ตอนที่ 3
“เจ็บรึเปล่า?”
ทวิชพึมพำถามเจ้าเด็กตัวโตที่จนถึงตอนนี้ไม่ร้องสักแอะ แม้ว่าจะถูกเขาเอาแอลกอฮอล์เช็ดแผลสดให้ก็ตาม นัยน์ตาสีเทาว่างเปล่าหลุบตามองเขาไม่วางตาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ถ้าเจ็บบอกนะ”
แน่นอนว่าทวิชไม่ได้สนใจนักว่าจะได้รับคำตอบกลับมารึเปล่า ออกจะรู้สึกดีด้วยซ้ำที่เด็กนี้เป็นคนเงียบๆ เพราะเขาก็ไม่ใช่คนที่พูดมากเท่าไหร่ เขาจึงค่อนข้างพึงพอใจกับบรรยากาศเงียบๆ นี้พอสมควร
“…”
ทวิชขมวดคิ้วเมื่อเห็นแผลเป็นบนแผ่นหลังหนาหลายสิบแผล ถึงแม้ว่ามันจะเหลือเพียงแค่รอยแผลเป็น แต่เขาก็ดูออกอยู่ดีว่ามันต้องเจ็บมากแน่ๆ
“เกิดอะไรขึ้น”
น้ำเสียงที่ทวิชใช้ถามนั้นนุ่มนวล ไพเราะ จนคนฟังอดที่จะหลับตาฟังอย่างผ่อนคลายไม่ได้
“ศูนย์รับเลี้ยง”
ทวิชกระพริบตาปริบ แปลกใจนิดๆ ที่เสียงของอีกฝ่ายนั้นทุ้มต่ำและโตกว่าที่คิด แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่ทวิชไม่แปลกใจเลยคือคำตอบที่ได้รับ
ศูนย์รับเลี้ยงเด็กกำพร้าหรือสถานที่รับเลี้ยงเด็กที่ดำเนินการโดยรัฐบาล ที่มีฉากหน้าสวยงามคือคอยรับเลี้ยงเด็กที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งหรือไร้ญาติคอยดูแล แต่ฉากหลังคือการลักลอบค้ามนุษย์ของพวกรัฐบาล ที่มักจะขายพวกเบต้าเด็กๆ ให้กับพวกอัลฟ่ารวยๆ ไปใช้สนองตัณหาหรือไม่ก็เอาไปใช้แรงงานอย่างป่าเถื่อน
แต่ก็แน่นอนว่าไม่ใช่ทั้งหมดที่กลายเป็นแบบนั้น มีอีกหลายที่ที่ยังพอมีศีลธรรมไม่เลี้ยงเด็กเพื่อการนั้นอยู่บ้าง ศูนย์รับเลี้ยงของเจ้าเด็กนี่ก็คงไม่พ้นเน้นความรุนแรงในการเลี้ยงดู
“อยากมีชื่อรึเปล่า”
ทวิชทิ้งตัวกับโซฟาข้างๆ เมื่อปฐมพยาบาลให้คร่าวๆ เสร็จ และเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะรู้ดีว่ามันคงจะไม่ใช่ความทรงจำที่น่าเล่าสักเท่าไหร่
“…”
“งั้นเดี๋ยวตั้งให้แล้วกัน”
ทวิชตัดบทอย่างเอาแต่ใจ เพราะเจ้าเด็กนี่เงียบนานเกินไป และเขาก็อยากเรียกอย่างอื่นที่มันดูเป็นชื่อคนมากกว่าการเรียกสายพันธุ์ด้วย
ทะเลาะกับตัวเองในหัวสักพัก สุดท้ายทวิชก็เคาะออกมาได้ชื่อนึง
“กันต์.. ต่อไปนี้นายชื่อกันต์”
กันต์ ที่หมายถึงความยินดี พอใจ
เขาอยากให้เด็กนี่มีความสุข ถึงแม้ว่าโลกห่วยๆ ใบนี้จะเคยทำลายตัวตนเจ้าเด็กนี้ไปแล้วก็ตาม
นัยน์ตาสีทองของทวิชยามที่ทอดมองอีกฝ่ายนั้นอ่อนลง โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
“…”
กันต์พยักหน้าน้อยๆ เชิงรับรู้ ก่อนจะก้มมองทวิชอย่างไร้จุดหมายเช่นเดิม
อย่างไรก็ตามการที่กันต์นั้นเลือกที่จะไปยังลานประลอง นั้นก็แทบจะบอกทุกอย่างอยู่แล้ว หากไม่ได้รับชัยชนะก็ตายหรือไม่ก็พิการ แต่สำหรับกันต์แล้วมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับตอนที่อยู่ในศูนย์รับเลี้ยงนัก
เพราะขนมปังแต่ละก้อนที่เขาจะได้กินนั้น ล้วนแล้วต้องแย่งชิงกันจนแทบจะฆ่ากันตาย ดุจราวกับว่ามันนั้นเป็นทองคำที่ร่วงหล่นมาจากฟากฟ้า ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเพียงแค่ขนมปังตกเกรดใกล้หมดอายุรสชาติห่วยแตกเท่านั้น
แน่นอนว่ามันไม่ได้อร่อย แต่เขาก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก เขาไม่ใช่เด็กหัวดีพอที่จะไปรับงานง่ายๆ ใช้ความรู้พื้นฐานอย่างเด็กคนอื่นในศูนย์ได้ ที่พอจะทำเป็นและคล่องแคล่วที่สุดก็มีแต่เรื่องการใช้กำลังในการแย่งชิงเท่านั้น
การที่ทวิชยอมไถ่ตัวกันต์ออกมานั้น จึงแทบจะไม่ได้มีความหมายอะไรกับกันต์เลย เพราะเขาแทบไม่สนใจแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองจะมีลมหายใจอยู่รึเปล่า ที่ยังพยายามเอาชีวิตรอดอยู่ก็เพียงแค่ทำตามสัญชาตญาณเท่านั้น
“ถ้านายหายดีเมื่อไหร่ นายจะไปจากที่นี่ตอนไหนก็ได้นะ”
ทวิชยิ้มนิดๆ ให้กับแววตาว่างเปล่าของกันต์
โลกห่วยแตกนี้ใจร้ายเป็นบ้าเลย..
“หรือนายจะอยู่ที่นี่ต่อไปก็ได้ ฉันไม่ได้ว่าอะไร”
สุดท้ายทวิชก็ทนมองสายตาของกันต์ไม่ไหว และล่าถอยไปจัดการกับอาหารที่ครัวหลังร้านต่อ ก่อนที่จะกลับมาพร้อมกับข้าวต้มปลาที่น่าจะกินง่ายที่สุดสำหรับคนเจ็บในเวลานี้
“โห วันนี้ทำข้าวต้มปลาเหรอ”
“อือ ถ้าอยากกินก็ไปตักเอาที่ครัวได้เลย”
ทวิชพยักหน้าน้อยๆ ให้กับกลุ่มเบต้าที่เพิ่งมาถึง และนั่งเกะกะกันเกลื่อนร้าน ซึ่งก็มีเพียงเบต้าคนเดียวที่ทำแผลให้กับกันต์ต่อจนมือเป็นประวิงด้วยสีหน้ากังวล
“แผลเยอะมากเลย ดีนะที่ไม่ลึกมาก”
นทีบ่นพลางเย็บแผลให้กับกันต์ไปด้วยอุปกรณ์ที่แอบลักลอบเอามาใช้เป็นการส่วนตัว
“จะไม่เยอะได้ไง ก็เจ้าเด็กนี้ไปฟัดในลานประลองมา”
เวฟที่เท้าคางมองอยู่พูดออกมาอย่างอดไม่ได้ เล่นเอานทีตาโตด้วยความตื่นตระหนกจนหูกับหางกระต่ายโผล่ออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ลานประลองเนี่ยนะ! อายุแค่นี้เอง ทำไมเดี๋ยวพวกอัลฟ่ามันป่าเถื่อนนักนะ”
นทีบ่นหนักกว่าเก่า ใบหน้าน่ารักคิ้วเล็กๆ ขมวดมุ่นจนแทบจะม้วนกันเป็นโบว์
“ยังไม่ชินอีกเหรอ ถามจริง”
กายหรือเบต้ากวางที่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น พูดออกมาด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย ในมือถือขนมปังเกรดต่ำที่ได้รับแทนค่าแรง และเคี้ยวมันตุ่ยๆ แก้หิว
“ก็ชิน แต่มันก็น่าหงุดหงิดนี่นา”
นทีที่ปกติแล้วก็ทำงานอยู่ในสถานพยาบาลบ่นออกมาอย่างเสียไม่ได้ ถึงแม้ว่างานของเขาจะเจอคนป่วยคนเจ็บทุกวัน แต่เขาก็ยังไม่พอใจอยู่ดี ที่มักจะมีเบต้าที่มาด้วยอาการที่เป็นผลพวงความเห็นแก่ตัวของรัฐบาล ซึ่งถ้าหากต้องการจะรักษาอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจริงๆ ก็ต้องแก้จากเบื้องบน ไม่ใช่ปลายเหตุ
จำนวนผู้ป่วยหรือคนเจ็บที่มาใช้บริการนทีจึงแทบไม่เคยลดลงเลย มีแต่เพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนเขากลัวว่าสักวันเบต้าจะตายกันหมด แล้วเหลือแต่อัลฟ่า
“หงุดหงิดแล้วไงต่อ นายคิดเหรอว่าพวกนั้นจะสนใจชีวิตของพวกเรา”
เวฟหัวเราะเสียงแผ่ว แล้วรับข้าวต้มจากเพื่อนตัวเองมากิน ซึ่งก็เป็นตามที่คิด อร่อยเหมือนเดิม จนเขาอดคิดไม่ได้ว่านี่อาจจะเป็นรสชาติเดียวกับอาหารขึ้นชื่อบนภัตตาคารชื่อดังของพวกอัลฟ่าก็ได้
แต่น่าเสียดายที่เขาก็ทำได้เพียงคาดเดา เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม เบต้าอย่างเขาก็คงไม่มีโอกาสในการกินอะไรหรูหราแบบนั้นอย่างแน่นอน
“..ใช่ พวกนั้นไม่สนใจเราหรอก”
พอสซึ่งเป็นคนยื่นข้าวต้มให้กับเวฟหัวเราะ มองกันต์ด้วยความรู้สึกเดือดดาลแกมเจ็บปวด
เขาทนเห็นเรื่องพวกนี้ต่อไปแทบไม่ไหวแล้วจริงๆ
“เราถึงต้องเป็นคนที่สนใจเรื่องพวกนี้ไง”
“หมายความว่าไง”
กายกลิ้งตัวมาทับเท้าพอสแล้วจึงถามอย่างอยากรู้ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าพอสหมายถึงเรื่องอะไร แต่ก็ยังอยากได้ยินจากปากอีกฝ่ายอยู่ดี
“ฉันว่ามันถึงเวลาที่เราต้องมาจริงจังเรื่องการปฏิวัติสักที”
“..นายคิดมันจะสำเร็จจริงๆ เหรอ”
นทีแค่นยิ้ม และลุกขึ้นไปกินข้าวต้มบ้าง เมื่อเย็บแผลให้กันต์เสร็จ ซึ่งก็ต้องขอบคุณที่เขาแอบเอาออกมาเยอะพอ ไม่อย่างนั้นคงจะทำแผลให้ไม่เสร็จ
“จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ มันไม่สำคัญหรอก แต่ที่สำคัญคือเราต้องทำให้พวกเบต้าทั่วไปรู้ตัวสักทีว่าพวกอัลฟ่ามันไม่ได้ดีเลิศเลอหรือมีอภิสิทธิ์เหนือเรามากขนาดนั้น”
อาจจะเรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จของอัลฟ่าในยุคสมัยนี้อย่างแท้จริง ที่แทบจะสามารถล้างสมองเบต้าทั่วไปได้แทบจะสมบูรณ์ ด้วยระบบการศึกษาและศาสนา จนพวกเขาเชื่อจริงๆ ว่าเหล่าอัลฟ่านั้นคือสมมุติเทพที่ลงมาจุติ อยู่ในวรรณะที่สูงกว่า เป็นผู้มีพระคุณ และสูงส่งกว่าเบต้า
แน่นอนว่าแนวคิดเหล่านี้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นแนวคิดที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำให้ความเห็นแก่ตัวของอัลฟ่ากลายเป็นความชอบธรรม และไม่สามารถตั้งคำถามได้
พอสจึงหงุดหงิดเอามากๆ ยามที่พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ของตัวเอง และพบว่าพวกเขาไม่รู้สึกผิดปกติอะไรเลยกับการเอารัดเอาเปรียบของพวกอัลฟ่า อีกทั้งยังคิดว่าเป็นเรื่องที่ทำได้อีกต่างหาก จนเขาอยากจะตะโกนใส่หน้าคนพวกนั้นแทบตายว่าการที่เขาถูกบังคับให้บริจาคดวงตาข้างขวาของตัวเองให้กับอัลฟ่านี่คือเรื่องที่ถูกต้องเหรอ เขาไม่มีสิทธิ์ในร่างกายของตัวเองเลยงั้นเหรอ ทั้งๆ ที่เขานั้นก็เป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน แล้วพวกอัลฟ่าถือดีอะไรถึงมาช่วงชิงร่างกายของเขาไป
แน่นอนว่าพอสก็เคยเชื่อมั่นในอัลฟ่าอย่างไม่มีเงื่อนไขมาก่อน จนกระทั่งสูญเสียดวงตาของตัวเองไปข้างหนึ่ง ถึงได้ตาสว่าง และมองโลกอย่างเข้าใจมากกว่าเดิม
“งั้นนายก็จริงจังถูกเวลาแล้ว เพื่อน”
กายที่ยังคงกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น กลืนขนมปังที่เหลือในคำเดียว แล้วหยิบเศษกระดาษบางอย่างที่ซุกซ่อนเอาไว้ในซองที่ใส่ขนมปังออกมาขยำ แล้วโยนให้พอส
“พวกนั้นเริ่มกันแล้ว”
พอสรับกระดาษยุ่ยๆ มาแกะอ่าน
’30.7.19 เผา สิงโต’
“เผาสิงโต?”
ถึงแม้ว่าเขาจะพอรู้มาบ้างว่ามีกลุ่มเบต้ากลุ่มหนึ่ง มีแนวคิดเดียวกับเขา แต่เขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าคนพวกนั้นคือใคร รู้เพียงแค่ว่ามีตัวตนอยู่ แต่ไม่กล้าติดต่อกันเพราะต่างฝ่ายต่างกลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นสายของทางการที่แฝงตัวมา และแน่นอนว่าไม่มีใครอยากถูกเผาทั้งเป็นหรือจับแขวนประจานกับประตูเมืองแน่ๆ
แต่เรื่องที่น่าแปลกใจนิดหน่อย ก็เรื่องกระดาษในซองขนมปังของทางการเนี่ยแหละ ที่เขาไม่รู้ว่าพวกนั้นลักลอบกันท่าไหนถึงไปยุ่มย่ามกับโรงงานขนมปังโง่ๆ ที่มีอัลฟ่าคุมอย่างหนาแน่นได้
แน่นอนว่ามันเริ่มทำให้เขาเริ่มรู้สึกมีความหวังขึ้นมานิดๆ
“ใช่ เผาสิงโต สิงโตตัวที่ว่านั้นก็คงไม่พ้นรูปปั้นสิงโตที่ยืนหน้าทำเนียบรัฐบาลนั่นแหละ”
“มันจะไหม้เหรอ”
นทีถามงงๆ เพราะไอ้รูปปั้นสิงโตที่ว่านั้นเป็นหินอ่อน แล้วที่แถวนั้นก็เป็นที่โล่งๆ ไม่น่าจะมีอะไรที่ดูจะเผาได้สักนิด และยิ่งไปกว่านั้นคือพวกอัลฟ่าตรวจตรากันชุกชุมมาก
เพราะ ‘สิงโต’ นั้นคือสัญลักษณ์หรือตัวแทนของอัลฟ่า
“ใครเขาสนว่ามันจะไม่หรือไม่ไหม้ล่ะ เขาสนที่มีคนกล้าไปเผาต่างหาก” กายเด้งตัวขึ้นมานั่ง แล้วพุ่งเข้าไปแย่งข้าวต้มของนทีมากิน
“เฮ้ยๆ ไปเอาเองสิโว้ย”
นทีพยายามสุดชีวิตในการปกป้องข้าวต้มของตัวเองด้วยการถีบเพื่อนตัวเองออก หมดมาดหมอหนุ่มผู้นุ่มนวลใจดีในโรงพยาบาล ตีกันจนสุดท้ายคนที่พ่ายแพ้ก็คือกาย ที่ยอมลงไปนอนกลิ้งบนพื้นเหมือนเดิม
“แล้วนายจะไปไหม?”
พอสถามกายที่ตอนนี้กลิ้งไปกอดขาเวฟ ออดอ้อนขออาหารไม่หยุด เพราะขี้เกียจเดินไปตักเอง
“ไปสิ”
กายตอบโดยไม่ต้องคิด แม้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำนั้นอาจจะอันตรายถึงชีวิต แต่อย่างไรก็ตาม การแอบศึกษาเกี่ยวกับอะไรพวกนี้ก็อันตรายอยู่แล้ว แถมในห้องแฟล็ตรูหนูของเขาก็มีพวกหนังสือต้องห้ามเต็มไปหมด เรียกได้ว่าถ้าถูกสุ่มตรวจแล้วจับได้ขึ้นมา เขาต้องโดนโทษหนักแน่นอน
แต่ถ้าถามว่าเขากลัวไหม? ก็ไม่เท่าไหร่ เพราะยังไงทุกวันนี้การมีชีวิตอยู่ของเขาก็เหมือนตายทั้งเป็นอยู่แล้ว ชีวิตของเขาถูกพวกทางการกะเกณฑ์มาตั้งแต่ต้น ตื่นเช้าทุกวันไปคัดแยกขยะในโรงงานขยะที่เต็มไปด้วยสารพิษเพื่อที่จะรอรับเศษเงินกับเศษอาหารที่พวกมันจะกรุณาประทานลงมาให้ในแต่ละอาทิตย์
ทั้งๆ ที่เขานั้นเรียนจบหลักสูตรขั้นพื้นฐานแล้วด้วยซ้ำ เขาเคยไปขอสมัครงานตำแหน่งดีๆ แต่สุดท้ายก็ถูกพวกเบต้าที่มีเส้นสายหรือไม่ก็อัลฟ่าชั้นต่ำแย่งงานไปอยู่ดี จนสุดท้ายเขาก็มาจบที่โรงงานบ้าๆ นี่
แน่นอนว่าเขาไม่ได้อยากทำ แต่งานนี้เป็นงานที่เขาจะหาเงินพิเศษได้ง่ายที่สุดและมักจะมีของต้องห้ามบางอย่างทิ้งมาด้วย เขาถึงได้ยอมทนทำ แม้ว่าเขาจะรู้อยู่แก่ใจว่าอายุขัยเฉลี่ยของคนที่ทำงานโรงงานขยะสารพิษนี้จะไม่เกินสี่สิบปีก็ตาม
“แล้วนายไม่กลัวรึไง กาย”
คนเป็นหมอถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล เพราะลำพังแค่เพื่อนเขาไม่ยอมเลิกทำงานโรงงานขยะนี้ก็แทบจะทำเขาประสาทกินแล้ว
“อย่างกูนี้ยังมีอะไรเหลือให้กลัวด้วยเหรอ นที”
กายหัวเราะหึๆ จนตัวสั่น นัยน์ตาขึ้นสีแดงฉานอย่างเคียดแค้น
“พ่อแม่กูตายก็เพราะพวกมัน มีกูตายเพิ่มอีกคนนึงจะเป็นอะไรไป”
“คือมันเสี่ยงไง มึงเข้าใจไหม ว่ามึงอาจจะตายฟรี!!!”
สุดท้ายนทีก็อดกลั้นความกังวลตัวเองไม่ไหว ลงไปเขย่าคอเสื้อกายบนพื้นและตะคอกเสียงดังลั่น
“มึงเรียกการแสดงออกของพวกกูว่าตายฟรีเหรอ นที”
กายเหยียดยิ้มใส่เพื่อนตัวเอง ไม่มีเค้าความขี้เล่นเหมือนปกติ จนนทีใจหายแต่ก็ยังไม่ละความพยายามที่จะเปลี่ยนความคิดเพื่อนสมัยเด็กของตัวเอง ยังไงก็ตามเขายินดีที่จะถูกเพื่อนเกลียด ดีกว่าที่จะเห็นมันตายไปต่อหน้าโดยที่เขาไม่ได้ทำอะไร
“กูไม่ได้หมายความแบบนั้น มึงก็รู้ แต่กูไม่อยากให้มึงตาย เข้าใจไหม กูไม่อยากให้มึงตาย ฮึก” สุดท้ายนทีก็สะอื้นฮัก หูกระต่ายลู่ลงอย่างเจ็บปวด “มึงก็รู้นี่ว่าถ้ามึงไป แล้วหนีไม่ทัน มันจะเป็นยังไง”
“เวลาที่กูรอ มันมาถึงแล้ว นที”
กายยิ้มและคืนสู่ร่างต้นซึ่งเป็นกวางเพื่อที่จะสลัดเพื่อนตัวเองออก เพราะร่างมนุษย์ของตัวเองตัวค่อนข้างเล็กและแรงน้อย ซึ่งพอสลัดหลุดออกมาได้ กายก็จงใจเปลี่ยนส่วนหัวของตัวเองให้เป็นงูเห่าซึ่งเป็นหนึ่งในสัตว์กินเนื้อของเหล่าชนชั้นอัลฟ่า จนทำเอาคนอื่นๆ ที่เห็นมองด้วยความตกตะลึงโดยเฉพาะนที
“ถึงเวลาทุกคนแม่งจะรู้ความจริงสักที ว่าไอ้เพศที่พวกอัลฟ่าแบ่งกันน่ะ แม่งก็เป็นแค่วาทกรรมที่รัฐบาลใช้หลวกลวงทุกคนเท่านั้นแหละวะ”
“เดี๋ยวนะ กาย มึงไม่ใช่เบต้าเหรอวะ”
เวฟถามด้วยความมึนงง
“มันไม่มีใครเป็นเพศอะไรทั้งนั้นแหละ ไอ้เวฟ ทุกคนเป็นคนเหมือนกัน แต่ไอ้รัฐบาลสารเลวมันหลอกพวกมึงไง แล้วพวกมึงก็เชื่ออย่างสนิทใจ เชื่อคำหลอกลวงพวกมัน”
กายกลับคืนร่างมนุษย์และหัวเราะลั่น
“มึงไม่สงสัยบ้างเหรอ ทำไมอัลฟ่าถึงต้องคู่กับความรวย อำนาจ และชื่อเสียง แล้วทำไมเบต้าอย่างพวกเรามันถึงคู่กับความโง่ ความจน แล้วก็ต้องยอมเป็นเบี้ยล่างให้พวกอัลฟ่ามันขูดเลือดขูดเนื้อตามอำเภอใจ ไหนจะเรื่องโอเมก้าอีก ทำไมอยู่ดีๆ พวกเขาถึงโดนตราหน้าว่าเป็นปีศาจล่ะว่ะ ทั้งๆ ที่เขาก็เคยเป็นพ่อเป็นแม่ให้กับพวกอัลฟ่าเบต้าเหมือนกัน มึงไม่คิดว่าแม่งประหลาดบ้างเหรอวะ แม่ง ฮึก กูทนไม่ไหวแล้ว กูทนเรื่องเหี้ยๆ พวกนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว”
กายยกมือปิดตาและสะอื้นจนตัวโยน
“พวกมึงทุกคนมีสิทธิ์ในทรัพยากรของประเทศนะเว้ย มันเป็นของคนทุกคน แล้วทำไมถึงมีแค่คนส่วนเดียวที่ได้มันไปวะ แล้วทำไมพวกเราถึงต้องมาทนกับอะไรเหี้ยๆ แบบนี้วะ ฮึก กูทำอะไรผิดวะ นที มึงตอบกูสิ มึงจะให้กูหุบปากแล้วทนต่อไปเหรอ กูแม่งไม่ไหวแล้ว ถ้าพวกเราต้องมาเจออะไรแบบนี้วะ”
“..มึงรู้เรื่องนี้นานรึยัง”
พอสถามเสียงแผ่ว ค่อนข้างตกใจเนื่องจากรู้เรื่องนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน แต่ที่ผ่านมาก็แอบระคายคะคายไม่น้อย เพราะบางครั้งบางคราเขาก็เห็นเพื่อนร่วมงานของเขามีเอกลักษณ์ของพวกอัลฟ่าโผล่มานิดหน่อย และพวกของทางการก็จะรีบจับคนพวกนั้นไปโรงพยาบาลเพื่อรับยาบางอย่างทันที ซึ่งพอเพื่อนเขากลับมาไอ้เอกลักษณ์ของพวกอัลฟ่าก็หายไปหมดแถมความจำบางส่วนยังหายไปด้วย
“อาทิตย์ก่อน”
กายที่เหมือนจะรวบรวมสติได้แล้ว ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเกือบจะปกติแต่ก็ไม่ได้สะอื้นแล้ว
“กูรู้มาจากพวกกลุ่มปฏิวัตินั่นแหละ พวกนั้นรู้ว่ากูแอบสะสมแล้วก็ขายหนังสือ เลยเข้ามาคุยกับกู”
“แล้วมึงรู้อะไรอีกไหม”
“กูก็รู้แค่เรื่องนี้แหละ แล้วก็เรื่องยาระงับเอกลักษณ์ที่มันใช้กับพวกเรา”
นทีชะงักทันทีเมื่อได้ยินคำว่ายาระงับ และสั่นไปทั้งตัว เพราะมีสิ่งหนึ่งแวบเข้ามาในหัวเขาทันที
“ยาระงับของมึงคงไม่ใช่วัคซีนกันโรคที่พวกรัฐบาลบังคับให้เบต้าทุกคนฉีดทุกปีใช่ไหม”
สาเหตุที่มันทำให้เขาใจสั่นนัก ก็เพราะมันเป็นวัคซีนที่พวกอัลฟ่าบังคับอย่างเด็ดขาดว่าเบต้าทุกคนต้องฉีด แต่มันกลับเป็นสิ่งที่ทำให้คนไข้เขาบางส่วนอาการทรุดลงอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งๆ ที่ก่อนจะรับวัคซีนนี้ก็อาการปกติดี พอเขานำเรื่องไปร้องเรียนก็ถูกพวกเบื้องบนสั่งให้เลิกสนใจ และตั้งใจทำงานห้ามสงสัย ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะถูกย้ายออกงานหรือเลิกจ้างไปเลย เขาถึงต้องฉีดมันให้กับคนไข้ของเขาเรื่อยๆ แม้ว่าจะไม่เต็มใจก็ตาม
“ใช่ ก็ไอ้ยาที่มึงเคยร้องไห้บอกว่าไม่อยากฉีดให้คนไข้มึงนั่นแหละ”
“…”
“มึงรู้สึกผิดได้ นที แต่มันไม่ใช่ความผิดมึง มึงก็รู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องนี้ใครเป็นคนผิด”
กายพูดเสียงอ่อนลงเมื่อเห็นเพื่อนตัวเองลงไปนั่งร้องไห้บนพื้น จนสุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะไปนั่งลูบหลังปลอบมัน เพราะคนที่ถวายชีวิตให้กับเป็นหมออย่างมันคงเจ็บปวดมากที่ทำคนไข้ของมันตายด้วยน้ำมือตัวเอง
“สรุปคือทุกคนก็เป็นอัลฟ่าหรือโอเมก้าได้เหมือนกันใช่ไหม”
เวฟที่นั่งนิ่งอึ้งอยู่นานมาก ในที่สุดก็พูดออกมาประโยคนึง
“ใช่ แต่พ่อหรือแม่ต้องเป็นอัลฟ่าหรือโอเมก้านะ ถึงจะแสดงเอกลักษณ์ของเพศนั้นได้” กายพยักหน้าหงึกหงัก “แต่มึงอาจจะหาคนอื่นมาพิสูจน์เรื่องนี้ยากหน่อย เพราะยังไงทุกคนก็รับยาระงับจากพวกมัน อย่างกูที่ทำได้ก็เพราะได้ยากระตุ้นมาจากพวกนั้น”
“..ผมไม่ได้ฉีด”
กันต์พูดเสียงเบา แต่กลับเรียกความสนใจได้ทั้งวง แม้แต่ทวิชที่นั่งจิบไวน์ฟังเงียบๆ ก็หันมาสนใจ เพราะนอกจากตัวเองแล้วก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอใครที่เป็นแบบตัวเองอีก ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องที่กายพูดนั้น เป็นเรื่องที่ทวิชรู้ด้วยตัวเองมานานมากๆ แล้ว ตั้งแต่เห็นปีกสีดำปลอดของตัวเองในกระจกด้วยนัยน์ตาของเสือดำ มันดูประหลาดมาก แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้รู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้จากอาสิงห์ที่คอยดูแลเขามาตลอดตั้งแต่ที่เขาจำความได้
และด้วยความว่างจัด ไม่มีอะไรทำ เขาจึงมักจะอ่านหนังสือที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้จนแทบจะรู้เรื่องพวกนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นเพียงการคาดเดาของคนที่เขียนหนังสือ แต่ถ้าหากไม่มีมูลก็ย่อมเขียนไม่ได้ และมันก็จะคงไม่ถูกทำให้กลายเป็นหนังสือต้องห้ามในประเทศนี้
ประเทศที่กลัวประชาชนรู้ความจริงจับใจ กลัวว่าหากประชาชนฉลาดและตาสว่างแล้วจะควบคุมไม่ได้อีก จึงใช้วิธีการเข่นฆ่าคนกลุ่มนั้นอย่างเลือดเย็นเพื่อความมั่นคงของบัลลังก์ของตัวเอง
เขาถึงได้เกลียดพวกอัลฟ่านัก เกลียดที่พวกมันฆ่าพ่อแม่ของเขา ทำให้เขาต้องกลายมาเป็นส่วนเกินของตระกูลพยัคฆ์โภคสกุลที่ไม่ได้มีความเกี่ยวดองกันด้านสายเลือดด้วยซ้ำ ที่เขาได้รับการอนุเคราะห์ก็เพราะพ่อแม่เขาเคยเป็นเพื่อนและมีบุญคุณกับอาสิงห์เท่านั้น
เอาเข้าจริง ถ้าหากมีอัลฟ่าสักคนรู้ว่าเขาคือลูกหลานของกลุ่มปฏิวัติรุ่นก่อน ก็คงจะไม่ลังเลที่จะฆ่าเขาในพริบตา
“งั้นนายใช้เอกลักษณ์ของพวกอัลฟ่าได้ไหม”
พอสถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นนิดๆ
“…”
กันต์ไม่ได้ตอบแต่พยักหน้าน้อยๆ ก่อนที่ร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลจะมีเสียงกระดูกหักดังกร็อบๆ และปรากฎร่างสิงโตขนาดยักษ์ขึ้นมาร่างหนึ่ง มันพ่นลมหายใจหนักๆ ก่อนที่จะหันมองทวิชนิ่งๆ ราวกับคาดหวังอะไรบางอย่าง
“..อืม”
ทวิชงุนงงนิดๆ ที่อยู่ดีๆ ก็ถูกกันต์มอง แต่ก็พยักหน้าให้เชิงรับรู้ กันต์ถึงค่อยๆ กลับคืนสู่ร่างมนุษย์แบบเดิม
“ที่มึงไปร่วมพรุ่งนี้ ก็เพราะเรื่องนี้ด้วยใช่ไหม”
พอสพูดออกมาด้วยความหนักใจ เพราะเชื่อว่าการที่กายได้รับยากระตุ้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือความใจดีของกลุ่มปฎิวัติแน่นอน
“ใช่ กูตกลงยอมเป็นตัวพิสูจน์ความจริงให้กับคนพวกนั้น”
“..มึงจะรอดกลับมาใช่ไหม กาย”
ถึงแม้จะร้องไห้มานานแล้ว นทีก็ยังไม่หยุดสะอื้น นั่งปาดน้ำตาป้อยๆ ไม่ต่างกับตอนเด็กที่มักจะร้องไห้ไม่หยุด เวลาที่มีเรื่องที่ไม่สบายใจหรือเสียใจมากๆ
“ไม่รู้ว่ะ”
กายหัวเราะเบาๆ แล้วเดินไปตบไหล่พอสอย่างฝากฝัง
“ถ้ากูไม่รอด ฝากเผาห้องกูด้วยแล้วกัน กูไม่อยากให้ของๆ กูต้องกลายไปเป็นของพวกมัน”
“..ที่มึงยอมมาวันนี้ มึงมาเพราะอะไรกันแน่วะ กาย”
นทีลุกเขย่าคอเสื้อกายอีกรอบ เพราะปกติแล้วกายจะเป็นคนค่อนข้างเก็บตัว ถึงแม้ว่ามีนิสัยขี้เล่นก็ตาม เวลานัดมากินข้าวรวมตัวก็มักจะบอกปัดตลอด ปีหนึ่งได้เจอกันได้ไม่ถึงสามครั้งด้วยซ้ำไป
“กูมาลาพวกมึง”
กายพูดด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว แม้ว่ามันจะแฝงไปด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส
“เพราะวันนี้น่าจะเป็นวันสุดท้ายที่กูได้อยู่กับพวกมึง”
====
แง หายไปนานเลย ขอโทษนะคะ พอดียุ่งๆ กับต้นฉบับอีกเรื่อง