนาที่กล่าวกันว่าเป็นบาปอันสาหัสถ้าหากเบต้าเลือกที่จะทำอะไรกันเองโดยไม่ได้รับการอนุญาตจากอัลฟ่าเสียก่อน
   
“ถ้าเป็นฉัน ฉันจะไม่ยุ่งกับร้านนั้น แต่ถ้านายว่างนักก็ลงไปดูเองแล้วกัน”
   
“ไม่ต้องห่วง ผมลงไปดูเองแน่ ตอนนี้เลยด้วย ผมจะไม่ยอมให้ใครมาทำผิดกฎหมายในเขตนี้แน่ๆ ตราบใดที่ผมยังเป็นผู้ดูแลเขตนี้อยู่”
   
ชนินทร์บอกกับเพื่อนร่วมงานตัวอย่างขึงขัง แล้วฟึดฟัดขี่รถออกไปและเข้าไปในร้านลึกลับนั่นในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แต่น่าเสียดายที่เขาดันบังเอิญเจอพวกเบต้าพยายามจะปล้นอัลฟ่าเข้าซะก่อน เลยช่วยไล่จับอยู่หลายชั่วโมงกว่าจะมาถึงสถานที่ที่ต้องการก็เย็นแล้ว
   
“ก่อนที่คุณจะจับผม ก็ช่วยไปดูด้วยนะ ว่าใครคุ้มกะลาหัวผมอยู่”
   
สาบานได้เลยว่าเขาไม่เคยเจอเบต้าที่ไหนอวดดีใส่ขนาดนี้มาก่อน
   
ชนินทร์หงุดหงิดมากและมากกว่าเดิมเมื่อรู้ว่าตระกูลไหนที่คอยคุ้มครองอีกฝ่ายอยู่ แต่เขาก็เลือกที่จะเมินเฉยต่อความไม่ถูกต้องนี้ไม่ได้ ไม่สมควรมีเบต้าคนไหนที่ละเมิดกฎหมายและถ้าเขาปล่อยหมอนี่ไป คนอื่นๆ อาจจะทำตามจนเมื่อถึงเวลานั้นเขาอาจจะควบคุมไม่ได้ก็ได้
   
แต่แล้วพอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอัลฟ่าเหมือนตัวเอง ชนินทร์ก็ยอมหยุดมือและรู้สึกแปลกใจที่มีอัลฟ่ามาใช้ชีวิตในย่านเสื่อมโทรมที่ไม่มีอะไรดีแบบนี้ และเมื่อมองสำรวจอีกฝ่ายดีๆ ก็อดประหม่าเล็กๆ ไม่ได้
   
อีกฝ่ายหน้าตาดีเป็นบ้าแถมยังเป็นแบบที่เขาชอบอีก
   
ซึ่งแน่นอนว่าชนินทร์รู้ตัวดีว่าทวิชไม่ค่อยชอบตัวเองเท่าไหร่ แต่มันก็เป็นอะไรที่เข้าใจได้เพราะการเจอกันครั้งแรกของเขากับทวิชไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่
   
เอาเถอะ ครั้งหน้าเขาจะทำตัวให้ดีและน่าประทับใจกว่าครั้งนี้ให้ได้!
   
“...”
   
ชนินทร์นั่งคอตกอยู่ในห้องนอนของตัวเองอย่างสิ้นหวัง เพราะครั้งที่สองที่เจอกันเขาก็ทำให้ทวิชไม่พอใจเหมือนเดิม แถมยังเหมือนจะเกลียดขี้หน้าเขามากขึ้นด้วย ทั้งๆ ที่เขาก็เตือนทวิชด้วยความหวังดีแท้ๆ ว่าอย่าไปหลงเชื่อพวกกบฏ พวกนั้นชั่วร้ายกันจะตายและเขามั่นใจมากด้วยว่าต้องมีคนอยู่เบื้องหลังแน่ๆ
   
‘คุณก็รู้อยู่แก่ใจ คุณตำรวจ’
   
น้ำเสียงเหยียดหยันของทวิชดังในหัวของชนินทร์ ทำให้ชนินทร์รู้สึกยอมคิดทบทวนเรื่องนั้นอีกครั้ง เอาเข้าจริงแล้วสภาพของทวิชก็ไม่เหมือนคนโดนสะกดจิตเหมือนที่รัฐบาลเขียนไว้ด้วยซ้ำ ดูเหมือนคนที่จนตรอกและโกรธมากๆ ที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้มากกว่า
   
หรือว่าที่ทวิชพูดจะเป็นความจริง?
   
ชนินทร์ลูบหน้าตัวเอง พยายามจะคิดต่อแต่หลายสิ่งในใจก็ค้านเต็มไปหมด ทั้งหลักศาสนา กฎหมาย คำประกาศ คำปฏิญาณที่ต้องทุกท่องทุกเช้า ทุกๆ อย่างกำลังฉุดรั้งให้เขาไม่ให้เขาได้กล้าสงสัยต่อ
   
‘คุณก็แค่ไม่กล้ายอมรับความจริงก็เท่านั้น กลัวว่าความเชื่อตลอดยี่สิบสามปีของคุณจะพังทลาย’
   
“..แม่ง!!”
   
ชนินทร์สบถและยีหัวตัวเองจนยุ่งเหยิง นัยน์ตาขึ้นสีแดงก่ำ
   
เพราะมันเป็นอย่างที่ทวิชพูดจริงๆ
   
เขาไม่กล้ายอมรับความจริง

   

[ จากคำประกาศใช้มาตรา 666 ขอให้เบต้าทุกคนในเขตนี้อาศัยอยู่แต่ในบ้านตลอดทั้งระยะเวลากลางวันและกลางคืนเป็นเวลาสามวัน โดยทางรัฐบาลจะแจกจ่ายอาหารและยาตามจำนวนครอบครัวที่ได้ลงทะเบียนเอาไว้ ขอให้เบต้าทุกคนอย่าได้ขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐเมื่อมีเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจตราในบ้าน หากผู้ใดขัดขืนจะถูกตัดสินว่าเป็นกบฏและมีโทษสูงสุดคือถูกวิสามัญ ณ จุดเกิดเหตุทันที ]
   
เสียงวิทยุประจำเขตดังเป็นจำนวนนับครั้งไม่ถ้วนหลังจากรัฐบาลได้ประกาศใช้มาตราฉุกเฉินออกมาเพื่อควบคุมสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศ ซึ่งวันนี้ก็เป็นวันที่ห้าแล้วแต่เหล่าคนทางการก็ยังไม่ยกเลิกการใช้มาตราฉุกเฉินในเขตนี้เพราะยังตรวจตราได้ไม่ครบครันดี และพวกเขาก็ยังไม่ ‘เจอ’ ในสิ่งที่ต้องการจะหาด้วย
   
บรรยากาศในเขตนี้ที่ปกติมักจะอึมครึมสิ้นหวังอยู่แล้ว ในเวลานี้นั้นกลับสิ้นหวังกว่าเดิมมาก ผู้คนส่วนใหญ่ในเขตนั้นประกอบอาชีพเป็นแรงงานในโรงงาน ใช้ชีวิตทั้งชีวิตไปกับการทำงานร่วมกับเครื่องจักร สารพิษ และความหวังอันน้อยนิดที่จะได้รับโชคจากตั๋วชิงโชคที่ทางรัฐบาลขายให้
   
การถูกห้ามให้ออกจากบ้านนั้นเท่ากับว่าพวกเขาขาดรายได้ แน่นอนว่าถึงรัฐบาลจะกล่าวว่าพวกเขาจะชดเชยในส่วนนั้นให้แต่ไม่ว่าใครก็รู้ว่าระบบการทำงานของทางการนั้นล่าช้าเพียงใด มีเบต้าหลายรายที่ตายก่อนที่จะได้รับเงินชดเชยที่พวกเขาควรจะได้รับด้วยซ้ำไป
   
‘พวกคุณยังทำงานไม่หนักพอ เอาแต่ใช้เงินฟุ่มเฟือยถึงได้ไม่รวยเสียที’
   
อัลฟ่าคนหนึ่งที่มาจากในเมืองเข้ามาในเขตนี้พร้อมกับเงินบริจาคก้อนหนึ่งที่ไว้ใช้ลดหย่อนภาษีและมอบคำสอนให้กับเหล่าเบต้าที่มารับน้ำใจนั้นทั้งน้ำตา น้อมรับในคำสั่งสอนว่าพวกเขาต้องขยันมากกว่านี้ ทำงานมากกว่านี้ กินให้น้อยลง นอนให้ลง ใช้เวลาทั้งหมดให้คุ้มค่าที่สุดด้วยการทำงานเพื่ออนาคตของตัวเอง
   
ตลกร้ายที่เบต้าส่วนใหญ่ที่ทำตามคำสอนนี้นั้นส่วนใหญ่ไม่ป่วยตายก็หัวใจล้มเหลวในที่ทำงาน โดยที่พวกเขายังไม่เข้าใกล้กับความฝันที่จะพวกเขาต้องการเลยสักนิด
   
เหล่าเบต้าที่ทำงานอยู่ในระบบการปกครองเช่นนี้นั้นล้วนแล้วแต่ถูกหลอกลวง พวกเขาทำงานหนักและเจ็บปวดมากกว่าพวกอัลฟ่าที่ทำงานหนักมาทั้งชีวิตด้วยซ้ำ
   
ประเทศนี้นั้นโหดร้ายเกินไป เหล่าชนชนนำที่อยู่เบื้องบนหลอกให้เหล่าคนธรรมดาให้ทำงานหนัก ปิดกั้นทุกโอกาสที่พวกเขาจะสามารถถีบตัวขึ้นมาชนชนกรรมมาชีพขึ้นมาเป็นชนชั้นกลาง ขโมยการศึกษา สาธารณสุข อาหาร ทรัพยากร ช่วงชิงทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้กับตัวเพื่อความมั่งคั่งของชนชั้นตัวเอง
   
การเข่นฆ่าผู้คนในครั้งก่อนนั้นนับว่าเป็นความสำเร็จของรัฐบาลนี้ พวกเขากอบโกยความร่ำรวยทรัพยากรของประเทศไว้กับตัวบนกองเลือดและซากศพของประชาชน เหยียบย่ำอุดมการณ์ของพวกเขาใต้ฝ่าเท้าและบดขยี้ทุกจิตวิญญาณของทุกคนที่กล้าจะเงยหน้าขึ้นมา
   
‘จงพึ่งพาตนเองก่อนที่จะพึ่งรัฐบาล’
   
พวกเขากล่าวประโยคนี้อย่างไร้ความละอายใจ ทั้งๆ ที่ตนเองนั้นได้สร้างข้อจำกัดขึ้นมาเสียมากมายจนเหล่ามวลประชาใต้ฝ่าเท้าไม่กล้าเฝ้าฝันถึงอะไรอีกแล้ว เพราะลำพังแค่ประคองลมหายใจให้ผ่านพ้นไปอีกวันก็นับเป็นเรื่องที่ยากเย็นสำหรับพวกเขามากแล้วจริงๆ
   
“กลับเข้าไป!!!”
   
ตำรวจจากทางการคนหนึ่งตะโกนเสียงดังลั่นเมื่อมีเบต้ากลุ่มหนึ่งพยายามจะออกมาข้างนอก ใบหน้าของพวกเขาอิดโรยตามร่างกายเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจากสารพิษจากโรงงานผลิตเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ยาฆ่าแมลง บางคนถึงกับมีกลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมาจากตัว
   
“พวกผมต้องไปหาหมอ”
   
หนึ่งในเบต้ากลุ่มนั้นพูดเสียงเบา ขณะเดียวกันก็พยายามประคองเพื่อนร่วมงานของตัวเองที่ขยับร่างกายส่วนล่างแทบไม่ได้แล้วให้อีกฝ่ายรู้สึกสบายตัวมากขึ้น
   
“ยังไปไม่ได้ กลับเข้าบ้านไปซะ”
   
อัลฟ่าคนนั้นพูดด้วยสีหน้าหงุดหงิด และจงใจขยับกระบอกปืนในมือให้เห็นชัดๆ ว่าอย่าได้ต่อรองเพราะกฎอัยการศึกที่ประกาศไว้ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ หากขัดขืนก็สามารถยิงอีกฝ่ายทิ้งได้ทันทีโดยไม่มีความผิด
   
“แต่ แต่เพื่อนผมจะไม่ไหวแล้วนะครับ ขอร้องเถอะครับ พวกเราจำเป็นจริงๆ ”
   
เบต้าอีกคนในกลุ่มที่มีสภาพร่างกายเลวร้ายไม่ต่างกันขอร้องทั้งน้ำตา เคราะห์ดีที่เขาตัดสินใจลาออกจากโรงงานได้ทันก่อนที่จะสูญเสียอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของตัวเองไป
   
“กลับเข้าไป”
   
แน่นอนว่าผู้ที่อยู่เบื้องบนและเหนือกฎหมายย่อมไม่เข้าใจความทุกข์ทนของผู้คนเบื้องล่าง พวกเขาไม่ได้มองว่าเหล่าเบต้าเป็นคนเท่ากับตัวเองด้วยซ้ำไป เป็นเพียงแค่ชนชั้นที่ต้องคอยรับใช้พวกเขาอย่างรู้บุญคุณเท่านั้น
   
“แต่ว่า—”
   
ปัง!
   
เบต้าคนนั้นยังพูดต่อรองไม่ทันจบประโยคดีก็ถูกแกล้งยิงเฉี่ยวหัวจนต้องหุบปากฉับ เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวจนไม่กล้าพูดอะไรอีก เหล่าเบต้ากลุ่มนี้จึงต้องยอมเข้าห้องกันแต่โดยดีแม้ว่าจะไม่ยินยอมก็ตาม
   
“ก็แค่นี้”
   
ตำรวจอัลฟ่าหัวเราะอย่างย่ามใจก่อนที่จะเดินตรวจตราต่อเพื่อป้องกันไม่ให้มีเบต้าออกมาเพ่นพ่านอีก งานตามหากลุ่มกบฏที่ซุกซ่อนในเขตนี้ของพวกเขายังไม่จบเพราะยังหาตัวไม่เจอ ทั้งๆ ที่มีสายข่าวยืนยันมาว่าในเขตนี้มีหัวหน้ากลุ่มกบฏซุกซ่อนตัวอยู่พร้อมกับลูกสมุนอีกจำนวนหนึ่งที่ตั้งใจจะก่อกบฏสร้างความวุ่นวายให้กับชาติ แน่นอนด้วยความรักในชาติและประเทศพวกเขาย่อมไม่มีวันปล่อยให้เรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้นแน่นอน
   
มีเสียงเบต้าหลายคนที่พยายามอ้อนวอนขอร้องให้เหล่าอัลฟ่ายกเลิกกฎอัยการศึกในเขตนี้เพราะความหิวโหย เนื่องจากอาหารที่ทางการนำมาแจกนั้นไม่มากเพียงพอสำหรับผู้คนในเขตที่มีอยู่เกือบหกร้อยคน แถมการทำงานที่ล่าช้าก็ยิ่งส่งผลให้พวกเขาต้องอยู่อย่างไร้อาหารมาถึงสองวันจนแทบจะออกมาคลุ้มคลั่งตามท้องถนนด้วยความจนตรอก
   
แต่น่าเสียดายที่เสียงความต้องการของเบต้าในรัฐบาลนี้ก็ช่างเบาแสนเบา ต่อให้พวกเขาทั้งหกร้อยคนตายเหล่าอัลฟ่าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็คงไม่แม้แต่ให้ความสนใจด้วยซ้ำ หนำซ้ำยังรู้สึกดีเสียอีกที่มีคนมาแย่งชิงทรัพยากรอันล้ำค่าของพวกเขาน้อยลง
   
“..ผม ผมขอขนมปังสักแผ่นได้ไหมครับ แค่ แค่แผ่นเดียวก็ได้”
   
เด็กชายคนหนึ่งที่แอบหนีออกมาจากบ้านวิ่งไปเกาะขาชนินทร์ที่เดินตรวจตราอยู่อีกทาง แน่นอนว่าถ้าหากชนินทร์ยังเป็นอัลฟ่าคนเดิมที่เชื่อในรัฐบาลยังสุดหัวใจก็คงจะเตะเด็กนี้ออกจากตัวเพื่อตัดความรำคาญไปแล้ว
   
“…รอก่อนสิ เดี๋ยวก็มีคนเข้าไปแจกเอง”
   
ชนินทร์ก้มมองเด็กชายและพบว่าเป็นพวกที่ระบุจำแนกประเภทยากอย่างพวกหมี ที่ก้ำกึ่งระหว่างสัตว์กินเนื้อกับสัตว์กินพืชทำให้เกิดการถกเถียงอย่างวงกว้างว่าควรจะอยู่จำพวกไหน จนสุดท้ายได้ข้อสรุปเป็นการสวมแหวนของพวกอัลฟ่าเป็นการแสดงตัวแทนการใช้ร่างต้นที่แยกประเภทได้ยาก ซึ่งเจ้าเด็กที่เกาะขาเขาก็คงเป็นหมีประเภทหลังที่ไม่มีสิทธิ์ในความเป็นอัลฟ่า ทำให้ต้องมาใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในเขตนี้
   
“.ไม่มีหรอก”
   
เด็กชายหัวเราะเสียงเบาๆ สีหน้าหม่นหมองลง
   
ทั้งๆ ที่อายุเพียงไม่กี่ขวบ แต่ชนินทร์กลับเห็นถึงความสิ้นหวังในแววตาคู่นั้น แววตาที่ไม่กล้าฝันถึงอนาคตอะไรอีกต่อไปเพราะลำพังแค่จะมีชีวิตรอดถึงวันพรุ่งนี้เขายังไม่มั่นใจเลยว่าจะทำได้ไหม
   
“งั้นเอานี่ไปก่อน”
   
ชนินทร์ชั่งใจอยู่สักพักก่อนที่จะตัดสินใจล้วงเอาเนื้ออัดแท่งที่กะเอามากินเล่นฆ่าเวลาให้
   
“คุณ คุณตำรวจให้ผมจริงเหรอ”
   
แน่นอนว่าเด็กชายยังไม่ลืมสถานะอันต่ำต้อยของตัวเอง ไม่กล้าแม้แต่จะยื่นมือไปรับด้วยซ้ำ  ถึงแม้ว่าจะเป็นฝ่ายร้องขออาหารก็ตาม
   
“เอาไปกินเถอะ”
   
ถึงแม้จะรู้สึกอยากลูบหัวปลอบ แต่ลึกๆ ในใจชนินทร์ก็ยังไม่พร้อมยอมรับอยู่ดีว่าตัวเองกับเด็กชายนั้นมีสถานะเป็นมนุษย์แบบเดียวกัน เขาคุ้นชินและพอใจกับการถูกเลือกปฏิบัติมากกว่า
   
“ขอบคุณมากนะฮะ”
   
ชนินทร์พยักหน้ารับส่งๆ มองตามหลังเบต้าร่างเล็กที่วิ่งกลับเข้าบ้านไป และกลับไปเดินลาดตระเวนต่ออย่างขึงขังเพราะวิทยุที่ติดอยู่กับตัวนั้นประกาศซ้ำไม่หยุดถึงการระมัดระวังไม่ให้มีพวกกบฏหลบหนีไปได้ แต่อยู่ๆ เรื่องประหลาดก็เกิดขึ้น
   
“…?”
   
ชนินทร์ก้มมองลงตรงแขนตัวเองและพบว่ามีเข็มฉีดยาบางอย่างปักเอาไว้อยู่ ก่อนที่เรี่ยวแรงที่มีอยู่อย่างเหลือล้นจะค่อยๆ หายไปจนล้มไปกองกับพื้นในที่สุด อัลฟ่าหนุ่มครวญครางออกมาไม่หยุดเมื่อถูกความรู้สึกปวดหัวรุนแรงคุกคามจนตาพร่า พยายามจะเอื้อมมือไปจับวิทยุเพื่อร้องขอความช่วยเหลือแต่ก็ถูกมือเล็กๆ แย่งไปซะก่อน
   
“…พวกแก”
   
ชนินทร์สบถเพราะเมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นว่ามีพวกเบต้ากลุ่มหนึ่งในชุดคลุมสีดำออกมายืนมุงตัวเอง วิทยุของเขานั้นอยู่ในมือเด็กชายที่เขาเพิ่งให้อาหารไปเมื่อกี้ที่มีท่าทางเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
   
แววตาที่เคยสิ้นหวังแปรเปลี่ยนเป็นเกลียดชัง
   
“อัลฟ่าจงพินาศ อิสรภาพจงเจริญ”
   
เด็กชายที่เขาเคยคิดสงสารกระซิบข้างหูเขาอย่างเย็นชา ก่อนที่จะปล่อยให้เบต้าคนอื่นๆ มาช่วยรื้อชุดของเขาออกไป ขโมยทุกสิ่งทุกอย่างที่แสดงถึงความอภิสิทธิ์ชนของเขาออกไปจนหมด เหลือเพียงเสื้อกล้ามและกางเกงขาสั้นให้เขาได้พอมีอะไรปกคลุมร่างกายบ้าง
   
“..พวกแกทำไปทำไม”
   
ถึงแม้จะปวดหัวแทบตายแต่ชนินทร์ก็ยังพยายามที่จะพูดคุยกับกลุ่ม ‘กบฏ’ ที่ทางการตามหามาหลายวัน แน่นอนว่าชนินทร์ก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าตัวเองจะเป็นคนพบพวกคนชั่วพวกนี้คนแรก
   
“เพราะมันหมดเวลาความเห็นแก่ตัวของพวกแกแล้วไง”
   
เบต้าคนหนึ่งในกลุ่มนั่งยองๆ ตรงหน้าชนินทร์และแค่นเสียงหัวเราะเหยียดหยัน
   
“..พวกแกต่างหากที่เห็นแก่ตัว ทำลายความมั่นคงของชาติ”
   
ชนินทร์เถียงตอบอย่างยากลำบาก แต่ก็พยายามปกป้องความชอบธรรมของตัวเองเต็มที่ เขายอมรับไม่ได้จริงๆ ถ้าสถานะอัลฟ่าสูงส่งของเขาต้องถูกถอดถอนออกไป และในอีกวันเขาเป็นแค่คนธรรมดา
   
“อัลฟ่าไม่ใช่ชาติ ประชาชนอย่างเราต่างหากที่คือชาติ”
   
เป็นเด็กชายที่ตอบชนินทร์อย่างคล่องแคล่ว ถึงแม้อายุจะยังน้อยแต่เด็กชายนั้นก็เป็นคนหนึ่งที่ศรัทธาในอุดมการณ์ของกลุ่มปฏิวัติมากเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้ เพราะในโลกปกติที่อัลฟ่าทอดทิ้งให้เด็กอย่างเขาอยู่นั้นไม่หลงเหลือความหวังอะไรให้เขาอีกแล้ว
   
“แล้วถ้าจะด่าว่าพวกผมเห็นแก่ตัว คุณตำรวจดูตัวเองก่อนเถอะ ทุกวันนี้คุณตำรวจกินอิ่มนอนหลับดีไหม พวกผมน่ะแทบจะไม่เคยอิ่มกันจริงๆ ด้วยซ้ำ แถมพ่อแม่ผมทำงานจนตายเพื่อหาเงินส่งผมเรียน คุณชดใช้มันให้ผมได้ไหมล่ะ คุณตำรวจ ไหนจะเรื่องที่พวกคุณฆ่าพวกเราเพื่อเอาเหรียญกล้าหาญบ้าๆ อะไรนั่นอีก พวกคุณภูมิใจนักเหรอกับเหรียญที่ได้มาจากการฆ่าล้างกบฏอย่างพวกผมน่ะ”
   
ความจริงที่โหดร้ายย่อมผลักให้เด็กคนหนึ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว ถึงจะไม่ยินยอมแต่ถ้าหากไม่รีบโตพอเพื่อที่จะรับเรื่องราวเหล่านี้ก็ไม่มีวันใช้ชีวิตต่อไปได้
   
เด็กชายถลึงตามองชนินทร์อย่างโกรธเคือง
   
“...”
   
ชนินทร์พูดอะไรไม่ออกเพราะเขายอมรับว่าตอนนั้นเขาดีใจและภูมิใจมากจริงๆ ที่ได้รับเหรียญกล้าหาญแทนพ่อตัวเอง ถึงแม้จะรู้ว่ามันแลกมากด้วยชีวิตของคนจำนวนมากมายก็ตาม
   
“ไปเถอะ อย่าเสียเวลาคุยกับมันต่อเลย เรายังมีงานที่ต้องทำอีก”
   
เบต้าที่ดูโตที่สุดในกลุ่มลูบหัวเด็กชายให้ใจเย็นลงและโอบไหล่ให้เดินเลี่ยงออกไป พยายามเลี่ยงไม่ให้เกิดการปะทะกันเพราะความรุนแรงไม่ใช่วิถีของกลุ่มปฏิวัติ ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสฆ่าอีกฝ่ายก็ตาม
   
พวกเขารู้จักความเจ็บปวดของความสูญเสียดีจึงไม่คิดจะกระทำคืนต่ออีกฝ่าย เพราะการสร้างความเกลียดชังต่อไปเรื่อยๆ รังแต่ทำให้มีผู้คนต้องสูญเสียทั้งสองฝ่ายโดยไม่จำเป็น และความยุติธรรมในประเทศก็ไม่สามารถช่วยทำให้พวกเขาเหล่านั้นฟื้นคืนชีพกลับมาด้วย
   
หนทางเดียวที่พวกเขาทำได้โดยไม่ต้องให้ใครต้องเสียเลือดเสียเนื้ออีกคือการแก้กฎหมายของประเทศนี้ กฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์ที่อัลฟ่ายืนยันนักหนาว่าเป็นกฎหมายฉบับที่ดีที่สุดและโปร่งใสที่สุดเท่าที่ประเทศนี้เคยมีมา
   
แน่นอนว่ามันเป็นไปได้ยากแต่พวกเขาก็จะใช้ความพยายามทั้งหมดในการทำมันให้สำเร็จจงได้
   
“อัลฟ่าจงพินาศ อิสรภาพจงเจริญ”
   
เบต้าคนที่อยู่รั้งท้ายก็ไม่วายอดไม่ได้ที่จะเข้าไปพูดใส่ชนินทร์อย่างเหยียดหยัน ตอกย้ำอีกครั้งถึงศักราชใหม่ที่กำลังจะมาถึง อำนาจจะถูกเปลี่ยนผ่าน ประชาชนจะกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง
   
และพวกอัลฟ่าจะไม่มีวันได้เหยียบย่ำพวกเขาอีกต่อไป!

-------

 :a12:
   


ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เฮ้อ....หวังว่าชนินทร์จะไม่เป็นไรไ

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
แบบนี้ชนินทร์คงกลับมาเกลียดโอเมก้ากับเบต้าแบบไม่กังขาแน่ๆ // เฮ้อออ อ่านๆไปเหมือนกำลังอ่านคำทำนายประเทศที่อิชั้นอยู่เลยค่ะ เศร้า :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 16
   
   
“ชนินทร์?”
   
ทวิชเรียกอัลฟ่าร่างสูงที่นั่งตัวสั่นอยู่หน้าร้านตัวเองด้วยความไม่แน่ใจนัก เพราะสภาพของอีกฝ่ายตอนนี้ค่อนข้างยับเยินมากกว่าปกติ เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลแถมยังไม่สวมเครื่องแบบตำรวจที่เจ้าตัวภูมิใจนักหนาด้วย
   
“ทวิช ช่วยผมด้วย”
   
ชนินทร์เงยหน้ามองทวิชทั้งน้ำตา ยังไม่สามารถยอมรับได้ว่าตัวเองนั้นได้สูญเสียความสามารถในการคืนร่างต้นไปแล้วซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่ายาที่ฉีดเข้ามาในร่างกายเขานั้นจะออกฤทธิ์นานแค่ไหน อาจจะแค่วันนี้วันเดียวหรือตลอดไป เขาไม่มีทางรู้เลย
   
“..เกิดอะไรขึ้น”
   
ถึงแม้จะไม่ค่อยถูกชะตากับชนินทร์นัก แต่ทวิชก็ไม่ใช่คนที่ใจร้ายอะไร การเห็นคนที่เกลียดขี้หน้ามาตลอดนั้นใจสลายแทบไม่ทำให้เขารู้สึกดีเลย
   
“รีบเข้าร้านก่อนเถอะ ผมไม่รู้ว่าพวกนั้นจะมาตรวจแถวนี้อีกรอบตอนไหน”
   
ชนินทร์พูดเสียงเบาและหันซ้ายหันขวาอย่างหวาดระแวง
   
สาเหตุที่ลูกค้าที่มากองหน้าร้านทวิชหายไปนั้น ส่วนหนึ่งก็มีผลมาจากการประกาศใช้เคอร์ฟิวทั่วประเทศโดยเฉพาะในเขตพื้นที่ยากจนแน่นอนว่ามันรวมถึงเขตนี้ด้วย เหล่าลูกค้าผู้สิ้นหวังของทวิชจึงไปหาหนทางอื่นกันแทน อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ปรารถนาความตายมากกว่าการถูกทางการจับไปแน่ๆ

เพราะเมื่อถูกจับไปแล้ว พวกเขาก็ไม่คงไม่มีสิทธิ์ได้ออกมาใช้ชีวิตของตัวเองอีก กลายเป็นพลเมืองที่ถูกบังคับให้สูญหายกลายเป็นแรงงานทาสหรืออาจจะตายในคุกจากการทัณฑ์ทรมานของผู้คุมบ้าอำนาจสักคน
   
ประเทศนี้ไร้ซึ่งอนาคตให้พวกเขาได้คาดหวังแล้ว ประชาชนใช้ชีวิตด้วยความเจ็บปวด ทุกปัญหาที่เกิดขึ้นถ้าหากไม่ทำให้พวกอัลฟ่าเดือดร้อน พวกมันก็จะเพิกเฉยปล่อยให้เบต้าที่ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะเอาตัวรอดได้ ตะเกียกตะกายพยายามหาทางเอาชีวิตรอดต่อไป ซึ่งถ้าหากทำไม่ได้พวกเขาก็แค่ตายเท่านั้น
   
ชีวิตเบต้าในประเทศนี้นั้นช่างแสนไร้ค่า ต่อให้ตายไปอีกนับพันคนก็มีค่าไม่เท่ากับอัลฟ่าหนึ่งคนด้วยซ้ำไป
   
“อืม”
   
ทวิชรับคำในลำคอและก้มหยิบกุญแจที่ซ่อนไว้ใต้กระถางต้นไม้ขึ้นมาไขกุญแจที่คล้องเอาไว้หลายชั้น จัดการอยู่สักพักประตูก็เปิดออก รอจนชนินทร์เข้าไปในร้านก่อนทวิชถึงจัดการล็อคประตูเพราะช่วงนี้เขาคงจะงดรับลูกค้าไปสักพักจนกว่าเรื่องทุกอย่างจะจบลง
   
“นั่งรอก่อน เดี๋ยวผมทำอะไรให้กิน”
   
ทวิชถอนหายใจเนื่องจากสภาพชนินทร์ตอนนี้ดูน่าสงสารพอๆ กับพวกลูกค้าที่มาใช้บริการของเขาเลยด้วยซ้ำ แววตาที่มักจะเปล่งประกายอย่างมั่นใจและอวดดีหม่นหมองลงจนน่าใจหาย
   
ทวิชเดินกลับเข้าห้องครัวก่อนที่จะสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นถึง ‘สาเหตุ’ ที่ทำให้รีบกลับมาที่ร้าน
   
“..กันต์”
   
ทวิชพยายามเขย่าปลุกกันต์ที่นอนขดตัวอยู่บนพื้นซึ่งก็มีสภาพมอมแมมไม่ต่างอะไรจากชนินทร์สักนิด เพียงแต่สภาพของกันต์นั้นดูอิดโรยกว่าเหมือนไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน ทั้งๆ ที่เขาก็ซื้อข้าวของตุนเอาไว้มากพอที่จะอยู่ได้สบายๆ หลายเดือนด้วยซ้ำ
   
“กันต์!”
   
ทวิชเขย่าแรงๆ อีกครั้งจนในที่สุดกันต์ก็ลืมตาขึ้นมา นัยน์ตาสีเทาหม่นจ้องมองทวิชไม่วางตาก่อนที่จะโผกอดอีกฝ่ายแน่นจนทวิชรู้สึกเจ็บแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ยกมือขึ้นมาลูบหลังกันต์เบาๆ
   
อย่างไรก็ตามทวิชก็ไม่ได้ลืมว่ากันต์นั้นก็ยังเป็นแค่เด็ก เด็กที่ถูกบีบบังคับให้เติบโตอย่างรวดเร็วจนในที่สุดเจ้าตัวก็เลือกความตายมากกว่าการดิ้นรนมีชีวิตอยู่ต่อ
   
การที่กันต์ยังอยู่ที่นี่เพื่อเราเขากลับมานั้นมันทำให้เขารู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะมันทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกลับไปมีครอบครัวอีกครั้ง
   
เขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลกเฮงซวยนี่แล้ว
   
“..ปล่อยก่อน เดี๋ยวทำอะไรให้กิน”
   
ทวิชพูดกับกันต์ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลซึ่งกันต์ก็ยอมปล่อยแต่โดยดี ถึงแม้สีหน้าจะไม่แสดงอารมณ์อะไรเท่าไหร่แต่ก็มีท่าทีมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดจนทวิชอดยิ้มเอ็นดูเล็กๆ ไม่ได้
   
เคราะห์ดีที่จนถึงตอนนี้รัฐบาลก็ยังไม่ได้ตัดน้ำตัดไฟในเขตนี้ ทวิชจึงยังพอใช้ของสดที่เก็บไว้ในตู้เย็นได้ ซึ่งเมนูที่ทวิชทำนั้นก็มีเป็นเมนูง่ายๆ อย่างกะเพราไก่กับข้าวที่หุงไว้ด้วยปริมาณที่เยอะกว่าปกติ เพราะทั้งชนินทร์และกันต์ก็คงจะกินเยอะพอๆ กัน
   
ใช้เวลาไม่นานทวิชก็ทำอาหารเสร็จซึ่งกันต์ก็เป็นคนคอยช่วยถือจานกับหม้อหุงข้าวออกไป และเพิ่งรู้ตัวว่าในร้านนั้นมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญด้วย
   
“...”
   
กันต์เหลือบชนินทร์ด้วยท่าทีไม่เป็นมิตรนัก แต่ท่าทางหมดอาลัยตายอยากของชนินทร์ก็ดูน่าสังเวชเกินกว่าจะซ้ำเติมอะไรเลยเลือกที่จะนั่งข้างทวิชและกินเงียบๆ
   
“..เล่าได้รึยังว่าเกิดอะไรขึ้น”
   
ทวิชถามอย่างข้องใจ
   
“..พวกกบฏเอายาอะไรไม่รู้มาฉีดผม” ชนินทร์ลูบหน้าตัวเองพยายามประคับประคองสติไม่ให้ตัวเองสติแตกไปซะก่อน “ยานั่นทำให้ผมคืนร่างอัลฟ่าไม่ได้แถมพวกมันยังขโมยของผมไปหมดเลยด้วย ผมไม่เหลืออะไรที่สามารถยืนยันตัวตนได้เลย แล้วช่วงนี้พวกเราก็เคร่งเรื่องการถือบัตรยืนยันตัวตนด้วย ต่อให้ผมกลับไปทำเรื่องขอก็คงไม่มีใครให้ ผมจะทำยังไงดี ทวิช ผมจะทำยังไงดี ผมทนใช้ชีวิตแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ ”
   
ถึงแม้ภายนอกเหล่ารัฐบาลจะยังดูทำงานการกันปกติ แต่มันก็เพียงแค่ฉากหน้าที่ปกปิดความระส่ำระส่ายและหวาดระแวง ในตอนนี้นั้นพวกเขาแทบจะไม่ไว้ใจกันเองด้วยซ้ำเพราะกลุ่มกบฏคล้ายกับจะแฝงตัวไปทุกที่ การเป็นอัลฟ่าไม่ได้ทำให้รู้เลยว่าลึกๆ ในใจนั้นอยู่ฝักฝ่ายใดกันแน่
   
การออกบัตรอัลฟ่าหรือสิทธิพิเศษต่างๆ จึงถูกระงับไว้ชั่วคราว มีเพียงอัลฟ่ากลุ่มเดียวที่ยังใช้สิทธิพิเศษในส่วนนี้ได้คือเหล่าอัลฟ่านักบวช อัลฟ่าที่อยู่เหนือกว่าอัลฟ่าทั่วไป พวกเขาสถาปนาตัวเองเป็นชนชั้นพิเศษ แอบอ้างในความใกล้ชิดเทพเจ้าที่ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่ามีจริงหรือไม่ของศาสนาประจำประเทศนี้
   
แน่นอนว่าอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่และยากที่สุดของคณะปฏิวัติคือกลุ่มอัลฟ่าชนชั้นนี้ ชนชั้นที่มักจะลอยตัวเหนือปัญหาทุกอย่าง คอยอยู่เบื้องหลังและชักใยอัลฟ่าที่คอยรับใช้ตนเองอีกทีราวกับว่าตนนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับความวุ่นวายทั้งหมดในประเทศ เป็นเพียงกลุ่มชนศักดิ์สิทธิ์ที่ยึดมั่นในศีลธรรมและคอยดูแลประเทศนี้อย่างเที่ยงธรรมเท่านั้น
   
และบุคคลที่ถือว่าเป็นผู้นำของกลุ่มอัลฟ่านักบวชเหล่านี้ก็คือ ‘ณภัทร’
   
อัลฟ่าสิงโตเผือกร่างใหญ่อายุอารามเกือบเจ็ดสิบปีที่นับได้นับว่าเป็นผู้นำศาสนาคนสำคัญคนปัจจุบันในประเทศ เป็นเจ้าแห่งลัทธิบูชาอัลฟ่าหรือลัทธิบูชาบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศนี้
   
เพราะในประเทศนี้นั้น ‘ณภัทร’ เปรียบเสมือนพระเจ้าที่ได้ลงมาจุติในร่างมนุษย์ เป็นมนุษย์ที่สืบทอดเชื้อสายพระผู้เป็นเจ้าที่คอยสร้างโลกมาก่อนจึงมีสิทธิที่เหนือกว่าเบต้าหรืออัลฟ่าคนใดในประเทศ เป็นผู้นำเพียงหนึ่งเดียวที่จะนำพาประเทศไปสู่ความรุ่งโรจน์ได้
   
“ผมก็คงจะช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอก ลำพังผมยังเอาตัวเองไม่รอดเลย” ทวิชหัวเราะเสียงขื่นแววตาหม่นลง “ถ้าคุณไม่ทำตัวมีปัญหา ผมก็ให้คุณอยู่ที่นี่ด้วยได้”
   
“…ผมอยากกลับบ้าน”
   
ชนินทร์พูดเสียงแผ่ว เขายอมรับว่าตัวเองนั้นคิดถึงความสะดวกสบายที่ตัวเองเคยได้รับในฐานะอัลฟ่า การอยู่ในสถานะนั้นถึงแม้จะดูเอาเปรียบและเห็นแก่ตัวต่อเบต้า แต่เขาถ้าเลือกได้เขาก็เลือกที่จะเป็นอัลฟ่าอยู่ดี
   
“งั้นกินเสร็จ คุณก็หาทางกลับไปซะ ผมช่วยได้แค่นี้”
   
ทวิชตอบอย่างเย็นชาและตักข้าวให้กันต์เพิ่มเมื่อเห็นจานของอีกฝ่ายเริ่มพร่องลง ก่อนที่จะกินในส่วนของตัวเอง ไม่สนใจชนินทร์อีก
   
“มันต้องมีสักทางที่คุณจะช่วยผมได้สิ ทวิช คุณเป็นพวกกบฏไม่ใช่เหรอ” ชนินทร์ไม่สนใจข้าวที่ทวิชตักให้ผลุดลุกขึ้นยืนค้ำโต๊ะและจ้องหน้าทวิชอย่างคุกคาม “ถ้าคุณช่วยผมครั้งนี้ ผมจะตอบแทนคุณอย่างงามเลย คุณอยากได้อะไรล่ะ ทวิช พูดมาเลย ผมจะหามันมาให้คุณเอง”
   
“กันต์ ไม่ต้อง”
   
ทวิชรั้งแขนกันต์ที่ทำท่าจะลุกตาม สีหน้าของกันต์ที่ปกติมักจะเฉยชาตอนนี้นั้นทะมึนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ทวิชเหลือบมองชนินทร์และกลอกตาหน่ายๆ เพราะอุตส่าห์คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะทำตัวดีขึ้นสักนิด แต่ความจริงก็คือไม่เลย การตกอยู่ในสภาวะจนตรอกไร้ทางเลือกแบบพวกเบต้ากลับผลักดันให้ชนินทร์นั้นพยายามตะเกียกตะกายกลับไปหาชนชั้นของตัวเองอย่างจริงจังมากกว่าเดิมอีก ไม่ได้ทำให้เจ้าตัวรู้ตัวเลยสักนิดว่าระบบการปกครองที่เป็นอยู่ตอนนี้มันบิดเบี้ยวขนาดไหน
   
ไม่มีชนชั้นไหนที่สมควรต้องถูกลดทอนคุณค่าจนราวกับไม่ใช่คน และไม่มีชนชั้นไหนที่สมควรได้รับการยกย่องจากการกดขี่คนอื่นไว้เบื้องล่างอย่างเลือดเย็นเพื่อชนชั้นของตัวเอง
   
ระบบชนชั้นน่ารังเกียจนี่สมควรจะถูกทำลายทิ้งสักที
   
“คุณจะช่วยผมไหม ทวิช ถ้าคุณไม่ช่วยผมก็จะไปแจ้งกับทางการว่าคุณเข้าร่วมกับพวกมัน”
   
ชนินทร์พูดเสียงกร้าวไม่สนใจว่าตัวเองจะอยู่ในสถานะต่อรองได้หรือไม่ ที่เขาสนใจคือเขาอยากกลับไปเป็นอัลฟ่าเต็มทนแล้ว เขาทนใช้ชีวิตห่วยๆ แบบนี้อีกต่อไปไม่ไหวแล้ว
   
“ไม่” ทวิชตอบอย่างไร้เยื่อใยและมีสีหน้าเย็นชากว่าเดิม “อยากทำอะไรก็ทำ คุณตำรวจ ต่อให้คุณฆ่าผม ผมก็ไม่คิดจะช่วยคุณอยู่ดี คนเห็นแก่ตัวอย่างคุณไม่มีค่าพอให้ผมช่วยหรอก”
   
“ทวิช!!! ที่ผ่านมาผมก็อุตส่าห์ใจดีไม่แจ้งคุณเพื่อเอารางวัลนะ!!!”
   
ชนินทร์ตะคอกเสียงดังลั่นแต่ก็ไม่ได้ทำให้สีหน้าของทวิชเปลี่ยนสักนิด
   
“ชีวิตของผมมีค่าแค่นั้นเองสินะ คุณตำรวจ” ทวิชแค่นเสียงหัวเราะ “แต่ยังไงผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าผมไม่ช่วยคุณ คุณจะไปแจ้งพวกมันก็เชิญ เพราะสำหรับผมอยู่หรือตายมันก็ไม่ได้ต่างกันนักหรอก”
   
“ทวิช ผมจะถามเป็นครั้งสุดท้ายนะ” ชนินทร์โน้มตัวเข้าหาเจ้าของร้านอย่างคุกคาม “คุณจะช่วยผมไหม”
   
“จะฆ่าผมก็ได้นะ มีดอยู่ในครัว” ทวิชเหยียดยิ้ม “แต่ถ้าคุณคิดจะทำจริงๆ ผมก็คงจะต้องฆ่าคุณก่อนเหมือนกัน คุณตำรวจ ถึงผมจะอยากตายแต่คนที่จะทำให้ผมตายได้ก็มีแค่ตัวผมเองเท่านั้น”
   
นัยน์ตาสีทองเรืองรองอย่างดุร้าย
   
“คนอื่นไม่มีสิทธิ์”
   
“ทวิช!!!”
   
ชนินทร์คำรามตั้งใจจะกระชากคอเสื้อทวิชแต่กลับถูกกันต์พุ่งเข้ามาจัดการเข้าซะก่อน แน่นอนว่าคราวนี้ทวิชไม่ได้ห้ามกันต์อีกจึงเกิดเป็นสงครามย่อมๆ ขึ้นกลางร้าน ซึ่งคนที่ตกเป็นรองก็ยังคงเป็นชนินทร์ที่สูญเสียความสามารถในการใช้พลังของร่างต้นไปแล้วทำให้พ่ายแพ้ให้กับกันต์อย่างง่ายดาย
   
“พวกแก!! ไอ้พวกเศษสวะ!! พวกแกต้องชดใช้แน่!!”
   
ถึงแม้จะอยู่ในสภาพยับเยินและถูกมัดมือมัดเท้าแต่ชนินทร์ก็ไม่คิดจะที่อ่อนข้อให้กับทวิช เพราะหนทางเดียวที่เขาจะตะกายกลับไปสู่สถานะเดิมได้คือการได้รับความช่วยเหลือจากทวิช หากเขายอมแพ้ตั้งแต่ตอนนี้เขาก็จะไม่มีวันกลับไปได้อีกและต้องใช้ชีวิตไร้ค่าแบบนี้ไปตลอดชีวิต
   
เขายอมรับชีวิตแบบนี้ไม่ได้จริงๆ
   
“กินข้าวต่อเถอะ กันต์” ทวิชลูบหลังกันต์เชิงขอบคุณและก้มมองชนินทร์ที่นอนกองอยู่บนพื้นด้วยสายตาสมเพช “ชีวิตแบบนี้แหละที่เบต้าต้องเจอทุกวัน คุณเพิ่งจะตกอยู่ในสภาพแบบนี้ไม่กี่วันก็ทนไม่ได้แล้วเหรอ บอกตามตรงนะว่าคุณมันน่าสมเพชยิ่งกว่าทุกคนที่ผมเคยเจออีก”
   
“…ผมเป็นอัลฟ่าไม่ใช่เบต้า”
   
ชนินทร์ขบเคี้ยวฟันพูดอย่างยากเย็น
   
“จนถึงตอนนี้คุณยังเชื่ออยู่เหรอว่าอัลฟ่า เบต้า อะไรพวกนี้มันมีจริงๆ ความจริงมันก็แค่วาทกรรมไว้ล้างสมองพวกคิดไม่เป็นอย่างพวกคุณนั่นแหละ ชนินทร์ พวกเราก็เป็นแค่คนโง่ๆ ที่ใช้ชีวิตในประเทศบ้าชนชั้นนี่ก็เท่านั้นเอง”
   
ถึงแม้จะจะสมควรฆ่าชนินทร์เพื่อความปลอดภัยของตัวเองแต่ทวิชก็ทำไม่ลงอยู่ดี พวกคนของรัฐบาลอาจจะฆ่าคนที่เห็นต่างได้อย่างง่ายดาย แต่เขาไม่ใช่คนแบบนั้น ถ้าไม่ใช่การร้องขอความตายด้วยความสมัครใจหรือการป้องกันตัวเองอย่างสุดวิสัย เขาก็ไม่คิดจะฆ่าใครหรอก
   
ประเทศนี้สูญเสียมามากเกินพอแล้ว
   
“ผมไม่อยากฆ่าคุณ หลังจากนี้ก็ช่วยทำตัวดีๆ ด้วย”
   
ทวิชถอนหายใจเหนื่อยๆ เพราะนี่ก็คงจะเป็นอีกหนึ่งการตัดสินใจที่แย่ที่สุดของเขา
   
“ผมไม่เข้าใจ …ทำไมคุณต้องช่วยพวกมัน”
   
“เพราะผมทนให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้วไง คุณคิดว่าผมเปิดร้านนี้เล่นๆ เหรอ ชนินทร์ คิดว่าผมมีความสุขนักเหรอที่ต้องมาฆ่าคนอื่น ทั้งๆ ที่ตัวเองก็อยากตายเหมือนกัน ผมโคตรเกลียดที่นี่เลย ผมเกลียดตัวเอง ผมเกลียดทุกอย่าง แต่ผมก็ยังไม่ตายไง ผมก็เลยยังพยายามต่อและหวังว่าสักวันว่าผมจะเปลี่ยนอะไรได้บ้าง”
   
ทวิชทรุดตัวนั่งลงข้างๆ ชนินทร์และหัวเราะออกมาอย่างสิ้นหวัง
   
“แต่คนแบบคุณมาเยอะไง ชนินทร์ คนที่ไม่รู้อะไรเลยแล้วก็ชี้หน้าด่าผม แช่งให้ผมตาย ไล่ให้ผมไปอยู่ประเทศอื่น ผมก็อยากไปนะ แต่ผมทำไม่ได้ ถ้าผมไปใครจะอยู่ช่วยคนพวกนี้ล่ะ ผมทนให้พวกเขาเจ็บปวดกว่านี้ไม่ได้แล้ว ผมไม่อยากให้มีใครต้องมาทนเจ็บปวดเพราะระบบบ้าๆ นี่แล้ว ฝันร้ายนี่ควรจะจบลงสักที”
   
ทวิชหลุบตามองชนินทร์
   
“คุณมองไม่เห็นมันจริงๆ เหรอ ชนินทร์ ความไม่ยุติธรรมพวกนี่น่ะหรือคุณแค่ยอมรับความจริงไม่ได้”
   
“…”
   
ชนินทร์หลบตาทวิชอย่างเห็นได้ชัดไม่กล้าพูดอะไรอีก
   
“ผมเชื่อนะว่าคุณไม่ใช่คนเลวร้าย การยอมรับว่าตัวเองหลงผิดไปไม่ใช่เรื่องน่าอายหรอก คุณยังกลับตัวทันนะ ชนินทร์ ตอนนี้มันยังไม่สายเกินไป คุณยังมีโอกาสที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องอยู่นะ”
   
“…”
   
ทวิชถอนหายใจเมื่อยังเห็นท่าทีดื้อดึงของชนินทร์ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเพราะมันก็เป็นอะไรที่เข้าใจได้ ความเชื่อที่เชื่อมั่นมาตลอดชีวิตนั้นเมื่อพบว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง ไม่ว่าใครก็ทำใจยอมรับกันได้ยากทั้งนั้น แต่การทำตัวโง่งมยอมถูกหลอกต่อไปก็เป็นการกระทำที่โง่ยิ่งกว่า
   
คนพวกนี้ควรจะตาสว่างกันสักที ยากล่อมประสาทขนานใหญ่ที่รัฐบาลใช้กล่อมประสาทพวกเขานั้นก็ช่างเป็นยากล่อมประสาทที่ห่วยแตก เพราะเรื่องราวที่พวกเขาปั้นแต่งขึ้นมานั้นมีแต่เรื่องหลอกลวง ข้อมูลชุดเดียวที่ว่าด้วยอัลฟ่านั้นมีขึ้นเพื่อเบต้านั้นถูกเผยแพร่ ผลิตซ้ำไม่หยุดไม่หย่อนแม้แต่วันเดียว สอดแทรกเรื่องราวเหล่านี้ไปกับการเรียน การศึกษา พิธีกรรม ความเชื่อ และทุกสิ่งทุกอย่างจนกว่าจะครอบงำความคิดได้
   
จากเรื่องที่คนทั่วไปรู้ว่าเป็นเรื่องโกหกก็ค่อยๆ กลายเป็น ‘ความจริง’
   
ความจริงที่มีเนื้อแท้เป็นเรื่องหลอกลวงเพื่อปกครองผู้คน เหยียบย่ำพวกเขาเอาไว้ใต้ฝ่าเท้า ขูดรีดเลือดเนื้อเงินทองพวกเขาออกมาทุกหยาดหยดเพียงเพื่อปรนเปรอตัวเองและใช้ผ้าคลุมศีลธรรมที่เรียกกันว่าศาสนามาสวมทับตัวเอง
   
“อัลฟ่าจงเจริญสินะ ชนินทร์”
   
ทวิชพูดก่อนที่จะคืนร่างต้นเป็นร่างผสมบางส่วน ปล่อยให้ปีกคู่ใหญ่ที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นอิสรภาพได้กางออกมาพร้อมๆ กับปล่อยให้บางส่วนของใบหน้าตัวเองกลายเป็นสัตว์กินเนื้อซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอัลฟ่า
   
ชนินทร์เบิกตากว้างเมื่อเห็นปีกของทวิช เนื้อตัวสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่และถามด้วยความแตกตื่น
   
“..โอเมก้า? คุณเป็นโอเมก้าเหรอ ทวิช! คุณไม่ใช่อัลฟ่าเหรอ!”
   
“เราทุกๆ คนก็เป็นแค่มนุษย์ ชนินทร์” ทวิชก้มมองอุ้งเท้าเสือของตัวเอง น้ำตาคลอเมื่อรู้สึกว่ามันเหมือนอุ้งเท้าของแม่เขาเหลือเกิน “อัลฟ่า เบต้า โอเมก้า ของพวกนี้มันไม่มีจริงหรอก มันก็เป็นแค่คำเอาไว้หลอกเราเท่านั้นเอง”
   
“…คุณคงไม่ใช่โอเมก้านั่นใช่ไหม”
   
ชนินทร์ถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ
   
เขาไม่มีทางจำคนที่ตัวเองชอบผิดหรอก
   
“ใช่” ทวิชหัวเราะและจงใจขยับปีกเข้าไปใกล้ชนินทร์ “ปีกคู่นี่แหละที่ทำผมเกือบตาย”
   
“…”
   
เงียบอยู่สักพักสุดท้ายชนินทร์ก็สะอื้นออกมาจนตัวโยน ร่างที่เคยดูองอาจขดตัวราวกับเด็กเล็กๆ ที่ใจสลายเพราะสิ่งที่หล่อหลอมตัวตนของชนินทร์มาตลอดจนถึงตอนนี้นั้นก็คืออัลฟ่า
   
อัลฟ่าคือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตชนินทร์และชนินทร์ก็ทำทุกอย่างเพื่ออัลฟ่า
   
การถูกความจริงตีแสกหน้าก็เหมือนถูกทำลายโลกทั้งใบ
   
ทั้งๆ ที่ไม่อยากยอมรับแต่เมื่อทบทวนสิ่งที่ทวิชพูดดีๆ ก็พบว่ามันเป็นความจริงที่เขาควรจะยอมรับสักที เขามันเห็นแก่ตัวและควรจะเห็นอกเห็นใจคนที่ถูกกดขี่ไว้เบื้องล่างบ้าง
   
ชนินทร์สะอื้นหนักกว่าเดิมเพราะเขารู้ดีว่าตนเองนั้นภูมิใจไหนความเป็นอัลฟ่าขนาดไหน เขากดขี่เบต้ามากมาย ทำร้ายพวกเขาอย่างไร้เหตุผล แถมยังเลือกปฏิบัติกับผู้คนเพียงเพราะความเป็นอัลฟ่าอีก
   
พ่อของเขาเคยสอนเขาให้ปฏิบัติกับผู้คนอย่างเท่าเทียมกันแต่เพราะการปฏิวัติที่เกิดจากโอเมก้า พ่อเขาถึงตายและเขาก็รู้สึกว่าตัวเองให้อภัยพวกมันไม่ได้
   
“ผมก็แค่อยากมีครอบครัวที่อบอุ่นเท่านั้นเอง ทวิช ฮึก ผมคิดถึงพ่อ ถ้าพวกโอเมก้าตอนนั้นไม่กบฏ พ่อกับแม่ผมก็คงไม่ตายหรอก”
   
“แล้วคุณคิดว่ามีแค่คุณเหรอที่อยากมีครอบครัวที่อบอุ่น ผมก็อยากมีเหมือนกัน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ไง” ทวิชเผลอกัดปากตัวเองเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเจ็บปวดจนไม่ไหว “รู้ไหม ชนินทร์ ก่อนปฏิวัติครั้งนั้นผมกับพ่อแม่แทบไม่มีข้าวกินด้วยซ้ำ พ่อผมทำงานหนักแทบตายแต่ก็เงินก็ยังไม่พอเลี้ยงผม ไหนจะความห่วยแตกของรัฐบาลอีก แม่ผมเป็นพยาบาลแต่เงินตกเบิกตลอด คุณคิดว่าผมกับครอบครัวจะเอาอะไรกินวะ ก็ไม่มีไง ครอบครัวธรรมดาๆ ไม่มีเส้นสาย ไม่มีอะไร ผมต้องใช้ชีวิตแบบนั้นตั้งแต่เด็กเลยเหรอ มันเกินไปรึเปล่า ครอบครัวผมทำอะไรผิด พ่อผมก็ทำงานทุกวันแต่เงินมันก็ไม่เคยพอ ฮึก ทำไมวะ ชนินทร์ พวกเราก็แค่อยากมีชีวิตที่ดีกว่านี้เท่านั้นเอง”
   
สิ่งที่ทวิชเกลียดคือคำกล่าวที่พวกชนชั้นนำปรามาสใส่บ่อยๆ คือคำว่าพวกเขาไม่ขยันพอ แต่สิ่งที่เขาเห็นคือพ่อเขาไม่เคยหยุดงานสักวัน
   
ทวิชเช็ดน้ำตาตัวเองออกลวกๆ พยายามเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดของตัวเองเพราะการร้องไห้ไม่ได้ช่วยทำให้อะไรเปลี่ยนไป และเขาก็ร้องไห้มามากพอแล้วกับเรื่องนี้
   
“..พ่อแม่คุณก็เป็นกบฏเหรอ”
   
“เลิกสนใจคำว่ากบฏแล้วสนใจปัญหาจริงๆ ของเรื่องนี้สักที”
   
ทวิชกลอกตาหน่ายๆ แล้วสบตากับชนินทร์ด้วยสีหน้าจริงจัง
   
“คุณจะเปลี่ยนข้างได้รึยัง”
   
“…”
   
“วัตถุประสงค์ของกลุ่มปฏิวัติก็มีแค่ทำลายระบบชนชั้นนี่เท่านั้นเอง ถึงผมจะไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่ามันจะสำเร็จไหม แต่ผมมั่นใจว่ามันจะทำให้ชีวิตพวกเราดีขึ้นกว่าตอนนี้แน่ๆ ”
   
นี่น่าจะเป็นความพยายามครั้งสุดท้ายของทวิชที่จะเปลี่ยนความคิดของชนินทร์ อย่างไรก็ตามถ้ามันไม่สำเร็จ ทวิชก็ไม่คิดจะสนใจแล้วเพราะการยอมสะกิดแผลตัวเองเพื่อพูด มันก็เป็นความพยายามที่มากเกินพอสำหรับเขาแล้วจริงๆ
   
เขารู้ว่าตัวเองไม่ควรฝังกลบความทรงจำพวกนี้แต่เขาก็ยังเลือกที่จะทำมันอยู่ดี ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องพวกนี้ มันมักจะทำให้เขาเจ็บปวดจนทนไม่ได้และใช้การสูบบุหรี่เพื่อช่วยในการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง
   
เขาไม่รู้ว่าตัวเองทนใช้ชีวิตเจ็บปวดแบบนี้มาจนถึงอายุขนาดนี้ได้ยังไง
   
มันเจ็บปวดจนทำให้เขาอยากตายให้รู้แล้วรู้รอด พ่อแม่พยายามที่สุดแล้วที่จะทำเพื่อเขา แต่ท้ายที่สุดแล้วผลตอบแทนที่ได้รับคือความตายอันทุกข์ทรมานที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการถึง
   
“อัลฟ่าจงพินาศ เสรีภาพจงเจริญ”
   
ทวิชเบิกตากว้างเมื่ออยู่ๆ ชนินทร์พูดประโยคของกลุ่มปฏิวัติขึ้นมา
   
“ผมยอมแล้ว ทวิช ให้ผมเข้าร่วมกับกลุ่มปฏิวัติของพวกคุณเถอะ”
   
ชนินทร์หัวเราะออกมาอย่างจำยอม
   
“ผมจะช่วยพวกคุณเอง”

---------------

 :katai5:
#สิงหกุลโภชนา




ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ไม่แสดงเนาะ

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เฮ้อ....เหนื่อยแทน

ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ตาสว่างจริงๆใช่มั้ย อย่าทำร้ายน้อนนะ

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
สงสารทวิช ทางเลือกมีไม่มาก ถ้าอยากอยู่ต่อ ก็ต้องหาทาง
แล้วมาเจอเรื่องแบบนี้อีก ทั้งลูก ทั้งเงิน ทั้งร้าน ทั้งกันต์
ทุกอย่างบีบรัดมากเลย หวังว่าจะเจอโชคดีไวๆ นะคะ

เออนั่น ชนินทร์ พอจะทำดี ก็กลายเป็นถูกกระทำ
และก็ต้องมาขอความช่วยเหลือจากทวิช
แต่สุดท้ายความทะนงตนก็หนีไม่พ้นความจริง
กลัวใจอย่างเดียว กลัวชนินทร์หลอกทวิชให้เชื่อใจ

ดีที่กลับมาทัน ไม่งั้นอาจต้องเสียกันต์ไปอีกคน เอ็นดูน้อง

เฮ้ออออ ยาวๆ เลยค่ะ ชีวิตที่ไม่กระเตื้อง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2020 07:24:42 โดย labelle »

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 17

   
ประเทศคือการสร้างประวัติศาสตร์
   
ผู้ที่สามารถควบคุมประวัติศาสตร์ได้ก็สามารถแต่งตั้งตนเป็นอะไรก็ได้ ตั้งแต่เทวดา ราชา ยาจก สมมุติเทพ จอมโจร หรืออะไรก็ตามแต่ที่ตนเองต้องการ ขอเพียงควบคุมความทรงจำของผู้คนได้ ไม่ว่าความปรารถนาใดก็สามารถสัมฤทธิ์ผลได้ทั้งนั้น
   
‘ณภัทร’
   
คือคนธรรมดาคนหนึ่งที่สามารถใช้แนวคิดข้างต้นมาสร้างตัวเองขึ้นมาให้เป็นผู้นำศาสนาเหนือใครทั้งมวล ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วตนเองนั้นเป็นเพียงแค่หนึ่งในผู้สืบทอดชั้นปลายแถวเท่านั้นแทบจะไม่มีโอกาสใดๆ ในการครองตำแหน่งนี้เลย ถ้าหากไม่ได้รับการสนับสนุนลับจากกลุ่มผู้มีอำนาจที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดเดิมของผู้นำศาสนาคนก่อนที่มองในความเป็นมนุษย์ที่เท่ากัน จนทำให้บทบาทชนชั้นนำในสังคมของพวกเขาถูกลดทอนลง ทำให้พวกเขาไม่ได้รับความสำคัญเหนือคนอื่นใดอีก
   
แน่นอนว่าการอยู่ในชนชั้นปกครองมาตลอดชีวิตย่อมทำให้พวกเขาไม่พอใจ เงินจำนวนมากมายที่พวกเขามีย่อมสนับสนุนทุกอย่างที่พวกเขาต้องการให้เป็นจริงได้ ขอเพียงมีการวางแผนที่รอบคอบและรัดกุมมากพอ แผนของพวกเขาก็จะสำเร็จอย่างไม่ยากเย็น
   
การลอบสังหารจึงค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างเชื่องช้าและเงียบเชียบ เริ่มจากคนที่ไกลตัวที่สุดก่อนที่จะเข้าใกล้คนสำคัญเข้าไปเรื่อยๆ ภายในระยะเวลาไม่กี่วันเพื่อความรวดเร็วหมดจด
   
ใช้เวลาเพียงไม่นานพวกเขาก็ ‘ฆ่า’ ปณิธานอันรุ่งโรจน์ในประเทศลงได้
   
เหล่าผู้ที่เคยสนับสนุนต่างหวาดกลัวความตายจึงยอมจำนนอย่างว่าง่าย และสิ่งที่ช่วยโน้มน้าวให้พวกเขาตัดสินใจมากขึ้นคือจำนวนเงิน สวัสดิการ และตำแหน่งพิเศษต่างๆ ทางการเมือง จนในที่สุดคุณธรรมในใจก็ถูกทำลายลงก่อนที่จะยอมเข้าร่วมเป็นพยานในความชอบธรรมของการเข้ารับตำแหน่งของณภัทร
   
บุคคลใกล้ชิดหลายคนที่ไม่ยินยอมเข้าร่วมก็ถูกทำให้กลายเป็นแพะและถูกบังคับให้ยอมรับผิดว่าเป็นคนฆ่าผู้นำคนก่อนโดยเจตนาและถูกยิงเป้าประหารต่อหน้ามวลชน
   
การปกครองจึงถูกเปลี่ยนแปลงอีกครั้งและคราวนี้เหล่าชนชั้นนำที่ได้บทเรียนมาแล้ว จึงมีการสร้างความทรงจำที่รัดกุมมากยิ่งขึ้น ใช้ศาสนาในประเทศมาใช้เป็นเครื่องมือในการปกครอง เสริมสร้างความชอบธรรมและภาพลักษณ์ที่ดีผ่านทางสื่อและวาทกรรมที่ผลิตซ้ำไปซ้ำมา
   
จากคนธรรมดาในสายตาผู้คนจึงค่อยๆ กลายเป็นสมมุติเทพที่ช่วยคืนความสงบสุขให้แก่ประเทศ เป็นผู้นำศาสนาผู้มากไปด้วยคุณธรรมและความโอบอ้อมอารี อีกทั้งยังเป็นผู้นำประเทศที่ดีที่สุดที่ประเทศนี้เคยมีมาด้วย
   
แน่นอนว่ายากล่อมประสาทนี้ไม่มีทางสำเร็จได้ถ้าหากไม่ได้รับการร่วมมืออย่างจากดีจากสื่อ เพราะในความจริงแล้วณภัทรก็เป็นเพียงฆาตกรผู้บ้าคลั่งในคราบนักบุญเท่านั้น
   
มีหลายศพที่ณภัทรเป็นผู้ลงมือยิงเอง ทั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ขอเพียงมีโอกาสฆ่าได้เจ้าตัวก็ไม่ลังเลที่จะฆ่าเพราะที่ผ่านมานั้นมักจะถูกเปรียบเทียบอยู่ตลอดเวลา จนความน้อยเนื้อต่ำใจนั้นได้สร้างปีศาจในใจออกมาเข่นฆ่าผู้คน
   
เคยมีคำกล่าวว่าความตายคืออำนาจและผู้ที่ครอบครองปืนก็คือผู้ถืออำนาจนั้น ภายใต้ชุดนักบวชสีขาวเหลือบทองบริสุทธิ์ของณภัทรจึงมีปืนกระบอกหนึ่งติดตัวอยู่เสมอ จนบางครั้งเวลาที่ลงพบปะกับมวลชนและเด็กๆ เผลอโถมเข้ากอดอย่างไม่รู้เดียงสาก็ต้องประหลาดใจกับของแข็งเย็นเฉียบตรงบั้นเอวท่านผู้นำผู้แสนดี ก่อนที่จะถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปยังลูกอมที่เตรียมเอาไว้ให้มากกว่า
   
น่าแปลกที่ถึงแม้จะอยู่บนตำแหน่งมาอย่างเนิ่นนานหลายสิบปี แต่ก็ไม่มีวันใดที่ณภัทรนั้นจะไม่พกปืนไปด้วย ราวกับว่ามันเป็นยารักษาแผลที่ซ่อนลึกอยู่ในใจที่คอยกระซิบกระซาบถึงความไร้ประสิทธิภาพของตัวเองที่ไม่ว่าจะพยายามเท่าใดก็ไม่มีวันเทียบชั้นกับพี่ชายตัวเองได้ แม้ว่าเขาจะเป็นคนพรากชีวิตพี่ชายด้วยมือตัวเองก็ตาม
   
สีหน้าเย้ยหยันของพี่ชายเขายังติดอยู่ในความทรงจำของเขาราวกับคำสาปร้าย ทั้งๆ ที่เขามั่นใจว่าเขามัดอีกฝ่ายดีแล้วแต่ก็เหมือนกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบคอเขากลับ จนเขาเผลอกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งบีบขย้ำคออยู่สักพักใหญ่จนมั่นใจว่าตายแน่ๆ เขาถึงเบาใจลง
   
แต่พี่เขาก็ไม่วายทิ้งประโยคหนึ่งไว้กัดกินเขาอยู่ดี
   
‘อย่าเล่นกับความสิ้นหวังของมวลชน’
   
ทั้งๆ ที่เหตุผลที่ทำให้พี่ชายเขาต้องตายนั้นคือประชาชน และทางฝ่ายเขาก็ยื่นโอกาสที่จะให้เปลี่ยนความคิดไปแล้วเกี่ยวกับให้เสรีภาพและความเท่าเทียมแก่ประชาชน แต่พี่เขาก็ไม่คิดจะเปลี่ยนใจยังคงมุ่งมั่นฝันใฝ่ในปณิธานไร้สาระนั่น
   
เขาไม่เชื่อหรอกว่ามนุษย์นั้นจะเท่าเทียมกันได้
   
คนจนก็ควรจะจนต่อไป ชนชั้นกลางก็รับใช้พวกเขาต่อไป ทุกอย่างที่เป็นไปเมื่อก่อนก็ดีอยู่แล้วไม่รู้ทำไมพวกผู้คนที่อยากได้เปลี่ยนแปลงกันนัก ทั้งๆ ที่ทุกคนนั้นก็มีบทบาทตั้งแต่เกิดมาอยู่แล้ว
   
ณภัทรนั่งจิบไวน์ทอดอารมณ์บนตึกสูงที่ติดกับแม่น้ำสายหลักของประเทศ จดจ้องไปยังรัฐสภาโอ่อ่าที่ตอนนี้มีการจัดการประชุมสภากันอย่างเร่งด่วนถึงมาตราการในการโต้กลับความไม่สงบที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศ
   
การก่อกบฏกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง
   
แววตาของณภัทรคุกรุ่นไปด้วยอารมณ์โกรธเพราะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดการก่อกบฏ ตลอดระยะเวลาการปกครองของเขามีการก่อกบฏอยู่ตลอดและเขาก็ต้องปวดหัวคอยตามกวาดล้างพวกมันที่เหมือนแมลงสาบที่ฆ่าไม่ตายสักที ฆ่าฝูงหนึ่งก็มีฝูงใหม่เกิดขึ้นและคอยมาตามรังควานอำนาจของเขาอย่างน่ารำคาญ
   
“พวกกลุ่มกบฏเผาอนุสาวรีย์อีกแล้วครับ ท่าน”
   
“ฆ่าพวกมันให้หมด อย่าให้รอดสักตัว”
   
ณภัทรตอบโดยไม่ได้เหลือบมองคนที่รับใช้ตนเองสักนิด น้ำเสียงยังคงดุดันไม่ต่างกับตอนที่ยังเป็นวัยฉกรรจ์
   
ถึงแม้จะอายุใกล้จะย่างเข้าเจ็ดสิบแล้วแต่ร่างกายของณภัทรนั้นก็ยังคงแข็งแรงอยู่ สามารถเดินเหินได้ปกติแต่สิ่งที่เป็นปัญหานั้นคือหัวใจที่เต้นอยู่ในทรวงอก ร่างกายที่ผิดปกติมาตั้งแต่เด็กทำให้หัวใจนั้นมักจะเต้นผิดจังหวะอยู่เสมออีกทั้งยังมีปัญหาเกี่ยวกับลิ้นหัวใจอีก
   
หนทางเดียวที่จะรักษาให้หายขาดคือการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจเท่านั้น และเพื่อเข้าใกล้ความเป็นสมมุติเทพ ณภัทรจึงทำแทบทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ตัวเองเป็นอมตะหรืออายุยืนที่สุด
   
มีเบต้ามากมายที่ถูกลักพาตัวเขาห้องทดลองเพื่อทดสอบความเข้ากันได้ของร่างกายณภัทร แต่แล้วเรื่องตลกร้ายก็เกิดขึ้น เพราะเลือดของเบต้าส่วนใหญ่นั้นไม่สามารถนำมาใช้กับณภัทรได้ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการใช้ถูกฉีดยาระงับเอกลักษณ์ทุกปี อวัยวะของเหล่าเบต้าจึงปฏิเสธเลือดของอัลฟ่า
   
แน่นอนว่าณภัทรไม่สามารถจะร้องขอหัวใจจากอัลฟ่าด้วยกันเองได้ เนื่องจากอัลฟ่าที่หลงเหลืออยู่ส่วนใหญ่ก็ล้วนแล้วแต่เป็นทุนใหญ่และตัวการสำคัญที่หวงแหนชีวิตตัวเองเหนือสิ่งใด เขาจึงได้แต่พยายามควานหาเบต้าที่ยังไม่ถูกฉีดยาอย่างยากลำบาก
   
อาการที่เริ่มแย่ลงของณภัทรทำให้อัตราการถูกลักพาของเบต้าสูงขึ้นจนเกิดข่าวลือแปลกๆ อย่างการกินเนื้อเบต้าซึ่งเดิมทีก็ไม่ใช่ความจริงแต่อย่างใด แต่เมื่อมันถูกพูดถึงมากๆ ก็เกิดมีอัลฟ่าชั้นสูงกลุ่มหนึ่งอุตริกินขึ้นมาจริงๆ จนกลายเป็นรสนิยมการกินใหม่ที่เริ่มกลายเป็นที่นิยมของพวกอัลฟ่าเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง
   
พวกเขาไม่ได้มองเบต้าเป็นคนแบบเดียวกับตัวเองด้วยซ้ำ
   
เป็นเพียงแค่สิ่งมีชีวิตที่อยู่เบื้องล่างที่พวกเขาจะปฏิบัติใส่ยังไงก็ได้ตามที่พวกเขาพอใจ
   
ณภัทรจิบไวน์ที่เหลือลงคอจนหมดแก้วในคราวเดียวด้วยความเดือดดาล เมื่อจู่ๆ ประโยคที่พี่ชายเคยพูดใส่เขาดังก้องในหัว เสียงหัวเราะดังลั่นก่อนตายนั้นเสียดประสาทเขาจนเขาแทบกลายเป็นบ้า
   
‘อย่าเล่นกับความสิ้นหวังของมวลชน’
   
เพราะเขาทำให้พวกมันสิ้นหวังเหรอ พวกมันถึงได้ก่อกบฏเรื่อยๆ ไม่หยุดไม่หย่อนแบบนี้ ทั้งๆ ที่เขามั่นใจว่าตัวเองสามารถลงมือได้เด็ดขาดมากพอแล้ว แต่มันก็ไม่เคยเพียงพอที่จะฆ่าอุดมการณ์ไร้สาระของพวกมันให้หายไปอย่างหมดจดสักที
   
เขาไม่รู้ว่าตัวเองทำพลาดตรงไหน แต่เขามั่นใจมากว่าคราวนี้จะต้องฆ่าพวกมันให้หมดให้จงได้ ให้หมดสิ้นซึ่งปณิธานและความมุ่งหวังใดๆ ให้พวกมันสำเหนียกเสียทีว่าสถานที่ที่เหมาะสมกับพวกมันคือการโดนพวกเขาปกครองและเหยียบย่ำไว้ใต้เท้าด้วยความยินดี
   
เสรีภาพอะไรนั่นมันก็แค่ของหลอกลวง เป็นแค่ของโก้หรูไร้สาระจากประเทศอื่นก็เท่านั้น การปกครองของเขาต่างหากล่ะถึงจะเป็นของจริงที่เหมาะสมกับประเทศนี้
   
“อัลฟ่าจงเจริญ”
   
ณภัทรเหยียดยิ้มมองแม่น้ำเบื้องล่างและกล่าวออกมา จินตนาการถึงวันที่เขาโยนร่างของพี่ชายตัวเองลงไปแม่น้ำนั่นเพื่อความสะใจและประกาศชัดว่าผู้สืบทอดตำแหน่งคนสุดท้ายได้ตายลงไปแล้ว
   
และมีเพียงเขาเท่านั้นที่จะถือครองตำแหน่งผู้นำคนต่อไป!

   

เสียงวิทยุแบบโบราณดังเสียงแผ่วบนชั้นสูงสุดของตึกร้างที่ซุกซ่อนอยู่ใจกลางเมือง ทั่วทั้งอาณาบริเวณเต็มไปด้วยสมาชิกกลุ่มปฏิวัติส่วนหนึ่งที่นอนพักกันอย่างเอกเขนกทั้งร่างมนุษย์และร่างต้น สีหน้าของผู้ฟังส่วนใหญ่นั้นค่อนข้างนิ่งสงบและเคร่งเครียด เพราะหลายวันมานี้พวกเขานั้นถูกสื่อนำเสนอว่าเป็นปีศาจบ้าง อาชญากรบ้าง มารบ้างโดยไม่เว้นวันใด จงใจสร้างความเกลียดชังขึ้นมาอย่างน่ารังเกียจ

[ เกิดเหตุระเบิดใกล้กับเขตชุมชน จากการสำรวจเบื้องต้นมีผู้เสียชีวิตทันทีแปดรายค่ะ สาเหตุทางการคาดว่าเกิดจากกลุ่มกบฏชังชาติที่ต้องการสร้างความวุ่นวายให้กับประเทศ ถ้าหากมีผู้ใดพบเห็นกลุ่มกบฏสามารถแจ้งเข้ามาได้ที่เบอร์ xxxx หรือเจ้าหน้าที่ค่ะ ]
   
“…”
   
พอสซึ่งนั่งรวมอยู่กับกลุ่มกบฏที่ว่าในวิทยุจ้องหน้าเพื่อนร่วมอุดมการณ์ด้วยสีหน้าโกรธเคือง เพราะสิ่งที่สื่อนำเสนอในช่วงนี้นั้นไม่ได้เป็นความจริงเลยแม้แต่เรื่องเดียว เพราะพวกเขาไม่เคยทำอะไรสักอย่างที่พวกมันพยายามจะกล่าวหาทั้งนั้น ทั้งเรื่องอุโมงค์ลับ ซ่องสุมอาวุธ หรืออะไรที่สามารถสร้างความรุนแรงได้พวกเขาไม่มีทั้งนั้น
   
สิ่งที่พวกเขาก็มีเพียงแค่อุดมการณ์อันหนักแน่นเท่านั้นเอง
   
พวกเขามันก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาในสังคมที่ไม่อาจทนความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในประเทศได้อีกต่อไป ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศตอนนี้นั้นเลวร้ายเกินไป ทั้งๆ ที่การฆ่าล้างผู้ที่เห็นต่างนั้นไม่ใช่ความชอบธรรมแต่ผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศนั้นก็มองว่ามันเป็นความชอบธรรมและพวกเขาก็สมควรตาย
   
ทั้งๆ ที่เป็นความโหดร้ายถึงเพียงนั้น แต่พวกเขาเลือกที่จะมองไม่เห็นมัน เพิกเฉยต่อสิ่งที่พวกเขาพยายามจะเรียกร้องอีกทั้งยังพยายามประณามพวกเขาที่ชุมนุมด้วยความสันติ และสรรเสริญเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้ความรุนแรงในการกวาดล้างพวกเขาอย่างหน้าไม่อาย
   
พวกเขาไม่ใช่มนุษย์เหรอ?
   
ทำไมกับการมีความคิดที่แตกต่างออกไปถึงต้องโดนกำจัด ทำไมการที่พวกเขาเรียกร้องในสิ่งที่ตัวเองควรจะได้นั้นถึงเป็นเรื่องผิด ทำไมผู้คนถึงได้ยังคงทนกับความต่ำช้าพวกนี้อยู่ ทำไมกัน ทำไม!
   
“พวกเราทำถูกกันจริงๆ ใช่ไหม”
   
วัยรุ่นคนหนึ่งที่สูญเสียเพื่อนไปสองคนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด ความมุ่งหวังอันกระตือรือร้นนั้นค่อยๆ ถูกความสิ้นหวังกัดกินอย่างเชื่องช้า เพราะประเทศนี้นั้นโหดร้ายกว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีก
   
พ่อแม่ของเขาที่เป็นข้าราชการนั้นเข้าร่วมกับกลุ่มอาสาสมัคร มืออ่อนนุ่มที่เคยลูบหัวเขาอย่างใจดีนั้นถือตะบองและกระบอกปืนไล่เข่นฆ่าเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเขาอย่างไม่ลังเล
   
การเป็น ‘คนดี’ ในประเทศนี้นั้นสำคัญขนาดถึงเป็นเหตุผลในการเข่นฆ่าคนอื่นเลยงั้นเหรอ ทำไมถึงเลือกที่จะเชื่อในสื่อหลอกลวงพวกนั้น ทำไมถึงได้รักในสิ่งที่พวกเขาพยายามทำให้รักนัก และทำไมการไม่รักถึงได้กลายเป็นเรื่องผิดนักหนากัน
   
“เอาจริงๆ ก็ตอบไม่ได้หรอกนะว่าถูกหรือไม่ถูก เพราะไม่มีใครรู้หรอกว่าอะไรที่ถูกต้องและเหมาะสมกับประเทศนี้”
   
นิลหรือหนึ่งในผู้นำปฏิวัติครั้งนี้ตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งแม้ว่าจะอายุเพียงยี่สิบปีก็ตาม แววตาที่เต็มไปด้วยความกร้านโลกนั้นบ่งบอกได้ถึงความเจ็บปวดมหาศาลที่ประเทศนี้ได้กระทำต่อคนๆ หนึ่งอย่างเลือดเย็น บริเวณใบหน้าครึ่งบนถูกปกปิดด้วยหน้ากากเรียบๆ สีดำเพื่อปิดบังตัวตนให้เป็นนิรนามแม้กระทั่งจากฝ่ายเดียวกันก็ตาม
   
แน่นอนว่าการปิดบังตัวตนก็มีขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดภาพจำว่ากลุ่มปฏิวัติต้องเป็นกลุ่มผู้ก่อตั้งเสมอไป เพราะไม่ว่าใครในกลุ่มก็ล้วนแล้วแต่เป็นสมาชิกคนสำคัญของกลุ่มปฏิวัติทั้งนั้น ต่อให้นิลหรือผู้ก่อตั้งกลุ่มคนอื่นๆ ถูกฆ่าตาย อุดมการณ์อันรุ่งโรจน์ก็จะยังดำรงอยู่ ไม่มีวันที่รัฐบาลหรือใครหน้าไหนจะทำลายมันลงได้ทั้งนั้น
   
“แต่ที่ผมรู้คือการปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ผมทนให้สังคมเราแย่ขนาดนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว ผมถึงได้พยายามออกมาต่อสู้ไง”
   
ถึงแม้ว่าเบต้ากระต่ายในสายตาอัลฟ่านั้นจะแสนอ่อนแอและต่ำต้อย แต่ความทะเยอทะยานในปณิธานของนิลนั้นก็ยิ่งใหญ่กว่าตัวไปมากจนยากที่เหล่าอัลฟ่าเห็นแก่ตัวจะจินตนาการถึง
   
“คุณจะถอนตัวตอนนี้ก็ได้ ผมไม่ว่าหรอกเพราะหลังจากนี้เหตุการณ์จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เราจะต้องรุกเข้าไปอีกจนกว่าจะทำลายความเชื่อมั่นรัฐบาลชุดปัจจุบันได้ เราต้องจะทำทุกวิถีทางจนกว่าเราจะได้มาซึ่งเสรีภาพของเรา”
   
สิ่งสำคัญที่ทำให้รัฐบาลดำรงอยู่ได้นั้นคือความเชื่อมั่นจากประชาชน หากไร้ซึ่งความเชื่อมันก็จะไร้ซึ่งเสถียรภาพ สิ่งกลุ่มปฏิวัติต้องการนั้นคือการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบรัฐสภา ให้พวกเขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหลังจากที่ถูกกีดกันออกไปด้วยเหตุผลที่ว่าเบต้านั้นโง่เขลากว่าจึงต้องถูกปกครองด้วยอัลฟ่า
   
ฝันร้ายที่ถูกสร้างขึ้นโดยชนชั้นนำควรจะจบลงเสียที
   
นิลยิ้มบางให้กับเหล่าผู้ร่วมอุดมการณ์ของตัวเอง ก่อนที่จะตัดสินใจประกาศแผนการล่าสุดที่นับว่าการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่น่าจะชัดเจนที่สุดอีกครั้งของกลุ่มปฏิวัติ
   
“พรุ่งนี้พวกเราจะไปรัฐสภา”
   
เกิดเสียงฮือฮาขึ้นทันทีเพราะไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีกลยุทธ์นี้ออกมา เนื่องจากเขตรัฐสภานั้นน่าจะเรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดสำหรับกลุ่มกบฏตอนนี้เลยก็ว่าได้ ทุกตารางนิ้วเต็มไปด้วยทหารตำรวจอาวุธครบมือคอยอารักขาเสถียรภาพของประเทศที่นั่งอยู่ในรัฐสภา
   
ถึงแม้ว่าจะมีการแสดงออกหลายครั้งที่สำเร็จ แต่เหล่าสมาชิกในกลุ่มปฏิวัติก็ไม่กล้ามั่นใจพออยู่ดีว่าพวกเขาจะได้รับชัยชนะ เพราะทุกครั้งที่เขาแสดงตัวนั่นก็แลกกับการตายของสมาชิกกลุ่มไปเกือบครึ่ง แถมการลงมือฆ่าแบบโหดเหี้ยมทารุณเกินมนุษย์คนใดของทางการ ก็โหดร้ายจนทำให้เบต้าบางส่วนหวาดกลัวเกินกว่าจะเข้าร่วม และเพื่อไม่ให้รู้สึกผิดจนเกินไปพวกเขาก็เปลี่ยนตัวเป็นเองเป็นพวกเดียวกับมัน ยินดีปรีดาไปกับการฆ่าล้างมนุษย์ด้วยกันเอง
   
แน่นอนว่าเหล่าแกนนำรู้ดีแต่พวกเขาก็มาไกลเกินกว่าที่จะเปลี่ยนใจแล้ว เพราะถ้าหากพวกเขายินยอมศิโรราบให้กับพวกมันตอนนี้ก็เท่ากับว่าพวกเขาสูญเสียชีวิตเพื่อนร่วมอุดมการณ์ไปอย่างไร้ประโยชน์
   
ชีวิตเหล่านั้นสูญเสียเพื่อความฝันที่มีร่วมกันของพวกเขา
   
ความฝันที่ว่าวันพรุ่งนี้ของพวกเขาจะดีกว่าเดิม
   
แต่น่าเสียดายที่มันก็เป็นแค่ความฝันของคนเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าร่วม ไม่ใช่ทุกคนที่อยู่ในกลุ่มและสนใจที่จะตายเพื่อมันจริงๆ
   
“...หึ”
   
เบต้าแมววัยกลางคนคนหนึ่งเผลอหลุดหัวเราะออกมาก่อนที่จะแสร้งเป็นไอหนักๆ กลบเกลื่อน เคราะห์ดีที่ไม่มีใครสนใจเพราะเขาแสร้งว่าป่วยหนักมาตลอด นัยน์ตาสีแดงที่ซ่อนอยู่หลังเลนส์เต็มไปด้วยความสมเพชยามที่มองความพยายามโง่ๆ ของกลุ่มปฏิวัติที่ไม่ว่าครั้งไหนก็ล้วนแล้วแต่เป็นฝันเฟื่องที่ไม่ส่งผลดีต่อประเทศทั้งนั้น
   
แน่นอนว่าตอนนี้เขายังทำอะไรมากไม่ได้เพราะเพิ่งแฝงตัวเข้ามาได้ไม่นาน ทำได้เพียงเล่นละครว่าเกลียดชังทางการนักหนาทั้งๆ ที่เคารพนับถืออย่างสุดหัวใจ และเฝ้ารอการที่ได้จะทำความดีเพื่อชาติอีกครั้งแทบไม่ไหว
   
เขาอยากจะฆ่าปีศาจพวกนี้จะแย่แล้ว
   
นัยน์ตารียาววาวโรจน์ยามที่จับตามองเหล่ากบฏเริ่มร้องเพลงปลุกใจอีกครั้ง บทเพลงที่ว่าด้วยเสรีภาพนั้นสั่นทั้งประสาทและจิตใจของเขาจนแทบจะสบถด่าออกมา
   
เขาทนให้มันทำร้ายประเทศต่อไปไม่ไหวแล้ว ต้องฆ่า ฆ่าเท่านั้น!
   
“ลุงไหวไหมคะ? ให้หนูเอายาให้ไหม”
   
หญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งใกล้ๆ ถามด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร ตามร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์จากการถูกรุมประชาทัณฑ์แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่สามารถทำลายล้างซึ่งอุดมการณ์อันบริสุทธิ์ไปได้
   
“..ไม่เป็นไร”
   
คำถามที่ถามอย่างใจดีนั้นเล่นเอาความรู้สึกเกลียดชังล้นฟ้าสั่นคลอน เพราะบุคคลที่ถามเขานั้นดูต้องการยาพวกนั้นมากกว่าเขาเสียอีก บาดแผลบางแห่งยังดูสดใหม่ราวกับเพิ่งถูกทำร้ายมาได้ไม่นาน
   
มือที่ซ่อนอยู่ในเสื้อและจับระเบิดอยู่นั้นสั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่ เมื่ออยู่ๆ ความรู้สึกผิดก็ถาโถมขึ้นมากัดกินเขาอย่างควบคุมไม่อยู่ สีหน้าเจ็บปวดของนักศึกษาคนหนึ่งที่เขาเพิ่งฆ่าไปเมื่อวันก่อนนั้นยังชัดเจนในความทรงจำของเขา
   
นักศึกษาคนนั้นกราบเขา ขอร้องให้ไว้ชีวิตเพราะยังอยากมีชีวิตอยู่ แต่เขาก็ไม่สนใจและตัดสินใจยิงทิ้งอย่างไม่ลังเล ซึ่งเมื่อเขาหันไปข้างๆ ก็ถึงเห็นว่าแม่ของเด็กที่เป็นอาสาสมัครเหมือนกันกำลังยืนมองเขาอยู่ด้วยสีหน้าเหมือนโลกถล่มลงตรงหน้า
   
ณ ตอนนั้นเขาจำไม่ได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไปบ้างแต่เขามั่นใจว่าตัวเองไม่ผิด ไม่มีทางผิดแน่ๆ เพราะเขาฆ่ากบฏ ฆ่าคนที่จะมาบ่อนทำลายชาติ เขาเสียสละทั้งแรงกายและแรงใจทั้งชีวิตเพื่อสิ่งนั้น เขาจะเป็นคนผิดได้ยังไง
   
“...”
   
แม่ของเด็กคนนั้นไม่พูดอะไรสักคำ ไม่ตำหนิเขา ทำเพียงแค่กอดศพลูกตัวเองและสะอื้นจนตัวโยน พร่ำขอโทษและโทษตัวเองนั้นสั่งสอนลูกได้ไม่ดีพอ ถึงต้องมาตายตั้งแต่ยังเด็กแบบนี้
   
“..ผมขอโทษ”
   
ทั้งๆ ที่มั่นใจนักหนาว่าตัวเองทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่เขากลับไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องขอโทษทั้งน้ำตาแบบนี้ เขาไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมเขาถึงได้รู้สึกเสียใจขนาดนี้กัน
   
เขาก็แค่ทำในสิ่งที่ควรทำเท่านั้นเอง...
   
กระบอกปืนในมือเขาที่ยังอุ่นอยู่กระซิบบอกเขา ตอกย้ำว่าเขานั้นกระทำสิ่งนี้ด้วยตัวเอง ฆ่านักศึกษาไร้อาวุธคนหนึ่งที่แจกปลิวอยู่ด้วยความไตร่ตรองและเลือดเย็น
   
ฆาตกร
   
คำๆ หนึ่งดังก้องในหัว
   
ไม่ ไม่มีทาง เขาไม่ใช่ฆาตกร เขาไม่มีวันเป็นฆาตกร เขาเป็นคนดีต่างหาก คนดีที่ทำเพื่อประเทศชาติ เขาจะปล่อยให้ประเทศวุ่นวายต่อไปไม่ได้ ต้องฆ่า ฆ่าเท่านั้น
   
“ใช่ ต้องฆ่าเท่านั้น”
   
ทั้งๆ ที่กระซิบบอกตัวเองแบบนั้น
   
แต่ไม่รู้ทำไมเบื้องล่างของจิตใจเขากลับปฏิเสธมันเหลือเกิน

----------

ตัวละครสำคัญมาแล้ว   :mc4:   

#สิงหกุลโภชนา
   


ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เกินปายยยย

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
จริยธรรมยังสู้คำโฆษณาชวนเชื่อไม่ได้

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 18

   
สิ่งที่กลุ่มปฏิวัติกังวลและหวาดกลัวที่สุดนั้นไม่ใช่ความตายหรือความพ่ายแพ้ แต่เป็นการถูกใส่ความอย่างไม่เป็นธรรมที่มีอิทธิพลมากพอที่จะล้างผลาญอุดมการณ์อันรุ่งโรจน์ของพวกเขาจนมอดดับไปหมดสิ้น สูญสิ้นไปทั้งร่างกาย จิตวิญญาณ และอุดมการณ์
   
‘มาร’
   
คือคำที่สื่อใช้ในการสร้างฉายาให้กับกลุ่มกบฏในครั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ฟัง ให้รู้สึกว่าบุคคลที่ถูกกล่าวถึงนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่จะมาทำร้ายประเทศ
   
แน่นอนว่านี้เป็นภาพยนตร์แบบเดิม ที่สร้างโดยผู้กำกับคนเดิม เนื้อหาจึงไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงนักนอกจากตัวละครที่เปลี่ยนไป และสิ่งที่ขาดในภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เลยคือความเกลียดชัง
   
ความเกลียดชังที่มากพอที่จะทำให้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในใจของตัวละครที่เกี่ยวข้องหายไปได้
   
อาวุธที่ได้รับการแจกจ่ายให้ก็นับได้ว่าเป็นของประกอบฉากที่ทำให้เนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้สนุกสนานมากขึ้น เหล่ามารที่ถูกฆ่าตายอย่างทุกข์ทรมานล้วนแล้วแต่ทำให้ฝ่ายธรรมะโห่ร้องกันอย่างลำพองใจและเข่นฆ่าหนักกว่าเดิม
   
เหล่ามวลชนกลุ่มปฏิวัติที่เป็นเพียงคนธรรมดามากมายสูญสลาย จำต้องทอดทิ้งอุดมการณ์และปณิธานอันรุ่งโรจน์ของตัวเองอย่างไม่จำยอม เพราะความรุนแรงที่เกิดขึ้นตรงหน้าพวกเขามันช่างน่ากลัวนัก
   
พวกเขาถูกปฏิบัติราวกับไม่ใช่มนุษย์ ราวกับว่าพวกเขานั้นเกิดมาจากครรภ์ปีศาจ พวกคนของทางการถึงได้ลงมือกันอย่างไร้ซึ่งความละอายใจ
   
“พ่อแม่ไปไหนแล้วล่ะ เจ้าหนู”
   
ตำรวจร่างใหญ่คนหนึ่งซึ่งถือตะบองเปื้อนเลือดถามกับร่างเด็กชายคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้เนื้อตัวสั่นเทา นัยน์ตาสีทองรียาวชุ่มไปด้วยน้ำตา ใบหูสีดำลู่ลงอย่างหวาดกลัว
   
“…โอเมก้างั้นเหรอ?”
   
ตำรวจนายนั้นยิ้มบางทันทีเมื่อเห็นปีกสีดำคู่เล็กบนหลัง ศีลที่เคยพร่ำท่องพร่ำสวดทุกเช้า เย็นและก่อนนอนสลายไปทันควัน ก่อนจะแทนที่ด้วยความบ้าระห่ำอย่างที่ไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึง
   
“มาร!!”
   
ผู้รักษาสันติราษฎร์และความยุติธรรมคำรามออกมาพร้อมกับหวดตะบองใส่เด็กชายอย่างไม่ลังเล แม้ว่าเด็กตรงหน้านั้นจะอายุไล่เลี่ยกับลูกสาวของตัวเองก็ตาม
   
ฟึ่บ!
   
น่าเสียดายที่นายตำรวจนั้นดูถูกสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์เกินไป ทันทีที่เขาเงื้อแขนขึ้นนั้นเด็กชายก็เริ่มออกตัววิ่งแล้ว ความหวาดกลัวที่จับขั้วหัวใจหลายวันมานี้นั้นแทบจะทำให้เด็กชายวัยไม่ถึงห้าขวบดีนั้นกลัวจนแทบสิ้นสติ สิ่งเดียวที่ฉุดรั้งไม่ให้สติแตกไปก่อนนั้นคือความคิดถึงครอบครัวที่พลัดหลงกันระหว่างเดินทาง
   
“อย่าหนี!!! ลูกกบฏชังชาติอย่างพวกมึงสมควรตาย!!!”
   
ตำรวจนายนั้นไม่ลังเลที่จะหยิบปืนสั้นที่เหน็บเอาไว้ออกมายิงตาม
   
ปัง! ปัง! แก๊ก—
   
เคราะห์ดีที่ตำรวจนายนี้ยิงปืนไม่ค่อยแม่นนักจึงยิงไม่โดนก่อนที่จะกระสุนจะหมด เพราะก่อนที่จะมาเจอเด็กชายนั้นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ผู้นี้ก็เข่นฆ่าศัตรูของชาติไปมากมายนับไม่ถ้วน
   
“แม่งเอ๊ย!! มาหมดอะไรตอนนี้วะ”
   
แน่นอนว่าคนที่ยินดีกับเรื่องนี้ย่อมเป็นเด็กชายที่พยายามหนีต่ออย่างไม่คิดชีวิต ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลออกมามากกว่าเดิม แต่กลับไม่มีเสียงสะอื้นออกมาแม้แต่คำเดียว
   
“แม่..”
   
เด็กชายพูดเสียงเครือขณะที่วิ่ง รู้สึกสิ้นหวังแต่ก็ไม่กล้าหยุดวิ่งเพราะพ่อกับแม่สอนกับเขาเสมอว่าถ้ามีเหตุการณ์อันตรายแบบนี้เกิดขึ้นอย่าได้หยุดวิ่งจนกว่าจะหาที่หลบซ่อนใหม่ได้
   
ร่างเล็กวิ่งจนหกล้มหลายครั้งแต่ก็ตะเกียกตะกายตะกายขึ้นมาวิ่งต่อ ระหว่างมีทั้งซากศพ คนบาดเจ็บ คนที่ทำร้ายกัน เสียงกระสุนปืน และเสียงโหยหวนคร่ำครวญร้องขอชีวิตดังไม่หยุด
   
“…”
   
นัยน์ตาสีทองนั้นชุ่มไปด้วยน้ำตามากกว่าเดิม มั่นใจมากว่าถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าเขานั้นชอบตามไปแม่ทำงานด้วยบ่อยๆ และเห็นอะไรพวกนี้จนชินตาคงจะเป็นบ้าไปแล้ว
   
เอาเข้าจริงคำว่า ‘โอเมก้า’ ที่คุณตำรวจพูดถึงนั้นเขายังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่ามันหมายถึงอะไร
   
“แม่..อย่าทิ้งผม”
   
เด็กชายคร่ำครวญกับตัวเองเมื่อหาที่หลบซ่อนใหม่ได้เป็นกองขยะ พยายามมองหาแม่ของตัวเองที่วิ่งไปช่วยเหลือใครสักคนที่โดนทำร้ายซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาสักที
   
“..ฮึก”
   
ทั้งๆ ที่ไม่อยากร้องไห้ แต่สุดท้ายก็เผลอสะอื้นออกมาคำหนึ่ง ก่อนที่จะรีบเอามือปิดปากเพราะการส่งเสียงในเวลาแบบนี้นั้นเป็นเรื่องที่อันตราย และเขาก็ยังอยากเจอพ่อกับแม่อยู่
   
เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกผู้ใหญ่ถึงได้ลงมือทำร้ายพวกเขา ทำไมคุณตำรวจที่ควรจะคนปกป้องเขากลับเป็นคนเดียวที่อยากฆ่าเขาให้ตาย
   
เขาไม่เข้าใจเลย..
   
เด็กชายตัวสั่นเทาหนักกว่าเดิม เมื่อสัมผัสได้ว่าบริเวณปลายเท้าตัวเองนั่นไม่ใช่น้ำขังแต่เป็นเลือด เลือดที่ไหลเจิ่งนองจากซากศพที่นอนทอดกายอยู่ใกล้ๆ
   
ปีกสีน้ำตาลคู่ใหญ่กางออกมานั้นเต็มไปด้วยรอยกระสุน ไม่อาจนำพาเจ้าของร่างรอดพ้นไปจากการปราบมารในครั้งนี้ได้ ทำได้เพียงประดับอยู่บนแผ่นหลังบางนั้นให้เป็นที่ขุ่นข้องหมองใจกับทางการเท่านั้น
   
“...คุณนก”
   
แต่ถึงแม้ว่าซากศพตรงหน้าจะตายด้วยความน่าสยดสยองเพียงใด มันก็ไม่สามารถทำลายความบริสุทธ์และความหวังดีของเด็กชายไปได้ มือเล็กๆ กุมมือของคนตายผู้นั้นและร่ายมนต์วิเศษที่คิดค้นขึ้นเองเสียงเบา
   
“ขอให้การเดินทางครั้งสุดท้ายของคุณนกเป็นไปอย่างราบรื่นนะฮะ”
   
บ่อยครั้งที่เด็กชายนั้นแอบแม่ของตัวเองไปหาผู้ป่วยยากจนไร้ญาติที่ใกล้เสียชีวิต มือเล็กๆ กุมมือพวกเขาเหล่านั้นแน่นและพยายามขับกล่อมพวกเขาอย่างอ่อนโยน มีหลายครั้งที่ผู้ป่วยเหล่านั้นสะอื้นหนักและโผกอดเด็กชายแน่น พร่ำกล่าวขอบคุณอย่างไม่รู้จบก่อนที่จะปล่อยให้เด็กชายปลอบประโลมพวกเขาไม่ให้หวาดกลัวต่อความตายและยอมจำนนต่อมันในที่สุด
   
“ผมขอให้ที่แห่งนั้นใจดีกับคุณนกมากๆ ขอให้ที่แห่งนั้นไม่มีความเจ็บปวด ..ไม่มีความทุกข์ และไม่มีใครมาทำร้ายคุณนกได้อีก”
   
น้ำเสียงของเด็กชายนั้นนุ่มนวลราวกับนกตัวจ้อยที่คอยขับขานอยู่บนกิ่งไม้ยามเช้า นกน้อยตัวนั้นเกาะอยู่ข้างผู้วายชมน์และใช้เสียงนำพาวิญญาณของเขาผู้นั้นไม่ให้หลงทาง คอยนำทางเขาผู้นั้นได้ไปสู่ความสุขสงบอันชั่วนิรันดร์ที่ไม่มีเหล่าอันธพาลคนใดตามไปทำร้ายได้
   
“ผมขอให้คุณนกพบความสุขในที่แห่งนั้นนะฮะ”
   
เด็กชายยิ้มน้อยๆ และอวยพรให้กับคุณนก โดยไม่สนใจเสียงกระสุนและสงครามกลางเมืองที่ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนอกเสียจากว่าจะสามารถกำจัดโอเมก้าได้จนหมด
   
“ทวิช!! ไปเร็ว!! เดี๋ยวพ่อกับแม่พาไปหาอาสิงห์”
   
ยังไม่ทันได้ตั้งตัวเด็กชายก็ถูกอุ้มขึ้นอย่างง่ายดาย ทวิชเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าคนที่อุ้มตัวเองนั้นคือพ่อที่ไม่ได้เจอมาหลายวันจึงอดยิ้มกว้างไม่ได้
   
“พ่อ!”
   
ทวิชโผกอดพ่อแน่นด้วยความคิดถึงและยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อเห็นแม่ที่อยู่ข้างๆ ส่งยิ้มให้อย่างใจดี
   
“ไปอยู่กับอาแล้ว ก็ทำตัวดีๆ นะ ลูก”
   
“แล้วแม่ล่ะ แม่จะไปไหน”
   
ทวิชหน้างอทำท่าจะร้องไห้ทันทีเพราะยังค่อนข้างติดแม่ หลายครั้งที่แม่พยายามให้ทวิชนอนดูทีวีอยู่ที่บ้านหรือไม่ก็ไปเล่นกับเพื่อนใกล้บ้าน แต่ทวิชก็เลือกที่จะติดตามแม่ไปทุกที่อยู่ดี
   
“...แม่ไม่ไปไหนหรอก เดี๋ยวถ้าเสร็จงานแล้ว แม่จะกลับไปรับนะลูก”
   
“แม่ห้ามโกหกผมนะ ไม่งั้น ไม่งั้นผมจะโกรธ”
   
ทวิชงอแงแล้วเหลือบมองพ่อตัวเองบ้างและพบว่าอีกฝ่ายนั้นมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด บนอกเสื้อนั้นเต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งกรังและร่องรอยของการต่อสู้มากมายไม่ต่างกับคุณนกที่เจอเมื่อกี้ เพียงแต่ว่าพ่อของเขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรก็เท่านั้น
   
“..พ่อ”
   
ทวิชเรียกพ่อตัวเองเสียงเบา
   
“ว่าไงครับ คนเก่ง”
   
เพราะต้องเลี้ยงครอบครัว พ่อของทวิชจึงต้องทำงานหนักแทบจะตลอดเวลาเพื่อมาเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับสิ่งต่างๆ และไม่ค่อยมีเวลาให้ทวิชนัก แต่ถึงกระนั้นทวิชก็ชอบพ่อตัวเองมากๆ อยู่ดี
   
“ถ้าพ่อมีวันหยุด พ่อ.. พ่อพาผมกับแม่ไปเที่ยวได้ไหมฮะ”
   
“..ได้สิ” พ่อของทวิชชะงักไปสักพักกว่าจะเค้นเสียงได้ นัยน์ตาสีเข้มหม่นลงเล็กน้อยอย่างเจ็บปวด “แต่คนเก่งของพ่อต้องเป็นเด็กดีนะ ตอนไปอยู่กับอาสิงห์ก็อย่าดื้อล่ะ”
   
“อื้อ! ผมจะเป็นเด็กดี ผมสัญญา ผมจะไม่ดื้อ แล้วผมจะอ่านหนังสือรอพ่อด้วย!!”
   
เด็กชายยิ้มกว้างรับคำอย่างแข็งขันด้วยท่าทีดีอกดีใจ
   
โดยไม่รู้ตัวสักนิดว่านั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เจอครอบครัวของตัวเอง

   

“...”
   
ทวิชผลุดลุกขึ้นนั่งกลางดึกและพยายามใช้หลังมือเช็ดน้ำตาตัวเองที่ไหลอาบแก้ม ซึ่งมันก็ไม่มีทีท่าที่จะหยุดสักนิดเพราะฝันที่เพิ่งฝันไปนั้น เป็นความทรงจำที่ทวิชในวัยเด็กนั้นตัดสินใจพยายามลืมมัน พยายามฝังและซุกซ่อนในส่วนที่ลึกที่สุดในความทรงจำก่อนที่จะทำเหมือนกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
   
“ฮึก..”
   
ทั้งๆ ที่รู้ว่าการร้องไห้ไม่ได้ช่วยอะไร แต่ทวิชก็หลุดสะอื้นออกมาจนตัวโยน และรู้สึกเจ็บจนทนแทบไม่ไหวเมื่อตระหนักได้ว่ามันเป็นฝันเท่านั้น ไม่มีวันเกิดที่วันคืนที่ดีเหล่านั้นจะเกิดขึ้นกับเขาได้อีก
   
นี่อาจจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขาได้เห็นหน้าพ่อกับแม่ของตัวเองยังชัดเจน น้ำเสียงนุ่มนวลเหล่านั้นยังคงพูดคุยกับเขาอย่างใส่ใจและอ่อนโยนราวกับว่าเขาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต
   
แน่นอนว่าเขาเชื่อว่าตัวเองเป็นสิ่งนั้นของพ่อแม่จริงๆ ไม่เช่นนั้นพ่อกับแม่คงไม่ตัดสินใจพาเขาไปฝากไว้ในที่ปลอดภัยก่อนที่จะเผชิญกับกลุ่มชนชั้นนำเหล่านั้นเพื่ออนาคตของเขา
   
เขาคิดถึงพ่อกับแม่ของเขาเป็นบ้าเลย
   
ทั้งๆ ที่มันก็ผ่านมานานมากแล้ว แต่เขาก็ยังอยากได้ครอบครัวอันอบอุ่นของเขาคืน อยากโดนกอด อยากกินอาหารอร่อยๆ ฝีมือแม่ อยากถูกพ่อชมว่าเป็นคนเก่งอีก
   
เขายังมีอะไรมากมายที่อยากทำกับครอบครัว สัญญาที่พ่อไว้ให้กับเขา พ่อก็ยังไม่ได้ทำเลย ครอบครัวเขาไม่เคยไปเที่ยวกันพร้อมหน้าด้วยซ้ำเพราะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำงานจนหมด
   
“...ฮึก”
   
เขาไม่รู้ว่าอะไรที่เป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เขาถึงฝันเรื่องในอดีตที่แสนน่าเจ็บปวดนี่ ความทรงจำอันแสนสุขของเขาก่อนที่หลังจากนั้นเขาจะต้องเผชิญกับความโดดเดี่ยวอีกหลายสิบปี
   
เขาถูกขังเอาไว้ในห้อง ราวกับนกที่ถูกขังเอาไว้ในกรง
   
มีชีวิตแต่ทว่าไร้ซึ่งตัวตน ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากห้องด้วยซ้ำนอกเสียจากจะบรรลุนิติภาวะแล้ว เขาถึงจะได้รับอนุญาตให้มีชีวิตของตัวเองต่อไปได้
   
ทวิชหลุบตามองมือของตัวเองที่วางอยู่บนตักและเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตา
   
อาจจะเป็นเพราะสงครามกลางเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ที่กระตุ้นให้เขานึกถึงเรื่องราวเหล่านั้น ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมตัวเองในวัยเด็กนั้นถึงได้เข้มแข็งนัก เข้มแข็งกว่าเขาตอนนี้ด้วยซ้ำ
   
น่าเสียดายที่เขาทำตัวตนของเด็กชายคนนั้นหายไปแล้ว เพราะสิ่งที่เหลืออยู่ตอนนี้นั้นมีแต่ทวิชที่อ่อนแอและสิ้นหวัง แถมยังชอบร้องไห้อีก
   
“...หึ”
   
ทวิชแค่นเสียงหัวเราะเสียงเบาเหยียดหยามตัวเอง
   
เขาโตมาไม่ได้เรื่องเลยสักนิด ถ้าพ่อกับแม่มาเห็นเขาที่เป็นแบบนี้คงจะผิดหวังมากแน่ๆ
   
“...?”

ทวิชกระพริบตาปริบเมื่อถูกดึงมือไปรับผ้าเช็ดหน้าผืนบางและมองกันต์ด้วยความอับอายนิดๆ เพราะเสียงสะอื้นของเขาน่าจะดังจนปลุกอีกฝ่ายขึ้นมา

“ขอโทษที่ทำให้ตื่นนะ”

ทวิชหัวเราะเสียงแผ่ว รู้สึกสมเพชตัวเองมากกว่าเดิม

การที่เขายังมีอยู่ตัวตนอยู่จนถึงตอนนี้อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของพ่อแม่ก็ได้ เพราะถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากจะอยู่ร่วมกับพ่อแม่จนถึงวาระสุดท้ายมากกว่า

มันอาจจะเป็นความตายอันโหดร้ายและทุกข์ทรมาน

แต่มันก็คงจะดีเสียกว่าถ้าหากเขาได้อยู่ร่วมกับพวกท่านในช่วงเวลานั้น

เขาในตอนนั้นก็โตพอที่จะเข้าใจความตายตั้งนานแล้ว เข้าใจดีถึงความทุกข์ยากและยากจนของครอบครัวตัวเอง เข้าใจดีทุกอย่างและไม่เคยเรียกร้องอะไรมากกว่านั้นเพราะกลัวจะสร้างปัญหาให้กับครอบครัว ลำพังแค่แม่เจียดเวลาพักผ่อนที่มีอยู่น้อยนิดมาคอยดูแลเขามันก็ดีแค่ไหนแล้ว

“…”

ทวิชยกมือปิดหน้าและสะอื้นจนตัวโยน เพราะไม่ว่าเขาจะขบคิดยังไง เขาก็คิดไม่ออกเลยสักนิดว่าตัวเองทำอะไรผิด เขาก็เป็นเด็กดีและทำดีที่สุดเท่าที่เด็กอย่างเชาจะทำได้แล้ว
แล้วทำไมล่ะ ทำไมพ่อแม่ของเขาต้องถูกฆ่าด้วย

มันไม่ยุติธรรมเลย

“…คุณทวิช”

กันต์เรียกทวิชเสียงเบาแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้สนใจอะไร สะอื้นหนักกว่าเดิมที่ทำเอาคนมองรู้สึกเจ็บปวดไปด้วย กันต์มองทวิชอย่างเป็นห่วง ยกมือจะลูบหลังยังไม่กล้าด้วยซ้ำ

“..ขอเวลาฉันสักพักนะ กันต์ ขอนิดเดียวจริงๆ ”

ทวิชพูดเสียงเครือ พยายามกล้ำกลืนความเศร้าของตัวเองครั้งนี้ลงคอแต่ก็ไม่สำเร็จสักที ความเจ็บปวดครั้งนี้มันมากเกินไปสำหรับเขา เพราะมันเป็นเรื่องจริงและเขายังจดจำมันได้แม้ว่าจะผ่านมานานแล้วก็ตาม

“ฆ่าฉันที กันต์”

ทวิชเผลอหลุดประโยคหนึ่งออกมาโดยไม่รู้ตัวระหว่างที่สะอื้น

บาดแผลที่ถูกทิ้งไว้บนร่างของเขานั้นมันเกินกว่าที่จะรักษาได้แล้ว มีแต่เจ็บขึ้นทุกครั้งที่เขาหายใจเท่านั้น และหนทางเดียวที่เขาจะหลีกหนีความทุกข์ทรมานนี้ก็แค่มีแค่ทางเดียวเท่านั้น

“..ไม่”

สุดท้ายกันต์ก็อดใจไม่ไหว รวบตัวทวิชที่นั่งบนเตียงมากอดแน่น พยายามประคับประคองตัวตนที่แหลกสลาญของทวิชอย่างระมัดระวังที่สุด ซึ่งด้วยขนาดตัวที่ต่างกันค่อนข้างมากทำให้ร่างของทวิชนั้นจมไปตัวของกันต์ แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ช่วยอะไรเพราะทวิชยังคงสะอื้นไม่หยุด

 “ฮึก ฉันทนกับมันไม่ไหวจริงๆ แล้ว กันต์ ไม่ไหวแล้วจริงๆ ”

นัยน์ตาสีทองหยาดชุ่มไปด้วยน้ำตาและความสิ้นหวัง หมดสิ้นซึ่งภาพลักษณ์เจ้าของร้านขายความตายที่เต็มไปด้วยความสุขุมและเฉยชาต่อความตาย เหลือเพียงร่างของชายร่างที่จิตใจแหลกสลาย

เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะมีพยายามสร้างอนาคตที่ดีไปเพื่ออะไร ในเมื่อสิ่งที่เขาปรารถนาที่สุดคือการได้อยู่พร้อมหน้ากับครอบครัวตัวเอง แต่มันก็เป็นไปไม่ได้และไม่มีทางเป็นไปได้ด้วย

เขาทนใช้ชีวิตกับบาดแผลแบบนี้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

“..ฆ่าฉันสิ กันต์ นายก็รู้วิธีนี่”

ทวิชเงยหน้าสบตากับกันต์ด้วยสีหน้ามีความหวังขึ้นมานิดๆ เริ่มเข้าใจถึงความรู้สึกปลอดโปร่งของลูกค้าที่มาใช้บริการหลับสบายกับตัวเอง

มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากจริงๆ เมื่อเขารู้ว่าตัวเองจะสามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานนี้ได้เสียที

“ผมทำไม่ได้” กันต์ตอบเสียงเบาด้วยความรู้สึกผิด เพราะไม่บ่อยนักที่ทวิชจะร้องขอให้เขาทำอะไร และพอทวิชต้องการความช่วยเหลือขึ้นมาจริงๆ เขากลับทำใจทำมันไม่ได้

“...งั้นเหรอ” ทวิชหัวเราะเสียงแผ่ว “งั้นก็ปล่อยฉันซะ กันต์”

“ผมไม่อยากให้คุณตาย”
   
นอกจากจะไม่ปล่อยแล้วกันต์ยังกอดทวิชแน่นขึ้นอีก พยายามสกัดกั้นอีกฝ่ายไม่ให้โบยบินสู่ความเป็นนิรันดร์ทุกวิถีทาง แม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจดีว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ก็ตาม
   
“...”
   
“ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังเศร้าเรื่องอะไร แต่ผมอยากให้คุณรู้ว่าว่าผมสามารถตายเพื่อคุณได้ คุณเป็นผู้มีพระคุณของผม เป็นครอบครัว และเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผม ถ้าคุณไม่อยู่แล้ว ผมก็ไม่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะไรเหมือนกัน”
   
แน่นอนว่ากันต์รู้ดีว่าตัวเองนั้นกำลังพูดในสิ่งที่เห็นแก่ตัว แต่เขาก็กลัวว่าตัวเองจะสูญเสียทวิชไปมากกว่า
   
“วันนั้นถ้าคุณไม่ช่วยผม ผมคงตายไปแล้วและผมก็ไม่เสียใจด้วยที่ผมตาย แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว ผมยังไม่อยากตาย ผมยังอยากอยู่กับคุณ”
   
กันต์สบตากับทวิชนิ่ง นัยน์ตาสีเทาที่เคยว่างเปล่านั้นมองทวิชอย่างประหม่าอยู่สักพัก และตัดสินใจสารภาพออกมาก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้สารภาพอีก
   
“ผมชอบคุณ”
   
“...”
   
ทวิชกระพริบตาปริบเพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเองจะเป็นสิ่งสำคัญต่อกันต์ถึงเพียงนั้น แถมการกระทำของเขายังทำให้กันต์คิดไม่ซื่อกับตัวเองอีก
   
ตกตะลึงกับความจริงตรงหน้าอยู่สักพัก ก่อนที่ทวิชจะตัดสินใจกอดกันต์กลับแน่นอยู่สักพักใหญ่จนความเจ็บปวดในใจทวิชทุเลาลง ทวิชจึงยอมผละออก สีหน้าเศร้าหมองสงบขึ้นมากกว่าเดิมเมื่อถูกมือใหญ่ลูบหลังเบาๆ
   
“..แต่ถึงยังไงพรุ่งนี้ ฉันก็ยังไปรัฐสภาอยู่ดีนะ กันต์”
   
ทวิชหัวเราะเสียงแผ่วตอนที่นึกถึงคำประกาศจากวิทยุที่ฟังก่อนนอน
   
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น  ตราบใดที่ฉันยังทนมีชีวิตอยู่ ฉันจะไม่ปล่อยให้พวกเขาต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวแน่นอน”
   
“..ผมจะไปกับคุณ”
   
“ถ้าฉันเป็นเหตุผลให้นายไป ฉันก็ขอให้นายเปลี่ยนใจเถอะ”
   
ทวิชลูบมือของกันต์อย่างเบามือ รู้สึกผิดเล็กๆ ที่ไม่อาจตอบรับความรู้สึกกันต์ได้ เพราะเขานั้นตัดสินใจอย่างเด็ดขาดมานานแล้วว่าจะไม่มีความสัมพันธ์กับใครทั้งนั้น
   
โลกเฮงซวยนี้แย่เกินกว่าที่เขาจะรู้สึกรักใครได้แล้วจริงๆ
   
“...”
   
“เพราะอย่างน้อยๆ ถ้าฉันตาย ร้านนี้ก็จะยังคงอยู่ต่อไป ฉันอยากให้นายมอบความหวังให้กับเบต้าสิ้นหวังพวกนั้นต่อ เพราะฉันไม่อยากให้พวกเขาต้องทุกข์ทรมานจากสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ก่ออีกแล้ว”
   
ทวิชสบตากับกันต์แล้วยิ้มนิดๆ
   
“รับปากได้ไหม?”
   
นัยน์ตาของกันต์สั่นระริก
   
“..ผมไม่อยากให้คุณตาย”
   
“ฉันไม่ตายพรุ่งนี้ ยังไงสักวันฉันก็ต้องตายตอนโดนกวาดล้างอยู่ดี กันต์”
   
ทวิชหัวเราะเสียงขืนเพราะรับรู้ดีว่าตัวเองนั้นเป็นที่หมายหัวของทางการขนาดไหน ยิ่งฟังจากวิทยุคลื่นของรัฐบาลก็ยิ่งรู้ว่าเขานั้นอันตรายต่อชาติมาก ทั้งๆ ที่เหตุการณ์ทั้งหมดของเรื่องนั้นก็เป็นแค่เขาบินขึ้นไปช่วยคนที่กำลังจะตกตึกเท่านั้นเอง
   
อิสรภาพของประชาชนเป็นสิ่งที่ประเทศหวาดกลัวถึงเพียงนี้เชียว
   
เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาที่ทนความอยุติธรรมพวกนี้ไม่ได้ก็เท่านั้นเอง
   
“...ผม”
   
“มีชีวิตต่อนะ กันต์ ใช้ชีวิตต่อในส่วนของฉัน” ทวิชลูบหัวกันต์อย่างเบามือ ก่อนจะเผลอยิ้มเศร้าๆ ออกมาเพราะรู้สึกว่าเหตุการณ์ในตอนนี้นั้นเหมือนตอนที่พ่อแม่ล่ำลาเขาในวัยเด็กเหลือเกิน ซึ่งตอนนี้เขาก็เข้าใจดีแล้วจริงๆ ว่าทำไมพ่อแม่เขาถึงได้พยายามกันถึงเพียงนั้นเพื่อเขา “ที่เหลือต่อจากนี้ให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง ฉันอยากจะให้นายมีความสุข อยากให้นายได้มีโอกาสมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ถ้ามันสำเร็จนายจะได้ไม่ต้องทนใช้ชีวิตอย่างสิ้นหวังในประเทศนี้อีก”
   
ทวิชยิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นว่ากันต์ดูไม่เต็มใจสักนิด ซึ่งถ้าเขารู้ว่าพ่อแม่จะทำแบบนั้นเพื่อเขา เขาก็คงมีสภาพไม่ต่างกันและอาจจะหนักกว่านี้ด้วยซ้ำ
   
“ปีกแห่งเสรีภาพได้ถูกกางออกมาแล้ว และครั้งนี้ฉันจะไม่ยอมใครหน้าไหนสามารถมาทำลายความหวังนี้อีกแล้ว”

---------------

 :z13:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
รีบมากางปีกนะ

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เศร้าไม่จบ ทวิชตอนเด็กน่ารักมาก

ออฟไลน์ mister

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • https://www.facebook.com/JJSonkFanclub
อินมาก ยิ่งกับสถานการตอนนี้ รีบมาต่อไวๆนะคะ หึกเหิมสุดๆ :fire: :fire:

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 19

   
หลังจากการปฏิวัติครั้งล่าสุดนับตั้งแต่ที่ ‘ณภัทร’ ขึ้นครองตำแหน่งผู้นำศาสนาและผู้ประเทศนี้นั้น รายได้ครึ่งหนึ่งของประเทศทุกปีจำนวนหลายพันล้านก็ถูกส่งมอบให้กับศาสนาใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้นทันทีเพื่อเป็นการทำนุบำรุงศาสนาและใช้ค่าใช้จ่ายในส่วนต่างๆ ของท่านผู้นำที่เสียสละอย่างหาที่สุดไม่ได้
   
จากประเทศที่ปกครองด้วยระบบปกติจึงถูกปรับโฉมเป็นรัฐศาสนาในพริบตา ในหนึ่งปีจะมีการเฉลิมฉลองและพิธีเกี่ยวกับศาสนาอย่างโอ่อ่าถึงสองครั้งเพื่อตอกย้ำอำนาจผูกขาดและยิ่งใหญ่ไว้แต่เพียงผู้เดียว พร้อมกับบอกกล่าวกับประชาชนผ่านพิธีการอันลี้ลับเข้าใจได้ยากถึงสายสัมพันธ์อันไม่เท่าเทียมกันระหว่างอัลฟ่า เบต้า และโอเมก้า
   
โดยให้เข้าใจตรงกันว่า ‘อัลฟ่า’ นั้นคือผู้อุปถัมภ์และอำนาจของอัลฟ่านั้นไม่สามารถมีชนชื้นใดเทียบเคียงได้ อีกทั้งยังเป็นชนชั้นที่เต็มไปด้วยความศีลธรรม มีความวิเศษวิโสเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป เป็นชนชั้นที่จะนำพาประเทศสู่ความศิวิไลซ์เหนือประเทศอื่นใดบนโลก
   
ส่วน ‘เบต้า’ นั้นก็พึงรับรู้ไว้ว่าตนเองนั้นเป็นเพียงผู้ได้รับการอุปถัมภ์ เป็นชนชั้นที่แสนจะโชคดีที่ได้รับการอุปถัมภ์จากอัลฟ่าผู้สูงศักดิ์ พร้อมพึงระลึกไว้ตลอดเวลาว่าหน้าที่ของตนเองนั้นคือการยอมศิโรราบและจงรักภักดีต่ออัลฟ่าโดยสิ้นเชิงเพื่อประเทศที่ดีของตัวเอง
   
และกลุ่มชนสุดท้ายอย่าง ‘โอเมก้า’ นั้นคือกลุ่มมนุษย์ที่เกิดมาพร้อมกับความชั่วช้าและความเห็นแก่ตัว อีกทั้งยังเป็นเผ่าพันธุ์ที่เต็มไปด้วยความผิดบาปคอยเอารัดเอาเปรียบชนชั้นอื่นจนประเทศชาตินั้นต้องวุ่นวายและล่มจม
   
แน่นอนว่าประเทศนี้นั้นได้ผ่านการฆ่าล้างเหล่าคนบาปเหล่านี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จนแทบจะเหลือเพียงสองชนชั้นในประเทศ แต่เหล่าชนชั้นนำก็รู้อยู่แก่ใจดีว่ามีปลาตัวเล็กๆ ที่ลอดอวนของพวกเขาไปบ้างจึงพยายามตามล่าอยู่ตลอดเพื่อที่จะได้ไม่เกิดการก่อกบฏขึ้นอีก
   
หากแต่ช่วงระยะเวลาบนความมั่งคั่งและความสุขสบายก็ทำให้อัลฟ่าบางส่วนนั้นหลงระเริงเกินกว่าที่จะมาใส่ใจกลุ่มคนเหล่านั้น เพราะลำพังแค่คิดว่าจะนำเงินวันนี้ไปทำอะไรดีก็ทำให้พวกเขาเคร่งเครียดเกินกว่าจะคิดอะไรได้แล้ว ความประมาทเลินเล่อเหล่านี้ก่อให้เกิดกลุ่มปฏิวัติครั้งใหม่ที่เข้มแข็งขึ้นอีกครั้ง
   
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามเหล่าอัลฟ่านักบวชหรืออัลฟ่าชนชั้นพิเศษก็ยังคงใช้ชีวิตอย่างปกติสุข โดยเฉพาะเหล่าบุคคลใกล้ชิดของ ‘ณภัทร’ ที่ยังใช้ชีวิตหรูหราราวกับหาเงินทั้งหมดในด้วยตัวเอง เงินจำนวนมหาศาลที่ควรจะนำไปใช้เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ของคนส่วนใหญ่ในประเทศนั้นมักจะถูกนำมาใช้อย่างสูญเปล่ากับรสนิยมประหลาดและน่ารังเกียจของกลุ่มชนเหล่านี้
   
มีนักบวชอาวุโสคนหนึ่งที่เป็นที่ปรึกษาของณภัทรนั้นถึงกับซื้อพื้นที่ใจกลางเมืองหลายสิบไร่เพียงเพื่อที่จะเอาไว้ตีกอล์ฟและนำนักบวชฝึกหัดหลายสิบคนไปกกนอนหลังจากที่ทำพิธีกรรมทางศาสนาเสร็จ
   
หากแต่ความวิปลาสที่มากกว่านั้นก็ยังคงมีอีกมาก อัลฟ่านักบวชอีกหลายคนที่ได้รับผลประโยชน์จากการปฏิวัติครั้งก่อนล้วนแล้วแต่มีความทะเยอทะยานและความคิดผิดแผกเกินกว่าที่คนธรรมดาทั่วไปจะนึกถึงได้ ราวกับว่าหลักศีลธรรมและศาสนาที่พวกเขาคัดลอกมาจากศาสนาอื่นมาปรับใช้เป็นของตัวเองนั้นไม่มีผลอะไรเลยกับจิตใจ หนำซ้ำยังคล้ายกับเป็นเชื้อเพลิงกระตุ้นให้พวกเขาทำในสิ่งที่ผิดมนุษยธรรมมากขึ้นไปอีก
   
อัลฟ่าสาวที่ดำรงตำแหน่งเป็นนักบวชสาวเช่นกันถึงกับลอบสร้างชั้นใต้ดินไว้ใต้บ้านและซื้อทาสจำนวนมากมาซุกซ่อนไว้ในนั้นเพื่อทรมาน ซึ่งหนึ่งในเหยื่อที่อัลฟ่าสาวคนนั้นโปรดปรานคือโอเมก้าหนุ่มที่เหลือรอดจากการฆ่ากวาดล้าง หญิงสาวนั้นเพลิดเพลินไปกับการเผาปีกอีกฝ่ายและปล่อยให้เสียงกรีดร้องให้ฆ่าตัวเองนั้นกึกก้องใต้ดินราวกับเป็นบทสวดสรรเสริญพระเจ้าอย่างหล่อน
   
และเป็นที่แน่นอนว่า ‘ณภัทร’ ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่วิปลาสที่สุดในกลุ่ม
   
ชั้นบนสุดของคอนโดที่ณภัทรอาศัยอยู่นั้นเต็มไปด้วยกระต่ายสีขาวนับร้อยตัว กระต่ายที่ส่วนใหญ่นั้นเป็นมนุษย์แต่กลับถูกบีบให้อยู่ในร่างต้นตลอดเวลา ใช้ชีวิตกันอย่างแออัดและหวาดระแวง บ่อยครั้งที่ณภัทรนั้นขึ้นมาระบายอารมณ์ด้วยการหยิบปืนชนิดต่างๆ ที่แขวนเอาไว้มาไล่ยิงพวกมัน ซึ่งบางครั้งเมื่อเกิดอารมณ์ขึ้นมาก็ใช้ฉีดยาบังคับให้คืนร่างมนุษย์และปล่อยให้ตั้งท้องเพื่อให้มีกระต่ายให้เขาฆ่าต่อไป
   
แต่สิ่งนี้ก็เป็นเพียงความลับหนึ่งของณภัทรที่ถูกปิดเอาไว้เท่านั้น ยังมีความลับอีกมากมายที่ณภัทรนั้นเก็บงำเอาไว้ เช่นการหมกมุ่นอยู่กับสัตว์เลี้ยงที่เป็นหนูแฮมสเตอร์ที่ณภัทรให้ความไว้ใจและความสำคัญกับมันมาก จนแต่งตั้งองครักษ์ระดับสูงมาดูแลมันโดยเฉพาะ อีกทั้งยังจ้างวานนักวิทยาศาสตร์ต่างประเทศให้มาโคลนนิ่งแฮมสเตอร์ของตัวเองเอาไว้เพื่อให้มันมีอยู่ตลอดไป
   
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะวิปลาสเพียงใด บุคคลเหล่านี้ก็รู้จักความกลัวกันอยู่บ้าง พวกเขาไม่หวาดกลัวต่อความชั่วร้ายที่ตัวเองกระทำเพราะคิดว่าทำสิ่งที่ดีมากมายชดเชยไปแล้ว และเชื่อว่าหลักโหราศาสตร์ที่พวกเขายึดถือและบูชานั้นจะคอยปกป้องพวกเขาได้
   
“ฤกษ์ที่ดีที่สุดคืออีกสองอาทิตย์เลยเหรอ ท่าน”
   
ณภัทรซึ่งนั่งอยู่ในห้องรับแขกร่วมกับหมอโหราศาสตร์ที่ชื่อดังที่สุดในประเทศด้วยสีหน้าไม่พอใจ เพราะยิ่งปล่อยให้วันสถาปนาประเทศล่าช้ามากไปเท่าไร โอกาสที่กลุ่มกบฏจะปฏิวัติสำเร็จก็มากขึ้นเท่านั้น แน่นอนว่าถ้าหากเขาไม่สนใจฤกษ์งามยามดี เขาคงจะจัดการพวกมันไปตั้งนานแล้ว
   
“ครับ ระหว่างนี้ผมต้องขอให้ท่านอดทนไปก่อน”
   
“มันจะนานเกินไปหรือเปล่า”
   
“นี่เป็นฤกษ์ที่ดีที่สุดแล้วครับ ท่าน ถ้าหากท่านเร่งรัดจนเกินไป ผมเกรงว่ามันจะอันตรายครับ” โหรยังคงตอบด้วยท่าทีสงบนิ่งแม้ว่าจะนั่งตรงข้ามกับผู้ที่ทรงอำนาจที่สุดในประเทศนี้ก็ตาม ตามข้อมือเหี่ยวย่นนั้นเต็มไปด้วยรอยสักและกำไลทองฝังเพชรส่องประกายระยับขัดกับเครื่องแต่งกายสีขาวซอมซ่อที่ถูกเรียกว่าเป็นการแต่งกายของผู้ทรงศีล
   
“แล้วถ้าเป็นฤกษ์ฆ่าล้างล่ะ ฆ่าได้เลยรึเปล่า”
   
ณภัทรเผยรอยยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงวิธีการกวาดล้างแบบใหม่ที่เหล่าคนใกล้ชิดของเขาได้นำเสนอให้เขาฟังเมื่อวันก่อน ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นวิธีการที่ค่อนข้างเห็นผลและเป็นไปตามรูปแบบที่เขาชอบเลยทีเดียว อีกทั้งยังเป็นวิธีการที่ต้องใช้เวลาสักพักด้วย ซึ่งเมื่อมันออกฤทธิ์ก็คงฆ่าได้อย่างหมดจดทันฤกษ์ครั้งหน้าที่เขารอพอดี
   
“ขอเวลาผมคำนวณสักครู่นะครับ”
   
โหรคนเดิมตอบด้วยท่าทีนอบน้อม ก่อนจะหยิบหนังสือโบราณที่นำติดตัวมาด้วยออกมากางและคิดคำนวณวันเวลาออกมาอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึงห้านาที
   
“พรุ่งนี้ครับ”
   
“..ดี”
   
ณภัทรยิ้มมากกว่าเดิม นัยน์ตาสีเทาเหลือบมองออกนอกหน้าต่างซึ่งเป็นตึกรัฐสภาที่กำลังจะมีการจัดการประชุมขึ้นพรุ่งนี้และหัวเราะออกมาอย่างเหี้ยมเกรียม

   

“...คุณจะไปจริงๆ เหรอ ทวิช ถึงผมจะบอกว่าผมจะช่วยพวกคุณก็เหอะ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าผมอยากตายนะ” ชนินทร์บ่นอุบทันทีเมื่อตื่นเช้ามาและพบว่าทวิชนั้นเตรียมตัวจะไปสมทบกับกลุ่มปฏิวัติที่รัฐสภา ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ระดับการรักษาความปลอดภัยอันดับต้นๆ ของประเทศ เพราะสถานที่แห่งนั้นคือสัญลักษณ์แห่งอำนาจอันชอบธรรมของอัลฟ่า ทุกกฎหมาย คำร้อง ข้อบังคับต่างๆ ที่ถูกประกาศใช้ในประเทศนั้นล้วนแล้วแต่ผ่านความเห็นชอบจากคนในสภาทั้งนั้น
   
การบุกไปสถานที่แห่งนี้จึงนับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่าเลยแม้แต่นิดเดียว
   
“ถ้ามัวแต่กลัวตายก็ไม่ได้ทำอะไรกันพอดี”
   
ทวิชยิ้มนิดๆ ขณะที่กระชับเสื้อคลุมสีดำตัวเองให้ปิดหน้ามิดชิดขึ้น พยายามให้เห็นหน้าน้อยที่สุดเพราะในช่วงเวลาแบบนี้ไม่ว่าเขาจะอยู่ในสถานะแบบไหนก็อันตรายทั้งนั้น
   
“คุณไม่กลัว แต่ผมกลัวนี่” ชนินทร์ถอนหายใจเบื่อๆ และก้มมองเชือกที่ยังรัดมือตัวเองเหมือนเดิม “แล้วเมื่อไหร่คุณจะแกะเชือกให้ผมสักที ผมอยู่ข้างคุณนะ”
   
“สารภาพตามตรงว่าผมไม่ไว้ใจ คุณ”
   
ทวิชแค่นเสียงหัวเราะและลูบหัวกันต์ที่จนถึงตอนนี้ก็ไม่ยอมพูดอะไรสักคำ รู้สึกใจหายนิดๆ เพราะการตัดสินใจเข้าร่วมครั้งนี้นั้นเสี่ยงมากจริงๆ เขาไม่มีทางรู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเขาบ้าง
   
ถ้าหากเขาตายเลยตั้งแต่กระสุนนัดแรกก็คงดี แต่ถ้าไม่เขาก็อาจจะโดนไปจับไปทรมานก่อนที่จะถูกแขวนคอและตอกลิ่มใส่อกให้ตายทั้งเป็นเหมือนที่พ่อตัวเองตัวเองเคยโดน
   
เรื่องที่ตลกร้ายกว่านั้นคือเขากลับไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด แม้ว่าราคาของเสรีภาพที่เขาต้องการนั้นจะแพงขนาดนี้ก็ตาม
   
“มนุษย์ตายได้แค่ครั้งเดียว ถ้าผมพลาดอย่างมากผมก็ตาย ผมเชื่อว่ายังไงพวกมันก็ไม่มีปัญญาปลุกศพผมที่ตายไปแล้วให้ขึ้นมาฆ่าอีกรอบได้หรอก”
   
“...เสรีภาพที่คุณต้องการ มันสำคัญกว่าชีวิตคุณเลยเหรอ”
   
แน่นอนว่าชนินทร์นั้นก็ยังคงหวงแหนชีวิตของตัวเองอยู่ เพราะสำหรับชนินทร์แล้วไม่ว่าเรื่องนี้จะจบลงแบบไหนก็ตาม เขาก็จะยังคงพยายามตะเกียกตะกายมีชีวิตต่อในประเทศนี้ต่อไปอย่างสุดความสามารถเพื่อฝันหลายๆ อย่างของเขาที่ยังไม่สำเร็จ
   
เขายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ถึงแม้ว่าอาจจะโดนตราหน้าว่าเห็นแก่ตัวก็ตาม แต่เขาก็ไม่คิดจะสนใจ เพราะเขาไม่เชื่อว่าตัวเองนั้นจะสามารถเปลี่ยนแปลงระบบโครงสร้างที่ใหญ่โตขนาดนั้นได้ ฉะนั้นต่อให้ขาดเขาไปสักคนก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
   
ทวิชแค่นเสียงหัวเราะ ไม่เข้าใจว่าทำไมชนินทร์ถึงได้ถามคำถามแบบนี้ออกมา ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าเขานั้นจะตอบอะไร นัยน์ตาสีทองสบกับกันต์ด้วยความอาลัยนิดๆ เมื่อคิดว่านี่คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นอีกฝ่าย
   
“ถ้าหากสามวันแล้วฉันยังไม่กลับมา ร้านนี้และตึกนี้ทั้งตึกจะเป็นของนาย ส่วนพวกเอกสารอะไรพวกนั้นฉันจัดการไว้หมดแล้ว ถ้ามีคนมาถามหาเอกสารกรรมสิทธิ์นายก็ไปหยิบบนหัวเตียงฉัน”
   
ทวิชกวาดตามองร้านของตัวเอง พยายามเก็บเกี่ยวความทรงจำเอาไว้ให้ได้มากที่สุดและหวังว่ามันจะช่วยปลอบประโลมเขาในตอนที่เขานั้นสิ้นหวังหรือเข้าใกล้กับความตาย
   
“แล้วอย่าลืมใส่เสื้อคลุมที่ฉันทิ้งไว้ให้ตลอดไว้ด้วยล่ะ เวลาพวกตำรวจน่ารำคาญมายุ่มย่าม ก็บอกซะว่านายเป็นคนของตระกูลพยัคฆโภคสกุล ส่วนเงินฉันก็ทิ้งไว้บนเตียงให้แล้ว มันอาจจะไม่เยอะเท่าไหร่ แต่น่าจะพอทำให้นายอยู่ต่อไปได้สักเดือนสองเดือน”
   
แววตาของทวิชหม่นลงเพราะรู้ดีว่าเงินจำนวนนั้นไม่สามารถทำให้กันต์นั้นไม่เพียงพอแน่ๆ สำหรับกันต์ และเขาก็ไม่ต้องการให้กันต์ใช้วิธีหาเงินแบบเดียวกับตัวเองด้วย จึงเหลือเพียงวิธีเดียวเท่านั้น
   
วิธีที่ถ้าเขายังเป็นเจ้าของร้านสิงหกุลโภชนานี้อยู่ เขาจะไม่มีวันทำมันแน่ๆ
   
“แล้วถ้าหลังจากนั้นเงินก้อนนั้นหมดแล้ว ..พวกของที่ลูกค้าให้ไว้ นายเอาไปขายก็ได้นะ”
   
“...”
   
กันต์พยักหน้าเชิงรับรู้แต่สีหน้าไม่เต็มใจเลยสักนิด
   
“..ดูแลตัวเองดีๆ นะ กันต์” ทวิชยิ้มบางให้กันต์ “ถ้าโชคดีเราก็คงได้เจอกันอีก”
   
“...”
   
สุดท้ายกันต์ก็ทนมองทวิชไม่ไหว เลือกที่จะเบือนหน้าหนีเพราะทนรับความจริงไม่ได้
   
“ส่วนเจ้าหมานี่ก็ฝากนายดูแลไปพลางๆ แล้วกัน ถ้ามันทำตัวน่ารำคาญมากก็ปล่อยทิ้งก็ได้ ฉันไม่ว่าอะไร”
   
ทวิชพูดติดตลกทิ้งท้ายก่อนที่จะก้าวไวๆ ออกจากร้านโดยไม่สนใจเสียโวยวายของชนินทร์ที่ดังไล่หลัง เพราะกลัวว่าตัวเองนั้นจะเผลอใจอ่อนเข้าซะก่อน
   
เขารู้ถึงความเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียคนที่รักไปดี แต่เขาก็ไม่สามารถละทิ้งอุดมการณ์เพื่อเด็กคนหนึ่งจริงๆ
   
“...ไปรัฐสภา ทวิช อย่าสนใจเรื่องอื่น”
   
ทวิชลูบหน้าตัวเองพยายามตั้งสติอยู่สักพัก และเดินออกจากร้านไปยังป้ายรอรถประจำทางที่จนถึงตอนนี้ก็ยังคงให้บริการอยู่ แม้ว่าสถานการณ์การเมืองจะยังไม่สงบก็ตาม
   
แน่นอนว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นในระยะนี้ทำให้ตามท้องถนนไม่ค่อยมีผู้คนมากมายนัก ส่วนใหญ่ที่ออกมาจากบ้านนั้นก็ออกมาเพราะความจำเป็นมากกว่า แถมตามจุดต่างๆ อย่างมีเจ้าหน้าที่รัฐอาวุธครบมือคอยเดินตรวจตรารักษาความสงบของบ้านเมือง ป้องกันไม่ให้เกิดการรวมกลุ่มกันของกลุ่มกบฏ
   
ส่วนทวิชนั้นก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติระหว่างที่รอรถที่ป้าย ยอมดึงฮู้ดที่ปกปิดใบหน้าลงเพื่อไม่ให้ดูปกปิดตัวตนจนผิดสังเกต
   
แต่น่าเสียดายที่คนที่นั่งข้างๆ ทวิชนั้นไม่ได้สนใจที่จะปกปิดตัวตนและอุดมการณ์นัก นัยน์ตาเปล่งประกายไปด้วยความหวังและพูดมันออกมาอย่างกระตือรือร้นกับกลุ่มเพื่อนวัยรุ่นของตัวเองที่มีความคิดแบบเดียวกัน
   
“..ครั้งนี้ต้องเอาชนะพวกมันได้แน่ พวกอัลฟ่าไม่มีวันชนะตลอดไปหรอก”
   
เบต้ากระต่ายคนหนึ่งพูดด้วยสีหน้าฮึกเหิม หลังจากที่ได้ฟังประโยคปลุกใจจากในวิทยุและเชื่อมั่นเป็นอย่างมากว่าการรวมตัวเพื่อแสดงออกอย่างสันติในวันนี้นั้นจะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
   
“อย่าพูดเสียงดังสิ เดี๋ยวก็โดนจับหรอก”
   
เพื่อนในกลุ่มอีกคนเอ็ดทันทีพร้อมกับหันซ้ายหันขวาอย่างหวาดระแวง อย่างไรก็ตามถึงแม้สถานการณ์ตอนนี้ฝั่งกลุ่มปฏิวัติอาจจะดูได้เปรียบแต่พวกเขาก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่ารัฐบาลนั้นพร้อมจะใช้ความรุนแรงเพื่อควบคุมสถานการณ์ได้ทุกเมื่อ และด้วยเหตุผลแบบนั้นพวกเขาจึงค่อนข้างเจ็บปวดที่คงจะมีแค่คนบางส่วนเท่านั้นที่กล้าออกมาเข้าร่วมในวันนี้
   
แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่นั้นก็รักชีวิตของตัวเอง พวกเขาอาจจะตาสว่างแล้วก็จริงแต่หวาดกลัวเกินกว่าที่จะนำชีวิตของตัวเองมาเสี่ยงกับกระสุนปืนและความรุนแรง ซึ่งบทลงโทษที่พวกเขาจะได้รับจากการไม่ทำอะไรเลยนั้นก็คือการมีชีวิตอยู่ต่ออย่างทุกข์ทรมาน ต้องยอมรับความเป็นทาสพร้อมกับยินยอมให้ตัวเองนั้นถูกเหยียบย่ำไว้ใต้ฝ่าเท้าด้วยความเต็มใจ เพราะพวกเขานั้นได้ละทิ้งโอกาสที่ดีที่สุดที่จะยุติความอยุติธรรมพวกนี้ไปแล้ว
   
“ก็กูตื่นเต้นอ่ะ เพิ่งเคยมาอะไรแบบนี้ครั้งแรก แถมแม่กูยังไม่รู้ด้วย”
   
เบต้ากระต่ายคนเดิมหัวเราะเพราะครอบครัวของตัวเองนั้นเทิดทูนอัลฟ่ามาก โดยเฉพาะแม่ที่แทบจะกราบรูปเคารพของณภัทรสามเวลา พยายามกรอกใส่หัวเขาตั้งแต่เด็กถึงคุณงามความดีของเหล่าอัลฟ่าที่ทำได้ให้กับประเทศ  แต่มันก็ไม่สำเร็จเพราะเขารู้สึกว่าชีวิตครอบครัวของตัวเองนั้นย่ำแย่เกินกว่าจะต้องมาซาบซึ้งในพระคุณของใคร
   
“เออ เงียบๆ หน่อยแค่นั้นแหละ เอาไว้ถึงที่นู่นก่อน ถึงตอนนั้นจะพูดอะไรก็พูด ไม่มีใครห้ามมึงหรอก”
   
“ก็กูกลัวตายก่อนจะถึงที่นู่นอ่ะ ตอนนี้กูยังพูดได้ กูก็อยากพูดอ่ะ” คนพูดหน้างอก่อนที่จะเหลือบมองเห็นทวิชและยิ้มกว้าง “พี่ก็จะไปร่วมเหมือนกันใช่ไหม”
   
“...”
   
ทวิชกระพริบตาปริบเมื่ออยู่ๆ ถูกดึงเข้าไปร่วมกับบทสนทนา แต่ก็ยอมพยักหน้ารับง่ายๆ เพราะยังไงพวกเขาทั้งคู่ก็ต้องไปทางเดียวกันแถมยังต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่เลยด้วย
   
“แล้วพี่กลัวไหม”
   
“ไม่ครับ”
   
ทวิชตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและรอยยิ้มบาง แสดงออกชัดถึงความมั่นคงในอุดมการณ์ของตัวเองที่ถึงแม้ปลายทางอาจจะเป็นความพ่ายแพ้ที่น่าอดสู แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่สามารถทำให้ทำให้เขายอมแพ้ได้
   
“แต่ผมกลัวอ่ะพี่ ผมยังอยากกลับบ้าน”
   
เบต้าคนเดิมพูดด้วยสีหน้ากังวล ถึงจะรู้ว่าตัวเองต้องเจอกับสถานการณ์แบบไหนแต่เขาก็ยังรู้สึกกังวลอยู่ดี

“แค่รู้ว่าควรจะสู้ตอนไหนก็พอ” ทวิชแนะนำเสียงนุ่มนวล ในหัวหวนนึกถึงตอนที่ตัวเองนั้นต้องเผชิญหน้ากับความรุนแรงที่ส่วนใหญ่แล้วเขาก็ทำเพียงหนีหัวซุกหัวซุน “ถ้าพวกนั้นเริ่มยิงก็หนี แต่ถ้ามีโอกาสโต้กลับหรือทำอะไรสักอย่างที่ทำได้ก็ทำเพราะครั้งนี้น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่เราจะมีได้แล้ว”
   
หากแต่พอทวิชกำลังจะพูดต่อรถที่รออยู่นั้นก็มาถึงซะก่อน บทสนทนาเลยเป็นอันต้องจบลง ทวิชปล่อยให้เด็กๆ ที่มีอยู่ห้าหกคนขึ้นก่อน และด้วยความที่เผลอลดความระมัดระวังตัวลงก็เปิดโอกาสให้ ‘ใคร’ บางคนเข้าประชิดตัว
   
“!!!”
   
ทวิชสะดุ้งสุดตัวเมื่อกำลังจะขึ้นรถกลับถูกกระชากกลับมาสู่พื้นถนน เรี่ยวแรงมหาศาลกำข้อมือทวิชนั้นจนทวิชแทบจะรักษาสีหน้าปกติเอาไว้ไม่ได้
   
“ไปเลย!!! ไม่ต้องรอ!!!”
   
เบต้ากวางในชูดสูทสีดำตะโกนบอกคนขับรถประจำทางด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว แน่นอนว่าคนขับรถนั้นทำตามคำสั่งแทบจะทันทีเมื่อเห็นเข็มกลัดเสือโคร่งที่ปักอยู่บนอกเสื้อสูทเนื้อดีอันเป็นสัญลักษณ์ของตระกูล ‘พยัคฆโภคสกุล’
   
ตระกูลที่นับว่าเป็นหนึ่งในมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศนี้ เป็นตระกูลสำคัญที่คอยขับเคลื่อนประเทศและคอยสนับสนุนรัฐบาลนี้อย่างแข็งขัน หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในตระกูลที่เป็นเสาหลักคอยค้ำยันให้รัฐบาลนี้ดำรงอยู่อย่างมั่นคง แม้ว่าที่มาของรัฐบาลนี้จะเต็มไปด้วยความผิดปกติก็ตาม
   
“…”
   
ทวิชสบตากับเจ้าของรถคันหรูที่จอดข้างๆ เขา ใบหน้าของอาเขาที่นั่งอยู่เบาะหลังนั้นไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัดที่เห็นเขาในที่แบบนี้ แน่นอนว่าทวิชอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ก็พูดไม่ออก เพราะอาเคยบอกกับเขาแล้วว่าไม่ให้เขายุ่งกับกลุ่มปฏิวัติ แต่เขาก็ยังคงดึงดันที่จะเข้าร่วมอยู่ดี
   
“ขึ้นรถ”
   
อาของเขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ซึ่งทวิชก็ยอมขึ้นแต่โดยดี อย่างไรก็ตามทวิชก็ไม่ลืมว่าตัวเองนั้นมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ได้ก็เพราะใคร ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะทำเหมือนอยากเอาเขาไปทิ้งขยะตลอดเวลาก็ตาม
   
แต่ทวิชก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากรงขังที่อาสิงห์ใช้ขังเขาไว้ตลอดหลายสิบปีนั้นก็สะดวกสบายพอตัว ในห้องขนาดไม่ใหญ่มากนั้นมีครบครันแทบจะทุกอย่างที่เขาต้องการ ทั้งครัว ตู้หนังสือ ทีวี วิทยุ และข้าวของเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะใช้แก้เบื่อในห้องได้ นอกจากนี้แล้วบางครั้งอาสิงห์ยังจ้างคนมาสอนหนังสือเขาอีก
   
ทวิชแทบจะไม่กล้าหายใจด้วยซ้ำ เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำตัวยังไง ตลอดระยะเวลาที่รู้จักกันมา เขาไม่รู้ว่าอาสิงห์เกลียดเขาหรือเอ็นดูเขากันแน่ เขาไม่รู้จริงๆ และไม่กล้าพอที่จะถามด้วย
   
ทุกวันนี้ที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็ถือว่าเป็นกำไรแล้วจริงๆ
   
“อาเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้ยุ่งกับพวกกบฏ”
   
ผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่งกว่าที่สิงห์จะปริปากพูดคุยกับทวิช นัยน์ตาสีทองคุกรุ่นด้วยอารมณ์โกรธแต่ถึงอย่างนั้นในแววตากลับไม่มีความประหลาดใจเลยสักนิด ราวกับว่าคาดเดาเอาไว้อยู่แล้วว่าทวิชนั้นจะเข้าร่วมกับกลุ่มกบฏ
   
“…”
   
ทวิชก้มหน้าจนแทบจะชิดกับอก ไม่แก้ตัวเพราะเขาเลือกที่จะทำมันเองและไม่ว่าผลจะออกมาเป็นแบบไหน เขาก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนใจ ต่อให้อาสิงห์ฆ่าเขาในรถ เขาก็ยังเลือกที่จะเข้าร่วมเหมือนเดิม
   
“..เธอนี่เหมือนแม่เธอไม่มีผิดเลยนะ ทวิช”

สุดท้ายสิงห์ก็แค่นเสียงหัวเราะเฝื่อนๆ ออกมาอย่างไม่จริงจังนัก และมองทวิชด้วยสีหน้าระอาใจ

“ดื้อดึงแต่ทำเรื่องอะไรโง่ๆ ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันทำให้ตัวเองลำบาก”

“…”

เพราะความเกรงใจ ทวิชจึงไม่ได้พูดอะไรแต่มือที่ซุกซ่อนอยู่ในเสื้อโค้ทนั้นจิกแขนตัวเองแน่นจนเลือดซึม

แววตาของทวิชนั้นแข็งกร้าว เพราะสิ่งที่เจ้าตัวเกลียดที่สุดอีกอย่างคือการโดนดูถูกพ่อแม่ของตัวเอง แน่นอนว่าถ้าหากมีคนอื่นมาพูดกับเขาแบบนี้เขาคงจะต่อยไปแล้ว แต่เพราะคนตรงหน้าคืออาสิงห์ คนที่ชุบเลี้ยงเขาขึ้นมาและปล่อยให้เขามีชีวิตเป็นของตัวเองจนถึงตอนนี้

“..ทั้งๆ ที่ฉันก็ให้โอกาสแม่เธอไปแล้วนะ ทวิช โอกาสที่จะทำให้แม่เธอไม่ต้องเป็นแค่พยาบาลในโรงพยาบาลห่วยๆ นั่น แต่แม่เธอก็ยังเลือกพ่อเธออยู่ดี”

มือหนาลูบมองแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วตัวเองอย่างอ้อยอิ่ง ทอดมองออกไปนอกหน้าต่างเมื่อหวนนึกถึงอดีตที่ผ่านมานานมากแล้ว แต่ความทรงจำในตอนนั้นก็ยังคงชัดเจนราวกับเกิดขึ้นเมื่อวาน

“รู้ไหม ทวิช เพราะพ่อเธอ แม่เธอถึงต้องใช้ชีวิตลำบากแบบนั้น ความรักแสนหวานหรือความรักจริงใจที่พ่อเธอมีให้แม่เธอมันไม่มากพอที่จะทำให้แม่เธออิ่มท้องด้วยซ้ำ เชื่อฉันสิ ถ้าแม่เธอเลือกฉัน ป่านนี้แม่เธอก็คงยังอยู่แล้วกลายเป็นเจ้าของกิจการโรงพยาบาลชั้นนำทั่วประเทศไปแล้ว”

สิงห์หัวเราะเบาๆ แต่สีหน้านั้นกลับสวนทาง ใบหน้าคมคายเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ

“และเพราะพ่อเธอเป็นกบฏ แม่เธอถึงต้องตายแบบนั้น เธออยากตายแบบนั้นเหรอ ทวิช ฉันจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นแน่ๆ เพราะฉันสัญญากับแม่เธอเอาไว้แล้วว่าจะไม่ปล่อยให้เธอตาย”

“...”

นัยน์ตาของทวิชสั่นระริกเพราะไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกยังไงกันแน่

อาสิงห์ปกป้องเขามาตลอดก็จริงแต่อาก็ไม่ได้รักเขา และมองว่าเขาเป็นแค่สัญญาที่ต้องรักษาเท่านั้น แน่นอนว่าผลพลอยได้คือทำให้เขานั้นมีชีวิตมาจนถึงตอนนี้ และเขาก็รู้ดีว่าสิ่งที่อาสิงห์พูดนั้นเป็นความจริง สภาวะทางการเงินของครอบครัวนั้นล้มเหลวสิ้นดี แต่พ่อของเขาก็พยายามทุกวิถีทางแล้วจริงๆ ที่จะเลี้ยงดูเขา

เขาไม่รู้ว่าอาสิงห์ต้องการให้พ่อของเขาขยันถึงขนาดไหนมันถึงจะเพียงพอ แต่พ่อของเขาไม่เคยขี้เกียจ ไม่เคยปล่อยให้เขานั่งร้องไห้ ทุกครั้งที่พ่ออยู่กับเขา พ่อก็จะเล่นกับเขาและทำเหมือนเขานั้นเป็นเด็กที่พิเศษที่สุดในโลก

สำหรับเขาความสุขแค่นั้นมันก็เพียงพอแล้วจริงๆ

“ส่วนเรื่องเข้าร่วมกับพวกกลุ่มกบฏก็ถอดใจซะ ฉันไม่อนุญาต แล้วหลังจากนี้เธอก็จะโดนกักบริเวณในบ้านเก่าของเธอจนกว่าพวกกลุ่มกบฏจนจะถูกกวาดล้างหมด ฉันถึงจะปล่อยให้เธอออกไปบินเล่นใหม่อีกรอบ”

คนเป็นผู้นำตระกูลผู้ออกมาอย่างไม่ยี่หระ แม้ว่าตัวเองกำลังจะพูดถึงการฆ่าคนที่เห็นต่างอยู่ก็ตาม อย่างไรเสียสิ่งที่จะทำให้เจ้าตัวสนใจมากที่สุดนั้นคือเงินลงทุนและผลกำไรที่ได้รับจากการช่วยเหลือการกวาดล้างครั้งนี้มากกว่า

เพราะทางรัฐบาลนั้นรับปากกับเขามาแล้วว่าจะให้ผลตอบแทนอย่างงามเลยทีเดียว

“...”

ทั้งๆ ที่มีอะไรที่อยากพูดอีกมากมายในใจ แต่ทวิชกลับพูดไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว เพราะสิ่งที่สัมผัสได้จากคนตรงหน้านั้นคือความเลือดเย็นที่ไม่เห็นหัวใครทั้งนั้นนอกจากคนที่ตัวเองสนใจ

ทวิชถอนหายใจและหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน

เขารับมือกับคนประเภทนี้ไม่ไหวจริงๆ

------------
 :z13:

#สิงหกุลโภชนา


   

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
อาสิงห์ กับ พ่อทวิช เป็นอะไรกัน

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เห้ออออ

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 20

   
“ช่วงนี้อย่าไปยุ่งกับพวกกบฏนะ”
   
เสียงทุ้มหนักแน่นของทหารชั้นนายพลท่านหนึ่งพูดกับนทีที่เพิ่งตรวจสุขภาพให้กับตัวเองเสร็จอย่างเป็นกันเอง ใบหน้าส่วนบนซึ่งเป็นม้านั้นหรี่ตามองหมอคนโปรดของตัวเองด้วยความเป็นห่วง เพราะถ้าหากไม่ได้นทีมาช่วยผ่าตัดให้เขาครั้งนั้น เขาก็คงจะไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงวันนี้
   
“ทำไมเหรอครับ”
   
นทีที่กำลังสวมเสื้อคลุมหรูหราสีดำขลิบทองที่เพิ่งได้รับมาจากรัฐบาลเหลือบมองหนึ่งในคนไข้พิเศษที่ต้องดูแลเป็นพิเศษของตัวเองในช่วงนี้ ซึ่งที่ต้องดูแลเป็นพิเศษนั้นไม่ใช่เพราะอาการป่วย แต่เป็นเพราะผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการยอมช่วยเหลือนายพลที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับเหล่าอัลฟ่าพิเศษที่คอยกำกับรัฐบาลอยู่เบื้องหลัง
   
เอาเข้าจริงแล้วในสายตาของนทีนั้นประเทศนี้ควรจะเลิกเหนียมอายและเปลี่ยนเป็นชื่อระบอบการปกครองเป็นรัฐศาสนาอย่างจริงจังได้แล้ว เพราะอย่างไรก็ตามถ้าหากไม่โง่เขลาจนเกินไป คนส่วนใหญ่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าประเทศนี้นั้นต้องการความเห็นชอบจากอัลฟ่าพิเศษแทบทุกเรื่องและเรื่องเหล่านั้นก็เกี่ยวพันกับชีวิตของประชาชนทั้งหมดในประเทศ
   
ดังนั้นทุกปัญหาความยากจน ความอดอยากและความทุกข์ตรมของชนชั้นล่าง กลุ่มชนชั้นเหล่านี้ก็ควรจะรับผิดชอบมันด้วย ไม่ใช่เอาแต่ช่วงชิงทรัพยากรและเงินจำนวนมหาศาลไปปรนเปรอชนชั้นของตัวเอง
   
คนพวกนี้เห็นแก่ตัวเกินไป และจากการที่โดนดึงตัวเข้าไปช่วยดูแลในช่วงนี้ก็ทำให้นทีนั้นตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าสมมุติเทพหรือกลุ่มคนที่ได้รับมอบหมายภารกิจจากพระเจ้าที่กลุ่มคนเหล่านี้อ้างว่าตัวเองเป็นนั้นดูจะเป็นละครโง่ๆ ที่แสดงให้เบต้าดูฉากหนึ่งด้วยซ้ำ เพราะในความเป็นจริงแล้วคนพวกนี้นั้นก็เป็นเพียงแค่มนุษย์จิตใจอัปลักษณ์ที่เสวยสุขอยู่บนซากศพและคราบน้ำตาของผู้คนมากมายที่อยู่เบื้องล่าง หนำซ้ำยังเหยียบย่ำพวกเขาเอาไว้แต่ฝ่าเท้าพร้อมกับเหยียดหยามลับหลังทุกครั้งที่สามารถทำได้
   
แน่นอนด้วยจรรยาบรรณและหน้าที่ นทีนั้นจึงยังต้องยอมรักษาเหล่ากลุ่มคนน่ารังเกียจเหล่านี้ แม้ว่าเบื้องลึกของจิตใจจะปฏิเสธมันอย่างถึงที่สุดก็ตาม
   
“พวกท่านเขาจะลงมือกันแล้ว”
   
นายพลวัยกลางคนพูดด้วยสีหน้าชื่นชม อย่างไรก็ตามสำหรับเขาแล้วการได้รับใช้กลุ่มคนเหล่านี้นั้นถือว่าเป็นโชคดีของเขาที่สุดอย่างหาไม่ได้จริงๆ เพราะการได้รับใช้เหล่าอัลฟ่าพิเศษเหล่านี้นั้นคือการชำระล้างบาปที่มีมาแต่กำเนิดของพวกเขาที่เป็นเบต้าให้เบาบางลง
   
“ลงมือ?”
   
นทีย้อนถามด้วยสีหน้างุนงง เนื่องจากค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองนั้นก็เป็นวงในพอตัว แต่กลับไม่ทราบถึงข่าวการลงมืออะไรทั้งนั้น ที่เขารู้มากที่สุดคือในวันนี้ช่วงบ่ายจะมีประชุมคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับมาตราการในการจัดการความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศ ซึ่งผลจะออกมาเป็นแบบไหนเขาไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คงจะไม่มีวันเป็นผลดีต่อเหล่ากลุ่มปฏิวัติของเขาแน่
   
นัยน์ตาของนทีหม่นลงอย่างเจ็บปวด การเห็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์มากมายที่ต้องบาดเจ็บและสูญเสียนั้นเป็นเรื่องที่ทำใจยอมรับได้ยาก แม้แต่หมอกที่เป็นผู้ช่วยคนสนิทของเขาก็ถูกนำตัวไปขังเพียงเพราะทางการหวาดกลัวว่าเขาจะถูกอีกฝ่ายหลอกใช้และทำร้ายเอาได้
   
น่าเสียดายที่ทางการนั้นประเมินศัตรูของตัวเองไว้ต่ำเกินไป คิดว่าอีกฝ่ายนั้นเหมือนกับตนที่ขอเพียงมีค่าตอบแทนที่สูงมากพอก็จะสามารถซื้อใจและความจงรักภักดีไปได้ แต่อย่างไรก็ตามมันก็ใช้ไม่ได้ผลกับทุกคน
   
แน่นอนว่าด้วยฝีมือทางการแพทย์ของนทีนั้นทำให้เจ้าตัวได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ มากมายจากรัฐ และได้รับความไว้วางใจค่อนข้างมากจากการทำงานอย่างนอบน้อมและอยู่ในร่องในรอย ไม่ค่อยมีปากเสียงอะไรกับนโยบายแปลกๆ ของรัฐ ดังนั้นนทีในตอนนี้นั้นจึงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีที่สุดเท่าที่เบต้าคนหนึ่งจะมีได้ โดยเป็นรองจากอัลฟ่าเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้นเอง
   
ฉะนั้นถ้าหากการปฏิวัติครั้งนี้นทีเลือกที่จะเพิกเฉยเพื่อชีวิตที่ดีและรุ่งโรจน์ของตัวเองก็เป็นอะไรที่สามารถเข้าใจได้ เพราะการลงไปเข้าร่วมกับกลุ่มปฏิวัตินั้นเต็มไปด้วยความเสี่ยง ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าการปฏิวัติครั้งนี้จะสำเร็จไหมแต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับนทีแน่นอนคือความล่มสลายทางอาชีพและชีวิตต่อจากนี้ที่ไม่มีทางที่จะกลับมาเป็นแบบนี้ได้อีก
   
“ก็ลงมือชำระบาปให้กับประเทศเราไง คุณหมอ กบฏพวกนั้นสมควรตายสักที แค่นี้ประเทศของเราก็ปัญหาเยอะพอแล้ว”
เมื่อพูดถึงกลุ่มกบฏสีหน้าของนายพลก็รังเกียจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

“เชื่อผมเถอะว่าต้องมีคนอยู่เบื้องหลังไอ้คนพวกนี้แน่ๆ พวกมันคิดเองไม่ได้หรอก ถ้าผมให้เดาก็คงจะเป็นพวกโอเมก้าที่หลบอยู่ประเทศอื่นที่อยากกลับมาประเทศเรา ให้ตายเถอะ แค่พูดถึงพวกมันผมก็ทนแทบไม่ไหวแล้ว ทำไมไอ้พวกคนชั่วคนเลวพวกนี้ไม่ตายกันให้หมดสักที”

“..ครับ ผมก็อยากให้พวกคนชั่วพวกนี้ตายให้หมดเหมือนกัน ประเทศเราจะได้กลับมาสวยงามเหมือนแต่ก่อน”

นทีตอบด้วยรอยยิ้มบาง และแน่นอนว่าตอบด้วยคำตอบที่กลุ่มคนเหล่านี้ต้องการ เพราะเขารู้ดีว่าถ้าตอบด้วยคำตอบแบบอื่น เขาคงจะไม่สามารถซุกซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางพวกมันมาได้นานขนาดนี้

“เนอะ คุณหมอ ถ้าไม่มีพวกกบฏพวกนี้ออกมาก่อความวุ่นวายบ่อยๆ ผมว่าประเทศเราเจริญไปตั้งนานแล้ว”

พอเห็นว่าความคิดของตัวเองนั้นได้รับการสนับสนุน ท่านนายพลก็ยิ้มอย่างพอใจเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นอะไรที่อยู่ในใจมาตลอด ทุกวันนี้เขาตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอคำอนุญาตให้กวาดล้างกลุ่มกบฏอย่างเต็มรูปแบบทุกวัน ที่ผ่านมานั้นก็เป็นแค่การสลายการชุมนุมทั่วไปและมักจะมีกบฏที่เล็ดรอดออกไปอย่างน่าโมโห

ฉะนั้นคำสั่งการที่อนุญาตให้ ‘ลงมือ’ อย่างเบ็ดเสร็จครั้งนี้จึงทำให้เขาพึงพอใจเป็นอย่างมาก

“เออ จริงสิ เห็นว่าคุณหมออยากจะไปรัฐสภา จะติดรถผมไปไหมครับ พอดีวันนี้ผมต้องไปจัดการธุระด้วย”

แน่นอนว่าถึงแม้จะไว้ใจคุณหมอคนโปรดตัวเองขนาดไหน แต่คำสั่งนี้ก็ถือว่าเป็นความลับสุดยอดเพราะเป็นยุทธการใหม่ของทางกองทัพที่ใช้จัดการกับกลุ่มกบฏ แถมยังเป็นยุทธวิธีไม่เคยใช้ที่ไหนมาก่อนด้วย จึงนับได้ว่านี้น่าจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในการใช้เพราะทางการมั่นใจเป็นอย่างมากว่ามันจะสามารถทำให้พวกกลุ่มกบฏยอมเผยตัวออกมาและยอมแพ้แต่โดยดี

“ไปครับ พอดีผมอยากจะพูดคุยกับท่านรัฐมนตรีนิดหน่อยเกี่ยวกับการรักษาที่ท่านรับอยู่”

นทีโกหกหน้าตายเพราะในความเป็นจริงแล้ว เขาตั้งใจจะไปสอดส่องการชุมนุมในวันนี้ของกลุ่มปฏิวัติซึ่งเขาก็อาจจะช่วยอะไรได้ไม่มากแต่ก็ยังอยากไปเห็นการโต้กลับจากประชาชนด้วยตาของตัวเองอยู่ดี

“งั้นก็ไปด้วยกันเลยนะครับ เดี๋ยวคุณหมอขึ้นรถคันเดียวกับผมเลยก็ได้ จะให้ผมจอดที่ไหนก็บอกได้เลยนะครับ” คนเป็นนายพลยิ้มบาง รู้สึกดีไม่น้อยที่จะได้ตอบแทนคุณหมอของตัวเองบ้าง

“ครับ ขอบคุณมากนะครับ”

นทียิ้มตอบก่อนที่จะเดินตามหลังท่านนายพลไปขึ้นรถยนต์คันหรูที่จอดรอหน้าบ้าน ชั่วขณะหนึ่งที่ไม่มีใครสังเกตเห็นแววตาของนทีเดือดดาลขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

เพราะราคาของรถยนต์ที่นายพลท่านนี้ครอบครองนั้นมากกว่าเงินเดือนของพวกเบต้าที่ทำงานหนักตลอดชีวิตนับร้อยคนด้วยซ้ำ และสิ่งที่ทำให้เขาโมโหคือที่มาของเงินของนายพลพวกนี้ไม่มีความโปร่งใสและสุจริตสักนิด การทำงานในโรงพยาบาลทำให้เขามักจะเจอพวกเบต้าที่ไม่มีเงินแม้แต่จะมาโรงพยาบาลด้วยซ้ำเป็นประจำ

ความเหลื่อมล้ำในประเทศบ้าๆ นี้มันโหดร้ายเกินไปหรือเปล่า?

คนกลุ่มหนึ่งมีเงินมากล้นจนแทบไม่รู้จะนำไปทำอะไร แต่คนอีกกลุ่มกลับยากจนจนแม้แต่ข้าวมื้อหนึ่งยังไม่สามารถซื้อได้ ยิ่งช่วงฤดูหนาวที่เหล่าคนรวยต่างดีอกดีใจที่จะได้สวมเสื้อกันหนาวแต่มันกลับเป็นฝันร้ายของคนจน เพราะมีคนมากมายนั้นต้องหนาวตายจากการที่ไม่สามารถซื้อผ้าห่มมาปกป้องตัวเองจากอากาศอันโหดร้ายได้

สิ่งที่น่าโมโหไปกว่านั้นคือกลุ่มคนชนชั้นนำเหล่านี้ชอบมาแจกเงินและผ้าห่มเพื่อสำเร็จความใคร่ทางศีลธรรมของตัวเอง ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วตัวเองนั้นเป็นต้นเหตุของความยากจน ต้นเหตุที่ช่วงชิงทุกสิ่งทุกอย่างไปจากพวกเขาและมักจะมาทวงบุญคุณอย่างหน้าไม่อาย

“เดี๋ยวคุณหมอนั่งตามสบายเลยนะครับ ถ้าจะให้จอดตรงไหนก็บอกคนขับรถได้เลย ไม่ต้องเกรงใจผม”

เสียงของนายพลเรียกสติของนทีกลับคืนมาทันควัน นทียิ้มบางเชิงขอบคุณให้กับอีกฝ่ายอีกครั้งก่อนที่จะนั่งเบาะหน้าข้างคนขับด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจ ทั้งๆ ที่ในใจยังคงสุมความโกรธเคืองเอาไว้อย่างเต็มอก และแสร้งนั่งเหม่อตลอดทางเพื่อที่จะได้ไม่ต้องพูดคุยกันอีก

ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงนทีก็พาตัวเองมาถึงรัฐสภาอันศักดิ์สิทธิ์ของประเทศ นัยน์ตาของนทีเบิกกว้างเมื่อเห็นผู้คนจำนวนมากมาชุมนุมกันอย่างสงบหน้ารัฐสภา ผ้าใบสีขาวที่ถูกวาดเป็นนกสยายปีกเหนือรัฐสภานั้นราวกับประกาศก้องว่าเสรีภาพของพวกเขานั้นสำคัญเหนือกว่ารัฐธรรมนูญจอมปลอมที่ร่างจากเหล่าชนชั้นนำเห็นแก่ตัว

โดยในกลุ่มผู้ชุมนุมนั้นประกอบด้วยหลากหลายเพศ วัย อายุและชนชั้น ทั้งในร่างต้นและร่างมนุษย์ผสมกันเต็มไปหมดอย่างดาษดื่น มีแม้กระทั่งพวกนกที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ออกมาแสดงตัวเช่นกัน ทำให้ทั่วทั้งพื้นที่นั้นเต็มไปด้วยแตกต่างแต่กลมกลืนกันอย่างที่ประเทศที่เสรีภาพนั้นเบิกบานแล้วควรจะเป็น

นอกจากนี้แล้วยังมีผ้าใบอีกหลายผืนที่วาดรูปศาลที่ถูกเผาซึ่งเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่าพวกเขานั้นไม่ยอมรับว่ากฎหมายนั้นคือความยุติธรรม เพราะกฎหมายที่ถูกร่างในประเทศนี้นั้นล้วนแล้วแต่เอื้อชนชั้นนายทุนและเหล่าชนชั้นนำทั้งนั้น เหล่าคนเล็กคนน้อยในสายตานักกฎหมายนั้นก็ถูกบีบให้เป็นเพียงชนชั้นกรรมมาชีพที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับการกดค่าแรงและการทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยที่ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากความยากจนได้ และส่งต่อมันให้กับรุ่นลูกรุ่นหลานต่อไปเรื่อยๆ ราวกับว่ามันเป็นคำสาปแห่งความยากจนที่เหล่าชนชั้นนำสาปกลุ่มคนเบื้องล่างเอาไว้

แน่นอนว่าฝันร้ายพวกนี้ควรจะจบลงเสียที และหากการเรียกร้องในวันนี้สำเร็จเหล่าชนชั้นล่างที่แบกรับความเจ็บมหาศาลที่ยากจะจินตนาการถึงก็จะเจ็บปวดน้อยลงกับความยากจนที่ต้องประสบอยู่ทุกวัน

พวกเขาเจ็บปวดมามากพอแล้วและไม่สมควรที่จะมีใครไปหยามเหยียดพวกเขาอีก

“เดี๋ยวผมลงตรงนี้ก็ได้ครับ”

เมื่อเข้าใกล้ประตูทางเข้าที่มีเจ้าหน้าที่อาวุธครบมือยืนตรวจสอบคนเข้าออก นทีก็บอกกับท่านนายพลที่นั่งขมวดคิ้วอยู่เบาะหลังด้วยสีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพราะความภาคภูมิใจในฐานะอันสูงส่งของเขากำลังถูกทำให้สั่นคลอน
   
“ครับ ขอบคุณคุณหมออีกครั้งนะครับ”
   
ท่านนายพลพยายามฝืนยิ้มบางให้คุณหมอ ลืมแม้กระทั่งที่จะสงสัยว่าทำไมคุณหมอถึงไม่ยอมเข้าไปในรัฐสภาด้วย ในหัวเต็มไปด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่านที่ต้องเฝ้ารอเวลาที่ดีที่สุด แน่นอนว่าถ้าไม่ใช่คำสั่งนั้นถูกเน้นย้ำมานักหนา เขาคงไม่ลังเลที่จะลงไปจัดการเหล่าปีศาจร้ายของประเทศเหล่านี้ด้วยมือตัวเองแล้ว
   
แต่พอนทีจะลงรถจริงๆ ชั่วขณะหนึ่งก็นึกขึ้นมาได้และย้ำเตือนคุณหมอคนโปรดของตัวเองอีกครั้ง
   
“แล้วอย่างที่ผมเตือนนะ คุณหมอ”
   
แววตาของคนเป็นนายพลโหดเหี้ยมขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
   
“วันนี้อย่าเข้าไปยุ่งกับพวกกบฏเด็ดขาด”
   
“ครับ ขอบคุณท่านที่เป็นห่วงนะครับ”
   
นทีก็ยังคงยิ้มน้อยๆ ให้อย่างนอบน้อม ก่อนที่จะพาตัวเองลงจากรถและรอจนรถหรูขับเข้าไปจนลับสายตาแล้ว ถึงเดินย้อนเข้าไปในมุมอับแถวบริเวณนั้นและตัดสินใจถอดเสื้อคลุมอภิสิทธิ์ชนของตัวเองออก
   
แน่นอนว่านทีรู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นทั้งเสี่ยงและโง่เง่าเต็มทน แต่เขาก็ทนใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายท่ามกลางความทุกข์ยากของชนชั้นล่างและชนชั้นกลางต่อไปไม่ได้จริงๆ
   
วันนี้อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เขาหวาดกลัวและหลบอยู่หลังความเป็นอภิสิทธิชนของตัวเองมานานเกินพอแล้ว ถึงเวลาที่เขาจะออกมาต่อสู้ร่วมกับกายและพอสอย่างเต็มรูปแบบสักที
   
“...”
   
นทีก้มมองเสื้อคลุมในมือตัวเองที่แม้แต่อัลฟ่าเห็นยังยอมพูดคุยกับเขาด้วยท่าทีนอบน้อม เพราะมันเป็นผ้าคลุมที่ได้มาจากเหล่าอัลฟ่าพิเศษโดยตรงและมันก็ถูกสั่งตัดมาจากผ้าสีดำเนื้อดีแถมดิ้นสีทองที่อยู่บนเสื้อคลุมนั้นก็ดันเป็นทองแท้ๆ อีก ซึ่งเจ้าตัวก็พิจารณาต่อสักพักก่อนที่จะยัดลงถังขยะอย่างไร้เยื่อใย
   
และเพื่อเป็นการพรางตัว นทีจึงคืนร่างกายบางส่วนให้เป็นกระต่ายก่อนถึงค่อยเดินแทรกเข้าไปในฝูงชนที่ชุมนุมกันอยู่ ผู้คนจำนวนมากทำให้ความกลัวของนทีนั้นลดลงอย่างน่าประหลาด มีหลายคนที่ส่งยิ้มให้นทีอย่างเป็นมิตรพร้อมกับชักชวนให้ไปยืนใกล้ๆ กับเวทีปราศรัยที่กำลังจะคนขึ้นไปพูดต่อ
   
แน่นอนว่านทีไม่ปฏิเสธและนำพาตัวเองมายืนใกล้กับเวทีด้วย จดจ้องอุดมการณ์อันแรงกล้าของเหล่าเสรีชนที่ล่องลอยอยู่รอบตัว นึกชื่นชมทุกคนที่กล้าเข้ามาร่วมในวันนี้เพราะทุกคนนั้นก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันอันตรายมากแค่ไหน แม้แต่เขาเองก็ยังกลัวความรุนแรงเหล่านี้มาโดยตลอด
   
ความรุนแรงที่กระทำโดยรัฐและไม่มีใครสามารถเอาผิดได้
   
[ สวัสดีเหล่าเสรีชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดในแผ่นดินนี้ทุกท่าน ]

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
   
น้ำเสียงทุ้มหนักแน่นดังขึ้นเมื่อหนึ่งในแกนนำคนสำคัญในการปฏิวัติครั้งนี้ขึ้นไปกล่าวปราศรัย เสียงพูดคุยจอแจจึงค่อยเงียบเสียงลงและสดับฟังการกล่าวปราศรัยครั้งที่น่าจะสำคัญที่สุดของกลุ่มปฏิวัติ
   
นทีเงยหน้าขึ้นมองแกนนำคนนั้นด้วยความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ก่อนที่จะเบิกตากว้างเมื่อแกนนำคนนั้นถอดหน้ากากสีดำออกก่อนที่จะกลับคืนสู่ร่างต้นส่วนบนเป็นจระเข้ แต่สิ่งที่น่าตกตะลึงไปมากกว่านั้นคือปีกสีน้ำตาลคู่ใหญ่ที่ออกมาจากแผ่นหลัง
   
ไม่เพียงแค่นทีที่สั่นสะท้านหลายคนในมวลชั้นนั้นตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกเพราะคนๆ นี้นั้นคือหนึ่งในกบฏที่ตายในวีรกรรมปราบกบฏครั้งนั้น ก่อนที่รัฐบาลจะนำพวกคนตายเหล่านี้มาป่าวประกาศตลอดว่าเป็นปีศาจร้ายตัวสำคัญที่ทำลายประเทศแทบจะตลอดหลายสิบปีมานี้ จนฝังหัวประชาชนทั่วไปว่าถ้าพวกเขาคิดนอกเหนือจากที่รัฐบาลให้คิด พวกเขาก็คงจะมีจุดจบไม่ต่างจากกบฏเหล่านี้
   
[ ผมชื่อติณห์หรืออดีตทหารรักษาความปลอดภัยประจำตัวท่านเดชะผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว วันนี้ผมมานามของประชาชนและภราดรแห่งกลุ่มวันพรุ่งนี้ ผมเชื่อว่าหลายคนคิดว่าผมนั้นตายไปแล้ว แต่ความจริงนั้นผมยังไม่ตายและวันนี้ผมจะเปิดเผยความจริงทั้งหมดให้ทุกท่านได้ทราบครับ ]
   
ติณห์หรือผู้ถูกบังคับให้สูญหายยิ้มบางเมื่อเกิดเสียงฮือฮาไปทั่วบริเวณ เพราะในความเป็นจริงนั้นเขาควรจะตายไปพร้อมกับการวางเพลิงครั้งนั้นแล้ว แต่น่าเสียดายที่เหล่าลูกน้องของณภัทรก็เหมือนจะลืมไปว่าในบรรดาของผู้รับใช้พี่ชายของณภัทรนั้น มีเขาคนหนึ่งที่มีเชื้อสายนกอินทรีย์อยู่ การหลบหนีจึงไม่ใช่เรื่องที่ยากสำหรับเขานัก แต่ไม่ใช่สำหรับคนอื่นๆ ที่ไร้ปีก
   
เขาจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอดจากการกวาดล้างครั้งนั้น
   
และเป็นคนเดียวที่รู้ ‘ความลับ’ ของณภัทรด้วย
   
[ แต่ที่ผมมาวันนี้ ผมไม่ได้มาเพื่อเปิดโปงรัฐบาลชั่วร้ายนี่อย่างเดียว วันนี้ผมมาเพื่อสร้างประวัติศาสตร์ร่วมกับพวกท่าน เหล่าสรีชนที่จะก้ามข้ามวาทกรรมการแบ่งแยกชนชั้นลวงโลกของพวกเขาและจะนำพาประเทศไปสู่ความเท่าเทียม ความเท่าเทียมที่จะทำให้ทุกคนในประเทศเราเท่ากัน ไม่มีใครมีคุณค่ามากกว่าใคร ไม่มีใครด้อยค่ามากกว่าใคร ทุกคนเป็นมนุษย์เท่า กันและมีสิทธิ์ที่จะมีครอบครองทรัพยากรของประเทศนี้เหมือนกัน ]
   
ติณห์ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นใจแต่ในขณะเดียวกันก็สอดส่องรอบๆ ตลอดเวลาอย่างระมัดระวัง และอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมวันนี้ถึงไม่มีทหารตำรวจมาคุมเชิงอย่างทุกที ทั้งๆ ที่ปกติใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีพวกมันก็จะตรงปรี่เข้ามาสลายการชุมนุมของพวกเขาแล้ว
   
อย่างไรก็ตามเวลานี้ก็เป็นโอกาสอันดีในการพูดความจริง ติณห์จึงไม่ลังเลที่จะคว้ามันและพยายามอย่างสุดความสามารถในการเชิญชวนเหล่าเสรีชนคนอื่นที่ยังคงหลับใหลและยอมจำนนต่อความอยุติธรรมพวกนี้ให้ออกมาเข้าร่วมกับพวกเขา
   
[ ศัตรูที่แท้จริงของเรานั้นคือระบบการปกครอง รัฐธรรมนูญที่ถูกเขียนขึ้นมาอย่างผิดปกติ และกลุ่มคนเห็นแก่ตัวที่แอบอ้างในความเป็นเจ้าของประเทศอย่างหน้าไม่อาย สามสิ่งนี้คือสามสิ่งที่เราต้องเปลี่ยนเพราะเราไม่อาจจะปล่อยให้ประชาชนของประเทศนี้ต้องมาเจ็บปวดจากความผิดปกติพวกนี้อีก ]
   
ติณห์ขึ้นไปเหยียบบนกล่องไม้ที่เพิ่งถูกนำวางเพื่อให้ผู้คนเห็นตนเองชัดขึ้น ปีกคู่ใหญ่สยายออกกว้างอันเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพของกลุ่มปฏิวัติ ประกาศก้องถึงการมีตัวตนของพวกเขาบนประเทศที่ปกครองด้วยระบบอัปลักษณ์นี้
   
[ ในด้านการปกครองรัฐบาลนี้นั้นมีที่มาอย่างผิดปกติ พวกเขาใช้อำนาจอย่างน่ารังเกียจและจงใจใช้สื่อในการสร้างศัตรูอย่างโอเมก้าขึ้นมาเพื่อกลบเกลื่อนปัญหาของตัวเอง พวกเขาเพิกเฉยต่อการสังหารหมู่ที่ตัวเองได้กระทำกับประชาชนและบอกให้ประชาชนลืมเรื่องราวเหล่านี้เพราะอนาคตของเรานั้นสำคัญกว่า ตลกร้าย ตลกร้ายเหลือเกิน รัฐบาลผู้ทรงศีลของเรากำลังบอกให้พวกเราลืมว่าพวกเขาลงมือฆ่าประชาชนด้วยตัวเอง พวกเขาเข่นฆ่าพวกพ้องของเราอย่างเลือดเย็น แต่กลับบอกว่าเรากำลังรื้อฟืนอดีต เสรีชนเอ๋ย พวกท่านยังสามารถนิ่งเฉยกับสิ่งนี้ได้หรือ เหยื่อของความเกลียดชังเหล่านั้นไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะมีชีวิตด้วยซ้ำ พวกท่านจะทอดทิ้งเขาหรือ จะปล่อยให้พวกเขาสูญหายไปเฉยๆ เหมือนที่ข้าพเจ้าเคยสูญหายหรือ ]
   
แววตาของติณห์นั้นสั่นสะริกอย่างเจ็บปวดยามที่พูดในประโยคหลัง การใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ มาตลอดหลายสิบปีนี้สร้างความเจ็บปวดให้กับเขาเป็นอย่างมาก เพราะเหล่าผู้คนชั่วร้ายเหล่านี้ที่ฆ่าพวกพ้องเขานั้นต่างมีชีวิตที่ดีทั้งสิ้น ไม่มีใครที่ไม่ได้ดิบได้ดีจากการเข่นฆ่าคนอื่น พวกเขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขราวกับว่าไม่เคยทำเรื่องชั่วช้ามาก่อน
   
และแน่นอนว่าไม่มีใครยอมรับผิดเกี่ยวกับความตายของประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่สูญเสียไปกับครั้งนั้นด้วย
   
พรรคพวกของเขาต้องตายอย่างอยุติธรรม จิตวิญญาณของเขาแทบจะถูกทำลาย แต่ความโกรธแค้นที่ไหลเวียนในกายนั้นก็กระตุ้นให้เขาออกมาก่อการปฏิวัติอีกครั้ง
   
เขาจะไม่มีวันยอมให้พรรคพวกของเขาและผู้คนต้องตายอย่างสูญเปล่า อุดมการณ์อันบริสุทธ์เหล่านั้นต้องได้รับการสืบสานต่อแม้ว่ามันอาจจะต้องทำให้เขาต้องเสี่ยงตายอีกครั้งก็ตาม
   
ชั่วขณะก่อนที่ติณห์จะกล่าวปราศรัยต่อ อยู่ๆ ฝนที่ไม่มีท่าทีก็จะตกก็ตกลงมาปรอยๆ ลงมา
   
“...”
   
หัวใจในอกของติณห์นั้นเจ็บแปลบ
   
เหตุการณ์การสังหารหมู่ครั้งนั้นฝนก็ตกลงมาเหมือนกัน ตกลงมาราวกับว่ามีน้ำตาจากฟากฟ้าที่ร่ำไห้ให้กับความสูญเสียที่กำลังจะเกิดขึ้น หยาดน้ำฝนเหล่านั้นพร่างพรมร่างของพวกเขาอย่างนุ่มนวล ความเย็นชื้นคล้ายกับกระซิบปลอบพวกเขาไม่ให้หวาดกลัวต่อความเลวร้ายที่จะเกิดขึ้น และจงกล้าหาญในการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์อันบริสุทธิ์ของพวกเขา
   
ความเจ็บปวดในใจของชายผู้เป็นเดนตายจากการปฏิวัติจึงทุเลาลง ก่อนที่จะปราศรัยต่อใส่ไมค์อีกครั้งโดยไม่สะทกสะท้านต่อฝนหรือสิ่งใดอีก
   
แม้นว่าฝนต่อไปของเขาอาจจะเป็นลูกตะกั่วก็ตามที
   
[ เรื่องต่อไปคือเราต้องยุติการใช้รัฐธรรมนูญอันผิดปกติ ซึ่งหนทางหนึ่งเดียวที่เราจะเท่าเทียมกันอย่างเสมอภาคได้นั้นคือการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ ฉะนั้นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นต้องถูกเขียนขึ้นมาจากประชาชนโดยไร้ซึ่งการชี้นำจากใครเป็นพิเศษ และผู้บังคับใช้กฎหมายนั้นต้องมีความเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ ดังนั้นไม่ว่าท่านจะเป็นทหารยศใหญ่โตแค่ไหนหรือเป็นขอทานที่ยากจนเพียงใด เมื่ออยู่ต่อหน้ารัฐธรรมนูญชุดนี้แล้วท่านก็เป็นเพียงประชาชนคนหนึ่งของประเทศ หากท่านทำผิดต้องก็ต้องได้รับผิดตามข้อกฎหมายทัดเทียมกับผู้อื่น ไม่มีการผ่อนปรนใดๆ ไม่ว่าท่านจะเป็นใครก็ตาม ]
   
ติณห์พูดน้ำเสียงโกรธขึ้งเพราะเขาในวัยเด็กนั้นมักจะโดนรังแกอยู่บ่อยๆ จากการบังคับกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม
   
สิ่งที่เป็นปัญหาของประเทศนี้มาตลอดนั้นคือการเลือกปฏิบัติของเหล่าเจ้าหน้าที่รัฐต่ออภิสิทธิ์ชนอย่างเห็นได้ชัด โดยใช้กฎหมายที่ควรจะเป็นบรรทัดฐานในการรักษาความสงบเรียบร้อยให้กับประเทศมาใช้ในการรังแกผู้คนที่อยู่เบื้องล่าง บ่อยครั้งที่จับแพะมารับผิดแทนเหล่าอภิสิทธิ์ชนที่ไม่ต้องการรับผิด และแพะเหล่านั้นก็ต้องยอมรับผิดแทนอย่างจนตรอกเพราะไม่ว่าพวกเขาจะไปสู้ในชั้นศาลด้วยหลักฐานที่ชัดเจนเพียงใด หากผู้พิพากษารับใช้ความอยุติธรรมเหล่านี้ พวกเขาก็ไม่มีวันที่จะได้รับความยุติธรรม ฉะนั้นการยอมรับผิดเพื่อลดโทษดูจะเป็นหนทางเดียวที่พวกเขาจะทำได้ แม้ว่าจะไม่อยากทำก็ตาม
   
ช่วยไม่ได้ที่เสียงร้องไห้และความเจ็บปวดของพวกเขานั้นมีค่าน้อยกว่าเงินทองของเหล่าอภิสิทธิ์ชนที่จ่ายให้กับเจ้าหน้าที่รัฐเหล่านั้นอย่างไร้ยางอาย
   
แววตาของติณห์อ่อนลงเมื่อเห็นว่ามีหลายคนที่ฟังปราศรัยของเขาแล้วร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร
   
ความเจ็บปวดของคนธรรมดานั้นมากเหลือเกิน มากเกินกว่าที่เหล่าชนชั้นนำจะชดใช้มันได้ด้วยซ้ำ แต่พวกมันกลับไม่คิดที่จะสนใจในสิ่งที่ตัวเองกระทำต่อผู้อื่นสักนิด
   
ความทุกข์ทรมานจากความไม่เป็นธรรมเหล่านี้ควรจะยุติสักที
   
[ และในเรื่องสุดท้าย ..ศัตรูที่แท้จริงของเรา ]
   
เสียงคำรามด้วยความกราดเกรี้ยวดังอื้ออึงไปทั่วบริเวณ พวกเขาเหล่าเสรีชนที่มาร่วมการชุมนุมในวันนี้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นหนึ่งในผู้ที่โดนเหล่าชนชั้นนำกดขี่กันทั้งนั้น ซึ่งติณห์ก็ปล่อยให้ผู้คนแสดงพลังอยู่สักพักก่อนจะกล่าวปราศรัยต่อ
   
และแน่นอนว่าเมื่อพูดถึงศัตรูที่ตัวเองโกรธแค้นแต่กลับรู้จักดีที่สุด ติณห์จึงอดไม่ได้ที่พูดจาเหน็บแหนมด้วยภาษาที่เป็นกันเองมากยิ่งขึ้น
   
[ ผมเชื่อว่าหลายท่านคงเคยได้ยินคำว่ากล่าวที่ว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ แต่ตลกร้ายเหลือเกินที่ในประเทศนี้นั้นเหล่าวีรบุรุษจงใจสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองนั้นเป็นวีรบุรุษ ให้ตายเถอะ ไอ้พวกชนชั้นนำจอมปลอมเหล่านี้ก็เหลือเกิน อยากเป็นคนดีกันจนตัวสั่น ทั้งๆ ที่มือของพวกมันยังไม่วางกระบอกปืนเลยด้วยซ้ำ ไหนจะเรื่องที่พวกมันพยายามจะล้างสมองพวกท่านอีก ]
   
ติณห์ถอนหายใจกับตัวเองเบาๆ เพราะเขารู้ดีว่ามีผู้คนที่ยังไม่ตาสว่างอีกมายที่ยังคงให้การสนับสนันชนชั้นนำน่ารังเกียจนั้นอยู่ และแน่นอนว่ากลุ่มคนเหล่านี้นั้นนับเป็นปัญหามากกว่ากลุ่มชนชั้นนำอีก
   
กลุ่มคนที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองนั้นกำลังถูกกดขี่และมีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้
   
พวกเขาพอใจกับชีวิตยากลำบากของตัวเอง สรรเสริญชนชั้นนำที่โปรยความมั่งคั่งมาให้พวกเขาในบางครั้งอย่างไม่ลืมหูลืมตา ราวกับว่าเป็นบุญคุณนักหนา ทั้งๆ ที่พวกเขานั้นสามารถมีชีวิตที่ดีกว่านี้ด้วยตัวเอง
   
ติณห์นั้นก้มมองไปยังผู้คนและในครั้งนี้ก็เห็นเบต้าหมาจิ้งจอกคนหนึ่งมีท่าทีต่อต้านกลุ่มปฏิวัติอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าของเขานั้นดูรังเกียจผู้คนรอบกายหนักหนา แต่ก็ยังอดทนฟังเขาราวกับรอเวลาบางอย่าง
   
คนเดนตายจากการปฏิวัติยิ้มบางเมื่อเห็นแหวนวงเล็กสีดำทองของกลุ่มอาสาสมัครเพื่อชาติบนข้อนิ้วเบต้าคนนั้น
   
การเป็นคนดีในประเทศนี้นั้นสำคัญมากสินะ?
   
ติณห์คิดติดตลกกับตัวเองและปราศรัยต่อโดยสบตากับเบต้าคนนั้น สบกับนัยน์ตาของผู้คนที่ยังหลงทางและจมปลักหลงใหลอยู่กับภาพอดีตที่เหล่าชนชั้นนำสร้างความทรงจำขึ้นมาหลอกให้เชื่อ
   
[ ก่อนที่ผมจะพูดต่อ ผมอยากจะให้ผู้ฟังของผมทุกท่านที่เกลียดชังผมนั้นได้ลองวางอคติของพวกท่านที่มีต่อผมลง ผมขอให้ให้พวกท่านมองผมเป็นมนุษย์แบบเดียวกับพวกท่าน ปุตุชนคนธรรมดาบางครั้งก็เดินร่วมถนนกับท่าน หัวเราะบ้างเวลาที่ได้ยินเรื่องตลก ร้องไห้บ้างเวลาที่เจ็บปวด ลองมองผมเป็นเพียงมนุษย์เช่นเดียวกับท่าน และขอให้เปิดใจฟังในสิ่งที่ผมกำลังจะพูด ]
   
แววตาของอาสาสมัครนั้นมึนงงอย่างเห็นได้ชัด ความเกลียดชังที่ถูกปลูกฝังมานั้นก็คล้ายกับหายไปชั่วครู่เมื่อลองคิดว่ากบฏที่ตัวเองนั้นเป็นคนธรรมดาเหมือนกับตัวเอง ไม่ใช่ปีศาจ ไม่ใช่มาร แต่เป็นเพียงมนุษย์ผู้หนึ่งแบบเดียวกับตัวเอง
   
[ สำหรับผมมนุษย์นั้นคือสิ่งมีชีวิตที่แสนเปราะบาง พวกเขานั้นต้องการความมั่นคงทั้งในชีวิตและจิตใจจึงต้องเลือกที่จะเชื่อในสิ่งหนึ่งเพื่อให้ตัวเองนั้นมีความรู้สึกมั่นคง ซึ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศนี้นั้นเลือกที่จะเชื่อคือ ‘อัลฟ่า’ ]
   
ติณห์ยิ้มเห็นสีหน้าภาคภูมิใจของเบต้าคนนั้น
   
[ แล้วพวกท่านเชื่อหรือไม่ว่าถ้าหากพวกท่านมีชีวิตที่ดีมากพอ พวกท่านจะไม่จำเป็นต้องเชื่ออะไรอีก เพราะสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นทำให้พวกท่านเชื่อนั้นก็ไม่ต่างจากยาเสพติด ยาเสพติดที่ใช้มอมเมาพวกท่านเพื่อที่จะทำให้พวกท่านลืมความทุกข์ยากและความเจ็บปวด ทำให้พวกท่านลืมว่าพวกท่านนั้นกำลังถูกกดขี่อยู่และสร้างภาพฝันให้กับพวกท่านว่าชาติหน้าจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้ถ้ารับใช้อัลฟ่าเหล่านั้น ทั้งๆ ในความเป็นจริงแล้วพวกท่านสามารถมีชีวิตที่ดีได้ตั้งแต่ชาติภพนี้ด้วยซ้ำ ]
   
สีหน้าสับสนอย่างหนักของอาสาสมัครทำให้ติณห์นั้นยิ้มมากกว่าเดิม
   
อย่างไรก็ตามหนึ่งในวัตถุประสงค์สำคัญที่ทำให้เขายอมเสี่ยงขึ้นมาปราศรัยนั้นก็เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนที่ยังหลงทางด้วยนัยน์ตาอันมืดบอดเหล่านี้ได้ฉุกใจคิดในสิ่งที่ตัวเองยึดมั่นและงมงายมาตลอด
   
โลกแห่งความจริงนั้นอาจจะสว่างและแสบตาไปบ้าง แต่มันก็ย่อมดีกว่าใช้ชีวิตอยู่อย่างโง่งมจนกระทั่งตายก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองนั้นมีความเป็นมนุษย์ทัดเทียมกับผู้อื่น
   
ติณห์ขยับปีกอีกครั้งและเหยียดกางจนสุดมากกว่าเดิม พยายามทำตัวให้ใหญ่ที่สุดเพื่อบดบังตึกรัฐสภาที่อยู่เบื้องหลัง ให้เหล่ามวลชนที่อยู่ตรงหน้าตัวเองเห็นเพียงเขาเท่านั้น
   
เขาที่เป็นประชาชนที่โอบอุ้มอุดมการณ์ร่วมกับเหล่าเสรีชนทั่วประเทศ
   
เขาที่มีความฝันอันสวยงามหลังจากการปฏิวัติสำเร็จ
   
เขาที่อยากจะเห็นผู้คนมีความเสมอภาคกันอีกสักครั้งในช่วงชีวิตของตัวเอง
   
[ หากท่านยังไม่เคยยืนเคียงข้างผู้ที่ถูกกดขี่ก็จงลงมาเคียงข้างผู้ที่ถูกกดขี่ ถ้าหากท่านยังหลงเชื่อในโฆษณาชวนเชื่อท่านก็จงพิจารณาความจริงที่ปรากฎตรงหน้า หากท่านยังไม่เชื่อในอุดมการณ์ของเราก็ขอให้ท่านลองเปิดใจรับฟัง ]
   
เมื่อพูดจบประโยคติณห์ก็ค่อยๆ คืนร่างกลับเป็นมนุษย์ธรรมดาและกล่าวคำปราศรัยต่อมาโดยน้ำเสียงนุ่มนวล
   
[ ตื่นเถิดเสรีชน อย่ายอมทนก้มหน้าฝืน ดาบหอกกระบอกปืน หรือทนคลื่นกระแสเรา ] - { โดย รวี โดมพระจันทร์ }
   
สิ้นคำกล่าวของติณห์เบต้าและเหล่าอาสาสมัครเพื่อชาติบางคนที่แทรกซึมอยู่นั้นถึงกับสั่นสะท้าน บางคนถึงกับทรุดตัวกองกับพื้นพร้อมกับอาวุธที่เตรียมมาใช้เข่นฆ่ากลุ่มกบฏเหล่านี้เพื่อที่รัฐบาลจะได้ใส่ร้ายพวกเขาได้ง่ายๆ ว่ากบฏเหล่านี้นั้นซ่องสุมอาวุธและต้องการทำลายประเทศ
   
หากแต่เมื่อพวกเขาลองฟังและเปิดใจฟังที่เหล่ากบฏเหล่านี้พูดถึงได้รู้ว่าปีศาจที่ถูกเรียกขานนั้น กลับเป็นคนเดียวกับผู้ที่พยายามเรียกความยุติธรรมคืนกลับมาให้กับพวกเขาเอง
   
พวกเขาฆ่าคน ฆ่าคนไปแล้วมากมาย เป็นฆาตกรที่คิดว่าตัวเองนั้นดีประเสริฐเลิศเลอ ทั้งๆ ที่เหยื่อของพวกเขานั้นเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่มีแม้แต่อาวุธด้วยซ้ำ
   
พวกเขาทำมันไปได้ยังไงกัน
   
แววตาของอาสาสมัครเพื่อชาติที่ตื่นแล้วนั้นเจ็บปวดจนแทบจะยอมรับความจริงไม่ได้ ความรู้สึกผิดมหันต์กัดกินจิตวิญญาณตะกละตะกลามราวกับว่าเป็นการลงทัณฑ์ในความผิดของพวกเขา
   
ติณห์มองเหล่าอาสาสมัครเหล่านั้นอย่างเฉยชา เพราะสำหรับเขาแล้วการฆ่าคนบริสุทธิ์และสนับสนุนให้ผู้อื่นฆ่าคนบริสุทธิ์ไม่ใช่สิ่งที่จะให้อภัยกันง่ายๆ ในการสำนึกผิดครั้งเดียว
   
ชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นสูญสลายไปแล้ว จะมีประโยชน์อะไรกับการมาขอโทษเขาที่ยังมีชีวิตอยู่ จะมีประโยชน์อะไรในเมื่อการเข่นฆ่าคนอื่นก็ยังมีอยู่ ฉะนั้นหนทางเดียวที่จะลดทอนความผิดของพวกเขาเหล่านี้ได้คือการหยุดการก่ออาชญากรรมที่เกิดขึ้นโดยรัฐนี่ซะ
   
แน่นอนว่าคำปราศรัยของติณห์นั้นจบลงเพียงเท่านั้น แต่ ‘ความลับ’ ของณภัทรที่เขานำมาเปิดเผยด้วยนั้นยังไม่ถูกกล่าวถึงเพราะยังไม่ถึงเวลา
   
ติณห์หันไปมองหนึ่งในสมาชิกคนสำคัญอีกคนที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับระบบภาษาคอมพิวเตอร์และการแฮ็คซึ่งเป็นมนุษย์สายพันธุ์นกฮูก ใบหน้าง่วงงุนง่วนอยู่กับการแฮ็คระบบอยู่สักพักก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตาติณห์และพยักหน้าให้เบาๆ เชิงว่าพร้อมแล้ว ก่อนที่จะเคาะคำสั่งลงบนแป้นคีย์บอร์ดเบาๆ
   
พรึ่บ!
   
ตึกรัฐสภาที่ข้างตึกนั้นเป็นจอแอลอีดีขนาดยักษ์ที่ถูกเปิดเป็นสัญลักษณ์ของอัลฟ่าอยู่นั้น ถูกเปลี่ยนเป็นคลิปวีดีโอบางอย่างในพริบตา ซึ่งนอกจากสถานที่แห่งนี้แล้ว ที่อื่นๆ ก็ล้วนแล้วแต่ถูกแฮ็คเช่นกัน จนปรากฏเป็นรูปปกคลิปวีดีโอแบบเดียวกับข้างตึกรัฐสภาตามหัวเมืองใหญ่แทบจะทุกที่ที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน
   
[ และนี่ก็คือความลับ ไม่สิ ความจริงของณภัทรที่ผมนำมาเปิดเผยให้ทุกท่านได้ทราบในวันนี้ครับ ]
   
ติณห์ผายมือออกไปยังจอแอลอีดีเบื้องหลัง ก่อนที่คลิปที่ถูกอัดเก็บและซุกซ่อนกับติณห์มาตลอดหลายสิบปีนั้นจะได้เปิดเผยความจริงต่อหน้าสาธารณชน

   

‘…ยา ยาระงับเอกลักษณ์หมดฤทธิ์เหรอ’
   
น้ำเสียงทุ้มเหยียดหยันดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันภายในห้องรับแขกของคอนโดหรู กล้องปากกาที่ถูกซุกซ่อนอยู่ในแจกันดอกไม้นั้นเผยให้เห็นภาพของ ‘เดชะ’ ผู้ถูกตรวนและมัดติดกับเก้าอี้เหล็กด้วยโซ่เหล็กแน่นหนา บริเวณส่วนบนที่เปลือยเปล่านั้นเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะจากการทัณฑ์ทรมาน
   
แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่สามารถทำให้เดชะนั้นดูจนตรอกแต่อย่างใด ใบหน้าคมคายนั้นยังคงมีรอยยิ้มประดับและหยามเหยียดผู้ที่อยู่ร่วมห้องกับตัวเองในตอนนี้ตลอดเวลา
   
‘รังเกียจนักไม่ใช่เหรอ พวกนกน่ะ’
   
‘หุบปาก!!’
   
เสียงคำรามดังลั่นก่อนที่ร่างของเจ้าของห้องจะพุ่งเข้าไปบีบคอเดชะอย่างเดือดดาล ใบหน้าผู้นำนักบวชผู้ทรงศีลนั้นถมึงทึงราวกับปีศาจร้ายและพยายามบีบคออีกฝ่ายเพื่อไม่ให้สามารถพูดอะไรได้อีก แต่น่าเสียดายที่ณภัทรนั้นดูถูกดวงของพี่ชายตัวเองน้อยเกินไป
   
เพราะทุกครั้งที่อีกฝ่ายเข้าใกล้กับความตาย ความเจ็บปวดมหาศาลในร่างกายก็จะปะทุขึ้นจนเขานั้นต้องคร่ำครวญออกมาอย่างเจ็บปวด ตะเกียกตะกายอยู่บนพื้นอย่างสิ้นท่า พยายามอย่างยิ่งในการสกัดกั้น ‘บางสิ่ง’ ที่พยายามจะงอกออกมาจากแผ่นหลังของเขา
   
‘ไม่! ไม่!!!’
   
ณภัทรปล่อยมือจากคอพี่ชายและกำแขนตัวเองแน่น ปลายเล็บที่ยังคงเป็นอุ้งเท้าสิงโตนั้นจิกแขนตัวเองแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเลือดไหลอาบออกมาเพื่อที่จะใช้ความเจ็บปวดทางกายส่วนอื่นหลอกล่อไม่ให้ร่างกายนั้นยอมให้สิ่งนั้นออกมา
   
ยิ่งเห็นท่าทีทุกข์ทรมานจนตรอกของน้องชายตัวเอง เดชะหัวเราะลั่นห้อง ในแววตาไร้ซึ่งความหวาดกลัวต่อความตายและพูดกระเซ้าเสียงเล็กเสียงน้อยอย่างเหยียดหยัน
   
‘ไม่เป็นไรนะ เจ้านกน้อย อย่าร้องไห้ไปเลย ปล่อยพี่ชายคนดีสิ เดี๋ยวพี่ชายคนนี้จะตัดปีกให้’
   
ความสิ้นหวังทำให้ผู้คนบ้าคลั่ง เดชะรู้ตัวดีว่าตัวเองนั้นหมดหนทางรอดแล้วจึงพยายามอย่างที่สุดในการสร้างหลักฐานชิ้นสำคัญให้กับคนสนิทของเขา ให้เป็นมรดกสุดท้ายที่เขาจะทิ้งไว้ให้กับผู้คนที่ยังคงศรัทธาในความเท่าเทียมได้ใช้ในการโค่นล้มน้องชายของเขา
   
‘กูไม่ใช่พวกนก!!!’
   
ณภัทรคำรามออกมาอีกครั้งอย่างฉุนขาด พุ่งเข้าไปบีบคอเดชะอีกครั้งและลืมไปโดยสิ้นเชิงว่าตัวเองนั้นกำลังทำอะไรอยู่
   
ในชั่วพริบตานั้นปีกนกพิราบสีขาวบริสุทธิ์งอกออกมาจากแผ่นหลังของณภัทร แต่น่าเสียดายที่คราวนี้โชคของเดชะคล้ายจะหมดแล้ว การบีบคออย่างบ้าคลั่งและยาวนานครั้งนี้จึงสำเร็จ ก่อนที่ณภัทรจะปลดโซ่ที่ตรวนเก้าอี้ออกและค่อยๆ ลากร่างไร้วิญญาณของพี่ชายตัวเองออกจากกล้องไป

   
ภาพวีดีโอจบเพียงเท่านั้นก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มปฏิวัติ
   
อีกาสีดำที่กางปีกโบยบินอย่างอิสระเสรี
   
ความเงียบครอบงำไปทั่วบริเวณอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะมีเสียงระเบิดดังขึ้นเคล้ากับเสียงกรีดร้องของเหล่ามวลชนที่มาชุมนุม เหล่าอาสาสมัครเพื่อชาติที่ยังคงยึดมั่นในอัลฟ่าหลายคนนั้นแทบจะไม่หลงเหลือสติในการหนีด้วยซ้ำ เมื่อรับรู้สิ่งที่น่าจะเป็นความจริงที่ถูกปกปิดมาโดยตลอด
   
ความจริงที่มีอานุภาพมากพอที่จะสั่นคลอนฐานะอันศักดิ์สิทธิ์ของความจริงที่ผู้คนยึดถือและทำให้สถาบันหลักของประเทศล่มสลาย
   
ส่วนเหล่าทหารไม่กี่คนที่มายืนคุมเชิงนั้นต่างรีบสาดกระสุนปืนเข้าไปทันควันตามคำสั่งเร่งด่วนที่เพิ่งได้รับมา ทั้งๆ ที่คำสั่งแรกนั้นคือการควบคุมให้อาสาสมัครเพื่อชาติที่ปนเปื้อนบางอย่างนั้นเข้าไปอยู่แทรกซึมอยู่ในหมู่ผู้ชุมนุมให้มากที่สุด โดยที่พวกเขานั้นห้ามเข้าใกล้อาสาสมัครพวกนั้นโดยเด็ดขาดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
   
แน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้ว่าอาสาสมัครที่พกอาวุธสงครามที่อาณุภาพน้อยกว่าพวกเขานั้นซุกซ่อนความร้ายแรงอะไรไว้ ทำไมผู้บังคับบัญชาถึงได้ย้ำเตือนพวกเขาเหลือเกินว่าอย่าแม้แต่จะแตะต้องพวกเขา
   
ฝนที่ตกปรอยๆ มาตลอดนั้นค่อยๆ เทกระหน่ำลงมา
   
เหล่าเสรีชนถูกเข่นฆ่าอีกครั้ง อาสาสมัครหลายคนที่เชื่อว่าสิ่งที่ปรากฏในคลิปนั้นไม่เป็นความจริงแต่เป็นภาพตัดต่อจึงไล่ฆ่าเหล่าผู้ชุมนุมรอบตัวอย่างเกรี้ยวกราด เพราะบังอาจมาใส่ความผู้นำศาสนาของพวกเขา
   
ความรุนแรงก่อตัวขึ้นอย่างเหี้ยมโหดแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่สามารถทำลายความกล้าของเสรีชนไปได้
   
“ถอยไป นที มึงอย่าไปยุ่งกับพวกกบฏ”
   
อาสาสมัครคนหนึ่งซึ่งเป็นแพทย์ที่จบสถาบันเดียวกับนทีพูดด้วยท่าทีขึงขัง เสื้อสีขาวที่สวมมานั้นอาบไปด้วยเลือดแดงฉานจนยากที่จะรู้ว่าเคยเป็นเสื้อสีขาวมาก่อน
   
“ไม่”
   
นทีหัวเราะและขยับตัวไปบังเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของตัวเองซึ่งยังคงแสดงปีกของตัวเองอย่างต่อต้าน แม้ว่ามันอาจจะเป็นสาเหตุให้ตัวเองต้องตายก็ตาม
   
“กูจะถามเป็นครั้งสุดท้าย นที”
   
แววตาของคนถามนั้นเดือดดาลขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
   
“มึงจะหลบไหม”
   
นทีเหยียดยิ้มกำลังจะยืนยันในคำตอบเดิม แต่หางตากลับเห็นอาสาสมัครอีกคนยิงมาทางเพื่อนตัวเองจึงไม่ลังเลที่จะผลักอีกฝ่ายออกจากวิถีกระสุนทันที
   
“นที!!!”
   
อาสาสมัครคนเดิมคำรามอย่างขวัญเสียเมื่อได้สติว่าตัวเองนั้นได้ถูกช่วยชีวิตเอาไว้ แต่เพื่อนของเขานั้นกลับนอนแน่นิ่งบนพื้นไปแล้ว
   
ใบหน้าน่ามองของนทีที่มักจะมีรอยยิ้มประดับอย่างใจดีอยู่เสมอนั้นเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด ทั้งๆ ที่กระสุนนัดนั้นได้พรากชีวิตของเจ้าตัวไปแล้ว

------------

ตอนนี้ยาวมากกก  :z6:   

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
โหดอีกรอบ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด