{ DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา แจ้งข่าว : ละครเวทีมิวสิคัล ชมฟรี ที่ มข
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา แจ้งข่าว : ละครเวทีมิวสิคัล ชมฟรี ที่ มข  (อ่าน 20815 ครั้ง)

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
รออ่านต่อค่ะ
 :3123:

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 09

   
การซ้อมวันสถาปนาประเทศในภาคประชาชนนั้นส่วนใหญ่คนที่มาจะมาจากการเกณฑ์จากหน่วยงานภาครัฐต่างๆ นักเรียน นักศึกษา และอาสาสมัครอีกส่วนหนึ่ง สาเหตุที่รัฐบาลต้องเกณฑ์นั้น เพราะเบต้าปกติโดยทั่วไปแล้ว ถ้ามีโอกาสหลีกเลี่ยงงานนี้ได้ก็จะหลีกเลี่ยง เนื่องจากจะต้องซ้อมก่อนวันงานนับสิบครั้งท่ามกลางอากาศร้อนจัดในเดือนกันยายน เพื่อที่จะให้วันสถาปนาประเทศในวันที่ x เดือนตุลาคม นั้นออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด
   
แน่นอนว่าถึงแม้จะศรัทธาในอัลฟ่ามากแค่ไหน แต่มันก็ยังมีขอบเขตของความจงรักภักดี
   
พวกเขาอาจจะศรัทธาในอัลฟ่ามากก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่ทุกคนที่ยินยอมตากแดด ยอมโดนบังคับให้เดินสวนสนามพร้อมกับถือป้ายโฆษณาชวนเชื่อ และนอกจากนี้พวกเขายังต้องตะโกนร้องเพลงออกมาด้วยสีหน้ายินดีอีก
   
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ามีผู้ที่รอดพ้นก็ย่อมมีผู้ที่ไม่รอดพ้น
   
เหล่าเบต้าที่มาซ้อมงานกันในวันนี้ แม้ว่าส่วนใหญ่จะมีสีหน้ายินดีที่ได้ทำสิ่งที่ ‘ดี’ เพื่อประเทศ แต่อีกหลายส่วนก็มีสีหน้าไม่เต็มใจนักกับการยืนตากแดดร้อนจัดเฝ้ารอสัญญาณจากเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง
   
เอาเข้าจริงลึกๆ ในใจพวกเขาก็มีคำถามอยู่มากมายว่าทำไมตัวเองถึงต้องมายืนอยู่ตรงนี้ ทั้งๆ ที่การแสดงความรักความจงรักภักดีนั้นสามารถแสดงออกได้หลายทาง และที่แน่นอนที่สุดคือไม่ใช่การชี้หน้าด่าคนอื่นว่าไม่จงรักภักดีเพราะไม่ยอมทำตามคำสั่งของอัลฟ่า
   
พวกเขารักในอัลฟ่าก็จริง แต่ก็เหนื่อยเหลือเกินกับการที่ต้องใช้ชีวิตแบบนี้
   
ถึงแม้จะได้รับเงินชดเชยสำหรับการเข้าร่วมงาน แต่มันก็ไม่คุ้มค่าอยู่ดีกับการเสียโอกาสที่จะได้พักผ่อน หรือการได้ทำงานประจำของตัวเองที่อาจจะให้เงินมากกว่าเงินชดเชย แน่นอนว่าพวกเขาพูดอะไรไม่ได้ เพราะไม่มีสิทธิ์ให้พูด แม้แต่การคิดในใจก็ถือว่าเป็นบาปแล้วด้วยซ้ำ
   
สิ่งที่พวกเขาทำได้ก็มีแต่ยินยอมทำมันให้จบๆ ไป เพื่อที่ตัวเองและครอบครัวจะไม่เดือดร้อน
   
เหล่าเบต้าในเวลานี้จึงยืนสงบนิ่งกันอย่างนิ่งงัน เฝ้ารอสัญญาณเพลงอย่างเบื่อหน่าย จนกระทั่งอยู่ๆ ก็มีเบต้ากลุ่มนักศึกษากลุ่มหนึ่งวิ่งขึ้นไปบนเวทีว่างเปล่า และมีอีกหลายกลุ่มที่วิ่งไปยังจุดต่างๆ กระจายกันออกไปเพื่อที่ละครที่พวกเขาเล่นนั่นจะได้มีคนเห็นมากที่สุด
   
และเพราะความสะเพร่าของอัลฟ่าที่มีส่วนรับผิดชอบในงานนี้ ตอนนี้จึงยังไม่มีใครจับได้ว่าได้มีเหตุการณ์ที่ไม่ได้อยู่ในแผนขึ้น เหล่าเบต้าที่ออกมาจากกลุ่มนั้นจึงยังมีเวลาหายใจหายคออยู่บ้าง และเริ่มการแสดงละครของตัวเองในทันทีเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา
   
กลุ่มเบต้าในคณะละครกระชากเครื่องแบบที่ทางการจัดให้ออก เผยให้เสื้อผ้าภายในซึ่งประกอบไปด้วยเสื้อผ้าของอาชีพต่างๆ ทั้งชาวนา กรรมกร นิสิตนักศึกษา และเจ้าหน้าที่รัฐ โดยพวกเขาแสดงท่าทีคล้ายกับพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง กราบกรานอ้อนวอนขอความเป็นธรรมให้กับตัวเอง
   
แต่เบต้าที่แสดงเป็นเจ้าหน้าที่รัฐนั้นก็ทำเพียงแค่มองเมินอย่างไม่ใส่ใจ และผลักชาวนาคนนั้นออก ก่อนที่จะใช้ปืนที่ทำขึ้นจำลองขึ้นมาลวกๆ จากลังกระดาษยิงใส่จนชาวนาคนนั้นตายบนพื้นอย่างอเนจอนาถ เหล่ากรรมกรและนิสิตนักศึกษาต่างโกรธเคืองพยายามจะวิ่งเข้ามาช่วยห้าม แต่สุดท้ายก็โดนยิงตายกันหมด
   
“…”
   
เบต้าวัยกลางคนคนหนึ่งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวของกับคณะละครกลุ่มนี้น้ำตารื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ รู้สึกหนักอึ้งในใจเพราะมันเป็นความจริงที่เคยเกิดขึ้นตอนที่เกิดการปฏิวัติครั้งที่แล้ว
   
มีแกนนำชาวนา และกลุ่มแรงงานตายจริงๆ ด้วยวิธีอันหลากหลาย บ้างก็ถูกลักพาตัวจนหายสาบสูญ บ้างก็โดนลอบสังหารตอนที่เดินขบวนประท้วงอยู่ แต่ทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่ไม่ตายดีกันทั้งนั้น
   
การแสดงละครของเบต้ากลุ่มนี้นั้นทำให้เขาเหมือนภาพเหล่านั้นฉายซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งมันก็น่าเจ็บปวดตรงที่เขาเกือบจะลืมเหตุการณ์เหล่านี้ไปแล้ว
   
เหตุการณ์ที่ทางรัฐบาลเคยกระทำต่อประชาชนของตัวเองอย่างทารุณ
   
ละครของกลุ่มเบต้านั้นคล้ายจะจบลงแต่ก็ยังไม่จบลงสักทีเดียว เพราะหลังจากที่เหล่าเบต้าบทบาทต่างๆ ในละครนั้นตายกันหมดก็มีเบต้าอีกบางส่วนซึ่งอยู่ในกลุ่มละครเช่นเดียวกันทำท่าคล้ายกับทนเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้ วิ่งออกมาห้ามเจ้าหน้าที่รัฐคนนั้น บางคนก็โดนยิง แต่ก็มีบางคนที่เข้าถึงตัวและแย่งชิงปืนนั้นมาได้
   
ทุกคนล้วนแล้วแต่คิดว่าเจ้าหน้าที่รัฐคนนั้นต้องโดนยิงแน่ๆ แต่วัตถุประสงค์ของกลุ่มวันพรุ่งนี้มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น การแสดงจึงจบลงที่การควบคุมตัวเจ้าหน้าที่รัฐและการแสดงความปราชัยของกลุ่มเบต้าที่สามารถเอาชนะเจ้าหน้าที่รัฐได้
   
แน่นอนว่าการแก้ไขปัญหาความรุนแรงด้วยวิธีสันตินั้นก็เหมือนกับการฝันกลางวัน พวกกลุ่มปฏิวัติรู้กันดี แต่พวกเขาก็ยังยืนหยัดเพราะไม่อยากให้มีคนตายไปมากกว่านี้ มีคนตายมามากเกินพอแล้วจริงๆ สำหรับประเทศนี้
   
ปัง!
   
แต่น่าเสียดายที่แนวคิดนี้ก็คิดกันอยู่แค่ฝ่ายเดียว
   
เหล่ารัฐบาลผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตาและความยุติธรรมไม่คิดเช่นนั้นจึงมอบกระสุนจริงให้ทันทีโดยไม่มีการประนีประนอมใดๆ
   
เบต้าวัยรุ่นคนหนึ่งบนเวทีตายทันที ซึ่งส่วนที่เหลือก็หนีเอาชีวิตกันจ้าละหวั่น แต่ก็มีบางส่วนที่ทนไม่ไหวกับความรุนแรงตรงหน้า คืนร่างต้นและพยายามแย่งปืนจากเจ้าหน้าที่รัฐไม่ให้ยิงคนอื่นต่อ
   
จากวันซ้อมที่แสนน่าเบื่อหน่าย ตอนนี้กลับกลายเป็นการวันนองเลือดอีกครั้ง เหล่าอัลฟ่าที่รู้ถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มกบฏแล้วต่างตะโกนด่าทอกันเสียงดังลั่น ข่มขู่เหล่าเบต้าธรรมดากันอย่างเดือดดาล จนมีเบต้าธรรมดาบางคนทนไม่ไหวพุ่งเข้าไปแย่งปืนและยิงกลับโดยเลี่ยงจุดสำคัญด้วยความโกรธแค้น
   
“เลิกฆ่าประชาชนสักที!”
   
เบต้าคนนั้นคำรามก่อนที่จะโดนห่ากระสุนยิงใส่ในเวลาต่อมา เพราะปืนในมือเหล่าอัลฟ่านั้นไม่ได้มีแค่กระบอกเดียว พวกเขามีนับร้อยพันนับหมื่นกระบอกที่พร้อมใช้ตลอดเวลาด้วยเงินภาษีจากประชาชน และพร้อมส่งคืนภาษีเหล่านั้นผ่านลูกตะกั่วอย่างเท่าเทียม
   
“อัลฟ่าจงพินาศ เสรีภาพจงเจริญ!”
   
หนึ่งในเบต้ากลุ่มคณะละครที่ยังรอดชีวิตตะโกนขึ้นมา ก่อนที่มันจะถูกตะโกนต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับซึมลึกเข้าไปในใจเบต้าบางคนที่ยังคงมีจิตใจฝักใฝ่กับพวกอัลฟ่าอยู่
   
เสรีภาพ..
   
พวกเขาแทบไม่ได้ยินคำนี้มานานมากแล้วนับตั้งแต่การปฏิวัติครั้งล่าสุด สิ่งเดียวที่พวกรู้จักและคุ้นเคยกันดีมีเพียงการทำตามคำสั่งอัลฟ่าโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ซึ่งมันแทบทำให้พวกเขาจดจำไมได้แล้วว่ามันมีความหมายว่ายังไง
   
แน่นอนพวกเขาไม่เข้าใจกลุ่มกบฏเลยสักนิดว่ามันคุ้มค่านักเหรอ กับการยอมสละชีวิตตัวเพื่อเสรีภาพพวกนี้ ราคาของเสรีภาพที่พวกเขาต้องการมันแพงเกินไปหรือเปล่า ทำไมมันถึงต้องจ่ายด้วยชีวิตของตัวเองกัน
   
“อย่าไปฟังพวกมัน!!! พวกมันโดนสะกดจิตมา!!!”
   
อัลฟ่าตำแหน่งสูงคนหนึ่งขึ้นไปบนเวทีในร่างต้นซึ่งเป็นร่างของสิงโตหรือ ‘สัญลักษณ์’ ของอัลฟ่า และตะโกนก้องออกมาด้วยเสียงทั้งหมดของตัวเอง
   
“เสรีภาพที่พวกมันต้องการเป็นแค่ของหลอกลวง!! เป็นความคิดดัดจริตของพวกนอกรีต!!! อัลฟ่าของเราต่างหากที่เป็นขอจริง!! คิดว่าพวกเราจัดงานนี้ขึ้นเพื่อใคร เพื่ออัลฟ่าของเรา เพื่อประเทศของเรา!! ถ้าหากไม่มีอัลฟ่า ประเทศนี้ก็ไปไหนไม่ได้หรอก!!”
   
“…”
   
เบต้าบางส่วนที่โดนต้อนเอาไว้ไม่ให้หนียืนฟังด้วยสีหน้านิ่งเฉย แต่ในใจคือสุมไปด้วยความสับสนและคำถามเต็มไปหมด
   
ประเทศที่ปกครองด้วยอัลฟ่านั้นเป็นประเทศที่ดีอย่างที่พวกอัลฟ่าพูดจริงๆ งั้นเหรอ? แล้วทำไมพวกเขาถึงยังยากจนอยู่ละ ทำไมถึงยังต้องอดมื้อกินมื้อ ไร้ความคาดหวังในความก้าวหน้าด้านอาชีพการงานเพราะเป็นแค่เบต้าธรรมดา ไหนจะเรื่องระบบขนส่งสาธารณะที่ขึ้นราคาทุกปีแต่คุณภาพเท่าเดิมอีก แถมทางเท้าที่พวกเขาต้องเดินทุกวันก็โครตห่วยแตกเมื่อเทียบกับเขตที่พวกอัลฟ่าอยู่กัน
   
ถ้าจะบอกว่าประเทศที่อัลฟ่าปกครองนั้นดีที่สุด สู้บอกว่าห่วยแตกที่สุดยังน่าจะฟังมากกว่า
   
แน่นอนว่าพวกอัลฟ่าก็มีวิธีกลบเกลื่อนความล้มเหลวของตัวเองด้วยการเอาค่า GDP (ผลิตภัณฑ์รวมในประเทศ) หรือเอาตัวเลขทางเศรษฐกิจหลอกๆ มาหลอกประชาชนโง่เขล่าในประเทศ ปั้นตัวเลขขึ้นมาสักตัวเลขหนึ่งแล้วก็อ้างมันตลอด ทั้งๆ ที่ความจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น ทุกคนกำลังจะอดตาย แถมยังอดตายในประเทศที่ขึ้นชื่อว่าสมบูรณ์ที่สุดในโลกด้วย
   
ตลกร้ายเหลือเกินที่พวกเขาอาศัยอยู่ในประเทศที่มีทรัพยากรมากมาย แต่ทรัพยากรเหล่านั้นกลับถูกใช้หล่อเลี้ยงเพื่อความมั่งคั่งของคนเพียงกลุ่มเดียว
   
“ใครที่คิดจะเข้าร่วมกับกลุ่มกบฏมีโทษสถานเดียวคือตายเท่านั้น!!! เราจะยอมให้พวกกบฏมาทำลายประเทศเราไม่ได้!”
   
ยิ่งอัลฟ่าที่ยืนอยู่บนเวทีพูดมากเท่าไหร่ เบต้าบางส่วนก็โกรธยิ่งเท่านั้นจนในที่สุดพวกเขาก็ระเบิดออกมา
   
“เออจะตายก็ตาย!!! กูไม่ทนแล้ว!!”
   
พวกเขาโยนป้ายในมือทิ้ง ตะโกนกลับแสดงท่าทีกระด้างกระเดื่องออกมาอย่างชัดเจน
   
“แกไม่มีวันฆ่าเราหมดหรอก!!”
   
เบต้าส่วนหนึ่งคืนร่างต้นแล้วกู่ร้องออกมา พุ่งเข้าไปไปแย่งกระบอกปืนแล้วยิงกลับ ไม่ไยดีชีวิตตัวเองอีกต่อไป เพราะต่อให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปมันก็เฮงซวยเหมือนเดิม
   
“พวกเราจะหลุดพ้นจากความเป็นทาส!!! เราจะสั่งสองพวกอัลฟ่าว่าพวกมันไม่ได้ดีไปกว่าเรา!!!”
   
ปัง!!
   
“หุบปาก!!”
   
สุดท้ายความชุลมุนและแรงต่อต้านก็เกิดขึ้นตามที่กลุ่มปฏิวัติต้องการ เริ่มมีกลุ่มเบต้าจำนวนหนึ่งแสดงตัวเข้าร่วมเพราะอัลฟ่าได้ทำลาย ‘ฟาง’ เส้นสุดท้ายนั้นด้วยตัวเอง
   
พวกเขาประเมินความโกรธของผู้คนต่ำเกินไป



   
[ …จงมีศรัทธาในเหล่าอัลฟ่าอยู่เสมอ.. สนามกีฬาxx เราจะไปที่นั้นอีกครั้ง ในวันพรุ่งนี้.. ]
   
“…”
   
หลังจากที่ปรับวิทยุเสร็จทวิชก็ขมวดคิ้วเพราะพบว่าในคลื่นความถี่นั้นนั้นไม่มีพูดคุยกัน นอกจากการกลอเสียงหนึ่งซ้ำๆ ไม่หยุด
   
วันพรุ่งนี้?
   
ทวิชถอนหายใจและนั่งลูบปีกตัวเองอย่างเผลอไผล
   
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตั้งแต่ที่โดนเกรซทัก เขาก็เริ่มรู้สึกอยากบิน ทั้งๆ ก็แทบจะจดจำวิธีการบินไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ และมันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ด้วยที่เขาจะบินได้ในวันพรุ่งนี้
   
โอเมก้ายังคงเป็นสิ่งต้องห้ามในประเทศนี้ หากเขาบินจริงๆ ก็คงจะตายทันที ซึ่งเขาก็ไม่อยากให้ตัวเองต้องตายเปล่า เขาคิดว่าตัวเองยังทำอะไรได้มากกว่านั้น
   
“…จริงสิ”
   
ทวิชยิ้มออกมาเมื่ออยู่ๆ ก็นึกออกว่ายังมีวิธีทำให้เขาบินได้
   
ร่างโปรงของทวิชจึงค่อยๆ ส่งเสียงกระดูกดังลั่น ค่อยๆ ตัวเล็กลงจนกลายเป็นอีกาสีดำขลับตัวหนึ่งที่ตัวใหญ่กว่านกทั่วไปนิดหน่อย มันก้าวเดินสองสามก้าวเพื่อทำความคุ้นเคยกับร่างต้นที่ไม่ได้คืนมานาน ก่อนที่จะพยายามตีปีกบินขึ้นไปบนตู้ข้างบน
   
กา กา
   
ทวิชร้องออกมาอย่างหงุดหงิดเพราะเขาบินได้เตี้ยและห่วยแตกมาก ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เนื่องจากเขาคุ้นชินกับร่างเสือดำมากกว่า
   
ให้ตายสิ มันบินยังไงนะ
   
ทวิชพยายามตีปีกอยู่สองสามครั้งซึ่งก็บินถึงแค่เตียง แต่เหนื่อยก่อนเลยนอนซบบนเตียงทั้งร่างนก และเผลอหลับไปโดยที่ลืมไปเลยว่านอกจากตัวเองแล้ว ช่วงนี้ยังมี ‘เพื่อน’ ร่วมห้องอีกคนที่มาอาศัยอยู่ด้วย
   
“…”
   
กันต์ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเปิดประตูเข้ามาในห้องชะงักทันทีเมื่อไม่เห็นทวิชนอนบนเตียง แต่พอมองหาก็พบว่าทวิชนั้นอยู่ในร่างต้นและมุดเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วโผล่ออกมาเห็นเพียงแค่ปลายหางของพวกนก
   
แน่นอนว่ากันต์รู้ขอบเขตของตัวเองดี จึงปิดไฟและไปล้มตัวนอนลงบนฟูกที่อยู่อีกมุมห้อง ซึ่งเป็นที่ๆ ทวิชนั้นจัดเตรียมไว้ให้เขานอนด้วยอย่างใจดี ทั้งๆ ที่สามารถให้เขาไปนอนที่อื่นที่ไม่ใช่ห้องตัวเองก็ได้
   
เพราะยังไม่ค่อยง่วงกันต์จึงนอนดูหางของทวิชที่ขยับขึ้นลงเหมือนกับกำลังฝันอะไรสักอย่างอยู่อย่างเพลินตา
   
เอาเข้าจริง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมทวิชถึงใจดีกับคนแปลกหน้านัก
   
ขอแค่รู้ว่าเป็นเบต้าที่สิ้นหวังสักคน ทวิชก็พร้อมจะช่วยทันที ถึงแม้ว่ามันจะเป็นทางเลือกที่ไม่ถูกศีลธรรมเท่าไหร่ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ก็มีแค่ความตายเท่านั้นที่จะปลดเปลื้องพวกเขาออกจากความทุกข์ทรมานได้ เพราะปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ระบบโครงสร้างที่ถูกเขียนโดยพวกอัลฟ่า
   
พวกนั้นไม่สนใจชีวิตคนที่อยู่เบื้องล่างด้วยซ้ำ ทอดทิ้งผู้คนให้จมอยู่กับความสิ้นหวัง แม้แต่เขาเองถ้าหากไม่ถูกทวิชไถ่ตัวออกมาวันนั้นก็คงจะตายคาสนามไปแล้ว
   
ซึ่งต่อให้เขาตายตอนนั้น เขาก็ไม่เสียใจอยู่ดี
   
เขาสิ้นหวังไปแล้ว เขาไม่คิดว่าตัวเองจะมีอนาคตที่ดี เขาไร้การศึกษา เขาไม่มีแม้แต่บัตรประชาชนด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เกิดในประเทศนี้เหมือนกัน
   
สาเหตุที่เขาไม่ได้รับการรับรองว่าเป็นประชาชนของประเทศนี้นั้นก็เพราะว่าเขามีเชื้อสายของพวกอัลฟ่า ฟังดูดีแต่ความจริงแล้วเขาก็เป็นแค่ผลผลิตของตัณหาที่มากล้นของพวกอัลฟ่าเท่านั้น
   
ทีแรกเขาเติบโตในซ่อง ใช้ชีวิตอยู่กับแม่ที่ต้องรับแขกทุกวันเช่นเดียวกับเกรซ แม่ไม่ได้ตั้งใจจะมีเขาด้วยซ้ำ แต่เมื่อเขาเกิดมาแม่ก็พยายามดูแลเขาด้วยความสามารถทั้งหมดของตัวเอง
   
แม่พยายามสอนเขาทุกอย่าง แม้แต่การเขียนหนังสือ แต่เพราะว่าแม่เขาก็ไร้การศึกษาเหมือนกันก็เลยทำให้เขาเขียนได้แค่ชื่อตัวเอง แต่สิ่งที่แม่พยายามบอกเขาอยู่เสมอคือไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับพวกอัลฟ่าและไม่ว่าจะป่วยขนาดไหนก็อย่าได้เข้าไปใช้โรงพยาบาลของพวกมัน
   
แม่เขารู้เรื่องวัคซีนที่พวกอัลฟ่าผลิตขึ้นมา และรู้ดีด้วยว่ามีคนมากมายขนาดไหนที่ตายเพราะยานั่น
   
เขารู้ดีว่าแม่พยายามแค่ไหนที่จะทำให้เขามีชีวิตที่ดีกว่าตัวเอง ซึ่งสิ่งที่ทำให้มันแย่ลงไปอีก คือเขาไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นคนของประเทศนี้ ทำให้เขาแทบไม่ได้รับสวัสดิการอะไรจากรัฐเลยแม้แต่อย่างเดียว
   
ถ้าหากคิดว่าสวัสดิการรัฐมันห่วย การที่ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะได้รับมันนั้นห่วยกว่าอีก เขาถูกปฏิบัติราวกับพลเมืองชั้นสอง หลังจากที่แม่เสีย เขาก็หาทางลอบเข้าไปในศูนย์รับเลี้ยง เพราะที่นั่นมีอาหาร และขโมยได้ง่ายที่สุด
   
กับขนมปังแค่ก้อนเดียว เขากลับต้องแย่งชิงมันแทบตาย
   
มันไม่อร่อย เขาไม่เคยอยากกินแต่ก็ต้องกิน อาหารมื้อดีๆ ที่เขาจะได้กินส่วนใหญ่ก็จะเป็นการบริจาคของพวกอัลฟ่าที่พวกเบต้าซาบซึ้งว่าเป็นบุญคุณนักหนา แทบจะลืมไปหมดว่าทำไมตัวเองถึงต้องใช้ชีวิตห่วยแตกแบบนี้
   
พวกเบต้าเป็นพวกที่ลืมง่าย เอาจะฟังดูเหมารวมแต่มันก็เป็นเรื่องจริง แม่เขาบอกว่าถ้าพวกเบต้าลุกฮือขึ้นแรงๆ จนพวกอัลฟ่าล้มลง เราก็อาจจะไม่ต้องจมอยู่กับวาทกรรมโง่ จน เจ็บอีกต่อไป
   
เอาเข้าจริงตอนนี้เขาก็แทบจะจำหน้าแม่ตัวเองไม่ได้แล้ว ที่แย่กว่านั้นคือเขาจำชื่อเก่าตัวเองไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะเขาเอาชีวิตรอดอยู่คนเดียวกันนานเกินไปด้วยล่ะมั้ง
   
ซึ่งชีวิตตอนนี้ของเขาก็เหมือนกับฝัน
   
เขามีบ้านอยู่ เขามีที่ให้ซุกหัวนอน เขามีอาหารอุ่นๆ กินครบสามมื้อ แถมเขายังมีน้ำสะอาดให้ใช้ด้วย ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากให้มันเป็นแบบนี้ตลอดไป ชีวิตของเขาต้องการแค่นี้ก็เพียงพอแล้วจริงๆ แต่เขาก็รู้อีกนั่นแหละว่ามันก็แค่ฝัน
อีกไม่นานฝันแสนหวานนี่ก็จะจบลง
   
การปฏิวัติครั้งใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้น
   
กันต์ถอนหายใจและหลับในที่สุด

   

เพียงคืนเดียวกลิ่นของการปฏิวัติก็ขจรขจายไปทั่ว เบต้านั้นแบ่งแยกเป็นหลายกลุ่ม มีทั้งที่สนับสนุนและไม่สนับสนุน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่ไม่สนใจอะไรด้วย ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ความผิดอะไร เพราะคนส่วนใหญ่ก็กลัวกระสุนจริงกันทั้งนั้น
   
ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องที่ชอบธรรมหรือควรเคยชินเลยสักนิด
   
ประเทศนี้โหดร้ายเกินไป พวกเขาใข้กระสุนจริงทุกครั้งโดยไม่แม้แต่จะลังเลและอ้างว่าทำเพื่อปกป้องตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ชอบธรรม เหล่าเบต้าที่สนับสนุนการปฏิวัติถึงได้โกรธเคืองกันนัก
   
พวกเขาเริ่มกักตุนอาหาร สะสมอาวุธ และหยุดงาน เพราะหนึ่งในสิ่งที่จะทำให้สังคมระดับบนชะงักชะงันได้ก็คือการนัดประท้วงหยุดงาน
   
อัลฟ่าขาดเบต้าไม่ได้
   
นี่เป็นความจริงที่เบต้าส่วนใหญ่ไม่รู้ และมักจะเชื่อว่าตัวเองต่างหากที่ขาดอัลฟ่าไม่ได้ ทั้งๆ ที่มันไม่เป็นความจริงสักนิด ระบบชนชั้นอันเหลื่อมล้ำนี้จะมีอยู่ไม่ได้เลย ถ้าขาดเบต้าที่เปรียบเสมือนมดงานค่าแรงถูกไป
   
ทุกสิ่งทุกอย่างในสังคมนี้ต้องการเบต้า ต้องการคนที่คอยขับเคลื่อนมัน
   
วันนี้พวกเขาจึงนัดกันหยุดทำงานตามเสียง ‘กระซิบ’ ที่บอกต่อกันมาโดยไม่รู้ที่มาแน่ชัด รู้ตัวอีกทีเบต้าที่สนับสนุนการปฏิวัติส่วนใหญ่ก็ออกตัวหยุดงานกันแล้ว แต่น่าเสียดายที่มันก็ยังเป็นส่วนน้อยอยู่ เพราะไม่ใช่เบต้าทุกคนที่อยากจะเอาชีวิตไปเสี่ยงกับการต่อต้านพวกอัลฟ่า
   
แต่อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงก็ย่อมดีกว่าการนิ่งเฉย
   
พวกเขานัดหยุดงานกันก่อนที่ช่วงบ่ายจะได้ข่าวถึงการชุมนุมหน้าสนามกีฬาชุมชนใจกลางเมืองจึงพากันไปรวมตัวกันเพื่อประท้วงกับเบต้าอย่างสันติ ไร้ซึ่งแกนนำ พอได้จำนวนหนึ่งก็มีเบต้าผลัดกันไปพูดปราศรัยเรียกร้องสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาควรจะได้จากอัลฟ่า ซึ่งมันก็เป็นคำขอที่แสนเรียบง่ายเข้าใจไม่ยาก
   
พวกเขาก็แค่ต้องการชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้เท่านั้น
   
ทุกวันนี้พวกเขาใช้ชีวิตยากเกินไป สิ้นหวังเกินไป เหนื่อยล้าเกินไป ในแววตาของเด็กๆ แทบจะไม่เหลือความหวังในประเทศนี้แล้ว พวกเขาหิวโหยและโกรธเคือง
   
“สิ่งที่เราร้องขอไม่ใช่สิ่งใหม่ พวกเราก็แค่ต้องการสวัสดิการที่ดีขึ้น”
   
ในระหว่างที่เบต้าคนหนึ่งปราศรัยอยู่นั้น จำนวนของเบต้าที่มาเข้าร่วมรับฟังก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ผ่านไปได้ไม่นานกลุ่มคนที่ยังหวงแหนใน ‘อำนาจ’ ของตัวเองก็มาถึง
   
“หยุด!! ใครขยับตาย!!”
   
ทันทีที่รถบรรทุกของทางการจอดเหล่าทหารตำรวจของอัลฟ่าก็กรูลงมาจากรถพร้อมอาวุธครบมือ ด้วยสีหน้าขึงขังและเล็งไปยังประชาชนมือเปล่าของตัวเองอย่างข่มขู่ เพราะคำสั่งที่พวกเขาได้รับมาคือต้องหยุดการชุมนุมที่เกิดขึ้นนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม
   
และแน่นอน วิธีการที่ง่ายที่สุดสำหรับการปิดปากและสร้างความหวาดกลัวก็คือการ ‘ฆ่า’
   
อย่างไรก็ตามไม่ว่าพวกเขาจะฆ่าหรือการกระทำรุนแรงแค่ไหนก็ตาม ยังไงพวกเขาก็ไม่มีความผิดเพราะเป็นการกระทำตามหน้าที่ และคนที่ควบคุมศาลอยู่ก็คืออัลฟ่า ฉะนั้นไม่มีทางใดเลยที่พวกเขาจะมีความผิดได้
   
เบต้าคนที่ปราศรัยอยู่บนเวทีนั้นยืนตัวแข็งทันที แต่เบต้าอีกคนก็ทนไม่ได้ขึ้นไปแย่งไมค์พูดปราศรัยต่ออย่างเกรี้ยวกราด
   
“เราจะทนกันแบบต่อไปจริงๆ งั้นเหรอ ปล่อยให้พวกชั่วๆ พวกนี้มันมันปกครองเรา ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าพวกมันเป็นฝ่ายผิด!!!”
   
ปัง!
   
พูดไม่ทันจบประโยคก็โดนยิงสวนขึ้นไปทันที แต่มันเหตุการณ์ที่เขาคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว จึงสามารถหลบได้อย่างคล่องแคล่ว ก่อนที่จะคืนร่างต้นซึ่งเป็นแพะครึ่งหนึ่งและวิ่งหนีไปตึกที่ใกล้ที่สุด
   
ปัง! ปัง!
   
เหล่าเจ้าหน้าที่รัฐวิ่งตามไปทันที ขณะที่เดียวกันก็ไล่จับกุมผู้ที่มาชุมนุมเพื่อจับไปขังและดำเนินคดี แน่นอนว่าเหล่าเบต้าส่วนใหญ่ไม่อยู่เฉยให้จับกุมง่ายๆ เพราะรัฐนั้นได้ใช้วิธีการที่รุนแรงและไร้มนุษยธรรมที่สุดกับพวกเขา
   
ตูม!
   
ระเบิดควันลูกหนึ่งจากฝั่งผู้ประท้วงโยนคืนใส่เจ้าหน้าที่รัฐเพื่อสร้างม่านควันขึ้นมา และซื้อเวลาให้พวกเขาได้หลบหนี ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างตอนนี้อลหม่านกันกว่าเดิม
   
เจ้าหน้าที่รัฐต่างวิ่งตามจับเหล่าผู้ชุมนุมราวกับสุนัขล่าเนื้อที่หิวจัด รางวัลชิ้นโตที่พวกเขาจะได้รับจากการจับผู้ชุมนุมได้สักคนคือตำแหน่งหรือเงินก้อนใหญ่สักก้อน พวกเขาคาดหวังมันมากจึงต้องพยายามอย่างยิ่งในการสร้างผลงานให้ผู้บังคับบัญชาพอใจ
   
ปัง! ปัง! ปัง!
   
“สารเลว.. ไอ้พวกสารเลว”
   
เบต้าคนหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมโดนลูกหลงจากการพยายามยิ่งทะลุม่านควัน ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อโดนลูกหลงเช่นนี้แล้ว เขายอมกลายเป็นผลงานของเหล่าเจ้าหน้าที่ทันที ไม่ว่าเบต้าคนนี้จะเป็นผู้ชุมนุมหรือไม่ก็ตาม ถ้าหากพวกเขาให้เป็นก็ต้องเป็นอย่างไม่มีเงื่อนไข
   
ส่วนเบต้าแพะนั้นก็ยังคงพูดใส่ไมค์ต่อไปเรื่อยๆ แม้ว่ากำลังถูกความตายไล่ล่าอยู่ก็ตาม
   
“ถ้าเรายอมมันไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีวันเปลี่ยน ตลอดชีวิตของเราก็จะเป็นทาสของมัน”
   
ปัง!
   
“หุบปากสักที!! จะพูดไปให้ได้อะไรวะ!!”
   
เบต้าซึ่งเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่รัฐคำรามออกมาอย่างดุดัน เขาคือหนึ่งในบุคคลที่เทิดทูนอัลฟ่าอย่างสุดหัวใจ ไม่เคยตั้งคำถามใดๆ เพราะความเชื่อมั่นอย่างถึงที่สุด
   
แน่นอนว่าเบต้าแพะคนนั้นไม่ใส่ใจ แต่การพูดก็ค่อนข้างช้าขึ้น เริ่มเหนื่อยจากการหนีขึ้นบันไดหนีไฟที่สูงชั้นขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอีกใจหนึ่งของเขาก็ภาวนาให้มันไม่สิ้นสุด เพราะถ้ามันหมดเมื่อไหร่ นั่นก็เท่ากับว่าเขาไม่มีทางหนีแล้ว
   
“เสรีภาพเป็นสิ่งทีมีอยู่จริง อิสรเสรีที่โอเมก้าพูดถึงมันคือเรื่องจริง พวกเขาไม่ได้โกหก!”
   
ปัง! ปัง! ปัง!
   
เพราะไปแตะเรื่องต้องห้าม  กระสุนที่ถูกยิงจึงมากขึ้น ความอ่อนล้าจากการหนีทำให้เขาหลบไม่ทันนัดหนึ่งจนมันฝังเข้าไปในช่องท่อง แต่เขาก็ยังพยายามหนีและพูดต่อไปอยู่ดี
   
ซึ่งสิ่งที่น่าเสียดายที่สุดคือสิ้นสุดบันไดหนีไฟแล้ว
   
เขาเปิดประตูก่อนที่จะวิ่งออกมาทางดาดฟ้าพยายามจะหาทางหนีและพูดอะไรต่อ แต่สมองก็โล่งไปหมดตอนที่เห็นเด็กอายุประมาณสี่ห้าขวบคนหนึ่งวิ่งเล่นอยู่คนเดียว
   
“…แย่แล้ว”
   
เบต้าแพะสบถรู้สึกอยากจะร้องไห้เต็มทน
   
อีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าพวกมันจะตามมาข้างหลัง และกราดยิงใส่เขา ซึ่งเขาก็ค่อนข้างมั่นใจมากว่ามันจะไม่ระวังเด็กนี้แน่ๆ แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือต่อให้เอาตัวกันกระสุนให้ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าเด็กนี้รอดอยู่ดี
   
ทำยังไงดี ทำยังไงดี ทำยังไงดี
   
ความบ้าบิ่นเมื่อกี้แทบจะหายไปหมด และถูกแทนที่ด้วยความกังวล ทุกสิ่งทุกอย่างในเวลานี้บีบบังคับให้เขาตัดสินใจให้ไวที่สุด ทั้งๆ ที่มันไม่มีหนทางอื่นเลยนอกจากกระโดดลงจากตึกสูงเจ็ดชั้น
   
ปัง!
   
เสียงประตูที่ถูกกระแทกให้เปิดทำให้เบต้าแพะตัดสินใจในพริบตา
   
ไม่ทันแล้ว
   
เขาวิ่งเข้าไปอุ้มเด็กคนนั้นแล้วกระโดดลงจากตึกทันที!

=

 :a12:

ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
แง้ เส้าทุกครั้งที่อ่านเลย รู้สึกเหมือนประเทศเรากำลังจะกลายเป็นแบบที่นี่

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เศร้าอีกแล้ว

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
มันเศร้าและหดหู่ใจมากเลย :mew6:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ไม่มีคำใดจะบอกเลยค่ะ
ชีวิตที่ไม่มีอนาคต มีแต่จมลง

สงสารทวิชนะ รอคอยมานาน อยากให้สมหวังสักที

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 10

   
ปัง! ปัง! ปัง!
   
สิ่งที่ยุติความเห็นต่างได้ดีที่สุดและง่ายที่สุดก็ยังคงเป็นความรุนแรง
   
ทวิชมองภาพพวกคนของทางการวิ่งไล่ตามผู้ชุมนุมด้วยความเย็นชา นัยน์ตาสีทองสั่นระริกด้วยความโกรธแค้นเพราะสิ่งที่ผู้ชุมนุมเรียกร้องนั้นมันก็เป็นแค่ความต้องการเบื้องต้น เป็นแค่ปัจจัยพื้นฐานที่มนุษย์คนหนึ่งต้องการ ไม่ได้พูดถึงการแบ่งแยกประเทศหรือการชังชาติอะไรทำนองนั้นสักนิด แต่พวกคนของทางการกลับตะโกนออกมาไม่หยุด
   
“เพราะพวกมึงประเทศชาติถึงล่มจม!!”
   
เสียงแหบห้าวดังมาจากเบต้าธรรมดาคนหนึ่งซึ่งเข้าร่วมกับกลุ่ม ‘อาสาสมัครเพื่อชาติ’ ซึ่งเป็นกลุ่มที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นมาอย่างเป็นวาระเร่งด่วนและเชิญชวนให้ประชาชนเข้าร่วมเพื่อต่อต้านเหล่ากบฏที่มุ่งร้ายต่อประเทศ โดยสิ่งที่โดดเด่นของกลุ่มนี้คือผ้าพันคือสีดำและหมวกสีทอง ซึ่งเป็นสีของอัลฟ่าเหล่าชนชั้นนำผู้ปกครองประเทศนี้ตลอดเวลาที่ผ่านมา
   
แน่นอนว่าเดิมทีแรงกำลังทหารของอัลฟ่าอาจจะควบคุมฝูงชนผู้โกรธแค้นได้ไม่อยู่มือพอ พวกเขาจึงยืมมือประชาชนเบต้าทั่วไปมาเข่นฆ่าคนด้วยกันเอง โดยให้รางวัลเป็นสวัสดิการต่างๆ เช่นการรักษาพยาบาลฟรี อาหารฟรี หรือแม้แต่การช่วยเหลือค่าเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐานให้เสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุดเป็นต้น
   
ซึ่งสิ่งที่กลุ่มอาสาสมัครเหล่านี้ได้รับก็ล้วนแล้วแต่เป็นสวัสดิการที่กลุ่มกบฏเรียกร้องให้ทั้งนั้น ทั้งๆ ที่รัฐบาลควรจะจัดสิ่งเหล่านี้ให้กับประชาชนตามหน้าที่ แต่พวกเขากลับไม่ทำและนำมันมาใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงกลุ่มเบต้าหัวอ่อนที่ไม่เท่าทันความคิดของอัลฟ่าเข้าร่วมกับโครงการนี้อย่างขาดสติ และเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำ
   
พวกเขาถูกหลอกให้ ‘ฆ่า’ คนด้วยกันเอง
   
ฆ่าคนที่อาศัยอยู่ในประเทศเดียวกัน ฆ่าคนที่อาจจะเป็นเพื่อนบ้าน ญาติ พ่อแม่พี่น้องของใครสักคนอย่างไร้การยับยั้งชั่งใจเพราะถูกสอนมาจากค่ายว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องประนีประนอมกับกลุ่มกบฏชังชาติเหล่านี้
   
ปัง! ปัง!
   
“อย่ายิง ฮึก ได้โปรดอย่ายิง ผมไม่ทำแล้ว ผมยอมแล้ว อย่ายิงผม”
   
เบต้าหนึ่งในผู้ชุมนุมนอนสั่นงั่นงกอยู่บนพื้นร้องไห้ไม่หยุดอย่างสิ้นหวัง ข้างกายมีศพของเบต้าแปลกหน้าที่ไม่รู้จักนอนก่ายกองอยู่ข้างๆ ใบหน้าของเบต้าคนนั้นเจ็บปวดความเจ็บปวดถึงแม้ว่าจะถูกกระสุนพรากวิญญาณไปแล้วก็ตาม
   
“เจอตัวกบฏแล้ว! ฆ่ามันเลย!!”
   
อาสาสมัครคนหนึ่งร้องออกมาอย่างดีใจ พุ่งปรี่เข้าไปกระชากเบต้าคนนั้น ก่อนที่จะพยายามลากไปหากลุ่มคนของทางการเพื่อเอาหน้าและเรียกร้องถึงรางวัลที่ตัวเองจะได้รับโดยไม่สนใจแม้แต่น้อยว่ารางวัลที่ตัวเองจะได้นั้นต้องแลกมาด้วยชีวิตของเบต้านักเรียนธรรมคนหนึ่งที่มีแม่นอนป่วยอยู่ที่บ้าน
   
“ฮึก ผมขอร้อง อย่าฆ่าผมเลย อย่า—“
   
เบต้านักเรียนร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวัง ซึ่งผลสุดท้ายที่เขาได้รับก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายนัก
   
ปัง!
   
กระสุนนัดหนึ่งเจาะเข้ากลางหัวกลายเป็นร่างไร้วิญญาณในชั่วพริบตา
   
“…”
   
ทวิชที่กำลังจะพุ่งเข้าไปช่วยจ้องภาพตรงหน้าอย่างตะลึงงัน ก่อนที่ความเคียดแค้นจะพวยพุ่งขึ้นมาในอกจนกดไม่อยู่ น้ำตารื้นอย่างควบคุมไม่ได้
   
“ท่านครับ ขอทางหน่อยนะครับ”
   
คนของทางการคนหนึ่งซึ่งพยายามจะเข้าไปตรวจสอบศพของนักเรียนคนนั้นพูดกับทวิชอย่างนอบน้อม เพราะเห็นทวิชอยู่ในร่างต้น ใบหน้าที่ควรจะเป็นใบหน้าสวยถูกแทนที่ด้วยหัวของเสือดำที่ดูน่าเกรงขาม
   
“…”
   
ทวิชพยักหน้าน้อยๆ แล้วถอยหลบ พยายามไม่ทำตัวมีพิรุธนัก อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาก็ยังตายไม่ได้ และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าเหตุผลอะไรที่พวกกลุ่มปฏิวัติถึงนัดให้มาที่นี่
   
เพราะอยากให้เขาเห็นการประท้วงเหรอ? หรืออยากให้เห็นการสังหารหมู่กลางเมืองที่เขาเห็นมาเป็นร้อยครั้งในชีวิตแล้ว ซึ่งพอเขาพยายามจะมองหากลุ่มปฏิวัติที่เหลือรอดที่ยังซุกซ่อนตัวอยู่ก็เห็นแต่พวกเบต้าที่มาเข้าร่วมชุมนุมร้องตะโกนขอชีวิตและหนีอย่างหัวซุกหัวซุน ไม่มีวี่แว่วของการเคลื่อนไหวของกลุ่มปฏิวัติสักนิด
   
ทุกอย่างดูวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีทีท่าจะลดลง
   
ทวิชกวาดตามองรอบๆ อยู่สักพักจนกระทั่งเห็นอะไรบางอย่างตกลงจากตึกก็เบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก
   
“!!!”
   
มีคนกำลังตกลงจากตึก!
   
เพียงชั่วพริบตาที่รับรู้ถึงความจริงข้อนี้ เลือดในกายของทวิชก็ร้อนฉ่า สัญชาตญาณบางอย่างในตัวก็กู่ร้องออกมา ความคิดตรรกะต่างๆ ที่ดำเนินอยู่ของทวิชหายไปโดยพลัน
   
เขาพุ่งไปหาร่างนั้นทันที
   
เสียงกระดูกดังลั่นก่อนที่ปีกอีกาสีดำคู่ใหญ่จะปรากฏบนหลังทวิชในเวลาไม่กี่วินาที ดันเอาเสื้อคลุมที่ใส่ทับมาตัวเองหลุดออกไปจนร่างกายครึ่งบนเปลือยเปล่า
   
“..โอเมก้า?”
   
อัลฟ่าวัยรุ่นหนึ่งในทหารของทางการพูดออกมาอย่างตกตะลึง เมื่อเห็นโอเมก้าตรงหน้าตัวเองเป็นครั้งแรกในชีวิต มือที่ประคองปืนอยู่คล้ายจะหมดแรงไปกะทันหัน เมื่อเห็นปีกสีดำที่น่าหลงใหลของทวิช ซึ่งนอกจากนี้แล้วพวกเบต้าและคนของทางการอื่นๆ ก็เผลอไผลมองตามไปเช่นกัน
   
นก..
   
นี่อาจจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีของพวกเขาที่ได้เจอโอเมก้าตัวเป็นๆ
   
สิ่งที่น่าหลงใหลและเป็นที่ต้องการของตลาดมืดก็ยังคงเป็นปีกอันสวยงามของโอเมก้าที่แทบจะละสายตาไปไม่ได้ ซึ่งปีกคู่ใหญ่บนแผ่นหลังขาวของทวิชก็น่าจะเป็นหนึ่งนั้น แน่นอนว่าถ้าหากทวิชถูกจับได้ตอนนี้ ถ้าไม่ถูกฆ่าก็คงจะถูกแปรเปลี่ยนสินค้าราคาสูงในตลาดมืดให้พวกอัลฟ่าชั้นสูงซื้อไปสะสมและกลายเป็นทาสตัณหาของอัลฟ่าสักคน
   
ปัง!
   
แต่น่าเสียดายที่เหล่าทหารของทางการก็ไม่ได้ตกตะลึงกันนานนัก อย่างไรก็ตามคำสั่งด่วนที่จรดปลายคอพวกเขาราวกับมีดคมก็ตักเตือนพวกเขาอยู่เสมอว่าอย่าได้ปล่อยให้กลุ่มกบฏเหลือรอดไปโดยเด็ดขาด
   
“ฆ่ามัน!!”
   
ทหารยศใหญ่คนหนึ่งตะโกนออกมาก่อนที่เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะกู่ร้องรับกันเกรียวกราว พาดกระบอกปืนบนไหล่หนาและเล็งไปยัง ‘อิสรภาพ’ ที่กำลังโบยบิน
   
ปัง!
   
“!”
   
ทวิชสะดุ้งเฮือกเมื่อมีกระสุนนัดหนึ่งยิงถากปีกตัวเอง ก่อนที่อีกหลายนัดจะยิงเฉี่ยวหัวและตัวเขา ใบหน้าที่ยังคงอยู่ในร่างต้นแยกเขี้ยวออกมาอย่างหงุดหงิด พยายามประคับประคองร่างของมนุษย์ทั้งสองคนที่สลบไปแล้วอย่างสุดความสามารถ แม้ตัวเองนั้นไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่แบกร่างของทั้งสองไหวก็ตาม
   
ปัง!
   
“โฮกกก!!”
   
ทวิชคำรามออกมาเสียงดังลั่นเมื่อกระสุนนัดหนึ่งเจาะเข้าที่ปีก ความเจ็บปวดที่ล้นปรี่ทำเอาสูญเสียการทรงตัวและร่วงหล่นสู่พื้นในที่สุด
   
“…จบแล้วสินะ”
   
ทวิชหัวเราะเสียงแผ่วออกมาอย่างฝาดเฝื่อน ไม่ได้รู้สึกกลัวความตายที่จะมาถึงตัวเองในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าแม้แต่นิดเดียว หนำซ้ำยังรู้สึกสงบมากด้วย
   
“..ขอโทษนะ กันต์”
   
ทวิชพึมพำกับตัวเองด้วยความรู้สึกเสียใจเล็กๆ เพราะเขาไม่ได้บอกอะไรกันต์เลย นอกจากว่าตัวเองจะออกมาซื้อของข้างนอกและจะกลับอีกทีช่วงดึกๆ   
   
แต่เอาเข้าจริงเขาก็ไม่ได้ห่วงกันต์มากเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามเด็กนั่นก็เคยอยู่ด้วยตัวเองมาก่อน การที่เขาตายอาจจะไม่ส่งผลอะไรต่อกันต์มากตามที่เขาคิดก็ได้
   
พอคิดได้แบบนั้นทวิชก็หลับตาลง ยอมศิโรราบต่อแรงโน้มถ่วงโลกให้พรากชีวิตตัวเองจากแรงกระแทกอันรุนแรงโดยไม่คิดจะขัดขืนแต่อย่างใด
   
เขาเหนื่อยกับใช้ชีวิตอย่างสิ้นหวังในประเทศเฮงซวยนี่มากจริงๆ
   
“..ยังไม่ถึงเวลาของแกนะ ไอ้หนู”
   
“!!”
   
ทวิชเบิกตาโพลงอย่างตื่นตระหนกเมื่ออยู่ดีๆ ก็มีแขนทรงพลังแย่งชิงตัวเองจากความตาย และตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นปีกสีน้ำตาลดำคู่ยักษ์บนแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่ใหญ่พอจนเขามองอะไรแทบไม่เห็น ใบหน้าคมที่มีเค้ามีร่องรอยของกาลเวลายิ้มให้ทวิชอย่างเป็นมิตร และในขณะเดียวกันก็บินโฉบไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจนกระสุนของเหล่าทางการยิงตามไม่ทัน
   
“..คุณเป็นคนของกลุ่มวันพรุ่งนี้เหรอ?”
   
ทวิชถามเสียงแผ่วมองปีกคู่ใหญ่ที่ถึงแม้จะกระพืออย่างรุนแรงแต่กลับไม่มีเสียงออกมาแม้แต่นิดเดียว ซึ่งทวิชก็เดาว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นนกสายพันธุ์กลางคืนสักอย่างที่เขาไม่รู้จัก
   
“ไม่ใช่”
   
“..แล้วคุณช่วยผมทำไม”
   
ทวิชหลุบตามองมือตัวเองที่ยังคงสั่นเทาเพราะช่วยสองคนนั้นไม่ได้ เขามีเรี่ยวแรงน้อยเกินไป และตอนนี้ทั้งคู่ก็คงจะตายไปแล้วจากการแรงกระแทกอันรุนแรง
   
“มันยังไม่ถึงเวลาของนาย”
   
“แล้วมันถึงเวลาของสองคนนั้นแล้วเหรอ ..ทำไมคุณไม่ช่วยพวกเขาด้วย”
   
ทวิชรู้ดีว่าตัวเองกำลังงี่เง่า แต่เขาก็เจ็บปวดเหลือเกินที่ต้องรับรู้ว่ามีตัวเองช่วยใครไม่ได้อีกแล้ว
   
ทำไมประเทศนี้ถึงชื่นชอบความรุนแรงและความตายนักนะ เขาไม่เข้าใจเลย
   
“โอเมก้าที่ยังมีปีกสมบูรณ์แบบนายเหลือน้อยแล้ว ถ้านายอยากจะเปลี่ยนประเทศเฮงซวยนี้นายก็ต้องทนมีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะนายยังมีประโยชน์อยู่ ส่วนสองคนนั้นใช่ว่าฉันจะไม่อยากช่วย แต่มันไม่ทันจริงๆ ”
   
“คนอย่างผมจะไปทำอะไรได้”
   
ทวิชหลับตาหัวเราะเสียงแผ่ว ก่อนจะครวญครางออกมาอย่างเจ็บปวดเพราะเผลอขยับตัวมากเกินไป เลือดที่ไหลบ่าออกมาอยู่แล้วไหลมากกว่าเดิมจนชุ่มไปทั้งแผ่นหลัง
   
“..หลับซะ พูดไปตอนนี้นายก็ไม่ฟังฉันหรอก”
   
“..คุณน่าจะปล่อยให้ผมตาย”
   
ทวิชพึมพำออกมาเสียงเบาด้วยแววตาสิ้นหวังก่อนที่จะสลบไปในที่สุด

   

ทวิชสลบไปอยู่หลายวันกว่าจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังขยับตัวได้ไม่มากเท่าไหร่ แม้ว่าจะโดนกระสุนจากภาษีตัวเองเพียงนัดเดียวเท่านั้น
   
“..ที่นี่?”
   
ทันทีที่ฟื้นขึ้นมาทวิชก็ไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจกับความแปลกตาของที่ๆ ตัวเองอยู่นัก เพราะหลายครั้งที่ทวิชมักจะจินตนาการถึงที่ๆ เลวร้ายที่สุดที่ตัวเองสามารถตื่นขึ้นมาเจอได้ เนื่องจากเขารู้ดีว่าราคาของการคิดต่างนั้นค่อนข้างสูง
   
วันดีคืนดีเขาอาจจะโดนจับตัวขังในห้องมืด หรือแย่กว่านั้นคือโดนจับโบกปูนถ่วงน้ำอะไรทำนองนั้น เท่าที่พวกคนของทางการจะคิดวิธีการทัณฑ์ทรมานเขาคิดออก
   
ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นในประเทศเฮงซวยที่ไร้ซึ่งสิทธิมนุษยธรรมนี่
   
ทวิชมองคนที่พาตัวเองมาที่นี่สลับกับคนที่น่าจะเป็นหมอรักษาเขาและยิ้มน้อยๆ ให้อย่างเป็นมิตร
   
“ยินดีต้อนรับสู่ท้องฟ้าใต้ดิน ฉันชื่อปั้นเป็นหมอประจำที่นี่ ส่วนคนที่พานายมาชื่อธัน เราทั้งคู่เป็นสมาชิกกลุ่มปฏิวัติครั้งที่แล้วที่ยังหลงเหลืออยู่ และตอนนี้นายก็กำลังอยู่ใต้ดินในป่าสักแห่ง ฉะนั้นอย่าแปลกใจที่อากาศที่นี่มันไม่ถ่ายเทสักเท่าไหร่”
   
“…งั้นคุณก็รู้จักพ่อแม่ผมสิ”
   
ทั้งๆ ที่ปกติแล้วทวิชมักจะระวังตัวมากกว่านี้ในเรื่องส่วนตัว แต่ตอนนี้เขากลับพูดเผลอพูดมันออกมาอย่างลืมตัว นัยน์ตาสีทองที่มันจะแสดงท่าทีเฉยชาสั่นระริก มือที่อยู่ใต้ผ้าห่มจิกแขนตัวเองแน่น หัวใจในอกเต้นอื้ออึงจนแทบไม่ได้ยินอะไร
   
ถึงแม้จะทำใจเอาไว้แล้ว แต่เมื่อต้องมารับรู้จริงๆ ว่าพ่อแม่ตัวเองตายแบบไหน อยู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว เจ็บปวดยิ่งกว่าตอนที่ตระหนักว่าตัวเองเป็นฆาตกรที่ฆ่าคนมาเกือบสามร้อยคนอีก
   
ทวิชพยายามกลั้นสะอื้นในลำคอ
   
แต่นี่ไม่ใช่เหรอที่เป็นความจริงที่เขาอยากรู้มาตลอด เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะรู้ไปทำไม มันคงไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์ใจอะไรด้วยซ้ำ หรือเอาเข้าจริงเขาก็อาจจะแค่อยากรู้ว่าพวกทางการจะโหดร้ายกับพ่อแม่ที่แสนดีของเขาได้ถึงขนาดไหนกัน
   
“พ่อแม่?” ปั้นขมวดคิ้วมุ่นหูกวางขยับขึ้นลงเล็กน้อยเหมือนไม่แน่ใจว่าตัวเองได้ยินถูก “พ่อแม่นายเข้ากับการกลุ่มปีกแห่งเสรีภาพด้วยเหรอ”
   
“คุณจำลอง”
   
“…”
   
“…หนูทวิช?” ปั้นพูดออกมาด้วยสีหน้าเหรอหรา ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นดีใจมากเพราะไม่นอกจากคนในท้องฟ้าใต้ดินแล้วก็แทบไม่เจอคนรู้จักใหม่ๆ แล้ว การได้เจอทวิชจึงถือว่าเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมาก “โตขนาดนี้แล้วเหรอ จำอาได้ไหม อาปั้นที่เป็นหมอเพื่อนแม่ทวิชไง อาที่ชอบฝากของเล่นไปให้ทวิชบ่อยๆ ”
   
จากท่าทีที่เป็นมิตรอยู่แล้ว ตอนนี้เป็นมิตรกว่าเดิมหลายเท่ายิ้มจนตาหยีให้กับทวิช และทอดถอนหายใจถึงเวลาที่ผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน ในตอนนั้นทวิชยังตัวไม่ถึงเอวเขาด้วยซ้ำ ตอนนี้กลับเป็นโตขนาดนี้ซะแล้วแถมยังหน้าตาเหมือนแม่มากด้วย
   
“…ขอโทษนะครับ ..แต่ผมจำคุณไม่ได้”
   
ทวิชพูดอย่างกระอักกระอ่วนใจ
   
“โอ๊ย ไม่เป็นไร แค่อาจำหนูได้ก็พอแล้ว โตขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย มิน่าล่ะถึงมีปีกอีกาเหมือนพ่อเลย อาก็ว่าอยู่มันคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”
   
“อาอยู่ที่นี่มาตลอดเหรอ..”
   
ทวิชพึมพำพูดเสียงเบาพลางมองห้องรอบตัวที่ยังคงเป็นห้องที่สร้างขึ้นมาอย่างลวกๆ และฉาบด้วยอะไรบางอย่างที่ทำให้ดินแข็งตัวและยังคงอยู่ในสภาพเดิมได้ แหล่งกำเนิดแสงเพียงหนึ่งเดียวในห้องคือเทียนไขที่จุดไว้ตามจุดต่างๆ ของห้อง นอกจากนี้แล้วสิ่งที่ชัดเจนที่สุดของห้องก็คือกลิ่นอับชื้นจากการระบายอากาศที่ไม่ดี
   
“ใช่” หนึ่งในผู้เหลือรอดจากการกวาดล้างกลุ่มกบฏหัวเราะเสียงแผ่ว “บนบกไม่มีให้หนีก็ต้องหนีเข้าป่า พอเข้าป่ากลัวเขาตามมาฆ่าก็ต้องมาหลบใต้ดินแบบนี้เนี่ยแหละ”
   
“ที่นี่ลึกขนาดไหน”
   
ทวิชมองสีหน้าสิ้นหวังของอาปั้นด้วยความรู้สึกเจ็บปวด
   
“ก็ลึกพอที่พวกมันจะหาเราไม่เจอ” ปั้นยิ้มนิดๆ “แต่อยู่ที่นี่ก็เหมือนติดคุกนั่นแหละ ไปไหนไม่ได้ ได้แต่หวังลมๆ แล้งๆ ว่าสักวันไอ้พวกชนชั้นนำจะล้มลงแล้วเราจะได้กลับขึ้นไปบนดินสักที รู้ไหมว่าอาไม่ได้เห็นท้องฟ้ามาเกือบสิบปีแล้วมั้ง”
   
“..เชื่อผมเถอะว่าอาไม่อยากขึ้นไปตอนนี้หรอก”
   
“ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนอีกเหรอ คนตายไปเยอะขนาดนั้น พวกคนทั่วไปยังเชื่ออีกเหรอว่าพวกอัลฟ่ามันดี”
   
ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าใจว่าสถานการณ์ข้างบนเป็นยังไง ปั้นก็อดไม่ได้ที่จะหวังเล็กๆ เพราะเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเขาตายไปมากมายเหลือเกินกับการกวาดล้างครั้งนั้น การกวาดล้างที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีความชอบธรรมตรงไหน ผู้คนถึงเห็นดีเห็นงามกันไปหมด ทำไมถึงยินยอมให้เกิดการใช้กระสุนฆ่าล้างพวกเขาที่ไม่มีแม้แต่อาวุธในมือด้วยซ้ำ
   
เหตุการณ์อันโหดร้ายแบบนั้นจะเกิดขึ้นอีกเหรอในประเทศนี้ มันเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมและเกินกว่าเหตุเกินไปหรือเปล่า นี่เพิ่งผ่านมาไม่ถึงหนึ่งชั่วอายุคนด้วยซ้ำ ผู้คนหลงลืมไปแล้วเหรอว่ามีคนการฆ่าล้างกันกลางเมืองแถมยังมีวันทำความสะอาดเมืองอีก
   
พอเห็นว่าทวิชพยักหน้า คนเป็นอายกมือขึ้นปิดตาตัวเองทันทีเพราะรู้ตัวว่าตัวเองคงกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว ก่อนจะหลุดสะอื้นออกมาจนตัวโยนด้วยความสิ้นหวัง
   
“ธัน เราจะสู้ไปเพื่ออะไรกันวะ”
   
“…”
   
“พวกเราตายกันขนาดนี้พวกนั้นยังไม่ตาสว่างกันอีก กับสิทธิที่พวกเราควรจะได้ ทำไมคนถึงไม่เข้าใจกันสักทีวะ ฮึก ทำไมถึงยอมให้มันหลอกวะ เล่นตามกติกาก็แพ้ ไม่เล่นตามกติกาก็แพ้ พอเอามาประท้วงก็โดนยิง ทำไมวะ ทำไมถึงดูกันไม่ออกสักที!!!”
   
“…”
   
ธันไม่ได้พูดอะไรและเลือกที่จะลูบหลังปลอบอีกฝ่ายอย่างเบามือ แน่นอนว่าคนที่ออกไปเห็นการฆ่ากวาดล้างกลางเมืองอีกครั้ง มันก็เหมือนภาพฉายซ้ำของเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแค่ตัวละคร และเขาก็มั่นใจว่าต่อให้พวกทางการฆ่ากลุ่มนี้ ในอนาคตข้างหน้าก็มีกลุ่มปฏิวัติกลุ่มใหม่ลุกขึ้นมาต่อต้านอยู่ดี
   
เขาสิ้นหวังเช่นเดียวกับปั้น แต่ลึกๆ เขาก็ยังต่อต้านพวกนั้นอยู่ดี เขาจึงยังทนมีชีวิตอยู่จนมาถึงตอนนี้
   
“รู้ไหมว่าพ่อหนูตายยังไง ทวิช”
   
ปั้นแค่นเสียงหัวเราะออกมาฝาดเฝื่อน สะอื้นหนักกว่าเดิมเพราะความทรงจำในตอนนั้นยังชัดเจนราวกับว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นตรงหน้าตัวเองตอนนี้ แม้ว่ามันจะผ่านมาหลายสิบปีแล้วก็ตาม
   
เสียงกรีดร้อง กลิ่นคาวเลือด ซากศพและความสิ้นหวัง
   
ทุกอย่างเกาะกุมไปทั้งเมืองเพื่อทำลายความหวังที่จะเปลี่ยนชีวิตตัวเองของเบต้าและโอเมก้า ให้พวกมันสำเหนียกซะว่าตัวเองก็เป็นแค่เบี้ยล่างของเหล่าอัลฟ่า ไม่มีสิทธิ์มีเสียงไปมากกว่านั้น
   
“พ่อหนูตายแบบโคตรทรมานเลย พวกมันไม่ยิงนะแต่จับไปแขวนคอบนรูปปั้นอัลฟ่าของพวกแล้วตอกลิ่มกลางอกทั้งเป็นแล้วป่าวประกาศใส่พวกเราว่าถ้าใครไม่ยอมมอบตัวก็จะโดนแบบเดียวกัน ส่วนแกนนำคนอื่นๆ ก็โดนตอกลิ่มเหมือนกันแต่ไปแขวนไว้ตามประตูเหล็ก บอกตามตรงว่าอาโคตรสิ้นหวังเลย ทำไมวะ ทำไมถึงต้องโหดร้ายกับเราขนาดนี้”
   
“…”
   
ทวิชจ้องแขนตัวเองที่เลือดอาบทั้งน้ำตา
   
ราคาของเสรีภาพที่พ่อเขาจ่ายนั้นแพงเหลือเกิน
   
“ส่วนแม่หนูเหรอ เหอะ ไม่ต่างกันหรอกทวิช ทั้งๆ ที่มีกฎหมายของนานาชาติว่าห้ามยิงหน่วยรักษาพยาบาล แต่แล้วเป็นไงล่ะ แม่หนูไปช่วยดูแลพวกผู้ประท้วงที่โบสถ์ สุดท้ายก็ตายกันหมดทั้งคนไข้ หมอ พยาบาล เสียดายนะวันนั้นที่อาไม่ได้เข้าไป ไม่งั้นอาไม่ต้องมานั่งทรมานแบบนี้หรอก”
   
ปั้นร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวัง เลิกแสดงท่าทีเข้มแข็งเพราะเขาสิ้นหวังในประเทศนี้เหลือเกิน
   
เขาเหนื่อย เขาเจ็บปวด แต่เขาก็ไม่ยอมอยากยอมพวกมัน และที่แย่ที่สุดคือเขาทำอะไรพวกมันไม่ได้
   
“อาจะไม่บอกหนูนะว่าหนูควรทำอะไร อาไม่ยุ่ง หนูจะอยู่ที่นี่ก็ได้หรือจะกลับขึ้นก็ได้ ขอแค่อย่าบอกใครว่ามีที่นี่อยู่ก็พอ”
   
“..ผมยอมรับว่าผมเหนื่อย” ทวิชสะอื้นและเผลอจิกเล็บเข้าไปในเนื้อตัวเองลึกกว่าเดิม “..ผมอยากตาย ตายให้พ้นๆ จากประเทศเฮงซวยนี่ แต่ลึกๆ ผมก็รู้ว่าผมยังตายไม่ได้ ผมยอมให้พ่อแม่ผมตายฟรีไม่ได้”
   
ถึงแม้ทวิชจะยังสะอึกสะอื้นอยู่แต่นัยน์ตาสีทองก็มีความเด็ดเดี่ยวมากขึ้น หลังจากรับรู้การตายของพ่อแม่ตัวเองที่มักจะพร่าเลือนถึงวิธีการมาตลอด
   
หนำซ้ำความเคียดแค้นที่ได้รับรู้ความจริงก็ทำให้เขามีแรงจูงใจในการใช้ชีวิตเพิ่มขึ้น
   
เขารู้ว่าการดำรงชีวิตด้วยความแค้นไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง แต่ตลอดชีวิตของเขาก็ถูกความแค้นและความรุนแรงขัดเกลามาตลอด จนเขาแทบไม่รู้แล้วว่าการดำรงชีวิตแบบคนปกติมันเป็นยังไง
   
พ่อแม่อาจจะคิดว่าการนำเขาไปซ่อนไว้กับตระกูลพยัคฆโภคสกุลจะทำให้เขามีชีวิตรอดและมีชีวิตใหม่ที่ดี ซึ่งมันก็ไม่เป็นตามที่พ่อแม่คาดหวังเลยสักนิด เพราะสิ่งที่พ่อกับแม่เผลอฝังเข้ามาในตัวเขาด้วยคืออุดมการณ์อันแรงกล้าพวกนั้น
   
อุดมการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงความผิดปกติตรงหน้าที่อาจจะแลกมาด้วยชีวิตของตัวเองก็ตาม
   
เขารู้แค่เพียงว่าตัวเองทนเห็นความเหลื่อมล้ำตรงหน้าไม่ได้เหมือนกับพ่อ และเจ็บปวดทุกครั้งที่มีคนเจ็บป่วยหรือตายเหมือนกับแม่
   
เขารู้สึกอะไรมากมายกับชนชั้นที่ถูกทอดทิ้งไว้เบื้องล่างและถูกกดขี่อย่างไม่รู้ตัว
   
เขาอยากให้ผู้คนเหล่านี้รู้ตัวกันสักที ตื่นกันได้แล้วจากฝันร้ายพวกนี้ ฝันที่สร้างโดยพวกอัลฟ่าและถูกแต่งเติมตามแต่ใจที่พวกมันต้องการ ความเห็นแก่ตัวอุบาทว์ชาติชั่วล้วนแล้วสำแดงออกมาทางการใช้อำนาจของพวกมันทั้งนั้น
   
มันชัดเจนซะยิ่งกว่าชัดเจน ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจว่าผู้คนโดนยากล่อมประสาทอะไรกันอยู่ถึงยังเชื่อพวกมันไม่เลิกสักที
   
“ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่ผมก็ยังอยากทำอยู่ดี”
   
ทวิชเช็ดเล็บที่ชุ่มเลือดของตัวเองกับชายเสื้อที่ตัวเองซ่อนไว้ใต้ผ้าห่มลวกๆ ก่อนที่จะใช้หลังมือเช็ดน้ำตาตัวเองออกเพราะเขาเหนื่อยที่จะร้องไห้เต็มทนแล้ว
   
ปีกของทวิชขยับน้อยๆ ขณะที่พูด
   
“ในเมื่อคุณขโมยความตายจากผมไปแล้ว หลังจากนี้ผมจะพยายามไม่โหยหามันอีก”

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
นั้มตาไหลพราก

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เศร้าสุดๆ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เป็นกำลังใจให้ทวิชนะ

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
สู้นะ เราต้องชนะ สักวัน

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 11

   
“ร้านยังไม่เปิดอีกเหรอ?”
   
เบต้ากวางร่างเล็กเอ่ยถามกันต์ด้วยสีหน้าอมทุกข์หลังจากที่แวะเวียนมาร้านนี้ถึงสามวันแล้ว ร้านก็ไม่เปิดเสียทีมีแต่เบต้ากระทิงหน้าตาไม่เป็นมิตรนั่งเฝ้าอยู่หน้าร้าน
   
“…”
   
กันต์ส่ายหัวแล้วหลุบมองพื้นตรงหน้าด้วยความรู้สึกว่างเปล่า
   
เหตุผลที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในตอนนี้ได้หายไปจากชีวิตและครรลองสายตาของเขาแล้ว ถึงแม้ทวิชจะเคยบอกเขาก็เถอะว่าถ้าตัวเองหายไปนานๆ ก็ให้เขายึดร้านเป็นของตัวเองได้เลย ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่อยากได้มัน
   
เขาคิดถึงน้ำเสียงนุ่มนวลที่เอ่ยกับเขาและรสมืออาหารที่หาจับตัวยากของทวิช
   
การมีอยู่ของทวิชทำให้เขารู้สึกมีความสุขในโลกห่วยๆ ใบนี้ หากไม่มีทวิชแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะอยู่ไปทำไม ประเทศนี้ไม่เคยยอมรับการมีอยู่ของเขา ไม่ว่าเขาจะตายหรืออยู่ก็ไม่มีใครสนใจ เพราะลำพังแค่เอาตัวเองให้รอดไปวันๆ ก็หืดขึ้นคอแล้ว
   
เขาไม่รู้ว่าทวิชเติบโตมาแบบไหนถึงได้ใกล้เป็นคนที่ดีขนาดนี้ได้ อาจจะท่ามกลางดอกไม้หรือสถานที่สวยๆ สักที่ แต่มันก็คงเป็นเพียงแค่จินตนาการของเขา เพราะเขารู้ดีว่าสถานที่สวยงามพรรค์นั้นก็มีแค่ในเขตของพวกอัลฟ่าเท่านั้น
   
โลกที่เบต้าและเขาได้รับอนุญาตให้ใช้ชีวิตอยู่มันก็ห่วยเหลือเกิน
   
เงินกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการแย่งชิงโอกาสและซื้อสิ่งต่างๆ แม้กระทั่งเวลา แน่นอนว่าเขาไม่มีปัญญาหามัน เขาถึงต้องมาใช้ชีวิตห่วยแตกพรรค์นี้ ซึ่งมันก็น่าสิ้นหวังจนเขาอยากตายให้พ้นๆ สักที
   
“แล้วนายทำแทนไม่ได้เหรอ? บริการหลับสบายน่ะ”
   
เบต้ากวางถามต่ออย่างคาดหวัง นัยน์ตาสีมันขลับที่มองกันต์นั้นแทบไม่หลงเหลือความมุ่งมั่นในการใช้ชีวิตหลงเหลืออยู่แล้ว
   
“ผมทำอาหารไม่เป็น”
   
แน่นอนว่าทวิชนั้นสอนกระทั่งการผสมยาและฉีดยาให้กับกันต์ คาดหวังเล็กๆ ว่าอีกฝ่ายจะสานพันธกิจของตัวเองต่อ ถ้าหากว่าตัวเองตายไปแล้วในสักวัน
   
“ไอ้อาหารมื้อสุดท้ายนั้นน่ะนะ” เบต้ากวางหัวเราะเบาๆ “ถ้านายไม่ถนัดทำอาหารก็ลองทำสิ่งที่นายถนัดดูสิ แต่เอาเข้าจริงนายไม่จำเป็นต้องทำให้ฉันก็ได้ แค่นายทำให้ฉันตายได้ ฉันก็มีความสุขมากแล้วจริงๆ ”
   
ถึงแม้จะเรียกร้องหาความตายทุกลมหายใจ แต่ลึกๆ ก็ยังกลัวความเจ็บปวดอยู่ดี จึงพยายามหาทางหว่านล้อมกันต์ทุกวิถีทางเพราะเขาทนความทุกข์ทรมานเหล่านี้แทบไม่ไหวแล้ว และไม่อยากให้ความสุขที่จะหลุดพ้นจากเรื่องเลวร้ายทั้งปวงเหล่านี้กลายเป็นความเจ็บปวดทางร่างกายเหลือคณา
   
พอเห็นกันต์พยักหน้าน้อยๆ เบต้ากวางก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจและทรุดตัวนั่งลงข้างๆ พร้อมกับเล่าประวัติของตัวเองทันทีอย่างรู้งาน
   
“ผมชื่อเปรม ผมเป็นเบต้ากวางและตลอดชีวิตของผมคือการทำงานเป็นข้าราชการให้กับรัฐบาล” นัยน์ตาของเปรมนั้นฉายความขมขื่นออกมา “ผมทำงานอยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์หรือคุณจะเรียกผมง่ายๆ ว่า IO (Information Operation) ก็ได้ ผมคอยผลิตข่าวปลอมๆ เกี่ยวกับพวกโอเมก้าหรือกลุ่มปฏิวัติส่งให้พวกรายการโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์แล้วก็พวกสื่อต่างๆ ”
   
ขณะที่พูดอยู่นั้นน้ำตาของเปรมก็ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว
   
“ทีแรกผมก็ชอบงานนี้นะ เงินมันดีแล้วผมก็รู้สึกว่าผมก็ทำในสิ่งที่ถูกต้องด้วย ผมกำลังผดุงความยุติธรรมให้กับรัฐบาลและประเทศ ผมรู้สึกว่าพวกโอเมก้าพวกนั้นสมควรตายให้หมดรวมถึงพวกกบฏด้วย ผมคิดมาตลอดว่าพวกเขาสร้างความวุ่นวายให้กับประเทศ เป็นสาเหตุของความล้าหลังของประเทศเรา ผมทำอาชีพนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งลูกของผมกลายเป็นหนึ่งในคนที่ตาย”
   
เปรมสะอื้นจนตัวโยนเมื่อนึกถึงลูกคนเดียวของตัวเอง
   
“ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าอุดมการณ์ของพวกโอเมก้าจะมีคนกล้าตายเพื่อมัน ผมเลยเขียนข่าวปรามาสพวกมัน วันต่อมาลูกผมก็เลยผูกคอตายหน้าสำนักงานที่ผมทำงานอยู่”
   
“…”
   
กันต์ไม่ได้ออกความเห็นอะไร นั่งฟังเงียบๆ อย่างสงบ พยายามจดจำให้ได้มากที่สุดเพื่อที่ทวิชกลับมาจะได้ให้อีกฝ่ายบันทึกให้เพราะเขาเขียนไม่เป็น
   
“ผมไม่รู้มาก่อนว่าลูกผมมีความคิดเหมือนพวกโอเมก้าเพราะเราไม่เคยคุยการเมืองที่บ้าน ผมไม่เคยสนใจว่าอิสรภาพที่พวกโอเมก้าเรียกร้องเพราะคิดว่ามันไร้สาระและอันตรายต่อประเทศ แต่พอลูกผมตาย ผมถึงรู้ว่ามันไม่ได้ทำร้ายประเทศเราเพราะคนที่ทำร้ายจริงๆ คือพวกอัลฟ่าต่างหาก”
   
เปรมหัวเราะทั้งน้ำตาพยายามใช้มือปาดน้ำตาตัวเองออก แต่มันก็ไม่หยุดไหลสักที
   
“พอผมเข้าใจเจตนาของพวกโอเมก้ากับพวกกลุ่มปฏิวัติ ผมก็รู้สึกเจ็บปวด เพราะข่าวปลอมๆ ที่ผมเขียน ทำให้พวกเขาตายไปกี่คนแล้ว ทำไมผมถึงต้องเขียนข่าวให้พวกเขาโดนเกลียดชัง ทั้งๆ ที่สิ่งที่พวกเขาเรียกร้องคือประโยชน์ส่วนรวมของพวกเรา ทำไมพวกเขาถึงต้องตายอย่างทุกข์ทรมานแบบนั้นด้วย มันไม่ยุติธรรมเลย”
   
เปรมสะอื้นออกมาจนตัวโยน หมดสิ้นซึ่งความทระนงตัวของการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง ยศถาบรรดาศักดิ์ที่เขาได้รับจากอัลฟ่าก็เป็นแค่ของหลอกลวงให้เบต้าหน้าโง่อย่างเขาหลงระเริง เพราะในความเป็นจริงของก็เป็นแค่เครื่องมือในการฆ่าคนด้วยกันเองเท่านั้น ถึงแม้ว่ามันจะเป็นทางอ้อมแต่ก็ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชน
   
เขารู้ว่าพวกเบต้าอย่างเขาหัวอ่อนอย่างกับอะไร ขอแค่ทางการพูดอะไรก็เชื่องเชื่อไปหมดเพียงเพราะถูกสอนมาว่ารัฐบาลนั้นคือความถูกต้อง ไม่มีวันโกหก ไม่เอียงเอน สิ่งอื่นนอกจากนี้ล้วนแล้วแต่เชื่อถือไม่ได้ทั้งนั้น แม้ว่าจะเป็นประเทศโลกที่หนึ่งที่มีความเจริญมากกว่าเราก็ตาม
   
“ผมทนอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้ว”
   
เปรมพยายามฝืนยิ้มให้กันต์แต่ก็ยากเหลือเกิน เพราะการพอนึกถึงความสูญเสียที่ตนเองได้กระทำลงไปโดยเฉพาะกับลูกตัวเองก็ทำให้เจ็บปวดเหมือนตายทั้งเป็น
   
เอาเข้าจริงเขาก็ไม่คิดมาก่อนเลยสักนิดว่าลูกสาวที่ดูอ่อนหวานของเขาจะมีความกล้าถึงเพียงนั้น กล้ากว่าเขาเสียอีก ยินยอมใช้ความตายของตัวเองสังเวยให้กับประโยคดูถูกของรัฐบาลเพื่อเป็นการยืนยันว่ามันคุ้มค่าพอที่จะตายเพื่อมัน
   
“จริงๆ ผมก็อยากลองเปลี่ยนแปลงอะไรภายในเพื่อลูกของผมนะ แต่พอผมพยายามได้สักพัก ผมถึงได้รู้ว่ามันโคตรเสียเวลาเปล่าเลยเพราะทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็เป็นเหมือนผมเมื่อก่อน ถ้าไม่เดือดร้อนหรือถึงตัวเองก็ไม่เคยคิดจะใส่ใจ เชื่อเถอะว่าถ้าคนที่ตายไม่ใช่ลูกผม ผมก็คงไม่สนใจเหมือนกัน”
   
ความน่ากลัวของความเคยชินคือการทำให้ผู้คนชินชากับสิ่งผิดปกติในสังคม การมีคนมาฆ่าตัวตายหน้าสำนักงานไม่ใช่เรื่องปกติ แต่ทุกคนในสำนักงานก็เฉยชาเพราะความตายของกลุ่มกบฏนั้นเป็นเรื่องปกติ ตายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งขึ้นก็ถือว่าเป็นเรื่องดีเสียอีก พวกเขาจะได้รับประเทศที่สงบกลับคืนมาเสียที
   
“ผมลองอยู่หลายวิธี พยายามโน้มน้าวพวกเขา พยายามทำให้พวกเขาเปิดใจรับความจริง แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครเชื่อผมอยู่ดี คิดว่าผมเป็นบ้าตามลูกแถมยังขู่ผมด้วยว่าถ้ายังไม่เลิกพูดเรื่องนี้จะแจ้งทางการให้มาจับผมไป”
   
เบต้ากวางถอนหายใจเหนื่อยๆ
   
“สำหรับผมประเทศนี้มันสิ้นหวังและไร้อนาคตไปแล้ว พวกเราทำงานเพื่อตัวเอง เห็นแก่ตัวเอง กลัวว่าครอบครัวหรือตัวเองจะเดือดร้อนถ้าเผลอทำในสิ่งที่ถูกต้องไป เอาเข้าจริง พวกเราทุกคนที่เป็น IO ก็รู้ดีกันดีนั่นแหละว่ากำลังสร้างข่าวปลอมกันอยู่ โพลล์บ้าบออะไรนั่นก็มั่วเลขขึ้นมาเขียนอวยรัฐบาลล้วนๆ ใครมันจะว่างลงไปสำรวจความคิดเห็นประชาชนทุกวันกัน ฮะๆ แต่ที่ตลกร้ายที่สุดคือมีคนเชื่อเนี่ยแหละ แปลกนะที่พวกเขาเลือกที่จะเชื่อสื่ออย่างพวกเรา มากกว่าความจริงตรงหน้าตัวเอง พวกเราบอกเศรษฐกิจดีก็เชื่อแต่เงินในกระเป๋าตัวเองแทบไม่มีซื้อข้าวแล้วด้วยซ้ำ”
   
“…”

แน่นอนว่ากันต์ไม่คิดจะออกความเห็นอะไรกับการสารภาพบาปของเปรม เพราะรู้ดีว่าลำพังแค่เล่าให้เขาฟังอีกฝ่ายก็คงจะเจ็บปวดพอแล้ว และคำปลอบประโลมหรือการโต้ตอบอะไรสักอย่างก็คงจะช่วยอะไรเปรมไม่ได้ หนทางเดียวที่จะปลดปล่อยความทุกข์ทรมานของได้นั้นก็มีเพียงทางเดียวที่เปรมร้องขอเท่านั้น
   
“อยากรู้อะไรอีกไหม คุณ ถ้าไม่ก็ช่วยฆ่าผมสักที ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ ”
   
เปรมแทบจะก้มลงไปกราบเท้าอ้อนวอนกันต์ เขาเจ็บปวด เจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว การได้รับรู้ความจริงอันแสนสกปรกโสมมของเหล่าอัลฟ่าทำให้เขาทุกข์ทรมาน แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้นคือเขาไม่อยากรับรู้แล้วว่าลูกตัวเองตายเพราะใคร
   
“…ตามผมมา”
   
ถึงแม้จะไม่ค่อยอยากรับหน้าที่เป็นเจ้าของร้านคนใหม่นัก แต่สุดท้ายกันต์ก็อดใจอ่อนไม่ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ดีก็ตามความตายไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้องที่สุด แต่ในประเทศห่วยแตกไร้ตรรกะพรรค์นี้ ความตายก็อาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดก็ได้
   
กันต์พาเปรมขึ้นชั้นสองไปนั่งบนเก้าอี้ที่เคยผ่านการนั่งของคนผู้สิ้นหวังนับร้อย ปล่อยให้อีกฝ่ายนอนหนุนกับเบาะนุ่มรอคอยความตายที่ร้องขออย่างสบายอกสบายใจ ซึ่งแน่นอนว่ากันต์มีสีหน้ายุ่งยากใจนิดๆ เพราะรู้สึกว่าเหมือนเขาขาดพิธีกรรมไปหนึ่งอย่าง
   
เขาต้องทำให้เบต้าผู้สิ้นหวังคนนี้มีความสุขให้ได้ก่อนที่จะฉีดยาให้ เหมือนที่ทวิชเคยทำแต่วิธีการของทวิชคือการทำอาหารมื้อสุดท้ายที่อร่อยๆ ให้กิน แต่เขาทำอาหารไม่เป็นเนี่ยแหละประเด็น
   
กันต์วุ่นวายใจอยู่สักพักจนในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกวิธีของตัวเอง
   
เขาคุยกับคนอื่นไม่เก่ง วาดรูปก็ไม่เป็น เขียนหนังสือก็ไม่ได้ จะร้องเพลงก็จำเนื้อไม่ได้อีก
   
เขาทำอะไรไม่เป็นเลย สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็มีเพียงการแสดงออกทางร่างกายเท่านั้น
   
“..ผมขอกอดคุณได้ไหม”
   
กันต์พูดด้วยน้ำเสียงสงบ แววตาจริงจัง ไม่มีทีท่าอะไรที่แสดงถึงความหมายโดยนัยของคำพูดแม้แต่นิด เพราะเขาหมายความตามที่ตัวเองพูดจริงๆ
   
“..ได้สิ”
   
เปรมเลิกคิ้วงงๆ แต่ก็ยอมรับอ้อมกอดอุ่นที่กอดตัวเองอย่างสุภาพ ร่างกายที่ใหญ่โตของกันต์อาจจะดูเทอะทะไปบ้างแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการได้กอดคนอื่นนั้นให้ความรู้สึกที่ดีกว่าที่คิด ราวกับว่าความเจ็บปวดที่กดทับเขาเอาไว้หายไปชั่วขณะ
   
กันต์ไม่ได้พูดอะไรขณะที่กอด ลอกเลียนแบบวิธีการที่แม่ของเขาใช้ปลอบเขาตอนเด็กๆ เวลาที่เขาร้องไห้งอแง ให้ความอบอุ่นของร่างกายปลอบประโลมเขาจากความโหดร้ายของโลกทั้งปวงที่ได้กระทำต่อเขาอย่างทารุณ ใช้แผ่นหลังบางนั้นปกป้องเขาจากทุกสิ่งที่มุ่งร้ายต่อเขา ซึ่งกันต์กอดอีกฝ่ายอยู่สักพักก่อนจะผละออกมาและรู้สึกพอใจนิดๆ ที่เห็นเปรมมีสีหน้าดีขึ้น
   
“ขอบคุณคุณมากจริงๆ มันช่วยให้ผมสบายใจขึ้นมากเลย”
   
เปรมยิ้มออกมาด้วยท่าทีสงบขึ้นมาก
   
“ผมพร้อมแล้ว”
   
“…”
   
กันต์พยักหน้าเชิงรับรู้ก่อนที่จะเดินเข้าไปหยิบเข็มฉีดยาซึ่งถูกบรรจุของเหลวเตรียมไว้ในกล่องเหล็กที่ทวิชซ่อนเอาไว้ใต้พื้นด้วยกลไกพิเศษ เช็คความสมบูรณ์ของอุปกรณ์อยู่สักพักกันต์ถึงเดินกลับไปหาเปรมที่หลับตานอนรอความตายอย่างสงบ
   
“หลับซะ.. ไม่มีอะไรที่คุณต้องกังวลอีกแล้ว”
   
ชั่วขณะหนึ่งระหว่างที่กำลังลูบหาเส้นเลือดบริเวณข้อมือและจรดปลายเข็มตรงเส้นเลือด กันต์ตัดสินใจร่ายมนตร์แบบเดียวกับที่ทวิชมักจะพูดออกมา มนตร์วิเศษที่จะทำให้เบต้าผู้สิ้นหวังไม่หลงทาง ได้ปลดปล่อยตัวเองจากความเหนื่อยยากทุกข์ทรมาน ให้พวกเขาได้หลบหนีโลกอันโหดร้ายใบนี้ไปยังสถานที่ที่ดีกับเขามากกว่านี้
   
เปรมสะดุ้งนิดๆ ตอนที่ยานั้นได้ถูกฉีดเข้ามาในเส้นเลือด แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้นคือความรู้สึกเบาสบายๆ พร้อมกับน้ำเสียงนุ่มนวลของกันต์ที่ช่วยขับกล่อมให้เขารู้สึกสงบ สงบจนเลิกหวาดกลัวและน้อมรับต่อความตายด้วยความยินดี
   
“พวกมันก็ทำร้ายคุณได้เท่านี้แหละ ในโลกใบนั้นจะไม่มีใครทำร้ายคุณได้อีก”
   
กันต์ยังคงขับกล่อมต่อไปเรื่อยๆ รอจนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของเปรมหยุดลง เขาถึงหยุดร่ายมนตร์และยิ้มเศร้าๆ ออกมา
   
งานแรกในฐานะเจ้าของร้านคนใหม่ของเขา
   
สำเร็จแล้ว

   

หากจะสังเกตความเปลี่ยนแปลงหรืออะไรใดๆ โรงพยาบาลก็ยังเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ใช้เป็นจุดสังเกตการณ์ได้ดี เพราะถ้าหากมีคนมาใช้บริการมากกว่าปกติหลายเท่าตัว ก็อาจจะเป็นสัญญาณกลายๆ ว่าความรุนแรงครั้งใหม่ได้เริ่มขึ้นอีกแล้ว
   
“มีมาเพิ่มอีกแล้วเหรอ”
   
นทีที่โหมงานมาเกินยี่สิบแปดชั่วโมงแล้วพูดด้วยสีหน้าคล้ายกับจะร้องไห้ขณะเดียวกันก็ซดกาแฟไปด้วย พยายามประรับประคองสติตัวเองให้อยู่ แม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าการอดนอนหนักๆ แบบนี้จะส่งผลเสียต่อตัวเองในระยะยาว และอาจจะทำให้การวินิจฉัยผิดพลาดด้วย
   
แน่นอนว่านทีถึงความจริงข้อนี้ แต่ก็ยังตัดใจไปนอนไม่ได้อยู่ดี เพราะวันนี้นั้นได้มีร่างของทั้งผู้บาดเจ็บทั้งผู้เสียชีวิตมาถึงโรงพยาบาลมากมายเหลือเกิน อาจจะเป็นเพราะโรงพยาบาลที่เขาทำเป็นโรงพยาบาลรัฐที่ใหญ่ที่สุดในย่านนี้ด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นทั้งเคสเล็กใหญ่ถึงมากองที่นี่หมด
   
“ครับ เบื้องบนเริ่มจัดการอีกแล้ว”
   
พยาบาลเบ้ตากระต่ายวัยกลางคนซึ่งทำงานร่วมกับนทีตอบอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม บริเวณคอมีปลอกคอเหล็กคอยป้องกันไม่ให้คืนร่างต้น บริเวณหางตามีแผลเป็นใหญ่อันเป็นผลพวงจากการถูกทำร้ายในคุกเพราะเผลอหลุดปากไปวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลขณะอ่านหนังสือพิมพ์เข้า แต่ถึงกระนั้นบนใบหน้าก็ยังคงมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับอยู่เสมอ ราวกับว่าทุกความเลวร้ายในประเทศนี้นั้นไม่สามารถทำให้เขารู้สึกอะไรได้อีกต่อไปแล้ว
   
“พวกเขาก็เป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้นเอง”
   
นทีบ่นขณะเดียวกันก็ง่วนอยู่กับการเย็บแผลให้เบต้าคนหนึ่งที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้สติ
   
“แต่พวกเขาก็ลืมไปว่าตัวเองเป็นแค่เบต้าไร้ค่าไง คุณนที สิ่งที่พวกเราเบต้าทุกคนต้องรู้คือเราไม่มีสิทธิ์พูดอะไรทั้งนั้นกับความชั่วร้ายพวกนี้ หน้าที่เดียวของเราก็คือมีชีวิตและเสียภาษีเลี้ยงพวกมันจนกว่าเราจะเป็นฝ่ายตายจากพวกมันไปเอง”
   
“…”
   
นทีพูดอะไรไม่ออกกับคำแดกดันของหมอก นักโทษตลอดชีวิตหรือผู้ช่วยที่เขาได้รับมาจากกรมราชทัณฑ์ที่เขาถูกเบื้องบนฝากฝังว่าให้ดูแลอย่างใกล้ชิดไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางอีก แน่นอนว่าเขารับคำอย่างดี แต่เรื่องที่ตลกร้ายกว่าคือทั้งหมอกทั้งเขาก็คือคนประเภทเดียวกัน
   
พวกเขาเกลียดรัฐบาล
   
แต่สิ่งที่ต่างกันคือเขายังไม่ถูกจับได้ว่าเกลียด เลยมักจะได้รับการเอ็นดูจากผู้ใหญ่เสมอเพราะเขาเป็นคนที่ค่อนข้างตั้งใจทำงาน เข้าร่วมกับกิจกรรมของรัฐบาลแทบทุกอันเท่าที่เวลาจะอำนวย อีกทั้งยังพยายามทุกวิถีทางให้ตัวเองอยู่ในสายตาของรัฐและได้รับความไว้วางใจอยู่เสมอ
   
แน่นอนว่าการถูกจ้องมองโดยตรงจากเบื้องบนนั้นเป็นความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงนี้ก็แลกมาด้วยผลประโยชน์มากมายเช่นกัน เพราะเขาสามารถใช้ตำแหน่งของตัวเองในการปกปิดการหายไปของอุปกรณ์หรือยาบางอย่างโดยอ้างว่านำมารักษาคนไข้นักการเมืองระดับสูงสักคนที่เขารู้จัก ก่อนที่เขาจะนำไปแจกจ่ายหรือขายให้กับตลาดมืดเพื่อนำเงินมาใช้เกี่ยวกับการลอบทำกิจกรรมการเคลื่อนไหวต่างๆ
   
หากจะวัดความใกล้ชิดกับรัฐบาล นทีคงจะเป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุดในกลุ่ม ถึงแม้จะเป็นคนที่ค่อนข้างขี้อายและเก็บตัว แต่สิ่งที่โดดเด่นคือฝีมือการรักษาที่ค่อนข้างแม่นยำ มีหลายครั้งที่นักการเมืองใหญ่ๆ หรือทหารพยายามดึงตัวนทีไปเป็นหมอประจำตัว แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะนทีนั้นยืนยันจะทำงานที่โรงพยาบาลรัฐต่อและแนะนำให้คนอื่นที่มีฝีมือใกล้เคียงกันไปแทน
   
“..แล้ว พอจะรู้ข่าวประท้วงไหม”
   
นทีกระซิบถามด้วยสีหน้านิ่งเฉย ทั้งๆ ที่กำลังประหม่าจนมือชื้นเหงื่อ เพราะสิ่งที่เขากำลังพูดคุยอยู่นั้นค่อนข้างสุ่มเสี่ยงพอตัว
   
“แกนนำยังอยู่ดี แต่คนธรรมดาตายไปเยอะมาก ที่มาโรงพยาบาลเราก็แค่เสี้ยวเดียวของคนทั้งหมด” หมอกเหลือบมองเบต้าอีกเตียงที่ร้องโหยหวนไม่หยุด คร่ำครวญถึงเพื่อนร่วมอุดมการณ์เตียงข้างๆ ที่เพิ่งโดนผ้าขาวมาคลุมหน้าเตรียมจะถูกเคลื่อนย้ายออกเพื่อนำคนที่ยังมีลมหายใจอยู่มาใช้เตียงต่อ
   
“มีอะไรที่ต้องรู้เป็นพิเศษไหม”
   
แน่นอนว่าการเอาแต่ง่วนอยู่กับการทำงานช่วงนี้ ทำให้นทีขาดการติดต่อกับพอสไป ถึงแม้ว่าจะอยากติดต่อไปมาก แต่สภาพเบต้าที่โดนความรุนแรงกระทำมาจนเสียสภาพความเป็นมนุษย์ก็เล่นเอาเขาลืมไปแทบทุกอย่าง
   
เขาทิ้งผู้คนตรงหน้าไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะยังอยากสนับสนุนพอส แต่เขาก็ไม่อาจะละทิ้งโอกาสที่ช่วยเหลือคนพวกนี้ ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วปลายทางของพวกเขาจะถูกขังลืมในคุกหรือไม่ก็กลายเป็นแรงงานทาสของรัฐบาลก็ตาม
   
“คุณรู้เรื่อง ‘นก’ ไหม”
   
“…”
   
นทีตะลึงไปนิดๆ เมื่อเห็นรอยยิ้มของหมอกที่น่าจะเป็นรอยยิ้มจากใจจริงๆ หลังจากที่พวกเขาทำงานร่วมกันมาเกือบสองปี นัยน์ตาที่มักจะดูสิ้นหวังเฉื่อยชาดูมีประกายขึ้นมา ก่อนที่จะส่ายหัวเพราะสามวันมานี้เขาเอาแต่ทำงาน ไม่มีเวลาอ่านหนังสือพิมพ์หรือดูอะไรทั้งนั้น
   
“ถึงพวกรัฐบาลจะพยายามปิดข่าวยังไง เสียงกระซิบก็ยังดังมากอยู่ดี” เบต้ากระต่ายยิ้มบางแทบจะฮัมเพลงออกมาด้วยความอารมณ์ดี เลือกที่จะใช้น้ำเสียงนุ่มนวลเล่ามันออกมาราวกับนิทานแสนหวานที่กล่อมให้เด็กทารกได้หลับใหลอย่างปกติสุข

“สามวันก่อน วันที่เรากลุ่มปฏิวัติตัดสินใจชุมนุมกันกลางเมืองอย่างสันติ พวกเราเหล่าผู้ไม่พอใจในความอยุติธรรมได้ขึ้นปราศรัยกันอย่างห้าวหาญ บริภาษถึงความชั่วร้ายปกปิดของรัฐบาลที่ได้กระทำต่อเราอย่างทารุณและตรงไปตรงมา พวกเราผลัดเปลี่ยนกันพูด ผลัดเปลี่ยนกันฟัง พูดคุยกันอย่างสันติ จนกระทั่งผู้ผดุงความยุติธรรมได้แบกอาวุธเข้ามา เสียงกระสุนดังสนั่นเข่นฆ่าพวกเรา ตื่นกันได้หรือยัง เหล่าเบต้าโง่งม พอได้รึยังกับความทุกข์ทน ปัง! เสียงกระสุนดังอีกครั้ง ผู้ร่วมอุดมการณ์ของเราร่วงหล่นลงมาจากฟ้า ให้ตายเถิดนี่คงจะเป็นอีกครั้งที่เพื่อนของเราต้องตาย”
   
“…”
   
เบต้ากระต่ายพักหายใจครู่หนึ่งก่อนจะเล่าต่อ แววตามีประกายแห่งความหวังมากกว่าเดิม
   
“ทันใดนั้นเพื่อนคนสำคัญของเราก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมา ปีกสีนิฬกาลคู่ใหญ่สยายไปทั่วฟ้า กระพือพัดโบกความหวังและโฉบเฉี่ยวขึ้นไปช่วยเหลือเพื่อนของเรา ทุกคนจงดูสิเพื่อนของเราได้นำพามาซึ่งอิสรภาพแล้ว”
   
นทีกลืนน้ำลายเอือกหลังฟังจบ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพอฟังจบมันก็ทำให้เขาฮึกเหิมขึ้นมานิดๆ และเรื่องเล่าเรื่องนี้ก็คงไม่วายเป็นชนวนเหตุให้เหล่าเบต้าออกมาเรียกร้องกันมากมายขนาดนี้ ไม่ยอมหยุดนิ่งแม้กระทั่งวันเดียวเพราะคงจะกลัวว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ความหวังได้จุดติด
   
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พวกเบต้าเล่าให้กันฟังช่วงนี้ ถ้าคุณอยากฟังสดๆ ก็ลองถามพวกเบต้าที่พุดคุยรู้เรื่องก็ได้”
   
“คุณพอจะมีรูปไหม”
   
“มี แต่ไม่ชัดเท่าไหร่ เห็นลางๆ แค่ว่าเป็นโอเมก้านกที่มาช่วยพวกเรา จริงสิ หลังจากที่คนๆ นี้ปรากฏตัว พวกโอเมก้านกคนอื่นๆ ที่ทางการเคยอ้างว่ากำจัดไปหมดแล้วเต็มไปหมด ทั้งพวกลูกครึ่งเบต้า อัลฟ่า หรือพวกที่ยังไม่ฉีดยาก็ออกกันมาทั้งนั้น ตอนนี้แม้แต่เด็กๆ ยังทำปีกปลอมเพื่อเป็นโอเมก้าเลย”
   
หมอกหัวเราะแล้วหยิบรูปที่ได้รับจากการลอบแจกจ่ายกันให้นทีดู
   
“ก็อย่างว่า ใครๆ ก็อยากเป็นฮีโร่กันทั้งนั้น ตอนนี้พวกอัลฟ่าแทบจะอกแตกตายกันอยู่แล้ว พวกมันถึงได้ลงมือกันรุนแรงขนาดนี้”
   
ขณะที่พูดสีหน้าของเบต้ากระต่ายก็กลับมาหมองลง ถึงแม้เขาจะดีจริงก็จริงที่เกิดการเคลื่อนไหวของฝูงชน แต่เขาก็หดหู่เหลือเกินกับความรุนแรงที่รัฐได้กระทำ เพราะยิ่งรัฐออกแรงมากก็ยิ่งแสดงชัดว่าพวกเขาไม่มั่นใจถึงเสถียรภาพในมือของตัวเอง
   
“!!!”
   
นทีที่มือก็ยังง่วนอยู่กับการทำแผลอยู่เบิกตากว้างกับรูปที่เห็น เพราะคนที่ปรากฏในรูปนั้นช่างคุ้นหน้าค้นตาเขาเหลือเกิน ถึงแม้ว่าจะเห็นใบหน้าได้ไม่ชัดนัก แต่เขาก็พอจะจดจำรูปร่างของอีกฝ่ายได้ ซึ่งสิ่งที่โดดเด่นที่สุดนั้นคือปีกคู่ใหญ่ที่กำลังกระพืออย่างรุนแรง
   
ทวิช?
   
“เอาเข้าจริงผมก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีโอเมก้าที่กล้าขนาดนี้เหมือนกัน ท่ามกลางทหารตำรวจของพวกทางการอาวุธครบมือ แต่เขากลับพุ่งขึ้นไปช่วยคน ทั้งๆ ที่มันอาจจะทำให้เขาตายก็ได้”
   
“…”

คำพูดประกอบของหมอกยิ่งทำให้นทีมั่นใจว่าคนในภาพนั้นคือ ‘ทวิช’ ที่เขารู้จักแน่ๆ เพราะจะมีสักกี่คนกันที่ยอมเปิดร้านขายความตายแบบไม่เจ็บปวดให้กับพวกเบต้าสิ้นหวังโดยที่ไม่หวังผลตอบแทนอะไร ทั้งๆ ที่ตัวเองนั้นจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายไปตลอดชีวิตก็ได้

แน่นอนว่าถึงแม้เขาจะรู้จักทวิช แต่เขาก็รู้จักเพียงแค่ผิวเผินและรู้แค่ว่าทวิชดีกับพวกเขา มีแนวคิดต่อต้านรัฐบาลเหมือนกันก็แค่นั้น ส่วนเรื่องส่วนตัวมากกว่านั้นเขาไม่เคยรู้เลย ทวิชไม่เคยอธิบายตัวตนของตัวเอง ไม่พูดถึงเสื้อคลุมของตระกูลพยัคฆโภคสกุลที่ตัวเองสวมใส่อยู่ ไม่พูดอะไรทั้งนั้นและมักจะทำสีหน้าเฉยชาไม่ยี่หระกับอะไรสักอย่าง ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเปิดร้านและสูบบุหรี่จัด

มีครั้งหนึ่งที่เขาพยายามเตือนให้ทวิชสูบบุหรี่น้อยลงเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะป่วย แต่ผลตอบรับที่ได้ก็มีแค่รอยยิ้มจางๆ และคำขอบคุณ นัยน์ตาสีทองที่รียาวกับสัตว์ตระกูลแมวนั้นเรืองรองขึ้นอย่างพอใจมากกว่าเสียใจ

ทวิชไม่สนใจชีวิตตัวเอง ยินดีเสียอีกที่ตัวเองจะตาย

“ผมเชื่อนะคุณนทีว่าครั้งนี้มันจะสำเร็จ”
   
นักโทษที่ไร้ซึ่งอิสรภาพมาแล้วนับสิบปีเก็บภาพทวิชคืนใส่กระเป๋าและพูดเสียงกระซิบ
   
“ผมก็คาดหวังให้มันสำเร็จเหมือนกัน”
   
นทียิ้มให้กำลังใจอีกฝ่ายก่อนจะชะงักกับเสียงทีวีที่อยู่ๆ ก็ถูกปรับเสียงให้ดังขึ้นอีกจนดังลั่นไปทั่วบริเวณ พอจะมองหาตัวต้นเหตุก็พบว่าเป็นเบต้าของทางการที่ถูกส่งมาตรวจตรา เขาคนนั้นมีสีหน้าเกลียดชังเหล่าเบต้าที่นอนบาดเจ็บกันอย่างระเกะระกาและใช้รีโมตในมือเร่งเสียงทีวีขึ้นจนสุดตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายมา
   
[ พวกคนชังชาติได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว กลุ่มคนเหล่านี้คือคนที่คิดร้ายต่อประเทศ พวกเราต้องช่วยกำจัดมันเพื่อที่จะคืนความสงบให้กับประเทศเราอีกครั้ง --- ]
   
เสียงผู้บัญชาการอัลฟ่าพูดอย่างขึงขังดังประกอบภาพของถ่ายเหตุการณ์เลือนลางของทวิชที่โผบินขึ้นไปบนฟ้าเพื่อที่จะให้ประชาชนรู้ว่า ‘คนชังชาติ’ มีหน้าตาเป็นแบบไหน และหน้าที่หนึ่งเดียวของพลเมืองที่ดีของประเทศคือกำจัดมันเท่านั้น
   
“พวกมึงนั่นแหละที่ชังชาติ!! มีที่ไหนมากล่าวหาคนอื่นแบบนั้นวะ!!!”
   
เบต้าคนหนึ่งที่ทนฟังไม่ได้ตะโกนออกมาอย่างเดือดดาลถึงแม้ว่าจะสูญเสียดวงตาของตัวเองไปแล้วข้างหนึ่งก็ตาม แต่มันก็ไม่อาจจะสกัดกั้นปณิธานอันแรงกล้าของเขาได้
   
“หุบปาก ผมไม่อยากลงมือที่นี่”
   
ตำรวจเบต้าคนนั้นตอกกลับอย่างเย็นชาและมองด้วยสายตาเหยียดหยัน
   
“มึงมันโง่ที่ยอมให้เขาหลอก!! เศษเงินที่พวกมันให้สำคัญกว่าชีวิตประชาชนรึไงวะ!!! กูก็คนเหมือนกันมึงไหมวะ พวกมึงมีสิทธิ์อะไรมากฆ่าพวกกู!!”
   
“..ประเทศนี้มีปัญหาเพราะพวกคุณ”
   
“เออ!! ปัญหาก็คือพวกมึงเห็นแก่ตัวนั่นแหละ!!! คนมันจะอดตายกันหมดประเทศแล้วยังจะมาทำตัวเหี้ยๆ แบบนี้อีก ฆ่ากูสิ ฆ่าไปเลย ฆ่าหมดประเทศแล้วพวกมึงก็อยู่กันเองไปเลย!!”
   
เบต้าคนนั้นตะเกียกตะกายไปหาอัลฟ่า ความโกรธแค้นที่ไหลเวียนในตัวตลอดหลายวันมานี้กระตุ้นให้เขาตะโกนเรียกร้องไม่หยุด “พวกเราก็ชุมนุมกันอย่างสันติป่ะวะ อาวุธก็ไม่มี คนที่มีอาวุธก็มีแค่พวกมึง แล้วถ้าพวกอัลฟ่าที่พวกมึงบอกว่าดีจริง ทำไมตลอดหลายสิบปีทำไมประเทศเรามันได้แค่นี้ล่ะวะ แม่ง ประเทศเฮงซวยแบบนี้ กูไม่อยากอยู่!!!”
   
ปัง! ปัง!
   
ฉับพลันที่เบต้าคนนั้นพยายามจะคืนสู่ร่างต้นซึ่งเป็นแรดโตเต็มวัย เขาก็โดนกระสุนแห่งความยุติธรรมหยุดยั้งเอาไว้ซะก่อน
   
“…”
   
สิ้นเสียงปืนทั้งโถงที่เต็มไปด้วยคนป่วยก็เงียบงัน มีเพียงเสียงทีวีจ้อยแจ้วที่พยายามสร้างความเกลียดชังและมลพิษทางเสียงไม่หยุด
   
“..มีใครจะมีปัญหาอีกไหม?”
   
ตำรวจเบต้าพูดขึ้นมาหลังจากที่เพิ่งได้สติ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าอีกฝ่าย แต่ความหวาดกลัวเมื่อกี้ก็กระตุ้นให้เขาเผลอทำตามสัญชาตญาณเข้าจงเผลอยิงหัวอีกฝ่ายให้ตายคาที่ไปทันที
   
“…”
   
แววตาของเหล่าเบต้าวาวขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว ความขุ่นเคืองเพิ่มพูนทุกชั่วขณะท่ามกลางความเงียบ เหล่าอัลฟ่าและเบต้าของทางการที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยต่างกระชับปืนที่อยู่ในมือกันมั่น และโอดครวญในใจที่ตนไม่ได้ไปประจำโรงพยาบาลของพวกอัลฟ่า
   
เพราะถ้าเป็นที่นั่น พวกเขาก็คงจะรับมือง่ายกว่านี้
   
“…หนีเถอะ”
   
หมอกกระชากตัวนทีเข้าหาตัวเองเมื่อเห็นท่าไม่ดีและเริ่มออกวิ่งทันที เมื่อความอดทนของเหล่าเบต้าที่อยู่ในห้องโถงหมดลง
   
“พวกมึงนั่นแหละที่ชังชาติ!!!!”
   
เสียงตะโกนที่ไม่แน่ใจว่ามาจากฝ่ายใดกันแน่คำรามลั่น

ก่อนที่ความรุนแรงครั้งใหม่จะเกิดขึ้นอีกครั้งในสถานที่ที่ควรจะปลอดภัยที่สุด

-----------

#สิงหกุลโภชนา

   
 


   
   


ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เส้าสุด แงง้ อยากซื้อเก็บแล้ว

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ชีวิตยึดติดและอยู่กับการแก้แค้นไม่ช่วยให้เราอยู่ดีขึ้น
แต่ แต่ถ้าเราต้องเผชิญชะตากรรมที่ไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรร้าย
ก็ไม่ควรนิ่งเฉย และไม่ควรยอมรับแบบไม่รู้จุดหมาย

ทวิชเลือกทางนี้ เพราะรอเวลามานาน ยิ่งรู้ว่าพ่อแม่ต้องเจออะไร
ใครจะทนไม่แก้แค้นยังไงไหว

หมอกกับนที ขอให้ปลอดภัย และกันต์ก็ขอให้อยู่รอด อยู่ดี
รอวันที่ทวิชกลับมานะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Philosophy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ฮือออออ เขียนดีมากกกก อ่านแล้วอึดอัด มันอินกับเนื้อหามาก จนร้องไห้ออกมา นึกถึง ปทท ที่ช่วงนึกมีการเรียกร้องประชาธิปไตย จนเกิดความสูญเสียขึ้น :m15:

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 12

   
เป็นเวลาเกือบห้าวันแล้วนับตั้งแต่ ‘ทวิช’ ได้ปรากฏตัวขึ้นมา
   
แน่นอนว่าปีกคู่ใหญ่บนแผ่นหลังทวิชนั้นได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับเหล่าผู้พบเห็นไม่น้อยเลยทีเดียว ในมุมหนึ่งก็เรียกทวิชว่าเป็นผู้นำมาซึ่งอิสรภาพ แต่อีกในอีกมุมหนึ่งก็เรียกทวิชว่าเป็นกบฏผู้ชังชาติ นอกจากนี้แล้วยังมีคำเรียกอีกมากมายที่ถูกใช้เรียกแทนทวิชเพื่อนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองและให้เกิดประโยชน์กับฝ่ายตนเองมากที่สุด
   
หลายวันนี้ประเทศที่เคยอยู่อย่างสงบเสงี่ยมราบคาบก็การประท้วงไม่หยุด ถึงแม้จะยังเป็นแค่คนส่วนน้อยของประเทศแต่ก็นับว่าเป็นการประท้วงจริงจังครั้งแรกในรอบหลายสิบปี มันเป็นการประท้วงที่เต็มไปด้วยสันติแต่ก็ถูกรัฐโต้ตอบด้วยความรุนแรง จนผู้ประท้วงเหล่านั้นทนไม่ไหวโต้ตอบกลับบ้างด้วยความโกรธเคือง
   
เพราะการ ‘ชุมนุม’ นั้นเป็นสิทธิโดยพื้นฐานที่ประเทศปกติพื้นฐานทั่วไปพึงมี ในประเทศโลกที่หนึ่งก็สามารถชุมนุมกันได้ทั้งนั้น ถึงแม้จะกล่าวอ้างว่าประเทศนี้เป็นประเทศพิเศษก็ย่อมมีกฎของตัวเอง แต่การสร้างกฎหมายขึ้นมาเพื่ออัลฟ่าเพียงชนชั้นเดียวก็ไม่น่านับว่าเป็นกฎหมายที่ดีได้ มีนักกฎหมายที่ดีคนไหนกันที่เขียนกฎหมายเอื้อแต่อัลฟ่า ใช้เพื่ออัลฟ่า และกำจัดคนที่ไม่ใช่พรรคพวกตัวเองขนาดนี้
   
ถ้าหากว่าเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าความยุติธรรมก็คงจะเป็นเรื่องที่ตลกร้ายเกินไปแล้ว
   
“ทำไมเบต้าพวกนั้นหัวรุนแรงจัง”
   
“ใช่ ฉันว่าตำรวจน่าจับไปขังให้หมดเลย พวกคนสร้างความวุ่นวายเนี่ย จะชุมนุมกันทำไมก็ไม่รู้”
   
เสียงกระซิบกระซาบของข้าราชการสาวสองคนดังก้องในห้องชงกาแฟ ขณะที่รับชมข่าวจากทางโทรทัศน์ที่รัฐบาลจงใจออกสกู๊ปพิเศษออกมามากมายเพื่อสร้างความชอบธรรมในการกระทำอันป่าเถื่อนของตัวเอง พยายามนำเสนอข่าวแต่ด้านความรุนแรงจากภาคประชาชนโดยหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงความรุนแรงที่เกิดจากรัฐที่ทั้งโหดร้ายและทารุณยิ่งกว่า
   
“…”
   
เวฟหรือเบต้าวัวหนึ่งในสมาชิกกลุ่มของพอสพยายามไม่แสดงท่าทีอะไร ทั้งๆ ที่ในใจค่อนข้างไม่พอใจในสิ่งที่ทั้งสองคนนั้นพูดพอตัว แต่เขาก็ขี้ขลาดเกินกว่าจะพูดหรือตำหนิอะไร
   
ช่วยไม่ได้ก็เขามันขี้ขลาดเกินไป เขาไม่กล้าทำอะไรเลยสักอย่างเพราะหวาดกลัวว่าตัวเองจะสูญเสียสถานะทางสังคมของตัวเองตอนนี้ไป สถานะที่อาจจะไม่ได้สูงส่งมากแต่ก็มากพอให้เขาใช้ชีวิตสะดวกสบายก็พวกเบต้าทั่วไป
   
เขามันเห็นแก่ตัว
   
เวฟคิดอย่างหดหู่ มือที่จับแก้วกาแฟนั้นสั่นน้อยๆ จนกาแฟดำที่เพิ่งชงนั้นสั่นเป็นวง เคราะห์ดีที่เขาเป็นพวกไม่ค่อยเข้าสังคม ตอนพักเลยไม่ค่อยมีใครมาสนใจเขานัก
   
นัยน์ตาสีดำหลุบมองพื้นอย่างรู้สึกผิดเพราะนับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง เขาก็ไม่ได้ติดต่อใครในกลุ่มอีกเลย ทิ้งโทรศัพท์ที่ใช้ติดต่อกับพอสไปทันทีเพื่อป้องกันทั้งตัวเองและพอส ช่วยไม่ได้ ถึงแม้เขาจะสามารถยัดตัวเองเข้ามาทำงานในตำแหน่งดีๆ ได้แต่ก็ยังหาเงินไปเช่าบ้านพักดีๆ ไม่ได้อยู่ดี

ทางเลือกเพียงหนึ่งเดียวของเขาเลยต้องเป็นบ้านสวัสดิการที่ค่าเช่าถูก แต่แลกมากับการถูกสุ่มตรวจบ้าน ถ้าหากพบสิ่งผิดปกติหรืออะไรไม่ชอบมาพากล เขาก็อาจจะถูกนำไปขังคุกทันทีไม่รอลงอาญาหรือหมายศาลใดๆ
   
แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติ แต่สำหรับประเทศนี้มันก็เป็นเรื่องปกติไปแล้ว และต่อให้เขาหรือใครโดนจับ ไม่นานตำแหน่งที่ขาดหายไปก็เบต้าคนใหม่มาทำงานแทนอยู่ดี เป็นวงจรอุบาทว์ที่ทำให้ข้าราชการอย่างเขารู้สึกว่าตัวเองช่างต่ำต้อยและไร้ค่าเหลือเกิน
   
เขาตั้งใจเรียนหักโหมแทบตายเพื่อจะเข้ามาทำงานที่นี่ สู้กับระบบอุปถัมภ์กับพวกเด็กฝากมาเกือบสิบปีกว่าจะพาตัวเองมาอยู่ในจุดนี้ได้ เขาพยายาม พยายามมามากจนไม่อยากจะสูญเสียอะไรสักอย่างของตัวเองเลยแม้แต่อย่างเดียว
   
สำหรับเขาการพยายามเรียกร้องอิสรภาพของเหล่าเบต้านั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องถึงที่สุด เป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้และควรกระทำ แต่เขาก็จะไม่ทั้งเข้าร่วมกับพวกนั้นทั้งทางตรงและทางอ้อม เพราะมันเสี่ยงเกินไป
   
เขารู้ดีว่าความจนมันน่ากลัว ความอดอยากมันทำให้เขาหิวโหยขนาดไหน การโดนถูกทอดทิ้งไว้เบื้องหลังมันเจ็บปวดยังไง เขารู้ดีทุกอย่างว่ามันทรมานจนอยากตายให้พ้นๆ เขาไม่อยากเจอเรื่องพวกนั้นอีก จึงไม่ยอมเสี่ยงไปกับกลุ่มปฏิวัติเหล่านั้น ความเสี่ยงที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะปราชัยในตอนจบรึเปล่า
   
ประเทศนี้มันเลวร้ายเกินกว่าจะแก้ไขได้แล้ว
   
ผู้คนที่เต็มใจตามืดบอดพวกนี้มันเกินกว่าจะเยียวยาจริงๆ คนพวกนี้เอาแต่พร่ำเพ้อถึงบาปกรรมของตัวเองในชาติก่อนที่มีผลทำให้พวกเขาต้องมาลำบากในชาตินี้ ไหนจะเรื่องที่ชอบพูดว่าตัวเองฝักใฝ่ในศาสนาเป็นคนดีรักศีลธรรมแต่กลับไม่เคยเห็นสิ่งผิดปกติหรือความโหดร้ายตรงหน้า
   
เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าการที่เบต้าถูกฆ่าด้วยน้ำมือของอัลฟ่านั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องตรงไหน ทำไมการที่เหล่าผู้นำหรือนักบวชของศาสนาออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับการฆ่ามนุษย์ด้วยกันเองมันน่าศรัทธาและเป็นคนดียังไง
   
เขาไม่เข้าใจและไม่อยากเข้าใจด้วย เขาไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มคนที่สนับสนุนความโหดร้ายพวกนี้ แต่เขาก็ไม่กล้าพอที่จะออกตัวขัดขวางคนพวกนี้อยู่ดี
   
โลกความจริงที่พวกเขาอยู่กันตอนนี้มันโหดร้ายเกินไป ฝันที่เหล่ากลุ่มปฏิวัติพยายามขายให้กับพวกเบต้านั้นก็ช่างเป็นฝันที่หวานที่แสนอันตรายราวกับลูกอมอาบยาพิษ คนที่หลงกินมันไปเต็มคำอย่างกายถึงต้องตายด้วยความทุกข์ทรมานแบบนั้น
   
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการยอมพลีชีพอย่างเต็มใจ แต่เขาก็ยอมรับไม่ได้อยู่ดี
   
เขาไม่อยากให้มีเบต้าตายอีกแล้ว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่างนอกจากก้มหน้าก้มตายอมรับชะตากรรมตัวเองต่อไปเงียบๆ และแสร้งว่ายอมจำนนต่อมันซะ
   
“..เราไม่มีวันชนะมันได้หรอก พอส”
   
เวฟพึมพำเสียงเบากับกาแฟดำในมือ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นคนที่ชอบกินกาแฟดำ แต่คนที่ชอบนั้นเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กของเขาต่างหาก

   

“ทุกคนอย่าเพิ่งหมดหวัง เราต้องยืนหยัดต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะได้มาซึ่งอิสรภาพที่เราต้องการ! อีกไม่นาน ผมเชื่อว่าอีกไม่นานเราจะได้อิสรภาพของเราคืนมา”
   
เสียงหนึ่งในผู้ร่วมชุมนุมขึ้นไปปราศรัยบนเวทีเพื่อให้กำลังใจผู้ชุมนุมด้วยกันเองที่เพิ่งขวัญเสียอย่างหนักจากสูญเสียเพื่อนร่วมอุดมการณ์ และพากันไปซุกซ่อนในป่าลึกหวังจะซุกซ่อนตัวเองจากสายตาของทางการ แม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจว่ามันก็เป็นแค่การซื้อเวลาเพียงสั้นๆ เท่านั้น
   
พวกเขารู้กันอยู่แก่ใจว่าผู้ที่มาเข้าร่วมกับพวกเขายังไม่มากพอ ผู้คนยังคงหลับใหลกันมากเกินไป ยังคืนมัวเมาในความฝันจอมปลอมที่รัฐบาลสร้างขึ้นมา ทั้งๆ ที่พวกเขาใช้ชีวิตทั้งชีวิตของตัวเองไปเสี่ยงเพื่อให้คนพวกนี้ตาสว่างกันเสียที
   
“ทุกอย่างมันต้องดีขึ้น การต่อสู้ครั้งนี้เราจะไม่พ่ายแพ้อีก พวกมันพรากชีวิตไปจากเราได้แต่พวกมันจะไม่มีวันพรากอุดมการณ์ของเราไปได้! เสรีภาพจงเจริญ! ความเสมอภาคจงเจริญ! พวกเราจะไม่ตกเป็นทาสของใครอีก!”
   
แน่นอนว่าถึงแม้ว่าสถานการณ์จะอยู่ในสภาพเป็นรองหรือจนตรอกเพียงใด พวกเขาก็ยินดีครื้นเครงและภาคภูมิใจในอุดมการณ์ที่กินไม่ได้ของพวกเขาเสมอ
   
เสียงเฮดังตอบรับเกรียวกราว พยายามสร้างบรรยากาศฮึกเหิมให้แก่เหล่าผู้กล้าที่ยังมีลมหายใจ ตราบใดที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจะก็จะเป็นเสี้ยนหนามคอยยอกใจทางการต่อไป เป็นฝูงหิ่งห้อยตัวเล็กๆ ที่ยังคงส่องสว่างในประเทศอันมืดมิด คอยส่องทางให้กับเหล่าผู้ไม่ยอมตกเป็นทาสของใครได้อุ่นใจว่าพวกเขาไม่ได้โดดเดี่ยว ยังมีเพื่อนร่วมทางอีกมากมายที่พร้อมจะเดินทางร่วมไปกับเขา แม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าปลายทางอาจจะเป็นความตายอันชั่วนิรันดร์ แต่พวกเขาก็ไม่คิดจะหลีกหนี
   
เพราะการเข้าร่วมกับกลุ่มปฏิวัตินั้นก็ทำให้พวกเขาตายไปครึ่งหนึ่งแล้ว
   
“..พอจะรู้ไหมว่าครั้งต่อไปจะทำอะไร”
   
พอสซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ชุมนุมที่ยังแข็งแรงดีไม่บาดเจ็บถามด้วยความกระตือรือร้น ถึงแม้ลึกๆ จะรู้สึกเสียใจอยู่บ้างที่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ กลับเหลือเขาอยู่คนเดียว ไม่มีใครในกลุ่มที่ติดต่อได้เลยทั้งนที เวฟ และทวิช ทุกคนนั้นขาดการติดต่อไปเหมือนกับไม่อย่างข้องเกี่ยวกันอีก
   
ทั้งๆ ที่พวกเขามักจะพูดถึงการปฏิวัติอยู่เสมอ ใฝ่ฝันจะเข้าร่วมเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงและประเทศที่ดีกว่าเดิมและยังวาดฝันเอาไว้อีกมากมาย ถ้าหากว่ามันสำเร็จ
   
พวกเขาสร้างฝันร่วมกันมามากแต่พอถึงเวลาจะสร้างมันกลับไม่มีใครที่อยู่ยืนหยัดกับเขา
   
แน่นอนว่าพอสไม่ได้โกรธเพื่อนตัวเองเพราะเคารพการตัดสินใจของคนอื่น ไม่ว่าใครก็คงจะรักชีวิตของตัวเองกันทั้งนั้น แม้แต่เขาเองก็ไม่อยากตาย แต่ถ้ามันจำเป็นเขาก็ยอมเพื่อให้อนาคตข้างหน้านั้นดีกว่าตอนนี้
   
“พรุ่งนี้พวกเราจะชุมนุมกันอีกที่ศาลอัลฟ่ากับทำเนียบรัฐบาล”
   
เบต้าพยาบาลคนหนึ่งที่นอนพักอยู่ตอบกลับมาเสียงเรียบ ไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมามองคนถามด้วยซ้ำเพราะยังคงเหนื่อยอ่อนจากการทำแผลให้เบต้าที่บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
   
“ทำไมถึงต้องชุมนุมที่นั่นด้วย เราชุมนุมกันที่อื่นไม่ได้เหรอ แถวนั้นพวกอัลฟ่าเยอะจะตาย”
   
เบต้าอีกคนที่นั่งกินขนมปังเกรดต่ำอยู่พูดด้วยสีหน้าเจื่อนๆ เพราะรู้ดีว่าถ้าพวกเขาไปชุมนุมกันที่นั่น คงไม่วายได้กินกระสุนฟรีแทนข้าวกันแน่ๆ
   
“เพื่อที่จะแสดงว่าเราไม่ยอมรับอำนาจจากส่วนกลาง”
   
พอสตอบด้วยรอยยิ้มบ้างนิดๆ พร้อมกับขอบคุณกายในใจที่ชอบมาพูดถึงเรื่องพวกนี้และวิเคราะห์ให้ฟังอยู่บ่อยๆ ถึงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของโอเมก้ายุคก่อน
   
“อำนาจจากส่วนกลาง?”
   
“ใช่ หนึ่งในสิ่งที่พวกอัลฟ่ากลัวมากที่สุดคือการที่อำนาจของตัวเองไม่ได้รับการยอมรับเนี่ยแหละ เพราะไอ้อำนาจส่วนกลางที่พวกมันใช้กับเราโคตรจะไม่มีความชอบธรรมเลย มีประเทศไหนกันที่ใช้กฎหมายสองมาตรฐานแบบนี้ ไหนจะรัฐบาลที่ปกครองแบบโคตรเหลื่อมล้ำนี้อีก บอกตามตรงเลยนะว่าคนประเทศเรานี่โคตรแปลกเลยที่ยังตาบอดกันมาถึงตอนนี้ได้”
   
“โห ฟังแบบนี้ยิ่งโคตรเสี่ยงเลย”
   
เบต้ากวางวัยรุ่นอีกคนเข้ามาร่วมวงคุยด้วยสีหน้าตื่นเต้น ถึงแม้จะรู้ว่ามันเสี่ยงตายแต่เขาก็อดสะใจไม่ได้อยู่ดีที่การชุมนุมของพวกเขาจะทำให้พวกอัลฟ่าอยู่ไม่สุขได้
   
พวกเขาทุกข์ทรมานกันมามากเกินพอแล้ว ถึงเวลาสักทีที่พวกมันจะทุกข์ทรมานและหวาดกลัวบ้าง
   
พอสยิ้มบางให้กับอุดมการณ์ที่โชติช่วงในแววตาของวัยรุ่นคนนั้นที่หาได้ยากกับพวกเบต้าวัยทำงานทั่วไป คนพวกนั้นพอตัวเองเอาตัวรอดได้แล้ว ก็เพิกเฉยกับพวกที่เอาตัวไม่รอดและดูถูกพวกเขาเหล่านั้นว่าพยายามไม่มากพอ
   
“เออ แล้วรู้รึยังว่าพวกมันเลื่อนวันสถาปนาประเทศแล้ว”
   
เบต้าพยาบาลคนเดิมพูดเสียงเอื่อยเฉื่อยก่อนที่จะหาวหวอดออกมาง่วงๆ
   
“จริงอ่ะ พี่ ตั้งแต่ผมเกิดมาผมยังไม่เคยเห็นเขาเลื่อนเลยนะ”
   
“จริงสิ” พยาบาลหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้มมุมปาก “เพราะช่วงนี้ยังวุ่นวายอยู่ พวกมันเลยไม่กล้าจัดงาน คงอีกสักพักจนกว่าพวกมันจะฆ่าพวกเราได้มากพอ พวกมันถึงจะประกาศวันจัดงานใหม่อีกรอบเพื่อประกาศศักดาของพวกมัน”
   
“..ผมยังไม่อยากตายเลยอ่ะ พี่”
   
เบต้าวัยรุ่นพูดด้วยสีหน้าสลด ลึกๆ ก็รู้สึกคิดถึงครอบครัวที่ตัวเองหนีมา แต่อีกใจเขาก็โหยหายซึ่งอิสรภาพเหลือเกิน เพราะถ้าหากเขาทนอยู่แบบนั้นต่อไป ในอนาคตเขาก็คงจะสร้างครอบครัวแบบเดียวกับพ่อแม่ตัวเองออกมาอีก
   
ครอบครัวที่เต็มไปด้วยพี่น้องมากมาย แต่ไม่มีใครสักคนที่มีความสามารถมากพอที่จะพาครอบครัวไปสู่ความรุ่งโรจน์ได้ อาชีพไม่กี่อย่างที่ทำได้เพื่อเลี้ยงครอบครัวก็เป็นอาชีพแรงงานในโรงงานที่พวกเบต้าเตือนกันว่าห้ามไปทำงานเด็ดขาด แม้ว่าจะได้เงินดีก็ตาม
   
รัฐบาลนั้นบีบให้เขาและครอบครัวต้องจนตรอก ทุกข์ทรมานกับความยากจนที่เขาเลือกไม่ได้ หนทางเดียวที่จะเปลี่ยนสถานะของตัวเองได้ก็มีแต่ตั๋วชิงโชคที่รัฐบาลขายให้เท่านั้น
   
“ก็อย่าตายแค่นั้นแหละ”

“พูดเหมือนง่ายนะ พี่ พวกนั้นแม่งยิงกระสุนยังกับโปรยทาน ใครจะไปหลบทัน”

“แล้วแกคิดว่าพวกเราจะโง่ให้มันยิงเฉยๆ ทุกรอบรึไง”

“..เดี๋ยวนะ พี่จะบอกว่ารอบนี้เรามีวิธีรับมือพวกมันเหรอ!”

 “ก็เออสิวะ”

สุดท้ายเบต้าพยาบาลคนนั้นก็นอนต่อไม่ลง และพูดคุยถึงแผนของวันนี้พรุ่งนี้ด้วยความตื่นเต้นพอๆ กับคนเป็นวัยรุ่น ฟุ้งเฟ้อถึงความสำเร็จที่น่าจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ไม่หยุด เพราะมันเป็นแผนใหม่ล่าสุดที่เพิ่งถูกคิดได้และนำมาใช้เป็นครั้งแรก ซึ่งรับรองได้เลยว่าถ้าข่าวไม่หลุดออกไปก่อน

พวกรัฐบาลก็ไม่มีวันจับพวกเขาได้อย่างแน่นอน!



“ยังไม่อยากกลับขึ้นไปเหรอ?”

ปั้นถามทวิชที่นั่งทอดกายอยู่ในน้ำ ปีกคู่ใหญ่ที่เริ่มกลับมาปกติถูกกางออกและปกคลุมตัวราวกับว่าพยายามจะซุกซ่อนตัวเองจากเรื่องทุกสิ่ง ไม่ต้องการรับรู้เรื่องราวเลวร้ายอะไรอีก

“..ถ้าแผลผมหายสนิทเมื่อไหร่ ผมจะกลับขึ้นไป”

ทวิชตอบเสียงแผ่ว นัยน์ตาสีทองสั่นระริกอย่างเจ็บปวด เพราะหลังจากที่รับรู้ว่าพ่อแม่ตัวเองตายยังไง เขาก็เจอพวกหนังสือพิมพ์ในช่วงนั้นถูกรวบรวมเอาไว้ที่นี่เต็มไปหมด แน่นอนว่าถ้ามีพวกนักประวัติศาสตร์มาเจอมันก็คงเป็นหลักฐานอ้างอิงชั้นเยี่ยม แต่น่าเสียดายที่สำหรับทวิชแล้วก็เป็นแค่ภาพโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่ประเทศนี้เคยมีมาก่อนเท่านั้น

รัฐบาลนั้นเข่นฆ่าประชาชนของตัวเองอย่างเลือดเย็น บนภาพหนังสือพิมพ์บางฉบับถูกพาดหัวด้วยรูปของพ่อเขากึ่งร่างต้นที่เป็นอีกาเต็มไปหมด ทำนองว่า ‘หัวหน้ากบฏตายแล้ว!!! ประเทศเราจะกลับคืนสู่ความเป็นชาติอีกครั้ง’ แถมในบางพาดหัวยังมีการปรามาสถึงแม่เขาที่เข้าไปช่วยรักษาผู้ก่อการร้าย หาว่าแม่ของเขานั้นเป็นพวกหัวรุนแรง ทั้งๆ ที่แม่ของเขานั้นไม่เคยทำร้ายใครด้วยซ้ำแถมยังเป็นอัลฟ่าด้วย
   
แน่นอนว่าคนตายพูดไม่ได้ เหล่าสื่อที่อยู่ในมือรัฐบาลจึงสร้างข่าวออกมาอย่างสนุกสนานตามอำเภอใจ ชักจูงให้ประชาชนเกลียดชังกลุ่มกบฏที่เป็นเพียงประชาชนธรรมดาที่เรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเอง
   
ความอดอยากเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ความเหลื่อมล้ำก็เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ทุกสิ่งทุกอย่างที่กลุ่มกบฏเรียกร้องคือสิ่งที่พวกเขาประสบอยู่ทุกวัน การพูดสิ่งเหล่านี้ออกมาดังๆ มันนับว่าเป็นความผิดตรงไหนกัน
   
มันเลวร้ายจนถึงต้อง ‘ฆ่า’ กันอย่างเลือดเย็นขนาดนี้เลยเหรอ
   
ทวิชขบกรามกรอดพยายามกล้ำกลืนน้ำตาตัวเอง พยายามที่จะเลิกร้องไห้แต่ก็หยุดไม่ได้ เขาเจ็บปวด เจ็บปวดจนทนแทบไม่ไหว เจ็บปวดจนเหมือนตายทั้งเป็น
   
พ่อแม่เขาตายด้วยฝีมือใครเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำ!
   
ทวิชมือยกขึ้นปิดปากพยายามปิดบังเสียงสะอื้นไม่ให้คนอื่นได้ยิน แต่สุดท้ายมันก็ยังคงเล็ดลอดออกมาอยู่ดี ซึ่งก็ทำให้ทวิชไม่พอใจตัวเองสักเท่าไหร่เพราะเขาไม่ได้อยากร้องไห้เลยสักนิด
   
“ถ้าไม่อยากขึ้นไปก็อยู่ที่นี่ต่อไปเรื่อยๆ ก็ได้นะ อาเข้าใจ”
   
ปั้นพูดด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ เพราะหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขาทำใจกลับขึ้นไปใช้ชีวิตข้างบนนั้นไม่ได้คือการเห็นรัฐบาลที่เคยฆ่าล้างเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเขายังคงใช้ชีวิตอยู่อย่างปกติสุขอยู่บนความมั่งคั่ง ไม่มีความรู้สึกผิดใดๆ ต่ออาชญากรรมร้ายแรงที่ตนเองได้ก่อขึ้นแถมยังลบประวัติศาสตร์พวกนี้ออกอย่างแนบเนียนด้วย
   
สำหรับเขาตอนนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับผีตัวหนึ่งที่ยังคงจมปลักอยู่กับอดีต เอาเข้าจริงเขาสามารถกลับขึ้นไปใช้ชีวิตบนบกได้เพราะทุกคนในตอนนี้ก็คงจะลืมอดีตอันโหดร้ายพวกนั้นไปหมดแล้ว
   
ทั้งๆ ที่มันโหดร้ายถึงเพียงนั้น ทำไมทุกคนถึงลืมมันได้ ทำไมถึงจะยอมให้มันเกิดขึ้นอีก ทำไมทุกคนถึงไม่เข้าใจสักทีว่าการฆ่าคนธรรมดามันไม่ใช่สิ่งปกติ ทำไมถึงยินยอมให้คนชั่วร้ายพวกนี้ครอบงำตลอดชีวิตด้วย!
   
ความผิดปกติที่กลายเป็นเรื่องปกติในสังคมทำให้ปั้นตัดสินใจยอมซุกซ่อนอยู่ใต้ดินมาตลอดหลายสิบปี เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่ทนรับกับความจริงไม่ได้จึงยอมใช้ชีวิตไร้แสงตะวันกันที่นี่ คอยดูแลรักษาข้าวของที่เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่รัฐได้กระทำต่อประชาชนของตนเองกันเป็นอย่างดี

เพื่อเฝ้ารอว่าสักวันจะมีวันทีประเทศนั้นเป็นของพวกเขาจริงๆ

พวกเขาจะไม่มีวันละทิ้งอดีต จะไม่หลงลืมคนที่ตายไปอย่างอยุติธรรม จะไม่ทำให้การตายเหล่านั้นสูญเปล่าอย่างที่รัฐบาลพยายามจะทำเด็ดขาด และจะคอยบอกกล่าวความทรงจำอันเจ็บปวดนี้ต่อไปจวบจนกระทั่งวาระสุดท้ายของตัวเอง

“..ผมต้องกลับขึ้นไป”

ในที่สุดทวิชก็กลื้นก้อนสะอื้นลงได้สำเร็จ ซึ่งก็เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ทวิชมีสีหน้าสงบขึ้น นัยน์ตาสีทองยังคงไว้ซึ่งความเจ็บปวดแต่ความโกรธแค้นที่มีต่อรัฐบาลนั้นมากยิ่งกว่า

เขาทนอยู่เฉยต่อไปไม่ได้จริงๆ

เขาจะไม่มีวันให้พ่อแม่ของเขาต้องตายอย่างสูญเปล่า มันไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้วที่เขาจะมีชีวิตอยู่ไปวันๆ อย่างสงบสุข ทั้งๆ ที่มีคนมากมายตายถึงเพียงนั้น

“...”

ปั้นเผลอชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อคล้ายกับเห็นภาพเพื่อนของตัวเองซ้อนทับกับทวิชขึ้นมา แววตามุ่งมั่นของทวิชนั้นคล้ายกับพ่อตัวเองอย่างไม่มีผิดเพี้ยน แถมปีกอีกาก็ยังเป็นปีกคู่ใหญ่ไม่ต่างกันที่ยังคงเหมือนแม่นิดหน่อยก็มีแค่ใบหูเล็กๆ ของพวกเสือดำที่โผล่ออกมาบนกลุ่มผมเท่านั้น

“..อืม”

สุดท้ายปั้นก็แค่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ เท่านั้น

“..อาจะขึ้นไปด้วยไหม”

“อาขอโทษนะ ทวิช” ปั้นหัวเราะเสียงแผ่ว “อาต้องอยู่ที่นี่เพราะที่นี่เหลือหมอแค่คนเดียวแล้ว”

ทั้งๆ ที่ตอนลงมาซุกซ่อนตัวที่นี่ครั้งแรกนั้นเต็มไปด้วยพรรคพวกมากมาย ทั้งหมอ อาจารย์ นิสิต นักศึกษาหลากหลายอาชีพมากมายมาซุกซ่อนตัว แต่สุดท้ายพอระยะเวลาผ่านไปสักพักคนบางส่วนก็เริ่มสิ้นหวังกับความหวาดกลัว บางคนก็ฆ่าตัวตาย บางคนก็ยอมขึ้นไปยอมติดคุกเพื่อที่จะได้เจอครอบครัวอีกครั้ง บ้างก็ป่วยตาย จนถึงตอนนี้ก็มีคนหลงเหลืออยู่ไม่ถึงสิบห้าคน ซึ่งในสิบคนเหล่านี้ก็คือคนที่หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่มีวันกลับขึ้นไปบนบกแน่ๆ

อิสรภาพที่พวกเขาต้องการนั้นมีราคาที่ต้องจ่ายแพงเกินไป

หนึ่งคนกลายเป็นบ้า สองคนพิการตลอดชีวิต สามคนมีอาการตื่นกลัวตลอดเวลากลัวว่าจะมีคนมาฆ่าตัวเอง และอีกหลายคนที่ไม่ปกติเหมือนเดิม ส่วนคนที่ยังปกติอยู่ก็ช่วยดูแลคนเหล่านี้อย่างแข็งขันในฐานะเพื่อนที่ร่วมอุดมการณ์ร่วมเป็นร่วมตายกันมา

เอาเข้าจริงถึงแม้เขาจะสามารถไปจากที่นี่ได้ เขาก็คงไม่ไปอยู่ดี

ลึกๆ แล้วเขาก็หวาดกลัวการกลับขึ้นไปข้างบน ไม่กล้าแม้แต่จะมองท้องฟ้าด้วยซ้ำ เขาแทบจะไม่กล้าฝันถึงอิสรภาพอะไรพรรค์นั้นที่เขาต้องการแล้ว

เขาไม่อยากเห็นศพของคนที่ตัวเองรู้จักอีก มันเป็นความรู้สึกใจสลายที่เจ็บปวดเกินไป ซึ่งถ้ามันเกิดขึ้นอีกเขาคงจะเป็นหนึ่งในคนที่บ้าหรือฆ่าตัวตายแน่ๆ

“..พรุ่งนี้ผมจะไป”

ทวิชหลุบตามองเงาสะท้อนของตัวเองในน้ำ มองปีกสีดำของตัวเองที่นับได้ว่าเป็นของแสลงใจของทางการ ปีกที่หมายถึงอิสรภาพที่ประเทศนี้ไม่ต้องการมอบให้กับประชาชน

“..หึ”

ทวิชหลุดหัวเราะออกมา

เขาโชคดีชะมัดที่มีทั้งปีกที่รัฐบาลเกลียดชังและความเป็นอัลฟ่าที่ทางการนั้นเทิดทูน

ถ้าหากจะหาคนปั่นหัวรัฐบาล เขาคงจะเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งที่ดีที่สุด หนำซ้ำเขายังค่อนข้างถนัดการใช้ร่างอัลฟ่าด้วยเพราะต้องมีโอกาสได้ใช้มันในการข่มขู่พวกอัลฟ่าด้วยกันเองอยู่บ่อยๆ

“งั้นขึ้นมากินอะไรก่อนไหม วันนี้มีข้าวต้มให้กินนะ”

“ครับ”

ทวิชรับคำง่ายๆ รอจนอาเดินไป ก็ลุกขึ้นจากบ่อน้ำขึ้นมาแต่งตัวแต่โดยดี มือผอมหยิบเสื้อคลุมแจ็คเก็ตลายเสือโคร่งหรือตราสัญลักษณ์ประจำพยัคฆโภคสกุลซึ่งเป็นเสื้อที่อาปั้นนั้นรวบรวมเอาไว้ได้ และตัดสินใจส่งต่อให้กับทวิชเพราะมันเคยเป็นของพ่อทวิชมาก่อน

แน่นอนว่าหนึ่งในสิทธิประโยชน์ที่ทวิชจะได้รับทันทีก็คือความเกรงอกเกรงใจจากทั่วสารทิศแบบเดิม แทบทุกคนในประเทศนี้รู้จักตระกูลพยัคฆโภคสกุลและเสื้อคลุมอภิสิทธิ์ชนที่เหล่าคนในตระกูลนี้ชอบสวมใส่ดี ซึ่งทวิชก็คุ้นชินดีกับการใช้อำนาจมิชอบนี้ในการเอาตัวรอดในสังคมห่วยๆ ด้วยตัวคนเดียวมาหลายปี

เอาเข้าจริงแล้วทวิชก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าพ่อตัวเองไปมีบุญคุณอะไรนักกับตระกูลนี้ ทำไมอาสิงห์ที่รังเกียจเขาแทบตายถึงยินยอมให้เข้ามีชีวิตอยู่จนโตถึงขนาดนี้กัน

เขาไม่รู้เลยและก็คงไม่มีใครให้คำตอบเรื่องนี้กับเขาได้นอกจากอาสิงห์ ซึ่งแน่นอนว่าเขาก็คงไม่มีหน้าไปถามคนที่เกลียดเขาขนาดนั้น

ทวิชง่วนอยู่กับการแต่งตัวสักพักก่อนจะเดินเข้าไปในโถงที่ถูกเรียกว่าโรงอาหารเพื่อกินข้าว หลังจากที่ไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมาหลายวัน

“กินเยอะๆ นะ ทวิช หนูผอมจะตายแล้วเนี่ย”

ปั้นยื่นจานข้าวต้มหมูที่ตักจนพูนถ้วยให้กับทวิชด้วยรอยยิ้มบาง

“..ขอบคุณครับ”

ทวิชรับมาถือก่อนที่จะใช้ช้อนตักข้าวขึ้นมาเป่าให้หายร้อน แต่พอกำลังจะตักเข้าไปกลับรู้สึกแปลกๆ จนต้องวางช้อนที่เดิมและยกมือขึ้นปิดปากทันควัน

“..ทวิช?”

คนเป็นหมอเรียกทวิชด้วยความงุนงงเมื่ออยู่ๆ ทวิชก็หน้าซีดเผือดกะทันหัน นัยน์ตาสีทองที่ดูเด็ดเดี่ยวอยู่ๆ ก็สั่นระริกจนคนมองเผลอใจหายไปด้วย

“เกิดอะไรขึ้น”

“..ไม่มีทาง”

ทวิชพึมพำพูดทั้งๆ ที่ตัวสั่นเทาอย่างรุนแรง มือสั่นๆ พยายามตักข้าวใหม่อีกครั้งเพื่อที่จะกินแต่สุดท้ายก็ทนความเหม็นหืนจนแทบจะอ้วกออกมาตอนที่จะตักเข้าปาก

“...”

หลังจากพยายามต่ออยู่สองสามครั้ง ทวิชก็วางถ้วยไว้ข้างๆ แล้วแผดเสียงหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา แขนบางกอดตัวเองที่สั่นระริกแน่น หวาดกลัวกับความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเองตอนนี้เหลือเกิน

“..ผมคิดว่าผมน่าจะท้อง อาปั้น”

ทวิชพูดทั้งๆ ที่สะอื้นจนตัวโยน

“..ผมท้อง!”

-------------

 :m29:





ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ท้อง กะใคร

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
หือ ท้อง ท้องได้ไง

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
เจ็บปวดกับความจริงที่เกิดค่ะ

ทุกคนย่อมมีหนทางของตัวเอง และมีความเห็นแก่ตัว
จะมากจะน้อยก็แตกต่างกันไป
อุดมการณ์สำหรับบางคนมันทำให้โลกเปลี่ยน
แต่สำหรับบางคนมันช่วยไม่ได้ เพราะโลกโหดร้ายมากขึ้น

อ้าววว แล้วทวิชท้องได้ยังไงคะ ตกหล่นตอนไหนน

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
อ่านถึงประโยคสุดท้าย เชื่อว่าหลายคนต้องทำหน้างง แล้วอุทานว่า ท้องได้ไง!
ช่างเป็นเนื้อหาที่หนักหนาแต่สะท้อนสังคมเหลือเกิน รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เดี๋ยวๆ ทวิชท้องได้ยังไง

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 13

   
“คุณฆ่าผมที ผมทนไม่ไหวแล้ว”
   
“ฆ่าผมด้วย ผมก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน!”
   
“ช่วยด้วย ฮึก ผมทนทำงานต่อไปไม่ไหวแล้ว ผมเหนื่อย ผมไม่อยากทำแล้ว ไม่อยากทำอีกแล้ว ฮึก ผมเหนื่อย”
   
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เหล่าเบต้าที่อยู่ภายใต้ระบบการปกครองอันเห็นแก่ตัวนี้ก็ยิ่งสิ้นหวังมากขึ้นเท่านั้น ลูกค้าที่ได้ยินถึงข่าวคราวของร้านทวิชมากขึ้นทุกวัน และแห่กันมาใช้บริการกันอย่างคับคั่ง
   
แน่นอนว่าเหล่าตำรวจในพื้นที่ก็รับรู้ถึงเรื่องนี้ดี จึงได้ตักเตือนกันต์ไปและกันต์ก็ยอมทำตามเพราะไม่อยากให้ร้านของทวิชนั้นถูกทำลาย ถึงแม้ว่าจะอยากช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ยากจากเบต้าพวกนั้นก็ตาม
   
ในตอนนี้กันต์จึงได้แต่นั่งอยู่ในร้านมองกระจกที่ภายนอกมีเบต้าสิ้นหวังมากมายมาเคาะประตูและตะเกียกตะกาย คร่ำครวญออกมาอย่างสิ้นหวัง ถึงแม้จะได้ยินข่าวลือที่ว่าเจ้าของร้านตายแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังมีความหวังที่จะได้รับบริการขายความตายนั้นอยู่ดี
   
“...”
   
กันต์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และเดินกลับไปนอนขดตัวในห้องครัวเหมือนเดิม
   
เฝ้ารอทวิชต่อไป แม้ว่าจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ไหมก็ตาม

   

“...เธอท้องจริงๆ ทวิช”
   
ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นคำตอบที่ไม่น่าพึงพอใจสำหรับทวิช แต่ปั้นก็ตัดสินใจพูดออกไปอยู่ดี อาจจะด้วยจรรยาบรรณแพทย์หรือความรู้สึกส่วนตัวหรืออะไรก็ตามแต่ มันก็ทำให้เขาอยากพูดออกไปอยู่ดี
   
เด็กน้อยของเขาท้องจริงๆ
   
“..อาขอถามได้ไหมว่าท้องกับใคร”
   
ปั้นพยายามถามอย่างระมัดระวัง เพราะจนถึงตอนนี้ทวิชก็เอาแต่นั่งก้มหน้านิ่งเงียบจมจ่ออยู่กับตัวเองด้วยสีหน้าเจ็บปวดราวกับแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ
   
“..ผมไม่รู้”
   
ทวิชพูดเสียงแผ่วและหัวเราะเสียงขืน
   
“ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นพ่อเด็ก ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้เวรนั่นมันแอบถอดถุงยางตอนไหน ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองนอนกับใคร ผมรู้แค่ว่าตัวเองได้เงินเท่าไหร่กับการนอนกับพวกนั้นเท่านั้นเอง”
   
ทวิชเสยผมตัวเองก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น พยายามประคับประคองตัวเองไม่ให้สูญสลาย ไม่ให้น้ำตาที่ไม่ต้องการได้ไหลรินออกมาอีก
   
“...ผมไม่มีเงิน และวิธีเดียวที่หาเงินได้ง่ายที่สุดในประเทศแบบนี้ก็มีแค่วิธีนี้”
   
ถึงแม้ว่าอาสิงห์จะเคยส่งเงินให้เขาใช้แต่เมื่อเขาเริ่มทำร้านขายความตายจริงจัง เขาก็ไม่เคยได้เงินจากอาอีก ได้แต่มาตะเกียกตะกายหาทางหาเงินทุกวิถีทางก่อนจะมาจบลงที่วิธีนี้ วิธีที่เป็นสาเหตุให้เขาต้องเข้าไปในเขตอันตรายอย่างเขตปลอดแสงสว่างทุกเดือนเพื่อขายตัว
   
ความเป็นอัลฟ่าของเขานั้นทำให้พวกเบต้านั้นสนใจมาก มีคนที่ถูกตราหน้าว่าเป็นเบต้ามากมายหลายคนที่พร้อมจะทุ่มเงินทั้งหมดเพื่อได้บดขยี้อัลฟ่าให้อยู่ใต้อาณัติร่างของตัวเอง ให้สมกับความคับแค้นใจที่ได้ถูกกระทำ ให้พวกเขาได้รู้สึกเหนือกว่าอัลฟ่าแม้เพียงชั่วข้ามคืนก็ยังดี
   
แน่นอนว่าเงินจำนวนนั้นคือเงินที่ทวิชสนใจ จึงยินยอมเอาตัวเองไปทำงานในสถานที่แห่งนั้น ยอมถูกเบต้าที่สุมความเกลียดชังในอัลฟ่ามาล้นฟ้าย่ำยีตัวเองจนแทบสูญสิ้นความเป็นมนุษย์ ถึงแม้จะมีกฎเหล็กคือต้องป้องกันทุกครั้งและห้ามทำร้ายร่างกายกัน แต่เบต้าส่วนใหญ่ที่มาใช้บริการก็มักจะเผลอรุนแรงมากเกินไปอยู่ดี
   
เคราะห์ดีที่พวกมันเป็นแค่รอยฟกช้ำที่ไม่กี่วันก็หาย แต่บาดแผลในใจทวิชนั้นกลับไม่เคยจาง
   
เบต้าพวกนั้นเกลียดเขาสุดหัวใจ ทั้งๆ ที่เขานั้นพยายามทำเพื่อเบต้ามาตลอด การโดนเหมารวมว่าตัวเองเป็นอัลฟ่าชั่วร้ายเหมือนคนอื่นๆ นั้นทำให้ทวิชนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่าตอนโดนซ้อมหลังจากเสร็จกิจเสียอีก
   
เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะทนมาขนาดนี้เพื่อคนอื่นที่ไม่รู้จักทำไม
   
มันเจ็บปวด เจ็บจนเขาทนแทบไม่ไหว และได้แต่ปลอบใจว่ามันก็เป็นแค่ครั้งเดียวต่อเดือน แลกกับเงินจำนวนหนึ่งที่จะใช้ในการดำเนินกิจการร้านของเขาต่อ มันคุ้มค่าพอแล้วสำหรับความเจ็บปวดของเขา
   
‘ตื่นมาพรุ่งนี้ก็หายเจ็บแล้ว’
   
ประโยคนี้เป็นประโยคที่แม่เคยบอกกับเขาและเขาก็เชื่อมันมาตลอด ท่องทุกครั้งหลังจากที่เขารู้สึกเจ็บเกินไป แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกเจ็บจนประโยคนี้ใช้กับเขาไม่ได้อีกแล้ว
   
“ฮึก ผมไม่ไหวแล้ว อาปั้น ผมทนเรื่องพวกนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว!”
   
ทวิชสะอื้นออกมาจนตัวโยน เผลอกุมท้องที่ยังราบเรียบของตัวเองโดยไม่รู้ตัว
   
“ผมปล่อยให้เด็กคนนี้เกิดมาไม่ได้ ผมจะไม่มีวันยอมให้เขาเกิดมาในประเทศแบบนี้ ผม ผมจะทำยังไงดี อาปั้น ฮึก ผมควรจะทำยังไงดี”
   
ถึงแม้จะพยายามเข้มแข็งมากขนาดไหน แต่สุดท้ายเมื่อทุกอย่างประเดประดังเข้ามามากเกินไป ในที่สุดทวิชความเข้มแข็งนั้นก็ถูกทำลายไปจนหมด เหลือเพียงตัวตนเปราะบางที่หวาดกลัวต่อทุกสิ่งไม่กล้าไว้ใจใครนอกจากตัวเอง
   
ร่างของทวิชสั่นระริกอย่างเห็นได้ชัด
   
“ถ้าเขาเกิดมา ผมก็ไม่มีปัญญาเลี้ยง โตอีกหน่อยเขาก็ต้องสิ้นหวังแบบผม ผมไม่อยากให้ลูกของผมต้องสิ้นหวังแบบนี้ มันเจ็บปวดเกินไป ผมไม่อยากให้เขาเกิดมา ผมสงสารเขา”
   
แน่นอนว่าทวิชไม่ได้ใส่ใจว่าลูกของตัวเองจะมีพ่อหรือไม่ แต่เขาสนใจกับสภาพแวดล้อมในการเติบโตมากกว่า เพราะในตอนนี้ทุกอย่างที่เขามีไม่ได้เอื้ออำนวยต่อการเลี้ยงเด็กเลยสักนิด
   
เขาอาศัยอยู่ในย่านเสื่อมโทรมที่เต็มไปด้วยขอทานและคนติดยา หากไม่ใช่เพราะว่าที่แถวนี้ราคาถูกเขาคงไม่ซื้อตึกนี้แน่ๆ นอกจากนี้แล้วอากาศในย่านนี้นั้นยังค่อนข้างแย่มาก มีฝุ่นควันอวลแทบจะตลอดเวลา ผู้คนเลยมักจะมีฝุ่นติดตัวอยู่เสมอ แถมแถวนี้ยังไม่มีโรงเรียนหรือโรงพยาบาลด้วย
   
ถ้าเกิดลูกของเขาเกิดมาจริงๆ แม้แต่สนามเด็กเล่นเขายังหาให้ไม่ได้ด้วยซ้ำ คงได้โตขึ้นในห้องแบบเดียวกับเขา แน่นอนว่าเขายอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้เพราะมันทุกข์ทรมานเกินไปกับการต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม มันเป็นความปลอดภัยที่แลกมาด้วยการไร้ซึ่งอิสรภาพ และเขาก็คงทนโดนขังอีกรอบไม่ไหวแล้วจริงๆ
   
หากมันเป็นแบบนั้นจริง ให้เขาตายยังจะดีกว่าซะอีก
   
เขาไม่อยากมีชีวิตแล้ว ชีวิตที่สิ้นหวังแบบนี้
   
มันเจ็บ เจ็บจนแทบทนไม่ไหว
   
เขาไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าตัวเองจะสามารถเป็นผู้ปกครองที่ดีได้ ลำพังแค่ควบคุมตัวเองไม่ให้สูบบุหรี่เวลาเครียดจัดยังทำไม่ได้เลย ไหนจะนิสัยชอบทำร้ายตัวเองอีก เงินจะเลี้ยงตัวเองเขายังไม่มีเลย ขืนถ้าไปทำงานแบบเดิมแล้วเขาท้องอีกล่ะ เขาจะทำยังไง
   
“ฆ่าผมที ฆ่าผม ผมทนไม่ไหวแล้ว”
   
ทวิชตะเกียกตะกายไปอาของตัวเอง เขารู้ว่าเขาสามารถทำแท้งได้ แต่เขาก็อยากได้ความตายมากกว่าอยู่ดี เขาทนความทุกข์ทรมานเหล่านี้ต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว
   
เพราะเขามีลักษณะเป็นอัลฟ่าเหรอ เขาถึงโดนเหมารวมไปกับอัลฟ่าพวกนั้น เขามันชั่วร้ายมากใช่ไหม เขาเคยทำร้ายเคยกดขี่พวกเขามาก่อน เขาถึงสมควรต้องมารับผิดชอบความเลวทรามพวกนั้น
   
นี่คือผลตอบแทนที่เขาได้รับจากการยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อทำร้านนี้เหรอ..?
   
ทวิชหัวเราะเสียงขืน
   
เบต้าพวกนั้นไม่เห็นเขาเป็นคนด้วยซ้ำไป เขาจะไม่สนใจแล้วว่าร้านบ้านั่นจะเป็นยังไงอีกต่อไป ใครจะเป็นอะไรก็ช่าง เขาไม่อยากรู้แล้ว เขาอยากจะตายไปให้พ้นๆ จากเรื่องเลวร้ายพวกนี้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำผิดตรงไหน เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะใช้ชีวิตยังไงในเมื่อไม่เคยมีใครบอกเขาเลย
   
จริงๆ เขาสมควรตายไปตั้งแต่การปฏิวัติที่แล้วด้วยซ้ำ ควรจะตายไปพร้อมกับพ่อแม่เขาเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาเผชิญความทุกข์ทรมานนี้
   
เพราะในที่แห่งนั้นเขาคงจะมีความสุขมากกว่านี้
   
ปั้นขยับเข้าไปใกล้ทวิชแล้วกอดทวิชแน่นและลูบแผ่นหลังบางที่สั่นเทิ้มไม่หยุด
   
“เธอเป็นเด็กดี ทวิช”
   
“...ฮึก”
   
ทวิชกอดอาตัวเองกลับโหยหาความอบอุ่นที่ไม่ได้รับมานาน ความเป็นเด็กที่เคยถูกฝังกลบในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใจค่อยๆ ถูกขุดขึ้นมาทีละเล็กละน้อย
   
“เป็นเด็กดีมากๆ และอามั่นใจมากเลยว่าถ้าพ่อแม่กับเธอยังอยู่ต้องภูมิใจในตัวเธอแน่ๆ ”
   
“…”
   
แปลกที่ประโยคเพียงแค่ไม่กี่กระโยคกลับทำให้ทวิชนั้นรู้สึกสงบขึ้น แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังรู้สึกเจ็บปวดมากอยู่ดี เขาถูกบีบบังคับให้โต ทั้งๆ ที่อายุได้ไม่กี่ขวบ โดนจับไปซ่อนเอาไว้ในห้องโดยไม่มีคำอธิบายอะไรทำนั้นนอกจากประโยคที่ว่าให้เป็นเด็กดีรอพ่อแม่ที่นี่นะ
   
“..สิ่งเดียวที่พ่อกับแม่เธอต้องการคืออยากให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อ ทวิช มีชีวิตอยู่ต่อในแบบของตัวเองและวันไหนที่เธอโตพอ เธอก็จะเป็นคนเลือกเองว่าจะทำใช้ชีวิตของตัวเองเพื่ออะไร”
   
ปั้นพูดด้วยรอยยิ้มจางและล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อออกมาเช็ดน้ำตาให้ทวิชอย่างเบามือ
   
“สิ่งที่พ่อแม่เธอฝันถึงมันยิ่งใหญ่นะ ทวิช มันเป็นความฝันที่เราทุกคนเคยฝันถึงกันทั้งนั้น วันที่คนทุกคนเป็นคนเท่ากัน เคารพซึ่งกันและกัน ได้ใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขในโลกที่ไม่โหดร้ายต่อกัน”
   
ทวิชนั่งฟังอย่างตั้งใจโดยไม่รู้ตัวสักนิดว่าตัวเองนั้นหยุดร้องไห้แล้ว สีหน้าท่าทางสนอกสนใจราวกับเด็กที่ได้ฟังนิทานก่อนนอน
   
“อาเชื่อนะว่าพ่อกับแม่เธอยอมตายเพื่อมันเพราะอยากสร้างอนาคตที่ดีกว่านี้ให้กับเธอ อยากให้เธอได้เจอโลกที่ดีกว่าเดิม”
   
“..ตอนนี้มันแย่กว่าเดิมอีก”
   
ทวิชหัวเราะเสียงแผ่วแต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่เท่าไหร่นัก เริ่มกลับมาตั้งสติได้อย่างช้าๆ หลังจากปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาจนหมด ความสุขุมที่เคยเกิดกระเจิดกระเจิงหายไปถูกเรียกคืนมาทีละส่วน
   
“รู้สึกดีขึ้นรึยัง”
   
ปั้นถามขณะที่ยังลูบหัวทวิช
   
“ครับ ดีขึ้นแล้ว ขอบคุณมากนะครับ”
   
ทวิชลูบท้องตัวเองเบาๆ ไม่แน่ใจอายุครรภ์ตัวเองเท่าไหร่ แต่ก็น่าจะไม่มากนัก
   
“แล้วเธอจะยังไงกับ..”
   
“ผมจะทำแท้ง แต่ไม่ใช่ที่นี่หรอกครับ เดี๋ยวกลับขึ้นไป ผมจัดการเรื่องทุกอย่างเอง อาไม่ต้องห่วงผมหรอก ผมดูแลตัวเองได้”
   
ทวิชพูดด้วยรอยยิ้มบาง แววตากลับมาเด็ดเดี่ยวอีกครั้งเมื่อนึกถึงอนาคตที่ตัวเองเฝ้าฝันถึง อนาคตที่พ่อแม่เขาไม่อาจไขว่คว้ามาเพื่อเขาได้ แต่เขากำลังจะไขว่คว้ามันด้วยตัวเอง
   
เขาไม่รู้หรอกว่ามันจะสำเร็จไหม แต่มันก็คงจะดีกว่าการอยู่เฉยๆ แล้วยอมโดนพรากสิทธิ์ เสรีภาพ และอนาคตของเขาไปอย่างแน่นอน
   
ถ้าหากเขาไม่เข้าร่วมตอนนี้ เขาก็ไม่มีวันที่จะได้รับชีวิตที่ดีกว่านี้ และวันใดวันหนึ่งที่เขาทนไม่ไหว เขาก็คงจะกลายเป็นลูกค้าของตัวเองไปแล้วจริงๆ แต่ถ้ามันสำเร็จ เขาอาจจะคิดเรื่องการทำแท้งใหม่ก็ได้
   
เด็กในท้องเขาต้องได้รับชีวิตที่ดีกว่าเขา มีความสุขกว่าเขา และมีอนาคตมากกว่าเขา เขาจะไม่มีวันยอมให้รัฐบาลชั่วช้าพวกนั้นมาทำให้ลูกเขาเจ็บปวดเหมือนที่อย่างที่เขาเจอแน่นอน
   
“ผมจะขึ้นไปวันนี้เลย ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับ”

   

‘คนชังชาติพวกนี้กำลังทำให้ประเทศเราไม่มั่นคง พวกมันกำลังเรียกร้องในสิ่งที่ประเทศของเรายังไม่พร้อม ประเทศเราเป็นประเทศที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ฉะนั้นในสิ่งที่พวกมันร้องขอนั้นเราไม่สามารถทำได้ และเราจะไม่ให้การกระทำชิงสุกก่อนห่ามนี้มาทำลายประเทศของเรา’
   
“ชิงสุกก่อนห่าม? พวกเราเนี่ยนะชิงสุกก่อนห่าม พวกรัฐบาลมันพูดอะไรของมันวะเนี่ย”
   
พอสซึ่งอยู่ในชุดเครื่องแบบของพวกทางการสบถออกมาอย่างหงุดหงิดเมื่อได้ยินเสียงวิทยุกระจายเสียงดังลั่นไปทั่วบริเวณศาลยุติธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ
   
ศาลของพวกอัลฟ่า ที่มีผู้พิพากษาเป็นอัลฟ่า เนติบริกรเป็นอัลฟ่า และในแทบทุกตำแหน่งเป็นอัลฟ่า ที่คอยบริการรับใช้ประชาชนอัลฟ่าอย่างภักดี และเหยียบย่ำเหล่าเบต้าไร้ยศศักดิ์ให้จมดิน ในประเทศนี้นั้นถ้าว่าเป็นเบต้าที่ไม่มีเงินแล้วคำพิพากษาแบบเดียวที่พวกเขาจะได้รับคือการยึดทรัพย์ให้เป็นของประเทศและติดคุกเพื่อชดใช้ความผิด ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่มีความผิดก็ตาม
   
เหล่าผู้พิพากษาอัลฟ่าที่ยังพอมีคุณธรรมในใจอยู่บ้างนั้น พวกเขาก็พยายามต่อต้านความอยุติธรรมนี้ด้วยชีวิตหรือตำแหน่งของตัวเองเพียงเพื่อเบต้าที่ตกเป็นแพะของคดีพวกนั้น แต่น่าเสียดายที่มันก็เป็นการกระทำที่สูญเปล่า
   
ประเทศนี้นั้นความยุติธรรมไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปแล้ว ความมั่นคงของเหล่าอัลฟ่าต่างหากที่สลักสำคัญยิ่งกว่า เพราะอัลฟ่าไม่มีวันทำผิด พวกเขาคือสมมุติเทพที่ถูกกำหนดขึ้น เป็นเทพเจ้าบนฟากฟ้าที่ลงมาจุติบนโลกเพื่อช่วยเหลือคุ้มครองเหล่าเบต้าอ่อนแอใต้อาณัติ เป็นชนชั้นสำคัญที่คอยขับเคลื่อนประเทศนี้และทำให้มันดำรงอยู่ต่อไปได้ ฉะนั้นด้วยคุณธรรมอันมากล้นที่พวกเขามีนั้น จึงสามารถตัดสินได้ว่าพวกเขาไม่ผิด หรือถ้าผิดจริงๆ ก็อาจจะเป็นความเข้าใจผิดของลูกความเท่านั้น
   
พวกเขาจะไม่มีวันอนุญาตให้เบต้าธรรมดานั้นมีสิทธิทัดเทียมกับตน หน้าที่เดียวของเหล่าเบต้านั้นคือการยอมโดนกดหัวอยู่ใต้เท้า ทำงานจ่ายภาษีไปจนตายและห้ามเรียกร้องมากกว่านั้น
   
‘มาเถิดพวกเรา เหล่าผู้คนผู้รักชาติ เราจะยินยอมให้คนชังชาติพวกนี้มาทำลายประเทศชาติของเราหรือ คำสั่งของท่านนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้เป็นมติเอกฉันท์ออกมาแล้วว่าถ้าพบเห็นกบฏเหล่านี้สามารถกำจัดได้ทันที ไม่มีความผิด’
   
พอสแค่นเสียงหึออกมาอย่างอย่างเหยียดหยันและพึมพำตอบด้วยประโยคของเหล่ากลุ่มปฏิวัติ
   
“ถึงแม้จะต้องอุทิศจนตัวตาย แต่อุดมการณ์ของเราจะเป็นนิรันดร์”
   
เหล่าอัลฟ่าจะไม่มีวันพรากความหวังไปจากพวกเขาได้อีก
   
นี่จะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของพวกเขาและเป็นครั้งที่รุนแรงที่สุด
   
อิสรภาพของพวกเขาได้กางปีกออกมาแล้ว ไม่ว่าท้องนภาจะอนุญาตให้พวกเขาบินหรือไม่ พวกเขาก็จะบิน บินจนกว่าจะได้ในที่ตัวเองต้องการ แม้ว่ามันอาจจะทำให้พวกเขาต้องทุกข์ทรมานแสนสาหัสก็ตาม
   
“เจอพวกมันบ้างไหม”
   
พอสเผลอสะดุ้งนิดๆ เมื่อจู่ๆ มีคนของทางการจริงๆ เดินเข้ามาทัก ซึ่งก็เป็นเบต้าท่าทางขึงขังที่เพิ่งถูกเกณฑ์เข้ามาช่วยงานของทางการ เหนือสิ่งอื่นใดนั้นสิ่งที่พวกเขามีเหมือนกันคือผ้าพันคอกับหมวกที่เป็นสัญลักษณ์ของคนดี เบต้าหน้าอ่อนอายุไม่เกินยี่สิบปี คนนั้นยิ้มให้พอสอย่างเป็นมิตรแม้ว่าจะเพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรกก็ตาม
   
“ไม่เจอ”
   
พอสตอบกลับเสียงเรียบไม่ได้ชวนคุยต่อ
   
“เสียดายเนอะที่พวกมันไม่มาแถวนี้ ไม่อย่างนั้นทั้งผมทั้งคุณก็คงจะได้รางวัลติดไม้ติดมือกลับบ้านไปบ้าง”
   
“...”
   
แววตาของพอสเย็นชาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อตระหนักได้ว่ากลุ่มปฏิวัติในสายตาคนพวกนี้นั้นไม่ได้เป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ พวกเขาก็เป็นแค่ของที่เอาไว้ใช้แลกรางวัลกับทางการ เป็นแค่กลุ่มคนที่ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะมีชีวิตต่อไปในประเทศนี้ด้วยซ้ำ
   
“ผมน่ะอยากลองยิงคนมาตั้งนานแล้ว อยากรู้ว่ามันจะน่าตื่นเต้นเหมือนผมได้จับปืนตอนเด็กๆ ไหม”
   
“ตอนเด็กๆ ?”
   
“ใช่ ตอนเด็กๆ ไง พ่อแม่คุณไม่เคยพาคุณไปเล่นรถถังกับปืนเหรอ ผมโคตรชอบเลย”
   
“...ผู้ใหญ่มองเราแล้ว ผมว่าเราเลิกคุยกันก่อนดีกว่า”
   
แน่นอนว่าสิ่งที่พอสพูดนั้นมีความจริงเพียงครึ่งเดียว เพราะสาเหตุที่แท้จริงคือเขาทนคุยกับพวกเบต้าที่โดนอัลฟ่าล้างสมองพวกนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว มันทำให้เขาหดหู่กับความจริงที่รู้ว่าว่าตัวเองกำลังสู้กับอะไรอยู่
   
เขากำลังสู้กับเบต้าด้วยกันเอง เบต้าที่ถูกล้างสมองและเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าพวกอัลฟ่านั้นทำถูกต้องทุกอย่าง ทั้งๆ ที่เบต้าพวกนี้เคร่งครัดในศาสนาเหลือเกิน แต่กลับมองไม่เห็นสักนิดว่าการกระทำของตัวเองนั้นละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้อื่นขนาดไหน
   
การฆ่าคนไม่ใช่สิทธิ์ ไม่ใช่ความถูกต้องหรือความยุติธรรม พวกเขาไม่มีสิทธิ์ทำเรื่องพรรค์นี้กับใครทั้งนั้น การเลือกที่จะเชื่อในบทเรียนหรือค่ายล้างสมองนั้นเป็นการกระทำที่ไร้สมองสิ้นดี เอาเข้าจริงความต่ำช้าพวกนี้ไม่ควรถูกบรรจุให้การเป็นที่ศึกษารับรู้ของประชาชนทั่วไปด้วยซ้ำ
   
“จริงด้วย งั้นผมไปประจำจุดประจำการของผมก่อนนะ ถ้าคุณเห็นพวกมันตะโกนเรียกผมก่อนเลยนะ ผมจะรีบวิ่งมาช่วยคุณเลย”
   
“อืม”
   
พอสรับคำอย่างขอไปที และตั้งหน้าตั้งหน้ากับการสอดส่องความปลอดภัยให้กับกลุ่มปฏิวัติของตัวเองต่อ ซึ่งวันนี้ก็เป็นเพียงแค่วันธรรมดาอีกวันที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหล่าอัลฟ่าเบต้าที่ทำงานในชั้นศาลใช้ชีวิตกันอย่างปกติสุขโดยไม่รู้ตัวสักนิดว่าทหารประจำการแต่ละจุดนั้นได้ถูกแทรกซึมไปเกือบหมดแล้ว
   
เป็นเรื่องที่ตลกร้ายดีที่เหล่าอัลฟ่านั้นประเมินความสามารถของกลุ่มปฏิวัติต่ำเกินไป พวกเขาคิดลำพองใจว่าตนนั้นสามารถควบคุมทุกอย่างได้ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น
   
ความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในประเทศนั้นมันเลวทรามเกินไป กลุ่มอัลฟ่าที่ยังพอมีสำนึกดีอยู่บ้างก็เลือกที่จะลอบให้ความช่วยเหลือกลุ่มปฏิวัติอย่างลับๆ จนเหตุการณ์การโต้กลับของกลุ่มปฏิวัติที่ตอนแรกแทบไม่มีโอกาสวันนี้เริ่มมีความหวังให้เห็นบ้าง
   
สิ่งที่กลุ่มปฏิวัติรอก็คือเวลาเที่ยงวัน เวลาที่ทุกคนในประเทศต้องลุกขึ้นยืนเพื่อสรรเสริญการคงอยู่ของประเทศที่นำโดยอัลฟ่า การทำลายศาลอัลฟ่าในช่วงเวลานี้จึงเปรียบได้กับการทำลายความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของพวกอัลฟ่า ให้ผู้คนทั้งประเทศตระหนักเสียทีว่าพวกอัลฟ่านั้นก็เป็นแค่ประชาชนคนธรรมดาเหมือนเราเท่านั้น
   
พวกเขาไม่ได้มีค่ามากกว่าใครและไม่มีสิทธิ์ที่จะช่วงชิงทรัพยากรไปใช้แต่เพียงผู้เดียว
   
พวกเราเป็นคนเท่ากัน
   
‘ณ ตอนนี้เป็นเวลาสิบสองนาฬิกา ขอเชิญทุกท่านลุกขึ้นยืนเพื่อแสดงความรักชาติ—’
   
น้ำเสียงกระด้างหนักแน่นดังขึ้นอย่างองอาจ เหล่าอัลฟ่า เบต้า และทุกคนในอาณาบริเวณค่อยๆ ออกมาจากตึกและยืนเรียงรายกันเป็นแถวหน้ากระดานหน้าศาลต่อหน้าอนุสาวรีย์ขนาดยักษ์ซึ่งก็คือสิงโตอันเป็นสัญลักษณ์ของอัลฟ่า โดยอนุสาวรีย์ที่ตั้งหน้าศาลอัลฟ่าแห่งนี้นั้นค่อนข้างมีความพิเศษกว่าที่อื่นคือสร้างจากไม้ราคาแพงอายุหลายร้อยปี
   
มันถูกสร้างขึ้นมาอย่างประณีต นัยน์ตาสีดำมันขลับที่เป็นลูกแก้วนั้นแวววาวราวกับมีชีวิตอยู่จริง ร่างกายขนาดใหญ่ยักษ์ที่กำลังอ้าปากคำรามนั้นคล้ายกับการประกาศศักดาอำนาจถึงขีดสุด
   
พรึ่บ
   
ในชั่วขณะที่เหล่าผู้คนกำลังโค้งคำนับเป็นการจบพิธี เหตุการณ์ที่ทุกคนไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
   
“!!!!”
   
อัลฟ่าหลายคนอุทานสบถคำหยาบกันออกมาเสียงดังลั่น เมื่อเงยหน้าขึ้นมาจากการคำนับแล้วเห็นทะเลเพลิงที่โชติช่วงอยู่บนตัวอนุสาวรีย์ที่เคารพรักของตนในเวลาเพียงไม่กี่วินาที
   
“ดับไฟ!! ทุกคนรีบดับไฟเร็ว!!!”
   
แน่นอนว่ามันเป็นความพยายามที่เปล่าประโยชน์เพราะกลุ่มปฏิวัตินั้นได้นำสิ่งที่สามารถยับยั้งเหตุการณ์นี้ได้ไปซุกซ่อนหมดแล้ว ความโกลาหลที่เกิดขึ้นก็มีแต่ทำให้เหตุการณ์วุ่นวายมากขึ้นเท่านั้น
   
“ดับไฟสิ ดับไฟ!!!”
   
ผู้พิพากษาอาวุโสคนหนึ่งตะโกนออกมาอย่างสิ้นหวัง ถึงแม้ว่าสิ่งนี้จะเป็นเพียงสัญลักษณ์ของอัลฟ่าแต่ก็นับได้ว่าเป็นสิ่งที่คอยยึดเหนี่ยวจิตใจเขามาตลอดหลายสิบปีนี้ในการทำงานเพื่ออัลฟ่า หากมันถูกทำลายลงก็ไม่ต่างจากอำนาจที่เขามีนั้นถูกทำลายไปด้วย
   
เขารู้ดีว่าอำนาจในมือของพวกอัลฟ่านั้นไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืนคงกะพันเพราะมันไม่ได้มีมาแต่แรก พวกเขาสร้างมันขึ้นมาเองต่างหากด้วยการช่วงชิงอำนาจจากขุมอำนาจเก่าก่อนที่จะใช้วาทกรรมเกี่ยวกับอัลฟ่า เบต้าและโอเมก้าในการแบ่งแยกผู้คน หากเขายินยอมให้อนุสาวรีย์นี้มอดไหม้ไปเฉยๆ มีหวังความเชื่อมั่นงมงายในอัลฟ่าคงจะลดลงไปมาก
   
อย่าลืมสิว่าพวกเขาคือสมมุติเทพที่เสกสรรได้ทุกอย่าง ความผิดหวังครั้งเดียวอาจจะส่งผลกระทบมหาศาลต่อระบบชนชั้นที่พวกเขาสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากได้
   
แต่น่าเสียดายที่มันก็อาจจะไม่ทันกาล เพราะผู้ในสถานที่แห่งนี้มีแต่ผู้ที่ไม่ยินยอมกับความอยุติธรรมนี้อีกต่อไป ทันทีที่มีรถดับเพลิงจากภายนอกวิ่งเข้ามา เหล่ากลุ่มปฏิวัติก็พยายามเข้าไปขัดขวาง พวกเขายอมใช้ชีวิตของตัวเองเพื่อแลกกับอนาคตข้างหน้าที่ลูกหลานของพวกเขาจะได้ไม่ต้องมาประสบกับความสิ้นหวังเหล่านี้อีก
   
“มีพวกกบฏแฝงตัวอยู่กับพวกเรา ฆ่ามัน!!!”
   
ตำรวจอัลฟ่ายศใหญ่คนหนึ่งที่เพิ่งมาถึงตะโกนอย่างลนลาน มือที่จับกระบอกปืนนั้นสั่นเทาเพราะเมื่อมองไปรอบๆ แล้วก็ไม่สามารถแยกออกเลยว่าใครเป็นใคร ทุกครั้งที่เขาพยายามจะยิงฆ่าใครสักคนก็ต้องเผลอหยุดมือไปซะก่อนด้วยความไม่แน่ใจ เพราะหากเขาพลั้งมือพลาดฆ่าอัลฟ่าด้วยกันเองจะเป็นเรื่องใหญ่กว่ามาก
   
สุดท้ายเหล่าคนของทางการก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปด้วยความไม่แน่ใจ ได้แต่ประคับประคองสถานการณ์ไปเรื่อยๆ ฆ่ากลุ่มกบฏไปบางส่วนท่ามกลางควันโขมงจนในที่สุดหน้าที่ของพวกเขาก็จบลง เมื่อเจ้าหน้าที่สามารถเข้าไปดับเพลิงได้สำเร็จ
   
“...”
   
เกิดความเงียบสงัดไปทั่วบริเวณเมื่อไฟมอดลงและเหลือเพียงไม้ที่กลายเป็นเถ้าธุลี บริเวณจุดที่เคยเป็นอนุสาวรีย์ยิ่งใหญ่องอาจนั้นกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า
   
“..นั่นมัน”
   
อัลฟ่าหนึ่งในเนติบริกรร้องออกมาอย่างขวัญเสีย เพราะเมื่อกลุ่มควันจางลงพวกเขาถึงเห็นขนนกที่ลอยฟ่องไปทั่วอาณาบริเวณอันเป็นสัญลักษณ์ของเหล่ากลุ่มปฏิวัติ
   
สีหน้าของอัลฟ่าที่เป็นคนของทางการซีดเผือดขึ้นถนัดตา
   
เพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฝ่ายรัฐบาลพ่ายแพ้ให้กับกลุ่มกบฎ!

--------------

สวัสดีปีใหม่ทุกคนนะคะ  :mew1: (จะบอกตอนที่แล้วแต่ลืม 5555)

#สิงหกุลโภชนา

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
สวัสดีปีใหม่เช่นกันค่ะไรท์
สงสารทวิชมากเลย แต่ดูเหมือนว่ากลุ่มปฏิวัติเริ่มจะมีความหวังขึ้นมาแล้วนะ

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด