ตอนที่ 09
การซ้อมวันสถาปนาประเทศในภาคประชาชนนั้นส่วนใหญ่คนที่มาจะมาจากการเกณฑ์จากหน่วยงานภาครัฐต่างๆ นักเรียน นักศึกษา และอาสาสมัครอีกส่วนหนึ่ง สาเหตุที่รัฐบาลต้องเกณฑ์นั้น เพราะเบต้าปกติโดยทั่วไปแล้ว ถ้ามีโอกาสหลีกเลี่ยงงานนี้ได้ก็จะหลีกเลี่ยง เนื่องจากจะต้องซ้อมก่อนวันงานนับสิบครั้งท่ามกลางอากาศร้อนจัดในเดือนกันยายน เพื่อที่จะให้วันสถาปนาประเทศในวันที่ x เดือนตุลาคม นั้นออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด
แน่นอนว่าถึงแม้จะศรัทธาในอัลฟ่ามากแค่ไหน แต่มันก็ยังมีขอบเขตของความจงรักภักดี
พวกเขาอาจจะศรัทธาในอัลฟ่ามากก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่ทุกคนที่ยินยอมตากแดด ยอมโดนบังคับให้เดินสวนสนามพร้อมกับถือป้ายโฆษณาชวนเชื่อ และนอกจากนี้พวกเขายังต้องตะโกนร้องเพลงออกมาด้วยสีหน้ายินดีอีก
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ามีผู้ที่รอดพ้นก็ย่อมมีผู้ที่ไม่รอดพ้น
เหล่าเบต้าที่มาซ้อมงานกันในวันนี้ แม้ว่าส่วนใหญ่จะมีสีหน้ายินดีที่ได้ทำสิ่งที่ ‘ดี’ เพื่อประเทศ แต่อีกหลายส่วนก็มีสีหน้าไม่เต็มใจนักกับการยืนตากแดดร้อนจัดเฝ้ารอสัญญาณจากเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง
เอาเข้าจริงลึกๆ ในใจพวกเขาก็มีคำถามอยู่มากมายว่าทำไมตัวเองถึงต้องมายืนอยู่ตรงนี้ ทั้งๆ ที่การแสดงความรักความจงรักภักดีนั้นสามารถแสดงออกได้หลายทาง และที่แน่นอนที่สุดคือไม่ใช่การชี้หน้าด่าคนอื่นว่าไม่จงรักภักดีเพราะไม่ยอมทำตามคำสั่งของอัลฟ่า
พวกเขารักในอัลฟ่าก็จริง แต่ก็เหนื่อยเหลือเกินกับการที่ต้องใช้ชีวิตแบบนี้
ถึงแม้จะได้รับเงินชดเชยสำหรับการเข้าร่วมงาน แต่มันก็ไม่คุ้มค่าอยู่ดีกับการเสียโอกาสที่จะได้พักผ่อน หรือการได้ทำงานประจำของตัวเองที่อาจจะให้เงินมากกว่าเงินชดเชย แน่นอนว่าพวกเขาพูดอะไรไม่ได้ เพราะไม่มีสิทธิ์ให้พูด แม้แต่การคิดในใจก็ถือว่าเป็นบาปแล้วด้วยซ้ำ
สิ่งที่พวกเขาทำได้ก็มีแต่ยินยอมทำมันให้จบๆ ไป เพื่อที่ตัวเองและครอบครัวจะไม่เดือดร้อน
เหล่าเบต้าในเวลานี้จึงยืนสงบนิ่งกันอย่างนิ่งงัน เฝ้ารอสัญญาณเพลงอย่างเบื่อหน่าย จนกระทั่งอยู่ๆ ก็มีเบต้ากลุ่มนักศึกษากลุ่มหนึ่งวิ่งขึ้นไปบนเวทีว่างเปล่า และมีอีกหลายกลุ่มที่วิ่งไปยังจุดต่างๆ กระจายกันออกไปเพื่อที่ละครที่พวกเขาเล่นนั่นจะได้มีคนเห็นมากที่สุด
และเพราะความสะเพร่าของอัลฟ่าที่มีส่วนรับผิดชอบในงานนี้ ตอนนี้จึงยังไม่มีใครจับได้ว่าได้มีเหตุการณ์ที่ไม่ได้อยู่ในแผนขึ้น เหล่าเบต้าที่ออกมาจากกลุ่มนั้นจึงยังมีเวลาหายใจหายคออยู่บ้าง และเริ่มการแสดงละครของตัวเองในทันทีเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา
กลุ่มเบต้าในคณะละครกระชากเครื่องแบบที่ทางการจัดให้ออก เผยให้เสื้อผ้าภายในซึ่งประกอบไปด้วยเสื้อผ้าของอาชีพต่างๆ ทั้งชาวนา กรรมกร นิสิตนักศึกษา และเจ้าหน้าที่รัฐ โดยพวกเขาแสดงท่าทีคล้ายกับพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง กราบกรานอ้อนวอนขอความเป็นธรรมให้กับตัวเอง
แต่เบต้าที่แสดงเป็นเจ้าหน้าที่รัฐนั้นก็ทำเพียงแค่มองเมินอย่างไม่ใส่ใจ และผลักชาวนาคนนั้นออก ก่อนที่จะใช้ปืนที่ทำขึ้นจำลองขึ้นมาลวกๆ จากลังกระดาษยิงใส่จนชาวนาคนนั้นตายบนพื้นอย่างอเนจอนาถ เหล่ากรรมกรและนิสิตนักศึกษาต่างโกรธเคืองพยายามจะวิ่งเข้ามาช่วยห้าม แต่สุดท้ายก็โดนยิงตายกันหมด
“…”
เบต้าวัยกลางคนคนหนึ่งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวของกับคณะละครกลุ่มนี้น้ำตารื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ รู้สึกหนักอึ้งในใจเพราะมันเป็นความจริงที่เคยเกิดขึ้นตอนที่เกิดการปฏิวัติครั้งที่แล้ว
มีแกนนำชาวนา และกลุ่มแรงงานตายจริงๆ ด้วยวิธีอันหลากหลาย บ้างก็ถูกลักพาตัวจนหายสาบสูญ บ้างก็โดนลอบสังหารตอนที่เดินขบวนประท้วงอยู่ แต่ทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่ไม่ตายดีกันทั้งนั้น
การแสดงละครของเบต้ากลุ่มนี้นั้นทำให้เขาเหมือนภาพเหล่านั้นฉายซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งมันก็น่าเจ็บปวดตรงที่เขาเกือบจะลืมเหตุการณ์เหล่านี้ไปแล้ว
เหตุการณ์ที่ทางรัฐบาลเคยกระทำต่อประชาชนของตัวเองอย่างทารุณ
ละครของกลุ่มเบต้านั้นคล้ายจะจบลงแต่ก็ยังไม่จบลงสักทีเดียว เพราะหลังจากที่เหล่าเบต้าบทบาทต่างๆ ในละครนั้นตายกันหมดก็มีเบต้าอีกบางส่วนซึ่งอยู่ในกลุ่มละครเช่นเดียวกันทำท่าคล้ายกับทนเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้ วิ่งออกมาห้ามเจ้าหน้าที่รัฐคนนั้น บางคนก็โดนยิง แต่ก็มีบางคนที่เข้าถึงตัวและแย่งชิงปืนนั้นมาได้
ทุกคนล้วนแล้วแต่คิดว่าเจ้าหน้าที่รัฐคนนั้นต้องโดนยิงแน่ๆ แต่วัตถุประสงค์ของกลุ่มวันพรุ่งนี้มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น การแสดงจึงจบลงที่การควบคุมตัวเจ้าหน้าที่รัฐและการแสดงความปราชัยของกลุ่มเบต้าที่สามารถเอาชนะเจ้าหน้าที่รัฐได้
แน่นอนว่าการแก้ไขปัญหาความรุนแรงด้วยวิธีสันตินั้นก็เหมือนกับการฝันกลางวัน พวกกลุ่มปฏิวัติรู้กันดี แต่พวกเขาก็ยังยืนหยัดเพราะไม่อยากให้มีคนตายไปมากกว่านี้ มีคนตายมามากเกินพอแล้วจริงๆ สำหรับประเทศนี้
ปัง!
แต่น่าเสียดายที่แนวคิดนี้ก็คิดกันอยู่แค่ฝ่ายเดียว
เหล่ารัฐบาลผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตาและความยุติธรรมไม่คิดเช่นนั้นจึงมอบกระสุนจริงให้ทันทีโดยไม่มีการประนีประนอมใดๆ
เบต้าวัยรุ่นคนหนึ่งบนเวทีตายทันที ซึ่งส่วนที่เหลือก็หนีเอาชีวิตกันจ้าละหวั่น แต่ก็มีบางส่วนที่ทนไม่ไหวกับความรุนแรงตรงหน้า คืนร่างต้นและพยายามแย่งปืนจากเจ้าหน้าที่รัฐไม่ให้ยิงคนอื่นต่อ
จากวันซ้อมที่แสนน่าเบื่อหน่าย ตอนนี้กลับกลายเป็นการวันนองเลือดอีกครั้ง เหล่าอัลฟ่าที่รู้ถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มกบฏแล้วต่างตะโกนด่าทอกันเสียงดังลั่น ข่มขู่เหล่าเบต้าธรรมดากันอย่างเดือดดาล จนมีเบต้าธรรมดาบางคนทนไม่ไหวพุ่งเข้าไปแย่งปืนและยิงกลับโดยเลี่ยงจุดสำคัญด้วยความโกรธแค้น
“เลิกฆ่าประชาชนสักที!”
เบต้าคนนั้นคำรามก่อนที่จะโดนห่ากระสุนยิงใส่ในเวลาต่อมา เพราะปืนในมือเหล่าอัลฟ่านั้นไม่ได้มีแค่กระบอกเดียว พวกเขามีนับร้อยพันนับหมื่นกระบอกที่พร้อมใช้ตลอดเวลาด้วยเงินภาษีจากประชาชน และพร้อมส่งคืนภาษีเหล่านั้นผ่านลูกตะกั่วอย่างเท่าเทียม
“อัลฟ่าจงพินาศ เสรีภาพจงเจริญ!”
หนึ่งในเบต้ากลุ่มคณะละครที่ยังรอดชีวิตตะโกนขึ้นมา ก่อนที่มันจะถูกตะโกนต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับซึมลึกเข้าไปในใจเบต้าบางคนที่ยังคงมีจิตใจฝักใฝ่กับพวกอัลฟ่าอยู่
เสรีภาพ..
พวกเขาแทบไม่ได้ยินคำนี้มานานมากแล้วนับตั้งแต่การปฏิวัติครั้งล่าสุด สิ่งเดียวที่พวกรู้จักและคุ้นเคยกันดีมีเพียงการทำตามคำสั่งอัลฟ่าโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ซึ่งมันแทบทำให้พวกเขาจดจำไมได้แล้วว่ามันมีความหมายว่ายังไง
แน่นอนพวกเขาไม่เข้าใจกลุ่มกบฏเลยสักนิดว่ามันคุ้มค่านักเหรอ กับการยอมสละชีวิตตัวเพื่อเสรีภาพพวกนี้ ราคาของเสรีภาพที่พวกเขาต้องการมันแพงเกินไปหรือเปล่า ทำไมมันถึงต้องจ่ายด้วยชีวิตของตัวเองกัน
“อย่าไปฟังพวกมัน!!! พวกมันโดนสะกดจิตมา!!!”
อัลฟ่าตำแหน่งสูงคนหนึ่งขึ้นไปบนเวทีในร่างต้นซึ่งเป็นร่างของสิงโตหรือ ‘สัญลักษณ์’ ของอัลฟ่า และตะโกนก้องออกมาด้วยเสียงทั้งหมดของตัวเอง
“เสรีภาพที่พวกมันต้องการเป็นแค่ของหลอกลวง!! เป็นความคิดดัดจริตของพวกนอกรีต!!! อัลฟ่าของเราต่างหากที่เป็นขอจริง!! คิดว่าพวกเราจัดงานนี้ขึ้นเพื่อใคร เพื่ออัลฟ่าของเรา เพื่อประเทศของเรา!! ถ้าหากไม่มีอัลฟ่า ประเทศนี้ก็ไปไหนไม่ได้หรอก!!”
“…”
เบต้าบางส่วนที่โดนต้อนเอาไว้ไม่ให้หนียืนฟังด้วยสีหน้านิ่งเฉย แต่ในใจคือสุมไปด้วยความสับสนและคำถามเต็มไปหมด
ประเทศที่ปกครองด้วยอัลฟ่านั้นเป็นประเทศที่ดีอย่างที่พวกอัลฟ่าพูดจริงๆ งั้นเหรอ? แล้วทำไมพวกเขาถึงยังยากจนอยู่ละ ทำไมถึงยังต้องอดมื้อกินมื้อ ไร้ความคาดหวังในความก้าวหน้าด้านอาชีพการงานเพราะเป็นแค่เบต้าธรรมดา ไหนจะเรื่องระบบขนส่งสาธารณะที่ขึ้นราคาทุกปีแต่คุณภาพเท่าเดิมอีก แถมทางเท้าที่พวกเขาต้องเดินทุกวันก็โครตห่วยแตกเมื่อเทียบกับเขตที่พวกอัลฟ่าอยู่กัน
ถ้าจะบอกว่าประเทศที่อัลฟ่าปกครองนั้นดีที่สุด สู้บอกว่าห่วยแตกที่สุดยังน่าจะฟังมากกว่า
แน่นอนว่าพวกอัลฟ่าก็มีวิธีกลบเกลื่อนความล้มเหลวของตัวเองด้วยการเอาค่า GDP (ผลิตภัณฑ์รวมในประเทศ) หรือเอาตัวเลขทางเศรษฐกิจหลอกๆ มาหลอกประชาชนโง่เขล่าในประเทศ ปั้นตัวเลขขึ้นมาสักตัวเลขหนึ่งแล้วก็อ้างมันตลอด ทั้งๆ ที่ความจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น ทุกคนกำลังจะอดตาย แถมยังอดตายในประเทศที่ขึ้นชื่อว่าสมบูรณ์ที่สุดในโลกด้วย
ตลกร้ายเหลือเกินที่พวกเขาอาศัยอยู่ในประเทศที่มีทรัพยากรมากมาย แต่ทรัพยากรเหล่านั้นกลับถูกใช้หล่อเลี้ยงเพื่อความมั่งคั่งของคนเพียงกลุ่มเดียว
“ใครที่คิดจะเข้าร่วมกับกลุ่มกบฏมีโทษสถานเดียวคือตายเท่านั้น!!! เราจะยอมให้พวกกบฏมาทำลายประเทศเราไม่ได้!”
ยิ่งอัลฟ่าที่ยืนอยู่บนเวทีพูดมากเท่าไหร่ เบต้าบางส่วนก็โกรธยิ่งเท่านั้นจนในที่สุดพวกเขาก็ระเบิดออกมา
“เออจะตายก็ตาย!!! กูไม่ทนแล้ว!!”
พวกเขาโยนป้ายในมือทิ้ง ตะโกนกลับแสดงท่าทีกระด้างกระเดื่องออกมาอย่างชัดเจน
“แกไม่มีวันฆ่าเราหมดหรอก!!”
เบต้าส่วนหนึ่งคืนร่างต้นแล้วกู่ร้องออกมา พุ่งเข้าไปไปแย่งกระบอกปืนแล้วยิงกลับ ไม่ไยดีชีวิตตัวเองอีกต่อไป เพราะต่อให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปมันก็เฮงซวยเหมือนเดิม
“พวกเราจะหลุดพ้นจากความเป็นทาส!!! เราจะสั่งสองพวกอัลฟ่าว่าพวกมันไม่ได้ดีไปกว่าเรา!!!”
ปัง!!
“หุบปาก!!”
สุดท้ายความชุลมุนและแรงต่อต้านก็เกิดขึ้นตามที่กลุ่มปฏิวัติต้องการ เริ่มมีกลุ่มเบต้าจำนวนหนึ่งแสดงตัวเข้าร่วมเพราะอัลฟ่าได้ทำลาย ‘ฟาง’ เส้นสุดท้ายนั้นด้วยตัวเอง
พวกเขาประเมินความโกรธของผู้คนต่ำเกินไป
[ …จงมีศรัทธาในเหล่าอัลฟ่าอยู่เสมอ.. สนามกีฬาxx เราจะไปที่นั้นอีกครั้ง ในวันพรุ่งนี้.. ]
“…”
หลังจากที่ปรับวิทยุเสร็จทวิชก็ขมวดคิ้วเพราะพบว่าในคลื่นความถี่นั้นนั้นไม่มีพูดคุยกัน นอกจากการกลอเสียงหนึ่งซ้ำๆ ไม่หยุด
วันพรุ่งนี้?
ทวิชถอนหายใจและนั่งลูบปีกตัวเองอย่างเผลอไผล
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตั้งแต่ที่โดนเกรซทัก เขาก็เริ่มรู้สึกอยากบิน ทั้งๆ ก็แทบจะจดจำวิธีการบินไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ และมันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ด้วยที่เขาจะบินได้ในวันพรุ่งนี้
โอเมก้ายังคงเป็นสิ่งต้องห้ามในประเทศนี้ หากเขาบินจริงๆ ก็คงจะตายทันที ซึ่งเขาก็ไม่อยากให้ตัวเองต้องตายเปล่า เขาคิดว่าตัวเองยังทำอะไรได้มากกว่านั้น
“…จริงสิ”
ทวิชยิ้มออกมาเมื่ออยู่ๆ ก็นึกออกว่ายังมีวิธีทำให้เขาบินได้
ร่างโปรงของทวิชจึงค่อยๆ ส่งเสียงกระดูกดังลั่น ค่อยๆ ตัวเล็กลงจนกลายเป็นอีกาสีดำขลับตัวหนึ่งที่ตัวใหญ่กว่านกทั่วไปนิดหน่อย มันก้าวเดินสองสามก้าวเพื่อทำความคุ้นเคยกับร่างต้นที่ไม่ได้คืนมานาน ก่อนที่จะพยายามตีปีกบินขึ้นไปบนตู้ข้างบน
กา กา
ทวิชร้องออกมาอย่างหงุดหงิดเพราะเขาบินได้เตี้ยและห่วยแตกมาก ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เนื่องจากเขาคุ้นชินกับร่างเสือดำมากกว่า
ให้ตายสิ มันบินยังไงนะ
ทวิชพยายามตีปีกอยู่สองสามครั้งซึ่งก็บินถึงแค่เตียง แต่เหนื่อยก่อนเลยนอนซบบนเตียงทั้งร่างนก และเผลอหลับไปโดยที่ลืมไปเลยว่านอกจากตัวเองแล้ว ช่วงนี้ยังมี ‘เพื่อน’ ร่วมห้องอีกคนที่มาอาศัยอยู่ด้วย
“…”
กันต์ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเปิดประตูเข้ามาในห้องชะงักทันทีเมื่อไม่เห็นทวิชนอนบนเตียง แต่พอมองหาก็พบว่าทวิชนั้นอยู่ในร่างต้นและมุดเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วโผล่ออกมาเห็นเพียงแค่ปลายหางของพวกนก
แน่นอนว่ากันต์รู้ขอบเขตของตัวเองดี จึงปิดไฟและไปล้มตัวนอนลงบนฟูกที่อยู่อีกมุมห้อง ซึ่งเป็นที่ๆ ทวิชนั้นจัดเตรียมไว้ให้เขานอนด้วยอย่างใจดี ทั้งๆ ที่สามารถให้เขาไปนอนที่อื่นที่ไม่ใช่ห้องตัวเองก็ได้
เพราะยังไม่ค่อยง่วงกันต์จึงนอนดูหางของทวิชที่ขยับขึ้นลงเหมือนกับกำลังฝันอะไรสักอย่างอยู่อย่างเพลินตา
เอาเข้าจริง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมทวิชถึงใจดีกับคนแปลกหน้านัก
ขอแค่รู้ว่าเป็นเบต้าที่สิ้นหวังสักคน ทวิชก็พร้อมจะช่วยทันที ถึงแม้ว่ามันจะเป็นทางเลือกที่ไม่ถูกศีลธรรมเท่าไหร่ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ก็มีแค่ความตายเท่านั้นที่จะปลดเปลื้องพวกเขาออกจากความทุกข์ทรมานได้ เพราะปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ระบบโครงสร้างที่ถูกเขียนโดยพวกอัลฟ่า
พวกนั้นไม่สนใจชีวิตคนที่อยู่เบื้องล่างด้วยซ้ำ ทอดทิ้งผู้คนให้จมอยู่กับความสิ้นหวัง แม้แต่เขาเองถ้าหากไม่ถูกทวิชไถ่ตัวออกมาวันนั้นก็คงจะตายคาสนามไปแล้ว
ซึ่งต่อให้เขาตายตอนนั้น เขาก็ไม่เสียใจอยู่ดี
เขาสิ้นหวังไปแล้ว เขาไม่คิดว่าตัวเองจะมีอนาคตที่ดี เขาไร้การศึกษา เขาไม่มีแม้แต่บัตรประชาชนด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เกิดในประเทศนี้เหมือนกัน
สาเหตุที่เขาไม่ได้รับการรับรองว่าเป็นประชาชนของประเทศนี้นั้นก็เพราะว่าเขามีเชื้อสายของพวกอัลฟ่า ฟังดูดีแต่ความจริงแล้วเขาก็เป็นแค่ผลผลิตของตัณหาที่มากล้นของพวกอัลฟ่าเท่านั้น
ทีแรกเขาเติบโตในซ่อง ใช้ชีวิตอยู่กับแม่ที่ต้องรับแขกทุกวันเช่นเดียวกับเกรซ แม่ไม่ได้ตั้งใจจะมีเขาด้วยซ้ำ แต่เมื่อเขาเกิดมาแม่ก็พยายามดูแลเขาด้วยความสามารถทั้งหมดของตัวเอง
แม่พยายามสอนเขาทุกอย่าง แม้แต่การเขียนหนังสือ แต่เพราะว่าแม่เขาก็ไร้การศึกษาเหมือนกันก็เลยทำให้เขาเขียนได้แค่ชื่อตัวเอง แต่สิ่งที่แม่พยายามบอกเขาอยู่เสมอคือไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับพวกอัลฟ่าและไม่ว่าจะป่วยขนาดไหนก็อย่าได้เข้าไปใช้โรงพยาบาลของพวกมัน
แม่เขารู้เรื่องวัคซีนที่พวกอัลฟ่าผลิตขึ้นมา และรู้ดีด้วยว่ามีคนมากมายขนาดไหนที่ตายเพราะยานั่น
เขารู้ดีว่าแม่พยายามแค่ไหนที่จะทำให้เขามีชีวิตที่ดีกว่าตัวเอง ซึ่งสิ่งที่ทำให้มันแย่ลงไปอีก คือเขาไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นคนของประเทศนี้ ทำให้เขาแทบไม่ได้รับสวัสดิการอะไรจากรัฐเลยแม้แต่อย่างเดียว
ถ้าหากคิดว่าสวัสดิการรัฐมันห่วย การที่ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะได้รับมันนั้นห่วยกว่าอีก เขาถูกปฏิบัติราวกับพลเมืองชั้นสอง หลังจากที่แม่เสีย เขาก็หาทางลอบเข้าไปในศูนย์รับเลี้ยง เพราะที่นั่นมีอาหาร และขโมยได้ง่ายที่สุด
กับขนมปังแค่ก้อนเดียว เขากลับต้องแย่งชิงมันแทบตาย
มันไม่อร่อย เขาไม่เคยอยากกินแต่ก็ต้องกิน อาหารมื้อดีๆ ที่เขาจะได้กินส่วนใหญ่ก็จะเป็นการบริจาคของพวกอัลฟ่าที่พวกเบต้าซาบซึ้งว่าเป็นบุญคุณนักหนา แทบจะลืมไปหมดว่าทำไมตัวเองถึงต้องใช้ชีวิตห่วยแตกแบบนี้
พวกเบต้าเป็นพวกที่ลืมง่าย เอาจะฟังดูเหมารวมแต่มันก็เป็นเรื่องจริง แม่เขาบอกว่าถ้าพวกเบต้าลุกฮือขึ้นแรงๆ จนพวกอัลฟ่าล้มลง เราก็อาจจะไม่ต้องจมอยู่กับวาทกรรมโง่ จน เจ็บอีกต่อไป
เอาเข้าจริงตอนนี้เขาก็แทบจะจำหน้าแม่ตัวเองไม่ได้แล้ว ที่แย่กว่านั้นคือเขาจำชื่อเก่าตัวเองไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะเขาเอาชีวิตรอดอยู่คนเดียวกันนานเกินไปด้วยล่ะมั้ง
ซึ่งชีวิตตอนนี้ของเขาก็เหมือนกับฝัน
เขามีบ้านอยู่ เขามีที่ให้ซุกหัวนอน เขามีอาหารอุ่นๆ กินครบสามมื้อ แถมเขายังมีน้ำสะอาดให้ใช้ด้วย ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากให้มันเป็นแบบนี้ตลอดไป ชีวิตของเขาต้องการแค่นี้ก็เพียงพอแล้วจริงๆ แต่เขาก็รู้อีกนั่นแหละว่ามันก็แค่ฝัน
อีกไม่นานฝันแสนหวานนี่ก็จะจบลง
การปฏิวัติครั้งใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้น
กันต์ถอนหายใจและหลับในที่สุด
เพียงคืนเดียวกลิ่นของการปฏิวัติก็ขจรขจายไปทั่ว เบต้านั้นแบ่งแยกเป็นหลายกลุ่ม มีทั้งที่สนับสนุนและไม่สนับสนุน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่ไม่สนใจอะไรด้วย ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ความผิดอะไร เพราะคนส่วนใหญ่ก็กลัวกระสุนจริงกันทั้งนั้น
ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องที่ชอบธรรมหรือควรเคยชินเลยสักนิด
ประเทศนี้โหดร้ายเกินไป พวกเขาใข้กระสุนจริงทุกครั้งโดยไม่แม้แต่จะลังเลและอ้างว่าทำเพื่อปกป้องตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ชอบธรรม เหล่าเบต้าที่สนับสนุนการปฏิวัติถึงได้โกรธเคืองกันนัก
พวกเขาเริ่มกักตุนอาหาร สะสมอาวุธ และหยุดงาน เพราะหนึ่งในสิ่งที่จะทำให้สังคมระดับบนชะงักชะงันได้ก็คือการนัดประท้วงหยุดงาน
อัลฟ่าขาดเบต้าไม่ได้
นี่เป็นความจริงที่เบต้าส่วนใหญ่ไม่รู้ และมักจะเชื่อว่าตัวเองต่างหากที่ขาดอัลฟ่าไม่ได้ ทั้งๆ ที่มันไม่เป็นความจริงสักนิด ระบบชนชั้นอันเหลื่อมล้ำนี้จะมีอยู่ไม่ได้เลย ถ้าขาดเบต้าที่เปรียบเสมือนมดงานค่าแรงถูกไป
ทุกสิ่งทุกอย่างในสังคมนี้ต้องการเบต้า ต้องการคนที่คอยขับเคลื่อนมัน
วันนี้พวกเขาจึงนัดกันหยุดทำงานตามเสียง ‘กระซิบ’ ที่บอกต่อกันมาโดยไม่รู้ที่มาแน่ชัด รู้ตัวอีกทีเบต้าที่สนับสนุนการปฏิวัติส่วนใหญ่ก็ออกตัวหยุดงานกันแล้ว แต่น่าเสียดายที่มันก็ยังเป็นส่วนน้อยอยู่ เพราะไม่ใช่เบต้าทุกคนที่อยากจะเอาชีวิตไปเสี่ยงกับการต่อต้านพวกอัลฟ่า
แต่อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงก็ย่อมดีกว่าการนิ่งเฉย
พวกเขานัดหยุดงานกันก่อนที่ช่วงบ่ายจะได้ข่าวถึงการชุมนุมหน้าสนามกีฬาชุมชนใจกลางเมืองจึงพากันไปรวมตัวกันเพื่อประท้วงกับเบต้าอย่างสันติ ไร้ซึ่งแกนนำ พอได้จำนวนหนึ่งก็มีเบต้าผลัดกันไปพูดปราศรัยเรียกร้องสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาควรจะได้จากอัลฟ่า ซึ่งมันก็เป็นคำขอที่แสนเรียบง่ายเข้าใจไม่ยาก
พวกเขาก็แค่ต้องการชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้เท่านั้น
ทุกวันนี้พวกเขาใช้ชีวิตยากเกินไป สิ้นหวังเกินไป เหนื่อยล้าเกินไป ในแววตาของเด็กๆ แทบจะไม่เหลือความหวังในประเทศนี้แล้ว พวกเขาหิวโหยและโกรธเคือง
“สิ่งที่เราร้องขอไม่ใช่สิ่งใหม่ พวกเราก็แค่ต้องการสวัสดิการที่ดีขึ้น”
ในระหว่างที่เบต้าคนหนึ่งปราศรัยอยู่นั้น จำนวนของเบต้าที่มาเข้าร่วมรับฟังก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ผ่านไปได้ไม่นานกลุ่มคนที่ยังหวงแหนใน ‘อำนาจ’ ของตัวเองก็มาถึง
“หยุด!! ใครขยับตาย!!”
ทันทีที่รถบรรทุกของทางการจอดเหล่าทหารตำรวจของอัลฟ่าก็กรูลงมาจากรถพร้อมอาวุธครบมือ ด้วยสีหน้าขึงขังและเล็งไปยังประชาชนมือเปล่าของตัวเองอย่างข่มขู่ เพราะคำสั่งที่พวกเขาได้รับมาคือต้องหยุดการชุมนุมที่เกิดขึ้นนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม
และแน่นอน วิธีการที่ง่ายที่สุดสำหรับการปิดปากและสร้างความหวาดกลัวก็คือการ ‘ฆ่า’
อย่างไรก็ตามไม่ว่าพวกเขาจะฆ่าหรือการกระทำรุนแรงแค่ไหนก็ตาม ยังไงพวกเขาก็ไม่มีความผิดเพราะเป็นการกระทำตามหน้าที่ และคนที่ควบคุมศาลอยู่ก็คืออัลฟ่า ฉะนั้นไม่มีทางใดเลยที่พวกเขาจะมีความผิดได้
เบต้าคนที่ปราศรัยอยู่บนเวทีนั้นยืนตัวแข็งทันที แต่เบต้าอีกคนก็ทนไม่ได้ขึ้นไปแย่งไมค์พูดปราศรัยต่ออย่างเกรี้ยวกราด
“เราจะทนกันแบบต่อไปจริงๆ งั้นเหรอ ปล่อยให้พวกชั่วๆ พวกนี้มันมันปกครองเรา ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าพวกมันเป็นฝ่ายผิด!!!”
ปัง!
พูดไม่ทันจบประโยคก็โดนยิงสวนขึ้นไปทันที แต่มันเหตุการณ์ที่เขาคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว จึงสามารถหลบได้อย่างคล่องแคล่ว ก่อนที่จะคืนร่างต้นซึ่งเป็นแพะครึ่งหนึ่งและวิ่งหนีไปตึกที่ใกล้ที่สุด
ปัง! ปัง!
เหล่าเจ้าหน้าที่รัฐวิ่งตามไปทันที ขณะที่เดียวกันก็ไล่จับกุมผู้ที่มาชุมนุมเพื่อจับไปขังและดำเนินคดี แน่นอนว่าเหล่าเบต้าส่วนใหญ่ไม่อยู่เฉยให้จับกุมง่ายๆ เพราะรัฐนั้นได้ใช้วิธีการที่รุนแรงและไร้มนุษยธรรมที่สุดกับพวกเขา
ตูม!
ระเบิดควันลูกหนึ่งจากฝั่งผู้ประท้วงโยนคืนใส่เจ้าหน้าที่รัฐเพื่อสร้างม่านควันขึ้นมา และซื้อเวลาให้พวกเขาได้หลบหนี ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างตอนนี้อลหม่านกันกว่าเดิม
เจ้าหน้าที่รัฐต่างวิ่งตามจับเหล่าผู้ชุมนุมราวกับสุนัขล่าเนื้อที่หิวจัด รางวัลชิ้นโตที่พวกเขาจะได้รับจากการจับผู้ชุมนุมได้สักคนคือตำแหน่งหรือเงินก้อนใหญ่สักก้อน พวกเขาคาดหวังมันมากจึงต้องพยายามอย่างยิ่งในการสร้างผลงานให้ผู้บังคับบัญชาพอใจ
ปัง! ปัง! ปัง!
“สารเลว.. ไอ้พวกสารเลว”
เบต้าคนหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมโดนลูกหลงจากการพยายามยิ่งทะลุม่านควัน ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อโดนลูกหลงเช่นนี้แล้ว เขายอมกลายเป็นผลงานของเหล่าเจ้าหน้าที่ทันที ไม่ว่าเบต้าคนนี้จะเป็นผู้ชุมนุมหรือไม่ก็ตาม ถ้าหากพวกเขาให้เป็นก็ต้องเป็นอย่างไม่มีเงื่อนไข
ส่วนเบต้าแพะนั้นก็ยังคงพูดใส่ไมค์ต่อไปเรื่อยๆ แม้ว่ากำลังถูกความตายไล่ล่าอยู่ก็ตาม
“ถ้าเรายอมมันไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีวันเปลี่ยน ตลอดชีวิตของเราก็จะเป็นทาสของมัน”
ปัง!
“หุบปากสักที!! จะพูดไปให้ได้อะไรวะ!!”
เบต้าซึ่งเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่รัฐคำรามออกมาอย่างดุดัน เขาคือหนึ่งในบุคคลที่เทิดทูนอัลฟ่าอย่างสุดหัวใจ ไม่เคยตั้งคำถามใดๆ เพราะความเชื่อมั่นอย่างถึงที่สุด
แน่นอนว่าเบต้าแพะคนนั้นไม่ใส่ใจ แต่การพูดก็ค่อนข้างช้าขึ้น เริ่มเหนื่อยจากการหนีขึ้นบันไดหนีไฟที่สูงชั้นขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอีกใจหนึ่งของเขาก็ภาวนาให้มันไม่สิ้นสุด เพราะถ้ามันหมดเมื่อไหร่ นั่นก็เท่ากับว่าเขาไม่มีทางหนีแล้ว
“เสรีภาพเป็นสิ่งทีมีอยู่จริง อิสรเสรีที่โอเมก้าพูดถึงมันคือเรื่องจริง พวกเขาไม่ได้โกหก!”
ปัง! ปัง! ปัง!
เพราะไปแตะเรื่องต้องห้าม กระสุนที่ถูกยิงจึงมากขึ้น ความอ่อนล้าจากการหนีทำให้เขาหลบไม่ทันนัดหนึ่งจนมันฝังเข้าไปในช่องท่อง แต่เขาก็ยังพยายามหนีและพูดต่อไปอยู่ดี
ซึ่งสิ่งที่น่าเสียดายที่สุดคือสิ้นสุดบันไดหนีไฟแล้ว
เขาเปิดประตูก่อนที่จะวิ่งออกมาทางดาดฟ้าพยายามจะหาทางหนีและพูดอะไรต่อ แต่สมองก็โล่งไปหมดตอนที่เห็นเด็กอายุประมาณสี่ห้าขวบคนหนึ่งวิ่งเล่นอยู่คนเดียว
“…แย่แล้ว”
เบต้าแพะสบถรู้สึกอยากจะร้องไห้เต็มทน
อีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าพวกมันจะตามมาข้างหลัง และกราดยิงใส่เขา ซึ่งเขาก็ค่อนข้างมั่นใจมากว่ามันจะไม่ระวังเด็กนี้แน่ๆ แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือต่อให้เอาตัวกันกระสุนให้ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าเด็กนี้รอดอยู่ดี
ทำยังไงดี ทำยังไงดี ทำยังไงดี
ความบ้าบิ่นเมื่อกี้แทบจะหายไปหมด และถูกแทนที่ด้วยความกังวล ทุกสิ่งทุกอย่างในเวลานี้บีบบังคับให้เขาตัดสินใจให้ไวที่สุด ทั้งๆ ที่มันไม่มีหนทางอื่นเลยนอกจากกระโดดลงจากตึกสูงเจ็ดชั้น
ปัง!
เสียงประตูที่ถูกกระแทกให้เปิดทำให้เบต้าแพะตัดสินใจในพริบตา
ไม่ทันแล้ว
เขาวิ่งเข้าไปอุ้มเด็กคนนั้นแล้วกระโดดลงจากตึกทันที!
=